หลวงพ่อเล่าเรื่อง "สหรัฐ" เคยเป็นเมืองพระเจ้าจักรพรรดิ (ข้อมูลเฉพาะสมาชิก)
เพียงลมหายใจเข้า-ออก - 23/5/09 at 20:46

ข้อมูลเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลเหล่านี้ออกไปนอกเว็บโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถือว่าท่านละเมิดของสงฆ์ทันที ท่านจะต้อง Login ก่อนทุกครั้ง




เล่าเรื่องเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๒

ตั้งแต่ ๑๖ เมษายน - ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓

(ลอสเองเจลิส - ชิคาโก)

โดย.. พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


สำหรับการเดินทางครั้งที่ ๒ นี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางร่วมกับ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ พร้อมด้วยคณะครูฝึกมโนมยิทธิ มี กำหนด ๑๕ วัน มีชาวไทยที่อยู่ในสหรัฐสนใจมาร่วมฝึกกันมาก บางคนต้องเดินทางไกลมาจากรัฐอื่นๆ เจ้าอาวาสท่านได้เห็นถึงความมีศรัทธาเช่นนี้ จึงได้เดินทางไปเป็นประจำทุกปี

โดยเฉพาะปีสุดท้ายก่อนที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน จะมรณภาพ ท่านก็ได้เดินทางไปครั้งสุดท้าย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ผู้ที่เคยพบและเคยกราบท่านด้วยความเคารพนับถือ ต่างก็ยังมีจิตศรัทธากันอย่างมั่นคง ผู้เขียนจึงได้มีโอกาสรู้จักกับโยมที่นี่หลายคน

จากการเดินทางวันที่ ๑๖ เม.ย. ๔๓ จึง นับเป็นครั้งแรกในชีวิตของผู้เขียน ที่ได้มีโอกาส มาเยือน เมืองลอสเองเจลิส พร้อมกับ หลวงพี่โอ และ ท่านอาจินต์ ในขณะที่เครื่องลงจอดรันเวย์แล้วเข้ามาถึงชานชาลา พอเดินออกมาข้างนอกก็ ได้เห็นพระอาทิตย์ ทรงกลดสวยเด่นอยู่ท่ามกลางนภากาศ ท้องฟ้าก็แจ่มใสในเวลากลางวัน

พระแต่ละองค์ก็ปลื้มใจ แม้แต่ คุณฉลาด เพชรรัตน์ ไปต้อนรับที่สนามบินก็ได้เห็นด้วย ทรงกลดอยู่นานนับชั่วโมง จนกระทั่งเดินทางไปถึงที่พักบ้านคุณโสมนัส (ต้อย) จิตตนูน แสดงให้เห็นถึงว่า เมืองนี้มีเทพยดาผู้อารักขาอยู่ด้วย

ถ้าจะจำไม่ผิด หลวงพ่อท่านเคยเล่าว่า อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาบางคน ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา เช่น ท่านรูธเวลส์ และ ท่านทรูแมน บางครั้งท่านจะมาต้อนรับหลวงพ่อ ในขณะที่เดินทางอยู่บนเครื่องบิน พร้อมกับฝาก บอกว่า หากใครจะให้ท่านช่วยเหลือ จะบนแค่บุหรี่ซิการ์มวนเดียว ท่านก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ

ในเมือง ลอสเองเจลิส บ้านเมืองสะอาดเป็นระเบียบ บ้านแต่ละหลังจะมีสวนหย่อมอยู่หน้าบ้าน เมืองดูสวยงามน่าอยู่ คนไทยอยู่ในเมืองนี้กันมาก หลังจากพระสงฆ์อยู่ที่นี่ประมาณ ๖ - ๗ วันแล้ว วันที่ ๒๔ เม.ย. ๔๓ จึงเดินทางต่อไปที่เมืองชิคาโก มีการฝึกสอนมโนมยิทธิที่บ้าน คุณหมอสุภรณ์ หล่อพิศิษฐ์ โดยมี คุณ ไพโรจน์ เป็นผู้ประสานงานให้เป็นอย่างดี

เมืองชิคาโกนี้ก็ไม่ธรรมดา ขณะที่คณะของท่านเจ้าอาวาสและคณะครูฝึก จะเดินทางกลับ ในตอนเช้าวันนั้น ฝนจะโปรยลงมาเป็นละออง ด้วย คือ อากาศเปลี่ยนไปไม่เหมือนวันแรกที่มา ถึง จึงคิดว่าน่าจะมีอะไรดีอยู่บ้างในสมัยอดีต จึงขออนุญาตนำบันทึกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน มาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้

บันทึกพิเศษที่ชิคาโก

๑๑ เมษายน ๒๕๓๐ เวลา ๑๔.๑๒ น.

โดย.. หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


ตามบันทึกของท่านได้เล่าว่า สมเด็จองค์ปัจจุบัน ได้เสด็จมาเล่าเรื่อง เมืองชิคาโก ว่า ในบริเวณบ้านสร้างใหม่ของ คุณหมอสุภรณ์ นั้น ถอยหลังไปในสมัย สมเด็จพระพุทธทีปังกร (ย้อนไปเมื่อ ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปที่ผ่านมา)

สมัยนั้น ในอาณาเขตนี้มีเจ้าผู้ครองนคร พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าท้าวอินทราชา ครองเมือง มหาบรมไตรจักรภพ พระราชฐานตั้งห่างจากบ้านนี้ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ ๒ กิโลเมตรพอดี พระองค์ทรงมีพระราชโอรสองค์ หนึ่ง ทรงพระนามว่า “นวราชบรมจักรพรรดิ”

พระเจ้านวราชบรมจักรพรรดิได้ทรงเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๒๑ ปี ๓ เดือน (ผู้เขียนขอแทรกนิดว่า ตำแหน่งพระเจ้าจักรพรรดิจะเกิดขึ้นแก่ผู้ใด เมื่อนั้นจะมี จักรแก้ว ลอยมาหาผู้นั้นก่อนทันที ภายหลังจะมี นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว และ แก้วมณี เป็นต้น เกิดขึ้นตามมาอีก หลวงพ่อเล่า ต่อไปอีกว่า)

นอกจากมีจักรแก้ว เกือกแก้ว พระขรรค์ แก้ว แล้วยังมี “วิสสศร” สามารถใช้งานได้ทุก อย่าง จะนำไปตามหาลูกก็ได้ หรือฆ่าคนก็ได้ จะมีเสียงออกมาจาก “ศร” ด้วย (เทวดารักษา “ศร” พูด) เวลาใช้ ตามคน สามารถนั่งมาได้ด้วย

เมื่อพระเจ้านวราชบรมจักรพรรดิเห็นว่า ราชธานีเดิมคับแคบไป จึงได้ทรงรับสั่งขยาย กำแพงราชธานีออกไป โดยมีเนื้อที่กว้างและยาว ด้านละประมาณ ๑๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโล เมตร) ส่วนตำแหน่งของบ้านหมอสุภรณ์ปัจจุบันนี้ ได้ตั้งอยู่ตรงโรงครัวปรุงอาหารถวายพระเจ้านวราชบรมจักรพรรดิพอดี

พระองค์ทรงมีพระมเหสี ๓ ศรีพี่น้อง ทรงพระนามว่า พระนางปทุมวดี (เป็นพี่สาว คนโต) พระนางมหารัตนนารี (ท่านแม่ศรี เป็นน้องรอง แต่ได้ตำแหน่งเป็น พระมเหสีเอก) และ พระนางศิริรัตนาวดี (น้องสาวคนเล็ก) รวมทั้ง มเหสีในเมือง ๓๗ คน และมเหสีเมืองภายนอก อีก ๓๑๐ คน

เมืองมหาบรมไตรจักรภพนั้น มีอาณาเขต ครอบครองมหาสมุทรทั้งหมด (มหาสมุทรทั้ง ๔) พระองค์ทรงปกครองประชาราษฎร์อยู่นานถึง ๔๐,๐๐๐ ปี จึงเสด็จสวรรคต คนสมัยนั้นมีอายุ ๖๐,๐๐๐ ปี เป็นอายุขัย คุณหมอสุภรณ์ เป็นลูกชายคนที่ ๗ ของพระมเหสีองค์ที่ ๑ เป็นนักรบและนักบุญ คนที่มาทั้งหมดเกิดในสมัยนั้นด้วย..”

และหลวงพ่อได้กล่าวถึงอดีตประธานา ธิบดีที่เคยเกี่ยวข้องกันอีกว่า

๑. ท่านโรสเวลส์ เคยเป็นน้องชายสมัยที่ปกครองอาณาเขตชิคาโก สมัย พระเจ้านวราช บรมจักรพรรดิ และต่อมาอีก ๔ สมัยด้วย

๒. ท่านทรูแมน เป็นน้องสมัยเมื่อครอง เมืองแคลิฟอร์เนีย

๓. สมัยครองชิคาโก เป็นพระเจ้าจักร พรรดิ ๑ คราว และเป็นบรมกษัตริย์ครองอเมริกา ปัจจุบัน ๑๑ คราว

๔. ต่อมาได้ครองเมือง ซานฟรานซิสโก ได้เป็นใหญ่ครอบคลุมประเทศอเมริกาทั้งหมด มี เมืองสำคัญที่ เดนเวอร์ ในสมัยนั้นได้ แม่กลาง เป็นพระมเหสี ซึ่งเป็นลูกกษัตริย์ที่นั่น และมี อำนาจคลุมอเมริกาในปัจจุบัน

๕. สมัยต่อมาได้ครองเมือง แคลิฟอร์เนีย สามารถครอบคลุมประเทศอเมริกา แค่ครึ่งพื้นที่ ในปัจจุบัน ลงไปทางตอนใต้แคลิฟอร์เนียเป็น เมืองเกษตร

สมบัติที่ฝังไว้


ในเมือง ชิคาโก มีทรัพย์สมบัติที่ฝังอยู่ ในห้องใหญ่ใต้ดิน รวม ๗ แห่ง ราคาในปัจจุบัน หลายล้านแสนล้านดอลลาร์ ในเมือง เดนเวอร์ มี สมบัติที่ฝังดินไม่มาก แต่ที่ ซานฟรานซิสโก มี มากมหาศาล มากกว่าที่ชิคาโก แต่ที่แคลิฟอร์ เนีย สมบัติที่ฝังดินไว้มีมาก

รูปร่างสมัยนั้น


๑. สมัยครองเมือง ซานฟรานซิสโก รูป ร่างสูง ไม่อ้วน สมทรง สง่า แก่แล้วยังสวย มีเมีย มาก

๒. สมัยครองเมือง ชิคาโก สูงสง่า หน้า ตาคล้ายคนไทย รูปทรงดี ผิวเหลือง ไม่เหมือน ชาวพื้นเมือง คนพื้นเมืองผิวขาว

๓. สมัยครองเมือง แคลิฟอร์เนีย รูปร่าง สูงไม่มาก สันทัด รูปร่างเหมือนคนไทย ใจเย็น แต่ดุร้าย เฉียบขาด เมืองทุกเมืองรวยหนัก

ภรรยาและลูก


“เมียเอก” ติดตามเต็มชุดทุกชาติ (ท่าน คงหมายถึง ท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่กลาง และ ท่านแม่เล็ก) ส่วน “ลูก” บางคราวมาบ้าง ไม่มา บ้าง ที่ไม่มาก็เป็นเทวดาหรือพรหม ช่วยงานในเมืองมนุษย์ต่อไป ท่านโรสเวล เป็นคนเล่า ให้ฟัง ท่านทรูแมน ก็มาด้วย

เวลานี้ (วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๓๐) ทั้ง ท่านโรสเวล และ ท่านทรูแมน ช่วยดูแลคณะที่ มาด้วย ท่านโรสเวล เป็นพรหม เพราะใจรักพระพุทธศาสนา และ ท่านทรูแมน เป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ เพราะมีเมตตา และรักพระพุทธศาสนา ลูกทุกคนที่อยู่ในอเมริกา ท่านโรสเวล ดูแลทุก คน ส่วน ท่านทรูแมน ดูแลทางใต้ คนที่ไม่ใช่ ลูก ขอให้ช่วยก็ช่วย ไม่ให้ช่วยก็เฉย..”

บันทึกพิเศษที่ลอสเองเจลิส

๒๒ เมษายน ๒๕๓๐ เวลา ๔.๒๖ น.


บันทึกของท่านก็จบที่ “ชิคาโก” เพียงนี้

ต่อมาท่านได้เดินทางไปที่ ลอสเองเจลิส เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๓๐ ยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกว่า

“คืนนี้นอนหลับสนิท สบายมาก ท้องดี แต่ก่อนนอน ท้องถ่ายตั้งแต่เริ่มมาถึง ตอนเย็น เวลา ๑๖.๐๐ น. หมอชัยศรี ลูกที่รักและห่วง ร่วมด้วย พรนุช ให้ยาฉีดและยาระบายตามปกติ หลังจากนั้น ท้องก็ถ่ายจนใจหวิว หมดแรง ทนทรง กายไปรับแขก

เมื่อมาถึง LA ใหม่ๆ เข้าส้วมพบพระ พุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทรงขอร้องให้ทำงานทุก อย่างต่อไป เพราะที่ เดนเวอร์ อาการหนักจะเอา ชีวิตไม่รอด อาการอย่างนี้เริ่มตั้งแต่ที่ชิคาโก หมด อาลัยในชีวิต ถ่ายไม่ออก กินยาระบายอย่างแรง แต่ก็ไม่ออก ล้างท้องวันละ ๒ ครั้ง ๓ วัน ก็ไม่มีอะไรออกมา ภายในร่างกายร้อนเหมือนไฟเผา

อาเจียนออกมา น้ำที่ออก..ร้อนมาก เอา มือจับก้นกระโถนไว้เมื่อเริ่มอาเจียน กระโถน ร้อนเหมือนใส่น้ำร้อน ๖๐ เปอร์เซนต์ คอร้อนจัด เสมหะก็มาก นั่งขากเสมหะจนคอเจ็บ ร้อน เหนื่อยเกือบขาดใจ

ในที่สุดต้องหยุดพบกับผู้มาหา ก็เลยหมดอาลัยในชีวิต คิดว่าเราอยู่เพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อคน แต่คนบางคนก็ดีมาก บางพวกก็เลวมาก เราเมตตาทุกอย่าง จนอยากเหลือเมตตาตามแต่ตัวเอง เห็นร่างกายเป็นศัตรู จึงตัดสินใจขึ้นไปหา ท่านพ่อและท่านแม่ ท่านนั่งรวมอยู่กับน้องทั้งหมด ท่านขอร้องว่า ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนเถอะ

จึงได้เรียนถามท่านว่า ร่างกายทนไม่ไหว แล้ว ขอลาไปบ้านที่สร้างไว้ หมดห่วง หมดงาน กันที..ทนทำ..ทนทรมานจนหมดกำลังกายแล้ว เมื่อกรรมมันจะตัดร่างกายก็เชิญมันตัดไป ส่วนจิตใจขอลา เพราะโอกาสมีนานแล้ว หลายคนเขาจบ ป.๙ แล้ว เขาไม่เหนื่อย เขามีความสุข นั่ง นอนสบาย

แต่ลูกเองไม่เคยได้พัก ทั้งกลางวันและ กลางคืน ทำเพื่อคนอื่น ถูกภัยจากคนกลั่นแกล้ง แสนสาหัสก็ทนได้ แต่กลับทำลายร่างกาย เดิน ไม่ไหว นั่งรถก็ไม่ไหว ทุกคนที่ดีก็ตามช่วยทุก อย่าง ตั้งใจทำจนหมดกำลัง พระก็แสนดี ช่วยกันเอาชีวิตแลก ลูกๆ ก็แสนดี เหนื่อยแสนเหนื่อย พ่อจะเอาอย่างไร ลูกทำทุกอย่าง

แต่ตัวพ่อเองเหมือนสัตว์ที่ถูกกันรุมทุบ จนลุกไม่ขึ้น ปวดร้าวทั้งร่างกาย เมื่อบุญช่วยไม่ ได้อย่างนี้ ก็ขอไปอยู่บ้าน ไม่ขออยู่ให้คนเสื่อม ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ใครๆ มาก็ขอให้เป็น ที่พึ่ง แต่ตัวเองกลับโทรมจนลุกไม่ขึ้น ใครเขาจะเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งได้ พระพุทธศาสนกิจพังกันตอนนี้ ก่อนที่ร่างกายเลวจนทำ ให้ศาสนาพัง จึงขอลาไปก่อน

ท่านพ่อ..ท่านแม่..ก็ขอร้อง น้องๆ ก็ร่วม กันขอร้อง แต่ฉันเป็นคนพูดแล้วไม่ยอมถอนคำ พูด กราบเรียนท่านว่า ถ้าร่างกายไม่ดีขึ้นแบบนี้ กลับไปเมืองไทยจะรีบจัดการการเงินที่คั่งค้าง ให้เสร็จภายในพฤษภาคม ๒๕๓๐

แล้วขออำลาแบบสงบ เพราะร่างกายถูกทรมานอย่างนี้ จนคนพยาบาลหลายคน พระ ก็ไม่ได้หลับได้นอน พรนุชก็พยาบาลจนตาโหล ขอให้คนอื่นได้มีความสุขบ้าง..ไปเสียดีกว่า กรรมมีหน้าที่กัดกาย ก็ให้มันกัดตามชอบใจ

พอกราบเรียนท่านพ่อเสร็จ ก็เห็น พระพุทธเจ้าองค์ปฐม, พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เสด็จมา ท่านขอร้องขอให้อยู่ช่วยต่อไป ด้วยงานที่จะ ให้ทำยังมีอีกมาก กราบเรียนท่านว่า เมื่อพูดแล้ว ขอทำตามที่พูด ในเมื่อบุญปล่อยให้อกุศลรังแก ร่างกายเป็นกีฬาแบบนี้ ทนได้ตลอดวันรวมเวลา ๒ ปีมาแล้ว นอนไม่หลับ กินไม่ได้ ถ่ายไม่ออก ดูสนุกสนานมาก ก็ขอให้อกุศลกัดกายต่อไป ไม่ ขออดทนต่อไป อดทนจนเหลือคนสั่งแล้ว

ไปสอนธรรม..ไข้ก็กินเสียโงไม่ขึ้นก็ต้อง ทน ต่อไปนี้ไม่ขอทนแบบเดิมอีก ถ้าร่างกายถูก ทรมานอย่างนี้อีก จะนอนให้มันทรมาน ไม่ทำ งานสาธารณะเพื่อให้มันทรมานต่อไป กราบ ท่านแล้วขออนุญาตท่านไปพักที่บ้าน พอกราบ อนุญาตเห็นพระพุทธเจ้ามาเต็มหมด และพระอรหันต์เต็มหมด

โลกดาวดึงส์เต็มไปด้วยพระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ทั้งหลาย เทวดาอยู่ไกลจนมองไม่ เห็น มีแต่ท่านพ่อและท่านแม่ น้องๆ ที่นั่งอยู่ด้วย ในขณะนั้น ทุกองค์นั่งหลับตาหมด ฉันนั่งลืม ตาดูท่าน สักครู่หนึ่งท่านลืมตาพร้อมกัน เสียง สมเด็จองค์ปฐม ตรัสขึ้นว่า...

“ทุกองค์สวด.. .โส อัตถะลัตโท พร้อม กัน ๕ จบ..!”

มองดูร่างกายที่ร้อนค่อยๆ คลายตัว จน เกือบปกติ เมื่อทรงสวดจบ ขอลาท่านไปบ้าน ท่านอนุญาตแต่บอกว่า กลับลงไปด้วยนะ จะร่วม กันช่วยถึงที่สุด ถ้าเกินวิสัยก็อนุญาต ไม่มีใครที่ จะช่วยฉันได้เหมือนเธอ เขาอยากจะช่วย แต่ กำลังใจเขาเท่านั้น

ท่านตรัสแล้ว แต่ฉันก็ไม่ตอบ ลาท่านไป บ้าน เห็นบ้านแสงสวยงามระยับแพรวพราว วัน นี้ดูค่อยชัดเจนแจ่มใสเป็นพิเศษ พอนั่ง “แม่” ของลูก และลูกๆ แล้วก็มี “อ๋อย” เป็นต้น ยกทีม กันมา ต่างคนต่างดีใจ แต่สักครู่เดียว สมเด็จองค์ปัจจุบัน และท่านแม่ก็มา เข้าไปกราบท่าน

ท่านพ่อบอกว่า ใช้กำลังเต็มที่สุดตลอด เวลา และลูกพระที่ชิคาโกนี้มากันหลายวัด ทั้ง ไทยและฝรั่งเขาตั้งใจจริง เจ้าของบ้านและคณะ ก็ทุ่มเทถึงที่สุด ใช้เต็มกำลัง ๒๔ ชั่วโมงนะ เป็น การตอบสนองความดีของทุกคน ทำไมเขาจึง โชคดีอย่างนั้น เต็มกำลังนี้เขาใช้กันเป็นบาง ครั้งบางคราว แต่ที่ “ชิคาโก” ว่ากันตลอดเวลา

ท่านแม่ก็บอกว่า ขอให้อยู่ช่วยพ่อต่อไป อีกนะลูก งานของพ่อที่จะให้ทำมีอีกมาก กราบ เรียนท่านว่า งานไม่หนักใจ เต็มใจพร้อมทำอยู่ แล้ว แต่ร่างกายเป็นอย่างนี้ก็เหลืออด ต่อนี้ไปจะ ไม่ทรมานแบบนี้อีก ถ้าเครียดหน่อยจะหยุดทันที อะไรจะค้าง..จะไม่เสร็จ..ปล่อย..! ถือว่าไม่ใช่ งานเพื่อตัวเอง

ท่านแม่เห็นด้วย ท่านบอกว่า พ่อเขาก็ เห็นใจ แม่ก็เห็นใจ ทนไม่ไหวก็หยุดชั่วครั้งชั่ว คราว พอกายมีแรงก็ค่อยช่วยกันตามกำลังนะ..ลูก อย่าเพิ่งทิ้งงานของพ่อเลย กราบเรียนท่านว่า

ขอให้เวลาไปอีก ๓ เดือน ถ้าเครียดแบบ นี้ จะเคลียร์เรื่องการเงินให้เสร็จ แล้วขอหยุด.. ไปได้ก็ไป..ไปไม่ได้..จะขออยู่อย่างคนแก่ อายุ ๗๐ ปีแล้ว ขอพักกันเสียที งานทุกอย่างทำแค่ทน ไหว ไม่ขอทนทำต่อไปอีก ทั้งงานสร้าง..งาน สงเคราะห์ และสอนธรรม...ขอพอกันเสียที..!

ท่านแม่เห็นด้วย..ท่านพ่อนั่งนิ่ง เมื่อจะ ลาท่านกลับ..ท่านตามมาหมดทุกคณะ ท่านบอก ว่า..นอนเสีย..ลูก ต่อนี้ไปลงได้..แค่ให้ศีลและ สมาทานนะ คณะพ่อจะพยามยามช่วยให้ผลา นิสงส์...และร่างกายก็ถูกทรมานจนนั่งนอนหา ความสุขไม่ได้...”

เดนเวอร์


พอมาที่ เดนเวอร์ อาการคงเดิม รับแขก ไม่ได้ ยังมีการทรมานมากขึ้น ท่านหมอนวด ประจำบ้าน ท่านก็ช่วยจริงๆ แต่ก็ไม่กิน..ไม่ขี้ อาเจียนเป็นเสมหะออกมาครั้งละ ๒ กระโถน นอนพิจารณาร่างกายเห็นว่า ไม่ควรอยู่ต่อไป ตัดสินใจแล้วว่า กลับวัด..ไปแน่..! เพื่อไม่ให้ ลำบากเรื่องสังขารต่อไป...” (บันทึกจบเพียงแค่นี้)