ท่านจ่าพัว ชละเอม ตัวอย่างของผู้ที่ไม่คิดว่าจะไปนิพพานได้
webmaster - 23/12/16 at 16:36

อารัมภบท


...ผู้จัดทำขอนำเรื่องราวที่สำคัญในอดีตมาเล่าสู่กันฟังสัก ๒ เรื่อง ซึ่งนับว่าเป็นปูชนียบุคคลตัวอย่าง ๒ ท่าน ในสมัยปัจจุบันนี้ที่สามารถเข้านิพพานได้ในชาตินี้ ความจริงก็มีมากกว่านี้ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เคยเล่าไว้ แต่ผู้จัดทำขอนำมากล่าวเพียง ๒ ท่าน เพราะเป็นผู้ที่ปฏิบัติได้ผลถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ โดยแยกเป็น ๒ ประเด็น คือ

๑. ท่านจ่าพัว ชละเอม ชาวจังหวัดสิงห์บุรี (ชาตินี้ไม่คิดว่าจะไปนิพพานได้ แต่ก็ไปได้เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๒๐)

๒. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต (ชาตินี้ไปนิพพานได้ในขณะถูกยิง เมื่อวันที่ ๑๖ ก.พ. ๒๕๒๐) จะนำเรื่องราวของท่าน (ขออนุญาตเรียกตามที่คณะศิษย์เคยเรียกกันว่า "ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต") ให้อ่านต่อในเดือนหน้า เนื่องในวโรกาสวันสิ้นพระชนม์ครบรอบ ๔๐ ปี (๑๖ ก.พ. ๒๕๒๐ - ๑๖ ก.พ. ๒๕๖๐)

ทั้งนี้ เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรมของพวกเราที่ยังไม่ตาย จะได้ทราบว่าตัวเองก็ยังมีโอกาสเช่นกัน หรือใครที่ยังมีอารมณ์ลังเลหรือไม่มั่นใจในตนเอง ก็สามารถปรับปรุงกำลังใจให้เข้มแข็ง แล้วก็จะได้สมหวังเหมือนกับท่านทั้งสองนี้



".....ณ โอกาสนี้จะขอเริ่มต้น ท่านจ่าพัว ชละเอม ก่อน โดยได้เดินทางไปหาข้อมูลที่ตลาดสิงห์บุรี ปรากฏว่าได้พบลูกหลานของท่านจ่าพัว จึงได้รับความอนุเคราะห์รูปภาพนี้พร้อมรายละเอียดจาก คุณดลรัตน์ (แก้วฟ้า) ชละเอม และภรรยา เพราะอยากจะเห็นหน้าตาของท่านมานานแล้ว เนื่องจากได้ยินหลวงพ่อพูดถึงบ่อยๆ แต่ไม่เคยเห็นหน้ากันสักที โดยเฉพาะผู้ที่อ่าน "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค" ต่างก็เป็นหนี้บุญคุณท่านเหมือนกัน เพราะท่านเป็นเจ้าภาพแรกๆ ในการจัดพิมพ์เผยแพร่ ตามประวัติของ "ท่านจ่าพัว" มีดังนี้

บิดา นายภู ชละเอม
มารดา นางเหมือน ชละเอม

พี่น้อง จ.ส.ต. พัว มี ๙ คน จ.ส.ต. พัว เป็นบุตรคนที่ ๒ แต่งงานกับนางเยื้อน ชละเอม มีบุตร ๔ คน คือ

๑. นางอาภา ชละเอม (เสียชีวิต)
๒. นางพจนา ชละเอม
๓. นางพิทยา ชละเอม
๔. นางรัชนี ชละเอม

(และยังมีบุตรบุญธรรมอีก ๓ คน คือลูกของบุตรสาวคนโต ได้แก่)
๑. จันทร์เพ็ญ ชละเอม
๒. จันทร์ทิพย์ ชละเอม
๓. ดลรัตน์ (แก้วฟ้า) ชละเอม

จ.ส.ต. พัว เกิด พ.ศ. ๒๔๕๑ ตาย วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๐ อายุ ๖๙ ปี
นางเยื้อน (ภรรยา) เกิด พ.ศ. ๒๔๕๓ ตาย วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ อายุ ๖๖ ปี
จ.ส.ต. พัว ชละเอม ออกจากราชการตำรวจ ก่อนเกษียณอายุราชการ ที่ สภ.อ. เมืองสิงห์ จ.สิงห์บุรี


ท่านจ่าพัว ชละเอม ตายแล้วไปนิพพาน

โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


“.....ท่านโยมพัวที่เราจะไปเผาพรุ่งนี้ เราเผาแต่ซากเท่านั้น ตัวจ่าพัวเราเผาไม่ได้ เพราะร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายของจ่าพัวไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความจริงโยมพัวท่านไม่เคยเจริญฌานสมาบัติ ท่านจดหมายมาบอกเสมอว่า...

"..วิตกเหลือเกิน..เกรงว่าตายแล้วจะตกนรก..!"

ไอ้คนกลัวตกนรก..มันตกไม่ได้ เพราะจดหมายทุกฉบับปรารภเรื่องนี้เป็นสำคัญ อาตมาเองก็ไม่ทราบว่าท่านทำอะไรไว้บ้าง เมื่อกี้ท่านมานั่งคุยให้ฟังว่า สมัยที่เป็นตำรวจเอาหนักเหมือนกัน เพราะเป็นมือปราบคนหนึ่ง และมีอีกข้อหนึ่งคือว่าภาษาของโบราณ รถไฟ เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ นอกจากปราบแล้วยังเจ้าชู้อีกด้วย ท่าทางตอนหนุ่มๆ ท่านคงเป็นคนรูปหล่อและกรุ้มกริ่ม

เรื่องเจ้าชู้นี่ท่านคุยเล่าให้ฟัง เมื่อผมมีชีวิตอยู่อยากจะคุยให้อาตมาฟังมันก็ไม่ถนัด ผมวิตกเรื่องนี้มันหนัก และสมัยปราบปรามครั้งใหญ่ โจรดังบ้าง บางทีก็จับมาได้ ๔ - ๕ คนยิงตายเลย ปราบจริงๆ และแถมเจ้าชู้จริงๆ เสียด้วย เป็นกรรมหนักที่ท่านหนักใจ แต่ว่าก็อาศัยจิตของท่านน้อมในกุศลนับตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ เป็นต้นมาที่มาพบอาตมา อย่าง “หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน” โยมพัวให้เงินค่าพิมพ์เป็นคนแรก และเคยเขียนจดหมายมาบอกว่า

“ท่านเป็นคนตาเหล่...ไม่เหล่ก็ตาบอด เพราะเวลานี้ไม่เห็นที่อยู่ของท่านเวลาตายไปแล้ว”

อาตมาก็เป็นแต่เพียงแนะนำบอกว่า

“..ทำใจให้เป็นสุข ให้มีความมั่นใจ”

ท่านก็มีความมั่นใจพร้อมๆ กับความสะเทือนใจ เพราะเกรงว่าไอ้บาปตัวนี้มันจะเข้ามายุ่ง

ตอนบั้นปลายชีวิตของท่านทำทุกอย่างเพื่อหนีบาปตัวนี้ ตอนนี้ตัว "จาคะ" ก็เกิดตัดใหญ่ ถวายเงินมาที่วัดนี้แสนกว่า ที่วัดอื่นอีก ลูกท่านก็ดีไม่มีใครขัดคอ พ่อจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ เข้าใจว่าท่านคงจัดทรัพย์สินต่างๆ ให้ลูกหมดแล้ว ตามส่วนสิทธิที่เขาจะพึงได้ ท่านก็ทำทุกอย่าง ในเมื่อตัดทรัพย์สินได้ ก็ตัดอารมณ์ใจตัดกายได้ มาในขั้นสุดท้ายท่านป่วยหนัก

อาตมาไปเยี่ยมโยมพัว ไปครั้งแรกไปนั่งอยู่ตอนบวงสรวง พระท่านมาเตือนว่า

“..จะมากักเขาไว้ดาวดึงส์ได้อย่างไร ในเมื่ออารมณ์เขาจะเข้าถึงได้”

ก็เลยบอกให้ท่านภาวนาว่า “นิพพานัง” จับพระนิพพานเป็นอารมณ์

พอไปเยี่ยมครั้งที่สอง ท่านบอกขึ้นไปได้แล้ว ตอนนี้ตู้โต๊ะในบ้านไม่เอาไว้แล้วส่งเข้าวัดหมด

จาคะ ตัวเดียวเป็นตัวสำคัญ ในเมื่อตัดทรัพย์สินได้ ก็ตัดอารมณ์ใจตัดกายได้ มาถึงขั้นสุดท้ายตอนป่วยหนักและตายไป เมื่อตายแล้วท่านมาเล่าให้อาตมาฟังว่า

"...ตอนป่วยมากใกล้จะตาย ก็ไม่นึกว่าตัวเองจะไปไหนได้หรอก ก็นั่งฟังเทปนอนฟังเทป ฟังไปฟังมา อารมณ์ใจค่อยละเอียดไปทีละน้อยๆ เพราะความมั่นใจยังไม่มี จนกระทั่งเวลาใกล้จะสิ้นชีพ อารมณ์ใจรวบรวมหนักเพราะทุกขเวทนามันบีบหนัก จนกระทั่งมีอารมณ์จิตเป็นสุข พอจิตเป็นสุขก็เห็นพระ พระองค์แรกที่โยมพัวเห็นคืออาตมา

ต่อมาพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมา แนะนำบอกว่า

“องค์นี้เป็นพระพุทธเจ้า”

เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีรัศมีกายผ่องใส สวยสดงดงามมาก จิตที่เกาะอะไรทั้งหมดก็ตัดหมดทันที ท่านโยมพัวก็เข้าไปกอดพระบาทพระองค์แน่นเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ไปพระนิพพานกับพ่อไหมลูก ?”

ท่านตอบว่า “ไปครับ..แต่ผมกลัวไปไม่ได้ !”

พระองค์ทรงชี้ให้ดูร่างกายของโยมพัวในเมืองมนุษย์และตรัสว่า

“เป็นทุกข์ไหม” ท่านตอบว่า

“ทุกข์ครับ” ตรัสต่อไปว่า

“ร่างกายไม่ดีอย่างนี้ยังรักอยู่อีกเหรอ” ท่านตอบว่า

“ไม่รักครับ” พระองค์จึงตรัสว่า

“งั้นก็ไปพระนิพพานกับพ่อ”


เพียงเท่านี้เอง ท่านก็ทิ้งร่างกายเนื้อตามพระพุทธเจ้าไปอยู่บนแดนพระนิพพานทันที เพราะจิตท่านเกาะเฉพาะพระพุทธเจ้าอย่างเดียว จึงไม่เกาะร่างกาย

ท่านบอกอาตมาว่า เมื่อเห็นร่างกายหยุดทำงานแล้ว ก็มองดูร่างกายเห็นว่าน่าเกลียดขนาดนี้หรือนี่ อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ท่านมีความสุขที่สุด คิดไม่ถึงว่าในชีวิตความสุขใหญ่ขนาดนี้จะมีกับผม คิดแต่เพียงว่าถ้าอยู่ดาวดึงส์ก็บุญตัวแล้ว ท่านขอบคุณอาตมาที่ช่วยท่าน

เป็นอันว่า เราได้บุคคลตัวอย่างคือ ท่านโยมพัว ชละเอม ก่อนตายท่านมีอารมณ์โปร่ง ท่านเกาะพระ จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่สุด อาตมานึกว่าจะไปบังสุกุลท่าน แต่ท่านโยมพัวบอกว่า

"...เล่นแต่ซากไปเถอะ ตัวผมนี่ไม่ได้แล้ว...ก่อนตายท่านก็สั่งลูกๆ ว่าอย่าเพิ่งแตะต้องศพพ่อ ให้เอาแผ่นทองปิด ๓ จุดก่อน เช่นที่หน้าผากเป็นต้นแล้วค่อยเผาทีหลัง”


คำเทศน์ของ ท่านพัว (หนังสือ "พรสวรรค์" รวมเล่ม)



.....“ท่านพัว” เป็นศิษย์หลวงพ่ออีกองค์หนึ่ง ทำทานไว้มากมายเราเข้าใจว่าท่านจบกิจทางศาสนาเช่นเดียวกับท่านหญิง ก่อนสิ้นมียศเป็นจ่านายสิบตำรวจเกษียณอายุนานแล้ว

๑๐ มีนาคม ๒๕๒๐

คนเฝ้าเยอะนะ ผมหมายถึงเทพ

(ถาม - ท่านพัวหรือ?)
ตอบ - ใช่ครับ

(ถาม - อยากให้ช่วยเล่าให้พวกเราฟัง เพราะเป็นคนที่สอง)
ตอบ - พระมารับฮะ

(ถาม - เห็นว่าจะไปไหว้พระที่พระจุฬามณีสัก ๓ วันก่อน แล้วไปหรือป่าว)
ตอบ - ไป สวยมาก

(ถาม - ตอนอยู่พระจุฬามณี เห็นพระนิพพาน)
ตอบ - พระท่านบอก

(ถาม - ตอนป่วยจิตใจเป็นอย่างไร)
ตอบ - เบื่อฮะ ที่ต้องนอน ต้องกินยา อะไรจุกจิก ตอนจะไปรู้สึกว่าหายใจไม่คล่อง มีเจ็บบ้างก็พยายามจับ พุทโธ คิดว่าไม่เอาอีกแล้ว ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น มันรู้สึกเบื่อขึ้นมา ในขณะนั้นรู้สึกสบายแปลกๆ รู้ตอนหลังพระท่านบอกว่าตอนอารมณ์สบายนั้น อยู่ในภาวะฌาน

จิตไปจับ พุทโธ เข้า แล้วเพ่งที่เบื่อเป็นอารมณ์ เลยไปๆ มาๆ ก็เป็นเอกกัคตารมณ์ คิดทวนไปทวนมาก็คิดว่าไม่ขอเกิดตามหลวงพ่อสอนดีกว่า เหมือนกับเราตกลงใจอะไรสักอย่างที่แน่นอนนั่นแหละครับ ถึงอยากให้ท่านๆทั้งหลาย ได้เอามาเป็นแนวนิดๆ หน่อยๆ บ้าง

(ถาม - ตอนใกล้ๆ มีอาการทุรนทุราย )
ตอบ - ตอนนั้นผมไม่รู้ เพลินไป รู้แต่ว่าพอคิดได้พระท่านก็มาเรียกไป

(ถาม - เรียกยังไง )
ตอบ - ท่านก็ว่า ลูกสบายแล้ว ลูกตัดสินใจถูกแล้ว มาหาพ่อลูกจะไม่มีทุกข์แล้ว

(ถาม - เห็นฉัพพรรณรังสี)
ตอบ - สว่างมากครับ

(ถาม - มองเห็นตัวเองไหม)
ตอบ - เห็นฮะ

(ถาม - ลักษณะเป็นยังไง)
ตอบ - ก็ศพธรรมดา เห็นศพตัวเองก็สังเวชใจ ยิ่งเห็นคนร้องไห้ก็สงสาร สงสารที่เขารักตัวปลอม

(ถาม - บวชวันนี้)
ตอบ - ฮะ ที่พระจุฬามณี พอออกไปพระท่านก็เรียก เอหิภิกขุ

(ถาม - ร่างบนนั้นในนิพพานเป็นอย่างไร)
ตอบ - เป็นพระฮะ ตามไปนะฮะ

(ถาม - จะพอประทานรสชาดบนพระนิพพานได้)
ตอบ - อย่าไปติดบรรยายเลย เพราะความสวยเอาไปไม่ได้ฮะ ฟังแล้วก็แค่ชื่นใจประเดี๋ยวเดียว สู้หมั่นฝึก หมั่นหนี หมั่นละ ดีกว่า


เรื่อง...มงคล ๓๘ มงคลที่ ๑

“อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญ จะ เสวะนา”

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ๐๔ ตาคลี

.....วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ตรงกับวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันเริ่มพูดเรื่อง “มงคล” เพราะว่า มงคล ๓๘ ประการ นี้ มีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมากท่าน ที่มีความสนใจใคร่จะอ่าน ก็เพราะว่าที่อาตมานำมงคลทั้ง ๓๘ ประการ ออกอากาศทาง สถานีวิทยุ ๐๔ ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

มีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายมีความต้องการให้ มงคลทั้ง ๓๘ ประการนี้ เป็นหนังสือออกมาสำหรับอ่าน รายนามผู้ให้ทุนพิมพ์หนังสือมงคล ๓๘ คนที่มีเจตนาเป็นรายแรกคือ จ่าสิบตำรวจพัว ชละเอม ตำบลบางพุทรา แห่งจังหวัดสิงห์บุรี แจ้งมาว่าขอให้จัดทำ "หนังสือมงคล" เล่มนี้ขึ้น แล้วก็มอบเงินจำนวน ๔,๐๐๐ บาท เป็นเงินเริ่มต้น

สำหรับท่านผู้นี้ หนังสือประวัติของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่ออกมาสู่สายตาของบรรดาพุทธบริษัท ก็มีท่าน จ่าสิบตำรวจพัว ชละเอม คนหนึ่ง แล้วก็ คุณสุวัฒน์ อีกคนหนึ่ง เป็นผู้เริ่มต้นให้ทุนรายละ ๔,๐๐๐ บาท รวมเป็น ๘,๐๐๐ บาท แล้วต่อมาจากนั้นมาก็ คุณอรอนงค์ คุณะเกษม ได้เป็นนายทุนใหญ่นำหนังสือนั้นไปพิมพ์แจกในงานศพของบิดา