หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 7 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ
webmaster - 22/2/11 at 13:46

หนังสืออ่านเล่น
เล่มที่ ๗
โดย ส. สังข์สุวรรณ
(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน)
เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๗
1. คำปรารภ
2. ข่าวงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
3. ข่าวดาวพระอังคาร
4. ไปอเมริกา
5. สงครามโลกครั้งที่ ๒
6. สงครามโลกครั้งที่ ๒ (ต่อ)
7. จากญี่ปุ่นไปวอชิงตัน
8. จากญี่ปุ่นไปวอชิงตัน (ต่อ)
9. รัฐเวอร์จิเนีย ชิคาโก เดนเวอร์
10 รัฐเวอร์จิเนีย ชิคาโก เดนเวอร์ (ต่อ)
1
คำปรารภ
หนังสืออ่านเล่นที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ขอให้อ่านเป็นหนังสืออ่านเล่น จงอย่าถือเป็นตำราหรือแบบปฏิบัติ ตัวอย่างเช่นนิมิตขณะเดินทางบนเครื่องบิน
ที่เห็นนิมิตต่าง ๆ อาการอย่างนั้นไม่ใช่เป็นอาการของฌานสมาบัติ เป็นนิมิตธรรมดา ที่คนมีอารมณ์เคลิ้ม ไม่ถึงหลับ แต่จวนจะหลับ
ถ้าเปรียบเทียบกับสมาธิที่ปฏิบัติ ก็ต้องถือว่า มีสภาพคล้ายอุปจารสมาธิ และเป็นอุปจารสมาธิระยะต้นมาก ใช้อะไรไม่ได้
คือไม่สามารถทบทวนภาพที่เห็นใหม่ได้ เมื่อภาพนั้นปรากฏแว๊บเดียวก็หายไป ถ้าท่านนักปฏิบัติพบภาพประเภทนี้เข้า จงอย่าคิดว่า เราได้ฌานหรือมีทิพจักขุญาณ
การเดินทางคราวนี้ ต้องขอขอบใจ คุณเดือนฉาย คอมันตร์ (เดือนฉาย บุญนาค) ที่เป็นภาระธุระให้ และเป็นไปด้วยความลำบากอย่างยิ่ง
เพราะเป็นเวลาที่นักท่องเที่ยวเดินทาง หาเครื่องบินว่างยาก แต่ก็พยายามหาทางให้เดินทางจนได้ แม้ตนเองก็ป่วยไข้ไม่สบาย
ไปถึงชิคาโก้ ปรากฏว่าเธอก็ป่วย อาตมาก็ป่วย และต้องขอขอบคุณทุกคนที่อเมริกา ที่เป็นภาระธุระทุกอย่าง ให้ความสะดวกสบาย และสนใจในธรรมปฏิบัติ
ขอทุกคนจงมีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจไว้โดยทั่วกันเถิด
ส. สังข์สุวรรณ์
๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๒.
2
ข่าวงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๒ ก็ทำหนังสือเล่มที่ ๗ แต่ความจริงเรื่องการทำหนังสือนี้
ต้นฉบับทำมาแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคม เรียกว่าต้องทำเผื่อไว้ เพราะว่าพระท่านบอกว่า ต่อไปโอกาสจะทำไม่มี ให้ทำถึงเล่มที่ ๖
มาตอนนี้ เล่มที่ ๗ ร่างกายก็ดีขึ้นมาบ้าง ที่ต้องทิ้งมานานก็เพราะว่า มันป่วย ตอนหลังนี้ป่วยพิเศษหลังจากกลับจากอเมริกาคือ เจ็บคอ พูดไม่ออก
ก็เป็นอันว่า เรื่องการป่วยขอผ่านไป คนอ่านจะเบื่อ
ข่าว
ตอนที่ ๑ นี้ให้มีนามว่า ข่าว ความจริงเป็นเล่มที่จะเล่าเรื่องจาก อเมริกา แต่ขอนำข่าวจากประเทศไทยมาบอกบรรดาท่านพุทธบริษัทก่อน คำว่า ข่าว
ในที่นี้ก็หมายถึงว่า มีนักบุญพิเศษมาในวันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และก็วันรุ่งขึ้น
วันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในวิหาร ๑๐๐ เมตร ได้แก่ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๒ และก็วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๒ มาที่รับแขก มาดูผล และต่อมาก็มาในรูปพระ ๒ ราย
รายแรกเป็นผู้หญิง ต่อมาวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๒ มาเป็นพระขึ้นมาที่รับแขกเหมือนกัน
เป็นอันว่า นักที่มานี้ทั้งหมดเป็น นักไสยศาสตร์ คือ เมื่อวันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วันนั้นกำลังฉันภัตตาหารตอนเพล
คนอื่นเขาก็ยืนอยู่ห่าง แต่ก็มีท่านสุภาพสตรีท่านหนึ่ง อายุกะประมาณ ๔๐ เศษ ถึง ๕๐ ยืนล้ำออกมาข้างหน้า ห่างออกไปจากหน้าอาตมาประมาณสัก ๖ ฟุตได้ มายืนเฉย
ภาวนาอยู่
แต่อาการอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทมีมาแล้วเป็นปกติ ยืนอยู่นานประมาณ ๑๐ นาที จะกระทั่ง คุณประเสริฐ นักบุญประจำสำนักนี้ นักบอกบุญ ดึงออกไปบอกว่า
หลวงพ่อฉันข้าวจะมายืนอยู่ไม่ได้ แต่ความจริงยืนอยู่นานมาก และต่อมาวันรุ่งขึ้น วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๒
อาตมาก่อนจะไปรับแขกก็มีความรู้สึกว่า วันนี้จะมีอะไรพิเศษ
และก็ดูเหมือนว่า ตามความรู้สึกท่านให้ภาวนาคาถาบทใดบทหนึ่ง กัน ก็ภาวนาไปตั้งแต่กุฏิ ความจริงวันที่ ๑๙ พอเห็นก็มีความรู้สึกว่า
คนนี้ไสยศาสตร์แน่ มุ่งมาทำก็ไม่ผิด วันที่ ๒๐ อีกเหมือนกัน พอขึ้นไปแล้วก็เจอะสาว อายุประมาณ ๔๐ รูปร่างท้วม ๆ ลักษณะท่าทางไม่เหมือนคนอื่น
มองหน้ากันไม่สนิท หมายความว่า แกมีความกระดากอาย หรือมีอะไรปกปิดอยู่
เธอก็นั่งภาวนาอยู่ตลอดเวลา จริยาไม่เหมือนคนอื่น ก็รวมความว่า หลังจากนั้นแล้ว เมื่อกลับจากการรับแขก ถึงเวลากลางคืนกลับมาที่ นอนภาวนา
ความจริงเรื่องการภาวนา หรือพิจารณานี้ เป็นอาการปกติประจำวัน เมื่อนอนภาวนา ก็เห็นภาพโยมผู้หญิงท่านมา
ท่านบอกว่า คุณ คน ๒ คน ที่คุณมีความรู้สึกอยู่นั้น ไม่ผิด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า เขามุ่งมาทำไสยศาสตร์ทำลายคุณ
ก็ถามท่านว่า ความประสงค์เขาเป็นอย่างไร
ท่านก็ตอบว่า เขาจ้างกันมา
แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่า คนจ้างคือใคร และเขาจ้างทำเพื่ออะไร ทั้งนี้ก็เพราะว่า ไม่เคยมีศัตรูกับใคร การประกาศพระศาสนาก็ทำไปตามปกติ
ไม่ได้แย่งทรัพย์สินของใคร และโดยปกติแล้ว การประกาศพระศาสนานี่ ไม่มีราคา และทำงานสงเคราะห์ เมื่อก่อนนี้สงเคราะห์ภายนอก
เดี๋ยวนี้ภายนอกก็มีคนสงเคราะห์มากขึ้น
อาตมาก็ป่วย แก่แล้ว ไปไม่ไหว ก็สงเคราะห์ภายใน ตั้งโรงเรียนขึ้น ให้เด็กเรียนฟรี ให้เสื้อกางเกงคนละ ๒ ชุด ให้อาหารการบริโภค ให้หนังสือเรียน ทุกอย่าง
จ้างครูมาสอน เสียรายจ่ายทุกอย่าง เด็กนักเรียนไม่ต้องจ่ายอะไรเลย เป็นนักเรียนมัธยมก็มีหลายร้อนคน และนี่ก็ทำให้ฟรีทุกอย่าง ก็ไม่ทราบว่า
อะไรทำให้เป็นศัตรูกัน เขามาทำแบบนี้
ก็ขอย้อนไปถึงวันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสักหน่อย วันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้น วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๒ วันนั้นก็มีความอัศจรรย์ หลังจากการบวงสรวงเสร็จ
ก็เห็นอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ไม่น่าจะคุยกัน บวงสรวงเป็นพิธีกรรมที่มีผล มีผลตามนั้น แต่ก็พูดไม่ได้ คนที่รู้ก็มี คนที่ไม่รู้ก็มี ขณะที่นั่งรถในขบวนแห่ไป
มีนักเรียนวงโยธวาทิต แห่นำหน้า
หลังจากนั้น พอเข้าเขตวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็มีภาพ ๒ ท่าน ชัดเจนมาก แต่ความจริงภาพที่มาวันนั้นมันเต็มจักรวาลหมด ก็ไม่ขอพูดคือภาพอะไร
คนฟังอาจจะคิดว่าเป็นภาพอากาศ หรือภาพเมฆ ก็ได้ ตามใจชอบ แต่ว่าภาพคนที่จะบอกได้ ก็คือภาพของ พระอินทร์ กับ ท่านสหัมบดีพรหม นี่เห็นชัด
ท่านนั่งอยู่ข้างหน้า ตรงหน้าออกไป พอจะเข้าวิหาร ๑๐๐ เมตร
ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่าคุณ เวลาเข้าไปในวิหาร จงอย่ามีโมโหนะ
ความจริงเรื่องนี้ก็เคยคิดไว้ก่อนเพราะว่า ตั้งแต่อยู่ที่ L.A. ลอสแองเจลิส คาลิฟอร์เนีย ตอนนั้นเวลาประมาณ ๔ โมงเช้า นอนภาวนาอยู่เห็น
ท่านท้าวเวสสุวัณ ท่านเข้าไปพบ
ท่านก็บอกว่า คุณ วันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วันวิสาขบูชา คุณอย่าคิดว่า คนน้อยนะ ถ้าคุณคิดว่า คนน้อย จะทำอาหารไว้น้อย
คนจะไม่พอบริโภค และโดยเฉพาะการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุวันนั้น ในวิหารจะมีอาการขัดข้องบ้างเล็กน้อยตามสมควร เพราะเป็นของใหม่
เมื่อท่านสหัมบดีพรหมท่านมาบอก ก็นึกทบทวนความรู้สึกที่ท่านท้าวเวสสุวัณบอกก็มีความเข้าใจ
เป็นอันว่า เข้าไปในวิหาร ที่เตรียมไว้คิดว่า พร้อม (แต่ความจริงของใหม่ต้องขลุกขลัก เป็นของธรรมดา) แต่มันก็เกิด ไม่พร้อม
มีการขลุกขลักอยู่บ้าง ก็ทำใจได้ หมายความว่า ไม่ได้โกรธใคร เพราะเป็นเรื่องธรรมดา ทำงานมามากแล้ว
แต่พอเวลากลางคืน กลับเข้ามาพัก ก็มี หมอจรูญ กับ ภรรยา ภรรยา อาตมาก็เรียก อิ๋ง ๆ ๆ ก็เลยไม่รู้จักชื่อจริงว่าอะไรกันแน่ หาตำราอ่านก็ไม่พบ คือ
๒ สามีภรรยาถ้าหาชื่อพบก็จะบอกให้ ๒ สามีภรรยานี้ ก็มาให้น้ำเกลือ นี่เป็นเรื่องธรรมดา หมอจรูญนี้เป็นปกติ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นหรือทุกครั้งที่เข้ากรุงเทพฯ
หรือที่วัดไม่สบาย ก็มาให้น้ำเกลือ ให้ยา
หมอแสงโสม ปิรยะวราภรณ์ ภรรยาหมอจรูญ ๒ คนมาให้น้ำเกลือ แล้วก็ฉีดยาให้นอนหลับ ให้หลับเป็นการพักผ่อน
เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ความจริงวันนั้นก็แปลก หลับไปได้เพียงแค่ ๑ ชั่วโมงเศษ ๆ ก็ตื่นขึ้น หลังจากตื่นแล้ว หมอให้น้ำเกลือเสร็จ
หมอจรูญก็คุมให้น้ำเกลือแบบนี้
กลางคืนเธอก็ต้องอดหลับอดนอน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม ก็พยายามอดหลับอดนอน จนกระทั่งให้น้ำเกลือเสร็จ ให้ยาฉันช่วยให้หลับ แล้วก็ฉีดยาให้หลับ
มันก็ไม่ยอมหลับ เมื่อไม่ยอมหลับก็ไม่แปลกเป็นของธรรมดา หลับ หรือไม่หลับ เป็นเรื่องของร่างกาย แต่จิตใจของเรา จะหลับ หรือไม่หลับ ร่างกายจะหลับ
หรือไม่หลับ จิตใจก็หลับไม่ได้
ฉะนั้น ในเมื่อมันไม่หลับก็ไม่ว่าอะไร ก็ภาวนาเรื่อยไป ภาวนาบ้าง พิจารณาบ้าง ถือว่าเป็นของธรรมดา
ร่างกายจะเอาจริงเอาจังอะไรไม่ได้ ความไม่เที่ยงของมันตามปกติ ถ้ามันเที่ยงจริงถึงเวลามันต้องหลับ ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องกินยา ก็หลับ
แต่นี่เขาฉีดยาให้ด้วย ฉีดยาให้หลับ กินยาให้หลับ มันก็ไม่หลับ
ขณะที่ไม่หลับก็เห็นคนมากมาย ก็ไม่ขอบอกว่ามีใครบ้าง เมื่อถึงเวลาประมาณสัก ตี ๔ ก็มีเสียงข้างซ้ายมือเรียกว่า หลวงพ่อขอรับ ๆ เป็นเสียงผู้ชาย
แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป ไม่เห็นตัว ต่อมาอีกประเดี๋ยวเดียว มีความรู้สึกว่า มีคนนำฉัตรทองคำ ใหญ่มาก ฉัตรทองคำ ๓ ชั้น มาตั้ง แล้วก็ไป
หลังจากนั้นก็มีคน ๔-๕ คน มายื้อแย่งฉัตรทองคำ จะนำฉัตรทองคำไป
แต่เสียงบนหัวนอน ตรงศีรษะพอดีขึ้นไป ตวาดบอก เฮ้ย! เสียงดังมาก คน ๔-๕ คนก็หายไป อาตมาก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร คำว่า เป็นอะไร ก็หมายความว่า
ไม่รู้เรื่อง เป็นอะไรแน่ชัด ฉัตรทองคำมาจากไหนก็ไม่ทราบ ก็รวมความว่า หลังจากนั้นก็ภาวนาเรื่อย ๆ ไปอีก ต่อมา ก็มีฉัตรทองคำ ๕ ชั้น สวยงามมาก
เป็นทองสวยมากแบบนั้นมาตั้งอีก ก็มีคน ๔-๕ คน จะมายกไปอีก ก็มีเสียงเดิมตวาดอีก พวกนั้นก็หายไป
ต่อมาเมื่อถึงเวลาเช้ามืด ใกล้จะ ๖ นาฬิกา ก็เห็นโยมผู้หญิง ความจริงโยมผู้หญิงท่านตายไปนานแล้ว
ท่านก็มาบอกว่า คุณคืนนี้ หลังจากที่คุณหลับไปแล้ว ๑ ชั่วโมง แล้วตื่นประมาณ ๓ ทุ่ม เพราะฉีดยาหลับตอนค่ำแล้ว ประมาณ ๒ ทุ่ม
หลังจากนั้นหลับไม่ได้เพราะอะไร แต่คุณก็ไม่รำคาญเป็นการดีมาก คุณภาวนาบ้าง พิจารณาบ้าง นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นการป้องกันตัวอย่างดีที่สุด
วันนี้ก็มีท่านผู้มีคุณทั้งหลายคุ้มครองคุณมาก แต่ว่าคุณหลับไม่ได้ ถ้าหลับคุณจะเผลอ คนจะเผลอมีหลายอาการ คือ
เวลาบริโภคอาหาร ถ่ายปัสสาวะ ถ่ายอุจจาระ เวลาใกล้หลับ หรือหลับ อย่างนี้นักไสยศาสตร์ทำได้
โยมท่านก็เลยบอกว่า วันนี้ตั้งแต่เวลา ๒ ยาม เป็นต้นมา นักไสยศาสตร์เขาทำคุณ เมื่อวานนี้ คนที่มันยืนข้างหน้าคุณ เขาตั้งใจทำคุณในเวลาที่ฉันภัตตาหาร
เพราะเวลาฉันข้าว เป็นเวลาช่องว่าง ถ้าเขาทำได้ คุณลุกไม่ขึ้นหรอก ตายเวลานั้นแหละ เขาเอาอย่างแรง
แต่คุณก็ยังตายไม่ได้เพราะเทวดา กับพรหม พระท่านยังสงเคราะห์มาก ยังป้องกันอยู่และท่านก็บอกว่า คืนนี้ทั้งคืนเขาทำ
แต่ว่าเวลารุ่งสว่างเขาจะเลิก เวลานี้ก็ยังทำอยู่ ท่านบอกว่าเวลานี้ยังทำอยู่ แต่ว่าคุณภาวนาไปบ้าง พิจารณาไปบ้าง ท่านผู้สงเคราะห์ ผู้เมตตา
ช่วยป้องกันบ้าง ก็ปลอดภัย
วันรุ่งขึ้นก็มา ขึ้นไปที่รับแขก ก่อนจะไปก็มีความรู้สึกว่า นักไสยศาสตร์คงจะมาใหม่ จะมาดูผล แล้วก็ต้องการเพิ่มเติม แต่ว่าปรากฏว่า ขึ้นไปจริง
ๆ แต่ก่อนจะไปก็มีความรู้สึกว่า ท่านให้ภาวนาคาถาบทนี้ ก็ภาวนาเรื่อย ๆ ไป พอขึ้นไปก็เจอะ ผู้หญิงอายุประมาณ ๔๐ ปี แต่ไม่แน่นอนนักว่าจะอายุเท่าไรแน่
รูปร่างท้วม ๆ ตามองไม่เหมือนชาวบ้าน
พอเห็นเข้าก็มีความรู้สึกทันทีว่า คนนี้เป็นนักไสยศาสตร์ จะมาเพิ่มเติม หรือดูผล เธอนั่งอยู่ตั้งแต่อาตมาลงไป บ่ายโมงเศษ
ถึง บ่าย ๓ โมง คนอื่นกลับ เธอจึงกลับนั่นเป็นเรื่องไสยศาสตร์
พอตกกลางคืน เวลานอนภาวนา ก็เจอะท่านแม่ใหม่
ท่านบอกว่า ที่คุณเข้าใจนั่นถูกแล้ว คนนั้นเขามุ่งมาทำลายคุณ คือ ต้องการให้คุณดับไปเลย
ก็ไม่ได้ถามท่านอีกว่า ใครเขาใช้กันมา ใครเขาจ้างกันมา และคนคนนี้ก็ไม่เคยรู้จักหน้ากัน ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูมาตั้งแต่เมื่อไร ต่อมาเมื่อวันที่ ๙
มิถุนายน ๒๕๓๒ เวลาประมาณบ่าย ๒ โมง กำลังรับแขกอยู่ ก็มีคนแต่งตัวเหมือนพระ ขาขวาไม่ค่อยจะดีนัก เดินโขยกเขยกนิดหน่อย ถือไม้เท้ารูปร่างลักษณะเหมือนงู
มีกลด แล้วก็มีย่าม มีบาตร
พอขึ้นมาถึงที่รับแขก เข้าประตูมาหน่อย ก็หันหน้าไปทางวัตถุมงคล ยืนพนมมือ ปลุกเสกอยู่นาน ใช้เวลานานเกิน ๑๐ นาที แล้วก็หันหน้ามาทางอาตมา ยืนพนมมือ
ยืนปลุกเสกอยู่นาน ไม่ใช่ไหว้ ใช้เวลาตั้ง ๑๐ นาทีกว่า ๆ มันไม่ใช่ไหว้กัน หลังจากนั้นก็เดินเข้ามา มีอะไรในมือ ลูกกลม ๆ คล้าย ๆ กับส้ม แต่ว่าโตกว่ามาก
โตกว่าส้มกลาง ๆ มาก ถือมาด้วย
เวลากราบ ก็แหงนหน้า กราบลงไป ก็หมอบนาน ตามความรู้สึกของจิตว่า นักไสยศาสตร์มาในรูปของพระ ไม่ผิดหรอก ขอยืนยันว่าไม่ผิด ต่อมาเมื่อเขากราบเสร็จ
กราบไม่เหมือนใครเขา
เขาก็ถามปัญหาอย่างหนึ่งว่า ผมจะทำงานอย่างหนึ่ง จะให้เสร็จในปี ๓๒, ๓๓, ๓๔ ภายใน ๓ ปีนี้ จะสำเร็จไหมครับ
และจะสำเร็จปีไหน
พอเขาถามขึ้นมา ก็มีความรู้สึกว่า มันเป็นเคล็ดลับ ว่าเขาต้องการทำอาตมาให้มอดม้วยไปเลย ถ้าอาตมารับว่าปี ๓๒, ๓๓, ๓๔
ปีใดปีหนึ่งนี้ ได้วาจานั้นจะเปิดโอกาสให้แก่เขา
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ก็คิดในใจว่า ไอ้หมอนี่กับเรา เป็นศัตรูกันมาตั้งแต่เมื่อไร
เลยถามว่า คุณถาม ผมไม่เข้าใจ ให้ถามใหม่
เธอก็ถามซ้ำว่า ผมมีงานอย่างหนึ่ง จะต้องการให้สำเร็จ ๓๒, ๓๓, ๓๔ จะสำเร็จปีไหนครับ
ถามบอกว่า งานอะไรของคุณ
เธอไม่ตอบ ผลที่สุดเห็นท่าเธอ เธอก็อ้างคนบางคนจากจังหวัดปทุมธานีใช้มาให้มาถาม
ก็มีความรู้สึกว่า คน ๒ คนนี้ร่วมมือกัน ถ้าอาตมาบอกว่าป่วยอยู่ เขาจะพอใจเพราะเขาคิดว่า ป่วยเพราะการกระทำของเขา
ก็จึงบอกว่า คุณ เวลานี้ผมกำลังป่วย ผมไม่ตอบอะไรคุณละ
พอบอกว่าป่วย เขายิ้ม เขาก็ลากลับ
เขาบอกว่า คนที่สั่งมา ถ้าเห็นว่าหลวงพ่อป่วย ไม่ให้รบกวน
◄ll กลับสู่สารบัญ
3
ข่าวดาวพระอังคาร
ก็รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่ข่าวพิเศษ มันเป็นของจริง แต่ว่าใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของคนนั้น ตามใจชอบ ตอนนี้ก็มาอีกข่าวหนึ่ง
ข่าวดาวพระอังคาร เป็นจดหมายนะ จะอ่านจดหมายให้ฟัง ตามจดหมายเขาบอกว่า
๒ ถนนเทศบาล ๓ อำเภอเมือง
จังหวัดจันทบุรี ๒๒๐๐๐
วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๒
กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง
ความจริงผมยังไม่เคยรู้จักหลวงพ่อ ไม่เคยเห็นหน้าหลวงพ่อครับ แต่เคยอ่านประวัติหลวงพ่อปาน และคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานที่หลวงพ่อเขียน ถูกใจผมมาก
เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๒ ที่ผ่านมานี้ ผมมาวัดท่าซุง ค้างอยู่ ๔ คืน ตั้งใจจะมากราบหลวงพ่อ ก็พอดีหลวงพ่อไปอเมริกา ก็ไม่ได้พบหลวงพ่อดังตั้งใจ
ผมได้ซื้อหนังสือมาหลายเล่ม และก็ได้อ่านเล่ม จุไรท่องเที่ยวดาวอังคาร ดวงดาวต่าง ๆ พออ่านจบแล้วก็พอดีมาพบหนังสือพิมพ์นี้ ลงเรื่องยานอวกาศโซเวียตนี้
ผมเห็นว่ามีประโยชน์ต่อหนังสือจุไรท่องเที่ยวดาวต่าง ๆ ผมได้ตัดหนังสือพิมพ์ให้หลวงพ่อดูด้วย หลวงพ่ออาจจะอ่านข่าวนี้แล้วก็ได้
ผมตั้งใจไว้ว่าจะมากราบหลวงพ่ออีก ตอนเข้าพรรษาที่จะถึงนี้
ท้ายนี้ขอให้หลวงพ่ออยู่วัดท่าซุงไปอีกนานเท่านาน
ด้วยความเคารพอย่างสูง
เท่ห์ ชินชัยกิจ
ทีนี้ที่มาเป็นข่าวเพราะว่า มันไปตรงกับนิทาน คือ นิทานเรื่องจุไรท่องดวงดาว แต่ความจริง มันไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องของฌาน ของญาณ
ไม่ใช่รู้จริง เป็นการเล่านิทาน เป็นการแก้กลุ้มว่า เรื่องธัมมะธัมโมก็ทำมาเยอะแยะแล้ว เอาเรื่องเบา ๆ เรื่องเบา ๆ ก็คือ นิทาน
นิทานนี่จะเป็นเรื่องจริงไม่ได้ ความจริงก็ไม่รู้หรอก ดาวต่าง ๆ รู้ไม่ได้ ไม่เคยไป แต่ที่มาเล่าให้ฟังก็เดา ๆ แต่บางท่านก็แปลก ไปเชื่อเอาจริง
เอาจังว่า เป็นของจริง อันนี้ห้ามกันไม่ได้ แต่ขอบอกตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เรื่องฌานสมาบัติ ไม่ใช่ญาณ ไม่ใช่รู้
เป็นเรื่องที่อาตมาเล่าขึ้นมา สร้างขึ้นมาเอง แต่บังเอิญมันก็ไปตรงเข้าเรื่องตรงเป็นอย่างไร ก็บอกว่า
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเขาตัดมาให้นะ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๒ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ที่เขาลงข่าวนี่นะ
เขาพาดหัวข้อว่า ยานอวกาศโซเวียต พบตัวอักษรเตือนภัยบนดาวอังคาร ทีนี้หนังสือตัวเล็กใส่แว่นตาแล้วก็มองไม่เห็น เอาแว่นขยาย
ต้องขออภัย อ่านพลาดบ้าง อะไรบ้าง ข้อความก็มีอยู่ว่า นักวิทยาศาสตร์โซเวียตแถลงว่า ในขณะที่ยานอวกาศ โฟบอส ๒
ที่ขึ้นไปทำการสำรวจถ่ายภาพ และถ่ายรูปดาวอังคาร เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม นี้ ได้พบสัญญาณ เป็นตัวอักษรเตือนไว้บนผิวโล้นที่ไม่มีพืชพันธุ์ของดาวดวงนี้
ก่อนหน้าที่เครื่องยนต์ของยานอวกาศลำนี้จะหยุดทำงานอย่างลึกลับ (กุกกักบ้างก็ขออภัยนะ อ่านไม่ค่อยเห็น)
ตัวอักษรที่เขียนไว้บนผิวดาวอังคาร บนหินแข็ง มีข้อความว่า จงไปเสีย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อความเตือนชาวโลกเราโดยตรง แสดงว่ามีสิ่งที่มีชีวิต
มีปัญญาอยู่บนดาวอังคาร
และสิ่งนี้มีการพิสูจน์ให้เห็น ดร.วิคเตอร์ ปอริชอฟ นักวิทยาศาสตร์กองทัพอากาศของโซเวียตแถลงต่อผู้สื่อข่าวในที่ประชุมหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่
ในกรุงมอสโคว์ เรายังไม่ทราบว่า ผู้ที่อยู่อาศัยบนดาวอังคารต้องการขัดขวางเราหรือว่าต้องการทำลายยานโฟบอส ๒ แต่สิ่งที่เรารู้ว่า
เป็นการท้าทายต่อมนุษย์โลกเรา
ขณะนี้ ก่อนหน้าที่จะเปิดการสื่อสารกับพวกเขา และพบปะกับพวกเขา ดร.ปอริชอฟ กล่าวต่อไปว่า ข้อความบนผิวดาวอังคาร
เป็นการเตือนอย่างแจ้งชัด ให้เราออกไปเสีย แต่สำหรับผมมีความมั่นใจว่า เรามีความสามารถติดต่อกับชาวดาวอังคารได้
และเราอาจจะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเขาได้ ถ้าหากเราสามารถส่งวิทยุติดต่อกับเขาได้
ก่อนที่เราจะขึ้นไปสำรวจ นักวิทยาศาสตร์ได้รายงานเรื่องนี้ให้นักวิทยาศาสตร์ค่ายตะวันตกได้รับทราบ และส่วนมากเห็นพ้องกันว่า ยานอวกาศโฟบอส ๒
ได้ค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของการสำรวจอวกาศ ก่อนหน้าที่เครื่องจะหยุดทำงานในวันนั้น
รูปภาพที่ถ่ายส่งกลับมายังโลกก่อนที่เครื่องจะหยุดทำงานในวันนั้น ได้ปรากฏให้เห็นข้อความที่เขียนไว้บนผิวดาวอังคารอย่างชัดเจน
ข้อความดังกล่าวเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า จงไปเสีย หรือ ไปให้พ้น มีความยาวครึ่งไมล์ และกว้าง ๗๕ หลา
ตัวอักษรนี้สลักไว้บนหินแข็งอย่างถาวร และดูเหมือนจะสลักไว้ด้วยเครื่องมือที่ใช้แสงเลเซอร์ ดร.ปอริชอฟ กล่าว ไม่เหมือนกับหินผิวดาวอังคารที่ยานอวกาศ
ไวกิ้ง ของสหรัฐฯ ถ่ายไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙
หินที่เห็นใหม่นี้เป็นหินเก่ามาก และถูกลมกัดกร่อน ข้อความที่เขียนไว้แสดงว่า ยังเขียนได้ไม่นานนัก นักวิทยาศาสตร์กองทัพอากาศโซเวียตแถลงต่อ ผมอยากจะคิดว่า การที่มีข้อความเตือนอย่างนี้ คงเนื่องจากที่เราส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงดาวนี้มากขึ้น คนที่อยู่บนดวงดาวนพเคราะห์ดวงนี้
ไม่ต้องการให้มนุษย์โลกไปยุ่งเกี่ยวกับดวงดาวของเขา
ตอนนี้ไม่อยากจะกล่าวหาใคร แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่า คนบนดวงดาวอังคารสามารถทำลายยานอวกาศโฟบอสได้ ดร.ปอริชอฟปฏิเสธที่จะพูด
ถึงโซเวียตมีแผนการที่จะติดต่อกับดวงดาวอังคารอย่างไร แต่เขาก็แสดงท่าทีให้เห็นว่า โซเวียตได้เริ่มแผนงานนี้แล้ว
และมีนักอวกาศจากทั่วโลกหลายสิบคนได้เสนอที่จะร่วมงานกับโซเวียตนี้ด้วย
ก็เป็นอันว่า เวลาก็เหลืออีกนิดหนึ่ง ก็ขอสรุปว่า เรื่องดวงดาวอังคารนี้บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน มันเป็นเรื่องที่มีการบังเอิญจริง ๆ
บังเอิญที่จะมาพบกันกับเรื่องของจุไรท่องดวงดาว แต่ความจริงเรื่องจุไรเป็นเรื่องนิทานชัด ๆ ในบางตอนจะเห็นว่า อย่างดาวพระศุกร์
นักวิทยาศาสตร์เขาว่าร้อน แต่เรื่องของจุไรก็บอกว่า ตอนหนึ่งร้อน ตอนหนึ่งอุ่น ตอนหนึ่งเย็น นี่มันค้านกัน
ก็แสดงว่าเป็นเรื่องนิทาน อย่าถือเป็นฌาน เป็นญาณนะ เป็นอันว่า ถ้าบังเอิญไปตรง อย่าเรียกบังเอิญ ไปตรงเข้าจริง ๆ แต่เป็นข้อสันนิษฐานว่า ชาวดาวอังคารเขาคงไม่มีเวลาจะมาเรียนภาษาอังกฤษ แต่ทีนี้บังเอิญคนที่เขียนบนโลกดาวอังคารนี้ เขียนภาษาอังกฤษ
ก็แปลกใจเหมือนกันว่า คนที่นั่นจะพูดภาษาอังกฤษ และใครพูดภาษาอังกฤษ หรือรู้ภาษาอังกฤษ เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เรื่องข่าว ๆ เละ ๆ เทะ ๆ
ก็จบลงไปเพราะว่าเวลาหมดแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแก่พุทธศาสนิกชนผู้อ่านผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
4
ไปอเมริกา
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้คงเป็นวันเดียวกัน คือวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๒ (หลวงพ่อไอ) คอก็ยังไม่ดีมาก
ตอนนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอยากฟัง อยากอ่านเรื่อง ไปอเมริกา ไปอเมริกาปีนี้ ไปวันที่ ๑๖ กลับวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๒
คณะที่ไปก็คือ พระสุธรรมยานเถระ, พระวิรัช, พระสมพงษ์, คุณแสงโสม, คุณพรนุช, คุณบุศพร, คุณศิริพร, คุณอัญเชิญ, คุณอัญชัน,
คุณวิวัฒน์, คุณปรีชา, คุณปรุง, พล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน, คุณทนง (หัวหน้าทัวร์), คุณโชติวุฒิ, คุณเดือนฉาย รวม ๑๖ คนด้วยกัน อ่านรวด เพราะว่าชื่อคน
โดยมากมักจะรำคาญกัน
ทีนี้การไปอเมริกา ทำไมจึงไปปีนี้ ที่ไปเพราะว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ ไปมาแล้ว ลูกหลานก็สงเคราะห์มาดี ได้สตางค์มาช่วยพระพุทธศาสนา
ช่วยการศึกษานักเรียนดีมาก ให้กันมาเยอะ แต่การไป บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่ได้มุ่งไปเอาสตางค์ มุ่งอย่างเดียว
สงเคราะห์ในการปฏิบัติพระกรรมฐาน และศีลธรรม
แต่เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ ที่ไปมันจะตาย ก่อนหน้าจะไป ๑ วัน ท้องถ่ายเป็นน้ำโกร๊ก ๑๒ เที่ยว ๑๒ ครั้ง รุ่งขึ้นต้องเดินทาง
แต่ตัดสินใจว่า สัจจะ ต้องเป็น สัจจะ ในเมื่อมันจะตายก็เชิญตาย ก็ดีใจที่หมอแสงโสมช่วยตลอดเวลากับหมอจรูญ หมอแสงโสมไปด้วย ก็ขณะที่เดินทางไป
ความจริงไปตอนนั้นก็ไม่ไกลมาก ไป ๑๗ ชั่วโมง ถึงชิคาโก แต่ปีนี้ไป ๓๑ ชั่วโมง ถึงเวอร์จิเนีย
เมื่อไปถึงชิคาโก ปี พ.ศ.๒๕๓๐ มันจะตาย อาการเครียดมาก ท้องอืด ให้น้ำเกลือแล้วก็ไม่ยอม ฉีดยาแล้วก็ไม่ลด ท้องไม่ถ่ายเอาน้ำล้างท้องใส่เข้าไป
น้ำมันไม่ยอมออก ก็ต้องใช้ขันติอย่างหนัก ก็ได้แต่เวลาเจริญกรรมฐาน พบกับญาติโยมพุทธบริษัทบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มากนัก
กำลังเสียงปีนั้น ได้กำลังเสียง ดร.ปริญญา ช่วยพูดเยอะ และก็มีนักบุญหลายคนไปช่วยกันสอนกรรมฐาน
แต่ก็ดีใจที่บรรดาลูกหลานทุกคนมุ่งมั่นปฏิบัติกรรมฐานจริง ๆ และหลาย ๆ คน ที่มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ ทุกคนรู้จักพระพุทธเจ้า รู้จักพระธรรม
รู้จักพระอริยสงฆ์ รู้จักพรหม รู้จักเทวดา ดีใจมาก
และก็ต่อมาปีนั้นมาถึงเดนเวอร์ อาการยังหนักอยู่ มาคลายตัวตอนถึง L.A. เพราะขี้พังออกมา ขี้พังออกมาบนโรงแรมเขาเสียด้วย มันยุ่ง ๆ
และปีนี้ก็สัญญากันไว้ว่าจะไป อาการป่วยปีนั้นถึงปีนี้มันยังไม่หาย ก็จะไปโทษว่าไปป่วยที่อเมริกามานั้น ไม่ถูก มันป่วยไปจากประเทศไทย
พอกลับมาก็อาการหนักมาก ก็มีหมอจรูญ หมอมนตรี หมอชนะ หมอวัฒนะ แล้วก็ หมอปุ๊ หมอเสริฐ หมอแสงโสม แล้วก็อีก ๒-๓ หมอ
จำชื่อไม่ได้ รวมไว้ ๗ หมอ รุมกินโต๊ะกัน รวมกันรักษา ค่อย ๆ คลายตัวมา ๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ อาการดีขึ้นมาก แต่ว่าบางส่วนไม่ดี
มาไปเที่ยวนี้ พอกลับมาก็พูดไม่ออกเป็นโรคที่คอ ทางท้องเบาไป พูดไม่ออก เสมหะเต็มคอ มาวันนี้ที่พูด ก็ยังมีเสมหะอยู่ ก็คลายตัวไปนิดหน่อย
รวมความว่า การไปและการมาเที่ยวนี้ คิดว่า ผีไทยไปไว้ที่อเมริกา มันก็ไม่อยู่ เล่าเรื่องโฉบหน้ากันแล้ว ต่อไปก็คุยถึงการเดินทาง
การเดินทาง ตามหมายกำหนดการเขาบอกว่า วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๒ กรุงเทพฯ โตเกียว ฮาวาย วันอาทิตย์ (เขาบอกวันที่หรือเปล่า) เวลา ๒๑.๐๐ น.
พร้อมกันที่สนามบินดอนเมือง เคาน์เตอร์สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เคาน์เตอร์กรุ๊ป ๘
เวลา ๒๓.๐๐ น. เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยเครื่อง U.A. ๘๒๒ สู่สนามบินนาริตะ ญี่ปุ่น ต่อเครื่อง ยังไม่ต่อ เอาแค่นี้ก่อน เขาว่าอย่างนั้นนะ
เวลาไปจริง ๆ เวลาดูเหมือนจะเนิ่นไปอีกครึ่งชั่วโมง ไป ๕ ทุ่มครึ่งเครื่องจึงบิน แล้วก็เดินทางต่อไป
ทีนี้ก็มาฟุ้งถึงเรื่องตอนที่จะไปก่อน อาการทางร่างกายมันก็ไม่ดี ไอ้เรื่องป่วยนี้ก็ไม่น่าจะพูดกันนะ แต่ไม่พูดมันก็ไม่ได้ความจริง
ท้อแท้ใจคิดว่าจะไม่ไป ไปหรือไม่ไป ตัดสินมา ๒ เดือน แต่พอดีพบกับพระท่าน ท่านบอกว่า ไปได้ลูกเอ๊ย ไปได้
พ่อขอยืนยันว่าไปร่างกายจะดีขึ้น เพราะได้ความเย็น ร่างกายของเธอต้องการความเย็น มันจะดีขึ้น อาการจะไม่เครียดเหมือนก่อน
แต่อาการไข้จะมีบ้าง
ในเมื่อถึง ชิคาโก จะเริ่มมีไข้หวัด พอถึง เดนเวอร์ คอจะพูดไม่ออก ฉะนั้น เดนเวอร์ คุณหาที่พักสงัด หมายความว่า ไม่ต้องรับแขก รับกันไม่ไหว
รับจริง ๆ จัง ๆ ก็ไม่ได้ แต่ว่าพอออกจาก เดนเวอร์อาการจะคลายตัว ถึง L.A. อาการจะคลายตัวดีขึ้น แล้วก็เดินทางกลับ เมื่อเดินทางกลับมาอาการก็ค่อย ๆ
ดีขึ้น
แต่ว่าเรื่องของทางคอ เราไม่ต้องหวัง ทางคอ กับทางท้อง ทางท้องดีบ้าง ทางคอจะหนักขึ้น เมื่อเห็นพระท่านยืนยัน พระท่านเป็นหมอ
ท่านยืนยันอย่างนี้ก็ยินดีไป เต็มใจไป ทีนี้เรื่องไปถึงไม่ต้องพูดกัน ค่อย ๆ พูดกันทีละหน่อยดีกว่า หลังจากก่อนขึ้นเครื่องบิน หมอจรูญ หมอมนตรี
แสงโสม ชนะ หมอวัฒนะ ใครบ้าง หมอปุ๊ ก็รุมกินโต๊ะ ร่างกายกันอีกว่ากันเต็มที่ น้ำเกลือเตรียมไป ๘ ถุง
ก็เลยบอกว่า นี่คุณเอ๋ย หมอ ไปที่อเมริกา หรือไปต่างประเทศคราวนี้ ไม่ต้องให้น้ำเกลือมาก ไม่เหมือนคราวก่อน
คราวก่อนให้กินเกือบทุกวันมันก็จะตาย คราวนี้พระท่านบอกว่า ร่างกายจะดีขึ้น เอาไปแค่ ๔ ถุงก็แล้วกัน
ก็เป็นอันว่า เอาไปแค่ ๔ ถุง ไม่ได้ให้น้ำเกลือปีนี้ เที่ยวนี้นะ ขณะที่นั่งเครื่องบินไป จะขอนั่งชั้น ๑ เขาก็ไม่มีชั้น ๑ ถ้าถามว่า เอาสตางค์ที่ไหนมานั่งเครื่องบิน ก็บอกว่า บรรดาญาติโยมลูกหลานในกรุงเทพฯ และนอกกรุงเทพฯนี่ ทางปัตตานีก็เยอะ
ส่งสตางค์มาให้สงเคราะห์ค่าเครื่องบิน ทั้งอาตมา ทั้งพระ เหลือนิดหน่อย ขอขอบคุณ ขอขอบคุณทุกคนนะ
ดูเหมือนจะเหลือสัก ๓ หมื่น หรือ ๖ หมื่น ไม่ทราบ ลงธัมมวิโมกข์ไปแล้ว จำไม่ได้ ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็ไม่ได้เก็บเข้ากระเป๋า เอาเข้าวัดหมด
ก่อสร้างหมด
ทีนี้พอนั่งเครื่องบินไป นั่งไปชั้นธุรกิจ ร่างกายของคนที่มันไม่ดีอยู่แล้ว ไอ้ความแก่มันก็ไม่เป็นเรื่อง มันก็แก่ ทีนี้นอกจากแก่
ร่างกายมันก็ป่วย มันก็รวนเร
ถ้าถามออกจากกรุงเทพฯ เวลา ๕ ทุ่มครึ่ง เขาบอกว่า ถึงสนามบินนาริตะ พักผ่อน จะเป็นเวลา ๖ นาฬิกา ๕๕ นาที ๖ นาฬิกาญี่ปุ่น ก็ประมาณสัก ตี ๔
ของเรา เมื่อนั่งไปอย่างนั้น มันจะหลับไม่ได้ ที่หลับได้จริง คือ พระสมพงษ์รูปร่างหน้าตาแกคล้าย ๆ เยอรมัน ก็เรียก ไอ้เยอรมัน
ไอ้เยอรมันนี่หลับตลอดเวลา จะหลับแทนได้ทุกคน
อาตมากับวิรัชนี้ไม่ค่อยจะหลับเอา ไม่มีเวลาหลับก็แล้วกัน จะได้ก็เคลิ้มไปนิด ๆ หน่อย ๆ เคลิ้มไปก็ฝันส่งเดช ก็ฝันเรื่อยเฉื่อยไป นั่งไปบ้าง
ภาวนาไปบ้าง พิจารณาไปบ้าง เพราะมันปวดมันเมื่อย และร่างกายก็ไม่เป็นเรื่อง
ก็คิดในใจอย่างหนึ่งว่า ไอ้เครื่องบินบริษัทนี้ ยูไนเต็ดแอร์ไลน์นี่ พ.ศ. ๓๒ นี่มันเกิดอุบัติเหตุ ๒ ครั้ง
ครั้งหลังดูเหมือนว่า เอาคนลงทะเลไป ไอ้คนพวกนั้นเหาะจากอากาศ ลงทะเลไป ๘ หรือ ๙ คน จำไม่ได้ ไม่รู้กี่คน
ทีนี้ก็นึกในใจว่า เวลานี้เรากำลังนั่งโลงผีเหาะได้ คือ เราพร้อมกับทุกคนในเครื่องบินนี้ จะเป็นผีเมื่อไรก็ไม่ทราบ
ก็รวมความว่า นั่งนึกถึงความตายตลอดเวลา เที่ยวนี้แปลกกว่าทุกเที่ยว ทุกเที่ยวนึกบ้าง ไม่นึกบ้าง
แต่ก็นึกในใจว่า ถ้าตายพร้อมกันคราวนี้ เราก็เป็นคนมีโชคดี เพราะว่า มีเพื่อนตายเยอะ จะตายตั้งหลายร้อยคน สักกี่ร้อยคนก็ไม่ทราบ
ที่นั่งก็เครียดเอนได้นิดหน่อย ไม่เหมือนนั่งชั้น ๑ แต่ความจริง สตางค์น่ะ ญาติโยมลูกหลานให้ไป พอนั่งชั้น ๑ มันเหลือตั้ง ๖ หมื่น แต่ว่าบังเอิญ
เขาไม่มีที่ให้นั่ง เที่ยวต่อไป ถ้าไม่มีชั้น ๑ นั่งก็ไม่ไปแล้ว
มันเครียดมันจะจ่ายมากไปหน่อย นี่มันถูกหน่อย ไม่คุ้มค่าเลย ทรมานร่างกายมาก เมื่อนั่งไปมันไม่หลับ ก็สะลืมสะลือเรื่อย ๆ ไป ภาวนาบ้าง
พิจารณาบ้าง แต่ไม่กลุ้มแฮะ มันกลุ้มไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า มันมีความจำเป็นจำกัด ที่เท่านั้น จะกลุ้มไปไหน เดินก็เดินไม่ได้
ที่มันคับแคบ เดินไปก็คิดว่า พระ มันจะรุ่มร่ามเกินไป
ในที่สุด เครื่องบินบินผ่านไปใช้เวลา ถ้าดูเวลาในประเทศไทย ก็จะเป็นเวลาประมาณ ตี ๒ ประมาณตี ๒ มันก็เคลิ้ม ๆ ไป เคลิ้มไปนิด ก็สะดุ้งตัวตื่น
เคลิ้มไปนิด ก็สะดุ้งตัวตื่น อาการเคลิ้มอย่างนี้ มันก็เกิดมีอาการความฝัน เขาเรียกว่า นิมิต ไอ้ความฝันนี้
บรรดาท่านพุทธบริษัท การเห็นอะไรจากความฝันนี่ มันถือเอาเป็นสาระไม่ได้ แล้วก็ทบทวนไม่ได้ ที่จะพูดต่อไปนี้ ให้เข้าใจว่า อย่าเข้าใจว่าเป็นฌาน
หรือเป็นญาณนะ ไม่ใช่ เป็นอาการเคลิ้ม มีอาการจิตตกวูบไป ขาดความรู้สึกภายนอกเล็กน้อย ก็เหมือนกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่น มันก็เกิดมีอาการความฝัน
ในเวลานั้น เป็นภาพคนมากมายรอบ ๆ เครื่องบิน ห่างออกไปก็เยอะ แน่นหนามาก สวยมาก รวมความว่า ทุกคนสวยหมด
เหมือนกับเป็นการห้อมล้อมเครื่องบิน ทั้งข้างล่าง ทั้งข้างบน เห็นชัดเจนมาก อย่าลืมนะว่า ฝันนะ
และในขณะเดียวกัน แต่ทุก ๆ ท่านก็เห็นสวย ๆ ท่านอยู่ห่าง ๆ นะ ห่างเครื่องบินไปประมาณสัก ๑๐ ฟุต รอบ ๆ แล้วก็เป็นชั้น ๆ เยอะ
หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่น
หลังจากนั้นก็มีภาพคน ๒ คน โผล่ขึ้นใกล้ ๆ คนที่นั่งข้างหน้า คนนั้นนั่ง รูปร่างลักษณะทรวดทรงดี หน้าตาดี
แต่คนข้างหลังยืน เป็นลักษณะคนสูง ๆ สูงเพรียว
ตามความรู้สึกเวลานั้นว่า คนนั่งข้างหน้าคือ เจ้าชายโกโนเย แล้วคนที่ยืนข้างหลัง คือ นายพลโตโจ อาจจะเป็นพลเอกก็ได้นะ
เมื่อความรู้สึกขณะนั้น ความรู้สึกก็บอกว่า เจ้าชายโกโนเย เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ก่อนคุณโตโจเป็นนายกฯ และในช่วงนั้น ถูกโลกบีบคั้น
เขาเรียก บอยคอต
มันแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบ ไอ้ภาษาพรรณนี้ไม่รู้เรื่อง เรียกว่า ชาวโลกบีบคั้น ญี่ปุ่นกำลังตัดสินใจเข้าสงครามหรือไม่เข้า เข้าหรือไม่เข้า ๆ
ตัดสินใจอยู่แบบนี้
เป็นอันว่า สมัยเจ้าชายโกโนเย ญี่ปุ่นพร้อมจะเข้าสงคราม เป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ต่อมา จะเป็นเพราะเหตุอะไร จะเป็นหมดอายุสมัยเจ้าชายโกโนเย
หรือว่าจะลาออก หรือใครจะให้ออก สภาไม่ไว้วางใจ อาตมาก็ไม่ทราบทั้งหมด
เป็นอันว่า เจ้าชายโกโนเยออกจากตำแหน่งนายกฯ นายพลเอกอาจจะเป็นพลเอกก็ได้นะ ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยนะ นายพลโตโจขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ระหว่างนั้นเยอรมันกับอิตาลี รบกับสหประชาชาติแล้ว ขณะนั้นเอง โตโจขึ้นมาได้ไม่เท่าไร ก็ประกาศสงครามกับอังกฤษ ประกาศกับใครบ้างก็ไม่ทราบ
ประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นฝ่ายอักษะ
เวลานั้นมี ๒ ฝ่าย ฝ่ายอักษะมี ๓ ประเทศ มีเยอรมัน เป็นแกน อิตาลี แล้วก็ญี่ปุ่น นอกจากนั้นเป็นฝ่าย สัมพันธมิตร เมื่อนายพลโตโจประกาศสงคราม
ญี่ปุ่นก็เข้าสงคราม ทิ้งตอนนี้ไว้ก่อน
ตอนนั้นเมื่อมีความรู้สึกว่า คนหลังคือ นายพลโตโจ คนหน้าคือ เจ้าชายโกโนเย ในเวลาฝัน
ก็ถามว่า คุณชื่ออะไร
ความจริงจะถามคนหน้า แต่ว่าคนหลังตอบว่า ผมคือนายพลโตโจครับ เป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น
ท่านคนหน้าก็บอกว่า ผมคือ เจ้าชายโกโนเย
อันนี้ ถ้าไม่ตรงประวัติศาสตร์ ก็ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทขออภัยด้วยนะ เพราะว่า ไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์ตอนนี้ เวลานั้นอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง
ไม่ได้อ่านบ้าง เวลาสงครามมันกะพร่องกะแพร่งเต็มที สำหรับเจ้าชายโกโนเยนี่ ไม่ได้สงสัย เพราะท่านไม่ได้ประกาศสงคราม ไม่ได้เข้าสงคราม
สำหรับท่านโตโจนี่มีความรู้สึกว่า ท่านสั่งทหารรบ ทหารของท่านก็ต้องตาย และทหารของคนอื่นก็ต้องตาย การรบ ญี่ปุ่นบุกหนักจริง
ๆ เวลานั้นบุกแบบสายฟ้าแลบ คล้ายเยอรมัน ทุ่มเทกำลังมาก ตอนนี้ของดไว้ก่อน ในเมื่อคนตายมาก ๆ อย่างนั้น ก็แสดงว่า ท่านโตโจก็ต้องบาป
จึงถามท่านโตโจว่า ท่าน ในเมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น สั่งทหารให้รบ ถือว่าท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ ทหารฆ่าใครกี่คน
ท่านต้องบาปด้วย และทหารทุกคนที่ตายไป ท่านต้องบาปด้วย เขาพลัดพรากจากพ่อ จากแม่ จากลูก จากเมียจากบ้าน จากช่อง จากความสุข ท่านก็ต้องบาป
แล้วเวลานี้ ท่านมายืนอยู่ที่นี่ แล้วท่านไม่ได้ลงนรกหรือ
คนที่มายืนที่นี่แสดงว่า ไม่ได้ลงนรก ท่านบาปขนาดนี้ ทำไมจึงไม่ลงนรก
เมื่อถามแล้ว นายพลโตโจก็ยิ้มก็เลยบอกว่า ท่านขอรับ ผมจะเล่าให้ฟัง เมื่อท่านพูดถึงบาปผมก็ยอมรับ
เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นนับถือพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าจะมีนิกายต่างกัน เป็นมหายานก็ตาม แต่ก็มีบุญ มีบาป มีสวรรค์ มีนรกเหมือนกันหมด
แต่ว่าฝ่ายมหายานหนักไปทางด้านพระโพธิสัตว์ หวังเป็นครูสอนศาสนา ทีนี้ผมทำแบบนั้น ผมก็ต้องบาป การทำให้คนตายต้องบาป
สั่งให้คนไปตายต้องบาป สั่งให้คนไปฆ่าคนต้องบาป แต่ว่าที่ผมไม่ตกนรกเพราะอย่างนี้ ผมรู้วันตายครับ ก็เลยตกใจ
คนรู้วันตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องเป็นคนที่มีกำลังฌาน กำลังญาณกล้าเป็นพิเศษ เข้มแข็งมาก จึงรู้วันตาย
แต่ว่าโตโจท่านเป็นนักรบ ท่านอาจจะมีฌาน มีญาณก็ได้
ก็ถามท่านต่อไป ก็ถามว่า ท่านรู้วันตาย หมายความว่าอย่างไร
ท่านบอกว่า ในเมื่อผมเป็น อาชญากรสงคราม สหประชาชาติเขาสั่งให้ผมตาย ผมก็ต้องตาย แต่ว่าผมจะไม่ตายด้วยการทำ ฮาราคิรี คือ
ไม่ได้ฆ่าตัวตาย เขาสั่งฆ่าผม วันที่เขาจะฆ่าผมผมรู้วันล่วงหน้า คำว่า รู้ล่วงหน้า คือรู้คำสั่งของเขาว่า ผมจะต้องตายวันนั้นใน
เมื่อผมจะต้องตายจริง ๆ ที่พึ่งของผมไม่มี บิดามารดา ก็ช่วยผมไม่ได้ บุตรภรรยาก็ช่วยไม่ได้ ญาติมิตรสหายพี่น้องก็ช่วยไม่ได้
ทรัพย์สินต่าง ๆ ช่วยไม่ได้ ตำแหน่งหน้าที่ช่วยไม่ได้ ไม่มีอะไรจะคุ้มความตายได้ ผมต้องตายแน่ ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของผมก็คือ พระ ผมอาศัยพระ
นึกถึงพระ คือ พระพุทธเจ้า กับพระที่เคยเป็นครูบาอาจารย์ผม
ก็นั่งนึกว่า ผมต้องตายแน่ ร่างกายนี้มันต้องตาย แต่จิตใจของชาวญี่ปุ่น พระญี่ปุ่นก็สอนกันว่า มีสวรรค์เป็นที่ไป
มีนรกเป็นที่ไป สำหรับคนทำดี หรือทำไม่ดี เวลานี้ในเมื่อผมจะตาย ผมนึกถึงพระ ผมทำความดี เพราะผมมีความเคารพพระ การที่ผมต้องรบผมก็มีความจำเป็นต้องรบ
เพราะผมไม่รบ ผมเหลือน้ำมันที่จะต้องใช้อีก ๒ เดือนก็หมด
ประเทศญี่ปุ่นถ้าขาดน้ำมันก็เจ๊ง ไปไม่รอด เพราะเป็นประเทศอุตสาหกรรม ก็มีความจำเป็นต้องรบ เพื่อทรงตัวรอด เพราะตัวเอง
จึงสั่งประกาศสงครามกับฝ่ายข้าศึก แล้วก็ลงมือรบกัน ฉะนั้นในเมื่อขณะที่ผมจะตาย วันที่ผมจะตาย ผมนึกถึงพระ นึกถึงพ่อ ถึงแม่
นึกถึงใครต่อใครเสร็จ ก็รวบรวมกำลังใจว่าขอให้พระช่วยไปสวรรค์ แล้วเขาก็ลงมือฆ่าผม ผมก็ตาย ผมก็ไปตามใจผมนึก ผมจึงไม่ตกนรก
แล้วแกก็ไม่ได้บอกว่า แกไปสวรรค์ เขาบอกว่า เป็นไปตามใจผมนึก แต่ผมก็ไม่ตกนรกนี่เป็นสำนวนของผีเมื่อพูดเท่านี้ ๒ ผีก็หายไป
ต่อไปก็มีความรู้สึกตัวขึ้นมา มันเคลิ้ม ๆ หลังจากเคลิ้ม ตื่นขึ้นมา รวบรวมกำลังใจใหม่ อยากจะพบ ๒ คนนี้ใหม่ ไม่มีแล้ว
อาการอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่อาการของฌาน ไม่ใช่อาการของญาณ อย่าไปนึกว่า อาตมารู้อย่างนี้ได้ เป็นผู้วิเศษ อันนี้ไม่จริง
ไม่ใช่เป็นเรื่องวิเศษวิโส เป็นของธรรมดา ๆ มาก นี่เป็นอาการของความเคลิ้มผัน ถ้าเรื่องของฌาน เรื่องของญาณ จะดึงเรื่องกลับมาได้ อยากจะถามว่า
การประกาศสงครามของแก ตีไปถึงไหน เสียกำลังพลเท่าไร ใช้ทรัพย์ใช้จ่ายเท่าไร ถามไม่ได้แล้ว
ก็รวมความว่า ๒ ผีหายไป เป็นแต่เพียงนึกในใจว่า ขอทั้ง ๒ ท่าน ที่อุตส่าห์มาเยี่ยม เวลาเข้าไปเขตประเทศญี่ปุ่น ก็ขอให้มีความคล่องตัว
ทีนี้เมื่อพูดกันมาถึงตอนนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็น่าจะคุยกันสักนิด อาจจะคุยมากหน่อย เข้าประเทศญี่ปุ่นเสียก่อนดีกว่า
เป็นอันว่าหลังจากนั้นมา เปิดหน้าต่าง คือเปิดหน้าต่างเครื่องบิน แต่ข้างนอกเขามีพลาสติก เลื่อนหน้าต่างขึ้น เห็นแสงสว่างทางประเทศญี่ปุ่น
แล้วเครื่องบินเคลื่อนไปอีกครู่เดียว ก็เห็นแสงเงินขึ้น แล้วเห็นแสงทองขึ้น หยิบนาฬิกามาดู เห็นเวลาประเทศไทยตี ๔ แต่ประเทศญี่ปุ่นก็ ๖ น. พอดี
เป็นอันว่า เครื่องลงที่ประเทศญี่ปุ่น ที่สนามบินนาริตะ แล้วก็ไปนั่งที่ประเทศญี่ปุ่น คุณทนงเป็นหัวหน้าทัวร์ คุณทนงนี่ดีมาก
ทำให้คนทุกคนนี่ไม่เหงา แต่ความจริงก็เห็นใจคุณทนง เพราะว่าตัวเองจะลำบากยากแค้นขนาดไหนก็ตาม คุณทนงก็แสดงอาการร่าเริง หาเรื่องคุยสนุกสนานมาคุยกัน
เล่าเรื่องโน้น เล่าเรื่องนี้
เอ..สงสัยเหมือนกันนะ ที่คุณทนงเล่ามาทั้งหมดนี้ จริงทั้งหมดหรือว่า เขาเรียกอะไรดี เอาโกหกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ นี่ล้อกันเล่นนะ แต่ความจริง
เรื่องที่คุณทนงพูด มักจะดึงประวัติศาสตร์มาพูด แต่ความจริง ถ้าไปไหนคุยประวัติศาสตร์ไปด้วยจะดีมาก เอ้..เวลาเหลือประมาณ ๓ นาที ๔ นาที
ก็คุยเปะปะไปก่อน
จะคุยเรื่องสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งไม่ค่อยจะรู้อะไรนัก จะรู้เป็นตอน ๆ เท่าที่ตนประสบมา ก็ไม่ใช่ประสบอย่างทหาร เป็นชาวบ้าน เป็นชาววัด
ก็เอาไว้กันคาสเซทหน้า หรือตอนหน้า ตอนนี้เล่าไปก็นิดเดียว รำคาญเปล่า ๆ ก็เป็นอันว่า นั่งเครื่องบินเรื่อย ๆ ไป เข้าใกล้ประเทศญี่ปุ่น
เริ่มเห็นสนามบินก็นึกในใจว่า เวลานี้เราจะเดินไหว หรือไม่ไหว ก็บอกคุณวิรัช คุณวิรัชนั่งคุมข้าง ๆ กับคุณสมพงษ์
แต่คุณวิรัชเป็นหน้าที่ปฏิบัติตรง รู้สึกว่า พระวิรัชนี่ไม่ได้หลับเลยเหมือนกัน ขยับตัวทุกครั้ง พระวิรัชรู้หมด ก็บอกคุณวิรัช บอก
ใกล้ถึงสนามบินแล้ว เข้าส้วมกันดีไหม การเข้าส้วม ความจริงต้องการอยากจะซ้อมเดิน ลุกจะไหวไหม ลุกขึ้นขาก็แข็ง ก็เดินยันหน้ายันหลัง มันก็คล้าย ๆ
จะล้มแต่ไม่เป็นไร เพราะยังไม่ล้ม ก็เข้าในห้องส้วม มันก็ถ่ายบ้าง ไม่ถ่ายบ้าง นิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นธรรมเนียม
หลังจากออกมาจากห้องส้วม ก็ถึงสนามบิน เครื่องก็วนแล้วก็ลง ลงแล้วก็เข้าสนามบิน ญี่ปุ่นก็ตรวจตามระเบียบ ตามระเบียบของญี่ปุ่น
ในเมื่อเข้าไปนั่งในที่ชานชลาที่เขาให้นั่งสำหรับคนโดยสารพัก ตอนนี้ก็คือว่าอยู่ในขอบรั้วของญี่ปุ่น เข้าข้างในไม่ได้ เวลาที่จะเดินทางต่อไปมันเป็นเวลา
๑๑ น. เวลา ๖ น. ๕๕ นาที ก็เหลือเวลาอีกมาก
คุณทนงก็หาทางทำวีซ่า จะเข้าไปข้างใน เข้าไปเที่ยว ผลที่สุดเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่สนามบินว่าอย่างไรทราบไหม มัน ๖ โมงนี่หาคนก็ยาก
เมื่อคุณทนงเข้าไปขออนุญาตแก แกบอกว่า อย่าเข้าไปเลย คนแน่นมาก จะออกมาไม่ทันเครื่องบิน แกไม่ให้เข้า ก็รวมความว่า ญี่ปุ่นก็ต้องเป็นญี่ปุ่น
เป็นอันว่าเข้าประเทศญี่ปุ่น เข้าถึงชายรั้วนิดเดียว แล้วก็มีขอบเขตสั้น ๆ เดินไปเดินมาอยู่ไม่กี่ฟุตหรอก อย่างมากก็สัก ๒๐ เมตร เห็นจะขนาดนั้นแหละ
บริเวณนั้นมีตลาดจ๋อง ๆ ขายของนิดเดียว ไปดูของแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็ดหอม ไม่ทราบว่าเห็นจะเป็นกิโล เป็นหมื่น ๆ ราคาเป็นหมื่นเยน เป็นอันว่า
ไทยก็ตาปรือ
รวมความว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านวันนี้ อ้าว...สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล
จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 5/3/11 at 15:06
5
สงครามโลกครั้งที่ ๒
ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๓๒ ก็จะคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทต่อไป สำหรับเสียง บรรดาท่านพุทธบริษัท
ก็ขอได้โปรดให้อภัยเพราะคอยังเจ็บมาก และก็มีความจำเป็นต้องพูดและก็ต้องทำ ก็เพราะว่าใช้เสียงให้บรรดาท่านที่มีกำลังช่วยกันคัดลอกมาเป็นตัวหนังสือ
วันนี้ก็ขอปรารภเรื่องไปนั่งที่สนามบินญี่ปุ่น หรือที่เรียกกันว่า ท่าอากาศยานของญี่ปุ่น ตอนนี้ก็ต้องนั่งกันตั้งแต่ ๖ โมง ๕๕ นาทีของญี่ปุ่น
ถ้าประเทศไทยก็ตี ๔ กับ ๕๕ นาที นั่งไปถึง ๑๑ โมงของญี่ปุ่น คือต้องนั่งอยู่ที่ญี่ปุ่นและขึ้นเครื่องบินต่อไป
ก็รวมความว่า ตอนเช้าคุณทนงผู้จัดการทัวร์ คุณทนงนี้ดีมาก มีความสามารถเป็นพิเศษ สามารถสร้างความบันเทิงได้ตลอดเวลา
จะเป็นเวลาตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนค่ำ ตอนกลางคืนก็ตาม ถ้าพบคุณทนงก็เป็นอันว่าพวกเราไม่เหงา รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสถานที่
ก็รวมว่ารู้เกือบทุกอย่าง
แต่ว่าสำหรับคุณทนงนี้ความจริงน่าเห็นใจเหนื่อยมาก แต่ก็ดีที่เราได้หัวหน้าทัวร์ประเภทนี้ สร้างความไม่เหงาให้เกิดขึ้น ขณะที่นั่งอยู่ที่ท่าอากาศยาน
ในตอนต้นได้พูดมาแล้วว่า คุณทนงต้องการให้เข้าไปเที่ยวในเขตของญี่ปุ่น แต่ก็ไปเจอะญี่ปุ่นที่มีความแน่นอนอย่างญี่ปุ่น ไม่ยอมให้เข้าไป
แกอ้างเหตุผลง่าย ๆ ว่าข้างในคนแน่นมาก ถ้าเข้าไปอาจมาต่อเครื่องบินไม่ทัน เท่านี้ก็หมดเรื่อง
รวมความว่าในตอนเช้าคนญี่ปุ่นก็ขี้เกียจเหมือนกัน หลังจากนั้นก็มานั่งที่ท่าอากาศยาน เดินมาเดินไป เดินไปเดินมา นั่งบ้าง เดินบ้าง ขณะที่นั่งอยู่ก็มีคุณหมอสมศักดิ์ คือ พล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน อดีตแพทย์ใหญ่กรมตำรวจ คนนี้อยู่ไม่ถึงเกษียณ อายุ ๕๕ ก็ลาออก
เปิดทางให้ลูกน้องขึ้นมาบ้าง แล้วก็ ปรีชา พึ่งแสง นี่เป็นช่างภาพ นอกจากนั้นก็มี พรนุช คืนคงดีบ้าง อัญเชิญบ้าง อัญชันบ้าง ใครต่อใครบ้าง
พากันเดินไปเดินมา
อัญเชิญไปเจอะเห็ดหอมเข้า ราคาเป็นหมื่นเยน ถอยหลังกรูด ก็รวมความว่าของญี่ปุ่นเราซื้อกันไม่ได้ ไม่ใช่ของญี่ปุ่นแพงเกินไป แต่ว่าเรามีสตางค์ไม่พอ
หลังจากนั้นมาก็มีโอกาสนั่งเงียบ ๆ นั่งคุยกันไปกับหมอสมศักดิ์ จนกระทั่งไม่มีโอกาสจะคุย ไม่มีเรื่องจะคุย ก็นั่งเงียบ ๆ
เมื่อนั่งเงียบ ๆ ก็มานึกถึง สงครามโลกครั้งที่ ๒ ว่า ญี่ปุ่นก็เป็นประเทศหนึ่งที่ร่วมกับอักษะ อักษะ เขาแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบ
แต่รวมกันเป็น ๓ ประเทศ มีเยอรมัน เป็นต้น มีอิตาลี เป็นที่ ๒ มีญี่ปุ่น เป็นที่ ๓ เยอรมันกับอิตาลีทำสงครามกับอังกฤษกับฝรั่งเศสมาแล้ว เรียกว่า
ฝ่ายหนึ่งเกือบทั้งโลกรวมกัน
แต่ว่า เยอรมันกับอิตาลี ๒ ประเทศ ต่อมาญี่ปุ่นก็ประกาศสงคราม เรื่องที่ญี่ปุ่นประกาศสงคราม ก็จะพูดทิ้งไว้ก่อน ก็มานั่งนึกถึงท่านนายกรัฐมนตรีคือ
ผีนายก ๒ ผี ผีคนแรก คือ เจ้าชายโกโนเย คนนี้ระหว่างที่เป็นนายกฯ อยู่ไม่กล้าตัดสินใจ หรือสภาไม่ลงมติให้ทำการรบ
พอเจ้าชายโกโนเยพ้นตำแหน่งจากนายกรัฐมนตรีไปแล้ว
นายพลโตโจ อาจจะเป็น พลเอกโตโจ ก็ได้นะ ก็เข้าไปเป็นนายกแทน คนนี้ตัดสินใจเข้าสงคราม สงครามของญี่ปุ่นอาจจะเข้าปี พ.ศ.
เท่าไรก็จำไม่ได้มานึกออกก็แต่เพียงว่า ระหว่างนั้น ประเทศไทยทำสงครามอินโดจีน คือ ทำสงครามกับฝรั่งเศสเวลานั้น ฝรั่งเศสแพ้เยอรมันแล้ว เยอรมันยึดปารีส
แต่ฝรั่งเศสมี นายพลเปแตงส์ เป็นนายกฯ ก็มายึดวิสชีสน์ เป็นที่ทำการของฝรั่งเศส
แต่ก็ต้องยอมศิโรราบกับเยอรมัน เยอรมันยึดเข้ามาถึงปารีส ตามข่าวว่าการตีทัพของเยอรมันเวลานั้น ตีแบบสายฟ้าแลบ ก็ฟังวิทยุบ้าง
อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง หนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้อ่านทุกวัน เพราะไม่มีสตางค์จะซื้อ ต้องขอเขาอ่าน ใครเขามีก็ขอเขาอ่านบ้าง หลาย ๆ วันจะอ่านสักครั้ง
แต่วิทยุฟังเกือบทุกวัน แต่ก็ฟังทุกเวลาไม่ได้ เพราะเป็นเวลาเรียนหนังสือ กำลังเรียนบาลี
ก็รวมความว่ารู้บ้าง ไม่รู้บ้าง เป็นอันว่าจำ พ.ศ. กันไม่ได้แน่ว่า ญี่ปุ่นประกาศสงคราม พ.ศ. เท่าไร มาคิดเดา ๆ เอานะ เดา ๆ ว่า
ญี่ปุ่นเข้าสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๔ ถูก หรือไม่ถูก ก็ไม่ทราบ แต่ว่าญี่ปุ่นเข้าผ่านประเทศไทยไป พ.ศ.๒๔๘๔ หรืออาจจะเป็นต้น พ.ศ.๒๔๘๔ ก็ได้
เป็นอันว่า เรื่อง พ.ศ.จำกันไม่ได้ เวลาพูดมันนึกขึ้นมานะ ไม่มีหนังสือจะอ่าน มันนานมาแล้ว
จำได้ตอนหนึ่งว่า ตอนที่ญี่ปุ่นยังไม่ขอผ่านประเทศไทย เวลานั้นไทยเรารบกับอินโดจีนฝรั่งเศส อันดับแรกไทยเราขอดินแดนฝรั่งเศส ๔
จังหวัด มีพระตะบอง พนมเปญ ศรีโสภณ มงคลบุรี มงคลบุรีเดิมเขาเรียกจังหวัดอะไรก็จำไม่ได้ แต่ จอมพลแปลก ตอนยึดได้ จอมพลแปลกท่านให้เรียกว่า
มงคลบุรี
แต่ว่าทางฝรั่งเศสให้เกาะกลางแม่น้ำโขงแทน ความจริงตอนนั้น ไทยคงจะคิดว่าฝรั่งเศสแพ้เยอรมัน เวลานี้ฝรั่งเศสเมืองแม่คงไม่มีกำลังส่งมาอินโดจีน
เราเห็นว่ากำลังที่อินโดจีนน้อยกว่าเราเลยหาเรื่องขออย่างนั้นละมั้ง นี่เป็นการคิดเอาเองนะ ไม่ขอยอมรับว่าจริงหรือไม่จริง
ในเมื่อขอ เขาไม่ให้ เราก็จะตีกับเขา แต่ทหารของฝรั่งเศสเวลานั้น ก็น่าเกลียดมาก แกคงจะเยาะเย้ยเห็นว่าประเทศไทย หนึ่ง
แกคงมีความรู้สึกว่าประเทศไทยจะสร้างอาวุธเองไม่ค่อยจะได้ อาจจะได้บ้าง เช่นปืนเล็กยาว หรือปืนกลเบา ปืนกลเบานี่เคยเห็น ค.ส. แปลว่าทำจากคลังแสง
นอกจากนั้นเราต้องซื้อ แม้แต่ปืนเล็กยาวเราก็ซื้อ
ลูกกระสุนทำได้ จากกระสุนปืนใหญ่ ถึงปืนเล็ก เราทำได้หมด จากลูกระเบิดลงมาเราทำได้แล้ว แต่ว่าตัวปืนเราต้องซื้อ เขาอาจจะรู้กำลังว่า เรามีอาวุธเท่าไร
มีอะไรบ้าง เขาอาจจะมีเหนือกว่า ทั้ง ๆ ที่เขาถูกยึดประเทศเมืองแม่ แต่กำลังส่วนนี้ไม่ได้ถูกยึดไปด้วย ทหารของฝรั่งเศส
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทหารโมร็อคโคนี่หยาบคายมาก แกก็ยั่วเย้าฝั่งโน้น แก้ผ้าแอ่นหน้าแอ่นหลังให้บ้าง อะไรบ้าง เป็นต้น พี่ไทยก็โกรธ เป็นอันว่า
ยิงข้ามโขงกันไป ยิงข้ามโขงกันมา ยังไม่รบกัน
ต่อมาในกรุงเทพฯ ก็มีการเดินขบวน ประชาชนตั้งใจเดินขบวนเอง หรือว่าใครแนะนำให้เดินขบวนก็ไม่ทราบ รถเดินขบวนมีมาก คนเดินขบวนมีมาก
แต่ชอบใจอยู่คันเดียวคือ รถแก่ รถเก่ามาก แต่คนนั่งเป็นคนแก่ทั้งหมด เขียนข้าง ๆ ว่า ถึงว่าแก่ก็ต้องการจะรบ
ก็รวมความว่าคนไทยเก่ง แก่ก็ยังเก่ง ขณะที่ทำการรบกับอินโดจีน เข้าใจว่าหนังสือประวัติศาสตร์คงจะเขียนไว้แล้ว เวลานั้นทหารไทยเราแสดงความสามารถเป็นกรณีพิเศษ รู้สึกว่าเก่ง เก่งมาก รุกทุกวัน นักบินก็เก่ง ทหารบกก็เก่ง ทหารเรือก็เก่ง ตำรวจก็เก่ง
คนไทยที่อยู่ใกล้แนวรบก็เก่ง คนไทยหลังแนวรบก็เก่ง
ทั้งนี้เพราะอะไร คนไทยหลังแนวรบ ไม่รู้ว่าเขารบกันยังไง ไม่เคยเห็นการรบ ไม่เคยเข้าสู่สงคราม แต่เอาวาตะพืด เอาเข้าไป ๆ เก่ง แกเก่งแต่ปากหรือเปล่า
ก็ไม่ทราบ ก็รวมความว่า เวลานั้นเราเก่งกันทั้งประเทศ พูดถึงว่าความเดือดร้อนภายหลังไม่ค่อยจะมี
พวกแนวหลังไม่ค่อยจะมีการเดือดร้อนนัก เพราะมีความเป็นอยู่ปกติ แต่ว่าแนวหน้าเขาก็มีความลำบาก
จะไม่พูดถึงเรื่องแนวหน้า เพราะไม่รู้จริง คือว่าการรบเวลานั้น เรารบกี่วันก็ไม่ทราบ การเสียชีวิตน้อยจริง ๆ รบกันเป็นเดือน ไม่ใช่เป็นวัน
แล้วก็ค่อย ๆ รุกไปทีละหน่อย ๆ แล้วต่อมา การรุกของเราก็ยังไปไม่มาก รุกแบบช้า ๆ และความเป็นมา จะเป็นเพราะอะไรไม่ทราบ เวลานั้นยังไม่มีลูกระเบิด
ยังไม่มีไอ้ลูกระเบิดดักหน้า ยังไม่มีวางไว้ แต่ว่าจะมีก็ขวากหนาม แต่ว่ารุกไม่ยาก
ต่อมาไม่ช้าไม่นานนักก็ปรากฏว่า ทหารของญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ ฮานอย เป็นเมืองหลวงของญวน ญวนเวลานั้นยังเป็นของฝรั่งเศสอยู่
ญวน ลาว เขมรเป็นของฝรั่งเศสหมด ทั้งญวนเหนือ ญวนใต้ แต่ญี่ปุ่นยกกำลังพลขึ้นที่ภาคเหนือของฝรั่งเศส คือที่ ฮานอย ตอนขึ้นที่แรกเขาก็ไม่ได้บอกว่า
เขาจะยึดญวนเป็นทาส เป็นอันว่าขึ้นแบบง่าย ๆ ไม่มีการรู้ตัวกันมาก่อน
แล้วหลังจากนั้นเขาก็ยังไม่ปลดอาวุธทหารญวน ต่างคนต่างอยู่อิสระ ญวนคิดว่าญี่ปุ่นเป็นเพื่อน ต่อไปไม่ช้าไม่นานนัก ญวนอาจจะขัดคอญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นสั่งปลดอาวุธทหารญวนทั้งหมด ก็รวมความว่า ญวนเหนือทั้งหมดเป็นของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีอำนาจครอบครองญวนเหนือทั้งหมด แต่ความจริงไม่ยอมก็ไม่ได้
เขายกพลขึ้นบก แสดงว่า แพ้แล้ว เขาขึ้นมาได้
ต่อมาญี่ปุ่นก็แจ้งให้ทราบว่า ทั้งสองฝ่ายควรจะหยุดการรบ อาตมาก็จำวันที่ จำเดือนไม่ได้ จำได้แต่เพียงว่า ถ้าถึงวันนั้น ถึงเวลา ๔ โมงเช้า
ขอให้ทั้งสองฝ่ายหยุดการรบ ใครยึดพื้นที่ที่ใดได้ ตรงนั้นถือว่าเป็นของคนนั้น ไม่ต้องไปเถียงกันว่า ที่ของฉันตรงนี้ ที่ของแกตรงนั้น
เป็นอันว่า เวลานั้นไทยเราได้เปรียบ เพราะทางด้านฝรั่งเศสไม่ยึดที่ของเราได้เลย แต่ว่าเรายึดพื้นที่ของฝรั่งเศสได้เยอะ
รวมความว่าเมื่อเวลาเขาสั่งประกาศว่า วันรุ่งขึ้นเวลา ๔ โมงเช้า สมมุติเอาว่าเมื่อถึงวันพรุ่งนี้ ๔ โมงเช้า ยุติการรบทั้งสองฝ่าย
เวลานั้นแม่ทัพของเรามี ๓ คนคือ พันเอกหลวงพรหมโยธี ยศเวลานั้น แล้วก็ พันเอกหลวงเสรีเรืองฤทธิ์ พันเอกหลวงพิชิตสงคราม จำได้
ใช่หรือไม่ใช่ ก็ไม่รู้ รวมความว่ามี ๓ พันเอกเป็นแม่ทัพ เมื่อเขาประกาศว่า วันรุ่งขึ้นจะต้องยุติการรบ เวลา ๔ โมงเช้า
กองทัพของหลวง...นี่นึกชื่อไม่ออก เคยนึกได้อยู่เสมอ
เอ้า...พิชิตสงครามไปก่อนก็แล้วกัน ความจริงไม่ใช่ นึกไม่ออก อยู่ทางด้านปลายทางจำปาศักดิ์ คืนนั้นตีทหารลาวลงน้ำไปเลย
ยึดพื้นที่ฝั่งโขงแนวนั้นได้ทั้งหมด นี่แสดงว่า ไทยเก่ง ก็รวมความว่า รุ่งขึ้นก็ยุติสงครามกัน ถึงเวลา ๔ โมงเช้าเราได้เปรียบ ขอเล่าย่อ ๆ
นะเพราะเหตุการณ์จริง ๆ ไม่ทราบ
รวมความว่า เวลานั้นญี่ปุ่นกับไทย จอมพลแปลกท่านก็ประกาศว่า ญี่ปุ่นกับไทยเป็นมหามิตร เป็นมิตรใหญ่ เป็นเพื่อนที่รัก
แต่ว่าในหนังสือบางตอนของทำเนียบนายกฯ ได้อ่านพบว่า ทหารที่ลาดตระเวนชายแดนไม่ใช่ทหารลาว ทหารเขมร เป็นทหารญี่ปุ่น พลตรีหลวงพิบูลสงคราม
เวลานั้นท่านเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย
ท่านก็ปรารภมาว่า ไอ้เรานี่คบเอาศัตรูเข้าไว้ เป็นญี่ปุ่น ตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่ทำอะไร ท่านก็สั่งตั้งปืนที่ปราจีนบุรี
ตั้งปืนใหญ่ คิดว่ายังไง ๆ ญี่ปุ่นถ้าลาดตระเวนแบบนี้ คงหาทางลาดเลาเข้าตีกันแน่ และในที่สุดถ้าอาตมาจำไม่ผิด วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๔
เป็นวันฉลองรัฐธรรมนูญ วันนั้นเวลาตี ๒ ญี่ปุ่นขึ้นทั่วประเทศไทย ขึ้นประเทศไทยด้วย ขึ้นฟิลิปปินส์ด้วย ขึ้นอินโดนีเซียด้วย
แต่ยังไม่เข้าทางสิงคโปร์ เพราะคงจะเกรงเรือรบขนาดหนักของสิงคโปร์ ประเทศไทย ขึ้นตั้งแต่ใต้ ยันตะวันออกทั้งหมด เขาขึ้นพร้อมกัน ทหารไทย ยุวชน
ทหารของไทย ก็สู้อย่างนักรบจริง ๆ นักรบชาติไทยสู้ไม่ถอย ยุวชนทหาร ก็หมายความว่า นักเรียนที่ฝึกวิชาทหาร
เวลานี้ไม่มีแล้วเวลานี้เป็น รักษาดินแดน เมื่อก่อนเขาเรียก ยุวชน แต่งตัวโก้ ๆ สวย ๆ ฝึกวิชาทหาร เด็กกำลังรุ่นหนุ่ม กำลังสู้
ช่วยทหารอย่างเด็ดเดี่ยว เก่งมาก อันนี้ก็ขอผ่านไป
จะเล่าเรื่องตอนหนึ่งของหนังสือฉบับหนึ่งที่อาตมาอ่าน นาน ๆ จะอ่านกับเขาสักที ก็มีคนเขามาให้อ่าน เขาบอกว่า ทูตญี่ปุ่นเข้ามาหารัฐบาล ต้องการพบนายกรัฐมนตรี คือ พลตรีหลวงพิบูลสงคราม เวลานั้นท่าน นายกฯ ไปดูที่ตั้งปืนที่ปราจีนบุรี
ทูตไม่พบเขาก็ต้องรอพบ เขาต้องวิทยุเรียกท่านมา
ทูตญี่ปุ่นก็บอกว่า ญี่ปุ่นต้องการขออนุญาตผ่านประเทศไทย เข้าไปตีพม่า ตีอินเดีย ท่านนายกฯ ก็บอก ยังอนุญาตไม่ได้
เพราะว่าต้องประชุมรัฐมนตรีก่อน แต่ความจริงก็ต้องประชุมสภาด้วยละมั้ง เป็นอันว่า ยังตกลงกันไม่ได้ เจรจากันไป เจรจากันมา
อาตมายังไม่พูดถึงตอนนี้
จนกระทั่ง ท่านนายกฯ เรียกคณะรัฐมนตรีเข้าไปประชุมกัน เวลาใกล้ตี ๒ เข้ามา ขอสรุป หนังสือเล่มนั้นยาวมาก เขียนยาวมาก
ญี่ปุ่นก็บอกว่า ขอให้ตกลงเร็ว ๆ เพราะเวลาตี ๒ จะเข้าพร้อมกัน ท่านนายกฯ ก็บอกว่า ยับยั้งไว้ก่อน อย่าเข้ามา จะมีการปะทะกันขึ้น
ในที่สุดเป็นอันว่าอนุญาต หรือไม่อนุญาตก็ไม่ทราบ ถึงเวลาทหารญี่ปุ่นก็ขึ้นตามเวลาพร้อมกัน
ว่าขึ้นที่ ฮ่องกงด้วย ที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียด้วย ที่ไทยด้วย ทุกจุดพร้อมกันหมด การขึ้นของเขารบแบบสายฟ้าแลบ
แบบเยอรมัน และทุ่มเทกำลังอย่างหนัก คงจะรบกันอยู่นาน ถึงเวลา ๔ โมงเช้า ทราบภายหลังว่า เวลา ๔ โมงเช้าได้รับอนุมัติจากนายกฯ
คณะรัฐมนตรีอนุญาตให้ผ่านได้
เป็นอันว่า เวลานั้นไทยเราไม่ได้แพ้ แต่เราอนุญาตให้ญี่ปุ่นผ่านไปตีพม่า ไปตีอินเดีย ตีมาเลเซีย เลยคิดในใจว่า
หนังสือเล่มนั้นว่า นายกฯ ถามทางทหารว่า ญี่ปุ่นขอผ่าน เราไม่ยอมให้ผ่าน เราจะสู้ได้ไหม ทางทหารญี่ปุ่นหนักหนามาก เราสู้ไม่ได้
มีความจำเป็นต้องให้ผ่าน ถ้าไม่ผ่าน สงครามกลายเป็นแพ้ชนะกัน ถ้าผ่านก็ถือว่าอนุญาต
แต่ว่าเวลาก่อนหน้านั้น หลังจากรบอินโดจีนเสร็จ ทางกองโฆษณาของรัฐบาล ไม่ทราบว่าใครเขาโฆษณาว่า ต่อไปนี้ ถ้ามีภัยอะไรเกิดขึ้น เราจะสู้ทุกคน
ไม่ยอมถอย หมายความว่า คนไทยทุกคนต้องรบ จนตายเป็นคนสุดท้ายจึงเลิกรบ เพราะมันไม่เหลือ เวลานั้นประชาชนทั้งหลายก็คิดอย่างนั้น
อาตมาเองก็ยังเป็นเด็กอยู่ เป็นหนุ่มแล้ว เป็นพระหนุ่มก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันว่า เราต้องสู้เป็นคนสุดท้าย ตีเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
แต่เอาจริงเอาจัง ปะทะกันไม่กี่ชั่วโมง รัฐบาลยอมให้ผ่าน แต่ก็ไม่ใช่ยอมแพ้ก็ใช้ได้ ถือว่าเป็นมิตรร่วมกัน เราให้ญี่ปุ่นผ่าน
ให้ญี่ปุ่นมาตั้งภายในประเทศ แล้วเราก็ขายปลาให้ญี่ปุ่น ขายข้าวให้ญี่ปุ่น ขายหมู ญี่ปุ่นชอบกินมาก เพราะทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาอดอยากมาก
มีอะไรมีแต่หน่อไม้บ้าง มีผักบ้าง
แค่ปลาทูตัวหนึ่ง เณร ๆ บิณฑบาตมาได้แล้วก็ไม่กินละ เอาปลาทูไปให้ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็ให้ปลาทูตัวละบาท
เวลานั้นก๋วยเตี๋ยวชามละประมาณ ๕ สตางค์ หรือบางจุดก็ ๒ ชาม ๕ สตางค์ ได้ค่าปลาทูตัวละบาทนี่ เณรชอบ ใช้ได้ไปหลายวัน เอากล้วยน้ำหว้าหวีหนึ่ง
ญี่ปุ่นก็ให้หวีละบาท
เป็นอันว่าบรรดาเณรเล็ก ๆ บิณฑบาตมาได้ก็ไม่พยายามกินกับ กินกับที่เป็นแกงบ้าง เป็นต้มบ้าง เป็นผัดบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โยมให้มากับข้าว
ถ้าส่วนใดที่เป็นปลาทู ปลาชิ้น หมูชิ้น หรือว่าเป็น กล้วยหอม กล้วยน้ำหว้า เณรเอาไปสงเคราะห์ญี่ปุ่นหมด ญี่ปุ่นก็ตอบสนองด้วยเงินบาท บาท ๆ
เณรรวยเป็นแถว ๆ
ก็เป็นอันว่า เล่าความจริงเมื่อทหารญี่ปุ่นเข้า หลังจากทหารญี่ปุ่นเข้าแล้ว ทหารญี่ปุ่นก็มีดีหลายอย่าง
อันดับแรกที่เห็นก็คือ ทหารญี่ปุ่นโกนหัว ไม่ต้องเสียเวลาตัด ทุกคนโกนหัวหมด และประการที่สอง เวลาอาบน้ำทหารญี่ปุ่นไม่ต้องใช้ผ้าเตี่ยว
ไม่ต้องใช้ผ้าขาวม้า แก้ผ้าอาบน้ำ สะดวกมาก ก็รวมความว่า ทหารญี่ปุ่น ทหารไทย มีลีลาต่างกัน นี่เรื่องของทหารญี่ปุ่น
ทีนี้เมื่อพูดถึงทหารญี่ปุ่นแล้วจะรำคาญเกินไป เขามาตั้งกองทัพที่ไหนไม่ทราบ หลังวันนั้น วันที่อนุญาตให้ญี่ปุ่นผ่านได้
ก็ปรากฏว่า เครื่องบินญี่ปุ่นลงที่ดอนเมือง มีระเบิดพร้อม มาเป็นแถว ๆ กำลังพลทางบกมาทางรถยนต์ ปักธงชาติไทยญี่ปุ่นร่วมกันหน้ารถ คือ ธงไทยด้านหนึ่ง
ธงญี่ปุ่นด้านหนึ่ง ก็ไม่ทราบว่า ธงใครด้านไหน เข้ามา เป็นแถวเป็นแนว
ทุกคนตกตะลึง ญี่ปุ่นเข้ามาได้อย่างไร รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศให้ประชาชนทราบ หรือประกาศก็ไม่ทราบ เวลานั้นวิทยุ แหม...ฟังยาก
มันต้องใช้ถ่านกระบะใหญ่ ๆ ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ ใช้ไฟฟ้าก็ดี แต่ในกรุงเทพฯ ก็ใช้ถ่านกระบะกันเยอะ ก็ไม่ได้ฟังวิทยุ ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์
ก็ไม่ทราบว่า รัฐบาลอนุญาต หรือไม่อนุญาต
ต่างคนต่างตะลึงตกใจ สำนักข้าราชการบางจุด ปรากฏว่าข้าราชการเผลอ ลืมทำงาน มองทหารญี่ปุ่นกัน ก็มีเรื่องน่าคิดอยู่ตอนหนึ่ง
หลังจากการรบอินโดจีนเสร็จ รัฐบาลระดมกำลังทหารถึงอายุ ๓๒ ก็ ๑๐ รุ่น ๑๐ รุ่นเวลาปล่อยกลับทั้งหมด ให้มีเครื่องแบบติดตัวไปทั้งหมด
เหมือนกับรัฐบาลจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
ถ้าระดมทีหลังจริง ๆ ไม่ต้องจ่ายเครื่องแบบก็ได้ เมื่อหลังญี่ปุ่นเข้า ผ่านประเทศไทย เวลานั้นอาตมาไปสถานีรถไฟบางกอกน้อย
รถไฟทุกขบวนมีทหารนั่งมาเต็ม แต่งเครื่องแบบเป็นแถว แต่ความจริง เป็นทหารระดม ที่เขาส่งกลับไปบ้าน แล้วก็ให้เครื่องแบบไปด้วย
ก็เป็นอันว่ารัฐบาลก็พร้อมอยู่เสมอ
เป็นอันว่า วันนี้บรรดาพุทธบริษัท เป็นการเริ่มต้น สงครามโลกครั้งที่ ๒ กัน ในเมื่อญี่ปุ่นเข้าประเทศไทยแล้ว ก็ไม่ทราบ
ไอ้การอยู่วัดบรรดาพุทธบริษัท ก็ไม่รู้อะไรจริง ตอนเช้าเห็นเครื่องบินญี่ปุ่น หมู่ใหญ่มาก ขึ้นติด ๆ กันเป็นหมู่ ใหญ่มาก ไปโจมตีที่พม่าส่วนหนึ่ง
แล้วก็อีกส่วนหนึ่ง ก็ไปทางด้านสิงคโปร์ แบ่งซีกกันไป
แต่เครื่องบินญี่ปุ่นไม่ไปอย่างเครื่องบินไทย อย่างเครื่องบินไทยไปโจมตีข้าศึก บางทีไปเครื่องเดียวบ้าง ๒ เครื่องบ้าง อย่างสมัยอินโดจีน
อย่างเก่งก็ส่งไป ๒ เครื่องไปทิ้งระเบิด แล้วก็มีเครื่องบินขับไล่ติดตามไป ๒ เครื่อง อย่างนี้เป็นต้น
แต่ของญี่ปุ่นเขาไม่ส่งไปอย่างนั้น ส่งเป็นสิบ ระลอกหนึ่งส่งเป็น ๑๐ เครื่อง แล้วก็ส่งไปติด ๆ กัน ประมาณสัก ๑๐ นาที
ส่งไปอีกชุดหนึ่ง ๑๐ นาทีเศษ ๆ ส่งไปอีกชุดหนึ่ง เป็นอันว่า เครื่องบินญี่ปุ่นบินทั้งวัน ไปโจมตีพม่าบ้าง ไปโจมตีสิงคโปร์บ้าง
จะเป็นด้านสิงคโปร์หรือมาเลเซียก็ไม่ทราบ ไปทางนั้นก็แล้วกัน
ก็รวมความว่า เราก็นั่งดูเครื่องบินญี่ปุ่นกัน ต่างคน ต่างก็ชื่นชมว่า ญี่ปุ่นเก่ง ทั้งนี้เพราะว่าอะไร
เพราะว่าเรายังไม่เห็นความสามารถของข้าศึกตรงกันข้าม
ต่อมาประเทศไทยก็ประกาศสงครามบริเทนใหญ่ กับอังกฤษฝ่ายหนึ่ง แล้วก็อเมริกาอีกฝ่ายหนึ่ง
ไม่ต้องประกาศสงครามกับฝรั่งเศสเพราะฝรั่งเศสถูกเยอรมันยึดไปหมดแล้ว
ก็รวมความว่า ประเทศไทยก็เข้าเป็นภาคีสงครามของอักษะประเทศ คือ หนึ่งเยอรมันเป็นเริ่มต้น สองอิตาลี สามญี่ปุ่น
สี่ประเทศไทย แต่ฝ่ายโน้นเขาเป็นสัมพันธมิตร เขาร่วมกันทั้งโลก ใครจะสู้ใครได้ บรรดาท่านพุทธบริษัทยังฟังกันไม่ได้
เพราะลีลาในระหว่างสงครามตอนหลังสงครามอินโดจีน คนแนวหลังไม่เดือดร้อน
แต่ว่าสงครามโลก ครั้งที่ ๒ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทมันระทมใจจริง ๆ ในกรุงเทพฯ อาหารก็ต้องปันส่วน ทุกอย่างก็ต้องปันส่วน
ไฟก็ต้องพรางเครื่องบินมาทิ้งระเบิด บ้านนอกก็ไม่มีผ้าจะนุ่ง บ้านนอกในกรุงเทพฯอยู่ในสภาพเดียวกัน ผ้าจะนุ่งก็ไม่ค่อยจะมี
เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ เทปนี้ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้เพราะสัญญาณบอกเวลาหมดแล้ว ขอลาก่อน
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
6
สงครามโลกครั้งที่ ๒ (ต่อ)
สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็ให้ชื่อว่า สงครามโลก ครั้งที่ ๒ เพราะตอนก่อนเป็นสงครามระหว่างญี่ปุ่นยกขึ้นอินโดจีน และเป็นสงครามอินโดจีน
ก่อนจะพูดเรื่องอื่นก็ต้องขออภัยบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่แล้วมาหน้าโน้นนึกชื่อแม่ทัพที่สามไม่ออก แม่ทัพที่ทำสงครามอินโดจีนมีอย่างนี้ ที่ถูกต้อง
หนึ่ง พันเอกหลวงพรหมโยธี ทัพที่หนึ่ง และก็
ทัพที่สอง พันเอกหลวงเสรีเรืองฤทธิ์
แม่ทัพที่สาม พันเอกหลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เมื่อกี้นี้พลาดไป
เป็นอันว่า เรื่องนี้ผ่านไป ก็มาคุยกันเรื่องสงคราม ในเมื่อประเทศไทยประกาศสงครามร่วมกับฝ่าย อักษะ กองทัพไทยก็ยกไปทาง เชียงตุง
เขาแบ่งภาคไปทางโน้นการตีพม่าทางเชียงตุง ถึงด้านจีนเป็นของไม่ยาก จำได้ไม่หมด รู้ข่าวแว่ว ๆ ว่ากำลังที่ยกไปเวลานั้น ๓ กองพล คือ
กองพลที่ ๑ ทางกรุงเทพฯ
กองพลที่ ๒ นครราชสีมา และก็
กองพลที่ ๓ ที่พิษณุโลก ใช่ หรือไม่ใช่ อาจจะไม่ถูกต้องนัก ทราบว่า ไป ๓ กองพล
กำลังเท่านี้หรือเปล่าไม่ทราบ แต่เวลารบมากกว่าปกติ ยกไปตีทางด้านเชียงตุง เขาตีกันแบบไหน มีความยากลำบากเพียงใด ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
เพราะไม่ได้ร่วมรบกับเขา พูดไปก็ผิด แต่เรื่องที่น่าคิดอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า เวลานั้นไม่มีเครื่องฮอ
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ส่งอาหารน่ะไม่มี และปืนที่ยิง ก็ใช้ปืนเล็กยาวดังก๊อกแก๊ก ๆ ตูม ไม่ยิงพรืด ๆ แบบนี้
ปืนยิงเร็วก็มี ปืนกลหนัก ปืนกลเบา ปืนกลหนักก็แบกไปไม่ไหวก็ตั้งอยู่กับที่ ปืนกลเบาก็แบกยาก ความจริงที่มีความสำคัญ คือ
ด้านอาหาร บางทีญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่เป็นแนวหลังไม่เคยเข้าสงคราม ไม่ทราบ อาตมาเองก็บวชพระ ก็ไม่เคยเข้าสงครามเหมือนกัน แต่ว่าเคยเห็นทหาร
ตำรวจในสงครามมีความลำบากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องอาหาร
ถ้าหน่วยส่งกำลังบำรุงเขานำส่งอาหารทันก็ดีไป ถ้าส่งไม่ทัน ก็หิว กินที่ไหน ไอ้ข้าวในหม้อมันก็ไม่มีจะแห้ง จะขอใครที่ไหนก็ไม่ได้ ดีไม่มี
ก็ต้องล่อกล้วยป่า ผักป่ากัน
นี่ความลำบากยากแค้นของทหารในแนวรบ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่มาก ไหนจะต้องรบกับข้าศึก ไหนจะต้องรบกับความหิว
ความหนาวเกินไป ความร้อนเกินไป ทหารก็บ่นไม่ได้ ในชีวิตของทหารก็คือ ชีวิตของคนไทยทุกคน เป็นมนุษย์เหมือนกัน
แล้วก็คิดถึงความเป็นจริงก็น่าจะสงเคราะห์ทหาร ทหาร คือ ลูกหลานของเรา เป็นอันว่า ทิ้งเรื่องนี้ไว้เรื่องการบ่นไม่เอากัน
ในเมื่อญี่ปุ่นเข้าตีทางพม่า และญี่ปุ่นเข้าตีทางมาเลเซียถึงสิงคโปร์ ญี่ปุ่นตีพม่าทะลุไปอิมพันของอินเดีย ไทยก็ตีด้านเชียงตุง
มันมีเขตนิดเดียวก็ยันแม่น้ำ ขวางกับจีนหยุดแค่นั้น ไม่กล้าข้ามไปตีจีน ถ้าข้ามไปก็ไม่แน่ใจว่า ไทยจะตีจีน หรือจะตีไทยตกน้ำ เพราะกำลังจีนมหาศาล
เวลานั้นยังเป็นทหารจีนของเจียงไคเช็ค ขอทิ้งเรื่องสงครามไว้เพียงเท่านี้
เป็นอันว่า ญี่ปุ่นตีพม่าใช้เครื่องบิน บินไปทั้งกลางวันกลางคืนขนาดหนัก หูดับตับไหม้ เราก็นั่งนึกว่าพม่าแพ้แล้ว ๆ คำว่า พม่าแพ้ หมายถึง
อังกฤษแพ้ แพ้จริง ตามข่าวหนังสือพิมพ์บ้าง วิทยุ หนังสือพิมพ์ไม่ค่อยได้อ่าน นาน ๆ อ่านทีไม่มีสตางค์ซื้อ วิทยุก็ไม่มีฟังเอง อาศัยคนอื่นเขาฟัง
เวลานั้นก็มีความยากแค้นอยู่มาก
ฟังวิทยุจากเขาก็ฟังว่าญี่ปุ่นรุกพม่าเข้าไป รุกอินโดนีเซียเข้าไป ตียึดได้รัฐนั้นรัฐนี้พอดีเดี๋ยวก็จบเกม
ตีมาเลเซียได้ไปติดอยู่แค่สิงคโปร์ ยังเข้าไม่ได้ ญี่ปุ่นตีพม่ายันเข้าไปถึง อิมพันของอินเดีย ก็เลยคิดในใจว่า ถ้าญี่ปุ่นตีอินเดียก็ยากมาก
อินเดียประเทศใหญ่มาก
ทีนี้เรามาพูดถึงความเก่งของญี่ปุ่นต่อมาก็มาพูดถึง ความเก่งของฝรั่งบ้าง ทีแรก ๆ ก็เงียบในกรุงเทพฯ อยู่กันอย่างเป็นสุขเวลานั้นอาตมาอยู่กรุงเทพฯ
ก็ไม่แน่ใจว่าตามบ้านนอก ๆ ตามต่างจังหวัดจะพบเครื่องบินข้าศึกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ในกรุงเทพฯ ยังเงียบ
อยู่ ๆ ก็ปรากฏว่ามีมิตรสหายที่รักมาทางอากาศ ใช้เครื่องบิน บี ๒๕ สี่เครื่องยนต์ บินกระหึ่มเหนือฟ้า บินสูงมาก บินมาคนเดียว
มาเที่ยวคนเดียว ไม่มีเพื่อน เป็นเครื่องบินตรวจการณ์ บินแบบสบาย ๆ วนไปวนมา วนมาวนไป แบบสบายใจมาก
แล้วในที่สุด เวลากลางคืนมีมาอีกหลายเครื่อง คนนั้นคนเดียว กลับไปตอนกลางวัน เที่ยวเดี่ยว หลาย ๆ เครื่องมากลางคืน แล้วก็คิดในใจว่า
ถ้าเกิดบินมากลางคืน ในกรุงเทพฯ พรางไฟกัน ไฟตามถนนก็ไม่ค่อยจะสว่างอยู่แล้ว เอาผ้าเขียว ๆ ไปหุ้มอีกเป็นกระบอกมองไม่เห็นอะไร ตามกุฏิพระ ตามบ้าน
ตามเรือน ก็ต้องพรางไฟ แสงสว่างไว้ภายนอกไม่ได้ ต้องระมัดระวัง ประเดี๋ยวข้าศึกจะเห็น
ในเมื่อพรางไฟมืดแบบนั้นก็นึกว่า ข้าศึกมาไม่รู้อะไรที่ไหนหรอก ข้าศึกคงจะตาสั้นเหมือนเรา แต่ที่ไหนได้
พอข้าศึกบินเข้ามาแกมีมา แกมีตะเกียงมีแฟลช ทิ้งปุ๊ปลงมา เป็นร่มกาง ไฟสว่างเป็นแสนแรงเทียน สว่างจ้ากว่าไฟในกุฏิเราเยอะแยะ เห็นทั่วไปหมด
แล้วแกก็บินอยู่เหนือร่มข้างบน ตาแกไม่ฟางมองเห็นข้างล่างง่าย ๆ แกก็ทิ้งระเบิดเอาตามชอบใจ
ไม่มีเครื่องบินจะขึ้นสู้ ก็ปรากฏว่า ญี่ปุ่นไม่ได้เก่งจริง ๆ เครื่องบินญี่ปุ่นไม่มีใครขึ้นสู้เลย แกมาทิ้งตามชอบใจ แล้วแกก็กลับ ทำแบบนั้นเรื่อย
ๆ มา จนคืนหนึ่ง วันนั้นไปเยี่ยมคนไข้ที่คลองตลิ่งชัน เวลากลางคืนนั่งคุยอยู่ปรากฏเครื่องบินข้าศึกมา แกก็ทำตามเดิม
ทิ้งแฟลชสว่างจ้าตามเดิมเราก็กลัวแสงไฟ กลัวนักบินจะเห็นตัวพวกเราจะยิงถูก ก็คอยหลบเข้าที่กำบัง ที่กำบังก็คือ หลังคา มันก็ไม่สามารถจะทนลูกปืนได้
แต่ก็พยายามหลบ
เครื่องบิน บินมาก็ปรากฏว่า คืนนั้นมีเครื่องบินขึ้นต่อสู้ประมาณ ๔ เครื่อง เครื่องขับไล่ แต่มาทราบภายหลัง เขาบอก
เครื่องของไทย ไม่ใช่เครื่องญี่ปุ่น เขาลือกันจริง หรือไม่จริงก็ไม่ทราบ เขาบอกว่า หม่อมเจ้ารังสิยากร วรวรรณ ท่านนำหมู่ขึ้นต่อสู้กับข้าศึก
บินสูงมากเราก็สังเกตได้ว่า เครื่องบินข้าศึกใหญ่ดังเสียงอย่างหนึ่ง เครื่องบินของเราดังเสียงอีกอย่างหนึ่ง เวลาบินเข้าใกล้กันปั๊ป
เครื่องบินข้าศึกมีไฟห้อยอยู่ดวง หรือสองดวง ก็ไม่ทราบ เป็นสัญญลักษณ์ของเขา อยู่ใต้ท้อง แต่ว่าเครื่องบินของเรา มีไฟอยู่ใต้ปีกสองดวง
หรือสามดวงก็ไม่ทราบ แต่ว่าพอบินตรงเข้ามาใกล้ ก็เปิดไฟพรึบสว่างจ้าทั้งลำ ข้าศึกไม่เปิดรับ แสดงว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน
หลังจากนั้นก็ทำการยิงต่อสู้กันอยู่จนกว่าข้าศึกจะไป เห็นการยิงกันอยู่หลายพักยิงจริง ๆ ปักหัวยิงเอาจริงเอาจัง แต่ว่าเรือบินข้าศึกก็ไม่เสียหลัก
ไม่ลง
ก็รวมความว่า ต่อมาตามที่ทราบ ก็บอกว่า มากลางคืน แล้วภายหลังก็มากลางวัน กลางคืนตีหนัก มันต้องหลบระเบิดกัน เล่าถึงการหลบระเบิดกันหน่อย ดีไหม
ในเมื่อเครื่องบินข้าศึกเข้ามา จะเป็นคน เป็นพระก็ตาม ต่างคนต่างก็กลัวตายเหมือนกันหมด พระท่านอาจจะไม่กลัวตาย
แต่คนที่บวชพระกลัวตาย อย่างอาตมานี่ก็กลัวตาย พระองค์อื่นก็กลัวตาย ทุกคนก็มีการเตรียมพร้อม พร้อมไหน ไม่ใช่พร้อมสู้ข้าศึก พร้อมวิ่งหนี
เพราะเครื่องบินมาแล้ว ก็ต้องโดดจากกุฏิวิ่งไปในสวน เวลานั้นอยู่วัดประยุรวงศาวาส
เป็นอันว่า ต้องทำแบบนั้นเตรียมพร้อมกันอยู่เสมอ ๆ