ขณะที่ผ่านมาทาง จังหวัดตรัง, พัทลุง, สงขลา ก็ได้มีพระสงฆ์และประชาชนจำนวนมากพากันมารอรับ
พร้อมทั้งจัดขบวนอัญเชิญพระบรมธาตุแห่แหนเข้าสู่ตัวเมือง เพื่อให้ชาวใต้ได้ สักการบูชากันโดยทั่วหน้า

.....ต่อจากนั้นจึงได้อัญเชิญลงเรือออกจาก เมืองสงขลา
มาถึงปากน้ำสมุทรปราการ ในวันที่ ๑๕ มีนาคม โดยสวัสดิภาพ ในตอนนี้ ตามข้อเขียนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เล่าไว้ว่า
ในขณะที่เรือมาถึงปากน้ำ พระบรมสารีริกธาตุได้แสดงปาฏิหาริย์ คือเปล่งรัศมีสว่างไสวในห้องเคบินในเรือ ต่อหน้า เจ้าพระยายมราช
และข้าราชบริพารหลายคน
ฉะนั้น เมื่อพิเคราะห์ไปดูถึงความเชื่อ อันแรงกล้าของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ต่างก็มีเสียงร่ำลือกันว่า....
ถ้าไม่ใช่พระสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันจริงแท้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคงจะไม่โปรดเกล้าฯ ให้ไปอัญเชิญมา
คงเป็นพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจริงๆ เป็นศิริสวัสดิ์แก่บ้านเมืองเรา...
นี้เป็นเสียงราษฎรในเวลานั้นพูดกันอยู่ดังนี้ ครั้นได้จัดงานฉลองสมโภชที่เกาะสมุทรเจดีย์แล้ว บัดนี้ ถึงสมัยที่เป็นศุภฤกษ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพนักงานจัดการที่จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในพระเจดีย์ที่บรมบรรพต วัดสระเกศ ใน วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๔๒
เวลาบ่าย ๔ โมงครึ่ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรเสียก่อน จึงทรงโปรดให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอัษฏางค์เดชาวุธ กรมขุนนครราชสีมา
เสด็จมาบรรจุพระบรมธาตุแทนพระองค์ พร้อมทั้งมีคำจารึกไว้ว่า
เพราะมีอักษรจารึกบอกไว้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาราชาธิราชเจ้า ผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐเอกอัครศาสนูปถัมภก
เสด็จดำรงราชสมบัติอยู่ ณ ประเทศนี้ จึงทรงบรรจุไว้ในพระมหาสถูปนามว่า บรมบรรพต ที่เรียกกันว่า ภูเขาทอง อันตั้งอยู่ที่บริเวณแห่ง วัดสระเกศ ณ
กรุงรัตนโกสินทร์ราชธานี ในสยามประเทศนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำการฉลองพระธาตุ อุทิศถึงพระผู้มีพระภาคองค์นั้น แม้เสด็จปรินิพพานนานมาแล้ว สำเร็จด้วยเครื่องสักการะอันใหญ่หลวง
และทำการฉลองสมโภช ด้วยการละเล่นของสาธุชน ทรงบรรจุพระสารีริกธาตุนี้ตามที่ทรงได้มาไว้ ณ ที่นี้ เมื่อ ปี ๒๔๔๒ แต่พุทธปรินิพพาน
วันที่ ๒๔ พฤษภาคม เวลาเช้าถวาย ภัตตาหารแด่พระสงฆ์ เวลาบ่ายตั้งบายศรี เวียนเทียนสมโภชเหมือนเมื่อวานอีกเวลาหนึ่ง และในเวลาค่ำวันนี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินกลับจากสวนดุสิต เสด็จพระราชดำเนินมาที่บรมบรรพตด้วย การมหรสพสมโภชครั้งนั้น
มีการแสดงโขนและงิ้ว เป็นต้น แล้วจุดดอกไม้เพลิงตามธรรมเนียม
จากกิตติศัพท์การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาสู่ประเทศไทย ได้เลื่องลือไปในหมู่ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา
ครั้งนั้นองค์กรพุทธศาสนิกชนจากประเทศญี่ปุ่น พม่า ลังกา และไซบีเรีย ต่างก็กราบบังคมทูลขอพระราชทานแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐาน ณ ประเทศของตน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ทางพระราชไมตรี และยังให้พระพุทธศาสนาแผ่ไพศาลไปสู่นานาประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานให้ตามความประสงค์ทุกๆ ประเทศ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน