หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 3 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ
puy - 5/7/10 at 14:07

<< เล่ม 1 เล่ม 2 เล่ม 4 เล่ม 5 เล่ม 6 เล่ม 7 เล่ม 8 เล่ม 9 เล่ม 10 เล่ม 11
เล่ม 12 เล่ม 13 เล่ม 14 เล่ม 15 ->>


หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๓

โดย ส. สังข์สุวรรณ


ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระวัดท่าซุง
(ลิขสิทธิ์เป็นของ "สำนักพิมพ์เวฬุวัน" วัดท่าซุง)




เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๓


1.
คำปรารภ
2. บันทึกประจำวัน เล่ม ๓
3. ผีรุกขเทวดา
4. พระยายมมาตาม
5.
พระดับสภาพสังขาร
6.
คำพยากรณ์
7. การเปลี่ยนชื่อ
8. พระพยากรณ์อาการป่วย
9. เรื่องไฟฟ้า
10. เรื่องน้ำท่วม
11. เรื่องที่ฟังมา
12. หลวงเชษฐ์
13. เพื่อนต้น
14. อานุภาพไม้เพื่อนต้น
15. กำนันอยู่
16. ผีเด็ก
17. ผีผู้หญิงมาหา
18. เรื่องท่านปู่ใหญ่
19. เรื่องทำแท้ง
20. ทายกลงนรก
21. ขุนนางใหญ่
22. นิมิตบอกอาการตาย
23. นิมิตบอกเหตุน้ำท่วมภาคกลาง
24. น้ำท่วมปักษ์ใต้
25. เรื่องเคราะห์จากน้ำ
26. เรื่องของโบราณ
27. นิมิตก่อนไปเชียงใหม่
28. นิมิตบอกว่าป่วยมาก
29. กำหนดการ พ.ศ. ๒๕๓๒



1

คำปรารภ

หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๓ ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ มีรายการบอกอาการป่วย และรายการเงินผสมอยู่ด้วย อาจจะทำให้ท่านผู้อ่านยุ่งยากใจ แต่ก็มีความจำเป็นบางประการคือ

๑.อาการป่วย มีหลายท่านที่คิดว่าไม่ป่วยจริง ถึงกับมาสอบสวนที่วัด มาดูว่า ป่วยแล้วทำไมรับแขกได้ แต่ท่านที่มาก็เห็นแล้วว่า รับแขกด้วยขันติจริง ๆ แต่ถ้าเกินกำลัง ก็ขันแตกเหมือนกัน และในขณะเขียน ทุกขเวทนาครอบงำมาก ก็เลยเขียนไปในอาการที่มี เหมือนคนที่ป่วยกำลังบ่น
๒.เรื่องการเงิน มีพระท่านสงสัยเรื่องรับจ่าย เพราะเห็นสร้างมากนัก รับยังไง จึงเขียนมาเพื่อให้ทราบว่าเวลารับก็แจ่มใส เวลาจ่าย หน้าซีดทุกคราว เพราะเงินไม่ใคร่พอจ่าย
เป็นอันว่าหนังสือเล่มนี้กวนใจมากหน่อย ต้องขออภัยท่านผู้อ่าทุกท่าน ที่กลุ้มใจเพราะเรื่องทั้งสองที่กล่าวมาแล้ว

บอกข่าวให้ทราบ

การทำหนังสือเล่มที่ ๔ จะออกเดือนมีนาคม ๒๕๓๒ เล่มที่ ๕ จะออกเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๒ ทั้งสองเล่มนี้ไม่มีรายงานการป่วยและการเงิน เพราะต้องรีบทำไว้ก่อนตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๓๑ ทั้งนี้พระท่านมาเตือนให้ทำไว้ก่อน ด้วยต่อไปนี้ จากเดือนมกราคม ๒๕๓๒ เวลาว่างจะน้อย ไม่มีเวลาทำ และการทำก็เขียนไม่ไหวแล้ว ด้วยสายตามองตัวหนังสือไม่เห็น

ต้องใช้บันทึกเสียงไว้และให้ พระอภิชัย สุธมฺมธมฺโม และ พรนุช ช่วยคัดลอกเป็นหนังสือ เทปเสียงนี้ให้ถ่ายทอดไว้ เพื่อท่านผู้ใดจะฟังก่อนหนังสือออกก็ติดต่อเจ้าหน้าที่จำหน่ายเทปได้ แต่ทว่าเสียงคงเสนาะมากด้วยทั้งป่วยและเสมหะเต็มคอทำไว้แล้ว ๘ คัทเซท
ในที่สุดก็ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะสมองมึนหมด ขอหยุดเพียงเท่านี้ ขอความสุขสมหวังและขอให้ทุกคน จงรวยตามความตั้งใจของทุกท่านเถิด

สังข์สุวรรณ

๒๒ ธันวาคม ๒๕๓๑


◄ll กลับสู่สารบัญ



2

บันทึกประจำวัน เล่ม ๓

วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๓๑

รายการวันนี้ ขอเอาเรื่องน่าเบื่อมาไว้ตอนต้น คือเรื่องรายรับรายจ่ายประจำวัน ก่อนพูดเรื่องอื่นขอแจ้งให้ทราบว่าสมุดร่างเรื่องราวต้นฉบับตอนต่อไปนี้ เดือนฉาย หรือ ต้อย คอมันตร์ เป็นคนซื้อให้ ขอร่าง ๓ เล่มสมุดนี้พิมพ์เป็นหนึ่งเล่มหนังสือ การร่างหนังสือเล่มนี้ก็เอากระเป๋า ๒ ลูก ตั้งซ้อนกันเข้าแล้วเขียน แทนการนั่งเก้าอี้ เพราะนั่งเก้าอี้ไม่ไหว ด้วยมีอาการมึนงงมาก ผู้อ่านให้คิดว่าอ่านหนังสือคนใกล้ตายเขียนก็แล้วกัน อาการทางร่างกายมันรวนทุกวัน ก็ช่างมัน ต่อนี้ไปก็ขอเอาเรื่องการเงินมาพูดก่อน เมื่อเสร็จเรื่องการเงินแล้วเป็นเรื่องผี

วันนี้มีแขกมาจาก กรุงเทพ ๒ คน หัวหิน เพชรบูรณ์ สิงห์บุรี นครสวรรค์ ทุกท่านถวายไว้ทั้งสิ้น ๘,๙๗๐ บาท มีรายการดังนี้
๑. พ.อ.สถาพร-ศิริพร พงษ์พิทักษ์ ถวายสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน สร้างพระ ๑,๒๐๐ ค่าไฟฟ้า ๑,๐๐๐ และส่วนองค์ ๒,๐๐๐ รวม ถวายได้ ๔,๒๐๐ บาท
๒. ส.ต.อ.ปัญญา ไชยชาญพันธ์ และครอบครัว ถวายกฐิน ๖๐๐ บาท
๓. นายกำพล อ่านนามสกุลไม่ออก และ น.ส.สิริรัตน์ แสงอรุณ ทำบุญทุกอย่าง ๒๐๐ บาท
๔. พระปฐม เขมจาโร หัวหิน สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ บาท
๕. พระนิคม อตฺตธมฺโม หัวหิน ถวายส่วนองค์ ๔๐๐ รถทัวร์ธรรมทาน ๓๐๐ กฐิน ๓๐๐ รวม ๘๐๐ บาท
๖. พระสุทธิ จกฺกธมฺโม หัวหิน ถวายเพื่อซื้อรถทัวร์ธรรมทาน ๕๐๐ บาท
๗. พระอรุณ จันทฺโสภโณ หัวหิน ถวายเพื่อซื้อรถทัวร์ธรรมทาน ๑๐๐ บาท
๘. ลูกหลานชาวหัวหิน ถวายเพื่อซื้อรถทัวร์ธรรมทาน ๗๐๐ บาท
๙. พระปฐม เขมวีโร ถวายรถทัวร์ธรรมทาน ๑๐๐ บาท (หมดรายการถวายเมื่อรับแขก)

ต่อไปนี้เป็นรายการรับทางไปรษณีย์ หรือธนาณัติ

๑. ร.อ.ชาลี โมกขเวช ชลบุรี ถวายส่วนองค์ ๒๐๐ บาท
๒. คุณชูพงศ์ ณ สามพระยา ชลบุรี สังฆทาน ๒๓๐ บาท
๓. บรรลือ-สุพิน เสรีสัจจวิจารณ์ กาฬสินธ์ ถวายส่วนองค์ ๑๐๐ บาท
๔. ร.ต.อ.พรชัย สิริไพโรจน์ สระบุรี ทำบุญทุกอย่าง ๑๑๐ บาท
๕. คุณวีรวรรณ สุนทรไชย เพชรบุรี ร่วมซื้อรถทัวร์ธรรมทาน ๕๐๐ บาท
๖. พระเฉลียว จริยธัมโม สมุทรสาคร ทำบุญทุกอย่าง ๕๐๐ บาท
๗. คุณชุติมา ภู่พุกก์ คุณชั้น ปิ่นนาค คุณโสภา แทนวงศ์ ถวายสังฆทาน ๑๒๐ บาท
๘. คุณพัชนี แซ่ลิ้ม ลาสเวกัส อเมริกา ถวายค่าอาหารพระ ๕๐ เหรียญ
๙. คุณฉลองรัฐ อุดมเดชาณัติ ลพบุรี ถวายส่วนองค์ ๓๐๐ รถทัวร์ธรรมทาน ๒๐๐ บาท
รวมเงินไทย ๒,๓๖๐ บาท เงินดอลล่าร์ ๕๐ เหรียญ
เสร็จเรื่องการเงินแล้ว เรามาคุยกันเรื่องผีต่อไป ขอให้ชื่อว่า...

◄ll กลับสู่สารบัญ



3

ผีรุกขเทวดา

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค เวลานั้นบรรดาท่านทั้งหลายเมตตาให้เห็นตัว โดยไม่ต้องใช้ฌานและญาณใด ๆ ท่านเมตตามาก ถ้าบังเอิญท่านจะให้ใช้คงไม่ใช้เพราะเราก็ใหญ่โตไม่น้อย จะมาบังคับกันยังไง ที่ไม่ยอมใช้ก็เพราะว่าไม่มีจะใช้ แม้เวลานี้ก็เช่นเดียวกัน อยากจะพบท่านองค์ใดก็ใช้อารมณ์นึกถึงเฉย ๆ ตามที่ท่านบอกไว้จึงพบท่านทุกขณะที่ต้องการพบ ถ้าท่านไม่เมตตาอนุญาตไว้คงไม่มีเรื่องผีมาคุยกัน จะมีบ้างก็เรื่องผี ๆ เท่านั้น

ที่วัดบางนมโค มีต้นตะเคียนสำคัญอยู่สองต้นอยู่กลางลานวัด ให้หวยเก่ง คนได้เลขหวยกันไปหลายคนแล้วแต่ต้องขอให้ถูกระเบียบ เมื่อขอถูกระเบียบเป็นได้ผลทุกคน เอากันเฉพาะเรื่องที่ผ่านมาตอนต้น ๆ เมื่อบูชาพระอยู่ วันหนึ่งเวลาใกล้ตีสองเพื่อเตรียมตัวเจริญกรรมฐาน เห็นหญิงสาวสวยสองคนมานั่งข้างหน้า เธอทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้ม บังเอิญมาเวลาใกล้ตีสองพอดี ซึ่งเป็นเวลาที่พร้อมแล้ว พร้อมเพื่อเจริญกรรมฐาน นิวรณ์ถูกระงับให้นอนนิ่งไปแล้ว

ถ้าเป็นเวลาที่นิวรณ์อยู่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีความรู้สึกอย่างไร เมื่อเห็นเธอแล้วก็คิดว่า เวลานี้ดึกสงัดประตูหน้าต่างก็ปิดหมด ถ้าเป็นคนธรรมดาไม่มีใครเข้ามาได้ เมื่อเธอเข้ามาได้เธอต้องไม่ใช่คนและไม่ใช่ผีหลอกคน เพราะถ้าผีมาหลอกแล้วสวย ๆ อย่างนี้ ผีกับคนคงไล่ปล้ำกันอุตลุด และก็มาเวลาน่าปล้ำเสียด้วย เดชะบุญว่าระงับนิวรณ์ลงประเดี๋ยวนี้เอง มิฉะนั้นคงมีอารมณ์วุ่นวาย

เมื่อคิดมาถึงเพียงนี้ทั้งสองก็ยิ้ม คนหนึ่งแต่งชุดสีชมพู อีกคนหนึ่งแต่งชุดสีทอง คนที่แต่งชุดสีชมพูเธอพูดว่าจะปล้ำแม่อย่างนั้นหรือ แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะ เมื่อถามว่า ท่านทั้งสองเป็นใคร ท่านตอบว่า ฉันทั้งสองเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่ต้นตะเคียนทั้งสองนั่น ที่ชาวบ้านเรียกว่า นางตะเคียน ถามท่านว่า ท่านมาธุระอะไร ท่านบอกว่า ฉันมาบอกให้ทราบว่า แม่ทั้งสองนี้เคยเป็นแม่ของคุณในอดีตมาหลายชาติ ชาตินี้เป็นแม่รุกขเทวดาเพราะบุญใหม่ทำไว้มาก เช่นสร้างพระพุทธรูป สร้างวัด และอาคารสาธารณะ ทอดกฐิน ถวายสังฆทาน สร้างรถถวายพระ สร้างเรือถวายพระ เป็นต้น บุญนี้ควรไปอยู่ชั้นนิมานรดี

แต่เมื่อใกล้ตายจากความเป็นคน แม่เห็นรุกขเทพธิดาท่านมาหา ท่านสวยมาก วิมานของท่านก็สวย ใจเลยรักเป็นเทพธิดา เมื่อจิตออกจากร่างก็เป็นรุกขเทพธิดา เมื่อ หลวงพ่อปาน มาอยู่ที่วัดนี้ ท่านท้าวมหาราชให้มาอยู่ที่ต้นตะเคียนนี้เพื่อคอยช่วยงานหลวงพ่อปาน (มิน่าเล่าหลวงพ่อปานท่านจึงเกรงใจมาก แม้กิ่งเล็ก ๆ ก็ไม่ยอมให้ใครตัด) เมื่อลูกมาอยู่ที่นี่ ตั้งใจช่วยพระศาสนา และช่วยตัวเองเรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา แม่ทั้งสองจึงมาบอกให้ทราบว่า แม่ทั้งสองคือแม่ ถ้ามีอะไรต้องการพบ ไม่ต้องใช้ฌาน นึกถึงแม่ แม่จะมาปรากฏตัวให้เห็นอย่างนี้ คุยกันได้อย่างนี้จงจำไว้ว่า พวกคนวัด (ทายก) พวกเขามาก เขาได้รับประโยชน์ของวัดเอาไปบ้านเสมอ ส่วนลูกตรงไปตรงมาเขาจะเกลียด แต่ขอให้ตรงไปตรงมาก็แล้วกัน แม่จะช่วย มันจะบรรลัยไปเอง

ท่านพูดต่อไปอีกว่า พ่อใหญ่ แม่ใหญ่ หมายถึงดาวดึงส์ท่านก็ช่วยเต็มที่อยู่แล้ว ให้นึกถึงท่านไว้เสมอ ๆ อีกไม่นานนักแม่จะหมดภารกิจที่นี่และหมดวาระเป็นเทพธิดา จะไปอยู่ดาวดึงส์ ถึงแม่ไปแล้วก็มาช่วยลูกได้เพราะงานช่วยลูกเป็นงานของแม่โดยตรง เมื่อท่านพูดจบท่านก็ย้ำว่า อย่าลืมนะแม่จะช่วยลูกทั้ง ๆ ที่ลูกขอร้องและไม่ขอร้อง ท่านพูดแล้วท่านก็ลาไป เรื่องนี้ยาวมากมีในเรื่องจริงอิงนิทานแล้ว ไปหาอ่านกันเอาเองก็แล้วกัน หนังสือนี้เป็นการบันทึกประจำวัน ขอเขียนไว้เท่านี้

วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๑

วันนี้มีแขกที่มาหาจริง ๆ ก็เป็นแขกมากนครราชสีมา ๔ คน นครสวรรค์ ๓ คน มีพระมหาถวัลย์ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ เมืองปัก อ.ปักธงไชย นำมา นอกจากนี้ก็มีมาจากกรุงเทพสองสามคน จากจังหวัดเลย ๕ คน ทุกท่านทำบุญไว้ ๗๕๑.๗๕ บาท วันนี้ท่านส่งมาทำบุญทางไปรษณีย์ หรือธนาณัติ รวม ๑๓,๖๔๙ บาท

นอกจากเรื่องเงิน ก็มี พ.ต.นพพร และ พ.ญ.เตือนใจ กลั่นสุภา สองสามีภรรยา พร้อมลูกน้อยของเธอ เอายาแก้ลมมาให้ ยาขับลมนี้เป็นยาแผนปัจจุบัน สองแพทย์นี้สงเคราะห์เรื่องยาควบคู่ไปพร้อมกับ ๗ แพทย์ในกรุงเทพ รวมแล้วการป่วยคราวนี้ แพทย์แผนปัจจุบันช่วยกันรักษา ๙ คนด้วยกัน และแพทย์แผนโบราณอีกหลายคนที่สงเคราะห์จัดยามาให้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่เมตตา ขอให้ท่านจงรวยมาก ๆ และปรารถนาสมหวังทุกอย่างเถิด

◄ll กลับสู่สารบัญ


4

พระยายมมาตาม

อ่านเรื่องการเงินเป็นเรื่องชวนรำคาญ แต่ก็ต้องทำไว้เพราะเป็นบันทึกประจำวัน เมื่อสุดเรื่องหนักสมองแล้ว ก็เลี้ยวเข้ามาหาเรื่องหนักใจใหม่ นั่นคือเรื่อง ผี ผีวันนี้เป็นผีหลายระดับ เมื่อเวลา ๘ นาฬิกาตรง ให้ วิวัฒน์ โกศล นวดเพราะท้องแข็งปวดท้องมากเนื่องจากเส้นท้องตึง เมื่อ วิวัฒน์ กำลังนวดก็เห็น ท่านลุงพุฒิ ท่านมาคนเดียว ทรงผ้านุ่งปล่อยชายเพื่อสังเกตง่าย เวลานั้นกำลังนมัสการพระอยู่

ท่านลุงท่านมาบอกว่า ไปบ้านผมหน่อยซิ มีธุระด่วน แต่เรื่องมีไม่มาก ท่านบอกแล้วท่านก็เดินกลับไป พระท่านบอกว่า “ไปเถอะมีธุระไม่มากแต่เนื่องด้วยเธอ ท่านพุฒิท่านจะสงเคราะห์คนบาปที่หาบุญไว้ยากเต็มที่” คิดในใจว่า ท่านลุงที่ท่านสงเคราะห์ดะ คนมีแต่บาปไม่มีบุญท่านจะช่วยได้อย่างไร แต่เมื่อท่านมาตามและพระท่านก็เห็นชอบจึงไปตามที่ท่านสั่ง

เมื่อไปถึงพบ แม่น้อย แก้วแดง และ ตานา นั่งอยู่ก่อน ทั้งสองท่านมีความสุขไปนานแล้ว ท่านแต่งตัวสวยในเครื่องแบบปกติของท่าน แม่น้อย แก้วแดง เป็นความหวังนิพพานในบรรดานักปฏิบัติชุดแรก มีความเข้มแข็งใน ทาน ศีล ภาวนา ครบทุกอย่าง ท่านมีความสุขสูงที่สุด ที่พอจะรู้ถึงความสุขเสวยสุขแบบนี้เป็นคนแรกคณะของท่านมี แม่พวง และ แม่ทองดี อีกสองคน แม่น้อยตายเพราะโรคมะเร็งในกระเพาะ อดทนในทุกขเวทนามาก ไม่เคยครางไม่เคยบ่น เมื่อตายท่านตายตอนยามต้น

ตอนนั้นแม่พวงกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ เห็นภาพขบวนแห่แม่น้อยในอากาศลอยมาใกล้ มีเสียงตะโกนลงมาว่า พวงเอ้ยพวงนิพพานนะน้องนะ และก็คืนเดียวกันนั้นเอง เด็กสาวในตัวเมืองนอนฝันเห็นขบวนแห่แม่น้อยในอากาศ เหมือนที่แม่พวงเห็น ทั้งสองบอกว่า จำได้แต่เสียงท่านสวยงามเหลือเกิน มีชฎาใส่ทั้งตัวแพรวพราวไปหมด คนในขบวนที่มาก็มีสภาพเดียวกัน สวยพรรณาไม่ไหว

ส่วน คุณตานา นั้นเมื่อก่อนตายบูชาพระเจริญกรรมฐานเป็นปกติ เมื่อป่วยมาก นิมนต์พระไปสวดพระปริตหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ต่อนาม เมื่อพระเริ่มสวดกราบพระเสร็จกำลังฟังพระสวด ตายเวลานั้น และเวลานี้ท่านอยู่ที่ไหนอย่าถามเลย ถามก็ไม่บอกเพราะพระไม่ได้บอกไว้ว่าให้บอกได้

เป็นอันว่าเมื่อพบท่านทั้งสองแล้ว ถามท่านว่า ท่านมาทำไม ท่านตอบว่า พระยายมไปเชิญให้มา ยังไม่รู้เหมือนกันว่าให้มาทำไม เมื่อพบลุง ท่านลุงบอกว่า คอยประเดี๋ยวครับ เจ้าหน้าที่กำลังไปพาจำเลยมา เห็นเจ้าหน้าที่เข้าไปในกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ เข้าไปเกือบถึงก้นกลุ่ม จึงพาคน คนนั้นมา คนนี้รูปร่างสูงโปร่งหน้าตาเหมือนคนเมาอยู่ตลอดวัน เมื่อเธอมาถึงแล้ว ท่านลุงบอกว่า ความจริงยังไม่ถึงวาระที่จะสอบสวนเธอ แต่เห็นว่าวันพรุ่งนี้คุณจะไปกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นงานหนักมาก ใช้เวลาหลายวัน และเมื่อวาระของเธอคนนี้ถึงขณะที่คุณอยู่กรุงเทพฯ พอดี ผมก็ไม่มีโอกาสตามคุณมาได้จึงลัดคิวให้ออกมาก่อน

ถามท่านว่า เขามีบาปอะไรบ้าง ท่านบอกว่า บาปไม่มากแต่บาปเป็นอาจินต์คือบาปปกติ ดื่มสุราเป็นปกติ ศีลขาดเป็นปกติ ร่วมมือกับคนที่โกงเงินสงฆ์มาเป็นส่วนตัว เพราะได้ส่วนแบ่งเป็นปกติ แต่เห็นว่ายังมีความเป็นธรรมอยู่บ้างที่ไม่นินทาคุณและจิตไม่เลวไปตามพวกพ้องที่เลว จึงให้คุณมาเพราะอภัยสิ่งที่เธอพลาดพลั้งไปในคุณ เพื่ออโหสิกรรมให้เธอ แม่น้อย พ่อนา นี่ก็เหมือนกัน เธอเคยนินทาตามคนอื่น จึงขอร้องให้มาเพื่อให้อภัยเธอเพื่อจะได้ประวิงเวลาลงนรก ถามท่านว่าจะเอาไปขุมไหน ท่านบอกว่า หลายขุมและมากขุมอยู่ แต่ขุมแรกที่จะลงคือขุมที่เจ็ดก่อน แล้วท่านก็จัดการให้เธอขอขมาโทษทั้งสามก็กล่าวอโหสิกรรมให้เธอ

ถามลุงว่า เมื่ออโหสิกรรมแล้ว เธอจะอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า ไปรอการลงนรกอยู่ก่อนโดยมีโอกาสเป็นสัมภเวสี ๓๐ ปีมนุษย์ ในระหว่างนี้ถ้าญาติทำบุญอุทิศให้ถูกจังหวะก็สามารถไปเป็นเทวดาได้ ถ้าทำให้ไม่ถูกจังหวะและเมื่อครบ ๓๐ ปี แล้วก็ไปนรกขุมที่ ๗ เมื่อถามท่านว่า ทำอย่างไรชื่อว่าถูกจังหวะ ท่านบอกให้ถวายสังฆทานครบของกับพระสุปฏิปันโนตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปแล้วอุทิศให้แก่เธอแต่ผู้เดียว เท่านี้พ้น ไปสวรรค์ก่อน หรือจะถวายพระองค์เดียวแทนสงฆ์ พระองค์นั้นต้องเป็นพระอรหันต์อย่างนี้จึงพ้นได้

แต่ถ้าบุญหมด เมื่อเป็นเทวดาไม่ทำบุญต่อให้ได้ถึงพระโสดาบันแล้ว หมดบุญก็ลงมาเข้านรกขุมที่ ๗ ทันที เมื่อถามท่านว่า แล้วโอกาสสำหรับเขาจะมีไหม ท่านส่ายหน้าบอกว่า คนกลุ่มนี้ไร้ปัญญาไม่เคารพพระดี บูชาคนเลวที่ไม่ได้บวชพระ หรือถ้าจะบูชาพระก็ชอบบูชาพระเลว ที่ไม่เคารพในพระธรรมวินัย

ฉะนั้นเท่าที่พูดมาไม่มีผลสำหรับเธอเลย แต่ผมก็ช่วยตามกำลังของผมช่วยแล้วเธอช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องถือว่าเป็นกรรมของเธอ เมื่อถามท่านว่า เมื่อเป็นสัมภเวสีช่วยตัวเองได้อย่างไร ท่านบอกว่า สัมภเวสีเป็นผีอิสระไม่ได้อยู่ในกรอบบังคับของใคร ถ้าเห็นว่า บุตร ธิดา ภรรยา หรือญาติ เพื่อน พอมีอารมณ์จะรับได้ก็เข้าฝันบอกจริยาที่ทำบุญ เมื่อเขาทำให้ตามนั้นก็มีผลเป็นเทวดา แต่ทว่าจิตใจ ของเธอมัวมาก คิดว่ายากที่จะพ้นนรกขุมที่ ๗

เมื่อคุยกันพอสมควรแล้วก็หันไปคุยกับ ท่านน้อย และ ท่านนา พอได้เวลาก็ลาท่านกลับ เพราะวันนั้นพระสงฆ์ในวัดท่านจะถ่ายรูปร่วมกันท่านขอให้ไปร่วมกับท่านด้วย

วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๑

วันนี้นอนลุกไม่ไหวเพราะป่วย และต้องทนทำงานวันเป่ายันต์เกราะเพชร แต่เมื่อได้รับพยากรณ์ก็ต้องลุกขึ้นมาบันทึก ถ้าปล่อยไว้จะลืม

เมื่อเวลา ๙.๔๕ น. ออกไปพบท่านท้าวมหาราช เห็นท่านแต่งปกติแต่สวยมาก มีเทวดาอื่นร่วมด้วยจำนวนมาก ท่านบอกว่าอีกสักครู่หนึ่งพระท่านจะมาสงเคราะห์ เมื่อรอสักครู่ก็เห็น ท่านพ่อ ท่านมาพร้อมด้วยเทวดามาก ท่านสหัมบดีพรหม ท่านมา (พ่อ) ต่อไปพระท่านมาท่านสวยมาก ท่านพูดว่า

ต่อนี้ไปร่างกายของเธอจะปลอดโรค โรคภัยจะหาย ร่างกายจะสมบูรณ์ปัญญาและความคิดจะปลอดโปร่ง ลาภสักการะจะมีมากขึ้น เธอจงทำในสิ่งที่ควรทำ ทำเพื่อโลกประกอบธรรมสร้างความสบายใจให้เกิดแก่มวลมนุษย์ตามที่พึงทำได้และความรู้พิเศษที่จะให้คงได้รับสมบูรณ์ภายในเดือนยี่ จงใช้ในสถานที่และในกลุ่มคนที่สมควร อย่าใช้เป็นสาธารณะใช้เพียงให้เข้าใจเท่านั้นก็พอ เมื่อพูดจบท่านก็นิ่ง จึงลุกขึ้นมาบันทึก

◄ll กลับสู่สารบัญ


5

พระดับสภาพสังขาร

เมื่อคืนวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๓๑ เวลา ๒๒.๔๕ น. หลังจากคุยกับท่านอาจารย์บัติ วัดสระแก้ว อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง แล้วมีพระท่านปรากฏกายคือท่านมาหา รูปร่างล่ำสันลักษณะแบนผิวเนื้อสองสีสันทัดคน อายุประมาณ ๔๕ ปี ท่านบอกว่า ท่านตายแล้วและตายเลย ไม่กลับมาเพื่อตายใหม่อีก

เมื่อถามชื่อท่าน ท่านไม่บอกชื่อท่านพูดว่า จะถามไปทำไมเพราะคนที่รู้จักผมเขาเกลียดผม ถ้าเขาทราบชื่อเขาจะพากันด่าผม เขาจะเพิ่มโทษลงนรกมากขึ้น เมื่อถามท่านว่า ท่านอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าอยู่ไม่เป็นที่ ถามว่าวัดไหน ท่านบอกว่า อยู่ไม่เป็นที่ เพราะไปอยู่ที่ไหนเข้าถิ่นก็เกลียด ส่วนใหญ่เขารังเกียจพระปฏิบัติที่เอาจริง ท่านบอกว่า เฉพาะที่ท่านไปพัก ที่อื่นอาจจะดี และก็คงมีดีมาก แต่ที่ท่านพักทุกสถานที่เหมือนกันหมด ท่านเลยต้องย้ายวัดเรื่อย ท่านอยู่แถวภายนอก ไม่ใกล้จังหวัด อำเภอหรือตลาด

ท่านบอกว่า ท่านอยู่แบบอนาถามาก เลยทำให้เข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อถามท่านว่า ท่านเข้าใจครบอริยสัจเมื่อไร ท่านบอกว่า เมื่อเช้านี้เอง (วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตรงกับวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๓๑ เป็นวันเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง) ถามท่านว่า เมื่อเรียนเข้าใจแล้วทำไมไม่อยู่สอนคนอื่น ท่านบอกว่า ผมเรียนหลักสูตรวิชชาสามเข้าใจในกำลังใจคนและพระพอสมควร ทราบว่าถ้าสอนก็ไม่มีประโยชน์ เลยหาทางไปรับผลที่เรียนมาก่อน

เมื่อถามท่านว่า ใครเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านบอกว่า อาจารย์ใหญ่คือ พระพุทธเจ้า เมื่อถามถึงครูผู้แนะนำ ท่านบอกว่า ท่านอ่านหนังสือมหาสติปัฏฐานสูตร ที่มีหลักสูตรวิชชาสามแล้วทำตามนั้น เมื่อทำไปไม่ถึงสองปีพระท่านก็มาสอบ ติด ป.๓ อยู่ ๗ ปี เพิ่งครบ ป.๔ วันนี้ เมื่อจบชั้นประถมแล้วก็ขอไปทำกิจส่วนตัว เลี้ยงคนอื่นไม่ไหว ท่านพูดแล้วท่านก็หายไป

◄ll กลับสู่สารบัญ


6

ขอต่อคำพยากรณ์อีกหน่อย

ท่านบอกว่า หนังสือบันทึกประจำวัน ให้เขียนตามนิมิตเห็นให้มาก เขียนตามพระไตรปิฎกแต่น้อยพอเป็นหลักฐานว่าความรู้อย่างนี้ทำกันได้มานานแล้ว ไม่ใช่ของใหม่ เพราะตามนิมิตไม่มีหนังสืออ่าน สงเคราะห์คนเบื้องหลังจะได้เข้าใจในนิมิตและใช้นิมิตได้ถูกต้อง พวกริษยาจงอย่าสนใจ (ความจริงไม่สนใจมานานแล้ว) เขาจะไปทางไหนเป็นเรื่องของเขา อยากทราบก็ไปดูที่บัญชีพระยายม รู้แล้วเฉยไว้เราไปตามทางของเรา

วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

วันนี้อาการของโรคทางร่างกายค่อยคลายขึ้นมาก เพราะเมื่อคืนวันที่ ๒๑ ท้องระบายออกมาก ด้วยมันคับคั่งมหาศาลที่เว้นการเขียนมาหลายวัน เพราะจับดินสอเขียนไม่ไหว วันนี้พอได้เล็กน้อย เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม เวลา ๑๘.๐๐ น. นอนภาวนารอตาย เรื่องรอตายนี้เป็นของธรรมดา วันคืนล่วงไปเราก็ใกล้วันตายเข้าไปทุกวัน

เมื่อจิตสงบ เห็นพระองค์หนึ่งแก่มากแล้วปรากฏขึ้น ท่านบอกว่า เธอยังตายไม่ได้ จะตายได้ต้องเปลี่ยนชื่ออีก ๓ ครั้งก่อน เมื่อเปลี่ยนชื่อครั้งที่สามแล้วต่อไปอีกประมาณ ๑๐ ปี หรือเกินกว่านี้จึงจะตาย ฟังท่านแล้วก็นึกแปลกใจ ถามท่านว่า ท่านเป็นใคร ท่านตอบว่า ฉันเองคือพระองค์ต้นแถว



7

การเปลี่ยนชื่อ

การเปลี่ยนชื่อนี้เปลี่ยนมาหลายครั้งแล้ว คือชื่อเดิมชื่อว่าอ้ายหนู เป็นเด็กเล็ก คนโบราณเรียกอย่างนั้นแต่ท่านลุง ชื่อเป็นพระทรงฌาน ท่านเรียกว่า พรหม หรือ เจ้าพรหม ต่อมาก็เปลี่ยนจากอ้ายหนู เป็นอ้ายเล็ก เปลี่ยนจากอ้ายเล็ก เป็นหลวงพี่เล็ก เปลี่ยนจากหลวงพี่เล็ก เป็นหลวงน้าเล็ก เปลี่ยนจากหลวงน้าเล็กเป็น หลวงพ่อ ตอนเป็นหลวงพ่อนี้ มีหลายชื่อ เอาชื่อหลวงพ่อก็แล้วกัน

ต่อไปจากหลวงพ่อ ก็เป็นหลวงปู่ เปลี่ยนใหม่ครั้งที่หนึ่ง
เปลี่ยนจากหลวงปู่ ก็เป็นหลวงตา เปลี่ยนครั้งที่สอง
เปลี่ยนจากหลวงตาธรรมดาเป็นหลวงตาตุ่ม แล้วหลังจากนั้นจึงตาย ท่านว่าอย่างนี้ ตอนนั้นน่ากลัวจะต้องตะบันลมหายใจ แต่เมื่อท่านบอกก็บันทึกไว้ จะมีชีวิตอยู่ได้ถึงไหนก็ไม่สนใจ ตายเมื่อไรสบายเมื่อนั้น

เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๓๑ ไปแจกสมุด และเงินให้รางวัลเด็กนักเรียนจากช่วยงานเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว แจกให้เธอคนละ ๕๐ บาท นักเรียนทั้งหมด ๒๘๖ (อาจจำจำนวนผิดก็ได้) เมื่อวันเป่ายันต์มีญาติโยมช่วยสงเคราะห์ทุนการศึกษาเด็ก ๑๑๕,๕๘๐ บาท เงินสะเดาะเคราะห์ ๖๙,๒๔๙.๗๕ บาท เงินสะเดาะเคราะห์นี้แบ่งไปสงเคราะห์เด็กคนละ ๕๐ บาท

ส่วนที่เหลือเป็นสังฆทาน ธรรมทาน วิหารทาน สร้างพระพุทธรูป ขอขอบคุณทุกท่านที่เมตตาสงเคราะห์เด็ก ท่านเมตตาสงเคราะห์เด็กก็คือสงเคราะห์อาตมาโดยตรง เพราะเด็กทุกคนในช่วงระยะ ๓ เทอมนี้ อาตมาเลี้ยงร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกคน เขียนรับเขียนจ่ายเพลินไป

เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๓๑ นี้ จ้าวมา ท่านมาตอน ๒ โมงเช้า จ้าวท่านนี้อำนาจราชศักดิ์ท่านแรงมาก จงอย่าเข้าใจว่า จ้าวนาย หรือเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ที่ท่านมานี้คือ จ้าวหนี้ ท่านโผล่มา ท่านก็บอกว่า เอาเงินมา ๕๑๕,๙๖๐ บาท จึงขอความเมตตาท่านว่า กรุณารอประเดี๋ยวขอถามทางธนาคารก่อน เพราะเงินรับทุกวันเข้าธนาคารหมดไม่เหลือติดวัดไว้ เพราะเกรงจะใช้ผิดไป เพราะเลิกรับแขกแล้วเจ้าหน้าที่ธนาคารก็มารับเอาไปหมด

เมื่อถามไปทางธนาคารเขาก็บอกมาว่าเงินไม่พอจ่ายรอยอดเงินเป่ายันต์เกราะเพชรก่อน เมื่อรวมยอดเงินที่ถวายวันเป่ายันต์ฯ ทั้งสามธนาคารรวมกันก็พอจ่ายและพอจ่ายสิ้นเดือน เพราะสิ้นเดือนจ่ายมากกว่ากลางเดือนหลายเท่าการจ่ายก็ใช้การโอน ไม่ได้จ่ายเงินสด

ที่ว่าจ้าวหนี้มา ก็อย่าคิดว่ามีคนที่เป็นหนี้มาจริง ๆ มันเป็นบัญชีจากฝ่ายการเงินแจ้งมา เนื่องในการทยอยชำระหนี้ไม่มีใครเขาทวงหรอก เมื่อถึงกลางเดือนก็รวบรวมเงินที่ญาติโยมให้ไว้ชำระตอนหนึ่ง ปลายเดือนชำระอีกตอนหนึ่งครบหรือไม่ครบไม่มีใครเขาว่า เพราะทราบว่าถ้าไม่จ่ายแสดงว่าตาแก่บ๋อต๋อแล้ว ขืนเดินมาทวงก็เสียเวลาเดิน

เมื่อพูดถึงงานเป่ายันต์เกราะเพชร เมื่อวันที่ ๒๑ ต.ค. ๓๑ นี้ มีผู้เป็นพ่อแม่พาเด็กสาวมาคนหนึ่ง เธอบอกว่า ผีสิงไปตั้งแต่มารับยันต์เกราะเพชร จึงขอให้เอาตัวมาดู เมื่อเธอมาก็เห็นผีที่ลอยอยู่เหนือหัวเธอสวยมาก จึงถามว่า มาจากไหน เธอตอบว่า มาจากชั้นจาตุมหาราช ถามว่าเกาะเด็กมาทำไม

เธอตอบว่า จะไปเกิดมาลาไปเกิดขอบวชก่อน พอดีพ่อแม่เด็กเธอเตรียมเครื่องชุดบวชขาวมาครบ เมื่อให้แต่งชุดขาวแล้วถือว่าเป็นอันได้บวชแล้ว พรมน้ำมนต์ให้เธอนิดหน่อย เธอก็ลาจากเด็กไป คำพูดของเธอเป็นธรรมะทุกถ้อยคำ เธอบอกกับพ่อแม่ของเด็กว่า พระอื่นไม่ไปหาเพราะท่านเกลียด ให้ไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุงเพราะท่านรัก ขอให้เป็นข่าวนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น พ่อแม่เด็กคนนี้อยู่อำเภอบรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์

◄ll กลับสู่สารบัญ


8

พระฯ พยากรณ์อาการป่วย

วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๑ กลับจากซอยสายลม ให้ล้างท้องด้วยน้ำผสมดีจระเข้ วันที่ ๑๒ ตุลาคม ท่านย่า กับ แม่ศรี ขอให้ล้างท้องอีกหนึ่งวัน เพื่อให้สิ่งที่คั่งค้างออกไป วันนี้ล้างท้องแล้ว พ.อ.สถาพร พงษ์พิทักษ์ มานวดให้ก่อนที่ พ.อ.สถาพร จะมาถึง ขณะที่นอนอยู่สบายดี พอลุกจากที่นอนก็หนาวจัดตัวสั่นสะท้าน อาการไข้จับสั่นอย่างแรงเกิดขึ้น อาการไข้แบบนี้ไม่มีอาการเริ่มต้นมาให้รู้สึกก่อน อาการสั่นและหนาวอย่างนี้ไม่เคยพบมาเลยในชีวิตนี้

วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๑ พ.ต.น.พ.นพพร และ ร.อ.พ.ญ.เตือนใจ กลั่นสุภา สองสามีภรรยามาจากค่ายจิระประวัตินครสวรรค์มาเยี่ยม เมื่อทราบอาการก็รีบจัดยารักษาโรคไข้จับสั่นมาให้ทันที ยายันโรคได้ดี เพราะพอกินยาเข้าไปแล้วเลิกหนาวสั่นจนถึงวันที่เขียนนี้

วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๑ น.พ.จรูญ และ พ.ญ.ชัยศรี (พ.ญ.แสงโสม ปิรยะวราภรณ์) และจอมภัค ลูกสาวมา เธอตั้งใจมารักษาโดยตรง ให้น้ำเกลือ ๒,๐๐๐ ซีซี ให้ยารักษาโรค วันนี้ไข้อาละวาด เธอไม่สั่นแต่ทำให้ประสาททั้งตัวตายเกือบหมดท้องหยุดนิ่งไม่ยอมถ่าย ประสาทไม่ทำงานหลายส่วน บางส่วนทำก็ทำแบบคนไม่มีแรง วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๓๑ ต้องเป่ายันต์เกราะเพชร

ตอนกลางคืนวันที่ ๑๔ ต.ค. ถามพระท่านว่า พรุ่งนี้คนจะมากน้อยเพียงใด ท่านบอกว่า คราวนี้คนมากกว่าทุกครั้งที่เป่ามาแล้ว กราบเรียนท่านว่า พรุ่งนี้ร่างกายจะลุกไม่ขึ้นเพราะขณะพูดกับท่านนอนพูดไม่อยากขยับกาย ขยับไม่ไหว ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรต้องไปไหวและต้องทำได้ มิฉะนั้นศรัทธาของคนจะถอย เพราะเสียกำลังใจ เมื่อถามถึงผลในการเป่ายันต์ ท่านบอกว่า มีผลสมบูรณ์ เพราะเธอไม่ต้องทำอะไรนั่งเป็นประธาน (จะเหว็ด) ให้คนเขาเห็นเท่านั้นพอแล้ว ส่วนงานนั้นคณะของฉันทำทั้งหมด

เมื่อท่านไปแล้วเหลือบตาดูนาฬิกา เห็นเวลา ๒ นาฬิกาพอดี คิดว่าป่านนี้ยังไม่หลับ ร่างกายก็ไม่มีแรง ท้องผูกไม่ยอมถ่าย ได้น้ำเกลือเข้าไปตั้ง ๒,๐๐๐ ซีซี ยังไม่ยอมถ่าย พรุ่งนี้จะลุกไหวหรือพอคิดถึงเท่านี้ พระท่านก็มาถึง จึงออกไปหาท่าน เลิกห่วงร่างกาย ท่านบอกว่า

วันพรุ่งนี้มีแรงจำกัดพอทำงานได้ยังตายไม่ลง วันที่ ๑๖ ขอให้ล้างท้อง วันที่ ๑๗ ล้างท้องอีกวันหนึ่ง เพราะไข้จับสั่นมาทำลายประสาทเพลียหมด หลังจากนั้นใช้ยาระบายร่างกายจะค่อย ๆ ดีขึ้น กฎของกรรมอย่าบ่นเลย ช่วยกันทำงานจนกว่าจะหมดลมหายใจ แล้วไปอยู่ด้วยกัน เธอมีสิทธิไปอยู่ที่ตรงนั้นแน่นอน และแล้วอาการก็เป็นไปตามนั้น.

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))




◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 12/7/10 at 15:22

9

เรื่องไฟฟ้า

เมื่อทางการไฟฟ้าฯ เก็บค่าไฟฟ้าราคาสูงขึ้นตามอัตราการใช้ ก็เริ่มจะไม่มีเงินจ่าย จะลดไฟก็ลดไม่ได้มีแต่จะเพิ่มอีกเพราะอาคารสร้างใหม่อีก ๓๐๐ ห้องกว่า วิหารก็ต้องใช้ไฟมาก ถามพระท่านว่าจะทำอย่างไร ถ้าไม่ใช้ไฟขององค์การไฟฟ้าฯ ใช้ไฟจากเครื่องปั่นไฟ คงแพงกว่าแน่ พระท่านบอกว่าใช้ไฟเครื่องถูกกว่า ท่านบอกว่าการใช้ไฟทั้งวัด ไม่ควรเก็บเกินเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท

เมื่อทดลองใช้เครื่องปั่น ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ถึง ๒๑ ตุลาคม ๓๑ รวมใช้ในงานเป่ายันต์เกราะเพชรด้วย คิดเฉลี่ย ๒๔ ชั่งโมง จ่าย ๑,๕๕๐ บาท ๓๐ วัน ก็จ่าย ๔๖,๕๐๐ บาท ทั้งนี้รวมเงินจ่ายพิเศษค่าน้ำมันวันเป่ายันต์เกราะเพชรเข้าไปด้วยแล้ว ๓,๕๓๔ บาท ปกติงานเป่ายันต์เกราะเพชรแต่ละคราว

เมื่อซื้อกระแสไฟฟ้าใช้ต้องเพิ่มรายจ่ายค่าไฟฟ้าเดือนนั้น หนึ่งหมื่นบาทเศษ ทุกคราวไป คราวนี้เราจ่ายเอง จ่ายเพียง ๓,๕๓๔ บาท ต่อไปจะซื้อเครื่อง ๑๐๐ กิโลวัตต์ มาผ่อนใช้ กลางคืนใช้ ๒๐๐ กิโลวัตต์ กลางวันใช้ ๑๐๐ กิโลวัตต์ จะลดเงินไปได้อีกเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาทเศษ

จะทดลองดู ใช้ ๑๐๐ กิโลวัตต์ทั้งกลางวันและกลางคืน จะจ่ายอย่างมากเดือนละ ๒๐,๐๐๐ เศษ ๆ เท่านั้น หรือไม่เกินเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าไฟของที่ซื้อกระแสเขามากเพราะปัจจุบันเขาเก็บเดือนกันยายน ๒๕๓๑ จำนวนเงิน ๘๙,๕๔๖.๐๒ บาท ถ้าเพิ่มหลอดไฟอีกตามความจำเป็น ต้องจ่ายเงินเดือนละไม่น้อยกว่า ๑๓๐,๐๐๐ บาท เท่านี้อาจจะไม่พอก็ได้ จึงต้องหาทางช่วยตัวเองที่พระท่านแนะนำ

◄ll กลับสู่สารบัญ



10

เรื่องน้ำท่วม

น้ำท่วมละลอกแรกพอยุบตัวเล็กน้อย วันที่ ๑๙ ต.ค. ๓๑ นอนปวดท้องอยู่ ได้ยินเสียงพระอนันต์โทรศัพท์ถึงใครไม่ทราบ เธอพูดว่า น้ำละลอกที่สองขึ้นมานองพระจุฬามณีแล้ว ฟังแล้วก็เลยลืมปวดท้องไปชั่วคราว หันไปถามท่านเวสสุวรรณว่า น้ำจะมากขนาดไหน ท่านบอกว่า มากกว่าเดิมเล็กน้อย แต่จะทรงตัวอยู่ไม่เกิน ๒ วันน้ำก็จะไหลลง

ขึ้นไปหาพระท่าน พระท่านบอกว่า น้ำทางบ้านไร่ก็แรง น้ำมาทางเมืองกำแพงก็มาก แต่ถึงกระไรก็ไม่ท่วมลานพระอุโบสถ ท่านทั้งสองพยากรณ์เหมือนกันก็สบายใจ ท่านบอกว่าน้ำมามากดี ทุกคนจะได้ร่ำรวยเหมือนสายน้ำไหลมา (ท่านพูดเอาใจ) เพื่อให้เบาใจ

ดีชะบุญที่คณะหมอสุภรณ์ ที่ชิคาโก้ อเมริกา ซื้อรถพิเศษวิ่งบนบกได้ ว่ายน้ำก็ได้ ถวายมาหนึ่งคันได้ใช้รถคันนี้พอไม่ต้องท่องน้ำ ในที่ใดช่องแคบเกินไปใช้รถไม่ได้ ก็ใช้เรือท้องแบนที่หลายคนซื้อมาให้ตั้งแต่ปีน้ำท่วมคราวก่อน ขอขอบคุณทุกคนที่เมตตา ขอทุกคนที่ช่วยซื้อมาถวายและถวายเงินร่วมซื้อรถซื้อเรือ และถวายเพื่อใช้จ่าย จงรวยมาก ๆ และปลอดภัย มีความสุขเสมอ

ก่อนน้ำท่วมสองวัน เห็นรถคุณแต๋นที่ คุณโชติวุฒิ คเชศะนันท์ ซื้อถวายหนึ่งคัน และคณะลูกพระสุธรรมยานเถระซื้อถวายอีกหนึ่งคัน คิดว่ารถชนิดนี้ดีมาก อาศัยใช้งานได้ทุกอย่าง ใช้มากด้วย เวลาน้ำท่วมถ้าไม่สูงเกินไปก็ใช้คุณแต๋นไปได้ เป็นอันว่าที่ใดรถเก๋งไปไม่ได้ คุณแต๋นไปได้สบายมาก คิดอยากจะซื้อไว้ใช้อีกสัก ๔ คัน พอคิดได้สองวันน้ำมาใหญ่ ได้ใช้คุณแต๋นบุกน้ำรับส่งคน และขนของ ชนิดไม่ต้องห่วงว่าน้ำจะสามารถห้ามคุณแต๋นไม่ให้ไปนั้นไม่ได้เลย

เมื่อถึงวันเป่ายันต์เกราะเพชร ตอนเช้าลุกขึ้นสะดวกกินข้าวพอได้ กินข้าวเสร็จก็แต่งตัวไปในงานเป่ายันต์ วันนั้นพูดน้อยเพราะพูดไม่ไหว เมื่อไปถึงโรงพิธีกราบพระท่านแล้ว ถามท่านว่า จะขึ้นธรรมาสน์ไหวหรือ ท่านบอกว่าไหวเพราะพวกที่ชาวบ้านไม่เห็นตัวมาช่วยมากท่าน ผู้คนมากมายจริง ๆ เต็มศาลาสองไร่ทั้งด้านในและด้านนอกบริเวณรอบ ๆ ก็เต็มศาลาสี่ไร่ รวมทั้งใต้ถุนศาลาสองไร่ รวมแล้ว เนื้อที่ ๗ ไร่

รอบแรก ๑๐.๐๐ เต็มเรียบร้อยนั่งแล้วห้ามลุก เพราะลุกเมื่อไรที่หายเมื่อนั้น รอบสองก็เต็ม รอบสามเวลา ๑๕.๐๐ น. เต็มปกติ ขึ้นไปบนธรรมาสน์พูดได้น้อย เวลาทำใจมันสั่น พระท่านบอกว่าเธอนั่งเฉย ๆ งานของฉัน ๆ ทำเอง แล้วท่านก็ทำของท่านเองทุกรอบ ท่านทำของท่านอย่างนี้เป็นปกติทุก ๆ คราว พอเริ่มทำได้เพียงไม่เกิน ๑ นาที ของท่านเป็นประกายแพรวพราวหมดแล้ว แต่ท่านบอกว่า เธอนั่งเฉย ๆ สัก ๑๐ นาที เลิกเร็วประเดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่ได้ทำเลย เลยนั่งตามท่านบอก

ขอขอบคุณญาติโยม และลูกหลานที่เมตตาสงเคราะห์ช่วยการศึกษาของเด็กคือช่วยฉันเอง รวมทั้งหมดเป็นเงิน ๑๑๕,๕๘๐.๕๐ บาท ช่วยเด็กก็คือช่วยฉัน สะเดาะเคราะห์อีก ๖๙,๒๔๙.๗๕ บาท ทั้งหมดนี้สงเคราะห์การศึกษาช่วยเด็กที่พ่อแม่ถูกน้ำท่วมสองระลอก ไม่มีอะไรเหลือ ส่วนเด็กที่น้ำท่วมน้อยมีอยู่ ๒-๓ คนก็ช่วยร่วมกันไปด้วย เงินสะเดาะเคราะห์บางส่วนนำไปถวายเป็นค่าอาหารพระ และการก่อสร้างช่วยนักเรียน รวมแล้วเงินสะเดาะเคราะห์นี้ทำครบทุกอย่างสะเดาะเคราะห์สงฆ์และสะเดาะเคราะห์เด็ก

วันนี้ ๒๒ ต.ค. ๓๑ นอนพักผ่อนตอนเย็นไม่มีเพื่อนคุย หาคนคุยไม่ได้ ก็พยายามหาผีเป็นเพื่อนคุย ขยับอารมณ์ให้เบานิดหนึ่ง พอเห็นได้ จะคุยกับท่านมหาราช ปรากฏว่าไม่อยู่สักองค์หายไปหมด อยู่แต่ ท่านอินทกะ มากมายแต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับ ท่านวชิระ หรือ ท่านวิเชียร ท่านบอกว่าท่านมหาราชและเทวดาชั้นหัวหน้าทั้งหมดไม่อยู่ ด้วยพรุ่งนี้วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๑ เป็นวันปิยมหาราช ทุกท่านในฐานะพระสยามเทวาธิราชไปประชุมหมด ด้วยทางการทำพิธีเชิญไม่รู้ว่าใครเชิญ เก่งจริง ๆ เล่นยกกระบิเทวดาหัวแถวไปหมดเลย

เมื่อตอนกลางวันก่อนอาหารเพล นอนภาวนาเพื่อรักษากำลังใจ ใกล้เวลาอาหาร คิดว่าเราภาวนาเฉย ๆ ไม่พบใครเลย ขยับอารมณ์นิดหน่อยพอเห็นได้ ก็เห็นท่านมหาราชทั้งสี่ มีท่านเวสสุวรรณอยู่ใกล้ที่สุด พอจะถามท่านเวสสุวรรณก็เห็นท่านลุงทั้งสองท่านยืนอยู่แล้ว ท่านลุงบอกว่า ผมมายืนอยู่นานแล้ว เห็นคุมอารมณ์ก็เลยไม่กวนใจ พระท่านมา ท่านบอกว่าอย่ากดอารมณ์มากนักปล่อยมันลอยไปบ้าง มันจะเครียด การเครียดของอารมณ์จะเหนื่อย ไม่ดี

วิธีปล่อยอารมณ์ก็คือหาเพื่อนคุย จะคุยกับใครก็ได้ พอดีท่านพ่อท่านแม่และท่านเมียชาติก่อน ๆ ท่านมากันเยอะแยะเลยคุยกันสนุก คุยเรื่องอะไรบ้างบอกไม่ได้ เพราะจำไม่ได้หมด
เมื่อเป่ายันต์เกราะเพชรมีเรื่องปกติคือ คนผีเข้ามาก่อนผีร้อง คนที่ถูกผีเข้าเลยร้อง อย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อวันที่ ๒๑ ต.ค. ๓๑ มีเรื่องแปลก ที่มีเทวดาตามคนไปบ้านตามที่เขียนมาแล้ว รู้สึกว่าบ้านนี้เป็นบ้านที่โชคดีมาก เอาละมองดูเวลาเห็นว่าดึกมากแล้ว ขอพักเพียงเท่านี้

วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๑

วันนี้เป็นวันปิยมหาราช ตั้งแต่เมื่อตอนใกล้ค่ำวันที่ ๒๒ ตุลาคม จะคุยกับท่านมหาราช ที่ท่านเมตตาสงเคราะห์อยู่ใกล้ตลอดมาตั้งแต่ป่วยใหญ่ ปี ๒๕๓๐ ท่านช่วยในการเดิน ลุก นั่ง ยืน ถ้าไม่ได้ท่านช่วย ก็เห็นจะต้องนอนอยู่ที่เดียว ท่านมีคุณใหญ่ พอเขียนถึงตรงนี้ท่านก็ปรากฏมาในเครื่องแต่งกายเต็มยศ

ท่านบอกว่า ไม่ได้ช่วยแต่ท่านเท่านั้น พระ พรหม เทวดา ต่างช่วยด้วยกันทั้งหมด นี่เป็นสิ่งที่สังเกตได้ถึงอารมณ์เทวดาที่เป็นพระอริยเจ้า ท่านไม่ยอมรับว่าท่านดีตามลำพัง พยายามแจ้งว่าการเมตตาสงเคราะห์ ท่านช่วยกันมากท่าน ไม่เหมือนคนเราบางคนที่เลวแสนเลว ยังกล้าโมเมตัวเองว่าดี ทั้งนี้เพราะกิเลสทับถมเลยหัว เลยมองไม่เห็นความชั่ว เพราะความชั่วปกปิดมิดชิด

เป็นอันว่าเมื่อตอนใกล้ค่ำของวันที่ ๒๒ มองหาท่านมหาราชทั้งสี่ไม่พบ พบแต่คณะท่านอินทกะมากท่านแต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับ สวยงามมาก เมื่อถามท่าน ท่านบอกว่า วันนี้ท่านท้าวมหาราชและเทวดาที่เป็นหัวหน้าทั้งหมดทุกชั้น ท้าวมหาพรหมทุกชั้น ไปประชุมกันที่กรุงเทพ ด้วยทางราชการเชิญเนื่องในวันปิยมหาราช คิดในใจว่า ท่านผู้ใดเป็นผู้เชิญนะ ท่านผู้นี้มีบุญจริง ๆ เทวดาและพรหมถึงเมตตาอย่างนี้

วันนี้ร่างกายพอดีขึ้นบ้าง นอนเวลา ๒๔ นาฬิกา ตื่นตี ๓ ภาวนาหลับไปอีก ตื่น ๖ นาฬิกา เป็นวันที่ร่างกายสบายมากใน พ.ศ. นี้ ทั้งปีที่ผ่านมาอาการโปร่งอย่างนี้ไม่มีเลย มีแต่ผะอืดผะอม ปวดเสียดไม่มีแรงตลอดกาล ตั้งแต่เมื่อคืน วันที่ ๒๒ เวลา ๒๒ นาฬิกา เป็นต้นไปจนถึงเช้าวันนี้ อาการโปร่งสบาย แต่ทว่าเมื่อ ๖.๑๕ น. ท่านโกมารภัจจ์ ท่านมาบอกว่ายาแก้ไข้จับสั่นให้กินไว้เสมอ เริ่มกินหลังอาหารกลางวันไข้มันยังไม่หมดฤทธิ์ ขอบพระคุณท่าน ท่านเมตตาเหลือเกิน เรามาคุยกันถึงเรื่องวันปิยมหาราชกันต่อไป

เทวดาและพรหมที่มีตำแหน่งพระสยามเทวาธิราชประชุมกันพร้อมเพรียง ท่านจะทำอะไรกันบ้างเป็นเรื่องของท่าน แต่ที่ท่านประชุมกันเพราะมีคนเชิญ คนเชิญอาจจะเชิญตามหน้าที่ แต่ผู้ให้เชิญหรือประธานที่ให้เชิญต้องเป็นคนที่มีบุญมาก เทวดาและพรหมจึงเมตตาขนาดนี้ หรือว่า ร.๕ ท่านไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม แล้วเทวดาและพรหมรักท่านมาก เมื่อถึงวันของท่านจึงมาร่วมกันมาก ความจริงเป็นอย่างไรก็ไม่ขอเดา เพราะเดาก็ไม่เหมือนดู เมื่อดูไม่รู้ก็ไม่ขอเดา

◄ll กลับสู่สารบัญ



11

เรื่องที่ฟังมา

สมัยรัชกาลที่ ๕ พระปิยมหาราช เรื่องของความจริงตามที่เขียนไว้มีอะไรบ้าง ก็ไม่มีหนังสืออ่านมากนัก เวลาอ่านก็ไม่ค่อยมี เลยไม่รู้เรื่องจริง ขอนำเรื่องที่ชาวบ้านพูดกันต่อ ๆ มาเล่าให้ฟัง

◄ll กลับสู่สารบัญ



12

หลวงเชษฐ์

เรื่องที่หลวงเชษฐ์ท่านเล่าให้ฟังบางตอนท่านเล่าถึงเรื่องประพาสต้น ในตอนหนึ่งท่านบอกว่า เป็นฤดูมีน้ำมาก เหมือนที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้ น้ำป่านองเป็นระลอกที่สอง ต้องใช้รถวิ่งบนบกได้ว่ายในน้ำได้ ที่ หมอสุภรณ์ พงษ์หล่อวิศิษฐ์ อยู่ที่ชิคาโก้ อเมริกา ซื้อให้มาหลายปีแล้ว เจ้าแอ๊ดคันนี้ดีมากไม่กลัวบกและไม่กลัวน้ำ

ท่านคุณหลวงเชษฐ์เล่าว่า วันหนึ่งที่ ร.๕ ท่านออกไปตามหัวเมือง ท่านแต่งกายแบบชาวบ้านธรรมดา พายเรือเล่นในทุ่งนาที่มีน้ำมาก และมีเรือเล็ก ๆ แต่งตัวแบบเดียวกันพายตามกันไปสนุกสนานกันมีอาหารไปกินกันในทุ่งนา ของที่ ร.๕ ท่านชอบมากคือสายบัว ถอนสายบัวมากินร่วมกับปลาร้าน้ำพริก มีครั้งหนึ่งหรือหลายครั้งที่คุณหลวงเล่าว่า ไปพบชาวบ้านที่ต่อเรือหาปลาในทุ่ง เขาไม่ทราบว่าท่านเป็นจ้าวนาย เพราะในหมู่เรือที่ไปร่วมนั้น

ก่อนไปคณะหลวงเชษฐ์ต้องไปหาซื้อเครื่องแบบชาวนาเก่า ๆ จากชาวบ้าน ให้เขาชุดละ ๑ ตำลึง หรือ ๔ บาท เจ้าของเสื้อผ้าชอบใจมาก เพราะเงิน ๔ บาทสมัยนั้นหาได้ยากเต็มที เมื่อคณะของคุณหลวงอยู่ในชุดชาวนา ชาวนาผู้นั้นเลยไม่รู้ว่าเป็นใครได้พูดคุยกัน ถามความเป็นมาในฐานะชาวนาด้วยกันเป็นที่ถูกใจกันแล้ว ก็กินเหล้าร่วมกัน ร.๕ ท่านไม่ได้ร่วมวงเหล้าด้วย

เมื่อเสร็จพิธีกรรมเมาเรียบร้อยแล้ว เมาเพียงธรรมดาไม่ถึงขนาดเมาแหง ร.๕ ท่านก็ให้สัญญาการเป็นเพื่อนกับชายคนนั้น จดชื่อเสียงที่อยู่ไว้เรียบร้อย เรื่องนี้เท็จจริงประการใดไม่ทราบฟังจากหลวงเชษฐ์เล่ามาอย่างนี้ ก็เอามาเขียนให้อ่านเล่นแก้เหงา

◄ll กลับสู่สารบัญ



13

เพื่อนต้น

คุณหลวงเชษฐ์ท่านบอกว่า ร.๕ ทรงปฏิบัติแบบนี้มาตลอดทุกสถานที่ที่เสด็จไป เมื่อกลับกรุงเทพฯและเสด็จประพาสยุโรปกลับมา ซื้อไม้กระบองขนาดพอสวยมามาก เมื่อถึงเมืองไทยให้เลี่ยมหัวท้าย กำหนดให้ไม้นี้เป็นไม้เพื่อนต้น ต่อมาก็รับสั่งให้บรรดาเพื่อนทั้งหลาย ที่สาบานหรือตกลงเป็นเพื่อนกันไว้ เข้าเฝ้า ท่านผู้เป็นเพื่อนบางคนอาจจะรู้จากเจ้าหน้าที่ ที่ไปบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวให้เข้าเฝ้าก็ได้ ท่านพวกนี้เวลาพบ ร.๕ ก็มีท่าทางปกติ

แต่บางคนเจ้าหน้าที่อาจจะไม่บอก เพราะลืมบอกหรือแกล้งไม่บอก เพื่อให้ตกใจก็ได้ ดังนั้นเมื่อพบเข้าจริง ๆ คุณหลวงเชษฐ์บอกว่า บางท่านเหงื่อแตกพลัก แต่ในที่สุดท่านก็ตรัสให้เบาใจไม่แสดงอาการถือพระองค์ แล้วก็แจกไม้ถือหรือไม้ตะพด ที่ให้ชื่อว่า ไม้เพื่อนต้น ทรงมอบหมายให้แจ้งข่าวสุขทุกข์ส่วนตัว และเพื่อนในบ้านให้ทราบบ้าง แล้วท่านก็ให้กลับไป เรื่องมีมากกว่านี้ แต่ถ้าเขียนมากไปจะหาว่าฟุ้ง เรื่องนี้เท็จจริงอย่างไรก็สุดแล้วแต่ คุณหลวงเชษฐ์

◄ll กลับสู่สารบัญ



14

อานุภาพไม้เพื่อนต้น

เรื่องราวตอนนี้ฟังมาจากท่านผู้แก่ท่านที่อยู่นอกเมืองหลวง ท่านบอกว่า ไม้เพื่อนต้นนี้มีอานุภาพมาก เจ้าของเก็บไว้ในที่บูชา กราบไหว้บูชาทุกวัน เวลาแรกนาก็เอาไปเป็นไม้มงคลเขี่ยดินเป็นปฐมฤกษ์ และก็โชคดีทุกราย เมื่อทำอย่างนั้นแล้ว ปรากฏว่าข้าวในนาเขาดีมากไม่มีโรคเพลี้ย บางตำบลถึงเวลาแรกนา

กำนันนัดทำพร้อมกันจัดขบวนแห่ทำคานหาบไม้เพื่อนต้น ใช้กลองยาวและเครื่องแห่ตามที่หาได้ แห่ไปที่ชาวบ้านทำพิธีแรกนา ทุกแห่งที่ทำก็เป็นอันว่า นาในตำบลนั้นไม่มีโรค ท่านผู้เล่าให้ฟังท่านหนึ่งบอกว่า พ่อของท่านเองเป็นเพื่อนต้น ไม้เพื่อนต้นขณะนั้นไม่เป็นของใคร พ่อให้เป็นของกลางประจำตระกูล ฟังเรื่องนี้มาเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๐

อีกด้านหนึ่งของอานุภาพไม้เพื่อนต้นก็คือ เมื่อไปติดต่อทางราชการ ท่านเพื่อนต้นก็ถือไม้เพื่อนต้นไปร่วมกับหมู่คณะของตน ไปเสียค่าที่ดินและอย่างอื่นที่อำเภอ อาการที่ถือไม้ก็ไม่ได้ถือแบบแกว่ง ท่านถือแบบเจ้าหน้าที่ถือพระแสง เมื่อทางอำเภอทราบก็รีบจัดโต๊ะปูผ้าขาว วางพานไว้เพื่อวางไม้เพื่อนต้น ทุกคนยืนคำนับพร้อมกันเมื่อวางไม้เพื่อนต้นเรียบร้อยแล้ว

ในที่บางแห่งเมื่อเวลามีงานวัดหรืองานที่มีการรวมคนมาก ท่านกำนันก็นำเพื่อนต้นไปพร้อมกับอัญเชิญไม้เพื่อนต้นไป และประกาศให้ผู้ที่มาในงานทราบว่า เวลานี้เพื่อนต้นมาแล้ว ใครมีสารทุกข์สุขดิบให้มาบอกฉัน ฉันจะรายงานให้เพื่อนต้นทราบ เพื่อนต้นติดต่อกับทางราชการโดยตรงได้ และสามารถเข้าเฝ้ากราบทูลให้พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบโดยตรงได้ด้วยตนเอง เพียงเท่านี้งานนั้นก็มีแต่สงบไม่มีเหตุร้าย สนุกสนานรื่นเริง

แต่คนที่เหนื่อยที่สุดก็คือเพื่อนต้น ต้องนั่งบอกเล่าเรื่องเวลาเข้าเฝ้าฯให้คนทราบ เหนื่อยทั้งวันเพราะต้องเล่าเรื่องที่พระเจ้าอยู่หัวไม่ถือพระองค์ และทรงห่วงใยราษฎรมาก เรื่องอื่นของไม้เพื่อนต้นยังมีอีกมากตามที่ปากชาวบ้านพูด แต่ของดไว้เพียงเท่านี้ เพราะรู้สึกเหนื่อยปวดแขนตาพร่า มองไม่เห็นเส้นหมึก เรื่องที่เขียนมานี้จริงเท็จแค่ไหน เป็นเรื่องของคนที่บอกเล่าให้ฟัง แต่ที่พบเองก็เคยพบ แต่เรื่องราวละเอียดไม่มี เพราะการที่รับฟังมาก็คงเหมือน ๆ กัน

◄ll กลับสู่สารบัญ



15

กำนันอยู่

เอาอีกสักหน่อย ทนปวดแขนอีกสักนิด ท่านกำนันคนหนึ่งชื่อ กำนันอยู่ ท่านเป็นลูกชายของเพื่อนต้น ต่อมาท่านกำนันได้เป็นขุน จำชื่อไม่ได้ว่าเป็นขุนอะไร เมื่อพบท่าน ปี พ.ศ.๒๔๖๗ มีงานวัดในตำบลของท่าน ปรากฏว่า มีนักเลงต่างถิ่นไปอาละวาดในงานวัด มีประมาณ ๓๐ คน ทำเอาลูกน้องกำนันที่คุมงานกลัวหงอ

เมื่อท่านกำนันรู้เรื่องเข้า ก็ไปที่งานวัดอัญเชิญไม้เพื่อนต้นไปด้วย นำไปแบบเคารพมาก เมื่อไปถึงก็เอาลำโพงสังกะสีมาพูดในที่ประชุมว่า ไม้เพื่อนต้นนี้พ่อฉันรับมาจากพระเจ้าอยู่หัว ท่านเป็นเพื่อนต้น ถ้าทุกคนรักเคารพพระเจ้าอยู่หัวจงเคารพไม้เพื่อนต้นและเลิกเมา ถ้ายังไม่หายเมาให้ออกไปจากวัด กลับบ้านเสีย ถ้าใครฝ่าฝืนฉันจะถืออำนาจของเพื่อนต้นจับและลงโทษอย่างหนัก

คำประกาศของท่านกำนันได้ผล พวกอันธพาลออกจากวัดทันทีทั้งหมด คนทุกคนในงานก้มลงกราบไม้เพื่อนต้น ทุกคนอยู่ในความสงบ และสนุกสนานรื่นเริง ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น เป็นอันว่าเท่านี้นะ ตามองไม่เห็นเส้นหมึกเลย เขียนเดาเอาไม่ทราบว่าตรงเส้นบรรทัดหรือเปล่า ขอพักไว้ก่อนปีหน้าถ้ายังไม่ตายจะเขียนต่อ แต่ไม่ทราบว่าตอนไหน

เวลานี้เสียงนาฬิกาบอกเวลา ๒๑ นาฬิกาพอดี ร่างกายดีขึ้นเพราะอาศัยพระบารมีของพระปิยมหาราช (ร.๕) ด้วยวันนี้คนที่เคารพในพระองค์ บำเพ็ญกุศลถวายกันมาก โดยเฉพาะที่รับแขกมีคนมาทำบุญถวายพระราชกุศล ด้วยการถวายสังฆทานมากมาย (เกินร้อยราย) ต่างก็มุ่งถวายพระราชกุศลกัน ด้วยเหตุนี้กระมังที่ผู้เขียนอยู่ในเกณฑ์เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ จึงพลอยฟ้าพลอยฝนได้รับส่วนกุศลไปด้วย

อาการทางร่างกายเมื่อวันที่ ๒๒ ต.ค. มันทำท่าจะตายแหล่มิตายแหล่ อาเจียนหลายวาระ ท้องปั่นป่วน ชวนให้ปวดท้องเป็นกำลังนั้น พอรุ่งเช้าตั้งแต่เวลา ๔.๐๐ น. หายเป็นปกติ ไม่มีอาการมึนงงเหมือนวันก่อน แต่ถึงเวลา ๑๙.๐๐ น. เริ่มแสดงใหม่อาการไม่มากนัก ขณะเขียนนี้ก็ยังมีอาการปั่นป่วนมาก แต่ทว่า อาการเบากว่าวันที่ ๒๒ มาก ทั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะพระบารมีของพระองค์ช่วยสงเคราะห์อนุเคราะห์เป็นแน่

นอกจากอาการจะดีขึ้นแล้ว เมื่อเวลา ๑๑ นาฬิกา คุณรัฐฎา หรือ ม่ำ บุนนาค บุตรชายท่าน ดร.เดือน คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค นำเงินมาให้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) เธอบอกว่าสุดแท้แต่จะเอาไปทำอะไร นั่งคิดอยู่นิดหนึ่งว่าจะทำอะไรดี ก็คิดได้ว่ากำลังซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาด ๑๐๐ กิโลวัตต์ ๔ เครื่องเพื่อใช้แสงสว่าง และกำลังงานในวัด ใช้ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ๒ เครื่อง และใช้ ๕๐ กิโลวัตต์ อีก ๒ เครื่อง เงินสดและเงินแห้งไม่มี

แต่มีคนออกเงินให้ก่อนไม่มีดอกเบี้ย จึงบอกคุณรัฐฎาว่า ขอเอาเป็นทุนเริ่มต้นซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเธอก็โมทนา เครื่องที่ซื้อนี้จะทำให้วัดจ่ายเงินค่ากระแสไฟฟ้าลดลงมาก เพราะเดือนกันยายน ๒๕๓๑ การไฟฟ้ามาเก็บเงินค่าไฟฟ้า รวมกับค่ากระแสไฟค้างหม้อ ในเดือนตุลาคม ๒๕๓๑ รวมแล้ว ๑๕๐,๐๐๐ บาทเศษ

จึงให้ธนาคาร กรุงไทย บอกเลิกสัญญากับการไฟฟ้าฯ สาขาอุทัยธานี แล้วเอาเครื่องไฟ ๒๐๐ กิโลวัตต์ที่มีอยู่แล้วมาทำกระแสไฟฟ้าใช้เอง เสียค่าใช้จ่ายเดือนละ ๔๓,๐๐๐ บาทเศษ คำนวณแล้วใช้เครื่องขนาด ๑๐๐ กิโลวัตต์ ก็พอใช้ตามความจำเป็น และถ้าใช้เครื่อง ๑๐๐ กิโลวัตต์จะเสียค่าใช้จ่ายเพียงสองหมื่นบาทเศษ หรือไม่เกินสามหมื่นบาท ถ้าเอาค่าไฟฟ้าที่ต้องเสียให้การไฟฟ้าฯ มาตั้งเกณฑ์จ่ายจะเหลือเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาทเศษ เพียงหนึ่งปีก็เอาเงินที่เหลือนี้ชำระหนี้เครื่องไฟฟ้าได้หมด ๒ เครื่องสองปีชำระหนี้หมด ๔ เครื่อง

ส่วนปีต่อ ๆ ไปได้ใช้เครื่องไฟฟรี ประกอบกับมีท่านผู้ใจดีให้ยืมเงินก่อน แล้วค่อย ๆ ผ่อนจ่ายภายหลัง ไม่เร่งร้อนจึงกล้าสั่งซื้อมาเป็นการพอดีที่ คุณรัฐฎา บุนนาค มาบำเพ็ญกุศล จึงมอบให้เธอเป็นคนหัวปี คือเป็นคนแรกที่เป็นเจ้าของเครื่องไฟฟ้า ๔ เครื่องนี้ ถ้าท่านผู้ที่มีจิตศรัทธาจะบริจาคร่วม ตั้งแต่รายละ ๑ บาทขึ้นไปก็บริจาคได้ทุกคน พร้อมรับ

ถ้ามาด้วยตนเองไม่ได้ ก็ส่งทางธนาณัติก็ได้ เช็คหรือดร๊าฟก็ได้ ส่งทางไปรษณีย์ในนามของท่านเจ้าอาวาสวัดจันทาราม คือ พระสุธรรมยานเถระ วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี เมื่อได้รับแล้ว จะออกใบโมทนาให้ และประกาศในธัมมวิโมกข์ และหนังสืออ่านเล่นต่อไป

วันนี้นอกจาก คุณรัฐฎา มาทำบุญแล้ว ก็มีท่านสาธุชนทำบุญอีกดังนี้ ถวายส่วนตัว ๗,๘๙๒ บาท สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ช่วยสร้างรถธรรมทาน ๑๐๐ ทำบุญทุกอย่าง ๑,๔๒๐ รวม ๑๐๙,๕๑๒ บาท เงินถวายส่วนตัว ขอนำไปซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่จะซื้อใหม่ สั่งแล้ว สร้างโรงเก็บไม่ทันเสร็จ น้ำท่วมเสียก่อนทำโรงเก็บเสร็จเมื่อไรจะนำมาติดตั้งทันที

เมื่อวันที่ ๒๒ เมื่อเวลารับแขก คุณณรงค์ กาญจนพบ และ คุณทัชราภา เศียรเมฆัน โดยเฉพาะ คุณทัชราภา เธอเป็นคนนำสร้อยทองคำหลายเส้น สังวาลย์ทองคำ กำไลข้อมือทองคำและแหวนเพชร ๒ วง ต่างหูเพชร ๑ คู่ มาร่วมสร้างโคมไฟช่อประจำวิหาร ๑๐๐ เมตร และสร้างวิหารทาน ได้สั่งซื้อโคมไฟให้เธอแล้ว และลงบัญชีสร้างห้องกรรมฐานพร้อมวิหาร ๑๐๐ เมตร ให้แล้ว

ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุกท่านที่ทำบุญแล้ว ขอทุกท่านจงมีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจทุกประการเถิด วันนี้เขียนไปขี้ไป ขอพักเพียงเท่านี้ เพราะหมดแรง

วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๓๑

วันนี้เป็นวันสหประชาชาติ ความจริงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย เห็นวิทยุประกาศอย่างนั้น ก็เลยเขียนตามเขา มาคุยเรื่องของเรากันดีกว่า ในระยะนี้ขาดการเขียนไปหลายวัน เพราะป่วย พอเริ่มเขียนลุงท่านมาทั้งสองลุง ท่านบอกว่า คุณเขียนเรื่องพระปิยมหาราชยังไม่จบ ความจริงจบไม่ได้แน่ เพราะเรื่องของท่านมากมาย เพียงปิยะในพระราชฐานก็เหลือเขียนแล้ว

เอาเรื่องอื่นดีกว่า ท่านลุงบอกว่า วันพรุ่งนี้ออกพรรษา ผมหยุดนรกการ ๓ วันคือวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เรื่องการสอบสวนไม่มี เมื่อเรื่องเมืองนรกไม่มี ก็ขอเล่าเรื่องเมืองมนุษย์ คือมนุษย์กับผี

◄ll กลับสู่สารบัญ



16

ผีเด็ก

เมื่อวันที่ ๒๑ ต.ค. นี้ มี พ่อแม่ลูก ๔ คน มาหาที่วัด เธอเอาเงินมาให้ ๕,๐๐๐ บาท (ห้าพันบาทถ้วน) ใส่ซองให้ไม่ได้เขียนชื่อที่ซอง และไม่ได้ถามชื่อเธอ เลยไม่รู้ว่าชื่ออะไร

เรื่องย่อมีดังนี้ ฝ่ายภรรยาเธอบอกว่า เมื่อวันที่ ๙ ต.ค. ไปที่สายลมขอพรหลวงพ่อ ขอให้ทวงเงินที่เขากู้ไปคืนมาให้หมด บังเอิญเธอกลับไปฝ่ายสามีบอกว่า ไม่คิดเลยว่าจะได้เงิน เพราะทวงกันมานานแล้วไม่ได้สักที วันรุ่งขึ้นเธอก็ได้รับเงินคืนครบถ้วน เธอดีใจเลยเอาเงินมาแบ่งให้ ที่เธอได้เงินคืนนั้น คงไม่ใช่ผู้เขียนบันดาลให้ได้ แต่เป็นวาระที่เธอจะได้เงินคืนมาถึงเธอเอง

เมื่อเรื่องนี้หมดไป ฝ่ายสามีก็เล่าอีกเรื่องหนึ่ง เธอบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลวงพ่ออีก นั่นคือเมื่อคืนวันที่ ๙ ต.ค. ๓๑ ที่ซอยสายลมนั่นแหละ ขณะอุทิศส่วนกุศลเสร็จแล้ว หลวงพ่อได้ประกาศตามที่ลุงท่านบอกเมื่อขณะอุทิศส่วนกุศลว่า เด็กตกน้ำอายุ ๓ ขวบ ท่านลุงช่วยปลดปล่อยให้แล้ว เมื่อถามท่านว่า แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องเขาจะรู้หรือ เขาอาจจะไม่ได้มาที่นี่ ท่านลุงบอกว่าประกาศเถอะ เขานั่งอยู่ในกลุ่มคนข้างหน้านี้

เรื่องนี้ฝ่ายสามีเล่าให้ฟังว่า เธอกับภรรยาไปพักที่ชายทะเล เวลากลางคืนได้ยินเสียงเด็กเล็ก ๆ ร้อง ร้องไม่ยอมหยุด ภรรยาถามว่าหนูจะเอาอะไรให้บอกว่า เด็กก็ไม่เลิกร้อง ต่อเมื่อเธอบอกว่า บุญที่ทำไว้แล้วเท่าไรขออุทิศให้หมด เด็กจึงหยุดร้อง ต่อมาเด็กชวนไปเดินเล่นชายทะเล เด็กอายุ ๒-๓ ขวบ ภรรยาเดินตามไปเล็กน้อยแล้วบอกกับเด็กว่า ไม่ไปล่ะกลับที่พักเถอะ เด็กก็ตามมาขอไข่ต้มหนึ่งลูกกิน บอกว่าหิวจัด แล้วก็หายไป

ฝ่ายภรรยาจึงขอร้องให้ลุงช่วยปลดปล่อยเด็กคนนี้ ขอให้เธอพ้นแดนทุกข์ไปสู่สุคติ เพราะอุทิศส่วนกุศลให้หมดตัวแล้ว ตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าท่านลุงช่วยหรือเปล่า มาทราบเอาเมื่อวันที่ ๙ ต.ค. ที่ซอยสายลมเวลากลางคืนที่หลวงพ่อประกาศว่า ท่านลุงท่านบอกว่าที่ให้ช่วยเด็กตกน้ำอายุ ๓ ขวบนั้น ช่วยให้แล้ว

เธอบอกว่า อาศัยเหตุสองประการนี้จึงตามมานมัสการหลวงพ่อที่วัดอีก ถวายสังฆทานชุดใหญ่ ๑ ชุด ถวายเงินไว้เป็นส่วนองค์ ๕,๐๐๐ บาท เงินส่วนนี้ขอเอาไปใช้ในส่วนสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน และสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ขอสองสามีภรรยา บุตรและธิดาของเธอ จงรวยใหญ่มีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการเถิด

เขียนกลางคืนเมื่อเวลา ๑๘ นาฬิกาเศษ พักผ่อนพอคลายเหนื่อย ภาวนาพิจารณาตามปกติ พออารมณ์สบาย เห็นท่านผู้ใหญ่มามากท่านมองไปก็เห็นลุงทั้งสองท่านมา
เรื่องที่สงสัยต้องถามท่านลุงก็คือเมื่อตอนสายของวันนี้
ท่านบอกว่า ท่านหยุดงานนรกการ ๓ วัน คือวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เป็นอันว่าการสอบสวนไม่มีใน ๓ วันนี้ เพราะเนื่องด้วยวันมหาปวารณา (ออกพรรษา)

จึงถามท่านว่าแล้ววันสำคัญอื่น ๆ เช่น วันเข้าพรรษา วันสารท วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันตรุษ วันสงกรานต์ วันไหนท่านหยุดบ้าง
ท่านบอกว่า หยุดนรกการ คือ วันเข้าพรรษา วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันนอกนั้นท่านไม่หยุด
ถามท่านว่า เมื่อจะหยุดประกาศปล่อยผู้ที่คอยรับการสอบสวนให้เป็นอิสระใช่ไหม

ท่านบอกว่า ไม่ใช่ พวกนั้นเขาเป็นอิสระอยู่แล้วยังไม่ถือว่าเขาถูกลงโทษ ที่มายืนรวมกันนั้นเพื่อมารอฟังการสอบสวน หรือพูดให้ถูกก็คือ รอคนที่จะช่วยไม่ให้ลงนรกนั่นเอง เมื่อไม่มีการสอบสวนเจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ควบคุม จะไปไหนก็ได้ เมื่อถึงวันสอบสวนก็มาพร้อมกันเอง ไม่ต้องไปไล่จับมาเพราะถ้าไม่มา ทางนรกเขาถือว่า หมดภารกิจสอบสวน เขาก็เอาลงนรกไป
ถามท่านว่า ใครเป็นคนมาจับไปลงนรก
ท่านบอกว่า กรรมที่ทำไว้บันดาลให้เขาเดินทางไปนรกได้ถูกทาง ไม่หลงในระหว่างทาง

ถามท่านว่า ขณะที่เขารอการสอบสวนเขาหิวไหม
ท่านบอกว่า พวกนี้หิวมากมีทุกขเวทนามาก แต่ทว่าสำนักงานพระยายมไม่ใช่เมืองมนุษย์ ไม่มีอาหารเลี้ยง แม้จะเมตตาเพียงใดก็ช่วยพวกเธอไม่ได้ ต้องปล่อยให้หิวไปตามกรรม
ถามท่านว่า ขณะที่คอยการสอบสวน ถ้าญาติอุทิศส่วนกุศลให้เธอจะรับได้ไหม
ท่านตอบว่า สุดแล้วแต่กรรม ถ้ากรรมชั่วมีกำลังกล้าก็ไม่มีโอกาสโมทนาเพราะมีทุกขเวทนามาก ถ้ากรรมดีนำหน้าโอกาสที่จะโมทนามีเยอะ

ถามท่านว่า ขณะที่เธอรอการสอบสวน เมื่อโมทนาบุญแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์มีบ้างไหม
ท่านตอบว่า ยังไม่เคยมีตัวอย่าง
เมื่อถามว่า เมื่อโมทนาแล้วไปเกิดเป็นเทวดามีไหม
ท่านตอบว่า มีมากคุณเองก็เคยมารอการสอบสวน และมีโอกาสโมทนาบุญก่อนการสอบสวน ได้เป็นเทวดาก่อนลงนรกมาหลายครั้งเมื่อท่านยันเอาแบบนี้

ผู้ถามก็ยิ้มแหง ถามท่านว่า เมื่อท่านเว้นการสอบสวน ๓ วัน เขาก็สามารถไปหาญาติเขาได้ เมื่อญาติทำบุญให้เขาจะไปสุคติได้ไหม
ท่านตอบว่า สุดแล้วแต่เขาเองถ้าโมทนาได้เขาไปสุคติคือสวรรค์ได้แน่ ทั้งนี้สุดแล้วแต่บุญที่ญาติเขาทำ ถ้าทำบุญในเขตที่ไม่มีบุญเขาก็เสวยสุขไม่ได้ ถ้าทำบุญในเขาที่ได้บุญน้อยเขาก็มีความสุขน้อย ถ้าทำบุญในเขตที่มีบุญใหญ่เขาก็มีความสุขใหญ่

ถามท่านถึงบุญใหญ่ทำอย่างไร
ท่านตอบว่า ถวายสังฆทานอย่างไรล่ะ
ถามท่านว่า ถวายสังฆทานที่ไหนได้บุญมาก
ท่านตอบว่า ได้บุญมากทุกสถานที่ที่ทำไม่จำกัดวัด

ถามท่านว่าเมื่อถวายสังฆทานแล้ว ต้องการให้เขาได้รับอย่างไม่พลาดเป้าหมายนั้นทำอย่างไร
ท่านตอบว่า ให้ออกชื่อเขาผู้เดียวอุทิศให้แล้ว และตั้งใจต่อไปว่า ถ้าเขาผู้นั้นไม่มีโอกาสโมทนาขอให้พระยายมราชได้โปรดรับทราบ และเมตตาบอกให้เขาได้โมทนาด้วย เพียงเท่านี้ ถ้าเขาไม่มีโอกาสโมทนา เวลาเข้ามาหาผมเพื่อสอบสวน ผมจะบอกให้เขาโมทนา เมื่อเขาโมทนาแล้ว ผมก็ไม่ต้องเหนื่อยเพราะการสอบสวน เขาไปรับผลของความดีตามกำลังบุญทันที

ถามท่านว่า เขาได้รับแล้วเขาจะไปเป็นเทวดาชั้นไหน
ท่านพูดว่า ยุ่งมากไปแล้ว รู้เท่านั้นก็พอ ผมไปล่ะ
ท่านพูดแล้วก็ออกไปแน่บทันที สงสัยว่าวันนี้ทำไมใจน้อยหรือรำคาญที่คนถามมากเกินไป เมื่อท่านไปแล้วก็เลิกคุยกับท่าน ไม่เลิกคุยก็ไม่รู้จะคุยอย่างไร เพราะท่านไปแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ขอยุติเพียงเท่านี้ เพราะคู่สนทนาไปแล้ว

วันนี้วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๓๑ น้ำยังท่วมมากอยู่ ต่อนี้ไปขอรายงานผลของการทำบุญวันนี้ดังนี้
๑. ถวายส่วนองค์ ๑,๖๒๕ บาท เงินถวายส่วนองค์นี้นำไปซื้อเครื่องไฟฟ้า ๒ เครื่อง ๆ ละ ๑๐๐ กิโลวัตต์เพื่อใช้ในวัด
๒. ทำบุญทั่วไป ๕,๐๕๑ บาท
๓. รับเงินทางไปรษณีย์ ๔,๓๒๐ บาท
๔. เงินทำบุญจากอเมริกา ๒,๖๒๑ เหรียญ คิดเป็นเงินไทย ๖๕,๕๒๕ บาท
๕. เงินทำบุญเป็นเงินฟรังสวิส ๕๐ ฟรัง คิดเป็นเงินไทย ๗๐๐ บาท
รวมรับเงินวันนี้ ๗๗,๑๗๕ บาท ฝากธนาคารเรียบร้อยแล้ว

วันนี้มีท่านผู้มีจิตศรัทธา ช่วยสงเคราะห์นักเรียนในภาวะน้ำท่วมดังนี้
คุณอัจฉรา - อภิชัย สาธุ ๕๐๐ บาท
ไม่ออกนาม ๑๐๐ บาท
คุณอังสนา ถนอมวงศ์ทัย ๒๕๐ บาท
คุณนงนาถ สาริกา (๒๐ ดอลล่าร์) ๕๐๐ บาท
รวมรับเงินสงเคราะห์นักเรียนวันนี้ ๑,๓๕๐ บาท

วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๑

วันนี้ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ที่เรียกกันว่าวันออกพรรษา ตอนเช้าฝนตกหนักคนมาทำบุญไม่ได้ มีคนบ้านใกล้เรือนเคียงกับวัดมาทำบุญพอสมควร คนไกลมาไม่ได้เลย และมีคนที่อยู่เพื่อเจริญกรรมฐานหลายคนมาร่วมทำบุญ นักเรียนหอพักของโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยามาทำบุญฟังเทศน์ทั้งหมด พอเต็มศาลาพอดี

ความทรมานทางร่างกายที่เกิดขึ้นก็คือ พอจะเทศน์ความร้อนภายในเกิดขึ้นอย่างแรง คอแห้งไม่มีน้ำลาย เทศน์ ๓๐ นาที กว่าจะจบเหนื่อยเกือบตาย เทศน์แล้วก็เข้าที่ทำงาน เขียนชื่อบนกระดาษที่เขาส่งมาให้หลายสิบชื่อ เมื่อเขียนชื่อเสร็จ จัดของให้เรียบร้อย กินยาแล้วนอนพักมันเหนื่อยมาก

เลยภาวนาแก้เหนื่อยภาวนาไปได้ประมาณ ๑๐ นาที อารมณ์หายเหนื่อย คลายสมาธิเอามาไว้ที่อุปจารสมาธิ เห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง นุ่งกางเกงตามที่เขานิยมนุ่งกันในปัจจุบัน ใส่เสื้อยืดรัดตัวแขนสั้นมีลายใหญ่สีเขียวแดงรอบตัว ชายคนนี้ผิวขาวร่างท้วมเนื้อเต็มอายุประมาณ ๑๘-๑๙ ปี เดินเข้ามาหา เมื่อเข้ามาใกล้แล้วหยุดยืนมองหน้า

ถามว่าใคร
ชายคนนั้นตอบว่า พระยายม ชักไม่แน่ใจทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผีไม่โกหก เพราะพระยายมที่เคยเห็นท่านแต่งกายเหมือนพรหมสูงโปร่ง สวย หรืออีกภาพหนึ่งก็เป็นชายแก่ อายุประมาณ ๗๐ ปี อ้วน ดำ ใหญ่โต แต่คนนี้หนุ่มขนาดหลานพระยายม เมื่อมาอ้างตัวแบบนั้นก็สงสัย
จึงหันไปถามท่านเวสสุวรรณว่า คนนี้ใคร
ท่านตอบว่า พระยายมแน่ครับ

จึงถามท่านว่า วันนี้ทำไมหนุ่มและแต่งตัวเหมือนจิ๊กโก๋
ท่านตอบว่า วันนี้เป็นวันปลอดไม่ได้ทำนรกการเลยหนุ่มและแต่งตัวตามสบาย
ท่านบอกว่า ท่านลุงก็มาด้วย ตามมาข้างหลัง มองไปเห็นลุงก็หนุ่มเหมือนกัน นุ่งกางเกงขาสั้น สวมถุงเท้าสีขาว สวมรองเท้าสีน้ำตาล เป็นรองเท้าผ้าใบ ใส่เสื้อยืดพื้นขาวคาด ลายรอบตัวสีน้ำตาลแก่
ไหว้ท่านแล้วถามท่านว่า มาธุระอะไร
ท่านบอกว่า เห็นว่าป่วยก็มาเยี่ยมประกอบกับวันนี้ว่างงาน

ท่านลุงพุฒิพูดว่า ผมจะมาเตือนคุณเมื่อคืนวันที่ ๒๔ คนถามไม่หมดเรื่อง ผมรำคาญที่คุณถามจุกจิกผมเลยกลับ วันนี้มีความสำคัญที่จะบอก คือคนที่บอกให้ผมส่งข่าวคนที่ตายไปแล้วให้โมทนานั้น ผมบอกได้แต่เฉพาะคนที่เขาเข้าไปให้ผมสอบสวนเท่านั้น นอกจากนี้เช่น เปรต อสุรกาย สัมภเวสีหรือที่ลงนรกไปแล้ว ผมไม่มีอำนาจบอกเขาได้ คุณเขียนต่อให้เขารู้ทั่วกันด้วย

และอีกเรื่องหนึ่ง วันนี้คุณเทศน์ อานิสงส์กฐิน คุณไม่ได้บอกว่า มหาทุกขตะ ตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ แล้วลงมาเกิดเป็นพระเวสสันดร รวยมาก ชาติที่เป็นมหาทุกขตะจนมากเกิดอีกชาติรวยมากเพราะอานิสงส์กฐินด้วยของที่มีค่าน้อย คือเข็มหนึ่งเล่ม ด้ายหนึ่งหลอด

เรื่องทำบุญแล้วได้บุญมากได้บุญน้อยนั้น ถวายสังฆทานด้วยเงินหรือของมากก็ตามน้อยก็ตาม ได้บุญมากเหมือนกัน เพราะอานิสงส์สังฆทาน แต่ถ้าจะเอาผู้รับเข้าด้วย หมายถึงถวายกับใครจึงจะได้บุญ

ผมขอฝากสั่งไปถึงประชาชนผู้ทำบุญด้วยว่า
ถวายแก่พระอรหันต์ได้บุญมากที่สุด
ถวายแก่พระอนาคามีได้บุญรองลงมา
ถวายแก่พระสกิทาคามีได้บุญรองจากพระอนาคามี
ถวายแก่พระโสดาบันได้บุญรองจากพระสกิทาคามี
ถวายแก่ท่านที่ตั้งใจปฏิบัติพระกรรมฐานแต่ยังไม่ได้พระโสดาได้บุญรองลงมา

ถวายแก่ท่านผู้มีศีลบริสุทธิ์ได้บุญน้อยสุดท้าย
ให้แก่คนไม่มีศีลไม่อยู่ในเกณฑ์พิจารณา เพราะเขาพร้อมลงนรก
ท่านคุยแล้วท่านก็หลีกไปคุยกับเทวดาอื่น ตอน ๑๕-๑๖ นาฬิกาลงสังฆกรรม ตอนอุทิศส่วนกุศลเห็นคนรอบพระอุโบสถจำนวนร้อย ตอนกราบพระเห็นเธอเหล่านั้นสวยงามสว่างไสวมาก ถามเธอว่ามากี่คน เธอบอกว่า ๓๗๒ คน เป็นพวกรอการสอบสวนทั้งหมดปลอดนรกไปได้นะพ่อคุณเอ๋ย

เงินรับแขก วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๑

ถวายส่วนองค์ไม่มีชื่อ ๑,๐๓๗ บาท เอาไปรวมซื้อเครื่องไฟฟ้า
ถวายกฐิน ๒,๐๐๐ บาท
สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๒,๔๐๐ บาท
รถธรรมทาน ๑๐๐ บาท
สังฆทาน ๕๐๐ บาท
รวมเงินทำบุญที่รับแขกวันนี้ ๖,๐๖๗ บาท

เงินถวายจากอเมริกา ทางไปรษณีย์ ๔๒๕ เหรียญ คิดเป็นเงินไทย ๑๐,๖๒๕ บาท
เงินธนาณัติเป็นเงินไทย ๒๐๐ บาท
รวมรับเงินทางไปรษณีย์วันนี้ ๑๐,๘๒๕ บาท
รวมรับเงินวันนี้ทั้งสิ้น ๑๖,๘๙๒ บาท

เงินช่วยนักเรียนในภาวะน้ำท่วมใหญ่

๑. คุณสมพร ลาร์ค อเมริกา ๒๕ ดอลล่าร์ เป็นเงินไทย ๖๒๕ บาท
๒. คุณสกาวรัตน์ ชัยได้สุข อเมริกา ให้ทุนนักเรียน ๑๐๐ เหรียญ เป็นเงินไทย ๒,๕๐๐ บาท
รวมเงิน ๑๒๕ เหรียญ เป็นเงินไทย ๓,๑๒๕ บาท

วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๑

วันนี้ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันมหาปวารณาหรือวันเทโว ชาวบ้านใส่บาตรเทโวกันวันนี้ วันนี้ตื่นนอนตั้งแต่เวลา ๒ นาฬิกา นอนต่อก็ไม่หลับเพราะท้องไม่ดี จาก ๒ น. ถึง ๔ น. เข้าถ่ายในห้องส้วมถึง ๔ ครั้ง

เช้าลงไปเทศน์ ก่อนเทศน์ง่วงความร้อนภายในสูง คอแห้งหมดแรงเสียงแหบแต่ก็เทศน์ เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ คนทำบุญใส่บาตรเทโวมาก นักเรียนพระสุธรรมยานฯ มาฟังเทศน์ใส่บาตรกันหมดทั้งโรงเรียนเทศน์จบคนกลับบ้านหมดก็เข้าที่พักกลางวัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายหนังสือ เอาหนังสือมาให้เขียนชื่อเกินร้อยชื่อ เมื่อเขียนชื่อเสร็จกินยาประจำเวลาแล้ว นอนเพื่อพักผ่อน

เมื่อนอนและจับอานาปานุสสติจึงทราบว่าใจเต้นแรงและเร็วมากเหนื่อยเหลือเกิน พออานาปาเข้าระดับอาการเต้นของหัวใจก็เบาลง ค่อย ๆ คลายความเหนื่อยชีวิตฉันทั้งชีวิตร่างกายไม่ปกติเลย ไปนิพพานได้คงมีความสุขแต่คนเลวอย่างฉันจะไปนิพพานกับเขาได้หรือเปล่า ยังหนักใจมาก

เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน วันนี้ต้องเอาน้ำร้อนมาเติมข้าว ทำเป็นข้าวต้มเพราะกินไม่ลง ขยอกไปได้เล็กน้อยก็ต้องเลิก เวลา ๑๓.๐๐ น. ลงรับแขก เพราะวันนี้มีรถโดยสารขนาดใหญ่มาจอดที่ถนนหน้าวัด เกิน ๑๐ คัน ญาติโยมที่มา ร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องการให้พรมน้ำมนต์ ฉันพรมให้เอง ๒ รุ่น หลังจากนั้นทนไม่ไหว จึงให้ พระพิชิต (หลวงพ่อโอ) พรมแทน วันนี้รับอานิสงส์วันเทโว เฉพาะที่รับแขก ๑๐,๐๒๓ บาท รับจากธนาณัติ ๕,๗๕๐ บาท มีรายการย่อดังนี้

ถวายส่วนองค์ไม่มีชื่อ ๕,๗๖๓ บาท
ถวายกฐิน ๒,๔๐๐ บาท
ซื้อเครื่องไฟฟ้าใช้ในวัด ๓๐๐ บาท
ทำบุญทุกประเภท ๑,๐๖๐ บาท
รวมเงิน ๑๐,๐๒๓ บาท

รับเงินทางไปรษณีย์

ถวายส่วนองค์ ๔๐๐บาท
ถวายกฐิน ๒,๑๕๐บาท
ซื้อรถธรรมทาน ๑,๕๐๐บาท
ทำบุญทุกประเภท ๑,๗๐๐บาท
รวมเงิน ๕,๗๕๐บาท
รวมรับเงินทุกประเภทวันนี้ ๑๕,๗๗๓ บาท
หมายเหตุ ยังไม่ได้รวมเงินทำบุญตอนเช้า ๒ วัน และเงินกัณฑ์เทศน์ ๒ วัน เพราะทางการเงินยังไม่ส่งรายการมาให้ เงินช่วยกิจการโรงเรียน คุณกัลยา ราตรีประสาทสุข๑๐๐ บาท

วันนี้ไม่มีเรื่องเล่าสู่กันฟังเพราะเพลียมาก ป่วยแรงมากได้แต่คุมอารมณ์ให้ทรงตัวเท่านั้น สงสารโยมหญิง ๒ ท่าน มาจากลพบุรี อายุ ๗๙ ปี ท่านหนึ่งล้มเพราะสะดุดคันกั้นทางเพื่อเดินเข้า ตัวฟาดลงกับพื้นซีเมนต์แรงมาก เดชะบุญที่ไม่เป็นอะไรบอกว่าเจ็บ เลยพูดในทำนองสัพยอกว่า ประเดี๋ยวก็หายเจ็บหายแล้วนะโยม สักสามนาทีโยมบอกว่า หายแล้ว คุยสนุกด้วยกันทั้งคู่ ดีใจจริง ๆ ที่โยมหายป่วย

เมื่อถามว่ามาธุระอะไร ท่านบอกว่า ได้ข่าววัดหลวงพ่อเสมอ แต่ไม่มีเวลามา วันนี้ขอให้ลูกหลานพามาให้ถึงวัด เห็นวัดแล้วชื่นใจ และเมื่อได้พบหลวงพ่อด้วยยิ่งดีใจมาก
วันนี้คนมาก เห็นจะเป็นเพราะวัดบนเขาสะแกกรังมีงานใส่บาตรเทโวกระมัง จึงมีคนมามาก ในฐานะที่อยู่ใกล้กัน เลยพลอยอิ่มไปด้วย

วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๑

วันนี้จะรู้สึกว่าเว้นการเขียนมาหลายวัน ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อวันที่ ๒๗ ต.ค. เดินทางไปนครราชสีมานำรถขุนแผนเป็นพาหนะเพราะไปด้วยกันหลายคน เพื่อไปรับรถปู่ใหญ่ เป็นรถที่ต่อใหม่เพื่อใช้งานธรรมทาน ลูกหลานพากันตั้งชื่อว่า รถทัวร์ธรรมทาน

รถคันนี้อาศัยที่ลูกหลานสนับสนุน นำเงินมามอบให้ด้วยตนเองบ้าง ส่งมาทางไปรษณีย์บ้าง จากอเมริกาส่งมามากได้เงินใกล้พอกับราคารถ ขาดเงินสดบ้างก็ไม่มากนัก แต่ที่รับจะช่วย ขอผลัดเวลาไปบ้างก็มี คิดว่า เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๒ คงได้เงินครบ เมื่อไปรับรถก็ไม่ได้นำเงินสดไป อาศัย คุณธวัช สวนศิลปพงศ์ ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย สาขาอุทัยธานี ช่วยสงเคราะห์ติดตามไปด้วย ช่วยโอนเงินจากธนาคารกรุงไทยอุทัยธานีไปเข้าบัญชีท่านประธานบริษัท

รถคันนี้มีประวัติที่ต้องคิดนิดหนึ่ง ตอนแรกที่จะเล่าสู่กันฟังก็คือเรื่องการเงิน เรื่องเงินที่ซื้อรถนี้ไม่รบกวนเงินของท่านทั้งหลายที่ทำบุญอย่างอื่นเลย เพราะเรื่องใช้เงินอาตมาแยกเป็นประเภทเช่น เงินก่อสร้าง ซึ่งปกติก็เอาตัวไม่ใคร่รอดอยู่แล้ว ถ้าเอามาใช้อย่างอื่นงานก่อสร้างก็ต้องหยุดแน่ วันนั้นเมื่อไปถึงบริษัท

ท่านประธานหรือเจ้าของบริษัทนั่นเองออกมารับ ท่านคุยดีมีเหตุผลชวนคิดมาก ต่อเมื่อถามราคารถ รถคันนี้ให้ต่อโดยไม่มีเงินมัดจำและราคาก็ไม่แน่นอน แต่ท่านเจ้าของบริษัทรับปากกับ พ.อ.สถาพร พงษ์พิทักษ์ ผู้ไปติดต่อว่าจะลดให้เป็นพิเศษ และใช้ของดีชั้นหนึ่งทั้งหมด เพราะตั้งใจทำถวายหลวงพ่อ ต้องใช้ของดีทุกอย่าง

เมื่อถามท่านว่า ราคารถที่ต่อจำหน่ายปกติคิดราคาเท่าไร ท่านบอกว่า มี ๓ ราคาคือ ๒ ล้าน ๓ แสน ๒ ล้าน ๖ แสน และ ๓ ล้านบาท เมื่อถามท่านว่า คันนี้ราคาเท่าไร ท่านบอกว่า ผมคิด ๒ ล้านบาท แต่สำหรับหลวงพ่อ ผมขอลดถวายอีกสามแสนบาท เหลือ ๑ ล้านเจ็ดแสนบาท เมื่อบอกให้ผู้จัดการธนาคารกรุงไทยโอนเงิน

ท่านบอกว่า ผมขอถวายอีกห้าหมื่นเหลือ ๑ ล้าน ๖ แสน ๕ หมื่นบาทถ้วน ซึ่งถ้าคิดราคาปกติในราคาต่ำสุดก็ ๒ ล้าน ๓ แสนบาท จะเห็นว่าลดไป ๖ แสน ๕ หมื่นบาท แต่เมื่อใช้ของดีชั้นหนึ่งทั้งหมด น่าจะคิดราคากลางคือ ๒ ล้าน ๖ แสน มีของเก่าอย่างเดียวคือเครื่องยนต์

นอกนั้นใหม่หมด แอร์ก็ใหม่เอี่ยม แถมโทรทัศน์และเครื่องเล่น วี.ดี.โอ ขยายเสียงถายในรถให้ด้วย และ มีเสาโทรทัศน์อีกหนึ่งชุด ตัวรถต่อให้เป็นพิเศษสูงกว่ารถทั่วไป ๑๐ เซ็นติเมตร ทั้งนี้ก็ต้องขอขอบคุณ คุณอู๊ด จำชื่อจริงไม่ได้ เจ้าของและผู้จัดการบริษัทถาวรฟาร์ม ที่ช่วยติดต่อให้และแนะนำเพื่อความเข้าใจในเรื่องรถ เพราะบริษัทนี้มีรถโดยสารเป็นร้อยคัน วันนั้นวันที่ ๒๗ คุณอู๊ดกับภรรยาไปรออยู่ที่บริษัทต่อรถก่อน เธอดีมาก เป็นเศรษฐีที่น่ารักมากไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไร จึงจะพอดีกับความดีของเธอ

เมื่อขอบใจท่านเจ้าของบริษัทต่อรถที่ท่านเมตตาลดให้อย่างไม่คาดคิด ถ้าจะคิดก็คงคิดไม่ไหว เพราะลดลงถึงหกแสนเศษหรือถ้าให้ราคาขนาดกลางก็ลดลง ๙ แสน ๕ หมื่นบาท เกินกว่าที่ใครจะคิดถึง ต้องขอกล่าวขอบคุณท่านไว้ในที่นี้อีกวาระหนึ่ง ขอทุกท่านที่รับภาระต่อ จงอย่าลืมบุญคุณของท่านเจ้าของบริษัทต่อรถ และคุณอู๊ด เจ้าของบริษัทถาวรฟาร์ม เป็นอันว่า ที่ท่านทั้งหลายอ่านรายรับเงินมาหลายวัน

ท่านอาจจะคิดว่ารวย ถ้าท่านรวมยอดรายรับมาถึงวันที่ ๒๖ แล้วลองเอามาเทียบกับรายจ่าย จากวันที่ ๑๖ ต.ค. เป็นต้นมา จะเห็นว่าขาดดุลย์อย่างหนัก คือวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๑ จ่ายทั้งสิ้น คือค่ารถ ๑,๖๕๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านหกแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) ค่าใช้จ่ายไปเอารถ ๔,๓๐๐ บาท

มองรายรับไม่พอจ่ายที่จ่ายได้ก็คือ เงินที่ลูกหลานส่งไปให้ฝากธนาคารไว้ แต่ไม่พอจ่าย ฉะนั้นบัญชีฝากเงินธนาคารก็มีสีเป็นสีชมพูคือมีหนี้ติดสมุด คิดว่าเงินก้อนนี้ คงชำระหมดเมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๒ เพราะลูกหลานที่รับไว้มอบให้บ้าง ท่านที่เมตตาช่วยเหลือเพิ่มเติมเข้ามาบ้าง คงพอ เวลานี้ก็เป็นหนี้ไปก่อนตามระเบียบ

บริษัทต่อรถนี้ ถาม พ.อ.สถาพร เธอบอกว่า ชื่อบริษัทเชิดชัย ท่านประธานบริษัทชื่อ วิชัย ตัวท่านเองก็ดี บุตรชาย บุตรสาว ก็ดี ผู้จัดการก็ดี ทุกคนดีแสนดีเกินถ้อยคำที่จะสรรเสริญเพราะสรรเสริญเท่าไรก็ไม่พอดีกับความดีของทุกท่าน

คณะที่ร่วมเดินทางไปรับรถ

๑.พ.อ.สถาพร ๒.ช่างไพบูลย์ ๓.โชเฟอร์สมนึก ๔.ร.ต.นที ๕.ด.ต.ตระกูล ๖.จ.ส.ต.พเยาว์ ๗.ศิริพร ๘.พรนุช ๙.มาลัย ๑๐.นกเอี้ยง ๑๑.ผดุงเกียรติ ๑๒.พระประทีป สาระพัดช่าง ๑๓.คุณธวัช ๑๔.แอ๊ว

ต้องขอขอบคุณ พล.ต.เสถียร เจ้ากรมอาหารสัตว์ พ.อ.พิเศษศรีพันธ์ ผู้ช่วยเจ้ากรมฯ และเจ้าหน้าที่ทหารที่กองเสบียงสัตว์ทุกท่าน ที่ให้ความสะดวกด้วยประการทั้งปวง ขณะที่ไปพักที่นั่น
แม่ครัวที่ไปทำอาหารเลี้ยงซึ่งไปจากกรุงเทพ คือ อัญชัน ไซ จี้ ตึ๊ก ป้าปิ่น และข้าวคลุกกะปิ จำชื่อไม่ได้ ทุกคนเมตตาสงเคราะห์ดีมาก และ ติ๋ว เดินทางไปจากตาคลี ไปร่วมทำครัวกับคณะกรุงเทพฯ


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))




◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 19/7/10 at 12:50



17

ผีผู้หญิงมาหา


เมื่อรับรถมาถึงวัด พระสงฆ์ ๙ องค์สวดชยันโต เด็กนักเรียน ร.ร.พระสุธรรมยานเถระวิทยา ๒๘๓ คน ต้อนรับ นำวงโยธวาทิต และกลองยาวรับ และแห่นำรถเข้าวัด อยู่บรรเลงพอสมควร จำปีผัดข้าวเลี้ยงวงดุริยางค์และนักเรียนทั้งหมดกินหมดไปครึ่งเดียว ท่านย่าบัญชาให้แจกเงินเด็กเป็นธรรมทานคือไม่หวังผลตอบแทน ให้คนละ ๑๐ บาท หมดเงินไป ๒,๘๓๐ บาท ถวายพระองค์ละ ๑๐๐ บาท รวม ๙๐๐ บาท เป็นการทำบุญรับรถ

เมื่อถึงเวลากลางคืน นอนภาวนาเห็นผู้หญิงสาวนับร้อยมาหารูปร่างสวย บังเอิญมีผีผู้ชายอายุมากแล้วผมขาวประปรายเดินเข้ามา พอหันจะไปถามว่าเป็นใคร ก็มีเสียงห้าว ๆ ทางด้านซ้ายมือเรียก จึงต้องหยุด

รุ่งขึ้นวันที่ ๒๙ อ้อลืมบอกไปว่า นำรถมาวัดวันที่ ๒๘ ต.ค. ๓๑ เป็นวันศุกร์ เวลาสายของวันที่ ๒๙ ต.ค. ๓๑ เพลียมากเพราะคืนวันที่ ๒๘ ท้องถ่ายหนักมากจนเพลียมาก จึงนอนภาวนาเห็นหญิงสาวกลุ่มที่เห็นเมื่อตอนกลางคืน เธอจับหญิงคนหนึ่งผมรุงรัง ไม่สวย หน้าตาน่าเกลียด ซีดเซียว คล้ายคนมีทุกข์หนักเธอทั้งหลายพากันดึงออกไป อีกคนหนึ่งในหมู่สาวสวยเธอบอกว่า หญิงที่ถูกดึงออกไปนั้นเป็นผีที่มีคนส่งมาทำร้ายหลวงพ่อ แต่เข้าไม่ได้หรอก หลวงพ่อนอนภาวนาตามสบายเถิด

ตอนบ่ายลงที่รับแขกพบ นิภา คงสุขเธอมาจากอุตรดิตถ์ พาพระมาฝึกกรรมฐาน ๓ องค์ฆราวาส ๗ คน เธอบอกให้ทราบว่า มีพระเตือนเธอว่า ต่อไปอย่าบอกใครว่าเป็นศิษย์ฤๅษีลิงดำ เพราะพระอีกทางหนึ่งแอนตี้ เขาจะทำคุณไสย์ใส่เอา เพราะพวกนั้นทำคุณไสย์ใส่ฤๅษีลิงดำด้วย แต่บังเอิญไม่มีผล เขาบอกว่าฤๅษีลิงดำใช้ยันต์เกราะเพชรช่วยลูกศิษย์ ถ้าใครเผลอเมื่อไรเขาจะทำให้ตายเมื่อนั้น เป็นอันว่าบุญของลูกฉันที่ยันต์เกราะเพชรคุ้มครอง

วันนี้ พ.อ.สถาพร มานวดให้ เมื่อคืนวันที่ ๒๘ กลับมาจากนครราชสีมาเธอก็นวดให้พอสบายพอสมควร วันนี้เธอก็มานวดให้อีก เลิกเมื่อเวลา ๒๐.๓๐ น. เธอกลับไปแล้วก็เขียน แต่พอเขียนมาถึงตรงนี้ ตาลายงงขอพักเพียงเท่านี้ ขอทุกคนที่สงเคราะห์จงรวยมาก ๆ และมีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจไว้ จงทุกประการเถิด พอเลิกเขียนกำลังเก็บสมุดต้นฉบับ การเงินแจ้งมาว่า เงินที่รับแขกวันนี้ ท่านทำบุญมาแล้วดังนี้คือ

ถวายส่วนองค์ ๒,๒๑๕ บาท
ทำบุญทุกอย่าง ๑,๒๔๐ บาท
ค่าอาหารพระเณร ๓๙๘.๕๐ บาท
สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๙๐ บาท
รวมรับเงินที่รับแขก ๓,๙๔๓.๕๐ บาท
เวลากลางคืน พ.อ.สถาพร-ศิริพร พงษ์พิทักษ์ ถวายอีก ๑,๐๐๐ บาท

วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๑

วันนี้เรื่องคุยคงไม่มาก เพราะป่วยมากต้องล้างท้อง บังเอิญเป็นวันอาทิตย์ คณะกฐินผ่านมาแวะมาก ตอนเช้าและสายรับแขกไม่ไหว รับได้ตอนบ่าย ๑๓.๓๐ น.เศษ คณะที่มาแวะกลับไปก่อนมาก ที่เหลือก็เป็นคณะน้ำมนต์นิยมเปอร์เซ็นต์สูง ที่ผ่านมาเยี่ยมปกติประมาณ ๔๐-๕๐ คน วันนี้หาเพื่อนคุยยาก

ส่วนมากพอนั่งปุบก็บอกว่าขอให้พรมน้ำมนต์ แต่ก็พรมตามใจท่านไม่ได้เพราะไม่มีแรง ต้องรอเป็นคณะใหญ่คราวละชุด ชุดละหลายสิบคนถึงกระนั้นก็ต้องพรมกันเกิน ๑๐ ครั้ง ที่รอไม่ได้กลับไปก่อนก็มากตามใจท่าน ตอนเย็นนอนแหงแก๋ ต้องล้างท้องเพราะอุจจาระคั่งและแข็งมาก วันนี้ได้รับรายงานเรื่องการเงินดังนี้

ถวายส่วนองค์ ๕,๑๕๙ บาท
ทำบุญทุกอย่าง ๒๔๐ บาท
กฐิน ๑๐๐ บาท
รวม ๕,๔๙๙ บาท

รับเงินทางไปรษณีย์วันนี้
ถวายส่วนองค์ ๗๐๐บาท
กฐิน ๔๐๐บาท
สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๒,๑๐๐บาท
รถธรรมทาน ๑,๐๕๐บาท
ทำบุญทุกประเภท ๒,๓๖๐บาท
รวมรับ ๖,๖๑๐บาท

การรับเงินประจำวันที่ ๒๗ และ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๑


รับทางไปรษณีย์
ถวายส่วนองค์ ๑,๑๐๐ บาท
สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑,๐๕๐ บาท
ทำบุญทุกอย่าง ๓,๑๒๒ บาท
สังฆทาน ๕๐๐ บาท
รถธรรมทาน ๖,๓๔๔ บาท
คณะ พระมหาวิมล ปภัสสโร
สร้างรถธรรมทาน ๖,๑๒๒ บาท
สร้างวิหารทาน ๔,๔๐๐ บาท
รวม ๑๐,๕๒๒ บาท
รวมรับเงินทางไปรษณีย์ ๒ วันนี้ เป็นเงิน ๒๐,๗๑๖ บาท

อ่านรายรับแล้วก็ชื่นใจได้รับเงินวันละมาก ๆ แต่ลองอ่านรายจ่ายบ้าง รายจ่ายวันพรุ่งนี้ยังเอายอดแน่นอนไม่ได้ วันนี้จ้าวมาเยี่ยม ๔-๕ ราย (เจ้าหนี้) รวมยอดคร่าว ๆ แล้ว หนึ่งล้านเศษ ยังจะมาเพิ่มเติมในวันพรุ่งนี้อีก วันที่ ๓๑ ตุลาคม จะแจ้งให้ทราบถึงการจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างงวดปลายเดือนเท่าไรกันแน่ วันนี้ร่างกายแย่ ขอพักเพียงเท่านี้

ขอต่ออีกนิด นายช่างวิเชียร ช่วยซื้ออุปกรณ์รถขุนแผนและรถปู่ใหญ่ ถวายรวมเงินทั้งสิ้น ๑,๖๖๔ บาท
ขออนุโมทนาที่ทุกท่านที่ทำบุญแล้ว ขอจงมีความสุขสมหวังและรวยใหญ่ทุกท่านเถิด

วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๑

วันนี้พุงไม่ใคร่ดีเพราะกินแล้วไม่ออก มึนหัวมาก แต่เมื่อถึงเวลากลางคืนนอนคอยเวลาหลับ เมื่อมันยังไม่หลับก็จับปากกาเขียนเล่นเพลิน ๆ เป็นการระงับทุกขเวทนาชั่วคราว มีเรื่องเล่าสู่กันฟังเล็กน้อย คือเรื่องท่านปู่ใหญ่ หรือ ท่านสหัมบดีพรหม เรื่องของท่านมีอยู่ว่า

◄ll กลับสู่สารบัญ



18

เรื่องท่านปู่ใหญ่


รถคันที่สั่งต่อใหม่ เป็นรถขนาดใหญ่บรรทุกได้ ๔๒ ที่นั่งที่เขาเรียกกันว่า รถปรับอากาศชั้นหนึ่งราคาไม่มาก เพราะท่านเจ้าของอู่ หรือประธานบริษัททำบุญด้วยหลายแสน เมื่อไปรับรถถามท่านย่าว่า รถคันนี้จะให้องค์ไหนควบคุม ท่านย่าบอกว่าให้ชื่อปู่ใหญ่ก็แล้วกัน เมื่อเป็นชื่อของท่าน ท่านก็คุมเอง ท่านมีบริวารมากทั้งพรหมและเทวดา แต่ละท่านจะช่วยกันเองจึงให้ชื่อว่า ปู่ใหญ่

เมื่อไปดูรถ ดูทีท่าเหมือนจะเสร็จไม่ทัน เพราะมีหลายอย่างที่ช่างยังทำไม่เสร็จ แต่ท่านปู่ใหญ่ท่านบอกว่าเสร็จทันทุกอย่างเรียบร้อยหมด เครื่องยนต์ดีมาก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่เครื่องล่างส่วนของเกียร์เท่านั้นที่จะขลุกขลักนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรปรับปรุงแล้วจะดีมาก

เมื่อรับมาแล้วปรากฏว่า เกียร์ ๕ ไม่ทำงาน ช่างประจำมาบอกว่า ขอเปลี่ยนได้ไหม ได้บอกช่างว่า รถเราใช้งานไม่มาก ออกสงเคราะห์เดือนละครั้ง ขอให้ทำให้พอใช้ได้เป็นพอ ช่างลงมือทำประมาณ ๑๗ นาฬิกา แล้วเสร็จ ๑ นาฬิกา

เมื่อเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา นอนภาวนาตามภาษาคนแก่เห็นชายคนหนึ่ง เห็นเพียงแค่เอวลงมา นั่งไขว่ห้าง ผิวคล้ำ ผอมสูง
จึงถามว่า ใคร
มีเสียงตอบว่า สหัมบดีพรหม ได้ยินแล้วไม่อยากเชื่อ เพราะท่านสหัมบดีพรหมไม่เคยเห็นว่ามีรูปร่างอย่างนั้นเลย ให้เห็นเพียงแค่ขา เอว ก็มองไม่ใคร่เห็นด้วย

จึงถามท่านเวสสุวรรณว่า ใคร
ท่านเวสสุวรรณบอกว่า ท่านสหัมบดีพรหม
จึงหันมาถามท่านว่า ท่านมาธุระอะไร
ท่านบอกว่า มาดูเขาปรับเกียร์รถ

ถามท่านว่า จะแล้วเสร็จเมื่อไร ท่านบอกว่า ตีหนึ่งแล้ว ตีสองเรียบร้อย หมายถึงตีสองช่างนอนหลับเรียบร้อย
ถามท่านว่า เกียร์ต้องเปลี่ยนใหม่ไหม
ท่านบอกว่า ทำแล้วดีมากไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน

เมื่อเวลา ๔ น. ภาวนาไปตามปกติ เห็นท่านย่ากับแม่ของลูกนั่งอยู่ใกล้ ๆ ถามท่านว่า รถเสร็จหรือยัง ท่านย่าตอบว่า เขาบอกว่าเสร็จแล้ว พอรุ่งเช้าจะเจิมรถ ช่างรายงานว่า เกียร์รถปรับปรุงแล้วดีมาก เข้าง่ายไม่ลำบากเลย ช่างที่ทำคือช่างไพบูลย์ เจ้าของอู่ซ่อมรถอุทัยธานี มีช่างประทีปช่วย นที และคนอื่นอีกหลายคนช่วยกัน ขอขอบคุณทุกท่านที่เมตตาช่วยปรับปรุงให้ดี

เรื่องเกียร์นี้ คุณอู๊ด เจ้าของถาวรฟาร์มก็บอก พ.อ.สถาพร มาว่า เครื่องยนต์ประกอบใหม่ ส่วนของเกียร์จะขลุกขลักเป็นธรรมดา เธอบอกว่า ถ้าปรากฏเป็นอย่างนั้น ให้นำรถไปที่อู่ถาวรฟาร์มจะแก้ไขให้ ขอขอบคุณ คุณอู๊ด ถาวรฟาร์มไว้ ณ ที่นี้ด้วย

เรื่องรถผ่านไป มาพูดกันถึงเรื่องเงินบ้าง วันนี้คนมาเยี่ยมน้อย เพราะเป็นวันจันทร์ มาจากนครสวรรค์ ๒ คน กรุงเทพฯ ๓ คน สุพรรณบุรี ๑ คน แปดริ้ว ๑ คน ซึ่งทำบุญไว้ ๑๐,๐๐๐ บาท รายการทำบุญมีดังนี้

ถวายส่วนองค์ ๘๗๐ บาท
สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐,๒๐๐ บาท
รถธรรมทาน ๑,๗๓๖ บาท
สร้างห้องกรรมฐาน ๓,๐๐๐ บาท
สร้างเครื่องไฟฟ้า ๕๔๐ บาท
ทำบุญทั่วไป ๗๕๐ บาท
รวมรับเงินที่รับแขก ๑๗,๐๙๖ บาท

รับเงินทางไปรษณีย์วันนี้

ถวายส่วนองค์ ๕๐๐ บาท
สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๓๐๐ บาท
ถวายกฐิน ๑๔,๐๗๔ บาท
สังฆทาน ๓,๖๓๕ บาท
รถธรรมทาน ๑,๖๓๘ บาท
ทำบุญทุกอย่าง ๑,๕๙๐ บาท
รวมรับเงินทางไปรษณีย์วันนี้ ๒๑,๗๓๗ บาท

อ่านรายรับแล้วดูน่ารวย มาอ่านรายจ่ายบ้าง วันนี้โอนเงินชำระหนี้เฉพาะงานก่อสร้างทั้งหมด ๒,๔๙๒,๙๙๖ บาท ทั้งหมดนี้เป็นเงินที่อาตมาสั่งจ่ายชำระหนี้วันนี้ ไม่รวมค่าใช้จ่ายภายในวัดเงินทั้งหมด รับวันไหนฝากธนาคารวันนั้น พนักงานธนาคารคอยรับทุกวัน ไม่เอาเงินติดตัวไว้ ทั้งนี้เพื่อกันเผลอไปใช้อีลุ่ยฉุยแฉกเดือนนี้ติดลบเยอะ เพราะเงินไม่พอใช้หนี้

เงินสองล้านเศษนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินรับเพื่อเป่ายันต์เกราะเพชร จ่ายกลางเดือนกับสิ้นเดือนเรียบร้อยไปแล้ว ขอให้คอยการเงินแจ้งรายรับจ่ายของวัดประจำเดือนอีกครั้ง ซึ่งเป็นการแจ้ง รับ-จ่ายทุกประเภท ข่าวว่าเดือนนี้ไม่พอจ่ายหลายบาท

เรื่องเมืองยม

หลายวันแล้ว ไม่ได้คุยเรื่องเมืองยมเพราะป่วย ท่านลุง ท่านขอให้พักเรื่องเมืองยมไว้ก่อน ท่านคงคิดว่า ขืนไปเวลาที่ป่วยหนัก ดีไม่ดีกลับไม่ไหว เลยอยู่เมืองยมเลยกระมัง ท่านจึงขอให้พักชั่วคราว เรื่องที่เมืองยมวันนี้มีดังนี้

◄ll กลับสู่สารบัญ



19

เรื่องทำแท้ง


เรื่องมีอยู่ว่า มีหญิงคนหนึ่ง ผิวขาว ร่างท้วม หน้าตาอิ่มเอิบอายุ ๔๒ ปี เธอตาย เจ้าหน้าที่พาไปสำนักพระยายม เรื่องนี้เป็นนิมิตลอยมาให้เห็นไม่ใช่ทิพจักขุญาณ คือเมื่อเวลา ๑๘ นาฬิกาวันนี้ นอนภาวนาตามปกติ อารมณ์เคลิ้มเห็นภาพนี้ที่สำนักพระยายม มีหญิงคนหนึ่ง เด็กเล็กคนหนึ่ง เด็กคนนี้เล็กมากมีสภาพนอน

พระยายมท่านถามหญิงคนนั้นว่า แม่หนูเธอทำแท้งหรือ
เธอรับว่าใช่เจ้าค่ะ
ท่านถามว่า เมื่อทำแท้งแล้ว หลังจากนั้นทำบุญอะไรบ้าง

เธอบอกว่า ที่จำได้ดี เพราะทำเป็นประจำก็คือบูชาพระ ว่า นะโม ๓ จบ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง และสวดอิติปิโส สักกัตวา แล้วตรวจน้ำอุทิศให้ลูกที่ทำแท้ง ขออย่าจองเวรจองกรรมเลย เมื่อถึงปีก็เป็นเจ้าภาพบวชพระทุกปี อุทิศส่วนกุศลให้ลูกที่ทำแท้ง เธอพูดได้ชัดเจนชัดถ้อยชัดคำ ไม่เหมือนรายอื่น ๆ ที่พูดไม่ใคร่เต็มเสียง และมีมากรายไม่พูดเลย พระยายมท่านบอกว่า บุญเธอมีมากและเด็กก็ไม่ได้จองเวรเธอ เธอไปรับผลความดีก่อนคือไปสวรรค์

เมื่อเธอปลอดโทษแล้ว ผลบุญก็ตอบสนองเธอคือมีรูปสวยทันที เครื่องแต่งกายสวยมากแพรวพราวเป็นระยับ ในนิมิตว่า มีโอกาสคุยกับเธอถึงความเป็นมาต่าง ๆ เธอเล่าให้ฟังว่าเมื่ออายุ ๑๗ ปี พี่สาวแต่งงานได้สองปี คลอดบุตร กำลังอยู่ไฟ พี่เขยเธอเข้าห้องผิด ไปเข้าห้องเธอเข้า เธอเห็นใจพี่เขยขณะที่พี่สาวกำลังอยู่ไฟ พี่เขยคงเปลี่ยวใจจึงอนุญาตให้เข้าห้องผิดได้เป็นประจำ

เวลาผ่านไป ๖ เดือนเศษ ผลของการเปิดห้องให้พี่เขยเลยเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาได้ ๒ เดือน เมื่อเห็นท่าเรื่องจะบานปลาย จึงร่วมมือกับพี่เขยหายาขับเลือดอย่างแรง มีความร้อนสูง กินยานั้นเข้าไปสองครั้ง เด็กเลยไหลออกมา

แต่เมื่อฟังผู้ใหญ่พูดกันว่าคนทำแท้งนั้นบาปมาก เพราะฆ่าเด็กในครรภ์ จึงตั้งใจบูชาพระทุกวัน สวดมนต์ เมื่อจบแล้วก็นั่งหลับตานึกถึงลูกที่ตาย ขอให้มารับส่วนบุญและไม่จองเวร อ้อนวอนขอให้พระพุทธเจ้าช่วยทำอย่างนี้เป็นปกติทุกวัน ใส่บาตรพระตอนเช้าทุกวัน อุทิศส่วนกุศลให้ลูกมารับไปกิน เมื่อถึงฤดูกาลบวชพระ ก็เป็นเจ้าภาพบวชพระปีละองค์ทุกปี อุทิศให้ลูก

ต่อมาอายุ ๔๒ ปี ๓ เดือน เธอป่วยเป็นโรคทางเดินอาหาร เธอนึกถึงพระพุทธที่เคยบูชา นึกถึงการใส่บาตร นึกถึงบวชพระ แล้วแต่จังหวะไหนจะนึกอะไรได้ ที่มั่นใจจริง ๆ คือพระพุทธรูปที่บูชา และภาพพระที่บวชเมื่อตอนตายมีคน ๔ คนไปรับ ตอนนั้นเห็นพระพุทธรูปที่เคยบูชาลอยมาองค์ใหญ่กว่าที่เคยบูชา พระพุทธรูปท่านพูดว่า พาเขาไปเถอะ ฉันไปด้วย แล้วท่านก็ลอยนำหน้าไป เมื่อถึงพระยายมท่านก็ยังลอยอยู่ตลอดเวลาการสอบสวน เมื่อพระยายมสอบสวนเสร็จ ภาพพระพุทธรูปจึงหายไป

เมื่อถามเธอว่า เธอจะไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน เทวดา ที่เรียกว่าเทวทูต ที่จะนำเธอไปส่งท่านตอบแทนเธอว่า ไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครับ แล้วท่านก็พาเธอไป ผู้เขียนก็สะดุ้งตื่นพอดี จบเรื่องนี้เพียงเท่านี้ วันนี้ขอหยุดเท่านี้เพราะปวดพุง สวัสดี

วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๑

วันนี้ลงรับแขกเวลา ๑๔ นาฬิกา เพราะทราบว่าไม่มีใครมามาก ท่านผู้มาก็มาถึงเวลา ๑๔ นาฬิกาเศษ คณะแรกมาจากลพบุรี ๒ คน คุยอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็กลับ เอาเงินใส่ซองทำบุญ ๑ ซอง ๑๐๐ บาท ต่อมาชาวสุพรรณบุรีมาหนึ่งคน แปดริ้วหนึ่งคน เป็นคนที่มาพักค้างคืนที่วัด เลี้ยงเพลพระแล้วก็มาร่วมสนทนาด้วย และมีชาวสมุทรปราการมาอีกหนึ่งคน ท่านผู้นี้ถวายสังฆทาน ๑ ชุดเล็ก เป็นอันว่า วันนี้รับเงินจากที่รับแขก ๑๐๐ บาท

ยอดรับ - จ่าย เดือนตุลาคม ๒๕๓๑

๑. รับเงินถวายสงฆ์ เพื่อการก่อสร้าง ๒,๗๘๖,๔๙๔ บาท
๒. ผาติกรรมสังฆทาน ๑,๘๙๑,๔๔๔ บาท
๓. ธรรมทาน ๕๒,๓๘๗ บาท
๔. วัตถุมงคล ๘๓๔,๑๑๐ บาท
๕. องค์แก้ว ๑,๑๓๙,๒๙๗ บาท
๖. แหวน ๔๔๐,๙๘๙ บาท
๗. ถวายส่วนองค์ ๕๖๐,๓๘๑ บาท
รวมรับทั้งสิ้น ๗,๗๐๕,๑๐๓ บาท

รายรับตามที่่เขียนมาแล้วนั้น รวมรายรับที่ซอยสายลมและงานเป่ายันต์เกราะเพชรด้วยแล้ว เงินทำบุญวันเป่ายันต์เกราะเพชรรับทุกประเภทได้ ๔,๑๘๑,๕๒๙.๗๕ บาท

รายจ่าย

จ่ายค่าวัตถุก่อสร้างและใช้จ่ายภายในวัด ๔,๒๒๕,๒๐๘ บาท
ค่าวัตถุมงคล ๖๘๙,๔๖๕ บาท
ค่าแก้ว ๓๒๐,๐๐๐ บาท
รวมจ่ายเดือนนี้ทั้งสิ้น ๕,๒๓๔,๖๗๓.๔๐ บาท
เหลือจากการใช้จ่าย ๒,๔๗๐,๔๓๐.๑๐ บาท

พันธะในการจ่ายข้างหน้าคือ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ๑๐๐ กิโลวัตต์ ๒ เครื่อง ราคาหนึ่งล้านเศษ เครื่อง ๕๐ กิโลวัตต์ ๒ เครื่อง ๑๐ กิโลวัตต์ ๒ เครื่อง ถังน้ำมัน ๑๒,๐๐๐ ลิตร ๖ ลูก และอุปกรณ์อีกพอสมควรประมาณ ๒ ล้านบาทเศษ ที่เหลือจ่ายจากเดือนตุลาคม คงพอจ่ายตามที่กล่าวมาแล้ว

คุยกันแก้ง่วง

วันนี้ร่างกายไม่ดีเป็นปกติคือพุงชำรุด แต่ขอนำเรื่องนิมิตมาเล่าสู่กันฟังก่อน นิมิตนี้ไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่ตาทิพย์โดยตรง เป็นอารมณ์ที่ว่างนิวรณ์เล็กน้อย เมื่อจะเกิด ใช้พิจารณาก่อนเพื่อให้อารมณ์คลายเกาะกาย หลังจากนั้นก็ภาวนา ขณะภาวนาต้องไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอะไร หวังจิตสงบอย่างเดียว สักประเดี๋ยวหนึ่งจะมีอาการเคลิ้มคล้ายจะหลับแต่ไม่หลับ จิตสว่างขึ้นตอนนี้ภาพจะปรากฏ

ถ้าคุมสมาธิได้ไม่นาน พอภาพปรากฏจิตจะเคลื่อนจากสมาธิ ภาพนั้นก็หายไป แต่ถ้าคุมสมาธิได้นานจะได้เรื่องราวปะติดปะต่อกันตลอดเรื่อง นิมิตอย่างนี้บังคับไม่ได้ว่าต้องการรู้อะไรจะรู้ได้ตามใจชอบ ต้องสุดแล้วแต่นิมิตจะปรากฏเอง เท่าที่เขียนมาแล้วเป็นนิมิตประเภทนี้ ทำไม่ยากได้ผลก็ไม่ยาก แต่บังคับสมาธิให้อยู่นาน ๆ ยากหน่อย มาคุยกันต่อไปดีกว่า

◄ll กลับสู่สารบัญ



20

ทายกลงนรก


เมื่อเวลา ๑๘.๓๐ น.เศษ นอนพัก เพราะอาการทางท้องกวนมาก เลยภาวนาแก้เซ็ง พออารมณ์เคลิ้ม ก็เห็นลุงทั้งสองท่านมา
ท่านบอกว่า อย่าเพิ่งตายนะ อยู่ให้โรคภัยไข้เจ็บทรมานเล่นโก้ ๆ ไปอีกสักหน่อยก่อน เมื่อโรคมันอ้วนดีแล้ว จึงค่อยตายดูเถอะคำทักทายปราศรัยของท่านนำสมัยเปี๊ยบเลย หลังจากนั้น

ท่านก็บอกว่า ผมมีละครให้ชมดูตามนี้นะ ท่านพูดจบ เหมือนลอยตามท่านไปสำนักของท่าน เห็นคนรอการสอบสวนมากตามปกติ แต่มีคนคณะหนึ่ง ท่านบอกว่าเป็นคณะทายก อยู่คนละเมืองแต่บังเอิญตายระยะใกล้เคียงกัน ท่านเลยเอามาสอบสวนคราวเดียวกัน

ท่านเรียกคนแรกเข้ามา ท่านถามว่า เคยบวชเป็นเณรมาก่อนใช่ไหม
คนนั้นตอบว่า ใช่ หลังจากนั้นเมื่ออายุครบบวชพระก็มีโอกาสบวชเป็นพระใช่ไหม
และท่านถามอีกว่า เธอเรียนธรรมได้ชั้นสูงใช่ไหม
เธอตอบว่าใช่

ท่านถามว่า ต่อมาเป็นครูสอนธรรมวินัยใช่ไหม
เธอตอบว่าใช่
ท่านถามว่า เมื่อเป็นครูสอนธรรมวิจัย มีลาภสักการะมาก หลงในเงิน เอาเงินสงฆ์ไปใช้ส่วนตัวมากใช่ไหม
เธอตอบว่าใช่

ท่านถามว่า ต่อมาเมื่อศิษย์มากขึ้น มีความรู้สึกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าบางอย่างแข็งเกินไปเช่นบอกว่า ตายแล้ว ถ้าใจชั่วจะไปอบายภูมิ ถ้าใจดีจะไปสวรรค์ เธอดัดแปลงเป็นว่า ตายแล้วสูญ ชาติต่อไปไม่มี ใช่ไหม
เธอตอบว่าใช่

เมื่อเธอสอนคนเขาแบบนั้น เธอก็ทำตามนั้น คือต่อหน้าคนก็เรียบร้อยเคร่งครัด แต่พอลับหลังคนก็ทำตนสบาย กินเหล้ากินข้าวเวลาค่ำ ทำทุกอย่างเหมือนฆราวาส แต่ทำในที่มิดชิดคนภายนอกไม่รู้ ใช่ไหม
เธอตอบว่า ใช่

ท่านถามว่า เมื่อรวบรวมทรัพย์สินได้เรือนแสนก็สึกจากพระ ไปมีเมียและกลับไปเป็นทายกวัดนั้น พระเกรงใจ ชาวบ้านนับถือ เพราะปฏิบัติตนเรียบร้อย เคร่งครัดตามเดิม แต่เงินทำบุญชักเปอร์เซ็นต์จากสงฆ์ประมาณ ๓๐ ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เอาเป็นของตัว ใช่ไหม
เธอตอบว่า ใช่

ท่านถามว่า เธอบวชเณร บวชพระ เป็นทายก ลองบอกมาทีหรือว่า มั่นใจในบุญส่วนใดบ้าง ถ้าเธอมั่นใจในบุญสักอย่างเดียว ฉันจะให้ไปสวรรค์ก่อน เธอนั่งก้มหน้าเฉย ท่านเตือนสามครั้ง เธอก็ก้มหน้าตามปกติ

ท่านบอกเจ้าหน้าที่ว่า หมดภาระของฉันแล้ว เอาไปมอบให้นายนิรยบาลเขา เขาจะเอาไปไหนเป็นเรื่องของเขา ในนิมิตนั้น ท่านลุงให้มองตามเขาไป จะได้รู้ว่าเขาเอาไปไหน ปรากฏว่าเอาไปไว้ในสถานที่เดียวกับเทวทัต มีหอกพุ่งมาเสียบจนไม่มีที่ขยับกาย ไฟพุ่งมาทุกทิศ น่ากลัวมาก เสียวใจเลยสะดุ้งตกใจตื่น เรื่องจบเพียงเท่านี้

ขอต่อเรื่องเงินทำบุญอีกสักหน่อย เมื่อลงรับแขกได้รับ ๑๐๐ บาท แต่เวลากลางคืนฝ่ายการเงินแจ้งมาว่ามีคนทำบุญอีกดังนี้
พรนุช คืนคงดี คนนี้ให้เธอเป็นครูใหญ่โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ให้เงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท เธอถวายคืนตลอดมาทุกเดือน เพื่อหวังธรรมทานในการสอน วันนี้เธอทำบุญมาดังนี้

๑. ถวายเงินเดือนเป็นส่วนตัว ๓,๐๐๐ บาท
๒. ถวายเป็นค่า น้ำ ไฟ ชำระหนี้สงฆ์ ๑,๐๐๐ บาท
๓. สร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ๑,๐๐๐ บาท
รวม ๕,๐๐๐ บาท

คุณปรุง ตุงคะเศรณี ทำบุญดังนี้
มูลนิธิฯ ๕๐๐ บาท
สังฆทาน ๒๐๐ บาท
ค่าไฟฟ้า ๑๐๐ บาท
สงเคราะห์นักเรียน เป็นค่าอาหาร ค่าที่พักนักเรียนที่รับอุปการะ ๕ คน เป็นเงิน ๒,๒๐๐ บาท
รวม ๓,๐๐๐ บาท

รายการวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๑ ที่ยังไม่ได้ลงบัญชี มีดังนี้
ถวายส่วนองค์ ๘๗๐ บาท
สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐,๒๐๐ บาท
รถทัวร์ธรรมทาน ๑,๗๓๖ บาท
สร้างห้องกรรมฐาน ๓,๐๐๐ บาท
ซื้อเครื่องไฟฟ้า ๕๔๐ บาท
ทำบุญทุกประเภท ๗๕๐ บาท
รวม ๑๗,๐๙๖ บาท

รับทางไปรษณีย์
ถวายส่วนองค์ ๕๐๐ บาท
สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๓๐๐ บาท
กฐิน ๑๔,๐๗๔ บาท
สังฆทาน ๓,๖๓๕ บาท
ธรรมทาน ๑,๖๓๘ บาท
ทำบุญทุกอย่าง ๑,๕๙๐ บาท
รวม ๒๑,๗๓๗ บาท

รวมรับเงินวันนี้ทั้งสิ้น ๓๘,๘๓๓ บาท จ่ายไปเรียบร้อยแล้ว

วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๑

วันนี้การเงินยังไม่ได้แจ้งรายรับมา เพราะกำลังฝากธนาคาร เราก็คุยกันไปพลางก่อน เรื่องป่วยเป็นปกติแต่หนักกว่าวันวานนิดหนึ่ง เพราะอาเจียนมากกว่า ปล่อยมัน มันอยากป่วยให้มันป่วยไป เราจะคุยกันก็คุยกันไป

เอาเรื่องอะไรดี ท่านลุงทั้งสองมาและท่านสหัมบดีพรหมท่านก็มา ท่านย่าและใครต่อใครมาเยอะ ท่านย่าบอกว่า ไปบ้านท่านลุงกันเถอะ แล้วก็พากันยกขบวนไป วันนี้ท่านลุงนุ่งผ้าไหมโจงกระเบนโก้จังเลย แลดูตัวป้อมคล้ายมะพร้าวห้าว เมื่อชมท่าน ท่านหันมายิ้ม ท่านบอกว่ากำลังสอบสวนหนัก (ตามนิมิต)

เมื่อไปถึง มีเทวดาเจ้าหน้าที่ต้อนรับคณะที่ไปมากแต่งชุดแดงทั้งหมด ต่างกันแต่ว่ามีเพชรติดตามเสื้อมากน้อยกว่ากันเท่านั้น ที่แดงล้วนไม่มีเพชรเลยก็มี เมื่อยืนในที่ท่านรับรองแล้ว วันนี้เทวดาผู้ใหญ่มามาก โดยเฉพาะท่านสหัมบดีพรหมมา หรือ พระอินทร์ ท่านมา เทวดาจะแต่งกายมีเพชรแบบนี้ ลำพังผู้เขียนมา เทวดาอาจจะแต่งกางเกงในหรือผ้าเตี่ยวก็ได้ เมื่อเข้าที่พร้อมกัน ท่านลุงใหญ่นายบัญชีท่านบอกว่า วันนี้ไม่มีการส่งไปสวรรค์ เป็นพวกนรกทั้งหมดเพราะบาปมาก คอยฟังสักรายก็แล้วกัน

◄ll กลับสู่สารบัญ



21

ขุนนางใหญ่


คนนี้เมื่อเป็นมนุษย์ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าสวย ตำแหน่งการงานใหญ่มาก เจ้าหน้าที่รายงานบาปที่เธอทำ เขาบอกว่า คนนี้เป็นนักปกครองและปกครองใหญ่ ในขั้นแรกทำงานเพื่อความเจริญของชาติ อ้อ ลืมบอกไปว่าจมูกโด่ง คงไม่ใช่คนไทย แต่การทำเพื่อชาติของเธอผิดกฎของกรรมดี เช่น

๑. สอนให้คนในปกครองรุกรานชาติอื่น มีการรบราฆ่าฟันกัน ตายไปมาก เมื่อยึดได้แล้ว ครอบครัวของนักรบที่ตายบ้าง พิการบ้าง ก็รับบำเหน็จไม่เพียงพอ แต่ผู้ปกครองรัฐ และพรรคพวกอยู่ดีมีสุข
๒. เธอเสพสุขในกามคุณตามใจชอบ ใครก็ตามเมื่อต้องการต้องได้
๓. วาทะในการเจรจาดี แต่หาความจริงยาก ส่วนใหญ่พูดแบบนักการเมืองที่ไม่ใคร่โสภานัก แต่เหตุผลดี คนชอบใจ
๔. สุรา เมรัย ดื่มเป็นปกติ และอื่น ๆ อีกมาก

เมื่อท่านลุงฟังแล้ว ท่านถามว่า ตามที่โจทก์กล่าวหามาเป็นความจริงทุกอย่างหรือ เธอก้มหน้าไม่ยอมตอบ พวกเราพากันคิดว่า อีกรายหนึ่งละที่นรกต้องเปลืองเชื้อเพลิงเผา ท่านลุง ท่านไม่ย้ำเรื่องบาป ท่านถามว่า ในชีวิตของเธอเคยให้ทานบ้างไหม เธอเคยสงเคราะห์โดยการช่วยเหลือเนื่องในการงาน (ช่วยทำงาน) มีบ้างไหม เธอนิ่ง เธอเคยคิดจะช่วยคนให้มีความสุขบ้างไหม เธอนิ่ง เมื่อถามเธออย่างนี้ ๓ รอบ เธอไม่ตอบ ท่านลุงสั่งเจ้าหน้าที่ว่า ภาระของฉันหมดแล้ว พาไปให้นายนิรยบาลเขาเถอะ ต่อนี้ไปเป็นเรื่องของเขา

เมื่อเจ้าหน้าที่พาไปแล้ว ท่านลุงบอกว่า คุณดูตามเขาไปเขาไปไหน ปรากฏว่านายนิรยบาลพาไปที่สระดอกบัว เมื่อก่อนที่เธอจะลงไปมีสภาพเป็นน้ำใสสะอาด มีดอกบัวสะพรั่ง ดอกใหญ่สวยมาก มีใบล้อมดอก สวยจริง ๆ พอถึงที่ นายนิรยบาลจับเธอโยนลงไป ลงดอกบัวพอดี เมื่อถึงดอกบัวที่บานคอยอยู่แล้ว เท้าทั้งสองจมลงไปในดอกบัวถึงแข้ง หัวจมลงไปในดอกบัวถึงคอ

ตอนนี้ดอกบัวเปลี่ยนสภาพเป็นเหล็ก น้ำเปลี่ยนสภาพเป็นไฟไม่มีเปลวร้อนแรงมาก ใบบัวกลายเป็นหอกแหลนหลาว ที่คอยเสียบเมื่อเธอดิ้นหล่นลงไป ตัวแดงคล้ายเหล็กถูกเผาไฟแดงโชนเสียงร้องดังมาก เพราะกลีบบัวพอดีช่องให้เสียงออกมาได้ ที่ตรงนี้ ท่านเรียกว่า นรกขุมที่ ๗

ถามท่านลุงว่า บาปเธอมากขนาดนี้ เธอต้องอยู่ที่ตรงนี้นานเท่าไร
ท่านบอกว่า ต้องอยู่ที่ตรงนั้นครึ่งกัป เมื่อครบกำหนดนี้แล้ว ต้องลงอีกหลายขุม พระพุทธเจ้าบรรลุแล้ว ๑๐ พระองค์เศษจึงได้มีโอกาสเป็นเปรต จากเปรตเป็นอสุรกาย จากอสุรกายเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ต้องเกิดเป็นคนที่ถูกทำร้ายร่างกายหลายพันชาติจึงหมดกรรมนี้
ถามท่านว่า คนชาติไหน
ท่านบอกว่า ชาติกวนใจคน (ไอดั๊มแหง)

เมื่อชมบุปผาชาติ อันดารดาษไปด้วยดอกบัวเหล็กแดงเป็นเพลิงเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เรียกชายไทยเข้ามา คนนี้ร่างใหญ่อ้วนผิวดำ กางเกงทำนาเก่ามาก หน้าตาอิดโรยมาก เธอเห็นผู้เขียนเข้า เธอมองไม่ยอมละ ท่านเจ้าหน้าที่ถามเธอ เธอไม่ยอมฟัง เธอมองอย่างเดียว เมื่อเจ้าหน้าที่ถามเธอถึงสามครั้งว่า เธอทำบาปอะไรมาบ้าง ถามแปลก ปกติเป็นโจทก์คราวนี้ถามแบบสอบ เธอไม่ตอบ เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่า ทำบุญอะไรมาบ้าง เธอพนมมือและชี้มาที่ผู้เขียน แต่ไม่พูด

ท่านลุงเลยบอกว่า เอามาให้ฉันนี่
เมื่อเขาส่งมาให้ท่านลุงก็ถามว่า มองดูพระทำไมเธอพูดได้
เธอตอบว่า เคยบวชพระมาหลายพรรษา
ท่านลุงจึงบอกให้พูดต่อไปให้จบ เธอบอกว่า เมื่อบวชพระมีศีลดีพอสมควรสวดมนต์ทำวัตรเสมอ ไม่เคยเจริญภาวนา เคยให้ทาน ซื้อปลาปล่อยพอพูดถึงปลา ปลาหลายชนิดโผล่หน้ามากันสลอนยืนยันว่าจริงตามนั้น เธอถูกเขาจับไปจะฆ่าบ้าง จะขายบ้าง แต่พระองค์นี้ซื้อมาปล่อย จึงมีความสุข

เธอพูดต่อไปอีกว่า เมื่อวาสนาความเป็นพระหมด ก็ลาสิกขา (สึก) มาประกอบอาชีพทำไร่แถวเมืองสุพรรณบุรี มีภรรยามีลูกหญิง - ชาย แต่จน ต้องหาปลามาช่วยยังชีพ บาป แต่ใจก็ยังสนใจบุญ บูชาพระเสมอ ใส่บาตรทุกวัน เทศน์ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ในที่สุดก็ตาย อายุ ๖๗ ปี ฐานะยากจนมาก เธอพูดแล้วเธอก็นิ่ง แต่ตาของเธอไม่ละภาพผู้เขียน

ท่านถามว่า ก่อนเธอจะมาที่นี่เธอนึกถึงอะไร
เธอตอบว่า นึกถึงภาพเมื่อเป็นพระ เพราะเป็นสุขสบายมาก แต่เมื่อสึกออกมาแล้วก็ลำบากมาก อยากบวชพระอีก แต่ก็ห่วงลูกห่วงเมีย เมื่อออกจากร่างภาพเมื่อเป็นพระจับอยู่ที่ใจ แต่เสียงดังโครมที่ฝาเรือนดังขึ้นมาใจหายวาบภาพพระหาย มีภาพคนนุ่งแดง ๔ คนแทน เขาชวนให้มา รู้สึกว่าเสียงเขามีอำนาจมาก
เขาพูดเรียบร้อย เขาบอกว่า ไปเถอะถึงเวลาแล้ว เพียงเท่านี้ก็ตามเขามา

ท่านถามว่า ทำไมมองพระไม่ละสายตา
เธอบอกว่า เห็นภาพพระแล้วสบายใจ จะเอาผมไปทางไหนผมก็ยอมทุกอย่าง แต่ขอให้เห็นภาพพระก็แล้วกัน
ท่านลุงก็บอกว่า เธอมองตามภาพนี้เธอชอบที่ไหน จะไปที่นั่นได้ ท่านก็ให้เห็นวิมานของภูมิเทวดา รุกขเทวดา จาตุมหาราชและดาวดึงส์
เธอมองแล้วเธอก็ถามว่า วิมานทองหลังที่ไม่มีใครอยู่หลังนั้นผมไปอยู่ได้ไหม ชั้นดาวดึงส์

ท่านลุงบอกว่า วิมานของเธอเอง เธอไปอยู่ได้แล้ว เมื่อเธอพ้นจากคอกสอบสวน รูปร่างเธอเปลี่ยนเป็นเทวดาทันที เธอเข้ามาหายกมือไหว้แล้วเธอก็บอกว่า เธอเห็นภาพนี้ และได้ฟังเทศน์ทางโทรทัศน์หลายปีมาแล้ว จำภาพได้ขอบคุณที่มาช่วยผมขอรับ เธอพูดเสร็จกราบแล้วท่านเทวทูตที่นำมา แล้วนำไปส่งวิมานชั้นดาวดึงส์ เฮ่อ เมื่อพูดถึงตอนนี้ก็พอดีตื่น ไม่ได้ลาท่านลุง และไม่ได้ลาทุกท่านที่ไปด้วยกันเรื่องนี้โกหกหรือจริงก็ไม่ทราบ นิมิตปรากฏอย่างนี้ ก็พูดตามนิมิต จบแล

ตอนนี้มาพูดกันเรื่องรายรับประจำวันก่อน
คุณพิไลพรรณ พงษ์พูล ช่วยสงเคราะห์นักเรียน ๑๐๐ บาท
คุณนพดล สุนทรนนท์ ช่วยสงเคราะห์นักเรียน ๑๐๐ บาท

เงินทำบุญเมื่อรับแขกวันนี้
ถวายส่วนองค์ ๑,๔๘๐ บาท
กฐิน ๒๕๐ บาท
สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ บาท
รถทัวร์ธรรมทาน ๓๐๐ บาท
ทำบุญทุกอย่าง ๓๕๐ บาท
รวม ๒,๔๘๐ บาท

รับเงินทางไปรษณีย์
ถวายตามอัธยาศัย ๕๐๐ บาท
สังฆทาน และ กฐิน ๕,๘๑๐ บาท
สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑,๐๐๐ บาท
รถทัวร์ธรรมทาน ๕๐๐ บาท
มูลนิธิฯ และกองทุน ๕๑๕ บาท
รวม ๘,๓๒๕ บาท
รวมรับเงินวันนี้ทั้งสิ้น ๑๑,๐๐๕ บาท

วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๑

ขณะที่เขียนนี้เป็นเวลา ๒๓ นาฬิกา ที่เขียนก็เพราะอยากเขียน ด้วยขณะเขียนยังเดินเข้าส้วมเป็นปกติ วันนี้เป็นวันเริ่มฟื้นจากอาการเกือบตาย อาการใกล้ตายปรากฏมา ๓ วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๑ เป็นต้นมา มีอาการจรของโรค คือเส้นในร่างกายเริ่มแข็งไปทั้งตัว ขาแข็ง หลังแข็ง ท้องแข็ง ปวดท้องมากเกือบทนไม่ไหว คุยกับแขกผู้มาหาก็ต้องทนคุย

แต่แปลกที่บรรดาแขกบอกว่าหน้าตาสดใสมาก เห็นจะเป็นตามโบราณที่ท่านผู้ใหญ่เคยพูดว่า คนใกล้ตายมีนวลขึ้น การถ่ายเคยถ่ายออกแต่สามวันนี้ถ่ายไม่ออก ล้างท้องก็ไม่ออก ออกแต่น้ำที่ใส่เข้าไปคิดว่าคราวนี้คงไปสบายแน่ เพราะตายเมื่อไรมีความสุขเมื่อนั้น แต่ความหวังอาจจะพลาด เพราะมีคนดีมาสงเคราะห์

วันนี้วันที่ ๓ พ.ย. ๒๕๓๑ มีชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๕๐ ปีเศษ หรือ ๖๐ ปี รูปร่างล่ำสัน พูดจาดี มีเหตุผลสุภาพเรียบร้อย ฐานะของท่านรวยหรือจนก็ไม่ทราบ ท่านมีที่ดิน ๗๐๐ ไร่เศษ เป็นเกษตรกรที่มีความสามารถมากเป็นพิเศษ ทางราชการกำลังให้ปริญญาดุษฎีบัณฑิต ด๊อกเตอร์ไทยแลนด์

เมื่อตอนบ่ายวันที่ ๒ ท่านถามว่า หลวงพ่อมีหมอนวดหรือเปล่า บอกท่านว่ามี ท่านถามว่า เก่งไหมครับ ก็ตอบท่านว่า ก็พอนวดได้ แต่ ๒ วันนี้หมอสู้โรคไม่ไหว ท่านจึงบอกว่า ผมจะนวดถวาย จึงนัดพบกันเวลา ๗ นาฬิกาเศษของวันนี้ ท่านนวดเบา ๆ ใช้งาประคบด้วย มีคาถาช่วยนวดของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม เป่าด้วยนวดประเดี๋ยวเดียว เส้นที่แข็งก็อ่อนตัว

ปกติสามวันนี้กินข้าวกินน้ำไม่ลง มันอาเจียนหมด วันนี้อาหารมื้อกลางวันว่าเสียอิ่มเบ้อเร่อ กินได้มาก กินน้ำก็ได้ อาการโปร่ง ท้องที่เคยไม่ถ่ายก็ถ่ายสะดวก คิดว่า สิ้นเดือนตุลานี้ชีวิตจะสิ้นไปด้วย เมื่อมาเจอหมอแบบนี้เข้า เห็นท่าว่าโรคจะสิ้นไปก่อน หมอท่านนี้ท่านไม่บอกชื่อท่าน เพียงท่านบอกว่า ถ้าต้องการให้ท่านมา ให้จดหมายไปอำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ถึง รองประธานสภาเกษตร เท่านี้ถึง

ท่านบอกว่า ท่านนวดสงเคราะห์คนมามากและทำอยู่เสมอ ท่านมีจิตรักพระนิพพานตั้งแต่เด็ก เมื่อพูดถึงฐานะและตำแหน่งงาน เฉพาะรายได้จากสวนลำใยของท่านได้เงินปีละ ๑ ล้านเศษ และยังมีทางได้อย่างอื่นอีกมากพอสมควร ดังนั้นท่านนวดทุกคน ท่านต้องทำด้วยเมตตาแน่ ไม่หวังอย่างอื่น

วันที่ ๔ ผู้เขียนต้องไปซอยสายลมตามนัด หนักใจมากคิดว่าการไปคราวนี้คงแย่ และอาจสอนไม่ได้ครบวัน ท่านขอตามไปนวดที่ซอยสายลมอีก ท่านบอกว่า ถ้านวดให้ครบ ๓ วัน อาการโรคคงสลายตัวแน่ แต่ทว่างานที่ซอยสายลมนั้น วันเดินทางไปถึงเท่านั้นที่พอนวดได้ หลังจากนั้นแล้วไม่มีเวลา คิดว่าถ้าท่านเมตตาวันหน้าอาการคงดีขึ้นตามที่พระท่านพยากรณ์ วันนี้ดึกมากแล้ว ปวดท้องอยากเข้าส้วม ขอพักกันเพียงเท่านี้ อยากจะคุยอีกก็คุยไม่ไหว ขอลาเข้าส้วมและเข้าที่นอนต่อไป สวัสดี

วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๑

วันนี้อาการทางร่างกายดีขึ้นพอควร เวลา ๑๙ นาฬิกา พ.อ.สถาพร พงษ์พิทักษ์ มานวดให้ พอคลายอาการเครียด ที่ต้องเว้นการเขียนมาหนึ่งเดือน เพราะป่วยหนักมาก ตอนนี้พอมีแรงบ้าง มาคุยกันต่อไป

◄ll กลับสู่สารบัญ



22

นิมิตบอกอาการตาย


เมื่อคืนวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ เมื่อเขียนหนังสือพอตาลายไม่เห็นเส้นหมึกก็เลิกเขียน หลังจากนั้นก็ว่าเพลงภาวนาบ้าง พิจารณาบ้าง ตามความสบายของอารมณ์ เหมาะอย่างไหนเอาอย่างนั้น พอได้จังหวะก็เคลิ้ม แต่ยังไม่หลับสนิทก็เกิดมีอาการผิดปกติ คือมีความรู้สึกว่าลอยไปจากที่นอน ลอยขึ้นไปสูงมากไม่เห็นเมฆไม่เห็นดวงอาทิตย์ ไม่เห็นวิมานชั้นฟ้าใด ๆ เลย ไม่ทราบว่าไปที่ไหน

บริเวณที่ผ่านไปมีความรู้สึกว่าสูงมาก แต่พื้นบริเวณที่เห็นก็มีต้นไม้ มีแผ่นดินปกติที่เป็นอยู่ทุกวัน เมื่อไปสุดทางก็ลงนั่งพักในที่แห่งหนึ่ง ในที่นั้นเป็นพื้นดิน มีต้นไม้แต่ไม่มีอาคารบ้านเรือน ไปนั่งอยู่ข้างประตูกำแพง กำแพงนั้นดูด้านนอกมีสีและสภาพเหมือนกำแพงดิน หนาและสูงมาก มีประตูใหญ่สำหรับเดินเข้าออก

เมื่อนั่งลง มองผ่านประตูเข้าไปเห็นภายในกำแพงซึ่งเป็นกำแพงยาวมาก หาที่สุดมิได้ ข้างในกำแพงมีอาคารสวย มียอดเป็นยอดมณฑป แพรวพราวเป็นแก้วสะท้อนแสงอาทิตย์ สว่างไสวสวยงามมาก แต่ไม่มีคนเดินพลุกพล่านเงียบสงบดี มองไปทางไหนก็สวยสดมากเหลือเกิน มีความรู้สึกว่า สถานที่นี้แยกกันเพียงกำแพงกั้น แต่ความสวยสดต่างกันมาก กำแพงก็เช่นกัน

ภายนอกมีลักษณะเป็นดิน แต่ด้านในเป็นแก้วแพรวพราว เวลานั้นมีความรู้สึกว่า อยากเข้าไปอยู่ภายในอาคารกำแพง เพราะเห็นอาคารหลายหลังยังว่างอยู่ ไม่มีเจ้าของ เมื่อมีความรู้สึกอยากเข้าไป ยังไม่ทันลุกจากที่ เห็นมีพระสงฆ์ ๒-๓ องค์ เดินเข้ากำแพงไป

จึงตัดสินใจว่า พระที่ท่านเข้าไปนั้น ท่านมีดีไม่เกินเราเลย อะไรที่เป็นความดีของท่านสิ่งนั้นเราก็มีสมบูรณ์แล้ว มีความรู้สึกต่อไปอีกนิดหนึ่งว่า ท่านทรงความดีเต็มตามปกติ เรามาจากพื้นฐานพุทธภูมิ มีกำไรมากกว่า เมื่อท่านเข้าได้ เราก็ควรเข้าได้เช่นท่าน จึงตัดสินใจว่าเข้าไปละ

พอคิดจะขยับตัวลุกขึ้น แต่ไม่ทันลุกจากที่ ก็มีพระสงฆ์องค์หนึ่ง ผิวคล้ำ รูปร่างใหญ่ เนื้อเต็ม ค่อนข้างสูง ท่านออกมายืนที่ขอบประตูด้านหนึ่งที่ผู้เขียนนั่งอยู่ ท่านพูดว่า คุณยังไม่ต้องลุกขึ้น ในสถานที่นี้คุณมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ได้แน่นอนตามที่คุณคิด แต่คุณยังเข้าไปไม่ได้ คุณหันหลังไปดูอะไรซิ เมื่อหันหลังไปดูตามที่ท่านบอก เห็นผู้คนมากเหลือเกิน ไม่ได้นับ

แต่เวลานั้นมีความรู้สึกว่าไม่น้อยกว่า ๗,๐๐๐ คน หรือ ๗,๐๐๐ คนเศษ เธอทั้งหลายนั่งอยู่แบบมีระเบียบ เมื่อมองหน้าก็จำได้ว่า คนทั้งหมดนี้เคยทำบุญร่วมกันในชาตินี้ แต่เธอทั้งหมดยังไม่ตาย และมีคนกำลังเดินมาพอถึงท้ายกลุ่มนั่งลงเป็นระยะ ๆ มองนานเท่าไรก็ไม่หมด

พระท่านจึงพูดว่า คุณเห็นไหมคนที่เขาพูดอุตส่าห์เสียสละทรัพย์สินทำบุญกับคุณ บางคนก็มีทุนจำกัด ทำพอที่จะทำได้และหลายคนทำเกินทุน ในเวลาเดียวกันทำบุญแล้วทำบุญอีก คนละหลายเที่ยว ส่วนใหญ่กว่าจะกลับบ้านก็หมดตัว และมีเป็นจำนวนมากที่ทำบุญเกินหมด คือเงินที่นำมาหมดแล้ว ยังขอยืมเพื่อนทำบุญต่อไปเพราะไม่อิ่มในการทำบุญ

เมื่อเขามีความดีขนาดนี้ เขาเสียสละขนาดนี้ เขาทำเพื่อหวังตามคุณไปเมืองแสนสวยที่มีความสงบ มีแต่ความสุขเยือกเย็น ไม่มีอารมณ์ขัดข้องกระทบใจแม้แต่น้อย ถ้าคุณไปก่อน พวกเขาจะว้าเหว่ ไหน ๆ ก็อยู่เลยเวลามาหลายสิบปีแล้ว อยู่รอให้คนทั้งหมดพร้อมและครบอีกสักหน่อยไม่ได้หรือ คุณตั้งใจรอ หรือไม่ตั้งใจรอก็ตามใจคุณ

ท่านสั่งมาให้ผมห้ามคุณเข้าประตู ผมก็กล่าววาจาห้ามคุณตามที่ท่านสั่งมา จงระลึกไว้เสมอว่า ถ้าคนของคุณไม่พร้อมเพียงใด คุณจะผ่านประตูนี้ไปไม่ได้เลย ฟังท่านพูดแล้วก็อ่อนใจ เพราะตั้งท่าจะเข้าประตูนี้มาแล้วเกือบ ๔๐ ปี โอกาสที่จะเข้าได้หลายคราวแล้ว แต่ก็ถูกยับยั้งทุกคราว มีความรู้สึกว่า เป็นกรรมของสัตว์อย่างเรา สิทธิ์มีอยู่แต่ก็ไม่สามารถรับผลตามสิทธิ์ได้

เมื่อมองดูคณะท่านศาสนิกก็เห็นใจและก็เป็นจริงตามที่ท่านบอก ทำบุญกันคนละหลายรอบต่อวันมีมากมาย ทุกคนทำบุญเป็นทางสู่แดนบรมสุข เราขออยู่สู้ทุกขเวทนาเพื่อลูก ๆ ต่อไป เมื่อคิดอย่างนี้พระท่านก็พูดต่อไปว่า

คุณกลับไปสร้างสถานที่ให้เสร็จ เรื่องการเงินท่านหาให้เอง ใครทำบุญกับคุณก็คือทำบุญกับท่านโดยตรง เพราะคุณเป็นตัวแทนเท่านั้น ทุกอย่างเป็นของท่านหมด เมื่ออาคารเสร็จ คุณสอนกรรมฐานตอนกลางวันเอง เริ่มเวลาบ่ายโมง สอนเขาแล้วไปรับแขก เมื่อคุณสอนเอง ผลจะเกิดแก่ผู้ปฏิบัติดีกว่าเวลานี้มาก คุณป่วยมาหลายปีสอนไม่ได้ แต่พออาคารเสร็จร่างกายจะดีขึ้น จะสอนได้ อาคารหลังสุดท้ายที่ท่านสั่งทำจะเป็นอาคารที่สร้างกำลังใจแก่นักปฏิบัติ เขาจะมีผลมหาศาลอย่างที่คุณคิดไม่ถึง เมื่อพวกนี้พร้อมครบจำนวนเมื่อไร คุณไปในแดนนั้นได้ทันที อาคารภายในกำแพงนี้ ส่วนด้านซ้ายมือทั้งหมด เป็นอาคารที่จะรับรองคุณ และคณะของคุณ

ถามท่านว่า ทั้งหมดมีกี่หลัง
ท่านตอบว่า มีเกินสี่แสนหลัง
ถามท่านว่า ท่านชื่อไร
ท่านตอบว่า ผมเป็นหัวหน้าพระธุดงค์สมัยพระพุทธเจ้า

ถามท่านว่า ชื่อ พระมหากัสสปะ ใช่ไหม ท่านหายไปเลยพร้อมกับมีความรู้สึกตัวตื่นจากหลับ มองดูเวลาเห็นนาฬิกาบอกเวลา ๒ น.เศษ ก็ลุกเดินเข้าส้วม กลับออกมากินยาแล้วนอนภาวนาหลับไป

เป็นอันว่า ฉันสัตย์ผู้ตกยากมีบ้านก็ไปอยู่ไม่ได้ ร่างกายที่มีอยู่ก็มีแต่ทุกข์ทรมาน แต่เมื่อทราบผลบุญของลูกหลานว่าภายหน้าจะมีความสุขใหญ่ ก็อยู่ต่อสู้กับทุกขเวทนาต่อไป เพื่อผลคือความสุขของลูกหลานที่รัก

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))




◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 28/7/10 at 15:29



23

นิมิตบอกเหตุน้ำท่วมภาคกลาง

เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๓๐ นอนภาวนาแก้เหงา เห็นภาพน้ำท่วมเลยพื้นที่วัดอยู่ ตกใจ คิดว่าปี ๒๕๓๑ น้ำท่วมแน่ ถ้าท่วมงานก่อสร้างที่กำหนดไว้ว่า งานส่วนใหญ่จะต้องแล้วเสร็จไม่เกินเดือนมีนาคม ๒๕๓๒ เห็นจะเป็นไปไม่ได้ หนักใจมาก เพราะร่างกายก็ป่วยมากขึ้นทุกวัน มีอาการอาเจียนเป็นเสมหะวันละประมาณ ๑ กระโถนเคลือบ ทุกวัน อาเจียนแต่ละคราวเหนื่อยใจแทบขาด

หวังจะเลิกสร้างเพราะร่างกายทนไม่ไหว พระท่านสั่งสร้างอาคาร ๑๐๐ เมตร ในเนื้อที่ ๒๗ ไร่ สร้างวิหารคตรอบพื้นที่มีสะพานเชื่อมติดต่อกันตลอด สร้างพระพุทธรูปหนักตัก ๔ ศอก ๖๔ องค์ สร้างมณฑป ๒ หลัง สร้างหอพักนักเรียนหญิง ๓ ชั้น กว้าง ๘ เมตร ทำสะพานคอนกรีต ๒ ชั้นเชื่อมศาลาใหญ่ สร้างรั้วสามชั้น ซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ๑๐๐ กิโลวัตต์ ๔ เครื่อง ๕๐ กิโลวัตต์ ๒ เครื่อง สร้างโรงไฟฟ้า ๒ หลัง สร้างกำแพงรอบพื้นที่ ๑๒๐ ไร่

และอาคาร ๑๐๐ เมตร หรือวิหาร ๑๐๐ เมตร ทำเป็นพิเศษ ประดับกระจกทั้งหลัง ทั้งภายนอกและภายใน สร้างพระพุทธชินราชไว้ในวิหาร สร้างพระอรหันต์ ๗ องค์ หล่อรูปผู้เขียนไว้ในวิหาร สร้างรูปพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้ที่เฉลียงวิหาร ทำเฉลียงด้านหน้า กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๐๘ เมตร พื้นปูหินอ่อนทั้งหมด สร้างชานหัวท้าย กว้างด้านละ ๘ เมตร ยาวด้านละ ๒๐ เมตร ปูหินอ่อนทั้งหมด งานเก่ายังไม่เสร็จท่านสั่งสร้างเพิ่ม

เมื่อท่านสั่งก็ทำ แต่เห็นท่าจะแล้วไม่ทัน และสร้างวิหารคตในเนื้อที่ ๒๐ ไร่ทางด้านใต้ แต่เมื่อเห็นภาพน้ำท่วมก็ตกใจ คิดว่าคงเสียเวลาก่อสร้างไม่น้อยกว่า ๔ เดือน เพราะน้ำท่วมหลายคราวแล้วเสียเวลาคราวละ ๔ เดือนเสมอ พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ และเมษายน ๒๕๓๑ เห็นภาพน้ำท่วมแบบเดิมอีก

คิดว่าคราวนี้หนีน้ำท่วมไม่พ้นแน่ จึงไปหาพระท่าน ขอให้ท่านช่วยให้น้ำหลีกไป ท่านบอกว่า ฉันช่วยให้หลีกไปสามครั้งแล้ว คราวนี้ช่วยให้หลีกไม่ได้ แต่จะช่วยให้น้ำหลีกไปบางส่วนท่วมไม่สูงนัก เพราะถูกแบ่งไปทางอื่น และจะให้ฝนมาเร็วกว่ากำหนดในเมื่อน้ำในแม่น้ำยังไม่เต็ม น้ำฝนมาด้านหลัง จะไม่มีทรัพย์สินเสียหาย แต่ต้นไม้ที่ปลูกใหม่อาจจะตายไปเกิน ๗๐ เปอร์เซ็นต์

ในที่สุดก็เพลียกลับมา ได้พยายามเร่งรัดช่างขอให้รีบทำเพราะน้ำจะท่วม ช่างก็ระดมทำ แต่งานใหญ่และมาก แต่ก็แล้วเสร็จก่อนน้ำมา ไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องหยุดงานไป ๔ เดือนเศษ เป็นอันว่า งานต้องไปแล้วเสร็จกันก่อนมีนาคม ๒๕๓๓ แน่ แล้วเสร็จเฉพาะงานใหญ่ ส่วนงานย่อยนั้นยังทำอีกนาน ขนาดงานย่อยก็ต้องจ่ายอีกเดือนละไม่น้อยกว่า ๒ ล้านบาท แต่ถ้าหาเงินไม่ได้ก็เลิกทำ

เมื่อวาระถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๓๑ น้ำงวดแรกมา ท่วมไปครั้งหนึ่ง น้ำครั้งแรกยังค้างอยู่น้ำครั้งที่สองก็มาทับเข้าอีก เป็นอันว่า น้ำทับน้ำ งานก็ต้องหยุดนิ่ง ต่อไปก็เป็นเรื่องน้ำท่วมปักษ์ใต้

◄ll กลับสู่สารบัญ



24

น้ำท่วมปักษ์ใต้


เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ กำลังเตรียมตัวไปจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อถวายกฐินที่วัดทุ่งหลวง และวัดโขงขาว พอจัดของเสร็จก็นอน นอนลงพอหัวถึงหมอน ภาพนิมิตน้ำท่วมปรากฏขึ้นครั้งแรกเป็นภาพน้ำไหลเหนือพื้นดิน แต่ไหลแรงมาก ระดับน้ำสูงมาก ครั้งที่สองเห็นน้ำตกไหลจากภูเขาเป็นบริเวณกว้างมาก ไหลแรงมาก แต่ไม่ได้คิดว่าน้ำจะท่วมภาคใต้ คิดว่าน้ำคงเล่นภาคกลางอีกระลอก และก็ไม่ได้ตรวจสอบนิมิตว่า น้ำท่วมที่ไหนแน่

ด้วยปอดลอยเข็ดน้ำท่วม ซึ่งยังไม่แห้งสนิท ยังทำงานก่อสร้างไม่ได้ คิดในใจว่า ถ้าโดนเข้าอีกแบบนั้น ที่วัดก็ต้องลอยคอกันแน่คิดไปถึงชาวบ้านจะเสียหายกันมาก ดีไม่ดีบ้านช่องจะพังเพราะกระแสน้ำแรง คิดเพียงเท่านี้อ่อนใจเต็มทีก็เลยหลับไป เป็นอันว่าคืนนี้ขอพักเพียงเท่านี้ เพราะดึกมากแล้ว ตาลาย หมดแรง ขอพักก่อน พรุ่งนี้ถ้ามีแรงคุยกันใหม่

วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๑

วันนี้ตื่นนอนเช้า ทำภาระกิจเสร็จแล้วลงไปกินข้าวเช้า ร่างกายโงนเงนเดินใกล้ล้ม แต่ทว่าเมื่อคืนนี้นอนหลับดี หลับตั้งแต่ห้าทุ่มเศษ ตื่นเกือบหกโมงเช้า เป็นคืนแรกของปี พ.ศ. ๒๕๓๐ - ๒๕๓๑ ที่นอนได้หลับสนิทและระยะนาน ก่อนหลับเห็นท่านแม่ แม่ของลูก ท่านลุง ท้าวมหาราช ท่านพ่อทั้งสอง และพระท่านสงเคราะห์ให้เห็น รู้สึกสบายใจมากแล้วก็หลับไป ต่อนี้ไปคุยกันเรื่องน้ำดีกว่า

น้ำท่วมภาคใต้ต่อ

วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ เดินทางไปเชียงใหม่ ได้ข่าวว่าฝนตกและน้ำท่วมภาคใต้ฉับพลัน คิดในใจว่า โล่งอกไปทีที่ไม่ต้องลุยน้ำเป็นระลอกที่สาม และที่สี่ เมื่อทราบข่าวก็คิดถึงนิมิตที่เห็น คิดว่าภาคใต้คราวนี้ถ้าอาการจะมาก รู้สึกห่วงลูกหลานภาคใต้ ภาวนาขออย่าให้เธอมีอันตรายเลย เพราะภัยจากน้ำคราวนี้คงหนักมาก

เมื่อกลับมาถึงวัด ก็ได้ทราบข่าวจากวิทยุว่าภาคใต้น้ำท่วมสูงมาก อันตรายจากน้ำหนักมาก เสียหายกันมาก รู้สึกสลดใจ เรื่องน้ำท่วมนี้ตนเองก็โดนมาหลายครั้งแล้ว คราวนี้ออกไปช่วยให้ใครไม่ได้ เพราะป่วยมาก ของที่คิดว่าจะเตรียมไว้ตั้งแต่หน้าแล้งก็เตรียมไม่ได้เพราะเงินไม่มี ตั้งใจจะซื้อข้าวเปลือกไว้สีเป็นข้าวสารก็ซื้อไม่ลง เพราะเกวียนละ ๔ พันบาทเศษเกือบห้าพันบาท เงินมีเล็กน้อยซื้อไม่ได้

การช่วยเหลือ

ทำได้เพียงเอาลูกของพวกที่ถูกน้ำท่วมมาเลี้ยงไว้ ๒๘๗ คน เลี้ยงและให้ทุนเรียน จ้างครูสอนจนถึงชั้น ม.๖ ลงทุนเทอมละหนึ่งล้านบาทเศษ ก็ได้อาศัยลูกหลานที่รักทั้งหลายช่วยกัน ถ้าลูกหลานเลิกช่วยเมื่อไร การเลี้ยงดูก็ต้องเลิกเมื่อนั้น คิดว่าเมื่อทุกคนจะไปด้วยกัน คงไม่มีใครทิ้ง เพราะการสงเคราะห์เด็ก เป็นการลงทุนไปเมืองแก้วที่มองเห็น มีมากแล้วที่มีทุนเกือบพร้อม พวกที่ไปนั่งรวมกันหน้าประตูเมือง พวกนี้รอการสะสมบุญให้เต็มบริบูรณ์เท่านั้น เพียงไม่ละ ทาน ศีล ภาวนา ไม่ช้าก็พร้อมเสร็จ

◄ll กลับสู่สารบัญ



25

เรื่องเคราะห์จากน้ำ


มีหลายคนมาถามเรื่องกฎของกรรมของผู้ถูกน้ำท่วม ก็ตอบให้ทราบแน่นอนไม่ได้ เพราะไม่รู้จริง ขอเอาเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ที่มีมาในพระธรรมบทมาเล่าสู่กันฟัง จะตรงหรือไม่ตรงกับภัยน้ำท่วมคราวนี้หรือไม่ก็ไม่ทราบ

ในพระธรรมบทท่านกล่าวไว้ว่า วิธูฑภะ ยกทัพไปสังหารพวกสักยะราช เมื่อกลับมายังไม่ทันถึงเมือง ถึงเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง จึงพากันนอนพักทัพที่ชายทะเล คนบางพวกนอนบนตลิ่ง คนบางพวกนอนที่หาดทราย คนสองพวกนี้มีกรรมไม่เสมอกัน พวกที่จะต้องตายเพราะคลื่นน้ำพัดไปที่นอนบนตลิ่งก็รำคาญมดกวน ลงไปนอนที่หาดทรายสบายดี เพราะนอนเป็นสุข

พวกที่นอนที่หาดทราย เป็นพวกที่จะไม่ต้องตายเพราะน้ำพาไป ก็บอกว่านอนที่หาดทรายมดกัด ไปนอนบนตลิ่งสบายดี นอนเป็นสุข เมื่อยามดึกทุกคนหลับสนิท คลื่นใหญ่ซัดเข้ามา คนที่นอนที่หาดทรายถูกคลื่นเอาไปในทะเลหมด ส่วนพวกที่นอนบนตลิ่งปลอดภัย

ต่อมาเรื่องนี้ทราบถึงพระสงฆ์ โดยที่ชาวบ้านนำไปบอก พระไปถามพระพุทธเจ้า ว่าเป็นเพราะอะไรจึงตายหมู่แบบนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า พวกที่ตายหมู่เพราะน้ำเป็นพวกที่ในชาติอดีตคนพวกนี้ร่วมกันเบื่อปลา จึงร่วมกันตายหมู่แบบนั้น ส่วนคนที่ไม่ตาย เพราะไม่ได้ร่วมกับเขา

เรื่องนี้จะเข้ากับเรื่องน้ำท่วมได้หรือไม่ก็ไม่ทราบ น้ำท่วมคราวนี้ ทั้งภาคกลางและภาคใต้มีทั้งตายและไม่ตาย ที่ไม่ตายก็เสียหาย ที่ภาคกลางบางคนบอกว่า น้ำท่วมและน้ำลดเร็วในบางพื้นที่ข้าวในนาดีมาก เพราะเมื่อน้ำมาข้าวยังไม่ออกรวง พอน้ำลดข้าวออกรวงเลยได้ข้าวดีกว่าทุกปี

◄ll กลับสู่สารบัญ



26

เรื่องของโบราณ


เป็นเรื่องเก่าที่ฟังกันมาตั้งแต่เด็ก คุณตาเล่าให้ฟัง เวลานั้นบ้านเมืองของไทยยังมีป่ามาก ริมแม่น้ำบางสายมีต้นไม้ใหญ่ คนตัดไม้มีน้อย ตัดด้วยมือป่าไม้ไม่สลายตัว คนไทยมีความสุข หากินสะดวกมาก หากิน ๑ วัน นอนพักไป ๓ วันยังไหว ครั้งหนึ่งมีเรื่องฝนตกหนักในป่า ไม้ท่อนที่หักลงมาเพราะต้นไม้ผุพัง ลมพัดให้หักบ้าง ไหลลงมาจากยอดเขา ชนบ้านเรือนพังทะลาย คนตายไปหลายคน

เมื่อทราบข่าวนี้แล้ว วันพระคุณตาท่านไปรักษาอุโบสถที่วัดฟังพระเทศน์ตอนเช้า มีตอนหนึ่งที่พระท่านเทศน์ ท่านบอกว่า ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระวิปัสสีทศพล มีชาวเมืองเมืองหนึ่งซึ่งเป็นเมืองที่มีทหารมากและเก่งในการรบ ชอบรบกวนเมืองที่เล็กกว่าตีเอามาเป็นเมืองขึ้น พระราชาเป็นคนหนุ่ม มัวเมาด้วยอำนาจและความโลภ ไปรบแล้วยึดเมืองและทรัพย์สินของพ่อเมืองและของชาวเมืองเขาเอามาเป็นสมบัติ

แล้วก็แบ่งแก่พลเมืองของตัวที่ไปร่วมรบ คราวหนึ่งไปล้อมเมืองแห่งหนึ่งตีเท่าไรก็เข้าเมืองไม่ได้ ในที่สุดก็หาทางยิงธนูไฟเข้าไปเผาเมือง เมื่อภายในเมืองคนรวนเรเพราะไฟ ก็นำกำลังเข้าไปในเมืองฆ่าฟันคนล้มตายลงเป็นอันมาก พระที่ท่านเทศน์ ท่านก็ยังเทศน์ต่อไปอีกว่า พระราชาสมัยนั้นลงอเวจีมหานรกยังไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์เลย ส่วนพวกทหารบางพวกที่ทำกรรมไม่มากนัก และพวกสนับสนุน มาเกิดเป็นคนในสมัยนี้

กรรมที่ตามสนองคือพวกที่ฆ่าฟันคน ล้มตายแล้วยึดทรัพย์สินมา ในที่สุดก็ถูกลมใหญ่พัดเอาน้ำฝนมา ทำให้น้ำท่วมทรัพย์สินเสียหาย ตนเองก็ต้องตายเพราะน้ำท่วมและไม้ซุง ส่วนพวกที่สนับสนุน ก็ได้แต่เสียหายและหิวโหย น้ำและลมพัดพาเอาทรัพย์สินลอยน้ำไปหรือจมดินจมทรายไปบ้างเรื่องที่พระท่านเทศน์สมัยเมื่อเป็นเด็ก ช่างตรงกับเรื่องน้ำท่วมปัจจุบันนี้จริง ๆ แต่กฎของกรรมจะเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ ก็ไม่ทราบได้ แต่ทว่าอาการเหมือนกันจริง ๆ

น้ำท่วมคราวนี้ คนเมืองใต้ยังโชคดี ที่รัฐบาล พลเอกชาติชายชุณหวัน ท่านพร้อมเพรียงและตั้งใจช่วยจริงจัง ได้เงินมากได้ของมาก ภาวนาว่า ขอให้ถึงมือผู้อดอยากได้รับเคราะห์กรรมโดยทั่วถึงกันเถิด อย่าให้มีกรรมอะไรมาริดรอนเธออีกเลย ขณะที่เขียนอยู่นี้ ทราบจากหนังสือพิมพ์ว่า น้ำฝนมาภาคใต้เป็นระลอกที่สองอีกแล้ว อ่านแล้วสลดใจมาก พระเป็นปลาซิว มีกำลังนิดหน่อย แต่อยากจะคาบเหยื่อไปเลี้ยงกลุ่มช้าง ก็ได้แต่คิด ทำไม่ได้ เพราะกำลังไม่พอ รัฐบาลท่านร่วมกันช่วยดีแล้ว ขออนุโมทนาด้วย

◄ll กลับสู่สารบัญ



27

นิมิตก่อนไปเชียงใหม่


การเดินทางไปคราวนี้นำรถไปสองคัน คือรถท่านปู่ใหญ่มีกำลัง ๒๘๐ แรงม้า เป็นรถปรับอากาศชั้นหนึ่ง และรถขุนแผนมีกำลัง ๑๘๐ แรงม้า เป็นรถปรับอากาศชั้นสอง เมื่อคืนวันที่ ๑๘ มีนิมิตเกี่ยวกับการเดินทาง ในนิมิตเห็นกลุ่มไฟเป็นลูกกลมประทุขึ้นมาจากห้องเครื่องของรถตำรวจที่เป็นรถนำ แต่ทว่ารถไม่มีอันตราย และต่อมาเห็นคนขับรถปู่ใหญ่หัวหายไปใหม่ ๆ

ผู้เขียนเองนั่งใกล้คนขับรถคลำที่คอของเธอ คอเธอไม่มี หายไปพร้อมหัวบ่าตรงคอตั้งยังมีเลือดไหล สำหรับผู้เขียนเอง มีมือมือหนึ่งเอาเสื้อยันต์แดงที่วัดทำขึ้นมา เอามาสวมให้ เมื่อเห็นนิมิตแล้วก็หนักใจ คิดว่าการเดินทางคราวนี้อุปสรรคใหญ่อาจจะมีเป็นแน่ เมื่อรู้สึกตัวก็ภาวนา แล้วไปหาพระ เทวดา และพรหม ขอให้ท่านเมตตาช่วยอย่าให้มีอันตรายหนักเลย

ท่านรับปากช่วย ท่านบอกว่า อาจมีบ้างแต่ก็เล็กน้อยไม่มาก แต่คนขับรถมีเคราะห์กรรมมาก ฉันจะช่วยประคองให้กลับถึงวัด ต่อจากนั้นไปจงอย่าให้เธอขับรถใหญ่อีก เพราะชะตาไม่ถึง ถ้าขืนให้ขับอีกอาจจะช่วยไม่ได้ เมื่อทราบคนเดียวไม่มีคนอื่นทราบด้วย ก็นั่งสังเกตการณ์เอาก่อน เรื่องมีแก่รถตำรวจสองครั้ง คือขลุกขลักระบบไฟหัวเทียน

ส่วนคนขับรถใหญ่ไม่มีการคล่องตัว ทำงานไม่มีผลสมบูรณ์ทั้งเที่ยวไปและกลับ จึงให้เธอหยุดขับรถใหญ่ ขับแต่รถเล็กต่อไป ส่วนชะตาหัวขาดนั้นสังเกตตามอารมณ์ของเธอ คิดว่าถ้าเธอละจริยานั้นไม่ได้อาจจะถูกออกจากงานที่ทำประจำอยู่ ไม่ใช่งานขับรถ เธอมีงานทำของเธออยู่แล้ว

◄ll กลับสู่สารบัญ



28

นิมิตบอกว่าป่วยมาก


พักที่วัดโขงขาว กลางคืนเห็นถาดเงินลูกใหญ่ ในถาดมีดอกกุหลาบสีแดงเต็มถาด มีเสียงบอกว่า อาการทางร่างกายจะป่วยหนักทางท้อง จะเป็นมากอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ไปอยู่เชียงใหม่ ๔ คืน ท้องร่วงขนาดแรงคืนละ ๕ ครั้งทุกคืน

เช้าขึ้นก็ทนทำงานตามหน้าที่ หูพล่า ตาลาย เสียงพูดก็เกือบจะไม่ออก ต้องรวบรวมกำลังหลายกำลังรวมกัน จึงพอทำงานในหน้าที่เสร็จไปได้ ท้องปวดจนตัวงอ พูดไม่ออก แต่บังเอิญเป็นตอนกลางคืน กลับมาวัดแล้วก็ยังเป็นอย่างนั้น ต่อมาท่านย่าให้กินยา ๕ เจดีย์ช่วย ค่อย ๆ คลายตัวมาตามลำดับ และค่อย ๆ คลายมาจนเขียนหนังสือนี้ได้ จึงขาดงานเขียนหนังสือมา ๑ เดือน

คิดว่า เมื่อเล่ม ๓ นี้พิมพ์แล้ว เล่ม ๔ กว่าจะออกได้ก็คงงานทำบุญเดือนมีนาคม ๒๕๓๒ แต่ก็เอาแน่ไม่ได้ เพราะมีภาระมาก ถ้าเขียนจบเมื่อไรก็ออกได้เมื่อนั้น เป็นอันว่า วันนี้ขอหยุดเพียงเท่านี้ เพราะตามองไม่เห็นตัวหนังสือมาหลายหน้ากระดาษแล้ว

วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๑

วันนี้ต้องเปลี่ยนแปลงการทำหนังสือนี้ใหม่ เพราะว่าเขียนไม่ไหวมาหลายวัน ท่านจะเห็นว่าวันที่ที่เขียนจะห่างกันมาก ทั้งนี้เพราะว่า ภารกิจมีบ้าง แต่อาการร่างกายไม่ดีมาก จึงต้องเว้นมานาน วันนี้ไม่ได้เขียน ใช้พูดบันทึกเสียง แต่ก็ต้องไม่ถือว่าเสียงเป็นสาระ จะดีหรือไม่ดี ไม่มีความสำคัญ เอาแค่พูดกันรู้เรื่องหนังสือเล่มนี้รู้สึกว่า รายรับ รายจ่าย แพรวพราวไปหมด เรื่องเกี่ยวกับการเงิน

ทั้งนี้ก็เพราะว่า มีพระองค์หนึ่งเข้ามาถามว่า รายรับ รายจ่าย มีเป็นประการใดบ้าง ทำการก่อสร้างอย่างนี้ จึงได้เขียนให้ทราบว่า รายจ่ายมันเกินรายรับ แต่ก็ได้รับความเมตตาจากบรรดาท่านพุทธบริษัท ช่วยกันสงเคราะห์ให้ผ่านพ้นหนี้ไปได้ทุกปี เมื่องานกฐิน สำหรับรายรับต่าง ๆ ที่บรรดาท่านผู้อ่านอ่านมาแล้ว จะเห็นว่ามีรายรับสูง ก็ลองมาดูรายจ่ายกันบ้าง รายรับมีเท่าไร ลองบวกเข้ามารวมให้ดี

แล้ววันนี้ปรากฏว่าจะพูดเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน จ่ายไปตอนสิ้นเดือนจริง ๆ ๓,๗๘๓,๗๖๕ บาท ก็เป็นอันว่ารายจ่ายท่วมรายรับเป็นของธรรมดา เพราะงานเกี่ยวกับการเร่งรัด อยากจะให้แล้วเร็ว ๆ ต้องเร่งรัดทำ น้ำก็มาทับ ทำเสียอีก ๔ เดือน สร้างไม่ได้ ๔ เดือน

ตอนนี้มาถึงเรื่องเครื่องไฟฟ้า ที่พูดมาแล้วก็ไม่ค่อยตรง ที่ไม่ตรงเกี่ยวกับการตัดสินใจไม่ทราบว่าต้องใช้กำลังเท่าไรกันแน่เป็นอันว่าตกลงใจแน่นอนแล้วว่า ซื้อเครื่องไฟฟ้าจุดประจำเพื่อสงฆ์ ๑๐๐ กิโลวัตต์ ๒ เครื่อง ผลัดเปลี่ยนกัน เช้ากับกลางคืนแล้วก็ซื้อ ๑๐๐ กิโลวัตต์ ๒ เครื่อง เพื่อวิหาร ๑๐๐ เมตร ทั้ง ๒ เครื่องจุดประดับวิหาร ๑๐๐ เมตรด้วย

เวลามีงาน แล้วก็จะใช้สลับกับบรรดาเครื่องใช้เพื่อสงฆ์ รวมใช้เพื่อสงฆ์ และวิหารรวมแล้วเป็น ๔ เครื่องด้วยกัน เครื่องใช้เพื่อสงฆ์ประจำวันจริง ๆ ๑๐๐ กิโลวัตต์ ๒ เครื่อง และประจำวิหาร ใช้สลับกันเพื่อสงฆ์อีก ๒ เครื่อง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ไฟฟ้าดับไม่ได้ ถ้าเครื่องใดหรือ ๒ เครื่อง เป็นอะไรขึ้นมา อีก ๒ เครื่องยังอยู่ และก็ ๕๐ กิโลวัตต์ จุดประจำวิหารอีก ๒ เครื่อง รวมแล้วจะต้องซื้อเครื่องไฟฟ้าจริง ๆ ๖ เครื่องคือ ๑๐๐ กิโลวัตต์ ๔ เครื่อง แล้วก็ ๕๐ กิโลวัตต์ ๒ เครื่อง


puy - 31/7/10 at 14:40

ก็เป็นอันว่าขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทโปรดทราบทุกสิ่งทุกอย่างพูดมานี่ไม่มีสตางค์ แต่จะค่อย ๆ ผ่อนส่งเขา ทั้งนี้ก็เพราะว่าการใช้ไฟฟ้าที่ผ่านมา ถ้าหากว่าต้องจ่ายให้แก่องค์การไฟฟ้าเดือนละ ๑๒๐,๐๐๐ บาท ตามที่แล้วมา ก็จะมีกำไรเหลือเดือนละ ๕๐,๐๐ บาทเศษ นี่ใช้เครื่อง ๒๐๐ กิโลวัตต์ปั่น ถ้าใช้เครื่อง ๑๐๐ กิโลวัตต์ปั่น ลดไป ๑๐๐ กิโลวัตต์

เพราะพอใช้ก็คงจะจ่ายจริง ๆ ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ หรือ ๔๐,๐๐๐ บาท ต่อ ๑ เดือน เวลานี้ก็จ่ายจริง ๆ ๖๐,๐๐๐-๗๐,๐๐๐ บาท ต่อ ๑ เดือน แต่ความจริงใช้ไฟฟ้าขององค์การ ๑๒๐,๐๐๐ บาทเศษ ต่อ ๑ เดือน เดือนสุดท้าย และต่อไปถ้าใช้ไฟมากขึ้น ก็จะต้องจ่ายเกินกว่าเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ก็เป็นอันว่าหาให้ไม่ได้ ที่เลิกใช้ก็เพราะว่า ไม่มีสตางค์จะจ่ายให้แก่องค์การ ก็ไม่มีเรื่องอะไรมาก

ต่อนี้ไปก็มาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้เห็นจะไม่ต้องผ่านสำนักลุง จะเล่าถึงคนไปสวรรค์ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปสวรรค์ คือไม่ต้องผ่านสำนักพระยายม ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบุญบารมีของท่านมีความเข้มข้น ถึงแม้ว่ากำลังใจจะเป๋ไปบ้าง แต่ก็มีกำลังเข้มข้น ท่านประเภทนี้ตายจากความเป็นคนไม่ต้องไปสู่สำนักพระยายม ไม่ต้องมีการสอบสวน ไม่ต้องเอาพระยายมจัดสรร ตรงไปสวรรค์ทันที เรื่องต่าง ๆ ก็คงจะผ่านกันมา คือ รู้จักกันมาดี แต่ก็ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อการทบทวนเพื่อหนังสือเล่มนี้

เรื่องแรกก็ขอนำ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มาก่อน บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะได้ทราบว่า การไปสวรรค์จริง ๆ เวลาตายจากความเป็นคน ถึงแม้ว่ากำลังใจจะไม่เข้มข้น หรือว่าทำบุญมาไม่มากนัก จะเป็นการทำบุญชั่วจับพลัดจับผลูนิดหน่อยเพียงประเดี๋ยวเดียว หรือชั่วขณะหนึ่ง แต่ว่ามีความจริงใจ และยิ่งกว่านั้น การตั้งใจเพื่อทำบุญอาจจะไม่ตรงนัก

ตั้งใจเพื่อประโยชน์อย่างอื่น แต่บังเอิญไปตรงจุดของบุญเข้า อย่างนี้บุญก็บันดาลให้คนนั้นไปสวรรค์ได้ อันนี้จะเป็นตัวอย่างแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ตัวอย่างก็คือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ที่เอาท่านผู้นี้มาอ้างก็เพราะว่า เป็นพุทธพจน์บทพระบาลี ของพระพุทธเจ้า เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าตรัสเอง

เรื่องราวก็มีอยู่ว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีนี่ความจริง ตระกูลนี้ไม่ใช่ตระกูลนับถือพระพุทธศาสนา เป็นตระกูลนับถือพราหมณ์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เป็นพราหมณ์ที่เหยียดหยามพระพุทธศาสนาด้วย ไม่มีความเคารพ พราหมณ์นั้นแบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่นับถือศาสนาพราหมณ์โดยตรง ไม่ยอมเคารพนับถือพุทธศาสนานี่ก็มี แต่พราหมณ์ที่มีเหตุมีผล เห็นว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงสอนตรงตามความเป็นจริง ยอมรับนับถือ มีเหตุมีผล อย่างนี้ก็มี

ทีนี้ตระกูลพราหมณ์ของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนี่ เป็นตระกูลที่ไม่ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า เป็นอันว่า ทำอย่างไรเขาก็ไม่นับถือ แล้วก็บิดาของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็เป็นอาจารย์ของพราหมณ์ เป็นคณาจารย์ใหญ่ แต่ว่าอยู่ในฐานะคหบดีคือ คนรวยมาก ท่านผู้นี้มีลูกชายคนเดียว คือ ท่านมัฏฐกุณฑลี แต่ความจริงคนนี้เป็นมนุษย์ชื่ออะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ว่าสมัยที่เป็นเทวดามีต่างหูเกลี้ยง จึงได้นามว่า มัฏฐกุณฑลี

ต่อมาลูกชายป่วยท่านพ่อแสนจะขี้เหนียว คือ เพียงจะซื้อยาให้ลูกชาย หรือจะหาหมอมารักษาให้ลูกชายก็สามารถทำได้ แต่ท่านไม่ทำ เพราะเป็นคหบดีนี่มีทรัพย์นับเป็นสิบโกฏิ ไม่ใช่นับเป็นร้อย กลับเสียดายสตางค์ที่มีอยู่ ไปถามหมอว่า “ลูกชายฉันเป็นโรคผิวเหลือง จะรักษาด้วยยาอะไรดี” หมอเขาก็บอกยากลางบ้านแบบธรรมดา ๆ แกได้ตำรายากลางบ้านมาแล้วก็ปรากฏว่า มาตำ มาต้ม หรือมาโขลกมาตำ ให้ลูกชายกินมันก็ไม่หาย ไข้ก็ทรุดตามลำดับ

เมื่อลูกชายไข้ทรุดมาก ท่านก็มีความรู้สึกว่า เวลานี้ลูกชายนอนอยู่ในห้องที่เป็นมงคล เป็นสิริ คือ ห้องสวย ๆ ข้างในมีทรัพย์สินมาก มีเครื่องประดับประดามาก ถ้าบังเอิญญาติของเรารู้ข่าวว่า ลูกชายของเราป่วย เขาก็จะมาเยี่ยม แต่คนที่มาเยี่ยมนั้น ถ้าบังเอิญเห็นของที่ชอบใจ ขอเรา ถ้าไม่ให้กัน ก็เป็นการขัดใจกัน ทางที่ดีหลบเรื่องนี้ เพื่อเป็นการไม่ทะเลาะกัน หลบเสีย

จึงเอาลูกชายมานอนที่ระเบียงบ้าน ซึ่งไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นเครื่องประดับ ลูกชายก็อาการป่วยหนักขึ้นทุกวัน ทวีคูณขึ้น พ่อก็ไม่ยอมหายาอย่างดีมารักษาโรค ตำยา ต้มยา ตามที่หมอกลางบ้านเขาบอก เขาบอกธรรมดา ๆ ต่อมาอาการทรุดหนักขึ้น แม้แต่แขนขาก็ยกไม่ขึ้น ความตายปรากฏชัด

แต่ทว่าพ่อหนุ่มน้อยมัฏฐกุณฑลี เธอก็ยังไม่อยากจะตาย ไม่มีความรู้สึกว่าเวลานี้จะต้องตาย คิดแต่เพียงในใจว่าเราต้องหายจากโรคนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า “ปมาโท มัจจุโน ปทัง ความประมาทเป็นทางของความตาย” ความจริงอาการตายปรากฏชัด แต่เธอยังไม่คิดว่าตาย แต่ว่าเธอจะหันไปหาพ่อ หาแม่ ก็หมดทางที่พ่อแม่จะช่วยเหลือ พ่อแม่ก็ไม่สนใจเท่าทรัพย์สินที่มีอยู่

ในที่สุดทุกขเวทนาเครียดมาก จึงมีความรู้สึกว่า ชาวบ้านเขาลือกันว่า พระสมณโคดมท่านเป็นพระใจดีมาก มีเมตตาสูงย่อมสงเคราะห์ไม่ว่าใคร แต่เวลานี้เราป่วยหนัก อยากจะให้องค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระสมณโคดม มารักษา เราจะได้หายจากโรค

ขอบรรดาท่านผู้อ่าน หรือว่าท่านผู้ฟัง โปรดพิจารณาด้วยว่า ความรู้สึกของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ไม่ได้มีความรู้สึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า ในด้านของความดีอย่างอื่น แต่เขามีความรู้สึกว่า พระองค์มีความเมตตาไม่เลือกบุคคล แต่ใจของเขาเวลานั้นก็นึกอยากจะให้พระพุทธเจ้ามาช่วยรักษาโรค อาศัยที่เจตนาตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าให้เป็นหมอรักษาโรค

ความจริงถ้าเพ่งดูจริง ๆ แล้ว มันไม่ตรงกับบุญนัก ถ้าตรงกับบุญก็ต้องยอมรับนับถือในความดี ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน แต่นี่เปล่า เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น เขาต้องการ ให้มาช่วยรักษาโรคให้หาย แต่พระพุทธเจ้าก็มีพระมหากรุณาธิคุณ ในตอนเช้าทรงเสด็จมา บิณฑบาต กับพระอานนท์ผ่านบ้านพราหมณ์ บ้านนั้นเขาก็ไม่ไหว้พระพุทธเจ้า ไม่ยอมใส่บาตรด้วย ไม่ยอมยกมือไหว้เมื่อพระพุทธเจ้าผ่านไป

เวลานั้นมัฏฐกุณฑลีนอนตะแคง เอาหน้าเข้าหาฝา เห็นแสงสว่างประกายพุ่งมาเข้าตาของเธอ ก็สะดุดใจเหลียวไป กลับตัวนิดหนึ่ง เหลียวไปเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรกับพระอานนท์กำลังเดินบิณฑบาต เธอจับภาพพระพุทธเจ้าขณะเดินบิณฑบาต กับภาพพระอานนท์ กับแสงที่ปรากฏกับตาของเธอ นึกถึงพระพุทธเจ้าว่า ขอพระสมณโคดม จงสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าหายจากโรคเดี๋ยวนี้เถิด

ขณะที่เธอนึกอยู่อย่างนั้น แทนที่มันจะหายจากโรค กลับหายจากความเป็นคน นั่นก็คือ ตายจากความเป็นคน เธอตายเวลานั้นก็ไม่ผ่านสำนักของพระยายมเพราะนึกถึงพระพุทธเจ้า ตรงไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกได้วิมานทองคำสูงมาก ใหญ่มาก แล้วก็เธอก็เป็นเทวดาประจำที่นั้นมีต่างหูเกลี้ยงจึงมีนามว่า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร

หลังจากลูกชายตายพิธีของพราหมณ์ ตามบาลีไม่ได้บอกชัดว่า ฝังหรือเผากันแน่ แต่ประเพณีปัจจุบันที่เมืองแขก เขาเผากัน แต่เวลานั้นอาจจะฝังก็ได้ เพราะคนยังน้อยปรากฏว่าเวลาตอนเช้า ๆ ท่านพ่อก็ไปที่ปากหลุมฝังศพของลูก ไปยืนพรรณนาขอให้ลูกชายกลับมาเกิดใหม่ เพราะเป็นลูกคนเดียว

ต่อไปจะไม่มีใครรับมรดกเป็นผู้ปกครองทรัพย์สมบัติเธอไปพรรณนาอยู่นั้นกี่วันก็ไม่ทราบ บาลีเขาไม่ได้บอกชัด บอกไว้แต่เพียงว่า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เห็นพ่อไปยืนพรรณนาอยู่ที่นั่น ตั้งใจให้กลับมาเกิดใหม่ เป็นลูก ก็มีความรู้สึกในใจว่า พ่อของเรานี่เป็นคนพาลคำว่า “พาล” บรรดาพุทธบริษัทเขาแปลกันว่า “โง่” เป็นคนพาลคือ เป็นคนโง่ ไม่ยอมนับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อเวลาเรามีชีวิตอยู่ก็ขี้เหนียว แสนจะเหนียว จะกินจะใช้ ก็ไม่ค่อยกิน ไม่ค่อยใช้ มีเท่าไรเก็บหมด ยอมอดมื้อกินมื้อ ยอมกินของเล็ก ๆ น้อย ๆ หมายความว่า ของที่มีค่าไม่สูง แม้จะมีรสไม่อร่อยก็พร้อม กินเพื่อเก็บทรัพย์สิน เวลาเราป่วยไข้ไม่สบาย ก็ไม่ประสงค์จะรักษา ค่ายา ซึ่งเป็นของไม่มากนัก ค่าหมอ เป็นของไม่มากนัก ในบ้านมีเงินตั้งหลายสิบโกฏิ

ก็ไม่ยอมเสียสละเงินค่ายาเพื่อเรา ไม่ยอมหาหมอรักษาเรา ปล่อยให้เราต้องนอนทุกขเวทนา ใช้ยากลางบ้านซึ่งไม่ถูกกับโรค กิน ในที่สุดเราก็ต้องตาย แต่ว่าการที่มาได้อาศัยพระสมณโคดมบรมครูคือพระพุทธเจ้า ทรงสงเคราะห์เราขณะที่เสด็จไปทรงบิณฑบาตแผ่แสงให้ปรากฏชัด เมื่อเราเห็นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์แล้ว จึงได้มีความนับถือ ยอมรับนับถือ คิดว่าขอพระองค์ช่วยให้หายโรค

แต่อาการร่างกายมันเกินวิสัยที่ทรงอยู่ อาศัยที่นึกถึงองค์สมเด็จพระบรมครู ไม่ตรงกับความเป็นบุญนัก คือ ไปตรงกับความต้องการให้รักษาโรค มันก็ไม่ใช่บุญถนัด แต่ถึงกระไรก็ดี แม้แต่เพียงบุญเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ก็สามารถทำให้เราเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่มีเครื่องประดับเป็นทิพย์ มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความเป็นอยู่อย่างเป็นทิพย์ มีความสุขมาก มีนางฟ้าหนึ่งพัน มีร่างกายเป็นทิพย์ เป็นบริวาร

แต่พ่อของเรานี้จมปราณอยู่กับความโง่ เราต้องไปทรมานพ่อ ให้มีความรู้สึกเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ คือ มีความเห็นถูกคลายจากความโง่ เมื่อท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรคิดอย่างนี้แล้ว ก็ลงมา แปลงเป็นคนเหมือนรูปเก่า เหมือนรูปเดิม เห็นพ่อยืนร้องไห้อยู่ปากหลุม เธอก็มายืนร้องไห้บ้าง ใกล้ ๆ กับพ่อ

ท่านพราหมณ์เห็นมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมายืนอย่างนั้นก็เข้าใจว่า ชายคนนี้เหมือนลูกชายของเรา ถ้าได้ไว้เป็นลูกจะดีมาก จึงเข้าไปใกล้ ถามว่า “พ่อคุณเอ๋ย เธอร้องไห้ทำไม” ชายคนนั้นคือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ถามว่า “คุณลุงร้องไห้ทำไม” คุณลุงก็ตอบว่า “ฉันร้องไห้ถึงลูกชายของฉัน ลูกชายของฉันกำลังเป็นหนุ่มเป็นแน่น เป็นคนน่ารัก เป็นคนดีมาก (ชม ตอนนี้ชม)

แต่ทว่าเธอต้องมาตายซึ่งอายุยังน้อย ฉันมีลูกคนเดียว ไม่มีใครปกครองทรัพย์สิน ถ้าลูกของฉันอยู่ จะมีโอกาสได้ปกครองทรัพย์สิน แต่ถ้าหากว่าลูกของฉันตาย ถ้าเธอกลับมาได้ ฉันจะให้ปกครองทรัพย์สินใหม่ หรือมิฉะนั้น ถ้าเธอไม่รังเกียจ เป็นลูกบุญธรรมของฉัน ฉันจะให้ปกครองทรัพย์สินแทนลูกชายของฉัน”

ท่านมัฏฐกุณฑลีได้ฟังก็นึกในใจว่า พ่อของเราเมื่อเราอยู่ ยาก็ไม่หา ไม่ยอมซื้อยาที่ถูก หมอก็ไม่รักษา ขี้เหนียวที่สุด แต่เวลานี้กลับเห็นเรา ซึ่งเป็นคนอื่น จะยอมมอบทรัพย์สมบัติให้กับบุคคลนั้น จึงถามว่า “ท่านร้องไห้ทำไม” ลุงก็บอกว่า “ฉันร้องไห้ ต้องการให้ลูกชายฉันมาเกิดใหม่” ก็รวมความว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีฟังแล้วก็คิดว่าตายจริง พ่อเรานี่โง่มาก คนตายแล้วมันเกิดได้เมื่อไหร่

และท่านลุงก็ถามว่า “เธอร้องไห้ทำไม” ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ตอบว่า “ฉันร้องไห้นี่เพราะว่า ฉันมีรถทองคำอยู่คันหนึ่งสวยมาก แต่ยังหาล้อที่เหมาะสมไม่ได้” ท่านคหบดีก็ถามว่า “เธอต้องการอะไร ต้องการล้อเงิน หรือล้อทอง ฉันจะจัดให้ตามความประสงค์” มัฏฐกุณฑลีก็คิดว่า นี่เราคนอื่น เธอจะให้ล้อเงิน กับล้อทอง แต่ว่าเวลาที่อยู่ไม่ยอมรักษาให้ ทรัพย์สมบัติก็ไม่ให้ จะไปไหนขี้เหนียวสตางค์ก็ไม่ค่อยให้

จึงแกล้งบอกว่า “ฉันต้องการ ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ มาเป็นล้อทั้งสองข้าง ดวงอาทิตย์ล้อข้างหนึ่ง ดวงจันทร์ข้างหนึ่ง” ท่านพราหมณ์ก็เอะใจ คิดว่า ไอ้เจ้าเด็กนี่บ้า ก็เลยบอกว่า “เธอบ้า เพราะว่าดวงจันทร์ กับดวงอาทิตย์ ใครจะนำมาได้” ท่านมัฏฐกุณฑลีก็ถามว่า “โภ ปุริสสะ ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ คนที่ต้องการสิ่งที่มองเห็น กับคนที่ต้องการสิ่งที่มองไม่เห็น ใครจะบ้ามากกว่ากัน

เวลานี้ลูกชายของท่านอยู่ที่ไหน ท่านทราบไหม” พราหมณ์ก็บอกว่า “ไม่ทราบ” “ในเมื่อฉันต้องการดวงจันทร์ กับดวงอาทิตย์ที่ฉันเห็นได้ แต่ท่านต้องการ ลูกชายที่เห็นไม่ได้ ผมกับท่านใครจะบ้ามากกว่ากัน” เป็นอันว่า พราหมณ์ยอมรับว่า บ้ามากกว่าเขา ในที่สุดมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็แสดงตนเป็นเทวดาประกาศให้ทราบว่าตัวท่านเองคือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เป็นลูกชายของท่าน

พราหมณ์เวลานี้ไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พราหมณ์ก็ถามว่าไปได้เพราะเหตุใด ท่านก็ตอบว่า ก่อนจะตายเห็นพระสมณโคดมกับพระอานนท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนึกถึงพระสมณโคดม ขอให้มาช่วยรักษาโรคให้หาย แต่ก็เป็นการบังเอิญ มันไม่หาย แค่นึกถึงชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตร ตายจากความเป็นคน ก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางฟ้าเป็นบริวาร ๑,๐๐๐ คน มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่

จึงแนะนำว่า ต่อนี้ไปขอพ่อโปรดเคารพองค์สมเด็จพระบรมครู จงถวายทานในสำนักของท่าน จงรักษาศีลในสำนักของท่าน จงฟังเทศน์ในสำนักของท่าน ตายแล้วจะไปสวรรค์ ท่านมัฏฐกุณฑลีว่าแล้ว ก็ลากลับไป หลังจากนั้น พราหมณ์ ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ กลับไปบ้าน ดีใจ บอกแม่บ้านว่า “วันนี้ ฉันจะไปนิมนต์พระสมณโคดม กับพระสาวกมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ทำกับข้าวให้มาก” แล้วก็หลีกไป

ครั้นเมื่อไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว เวลานั้นปรากฏมีชาวบ้านหลายพวก สองฝ่าย พวกของพราหมณ์บ้าง พวกพุทธศาสนาบ้าง ต่างคนต่างตามไป พวกของพราหมณ์คิดว่าวันนี้เราต้องการดู อทินกบุพกพราหมณ์คือ พ่อมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เขาชื่อว่า อทินกบุพกพราหมณ์ ย่ำยีพระสมณโคดมสำหรับพุทธบริษัทก็คิดว่า วันนี้เราจะดูลีลาพระพุทธเจ้าที่สอนพราหมณ์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ คนทั้งสองฝ่ายก็ไปยืนร่วมกันที่นั่น

เมื่อไปถึงแล้วเขาก็ยกมือไหว้องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ แล้วกล่าวว่า “พระสมณโคดม (เขายังไม่ยอมรับนับถือ) ผมอยากจะทราบว่า คนที่ไม่เคยใส่บาตรกะท่าน ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยยกมือไหว้ในสำนักของท่าน นึกถึงชื่อท่านอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ มีไหม” องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า “พราหมณะ ดูกว่าพราหมณ์ คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียวตายแล้วไปสวรรค์ ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ

หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงเรียกมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรให้มาพร้อมวิมาน มัฏฐกุณฑลีมาแล้ว ก็ลงจากวิมานมากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์โปรด เมื่อเทศน์จบ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน คนที่ยืนฟังอยู่นั่นต่างบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านผู้รับฟัง หรือผู้อ่านที่นำเรื่องนี้มา อาจจะยาวไปหน่อยก็เพราะว่า ต้องการให้ท่านทั้งหลายทราบว่า คนที่ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ถึงแม้ว่ากาลก่อนจะไม่เคยยอมรับนับถือมา แต่เวลาใกล้จะตาย ก่อนจะตายถ้านึกถึงชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาอย่างมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร อย่างนี้ตายแล้วไปสวรรค์แน่นอน

ไม่ต้องผ่านสำนักพระยายม แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้เปรียบกว่ามัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาก เพราะว่าทุกคน ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้ามาในกาลก่อน และปัจจุบันก็ยังยอมรับนับถืออยู่ เวลานี้ทุกคนก็ยังมีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมครู ถ้าหากว่าทุกท่านจะซ้อมความรู้สึกนึกถึงพระพุทธเจ้า คือตื่นขึ้นจากที่นอนสัก ๒-๓ นาที ว่าความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ที่มีแล้ว ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ

แล้วก็ตั้งใจรักษาความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง สมมติว่าตั้งใจจะให้ทานพระพุทธเจ้าแนะนำว่า ทานเป็นของดี ก็คิดในใจว่า เราต้องการให้ทาน ถ้าโอกาสจะพึงมี เพียงเท่านี้ จิตใจของท่านจะตั้งอยู่ในพุทธานุสสติกรรมฐานกับจาคานุสสติกรรมฐาน ถ้าเวลาตายบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อย่างเลวที่สุดก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถ้าอย่างสูงที่สุดก็เห็นจะต้องเป็นนิพพาน

เพราะว่าพระพุทธโฆษาจารย์ รจนาวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวว่า บุคคลใดเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นประจำ คนนั้นไปนิพพานง่ายที่สุด

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มองเวลาก็หมดเวลาพอดี เหลือเวลาจริง ๆ เพียง ๕๔ วินาที ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง หรือผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๓

ท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่านทั้งหลาย ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่า ตอนนี้เป็นเทปบันทึกเสียง เนื่องด้วยเขียนไม่ไหว ที่กล่าวมาแล้วกล่าวถึงความตาย ความจริงเรื่องความตายมีเรื่องเล่าสู่กันฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบอกว่า คนเราจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้

แล้วก็คนโบราณ โบราณสมัยนี้ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่า ลอกมาจากตำรับ ก็ไม่ทราบว่า ตำรับเล่มไหนเหมือนกัน ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต เรื่องนี้สำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัทประเดี๋ยวจะเล่าเรื่องสมัยพระพุทธเจ้า คนที่เห็นนิมิตสมัยนั้นมาเล่าสู่กันฟัง คุยกันตอนนี้เสียก่อน

คนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ
๑. เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่า คนนั้นตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักของพระยายม
๒. ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓. ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔. ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล ของที่เคยให้ทาน หรือวัดที่เคยทำบุญ พระที่เคยไหว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่า สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศลอย่างนี้ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ไปสู่สุคติ

ตามที่ท่านเขียนมาอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ใช่ต้องการพิสูจน์แต่ก็เข้าไปประสบโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือ มีอยู่่ว่า มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ จวน นามสกุลว่าอย่างไรจำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเวลาสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก เป็นนายกฯ เวลานั้นก็เกณฑ์คนไปทำงานที่ เพชรบูรณ์ ตามลีลาที่เขาเล่ากันบอกว่า ตั้งใจจะต่อต้านญี่ปุ่น ว่าอย่างนั้น

ชาวบ้านพูด แต่ท่านจอมพลแปลก ไม่ได้พูดให้ฟัง แต่ท่านมาแถลงการณ์ทางวิทยุทีหลัง ก็คล้ายคลึงแบบนี้ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น จะเอานักเรียนนายร้อยไปไว้ที่นั่น เป็นผู้บังคับหมวด อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นอันว่า เมื่อเลิกสงคราม เธอเลิกงานมาแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็นโรค เป็นไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรค คือ เป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด

วันหนึ่งเป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็พอดีกลับมา เขาบอกว่า จวนป่วยหนักเป็นเวลาเย็น ประมาณสัก ๔ โมงเย็น ก็นิมนต์พระไปเป็นเพื่อน ๔ องค์ อาตมาด้วย ๑ องค์ เป็น ๕ องค์ ที่ไปเป็นเพื่อนไม่ใช่คิดว่ากลัวใครจะทำร้าย ที่นำไปแบบนั้นก็คิดว่าคนป่วยหนัก ถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะว่าตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นกุศล คนนั้นจะไปสวรรค์

พอไปถึงเข้าจริง ๆ จวน ก็อาการหนักจริง ๆ หายใจเบา หายใจช้า ๆ แล้วก็เบาลง ๆ แต่ว่า
อาตมาไปนั่งข้าง ๆ ก็เรียกชื่อ “จวน จำฉันได้ไหม”
เธอเหลียวหน้ามา ก็พยักหน้าตอบว่า “จำได้” เสียงเบามาก
ก็ถามเธอว่า “เวลานี้เห็นอะไรไหม ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง”
เธอก็ตอบว่า “เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า” เธอก็แสดงอาการหวาดกลัวมาก กลัวไฟ เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่า ท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตตามที่ท่านเขียนไว้ปรากฏ นึกในใจ ไม่พูด คิดว่า นิมิตอย่างนี้ ถ้าเห็น ไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูก

ถามว่า “จวน ภาวนาว่า พุทโธ ได้ไหม”
เธอส่ายหน้าบอกว่า “คิดไม่ออก” จึงหันไปหาภรรยาเขา
อาตมาก็จำชื่อภรรยาไม่ได้ ลืมเสียแล้ว ถามว่า “มีสตางค์ไหม”
เธอก็บอกว่า “มี”

ก็เลยบอกว่า “ถ้ามีละก็ ขอสัก ๒๐ บาท ได้ไหม” เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาท มาให้ อาตมาก็ไปใส่มือจวนเอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือ
บอกว่า “จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตาย หรือไม่ตายนั้น ไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกัน ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ คิดว่าของต่าง ๆ ในวัดทั้งหลาย ที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท”

เธอก็พูดเบา ๆ ตาม แล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระท่านบอกว่า “คุณทั้งหลายถ้าเห็นชอบให้ สาธุ พร้อมกัน รู้สึกว่า จิตใจของเธอสดชื่นขึ้นมามาก
ถามว่า “จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง”
เธอก็ตอบ “ไฟหายไปแล้ว”
ถามว่า “เธอเห็นภาพอะไร”
เธอบอก “เห็นภาพพระประธานในอุโบสถวัดบางนมโค” เพราะว่าเธอบวชวัดนั้น เธอก็ไปทำวัตรไปประจำ

ถามว่า “เห็นชัดไหม”
เธอก็บอก “เห็นชัด อยู่ใกล้มาก”
ก็บอก “จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ” แทนที่เธอจะนึกในใจ
เธอก็ออกเสียงว่า “พุทโธ ๆ ๆ ๆ” เบา ๆ เธอว่าไปสัก ๓-๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลง แต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย

ถามว่า “จวน เวลานี้เห็นพระไหม”
เธอตอบว่า “เห็นพระ”
ถามว่า “ชัดขึ้นไหม”
เธอก็ตอบว่า “ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างมากใหญ่กว่าเดิมมาก”

บอก “ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็น คือ ภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์”
เธอยิ้มนิดหนึ่ง เธอตอบว่า “พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระก็ชี้ แสดงว่า วิมานนี้เป็นของเธอ”
จึงถามเธอว่า “เวลานี้ ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน”
เธอก็ตอบเบา ๆ ว่า “ต้องการวิมานครับ” ก็ไม่ต้องการรบกวนให้เหนื่อยต่อไป

ก็บอกว่า “ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ”
เธอก็ภาวนาเบา ๆ ว่า “พุทโธ ๆ ๆ ๆ” ในที่สุดก็เงียบไปพร้อมกับคำภาวนา และลมหายใจเข้า-ออก รวมความว่า เธอตายคู่กับพุทโธ

เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทมีจริง อาตมาผ่านแบบนี้มาหลายสิบราย ที่พบมาเองนะ ไม่ใช่หลายราย หลายสิบราย และวิธีแก้ของอาตมาก็มีวิธีเดียว วิธีนี้เพราะว่าอย่างอื่นเวลานั้น มันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทาน และวิหารทาน รวมความว่า เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ นี่เป็นอันว่า มนุษย์เราที่ตายนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดี และก็ถูกตัดเพราะกฎของกรรม ก็ผ่านมาแล้ว

ต่อนี้ไป เรื่องสำนักพระยายม นาน ๆ ก็จะมีสักครั้งหนึ่ง ถ้าจบตอนนี้แล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ต่อไปก็จะขอเปลี่ยนเรื่อง เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ย่อ ๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม เล็กน้อยเรื่องที่จะพูดต่อไปก็เป็นเรื่องของ พระนางเรือล่ม ตอนนี้จะจัดเป็นเทปและให้เขาพิมพ์หนังสือด้วย แต่พิมพ์หนังสือควรจะพิมพ์น้อย ๆ เกรงว่าจะไม่มีคนต้องการและก็จะเป็นเทปบันทึกเสียง ในด้านฝ่ายธรรมะ จะมีธรรมะ หรือนิมิตตอนท้าย สัก ๕ นาที หรือ ๕ นาทีเศษ ๆ

ตอนต้นจะเล่าเรื่อง พระนางเรือล่ม ไปก่อน ถ้าเรื่องพระนางเรือล่มจบ ก็จะต่อ เอาเรื่องใกล้ ๆ นี่ เรื่องสมัยรัชกาลที่ ๕ บ้าง สมัยรัชกาลที่ ๗ บ้าง สมัยรัชกาลที่ ๖ บ้าง เอาพอมาเป็นเครื่องศึกษา ฟังเพลิน ๆ ถ้าตอนไหนมีธรรมะในตัว ก็อธิบายธรรมะในตัวด้วย ตอนท้าย ตอน ๕ นาทีหลัง ถ้าไม่มีธรรมะในตัวก็นำธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เอามาตอน ๕ นาทีหลังเหมือนกัน ตอนต้นก็ฟังเพลิน ๆ หรืออ่านกันเพลิน ๆ นี่เกริ่นไว้ก่อน ที่เกริ่นให้ฟัง ที่จะพูดให้ฟังก็เพราะมีหนังสือ ฉวีวรรณ สรรพกิจ ให้มา

ต่อนี้ไปก็นำบุคคล ที่เห็นนิมิตในสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านผู้นั้นเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูมีนามว่า ธรรมิกอุบาสก ธรรมิกอุบาสกนี่ อาตมาคิดว่า ไม่ใช่ชื่อจริง ธรรมิกอุบาสก ถ้าแปลออกมา ก็เป็น อุบาสกผู้ประกอบไปด้วยธรรม คือตั้งใจประพฤติธรรม ตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง

ก็รวมความว่า เวลานั้น ธรรมิกอุบาสกมีความเคารพในพระพุทธเจ้ามาก ปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเป็นอย่างดี ท่านดีขนาดไหนอาตมาก็ไม่ทราบ แต่คิดว่า ท่านผู้นี้เป็นพระอริยเจ้า นึกเอาเองนะ บาลีก็ไม่ได้บอก เพราะคนสมัยนั้นที่มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ไม่เป็นพระอริยเจ้ามีน้อย พระพุทธเจ้าไปจำพรรษาแดนใด แดนนั้นก็มีพระอริยเจ้ามากกว่าปุถุชน

ก็รวมความว่า ธรรมิกอุบาสกมีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพลจริง ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนจริง ต่อมา ท่านธรรมิกอุบาสกป่วยหนัก ก็อยากจะฟังพระปริตร พระปริตรก็คือบทสวดมนต์ แต่บทสวดมนต์เวลานั้นก็เห็นจะเป็นมหาสติปัฏฐานสูตร ถ้าจำไม่ผิด เวลาพูดนี่ไม่ได้นำหนังสือมาแล้วก็ป่วยด้วย เพิ่งจะฟื้นตัววันนี้เอง ค่อย ๆ ดีขึ้น ยังไม่ดีมาก

อยากจะฟังมหาสติปัฏฐานสูตร ก็สั่งให้ลูกไปขอพระจากพระพุทธเจ้าว่า สุดแล้วแต่พระพุทธเจ้าจะตรัสให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง คณะใดคณะหนึ่ง มาสวดพระปริตร มหาสติปัฏฐานสูตรก็รวมความว่า ลูกสาวก็ไปนิมนต์พระ ลูกสาวหรือลูกชายก็ไม่ทราบนะ ประเดี๋ยวนักบาลีที่ท่านทราบจริง ท่านจะมาค้านอาตมาก็พูดเผลอไป คอมันชักแห้ง ไปนิมนต์พระกลับมา พระก็ตามมาเสร็จ พระนั่งเรียบร้อย ลูกสาวลูกชายก็เริ่มบูชาธรรม

ก็แจ้งให้พ่อทราบว่า เวลานี้พระมาเรียบร้อยแล้ว พระกำลังจะสวดมนต์ เวลานั้น ตอนต้นเขาทำอย่างไรก็ไม่ทราบ ตั้งใจนมัสการพระรัตนตรัย คงทำกันแน่ แต่ทว่าเขาจะรับศีลกันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เข้าใจว่าศีลเขามีเรียบร้อยแล้ว คงไม่ต้องรับกันดะ เหมือนสมัยปัจจุบัน สมัยปัจจุบันรับศีลดะ บางทีให้ศีลยังไม่ทันจะเสร็จ ศีลขาดแล้ว เพราะอะไร เพราะรับแต่ปาก ใจไม่ตั้งใจรับศีล

รวมความว่า พระเริ่มสวดพระปริตร เวลานั้นก็ปรากฏเทวดาทั้ง ๖ ชั้น คือ
๑. ชั้นจาตุมหาราช
๒. ชั้นดาวดึงส์
๓. ชั้นยามา
๔. ชั้นดุสิต
๕. ชั้นนิมมานรดี
๖. ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี

ยกขบวนกันมาอย่างหนัก ลอยในอากาศใกล้ ๆ ต่างคนต่างนำรถทิพย์มา แต่ละชั้น แต่ละขบวน ก็นำรถทิพย์มา ต่างคนต่างคณะ ต่างเชิญท่านธรรมิกอุบาสกว่า “ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นจาตุมหาราช มีความสุข” “ฉันอยู่ชั้นดาวดึงส์” “ฉันอยู่ชั้นยามา” “ฉันอยู่ชั้นดุสิต” “ฉันอยู่ชั้นนิมมานรดี” “ฉันอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี” แต่ละชั้น “มีความสุขขอไปอยู่เถิด” เทวดาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว

จนกระทั่งท่านธรรมิกอุบาสกไม่ได้ยินเสียงพระสวด ท่านธรรมิกอุบาสกตั้งใจจะฟังพระสวด ก็รำคาญเสียงเทวดา จึงโบกไม้โบกมือบอก “หยุดก่อน ๆ ๆ” แต่ก็เป็นการบังเอิญจริง ๆ ที่บรรดาลูกหลานทั้งหลายไม่เห็นเทวดา พระที่ไปทั้งหมดก็ดีเหมือนกัน ไม่มีพระอะไรที่มีทิพจักขุญาณเห็นเทวดาได้เลย เสียงท่านบอกให้ หยุดก่อนอยู่นาน เทวดาไม่ค่อยหยุด พระหยุดแล้ว พระเข้าใจว่า ท่านธรรมิกอุบาสกต้องการให้ท่านหยุด ท่านก็หยุดสวด แต่เสียงเทวดาไม่หยุด ยังเอะอะโวยวายอยู่ ท่านก็โบกมือบอก “หยุดก่อน ๆ ๆ”

ในที่สุด พระเห็นว่าธรรมิกอุบาสกไม่ตั้งใจจะฟัง หรือไม่พอใจจะฟัง ก็จึงบอกกับลูกกับหลานของธรรมิกอุบาสกว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอลากลับละ” ในเมื่อคนฟัง ไม่ต้องการจะฟัง ก็ไม่สวดต่อไป ท่านก็ลากลับ เมื่อพระกลับไปสักครู่หนึ่ง เทวดาจึงหยุดพูด แหมเทวดานี่ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ

เมื่อเทวดาหยุดแล้ว ท่านก็หันมาทางพระ ไม่เห็นพระ เธอก็ถามลูกหญิง ลูกชายว่า “ลูกเอ๋ย พระไปไหนหมด พ่อต้องการฟังธรรม ต้องการฟังสวดพระปริตร” ลูกก็บอกว่า “ก็พ่อบอกให้พระหยุด พระท่านเห็นว่า พ่อไม่ต้องการจะฟัง ท่านก็ไม่สวดท่านลากลับ” พ่อก็บอก “ลูกเอ๋ย พ่อไม่ได้บอกให้พระหยุด พ่อตั้งใจจะฟังธรรม ฟังพระปริตร ฟังพระสวด

แต่ทว่าเทวดาซิ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ต่างคนต่างมาชวนไปอยู่แต่ละชั้น ๖ ชั้น ด้วยกัน (ตามที่กล่าวมาแล้ว) พ่อบอกให้เธอหยุด เธอไม่หยุด ต้องโบกมือโบกไม้อยู่พักใหญ่จึงหยุด” ลูกหญิง ลูกชายก็มีความรู้สึกในใจว่า พ่อของเรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง แต่เวลานี้ป่วยหนัก สติสตังค์ไม่ดีมาก เผลอไผลหลงใหลใฝ่ฝันไปแล้ว เทวดาเทวเดอมีที่ไหน เห็นมีแต่อากาศ

จึงถามพ่อว่า “พ่อ เทวดาอยู่ที่ไหน” พ่อก็ชี้ไปข้างบน ข้างหน้า บอก “เทวดาอยู่เป็นแถวเต็มจักรวาลลูก นี่ชั้นจาตุมหาราช ตรงนี้ชั้นดาวดึงส์ ตรงนี้ชั้นยามา ตรงนี้ชั้นดุสิต ตรงนี้ชั้นนิมมานรดี ตรงนี้ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี” ท่านธรรมิกอุบาสกก็บอกว่า “พ่อนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นปกติ นึกถึงพระธรรมเป็นปกติ นึกถึงพระอริยสงฆ์เป็นปกติ

แต่เวลานี้เทวดาท่านมา ลูกเอ๋ย มาจริง ๆ พ่อไม่ได้หลง” ลูกก็ไม่ยอมเชื่อ ท่านจึงบอกว่า “ขอพวงมาลัย มีไหม” ลูกก็บอกว่า “มี” ก็บอกว่า “ขอมาลัยพ่อพวงหนึ่ง” ลูกก็นำพวงมาลัยมาให้ เมื่อลูกนำพวงมาลัยมาให้แล้ว พ่อก็โยน แล้วก็ถามว่า “สวรรค์ชั้นไหนมีความสุขที่สุด น่าอยู่” แสดงว่าท่านมีสิทธิอยู่สวรรค์ถึง ๖ ชั้น

ลูกทั้งหมดก็บอกว่า “สวรรค์ชั้นดุสิตน่าอยู่ที่สุด” ท่านก็บอก “ถ้าอย่างนั้น พ่อจะโยนพวงมาลัยให้คล้องในงอนรถของสวรรค์ชั้นดุสิต” ในที่สุดท่านก็โยนไป คล้องในงอนรถพวงมาลัยค้างในอากาศ ลูกไม่เห็นรถทิพย์ แต่พวงมาลัยก็ไม่หล่นลงมา
ในที่สุด ท่านธรรมิกอุบาสกก็จุติ ตายจากความเป็นคนหมดลมหายใจเข้าออก เคลื่อนเข้าสู่รถของสวรรค์ชั้นดุสิตไป

นี่แหละบรรดาท่านทั้งหลาย เรื่องนิมิตในสมัยพระพุทธเจ้าก็มี ไม่ใช่มีเฉพาะเวลานี้ ฉะนั้นทางที่ดี ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท ยึดพระพุทธเจ้า ยึดพระธรรม ยึดพระสงฆ์ ยึดทานการบริจาค ยึดภาวนา อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจให้มั่นคง อย่าทิ้ง

เวลาเหลืออีก ๖ นาทีเศษ ขอพูดอีกเรื่องหนึ่ง คือ สาตกีเทพธิดา คนนี้เป็นคนจน คนนี้ทำบุญเบาที่สุด ไม่ต้องรักษาศีลไม่ต้องทำอะไรหมด เป็นคนจนมาก เกิดไม่ทันพระพุทธเจ้า หรืออาจจะทันก็ได้นะ อาจจะทันพระพุทธเจ้า แต่เป็นสมัยที่พระพุทธเจ้าอยู่ห่างหน่อย เวลานั้นมีพระอรหันต์นิพพานใกล้ ๆ เขาทำสถูปเจดีย์ไว้ เอาพระธาตุไว้ สาตกีเทพธิดาเป็นคนจน ไม่มีโอกาสจะไปทำบุญ ตอนเช้าก็ไปตัดฟืน ตอนเย็นนำฟืนมาขายกินข้าวแล้วก็ค่ำ

วันหนึ่งเดินจะไปตัดฟืน เห็นดอกบวบขม สีเหลือง ก็คิดว่าดอกบวบขมนี่ มีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ ตอนเย็นจะตัดไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุกระดูกของพระอรหันต์ ใกล้ ๆ บ้านเรา คนนี้เป็น สังฆานุสสติ ตอนเย็นเวลาตัดฟืนมา ก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ ตัดดอกบวบขมมาด้วย พอถึงบ้าน กินข้าวกินปลาเสร็จ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ แต่งตัวแล้วก็นำดอกบวบขมจะไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ แต่ไปไม่ทันถึง ออกไปถึงปากตรอก ปรากฏว่า นางยักษิณีแปลงเป็นแม่ลูกอ่อน ขวิดนางล้มลงถึงแก่ความตาย

ทั้ง ๆ ที่กำลังใจอยากจะไปบูชากระดูกพระอรหันต์ อย่าลืมว่า การนึกถึงพระอรหันต์ เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน ก็เป็นอันว่า เธอตายจากความเป็นคน เป็นคนจริง ๆ ศีลก็ไม่เคยรักษา ทานก็ไม่เคยให้ วันนี้จะถวายทานสักหน่อย จะไปบูชาพระอรหันต์ก็เผอิญมาตายเสียก่อน แต่ตายทั้ง ๆ ที่ใจผูกพันที่จะไปบูชากระดูกพระอรหันต์

ท่านบอกว่า นางไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกทันที ไม่ต้องผ่านสำนักพระยายม ท่านธรรมิกอุบาสกก็ไม่ต้องผ่านเหมือนกัน

นี่ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านโปรดทราบ ถ้าใจเข้มข้นเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ว่าตอนก่อนจะย่อหย่อนมาก่อนก็ตาม แต่เวลาจะตายถ้ามีอารมณ์เข้มข้น จะไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน ตรง ไม่ต้องผ่านสำนักพระยายม

รวมความว่า ไปถึงก็มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ คนเป็นบริวาร เครื่องประดับประดา เครื่องทิพย์ของเธอสีเหลืองหมด วิมานก็สีเหลือง เครื่องประดับวิมานก็สีเหลือง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ปรารภสีเหลืองก่อนตาย คือ จีวรพระ ดอกบวบขมสีเหลือง ปรารภสีเหลือง ตายไปแล้วก็มีสีเหลืองทิพย์สีเหลืองสวยสดงดงาม

พอเวลากลางคืน พระโมคคัลลาน์เจริญกรรมฐานเสร็จออกจากกรรมฐานก็ใช้กำลังฤทธิ์ของท่าน ไปเที่ยวชมสวรรค์ พอไปถึงวิมานนี้ก็แปลกใจว่า เมื่อคืนที่แล้ว วิมานนี้มันไม่มี สาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์จึงเข้าไปใกล้วิมาน ไปถามหาท่านเจ้าของวิมาน นางฟ้าผู้มีหน้าที่ก็พาไปพบเจ้าของวิมาน

ท่านก็ถามว่า “ภคินิ ดูก่อน น้องหญิง เมื่อคืนที่แล้วเรามาที่นี่ ไม่มีคน วิมานก็ไม่มี นางฟ้า เทวดาก็ไม่มี แต่คืนนี้ปรากฏว่ามี อยากจะถามว่า เธอเพิ่งตายจากความเป็นคน ขึ้นมาเกิดเป็นนางฟ้าหรืออย่างไร” นางก็ตอบว่า “เช่นนั้นเจ้าค่ะ”

เรื่องการให้ทานก็ไม่เคยให้ บาตรก็ไม่เคยใส่ เพราะว่ามันจนมาก ตอนเช้ากินข้าวเช้าแล้ว ต้องกินแต่เช้า ไปตัดฟืน ตัดด้วยกำลังกาย ก็ไม่ได้มากนัก หอบเอามาตอนเย็น ก็มาขาย ได้เงินได้ทองบ้าง ก็ซื้ออาหารไว้กินในวันรุ่งขึ้น เรียกว่า ทำมื้อกินมื้อ อย่างนี้ตลอดมาโอกาสที่จะทำบุญก็ไม่มี เพราะความจน แต่ว่าเมื่อวันวานนี้ตอนเช้า ไปตัดฟืน เห็นดอกบวบขมสีเหลืองคล้ายจีวรพระ จึงคิดในใจว่า เราจะตั้งใจเอาดอกบวบขมนี้ไปบูชากระดูกพระอรหันต์ที่เขาบรรจุข้าง ๆ บ้าน

เวลากลับมา มือหนึ่งแบกฟืน มือหนึ่งถือดอกบวบขมนำมา กินข้าวกินปลาเสร็จ อาบน้ำเสร็จ ขายฟืนเสร็จก็นำดอกบวบขมจะไปบูชาพระเจดีย์ ที่เขาบรรจุกระดูกพระอรหันต์ ก็เผอิญวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย พอตายจากที่ตรงนั้นก็เกิดที่ตรงนี้ทันที เจ้าค่ะ ที่ว่าวิมานก็สีเหลือง เครื่องประดับก็สีเหลือง เพราะก่อนจะตาย ฉันปรารภสีเหลือง “พระโมคคัลลาน์ฟังแล้วก็โมทนา หลังจากนั้นท่านก็กลับ กราบทูลให้องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ โสภาคย์ทราบว่า เมื่อคืนนี้นางฟ้าเกิดอีกคนหนึ่งตามที่เล่ามาแล้ว

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลืออีก ๑ นาที ก็จะพูดอะไรกันไปมากไม่ได้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านโปรดเข้าใจว่า ถ้าต้องการความสุขเมื่อตายแล้วกันจริง ๆ เอาอย่างไหนไม่ได้ ก็เอาอย่างยอดหญิง สาตกีเทพธิดา นี่ก็ได้

แต่ว่าตอนต้น ๆ บรรดาท่านทั้งหลาย ตอนต้น ๆ ท่านมีกำไรอยู่แล้ว ท่านยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีทานการบริจาค มีศีลเป็นที่รักษา ท่านดีแล้ว รักษาความดีที่มีอยู่แล้วให้ทรงตัว แต่ว่ามีอารมณ์ยึดอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ ทานก็ได้ ศีลก็ได้ ภาวนาก็ได้ หรือยึดพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ยึดพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ยึดวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ นึกถึงวัดก็ใช้ได้ ให้มีความมั่นใจจริง ๆ ยอมรับนับถือจริง ๆ อย่างนี้ เมื่อตายเมื่อไร

บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ความดี ผลดีมีความสุขอย่างสาตกีเทพธิดา ท่านได้รับแน่นอน แต่คิดว่า ท่านจะได้รับอย่าง ธรรมิกอุบาสกมากกว่า เพราะว่า ทุกท่านทำความดีคล้ายธรรมิกอุบาสก

เวลานี้เหลืออีก ๒๐ วินาที ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

◄ll กลับสู่สารบัญ



29

กำหนดการ พ.ศ. ๒๕๓๒



มกราคม ๒๕๓๒

๓๐ ธ.ค. ๓๑ เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๓๑ ธ.ค. ๓๑,๑, ๒ ม.ค.๓๒ สอนกรรมฐานที่ซอยสายลมวันที่ ๓ เดินทางกลับ
วันจันทร์ที่ ๒๓ เดินทางไปเยี่ยมสำนักศิษย์นอกวัด ที่เดินทางไปไม่เกิน ๓ ชั่วโมง

กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒

๓ ก.พ. ๓๒ เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๔, ๕, ๖ สอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ๗ หรือ ๘ เดินทางกลับ
วันจันทร์ที่ ๒๐ เป็นวันมาฆบูชา ทำบุญเช้า เทศน์ ๑ กัณฑ์
วันจันทร์ที่ ๒๗ เดินทางเยี่ยมสำนักศิษย์

มีนาคม ๒๕๓๒

๓ มี.ค. ๓๒ เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๔, ๕, ๖ สอนกรรมฐานที่ซอยสายลม วันที่ ๗ เดินทางกลับ๑๑ มี.ค. วันเสาร์ห้า ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๔ เป่ายันต์เกราะเพชร ๓ รอบ คือ
รอบที่ ๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
รอบที่ ๒ เวลา ๑๔.๐๐ น.
รอบที่ ๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. เป็นรอบสุดท้าย

๑๒ มี.ค. ทำบุญฉลองวัด มีเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ เริ่ม ๑๓.๐๐ น. เลิก ๑๕.๐๐ น.
๑๙ มี.ค. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๒๐ ไปงานทำบุญอายุ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ๒๑ เดินทางกลับวัด
๒๔ มี.ค. เดินทางไปจันทบุรี ๒๕ สำรวจทางไปวัดเขาไพรแวะแหลมแม่พิมพ์ ๒๖ วางศิลาฤกษ์พระอุโบสถวัดเขาไพร จ.ระยอง ๒๗ ไปจังหวัดตราด ๒๘ เดินทางกลับ

เมษายน ๒๕๓๒

๓๑ มี.ค. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๑, ๒, ๓ เม.ย. สอนพระกรรมฐานที่ซอยสายลม ๔ เดินทางกลับ
๙ เม.ย. วันสงกรานต์ ทำบุญเช้า เทศน์ ๑ กัณฑ์
เวลา ๑๓.๐๐ น. ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ครั้งที่ ๑
เวลา ๑๕.๐๐ น. สะเดาะเคราะห์ ครั้งที่ ๒
เวลา ๑๖.๐๐ น. สะเดาะเคราะห์ ครั้งที่ ๓ เป็นครั้งสุดท้าย
๑๕ หรือ ๑๖ เมษายน ถ้าไม่ป่วยมากเกินไป เดินทางไปอเมริกากลับ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๒

พฤษภาคม ๒๕๓๒

๑๒ พ.ค. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๑๓, ๑๔, ๑๕ สอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ๑๖ เดินทางกลับ
๑๙ พ.ค. วันวิสาขบูชา ทำบุญเช้า เทศน์ ๑ กัณฑ์
เวลา ๑๓.๐๐ น. สะเดาะเคราะห์ ครั้งที่ ๑
เวลา ๑๕.๐๐ น. สะเดาะเคราะห์ ครั้งที่ ๒
เวลา ๑๖.๐๐ น. สะเดาะเคราะห์ ครั้งที่ ๓ (รอบสุดท้าย)
จันทร์ที่ ๒๒ ออกเยี่ยมสำนักศิษย์

มิถุนายน ๒๕๓๒

๒ มิ.ย. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๓, ๔, ๕ สอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ๖ เดินทางกลับ
จันทร์ที่ ๑๙ มิ.ย. เป็นวันเดินทางไปเยี่ยมสำนักศิษย์

กรกฎาคม ๒๕๓๒

๓๐ มิ.ย. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๑, ๒, ๓ สอนพระกรรมฐานที่ซอยสายลม ๔ เดินทางกลับ
๑๗-๑๘ ก.ค. เป็นวันทำบุญเข้าพรรษา ๑๘ ทำบุญประจำปีพระเจ้าพรหมมหาราช
จันทร์ ๒๔ ออกเยี่ยมสำนักศิษย์

สิงหาคม ๒๕๓๒

๔ ส.ค. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๕, ๖, ๗ สอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ๘ เดินทางกลับ ๑๑, ๑๒, ๑๓ อาจมีภารกิจ ไปนอกวัด

กันยายน ๒๕๓๒

๑ ก.ย. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๒, ๓, ๔ สอนพระกรรมฐานที่ซอยสายลม ๕ เดินทางกลับวัด
๑๘ ก.ย. ออกเยี่ยมสำนักศิษย์

ตุลาคม ๒๕๓๒

๖ ต.ค. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๗, ๘, ๙ สอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ๑๐ เดินทางกลับวัด
๑๔-๑๕ ต.ค. ทำบุญวันออกพรรษา เทศน์เช้าทั้ง ๒ วัน
๒๑ ต.ค. เริ่มงานกฐิน
๒๒ ต.ค. ถวายกฐิน เวลาไม่เกิน ๑๔.๐๐ น.

พฤศจิกายน ๒๕๓๒

๓ พ.ย. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๔, ๕, ๖ สอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ๗ เดินทางกลับวัด
๑๑ พ.ย. วันเสาร์ เดินทางไปเชียงใหม่เพื่อถวายกฐินวัดทุ่งหลวงและวัดโขงขาว
๑๒ พ.ย. เช้าถึงเที่ยง ถวายกฐินวัดทุ่งหลวง หลังเที่ยงเดินทางมาวัดโขงขาว ถวายกฐินเวลา ๑๕.๐๐ น.
๑๕ พ.ย. เดินทางกลับวัด

ธันวาคม ๒๕๓๒

๒ ธ.ค. ตรงกับวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑ (เดือนอ้าย) เป็นวันเสาร์ห้า เป่ายันต์เกราะเพชร
รอบที่ ๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
รอบที่ ๒ เวลา ๑๔.๐๐ น.
รอบที่ ๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. เป็นรอบสุดท้าย
๘ ธ.ค. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ๙, ๑๐, ๑๑ สอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ๑๒ หรือ ๑๓ เดินทางกลับวัด ๒๕ อาจมีภารกิจไปนอกวัด
* ** ** จบเล่มที่ ๓ ** ***

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))




◄ll กลับสู่สารบัญ