นิยายเรื่องที่ ๒ "ทายกันทำไม..กรรม"
APINYA-6 - 3/6/09 at 18:33

ทางทีมงานต้องขอโทษด้วย "เรื่อง เจ้าอาวาสวัด..........." ที่จะต้องลบกระทู้นี้ออกไป เนื่องจากท่านผู้ถามได้ถามเรื่องของสำนักอื่น

ทีมงานเว็บวัดท่าซุง


webmaster - 18/8/10 at 05:53

.........หลังจากได้ลบกระทู้นี้ออกไป สมาชิกที่โพสหายเข้ากลีบเมฆไปเลย พอดีติดค้างสมาชิกเวปวัดท่าซุงอยู่ ๒ ท่าน คือ คุณ tappitak และ คุณเพียงลมหายใจฯ ที่เคยฟังนิยายเรื่อง "นกพิลาปเป็นเหตุ" มาแล้ว ต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องที่ ๒ ที่ท่านสมาชิกทั้งสองอยากฟังต่อ คือ เรื่อง....."ทายกันทำไม..กรรม ?" (ย้อนอ่านเรื่องที่ ๑)

"ทายกันทำไม..กรรม ?"

บอกเล่าโดย.."ทิดถึก"

"ทายกันทำไม..กรรม ?" อ้าว..ตั้งชื่อแบบนี้แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ ใจเย็นๆๆ อ่านต่อไปเถอะ อย่าทำเป็นคนขี้สงสัยเลย ประเดี๋ยวจะช่วยคลายให้หายสงสัยเองน่า แล้วเก็บเรื่องนี้ไว้กี่ปีแล้วละ โอ๊ย.นานแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ กี่ปีแล้วละ ถ้าเป็นคนเห็นจะอายุได้ ๓๐ กว่าปีแล้วละ แล้วเก็บเรื่องนี้ไว้ทำเกลืออะไรล่ะ คนเค้าสงกะสัยกันทั่วเมือง อ้าว..แล้วไม่ถามอ่ะ จะไปประจานเค้าได้งัย เอาเถอะๆ อย่าพูดมากเลย..เล่าต่อไปได้แล้ว..!

อตีตา กาเล..ขยับแบบเดิมอีกนะว่า กาลครั้งหนึ่งยังมีหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง อยู่ไกลจากเมืองหลวงประมาณ ๒๐๐ กว่าก.ม. มีชาวบ้านอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุที่ผู้ใหญ่บ้านคนนี้เป็นคนดี ได้ปกครองดูแลลูกบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ใครทำดีก็ยกย่องสรรเสริญ คนไหนทำเลวก็ตักเตือน พร้อมกับสั่งสอนอรรถธรรมไปด้วย เป็นคนพูดจาไพเราะน่าเชื่อถือ อนุเคราะห์เกื้อกูลคนในหมู่บ้านด้วยความเมตตา จึงมีชื่อเสียงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านทั่วไป ต่างให้ความเคารพนับถือไปทั่วทั้งเขตแดนก็ว่าได้ ผู้ใหญ่บ้านคนนี้มีบุคคลิกดีน่าเลื่อมใส จนมีบุคคลต่างๆ ใคร่จะได้พบปะสนทนาด้วย เพราะผ่านประสบการณ์มามาก มีความรู้ทั้งคดีโลกคดีธรรม

จนมีอยู่วันหนึ่งประมาณ ปี ๒๕๑๗ ผู้ใหญ่คนนี้ได้เดินทางไปทำธุระที่เมืองหลวง แล้วไปพักที่บ้านแห่งหนึ่งที่นับถือกัน ในวันนั้นได้มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งมาหา เป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง พร้อมกับเชิญผู้ใหญ่บ้านไปร่วมงาน เพราะกำลังจะจัดงานวางศิลาฤกษ์สร้างสถานที่แห่งหนึ่ง โดยสุภาพสตรีท่านนี้เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ได้ยกให้แก่บุคคลกลุ่มหนึ่งแถวปทุมธานี

ตอนนี้จะขอเล่าถึงบุคคลกลุ่มนี้ก่อน มีหัวหน้ากลุ่ม ๒ ท่าน ทั้งสองนี้เคยเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ต่อมาได้พบกับอุบาสิกาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ท่านหนึ่ง มีนิวาสถานอยู่แถวปากคลอง สำเร็จวิชาการชั้นสูง มีตาทิพย์หูทิพย์ มีฤทธิ์มีเดชพอสมควร ต่อมาบัณฑิตทั้ง ๒ ท่านนี้ได้มาพบ จึงเกิดความเลื่อมใสนับถืออุบาสิกานี้เป็นอาจารย์ เมื่อบัณฑิตทั้งสองได้รับมอบที่ดินนี้จากอาจารย์ท่านนี้แล้ว เตรียมจะสร้างศาลาเป็นที่อบรมธรรม แต่ได้รู้ข่าวว่าเจ้าของที่ดินไปเชิญผู้ใหญ่บ้านท่านนี้มาร่วมงานก็ไม่พอใจ เกรงว่าเจ้าของที่ดินจะเปลี่ยนใจยกให้ผู้ใหญ่บ้านผู้เป็นอาจารย์ จึงคิดที่จะขัดขวางไม่ให้ผู้ใหญ่บ้านเดินทางมาร่วมพิธีนี้ได้

ดังนั้น ก่อนที่จะถึงกำหนดการเดินทางในวันรุ่งขึ้น ในคืนนั้นได้มีการอบรมธรรมกัน หลังจากนั่งกรรมฐานเสร็จแล้ว ในตอนนี้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน "ชาติไว" ได้นั่งอยู่ด้วย (ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นผู้ช่วยฯ) ได้ยินเสียงผู้ใหญ่บ้านเล่าว่า เมื่อกี้นี้ในระหว่างที่นั่งหลับตากันอยู่ ท่านพรทิพย์ ท่านพวงทิพย์ ท่านเกษแก้วมณี และท่านพรสวรรค์ ซึ่งเป็นลูกทั้ง ๔ ของท่านในอดีต (ท่านบอกว่าชุดนี้มีหน้าที่ปราบผี) ได้มาแสดงเป็นกายทิพย์เข้ามารายงานว่า ขณะนี้ได้จับผีที่มีคนปล่อยมาทำร้ายไว้ได้แล้ว ตอนนี้ทุกคนปลอดภัยแล้ว ผู้ใหญ่บ้านจึงถามว่าแล้วใครปล่อยมาล่ะ

ท่านทั้ง ๔ จึงได้รายงานว่า วันพรุ่งนี้ท่านจะเดินทางไปร่วมงานวางศิลาฤกษ์ไช่ไหม อาจารย์ที่เป็นอุบาสิกาคนนั้นเขาไม่อยากให้ท่านไป จึงได้ปล่อยผีมาขัดวาง เพื่อทำร้ายให้ป่วยหรือตาย จนไม่สามารถเดินทางไปได้ไงล่ะ พวกเราที่นั่งอยู่หลายคนได้ฟังจึงเข้าใจ แล้วชุดปราบผีทั้ง ๔ ท่านก็ได้กล่าวต่อหน้าบิดาในอดีตว่า ความจริงผีพวกนี้น่าสงสารครับ มันบอกว่าเขาเลี้ยงไว้แล้วบังคับให้มาทำร้าย จำเป็นต้องทำตามคำสั่งเขา ไม่งั้นเขาก็ลงโทษ ผีมันรายงานอย่างนี้นะ

แล้วท่านทั้ง ๔ จึงบอกว่า ถ้าเขามาด้วยความจำเป็น อย่างนี้ถือว่ายังน่าให้อภัย จึงได้ถอนอาคมปล่อยให้มันเป็นอิสรภาพ โดยไม่ต้องตกเป็นทาสรับใช้เขาอีกต่อไป (เรื่องนี้ภายหลังก็ไม่ทราบว่า คนที่เลี้ยงผีไว้ใช้คนนั้น จะแค้นใจแค่ไหน นอกจากผีที่ปล่อยไปทำร้ายไม่ได้ตามคำสั่ง แล้วยังปล่อยผีของตนไปอีก แล้วเราจะเอาผีที่ไหนไว้ใช้อีกนะเนี่ย...)

ครั้นถึงวันรุ่งขึ้น ตามธรรมดาของชายชาติทหารอย่างผู้ใหญ่บ้าน ท่านจึงได้เดินทางไปเหยียบถ้ำเสือแบบไม่กลัวเกรง เพื่อจะให้เจ้าถิ่นเขารู้ว่า..ถึงยังไงก็สกัดข้าไม่ได้ดอกเฟ้ย..! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ลองขยับเข้ามาฟังเสียงผู้ใหญ่บ้านเล่าเองดีกว่า.....

เทศน์อบรมพระเข้าพรรษา ประจำปี 2520


(กดปุ่ม play แล้วรอสักครู่ ถ้ายังไม่มีเสียง ให้กด play ปุ่มซ้ำ)


ต่อมาภายหลังคนกลุ่มนี้ก็มีปัญหากับเจ้าของที่ยกที่ดินให้ แล้วได้เปลี่ยนชื่อจากเดิมมาเป็นชื่อที่เห็นอยู่เวลานี้ ใครไม่เชื่อลองไปย้อนสืบประวัติดูซิ ว่าสถานที่แห่งนี้ก่อนปี ๒๕๑๗ มีชื่อว่าอะไร จนถึงปัจจุบันคนกลุ่มนี้ก็สร้างสถานะภาพเป็นวงกว้าง มีการจัดสรรบุคคลากรวางแผนเข้าหามวลชน ด้วยระบบจัดการหาแนวร่วมแบบลูกโซ่ เพื่อจะหาสมาชิกให้มากไปทั่วเขตแดน

ความจริงสถานที่แห่งนี้เขาวางกฎระเบียบแบบแผนเบื้องต้นดี ทำให้เยาวชนทั้งหลายมีจริยธรรมที่ดี มีชาวบ้านในหมู่บ้านและในเมืองหลวง ต่างเดินทางไปร่วมกิจกรรมกันมากมาย แต่ภายหลังมีชาวบ้านบางคนเริ่มรู้ประวัติความเป็นมา พอจะทราบว่าเขาเคยคิดมุ่งร้ายอาจารย์ของตนเองมาก่อน จึงได้ละเลิกไม่ไปร่วมกิจกรรมต่างๆ อีกเลย

นิยายเรื่องนี้จบลงด้วยดี ต่างคนต่างอยู่ ต่างทายกันทำไม..กรรม ? อ้าว..ก็อย่าไปสนใจใครไง กรรมของใคร..กรรมของมัน ไม่ต้องไปทายใครดอก ขอให้รู้เท่า...รู้ทันเขาก็พอจะเอาตัวรอด ถ้ายังนึกบ่ออกอยู่ ข้อย..ทิดถึก..ก็ช่วยบ่ได้เด้อ..!!!

☼ อ่านรายละเอียดได้ที่นี่
- http://rabob.tripod.com/daily105.htm
- http://www.nutthnet.com/forum/topic.php?id=356
- http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/08/Y6942447/Y6942447.html


เพียงลมหายใจเข้า-ออก - 18/8/10 at 09:27

โมทนาค่ะ แต่พออ่านเรื่องนี้จบลง จำได้ว่าเคยฟังอยู่ในชุดปกิณธรรมม้วน ๑ หน้า ๒ ใช่หรือไม่คะ หากไม่ใช่ต้องกราบขออภัยด้วยค่ะ เคยซื้อจากวัดไปแจกให้เพื่อน ๆ ฟังเพื่อเป็นธรรมทานหลายครั้ง