ย้อนอดีต "ตำนานลอยกระทง" ณ ราชธานีไทย
webmaster - 20/10/17 at 05:27

สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

[01]
ตอนที่ ๑ "ลอยกระทง" มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ?
[02] ตอนที่ ๒ ย้อนอดีต "ตำนานลอยกระทง" ณ ราชธานีไทย
[03] ตอนที่ ๓ "พิธีลอยกระทง" ในสมัยสุโขทัย
[04] ตอนที่ ๔ ประวัตินางนพมาศ
[05] ตอนที่ ๕ ตำแหน่งพระสนมเอก
[06] ตอนที่ ๖ ข้อปฏิบัติให้มีผู้เมตตา ๑๒ ประการ
[07] ตอนที่ ๗ คุณสมบัติ ๗ ประการ
[08] ตอนที่ ๘ การกระทำเพื่อความมีชื่อเสียง
[09] ตอนที่ ๙ ประวัตินางนพมาศ (จบ)
[10] ตอนที่ ๑๐ ประวัติรอยพระพุทธบาททั้ง ๕ แห่ง
[11] ตอนที่ ๑๑ รอยพระพุทธบาทที่ ๔ โยนกปุระ
[12] ตอนที่ ๑๒ รอยพระพุทธบาทที่ ๔ โยนกปุระ (ต่อ)
[13] ตอนที่ ๑๓ สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
[14] ตอนที่ ๑๔ รอยพระพุทธบาทที่ ๕ นัมทานที
[15] ตอนที่ ๑๕ นิราศถลาง
[16] ตอนที่ ๑๖ นิราศถลาง (ต่อ)
[17] ตอนที่ ๑๗ ความเป็นมา "รอยพระพุทธบาทที่ ๕"
[18] ตอนที่ ๑๘ อรรถกถาปุณโณวาทสูตร
[19] ตอนที่ ๑๙ รอยพระพุทธบาทที่ภูเก็ต

[20] ตอนที่ ๒๐ บทสรุป "การลอยกระทง" ที่แท้จริง (ตอนจบ)

ตอนที่ 1

"ลอยกระทง" มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ?



.....ประเพณี "ลอยกระทง" มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีเหตุผลเป็นประการใด ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณไปด้วย เพราะจะได้อ้างเหตุอ้างผลไปตามหลักฐานพยาน

ส่วนจะเชื่อหรือไม่ จะเป็นความจริงแค่ไหน เราต้องไปพิสูจน์กัน อย่าหลับหูหลับตาอ้างเอาแต่ความคิดของตนเอง มิฉะนั้น...เราจะไม่รู้คุณค่าว่า เรามีของดีอยู่ในประเทศไทยอีกมากมาย

เมื่อพูดถึงการ “ลอยกระทง” คนไทยทุกคนแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงก็รู้จักกัน โดยเฉพาะประเทศไทยมีการรักษาประเพณีนี้มานานแล้ว

แต่รูปแบบการจัดงานในปัจจุบันนี้ มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามาก จึงมีการจัดแสดงแสงและสีเข้ามาประกอบ ทำให้เกิดบรรยากาศอันดีที่จะทำให้ผู้ชมต้องย้อนกลับไปในภาพอดีตอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าจะสืบสาวราวเรื่องความเป็นมาต่างๆ เช่นถามว่า...

...๑. ประวัติการ ลอยกระทง มีความเป็นมาอย่างไร ?
...๒. ลอยเพื่อวัตถุประสงค์จะบูชาอะไร ?
...๓. นางนพมาศ เป็นใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ถึงได้คิดประดิษฐ์กระทงให้มีลักษณะเป็นรูปทรง “ดอกบัว” อย่างนี้..?”

ชาวไทยทุกคนที่เคย “ลอยกระทง” มาแล้ว นับตั้งแต่เล็กจนโต ต้องอดหลับอดนอนไม่รู้สักกี่ครั้ง อาจจะเคยรู้คำตอบได้เป็นอย่างดี แต่คงจะมีไม่น้อยที่ลอยแล้วไม่รู้ว่าลอยเพื่ออะไรกันแน่....เพียงแต่ขอให้ได้รับความสนุกสนาน หรือชมความสวยสดงดงาม

จากการจัดประกวด “กระทง” หรือประกวด “นางนพมาศ” เท่านั้นก็พอใจ โดยเฉพาะผู้เขียนเอง เมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๕๓๖ บังเอิญได้ยินคำตอบทางโทรทัศน์ จาก “ดอกเตอร์” ท่านหนึ่งว่า “ลอยกระทงเพื่อลอยเคราะห์..ลอยโศก” แล้วกัน..!

สำหรับ “ภาพประกอบการศึกษา” ก็เหมือนกัน ซึ่งไว้ใช้ในการสอนเด็กนักเรียนเรื่อง “การลอยกระทง” โดยได้อธิบายไว้ในภาพวาดหลายประเด็น เช่น เพื่อบูชาและขอขมา “พระแม่คงคา” เพื่อบูชา “รอยพระพุทธบาท” ในนาคพิภพ และเพื่อบูชา “พระอุปคุต” เป็นต้น

พลิกประวัติศาสตร์และโบราณคดี

...ในตอนนี้ “ผู้เขียน” ก็ไม่มีความรู้อะไรแต่ก็อยากจะ “รณรงค์วัฒนธรรมไทย” ต่อไป ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่เป็นห่วงเป็นใย ในวัฒนธรรมประเพณีของคนไทยบางคนที่กำลังจะถูกย่ำยีเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ซึ่ง “ผู้เขียน” มีเจตจำนงที่จะฟื้นฟูประเพณี “ลอยกระทง” เพื่อให้ตรงกับความประสงค์ของโบราณราชประเพณี ที่สืบต่อกันมานานหลายชั่วคนแล้ว ซึ่งเป็นประเพณีอันดีงามผสมผสานกับความศรัทธาในพระพุทธศาสนา

เพราะว่าวัฒนธรรมไทยย่อมผูกพันกับสถาบัน “ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์” มานานแล้ว โดยเฉพาะประเพณีลอยกระทงนี้เป็นประเพณีที่เชิดหน้าชูตาของประเทศ ย่อมเป็นที่รู้จักไปในนานาประเทศ แม้กระทั่งเพลง “ลอยกระทง” ฝรั่งบางคนยังร้องได้เลย..!

จึงนับเป็นที่ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เรามีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เพราะมีแต่ประเทศ ไทยเท่านั้น ที่ยังรักษารูปแบบประเพณีนี้มานาน แล้ว ซึ่งประเทศอื่นๆ ไม่มีประเพณีเช่นนี้มา ก่อนเลย

อีกทั้งรอยพระพุทธบาทที่อยู่กลางทะเล ก็มีอยู่ในประเทศไทยแต่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ “นางนพมาศ” คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูป “ดอกบัว” นั้น ก็เป็นการบ่งบอกเอาแล้วว่า เพื่อบูชา “รอยพระพุทธบาท” เป็นแน่แท้...

เพราะ “ดอกบัว” เป็นสัญลักษณ์เฉพาะผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นดังจะสังเกตได้ว่า “พระพุทธรูปปางลีลา” ทุกองค์ มักจะนิยมสร้างเป็นรูป "ดอกบัว" ไว้เพื่อรองรับฝ่าพระบาททั้งสองข้าง

ฉะนั้น เพื่อให้ สมเหตุสมผลตามข้อวินิจฉัย ผู้เขียนจึงใคร่ขอนำหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทุกยุคทุกสมัยมา ยืนยันเป็นคำเฉลยจากคำถามที่ตั้งไว้ว่า...

“...เราลอยกระทงเพื่อบูชาอะไรกันแน่..?”


(โปรดติดตามตอน "สมัยกรุงรัตนโกสินทร์" ต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 20/10/17 at 05:27

ตอนที่ 2

(28 ตุลาคม 2560)


ย้อนอดีต "ตำนานลอยกระทง" ณ ราชธานีไทย
สมัยรัตนโกสินทร์


....ในหนังสือ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” อันเป็นพระราชนิพนธ์ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕" พระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยในเรื่องนี้เอาไว้ว่า...

“...สมมุติว่าเอาโคมนั้นลอยไปตาม “ลัทธิพราหมณ์” ที่พอใจลอยอะไรๆ จัดอยู่เช่นกับ “ลอยบาป..ล้างบาป” จะถือว่าเป็น “ลอยเคราะห์ลอยโศก” อย่างใดไปได้ดอกกระมัง การก็ตรงกันกับ “ลอยกระทง” บางทีสมมติว่าลอยโคมข้อความตาม “กฎมณเฑียรบาล” มีอยู่แต่เท่านี้

ส่วน "พระราชพิธี" ซึ่งได้ประพฤติอยู่ในปัจจุบันนี้ นับว่าเป็น "พระราชพิธีพราหมณ์" มิได้เกี่ยวข้องด้วยพระพุทธศาสนาสืบมา การที่ยกโคมขึ้นนั้น ตามคำโบราณกล่าวว่า ยกขึ้นเพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือ “พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม”

แต่ครั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงนับถือพระพุทธศาสนา ก็กล่าวว่าบูชา พระบรมสารีริกธาตุ “พระจุฬามณี” ในดาวดึงสพิภพ และบูชา “พระพุทธบาท” ซึ่งได้ปรากฏอยู่ ณ หาดทราย เรียกว่า “นะมะทานที” อันเป็นที่ “ฝูงนาคทั้งปวง” สักการบูชาอยู่...”

สมัยกรุงศรีอยุธยา

...นอกจากนี้ ในหนังสือ “คำให้การขุนหลวงหาวัด” ยังมีใจความอีกว่า...
“...ในสมัย "สมเด็จพระเอกทัศราชา" ครองกรุงศรีอยุธยา ครั้งถึงเพ็ญเดือน ๑๑ ออกพระวรรษา พระองค์เสด็จทรงประทีปเสด็จอยู่บนเรือขนาน แล้วถวายธูปเทียนดอกไม้ และกระทงกระดาษตามเทียนและเรือต่างๆ เป็นอันมาก

แล้วพระองค์อุทิศถวายพระพุทธบาทใน “นัมทานที” แล้วก็ลอยกระทงอุทิศส่งไปเป็นอันมากเต็มไปทั้งแม่น้ำ แล้วจุดดอกไม้เพลิงที่ริมคงคาต่างๆ เป็นอันมาก...”

ส่วน "คณะทูตชาวลังกา" ที่เคยเข้ามาขอพระสงฆ์ในรัชสมัย "สมเด็จพระเจ้าบรมโกฏฐ์" เมื่อ พ.ศ.๒๒๙๓ ได้บันทึกไว้เป็น “จดหมายเหตุ” ถึงข้าราชการไทยได้อธิบายเรื่องนี้ว่า

“...พระราชพิธีอันนี้ทำเพื่อการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ (ซึ่งบรรจุไว้ในพระจุฬามณีเจดีย์) ในดาวดึงสพิภพ และบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่ง “พญานาค” ได้กราบทูลอัญเชิญสมเด็จพระพุทธองค์ ให้ทรงประดิษฐานไว้เหนือหาดทราย “ฝั่งแม่น้ำนัมทานที” ดังนี้


(โปรดติดตามตอน "สมัยสุโขทัย" ต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 21/10/17 at 03:49

ตอนที่ 3

(Update วันลอยกระทง 3 พฤศจิกายน 2560)


"พิธีลอยกระทง" ในสมัยสุโขทัย



(ขอบคุณภาพจาก kalyanamitra.org)

สมัยกรุงสุโขทัย

....สำหรับหลักฐานชิ้นนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นต้นกำเนิดประเพณีนี้ ผู้เขียนจึงขอนำเอกสารที่บันทึกไว้โดยท่านเจ้าของเรื่องโดยตรง นั่นก็คือ... หนังสือเรื่อง “นางนพมาศ” หรือ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” นั่นเอง

โดยได้บรรยายพระราชพิธีต่างๆ ในราชสำนัก ซึ่งพระอรหันต์ทั้งหลายสมัยนั้นได้แนะนำไว้ และได้พรรณนาสภาพบ้านเมืองในสมัยนั้นไว้ว่า...

“...เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงแล้วได้ ๑๘๓๐ พรรษา นครสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองสมบูรณ์พูลสุขด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไพร่ฟ้าหน้าใส (ขณะที่เขียนเรื่องนี้ ไพร่ฟ้ากำลังหน้าแห้ง เพราะของแพงจาก...ค่าเงินบาทลอยตัว) พลเมืองมีความสุขสบาย มีวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงามโดยถ้วนหน้า

พระมหากษัตริย์ก็ปกครองโดยธรรม ทรงไว้ซึ่ง “ทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ” ทรงพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า มีถนนหนทางที่งามสะอาด และทรงสร้างปราสาทราชมณเฑียร

สถานอันงามวิจิตรมีจตุรมุขทั้ง ๔ ด้าน ด้านหน้านั้นมีพระที่นั่งมุขกระสันติดเนื่องกันกับสนามมาตยา หน้ามุขเด็จขนานนามต่างๆ เป็นทั้งมณฑปพระพุทธรูปและเทวรูป

ตึกตำแหน่งเรือนหลวงเรือนสนมกำนัลเหล่านี้ ล้วนวิจิตรไปด้วยลายปูนปั้น ลายจำหลักวาดเขียนลงรักปิดทองแลอร่ามตา มีพระแท่นที่ฉากกั้น เครื่องปูลาดอาสนบัลลังก์กั้นเศวตฉัตรห้อยย้อยด้วยระย้า ประทีปชวาลาเครื่องชวาลา เครื่องราชูปโภคงามยิ่งนัก...”

นอกจากนั้นยังกล่าวถึง วัดมหาธาตุ, เทวสถาน, ราชอุทยาน, ไม้ดอกนานาชนิด, ผลไม้ไร่นาที่ทำกิน, ผาสุขสบายถ้วนหน้า ปราศจากพาลภัยอันตรายจากโจรผู้ร้าย มีการละเล่นขับพิณดุริยางค์ มีการประกวดร้อยกรองทำนองอันไพเราะ เห่กล่อมชาวนครให้ชื่นชมสมสวาทตราบเท่าเข้าแดนสุขาวดี

นอกจากนี้นางยังได้กล่าวถึงความประพฤติของนางสนม ซึ่งมีทั้งประพฤติดีและชั่ว เช่นสามัญชนทั้งหลาย กล่าวถึงพระเกียรติคุณและพระราชจริยาวัตรขององค์ “สมเด็จพระร่วงเจ้า” เป็นการกล่าวเฉลิมพระเกียรติ ด้วยความจงรักภักดีอย่างสูงสุด และกล่าวถึงตระกูลต่างๆ ว่า ฝ่ายทหารมี ๔ ตระกูล ฝ่ายพลเรือนก็มี ๔ ตระกูล

ความรู้ในทางโลก ได้กล่าวถึงชาติและภาษาต่างๆ กล่าวถึงการแบ่งอาณาเขตในชมพูทวีป ส่วนในทางศาสนาได้กล่าวถึงพุทธศาสนา, ศาสนาพราหมณ์, และลัทธิศาสนาอื่นบ้าง เป็นต้น


ประวัติการลอยกระทง

.....สำหรับเรื่องการ “ลอยกระทง” ได้มีพรรณนาไว้ว่า สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีนั้น มีพระราชพิธี “จองเปรียง” ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นนักขัตฤกษ์ ชักโคม ลอยโคม

ประชาชนพลเมืองชายหญิงต่างตกแต่ง โคมชัก โคมแขวน โคมลอย ทุกตระกูลทั่วทั้งพระนครเพื่อถวายพระมหากษัตริย์ให้ทรงสักการะ "พระจุฬามณี" บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ส่วนพระสนมกำนัลฝ่ายใน ก็ทำโคมลอยด้วยบุปผาชาติเป็นรูปต่างๆ ประกวดกัน เพื่อถวายให้ทรงอุทิศบูชารอยพระพุทธบาท ณ ฝั่งแม่น้ำ "นัมทานที" แต่ “นางนพมาศ” พระสนมเอกของ “พระร่วงเจ้า” นั้น ได้ประดิษฐ์โคมลอย (คือกระทง) อย่างงดงามเป็นพิเศษ

สมเด็จพระร่วงเจ้าทอดพระเนตรเห็นโคมงามประหลาดของนางนพมาศ ก็ทรงพอพระทัยมาก จึงรับสั่งให้ถือเป็นประเพณีว่า

ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ นี้ ให้ประดิษฐ์ “โคมลอย” เป็นรูป “ดอกบัว” ไปสักการบูชารอยพระพุทธบาท ณ ฝั่งแม่น้ำนัมทานที ซึ่งต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อ เรียกว่า “ลอยกระทงทรงประทีป”

หลังจากนั้น พระมหากษัตริย์ก็ถวาย ดอกไม้เพลิง บูชาพระรัตนตรัยทุกพระอารามหลวงแล้วทรงทอด ผ้าบังสุกุลจีวรถวายพระภิกษุสงฆ์ บรรดาขุนนางและประชาราษฎร์ก็ดำเนินตามพระยุคลบาท เป็นที่สนุกสนานกันทั่วหน้า

เมื่อพระร่วงเจ้าทรงลอยกระทงแล้ว ลงเรือพระที่นั่งประพาสชมแสงจันทร์ และเสด็จทอดพระเนตรโคมไฟ โปรดให้ “นางนพมาศ” โดยเสด็จด้วย ทรงรับสั่งให้นางผูกกลอนให้ พวกนางบำเรอขับถวาย

เมื่อทรงสดับบทกลอนแล้ว จึงรับสั่งถามว่าที่ต้องการให้พวก “เจ้าจอมหม่อมห้าม”มาด้วยนั้น เห็นว่าจะได้ประโยชน์อย่างใด..?

นางก็กราบทูลสนองว่า เพื่อเปิดโอกาสให้นางเหล่านั้น ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณที่สวยงาม ได้ออกหน้าสักครั้งหนึ่ง ก็จะชื่นชมยินดีมีความสุข และจะรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอยู่ไม่รู้วาย บรรดาเครื่องอาภรณ์ที่ได้ทรงโปรดพระราชทานไปแล้วนั้น ก็จะได้มีโอกาสตกแต่งกันในครั้งนี้

ครั้นได้ทรงสดับดังนั้นก็ทรงพอพระทัยในคืนต่อมาก็ทรงโปรดให้บรรดานางในได้ตามเสด็จโดยทั่วหน้ากัน และเป็นประเพณีนับแต่นั้นมา...


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 28/10/17 at 03:57

ตอนที่ 4

(Update 10 พฤศจิกายน 2560)


ประวัตินางนพมาศ


"....ตามประวัติ “นางนพมาศ” ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ บิดามีนาม “โชตรัตน์” มีบรรดาศักดิ์ว่า.. “ออกพระศรีมโหสถ ยศกมเลศ ครรไลยหงส์ พงศ์มหาพฤฒาจารย์”

มีเกียรติยศยิ่งกว่านักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งปวง รับราชการในฐานะเป็นปุโรหิต ณ กรุงสุโขทัย มี หน้าที่บังคับบัญชากิจการตกแต่งพระนคร มีการทำพระราชพิธี ๑๒ เดือน เป็นต้น

...ส่วนมารดาชื่อ “นางเรวดี” เมื่อนางจะตั้งครรภ์นั้น ฝันว่าได้เยี่ยมพระบัญชรสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ชมแสงจันทร์จนตกใจตื่น แม้พระศรีมโหสถก็ฝันว่า ได้เห็นดอกไม้นานาพันธุ์แย้มบานเกสรอยู่สะพรั่งในมิใช่ฤดูกาล และมีกลิ่นหอมระรื่นตลบอบอวล

ความฝันทั้งสองนี้พยากรณ์ว่า จะได้บุตรเป็นหญิง จะมีวาสนาพรั่งพร้อมไปด้วยสติปัญญาและเกียรติยศ เป็นที่พึ่งแก่วงศ์ญาติทั้งหลาย ครั้นถึงวันจันทร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เป็นวันเพ็ญ กลางเดือน ๓ ปีชวด อันเป็นเวลาที่ภาคพื้นอากาศปราศจากเมฆ พระจันทร์ทรงกลดแสงประภัสสร รัศมีขาวเจือสีเหลืองอ่อน กาลนั้นนางก็คลอดจากครรภ์มารดา

หมู่ญาติมิตรทั้งหลายก็นำเครื่องทองชนิดต่างๆ มาทำขวัญ เช่น ดอกไม้ทอง สนอบเกล้าทอง จุฑาทอง ประวัตรทอง กุณฑลทอง ธุรำทอง วลัยทอง ของ ๗ สิ่งนี้เฉลิมขวัญท่านบิดาจึงให้นามว่า “นพมาศ” (มีผู้แปลว่า “ทองเนื้อเก้า”)

แล้วอาราธนาพระมหาเถรานุเถระ ๘๐ องค์ จำนวน ๗ วัด มาเจริญพระพุทธมนต์ในบท “มงคลสูตร รัตนสูตร” และ“มหาสมัยสูตร” จนครบ ๗ วันแล้วอัญเชิญ “พราหมณาจารย์” ผู้ชำนาญในไตรเพทอีก ๖๐ คน มากระทำพิธีชัยมงคลอีก ๓ วัน

เพื่อสมโภชธิดาผู้เกิดใหม่ให้มีความสวัสดิมงคล เสร็จแล้วก็ถวายไทยธรรมแก่พระเถระ ด้วยไตรจีวรกับของที่เป็นบริวารทั้งหลาย และสักการะหมู่พราหมณ์ด้วยทรัพย์เป็นอันมาก

ในการเลี้ยงดูนางเมื่อเยาว์วัย บิดามารดาก็ได้คัดเลือกเอาแต่ผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดในวิชาต่างๆ ให้เป็นผู้ดูแล พี่เลี้ยงก็จะสอนให้ร้อยกรองให้วาดเขียน เป็นต้น

ครั้นจำเริญวัยอายุได้ ๗ ปี บิดาก็ให้ศึกษาวิชาต่างๆ เป็นต้นว่า อักษรไทย อักษรสันสกฤต ภาษาบาลี พอแปลได้ เรียนคัมภีร์ไตรเพท แต่งกลบทกลอน กาพย์ โคลง ฉันท์และลิลิต เรียนตำรับโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์และตำราพยากรณ์ จนอายุได้ ๑๕ ปี ก็มีความ ชำนิชำนาญเฉลียวฉลาด รู้คดีโลกและคดีธรรม นับเป็นสตรีนักปราชญ์ได้ผู้หนึ่ง

นางนพมาศจึงเป็นยอดหญิงสุโขทัย ที่มีความเฉลียวฉลาดในวิชาการต่างๆ มีความชำนาญในด้านภาษา วรรณคดี การขับร้อง ดนตรี บทกวีต่างๆ และมีรูปโฉมงดงามอีกด้วย จนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญกันโดยทั่วไป มีความตอนหนึ่งที่ท่านได้บันทึกชีวิตส่วนตัวไว้ว่า...

“...วันคลอดจากครรภ์มารดา พื้นอากาศก็ปราศจากเมฆ พระจันทร์ก็ทรงกลดแสงประภัสสร รัศมีขาวเจือสีเหลืองอ่อน เสวยฤกษ์บุษยวันเพ็ญ เดือน ๓ ปีชวด ประกอบกับมีฉวีวรรณเรื่อเรืองเหลือง ประดุจชโลมลูบด้วยแป้งสารภีทั่วทั้งกรัชกาย จึงให้นามข้าน้อยนี้ว่า... “นพมาศ”

จากความงามทั้ง ๓ ประการของนางคือ งามรูปสมบัติ งามทรัพย์สมบัติ และปัญญาสมบัติ จึงทำให้ชาวเมืองสุโขทัยต่างก็สรรเสริญทุกเช้าค่ำ กิตติศัพท์นี้ก็แพร่หลายเล่าลือต่อๆ กันไป...


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 3/11/17 at 06:35

ตอนที่ 5

(Update 17 พฤศจิกายน 2560)


ตำแหน่งพระสนมเอก


"....อันความงามของนางนพมาศนั้น ได้เล่าลือไปจนกระทั่งมีทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่ง ได้ผูกกลอนสรรเสริญนางนพมาศขึ้นไว้ ๓ บท

อันกลอนทั้ง ๓ บทนี้ บรรดาหญิงชายทั้งหลาย ต่างก็พากันขับร้องและดีดพิณยลโฉม คุณความดีของนางอยู่โดยทั่วไป จนแม้พนักงานบำเรอพระเจ้าแผ่นดินก็จดจำได้

จนกระทั่งถึงวันหนึ่งได้ขับเพลงพิณบทนี้ บำเรอถวายสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ครั้นได้ทรงสดับก็พอพระทัยแล้วสอบถามว่า เป็นความจริงหรือแกล้งสรรเสริญกันไปเอง

ท้าวจันทรนาถภักดี ผู้เป็นใหญ่ฝ่ายในได้กราบทูลว่าเป็นความจริง นางอายุได้ ๑๕ ปี ควรจะได้เป็นพระสนมกำนัลอยู่ในพระราชฐาน

สมเด็จพระร่วงเจ้าจึงมีรับสั่งให้นำนางนพมาศ เข้ามาเป็นพระสนมอยู่ในพระราชวัง เพื่อเป็นเกียรติยศแก่ “ออกพระศรีมโหสถ” ผู้บิดา ท้าวจันทรนาถฯ รับพระราชบัญชาก็มาแจ้งให้พระศรีมโหสถทุกประการ

เมื่อพระศรีมโหสถได้ทราบดังนั้น ก็ รู้สึกอาลัยธิดายิ่งนัก แต่ก็ได้ทราบมาแล้วแต่ต้นว่า นางนี้เกิดมาสำหรับผู้มีบุญ จึงยินยอมตามพระราชประสงค์ และจะได้เลือกหาวันอันเป็นมงคล เพื่อนำธิดาของตนขึ้นทูลถวายต่อไป

นับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของนาง จึงได้หันเหเข้ามาอยู่ในแวดวงของสตรีผู้สูงศักดิ์ เพื่อสนองพระ เดชพระคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภายในพระราชสำนัก

ครั้นถึงวันอันเป็นมงคล พระศรีมโหสถได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ และเชิญพราหมณ์มาทำพิธีให้เป็นสวัสดิมงคล แล้วเชิญหมู่ญาติมิตรมาประชุม นางนพมาศก็ทำการเคารพหมู่ญาติมิตรทั้งหลายนั้น บรรดาญาติมิตรต่างก็พากันอวยชัยให้พรแก่นางนพมาศนานาประการ


นกเบญจวรรณ ๕ สี

...แต่ก่อนที่นางจะเข้าไปเป็นบาทบริจาริกาในพระราชสำนักนั้น พระศรีมโหสถผู้เป็นบิดาได้ตั้งปัญหาถาม เพื่อจะทดลองสติปัญญาความสามารถของนางว่า...

“...นกเบญจวรรณอันประดับด้วยขน ๕ สี เป็นที่งดงามอยู่ในป่าใหญ่ ครั้นมนุษย์ดักเอามาได้ก็นำมาเลี้ยงไว้ในบ้านจนเป็นที่รัก เพราะมีขนสีงามถึง ๕ สี

ก็เจ้าเป็นมนุษย์เมื่อเข้าไปอยู่ในพระราชฐาน จะประพฤติตนให้บรรดาคนทั้งหลายรักใคร่เจ้า เช่น นกเบญจวรรณ ได้หรือไม่...?”

นางนพมาศก็ตอบว่า

“...ลูกสามารถจะประพฤติตนให้เป็นที่รักใคร่แก่บุคคลเหล่านั้น โดยยึดสุภาษิต ๕ ประการ เช่นเดียวกับสีของ “นกเบญจวรรณ” ทั้ง๕ คือ:-

...ประการที่ ๑ จะเจรจาถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน มิให้เป็นที่รำคาญระคายโสตผู้ใด

...ประการที่ ๒ จะกระทำตนให้ละมุนละม่อม ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ทั้งจะตกแต่งร่างกายให้สะอาดและสุภาพเรียบร้อย

...ประการที่ ๓ จะมีน้ำใจบริสุทธิ์สะอาดไม่อิจฉาพยาบาทปองร้าย หรือดูหมิ่นดูแคลนผู้ใด

...ประการที่ ๔ ถ้าปรากฏว่าผู้ใดเมตตารักใคร่โดยสุจริตใจ ก็จะรักใคร่มีไมตรีตอบมิให้เกิดการกินแหนงแคลงใจได้

...ประการที่ ๕ ถ้าได้เห็นผู้ใดทำความดีความชอบในราชการ และทำถูกต้องขนบธรรมเนียมทั้งคดีโลกคดีธรรม ก็จะจดจำไว้เป็นเยี่ยงอย่างแล้วประพฤติและปฏิบัติตามสิ่งที่ดีนั้น ถ้าได้กระทำอย่างนี้แล้ว ก็จะต้องมีผู้เอ็นดูรักใคร่ ขอท่านบิดาอย่าวิตกเลย...”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 10/11/17 at 11:01

ตอนที่ 6

(Update 24 พฤศจิกายน 2560)


ข้อปฏิบัติให้มีผู้เมตตา ๑๒ ประการ


".... ฝ่ายบิดาคือ "พระศรีมโหสถ" และบรรดาญาติมิตรทั้งหลาย เมื่อได้ฟังถ้อยคำ "นางนพมาศ" ดังนั้นแล้วก็ชื่นชมยินดีชวนกันสรรเสริญอยู่ทั่วไป ลำดับที่ ๒ พระศรีมโหสถได้ตั้งปัญหาถามต่อไปว่า

“...การที่จะเข้าไปอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินนั้น จะสามารถประพฤติตนให้ถูกพระราชอัธยาศัยในขัตติยประเพณี ซึ่งมีอยู่ในตระกูลอันสูงศักดิ์ได้หรือไม่ เพราะสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีพระอัครมเหสีถึง ๒ พระองค์ และนางพระสนมกำนัลอีกเป็นอันมาก เจ้าจะกระทำตนให้ทรงพระเมตตาได้หรือ?...”

นางนพมาศตอบว่า “ลูกสามารถกระทำได้ แต่ใจหาคำนึงว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระเมตตาหรือไม่ แต่ว่าจะอาศัยสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ เป็นเครื่องช่วยเหลือให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเมตตาเองกล่าวคือ :-

...๑. จะอาศัย “ปุพเพกะตะปุญญะตา” ซึ่งได้สร้างสมมาแต่ชาติก่อนสนับสนุน
...๒. ตั้งใจจะประกอบความเพียรอย่างสุดความสามารถ ไม่เกียจคร้านในราชกิจการงานทั้งปวง
...๓. จะใช้สติปัญญาพิจารณาสิ่งผิดและชอบ แล้วเว้นไม่กระทำสิ่งที่ผิด มุ่งแต่จะประพฤติในสิ่งที่ชอบ

...๔. จะใช้ความพินิจพิจารณา สอดส่องให้รู้พระราชอัธยาศัย แล้วจะประพฤติให้ต้องตามน้ำพระทัยทุกประการ มิถือเอาใจตัวเป็นประมาณ
...๕. จะประพฤติและปฏิบัติการงานโดยสม่ำเสมอ ไม่ทำงานลุ่มๆ ดอนๆ
...๖. จะรักตัวของตัวเองยิ่งกว่ารักผู้อื่น

...๗. จะไม่เกรงกลัวผู้ใดให้ยิ่งไปกว่าเจ้านายของตนเอง
...๘. จะไม่เข้าด้วยกับผู้กระทำผิด
...๙. จะเพ็จทูลข้อความใดๆ ลูกจะกราบทูลแต่ข้อความที่เป็นจริงเท่านั้น

...๑๐. จะไม่นำพระราชดำริอันใด ที่เป็นความลับออกเปิดเผยเป็นอันขาด
...๑๑. จะวางใจให้มั่นคงต่อกิจการงานทั้งปวง ไม่โลเลและแชเชือน
...๑๒. จะจงรักภักดีต่อองค์สมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวโดยไม่เสื่อมคลาย


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 17/11/17 at 06:32

ตอนที่ 7

(Update 1 ธันวาคม 2560)


คุณสมบัติ ๗ ประการ


"...อนึ่ง ลูกเป็นคนใหม่เพิ่งจะเข้าไปถวายตัว ยังหารู้ขนบธรรมเนียมสิ่งใดไม่ ฉะนั้นเพื่อสามารถปฏิบัติการงานในหน้าที่ให้ลุล่วงไปจนได้ ลูกจึงจะวางวิธีของลูกไว้ดังนี้

...๑. ในขั้นต้น ลูกจะต้องระวังรักษาตัวกลัวต่อความผิด ไม่ทำอะไรวู่วามลงไป

...๒. จะต้องคอยสังเกตผู้ที่โปรดปรานคุ้นเคยพระราชอัธยาศัย ว่าประพฤติและปฏิบัติอย่างไร จักได้จดจำนำมาปฏิบัติต่อไป

...๓. เมื่ออยู่นานไป ได้รู้เช่นเห็นช่องในกิจการบ้างแล้ว ก็จะได้พากเพียรเฝ้าแหนมิให้ขาดได้

...๔. เมื่อใดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรัสใช้การงานแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะตั้งใจกระทำให้ดีที่สุด สมพระราชหฤทัยประสงค์ให้จงได้

...๕. ต่อไปถ้าได้เห็นว่าทรงพระเมตตาขึ้นบ้างแล้ว แม้สิ่งใดจะมิได้ทรงรับสั่งใช้แต่สามารถจะกระทำได้ ก็จะกระทำโดยมิได้คิดเหนื่อยยากเลย

...๖. เมื่อตระหนักแน่แก่ใจว่าทรงโปรดอย่างใดแล้ว ก็จะได้ชักชวนคนทั้งหลาย ให้ช่วย กันกระทำในสิ่งที่ชอบพระราชอัชฌาสัย

...๗. เมื่อได้กระทำดังนี้แล้ว หากจะไม่ทรงพระเมตตา ก็จะไม่น้อยเนื้อต่ำใจอย่างใด จะนึกเพียงว่าเป็น “อกุศลกรรม” ที่ได้กระทำไว้แต่ปางหลังเท่านั้น และจะคงกระทำความดีอยู่เช่นนั้นโดยมิเสื่อมคลาย...”

แล้วนางได้ยกอุทาหรณ์นิทานเรื่อง “นกกระต้อยตีวิด” และเรื่อง “ช้างแสนงอน” มาเล่าประกอบด้วย พระศรีมโหสถและบรรดาญาติมิตรทั้งหลาย ต่างได้ฟังก็มีความยินดีใน สติปัญญาของนางเป็นอันมาก และพากันสรรเสริญอำนวยพรอยู่ทั่วกัน...


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 24/11/17 at 06:32

ตอนที่ 8

(Update 8 ธันวาคม 2560)


การกระทำเพื่อความมีชื่อเสียง


"ในวาระสุดท้ายท่านบิดาได้ตั้งปัญหาถามต่อไปว่า...

“...ลูกจะคิดสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างไร ให้ตนเองมีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในแผ่นดิน?...”

นางนพมาศก็ตอบว่า
“...อันจะกระทำการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดิน จนมีชื่อเสียงปรากฏเลื่องลือนั้นสำหรับสตรีกระทำได้ยากนัก ถ้าเป็นบุรุษอาจจะกระทำได้หลายประการ เช่น

ทำการรณรงค์สงคราม ทำกิจการงานพระนคร ในสิ่งที่ยากลำบากให้สำเร็จได้ด้วยดี หรือวินิจฉัยถ้อยความให้เป็นไปโดยยุติธรรม หรือจะหาของวิเศษอัศจรรย์มาทูลเกล้าถวายเหล่านี้เป็นต้น

แต่ราชการฝ่ายสตรีที่สำคัญก็คือราชการในพระราชวัง ซึ่งก็ตกเป็นพระราชภาระของพระอัครมเหสีทั้งสองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นใน ส่วนตัวของลูกก็จะมีแต่ความจงรักภักดี ตั้งใจสนองพระเดชพระคุณด้วยความกตัญญูกตเวทีอันสะอาดบริสุทธิ์

แม้ในการนั้นหากจำเป็นจะต้องเสียทรัพย์สินส่วนตัวมากเพียงใด หรือแม้ถึงกับจะต้องเสียสละเลือดเนื้อหรือชีวิตก็ดี ก็เต็มใจอุทิศถวายสนองพระเดชพระคุณโดยมิได้อาลัย

อนึ่ง ในการปฏิบัติให้ทรงพระเมตตานั้นลูกปรารถนาที่จะให้ทรงโปรดปรานแต่ในความดีของลูกเท่านั้น การที่จะใช้เสน่ห์เล่ห์กลเวทมนตร์คาถา และกลมารยาต่างๆ เพื่อให้ทรงเมตตาโปรดปรานนั้น

ลูกจะละเว้นไม่ประพฤติเป็นอันขาด หรือแม้ลูกจะได้ดีมียศถาบรรดาศักดิ์เพียงใดก็ดี ก็จะยิ่งกระทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จะไม่กำเริบใจว่าทรงรักใคร่แล้วเล่นตัว หรือกดขี่เหยียดหยามผู้อื่น...”

แล้วนางได้ยกอุทาหรณ์นิทานเรื่อง “นางนกกระเรียนคบนางนกไส้ช่างยุ” มาประกอบด้วย ในที่สุดนางก็สรุปว่า...

“อันนิทานที่ยกมาเล่านี้ ก็เพื่อให้ผู้ฟังจำไปสอนใจตนเองว่า อย่าประพฤติเป็นคนต้นตรงปลายคด และการคบมิตรก็ต้องคบที่เป็นกัลยาณมิตร นักปราชญ์จึงจะสรรเสริญ

อันว่าการคิดถูกและคิดผิด พูดจริงและพูดเท็จ ใจซื่อและใจคด ยั่งยืนและโลเล เรียบร้อยและเล่นตัว สุภาพและดีดดิ้น ปกติและมารยา มักตื่นและมักหลับ มีสติและหลงลืมอุตสาหะและเกียจคร้าน ทำดีและทำชั่ว หรือกัลยาณมิตรและบาปมิตร

บรรดาของคู่กันเหล่านี้ จะประพฤติอย่างหนึ่ง และละเสียอย่างหนึ่งเช่นนี้ ลูกก็สามารถจะเป็นผู้มีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในแผ่นดินได้...”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 1/12/17 at 08:31

ตอนที่ 9

(Update 15 ธันวาคม 2560)


ประวัตินางนพมาศ (จบ)


"....พระศรีมโหสถและบรรดาญาติมิตรผู้นั่งฟังอยู่ ณ ที่นั้นก็แซ่ซ้องสาธุการอยู่ทั่วกัน ในคืนนั้น นางเรวดีผู้มารดาก็ได้ให้โอวาท แก่นางอีกเป็นอันมาก กล่าวคือ..มิให้ตั้งอยู่ในความประมาท ให้เคารพแก่ผู้ควรเคารพ ให้ประพฤติจริตกิริยาในเวลาเฝ้าแหนหมอบคลานให้เรียบร้อย

ให้แต่งกายเรียบร้อยงามสะอาดต้องตาคน ประพฤติตนให้ถูกใจคนทั้งหลายฝากตัวแก่เจ้าขุนมูลนาย คอยระวังเวลาราชการอย่าให้ต้องเรียกหรือต้องคอย ต้องหูไวจำคำให้มั่น อย่าถือตัวหยิ่งจองหอง ให้เกรงกลัวอัครมเหสี ทั้งสอง เป็นต้น นางนพมาศก็รับคำเป็นอันดี

ครั้นรุ่งเช้าเป็นวันศุกร์เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๐ ค่ำ จุลศักราช ๖ ปีมะโรง ฉ ศก อันเป็นเวลา ที่นางมีอายุนับปีได้ ๑๗ ปี นับเดือนได้ ๑๕ ปี กับ ๘ เดือน ๒๔ วัน

นางเรวดีผู้มารดา ได้ให้แต่งกายอันประดับด้วยอาภรณ์นานาชนิดมาคำนับลาบิดาและบรรดาญาติ แล้วขึ้นระแทะไปกับมารดา มีบ่าวไพร่ติดตามไปพอสมควรเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง

นางเรวดีได้นำไปยังจวน “ท้าวจันทร นาถภักดี” และ “ท้าวศรีราชศักดิ์โสภา” ซึ่ง เป็นใหญ่ในชะแม่พระกำนัล เพื่อนำขึ้นเฝ้า "สมเด็จพระร่วงเจ้า" อันมีพานข้าวตอกดอกมะลิ พานข้าวาร พานเมล็ดพันธุ์ผักกาด พานดอก หญ้าแพรก ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายด้วย

สมเด็จพระร่วงเจ้าทรงรับและมีพระราชปฏิสันถารกับนางเรวดีพอสมควร และพระราชทานรางวัลพอสมควรแก่เกียรติยศ แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้นางนพมาศเข้ารับราชการในตำแหน่ง “พระสนม” นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา...

ฉะนั้น ด้วยคุณความดีที่นางได้นำมาเป็นหลักปฏิบัติดังกล่าวนี้ ต่อมานางนพมาศได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “ท้าวศรีจุฬาลักษณ์” ตำแหน่งพระสนมเอก จึงได้รับการยกย่องเชิดชูว่า เป็นแบบอย่างของกุลสตรีไทย ที่สืบทอดวัฒนธรรมและจริยประเพณี

เพื่อผูกพันกับสถาบันชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ก็ยังมีการจัดริ้วขบวนแห่นางนพมาศ ลอยกระทงทรงประทีป จุดดอกไม้เพลิง เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ณ ริมฝั่งน้ำนัมทา โดยยึดถือเป็นประเพณีประจำชาติไทยกันตลอดมา


(โปรดติดตามต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 8/12/17 at 07:38

[ ตอนที่ 10 ]

(Update 22 ธันวาคม 2560)


ประวัติ "รอยพระพุทธบาททั้ง ๕ แห่ง"


" .....สําหรับรอยพระพุทธบาทที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ซึ่งได้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นมีอยู่ ๕ แห่ง ดังนี้คือ

...๑. สุวัณณมาลิก
...๒. สุวัณณบรรพต
...๓. สุมนกูฏ
...๔. โยนกปุระ
...๕. นัมทานที


ตามความเชื่อของคนโบราณต่างมีความเชื่อถือมานานแล้วว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต หากได้มีโอกาสไปนมัสการรอยพระพุทธบาท นับว่ามีบุญวาสนาเป็นอย่างยิ่ง จึงมีประเพณีพากันเดินไปนมัสการรอยพระพุทธบาท โดยเตรียมเสบียงอาหารไปกินระหว่างทาง

แม้สมัยหลวงพ่อบวชอยู่กับ หลวงปู่ปาน ท่านก็ได้นำคณะธุดงค์ไปกราบ "รอยพระพุทธบาท" และ "พระฉาย" ที่จังหวัดสระบุรีเช่นกัน

ต่อมาในสมัยปัจจุบันนี้ถนนหนทางดีขึ้น ประเพณีเดินไปนมัสการพระพุทธบาทก็เริ่มเสื่อมหายไป เพราะใครจะไปเมื่อไรก็ได้ เนื่องจากมีความสะดวกเกินไปนั่นเอง

ความศรัทธาในเรื่อง "รอยพระพุทธบาท" จึงเริ่มจืดจางความสำคัญไป แต่ที่ยังมีความเชื่อความเลื่อมใสก็ยังมีอีกมากมาย เช่นที่รอยพระพุทธบาทบน เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี

โดยเฉพาะเนื่องในวโรกาสครบรอบ ๖๐ พรรษา ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีการจัดสร้าง รอยพระพุทธบาทจำลองทองคำ เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองอีกด้วย เวลานี้หลังจากพระราชพิธีพุทธาภิเษกแล้ว ได้นำไปประดิษฐานไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

สำหรับวัดของเราเคยมีข่าวดีในเรื่องนี้เช่นกัน นั่นคือมีการเททอง "รอยพระพุทธบาทจำลอง" เพื่อนำไปประดิษฐานไว้ที่โบสถ์เก่า เป็นการทดแทนรอยพระพุทธบาทเดิมที่หายไป ตั้งแต่สมัยเจ้าอาวาสองค์เก่าแล้วนั้น

ต่อไปขอนำความเชื่อถือของคนสมัยก่อน เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ยังปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ใบลาน หรือศิลาจารึก ยังสามารถค้นหามาอ้างอิงได้ เพื่อเป็นการสานต่อความเชื่อถือระหว่างคนสมัยก่อนกับคนสมัยนี้ และเพื่อสืบต่อไปยังคนรุ่นหลังอีก

ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงได้ริเริ่มฟื้นฟู "รอยพระพุทธบาท" ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับไว้ เพื่อเรียกความศรัทธาให้กลับมาเหมือนเดิม แต่ก่อนที่จะนำหลักฐานต่างๆ มาอ้างอิงนั้น ใคร่ขอนำหลักฐานจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้มาให้ทราบก่อน

ซึ่งตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายท่านวิเคราะห์แตกต่างกันไป ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่า รอยพระพุทธบาททั้ง ๕ แห่ง ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น ในปัจจุบันนี้จะเป็นสถานที่ใด และอยู่ในประเทศไหนบ้าง เป็นต้น

แต่บางแห่งก็วิเคราะห์ลงเป็นแนวเดียวกัน ที่มีปัญหาถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุดจนถึงปัจจุบันนี้ มีด้วยกัน ๒ แห่ง คือ รอยพระพุทธบาทที่ ๔ และที่ ๕ คือ "โยนกปุระ" และ "นัมทานที"


...ในตอนนี้ ผู้เขียนขอนำคำวิเคราะห์ของ ดร.นันทนา ชุติวงศ์ ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ "รอยพระพุทธบาท" ที่ได้กล่าวถึงรอยพระพุทธบาทที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทยอินเดีย ลังกา และพม่า จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์เมืองโบราณ โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาท ๕ แห่งนั้น ท่านวิเคราะห์ไว้ดังนี้


..."สุวัณณมาลิก" คงจะได้แก่ที่ตั้งพระสถูป รุวันเวลิ ที่อนุราธปุระ ในลังกา
..."สัจจพันธ์คีรี" คือเขาสุวรรณบรรพต ที่สระบุรี
..."สุมนกูฏ" อันอาจจะหมายถึง "เขาสุมนกูฏ" ในลังกา หรือ "เขาพระบาทใหญ่" ที่สุโขทัย
..."แม่น้ำนัมทา" ในอินเดีย หรือในพม่า
..."โยนกปุระ" โยนกปุระที่กล่าวถึงนี้ อาจจะหมายความถึงดินแดนภาคเหนือของไทย ที่เคยเป็นอาณาจักรล้านนา และ อาณาจักรโยนก


ดร.นันทนา ได้ให้ความเห็นต่อไปว่า มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ภาพเขียนฝาผนัง หรือลายทองรดน้ำบนตู้พระธรรม สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่แสดงเรื่องรอยพระพุทธบาท ๕ รอยที่มีอยู่ซ้อน

และรอยนี้มักจะปรากฏอยู่ทางทิศเหนือของแผ่นภาพ อาจจะหมายถึงรอยพระพุทธบาทที่ "โยนกปุระ" ซึ่งได้แก่ "อาณาจักรล้านนา" อันมีประเพณีการทำพระบาท ๔ รอยมาก่อนที่อื่น และนิยมทำมากกว่าที่อื่นๆ


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 15/12/17 at 08:14

[ ตอนที่ 11 ]

(Update 29 ธันวาคม 2560)


รอยพระพุทธบาทที่ ๔ โยนกปุระ


(พระพุทธบาทสี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่)


" .....ตามที่ผู้เขียนได้นำข้อวินิจฉัยของ "ดร.นันทนา ชุติวงศ์" ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ "รอยพระพุทธบาท" ที่ได้กล่าวถึงรอยพระพุทธบาทที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย อินเดีย ลังกา และพม่า จัดพิมพ์โดย "สำนักพิมพ์เมืองโบราณ" โดยเฉพาะ "รอยพระพุทธบาท ๕ แห่ง" นั้น ท่านวิเคราะห์ "รอยพระพุทธบาทที่ ๔ โยนกปุระ" ไว้ว่า...

"...โยนกปุระที่กล่าวถึงนี้ อาจจะหมายความถึงดินแดนภาคเหนือของไทย ที่เคยเป็นอาณาจักรล้านนา และ อาณาจักรโยนก.."

...ข้อวินิจฉัยตรงนี้มีความสำคัญมาก "ดร.นันทนา" อาจจะหมายถึง พระพุทธบาทสี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งชื่อเดิมเรียกกันว่า "พระพุทธบาทเขารังรุ้ง" แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรมารับรอง เพราะท่านผู้อ่านก็ยังสงสัยอยู่ว่า "พระพุทธบาทสี่รอย" จะเป็น "รอยพระพุทธบาทที่ ๔" ได้อย่างไรกัน

แต่นับเป็นความโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เราสามารถค้นหาหลักฐานมายืนยันกันได้ จากข้อวินิจฉัยของ ดร.นันทนา ว่า "รอยพระพุทธบาทที่ ๔ โยนกปุระ" นั้น อาจจะเป็นที่ พระพุทธบาทสี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

ซึ่งผู้เขียนจะได้นำ "ประวัติพระพุทธบาทสี่รอย" มาให้อ่านก่อน แล้วจะนำข้อความในศิลาจารึกมารับรองอีกว่า "พระพุทธบาทสี่รอย" หรือ "พระพุทธบาทเขารังรุ้ง" นี้

จะเป็นพระพุทธบาทที่ประทับไว้ ณ โยนกบุรี ซึ่งเป็นรอยพระพุทธบาทที่ ๔ ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกหรือไม่ ส่วนจะมีเหตุผลเป็นประการใด ก็ฝากไว้ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้ช่วยกันวินิจฉัยต่อไป


ความเป็นมาของพระพุทธบาทสี่รอย


...ตามความในหนังสือ “ประวัติความเป็นมาของพระพุทธบาทสี่รอย” ภายในเล่มนั้นเริ่มต้นเป็น “คำปรารภ” ของ พล.อ.เชิดชาย ธีรัทธานนท์ (อดีต ผช.ผบ.ทบ.๒)

สรุปโดยย่อว่า ได้เป็นผู้จัดพิมพ์เผยแพร่ตามที่ พระพรชัย ปิยวัณโณ เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นผู้คัดลอกมาจากคำที่จารึกใน “ใบลาน” เก่าแก่มาก เป็นภาษาเหนือ (ล้านนา) โดยได้แปลเป็นภาษาไทยกลาง เพื่อความเข้าใจของผู้อ่านทั่วไป แต่ในที่นี้จะขอนำมาโดยย่อ ตามตำนานได้เล่าว่า...


....เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ พร้อมด้วยพระสาวก ๕๐๐ องค์ ได้เสด็จจารึกมายังประเทศนี้ โดยแวะฉันภัตตาหารอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ ซึ่งขณะนั้นมีชื่อว่า “เวภารบรรรต”

ขณะประทับอยู่นั้น ก็ได้ทราบว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่แล้วทั้ง ๓ พระองค์ คือ พระกกุสันโธ รอยที่ ๑ พระโกนาคม รอยที่ ๒ พระพุทธกัสสป รอยที่ ๓

และต่อไป พระศรีอาริย์ ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี้ และจักประทับรอยพระบาททั้งสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาท ซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ไว้ ดังนี้


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/12/17 at 08:06

[ ตอนที่ 12 ]

(Update 5 มกราคม 2561)


รอยพระพุทธบาทที่ ๔ โยนกปุระ (ต่อ)


.....ในตอนนี้ พระเดชพระคุณ "หลวงปู่สิม" วัดถ้ำผาปล่อง ก็ได้ยืนยันไว้เช่นกันในหนังสือ "พุทธาจารานุสรณ์" ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๖ ว่า..

“.....ในเขตเชียงใหม่นี้ ยังมีพระบาทสี่รอยอยู่ในเขตอำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขา หลวงปู่ผู้เทศน์ไปดูมาแล้ว ไปกราบไปไหว้ มันเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนสี่เหลี่ยมขึ้นไปอยู่ข้างริมแม่น้ำ

พระพุทธเจ้ากกุสันโธได้มาตรัสรู้ในโลก ท่านก็มาเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ในยอดก้อนหินนั้น ยาวขนาด ๑๒ ศอก...ขนาดนั้น พระพุทธเจ้ากกุสันโธก็โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย นำพระสาวก อุบาสก อุบาสิกาไปสู่นิพพาน

เมื่อหมดศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันโธแล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าโกนาคมโนก็มาตรัสมาสอนรื้อขนสัตว์ไปอีก ก่อนนิพพาน ท่านก็มาเหยียบไว้ที่พระบาทแม่ริมนี้ เป็นรอยที่สอง (ขนาด) ลดลงมา คือคนสมัยนั้นก็เรียกว่า มันกำลังทดลง ไม่ได้ใหญ่ขึ้น (ตัวเล็กลง)

เมื่อพระพุทธเจ้าโกนาคมโนนิพพานไปพร้อมด้วยสาวกแล้ว ศาสนธรรมคำสอนท่านหมดไป ก็มาถึงพระสั มมาสัมพุทธเจ้ากัสสโป มาตรัสรู้ ท่านก็มาเหยียบไว้ ได้สามรอยละ....

เมื่อศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสโป หมดไปแล้ว มาถึงศาสนาพระพุทธเจ้าของเราในปัจจุบันนี้ ให้ชื่อว่า พระพุทธเจ้าโคตมโคตร พระพุทธเจ้าโคดมมาตรัสรู้ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ก็มาเหยียบรอยพระบาทไว้ในก้อนหินก้อนเดียวกัน จึงให้ชื่อว่า “พระพุทธบาทสี่รอย”


หลวงพ่ออุตตมะ ได้กล่าวถึง “พระบาทสี่รอย” เอาไว้ว่า “.....พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เราเคยได้ธุดงค์ไปกราบมาแล้ว...

สมัยก่อน ตอนที่เรายังธุดงค์อยู่ในเขตภาคเหนือนั้น เราเคยได้ยินเขาเล่าลือกันว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่ที่โยนกนคร (ปุระ) เราก็ธุดงค์ไปหาอยู่ สมัยที่เราไปนั้น เป็นราว พ.ศ. ๒๔๙๐ ถนนหนทางยังไม่มี เราต้องธุดงค์ข้ามเขาไปหลายลูก จึงไปถึงพบเป็น ๔ รอยพระบาท...

พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ทางเมืองนอก (พม่า) เขาก็รู้ และเสาะหาอยู่เหมือนกัน คิดกันไปว่าน่าจะอยู่ในเขตพม่า แต่จริงๆแล้ว ก็มาอยู่ที่เมืองไทยเรานี่แหละ....พระพุทธบาทสี่รอยนี่ เป็นของจริง จริงๆ นะ.....”


ส่วนข้อความในหนังสือ "ประวัติพระพุทธบาทสี่รอย" ได้กล่าวต่อไปอีกว่า...

"....เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงแล้วประมาณ ๒๐๐๐ วัสสา เทวดาทั้งหลายต้องการจะให้ “พระพุทธบาทสี่รอย” ปรากฏแก่คนทั้งหลาย จึงเนรมิตเป็น “รุ้ง” (เหยี่ยว) ตัวใหญ่ บินโฉบลงมาเอาลูกไก่ของชาวบ้านที่อยู่เชิงเขานั้น แล้วก็บินกลับขึ้นไปสู่ยอดเขา

ชาวบ้านผู้นั้นก็โกรธมาก จึงตามขึ้นไปแต่ก็ไม่เห็น “รุ้ง” ตัวนั้น เห็นแต่รอยพระพุทธบาทสี่รอย จึงได้ลงมาบอกเล่าแก่ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็พากันขึ้นไปสักการบูชามากมาย แต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่า “พระบาทรังรุ้ง” (รังเหยี่ยว)

ในสมัยนั้น "พระยาเม็งราย" ครองเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงเสด็จขึ้นไปกราบไหว้บูชา และพระราชาที่สืบราชสมบัติต่อมา ก็ได้ขึ้นไปกราบพระพุทธบาทสี่รอยทุกๆ พระองค์ หลังจากนั้น "พระบาทรังรุ้ง" หรือ "รังเหยี่ยว" นี้ จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น "พระพุทธบาทสี่รอย" ซึ่ง "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" ท่านได้สร้างพระวิหารครอบรอยพระพุทธบาทไว้เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒

ต่อมาในสมัยปัจจุบันนี้ "ท่านครูบาพรชัย" และชาวเชียงใหม่ ตลอดถึงจังหวัดต่างๆ ซึ่งรวมทั้งคณะศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ก็ได้ไปทอดกฐินเพื่อสมทบทุนบูรณะปฏิสังขรณ์พระวิหาร จนกระทั่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และมีความสวยสดงดงามมาก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖

เมื่อท่านผู้อ่านได้ติดตามมาถึงตอนนี้ ก็คงจะเริ่มเห็นเหตุเห็นผลไปตามหลักฐานอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่มีอะไรมายืนยันข้อสันนิษฐานของ ดร.นันทนา ว่า "พระบาทสี่รอย" หรือ "พระบาทรังรุ้ง" จะเป็นพระบาทรอยที่ ๔ ที่ทรงประทับไว้ ณ โยนกปุระ ที่นักประวัติศาสตร์ นักโปราณคดีทั่วโลก ต่างก็ค้นหากันมานาน

แต่เมื่อผู้เขียนได้พบข้อความจากหนังสือ "ย่อประวัติวัดพระเชตุพน" ซึ่งคัดมาจากศิลาจารึก อันติดอยู่ที่พื้นผนังกำแพงมุขหลังของพระวิหาร อันเป็นที่ประดิษฐานพระนาคปรก ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ข้อความในศิลาจารึกได้บรรยายเรื่องพระพุทธบาททั้ง ๕ แห่ง โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่ ๔ "โยนกปุระ" ได้จารึกไว้ว่า


"...รอยพระพุทธบาทอันพระพุทธเจ้าทรงประดิษฐานไว้บนยอดเขา "รังรุ้ง" แดนโยนกประเทศ คือเมืองเชียงใหม่..." ดังนี้

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 29/12/17 at 06:20

[ ตอนที่ 13 ]

(Update 12 มกราคม 2561)


สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช


....เรื่อง "พระพุทธบาทเขารังรุ้ง" หรือรังเหยี่ยวนี้ ยังมีกล่าวไว้ในหนังสือสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกเล่มหนึ่ง ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นั่นก็คือหนังสือ "คำให้การขุนหลวงหาวัด" ได้บรรยายความตอนนี้ไว้ว่า

"...สมัยสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปรบที่เมืองห่าง พระองค์ทรงทราบว่ามีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขา เรียก "เขารังรุ้ง" จึงได้เสด็จขึ้นไปนมัสการ

พระองค์ได้ทรงเปลื้องเครื่องทรงทั้งสังวาลและภูษา แล้วทรงถวายไว้ในรอยพระพุทธบาท และทำสักการบูชาด้วยธง ธูปเทียน ข้าวตอกดอกไม้ มีเครื่องทั้งปวงเป็นอันมาก แล้วจึงทำการพิธีสมโภชอยู่เจ็ดราตรี ดังนี้,,"


...เป็นอันว่า เมื่อผู้เขียนได้นำหลักฐานต่างๆ เหล่านี้มาเทียบเคียงกันแล้ว ท่านผู้อ่านคงจะสรุปได้ว่า

"รอยพระพุทธบาทที่ ๔ โยนกบุรี" ตามที่หากันมานานนั้น บัดนี้ได้เปิดเผยความจริงแล้วว่า อยู่ในผืนแผ่นดินไทยในภาคเหนือนี่เอง

รวมความว่า พระพุทธบาท ๕ รอยนั้น ประดิษฐานอยู่ที่ลังกา ๒ แห่ง คือ รอยที่ ๑ "สุวัณณมาลิก" และรอยที่ ๓ "สุมนกูฏ" ส่วนรอยที่ ๒ "สุวรรณบรรพต" และรอยที่ ๔ "โยนกปุระ" และรอยที่ ๕ "นัมทานที" ก็คงอยู่ในประเทศไทยนี่เอง

ถ้าดูตามแผนที่ประเทศไทยแล้วจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าได้ประทับไว้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ คือ..

...ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่
...ภาคกลาง คือ สระบุรี และ
...ภาคใต้ คือ ภูเก็ต

อันเป็นการครอบคลุม "อาณาจักร" และ "พุทธจักร" ไว้ด้วยกัน เป็นการประทับไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะรวมกันเป็นประเทศไทยอย่างสมัยปัจจุบันนี้

อีกทั้งเป็นการกำหนดขอบเขตให้เป็นเมืองผ้ากาสาวพัสตร์ ที่จะต้องโบกสะบัดไปไม่มีที่สิ้นสุด ตราบเท่าครบอายุพระศาสนา ๕๐๐๐ ปี

หลังจากพระพุทธองค์ทรงปรินิพพานแล้ว "รอยพระพุทธบาท" ในประเทศไทยยังมีอีกหลายแห่ง แต่ที่มีชื่อเสียงและปรากฏในพระไตรปิฎก มีเฉพาะตามที่กล่าวมาแล้วนั้น


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 5/1/18 at 08:01

[ ตอนที่ 14 ]

(Update 20 มกราคม 2561)


รอยพระพุทธบาทที่ ๕ นัมทานที



....อันดับต่อไปจะขอกล่าวถึง "รอยพระพุทธบาทที่ ๕" ที่พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานไว้ ณ ริมฝั่งน้ำนันทา

ตามที่ชาวประชาไทยได้สักการบูชาด้วยโคมกระทง โดยการประดิษฐ์คิดกระทำให้เป็นรูป "ดอกบัว" อันเป็นสัญลักษณ์เฉพาะผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธจ้าเท่านั้น

ถ้าเราจะศึกษาตามประเพณีนิยมจากประเทศต่างๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน มีแต่ประเทศไทยเท่านั้น ที่มีวิธีการบูชารอยพระพุทธบาทแห่งนี้ ที่ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ

อีกทั้งยังรักษารูปแบบประเพณีนี้ไว้ ซึ่งกระทําสืบต่อกันมานานหลายชั่วคนแล้ว แต่ความเชื่อถือของผู้ค้นคว้าทั้งหลายยังไม่แน่ชัดว่าอยู่ที่ไหน

ในบางประเทศอ้างว่ารอยพระพุทธบาทแห่งนี้อยู่ในประเทศของตน ทำให้นักค้นคว้าต่างมองข้ามความสำคัญประเทศไทยไปทั้งสิ้น ค้นไปค้นมานักรู้บางท่านถึงกับไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมายังดินแดนแห่งนี้

บางท่านก็มุ่งเน้นแต่ค้นคว้า "รอยพระพุทธบาทจําลอง" ว่าเป็นสมัยใดบ้าง ใครเป็นผู้สร้างบ้าง เป็นต้น เลยมองข้ามความสําคัญของพระพุทธบาทที่เป็นของจริงไป

โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่ "เกาะแก้วพิสดาร" จ.ภูเก็ต พวกนักสํารวจรอยพระพุทธบาททั้งหลายไม่เคยให้ความสนใจเลย

คนไทยสมัยใหม่เลยไม่ค่อยได้รู้ของจริง ความเชื่อความนิยมในการบูชารอยพระพุทธบาท จึงได้เริ่มเสื่อมหายคลายความศรัทธาไปในที่สุด...


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 12/1/18 at 05:59

[ ตอนที่ 15 ]

(Update 28 มกราคม 2561)


นิราศถลาง


" ....สำหรับความนิยมของคนสมัยก่อน อาจจะหาหลักฐานได้ยาก พอดีมีผู้ส่งคำกลอนจากหนังสือวรรณกรรมของสุนทรภู่ ที่ได้บรรยายการเดินทางมายังดินแดนปักษ์ใต้ เมื่อเกือบ ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา โดยบันทึกเหตุการณ์ไว้เป็นบทกลอนดังนี้

"...มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาท
ที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร
พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์
ประณมกรอภิวาทบาทบงสุ์

จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อม
รินน้ำหอมปรายประชำระสรง
แล้วกราบกรานคลานหมอบยอบตัวลง
เหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา

พี่พบต้องมองแลพระลายลักษณ์
เหมือนประจักษ์จริงจังไม่กังขา
มีทั้งร้อยแปดอย่างกระจ่างตา
เป็นดินฟ้าพรหมอินทร์สิ้นทั้งปวง

มีขอบเขาจักรวาฬวิมานมาศ
ห้องอากาศเมรุไกรอันใหญ่หลวง
พระสุริยันจันทราดาราดวง
มีทั้งห้วงนทีสีทันดร

นาคมนุษย์ครุฑาสุรารักษ์
ทั้งกงจักรห้องแก้วธนูศร
สกุณินกินนราวิชาธร
มีไกรสรเสือช้างและกวางทราย
.
มีอยู่พร้อมเพริศพริ้งทุกสิ่งสรรพ์
ดูอนันต์นับยากด้วยมากหลาย
ยิ่งพิศดูก็ยิ่งงามอร่ามพราย
ด้วยแสงทรายแวววามอร่ามเรือง
.
มีบัวบุษย์ผุดรับระยับวาบ
ดูเปล่งปลาบแวววาวเขียวขาวเหลือง
พื้นพระบาทผุดผ่องดังทองประเทือง
ดูรุ่งเรืองด้วยทรายนั้นหลายพรรณ
.
ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาด
ดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์
ดูก็น่าผาสุกสนุกครัน
ด้วยสีสันแสงพรายหลายประการ


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 20/1/18 at 04:55

[ ตอนที่ 16 ]

(Update 5 กุมภาพันธ์ 2561)


นิราศถลาง (ต่อ)


" ....พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบ
ศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน
พระสุริยงลงลับโพยมมาน
ก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา

บ้างรำเต้นเล่นตามประสายาก
พิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะนักหนา
บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภา
ตามวิชาใคร่ถนัดไม่ขัดกัน

อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาด
ไหว้พระบาทปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวัน
บ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย

บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์
ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย
พวกลายแทงก็แสวงไปตามลาย
เที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป

บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่น
มาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาสัย
บ้างลงเล่นยมนาชลาลัย
เห็นเต่าใหญ่ขึ้นหาดดาษดา

ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้าง
ให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา
เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮา
กลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป

เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนาน
ในกลางย่านยมนาชลาไหล
แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจ
แสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ

ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับ
ก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร
นิราศนุชสุดใจไปไกลนาน
แต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา

ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์
พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา
ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณนา
ยุติกาจบกันเท่านั้นเอย..."
.

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 28/1/18 at 04:58

[ ตอนที่ 17 ]

(Update 13 กุมภาพันธ์ 2561)


ความเป็นมา "รอยพระพุทธบาทที่ ๕"



(ทิวทัศน์บริเวณด้านหน้าและด้านหลัง เกาะแก้วพิสดาร จ.ภูเก็ต
จะเห็นก้อนหินเป็นรูป "ช้างหมอบ" อยู่ใกล้รอยพระพุทธบาท)


" ....สำหรับประวัติความเป็นมาเรื่อง "รอยพระพุทธบาทที่ ๕" ณ นัมทนานที มีความสำคัญมาก เพราะนักค้นคว้าประวัติศาสตร์ ต่างก็ค้นคว้าหากันมานานแล้ว โดยเฉพาะประเทศต่างๆ เช่น พม่า ลังกา ต่างก็อ้างว่าอยู่ในประเทศของตน บางคนก็เข้าใจว่าอยู่ในประเทศอินเดียก็มี

ต่อมาเมื่อได้พบหลักฐานจาก “กเบื้องจาร” ซึ่งฝังอยู่ใต้ดินบริเวณ "บ้านคูบัว" จังหวัดราชบุรี ทำให้เราได้รู้ความจริงว่า รอยพระพุทธบาทที่ ๕ หรือตามประวัติที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า

พระพุทธองค์ทรงประทานรอยพระพุทธบาทนี้ไว้ให้ "พญานาคราชทั้งหลาย" ได้สักการบูชานั้น ไม่ได้อยู่ที่ประเทศไหนตามที่เข้าใจกัน ความจริงอยู่ในปรเทศไทยนี่เอง

อีกทั้งความเชื่อถือของชาวใต้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ต่างก็มีความเคารพเลื่อมใส พากันไปกราบไหว้บูชาอยู่เสมอมา ทั้งได้ประสบพบกับความ “พิสดาร” อีกนานัปการ

คนที่ไม่มีความเคารพต่างก็ประสบภัยพิบัติกันไปแล้วหลายราย โดยเฉพาะวัตถุสิ่งของที่นั่น แม้แต่ทรายเม็ดเดียวยังเอากลับมาไม่ได้

เพราะฉะนั้นเราพอจะสรุปกันเพียงผิวเผินได้ว่า ถ้าไม่ใช่ของจริงแล้วไซร้ คงจะไม่มีอะไรเป็นที่อัศจรรย์อย่าง แน่นอน

รอยพระพุทธบาท ๕ แห่ง

....แต่ก่อนที่ถึงเรื่องราวทั้งหลายต่อไป จะขอย้อนกล่าวถึงรอยพระพุทธบาททั้ง ๕ แห่งอีกครั้ง ความจริงรอยพระพุทธบาทในประเทศไทยยังมีอีกมาก แต่เท่าที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกจนเป็น ที่ยอมรับของท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายนั้น มีปรากฏอยู่ในพระบาลีดังนี้ คือ :-


๑. สุวรรณมาลิก (ลังกา)
๒. สุวรรณบรรพต (สระบุรี)
๓. สุมนกูฏ (ลังกา)
๔. โยนกปุระ (เชียงใหม่)
๕. นัมทานที (ภูเก็ต)

....ข้อความในวงเล็บนั้น ผู้เขียนลงเอาไว้เพื่อความเข้าใจตามที่ได้ค้นคว้ามา ซึ่งจะหาอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์” ฉบับ ที่ ๑๕๖, ๑๖๓, ๑๖๔ (ปี ๒๕๓๗)

ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่ ๕ “นัมทานที” และ ความเป็นมา "รอยพระพุทธบาทที่ ๒ สุวรรณบรรพต (สระบุรี) ซึ่งได้ยืนยันไว้เป็นหลักฐานจากหนังสือ “พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์”

อ่านคำจารึกโดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต)วัดโสมนัสราชวรวิหาร กรุงเทพฯ มีใจความตามสำนวนสมัยเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมานี้เองว่า...


“บุญมุนี อยู่ถ้ำฤษี ผู้นำพุทธ สู่เกาะคนชาวน้ำ หมู่คนน้ำ เกาะแก้ว เข้ากราบไหว้ ห้อมล้อม พุทธสอนมาก หมู่คนขอรอยตีนไว้ ชายทเล พุทธเหยียบดิน ทำให้ใหญ่กว่า ๓ เท่า เมื่อวันขึ้น ๑๓ ค่ำนั้น พุทธมาถึงบ้านแม่กุน วันขึ้น ๑๔

พุทธ ปุณณ เดินทาง ไปเขาสัจจพันธ พาสัจจพันธ ไปส่งเขาสัจจพันธ อันสัจจพันภิกขุ วอนขอ รอยตีน อันเหยียบหินในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย เหยียบหิน เชิงเขานั้น

พุทธสร้างรอยตีน ณ หิน ทำรอยใหญ่กว่า ๓ เท่า เถรเดินภุ่มมือตลอดนั้น เสดแล้ว พระภิกขุพันหมอบกราบพุทธ พุทธว่าเขา-ตีนพุทธ”


ถ้าใช้สำนวนในปัจจุบันอ่านได้ดังนี้

“พระปุณณะ อยู่ถ้ำฤษี (เขางู จ.ราชบุรี) ผู้นำพระพุทธเจ้า สู่เกาะคนชาวน้ำ (ชาวเล) หมู่คนน้ำ เกาะแก้ว เข้ากราบไหว้ ห้อมล้อม

พระพุทธเจ้าสอนมาก หมู่คนขอรอยพระบาทไว้ที่ชายทะเล พระพุทธเจ้าทรงเหยียบดิน ทำให้ใหญ่กว่า ๓ เท่า เมื่อวันขึ้น ๑๓ ค่ำนั้น (เดือนอ้าย พุทธพัสสา ๒๒) พระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาถึงบ้านแม่กุน (เพชรบุรี) วันขึ้น ๑๔ ค่ำ

พระพุทธเจ้า พระปุณณะ เดินทางกลับไปที่เขาสัจจพันธ์ (สระบุรี) พาสัจจพันธ์ไปส่งที่เขาสัจจพันธ์ อันสัจจพันธ์ภิกขุทูลขอรอยพระพุทธบาท พระพุทธองค์จึงทรงเหยียบหินในวันขึ้น ๑๕ เดือนอ้าย เหยียบหินไว้ที่เชิงเขานั้น

พระพุทธเจ้าประทับรอยพระบาทบนก้อนหิน ทำรอยใหญ่กว่า ๓ เท่า พระเถระเดินพนมมือตลอดเวลา เสร็จแล้วพระภิกษุสัจจพันธ์จึงหมอบกราบพระพุทธเจ้า

พระองค์จึงตรัสว่า "เขาพระพุทธบาท" (คงจะทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปคนจะเรียกกันอย่างนั้น)...”


หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชกวี ได้วินิจฉัยเรื่องนี้ ไว้อีกว่า

.....“เท่าที่ปรากฏรอยตีนพุทธนี้ ย่อมทรงแสดงให้เห็นหลักฐาน พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระองค์ว่า ได้เสด็จตั้งแต่ใต้สุดถึงเหนือสุดของ ดินแดน “สุวัณณภูมิ” จึงเสด็จเพื่อทรงเหยียบแสดงรอยพระบาทเป็นประจักษ์พยานไว้ "สัจจพันธ์คีรี" (จังหวัดสระบุรี)

และที่ "เกาะแก้ว" (เกาะแก้วพิสดาร?) หรือ “นิมมทานที” (ไทยว่า..นัมมะทา) ซึ่งเป็นที่เลื่องลือมานาน กระทั่งถึงต่างประเทศคือลังกาและชมพูทวีป เพราะคำใน “อรรถกถา” (ปุณโณวาทสูตร) ยืนยันอยู่


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 5/2/18 at 04:55

[ ตอนที่ 18 ]

(Update 21 กุมภาพันธ์ 2561)


อรรถกถาปุณโณวาทสูตร



" ....ในตอนนี้ตามความใน "อรรถกถาปุณโณวาทสูตร คัมภีร์มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์" ซึ่งเป็นคำอธิบายของพระอรหันต์

อันแสดงให้เห็นชัดว่า "ปุณโณวาทสูตร" เป็นการเล่าเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จมายัง "เมืองไทย" พร้อมพระอรหันตสาวกทั้งหลาย นับว่าเป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดของพระพุทธองค์

หมายถึงพระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญในการเดินทางมาเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้ถึงกับร้อนถึงท่านปู่พระอินทร์ ท่านได้เล่าไว้ดังนี้ว่า

ในครั้งนั้น เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้ตรัสเรียกพระอานนท์มาสั่งว่า “อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ พรุ่งนี้พวกเราจะเที่ยวบิณฑบาตที่หมู่บ้านพ่อค้าในแคว้น "สุนาปรันตะ" เธอจงให้สลากแก่ภิกษุ ๔๙๙ รูป..”

เมื่อพระอานนท์รับพระพุทธบัญชาแล้วจึงได้ประกาศแก่ภิกษุทั้งหลาย และในวันนั้น "พระกุณฑธานเถระ" จับได้สลากเป็นองค์แรก

ในตอนเช้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งเข้าผลสมาบัติ "บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์" ของท้าวสักกเทวราชเกิดร้อนขึ้นมา

พระองค์ทรงพิจารณาแล้วทราบว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจะเสด็จไป "แคว้นสุนาปรันตะ" ซึ่งเป็นระยะทางไกลมาก จึงรับสั่งให้ "วิษณุกรรมเทพบุตร" เนรมิตเรือนยอด (มณฑป) ๕๐๐ หลัง

สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้ามี ๔ มุข (จตุรมุข) ของพระอัครสาวกทั้งสองมี ๒ มุข ที่เหลือมีมุขเดียว พระศาสดาทรงเข้าสู่เรือนยอด และ พระสาวก ๔๙๙ รูป

ต่างเข้าสู่เรือนยอด ๔๙๙ หลังตามลำดับ โดยมีเรือนยอดว่างอยู่หลังหนึ่ง เรือนยอดทั้ง ๕๐๐ หลังนั้นลอยไปในอากาศ

ครั้นถึงภูเขาชื่อ “สัจจพันธ์” แล้วทรงหยุดเรือนยอดไว้ในอากาศ ทรงเทศน์โปรดท่าน "สัจจพันธ์ฤาษี" จนสำเร็จพระอรหันต์แล้ว จึงได้เข้าสู่เรือนยอดที่ว่างหลังนั้น

เพื่อตามเสด็จไปพร้อมกับพระภิกษุทั้งหลายมายังหมู่บ้านพ่อค้า (เพชรบุรี) ที่เป็นน้องชายของ "พระปุณณะ" ต่างก็ได้ถวายทานเป็นอันมากแด่พระภิกษุทั้งหลาย

อันมีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน เมื่อพระศาสดาประทับในที่นั้น ๒ - ๓วัน จึงได้เสด็จไปโปรด “นัมทานาคราช”


คำอธิบาย

ซึ่งตามในจารึกกเบื้องจารได้บอกว่า พระศาสดาได้เสด็จโปรด “คนน้ำ” ที่เกาะแก้ว โดยประทับไว้ทำให้ใหญ่กว่า ๓ เท่า

ท่านเจ้าคุณพระราชกวี ได้วินิจฉัยคำว่า “นาค” กับ “น้ำ” นั้นออกเสียงใกล้เคียงกัน และใน “อุทานวรรค” ตรัสว่าเป็น “คนทะเล”


(ผู้เขียนต่อว่า) ซึ่งในเวลานี้ปรากฏว่า “คนน้ำ” หรือว่า “ชาวเล” ยังมีอยู่ ๕ กลุ่ม เช่นที่ “หาดราไวย์” เป็นต้น ใครจะลองไปถามประวัติแกดูบ้างก็ได้ เผื่อแกอาจจะจำได้บ้าง แต่ต้องพูดภาษาเขาได้นะ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 13/2/18 at 08:16

[ ตอนที่ 19 ]

(Update 1 มีนาคม 2561)


รอยพระพุทธบาทที่ภูเก็ต


.....เรื่องรอยพระพุทธบาทที่ "เกาะแก้วพิสดาร" นี้ตามที่ทราบว่า สมัยก่อนพวกชาวเลนี้จะรับจ้างพายเรือรับส่งคนไปกราบรอยพระพุทธบาทกันอยู่เสมอ

ต่อมาชาวบ้านแถว "หาดราไวย์" สามารถใช้เรือหางยาวแทน แกจึงเลยตกงานไปโดยปริยาย เพราะไม่สามารถไปหาเงินมาซื้อเรือหางยาวแข่งกับชาวบ้านได้ จึงต้องไปดำน้ำหากุ้งหาปลามาขายแทน แต่บางคนก็มีกับเขาเหมือนกันนะ





(พระวิหารครอบพระพุทธสี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในห้าแห่ง คือ "โยนกบุรี" ที่มีในพระไตรปิฎก)



ขอเล่าตามความใน "พระไตรปิฎก" กล่าวต่อไปว่า เมื่อพระศาสดาทรงออกจากที่นั้นแลัวก็เสด็จถึง "ภูเขาสัจจพันธ์" คือที่ "สระบุรี" นี่เอง

พระพุทธองค์ทรงแสดงรอยพระบาทไว้บนหลังแผ่นหินทึบ เหมือนประทับตราไว้บนก้อนดินเหนียวสดๆ ฉะนั้น ต่อจากนั้นก็เสด็จไปถึงพระเชตวันทีเดียว


.....เรื่องนี้ตามที่วินิจฉัยไว้แล้วว่า รอยพระพุทธบาททั้ง ๒ แห่งนี้ มิได้อยู่ที่อินเดียแน่นอน แต่ถ้าจะคิดว่ารอยพระบาท ณ "นัมทานที" อยู่ที่ลังกา ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

เพราะเสด็จมาถึง “สุนาปรันตะ” (สระบุรี) สิ้นระยะทาง ๓๐๐ โยชน์ หรือ ๔,๘๐๐ ก.ม. ก็จะต้องย้อนกลับไปกลับมาหลายครั้ง

ทั้งที่ "ลังกา" ก็ไม่ปรากฎว่าพบรอยพระพุทธบาทที่อยู่ริมทะเลอย่างนี้มาก่อน มีแต่รอยที่ปรากฎอยู่ตามภูเขาเท่านั้น เช่น รอยพระพุทธบาทบนยอดเขา “สุมนกูฏ” เป็นต้น

เพราะฉะนั้น รอยพระบาททั้งสองแห่งนี้จะต้องอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ถ้าเชื่อว่ารอยพระพุทธบาทที่สระบุรีเป็นของจริง รอยพระพุทธบาทที่ภูเก็ตก็ต้องเป็นของจริงเช่นกัน

โดยเฉพาะความพิสดารเล่ากันไม่หวาดไม่ไหว เล่าลือกันจนไม่มีใครกล้าไป แต่ที่ไปกันได้เพราะอาศัย ความตั้งใจจริง หรือที่เรียกกันว่า “เอาชีวิตเป็นเดิมพันกันทีเดียว” เพราะถ้ายังรักตัวกลัวตาย หรือชอบความสนุกสนาน ก็คงจะไม่ได้ไปยืน อยู่ ณ ที่นี้เป็นแน่แท้





(รอยพระพุทธบาท ณ สุวรรณบรรพต คือที่จังหวัดสระบุรี ตามความเชื่อมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา)


.....โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ สมัยโบราณก็มีความเชื่อว่า เป็นรอยพระพุทธบาทที่ ๕ ที่ได้ประทับไว้ ณ ริมฝั่งน้ำนัมทานที ตามที่ "นางนพมาศ" เป็นผู้คิดประดิษฐ์ “กระทง” ให้มีลักษณะเป็นรูป “ดอกบัว”

ถ้าจะกล่าวถึง "ดอกบัว" ชาวพุทธถือว่าเป็นสัญลักษณ์สำหรับพระพุทธเจ้าเท่านั้น แม้แต่การสร้างพระพุทธรูปก็ต้องประทับนั่งหรือยืนบน "ดอกบัว" ซึ่งเป็นเครื่องหมายของบุคคลผู้ประเสริฐอย่างสูงสุด

ทั้งนี้ เพื่อเป็นเครื่องบูชาสักการะลอยไปบูชา "รอยพระพุทธบาท" โดยฝากไปกับ “พระแม่คงคา”
ซึ่งเรื่องวัตถุประสงค์ในการลอยกระทงนี้ กำลังถูกลอยหายไปกับกระแสน้ำเหมือนกัน..สวัสดี.


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 21/2/18 at 07:57

[ ตอนที่ 20 จบ ]

(Update 9 มีนาคม 2561)


บทสรุป "การลอยกระทง" ที่แท้จริง



" .....เป็นอันว่า ผู้เขียนได้ลำดับประวัติ “รอยพระพุทธบาท” และ “การลอยกระทง” มาจนถึงประวัติความเป็นมาของ “นางนพมาศ” ก็เพื่อชี้แจงแสดงเหตุผลประกอบไปด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์

อันพอที่จะสรุปได้ว่าการลอยกระทงนั้น เป็นการลอยเพื่อบูชา “รอยพระพุทธบาท ณ นัมทานที” แต่เพียงประเด็นเดียวเท่านั้น ซึ่งมีความเกี่ยวพันกันมา อันเป็นปริศนามานานหลายร้อยปีแล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรม “ตามรอยพระพุทธบาท” เพื่อฟื้นฟูประเพณี “ลอยกระทง” และฟื้นฟูประเพณีการสักการบูชา “พระจุฬามณี”


(สมเด็จองค์ปฐม "ปางประทับรอยพระบาท" ณ เกาะแก้วพิสดาร จ.ภูเก็ต)

ตลอดถึงการสร้างพระพุทธรูป “ปางประทับรอยพระบาท” ณ นัมทานที” ขนาดสูง ๙ ศอก และสร้างป้ายจารึก “ประวัติรอยพระพุทธบาท” เพื่อไว้เป็นอนุสรณ์ ณ เกาะแก้วพิสดาร จ.ภูเก็ต กันต่อไป


(วัดพระร่วง หรือ วัดสิริเขตคีรี อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย)

(ปัจจุบันนี้ ปี พ.ศ.๒๕๔๓ ได้สร้างไว้อีกองค์หนึ่งที่ "วัดพระร่วง" หรือ วัดสิริเขตคีรี อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย และปี ๒๕๕๘ ณ รอยพระพุทธบาทหินดาด อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี รวมเป็น ๓ องค์ด้วยกัน)


(รอยพระพุทธบาทหินดาด อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี)

ในฐานะที่ได้ร่วมกันทำหน้าที่ “รณรงค์วัฒนธรรมไทย” โดยการจัดงานพิธีลอยกระทงในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ เพื่อสมโภชรอยพระพุทธบาทที่มีอายุกาลครบถ้วน ๒๕๖๐ ปีพอดี อีกทั้งเป็นการเปิดเผยให้ชาวโลกรู้ว่า การที่เราลอยกระทงมาตั้ง ๗๐๐ กว่าปี ด้วยการฝากพระแม่คงคาตลอดมา

บัดนี้ เราได้ไปลอยถึงที่อันประดิษฐาน "รอยพระพุทธบาท" ไว้อย่างแท้จริงแล้ว จึงเป็นการรณรงค์ให้ชาวไทยทั้งหลายได้ทราบว่า รอยพระพุทธบาทแห่งนี้ มีความเกี่ยวข้องกับประเพณี “ลอยกระทง” อันเป็นเส้นผมบังภูเขากันมานานแล้ว

ฉะนั้น ในนามคณะศิษยานุศิษย์ทั่วทุกภาคของพระเดชพระคุณ “หลวงพ่อพระราชพรหมยาน” วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี จึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันไปจัดงาน “พิธีลอยกระทง” เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ณ เกาะแก้วพิสดารและ “พิธีลอยกระทงสวรรค์”

เพื่อบูชา “พระเกศแก้ว” และ “พระเขี้ยวแก้ว” บนพระจุฬามณีเจดียสถาน ณ “แหลมพรหมเทพ” เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ (วันลอยกระทง)

เพื่อคงไว้เป็นแบบอย่างของการอนุรักษ์โบราณราชประเพณีนี้ อันมีความสัมพันธ์กับรอยพระพุทธบาท หวังให้อนุชนรุ่นหลังได้ช่วยกันสืบสาน “รอยไทย” ไว้คงอยู่คู่เมืองไทยตลอดไป

....ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้ที่ได้นำมาอ้างอิง หวังว่าคงจะเป็นคำตอบที่ชัดเจน พอที่ผู้อ่านพอจะสรุป “ฟันธง” ลงไปได้ จากคำถามที่ว่า..

“ลอยกระทงเพื่อวัตถุประสงค์อะไร...?”

สรุปว่าคงจะลอยเพื่อบูชา “รอยพระพุทธบาทที่ ๕ ณ นัมทานที” แต่เพียงประเด็นเดียวเท่านั้นที่เป็นคำตอบ


รวมความว่า พระราชพิธีนี้เรียกว่า “การลอยพระประทีป” พระเจ้าแผ่นดินเสด็จลงเรือพระที่นั่งทรงพระภูษาขาว เครื่องราชอาภรณ์ล้วนแต่ทำด้วยเงิน แล้วก็ล่องลงไปตามลำน้ำ

นอกจากนี้ยังมีขบวนแห่เรือการละเล่นต่างๆ และขบวนเรือผ้าป่า เพื่อนำไปทอดตามอารามต่างๆ แล้วมีการจุดดอกไม้เพลิงเป็นการเฉลิมฉลองอีกด้วย


...นั่นเป็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกความเป็นมาไว้ ที่อาจจะทำให้คนไทยสมัยนี้ ได้หันกลับมาสนใจในเรื่องบุญกุศลกันบ้าง

ดีกว่าหวังแค่เพียงความสนุุกสนาน ร้องรำทำเพลงกัน หรือเพื่อบูชาพระแม่คงคา หรือเป็นการสะเดาะเคราะห์กันแค่นั้น

การลอยกระทงอาจยังไม่ถูกวัตถุประสงค์ตามโบราณราชประเพณี ควรจะได้ตั้งเจตนาตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ถูกต้องต่อไป..สวัสดี


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 1/3/18 at 05:04

.


webmaster - 17/11/20 at 08:18

.