หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 6 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ
webmaster - 3/1/11 at 15:40

<< เล่ม 1 เล่ม 2 เล่ม 3 เล่ม 4 เล่ม 5 เล่ม 7 เล่ม 8 เล่ม 9 เล่ม 10 เล่ม 11
เล่ม 12 เล่ม 13 เล่ม 14 เล่ม 15 ->>


หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๖

โดย ส. สังข์สุวรรณ


(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน)


เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๖

1.
คำปรารภ
2. กรรมไก่ของฉัน
3. ขันติของพระอัสสชิ
4. หญิงแก่ขวางทาง
5. ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี
6.
ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี (ต่อ)
7.
พระอรหันต์มาโปรด
8. วิมานคอยอยู่แล้ว
9. พระมหาทองปอนด์ตาย
10 ตายก่อนบวช , เด็กหญิงตาย


1
คำปรารภ

คำปรารภหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๖ ในหนังสือเล่มนี้มีหัวข้อที่น่าอ่านดังนี้
๑. กรรมไก่ของฉัน
๒. ขันติของพระอัสสชิ
๓. หญิงแก่ขวางทาง

๔. ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี
๕. ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี (ต่อ)
๖. พระอรหันต์มาโปรด
๗.วิมานคอยอยู่แล้ว

เรื่องที่เขียนมาทั้งหมด เว้นเรื่องกรรมไก่ของฉัน นอกนั้นเป็นเรื่องนิทานที่แต่งขึ้นเพื่ออ่านคลายความเครียด สำหรับกรรมไก่ของฉัน เป็นนิมิต ที่เรียกกันว่า (ฝัน) เป็นอาการที่นอนตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ความรู้สึกไม่เต็มอัตรา จะถือว่าเป็นเรื่องจริง หรือรู้ด้วยฌานหรือญาณไม่ได้ ให้ถือว่าเป็นเรื่องที่ฝันมาก็แล้วกัน

ผลที่รับจากความฝัน
แต่เมื่อทำตามนิมิตนี้แล้ว ผลที่ได้รับคือ พอเข้าวันที่สองที่ผ่านมา โรคที่เคยแก้ไม่ตกหายาที่แก้ให้ดีขึ้นไม่ได้ การรักษามีแต่ทรงกับทรุด พอแก้ตามฝันแล้ว พอถึงวันที่ ๒ พ.ต.นายแพทย์ นพพร เอายามาให้ เกิดถูกยาขนานนั้น ต่อมา บุปผาชาติ (โอ๋) หมอจรูญ หมอวัฒนะ และพ.ต.นายแพทย์ นพพร ก็เอายาขนานนี้ซึ่งมีราคาแพงมาก ต่างคนต่างนำมาให้

เมื่อกลับจากอเมริกา ๓๐ เมษายน ๒๕๓๒ พระภิกษุวิรัช พระวัดท่าซุง เอายาที่แกทำมาถวาย ยาขนานนี้ตรงกับโรคอีก ทำให้อาการของโรคดีขึ้นตามลำดับ จะเห็นว่าตอนหลังนี้ไม่เขียนเรื่องป่วยลงในหนังสือมากนัก แต่อาจมีติดนิดหน่อย ความจริงยังป่วย แต่อาการดีขึ้นมาก จะคิดว่านอนมากฝันมาก แต่ถ้าฝันมีประโยชน์ก็ควรเชื่อความฝัน

แต่ขอให้ท่านผู้อ่าน จงอย่าถือเอาเรื่องในหนังสือนี้เป็นเรื่องจริง ขอให้อ่านแบบอ่านนิทานแก้รำคาญก็แล้วกัน

ส. สังข์สุวรรณ

◄ll กลับสู่สารบัญ



2

กรรมไก่ของฉัน

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๒ การเว้นการบันทึกมาเสียหลายวันเพราะว่าป่วยมาก แต่ก็ไม่เป็นไร ร่างกายดีขึ้นเยอะ ประสาทต่างๆ รอบ ๆ ร่างกายรู้สึกว่าดีขึ้นมาก

แต่ว่าส่วนสำคัญมีอยู่ที่ท้อง ท้องยังแย่มาก คือ ปวดมาก วันนี้ปรากฏว่าร่างกายมันปวดท้อง และก็มีเสมหะมาก ความจริงท่านพุทธบริษัท รายการนี้เป็นรายการธรรมะ แต่ทว่าที่มาบอกวันนี้ ก็เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟังก็ดี หรือผู้อ่านก็ดี จะได้ทราบว่าธรรมะจริง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนก็คือ

ให้เข้าใจในขันธ์ ๕ จงอย่าหลงว่า ขันธ์ ๕ เที่ยง ขันธ์ ๕ ไม่มีทุกข์ ขันธ์ ๕ ไม่สลายตัว อย่างอาตมานี่บรรดาท่านพุทธบริษัท มีทุกคนที่เข้ามาในวัด และที่มาหาด้วยศรัทธา ต่างก็ปรารภว่า ขอหลวงพ่ออยู่นาน ๆ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของบรรดาลูกหลานต่อไป

แต่ความจริงท่านทั้งหลาย ต้นโพธิ์หรือต้นไทรที่ท่านต้องการอาศัย จริง ๆ แล้ว มีสาขามาก แต่ทว่าภายในต้นถูกปลวกกัด คือไส้ของต้นโพธิ์ถูกปลวกกัด ตั้งแต่ แก่ กระเพาะ และ ลำไส้ไม่ดี ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าร่างกายนี้จะทรงได้ตลอดกาลตลอดสมัยหรือไม่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

ก็มาคุยกันต่อไปถึงตามความเป็นจริง
เมื่อกลับจากซอยสายลม บรรดาท่านพุทธบริษัท ขณะที่ไปซอยสายลมป่วยมาก และก็อาการป่วยจะไม่ขอเล่าให้ฟัง ขึ้นมาจากการรับแขกหรือการแนะนำธรรมะก็พบกับหมอ หมอต้องมาคอยอยู่ตลอดเวลา

นั่นคือ นายแพทย์จรูญ กับคณะของท่าน แต่ว่าพอกลับมาถึงวัดวันที่ ๗ มกราคม คือวานนี้ ขณะที่ตอนเช้ามึนงงมาก ก็นอนภาวนาคิดว่าร่างกายอาจจะตายก็ได้ ท้องก็ปวดจัด เสมหะก็มาก แต่ทว่าสิ่งที่ปรากฏการณ์ขึ้นเป็นพิเศษ

ขณะที่ภาวนาไปใกล้เวลา ๔ โมงเช้า หรือใกล้เวลา ๑๐ นาฬิกา ก็ปรากฏว่าจิตตกวูบลงจากนิวรณ์ มีอารมณ์สว่างไสว เห็นร่างกายของตัวเองนอนอยู่ แต่ร่างกายนั้นตัวใหญ่มาก ร่างกายสมบูรณ์ทุกอย่าง ผิวพรรณสวยสดงดงาม ผิวขาวเหลือง แต่สองมือกุมขมับ

แสดงว่ามีอาการปวดศีรษะมาก นอนลุกไม่ขึ้น พร้อม ๆ กันนั้นก็มีภาพ ไก่ตัวเมียเป็นภาพไก่ประเภทไก่ชน สีน้ำเงินแก่ค่อนข้างดำ มีลายเป็นจุด ๆ ลายขาวเป็นจุด ๆ ขาวทั้งตัว ยืนอยู่เหนือศีรษะ ตอนนั้นก็มีเสียงกังวาลดังมาจากข้างบน เป็นเสียงค่อนข้างใหญ่ แต่กังวาลมากเพราะมาก บอกว่า “จงบวชเณร ๆ ๆ ๆ”

เมื่อฟังเสียงแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็คิดในใจว่าเพราะอะไร ก็คิดว่าการที่ป่วยคราวนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นมาเดือนเศษ อาการป่วยพิเศษคือมันหนักที่ศีรษะมาก และก็ปวดขมับ ถึงเวลาใกล้จะ ๓ โมงเย็น ก็ปวดขมับทนไม่ไหว และก็มึนบนศีรษะมาก ศีรษะหนัก ลุกขึ้นก็มึนงง ขาไม่มีแรง เดินซวนจะล้ม อาการอย่างนี้เป็นมาเดือนเศษ

และเวลารับแขกบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง จะแสดงอาการเจ็บป่วยก็เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์แก่ผู้เห็น จึงใช้กำลังของขันติช่วยอดทน มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ จนกระทั่งมีบุคคลบางคนเขาพูดมาให้ได้ยินว่า อาตมาเป็นคนมีมายามาก ความจริงร่างกายไม่เป็นไรแข็งแรงดี ยิ้มแย้มแจ่มใส

แต่บอกว่าป่วย นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลกบรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมากับท่านก็เหมือนกัน นัตถิ โลเก อนินทิโต ที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก คนเรามีสภาพอยู่อย่างหนึ่ง

นั่นคือว่า ถ้าเขาเป็นขโมย เขาจะไม่ไว้วางใจคิดว่า ทุกคนเป็นขโมยไปด้วย ถ้าเขาเป็นคนมีมายาเขาก็จะคิดว่า คนอื่นก็มีมายาไปด้วย อาตมาเองก็มีความรู้สึกว่า มีหน้าที่โดยตรงกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็คือ แนะนำธรรมะ

เพราะเวลานี้ก็แก่แล้วบรรดาท่านทั้งหลาย จะต้องการทรัพย์สินเงินทองเป็นส่วนตัว ก็ไม่มีความหมาย ทั้งนี้ก็เพราะว่า แก่แล้ว ตายก็เอาไปไม่ได้ มีเท่าไร ก็ก่อสร้างหมด และก็สร้างเกินหมด และใช้จ่ายภายใน เพื่อบำรุงพระสงฆ์สามเณรในวัด

ก็เมื่อเห็นภาพไก่อย่างนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ใช้กำลังใจควบคุมกำลังใจอดทนต่ออาการปวดศีรษะ ทนต่ออาการมึนงง ทนต่ออาการปวดท้อง ใช้กำลังขันติเข้าคุมแล้วก็รวบรวมกำลังใจด้วย สังขารุเปกขาญาณ

ก็ใช้กำลังใจส่วนหนึ่งที่เรียกกันว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และก็ ยถากัมมุตาญาณ นี่เป็นของจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เราพูดกันแบบเปิดเผยก็แล้วกัน ฉะนั้นเราขอพูดกันแบบเปิดเผย เรื่องจริงก็เป็นเรื่องจริง ใครจะหาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรมก็ว่ามา

ถ้าใครเขาหาก็ถือว่าเขากับเราคบกันไม่ได้ ก็แยกพวกกันอยู่ ก็หมดเรื่องกันไป เพราะวิชาทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้มีแต่ตัวเอง สอนคนให้ได้มาเป็นแสนแล้ว เด็ก ๆ เล็ก ๆ ก็สามารถทำได้ แต่ท่านที่จะมาโจทก์ แสดงว่าท่านไม่เอาไหน ไม่มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา และก็ไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเราไม่ใช่สาวกศาสดาเดียวกัน จะยอมรับนับถือซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์อะไร อาตมาเกิดมาก็เลี้ยงตัวเองอาศัยบรรดาท่านพุทธบริษัทเลี้ยงตัว ก็เพราะอาศัยการสร้างศรัทธา รวมความว่า เรื่องอย่างนี้ปล่อยไป เรื่องเกิดเมื่อไรก็รู้เมื่อนั้น ถ้าเรายอม กลัวมีเรื่อง บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่ต้องรู้จริงกันละ

รวมความว่า เมื่อเหตุอย่างนั้นเกิดขึ้นก็ต้องทบทวน ใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณก่อน และควบกันด้วยยถากัมมุตาญาณ คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้ มันมาจากไหน ชาตินี้ทั้งชาติ ไก่ตัวเมียไม่เคยฆ่า แต่ที่ฆ่าจริง ๆ คือ ไก่ตัวผู้ แต่ก็ไม่ใช่ลงมือเอง ๒ ตัว ในชีวิตนี้มี ๒ ตัวเท่านั้น

คนอื่นเขาฆ่า แต่พลอยกินกับเขา ถ้าถามว่า “ยินดีกับเขาไหม” เวลานั้นเป็นเด็กบรรดาท่านพุทธบริษัทในเมื่อผู้ใหญ่เขาจะฆ่ามันก็ต้องยินดี แต่ก็ไม่ใช่ยินดีในการฆ่า ยินดีในการกิน ถ้าจะถามว่า “บาปไหม” ก็ต้องขอตอบว่า “บาป” ร่วมบาปกับเขา เพราะโมทนาความชั่ว การโมทนาความดีได้ไปสวรรค์ เป็นต้น การโมทนาความบาปมันก็ไปนรกเหมือนกัน

ทีนี้สำหรับไก่ตัวเมียไม่มีในชาตินี้ ก็ทบทวนกำลังใจหาเหตุหาผลว่า ชาตินี้ไปทำอะไรบ้าง ใช้กำลังใจทบทวน ตั้งแต่เวลานี้ไปจนถึงความเป็นเด็ก ก็ไม่เคยเห็นไก่ตัวเมียแบบนี้ สรุปความว่าต่อไปก็ทบทวนใหม่ ถาม ถามต่อ

ตอนนี้ถามแล้ว การรู้เองนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก บางทีก็พลาด ถึงแม้ว่าการสอบ ถามก็เหมือนกัน ถ้ากำลังใจของเรามีอุปาทาน ควบคุมอยู่ก็พลาดเหมือนกัน ต้องทำกำลังใจให้เป็นปกติ

เมื่อกำลังใจเป็นปกติก็ถาม ถามว่า “ไก่ตัวนี้ฆ่าตายมาตั้งแต่เมื่อไร”
เสียงกังวาลนั้นท่านตอบลงมาว่า “ไก่ตัวนี้เจ้าฆ่าตายเมื่อสมัย ๓ ชาติที่ผ่านมา” คือชาตินี้ไม่นับ ทิ้งชาตินี้เสีย กลับไป ๑, ๒ และ ๓
ก็ถามว่า “ในสมัยนั้นเกิดที่ไหน”
เสียงก็ตอบออกมาว่า “เกิดที่จังหวัดอยุธยา”

และเหตุที่ฆ่าเป็นเพราะอะไรจึงฆ่า อยากกินหรือว่าฆ่าด้วยความโกรธ
เสียงนั้นก็ตอบมาพร้อมกับ ทำภาพ ภาพนั้นปรากฏชัดว่า เวลานั้นเป็นเด็กอายุประมาณ ๑๐ ปี เวลานั้นเป็นเด็กวัด ท่านบอกว่า วัดอยู่ที่หันตรา จังหวัดอยุธยา

อาจจะเป็นวัดหันตรา ก็ได้ เป็นแต่เพียงท่านบอกว่าวัดอยู่ที่หันตรา เป็นเด็กวัดที่นั่น ขณะนั้นเดินไปปรากฏว่า เจ้าสุนัขของชาวบ้านมันเข้ามาในวัด เป็นสุนัขดุ สุนัขในวัดน่ะ เลี้ยงกันอยู่เสมอ ไม่ทำ เป็นคนรักสัตว์ รักสุนัข รักเป็ด รักไก่ รักหมู เอาอาหารเลี้ยงทุกวัน

เวลานั้นไก่ฝูงหนึ่ง กำลังกินอาหารอยู่ เจ้าสุนัขมันเข้ามา พอเดินผ่านเข้าไปมันก็ไล่กวดจะกัด ขณะนั้นมีไม้ท่อนสั้น ๆ อยู่ที่มือ ก็ขว้างเจ้าสุนัข เจ้าสุนัขมันหลบ เผอิญไปโดนไก่ตัวนี้ตายพอดี เป็นไก่ลักษณะเดียวกัน เป็นไก่ตัวเมีย เป็นไก่ชน สีน้ำเงินแก่ และก็เป็นจุดสีขาวตามตัวเหมือนกัน ไก่สวยมาก

เห็นเข้าแล้วก็รู้สึกเสียใจว่า ไก่เรารัก ไม่น่าจะมาตายเพราะเจ้าสุนัขตัวนี้ ก็เข้าไปประคับประคอง นำไปหาพระท่าน พระก็พยายามทำการปฐมพยาบาลทุกอย่าง ไก่ก็ไม่ฟื้น

ในที่สุดเมื่อไก่ตายแล้ว คนอื่นเขาจะนำไก่ไปกินก็ไม่ยอม เพราะไก่ฉันรักมาก ก็ขอนำไก่ไปฝัง เวลานั้นมีสตางค์อยู่ ๑ ไพ พ่อให้ไปเพื่ออยู่ที่วัด มีสตางค์เหลืออยู่ ๑ ไพ ก็นิมนต์พระท่านบังสุกุล เมื่อพระบังสุกุลเสร็จ ก็ลงมือทำการฝัง

ตามเรื่องราวท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้ ก็ติดตามเรื่องต่อไปว่าไก่ตัวนี้เราก็รัก แล้วพระก็รัก พระในวัดท่านก็ดี มีความรักในสัตว์ ท่านจัดอาหารมาก็ให้อาตมาเป็นคนเลี้ยง เมื่อเลี้ยงแล้วปรากฏว่าพระก็รัก ไก่ตัวนี้ตายแล้วไปไหน

ก็ติดตามเรื่องต่อไป อยากทราบภาพนั้นก็ถามท่านว่า “เวลานี้ไก่ตัวนี้ไปอยู่ที่ไหน ไปเกิดเป็นไก่ หรือว่าเกิดเป็นคน หรือเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้า เกิดที่ไหนไม่ทราบ”

เสียงท่านก็ตอบมาว่า “เจ้าจงไปดาวดึงส์ ไปที่ปัญจสิกขเทพบุตร เจ้าจะพบไก่ที่เจ้าขว้างให้ตาย และเป็นไก่ที่เจ้ารัก” ก็ตามเสียงนั้นขึ้นไปที่ดาวดึงส์ ไปหาท่านปัญจสิกขเทพบุตร เมื่อไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าท่านปัญจสิกขเทพบุตรท่านคอยต้อนรับอยู่ ไปถึงท่านก็ให้นั่งอาสนะที่สมควร

แล้วคุยกับท่าน ถามท่านบอกว่า “ไก่ที่ฉันขว้างให้ถึงแก่ความตายเวลานี้อยู่ที่ไหน”
ท่านปัญจสิกขะ ท่านบอกว่า “ถามผิด ให้ถามใหม่” คือว่า “ไก่ที่เธอขว้างถึงความตายนั้นไม่มี (ตั้งใจขว้างไก่) มีแต่ไก่ตัวที่เธอตั้งใจขว้างสุนัข แต่เผอิญไปถูกไก่นี้มีอยู่”

ก็เลยบอกท่านว่า “ตามนั้นแหละ” คือขว้างสุนัขตัวนั้น บังเอิญสุนัขหลบไม้ไปถูกไก่ ท่านก็ชี้ให้ไปดูนางฟ้าที่นั่งใกล้ ๆ เป็นคนโปร่งบาง ผิวขาว สวยมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่งตัวสวย เธอยิ้มแย้ม

พอหันหน้าไปหาเธอ เธอก็ยกมือไหว้ เธอถามว่า “จำดิฉันได้ไหมเจ้าคะ”
ก็เลยบอกว่า “ถ้าเป็นไก่อาจจะจำได้” ภาพไก่ก็ปรากฏข้างเธอ
เธอก็บอกว่า “ฉันคือไก่ตัวนี้เจ้าค่ะ”
แล้วก็ถามเธอว่า “เธอตายจากการถูกขว้าง กำลังกินอยู่ แล้วเธอมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้อย่างไร”

เธอก็ตอบว่า “เวลานั้น เธอมีจิตรักพระมาก พระทุกองค์ในวัด มีจิตเมตตาปรานีในสัตว์ เวลาพระมาเลี้ยงก็ไม่ต้องเรียกไม่ต้องต้อน ทุกตัวเห็นพระก็วิ่งเข้ามาหา และก็ท่านเองก็เป็นคนลงมือเลี้ยง ฉันก็มีความรัก อาศัยที่มีความรักในพระ อาศัยที่มีความรักในท่าน ที่มีจิตเมตตา ขณะที่ถูกขว้างก็ยังไม่ทันตายทีเดียว ความจริงอาการแน่วแน่เกิดขึ้นนั้นยังไม่ตาย

แต่ก็ไม่ใช่สลบ ความรู้สึกยังมีอยู่ ขณะที่ท่านเข้าไปอุ้ม ก็ยังมีความรู้สึกเวลานั้นก็รักท่าน เวลาที่พระทำปฐมพยาบาล ก็มีความรู้สึกรักในพระว่ามีจิตเมตตา พระลูบตัวไปลูบตัวมา ก็มีความรู้สึกคลายจากความเจ็บปวด

เมื่อความเจ็บปวดหายไปประเดี๋ยวหนึ่งจิตใจก็ชุ่มชื่น เวลานั้นจิตออกจากร่างทันที แต่ก่อนที่จิตจะออกจากร่าง ก็เห็นนางฟ้าลอยอยู่ในอากาศเยอะมาก มีมากมายด้วยกัน จิตใจก็รักนางฟ้า เมื่อออกจากร่างกาย ก็กลายเป็นนางฟ้า ติดตามนางฟ้าพวกนั้นมา”

ก็จึงได้ถามว่า “ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าแล้วยังจองเวรจองกรรมฉันอยู่รึ”
เธอก็ตอบว่า “การจองเวรจองกรรมของเธอไม่มีในฉัน” คือว่า “ฉันไม่มีเวรมีกรรมที่จะจอง อาการที่ป่วยไข้ไม่สบายเป็นกฎของกรรม กฎของกรรมไม่ใช่ตัวถูกกระทำ ผู้ถูกกระทำมีความสุข มีความรู้สึกขอบคุณผู้ช่วยเหลือ ขอบคุณในพระ ขอบคุณในท่าน ทำไมฉันจะจองเวรจองกรรม แต่นั่นเป็นกฎของกรรมที่ฉันไม่เกี่ยวข้อง”

นี่แหละบรรดาท่านผู้ฟัง อย่างนี้ทุกคนก็จำไว้ด้วย รายการนี้ธรรมะ ว่าการกระทำ เราฆ่าปลาก็ดี ฆ่าเป็ดก็ดี ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายก็ตาม จงอย่านึกว่าเขาเป็นผู้จองเวรจองกรรม แต่ทว่าสิ่งที่กระทำกับเราคือ กฎของกรรม คือความชั่วที่เราฆ่าเขามันมาสนองตัวเรา รวมความว่าทราบว่าเธอไม่ได้จอง

ถามเธอว่า “อโหสิกรรมไหม”
เธอก็ตอบว่า “ไม่มีกรรมอันใดที่จะต้องอโหสิ เพราะฉันไม่ถืออยู่แล้วว่าฆ่าฉัน ฉันไม่ได้โกรธ เป็นแต่เพียงว่าขอให้ท่านปฏิบัติแก้กฎของกรรมให้พ้นไปก็แล้วกัน ฉันตามช่วย”
ก็ถามเธอว่า “เสียงให้บวชเณร เธอจะว่ายังไง”
เธอก็บอกว่า “ต้องบวช เป็นการแก้กฎของกรรม”

ก็ตกลงใจว่า จะบวชเณร วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๒ เป็นวันอาทิตย์ วันนี้ก็ยังไม่ได้ปรึกษากับเด็กนักเรียน แต่การบวชเณรนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องบวชมากด้วยกัน เพราะว่ามีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำกฎของกรรมประเภทนี้ ต้องการให้บวชเณรให้สตางค์มาแล้วก็หลายท่าน อาตมาเองก็คิดถึงไก่ ๒ ตัวที่ร่วมกินกับเขาในชาตินี้ด้วย

ตั้งใจคิดว่า จะบวชเณรสัก ๑๐ องค์ หรือ ๒๐ องค์ แต่เณรที่จะบวชบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่รับคนภายนอก จะเอาเฉพาะนักเรียนในโรงเรียน ที่ฝึกฝนได้มโนมยิทธิดีแล้วพวกได้ฌานโลกีย์ เพราะการบวชพวกฌานโลกีย์นี่มีอานิสงส์มาก จะเป็นการสนองคุณกับบาปได้

ฉะนั้นการบวชกี่องค์ยังตอบไม่ได้อย่างน้อย ๑๐ องค์ อย่างมากคงไม่เกิน ๒๐ องค์ หรือถ้ามากถึง ๒๕ องค์ หรือ ๓๐ องค์ ก็บวช เอาเฉพาะเด็กนักเรียน ฉะนั้นบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทท่านผู้ใด จะร่วมในการบวชเณรด้วยก็ได้ อันนี้ก็ไม่ประกาศเรี่ยไร

แต่เป็นการแต่เพียงบอกไว้ว่าบรรดาญาติโยม ทั้งหลายที่ทำบุญมาแล้ว เนื่องในการบวชเณรแก้บนก็ดี หรือในการบวชเณรใช้กรรมไก่ก็ดี ให้ทราบว่า วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๒ เวลาหลังเที่ยง ทำการบวช เพราะว่า วันที่ ๒๐ ตอนเช้า อาตมาต้องรีบเข้าไปกรุงเทพฯ ไปวัดสามพระยาทำบุญอายุ ๘๐ เศษของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

ก็เป็นอันว่าเวลาเหลืออีก ๕ นาทีก็คุยกันต่อไป จะนำเรื่องอื่นเข้ามาแทรกมันก็ไม่พอ กลับมาดูถึงสมัยเป็นเด็กที่อยู่หันตราไปอยู่วัดที่หันตรา ไปเรียนวิชาความรู้ เรียนหนังสืออักขรวิธี อักขระคือตัวอักษร กับพระอาจารย์ชื่อ อาจารย์ชอบ

เวลานั้นปรากฏว่า ในวัดเขามีการฝึกเพลงอาวุธ เด็กรุ่นโตเขาเรียนวิชาการปกครองบ้าง วิชาการเกษตรบ้าง วิชามหาพิชัยสงครามบ้าง พระเวลานั้นมีความรู้ทุกอย่าง และก็สอนทุกอย่าง อาตมาผู้พูดเป็นเด็ก ก็ชอบเรียนวิชาป้องกันตัว คือวิชากระบี่กระบองฟันดาบ วิชาที่ชอบที่สุดคือการฟันดาบสองมือ วิชาอื่นที่ชอบ แต่ว่าไม่ชอบเท่าคณะนี้

แต่ว่าขณะที่เรียนอยู่อายุ ๑๐ ปี ปรากฏว่ามีวันหนึ่ง นักเรียนรุ่นโตซึ่งเขาเรียนวิชาเพลงอาวุธ แต่ว่าเวลายามว่าง คนหนึ่งแกเป็นคนเกเร ชอบชวนคนทุกคนเล่นการพนัน หยอดหลุมบ้าง เล่นบ้อหุ้นบ้าง และแกเป็นคนเก่ง ก็กินได้สตางค์เขาไปเยอะแยะ ทุกคนก็หมดตัว อาตมาเองเป็นเด็กเล็ก ถือไม้กระบองเล็ก ๆ หนึ่งอัน ขีดไปขีดมากับดินมีสตางค์อยู่ ๒ ไพ นาน ๆ พ่อก็ไปให้เสียทีหนึ่ง

เธอก็มาชวนเล่นบ้อหุ้น ก็เลยบอกว่า “ไม่เล่น”
เธอบอกว่า ถ้าไม่เล่นเธอจะเตะ
ก็เลยบอกว่า “ถ้าเตะผมก็ตี”
เธอบอกว่าเธอโตกว่า
ก็ตอบเธอว่า “โตกว่าก็ไม่แปลก ในเมื่อเราเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน”

ผลที่สุดยั่วกันไปยั่วกันมา เธอก็เตะเอาจริง ๆ แกง้างขาจะเตะอย่างแรง ก็พอดีตีด้วยไม้สวนหน้าแข็ง ล้มลงทันที ถึงกับเดินไม่ไหว
ต่อมาท่านอาจารย์ชอบก็มาบอกว่า “เธอทำไมไปทำเขาอย่างนั้น”
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า “ในเมื่อเขาเตะผมนี่ครับ ผมก็ต้องตี เวลาเขาจะเตะผม ไม่มีใครห้าม แต่เวลาผมตีเขาแล้วจะมาว่าผมนั้น มันไม่ถูก”
อาจารย์ชอบท่านก็บอกว่า “ถูก”

ก็รวมความว่าวันหลังท่านพ่อไปที่วัด ไปถามความเป็นมาก็เลยบอกว่า “โกงผมก่อน ผมก็ต้องเอา โตขนาดไหนผมก็ต้องสู้”
ท่านอาจารย์ชอบท่านก็บอกว่า “ไอ้หนู รักษาตัวให้ดีนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจงเป็นคนมีมรรยาทดี มีพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน และ อุเบกขา วางเฉยไว้”

ก็กราบเรียนท่านว่า “ถ้าโกงผม ผมไม่เฉย ถ้าใครเขาไม่โกงผม ผมก็เฉย”
ท่านก็บอกกับท่านพ่อว่า “ไอ้หนูนี่มันเอาแน่” ท่านก็เลยถามวันเดือนปี ถามวันเดือนปี ท่านลงเลขกุกกัก ๆ ๆ ก็ไม่รู้ ว่าท่านทำอะไรของท่าน

ท่านก็หันมาบอกท่านพ่อบอกว่า “นี่พี่เลี้ยงให้ดีนะ เด็กคนนี้นะถ้าพลาดท่า ถ้าเป๋ก็เป๋ฉูดไปเลย ถ้าเป็นโจรก็ไม่ต้องจับกัน ประการหนึ่ง ถ้าดีก็ต้องดีมาก แต่เด็กคนนี้ไปในด้านดีมาก ต่อไปจะเป็นคนที่มีอำนาจวาสนา และขั้นที่สุดจะเป็นเจ้าใหญ่นายโตได้ แต่ว่าขอให้รักษาตัวให้ดี”

วันหลังต่อมาท่านพ่อก็บอกว่า อาจารย์ชอบ เดิมทีเดียวท่านเป็นทหาร เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เป็นคนที่รบเก่งมาก ไม่เคยมีแผลจากอาวุธของข้าศึก ถ้าทะลวงฟันเข้าไปหมู่ไหน หมู่นั้นก็ต้องแตกกระเจิง ถ้าหากผู้บังคับบัญชาต้องการจะบุก ก็จะสั่งหัวหมู่ทะลวงฟันคนนี้นำทหารเข้าตีจุดนั้นทันที เข้าตีจุดไหนแตกจุดนั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชามหาพิชัยสงครามก็เก่งมาก การวางแผนเก่งมาก ท่านพ่อบอกให้ไปขอเรียนจากท่าน

ในที่สุดก็เรียนจากท่านทุกอย่าง การเพลงอาวุธท่านก็แนะนำให้หมด ท่านอาจารย์ชอบนี่เดิมเป็นทหาร และต่อมาก็เป็นโรคเหน็บชา เป็นทหารไม่ไหว ก็มาอยู่กองเสมียนตรา ต่อมาก็ลาบวช เมื่อบวชแล้วก็เห็นว่าบวชดี ได้ฌานสมาบัติ ก็เลยไม่สึกจากพระ ก็รวมความว่าวิชาขั้นต้นก็ได้จากอาจารย์ชอบ เมืองหันตรา ที่ศึกษามาในกาลนั้น

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เวลาเหลือไม่ถึง ๑ นาที ก็ต้องขอลากันตอนนี้ เป็นอันว่าขอบรรดาท่านพุทธบริษัท พึงทราบชีวิตความเป็นมาของคนทุกคนว่า คนทุกคนไม่มีอะไรเที่ยง มันเต็มไปด้วยความทุกข์ โรคภัยไข้เจ็บเป็นของธรรมดาที่จะต้องมีกัน

ความทุกข์ใดใดเกิดขึ้น ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านจงใช้ขันติ คือความอดทน อดใจ รักษากำลังใจเข้าไว้เราถือว่า เรามีความตายในที่สุด แต่ว่า ถ้าอยู่เป็นคนก็อยู่อย่างคนดี เมื่อตายเป็นผีจึงจะเป็นผีดี

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลือไม่ถึงครึ่งนาที ก็ขอลา
ก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/1/11 at 15:55

3

(Update 12-1-54 )

ขันติของพระอัสสชิ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ยังเป็นวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๒ แต่ว่าวันนี้ขอทบทวนถอยหลังไป เป็นเรื่องราวของวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม เดินทางกลับมาถึงวัดจากกรุงเทพฯ จากซอยสายลมมา มาถึงวัดเย็นวันที่ ๓ พอตกกลางคืนก็รู้สึกปวดท้องมาก เวลานั้นเป็นอะไรบ้างจะไม่ขอกล่าว

มาถึงคืนวันที่ ๔ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาการปวดท้องยังมีมากตามปกติ เวลานั้นเป็นเวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา อากาศเริ่มร้อน อาการปวดท้องก็หนัก มีอาการคล้ายเป็นบิด รู้สึกอุจจาระแข็งมาก เพราะไปซอยสายลมมาทุกคราว บรรดาท่านพุทธบริษัทโรคที่มีอยู่ก็ทวีขึ้น ๓-๔ เท่า เพราะต้องนั่งเครียดทั้งวัน และมีการพูด

แต่ว่าบรรดาท่านผู้รับฟังและผู้มาเห็นคงจะไม่ทราบว่าป่วย ทั้งนี้เพราะว่าต้องใช้ขันติอย่างหนัก ถ้าถามว่าใช้ได้อย่างไร ก็ขอตอบว่า ใช้แค่จะพึงใช้ได้ ถ้ามันเกินวิสัยจริง ๆ ก็ร้องเหมือนกัน ก็ลุกไม่ขึ้นเหมือนกัน

ก็ดูแต่ พระอัสสชิ ซึ่งเป็นสาวกรุ่นแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะนิพพาน ท่านก็เป็นโรคกระเพาะอย่างหนัก เมื่อโรคกระเพาะเกิดขึ้นแล้ว ทั้งปวด ทั้งเสียด อึดอัด ทนไม่ไหว ท่านจึงคิดในใจว่า เวลานี้เราเสื่อมจากความดีเสียแล้วหรือ

จึงให้พระไปตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จมาท่านจะลุกจากที่นอน องค์สมเด็จพระชินวรตรัสว่า “อัสสชิ นอนตามนั้นเถิด ตถาคตจะนั่งในที่ที่เขาจัดให้นั่งตามสมควร”

เวลานั้นท่านกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า“เวลานี้ทุกขเวทนาหนัก พระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทนไม่ไหว ”
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่อยู่หรือ” นั่นก็หมายความว่า ใช้อานาปานุสสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ถ้ากำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ถ้าจิตเป็นสมาธิตามสมควร ทุกขเวทนาจะคลายตัว

ท่านก็กราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ทนไม่ไหว พระเจ้าข้า ระงับไม่อยู่”
ท่านจึงกราบเรียนองค์สมเด็จพระบรมครูว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้ว คงจะสลายตัวไปแล้ว”

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงถามว่า “อัสสชิ เธอถือว่าร่างกายเป็นของเธอหรือ”
พระอัสสชิก็ตอบว่า “ไม่ใช่พระเจ้าข้า”
ท่านถามว่า “หรือว่าเธอเห็นว่าเธอมีในร่างกาย”
พระอัสสชิก็ตอบว่า “ไม่ใช่”
ก็รวมความว่าท่านอัสสชิยังถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

เมื่อพระอัสสชิตอบอย่างนี้แล้ว องค์สมเด็จพระทีปแก้วก็มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “อัสสชิ ความดีของเธอไม่เสื่อม ความดียังทรงตนอยู่”
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อพระอัสสชิพบองค์สมเด็จพระบรมครูแล้วไม่นาน ก็นิพพาน

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ขึ้นชื่อว่า ขันติ มันก็จะทนได้อยู่แค่พอจะทนไหว ถ้าเกินกำลังมาเมื่อไร อาตมาก็เช่นเดียวกับพระอัสสชิ แต่ทว่าพระอัสสชิท่านเป็นพระอรหันต์ในสมัยตอนต้นพุทธกาล เป็นพระอรหันต์ที่มีกำลังยิ่งยวดมาก เพราะยังไม่มีใครเป็นตัวอย่าง ไม่มีใครเป็นแบบฉบับของอรหันต์ ฉะนั้นการเป็นอรหันต์เวลานั้นต้องใช้กำลังใจสูงมาก มีความฉลาดมาก มีความอดทนมาก มีความเข้มแข็งมาก

อาตมาเองไม่ใช่พระอรหันต์อย่างพระอัสสชิ อาตมาเองก็ยังเป็นพระปกติธรรมดา ดังนั้นขันติถ้าจะทน ก็เอาแค่ทนได้ ถ้ามันเกินกำลังก็ทนไม่ไหว ถ้ายังทนได้อยู่เพียงใดบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็ยังคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้ ถ้าทนไม่ได้เมื่อไร ก็นอนคนเดียวเมื่อนั้น

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท รายการนี้เป็นรายการธรรมะ ธรรมะของบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ให้มีความเข้าใจในร่างกายเป็นสำคัญวิปัสสนาญาณทุกข้อก็คือร่างกาย ให้พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริงว่า ร่างกายเป็นโทษ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายน่าเบื่อหน่าย ร่างกายนี้เราควรจะวางเฉย

เพราะว่าขืนเอาจิตใจติดตามร่างกาย คิดว่าร่างกายจะไม่แก่ มันก็ต้องแก่ คิดว่าร่างกายจะไม่ป่วยไข้ไม่สบาย มันก็ต้องป่วย คิดว่าร่างกายจะไม่มีทุกขเวทนา มันก็ต้องมีทุกข์ ถ้ากำลังใจเราฝืน เราก็มีทุกข์ กำลังใจไม่ฝืนก็ไม่มีทุกข์ ยอมรับมัน ถ้าความแก่มันเข้ามาถึง ก็ยอมรับ
ความแก่


เมื่อความป่วยเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายมันจะป่วย ความตายจะเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายมันต้องตาย และก็พยายามหนีร่างกายด้วยการคิดว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดอย่างนี้ มีกับเราชาติเดียวเป็นชาติสุดท้าย ต่อไปการเกิดมีร่างกายให้ประกอบไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราจะไม่มีอีก เรื่องนี้ก็หยุดกันแค่นี้บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าจะเบื่อเกินไป

ต่อไปก็มาคุยกัน เมื่อมันปวดท้องหนัก ๆ ก็คิดในใจว่า ทุกขเวทนาหนักมากเกือบจะทนไม่ไหว เวลานั้นก็นอนอยู่คนเดียว ตามปกติก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครอยู่ใกล้ การอยู่ใกล้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ จะทำให้คนใกล้มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน นอนก็ไม่ลง เพราะทุกขเวทนามันมีทุกวันทุกคืน จึงรวบรวมกำลังใจเท่าที่จะพึงทำได้คิดว่าเราไปหาลุงกันดีกว่า ไปถามท่านลุงดูทีซิว่า มันจะตายแล้วหรือยัง ถ้ามันจะตายจะได้เตรียมตัวตาย ตั้งป้อมไว้

แต่ก่อนที่จะไปหาลุงก็ต้องใช้ สังขารุเปกขาญาณ กำลังใจถึงที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ สังขารุเปกขาญาณ นี่มีหลายระดับบรรดาท่านพุทธบริษัท ขั้นฌานโลกีย์ก็มีสังขารุเปกขาญาณ พระโสดาฯ สกิทาคาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ก็มีสังขารุเปกขาญาณ คือว่า การวางเฉยในสังขารเป็นไปตามขั้นของกำลังใจ ไม่ใช่ว่าจะมีเฉพาะพระอรหันต์อย่างเดียว

เมื่อมีกำลังใจดีพอสมควร จิตว่างจากอารมณ์อื่น ไม่มีนิวรณ์เข้ามาแทรก อารมณ์เป็นสุขเพราะอาศัยอานาปานุสสติเป็นพื้นฐานก็รวบรวมกำลังใจไปแดนที่สุดเท่าที่จะพึงไปได้ก่อน เข้าไปนั่งอยู่ที่บ้าน หรือที่วิมานหลังนั้น ว่ากันตรงไปตรงมาดีกว่า ยังไง ๆ ใครเขาก็รู้ว่าสอนคนมามากแล้ว

ก็แปลกใจที่เห็นวิมานมันสวยสดงดงามกว่าเดิม เครื่องประดับประดาก็มีมาก ที่นั่ง ที่นอนก็ดีกว่าเยอะแพรวพราวเป็นระยับ ก่อนก็แพรวพราวอยู่แล้ว คราวนี้มันสวยกว่ามาก ทุกสิ่งทุกอย่างเพิ่มขึ้นมามาก พอไปถึงดินแดนนั้น ก็มีจิตใจชุ่มชื่น

พอนั่งเรียบร้อยก็ปรากฏว่าท่านพ่อท่านแม่ชาติในอดีต ที่ท่านไปนิพพานแล้วบ้าง ยังไม่ไปนิพพานบ้าง ท่านไปเยี่ยมกันมากมายนับกันไม่ได้ ท่านมาถึงท่านประกาศตัวว่าท่านเป็นพ่อชาตินั้น แม่ชาตินี้ แต่ละคนก็ประกาศให้ทราบ อารมณ์ใจก็สดชื่น และต่อมาพ่อแม่ของเด็ก บรรดาแม่ของเด็กก็มาเยี่ยมกัน

หลังจากนั้นก็ปรากฏว่า องค์สมเด็จพระภควันต์ที่นิพพานไปแล้ว ๘๔ องค์ ท่านก็มาเยี่ยม
ท่านบอกว่า “คุณ ร่างกายมันยังไม่ถึงเวลาจะตาย ควรยับยั้งกำลังใจไว้ก่อน สถานที่นี้นะมาได้แน่นอน แต่เวลาจะมายังไม่ควรจะมา อยู่ช่วยกันก่อน”
ก็กราบทูลท่านบอกว่า “ขันธ์ ๕ มันจะทนไม่ไหว พระเจ้าข้า”

ท่านก็ตอบว่า “ทุกขเวทนา ยังไม่ถึงขั้น ท่านอัสสชิ ท่านอัสสชิท่านเป็นมากกว่านี้ เธอยังมีกำลังน้อยกว่า พยายามรักษา ใช้ยาปกติที่มีอยู่ ที่หมอให้ ต่อไปร่างกายจะเปลี่ยน จะโปร่งขึ้น ในวันพรุ่งนี้จะคลายตัวมากกว่านี้ ในวันมะรืนนี้จะดีขึ้นมากอีกหน่อย ต่อไปร่างกายจะโปร่ง”
เมื่ออยู่ที่นั่นพอเป็นที่สบายใจ ท่านก็บอกว่า “เธอกลับได้ ยังไม่ควรจะคิดว่าจะอยู่เลย”
ก็กลับ ลาท่านกลับ ลาพ่อ ลาแม่กลับหมด

◄ll กลับสู่สารบัญ



4
หญิงแก่ขวางทาง


เมื่อกลับมาถึงที่แล้วก็คิดในใจ พอทรงอารมณ์ได้ ก็ตั้งใจคิดว่าประเดี๋ยวเราจะไปหาลุง ก็ลุกจากที่นอน ออกจากสถานที่ จะไปหาท่านลุง แต่ว่าบรรดาท่านผู้ฟังอุปสรรคย่อมเป็นอุปสรรค เป็นของธรรมดา ๆ คำว่า อุปสรรค นี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนว่า การจะไปไหนก็ดี การจะทำงานทุกอย่างก็ดี ต้องคิดถึงอุปสรรคก่อน แม้แต่การประกอบอาชีพต่าง ๆ ก็ต้องคิดถึงอุปสรรคก่อน อุปสรรคมันต้องมีกับคนทุกคน

พอเคลื่อนจากที่ก็ปรากฏว่า มีหญิงแก่คนหนึ่ง ผิวขาว รูปร่างเพรียว อายุประมาณ ๗๐ ปี อายุนี่ขอประมาณ เธอนั่งขวางทางหลีกทางซ้ายเธอก็ขวาง หลีกทางขวาเธอก็ขวาง เดินตรงเธอก็ขวาง

ก็ถามเธอว่า “เธอจองเวรจองกรรมอะไรกับฉัน ทำไมจึงขวางทางเดินของฉัน นี่ฉันจะไปหาลุง แล้วเธอมาขวางทำไม”
เธอก็ยิ้ม บอกว่า “ที่ฉันมาขวางนี่ฉันยังไม่ต้องการให้ไปหาลุง”
เอาสิ ไหมล่ะ อย่านึกว่าพระนี่เก่งกว่าผี ผีเก่งกว่าพระ
ก็ถามเธอว่า “เธอต้องการอะไร”


เธอตอบว่า “ตามฉันมา”
ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอก็นำหน้า ฉันจะตามไป”
ก็ไม่ทราบว่า เธอจะพาไปไหน เธอก็พาเดินเรื่อยขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ ชันขึ้นไป ๆ ปรากฏว่าดินแดนนั้นเป็นดินแดนของ เขาพระสุเมรุ เป็นทางที่ราบรื่น สวยสดงดงามมาก ขึ้นไม่เหนื่อย

พอไปถึงยอดเขาพระสุเมรุ ก็ปรากฏว่าไปถึงที่ ปัญจสิกขเทพบุตร เป็นที่รวมใกล้กับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปถึงเธอก็นั่ง อาตมาผู้พูดก็นั่งก็อยากจะทราบว่าเธอฟ้องอะไรหรือเปล่า คือคิดว่าไปหา ผู้พิพากษาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เธออาจจะฟ้อง

นั่งอยู่แล้วก็ถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า “หญิงคนนี้คือใคร”
ท่านก็ตอบว่า “เป็นหญิงคนหนึ่งที่มีคนเขาถามคุณ ที่ซอยสามลมว่า เธอตายไปแล้วไปไหน และท่านเองท่านก็ตอบสั้น ๆ ว่า คิดว่าเธอมีความสุข เพราะว่าคนคนนี้ทำบุญไว้มาก เวลาใกล้จะตาย เวลานั้นภาพเวลาเขาถาม ภาพเกิดกับคุณว่าหญิงคนนี้ถวายผ้าไตร หญิงคนนี้เคยสร้างพระพุทธรูปถวายในพระพุทธศาสนา

แต่ความจริงบุญของเธอไม่ได้ทำแค่นั้น เธอทำไว้มากกว่านั้น เป็นคนใจบุญ เรื่องบาป เป็นของธรรมดาของคนที่เกิดมาต้องมีบาป แต่เธอก็เป็นคนใจบุญหนัก เธอเคยถวายสังฆทานที่เป็นอาหารกับพระ เคยถวายสังฆทานเป็นของแห้ง เคยทำบุญบวชพระ เคยทำบุญทอดกฐิน จิตใจของเธอจริง ๆ จับอยู่ที่ผ้าไตร กับพระพุทธรูป

จึงหันมาถามเธอว่า “ความจริงเป็นอย่างนั้นไหม”
เธอก็ตอบว่า “เป็นความจริง”
ถามเธอว่า “บ้านอยู่ที่ไหน”
เธอก็ยิ้ม ๆ เธอก็บอกว่า “เวลาที่คนเขาถามปัญหา เขาบอกบ้านแล้วนี่เจ้าคะ เขาบอกจังหวัดอยู่แล้ว”

ก็เลยถามเธอว่า “บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ผู้หญิงแก่ ๆ แบบนี้มีกับเขาด้วยรึ นางฟ้าก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่มีรูปร่างแก่น่ะไม่มี”
เธอก็ตอบว่า “เท่าที่เห็นแก่ จะได้ทราบว่าเมื่อตายอายุเท่าไร”
ก็ถามถึงอาการตายของเธอ
เธอบอกว่ามีอาการร้อนในท้อง และก็แน่นในหน้าอก ไม่มากนัก ต่อมาศีรษะก็มึน ความร้อนถึงศีรษะตาก็พร่า

เวลานั้นจิตใจของเธอไม่ได้นึกอะไรมาก นึกอย่างเดียวว่าเวลานี้เรานับถือพระพุทธเจ้า เราเคยสร้างพระพุทธรูปไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ที่ใหญ่ที่สุด นอกจากนั้น ก็ถวายสังฆทานเป็นพระพุทธรูปหน้าตักขนาด ๕ นิ้วบ้าง ๔ นิ้วบ้าง เคยถวายสังฆทานที่เป็นวัตถุแห้งเยอะ มีผ้าไตร เคยถวายสังฆทานที่เป็นอาหารก็เยอะ ภาพทั้งหมดก็ปรากฏกับเธอ

และเวลานั้นก็ปรากฏมีภาพแมว กับภาพสุนัขเกิดขึ้น เจ้าแมวกับเจ้าสุนัขนี่เป็นภาพที่เธอเลี้ยงไว้ให้ความเมตตาปรานี เจ้าแมวกับเจ้าสุนัขก็มาหมอบอยู่ข้าง ๆ จิตเธอก็มีความรัก อาศัยภาพทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏ เธอบอกว่า ทุกขเวทนาที่ปรากฏในร่างกายมันก็สลายตัวไป เพราะจิตไม่เกาะ จิตไปเกาะภาพพระพุทธรูปบ้าง จิตไปเกาะผ้าไตร การถวายทานบ้าง เกาะหมาเกาะแมวบ้าง ก็เลยไม่รู้ทุกขเวทนา เวลานั้นปรากฏว่าอารมณ์เป็นสุข

และต่อมาก็เห็นภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จมา ใสสะอาดมาก แสงสว่าง ยิ้มแย้มแจ่มใส ทรงแย้มพระโอษฐ์ น่ารักกำลังสวย ริมฝีปากแดง ผิวขาวค่อนข้างเหลือง รูปร่างลักษณะโปร่ง สวยมาก จิตใจเธอก็จับพระพุทธเจ้า

และปรากฏว่าภายหลังต่อมาอีกนิดหน่อย ปรากฏเห็นเทวดากับนางฟ้ามาก เทวดากับนางฟ้ามีความสวยสดงดงาม มีเทวดากับนางฟ้าร้องชวนเธอว่า ขอให้ไปสวรรค์ด้วยกันเถิด ฉันอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่เท่าที่ปรากฏเวลานั้น เฉพาะเทวดากับนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น เธอก็ติดใจในนางฟ้า

ในที่สุดจิตออกจากร่าง รูปร่างหน้าตาก็เป็นนางฟ้า สวยสดงดงาม เมื่อเธอพูดจบ ก็ปรากฏว่าร่างกายแก่หายไป มีร่างกายสดใส เป็นนางฟ้า สวยสดงดงามแพรวพราวระยับ สวยมาก
ก็ถามว่า “เท่าที่บอกให้ตามนี้ ต้องการจะรู้อะไร”
เธอก็ตอบว่า “อยากจะเล่าให้ฟังว่า เรื่องราวจริง ๆ ที่ท่านตอบเขาวันนั้น ยังตอบน้อยไป”
ก็เลยบอกว่า “ฉันกำลังป่วยมาก แล้วก็เหนื่อยมาก คอก็แห้ง เสียงไม่ออก มันคิดอะไรไม่ออก เห็นภาพชัด ๆ แค่พระพุทธรูปกับผ้าไตร ลอยอยู่ข้างหน้าเธอ”

เธอก็บอกว่า “ต้องการให้ทราบตามนี้”
จึงถามเธอต่อไปว่า “ต้องการอะไรอีก”
เธอก็อวด เธอถามว่า “อยากจะดูวิมานฉันไหม”
ก็ตอบเธอว่า “อยากจะดู”

ก็ถามว่า “วิมานเธอได้มาจากอะไร”
เธอก็ตอบว่า “สังฆทานถังที่ถวายท่าน ท่านแบ่งไว้เป็น ๒ อย่าง คือโดยเฉพาะอย่างยิ่งสตางค์ที่ถวายร่วม สตางค์ที่ถวายร่วมนั่นท่านไปใช้เป็นสังฆทานบ้าง สร้างวิหารทานบ้าง สร้างพระพุทธรูปบ้าง ฉะนั้นอาศัยที่เงินของฉันมีส่วนวิหารทาน ฉันจึงมีวิมาน”
ถามว่า “วิมานของเธออยู่ที่ไหน”

เวลานั้นก็ปรากฏมีวิมานลอยมา เป็นวิมานทองคำ แต่ว่าบนยอดเป็นแก้ว พื้นของวิมานเป็นทองคำ สวยสดงดงามมาก มีนางฟ้าประจำอยู่ ๓,๐๐๐ คน นางฟ้าก็สวยสดงดงาม บรรดานางฟ้าทั้งหลายเห็นเธอเข้า เธอก็ลงมาไหว้

ก็ถามเธอบอกว่า “วิมานของเธอเป็นทองคำเพราะอาศัยบุญอะไร”
เธอก็ตอบว่า “อาศัยบุญวิหารทานบ้าง สังฆทานบ้าง เลี้ยงสัตว์บ้าง ก็มีวิหารทานเป็นปัจจัย แต่กำลังใจต่ำไปนิด ได้วิมานทองคำ”
ถามว่า “ยอดวิมานของเธอมันแปลกแทนที่จะเป็นทองคำอย่างวิมานอื่น ก็กลับกลายเป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ”

เธอก็ตอบว่า “ที่เป็นแก้วน่ะ ฉันชอบใจมณฑปแก้วไปทีไร ฉันชอบใจเฉพาะยอดมณฑป เบื้องบนของมณฑปตั้งแต่หลังคาขึ้นไปนี่ชอบ แต่ว่าความสนใจในตัวอาคารของมณฑปสนใจน้อยไป ถ้าเข้าไปที่นั่นไปเห็นพระที่นั่นก็มีจิตชุ่มชื่น เห็นพระองค์ที่ ๑๐ บ้าง ๑๑ บ้าง อย่างนี้เป็นต้น ฉันก็พอใจพระทุกองค์ จิตติดใจในพระ ตายมาแล้วก็ได้วิมานอย่างนี้”

ก็ถามเธอบอกว่า “นอกจากนี้เธอมีอะไรอีกไหม”
เธอก็ตอบว่า” ท่านจะไปเขียนหนังสือ เล่มนี้เป็นเล่มที่ ๖ อยากจะฝากไปถึงลูกถึงหลานว่า ถ้าหากท่านเขียนหนังสือ ลูกหลานเขาจะทราบ บอกว่า ฉันเป็นหญิงเชื้อชาติจีน นั่นก็หมายความว่า พ่อก็เจ๊ก แม่ก็จีน เป็นเจ๊กทั้งพ่อทั้งแม่ การเกิดมาในตระกูลของจีน แต่ว่าอยู่ในเขตพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ชอบการให้ทาน เรื่องความโกรธ ความไม่ชอบใจก็มีบ้าง เป็นของธรรมดา

และประการที่สอง ศีลก็รักษาบ้าง ตอนเด็ก ๆ ก็ไปวัดกับแม่ รักษาศีลบ้าง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็เป็นบุญ แม่ให้ใส่บาตรก็ใส่บาตรบ้าง ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่องว่าใส่บาตรมีอานิสงส์อะไร ก็ได้บุญ เวลาพระเทศน์ก็ตั้งใจฟังพระเทศน์บ้าง ไม่ตั้งใจฟังบ้าง คิดเรื่องอื่นบ้าง ถึงแม้ไม่สมบูรณ์แบบ ก็ได้บุญ

และต่อมาก็ชอบในการถวายสังฆทาน สังฆทานนี่ชอบมาก การเลี้ยงพระก็ชอบ เลี้ยงพระก็เป็นสังฆทาน สังฆทานแห้งก็ชอบ ที่ชอบมากที่สุดคือสังฆทานที่มีพระพุทธรูป มีผ้าไตร และมีอาหารแห้ง โดยเฉพาะยิ่ง ผ้าไตร ติดตาติดใจมาก กับพระพุทธรูป

ต่อมาขณะตอนต้นถวายพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ จิตใจก็ไม่ชุ่มชื่น อยากได้องค์ใหญ่ ๆ ก็เลยทำบุญด้วย พระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว เพราะในโลกเขาถือเลข ๙ กัน อะไร ๆ ก็เลข ๙ อะไร ๆ ก็เลข ๙ แต่ความจริง เลข ๙ ไม่ได้มีความหมายเด่นไปกว่านั้น ถ้าหากว่าฉันฉลาดพอ ฉันจะใช้พระ ๑๒ นิ้ว ถ้า ๑๒ นิ้ว เป็นชินราชจะดีมากเพราะสวยสดงดงามมาก

แต่ทีนี้บังเอิญ คนข้าง ๆ บ้านบ้าง เพื่อนกันบ้าง ลูกหลานบ้าง เขาบอกว่า ๙ ดี ๙ ดี ๙ หน้า ๙ หลัง แต่ความจริง ๙ หน้า ๙ หลังนี่ มันไปไม่ไกล ก้าวหน้าไป ๑ ก้าว ถอยหลังไป ๑ ก้าว ก้าวเท่าไรก็อยู่แค่นั้น ก็รวมความว่า ก็น่าจะไปสูงกว่านี้ แต่กำลังใจก็ดีไม่สมบูรณ์แบบ ก็อยากจะแนะนำให้ลูกให้หลาน ขึ้นชื่อว่าบาป ทำกันแล้วก็พอกันเสียที ให้พยายามทรงตัวความดี

อย่างน้อยจิตใจตั้งในทาน คิดว่าทาน การให้ จะมีในเรา อย่างนี้อย่างหนึ่ง ประการที่สอง ศีล รักษาทุกวันไม่ได้ ก็รักษาบ้าง เป็นประจำวัน ประการที่สาม กิจที่ฉันทำคือฉันบูชาพระของฉันทุกวัน ตอนหัวค่ำก็บูชาพระ ตอนเช้าตรู่ฉันก็บูชาพระ ฉันไม่มีเวลาภาวนามากอย่างเขา แต่อาศัยการบูชาพระเป็นกำลังใจ

ฉันติดใจในภาพพระพุทธรูปมาก ถึงเวลาจะตายภาพพระพุทธรูปจึงปรากฏ และในที่สุดมีพระพุทธเจ้ามา นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข ถ้าหากว่าท่านไปพบลูกพบหลานฉัน บอกด้วยว่า “ฉันมีความสุข”
ถามเธอว่า “ชื่ออะไร”
เธอก็ยิ้ม เธอตอบว่า “ฉันไม่บอก เพราะเขาบอกชื่อท่านแล้วที่ซอยสายลม”

ก็รวมความว่า เมื่อเธอไม่บอกก็ไม่รู้ รู้ก็ไม่พูด “ถ้าเธอไม่บอก เวลานี้แสดงว่าเธอปกปิดชื่อของเธอ”
เธอก็บอกว่า “ใช่ ฉันปกปิดชื่อของฉัน เพราะชื่อของฉันนี่ คนรักก็มี คนเกลียดก็มี ถ้าท่านไปพูดว่า ฉันมีความสุข คนที่เกลียดฉันเขาก็จะด่า เขาจะหาว่ามีความสุขไม่จริง แต่ในเมื่อเขาด่าฉัน คำด่า คำสาปแช่ง มันไม่ถึงฉัน มันจะถึงเขา จิตใจเขาจะเศร้าหมอง จะเพิ่มบาปขึ้นมาอีก ก็จงอย่าบอกชื่อเสียก็แล้วกัน”
ก็รวมความว่า วันนี้เลยไม่ได้ชื่อ เลยไม่ได้ไปหาลุงกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท

ต่อมาก็หันมาคุยกับท่านปัญจสิกขเทพบุตร
ถามว่า “หญิงคนนี้ตามบัญชีของท่านมีบุญวาสนาบารมีถึงไหน”
ท่านปัญจสิกขะถามว่า “ท่านถามมาหมายถึงนิพพานใช่ไหม”
ก็ตอบว่า “ใช่”

ท่านก็ตอบว่า “ยัง กำลังบารมียังอ่อนอยู่ ยังจะไปนิพพานไม่ได้ ทั้งนี้เว้นไว้แต่ว่า ถ้าเธอมาอยู่บนสวรรค์แล้ว ตั้งใจบำเพ็ญความดีเพื่อนิพพานต่อไป อาจจะไปได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เทวดาหรือพรหมจะพยากรณ์ เป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระชินวร จะพยากรณ์แต่พระองค์เดียว แต่ถึงกระไรก็ดี ถ้าเธอทำความดี ความดีก็จะช่วยเธอ”

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งนาทีดี ก็ขอเตือนบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า รายการนี้ เป็นรายการธรรมะ เอาเรื่องราวต่าง ๆ มาคุยสู่กันฟังเพื่อสร้างความเพลิน
ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จงรักษาความดี ๔ ประการ ไว้ คือ
๑. รู้จักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
๒. พูดไพเราะ ใช้วาจาดี ๆ
๓. ช่วยเหลือการงานซึ่งกัน และกัน
๔. ไม่ถือตัว
คุณธรรม ๔ ประการนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายมีความสุข เพราะความรักกัน


เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เวลาหมดแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 22/1/11 at 14:16

5

(Update 22-1-54 )

ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้เป็น วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๒ ก็ขอทบทวนเรื่องราวของ วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๒ เพราะว่าเมื่อวันที่ ๙ เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา ๓๐ นาที เวลานั้นก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ดีตามปกติ แต่ความจริงเรื่องป่วยนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่อยากจะเล่าสู่กันฟัง แต่ก็จำเป็นต้องพูด

เพราะมีบรรดาญาติโยมลูกหลานมาเยี่ยมทุกวัน การมาเยี่ยม คนมาเยี่ยมที่ประจำจริง ๆ ก็คือชาวนครสวรรค์กับชาวกรุงเทพฯ ไม่ขาดแต่ละวัน มากันสายละหลาย ๆ คน นอกจากนั้นก็มีภาคอีสาน มีจังหวัดนครราชสีมา สระบุรี ขอนแก่น อุบลราชธานี สกลนคร ภาคใต้ก็มีจังหวัดตรัง ตรังนี่มาเป็นประจำทุกวัน หลายวันแล้ว นครศรีธรรมราช แล้วก็นราธิวาส และจังหวัดอื่น ๆ เช่น ลพบุรี เป็นต้น

รวมความว่ามากันวันละมาก ๆ ทุกคนมาเยี่ยมอาการไข้ แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาที่มาเยี่ยมจริง ๆ อาจจะไม่พบไข้ เพราะทั้งนี้อาการไข้จริง ๆ ที่ทรมานมากที่สุด ก็ตั้งแต่หลัง ๓ โมงเย็นเป็นต้นไปถึง ๔ ทุ่ม ในช่วงนี้มันทรมานมาก เวลาที่รับแขก บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มีอาการมึนงง แต่ว่าอาศัย ขันติ เป็นเครื่องช่วย

เพราะว่าการแสดงออกถึงอาการป่วยไข้ไม่สบายต่อหน้าผู้มาจะไม่ค่อยดีนัก จะทำให้กำลังใจของบรรดาลูกหลานและบรรดาท่านพุทธบริษัทเสียกำลังใจมาก แต่ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนและทุกท่านทุกจังหวัดที่มา สลับกันไปสลับกันมา ที่พูดนี่จะไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ อีกสายหนึ่งก็ พิจิตร เพชรบูรณ์ มาเป็นประจำเหมือนกัน ก็รวมความว่า เกือบจะทุกจังหวัดที่สลับกันไปสลับกันมา

เมื่ออาการร่างกายเป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ต้องตกอยู่ในความไม่ประมาทของชีวิต ต้องคิดว่า ความตายอาจจะเข้ามาถึงวันนี้ได้เสมอ นี่เป็นกฎธรรมดา เมื่อคิดอย่างนี้แล้วก็มีการเตรียมตัวตายทุกวัน การเตรียมตัวตายก็คือเอาจิตเกาะพระ คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นต้น เกาะเทวดาหรือพรหม เกาะสิ่งที่เป็นสุข

ในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๒ กำลังเกาะเหตุนี้อยู่เหมือนกัน แต่สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น นั่นคือมีรูปร่างของคน เป็นคนเนื้อเต็ม จะถือว่าอ้วนตุ๊ก็ไม่ใช่ตุ๊ คือไม่ใช่ท้องพลุ้ย เป็นคนอ้วน อันดับแรกอาตมานอนตะแคงขวา ท่านนั่งอยู่ข้างหลัง เห็นมือทั้งสองพนม ท่อนแขนตั้งแต่ศอกออกไปเห็นมือพนม

การเห็นบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่ทิพจักขุญาณ ไม่ใช่ฌานสมาบัติ เวลานั้นสมาทานภาวนาเล็กน้อย พอจิตเป็นสุข เป็นการเห็นจากท่านแสดงให้เห็น การเห็นท่านก็เหมือนเห็นคนธรรมดา มีสภาพปกติ ไม่ใช่เงา

เมื่อเห็นแขนสองแขน มือสองข้างพนมพร้อมกันก็สงสัย พลิกกายออกมานอนหงาย ก็เจอะหน้าท่านพอดี
ก็ถามท่านผู้นั้นว่า ท่านเป็นใคร
ท่านบอกว่า ผมคืออดีตพระยากาญจนพลินทร์ แต่ว่าเวลานี้เป็นพรหม
ก็ลืมถามไปว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน ความจริงเมื่อเป็นพรหมหรือเทวดาก็มีสภาพเหมือนกัน เพราะว่าดินแดนแห่งนั้นเป็นดินแดนแห่งความสุข

จึงเรียนถามท่านว่า ท่านเจ้าคุณ (คำว่าท่านเจ้าคุณเขานิยมเรียกพระยาต่าง ๆ ว่า ท่านเจ้าคุณ) ถามว่า ท่านเจ้าคุณ เป็นพระยาตั้งแต่สมัยไหน
ท่านบอกว่า ผมเป็นพระยาตั้งแต่สมัย พระเจ้าสามพระยา
ท่านก็รายงานต่อไปว่า ผมเป็นลูกชายของพระยากาญจนบุรี

ก็เลยถามท่านว่า พระยากาญจนบุรีเป็นพระยาสมัยไหน
ท่านบอกว่า พระยากาญจนบุรีเป็นนักรบ หลายนัก นักรบ นักรัก นักแสวงหาโชคลาภ ก็รวมความว่าพระยากาญจนบุรีก็เป็นทหารสมัย พระเจ้าอินทราชา พ่อพระเจ้าสามพระยา รับราชการตั้งแต่ตอนนั้นมา ในที่สุดบรรดาศักดิ์ชั้นสุดท้าย หลังจากเป็นพระยาอื่นในนามของนักรบมาแล้ว ก็เป็นพระยากาญจนบุรี ปกครองเมืองกาญจนบุรี

การที่ท่านพระยากาญจนบุรีปกครองกาญจนบุรีนั้น หนึ่งกาญจนบุรีเป็นชายแดนและประการที่สอง ทางราชการสมัยนั้นถือว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นแหล่งสำคัญในการหาโชคลาภหรือทรัพย์สิน เมื่อมาเป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรีแล้ว ไม่ช้าก็ได้เป็นพระยากาญจนบุรี ท่านพระยากาญจนบุรีนี้ท่านแสวงหาโชคลาภ คือหาทอง

ท่านเจ้าคุณกาญจนบุรีเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อชอบหาทอง หาทรัพย์สินส่งราชการ เพราะเวลานั้นประเทศชาติจะเก็บภาษีอากรกับคนชาวบ้านนี่มันไม่ไหว คนก็น้อย การรบติดพันกันอยู่เสมอ ชาวบ้านที่เขาออกทำการรบเป็นทหารจะเก็บภาษีอากรก็ไม่ได้ ทางราชการก็ใช้ทรัพย์สินมาก ก็จำต้องหาทรัพย์สินใต้ดินกัน

ลืมบอกไปบรรดาท่านพุทธบริษัทว่าเรื่องนี้ให้เรื่องว่า ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี ลืมบอกเรื่องไป อย่าลืมนะว่าทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี
ก็เลยถามเจ้าคุณกาญจนพลินทร์ว่า การหาทรัพย์สินเวลานั้น ท่านหาที่ไหนบ้าง
ท่านก็บอกว่า ในฐานะผมเป็นลูกชายคนที่สองของพระยากาญจนบุรี ร่วมทำการหากับพ่อ ทางราชการมอบหมายให้หาทองกับเงิน แร่ทองกับแร่เงิน ส่งทางราชการ
ถามท่านว่า ทางราชการมีกำหนดไหมว่า เดือนหนึ่งต้องส่งเท่าไร

ท่านก็ตอบว่า เมืองกาญจนบุรีไม่ใช่เมืองเสียส่วย ทางราชการไม่กำหนด กำหนดแต่เพียงว่าได้เท่าไรซื้อหมด
จึงถามท่านว่า การแสวงหาทอง การซื้อทอง ทางราชการเวลานั้นซื้อราคาเท่าไหร่
ท่านบอกว่า ถ้าเป็นทองบริสุทธิ์จริง ๆ ไม่มีสิ่งเจือปนให้ราคา ทองหนัก ๑ บาท ต่อ ๙ บาท เรียกว่าทองเนื้อเก้า ถ้ามีสิ่งเจือปนเล็กน้อยก็เรียกว่า ทองเนื้อแปดคือให้บาทละ ๘ บาท ถ้าสิ่งเจือปนมากนิดหน่อยก็ให้ บาทละ ๖ บาท เรียกว่าทองเนื้อหก คำว่า สิ่งเจือปน หมายถึงว่า เขาร่อนไม่ดีพอ มีสิ่งเจือปนอยู่บ้าง ก็ต้องดูกันว่าเจือปนมากน้อยเท่าไร

จึงถามถึงวิธีหาทอง หาทอง หาเงิน หาแร่ต่าง ๆ
ถามท่านว่า การรู้เรื่องทองหรือเงินในพื้นที่ และการรู้เรื่องแร่ วิชารู้เรื่องแร่มีไหม
ท่านบอกว่า มีทุกอย่าง แต่ว่าของบางอย่างในสมัยนั้นไม่เหมาะกับคนไทย เพราะว่าคนไทยยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ ยังไม่มีความรู้ถลุงแร่ประเภทนั้น ท่านบอก วิชาความรู้ที่ท่านเรียนร่วมมากับพ่อคือเรียนจากพ่อ
ถามว่า พ่อของท่านเรียนมาจากใคร

ท่านก็ตอบว่า พ่อของท่านเรียนมาจาก อาจารย์คง
ถามว่า อาจารย์คงอยู่วัดไหน
ท่านบอกว่า อาจารย์คงเป็นพระลูกวัดวัดป่าเลไลยก์ เมืองสุพรรณบุรี ที่วัดป่าเลไลยก์นี้มีอาจารย์เก่ง ๆ อยู่ ๓ ท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์คงเก่งทางด้านนี้มาก
ถามท่านว่า วิธีดูพื้นดินทำอย่างไร การหาทองใช้วิธีอะไรบ้าง

ท่านบอกว่า หนึ่ง ดูดิน ดูลักษณะของดินว่าจะมีแร่ประเภทใดอยู่ ไม่ใช่เฉพาะทอง คือว่าดินอย่างนี้ต้องมีแร่อย่างนั้น เวลาที่จะดูดินก็ต้องขุดลงไปสักประมาณ ๑ คืบก่อน พอถึงดินเนื้อแท้ของพื้นที่จริง ๆ เมื่อถึงดินแข็งไม่ซุยก็ฟันดินขึ้นมาดู ได้พิสูจน์กันว่าถ้าดินลักษณะอย่างนี้จะมีทอง ลักษณะอย่างนี้จะมีแร่เงิน แร่เงินธรรมชาติแร่ทองธรรมชาติ ลักษณะอย่างนี้จะมีแร่ต่าง ๆ
สำหรับปริมาณก็เป็นการคาดคะเน ตามหลักวิชาการแต่ไม่ค่อยผิด


ถ้าถามความลึกของเงินและทองและแร่ต่าง ๆ ท่านก็บอกว่า อันนี้ไม่ใช่ของยาก ถ้ารู้ปริมาณ รู้กำลังดิน ก็จะทราบว่าความลึกของแร่เงินหรือแร่ทองหรือแร่ต่าง ๆ จะอยู่ขนาดไหน นี่เป็นวิชาการของโบราณซึ่งยังไม่ได้เรียนจากฝรั่ง[/color]

ต่อมาก็อีกวิธีหนึ่งอาจารย์คงก็สอนเหมือนกัน ใช้วิธีหลับตาดู เรื่องนี้เรื่องใหญ่ คือใช้วิธีหลับตาดู แทนที่จะลืมตาดู หลับตาดู นี่ก็แปลก ถ้าหลับตาดู ใช้กำลังใจถาม อย่างนี้จะเห็นแร่ทอง แร่เงิน แร่ต่าง ๆ ภายใต้พื้นดิน ใต้พื้นดิน ใต้ภูเขาทั้งหมด จะรู้กำหนดว่ามีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร มีตื้นลึกหนาบางอย่างไร จะใช้อะไรได้บ้าง รู้หมด

แต่ว่าวิธีที่ ๑ กับวิธีที่ ๒ นี่ก็ใช้กันตามปกติ แต่ยังไม่แน่ใจ เขาไม่ค่อยนิยมกันนัก ใช้แล้วก็ต้องใช้วิธีที่ ๓
ถามว่า วิธีที่ ๓ คือวิธีแบบไหน
ท่านตอบว่า ต้องถามผีพรายประจำท้องถิ่น คือผีพรายประจำท้องถิ่น ถ้าติดต่อได้ จะบอกตรงไปตรงมาทั้งหมด ฉะนั้นในเรื่องโบราณต่าง ๆ จึงว่ามีการพบผีพราย คุยกับผีพราย

จึงถามท่านว่า เวลานี้คำว่า ผีพรายนั้นหมดไปแล้ว ไม่มีใครนิยมเรียกกัน อยากจะถามว่าในสมัยปัจจุบัน คำว่าผีพรายหมายถึงอะไร
ท่านก็ตอบว่า คำว่า ผีพรายประจำถิ่น นั่นก็คือภูมิเทวดา จะว่ากันไปก็คือพระภูมิเจ้าที่นั่นเอง พระภูมิเจ้าที่ย่อมรักษาเขตจำกัด จากที่นี้ถึงที่โน้น จากที่นั้นถึงที่โน้น

ก็รวมความว่าภายในเขตของท่านจะมีทรัพย์สินอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน มีปริมาณเท่าไร ขุดลึกเท่าไร ไปถึงดินชั้นไหนจึงจะมีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร จึงพบทองและเงิน ผีพรายประจำถิ่นหรือภูมิเทวดาก็บอกชัด เวลาท่านบอกจริง ๆ ก็มีสภาพเห็นด้วยอำนาจเทวานุภาพ เห็นชัดเหมือนแผ่นดินไม่มีบัง วิธีการที่ ๓ นี้เป็นวิธีการที่นิยมกันมาก

และก็ต้องถามต่อไปว่า ถ้าจะขุดจะอนุญาตไหม บางจุดท่านก็อนุญาต บางจุดก็ไม่อนุญาต เพราะว่ายังไม่ถึงวาระ ต้องถึงกาลเวลาอันสมควร แต่ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับนับถือเทวดา เพราะได้ทดลองมาแล้วว่าจุดใดมองเห็นชัดตามหลักวิธีการ ๓ ประการนี้ เห็นหมด

แต่ทว่าปรากฏว่าขุดแล้วไม่ได้ ขุดลึกเท่าไรก็ไม่ได้ ด้วยอำนาจเทวานุภาพ ท่านก็กล่าวว่า ถ้าที่ใดที่ท่านอนุญาตให้ ขุดได้ง่าย ๆ แล้วก็ขุดไม่ลึก การหาแร่ทองแร่เงินสมัยนั้นหากันแค่ผิวดิน แต่ยิ่งขุดลึกลงไปเท่าไร ก็ตามทีก็ได้มากขึ้น ปริมาณทองก็สูง ปริมาณเงินก็สูง

ถามท่านว่า แร่ทองกับแร่เงินนั้นอยู่รวมกันไหม
ท่านบอก ไม่ได้รวมกัน มันต้องคนละแท่ง ที่ของใครก็ที่ของใคร ภูมิเทวดาจะชี้ที่ให้
ก็เลยคิดว่าเวลานี้การหาทองหาเงินก็เป็นของดี

อยากจะถามท่านว่า วิธีติดต่อกับภูมิเทวดาหรือผีพรายประจำท้องถิ่นประจำพื้นที่ ต้องมีเครื่องสังเวยไหม
ท่านบอกว่าเป็นของธรรมดาต้องมีเครื่องสังเวย
ถามว่าเครื่องสังเวยที่ท่านใช้เป็นอะไร
ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า หลักวิชานี้ไม่มีใครเขาบอกกัน

ก็เลยถามว่า เวลานี้ท่านเป็นพรหมท่านก็น่าจะบอกได้
ท่านบอกว่า ยิ่งเป็นเทวดา ยิ่งเป็นพรหม ยิ่งหนัก ต้องรักษาระเบียบ ขึ้นชื่อว่าระเบียบปฏิบัตินี้ พรหมกับเทวดาต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่อยากจะบอกกับใครก็บอกได้เสมอ

ถามท่านว่า กาลเวลาอันสมควรเวลานี้ประเทศชาติต้องการทรัพย์สินมาก ถ้าต้องการแร่ทองแร่เงินแร่อย่างอื่นจะพอหาได้ไหมในเขตกาญจนบุรี
ท่านก็ยิ้มแล้วก็ตอบว่า ในเขตกาญจนบุรีนี้ว่ากันจริง ๆ นะ เนื้อที่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของจังหวัดเป็นทองและเงินและแร่ต่าง ๆ ที่มีค่าสูงมาก

ท่านก็พูดต่อมานิดหนึ่งว่า ในฐานะที่ผมก็เคยเป็นทหาร เคยรักษาเขตประเทศชาติมาแล้ว เอาชีวิตและเลือดเนื้อเข้าแลก เพื่อความเป็นอยู่ของชาติ ก็อยากจะเตือนพี่น้องชาวไทยทั้งหมดว่า จังหวัดกาญจนบุรีนี้อย่าให้ตกไปอยู่ในมือของใคร เพราะจะเป็นแหล่งทรัพย์สินทั้งหลายต่าง ๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะยิ่งแห่งเดียวในเมืองไทย คือกาญจนบุรี ถ้ากาลเวลาถึง คำว่า กาลเวลาถึงหมายถึงว่า บุคคลผู้มีปฏิปทาอันสมควรที่จะพึงได้ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นขึ้นมา

[color=navy]เป็นอันว่าทรัพย์สินทั้งหลายในเมืองกาญจนบุรี ถ้านำขึ้นมาจริง ๆ เฉพาะในเขตจังหวัดเดียว ประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐีของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเขาลูกหนึ่งท่านไม่บอกชื่อน่ะซี ไม่บอกสถานที่ก็เมืองกาญจนบุรีก็แล้วกัน มีเขาลูกหนึ่งสูงตระหง่านกว่าเขาอื่นทั้งหมด โดดเดี่ยวขึ้นไป และก็มีเทือกเขาทั้งซ้ายและขวา ถ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกจากเขาลูกนั้นมาเป็นเทือกเขาข้างซ้าย ยาวเหยียดที่จะเป็นคันกั้นน้ำ

เขาลูกนี้มีแร่ธาตุพิเศษจริง ๆ ทางด้านซ้ายมือคือไหลขึ้นไปทางเหนือ ไม่ใช่แร่เงิน ไม่ใช่แร่ทอง แต่เป็นแร่หลายอย่างในพื้นที่นั้น แล้วแร่ประเภทนี้สามารถจะนำมาผสมกันเป็นเงินคงคลังของชาติได้เป็นอย่างดี แล้วก็มีปริมาณมหาศาล ถ้าขุดเจาะจริง ๆ ถ้าได้แร่นี้ขึ้นมา ความจริงแร่หลายอย่างใช้ประโยชน์เยอะ ไม่ขออธิบาย

ต่อไปนักวิทยาศาสตร์ของไทยจะเก่งกล้าขึ้น สามารถจะทำได้หลาย ๆ อย่างที่เราไม่คาดคิดจะถึง แม้แต่การใช้รังสีต่าง ๆ ก็สามารถทำได้เยอะ แต่เรื่องเหล่านั้นคนถามไม่ได้สนใจเสียนี่ สนใจอย่างเดียวว่าสามารถจะนำเป็นเงินแท่งคงคลังได้เป็นอย่างดี
ถามท่านว่า เงินแท่งคงคลังนี้มันหมายถึงอะไร

ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า ทองคำเอาขึ้นมาผสมกัน แร่ในนั้นมีครบถ้วนบริบูรณ์ ให้ผสมตามสูตรต่อไปนักวิทยาศาสตร์จะทำได้ แต่ว่าเวลานี้เห็นว่ายังทำไม่ค่อยจะได้ กาลเวลายังไม่สมควร นักวิทยาศาสตร์ทำได้แล้ว ในถ้ำนั้นแหละ ถ้ำที่แร่มีอยู่แล้วก็ไหลขึ้นไป มันจะมีจุดหนึ่งเป็นธารน้ำใส คือกระแสน้ำนี้ยังไม่ปรากฏในสายตาภายนอก จะไหลอยู่ภายในเขา เป็นคล้าย ๆ น้ำซับ ซึม ๆ ออกมา แต่ซึมแรง ตักเท่าไรจะไม่หมด ขออย่างเดียวอย่าทำลายต้นน้ำลำธาร ต้นน้ำลำธารอยู่ทางสายของพม่า แต่ไม่ถึงพม่า เป็นจุดนั้น จงอย่าทำลาย

เมื่อได้แร่ทั้ง ๓ อย่างขึ้นมาผสมกันแล้ว ท่านใช้คำว่า ผสมกันแล้ว และก็ใช้น้ำอันนี้ช่วย เพียงเท่านี้ ทั้ง ๓ อย่างนั้นก็จะกลายเป็นทองคำ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เนื้อจะอ่อนไม่ผิดกับทองคำทั้งหลายทั้งหมด
ถามท่านบอกว่า บอกจุดได้ไหม
ท่านบอกว่า ผมบอกเท่านี้มันก็ผิดระเบียบเข้าแล้วครับ จริง ๆ แล้วเขาไม่บอก

ถามท่านว่า ปริมาณแร่ทั้งหลายทั้งหมดนี้ ถ้าจะนำมาใช้กันจริง ๆ สักกี่สิบปีจะหมด
ท่านบอกว่า ถ้านำขึ้นมาใช้จริง ๆ ๑,๐๐๐ ปี ยังไม่ได้ ๑ ใน ๔ ของปริมาณแร่ทั้งหมด แร่ทั้งหมดนี้นอกจากมีเป็นธรรมชาติแล้ว มันยังเกิดเรื่อย ๆ การเกิดของมันก็ปรากฏเวลานี้มีหลายชั้น นอกจากอยู่ในเขาแล้ว มันยาวลงไปถึงใต้ดินเยอะแยะมาก

ก็ถามท่านว่า มันไหลออกมานอกเขาไหม
ท่านก็ตอบว่า มี ตามเชิงเขา ถ้าไกลออกมาไม่เกิน ๓ กิโลเมตร ปริมาณแร่นี้ยังมีจำนวนหนามาก ถ้าเกินมาถึง ๑๕ กิโลเมตร อาจจะบางไปหน่อย กระจัดกระจายอยู่ แต่ว่าต้องมีคนฉลาด มีความรู้ตามปริมาตรของแร่นี้จริง
ท่านย้ำว่า จงอย่าลืมว่า นอกจากจะนำแร่นี้มาทำเป็นทองคำแล้ว ประโยชน์อย่างอื่นจากแร่อื่นในบริเวณนี้มีมากมายเหลือเกิน

ท่านก็พูดยิ้ม ๆ ท่านบอกว่า ผมไม่รู้ภาษาฝรั่ง เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างเขาเรียกเป็นภาษาฝรั่งทั้งหมด ผมไม่รู้ไม่เคยเรียน ก็เลยไม่กล้าจะบอกว่ามันทำอะไรได้บ้าง ก็ขอพูดอย่างคร่าว ๆ ปริมาณส่วนหนึ่งของแร่ จะทำเหล็กเหนียวและเหล็กแข็งได้ดี อีกส่วนหนึ่งของแร่จะใช้รังสีได้อย่างวิเศษ อีกส่วนหนึ่งของแร่จะทำอะไรก็ได้ ผมพรรณนาไม่ไหว เป็นเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ แต่ว่าผมเองในฐานะมีนามว่า พระยากาญจนพลินทร์ เป็นผู้ค้นคว้าแหล่งการมาของทองคำ จึงสนใจเฉพาะทองคำ

จึงได้เรียนถามท่านว่า สมัยของท่านเคยนำแร่นี้ขึ้นมาใช้ไหม
ท่านบอกว่าในกาลบางส่วนนำมาครับ เคยนำขึ้นมา แต่ไม่ได้นำมาจากเขา ถามผีพรายประจำถิ่น คือภูมิเทวดา การเจาะเขาเราก็เสียดายเขา ปริมาณการใช้ก็ไม่มาก ถามท่านว่า พื้นที่ราบเชิงเขา หรือแผ่นดินเรียบจะมีไหม ภูมิเทวดาท่านก็บอกว่า มี และก็ถามท่านว่า ที่ตรงไหน ภูมิเทวดาท่านก็ถามว่า ต้องการปริมาณมากหรือปริมาณน้อย ก็เลยบอกท่านว่า ต้องการรู้ทั้งหมด ทั้งปริมาณมากและปริมาณน้อย แต่ว่าต้องมาพิสูจน์เพื่อการทดลอง

ท่านก็ชี้จุดให้ ท่านเอาไม้ไปปักให้ดู เป็นสัญลักษณ์ของไม้ ถ้าไม้อย่างนี้ปริมาณมาก ไม้อย่างนี้ปริมาณน้อย ทั้งนี้ต้องใช้วิธีการบวงสรวง
การบวงสรวงถามท่านว่า จะขอพิธีกรรมได้ไหม
ท่านบอกพิธีกรรมมันเป็นของไม่ยาก แต่ว่าสมาธิที่ทำใจใสซี
ก็ถามท่านว่า สมาธิทำใจใสสามารถเห็นผี เห็นเทวดาได้ ท่านเรียนจากใคร

ท่านบอกว่า เรียกจากอาจารย์คง ท่านมีวิชาเฉพาะให้ วิชาเฉพาะของท่านจริง ๆ ก็คือสมาธิธรรมดา แต่ว่ามีบทคาถาภาวนา บทคาถาเชิญเทวดา และเชิญภูตผีพรายประจำถิ่น
ถามว่า การบวงสรวงแล้วเชิญมายากไหม
ท่านบอกว่า จิตใจของบรรดาพวกกระผม ผมก็ดี คุณพ่อก็ดี คนทุกคนก็ดี สมัยก่อน มีความเคารพในพระพุทธศาสนามาก ยอมรับนับถือเทวดาและพรหมมาก การเชิญจึงเป็นของไม่ยาก

พอเริ่มพิธีบวงสรวงปั๊บ ก็จะเห็นภูมิเทวดาท่านมายืนเรียงรายทั้งหมด ท่านจะประกาศชื่อท่าน จะประกาศเขตที่ท่านอารักขา จะประกาศทรัพย์สินเท่าที่มีอยู่ทั้งหมด เวลาที่ท่านประกาศ ภาพทั้งหมดจะปรากฏกับสายตาของเรา คือสายใจนะ ไม่ใช่สายตา เพราะหลับตาจะปรากฏชัด ถามถึงการอนุญาตหรือไม่อนุญาต ท่านจะบอกชัดด้วยความเมตตา

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า คุยกันมาก็เพลินไป เวลากาลเหลือไม่ถึง ๑ นาที รายการนี้เป็นรายการของธรรมะ ก่อนจะจบ ก่อนจะหมดเวลาก็ขอนำธรรมะมาก่อนว่า พระยากาญจนบุรีก็ดี หรือพระยากาญจนพลินทร์ก็ดี ท่านตายไปหมดแล้ว และคนทั้งหลายเหล่านี้ที่ขุดทอง ขายทอง ก็ตายไปหมดแล้ว

ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทพึงทราบว่า “สัพเพ สัตตา มริจสันติ มรณันตัง หิ ชีวิตัง” สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกไม่มีใครอยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูบอกว่า ตายหมด
ในเมื่อเราทราบว่าตาย จงพยายามรักษาความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล รู้จักการเจริญภาวนา จะเป็นที่พึ่งใหญ่ของเรา

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน เวลาหมดพอดี ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ



6
ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี (ต่อ)


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย รายการนี้ให้ชื่อว่า รายการทรัพย์ใต้ดินแห่งเมืองกาญจนบุรี เป็นอันว่าเมื่อตอนที่แล้ว ได้คุยกับพระยากาญจนพลินทร์ถึงทรัพย์สินในเมืองกาญจนบุรี คือทรัพย์ใต้ดิน ไม่ทันจะจบก็หมดเวลาเสียก่อน ประเดี๋ยวก่อนบรรดาท่านพุทธบริษัท รายการนี้เป็นรายการธรรมะ ทำไมจึงนำนิทานมาเล่าสู่กันฟังแทนธรรมะ

ก็ขอพูดตอบว่า นิทานนี้เป็น นิทานมรณานุสสติกรรมฐาน เพราะว่าคำว่า มรณานุสสติ คือนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ที่นำเอาพระยา ๒ พระยามาพูด เพราะว่าท่านพระยา ๒ พระยานั้นเป็นคนมีชื่อเสียงมาก หาทรัพย์สินได้ดี เป็นกำลังใหญ่สำคัญของชาติ สมัยเป็นหนุ่มก็เป็นนักรบ ต่อมาหนุ่มน้อยลงมากเป็นนักรัก นักแสวงหาโชคลาภ เป็นคนหาทรัพย์สินส่งพระคลังของราชการ

แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ต่างคนก็ต่างตายไปหมด ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงคิดว่า ท่านที่เล่าให้เราฟัง เวลานี้ท่านเป็นพรหม การเป็นพรหมได้เพราะท่านตายจากความเป็นมนุษย์แล้วก็ไปเกิดเป็นพรหม คนที่จะเป็นพรหมได้เพราะอาศัยสมาธิ คือฌานสมาบัติ ท่านเป็นนักนิยมการเจริญกรรมฐาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝึกการติดต่อกับเทวดากับภูติผีพราย นี่เป็นสมาธิสูง การที่จะใช้วิชาอยู่ยงคงกระพันก็ต้องใช้สมาธิสูง ที่เรียกกันว่าจำต้องปลุกพระปลุกตัวทุกวัน ทั้งเช้า และเย็น นั่นคือสมาธิ
ดังนั้นนักที่ชอบปลุกตัว คือยึดถือพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เป็นสำคัญก่อน คือนึกถึงพระพุทธหรือว่านึกถึงพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่เป็นคณาจารย์ของท่านแล้วก็ปลุกพระ นั่นคือสมาธิ

การปลุกพระจะขึ้นปุบปับ ๆ นั่นคือ อุพเพงคาปีติ ไม่ใช่ของต่ำ กำลังใจต้องไปถึงปีติที่เรียกว่า อุพเพงคาปีติ ตอนจิตเยือกเย็น นั่นเป็น ผรณาปีติ เมื่อปีติเกิดขึ้น ฌานก็เกิด คือรวมความว่าท่านที่ตายไปแล้ว ท่านมีฌานสมาบัติเป็นปกติ เพราะปลุกพระทุกวัน บูชาพระทุกวัน ต้องฝึกฝนทำสมาธิติดต่อกับเทวดาภูตผีพรายต่าง ๆ ทุกวัน วันนี้ก็มาเล่าเรื่องของท่านต่อ

ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สินทั้งหลาย ตอนที่ ๑๙ ที่ผ่านมา นี่ตามหลักการของหนังสือที่บันทึกเป็นเสียง ตอนที่แล้วเป็นตอนที่ ๑๙ ตอนนี้เป็นตอนที่ ๒๐ แต่ว่าก็ถือว่าเป็น ตอนที่ ๔ ของเล่ม ๖ เป็น หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๖ พูดกันมาถึงทรัพย์สินยังไม่ทันจะจบ เวลาก็หมดก็ขอคุยกันต่อไปว่า

ในเมื่อท่านนำขึ้นมาแล้ว ท่านทำพิธีกรรมอย่างไหน แร่ทั้งหลายจึงเป็นทองคำ
ท่านยิ้มแล้วก็บอกว่า ขอสงวนครับ กาลเวลายังไม่ถึง
ถามท่านว่า กาลเวลายังไม่ถึงนั้นหมายถึงอะไร
ท่านบอก หมายถึงว่าประเทศไทยยังมีความมั่นคงไม่พอ ถ้าจะนำแร่นี้ขึ้นมาแล้วต้องมีความมั่นคงพอ

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ต้องระมัดระวัง คนไทยเราไม่สนใจในป่าชัฏนี้มาก สนใจแต่ไม้ไม่สนใจในแร่ ต้องระมัดระวัง คนที่เราคิดว่าเขาโง่ แต่ความจริงเขาไม่โง่ เขามีความฉลาดใต้ภาคพื้นดิน เขาจะเข้ามาขุดเอาไปใช้ประโยชน์ของเขา

ก็ถามว่า การขุดดินจะทำได้รึ ต้องใช้เวลากัน
ท่านบอก การขุดดินมันไม่ใช่ของแปลก การตัดต้นไม้เป็นพัน ๆ ท่อนคนยังมองไม่เห็น การขุดดินประเภทนี้ทำไมจึงจะมองเห็น เพราะอยู่ป่าลึก ก็ผ่านไป
ก็ถามท่านว่า กาลเวลาอีกอย่างหนึ่งหมายถึงอย่างไร

ท่านก็บอก ต้องคนของเราสมควร ถ้าคนของเราไม่สมควรจริง ๆ ทรัพย์สินทั้งหมดนี้จะไม่เป็นของคนไทย จะเป็นของชาวต่างชาติ ก็ต้องระมัดระวังบุคคลบางพวกที่มีความชำนาญในป่าไทย แต่ก็ไม่ได้หมายถึงกระเหรี่ยง ไม่ได้หมายถึงมอญ เขาเคยผ่านป่าไทยไปพม่า พวกนี้เขามีความรู้ในธรณีวิทยาดี เขาทราบทั้งหมด

และลีลาของเขา เขาแสดงกับคนไทยก็เป็นของไม่ยาก ในเมื่อเขาจะบอกคนไทยว่า รู้จักที่ตรงนั้นไหม เดินถูกไหม เขาจะไปดูคนของเขาที่ตายแล้วเขาฝังไว้ โดยให้ค่าจ้างแพง ๆ ซึ่งชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็คิดว่าเป็นความจริงก็พาเข้าไป เมื่อพาเข้าไป ไปพบที่ตรงนั้นแล้ว ต่อมาเขาอาจจ้างคนขุดเพื่อทำอะไรสักอย่าง การขุดดินไม่ใช่ของแปลก แต่ว่าเนื้อดินซิบรรดาท่านผู้ฟังมีค่าสูง ก็รวมความว่าวิชาการยังคุยกันไม่ได้ ท่านบอกว่าขอให้ผ่านไปก็ขอผ่านไป

ถามท่านต่อไปว่า ด้านซีกเหนือที่มีทรัพย์สินเป็นทางยาวไหม ท่านบอกว่ายาวมาก เป็นตอน ๆ เป็นช่วง ๆ บางช่วงนี้จะไม่มีแร่ บางช่วงจะมีแร่ ถ้าทางที่ดีละก็ขอให้ทางราชการที่มีความรู้ด้านนี้ให้ใช้นักธรณีวิทยาสำรวจ

แต่ท่านมีความเข้าใจว่านักธรณีวิทยานี้เขาจะทราบหมดแล้ว แต่ทราบสถานที่อาจจะเกือบหมด หรือเกือบทั้งหมด แต่ปริมาณทราบไม่หมด และจำนวนจริง ๆ ทราบไม่หมด ชนิดของแร่จริง ๆ ทราบไม่หมด ถ้าทราบหมด รู้จุดหมดจริง ๆ ค่อย ๆ นำมาใช้

แต่อย่าลืมนะว่ากำลังป้องกันสถานที่ให้มีให้มาก และก็ต้องมีความฉลาดพอ เพราะว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองหอมและประเทศไทยไม่เฉพาะกาญจนบุรี ที่อื่นก็มีมาก

คุยกันต่อไป ก็ถามท่านต่อไปถึงจุดอื่น ความจริงไม่อยากจะสนใจแร่อย่างอื่น เพราะไม่มีความรู้ สนใจ ๒ อย่างคือ แร่เงินกับแร่ทอง เอาแร่เงินธรรมชาติแร่ทองธรรมชาติ ขี้เกียจถลุง เพราะการถลุงเป็นของยาก เวลานี้ก็ต้องใช้โรงงาน สมัยก่อนเขาใช้อะไรก็ไม่ทราบ ขี้เกียจถามกันไม่เอา ลำบาก เราเป็นคนขี้เกียจ แบบชุบมือเปิบก็แล้วกัน มีไหมแร่เงินกับแร่ทอง

ท่านบอก เมืองกาญจนบุรีเจาะตรงไหนก็มีทองคำ อย่าลืมว่าพื้นที่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของเมืองกาญจนบุรีเป็นทองคำ แต่ว่าปริมาณจะมากปริมาณจะน้อยอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

และข้อที่สอง ก็ต้องอาศัยเป็นบุญบารมีของคน คนทุกระดับชั้นต้องมีบุญบารมีพอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องเป็นคนทำเพื่อชาติ และก็ทำเพื่อชาติไทย ไม่ใช่รู้แล้วก็แนะนำให้ชาติอื่นเขามารวย ความจริงแค่ขุดด้วยมือก็พอมีดื่นดาษ

ถามว่า ที่ตรงไหนบ้าง อำเภอไหนบ้าง
ท่านยิ้ม ๆ ท่านบอกว่า ผมพูดอย่างนี้มันก็ผิดระเบียบอยู่บ้างแล้วนะครับ แต่ว่าผมเห็นว่ากาลเวลามันใกล้เข้ามา

ถามท่านว่า อีกกี่ปีจะให้กันอย่างหนัก
ท่านก็ยิ้ม ท่านบอก ดูน้ำมันก็แล้วกัน ท่านรู้เรื่องน้ำมันตั้งแต่ปี ๑๘ แต่เทวดาที่ควบคุมน้ำมันเขาบอกว่า จะต้องได้ พ.ศ. ๒๕๒๔ และต่อมาเมื่อปี ๑๙ ท่านขอบอกว่า ขอให้ได้ พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้ไหม เทวดาบอกไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องไปปรากฏการณ์กัน พ.ศ. ๒๕๒๔ สำหรับทองคำนี้เป็นเรื่องหนัก ผมจะไม่บอกกาลเวลากับท่าน

เอาละซิ ไหมล่ะ พูดกับเทวดา พูดกับพรหม ต้องตรงไปตรงมา ท่านยืนยันความเป็นจริง รอเวลาตามสมควร ทางราชการมีทุนมากสามารถให้คนค้นคว้าได้ เมื่อสามารถค้นคว้าได้จริงก็พบของจริง ค้นคว้าไม่ได้จริงก็ไม่พบของจริง พระอย่าเกี่ยว

ท่านว่าอย่างไรรู้ไหม บอกพระห้ามเกี่ยว คือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน เป็นเรื่องของแผ่นดินเขา เอาละ ก็ขอผ่านไปไม่เกี่ยวก็ตามใจเถิด ไม่ได้ว่าอะไร ขอต่อไปอีกนะ

ต่อไปก็อยากจะทราบว่าแร่ทองคำหรือเงินที่เป็นเม็ดทรายอย่างที่ไปพบที่นิวซีแลนด์ เป็นเม็ดทรายสวยอร่าม แบบนั้นตักกันแบบสบาย ๆ มันมีในเขตกาญจนบุรีไหม

ท่านบอกว่า ที่เป็นเม็ดทรายจริง ๆ ที่รวมตัวกัน มันมีอยู่หลายจุดในประเทศไทย หลายแห่งแล้ววันว่าง ๆ ผมจะคุยกับท่าน วันนี้เราคุยถึงกาญจนบุรี ไอ้เขาลูกนั้นนั่นแหละ ท่านอย่าเอะอะไปนะ เขาจะหาว่าผมปากบอน ไอ้เขาลูกที่สูง ๆ นั่นถือเป็นหลักชัย มันเป็นเขาแบ่งเขต ด้านเหนือเป็นแร่ที่ต้องนำมาถลุง แต่ว่าทางด้านทิศใต้หรือพุ่งตะวันออกนิดหน่อย นั่นมันจะมีการพบแร่ทรายที่เป็นแร่เงินแท้ แร่ทองคำแท้ แต่มันอยู่ไม่ปนกัน

ถามปริมาณของชนิดที่กาญจนบุรีนี่ ที่มันเป็นเม็ดทรายที่รวมตัวกันมีกี่จุด และมีจำนวนมากไหม
ท่านบอก เอาจริง ๆ ที่มากจริง ๆ มันมี ๓ จุด แต่ว่าเท่าที่ขุดกันไม่มีใครขุดในเขา ที่แล้วมาขุดแต่พื้นที่ราบหรือเชิงเขา เทวดาจะบอกสายของทองและสายของเงิน มันจะเป็นสายเหมือนกับสายแร่ ถ้าหากว่าเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าตรงนี้เป็นทอง แล้วก็สืบดูว่าทางไหนมันหนา ค่อย ๆ ตามเข้าไป เวลาที่ขุดกันจริง ๆ ขุดเอาเศษของทองในส่วนนี้ มันเป็นเศษ แต่ว่าขุดกันนานเท่าไรก็ไม่หมด

จึงเรียนถามท่านว่า ชาวบ้านเวลานั้นที่ขุดทอง เงินชักจะไม่สนใจเสียแล้ว ที่ขุดทองเขาได้กันวันละกี่สลึงกี่ไพ
ท่านก็ตอบว่า ในเขตของหลวง เวลานั้นผมกับพ่อกันที่ไว้ ๒๐,๐๐๐ ไร่ ในเขต ๒๐,๐๐๐ ไร่นี้ราษฎรไม่มีสิทธิ์จะขุดเอาเป็นส่วนตัว เมื่อขุดแล้วต้องขายให้หลวง ตามราคาที่หลวงกำหนด นั่นคือทองบริสุทธิ์ เรียกว่า ท้องเนื้อเก้า หนัก ๑ บาทให้ ๙ บาท ทองที่มีสิ่งเจือปนเล็กน้อย เรียกว่าทองเนื้อแปด หนักบาทให้ ๘ บาท ทองที่มีสิ่งเจือปนมากหน่อยต้องคัดกัน หนักบาทละ ๖ บาท เรียกว่าทองเนื้อหก

ราษฎรที่ขุด อย่างคนขี้เกียจ ๆ เขาจะได้ประมาณวันละสลึงบ้าง ๒ ไพบ้าง แล้วคนที่ขยัน ๆ อาจจะได้ถึงบาทหรือเกินบาท ถ้าบางคนไปเจอะสายที่มีความสำคัญเข้า เป็นสายหนา ได้ถึง ๔-๕ บาทก็มีต่อหนึ่งคน แต่คนเวลานั้นถ้ามีเงินบาทเขาครึ้มแล้ว เงินบาทมีค่าสูงมาก นอนกินไปได้หลายวัน เป็นอันว่าคนก็มีความร่ำรวยมาก นี่ถือว่าเป็นสายนะ เป็นสายของทอง สายของเงิน เงินจะไม่พูด ขี้เกียจพูด ราคาถูก

ก็ถามท่านว่า ทางราชการเอาไปทำไม
ท่านบอกว่า เวลานั้นภาษีอากรมันเก็บกันไม่ไหว เรื่องสงครามมีมาก เมื่อคนต้องเข้าสงคราม บ้านช่องเขาก็ขาดผัวขาดพ่อ จะไปเก็บภาษีอากรกันอย่างไร เวลานั้นคนก็มีไม่กี่คนนัก ทางราชการจะซื้ออาวุธจะซื้ออาหารอะไรก็ตาม เรื่องสงครามใช้เงินมาก ก็ต้องใช้แร่เงินกับแร่ทองนี่แหละ แร่เงินก็นำไปทำเงินแท่ง ซื้อของ แร่ทองก็ไปเก็บสำรองแล้วขายชาวต่างประเทศ

ถามว่าท่านขายชาวต่างประเทศ ทางราชการขายบาทละเท่าไร
ท่านบอกว่า ขายบาทละ ๑๒ บาท เป็นทองแท่ง แต่ซื้อจากชาวบ้านบาทละ ๙ บาท ก็มากมายเหมือนกัน
รวมความว่าสมัยนั้นทองมาก ท่านบอกว่าทองไม่มีแต่กาญจนบุรีนะ จะว่ากันไปอีกทีเอาจุดนี้ละ ตรงไหนที่มีทองเป็นเม็ดทราย

ท่านบอกว่า อย่าถามว่า ตรงไหนซิ ผมพูดเท่านี้ผมก็แย่อยู่แล้ว เอาละผมจะบอกให้ก็ได้ มันมีเขาอยู่ ๓ จุดจะคิดเป็นลูกไม่ถูก เป็นเทือกเขา มันมีเขาอยู่ ๓ จุด จุดหนึ่งเด่นออกมา จุดแรก ด้านทิศเหนือเขาหน่อยเด่นแหลมออกมาหน่อย อีก ๒ จุดอยู่ในบริเวณเทือกเขาธรรมดา ทั้ง ๓ จุดนี้มีแร่ทองคำ แร่ทองคำบริสุทธิ์ ที่เป็นเม็ดทราย ถ้าเจาะลงไปได้ ที่นั่นถ้าดูปริมาณให้ดู เขาศูนย์จังหวัดสุราษฎร์ธานีหรือจังหวัดนครศรีธรรมราชก็ไม่ทราบ เขาศูนย์ที่มีแร่ดีบุก เขาเจาะลงไปแล้วก็ตักเอาเฉย ๆ ตักดีบุก ที่นั่นเขาศูนย์ตักดีบุกฉันใด เขานี้ก็เหมือนกันเขาจะตักทองคำได้แบบนั้น จะกอบโกยกันได้ตามปกติ


ก็ถามว่า ทองคำนี้จะนำขึ้นมาได้จริง ๆ มากน้อยเท่าไร มีปริมาณไหม
ท่านก็ตอบว่า สุดแล้วแต่เทวดาที่เขาควบคุม ถ้าเห็นว่าปริมาณพอสมควรเขาก็จะยับยั้ง ให้เห็นทองคำเป็นอย่างอื่นไป อาจจะเป็นดินไปก็ได้

เอ้อ แต่ถ้าจะนำมาใช้กันจริง ๆ สมมติว่าเอามาได้จุดละ ๑ ตัน ต่อหนึ่งวัน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ๓ จุด ๓ ตัน อย่างนี้สักกี่ปีจะหมด
ท่านบอกว่า จุดละ ๑ ตันนี่ทำไปประมาณพันปียังไม่รู้สึกเลย เพราะมันไม่ได้มีเฉพาะจุด มันเป็นถ้ำยาวเหยียดและลึกลงไปใต้ดิน
แต่ใครจะกล้าดำดินลงไปใต้ภูเขา ก็รวมความว่าทองมีมากจริง ๆ กาลเวลาบรรดาท่านพุทธบริษัท

เมื่อพูดมาตอนนี้ก็นึกขึ้นมาได้บรรดาท่านทั้งหลาย การพูดเรื่องนี้มันไม่ใช่ตำนาน ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นการคุยกับผี หรือคุยกับพรหมที่ท่านมาให้เห็น เห็นเป็นตัวเป็นตนมีเนื้อมีหนังอย่างเราธรรมดา ถ้าถามว่าเชื่ออย่างไร ก็ตอบว่ากุฏิใส่กลอน ในเมื่อใส่กลอนนอนกลางวัน ภาวนาอยู่คนเดียว มีคนมานั่งข้าง ๆ แล้วมานั่งบนเตียงเสียด้วย เตียงนอน อย่างนี้ถ้าคนธรรมดาเข้าไม่ได้

เมื่อคุยกันเรื่องทองจบ ก็ถามท่านอีกนิดว่า เวลานี้พื้นราบราษฎรจะพอทำได้ไหม
ท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร เวลาจะขุดกันให้ยอมรับนับถือเจ้าของที่เขาสักหน่อย อย่าสักแต่ว่าไปขุด
ถามว่า เครื่องสังเวยต้องใช้อะไรมากไหม

ท่านบอกว่า ไม่จำเป็นมาก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ติดต่อ เวลานี้คนที่มีทิพจักขุญาณมีเยอะ ที่เห็นภูติผีพราย เห็นเทวดา เห็นพรหม มีเยอะ ให้เอาจิตยอมรับนับถือเขาตรง ๆ แล้วมีจิตไม่ร่วมกับอุปาทาน ทำใจให้สบาย ระงับนิวรณ์ ๕ ประการเสียก่อน แล้วถามท่านตรง ๆ ท่านจะชี้จุดว่า ตรงนี้ขุดได้ ตรงนี้ขุดไม่ได้

ถ้าถามถึงพื้นแผ่นดิน ท่านบอกว่า ไม่จำเป็นต้องดูดิน วิชาดูดินเป็นเรื่องของนักธรณีวิทยา วิชานี้ไม่จำเป็นต้องดูดิน ก็เลยขอพักกันตอนนี้

ขอย้อนไปถามท่านว่า ท่านพระยากาญจนบุรี บิดาของท่านตามหนังสือประโลมโลกย์ที่เขาเขียน เขาบอกว่าเป็นคนจน
ท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า คุณพ่อไม่ได้จนขอรับ คุณพ่อมีเงินจริง ๆ หลายพันชั่ง ไม่ได้จนตามเขาว่า
ก็ถามท่านว่า คุณพ่อตายระยะไหน ถึงสมัยพระเจ้าสามพระยาไหม

ท่านก็เลยบอกว่า คุณพ่อตายก่อนพระเจ้าสามพระยาจะเถลิงราชย์ แต่ว่าชอบพอกับพระเจ้าสามพระยามาก ต่างคนต่างเคารพกัน คุณพ่ออายุแก่กว่าพระเจ้าสามพระยามากครับ ปลายสมัยพระเจ้าอินท์ฯนี่คุณพ่อแก่ลงไปอายุเกือบ ๖๐ ปี ตอนนั้นท่านก็ป่วย ท่านเคยร่วมรบกับพระเจ้าสามพระยา ในสมัยที่เป็นพระราชโอรส ทั้ง ๒ ท่านมีความรักกันมาก

ขณะที่พ่อป่วย พ่อป่วยครั้งสุดท้าย เรียกว่าทุกครั้งก็แล้วกันเอาครั้งสุดท้ายที่ป่วยหนัก พระเจ้าสามพระยาซึ่งเป็นพระราชโอรสไปเฝ้าไข้ ไม่ใช่ไปเยี่ยมไข้ ขณะไปเฝ้าไข้ ขณะที่คุณพ่อป่วยอาการดีขึ้นบ้าง ท่านก็เล่าความเป็นมาให้พระเจ้าสามพระยาฟังว่า อะไรควรจะทำแบบไหน ทรัพย์สินมีที่ไหน วิชาการต่าง ๆ ท่านก็ถ่ายทอดให้พระเจ้าสามพระยาอยู่มาก

ในที่สุดท่านก็ต้องตาย แต่ก่อนจะตายท่านทำอย่างนี้ เหมือนกับท่านจะรู้เวลาตายของท่าน วันรุ่งขึ้นจะตาย วันนี้ท่านสั่งลูกสั่งหลาน ขอให้นำพระพุทธรูปมาตั้งในที่ให้ท่านมองเห็น จิตใจจับภาพพระพุทธรูป พอสบายใจแล้วท่านบอกว่า วันพรุ่งนี้ให้นิมนต์พระมา ๙ องค์ เวลาเช้า จะขอถวายสังฆทาน

เมื่อพระมาถึงแล้วก็เอาแค่ให้พรพระ สวดพรพระ เวลานั้นขณะที่ท่านสั่ง พระเจ้าสามพระยาก็อยู่ พระเจ้าสามพระยาก็บอกให้ทราบว่า งานทั้งหมดท่านรับเป็นภาระคนเดียว
เป็นอันว่า พ่อจะลุกขึ้นกราบพระเจ้าสามพระยาในฐานะเป็นราชโอรส และมีความดี พระเจ้าสามพระยาเอามือกดหน้าอกไว้ท่านเรียกว่า คุณลุง ไม่ต้องกราบ ๆ แต่ความจริงคุณพ่ออ่อนกว่าพระเจ้าอินทราชามาก คุณลุงไม่จำเป็นต้องกราบ เท่านี้พอแล้ว ท่านก็แสดงความรักในพระเจ้าสามพระยา ในที่สุดถึงวันเวลาพระเจ้าสามพระยาจัดเสร็จ เป็นเจ้าภาพทุกอย่าง แล้วก็ในที่สุดท่านก็ตาย

ในฐานะที่ผมเป็นพรหมนะขอรับ พระยากาญจนพลินทร์ท่านบอก ผมขอบอกตามความเป็นจริงว่า คุณพ่อไม่น่าจะไปพรหม แต่อาศัยว่าเวลานั้นจิตท่านเป็นฌาน กำลังของฌานดันท่านขึ้นไปบนพรหมก่อน จิตใจเวลานั้นท่านจับภาพพระพุทธรูปมั่นคงมาก จับภาพพระสงฆ์มั่นคงมาก จับภาพทานในการถวาย

ท่านถนัดในการถวายสังฆทานและนิยมมาก การถวายสังฆทาน แต่เรื่องการให้ทานของท่านเป็นปกติ คนยากคนจนเจอะหน้าที่ไหนให้ทานที่นั่น ท่านรวย ไม่ใช่จน ท่านซื้อทองคำ บรรดาประชาชนเขาหาทองคำนอกเขตหลวงมาได้ ท่านก็ซื้อ ซื้อในราคาหลวงซื้อ ไม่ตัดไม่รอน แต่เวลาท่านจะขาย ท่านขายแก่ชาวต่างประเทศท่านได้ ๑๒ บาท ท่านซื้อ ๙ บาท ท่านเป็นคนรวยไม่หนักใจในเรื่องการเงินการทอง

อาศัยที่ท่านเป็นพรหมแต่จิตใจท่านนิยมพระเจ้าสามพระยาขึ้นไปเป็นพรหมได้แผลบเดียว ก็ปรากฏว่าจุติลงมาเข้าสู่ครรภ์ของชายาพระเจ้าสามพระยา
นี่พรหมพูดนะ เท็จจริงก็เป็นเรื่องของพรหม เรื่องนี้ทั้งหมดขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าถือว่าเป็นความจริง ให้ถือว่าเป็นนิทานเล่าสู่กันฟัง เพราะหาหลักฐานไม่ได้ แต่บังเอิญท่านที่ได้ทิพจักขุญาณก็ดี หรือได้ญาณต่าง ๆ ก็ตาม จะลองพิสูจน์ดูก็ได้ โดยเฉพาะถ้าจะพิสูจน์จริง ๆ ให้พิสูจน์เรื่องทองคำ และเงินในเมืองกาญจนบุรีจะดีกว่า

ท่านก็มาเกิดเป็นลูกของพระเจ้าสามพระยา เป็นลูกผู้ชายและต่อไปจะเป็นใคร ท่านพรหมท่านไม่บอก ท่านบอกเวลาหมดแล้ว ท่านเหลียวดูนาฬิกา ปรากฏว่าเหลือเวลาอีก ๒ นาที รายการนี้เป็นรายการธรรมะ ขอให้ท่านพูดธรรมะสักนิดหน่อย ก็ขอพูดกับบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็น อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง ท่านพระยาทั้ง ๒ พระยา ท่านเป็นพระยาที่มีความรุ่งเรืองมาก แต่ในที่สุดท่านก็ต้องตาย มันไม่เที่ยง แบบนี้เราก็เหมือนกัน ต้องตายเหมือนกัน

ทุกขัง ทรัพย์สมบัติที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยาก ความจริงเรามีความจำเป็นต้องหา ถ้ามีชีวิตอยู่ต้องหาทรัพย์หาสินมาเพื่อใช้มีความจำเป็น แต่มันได้มาด้วยอาการของความทุกข์ และทรัพย์ทั้งหลายก็ไม่สามารถจะระงับความทุกข์ได้ ในเมื่ออาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ทรัพย์ก็ห้ามป่วยไม่ได้ และในที่สุด อนัตตา ทรัพย์ก็ห้ามความตายไม่ได้

ก็รวมความว่า โลกนี้เต็มไปด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
๑. อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่เที่ยง
๒. ทุกขัง เป็นโลกของความทุกข์
๓. อนันตา เป็นโลกของความสลายตัว ไม่มีอะไรทรงตัว

ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัท จงตั้งหน้าตั้งตาคิดว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิด เราจะมีการเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ในการเกิดชาติต่อไปจะไม่มีสำหรับเราอีก เราจะมีความมั่นคงในทานการบริจาค เพื่อเป็นการกำจัดโลภะ ความโลภ มั่นคงในการรักษาศีล เพื่อเป็นการกำจัดโทสะ ความโกรธ มั่นคงในการภาวนา ยอมรับนับถือความเป็นจริงว่าร่างกายมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปในที่สุด เพื่อเป็นการกำจัดโมหะ ความหลง

เอาละ ดูเวลา ก็ขอลาก่อน สวัสดี

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 2/2/11 at 16:02

7

(Update 2-2-54 )

พระอรหันต์มาโปรด


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็น วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ ที่บอกวันไว้เพื่อกันหลง เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ขอให้นามว่า พระอรหันต์มาโปรด ความจริงคำว่า พระอรหันต์ บรรดาท่านพุทธบริษัท คงไม่ใช่พระอรหันต์แท้ แต่ทว่าตัวของท่านเองมีความเข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ จึงให้ศัพท์ตามนี้ ขอเล่าเรื่องความเป็นมาให้ทราบ

สำหรับวันที่ที่เกิดจำไม่ได้แน่นอนบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าเวลานี้อาการทางร่างกายไม่ดีมาก มันป่วยหนัก มีการทรุดโทรมลงไปทุกวัน เพลียทุกวัน ก็มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้คงจะทนไม่ไหว เข้าใจว่าคงจะอยู่ได้ไม่นานนัก

เมื่อประมาณวันที่ ๔ หรือวันที่ ๕ อาจจะไม่ตรง เพราะจำไม่ได้ เวลาลงไปรับแขก เวลาบ่ายโมงเศษ ๆ เมื่อลงไปถึงก็มีญาติโยมพุทธบริษัทคอยอยู่ประมาณ ๑๐ คนแล้ว ที่เก้าอี้พระนั่งก็มีพระอยู่องค์หนึ่ง ขอเรียกว่า “พระ” จะเป็นพระประเภทไหนนั้นไม่ทราบรูปร่างท้วม ๆ เรียกว่าเนื้อเต็ม ไม่ถึงกับอ้วนพลุ้ยมากนัก ผิวคล้ำ ห่มจีวรคล้ำ

พอมองดูปั๊บก็ทราบทางด้านจิตใจ เห็นใจของเธอมีสีดำมาก มันดำสนิท แล้วก็มีสีแดงแทรก หน้าของเธอไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส พิจารณาอีกนิด ใช้เวลาอีกครึ่งวินาทีก็ทราบว่า เธอมาร่วมกับมานะ คือความถือตัวถือตน เพราะลักษณะใจสีแดง บอกถึงความยินดีในความรู้สึกของตัวเอง มีความยินดีในความรู้คิดว่าตัวเองบรรลุมรรคผล เป็นพระอรหันต์

แล้วก็ต่อไปอีกนิดใช้เวลาอีกเสี้ยววินาที ก็ทราบว่าการมาของเธอวันนี้ไม่ได้มาด้วยศรัทธา ไม่ได้มาด้วยการเลื่อมใส ไม่มีธุระ ต้องการจะมาอวด คือว่าแสดงการทะนงว่าฉันคือพระอรหันต์ เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้ก็ไม่แปลกใจ เพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

ธรรมดาของเรื่องคือว่าการรับแขกนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงทุกวัน แต่ละวันก็มักจะมีบรรดาท่านพุทธบริษัทมีกำลังใจต่างกันถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาของโลกมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนแบบนี้

ต่อมาหลังจากนั้น เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทหลายคนถามปัญหาต่าง ๆ ตามความข้องใจ เมื่อตอบแล้วตามความสามารถในการตอบ ก็ไม่แน่นอนนักว่าจะตอบถูกเสมอไป และเมื่อว่าง พระองค์นั้นก็เข้ามากราบ ลักษณะอาการกราบของเธอ ดูแล้วประกอบไปด้วยความทะนง สายตาของเธอมองกร้าว ความจริงลักษณะอย่างนี้ อาจจะเป็นลักษณะปกติของเธอก็เป็นได้ เมื่อเธอกราบเสร็จตามความรู้สึกก็คิดว่าพระองค์นี้มาในฐานะศัตรู

แต่ทว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาย่อมไม่ถือว่าใครเป็นศัตรู ใช้เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร เป็นพื้นฐาน อาการอย่างนี้เคยอดทนมาได้ แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าวันนี้จะอดทนได้ไหม

เธอบอกว่า เธอจะถามปัญหาสัก ๒ ข้อ
ก็บอก ให้เธอถามได้
เธอถามข้อแรกว่า ท่านที่บรรลุสุกขวิปัสสโกแล้วจะบำเพ็ญเพียรต่อไปเป็นอภิญญาสมาบัติได้ไหม
ก็ตอบเธอว่า ตามปกติท่านที่ได้แล้ว ท่านไม่ทำต่อกัน เพราะว่าพระอรหันต์เป็นพระสิ้นตัณหา การจะทำต่อก็เป็นการมีความอยาก เป็นอารมณ์ของตัณหา

ถ้าจะถามว่า มุ่งดี คือต้องการเจริญอภิญญาสมาบัติ เป็นสมาธิขั้นสูง ทำไมจึงเรียกว่า ตัณหา ก็ต้องขอตอบให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า
การที่เป็นพระอรหันต์แล้ว กับการทรงอภิญญา มีผลต่างกัน อรหันต์มีผลสูงกว่าอภิญญามาก อภิญญานั้นเป็นแต่เพียงเครื่องมือในการตัดกิเลส ในเมื่อพระอรหันต์ท่านตัดกิเลสเรียบร้อยแล้ว ต้องมาซื้อเครื่องมือทำไมกัน ต้องหาเครื่องมือทำไมกัน ก็เรียกว่าหลบอารมณ์ลงต่ำ ทำอารมณ์ต่ำลงมา คืออยากดีอยากเด่น

แต่ความจริงไม่ได้ตอบเธอขนาดนี้ ตอบเธอแต่เพียงว่า ในเมื่อท่านได้กันแล้ว โดยมากไม่มีใครทำต่อ
แล้วเธอก็ถามต่อไปว่า นิวรณ์ เกิดจากอะไร
อาตมาฟังแล้วก็รู้สึกว่า ถ้าเราจะตอบว่า นิวรณ์เกิดจากอวิชชา เธอจะหาว่าเล่นลิ้น เพราะคำว่า อวิชชา นี้ เป็นศัพท์ยกยอดของความโง่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกิเลสที่เกิดขึ้น มาจากอวิชชาทั้งหมด อวิชชาเป็นแม่บาทใหญ่

ก็ตอบเธอว่า นิวรณ์ มันเกิดมาพร้อมกับการเกิดของคน เพราะอาศัยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมเป็นเครื่องเสี้ยมสอน
เธอฟังแล้วก็รู้สึกว่า ทั้ง ๒ อย่างนี้เธอไม่พอใจ แล้วเธอก็กราบ ๆ คำว่ากราบของเธอ ไม่ได้มีความเคารพ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็เบาใจคิดว่าเธอถามเท่านี้ก็ดีแล้ว แล้วเธอก็ลุกกลับไป เห็นเธอสะพายบาตร ก็นึกในใจว่าเอ…เวลาบ่าย ๒ โมงนี้ เธอจะไปบิณฑบาตที่ไหน

แล้วต่อมาบรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อเธอหายลับกลับไปแล้วก็ปรากฏว่า วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๒ ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจดหมายฉบับนั้นลง วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๑ แสดงว่าเธอลง พ.ศ.ผิด บรรดาท่านพุทธบริษัท ลายมือของเธอ เป็นคนเขียนหนังสือเก่ง แต่บางตัวก็หวัด อ่านไม่ออก แต่ว่าการลง พ.ศ.ผิด ในเมื่อแสดงตัวเป็นพระอรหันต์อย่างนี้ก็ต้องคิด

ถ้าหากว่าเขียนธรรมดา ๆ ลง พ.ศ.ผิด อันนี้ไม่เป็นไร การจะยืนยันความเป็นพระอรหันต์ แล้วลง พ.ศ.ผิด อันนี้ก็แสดงออกว่าความจริงเธอไม่ใช่พระอรหันต์ ใจของเธอดำตามปกติ คือ นิวรณ์ ใจดำนี่เป็น โมหะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าดำสนิทมันเป็น อวิชชา ถ้าสีแดง เป็นความยินดีถึงความดีที่มีอยู่ ทีนี้ดำมาก แล้วมีสีแดงอยู่จุดหนึ่ง แสดงว่าเธอยินดีในความรู้ที่เธอได้แล้ว ตามข้อความของจดหมาย เธอเขียนอย่างนี้เธอเขียนว่า

สายเหนือ (นี่คงจะแบ่งเป็นสาย ๆ นะ การประกาศศาสนาของคณะนี้คงจะแบ่งออกเป็นสาย) เธอเขียนว่า
สายเหนือ
๕ มกราคม ๒๕๓๑ (แต่ความจริง พ.ศ. ๒๕๓๒)

ถึง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ผมอัคคปุญโญภิกขุ หรือ สุปปพุทธ ผู้เป็นโรคเรื้อนในอดีตกลับมาเกิดแล้วบวชในพุทธศาสนาแล้ว ปี ๓๐ และได้ตรัสรู้ตามพุทธองค์แล้ว (ฟังให้ดีนะ ทีนี้จะไม่พูดขัดจังหวะ) จดหมายมาบอกท่าน จงอย่าสอนนิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เลอะเทอะเกินไป เราขึ้นมาพบท่าน ถามปัญหาท่าน ๒ ข้อ

๑. วิปัสสนาล้วน สำเร็จแล้ว ต่ออภิญญาได้หรือไม่
๒. นิวรณ์ ๕ มีมาได้อย่างไร
เพื่อดูว่าท่านจะได้นิพพานแล้วหรือยัง สุดท้ายท่านตอบโง่ ๆ ว่า มีมาตั้งแต่กำเนิด หากไม่มีนิวรณ์ ก็ไม่มีการเกิดในวัฏฏะ ผมจะขอบอกให้ว่า ตัวนิวรณ์ ๕ ประการ เป็นตัวสังขารที่ ๒ ในหลักปฏิจจสมุปบาท เหตุที่เกิดนิวรณ์ ๕ เพราะมี อวิชชาเป็นพื้นฐาน เพราะมีอวิชชาเป็นตัวนำ

ท่านสอนคนไปนิพพาน แต่ตัวท่านยังไม่ถึงนิพพานเลย ท่านมีแต่จะเอาลาภสักการะผู้อื่นเขา หน้าด้านที่ไม่อยากจะฉีกหน้าท่าน ที่ท่านรับแขกนั้น ก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้าท่าน ท่านตายไปเข้าแน่ อบายภูมิ ท่านไม่ต้องบอกพระภิกษุ หรือคนอื่นไปหรอก ท่านตีเสมอพระพุทธองค์
สุดท้ายนี้ อย่าหนักเรื่องนิพพาน
พระภิกษุบุญชัย บุตรนาม (นามสกุลที่อ่านไม่ชัด)
สำนักวัดคลองเตยใน

อย่าลืมนะ ท่านเขียนตอนท้ายว่า พระภิกษุบุญชัย บุตรนาม นามสกุลนี่ไม่แน่นอน สำนักวัดคลองเตยใน แต่ชื่อข้างบนของท่านบอกว่า ผมอัคคปุญโญภิกขุ หรือว่า สุปปพุทธ ความจริงสุปปพุทธนี้น่าจะต่อท้าย มันต้องต่อว่า สุปปพุทธกุฏฐิ สุปปพุทธผู้เป็นโรคเรื้อน แต่ความจริงจดหมายนี้อาตมาก็ไม่วิจารณ์ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเป็นจดหมายที่บอกชัดว่า ท่านเองเก่งปฏิจจสมุปบาท แต่ว่าเก่งไม่จริง

ถ้าจะใช้คำว่าอวิชชามันก็ครอบโลกก็ปล่อยท่านไปเถิด เป็นเรื่องของท่าน อย่าไปสนใจเลยนะ ทุกคนฟังแล้วอย่าโกรธ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้เรื่องในพระพุทธศาสนา ขอบอกว่าหน้านี้นะ คาสเซทตอนนี้ หรือหนังสือตอนนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่ใช่นิทาน หรือไม่ใช่นิมิต เรื่องนิพพานนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต่อไปก็คุยกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อน ใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว

ต่อมาวันหนึ่ง ประมาณเวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสด ท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์ วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือพระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว
เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตน

แล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาส จะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองก็เป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ

อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้ว แต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนี้ฉันขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)

ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว
ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว

ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม
ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ
ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด
แล้วก็เป็นไปตามนั้น

พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้าน ที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดี หรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด
ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง

ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับ หลวงพ่อโหน่ง
ถามว่า นิพพานสูญรึ
ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ
ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่

ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ ทำอารมณ์แบบนี้ ตั้งจิตแบบนี้ ทำตามท่านทุกอย่าง

เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่าง ที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมาก

รวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตดำทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์

แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ
๑. เช้ามืด และประการที่
๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า
ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม
ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ
บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอกวะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม

ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ
ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้
ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม

ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีก็พูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด

ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ
ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน
บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์

และอีกประการหนึ่ง ก็มีเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องมีมาในธรรมบท มีพราหมณ์คนหนึ่ง อาตมาอาจจะจำชื่อผิดเพราะไม่ได้นำหนังสือมา ไม่ได้ดูมา เวลานี้ก็ป่วย ร่างกายไม่ดีสมองแย่ อย่านึกว่ามันเพลียลงทุกวัน ๆ มันจะอยู่ไปถึงไหนก็ไม่ทราบคงไม่นานนัก

มีพราหมณ์คนหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิด ก็มีชื่อว่า ติสสะ ชื่อไม่ขอพูดดีกว่า อาจจะผิด ขออภัยด้วยถ้าผิด มีพราหมณ์คนหนึ่งท่านมีความรู้สึกตนเองว่ามีความรู้มาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประกาศศาสนา คำว่าศาสนาคือคำสอน สอนคนเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก

แต่พราหมณ์คนนี้มีกรณีพิเศษ คือใช้เหล็กพืดคาดพุง ถ้าใครเขาถามว่าทำไมถึงใช้เหล็กพืดคาดพุง คาดพุงรอบตัวเลย ท่านบอกว่า วิชาความรู้ของท่านมีมาก ท่านเกรงว่าวิชาความรู้จะระเบิดออกมา พุงจะแตกตาย นี่มันก็เหมือน ๆ กันเลยนะ ก็เกรงว่าพุงจะแตก เลยเอาเหล็กพืดคาดพุงไว้

แต่พราหมณ์คนนี้มีความรู้พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง สามารถรู้สภาวะคนตายได้ คือคนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เขาทราบได้แน่นอนถูกต้อง เพียงแต่เอากระโหลกศีรษะของคนที่ตายแล้วมา แล้วเอาเล็บกรีดไป เล็บจะติดอยู่ในสถานที่เขาเกิด ถ้าติดตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้นจะบอกว่าเกิดที่ไหน

ต่อมาเขาเข้ามาใกล้สำนักองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เขาก็อยากจะเบ่งคงจะเบ่งเหมือน ๆ กัน อยากจะเบ่งทับพระพุทธเจ้า จึงให้คณะศิษย์ของเขาแห่ห้อมล้อมเข้าไปหาพระพุทธเจ้า เขาก็ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้าหลาย ๆ อย่าง

พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบ แต่การตอบของพระพุทธเจ้าอาจจะมีหลายลีลา ตอบตรงไปตรงมาบ้าง ตอบเลี่ยงเพื่อให้ซักบ้าง ตอบแบบอนุโยคบ้าง แต่การตอบแบบนี้ เวลาเหลือน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่พูดให้ฟังว่าตอบแบบไหน เป็นอย่างไร

ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นเขาหมดปัญหา
ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงเอาเหล็กมาคาดพุง
เขาก็บอกว่า ความรู้ของเขามากเกรงพุงจะระเบิดเพราะความรู้ ความรู้ระเบิดออกมา พุงมันแตกตาย เขายังกลัวตาย

สมเด็จพระจอมไตรถามว่า ความรู้พิเศษของเธอมีอะไร
เขาก็ตอบว่า เอาหัวกระโหลกมา จะบอกได้ทันทีว่าใครไปเกิดที่ไหน
เอาหัวกระโหลกปุถุชนมา เขากรีด เขาก็บอกได้เลยว่า คนนั้นเกิดที่นั่น คนนี้เกิดที่นี่ ทั้งหมดตอบถูกหมด พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ

ต่อมา พระพุทธเจ้าเอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์ ที่นิพพานแล้ว อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ไม่ใช่กระดูกละเอียดเหมือนกันหมด ที่ยังเป็นท่อน ๆ ยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่ว่าต้องละเอียดเหมือนกันจึงเป็นพระอรหันต์ อย่าเข้าใจผิด มีคนเข้าใจผิดอยู่มาก เอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์มาให้ ก็ปรากฏว่าเขาไม่รู้เลย กรีดไม่ติด ตอบไม่ได้

องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า พระองค์นี้ไปนิพพานแล้ว เขาไม่รู้จักคำว่า นิพพาน ก็อยากจะศึกษาต่อต่อไป
องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตอบว่า ถ้าจะเรียนเป็นของไม่ยาก เรียนได้ แต่ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันนี่เรียนไม่ได้ และประการที่ ๒ ต้องเอาเหล็กพืดออกก่อน ความรู้ของเธอยังไม่มาก อย่างไร ๆ ก็พุงยังไม่แตก
ในที่สุดเธอก็ยอมรับ ยอมบวช เมื่อบวชแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อยก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องคนที่มีความเข้าใจในความรู้ว่ามีมากเป็นอย่างพราหมณ์คนนี้ ความจริงก็ไม่มากจริงอย่างอาตมาก็เช่นเดียวกัน ที่ไปหาหลวงพ่อสดท่าน ท่านสอน ทั้ง ๆ ที่ท่านสอนมาแล้วก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในเมื่อท่านพูดถึงนิพพาน แสดงว่าความโง่ยังไม่หมด

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลือไม่ถึง ๑ นาที ตอนนี้ก็ต้องขอลากันก่อน แต่ก่อนจะลา รายการนี้เป็นรายการธรรมะ ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิทาน ไม่ใช่นิมิต

ขอบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร จงมีความสุขจากธรรม ๔ ประการ คือ
๑. ทาน การให้ทาน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
๒. ปิยวาจา พูดดี เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
๓. การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
๔. ความไม่ถือตัวถือตน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้จวนจะหมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ



8
วิมานคอยอยู่แล้ว


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ยังเป็น วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ วันนี้ให้นามว่า วิมานรออยู่แล้ว แต่ก่อนจะพูดถึงวิมานรออยู่แล้วนี่เรื่องไม่มาก ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเอง ก็จะขอพูดเรื่องความเป็นพระอรหันต์ก่อน พระอรหันต์จะเป็นได้ต้องตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการ คอยฟังให้ดีนะ

๑. สักกายทิฏฐิ
๒. วิจิกิจฉา
๓. สีลัพตปรามาส
๔. กามราคะ
๕. ปฏิฆะ
๖. รูปราคะ
๗. อรูปราคะ
๘. มานะ
๙. อุทธัจจะ
๑๐. อวิชชา
ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ขอย้อนต้น สังโยชน์ ๓ เบื้องต้นคือ

๑. สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้จะต้องตาย เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี แล้วสักกายทิฏฐินี้ ถ้ามีความรู้สึกเบื่อหน่าย เห็นว่าเป็นของโสโครก สกปรก สะอิดสะเอียน ไม่น่ารัก ไม่ติดใจในรูปกาย อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี อารมณ์ของพระอรหันต์มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา มีจิตเป็นสังขารุเบกขาญาณ เป็นปกติ อย่างนี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์

๒. วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ
๓. สีลัพตปรามาส มีศีลบริสุทธิ์ ไม่บกพร่อง
ถ้าตัดได้ ๓ อย่างนี้ เป็นพระโสดาบัน ก็ได้ เป็น พระสกิทาคามี ก็ได้

ถ้าตัดข้อที่ ๔ กามฉันทะ ไม่มีความรู้สึกในกามารมณ์
ข้อที่ ๕ ปฏิฆะ ไม่มีอารมณ์ไม่พอใจ
อย่างนี้เป็น พระอนาคามี

ต่อไปก็ตัดอีก ๕ คือ
รูปราคะ ไม่ติดใจในรูปฌาน คือไม่หลงใหลใฝ่ฝันในรูปฌาน
อรูปราคะ ไม่หลงใหลในอรูปฌาน
มานะ ไม่ถือตัวถือตน

อุทธัจจะ ไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตตรงพระนิพพาน
อวิชชา ตัดความโง่ทั้งหมด
อย่างนี้เป็น พระอรหันต์

แล้วพระอรหันต์ยังแบ่งเป็น ๔ หมวด
หมวดที่ ๑ เรียกว่า สุกขวิปัสสโก สุกขวิปัสสโกนี้เจริญกรรมฐานมีสมาธิเบื้องต้นเล็กน้อย หลังจากนั้น ก็เจริญวิปัสสนาญาณควบสมถภาวนา ไม่ใช่สมถะเฉย ๆ ต้องเป็นสมถะด้วย และไม่ใช่วิปัสสนาล้วน ๆ ตามที่เข้าใจกัน วิปัสสนาล้วนนั้นทำไม่ได้ต้องมีศีล มีสมาธิ สมาธิคือสมถะเป็นพื้นฐาน และมีวิปัสสนาญาณควบ จนกระทั่งตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน อย่างนี้เรียกว่า อรหันต์สุกขวิปัสสโก

หมวดที่ ๒ เรียกว่า เตวิชโช คือมีวิชชาสามก่อนจะเป็นพระอริยเจ้า ตอนฌานโลกีย์ ก็
๑. ได้ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นอะไร เห็นจิตใจคนได้หมด แล้วก็
๒. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ แล้วต่อไปทำกิเลสให้สิ้น ไปอย่างนี้เป็น อรหันต์วิชชาสาม

หมวดที่ ๓ ก็เป็น อภิญญา ๖ อรหันต์อภิญญา ๖ ขณะที่ได้ฌานโลกีย์ต้องได้ฤทธิ์ มีอภิญญา คือ
๑. แสดงฤทธิ์ได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ตามชอบใจ อิทธิฤทธิ์ แปลว่า แสดงฤทธิ์ได้

๒. ทิพโสตญาณ หนังสือนี้เขียนว่า ทิพโสตเฉย ๆ ไม่ถูกต้องเป็นทิพโสตญาณ โสต คือ เนื้อ มันเป็นทิพย์ไม่ได้ อาตมาไม่ได้ค้านหนังสือ หนังสือเขียนผิด ก็ต้องค้านตามความเป็นจริง ต้องเขียนว่า ทิพโสตญาณ มีความรู้ทางหู ที่เรียกกันว่า หูทิพย์ หูนี่ไม่ทิพย์ หูมีแต่เศร้าลงไป หูคนมันมีแต่แก่ลง ๆ ประสาทเสื่อมลง ๆ

แต่ว่าฌานเป็นเครื่องรู้ทางหูรู้ได้ ไกลแสนไกล เสียงเทวดา เสียงผี เสียงพรหม เสียงนิพพาน เสียงนรก เสียงเปรต เสียงอสุรกาย รู้ได้หมด คนจะพูดไกลแสนไกลขนาดไหนก็ตาม ต้องการจะทราบทราบได้ ฌาน กับความเป็นทิพย์ของหูธรรมดาต่างกัน

ถ้าความเป็นทิพย์ของหูธรรมดา เขาต้องฟังเฉพาะเวลาที่เขาพูด ถ้าญาณนี่ไม่เป็นอย่างนั้น เขาพูดมาแล้วกี่ปี กี่เดือน กี่วัน กี่แสนกัปก็ตาม ถ้าต้องการจะได้ยิน ได้ยินได้ทันที เสียงจะขังอยู่ ญาณจะถอยหลังเข้าไปรู้

รวมความว่าพระอภิญญา ๖ มี ๖ อย่างคือ
๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้
๒. ทิพโสตญาณ มีญาณทางหู คล้าย ๆ หูทิพย์
๓. เจโตปริยัติญาณ รู้จิตใจคนอื่น

๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
๕. ทิพจักขุญาณ (หนังสือเขียนว่า ตาทิพย์อีกแล้ว ไม่ใช่ตาทิพย์) มีจิตใจเป็นทิพย์ รู้ได้คล้ายตาทิพย์

ทั้ง ๕ อย่างนี้ต้องทำได้เมื่อฌานโลกีย์ แล้วต่อไปเมื่อทำกิเลสหมด ทำอาสวักขยญาณ ให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็น อรหันต์ ครบ ๖ ประการ

อรหันต์หมวดที่ ๔ เขาเรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิสัมภิทาญาณนี้ไม่เกี่ยวกับฤทธิ์ คือไม่เกี่ยวกับฤทธิ์ทั้งหมด มีความฉลาด
ความฉลาดข้อที่
๑ คือ อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ คือข้อธรรมใดใดที่สั้น ๆ สามารถอธิบายให้กว้างขวางได้ และถูกต้อง
๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ข้อความใดใดที่ยาว ก็สามารถจะย่อให้สั้นได้ความชัด

๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ฉลาดในภาษา ก็รวมความว่าฉลาดในภาษา จะรู้ภาษาทุกภาษากระมัง อาตมาขอทิ้งไว้แค่นี้นะ
๔. ปฏิภาณปฏิสัมปทา มีความฉลาดในปฏิภาณ คือการพูด พูดฉลาดมาก

ก็รวมความว่า อรหันต์จริง ๆ มี ๔ หมวด
๑. สุกขวิปัสสโก
๒. เตวิชโช
๓. ฉฬภิญโญ
๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ก็รวมความว่า สำหรับสุกขวิปัสสโกนั้น ถ้าไม่มีกรณีพิเศษ ไม่มีญาณพิเศษ แต่ความเป็นจริงแล้วเขาต้องการแค่อาการตัดกิเลส
ถ้าจะถามว่าอรหันต์สุกขวิปัสสโก ต้องการจะศึกษาวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ได้ไหม
ก็ขอตอบว่าถ้าท่านศึกษาจริง ๆ มันต้องได้ เพราะความเป็นอรหันต์จิตใจบริสุทธิ์เป็นของยาก ทำยาก ท่านได้แล้ว ส่วนญาณต่าง ๆ ในวิชชา ๓ อภิญญา ๖ เป็นของง่ายกว่า

ถ้าจะถามว่าแล้วทำไมไม่ทำกัน
ก็ขอตอบว่าคนทุกคนทำงานเพื่อ ต้องการความร่ำรวย ทีนี้เมื่อรวยเต็มที่แล้ว เคยทำไร่ไถนามาก่อน ขุดดินกินทรายมาก่อน ต่อมาก็ฐานะดีขึ้น ก็ทำการค้าขายบ้าง มีนาให้เช่าบ้าง ในที่สุดเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ตั้งธนาคาร เมื่อตั้งธนาคารได้แล้ว เงินมีเป็นแสนล้าน แล้วใครจะกลับไปทำนาอีก ไปฟันดินอีก

การไปศึกษา ๒ ในวิชชา ๓ ๕ ในอภิญญา ๖ เหมือนกับกลับไปฟันดินอีก ไม่มีใครเขาทำกัน ก็รวมความว่า คนต้องการความร่ำรวย ไม่ต้องการอยู่ในฐานะกรรมกรที่ยากไร้ฉันใด เมื่อเป็นมหาเศรษฐีแล้ว ก็ไม่กลับไปขุดดินทำไร่ ถ้าจะทำไร่ก็จ้างเขาทำ ไม่ทำเอง

ก็รวมความว่า พระอรหันต์ก็เช่นเดียวกัน การศึกษา ๒ ในวิชชา ๓ ก็ดี ๕ ในอภิญญา ๖ ก็ดี ก็ต้องการเพื่อเป็นกำลังช่วยในการตัดกิเลสเพื่อให้เป็นสมุจเฉทปหาน

ทีนี้มีอยู่เรื่องหนึ่ง สำหรับคำว่า ปฏิสัมภิทาญาณ อาตมาเองก็อึดอัดตันใจมานานแล้ว เรื่องปฏิสัมภิทาญาณ ขณะที่เรียนบาลีอยู่ หรือเรียนนักธรรมก็ตาม อ่านแล้วบางท่านฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ บางท่านไม่ทันจะโกนหัว เป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ บางท่านบวช ๒-๓ วันเป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ

และคำว่าปฏิสัมภิทาญาณ ท่านลงท้ายว่า ทรงพระไตรปิฎก ก็เลยอึดอัดคิดว่า เราเรียนเกือบตาย ใช้เวลาตั้ง ๑๐ ปีกว่า ยังไม่สามารถทรงพระไตรปิฏกได้ แล้วทำไมคนที่ไม่เคยเรียนเลยทำไมจึงทรงได้ ไม่เคยฟังมาก่อนเลย ก็เลยคิดอึดอัดตันใจอยู่นาน

ในที่สุด ก็มาทราบภายหลังว่า พระที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณแล้ว เข้าใจในพระไตรปิฎกจริง คือสิ่งใดที่ยังไม่เรียนก็เข้าใจ ที่เรียนแล้วก็เข้าใจมากขึ้น ทั้งนี้เพราอะไร เพราะว่าท่านเป็นอรหันต์ที่มีปัญญาสูง มีความเข้าใจว่าพระไตรปิฎกพูดถึงอะไร ท่านจับเพียงแค่จุดหมายปลายทาง สิ่งที่มีความสำคัญไม่ใช่อ่านทุกตัว ไม่มีความจำเป็น

อาตมาขณะที่ยังเรียนหนังสืออยู่ก็ไปถาม สมเด็จพุฒาจารย์ วัดอนงค์ ท่านแตกฉานความรู้หลายอย่าง ถามท่านว่า [color=red] การทรงพระไตรปิฎกทำอย่างไร
ท่านถามว่า เธอเคยอ่านพระไตรปิฎกหรือ
ก็กราบเรียนท่านว่า เคยอ่านมา ๓ ปี ปีละจบ

ท่านก็ถามใหม่ว่า เธอกลับไปดูใหม่ว่า พระไตรปิฎกหน้าไหนไม่พูดถึงขันธ์ ๕
ก็รวมความแล้วว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ทั้งหมด เทศน์เรื่องขันธ์ ๕ เรื่องเดียว แต่เปลี่ยนสำนวนไป พอท่านพูดเท่านี้ก็เข้าใจ กราบท่านว่า อย่างนี้ผมเข้าใจแล้วครับ คำว่า เข้าใจ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เป็นปฏิสัมภิทาญาณไปด้วย เป็นแต่เพียงว่าอ่านหนังสือมาแล้วไม่เข้าใจในหนังสือ

(พูดอีเหละเปะปะมา ก็เสียเวลาไป ๑๐ นาทีกว่า)
ต่อไปนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง การทำบุญ คนทำบุญบรรดาท่านพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า เมื่อจิตใจตั้งทำบุญเสร็จ ทำบุญแน่นอนแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วทรงยืนยันว่า วิมานคอยอยู่แล้ว คือเจ้าของยังไม่ตาย แต่วิมานปรากฏอยู่ก่อน เรื่องราวมีอยู่ว่า

ในสมัยที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นปรากฏว่า มีมาณพท่านหนึ่งคือ นันทิยมาณพ เป็นคนเคารพในพระพุทธศาสนาปกครองทรัพย์สินมากมาย คือเป็นเศรษฐี มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระมหามุนีสร้างศาลา ๔ หน้า ถวายพระพุทธเจ้า คือถวายเป็นของสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

หลังจากนั้นแล้วตอนกลางคืน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร คือ พระโมคคัลลาน์ พระองค์นี้มีความสำคัญมาก เรียกว่าวันนี้ทั้งหมดบรรดาท่านพุทธบริษัทพูดเรื่องจริงทั้งหมดนะ ไม่มีนิทาน แล้วก็ไม่มีนิมิต นิทานก็ดี นิมิตก็ดี ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าถือว่าจริงเกินไป เอาเหตุเอาผลเป็นสำคัญ แต่ว่าในเรื่องนั้น ๆ ให้ถือว่า ธรรมะ เป็นเรื่องสำคัญ ธรรมะน่ะ จริงแน่

มาตอนนี้ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์นี่ท่านเป็นพระพิเศษ แต่พระที่ท่องเที่ยวในสวรรค์ ในพรหมโลก ในนรก แดนเปรต แดนอสุรกาย มีเยอะ ไม่ใช่มีพระโมคคัลลาน์องค์เดียว แต่ว่าแต่ละท่าน ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างรู้ ไปเห็นแล้ว รู้แล้วเข้าใจแล้ว ก็มาแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทด้วยความจริงใจว่า

คนนั้นตายไปเกิดที่นั่น คนนี้ตายไปเกิดที่นี่ ใครเป็นญาติกานาติเกกันบ้าง เขาสั่งมาว่าอย่างไร ก็แนะนำตามนั้น เวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงยืนยัน แต่พระโมคคัลลาน์นั้นไปแล้วไม่อยู่เปล่า ไปหามาทั่ว พบทั่วแล้วก็กลับมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เหตุที่พบมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงยืนยันรับ

ทีนี้มาวันนั้น คืนวันนั้น ที่นันทิยมาณพ ท่านถวายศาลา ๔ หน้าเสร็จ กลางคืนพระโมคคัลลาน์ก็เจริญกรรมฐานตามปกติของพระอรหันต์ พระอรหันต์นี่เวลาเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัทจะไปดูเวลานั่งขัดสมาธินี่มันไม่ได้ ท่านไม่ถือการขัดสมาธิเป็นเรื่องสำคัญ นั่งขัดตะหมาดมือซ้อนกันนี่นะ เพราะว่าเป็นพระที่จบแล้ว ท่านใช้อารมณ์ได้ทุกขณะ

ขณะคุยกันนี่ท่านก็ใช้ได้ อย่าลืมว่าอรหันต์ใช้ฌานสมาบัติ ความเป็นทิพย์ไม่จำกัด เวลา จะพูด จะคุย จะทำงานทำการ อยากจะรู้เมื่อไรก็รู้ได้ เห็นอะไรปุ๊บปั๊บมีความรู้สึก แต่ว่าพระอรหันต์เป็นพระเก็บ ไม่แสดงออก ไม่ชูงวง

อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลาย จงอย่าชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล นั่นหมายความว่า แสดงตนโอ้อวดว่า ฉันเป็นพระอรหันต์บ้าง ฉันมีความรู้อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ฉันเป็นเปรียญชั้นนั้นชั้นนี้ ฉันเป็นพระครู ฉันเป็นเจ้าคุณ อะไรพวกนี้ จริง ๆ แล้ว พระสมัยนี้ท่านก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครเขาชูงวงกัน

แต่พวกชูงวงคงจะมีอยู่บ้าง เป็นของธรรมดา ๆ สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าห้าม สิ่งนั้นก็ย่อมจะมี ท่านบอกว่า เธอทั้งหลายจงอย่าชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล คือประกาศตนว่าฉันเป็นขั้นนั้น ฉันเป็นขั้นนี้ เพื่อความเลื่อมใสของบุคคล

อีกประการหนึ่งท่านบอกว่า จงทำตนเหมือนโมคคัลลาน์ โมคคัลลาน์ทำตนเหมือนแมลงภู่ เข้าไปเชยน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ ได้กินน้ำหวานแล้วดอกไม้เขาไม่ช้ำฉันใด บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนา เวลาเข้าไปสู่ตระกูล จงอย่าทำให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชอกช้ำในความเป็นอยู่หรือจิตใจ

ก็รวมความว่า วันนั้นพระโมคคัลลาน์ขึ้นไปบนสวรรค์ ก็ไปเจอะวิมานที่ไปพบมาแล้วทุก ๆ วัน แต่ปรากฏว่า พอเลี้ยวเข้ามามุมหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ก็มีความแปลกใจว่าเห็นวิมานใหม่มันเกิดขึ้น วิมานนี้เป็นวิมาน ๔ มุข มียอดใหญ่ตระการตา สวยสดงดงามมาก แพรวพราวเป็นระยับ

ท่านจึงหันไปถามเทพบุตรที่อยู่ใกล้ ๆ ถามว่า วิมานนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เทพบุตรองค์นั้นท่านก็ตอบว่า วิมานนี้เป็นวิมานของนันทิยมาณพ เมื่อกลางวันวานที่แล้วมา ปรากฏว่านันทิยมาณพเขาถวายวิหารศาลา ๔ มุข ในพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

พอถวายเสร็จ วิมานก็ปรากฏก่อน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรถามว่า เป็นอย่างนี้ทุกรายหรือ เทพบุตรองค์นั้นก็บอกว่า เป็นอย่างนี้ทุกราย คนที่ทำบุญเสร็จ มีวิมานทันทีทันใด

พอพูดมาถึงตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นึกถึงว่าคนที่ถวายสังฆทาน ความจริงถวายสังฆทานก็พร้อมด้วยวิหารทานคือปัจจัยที่นำมาถวายก็เป็นสังฆทานด้วย เป็นวิหารทานด้วย จึงมีวิมานปรากฏก่อนทุกคน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรก็มองดูไปที่วิมาน เห็นนางฟ้าเต็มไปหมด เป็นพันคน เวลานั้นบรรดานางฟ้าทั้งหลายก็ลงมาจากวิมาน มากราบอัครสาวกขององค์สมเด็จพระทศพล

แล้วเธอทั้งหมดก็กล่าวว่า ภันเต พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระเจ้าข้า พวกฉันเป็นนางฟ้ามาอยู่ที่วิมานนี้ หวังจะบำรุงบำเรอเทพบุตร คือนันทิยมาณพ ให้มีความสุข แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ปรากฏว่า อยู่เปล่า ว่าง ๆ ใจเหวงหวาง

เพราะไม่มีเทพบุตรที่จะบำรุงบำเรอ ฉะนั้นพระคุณเจ้ากลับลงไปเมืองมนุษย์ ได้โปรดบอกนันทิยมาณพด้วยว่า เวลานี้วิมานใหญ่โตสวยงามที่สุดปรากฏขึ้นแล้วในดาวดึงสเทวโลก เป็นที่อยู่ของท่านและมีนางฟ้านับพัน คอยบำรุงบำเรออยู่ ขอให้นันทิยมาณพ ละอัตตภาพจากความเป็นคน คือรีบตาย แล้วมาเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ดีกว่า

เธอเปรียบเทียบว่า อยู่เมืองมนุษย์ ก็เหมือนกับใช้ถาดดินเหนียว มาอยู่บนสวรรค์ก็เหมือนใช้ถาดทองคำ พอเวลาเสร็จภารกิจ พระโมคคัลลาน์ก็กลับ

ตอนเช้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ พระโมคคัลลาน์ก็ฟังด้วย ความจริงพระอรหันต์ก็ฟังเทศน์ อย่านึกว่าเป็นอรหันต์แล้วไม่ฟังนะ ทุกองค์มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม และพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์อาจจะมีแปลก ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ เป็นความรู้ใหม่ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์จบ

พระโมคคัลลาน์ก็ทูลถามว่า คนที่ทำบุญแล้วแต่ยังไม่ตาย ปรากฏว่าวิมานเกิดคอยแล้ว ความจริงเป็นประการใด พระพุทธเจ้าข้า ที่พระโมคคัลลาน์ถามอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่พระโมคคัลลาน์อวดดี

พระโมคคัลลาน์อวดเด่น พระโมคคัลลาน์จะอวดใคร เป็นความดีที่พระโมคคัลลาน์ทำอย่างนั้น เพื่อเป็นการตัดอารมณ์ของตัวว่า การเห็นอย่างนั้นเป็นอุปาทานหรือเปล่า

คำว่า อุปาทาน เป็นการนึกขึ้นเอง แต่ก็ไม่แน่นัก คำว่า อุปาทาน อาตมาก็เคยเกิด เคยพบ วันหนึ่งมีอารมณ์มัวไปนิดหนึ่งก็ปรากฏว่าอยากจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ขึ้นไป เห็นพระพุทธเจ้าสวยงามมาก เปล่งปลั่ง รัศมีปกติ เหมือนทุกอย่าง

กราบท่านแล้วก็ถามปัญหาบางอย่าง ปรากฏว่าคำตอบผิด อาตมาถามถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ระยะสั้น ๆ คือ ถาม ๑ ชั่วโมงต้องการผล ต้องการผลใน ๑ ชั่วโมง ผลที่เกิดมาผิด ก็แปลกใจว่า ทุกครั้งที่เราฟังมาไม่เคยผิด

วันต่อมาจึงเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ทำใหม่ คราวนี้ทำใจให้สะอาดจริง ๆ ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่นึกถึงเรื่องราวที่คิดไว้ก่อน ก็พบองค์สมเด็จพระชินวร ถามท่าน
ท่านก็บอกว่า ดูซ้ายมือซิ พอดูซ้ายมือ เห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้าแต่มีเขี้ยว

ท่านบอกว่า มารเข้าขวางทางของเธอ ก่อนที่เธอจะมาเธอจงอย่าคิดอะไรก่อน จงทำเหมือนทุกครั้งที่แล้วมา เมื่อวานนี้เธอคิดอะไรเสียก่อน แล้วขึ้นมา อารมณ์นั้นยังค้างอยู่ เขาเรียกว่า อุปาทาน

เป็นอันว่า พระโมคคัลลาน์ท่านตัดอุปาทานอย่างนี้ เพื่อความมั่นใจ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงสดับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสว่า โมคคัลลาน์ เมื่อคืนนี้เธอไปเห็นมาเองแล้วใช่ไหม พระโมคคัลลาน์ก็มีความมั่นใจ

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การทำบุญนั้น วิมานเขาคอยอยู่แล้ว ทุกคนให้มั่นใจในความดีของตน

อย่างมีครั้งหนึ่งตามที่กล่าวมาว่า ครั้งหนึ่งที่อาตมานิมิต คือว่าไม่ใช่นิมิตหรอก จิตมันวูบวาบไป มันตายน่ะ พูดง่าย ๆ ถ้าใครเขาเห็นเวลานั้นก็เป็นความตาย แต่มันใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงนัก จากเวลา ๓ ทุ่มเศษ ๆ ไปถึงตี ๒ กลับมา ตอนนั้นที่บอกว่า ไปนั่งอยู่หน้ากำแพงด้านหนึ่งตามที่ผ่านมาแล้ว แล้วก็มองเข้าไปข้างใน ใสสะอาด สวยงามมากแพรวพราวเป็นระยับ สว่างมาก

แล้วท่านบอกว่า มีวิมาน ๗ แสนหลัง คอยพวกเธออยู่ภายใน เธอมีสิทธิ์ แต่ยังเข้าไม่ได้ คอยก่อน อันนี้ก็เป็นนิมิตอันหนึ่ง ที่จะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนนี้เป็นนิมิตนะ ขอบรรดาท่านผู้รู้ใช้กำลังใจของท่านพิจารณาดูก็แล้วกัน

แล้วต่อมาอีกวันหนึ่ง เข้าไปทบทวนใหม่ ถามว่า วิมานชุดนั้นตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ วันนั้นเข้าได้ เข้าแล้วอยู่ไม่ได้ วันที่ผ่านมาแล้วที่พูด เข้าไปจะอยู่เลย คือไปแล้วจะอยู่เลย ไม่กลับ

ท่านเลยห้ามเข้าเขต แต่วันต่อมา ไม่เอาละ จะไปดูแค่เฉย ๆ ท่านก็เลยบอกว่าจากจุดนี้ที่เธอนั่ง หันหน้าไปทางด้านทิศเหนือ แล้วอยู่ทางซ้ายมือวิมาน ๗ แสนวิมาน ตั้งเรียงรายเป็นระยับ

ก็มีคนถามว่า คล้ายบ้านจัดสรรใช่ไหม
ก็บอกว่า ใช่

แต่บริเวณเขาไกลกว่ากันมาก เขากว้างมาก สวยสดงดงามเป็นระยับ ก็เดินเข้าไปดู ก็เกิดความเพลิดเพลินว่า วิมานนี้เป็นวิมานเฉาจริง ๆ ไม่มีเจ้าของ ถ้าเป็นเมืองมนุษย์เราจะขายเลหลัง จะเลหลังคงได้หลายสตางค์ แต่ว่านี่เป็นนิพพาน ขายไม่ได้

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาเหลืออีกประมาณ ๑ นาทีเศษ ๆ ก็ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เอาธรรมะเป็นเครื่องประจำใจไปใช้ปฏิบัติสักนิดหนึ่งว่า ความดีเบื้องต้นของคนก็คือศีล ๕ ทุกคนจงระมัดระวังศีล ๕ คือ

๑. ไม่ฆ่าสัตว์
๒. ไม่ลักทรัพย์
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม
๔. ไม่พูดมุสาวาท
๕. ไม่ดื่มสุราและเมรัย

ทั้ง ๕ ประการนี้ ถ้าทำได้บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเป็นมหาเสน่ห์อย่างมาก เพราะการไม่ฆ่าสัตว์ เป็นคนที่มีใจไม่โหดร้าย อย่างนี้มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีเมตตาปรานี ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก เป็นเสน่ห์
การไม่ลัก ไม่ขโมยของเขา ทุกคนก็ไว้วางใจ มีเพื่อนมาก มีคนต้องการคบหาสมาคม จะไปพักที่ไหน จะไปนอนที่ไหนก็ได้ ข้าวปลาอาหารไม่อด เพราะเขารัก นี่ก็เป็นเหตุความสุขใจ

การไม่ละเมิดสามีภรรยาของบุคคลอื่น อันนี้เป็นเครื่องสบายใจอย่างหนึ่ง เป็นที่ไว้วางใจของคน ไม่ทำลายความรักกัน ก็เป็นเสน่ห์ ให้เกิดความรัก
การพูดตรงไปตรงมา เป็นสัจธรรม อันนี้มีความสำคัญมาก บรรดาท่านพุทธบริษัท รักษาให้ดี เป็นเสน่ห์มหาศาล
ต่อมาข้อสุดท้าย ที่พวกเราไม่ดื่มสุราบาน ไม่ทำสติสัมปชัญญะให้เสื่อม จะเป็นของดีมาก ทุกอย่าง ๕ ประการนี้ทำได้มีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ ความทุกข์ใดใดที่มีอยู่แล้วในโลก ที่ปรากฏมาก่อน

ถ้าปฏิบัติตามศีล ๕ ที่องค์สมเด็จพระชินวรตรัสไว้แล้วนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย เขาถือว่าเป็นสีลานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานบทสำคัญทำให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ทั้งชาตินี้และชาติหน้า

เวลาหมดแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับ
ฟังทุกท่าน
สวัสดี


((( โปรดติดตามต่อไป )))


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/2/11 at 14:06

9

(Update 13-2-54 )

พระมหาทองปอนด์ตาย


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๒ เป็นวันบันทึกเสียง แต่ว่าการพูดวันนี้จะเป็นการพูดในรายการ วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ ทั้งนี้ ก็เพราะว่าตอนเช้ามืดตอนตี ๔ ของวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ ตื่นขึ้นจากนอนเวลาตี ๒ เศษ ๆ เพราะเวลานั้น เป็นเวลาเจริญกรรมฐานในตอนดึก เป็นประจำวัน

แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัท มีเรื่องแปลกที่ต้องคิด เพราะว่าไม่ทันจะลืมตา พอมีความรู้สึกตัวขึ้นก็เห็นภาพพระองค์หนึ่งลอยอยู่บนอากาศ แต่การลอยของท่านไม่ได้อยู่ในท่ายืน หรือว่าท่าเดิน หรือนั่ง เป็นการลอยในท่านอน รูปร่างอ้วน ๆ ลักษณะสูงต่ำ ประมาณกลางคน เป็นลักษณะท้วม ผิวเนื้อสองสี

ก็พิจารณาดูว่าพระองค์นี้เป็นใคร ตามความรู้สึกมีว่าพระองค์นี้เคยรู้จักกันมาก่อน และเป็นคนเคยสืบเนื่องกันมาในชาตินี้ แต่มองเท่าไรก็ไม่เห็นหน้า เพราะมีผ้าคลุมหน้า คลุมทั้งตัว จึงไม่รู้ว่าท่านองค์นี้เป็นใคร ลักษณะการนอน บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามความรู้สึกบอกว่าเวลานี้พระองค์นั้นตายเสียแล้ว และเป็นการตายสด ๆ ร้อน ๆ ไม่นานนัก อาจจะไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง

นี่พูดถึงตามความรู้สึกของนิมิตที่ปรากฏ ถ้าจะถามว่า เวลานั้นเจริญกรรมฐานหรือยัง ก็ต้องตอบว่า คำว่า กรรมฐาน การใช้ภาวนา ก่อนหลับ อันนี้ใช้เป็นปกติ พิจารณาก็ดี ภาวนาก็ตาม เวลาก่อนหลับทำเสมอ แต่ว่าเวลาหลับบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านถือว่าเป็นการทรงอารมณ์ในสมาธิกองนั้น แต่ว่าเวลาตื่นขึ้นมา เวลานั้นยังไม่ทันภาวนา แค่มีความรู้สึกตัว แต่จิตมีความรู้สึกว่ารับรู้ลมหายใจเข้า-ออก นิมิตก็เกิด

ถ้าจะถามว่าเป็นการใช้ทิพจักขุญาณใช่ไหม ต้องตอบว่าไม่ใช่ ภาพนี้เป็นภาพที่แสดงให้เห็นเอง ไม่สามารถจะบังคับได้ ฉะนั้นเมื่อภาพนี้มีผ้าคลุมศีรษะ คลุมตลอดตัว จึงไม่สามารถจะบังคับให้เปิดผ้าได้ ถ้าเป็นทิพจักขุญาณก็สามารถจะบังคับให้เปิดผ้าได้ ในเมื่ออยากจะรู้ชื่อพระองค์นี้ ความรู้สึกก็ไม่ยอมบอกว่าชื่ออะไร

แต่เมื่อมีความต้องการชื่อเข้าจริง ๆ ก็มีเสียงผู้ชาย กับเสียงผู้หญิงดังมาจากในอากาศ ผู้ชายบอกชื่อพ่อ ผู้หญิงบอกชื่อแม่ แต่ทว่าผู้หญิง เป็นลักษณะคนบาง ๆ ผิวขาว ลักษณะทรวดทรงดี ผู้ชายก็เป็นคนรูปร่างค่อนข้างใหญ่ ลักษณะผิวเนื้อสองสี ค่อนข้างขาว ลักษณะท้วม

ท่านบอกว่า พระองค์นี้มีพ่อชื่อนี้ แล้วผู้หญิงบอกว่า พระองค์นี้มีแม่ชื่อนี้ อาตมาไม่รู้แม้แต่ชื่อท่านผู้ตาย จะไปรู้ชื่อพ่อแม่เพื่อประโยชน์อะไร ก็จึงไม่มีการสนใจว่าพ่อแม่ชื่ออะไรนั้น เป็นเรื่องของพ่อของแม่ แล้วก็ไม่อยากจะจำ เวลานี้ก็จำไม่ได้ อยากจะรู้ชื่อของพระนี้ นึกเท่าไร ต้องการเท่าไร ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ จึงคิดว่าไม่รู้ก็แล้วไป จึงมาคิดในใจว่า พระองค์นี้ตายแล้วหรือยัง

เวลานั้นก็ปรากฏภาพพระขึ้น ๓ องค์ พระ ๓ องค์นี้เป็นพระที่มีความสำคัญ บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเป็นพระอะไรบ้าง ก็ไม่ขอบอก ลอยอยู่หน้าพระนี้แสดงว่า ก่อนที่พระจะตาย พระองค์นี้จะเห็นภาพพระ ๓ องค์ลอยอยู่เบื้องหน้า เวลานั้นก็มีความชื่นใจว่า ลักษณะอย่างนี้ถ้าเกิดขึ้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องถามว่า พระองค์นี้ตายแล้วมีสุขหรือมีทุกข์

อาการที่เห็นพระบรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอาการบอกถึงความสุขโดยตรง ฉะนั้นพระองค์นี้อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ ถ้าจิตใจมีความมั่นคงก็ไปพรหมโลก ถ้าเวลานั้น เวลาที่ใกล้จะตาย ถ้าจิตใจไม่นิยมร่างกายก็ไปนิพพาน เรื่องนิพพานนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นของไม่หนักนัก สำหรับบุคคลที่มีความเข้าใจ

อาตมาก็ย่องมาพูดเรื่องนี้อีกแล้วในหนังสือเล่มเดียวกัน ก็มีพระองค์หนึ่งท่านมาด่า บอกว่าอาตมาไม่เข้าถึงนิพพาน ตายแล้วต้องไปอบายภูมิ แต่เวลานี้มันยังไม่ตายนี่ ในเมื่อมันยังไม่ตาย ก็ไปนิพพานกันก่อน เวลาตายแล้ว มันจะไปไหนก็ช่างมันเป็นไร

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าไปติดใจเรื่องพระด่าเลย ไม่มีความสำคัญ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต” คนไม่ถูกด่า ไม่ถูกว่า ไม่ถูกนินทา ไม่มีเลยในโลก เป็นธรรมดา แต่ว่าพระอรหันต์นั้น เขาไม่ด่ากัน

ในเมื่อภาพนั้นยังลอยชัด ลืมตาก็เห็น อย่าคิดว่าภาพนี้เห็นเฉพาะหลับตานะ แล้วก็อย่าลืมว่าไม่ใช่ภาพจากทิพจักขุญาณเป็นภาพที่แสดงให้ปรากฏเวลานั้นก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า พระองค์นี้ท่านจะไปสู่สุคติขั้นไหน หรือไปสู่ทุคติ ถ้าไปสู่ทุคติก็แสดงว่าตำราผิด จึงนึกถึงลุงทั้ง ๒ พอนึกถึงท่าน ลุงท่านก็มา

ท่านไม่มาเฉพาะ ๒ องค์ เวลานั้นปรากฏว่ามาเต็มไปหมด โอย เยอะแยะ มากมายก็เลยนึกในใจว่า พระองค์นี้มีบุญจริง ๆ นะ เวลาตายของท่าน มีเทวดามีพรหมสนใจ
เลยถามลุงว่า พระองค์นี้เคยมีบาปไหม ตั้งแต่เกิดมาเคยทำบาปกุศลไหม

ลุงท่านก็ตอบว่า คนที่เกิดมาในโลก จะไม่เคยทำบาปเลยหาแสนยาก เกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีใครเลยในโลกที่ไม่เคยทำบาป การฆ่า บีบมดให้ตายก็บาป บี้ยุงให้ตายก็บาป การด่าเขาก็บาป นินทาเขาก็บาป มันบาปไปหมด การพูดปดมดเท็จก็บาป การดื่มสุราเมรัยก็บาป รักคนที่เขาไม่อนุญาตให้ก็บาป ถือเอาของที่บุคคลอื่นไม่ให้มาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรมก็บาป

ท่านบอกว่า คำว่า บาป ย่อมมีแก่คนทุกคน
ก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นพระองค์นี้ถ้ามีบาป เวลานี้ไปสู่สุคติหรือทุคติ
ท่านก็ตอบตรง ๆ ว่า เวลานี้ไปสู่สุคติ
บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า สุคติ หมายถึง สวรรค์ก็ได้ พรหมโลกก็ได้ นิพพานก็ได้

อาตมาก็ถามท่านต่อไปว่า ไปสู่สุคติขั้นไหน
ท่านบอกให้ แต่บรรดาท่านพุทธบริษัทไม่ควรจะพูด มีเสียงหนึ่งก้องเข้ามาบอกว่า “ไม่ควรจะพูด” ในเมื่อมีเสียงก้องเข้ามาขณะพูดว่าไม่ควรจะพูด ก็ขอไม่พูด ถือว่าถ้ามีความสุขแล้วก็ใช้ได้

ต่อไปก็ถามท่านบอกว่า กรรมที่เป็นที่น่าข้องใจของพระองค์นี้ มีอะไรบ้าง
ท่านบอกว่า ตัวท่านเองก่อนจะตายท่านมีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือการไปในงานต่าง ๆ บางครั้งเขาทำงานเพื่ออะไร เขาจะสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างวัด สร้างอะไรก็ตาม แต่ว่าท่านไปในงาน คนเขาถวายปัจจัยกับวัดด้วยและมาแวะถวายให้ท่านอีก อาการนี้ท่านมีความข้องใจอยู่เล็กน้อยว่า เป็นกิจที่ไม่สมควรที่เรานำมาวัดของเรา น่าจะถวายไว้ที่วัดนั้น แต่ก็สิ่งนั้นทำไปแล้ว

ก็ถามท่านว่า ถ้าอาการอย่างนั้นเป็นอาการบาปหรือไม่บาป
เขาถวายให้ท่าน วัดประกาศโฆษณาว่า จะสร้างโบสถ์ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างอะไรต่ออะไรก็ตาม แต่เขาถวายวัดแล้ว ก็มาแวะถวายให้ท่านด้วย

ท่านลุงก็บอกว่า การถวายให้เขาถือสิทธิ์ว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัว เขาตั้งใจถวายเป็นส่วนตัวจัดว่าเป็นบาป ก็น่าจะเสียสละ มอบหมายไว้กับวัดนั้น เพื่อเป็นบุญเป็นกุศล เป็นการสร้างเจริญศรัทธาแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท สร้างความปลื้มใจ แต่นี่บางครั้งท่านเผลอไป นำมาวัดด้วย อันนี้ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดในอบายภูมิ แต่เป็นอุปสรรคขัดข้องนิดหนึ่งที่จะไปนิพพาน

จึงถามท่านว่า มีอารมณ์หนักไหม
ท่านบอกว่า ไม่หนัก

รวมความว่า เรื่องพระองค์นี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ประหลาดจริง ๆ อยู่ ๆ ก็ลอยให้เห็น ต่อมาในตอนเช้า เวลาประมาณ โมงเศษ ๆ มีเจ้าหน้าที่เอาโทรเลขไปส่งให้ ในโทรเลขนั้นบอกว่า หลวงพ่อมหาทองปอนด์ วัดม่อนธาตุ จังหวัดอุตรดิตถ์ มรณภาพวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ ท่านที่โทรเลขมาชื่อว่า กระแส

ก็เลยนึกในใจว่า โอ้โฮ! พระองค์นี้ไม่ใช่ใคร คือพระมหาทองปอนด์นั่นเอง พระมหาทองปอนด์นี่ ความจริงท่านไม่ใช่ลูกศิษย์อาตมาโดยตรง แต่ว่าท่านยอมรับนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์เหมือนกัน แต่ทว่าขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมที่เป็นอกุศลกรรมต่าง ๆ ก็ยังมองไม่เห็น

ฉะนั้นเจตนาของท่านดี เคยเป็นเจ้าคณะอำเภอ องค์นี้ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะเป็นเปรียญ ๖ ประโยค และได้ปริญญาทางพุทธศาสนา ดูเหมือนว่าจะเป็นดอกเตอร์มาจากอินเดีย ถ้าจำไม่ผิดนะ แล้วต่อมาก็มาเป็นเจ้าคณะอำเภอ ที่จังหวัดสุโขทัย ถ้าจำไม่ผิด ก็เป็นศรีสัชนาลัย ต่อมาก็ลาออกจากเจ้าคณะอำเภอ มาอยู่อิสระ อย่างนี้ก็ถือว่าต้องการวิเวก ก็เป็นความดี ฉะนั้นในเมื่อรับโทรเลขนี้แล้ว อาตมาเองอยากจะไปก็ไปไม่ไหว กำลังป่วยหนัก อาการทางท้องเครียดมากได้แต่ส่งใจไปช่วย

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็รวมความว่า พระที่มาลอยให้เห็นก็คือ พระมหาทองปอนด์ พระมหาทองปอนด์นี้ ก่อนที่จะดับชีพเห็นพระ ๓ องค์ ลอยอยู่เบื้องบน จิตใจก็จดจ่ออยู่กับที่พระ ๓ องค์นั้น อย่างนี้เป็นอารมณ์ของมหากุศล เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ท่านมหาทองปอนด์จะไปไหนนั้น เป็นเรื่องของท่าน เป็นความดีที่ท่านทำไว้แล้ว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงพากันรักษาความดีที่มีไว้แล้วให้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม

ต่อนี้ไปก็มาคุยถึงเรื่องวิชาการ วิชาการความรู้ที่ฝึกให้บรรดาท่านพุทธบริษัท อันมีการนับเนื่องใน ๒ หมวดของกรรมฐานคือ วิชชาสาม และอภิญญาหก ท่านฟังให้ดีนะ
วิชชาสามนั้นมี ๓ อย่าง คือ
๑. ทิพจักขุญาณ
๒. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
๓. อาสวักขยญาณ

ถ้าพูดเป็นภาษาไทยก็คือว่า
๑. มีจิตใจเป็นทิพย์ คล้ายตาทิพย์
๒. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด แล้วก็
๓. อาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไป

ถ้าถึงพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ถือว่าเป็นวิชชาสาม ถ้าหากว่ายังไม่ถึงพระโสดาบันขึ้นไป ก็ถือว่าได้ ๒ ในวิชชาสาม คือได้ทิพจักขุญาณ กับปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
สำหรับอภิญญาหกมีอย่างนี้ คือ อิทธิวิธี หรือแสดงฤทธิ์ได้
๑. แสดงฤทธิ์ได้

๒. มีทิพโสตญาณ มีจิตเป็นทิพย์เหมือนกับมีหูเป็นทิพย์
๓. รู้จักกำหนดรู้ใจคนอื่น
๔. ระลึกชาติได้ไม่จำกัด
๕. ได้ทิพจักขุญาณ หูเป็นทิพย์เป็นทิพโสตญาณนะ คือตาเป็นทิพย์ และ
๖. รู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป

เมื่อมาพิจารณากรรมฐาน ที่ฝึกให้แก่บรรดาพุทธบริษัท เห็นว่าท่านที่ได้อย่างต่ำ จะเป็นผู้ได้จาก ๒ ในวิชชาสาม คือ

อันดับแรก จะฝึกทิพจักขุญาณให้เกิดก่อน สามารถเห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นพรหมโลก หรือเห็นอะไรได้ตามชอบใจตามความรู้สึกของจิตและ สองปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด

ทั้งนี้ ๒ อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าทำให้คล่อง จะถือว่าทุกคนมีความคล่อง ๒ ในวิชชาสาม ท่านยังอยู่ในหมวดของวิชชาสาม จำให้ดีนะ แต่ทุกคนที่ทำได้แล้วอย่าทิ้ง จะต้องทำให้คล่องจริง ๆ ฝึกฝนทุกวัน อย่าทิ้ง คือแต่เช้ามืดครั้งหนึ่ง ก่อนหลับครั้งหนึ่ง เอาจิตใจจับกรรมฐานที่พึงได้ว่า คำว่า ทิพจักขุญาณ ถ้าทิ้งสัก ๒-๓ วันจะเฝือ และการรู้จักจิตที่เรียกว่า ทิพจักขุญาณ จงอย่ารู้เองเฉย ๆ ให้ถามตรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าจะมีคนเขาค้านบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านนิพพานไปแล้ว ถามที่ไหน ก็ตั้งใจ ถามเถิด แม้จะเป็นพุทธนิมิตก็ได้ ให้เห็นว่าเป็นพระพุทธเจ้า เราก็ถาม จะมีความรู้สึกว่าท่านตอบว่าอย่างไร จำไว้ว่าอย่างนั้นคือไม่ผิด ถูกแน่ อย่าสงสัย แต่ก่อนที่จะนึกถามพระพุทธเจ้าให้ตั้งใจทำจิตให้สะอาดจากนิวรณ์ ๕ ประการก่อน
นิวรณ์ ๕ ก็คือ

๑. ความรักในระหว่างเพศ
๒. ความโกรธ หรือความพยาบาท
๓. ความง่วง
๔. จิตฟุ้งซ่าน
๕. สงสัยในผลของการปฏิบัติ

ทั้ง ๕ อย่างนี้ อย่าให้มีในจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัท เฉพาะเวลานั้น เมื่อจิตสะอาดจากนิวรณ์แล้ว จับภาพพระพุทธเจ้า ภาวนาจับลมหายใจเข้าออก สักประเดี๋ยวหนึ่ง พอจิตเป็นสุข ละภาวนา ละลมหายใจเข้าออก เอาจิตจับภาพทันที อย่างนี้จิตสะอาด จะรู้อะไรได้ทุกอย่าง

ทีนี้มาอาการฝึกจริง ๆ มันมากกว่านั้น ก็มาดูหมวดของอภิญญาว่า ท่านที่ฝึกไปได้แล้ว มีอะไรบ้างในหมวดของอภิญญาที่ท่านได้แล้ว

๑. แสดงฤทธิ์ได้ การแสดงฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศ ทางกายนี้ไม่ได้ฝึกให้ ถ้าจะถามว่า ครูผู้ฝึกทำได้ไหม ก็ต้องตอบว่าทำไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ถึงแม้ว่าท่านที่ทำได้แล้ว ก็ต้องทำไม่ได้ แต่อาตมาเองนั้นทำไม่ได้จริง ๆ นะ ไม่ใช่ทำได้แล้วบอกว่า ทำไม่ได้ ก็ต้องบอกว่าทำไม่ได้จริง ๆ

การแสดงฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศทางกายไม่ได้แต่ฝึกฤทธิ์ทางใจไว้ให้ ที่เรียกว่า มโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่า ผู้มีฤทธิ์ทางใจ นั่นหมายความว่า นำเอาใจ หรืออทิสสมานกาย กายภายใน ไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้

ถ้าเวลานั้นจิตสะอาดไปนิพพานก็ได้ หรือว่าถ้าหากว่าต้องการจะไปนรก ไปแดนเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานก็ได้ นั่นเป็นฤทธิ์ทางใจ จริง ๆ แล้ว ก็ใช้ได้ผลเหมือนกับฤทธิ์ทางกาย ฤทธิ์ทางกาย ถ้ากายป่วยไข้ไม่สบายจะมีอาการเครียด ถ้าใช้ฤทธิ์ทางใจ ร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ช่าง ใจใช้ได้เสมอ ร่างกายจะเพลียลุกไม่ขึ้นก็ไม่เป็นไร ใจไปได้

รวมความว่า การใช้ฤทธิ์ แม้แต่ทางใจ ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาหก การแสดงฤทธิ์ได้ทางใจ ก็เป็นครึ่งหนึ่งของการแสดงฤทธิ์เต็มอัตราของอภิญญาหก เป็นข้อที่หนึ่ง

๒. ทิพโสตญาณ ในหนังสือท่านเขียนว่า ทิพโสต หูทิพย์ แต่ความจริงต้องใช้คำว่า ทิพโสตญาณ มีความรู้จากประสาทหู คล้ายหูทิพย์ นั่นก็หมายความว่า ถ้าต้องการได้ยินเสียง จะเป็นเสียงคน เสียงภูตผีปีศาจ เสียงเทวดา เสียงพรหม หรือเสียงท่านที่อยู่สูงกว่านั้น เราต้องการจะรู้เมื่อไรก็รู้ได้ ไม่ใช่ประสาทหูทิพย์ ถ้าประสาทหูทิพย์นี่ มันจมไม่ลง เสียงคน เสียงสัตว์ในป่าในโลกนี้มันดังไม่ขาดสาย ถ้ามีประสาทหูเป็นทิพย์มันจะได้ยินหมด และได้ยินไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ต่างประสานเสียงกันแซดเข้ามา กลายเป็นหูดื้อไป

ความจริงต้องเรียกว่า ทิพโสตญาณ มีความรู้สึกทางใจใช้ทางหู เหมือนกับหูทิพย์ แล้วก็เสียงที่ใครเขาพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไร ถ้าต้องการจะทราบเสียงนั้น จะทราบเสียงทันทีว่า ท่านผู้ใด พูดว่าอย่างไร ท่านผู้ตอบ ตอบอย่างไร ท่านผู้ถาม ถามว่าอย่างไร เป็นต้น เสียงคน เสียงเทวดา เสียงผี ก็ทราบหมด อย่างนี้เขาเรียกว่า หูยาว ต้องการจะรู้ก็รู้ อย่างนี้ถ้าหากใช้ญาณทางหูได้ ก็ถือว่าได้อีกหนึ่งในอภิญญาหก แต่ทุกคนฝึกแล้ว ต้องทำให้คล่อง

ต่อไปก็รู้จักกำหนดใจคนอื่น ที่เรียกว่า เจโตปริยญาณ คำว่า เจโตปริยญาณ รู้จักใจคนอื่น คือเขานึกอย่างไร เขามีสุขหรือเขาทุกข์ เขามีความรู้สึกเป็นอย่างไร เราสามารถทราบ ไม่ต้องเดาทางสีหน้า ไม่ต้องเดาทางอาการกลัว ความรู้สึกอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นความรู้สึกที่ไม่หนัก

คือไม่ต้องรู้จักหน้ากันเลย เป็นแต่เพียงได้ยินชื่อว่า ท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน เราอยากจะทราบว่า ท่านผู้นั้นมีความสุขหรือมีความทุกข์ มีความเป็นอย่างไร จิตใจมีความรู้สึกอย่างไร เราก็จะรู้ ท่านผู้นั้นเป็นผู้ได้ฌานโลกีย์ขั้นไหนเราก็ทราบ เป็นพระอริยเจ้าขั้นไหนเราก็ทราบ แต่การที่จะรู้ การที่จะทราบ แต่การที่จะรู้การที่จะทราบจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท เพื่อให้แม่นยำจริง ๆ ให้ถามตรงพระพุทธเจ้า

ก็ขอพูดอีกครั้งหนึ่ง จะมีคนค้านว่า พระพุทธเจ้านิพพานแล้วจะถามใคร อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สูญไปจากโลก ทั้ง ๓ โลกนี้ พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก พระพุทธเจ้าไม่ได้สูญไปด้วย ใครก็ยังนึกถึงท่าน พระพุทธเจ้ายังอยู่ นั่นคือวิชาความรู้ ใครนึกถึงพระพุทธเจ้า จะปรากฏเป็นภาพพุทธนิมิตเกิดขึ้น ภาพพุทธนิมิตนั้นจะเป็นองค์ท่าน หรือนิมิตก็ตาม ก็คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน ให้ทูลถามโดยตรง ได้รับคำตอบแบบไหน เชื่อแบบนั้นทันที จะไม่ผิด ไม่ว่าใครทั้งหมด อย่างนี้ไม่ต้องไปขออนุญาตเพื่อรู้

และต่อไปก็ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ นี่ก็เป็นอภิญญา การระลึกชาตินี่ต้องฝึกให้สม่ำเสมอ วิธีฝึกไม่ต้องเรียงลำดับ ขืนเรียงลำดับชาติ ๑ ๒ ๓ ถอยลงไปนี่เหนื่อยมาก ต้องการรู้ชาติไหน เป็นอะไร นึกถึงภาพนั้น ถ้าจะให้ดี ถามตรงพระพุทธเจ้าและขอเห็นภาพด้วย อันนี้ไม่ยาก ถ้าใช้วิธีถามพระพุทธเจ้า แล้วก็ขอให้เห็นภาพ อันนี้ไม่มีทางผิด

แล้วต่อไปก็ ทิพจักขุญาณ ตาทิพย์ คือมีความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ อันนี้ไม่ยาก เรื่องทิพจักขุญาณนี่ ใครอยู่ที่ไหน ต้องการจะทราบ ลักษณะเป็นอย่างไร รู้หมด ถ้าหากจะให้ชัดจริง ๆ อย่าลืมถามพระพุทธเจ้า ทุกอย่าง เขาทดลองมาแล้ว ถ้าต้องการจะรู้ด้วยตนเองนี่บางทีมันก็พลาด ผิดได ้ บางทีผิดไม่มาก พลาดไม่มากแต่มันก็ผิด ยังมีผิด มีถูก ถ้าถามตรงพระพุทธเจ้า ไม่มีผิด

อาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไป ทำกิเลสให้สิ้นเป็นขั้น กิเลสให้สิ้นขั้นพระโสดา ขั้นสกิทาคา ขั้นอนาคา ขั้นอรหันต์ ถือว่าตั้งแต่พระโสดาบันก็ชื่อว่า ถึงอภิญญาหกแล้ว

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลืออีก ๑ นาทีเศษ ๆ วันนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่องมรณานุสสติกรรมฐาน ก็เป็นการบังเอิญที่พระมหาทองปอนด์ท่านมรณภาพ แล้วก็มาลอยให้เห็น บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอย่าคิดนะว่า ใครตายที่ไหน อาตมารู้ทั้งนั้น ถ้าเขาไม่มาให้เห็นก็ไม่เห็น ถ้าเขาไม่มาให้รู้ก็ไม่รู้ อย่าไปคิดว่าทุกคนถ้าตายแล้ว ไปอยู่ที่ไหน อาตมาต้องรู้ทั้งหมด อันนี้ไม่ถูกต้อง อาตมาจะไม่ใช้ญาณ ที่จะพึงมี ถ้ามีอยู่ ก็ไม่ใช้อย่างนี้ เพื่อรู้ เพราะกังวล แม้แต่ตัวเองก็ป่วยไข้ไม่สบายอย่างหนัก เวลานี้ห่วงตัวเองมาก

ไม่ใช่ห่วงเพื่ออยู่ ห่วงเพื่อตาย เกรงว่าถ้าตายไม่ได้สติมันจะแย่ ก็ควบคุมกำลังใจ เพราะมันป่วยหนัก พระมหาทองปอนด์ท่านเกิดทีหลัง ท่านก็ตายไปแล้ว อาตมาแก่กว่าคิดว่าไม่ช้าก็ต้องตาย เรื่องความตายนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จัดว่าเป็นมรณานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจงอย่าลืม จงอย่าลืมคิดว่าชีวิตนี้มันต้องตาย

เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพยายามรวบรวมทำความดี
๑. มีการให้ทานไว้เป็นปกติ
๒. รักษาศีลไว้เป็นปกติ
๓. เจริญภาวนาเท่าที่กำลังใจจะพึงทำได้ จิตใจจับพระพุทธรูปไว้เป็นกำลังใจ หรือภาพพระสงฆ์เป็นกำลังใจ นึกถึงทาน บุญกุศลที่ทำไว้

อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเมื่อตายจะไม่สิ้นหวังคือจะได้ถึงซึ่งความดี
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลือไม่ถึงครึ่งวินาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ



10
ตายก่อนบวช , เด็กหญิงตาย


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็น วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๒ แต่ว่าวันนี้เป็นรายการบันทึกของวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ คือเมื่อวันที่ ๔ บรรดาท่านพุทธบริษัท วันนั้นอาการทางท้องเครียดมาก เมื่อพูดอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทจะสงสัยว่า การพยากรณ์ต่าง ๆ ที่ท่านพยากรณ์ไว้ว่า ร่างกายจะดีขึ้น ทำไมจึงมีอาการป่วยอยู่อีก ก็ต้องขอตอบว่า ขณะที่ท่านพยากรณ์ ท่านก็บอกแล้วว่าร่างกายจะดีขึ้น แต่บางส่วนจะเป็นอยู่ ร่างกายจะดีจริง ๆ ต้องปรับปรุงกันถึง ๒ ปี ร่างกายจึงจะสมบูรณ์

สำหรับเวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ด้านประสาทต่าง ๆ ของร่างกายนี้จะดีจริง ๆ ทุกส่วนดีหมดเหลือไว้แต่ทางท้องส่วนเดียว เมื่อสมัยก่อน มันเสียทั้งร่างกาย ประสาทเสียหมด กินอะไรเข้าไป ลำไส้ก็ไม่มีการดูดซึม ทุกอย่างของร่างกายที่จะทำขึ้นมาได้ ต้องอาศัยท้าวมหาราชช่วย เวลานี้ท้าวมหาราชท่านก็เบา คุมเฉพาะภายใน เรื่องทางท้องยังเป็นอยู่

บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่าอาการเป็นก็เบาลง น้อยอาการลง มันเป็นจริง ๆ เวลาประมาณ ๔ โมงเย็น ถึง ๓ ทุ่ม มันมีอาการเครียดตั้งแต่ตอนนี้ แต่ความจริงแล้ว กลางคืนทั้งคืนอาศัยไม่ได้เลย จะต้องนอนหลังเวลา ๕ ทุ่มเสมอไป เพราะท้องถ่ายไม่ปกติ มันถ่ายจริง แต่ก็ถ่ายไม่หมด นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็เป็นเรื่องระกำลำบากอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร ส่วนอื่นมันดีได้แล้ว

มาว่ากันถึงเมื่อคืน วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ คืนนั้น ตอนหัวค่ำ คือ ตั้งแต่ ๔ โมงเย็นกว่า ๆ อาการเครียดจัด ในท้องร้อนมาก ร้อนมาถึงคอ ร้อนคล้าย ๆ ไฟลวก ร่างกายทรุดโทรม เดินไปก็ซวนไปเซมา เห็นท่าจะไม่ไหว จะเรียกใครเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ก็รู้สึกว่า มันจะเกิดความรำคาญ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าไม่ได้เกิดประโยชน์ คำว่า ไม่เกิดประโยชน์ ก็เพราะว่าถึงแม้ว่าเขาจะมาอยู่ใกล้ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก็นอนทนทุกขเวทนาไปตามเรื่อง

ขณะที่ร่างกายมีทุกขเวทนาอย่างหนัก ก็มีความรู้สึกว่า ความตาย เข้ามาใกล้เต็มทีอย่างนี้ เราจะมีความประมาทอยู่เพื่อประโยชน์อะไร เราจะเกาะร่างกาย แต่ความจริงขึ้นชื่อว่าร่างกาย จิตใจไม่เกาะมานานแล้ว ถ้าจะถามว่าไม่เกาะ ทำไมจะต้องกินข้าว ก็ต้องขอตอบว่า พระพุทธเจ้าเองทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณก่อนใคร ๆ เวลาที่ร่างกายยังไม่ตาย องค์สมเด็จพระจอมไตรก็เสวยพระกระยาหารเหมือนกัน

คำว่า ไม่เกาะ หมายถึงว่า จิตมันไม่เกาะ จิตมันมีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ต้องตายแน่นอน และความตายเข้ามาในไม่ช้านี้แน่ เอากันแค่นี้นะ
ถ้าจะถามว่า เจ็บไหม ก็ต้องตอบว่า เจ็บ ปวดไหม ก็ต้องตอบว่า ปวด มันตายไหม ถ้าใครจะมาฆ่าให้ตายนี่ กลัว ถ้ามันจะตายเอง กลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย ก็เตรียมตัวเพื่อตาย

วิธีการเตรียมตัวเพื่อตายก็คือ รวบรวมกำลังใจ ซึ่งมันก็รวมไม่ยาก ปกติใจมันรวมอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เห็นว่ามันไม่สวยทั้งหมด มันไม่มีอะไรสวยเป็นปกติ คนก็ไม่สวย วัตถุก็ไม่สวย อะไรมันก็ไม่สวย จะดูความมั่นคงของคน คนก็ไม่มีความมั่นคง ทุกคนก็แก่ไปทุกวัน ทุกคนก็ต้องตาย

วัตถุก็มีการทรุดโทรม ร่างกายเราก็ตาย ร่างกายเราก็เป็นวัตถุส่วนหนึ่ง อันนี้จิตใจไม่ผูกพันมันในลักษณะนี้ จึงตัดสินใจว่า การอยู่ตรงนี้เต็มไปด้วยทุกข์เวทนา ถอยออกจากร่างกายดีกว่า ก็เลยถอยออกจากร่างกาย อย่าลืมนะว่า ส่วนใดของหมวดที่ ๓ และหมวดที่ ๒ สอนคนอื่นเขาได้ ตัวเองก็ต้องทนได้

ถอยออกจากร่างกาย เข้าไปกราบพระท่าน ก็มีพระอยู่พระใหญ่ ๒-๓ องค์ จริง ๆ แล้ว ๒ องค์ ท่านอยู่เป็นประธาน แล้วต่อมาท่านก็มาอีก รวมทั้งหมดเป็น ๒๘ องค์ กราบท่าน ก็คุยกับท่านว่า สถานที่นี้เต็มไปด้วยความสุขสำราญ สุขไม่มีทุกข์ อารมณ์เบาต่างๆ ท่านก็ยอมรับ

ก็กราบเรียนถามท่านว่า อยากจะอยู่ตรงนี้
ท่านก็ตอบว่า เธอน่ะ มีสิทธิ์อยู่แน่ แต่กาลเวลายังไม่ถึง ขอให้ถึงกาลเวลาก่อน
ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่ได้รุกล้นเวลา ตามที่ปรารถนาก็คิดว่าถ้าบังเอิญร่างกายมันพังวันนี้ ก็ขออยู่บนนี้
ท่านก็ยอมรับ ท่านบอกว่าร่างกายมันพังจริงก็อยู่ได้เลย แต่ฉันคิดว่ามันจะไม่พัง

ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าร่างกายมันจะต้องดีขึ้น
งานข้างหน้ายังมีอยู่มาก งานที่ให้ทำยังมีอีกเยอะ ต้องทำเพื่อความสุขของบรรดาปวงชนผู้นับถือพระพุทธศาสนา เวลาเขาเข้ามาในเขต
๑. ให้มีความสุขตามสมควร ประการที่ ๒. เป็นการช่วยกำลังใจให้เกิดความเลื่อมใส
อันนี้มีความจำเป็นต้องทำ ที่ให้เธอทำเพราะ เธอมาจากพุทธภูมิ งานนี้เป็นงานของพุทธภูมิ เธอต้องรับภาระ

ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ภาระอันนี้รับมานานแล้ว ไม่เบื่อ พร้อมที่จะทำ แต่ขอให้ร่างกายดี
ท่านก็ยืนยันบอกว่า ร่างกายต้องดี จากนี้ไปมันมีทุกขเวทนาเครียดอีก ๒-๓ วัน
ท่านบอกเลย อาการอย่างนี้จะปรากฏอีก ๒-๓ วัน เมื่อถึงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๒ อาการจะคลายตัว หลังจากวันที่ ๑๖ ไปแล้วจะคลายเรื่อย ๆ ไป

แต่คำว่า หายเลย มันยังไม่หาย เพราะว่า กฎของกรรมยังมีการบังคับอยู่ จึงอยู่ในขอบเขตแต่เบาขึ้น ก็ชื่นใจ คุยกับท่านครู่หนึ่ง ก็หันมานั่งอยู่ที่บ้านพักเห็นบ้านพักเต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม มันสวยมากขึ้นกว่าเก่าเยอะ มีอาการวิจิตรพิสดารมาก ก็มีความสดชื่น มีความสุข มีความสงัด เดินไปดูหลังโน้นก็ดี ดูหลังนี้ก็ดี ดูบริเวณก็ตาม มันมีแต่ความสุขสงัด

เวลานั้นก็ปรากฏว่า มีคนหลายคนในแดนนั้น เปล่งปลั่งสวยสดงดงาม ผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้างต่างก็มาเยี่ยม เขาไม่ได้มาเยี่ยมใคร เขามาเยี่ยมความมุ่งหมายอันดับสุดท้าย เขาดีใจว่าอันดับสุดท้ายจะได้อยู่ที่นี่เหมือนกัน เพราะเขาอยู่ในเขตนี้

ท่านพวกนี้ก็เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นภรรยาเก่าบ้าง เป็นพี่น้อง เป็นน้องบ้าง เป็นลูกบ้างเยอะแยะ ทุกคนมีความสุข
สักประเดี๋ยวหนึ่งก็ปรากฏว่า พระท่านมาตั้ง ๒ องค์ ท่านมาถึงก็ประทับบนแท่น แท่นนี่ไม่ได้ตั้งไว้นะบรรดาท่านพุทธบริษัท ในแดนนั้นมีอะไรพิเศษอย่างหนึ่ง ถ้าสิ่งใดที่ควรสิ่งนั้นมันจะเกิดเอง ทันทีทันใด อย่างถ้าจะนั่งตรงไหน เราจะนั่งกับพื้นนี่ เขาบอกว่าไม่ควร ต้องมีแท่นรับ แท่นจะขึ้นมารับ

เมื่อท่านมาถึงท่านก็บอกว่า เราไปเที่ยวสำนักพระยายมกันเถิด เพราะเวลานี้มีบุคคลสำคัญที่เราจำเป็นต้องช่วย ไปอยู่ที่นั่น ถามท่านว่า ใคร ท่านบอกว่า ไปเถิดฉันจะไปด้วย
ก็เป็นอันว่า ทั้งหมดก็ยกขบวนกันมาสำนักพระยายม มาถึงก็ปรากฏว่า คณะท่านท้าวมหาราช ท่านมาเตรียมอยู่แล้ว
พอเข้าไปถึงที่นั่น ท่านพระยายมท่านก็ละงานของท่าน ออกมารับพระ แล้วท่านกราบ แล้วท่านก็รายงานบอกว่า วันนี้มีคนสำคัญ ๒ คน ที่ท่านเข้ามาในสำนักของท่าน แต่ความจริงไม่น่าจำเป็นจะต้องผ่าน แต่ก็ต้องผ่าน เพราะเกิดอุปกิเลส
ถามท่านว่าใคร ท่านก็บอก ประเดี๋ยวก่อน

ท่านก็สั่งเจ้าหน้าที่บอกไปนำคนนั้นเข้ามา ลัดคิวมาเลย ไม่ต้องรอคิว การสอบสวนนั้นเขาต้องรอคิว บุคคลนั้นเข้ามาก็ปรากฏว่าเป็นคนหนุ่ม หนุ่มมาก อายุประมาณ ๒๐ ปีเศษ ๆ เป็นคนขาวโปร่ง หน้าตาดี
ถ้าเดา ๆ นะ ความจริงถ้าไม่เจอะหน้าก็จะเดา คิดว่ามีเชื้อจีนนิด ๆ แต่ดูพ่อดูแม่ของเธอก็เป็นคนขาว เป็นคนโปร่ง คงไม่ใช่เชื้อจีน พอเข้ามาถึงแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่ทำการสอบสวน ไม่เหมือนคนอื่น เขาส่งมาให้พระยายมเลย

พระยายมก็ส่งออกมานอกคอก ที่พวกเรานั่งกัน พระท่านนั่งกัน เธอก็ก้มลงกราบพระ แล้วก็มากราบอาตมา และกราบทุก ๆ ท่าน กราบรวม ที่มาอยู่ที่นั้น เพราะที่นั่นตั้งแต่จาตุมหาราชขึ้นไปเป็นเทวดาทุกชั้น

พระยายมท่านก็ถาม ท่านบอกว่า เธอน่ะ เวลาตายไม่ได้นึกถึงพระรึ
เธอคนนั้นก็ตอบว่า ไม่ได้นึกถึงขอรับ
ท่านถามว่า ทำไมจึงไม่นึกถึง ก็เธอตั้งใจจะเป็นพระใช่ไหม
เธอก็ตอบว่า ตอนต้นตั้งใจจะเป็นพระครับ

ก็เลยถามทวนถอยหลัง อาตมาถามแทรกนิดหนึ่ง บอกว่าขอให้เธอเล่าประวัติความเป็นมาซิ
เธอก็เล่าประวัติความเป็นมาว่า เธอมีอายุ ๒๓ ปี ตั้งใจจะบวช พ่อกับแม่เตรียมเครื่องครบชุดแล้ว อีก ๒ วันจะถึงพิธีเข้าอุปสมบท เธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะบวชสัก ๑ พรรษา เป็นอย่างน้อย หรือมิฉะนั้นก็ถึง ๓ พรรษา

ถ้าสามารถบวชได้ตลอด ก็จะบวชตลอด พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ที่กะไว้น้อย ก็หมายความว่า กะไว้น้อย จะตั้งหน้าตั้งตาทำความดีให้มาก คิดว่า พรรษาแรก จะเป็นพรรษาฝึกฝนตนเอง ให้ตั้งอยู่ในขอบเขตของพระธรรมวินัย ถ้าสามารถทรงตัวได้ ก็จะอยู่ถึง ๓ พรรษาไป แล้วถ้าไม่สึก จิตใจเต็มเปี่ยมเต็มใจในการอยู่ มีธรรมปีติพอสมควร ก็จะอยู่ตลอดชีวิต เธอตั้งใจไว้อย่างนั้น

แต่ว่าก่อนจะตายจริง ๆ ออกไปทางหลังบ้าน ไปเพื่อจะหาเพื่อน เวลานั้นถูกงูเห่ากัด งูเห่ากัด พิษมันแล่นเข้าทางกาย มันเจ็บปวดมาก เธอบอกอย่างนั้น ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงอะไรเลย อาการที่คิดว่าจะบวช ก็ไม่ได้นึกถึง พระก็ไม่ได้นึกถึง มันมีแต่ปวดอย่างเดียว ในเมื่อมันมีแต่ปวดอย่างเดียว รักษาเท่าไรก็ไม่หาย ในที่สุดไม่ช้าก็ตาย ไม่ทันข้ามคืน เธอก็ตาย

เวลาที่ตายก็ปรากฏว่า พบคน ๔ คน นุ่งแดง ห่มแดง เธอก็ชี้ไปที่เทวดา ๔ องค์ ก็เลยบอกว่า ท่านทั้ง ๔ องค์นี้ไปรับครับ เวลาไปรับท่านก็รับด้วยดี ให้เดินตามมาเฉย ๆ ไม่มีการบังคับ ไม่มีการข่มเหง มาถึงก็มารอ การสอบสวนอยู่ที่นี่ ๓ วันของมนุษย์ แล้วพระคุณเจ้าก็มา วันนี้ผมดีใจมาก จิตใจผมอยากจะบวชพระ แต่ผมก็ไม่ได้บวช

แต่วันนี้ผมมีโอกาสได้มนัสการพระที่มีความสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาถึง ๒ องค์ ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ตัวอาตมานะ มีพระอีก ๒ องค์ ที่มีความสำคัญมากในพระพุทธศาสนา เธอหันไปกราบ พระท่านก็ยิ้ม แล้วเธอก็บอกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะนำไปไหน ก็พร้อมจะไปขอรับ ในเมื่อได้มีโอกาสได้กราบพระที่มีความสำคัญตามความตั้งใจแล้ว

พระยายมท่านก็บอกว่า อานิสงส์ในการบวชของเธอมี การเข้ามาที่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปนรกทุกคน เป็นดินแดนที่ช่วยคนไม่ต้องการให้ลงนรก
ถ้าใครคนใดคนหนึ่งนึกถึงบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้แต่อย่างเดียวได้ ที่นี่ก็ปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน

หลังจากนั้น พระยายมก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปหมดภาระของฉัน หน้าที่แห่งการควบคุมเธอไม่มี ต่อนี้ไปเธอเป็นอิสระ ไปได้ตามกำลังบุญของเธอ บรรดาท่านพุทธบริษัท พอพระยายมพูดเท่านั้น ร่างกายของเธอเปลี่ยนทันที เปลี่ยนจากความเป็นคนเป็นเทวดา มีความสวยสดงดงามมาก มีชฎาแหลมเปี๊ยบ ทรวดทรงดี หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมีความสดชื่น

หลังจากนั้นไป ก็มีเทวดา ๔ องค์ ๔ องค์ต่างหาก แต่งตัวงามมาก มีชฎาพร้อมแพรวพราวเป็นระยับ ก็นำเธอไปส่งที่วิมานของบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เวลานั้นพระท่านก็ไปด้วย ทุกคนก็ไปเทวดาก็รู้สึกแห่ไปเป็นขบวน วิมานของเธอกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีความสวยสดงดงามเป็นพิเศษ

หลังจากนั้นเมื่อกิจการเรียบร้อยแล้ว พระท่านก็กลับ
ถามพระท่านบอกว่าคนที่คิดจะบวช แต่เขายังไม่ได้บวช อารมณ์นี้เป็นมหากุศลใช่ไหม
ท่านก็ตอบว่าใช่
กราบเรียนถามท่านว่า อานิสงส์การอุปสมบทบรรพชาเขาจะได้ไหม
ท่านก็ตอบว่า อานิสงส์อุปสมบทบรรพชานี้ เขาได้สมบูรณ์แบบ

กราบเรียนท่านว่า ด้วยความสงสัยจริง ๆ ความสงสัยจริง ๆ ไม่ได้พูดกับท่านนะ นี่พูดให้ท่านทั้งหลายฟังว่า อาตมานี่สงสัยว่าคนมันยังไม่ได้บวช จะได้อานิสงส์บรรพชาครบถ้วนเหมือนคนบวชไหม
ท่านบอกว่า ได้ครบ เขาตั้งใจว่าจะบวช แล้วเขาก็มีการเตรียมการแล้วทุกอย่าง ตลอดกระทั่งการตัดสินใจ

เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าบวชปีแรกจะทำให้ดีที่สุด ถ้าดีสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว จะอยู่ให้ครบ ๓ ปี ถ้า ๓ ปี ดีสมบูรณ์บริบูรณ์แล้วจะอยู่ตลอดชีวิต เขาตัดสินใจเด็ดขาดนี่ถือว่าบวชใจแล้ว บวชแต่ร่างกาย แต่ใจไม่บวชนี่ ลงนรกนับไม่ถ้วน แต่คนที่บวชใจ ร่างกายยังไม่บวชไปสวรรค์ ไปนิพพานนับไม่ถ้วนเหมือนกัน เมื่อท่านตรัสอย่างนั้นก็หมดสงสัย

ก็รวมความว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องนี้ก็ไม่ต้องคุยกันมาก เป็นแต่เพียงบอกว่า คนที่ตั้งใจจะทำบุญ ทุกคนตัดสินใจแล้วว่า ทำบุญ อานิสงส์ย่อมได้ อย่าง เปสการีธิดา เธอทำบุญแล้ว คนนั้นทำบุญแล้ว แต่ สาตกีเทพธิดา เตรียมแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำบุญ ตายจากความเป็นคนเป็นนางฟ้าทันที มีวิมานอยู่ทันที

สำหรับคนที่ตั้งใจจะบวชก็เหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท เขาพร้อมแล้วในการบวช ไม่ใช่สักแต่คิดว่าจะบวช และการบวชไม่ได้บวชตามประเพณี การบวชตามประเพณีนี่ไม่แน่ในอานิสงส์ ตัดสินใจตามนี้แล้ว พระท่านบอกว่า อานิสงส์สมบูรณ์แบบ นี่เป็นรายที่หนึ่ง

ต่อมาพระท่านก็บอกว่า กลับไปที่เดิมใหม่ ไปที่สำนักพระยายม ก็กลับมาอีก เวลานี้เวลาเหลืออีก ๘ นาที บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อถึงแล้ว พระยายมก็รายงานบอกว่า ยังมีคนที่มีความสำคัญอีกคนหนึ่ง ก็เรียนถามท่านบอกว่า เธอคนนั้นเป็นใคร

ท่านก็นำ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ขาวโปร่ง รูปร่างหน้าตาดี อายุ ๔ ขวบ ออกมา ท่านบอกว่า เด็กหญิงคนนี้ เป็นโรคท้องร่วงตาย ตายเมื่อวานนี้เอง เพิ่งตายใหม่ ๆ อยู่ไม่ไกลนัก ถามท่านบอกว่า มีความสำคัญอย่างไร ท่านบอกว่า เป็นหน้าที่ของพระท่านจะบรรยาย

เมื่อนำเด็กหญิงคนนี้มาแล้ว เด็กหญิงคนนี้มาก็เข้าไปไหว้พระท่าน เธอไหว้เรียบร้อยจริยาดีมาก สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แล้วหันมาไหว้อาตมา พร้อมกับไหว้เทวดาทั้งหลาย
หลังจากนั้นก็ถามเด็กหญิงคนนั้นว่า หนู เกิดที่ไหน
เธอก็ตอบว่า เกิดไม่ไกลจากวัดท่านเท่าไรเจ้าค่ะ ระยะทางไม่เกิน ๑๐๐ กิโลเมตร
ความจริงเธอบอกจังหวัด บอกบ้านที่อยู่เหมือนกับบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่าตามระเบียบ เสียงมาบอกว่า สงวนไว้ อย่าบอกที่อยู่แน่นอน เราไม่ใช่พระโมคคัลลาน์

ก็เป็นอันว่า ถามว่า หนูเป็นโรคอะไรตาย
เธอบอกว่า เป็นโรคท้องร่วงตาย
ถามว่า หนู ขณะที่ตาย หนูคิดอะไร
เธอตอบว่า หนูเคยไปถวายสังฆทานกับแม่ หนูเคยไปเจริญกรรมฐานกับแม่

พอเธอพูดเท่านี้ก็ตกใจ แล้วนึกขึ้นมาได้ นึกเป็นภาพเด็กเล็ก ๆ อายุประมาณ ๔ ปี ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ทำงานทุกอย่างทุกสิ่งเรียบร้อยมาก แต่ทุกอย่างที่ทำออกมาและทุกอย่างปกติหมด ไม่มีอะไรต้องเตือนกัน ยังคิดว่าหนูน้อยคนนี้ทำไมอายุน้อยนัก

ก็ถามว่า เวลาหนูจะตายหนูคิดอะไร
เธอบอกว่า ขณะก่อนป่วย ชอบเจริญกรรมฐาน ไปเที่ยวโน่นไปเที่ยวนี่ แต่เวลามันป่วยจริง ๆ ก็นึกไม่ออก ท้องมันเดินมาก มันร้อนในท้อง แล้วก็ปวดท้องมาก จิตก็คิดอยู่แค่ปวดท้องอย่างเดียว เมื่อถึงเวลาจะตาย ได้ยินเสียงตึงตังโครมครามตกใจนิดหนึ่ง จิตก็ออกจากร่าง เห็นลุงทั้ง ๔ องค์ไปยืนยัน ลุงคนหนึ่งจำนวน ๔ องค์เขาอุ้ม บอก หนู ไปกับลุงเถิด ลุงจะมารับไป ลุงใจดี ลุงอุ้มหนู หนูก็กอดคอลุง ลุงก็นำมาหาลุงใหญ่ แล้วลุงใหญ่ให้ไปพักตรงโน้น ในกลุ่มคน กลุ่มคนที่พัก ไม่ใช่พักแบบทรมานคือไม่มีโซ่ ไม่มีตรวน เป็นอิสระทุกอย่าง มีความสุขพอสมควร แต่ไม่มีอาหารการกิน

ก็ถามพระท่านว่า เด็กคนนี้มีความสำคัญหรือ
ท่านบอกว่า มีความสำคัญมาก เพราะเด็กคนนี้ถ้าอยู่ต่อไปเบื้องหน้า ถ้าอยู่เป็นมนุษย์นะ ก็จะสามารถตัดสังโยชน์ ๕ ได้

ฟังแล้วอายเด็กว่า ไอ้หนูน้อยตัวเล็ก ๆ เท่านี้ ต่อไปเบื้องหน้า เธอจะตัดสังโยชน์ได้ รูปร่างหน้าตาเธอก็สวย ทรวดทรงก็ดี แต่ว่าที่จำเป็นต้องตายนี้ เพราะบุญช่วยให้ตาย พอท่านตรัสแบบนั้นก็ตกใจ
จึงกราบเรียนถามว่า เป็นเพราะอะไร บุญช่วยอาจจะมีชีวิตอยู่นาน
ท่านก็บอกว่า บุญช่วย บุญ คือที่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้ มันมี ๒ ประการ คือว่า
๑. อานิสงส์เต็มพร้อมในการตัดสังโยชน์ และประการที่สอง เธอขาดอธิษฐานบารมี ถ้ามีอธิษฐานบารมี หวังตั้งใจเพื่อนิพพานมาในชาติก่อนไว้เสมอ ๆ เธอจะยังไม่ต้องตาย เพราะว่าเธอจะสามารถอยู่ ตัดสังโยชน์ได้ แต่ว่าเธอขาดอธิษฐานบารมี

ในเมื่อขาดอธิษฐานบารมี รูปร่างหน้าตาเธอก็สวย ทรวดทรงก็ดี จริยาก็เรียบร้อย ฐานะบิดามารดาก็ดี ย่อมเป็นที่ต้องตาต้องใจของคน ฉะนั้นกามคุณสามารถจะเบียดเบียนเธอ ซึ่งจะไม่สามารถมีโอกาสเข้าตัดสังโยชน์ได้ ในเมื่อบุญใหญ่เห็นว่ามีความสำคัญอย่างนี้เข้ามาตัดให้เธอตาย ถามว่า เธอตายเสียแล้ว เธอสามารถจะตัดสังโยชน์ ๕ ประการใช่ไหม

ท่านก็บอกว่า ตัด ๕ ได้แล้ว ก็ตัด ๑๐ ได้ด้วย เพราะอะไร เพราะการเกิดเป็นเทวดาหรือเป็นพรหม หรือเป็นนางฟ้าก็ตาม มีโอกาสที่จะบำเพ็ญกุศลต่อ เทวดากับพรหมนี่ฟังเทศน์จากพระอริยเจ้าก็ตาม ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าก็ตาม บรรลุมรรคผลนับไม่ถ้วน มากกว่าคน เด็กคนนี้ตายเพราะกำลังกุศลสนับสนุน จึงมีความจำเป็นต้องมารับ และการมารับวันนี้ก็มาครบถ้วน

อย่างฉัน เป็นต้นศาสนา (ตัวท่านนะ ไม่ใช่อาตมานะ) ก็มารับ พระอริยสาวกที่เป็นอรหันต์ก็มามาก เป็นอาตมาก็มีเยอะ เป็นสกิทาคามีก็เยอะ เป็นโสดาบันก็เยอะ เป็นเทวดา หรือพรหม ฌานโลกีย์ก็มาก รวมความว่ามาพร้อมกันทั้งหมด อย่างนี้บุญเธอใหญ่จึงต้องมากัน ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าก็ตาม เป็นเทวดาก็ตาม เธอต้องเป็นนางฟ้า บุญบารมีนี้จะส่งผลให้เธอเป็นคนที่ไม่ประมาทจะสามารถปฏิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาพูดถึงเรื่องความตายอีก แต่ตายดี คนแรกตั้งใจจะบวช ตายแล้วก็ดี เด็กน้อยคนนี้แม้จะเป็นเด็กเล็ก เคยเห็นถวายสังฆทานเป็นปกติ มากับแม่ ขอเดี่ยว หมายความว่า ต้องขอเป็นอิสระ พ่อกับแม่ถวายแล้ว เธอต้องถวายเป็นส่วนตัว และเด็กหญิงคนนี้เจริญกรรมฐานคล่องมาก เคยเรียกมาถาม จำหน้าได้ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ไม่เกิน ๑๐๐ กิโลเมตร

เคยเรียกมาถามเธอ เวลานั้น มีวันหนึ่ง มีคนเขาเกิดสงสัย ในการเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นสวรรค์ นรก สงสัยสวรรค์ นรก พรหมโลก ตายแล้วมีเกิดจริงไหม ก็เลยเรียกเด็กคนนี้มาถาม เธออธิบายได้คล่องมาก ถามเธอถึงเรื่องวิธีปฏิบัติ เธอได้อะไรบ้างเล่าให้ฟังซิ เธอก็เล่าให้ฟัง ตามที่เธอพบมาทุกอย่างเป็นเหตุให้ผู้ใหญ่คนนั้น หรือคณะนั้น หมดสงสัย หรือเพิ่มสงสัยก็ไม่ทราบ

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง จะพูดต่อไปก็ไม่ไหวแล้ว ขอทุกท่านถือว่า การปฏิบัติตามที่ผ่านมาแล้วนี่นะ เรื่องที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นประโยชน์ หากท่านจะนำไปใช้บ้างก็จะดี ในที่สุดนี้เวลาเหลือไม่ถึงครึ่งนาที บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

((( โปรดติดตามเล่มต่อไป )))

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ