นิยายเรื่องที่ ๑ "นกพิราบเป็นเหตุ" บอกเล่าโดย.. "ทิดถึก"
kittinaja - 11/3/09 at 20:59



(ห้ามนำข้อมูลเหล่านี้ออกไปเผยแพร่)


ประชุมเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2561


...เรื่องนกพิลาบเป็นเหตุ ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่ใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ก็เป็นเหตุให้แตกแยกมาจนถึงปัจจุบันนี้ ด้วยเมื่อปี 2545 ท่านเจ้าคุณฯ เห็นว่า “นกพิลาบ” ภายในวัดมีเยอะเหลือเกิน จึงคิดจะจับไปปล่อย ด้วยการจ้างคนงานภายในวัดรับจ้างจับตัวละ ๑๐ บาท โดยจับมาแล้วใส่กรงไว้ก่อนแล้วนำไปปล่อยทีหลัง

ส่วนหน้าโบสถ์จับยาก ต้องใช้ตาข่ายขึงดักไว้ เมื่อนกบินมาติดก็จับไปปล่อย บังเอิญวันนั้นท่าน...เดินผ่านมาพอดี เห็นนกติดอยู่นาน ด้วยเหตุที่ว่า "สันต์" ไม่ได้มาทำอย่างทุกวัน เนื่องจากวันนั้นติดช่วยงานในป่า จึงมาช้าไป

ท่าน...ไม่เข้าใจ นึกว่าท่านเจ้าคุณฯ ทรมานสัตว์ จึงไปพูดตำหนิเรื่องนี้ต่อหน้าญาติโยม ในขณะสอนมโนมยิทธิภายในวิหารร้อยเมตร จากนั้นก็สั่งให้อัดเทปแจกแก่ทุกคน

พระในวัดหลายรูปไม่พอใจการกระทำเช่นนี้ เหมือนกับประจานท่านเจ้าอาวาสต่อหน้าฆราวาส แสดงถึงความไม่เคารพต่อผู้บังคับบัญชา ผิดหลักการปกครอง จะเป็นเยี่ยงอย่างให้เกิดขึ้นภายหลัง

เรื่องนี้สร้างความทุกข์ใจให้แก่ท่านเจ้าคุณฯ มาก จึงได้นัดประชุมกรรมการสงฆ์ตัดสินให้ออกไปเลย โดยท่านเจ้าคุณเป็นผู้พิจารณาเอง เพราะทำผิดกฏระเบียบวัดหลายกรณีด้วย

ถึงแม้ท่าน...จะอ้างว่าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม แต่ด้วยผิดกฎระเบียบการปกครองที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานวางไว้ คณะกรรมการสงฆ์จึงมีคำสั่งให้ออกจากวัดภายใน ๗ วัน (ขออนุโลมไม่ทำตามที่หลวงพ่อฯ วางไว้ว่าให้ออกทันที)

แต่ท่านก็ไม่ยอมออกไปตามคำสั่ง ท่านเจ้าคุณจึงมีหนังสือให้ ด.ต.พเยาว์ อินทร์ชู (ดาบสอ) ไปจัดการ *(ตามเอกสารแนบ) แต่ท่านก็ไม่ยอมออกไป ท่านเจ้าคุณจึงให้ตำรวจพระในจังหวัดอุทัยธานี ที่เรียกว่า “พระวินยาธิการ” มาจัดการ

ท่านจึงออกไปอยู่ข้างวัดแล้วภายหลังวันเข้าพรรษา ท่านก็ได้มากราบท่านเจ้าอาวาส พร้อมกับขอขมายอมรับผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ความจริง ท่านเจ้าคุณจึงอนุเคราะห์ไปเทถนนทางเข้าให้



...ในกรณีนี้ ขอนำบันทึกของคุณ... (เคยบวชที่วัด) มาเป็นหลักฐาน เพื่อเปิดเผยความจริงกัน โดยผมจะได้ไม่ถูกกล่าวหาแต่ผู้เดียวว่าเป็นผู้ขับไล่ให้ออกไป จากคำพูดของญาติโยมภายหลังที่ไม่เข้าใจ รวมทั้งพระในวัดบางองค์ด้วย อาจเกิดความคลางแคลงใจในพระผู้ใหญ่ แน่นอนถึงแม้จะไม่แสดงออกมา แต่ก็เห็นแนวโน้มต่อไปในอนาคตว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ถ้าพระสงฆ์และญาติโยมแตกเป็นก๊กเป็นเหล่ามากกว่านี้ ดังตัวอย่างในปัจจุบันนี้ สถานการณ์ข้างวัดย่ำแย่ แยกกันสอน แยกกันทำกิจกรรม ผู้คนก็มองหน้ากันไม่สนิท ต่างหวาดระแวงกัน ช่างบังเอิญเหลือเกินเหมือนกับท่านรู้อนาคต หลวงพ่อสมเด็จฯ จึงแนะนำให้ไปอยู่ไกลๆ แต่ก็ไม่ได้ทำตาม เรื่องมันถึงได้เกิดมีขึ้นจนถึงบัดนี้


บันทึก กรณีพระ... วัดท่าซุง

"...วันหนึ่งเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ผมได้รับโทรศัพท์จาก ท่านพระครูปลัดอนันต์ (หลวงพี่นัน) ท่านเจ้าอาวาสวัดท่าซุง ปกติท่านไม่ค่อยได้โทรมา มีแต่เราโทรไปกราบเรียนท่านเวลามีธุระ ซึ่งก็ไม่บ่อย บางที 2-3 ปี ครั้งนึง แต่ก็ได้ไปถวายสังฆทานบ้าง ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ไป

คืนนั้นท่านโทรมาหาก็แปลกใจพอสมควร ท่านได้โทรมาปรารภเรื่องที่ท่านไม่สบายใจ เกี่ยวกับมีพระที่วัดท่าซุง ชื่อพระ... ได้มีการกล่าวหาว่าร้ายท่าน ในหลายๆ เรื่อง

เรื่องที่ท่านโดนข้อหาหนักที่สุดจากท่าน...ก็คือ เรื่องที่ท่านเอาตาข่ายไปกางป้องกันนกพิราบ ไม่ให้มาเกาะและถ่ายรดถาวรวัตถุของวัด ทำให้เกิดความเสียหายและสกปรก การวางตาข่ายป้องกัน ทำให้นกบางตัวมาติดตาข่ายและดิ้นไม่หลุด

ท่าน...ได้นำเรื่องนี้ไปพูดให้ร้ายหลวงพี่นัน ว่าไม่มีความเมตตา ทำทารุณกรรมกับสัตว์ ทำให้มีศิษยานุศิษย์ของวัดท่าซุงที่มีความเคารพในท่าน... ก็เกิดความไม่สบายใจ และบางท่านเกิดความไม่พอใจในท่านเจ้าอาวาส เกิดเป็นกระแสการแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายในวัดท่าซุง



ผมจึงได้แต่กราบเรียนท่านไปว่า ขออย่าเพื่งให้ท่านรีบด่วนตัดสินใจไม่มาที่กรุงเทพฯ เพราะว่าการมาที่นี่เป็นการปฎิบัติที่ทำมาตั้งสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผมขออนุญาตไปคุยกับพี่...ก่อนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

ประมาณ 2-3 วันต่อมา ผมได้เข้าไปกราบเข้าพบหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จวัดสระเกศ ซึ่งได้เข้ากราบพบท่านเป็นประจำอยู่แล้ว หลังจากได้ทำบุญกับท่านเสร็จก็มีพระเลขาท่านได้เข้ามากราบเรียนว่า มีแขกมารอพบหลวงพ่อฯ

ผมเลยกราบขอลากลับ แต่ก็แปลกใจมากเพราะท่านบอกว่า อย่าเพิ่งกลับให้นั่งอยู่ข้างๆ ท่านก่อน ผมก็เลยไม่ได้ลุกไปไหน นั่งอยู่ข้างๆ ท่าน

สักพักก็มีเด็กหนุ่มคนนึงเข้ามากราบท่าน ท่านก็ถามว่ามีธุระอะไร หนุ่มนั่นก็กราบเรียนว่า แกมาจากวัดท่าซุง เป็นลูกศิษย์ท่าน... มาเพื่อที่จะกราบเรียนให้ท่านทราบว่า

เจ้าอาวาสวัดท่าซุงทำทารุณกรรมกับสัตว์ และความไม่ดีต่างๆ นานา และขอให้หลวงพ่อช่วยเข้าไปตัดสินจัดการด้วย

หลังจากเด็กหนุ่มคนนั้นเล่าจบ ท่านก็บอกว่าให้กลับไปก่อน หลังจากเด็กหนุ่มกลับไปแล้ว ท่านก็หันมาทางผมแล้ว ถามว่าเรื่องวัดท่าซุงมันเป็นยังไง ให้เล่าถวายให้ท่านฟัง

ผมเองก็ตกใจว่าท่านทราบได้ยังไงว่าผมพอรู้เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้ไปวัดมานานมาก และไม่เคยรู้เรื่องความเป็นไปในวัดมากนัก และก็ไม่เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องวัดท่าซุงให้ท่านฟังมาก่อน

แต่ท่านกลับถาม เหมือนกับรู้ว่าผมรู้เรื่องนี้ดี ถ้า 2-3 วันก่อนหลวงพี่นันไม่โทรมาหา และมาเล่าให้ผมฟัง ผมก็ไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้เลย

ผมก็เลยกราบเรียนท่านไปว่า บังเอิญจริงๆ ที่หลวงพี่นันท่านเพิ่งโทรมาเล่าให้ฟัง ก็เลยเล่าถวายไปตามที่ได้ฟังมา ท่านก็เลยตอบกับผมว่า

ท่านอนันต์ ท่านทำถูกแล้วที่รักษาฃองสงฆ์ และท่านก็เล่าให้ผมฟังต่อไปอีกว่า ท่าน...เคยมาหาท่าน เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ ท่านก็ถามว่าบวชอยู่กับหลวงพ่อฤาษีมากี่ปีแล้ว ตอนนั้นท่าน...ตอบว่า 5 ปีแล้ว

(หมายเหตุ - คำว่าบวช 5 ปีนี้ ท่านอาจได้ยินไม่ชัดเจน ความจริงน่าจะ 15 ปี เพราะท่าน...บวชปี 2531 ตอนที่ไปพบหลวงพ่อสมเด็จฯ นั้น ปี 2545)

หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านบอกกับผมต่อว่า “อยู่กับหลวงพ่อฤาษี 5 ปีนี่ยังไม่ได้อะไรเลยนะ” ท่านพูดแค่นี้และท่านก็บอกกับผมว่า เรื่องนี้ถ้าใครถามก็ให้บอกไปว่า ท่านยังไม่ตัดสินก็แล้วกัน และท่านก็ยังบอกอีกว่า คุณอนันต์น่ะท่านดีเหลือเกิน

หลังจากนั้นก็ได้ทราบข่าวว่าทางคณะสงฆ์วัดท่าซุงได้ตัดสินให้ท่าน...ออกจากวัด ผมก็ได้ไปกราบเรียนท่านว่า ทางท่าน...ได้ออกจากวัดไปแล้ว แต่ได้มาสร้างวัดอยู่ติดกับวัดท่าซุง ท่านก็ได้แต่พูดว่า

“ให้ไปอยู่ไกลๆ วัดท่าซุงน่ะดี” ท่านพูดแค่นี้.

ข้าพเจ้าขอรับรองว่า เรื่องนี้เป็นความจริง

Chi S.

อ้างอิง - http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2595

หลวงพ่ออบรมพระในโบสถ์
เมื่อวันเข้าพรรษา 17 กรกฎาคม 2532

...เรื่องการอบรมพระ "วันเข้าพรรษา" ในปีนั้น ถ้าใครได้ย้อนฟังแล้ว เหมือนกับท่านจะเตือนไว้ล่วงหน้า เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ในปัจจุบันนี้ สมคล้องกับคำพูดท่านมาก คิดว่าหลวงพ่อน่าจะหยั่งรู้อนาคตในเรื่องนี้มาก่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำที่ท่านใช้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เช่นคำว่า "มลทิน ๙" ในข้อลบหลู่, มายา, โอ้อวด หรือที่ "ท่านจรรยาณี" เทวดาประจำทิศเหนือที่หัวหินมาฟ้องหลวงพ่อฯ ใช้คำว่า จิตเพริศ จิตฟู และอารมณ์เหลิง เป็นต้น

ฉะนั้น การประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ หรือการทำอะไรเลียนแบบท่าน อยู่ในคำพูดของท่านมาก่อนแล้วทั้งนั้น แสดงให้เห็นว่าเทวดาทั้งสี่องค์ที่หัวหินมารายงานหลวงพ่อไว้ไม่ผิด คิดว่าท่านคงเตือนมาถึงปัจจุบันนี้ด้วย

อีกทั้งปี ๒๕๔๕ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศก็พูดตรงกันว่ายังไม่ได้อะไร ตามที่หลวงพ่อฯ เตือนไว้ตั้งแต่พรรษาแรกปี ๒๕๓๒ ว่าเป็นแค่อารมณ์ปีติเท่านั้น

เป็นอันว่า ใครได้ฟังเทปชุดนี้ก็พอจะรู้ว่า เหตุการณ์ตอนนั้นยังไม่เกิดขึ้น เพราะท่านเพิ่งบวชได้แค่พรรษาเดียว แต่หลวงพ่อฯ ท่านพูดดักคอไว้ก่อนล่วงหน้า

เพราะเหตุการณ์ตอนนั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้เป็นจริงดังที่ท่านพูดไว้ก่อนทุกอย่าง คำสุดท้ายถ้าใครปฏิบัติตามนั้น ท่านให้ไล่ออกไปจากนอกวัดทั้งหมด

แล้วก็ควรออกไปให้ไกลๆ ตามที่หลวงพ่อสมเด็จฯ แนะนำด้วย เหมือนท่านจะรู้ล่วงหน้าเช่นกัน ว่ามาอยู่ข้างๆ วัดแล้วปัญหาจะตามมาอีก

โดยที่คนภายหลังไม่สนใจคำเตือนจากคณะกรรมการสงฆ์ ต่างก็โจษจันพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่รักษาระเบียบของวัด พากันชักชวนทั้งพระและคนภายในให้แตกแยกกัน

อ้างเป็นพระอรหันต์แล้วบ้าง อ้างคำเทศน์ที่สอนแข่งกับครูบาอาจารย์เป็นต้น จึงไม่รู้ใครจะต้องขอขมาใครกันแน่ พยายามฟังให้เข้าใจด้วยความเป็นธรรมนะ แล้วจะไม่พลาดไปอเวจีมหานรกเช่นกัน

นี่ถ้าพระสมัยนั้นไม่บันทึกเทปเอาไว้ ป่านนี้คนก็เข้าใจผิดกันไปอีกนาน ดีไม่ดีสร้างความร้าวฉานให้แก่วัดครูบาอาจารย์ของตนเองไปตราบเท่า ๕,๐๐๐ ปีกันทีเดียว