หลวงปู่สี..อรหันต์ ๗ แผ่นดิน "ผู้รู้กาลมรณะ"
webmaster - 15/3/18 at 06:31

อ่านตอน หลวงปู่ชอบ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2441

สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

[01]
ตอนที่ ๓/๑ หลวงปู่เทสก์ วัดหินหมากเป้ง
[02] ตอนที่ ๓/๒ หลวงปู่เทสก์ปราบพญานาค
[03] ตอนที่ ๓/๓ บั้งไฟพญานาค
[04] ตอนที่ ๔ หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค
[04/1] ตอนที่ ๔/๑ หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค (ต่อ)
[04/2] ตอนที่ ๔/๒ อานุภาพ "ชานหมาก" ของหลวงปู่สี
[04/3] ตอนที่ ๔/๓ พบ "หลวงปู่บุดดา" สมัยอยู่ที่ชัยนาท
[04/4] ตอนที่ ๔/๔ จัดงานทอดกฐิน "หลวงปู่บุดดา"
[04/5] ตอนที่ ๔/๕ จัดงานทอดกฐิน "หลวงปู่บุดดา" (ต่อ)
[04/6] ตอนที่ ๔/๖ อัศจรรย์..หลวงปู่สีทำ "ชานหมาก" ไว้รอ
[04/7] ตอนที่ ๔/๗ หลวงปู่สีฝากศพไว้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง
[04/8] ตอนที่ ๔/๘ หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี โดย พ.ต.อ. (พิเศษ) อรรณพ กอวัฒนา
[04/9] ตอนที่ ๔/๙ หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี 2
[04/10] ตอนที่ ๔/๑๐ หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี 3
[04/11] ตอนที่ ๔/๑๑ หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี 4
[04/12] ตอนที่ ๔/๑๒ หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี 5
[04/13] ตอนที่ ๔/๑๓ หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี 6
[04/14] ตอนที่ ๔/๑๔ หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี 7 จบ
[04/15] ตอนที่ ๔/๑๕ หลวงปู่สีเจิมรถ โดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป
[04/16] ตอนที่ ๔/๑๖ หลวงปู่สีเจิมรถ (จบ) โดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป
[04/17] ตอนที่ ๔/๑๗ หลวงพ่อนัดพบหลวงปู่สีทางจิต ๑
[04/18] ตอนที่ ๔/๑๘ หลวงพ่อนัดพบหลวงปู่สีทางจิต ๒
[04/19] ตอนที่ ๔/๑๙ อรหันต์ ๗ แผ่นดิน "ผู้รู้กาลมรณะ"

[ ตอนที่ 3/1 ]
หลวงปู่เทสก์ วัดหินหมากเป้ง


...ที่วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย หลายคนมีความสงสัย และไม่รู้ว่าบริเวณนั้นเป็นสถานที่ที่ "พญานาค" อาศัยเฝ้ารักษาวัดหินหมากเป้งอยู่เหมือนกัน คือ

บริเวณสระน้ำด้านหน้าวัด แรกๆ เมื่อทางชลประทานทำนบกั้นน้ำ เพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ในวัด ปรากฏว่าทำนบเกิดรั่วอยู่บ่อย ๆ ไม่สามารถที่จะเก็บน้ำไว้ได้

เมื่อสอบถามจาก "หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี" ท่านบอกว่า บริเวณสระนั้นจะมีถ้ำลงไปเมืองพญานาค การทำทำนบจึงไม่อยู่ จะมีน้ำไหลออกอยู่เรื่อย และท่านยังบอกว่าเคยลงไปพบพญานาคอยู่หลายครั้ง และเคยมีพญานาคมาฟังเทศน์ด้วย

แม้ก่อนที่จะมีการพระราชทานเพลิงศพท่าน ก็ปรากฏว่ามีงูใหญ่ (งูเหลือม ๓ ตัว) ได้มาจากประเทศลาว ซึ่งคนทรงบอกว่า

งูเหล่านี้ร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพท่าน ถึงแม้ว่าจะมีคนเอาไปปล่อยไว้ที่อื่น งู ๓ ตัวนั้นก็กลับมาเหมือนเดิม จนทางวัดได้สร้างศาลให้อยู่ ๓ หลัง ไว้ที่หน้าถ้ำในสระน้ำ ทำให้มีประชาชนมาดูกันมาก.."


ที่มา - เว็บ panyathai.or.th

วัดพระพุทธบาท (เวินกุ่ม)

..."ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" ขออธิบายต่อว่า วัดหินหมากเป้ง ตำบลพระบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ขอให้ผู้อ่านสังเกตไว้ด้วยว่า

วัดหินหมากเป้งนั้นตั้งอยู่ที่ "ตำบลพระพุทธบาท" แล้วก็อยู่ใกล้ "วัดพระพุทธบาท" อีกด้วย (หลวงปู่เทศก์เป็นผู้อุปถัมภ์)

วัดพระพุทธบาทนี้เดิมชื่อว่า "พระบาทคอแก้ง" (เวินกุ่ม หรือ โคกซวก) บ้านพระบาท ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย


...ตามประวัติบันทึกไว้ว่า วัดนี้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๒๕๑ โดยมี "นายอุ่น" เป็นผู้พบรอยพระพุทธบาท แล้วชักชวนชาวบ้านสร้างเพิงหลังคาครอบรอยพระพุทธบาท

ครั้นต่อมาชาวลาวเวียงจันทร์ ในสมัยเจ้าเพชราชได้ส่ง "สามเณรสมเด็จลุน" และ "แม่ชีจันทร์" มาอุปถัมภ์รอยพระพุทธบาท สร้างเสนาสนะเพิ่มเติม

ต่อมามี "ตาปะขาว" คนหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "พ่อเฒ่าหลวงแก้ว" นุ่งขาวห่มขาว มาสร้างวิหารครอบรอยพระพุทธไว้ ต่อมาเกิดฟ้าผ่าลงมายังวิหารและรอยพระพุทธบาท เป็นรอยเหมือนกับมีคนเอาจอบไปสับลงข้างเดียว ๒ รอยติดกัน


ต่อมา "พระอาจารย์ศรีทัต" หรือชาวบ้านเรียกว่า "ญาท่านศรีทัต" ได้มาสร้างเจดีย์ใหญ่ครอบรอบพระพุทธบาท ตามแบบอย่างพระพุทธบาท ๓ แห่งที่เคยสร้างมา

คือ "พระบาทโพนฉัน" ในประเทศลาว "พระบาทบ้านติ้ว" หรือ "พระพุทธบาทบัวบก" ในอำเภอบ้านผือ อุดรธานี และ "พระพุทธบาท" ในวัดนครพนม

"พระพุทธบาทคอแก้ง" เป็นแห่งที่ ๔ เป็นแห่งสุดท้ายที่ท่านสร้าง ครั้นต่อมา พระปิยะพงษ์ อารุณโณ เจ้าอาวาสได้มาบูรณะครั้งใหญ่ ได้สร้างมณฑปครอบเหมือนพระพุทธบาทสระบุรี

แล้วตั้งขี้นเป็นวัด ชื่อ "วัดพระพุทธบาท (เวินกุ่ม)" ชาวบ้านเรียกว่า "วัดพระบาทคอแก้ง" หรือ "พระพุทธบาทโคกซวก"


...เรื่องนี้ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" คิดว่าแสดงว่าบริเวณนี้มี "รอยพระพุทธบาท" อยู่ริมแม่น้ำโขงมาแต่โบราณ เหมือนกับ "วัดพระพุทธบาท" จ.สระบุรี ที่อยู่ใน "ตำบลพระพุทธบาท" เหมือนกัน

ถ้าเชื่อว่ารอยพระพุทธที่สระบุรีเป็นของจริง สถานที่นี้ก็น่าจะเป็นของจริงเช่นกัน ซึ่งปรากฏว่าบริเวณนี้มีสถิติพบว่ามี "บั้งไฟพญานาค" ขึ้นในวันออกพรรษาทุกปีเช่นกัน..สวัสดี


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 15/3/18 at 08:36

[ ตอนที่ 3/2 ]

(Update 25 มีนาคม 2561)


หลวงปู่เทสก์ปราบพญานาค


...เมื่อราว ๗๐ ปีที่แล้ว หินหมากเป้ง หินขนาดใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำโขงอำเภอศรีเชียงใหม่จังหวัดหนองคายเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่บ้านชนแถบนี้

ในความหนาวจัดหนาวกว่าทุกเขตในฤดูหนาวและมีผีดุ ทั้งยังเป็นที่อยู่นานาสัตว์ร้าย คนผ่านมาทางเรือพอมาถึงบริเวณนี้แล้ว จะพากันเงียบกริบไม่มีใครกล้าส่งเสียงเลย

แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นดูตลิ่งก็ไม่อยากดู และด้วยความวิเวกนี้เอง จึงไม่ค่อยมีใครกล้ามายกเว้นพระกัมมัฏฐานที่มาอยู่เพื่อทดสอบจิตใจเท่านั้น

หลวงปู่เทศน์ เทศน์รังสี จาริกมาถึงสร้างเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ ท่านเห็นสถานที่แล้วนึกชอบใจ กับบรรยากาศที่แสนวิเวกอากาศริมแม่น้ำโขงก็บริสุทธ์

ได้ยินเสียงสกุณาสัตว์ป่าร่ำร้องสนั่นไพร ลิงทะโมนห้อยโหนบนกิ่ง วิวทิวทัศน์เช่นนี้นับวันจะหาดูได้ยาก ท่านจึงมีความคิดจะสร้าง "วัดหินหมากเป้ง" ขึ้น ที่มีแต่ก็ต้องมาเจอกับการขับไล่ของพญานาคเจ้าถิ่น

วันแรกที่ถึงหลวงปู่ออกจากกุฏิมานั่งสมาธิอยู่บนโขดหินริมแม่น้ำโขงหลังวัด ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของท่านกระทั่งตกดึกแล้วกดเห็นในนิมิตว่า มีงูยักษ์ตัวใหญ่ขนาดเท่าต้นตาลหงอนใหญ่เท่าโอ่ง โผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำเลื้อยขึ้นมาล้อมท่านไว้ ก่อนที่จะลดหัวที่ใหญ่โตลงมาอยู่ต่อหน้าท่าน

“ท่านมาล้อมเราไว้เช่นนี้เพื่ออะไรท่านต้องการอะไรหรือ” หลวงปู่ถาม
“ท่านมาจากไหนทำไมมานั่งยังที่ของเรา”
“อาตมาพึ่งจะมาอยู่ไม่รู้ว่าที่นี่มีเจ้าของ เห็นว่าอากาศเย็นดีสบายกว่า อยู่บนกุฏิจึงมานั่งบำเพ็ญวิปัสสนาอยู่ที่นี่”

งูยักษ์ตัวนั้นไม่ใช่งูธรรมดาแต่เป็นพญานาคเจ้าถิ่นที่มีทิฐิมานะมาก เมื่อได้ยินหลวงปู่บอกเช่นนั้นก็รู้สึกไม่พอใจคำรามเสียงใส่ท่าน

“พูดง่ายจริงนะท่าน เราคือ "ภุชงค์นาคราช" ผู้ปกครองเขตนี้ไปจนถึงแขวงเมืองเลย รู้แล้วก็จงขอขมาเราซะดีๆ” หลวงปู่ตอบกลับไปอย่างสงบว่า

“อาตมาทำที่ท่านบอกไม่ได้หรอกอาตมาเป็นพระ ส่วนท่านเป็นเทพก็จริงแต่เป็นเทพแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งท่านเป็นสัตว์ จะให้อาตมาขอขมานั้นมันไม่ถูกต้อง”

คราวนี้ "ภุชงค์นาคราช" ชะโงกหัวขึ้นสูงด้วยความโกรธ แสดงว่าท่านอวดเก่งกับเราอย่างนั้นหรือ รู้ไหมถ้าโดนเราเพิ่มพิสัย ชีวิตท่านจะต้องดับดิ้นในชั่วพริบตา จงขอขมาเราซะดีๆ

หลวงปู่เห็นว่า "ภุชงค์นาคราช" มีทิฐิมานะมากคงไม่ยอมลดราวาศอกแน่ จึงคิดจะลดทิฐิมานะของพญานาคตัวนี้ไม่ให้มีบาปติดตัวไป

“อาตมารู้ว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์เนื้อสัตว์ทั้งปวง แต่จะทันทำเช่นนั้นกับอาตมาท่านก็จะกลับไปยังที่อยู่ของท่านไม่ได้อีกต่อไป เพราะว่าน้ำโขงจะร้อนเหมือนน้ำเดือด”

ภุชงค์นาคราชได้ยินอย่างนั้นก็ไม่เชื่อที่นั่นจะร้อนได้อย่างไร เพราะที่นั่นเป็นที่อยู่ของเรา
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ลองนำหางจุ่มลงไปในน้ำโขงดูแล้วท่านจะรู้”

ภุชงค์นาคราชจึงนำห่างจุ่มลงไปในแม่น้ำโขงด้วยความคึกคะนอง แต่เมื่อสัมผัสน้ำก็ถึงกับสะดุ้งร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” ภุชงค์นาคราชร้องถามหลวงปู่

“ท่านพูดล่วงเกินสงฆ์พระแม่คงคาจึงลงโทษ ตอนนี้ท่านจะกลับไปที่เดิมไม่ได้แล้ว นอกจากท่านจะขอขมาอาตมาซะก่อน” หลวงปู่กล่าวด้วยความปราณี

ภุชงค์นาคราชไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมจำนนต่อหลวงปู่ กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วนั่งกราบขอขมา หลวงปู่จึงเทศนาธรรมเกี่ยวกับโทษของทิฏฐิมานะให้ฟัง

หลังฟังจบภุชงค์นาคราชจึงขอถือพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งอย่างที่สุด และรับปากว่าจะไม่ทำร้ายหรือรังแกใครอีกต่อไป

หลวงปู่เทสก์อยู่จำพรรษาต่อและสร้างวัดหินหมากเป้งขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ ถึง ๒๕๓๖ ซึ่งเป็นช่วงท้ายของชีวิตของท่าน


ที่มา : www.nananaroo.com/2017/10/หลวงหลวงปู่เทสก์-เทสรัง/
หนังสือ บาปบุญให้ผล นรกสวรรค์มีจริง
โดย พ.อ.อ. จักราพิชญ์ อัตโน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 25/3/18 at 16:26

[ ตอนที่ 3/3 ]

(Update 2 เมษายน 2561)


บั้งไฟพญานาค


"....ครั้งหนึ่ง "หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี" เคยบอกเล่าแก่ศิษยานุศิษย์ฟังว่า เบื้องล่างแผ่นดินของจังหวัดหนองคายเป็นเมืองบาดาลภายใต้หินหมากเป้งแห่งนี้

ลึกลงไปจะเป็นถ้ำที่พักของเหล่าพญานาค ซึ่งเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่โตมหึมา เป็นโพรงถ้ำที่ทอดทะลุถึง "วัดพระพุทธบาทคอแก้ง"

ใกล้วัดหินหมากเป้งอันเป็นรอยพระพุทธบาทจริงอยู่ที่นั้น และโพรงถ้ำยังทอดทะลุไปโดยตลอดทั่วถึงกัน ทุกหนแห่งของอาณาบริเวณของเมืองพญานาค


ในวันดีคืนดีโดยเฉพาะวันพระ เหล่าพญานาคที่คอยพิทักษ์รักษาวัดหินหมากเป้ง ก็จะพากันขึ้นมาเฝ้าฟังอรรถรสบทธรรมของหลวงปู่เทศก์ เทสก์รังสี แถวๆ ท่าน้ำบริเวณหินศักดิ์สิทธิ์สามก้อน

ซึ่งหลวงปู่เทศก์เองก็ได้เทศนาโปรดพญานาคเหล่านั้น และท่านเองยังบอกเล่าว่า เคยลงไปพบพญานาคอยู่หลายครั้ง

ที่วัดหินหมากเป้งแห่งนี้ เคยมี "บั้งไฟพญานาค" ปรากฏให้เห็นในวันออกพรรษา ซึ่งคนที่นี่เชื่อว่าเป็นดวงไฟที่พญานาคจุดขึ้นมาเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดหินหมากเป้งแห่งนี้


(เครื่องหมาย "วงกลมสีแดง คือจุดที่บั้งไฟขึ้นบริเวณแม่น้ำโขงตลอดสาย)

หลังจากหลวงปู่เทสก์ละสังขารในวันประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทศก์ได้บังเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น โดยได้มีงูหลามขนาดใหญ่หลายตัว ปรากฏกายให้ผู้ที่มาร่วมงานได้พบเห็นบริเวณใกล้ๆ กับลานที่ประกอบพิธี

บรรดาผู้พบเห็นต่างโจทย์ขานกันไปต่างๆ นานาถึงงูลึกลับเหล่านั้น ว่าเป็นตัวแทนของพญานาคที่มีความเลื่อมใสศรัทธา ขึ้นมาร่วมประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทศก์ พองานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทศก์เสร็จสิ้น บรรดางูเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏกายให้ผู้คนได้พบเห็นอีกเลย

สำหรับชื่อวัดหินหมากเป้งนี้ กล่าวกันว่าหินหมากเป้งเป็น หินศักดิ์สิทธิ์สามก้อนอันเป็นที่มาและความหมายของวัดแห่งนี้ หลวงปู่เทศก์ได้กล่าวถึงหินหมากเป้งเอาไว้ว่า

หินหมากเป้งเป็นชื่อหินสามก้อน ซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่ท่าน้ำริมฝั่งโขง ภายในบริเวณวัดมีรูปลักษณะคล้ายลูกตุ้มชั่งทองคำสมัยเก่า

คำว่า "ลูกตุ้มชั่ง" ชาวบ้านแถบนี้เรียกว่า "เต่ง" หรือ "เป้งย้อย" หรือ "หมากเป้ง" คนแก่คนเฒ่าเล่าสืบต่อกันมาว่า

- "หินหมากเป้ง" ก้อนที่อยู่เหนือน้ำเป็นของ "หลวงพระบาง"
- "หินหมากเป้ง" ก้อนกลางเป็นของ "บางกอก" หรือ "กรุงเทพ"
- "หินหมากเป้ง" ก้อนใต้เป็นของ "เวียงจันทน์"

ต่อไปในการข้างหน้ากษัตริย์ทั้งสามนครจะมาสร้างหินหมากเป้งบริเวณนี้ ให้เจริญรุ่งเรือง ความดังกล่าวคงเป็นผู้มีญาณวิเศษพยากรณ์ไว้เป็นแน่

จากสภาพป่าดงดิบเมื่อการก่อนนี้ บัดนี้อาณาบริเวณก้อนหินศักดิ์สิทธิ์สามก้อนเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย

ดังที่ปรากฏ ภายหลังจากหลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี มรณภาพ คณะศิษย์ได้พร้อมใจกันสร้างหุ่นขี้ผึ้ง รูปเหมือนหลวงปู่เทสก์ขึ้น และอัญเชิญพระอัฐิธาตุของหลวงปู่เทสก์บรรจุบนหลบแก้วครอบไว้ เพื่อเป็นตัวแทนของดวงประทีบแหล่งลุ่มน้ำโขง

พระธรรมคำสอนและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่เทสก์ ให้พุทธศาสนิกชนทั้งใกล้ไกลได้มาเที่ยวชมวัดหินหมากเป้งได้ศึกษาและปฏิบัติ อาณาบริเวณวัดหินหมากเป้งและลุ่มน้ำโขงแถบนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์

แม้เมื่อครั้งอดีตคนเฒ่าคนแก่บอกว่า บริเวณวัดหินหมากเป้งเป็นดินแดนเถื่อนและอาถรรพ์ ที่ไม่ค่อยจะมีใครกล้าย่างกลายเข้ามาใกล้

ชีวิตคน ชีวิตสัตว์ป่าได้เคยสังเวยมานับศพไม่ถ้วนแล้ว ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ มักมีเรื่องราวกล่าวขานเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ เกี่ยวกับเหล่ากายทิพย์ เทวดา พญานาค กับพระอริยะสงฆ์ ซึ่งเรามักจะเคยได้ยินเสมอๆ

ทั้งจาการบอกเล่าไว้ของอริยสงฆ์เอง และจากศิษยานุศิษย์นำมาบอกเล่าต่อๆ กันว่า พระอริยสงฆ์ท่านสามารถติดต่อกับเหล่าเทพ เทวดา พญานาคทั้งหลายได้ด้วยญาณวิเศษ และบรรดาเทพ เทวดา พญานาคเหล่านั้น ต่างก็มาก็เข้ามาคอยรับฟังธรรมะจากพวกท่านอยู่เสมอ....


ที่มาจาก : www.payanaka.com

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 2/4/18 at 07:40

[ ตอนที่ 4 ]

(Update 29 กรกฎาคม 2561)


หลวงปู่สีกับพญานาค


"...คำบอกเล่าจาก นาย เพชร ปล้องทอง(ลุงแตง) อายุ ๗๓ ปี บ้านอยู่แถววัดเขาถ้ำบุญนาค มีศักดิ์เป็นเหลนหลวงปู่สี ถ่ายทอดประสบการณ์ในสมัยที่หลวงปู่สีท่านยังอยู่

ในสมัยแรกที่พระมหาสมบูรณ์ท่านนิมนต์ "หลวงปู่สี" มาอยู่ที่วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ก่อนที่จะมีกุฏิหลังเล็กที่หน้าปากถ้ำหน้าวัด หลวงปู่สีท่านจะจำวัดอยู่บนก้อนหินที่ในถ้ำ

มีอยู่คราวหนึ่งหลวงปู่สีท่านไม่สบาย ลุงแตงเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นมีอยู่ ๓ คน ที่มานอนเฝ้าหลวงปู่คือ ลุงแตง ทิดสว่าง และลุงขุ่ย นอนกับหลวงปู่ในถ้ำ

ช่วงพลบค่ำหลวงปู่ท่านมาสะกิดให้ลุงทั้ง ๓ คน ขึ้นมานอนบนก้อนหิน หลวงปู่บอกว่า "เดี๋ยวเขาจะมาคุยกับหลวงปู่"


...ในถ้ำแห่งนี้จะมีถ้ำเล็ก ๆ ซอยย่อยออกไปอยู่มากมายหลังจากที่หลวงปู่สีท่านบอกได้ซักพักก็มีตัวอะไรไม่ แน่ใจ เลื้อยออกมาจากถ้ำเล็กที่ปิดไว้

ลำตัวขนาดเท่าลำต้นตาลสีดำ บริเวณหัวมีหงอนสีแดง ยาวเท่าไหร่ไม่รู้เพราะมืด เลื้อยมาชูคอตรงหน้าหลวงปู่สี และหลวงปู่ท่านก็พูดด้วยแต่พูดอะไรกันไม่รู้

สักพักก็เลื้อยออกไปจากถ้ำ ทั้งๆ ที่ถ้ำนั้นทำการปิดไว้อยู่ พอสอบถามหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า

"เขาเป็นผู้รักษาถ้ำนี้และมาขอให้ช่วยรักษาถ้ำนี้ไว้ อย่าให้ใครมาทำลาย"

และก็มักจะมีปรากฏการณ์แปลกเกิดขึ้นคือ บริเวณถ้ำหน้าวัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกองภูเขาเล็กที่โรงปูนฯ ตาคลี จะต้องทำการระเบิดเป็นเศษหิน ไว้สำหรับบดทำปูนซีเมนต์

และเป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนจะทำการระเบิดหิน จะต้องมีการเปิดหวอเตือนภัยให้ชาวบ้านละแวกนั้นให้ทราบ เพื่อที่จะไม่เข้ามา เพราะอาจทำให้เกิดลูกหลงจากแรงระเบิดได้

และนับเป็นเรื่องอัศจรรย์ ที่ทุกครั้งจะทำการระเบิดบริเวณใกล้ๆ ปากถ้ำ คนวางแนวระเบิดแล้วและกำลังจะกดสัญญาณหวอเตือนให้ดัง ระเบิดจะติดก่อนหรือไม่ก็ด้านไปในทุกที.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 29/7/18 at 05:57

[ ตอนที่ 4/1 ]

(Update 10 สิงหาคม 2561)


หลวงปู่สีกับพญานาค



"...ในตอนที่แล้ว หลวงปู่สีได้เห็นพญานาคเลื้อยออกมาจากถ้ำ ท่านบอกว่า เขาเป็นผู้รักษาถ้ำนี้และมาขอให้ช่วยรักษาถ้ำนี้ไว้ อย่าให้ใครมาทำลาย

นอกจากนี้ หลังจากที่หลวงปู่สีท่านย้ายจากในถ้ำมาอยู่ที่กุฏิหลังเล็กหน้าปากถ้ำ ตรงบริเวณด้านหน้ากุฏิหลังนี้จะมีสระน้ำลึกอยู่

มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่สี ท่านมองไปที่สระน้ำ และบอกกับพระอาจารย์สมบูรณ์ว่า ใต้สระน้ำนี้มีพระพุทธรูปเก่าอยู่สององค์

ปีหน้าน้ำในสระจะแห้งให้เด็กในวัดไปงมขึ้นมานะ หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งปี น้ำในสระก็แห้งจริงตามที่หลวงปู่สีท่านได้กล่าวไว้

พระอาจารย์สมบูรณ์ท่านจึงให้เด็กวัดลงไปงมหาพระตามที่หลวงปู่ได้เคยบอกไว้ และปรากฏว่าพบพระพุทธรูปโบราณจริง ๆ ตามที่หลวงปู่สีท่านบอกไว้ทุกประการ



...สืบเนื่องจากคณะชาวชลบุรีเกิดความศรัทธาหลวงปู่ ที่หลวงปู่ได้ไปโปรดที่จังหวัดชลบุรี (อ่านได้ตอน ปาฏิหารย์แยกกายโปรดโยม) จึงตามมาหาหลวงปู่ถึงวัด

ครั้นพอถึงเวลาฉันเพลแล้ว ชาวชลบุรีก็นำอาหารที่เตรียมมาถวายเพล ท่านก็ลุกขึ้นมานั่งยอง ๆ ฉันอาหาร โดยมีแมวและสุนัขนั่งล้อมหน้าล้อมหลัง

ชาวจังหวัดชลบุรีกลุ่มนั้น เมื่อได้เห็นอากัปกิริยาของหลวงปู่เช่นนั้น คือนั่งไม่สำรวม ก็ไม่ศรัทธา จึงได้พากันเดินทางต่อไปยังวัดท่าซุง เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

พวกเขาได้เล่าให้หลวงพ่อฤาษีลิงดำฟังถึงหลวงปู่สีว่า “เป็นพระที่ไม่น่านับถือ” แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านกลับตอบไปว่า

“..กราบฉันแสนครั้ง ยังไม่เท่าได้กราบหลวงปู่สีครั้งเดียว..”

ต่อมาภายหลังชาวชลบุรีกลุ่มนี้ ก็กลับกลายมาเป็นศิษย์ที่นับถือหลวงปู่สีมากที่สุดกลุ่มหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 10/8/18 at 05:41

[ ตอนที่ 4/2 ]

(Update 23 สิงหาคม 2561)


อานุภาพ "ชานหมาก" ของหลวงปู่สี


"...หลวงปู่สีมรณภาพเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๐ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ช่วงที่ท่านอาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์นั้น

ช่วงนั้นเป็นโอกาสดีที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ "พระราชพรหมยาน" เดินทางเข้าไปที่บ้านสายลมพอดี

ในตอนบ่ายของวันนั้น หลวงพ่อฯ ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่สีอาพาธ ท่านจึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลสงฆ์ทันที พร้อมด้วยผู้ติดตามหลายคน ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมท่านด้วย

หลังจากหลวงพ่อฯ ได้สนทนาพอสมควรแล้ว ตอนนั้นหลวงปู่สียังป่วยไม่มาก ท่านจึงได้แจก "ลูกอมชานหมาก" ที่เลี่ยมพลาสติกไว้แล้วให้กับทุกคน *(ตามรูปภาพที่เห็นนี้)

ผู้เขียนรู้สึกดีใจมาก เพราะได้รับของดีจากท่านด้วยมือนับเป็นครั้งที่ ๒ แล้ว และเป็นการได้กราบไหว้ท่านเป็นครั้งที่ ๒ เช่นกัน นับว่าได้พบเห็นและกราบไหว้ พร้อมกับทำบุญกับท่านเป็นครั้งสุดทัายในชีวิตจริงๆ

แต่ก่อนที่จะเล่าถึงการไปพบท่านครั้งแรกนั้น ต้องขอนำกิตติศัพท์เรื่อง "ชานหมาก" ของหลวงปู่สีกันสักหน่อย จากคำบอกเล่าของ พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป ดังนี้


"...เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ข้าพเจ้าได้ซื้อรถวอลโว่ใหม่ ๑ คัน ก็ได้นำไปให้หลวงพ่อเจิมให้ที่วัดท่าซุง ต่อมาเมื่อได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่สีบ่อยๆ เข้าก็ได้รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สีมากขึ้น อาทิเช่น

มีชาวไร่ข้าวโพดได้ "ชานหมาก" ของหลวงปู่สีไป และเกิดไปทำหายในขณะหักข้าวโพดในไร่ จะหาอย่างไรก็หาไม่พบเพราะดงข้าวโพดกว้างใหญ่ไพศาลมาก

แต่เนื่องจิตมีความเสียดายในชานหมาก และเคารพนับถือด้วยความจริงใจ ตอนกลางคืนก็ฝันว่า

...“หลวงปู่สีมาบอกว่าหากอยากได้ชานหมากให้เผาไร่ข้าวโพดเสีย แล้วจะพบเอง”

พอรุ่งเช้าชาวไร่ข้าวโพดผู้นั้นก็จุดไฟเผาไร่ข้าวโพดทันที (ข้าวโพดในไร่หักหมดแล้ว) เมื่อไร่ข้าวโพดถูกไฟเผาราบเรียบหมดก็เห็นต้นข้าวโพดอยู่ ๒-๓ ต้นที่ไม่ไหม้ไฟ

จึงตรงเข้าไปดู ก็พบชานหมากของหลวงปู่สี ซุกอยู่โครข้าวโพดก็ดีใจมาก ตรงเข้าเก็บชานหมากหลวงปู่ไว้ แล้วนำไปเลี่ยมคล้องคอมาจนบัดนี้

...อีกรายหนึ่งเป็นอาจารย์สตรี วัยกลางคนอยู่ที่สมุทรปราการได้ชานหมากหลวงปู่สีไปก็นำไปใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ มีวันหนึ่งเดินกลับบ้านตอนพลบค่ำ

ในระหว่างทางที่เดินอยู่ในซอยเปลี่ยว ก็มีความรู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง ๓ คน ก็เร่งฝีเท้าหนี คนทั้ง ๓ ก็เร่งฝีมือตาม

พอวิ่งหนีก็ถูกวิ่งตาม ด้วยความหวาดกลัวจึงหันหลังไปดู ปรากฏว่าชายฉกรรจ์ทั้ง ๓ คน ที่ตามมาหยุดชงักส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวแล้ววิ่งหนีไป

อาจารย์สตรีวัยกลางคนผู้นั้นจึงกลับบ้านด้วยความปลอดภัย ด้วยชานหมากของหลวงปู่คุ้มกันภัยให้.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 23/8/18 at 05:16

[ ตอนที่ 4/3 ]

(Update 5 กันยายน 2561)


พบ "หลวงปู่บุดดา" สมัยอยู่ที่ชัยนาท


...เมื่อตอนที่แล้วได้เล่าเรื่องอานุภาพ "ชานหมาก" ของหลวงปู่สีผ่านไปแล้ว โดยการบันทึกของท่าน พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป

พร้อมทั้งผู้เขียนก็ได้นำเรื่องราวที่ได้รับ "ชานหมาก" จากหลวงปู่สี (แบบเลี่ยมพลาสติกแล้ว) นับเป็นครั้งที่ ๒ ในขณะที่ท่านอาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์

แต่ถ้าจะย้อนกลับไปเมื่อปี ๒๕๑๙ ผู้เขียนก็ได้รับ "ชานหมาก" เป็นครั้งแรกจากมือของท่านเช่นกัน ในสมัยนั้นได้ไปพร้อมคณะอีกประมาณ ๑๐ คน


(ภาพนี้ถ่ายที่วัดสองพี่น้อง จ.ชัยนาท จากขวาไปซ้าย - หลวงตาวัชรชัยอยู่ใกล้หลวงปู่บุดดา ต่อไปคือ หลวงพี่สุรจิต (นั่งหลังสุด) และ หลวงพี่ชัยวัฒน์ แล้วก็ คุณศุภาพร (ทำบายศรี) พร้อมด้วย "พระเอ็ด" ตอนที่ยังเด็กอยู่)

ตามรูปภาพจะเห็น "หลวงพี่พระครูสังฆรักษ์สุรจิต" แล้วก็ "หลวงตาวัชรชัย" วัดถ้ำเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ด้วย ในขณะนั้นท่านเหล่านี้ยังไม่ได้บวชกัน

พวกเราทั้งหมดได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เพื่อไปกราบนมัสการ "หลวงปู่บุดดา" ก่อนที่จะต่อไปวัดท่าซุง สมัยนั้นท่านอยู่ที่ สำนักสงฆ์สองพี่น้อง อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท

ทั้งนี้ เพื่อไปเตรียมงานที่จะจัด "งานทอดกฐิน" ที่วัดแห่งนี้ สมัยนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์อยู่ ด้วยความตั้งใจที่จะได้ถวายผ้ากฐินเป็นครั้งแรก เนื่องในโอกาสที่หลวงปู่บุดดาได้มาจำพรรษา ณ สถานที่แห่งนี้


ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่มาแต่โบราณ มีซากพระเจดีย์ร้างอยู่เต็มไปหมด ตามประวัติเล่าว่า เจ้าอ้าย, เจ้ายี่, เจ้าสาม เป็นพี่น้องกัน

เจ้าสามยุยงให้เจ้าอ้ายและเจ้ายี่รบกันเพื่อแย่งราชสมบัติ เจ้าอ้ายและเจ้ายี่เสียชีวิตทั้งคู่ เจ้าสามจึงได้ครองเมือง และได้สร้างพระปรางค์แด่เจ้าอ้าย สร้างพระเจดีย์แด่เจ้ายี่

สมัยนี้เป็นวัดแล้ว "วัดสองพี่น้อง" แห่งนี้สันนิษฐานว่าสร้างก่อนกรุงศรีอยุธยา ๖๐๐ ปี ภายในวัดมีพระปรางค์ ๒ องค์ เป็นปรางค์สมัยลพบุรีองค์ใหญ่ด้านทิศตะวันออกค่อนข้างสมบูรณ์

มีลายปูนปั้นประดับประดางดงามมาก ส่วนปรางค์องค์เล็กอยู่ด้านตะออกเฉียงใต้ มีสภาพทรุดโทรมตามกาลเวลา

สมัยเมื่อปี ๒๕๑๙ เริ่มตั้งเป็นสำนักสงฆ์ มีศาลาเก่าๆ หลังใหญ่ยกพื้นสูง แต่พระที่นั่นก็ปลูกกุฏิให้หลวงปู่พักอยู่แบบสบายๆ (ตามภาพที่เห็น) แล้วก็อยากให้พวกเราช่วยทอดกฐิน เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ด้วย


ผู้เขียนได้มีโอกาสพบหลวงปู่หลายครั้งแล้ว ตั้งแต่อยู่วัดอาวุธวิกสิตาราม แถวบางพลัด (คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยอยู่ที่วัดนี้ด้วย ตามที่ทราบกันดีว่าท่านได้บรรลุธรรมแล้ว และมรณภาพไปเมื่อ ๒๕๐๗)

และที่วัดอาวุธฯ นี้ผู้เขียนก็ได้รู้จักกับพระอาจารย์สมศักดิ์ ปัญญาวโร วัดทุ่งหลวง เชียงใหม่ ภายหลังท่านบวชอยู่กับหลวงปู่ธรรมชัย ท่านบวชก่อนผู้เขียน (ไม่แน่ใจว่าปี ๒๕๑๗ - ๒๕๑๙)


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 23/8/18 at 07:59

[ ตอนที่ 4/4 ]
(Update 16 กันยายน 2561)


จัดงานทอดกฐิน "หลวงปู่บุดดา" เป็นครั้งแรก


รูปภาพหลวงปู่สมัยปี ๒๕๑๙
(Cr. คุณสมโชค บุญสวัสดิ์)

...สมัยนั้น หลวงปู่บุดดา ยังไม่ได้แจกแป้งเสก ผู้เขียนไปกับเพื่อนๆ ที่ทำงาน คือสยามกลการ แล้วก็มีหลวงตาวัชรชัยด้วย

สมัยก่อนหลวงตามักจะยกครอบครัวไปด้วย คือเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งหมด พระเอ็ด (นิพพาน) โชคดีได้พ่อแม่กล่อมเกลามาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันจึงได้บวชช่วยงานพ่อได้เป็นอย่างดี

อีกทั้งแม่คือ "คุณศุภาพร" ได้ช่วยทำบายศรีให้วัดท่าซุงมาตั้งแต่ต้นๆ จนกระทั่งงานทำบายศรีเผยแพร่ไปทั่ว ปัจจุบันนี้ สายหลวงพ่อวัดท่าซุงทำบายศรีได้ทั่วประเทศ

--- ต้นตำรับทำบายศรีคนแรกคือใคร ?---

แต่บางคนอาจจะไม่รู้ว่า ต้นตำรับทำบายศรีหลวงพ่อตั้งแต่ต้นจริงๆ นั้นคือใคร ผู้นั้นก็คือหัวหน้า "คณะกองทุน" คือ คุณอัญชัญ (ชอ) ศุทธรัตน์ นั่นเอง

สมัยนั้น เวลาไปทำพิธีบวงสรวงไกลๆ เช่นที่พระธาตุจอมกิตติ และพระธาตุดอยตุง ต้องนำบายศรีแห้งไปให้หลวงพ่อทำพิธี

หมายถึงเป็นบายศรีผ้า หรือบายศรีดอกไม้เทียมนั่นเอง ไม่สามารถนำบายศรีสดไปทำพิธีได้ เนื่องจากสมัยก่อนปี ๒๕๒๐ ลูกศิษย์หลวงพ่อสมัยนั้นยังไม่สะดวก ต้องนำสิ่งของไปจากกรุงเทพทั้งสิ้น

ไม่เหมือนสมัยนี้ มีลูกศิษย์หลวงพ่อทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือที่เชียงราย ผู้เขียนก็ได้ประสานงานกับ คุณป้าน้อย พร้อมกับพระอาจารย์สมบูรณ์ วัดปฐมพุทธาราม จ.เชียงราย เป็นผู้ทำบายศรีทุกครั้ง

ทำให้สมัยท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล เป็นเจ้าอาวาส สามารถนำคณะไปทำพิธีบวงสรวงที่เชียงราย ได้รับความสะดวกทุกครั้ง

เพราะผู้เขียนและคณะตามรอยพระพุทธบาท ต้องไปทำความสะอาด ประสานงานกับเจ้าอาวาส พร้อมทั้งทำความสะอาดพื้นที่ จัดเตรียมเต้นท์และเก้าอี้ก่อนงานทุกครั้ง

ครั้นมาถึงสมัยนี้ ก่อนที่ท่านเจ้าคุณมรณภาพ ผู้เขียนก็มอบงานนี้ให้ท่านพระครูปลัดสมนึกทำแทน โดยมีพระใบฎีกาพิษณุนำคณะแม่ครัวมาจัดเลี้ยงอาหาร

พร้อมทั้งมีพระภิกษุที่อยู่ลำพูนและเชียงใหม่ นำญาติโยมไปเลี้ยงอาหารอย่างสะดวกสบาย ไม่เหมือนสมัยก่อน ผู้เขียนต้องเตรียมเสบียงอาหารไปเอง


...ขอย้อนกลับมาเล่าเรื่องหลวงปู่บุดดาต่อ ส่วนใหญ่ก็ชอบฟังท่านเล่าเรื่องการธุดงค์ แต่ท่านพูดธรรมะแบบนักธรรม คือผสมภาษาบาลีด้วยคำว่า กามาสวะ, ภวาสวะ, อวิชชาสวะ และ พุทธจักร อาณาจักรบ้าง เป็นต้น

บางครั้งท่านเล่าเรื่องอดีตชาติของท่าน เคยเกิดสมัยปฐมสังคายนาบ้าง เคยเกิดสองฝั่งโขง น่าจะทั้งฝั่งไทยและลาวด้วย ทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาบที่ ๖

แล้วที่สำคัญท่านก็เคยเกิดเป็นลูกของ หลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร ท่านจึงเรียกว่า “คุณพ่อสงฆ์” ได้จำพรรษาด้วยกันที่ ถ้ำภูคา จ.ลพบุรี

หลวงปู่มักจะเล่าว่าท่านเคยเป็นทหารเกณฑ์มาก่อน พร้อมกับยื่นแขนออกมาให้ดูที่รอยสักของท่าน เป็นตัวหนังสือว่า "๒๔๕๘ ท.บ.๓ ล.๑๐" (สังกัดกองทัพบก ทหารบกปืน ๓ ในสมัยรัชกาลที่ ๖)

ขอเล่าย้อนก่อนที่จะถึงว้นงานทอดกฐิน หลวงพ่อเรียกผู้เขียนเข้าไปหาท่าน หลังจากนั่งกรรมฐานในตอนหัวค่ำที่ตึกเสริมศรี ท่านบอกว่า

"...อีกหน่อยหลวงปู่บุดดาจะไม่อยู่ที่นั่นแล้วนะ.."

ตอนหลังก็มีปัญหาจริงๆ ระหว่างพระที่จำพรรษาด้วยกัน จำเป็นจะต้องนำเงินก้อนนั้นมาเข้าบัญชีหลวงพ่อไว้ก่อน ต่อมาภายหลังหลวงปู่ก็มาเบิกเงินไปจากหลวงพ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับเงินทอดกฐินเป็นจำนวนนับแสนบาท ถึงแม้สำนักนี้จะอยู่ห่างไกลจากวัดท่าซุง แต่หลวงพ่อก็รู้ได้ด้วยญาณของท่านจริงๆ

ทั้งๆ ที่ปัญหาภายในสำนักสงฆ์นี้ ผู้เขียนไม่ได้กราบเรียนให้หลวงพ่อทราบแต่อย่างใด..อัศจรรย์มาก อีกทั้งด้วยบารมีของท่านเจ้าอ้ายและเจ้ายี่ จึงทำให้การจัดงานคราวนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

แม้วันที่ไปทอดกฐินเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๑๙ ด้วยจำนวนรถบัสถึง ๔ คัน หลังจากถวายผ้ากฐินเสร็จแล้ว ปรากฏว่ารถบัสขยับออกมาไม่ได้

ผู้เขียนนึกขึ้นได้ว่า ยังไม่ได้บอกลาเจ้าอ้ายและเจ้ายี่เสียก่อน จึงนึกอธิษฐานลาท่านในใจ รถบัสจึงวิ่งออกมาได้ทุกคัน เพื่อไปทอดผ้าป่าที่วัดท่าซุงต่อไป


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 5/9/18 at 06:25

[ ตอนที่ 4/5 ]

(Update 29 กันยายน 2561)




จัดงานทอดกฐิน "หลวงปู่บุดดา" (ต่อ)


...การเดินทางไปกราบหลวงปู่บุดดาและหลวงพ่อฯ ของเราสมัยนั้น เป็นเพราะว่า "พระอาจารย์ชัยวัฒน์" เป็นผู้ประสานงานในการจัดงานทอดกฐินที่วัดหลวงปู่บุดดา และจัดงานทอดผ้าป่าที่วัดท่าซุง

ในกลุ่ม (ช่วยงานที่บ้านสายลม) ของพวกเราสมัยนั้นประมาณ ๓๐ กว่าคน จึงลงขันกันคนละ ๒,๐๐๐ บาท กำหนดงานในวันเดียวกัน คือ วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๑๙ เรียกว่าทำบุญวันเดียว ๒ วัดกันเลย

ฉะนั้น พวกเราจึงต้องเดินทางไปเตรียมงานก่อน พร้อมทั้งกราบนมัสการหลวงปู่และหลวงพ่อฯ อยู่เสมอ จนถึงวันงานจึงได้ชักชวนญาติมิตรร่วมเดินทางกันมากมาย

โดยได้จัดรถจากบ้านสายลม จำนวน ๔ คันรถบัส ออกเดินทางไปทอดกฐินและทอดผ้าป่า รวบรวมเงินทำบุญถวายวัดละ ๑๐๐,๐๐๐ บาทเศษ

ในสมัยนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านได้เมตตาพร้อมกับพระสงฆ์วัดท่าซุง ๑๐ กว่ารูป ออกมารับผ้าป่า ณ ศาลานวราช

เป็นอันว่า งานการกุศลก่อนที่จะบวชกัน พวกเราต่างก็ช่วยกันทำจนสำเร็จมาแล้ว พร้อมทั้งได้ช่วยกันหาทุนสร้างวัดท่าซุงจนสำเร็จมาถึงทุกวันนี้

เมื่อหลายปีที่ผ่านมีคนชื่นชมผู้เขียนลับหลังว่า ดีแต่หาเงินไปทำบุญที่วัดอื่น ที่วัดท่าซุงไม่เห็นช่วยอะไรเลย ถ้าผู้นั้นได้เห็นบทความนี้แล้ว คงจะเกิดความเข้าใจได้เป็นอย่างดี

เรื่องความไม่เข้าใจก็ขอผ่านไป กลับมาเรื่องที่น่าเสียดายกันต่อ ภายหลังหลวงปู่บุดดาก็ต้องไปอยู่ที่อื่นอีกหลายแห่ง จนกระทั่งสุดท้ายที่ วัดกลางชูศรี จ.สิงห์บุรี แล้วท่านก็ได้มรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช

หลังจากหลวงปู่ได้เดินทางมาที่วัดท่าซุงเป็นครั้งสุดท้าย คืองานทำบุญครบ ๑๐๐ วันหลวงพ่อฯ มรณภาพ (๖ ก.พ. ๒๕๓๖) เวลานั้น ผู้เขียนมีความรู้สึกว่าอยากจะเข้าไปใกล้ท่าน

ในขณะที่ท่านนั่งอยู่บนโซฟาในศาลา ๑๒ ไร่ จึงเข้าไปกราบท่านด้วยความเคารพ พร้อมกับได้เอามือทั้งสองข้างนวดไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างเบาๆ

ท่านชี้ไปด้านหน้าพระศพหลวงพ่อฯ พร้อมกับพูดเบาๆ ว่า ยังไงล่ะ..ทำไมไม่พูดซะแล้วละ นอนเงียบเฉยเลยนะ

(ปกติหลวงพ่อกับหลวงปู่เจอกันทีไร จะคุยกันสนุกมาก หลวงพ่อไล่ต้อนเท่าไร หลวงปู่ก็ไม่ยอมจำนนสักที สมัยนั้นได้บันทึกเสียงไว้ด้วย ในคราวที่หลวงพ่อไปเยี่ยมหลวงปู่ที่ชัยนาท)

ภายหลังหลวงพ่อเห็นว่าหลวงปู่อยู่ไม่เป็นที่สักที คือไม่มีวัดอยู่ประจำ มีแต่คนนิมนต์ไปโน่นไปนี่อยู่เรื่อย หลวงพ่อเห็นว่าหลวงปู่มีอายุมากขึ้น สุขภาพเริ่มไม่แข็งแรง


ท่านจึงได้สร้างศาลาทรงผีเสื้อ (อยู่ริมสระน้ำ ใกล้ร้านอาหารเจ๊กิมกี หลังศาลาพระพินิจ) หลวงพ่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นการชำระหนี้สงฆ์ เนื่องจากรื้อศาลาหลังเก่า (เดิมอยู่ใกล้ๆ ตึกกองทุน)

อีกทั้งเพื่อเป็นอนุสรณ์ เพราะครั้งหนึ่งสมัยที่องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานย้ายมาอยู่ที่วัดท่าซุงใหม่ๆ นั้น ที่พักของท่านเป็นเพียงกุฎิไม้เก่าๆ ริมน้ำจะพังมิพังแหล่

แต่กาลเวลาผ่านไปกุฏิไม้หลังนั้นได้ถูกรื้อถอนออกไปนานแล้ว จึงสร้างของใหม่ขึ้นมาเป็นอนุสรณ์ไว้ให้ใกล้เคียงกับกุฏิหลังเดิม เมื่อสร้างเสร็จแล้ว จึงได้นิมนต์หลวงปู่มาเพื่ออยู่ประจำที่วัดท่าซุง

แต่ปรากฏว่าพอถึงวันเดินทางจริงๆ ไม่ทราบว่ามีท่านผู้ใดแอบเอาตัวหลวงปู่หนีไปเลย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


หลวงพ่อท่านจึงได้วางเฉย ความหวังที่จะเป็นการสงเคราะห์หลวงปู่ กลับกลายว่าไปขัดใจกับบุคคลอื่น

ซึ่งผู้เขียนและเพื่อนๆ ที่รู้เรื่องนี้ดี จึงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลนี้อีกต่อไป จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เพราะเห็นว่าบุคคลผู้นี้เอาหลวงปู่ไป เหมือนกับไม่ให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อฯ แต่อย่างใด

นั่นเป็นการได้กราบหลวงปู่อย่างใกล้ชิดเป็นครั้งสุดท้ายของผู้เขียน ด้วยความรู้สึกผูกพันธ์ที่มันเกิดขึ้นเอง แล้วก็ทำไปตามอัตโนมัติด้วยความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 16/9/18 at 06:01

[ ตอนที่ 4/6 ]
(Update 12 ตุลาคม 2561)


อัศจรรย์..หลวงปู่สีทำ "ชานหมาก" ไว้รอ


"...ในตอนนี้ ต้องขอเล่าย้อนกลับมาตอนก่อนทอดกฐิน พวกเราได้เดินทางจากกรุงเทพฯ แวะกราบหลวงปู่บุดดา ที่วัดสองพี่น้อง อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาทแล้ว

หลังจากนั้นก็ได้เดินทางไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ สมัยนั้นยังเรียกกันว่า หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ช่วงนั้นพวกเราเริ่มได้ยินเรื่อง "หลวงปู่สี" ที่ตาคลีกัน

วันรุ่งขึ้นก็ได้เดินทางต่อไป ณ วัดถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เพราะขณะนั้นได้ทราบว่า หลวงปู่สีเป็นพระสำคัญองค์หนึ่ง คืออยู่ในกลุ่ม "พระสุปฏิปันโน" ด้วย

มีเรื่องเล่าในหมู่คณะว่า ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ ประเภท "วิริยาธิกะ" มาก่อน (บำเพ็ญบารมี 16 อสงไขย)

แต่ได้ลาจากพุทธภูมิ หลังจากนั้นท่านก็ได้จบกิจในพระพุทธศาสนา ได้ยินว่าหลวงพ่อบอกว่าเป็น "พระปฏิสัมภิทาญาณ"

ด้วยเหตุนี้ คณะที่เดินทางทุกคนจึงตั้งใจไว้ว่า จะเดินทางไปกราบท่านถึงที่วัดกันเลย ครั้นเดินทางไปถึงแล้ว ปรากฏว่าท่านนั่งอยู่องค์เดียว

น่าเสียดายที่หารูปภาพนี้ไม่เจอ พระอรหันต์ชั้นสำคัญนะ ท่านนั่งบนกุฏิไม้เก่าๆ นุ่งสบงเก่าๆ ใส่อังสะตัวเดียว มีแมวอยู่เต็มกุฏิไปหมด

ท่านก็มัวแต่วุ่นอยู่กับแมว พวกเราทุกคนต่างก็เดินเข้าไปกราบท่าน ต้องระวังเพราะกลัวไม้กระดานกูฏิจะหักพังลงมาเสียก่อน

หลังจากได้กราบนมัสการและทำบุญกับท่านแล้ว พร้อมทั้งซักถามเรื่องของท่าน ท่านบอกว่าได้เที่ยวธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินทางมาถึงที่นี้ จึงได้อยู่ประจำมาจนถึงปัจจุบันนี้

ในขณะนั้นท่านก็มีอายุ ๑๒๖ ปีแล้ว ท่านรู้จักกับหลวงปู่แหวนเป็นอย่างดี ต่อจากนั้นก็ได้กราบลาท่านกลับกรุงเทพฯ

ในเวลานั้น ท่านก็ได้มอบ "ชานหมากที่ห่อผ้าจีวร" อย่างที่เห็นตามรูปภาพนี้ให้แก่ทุกคน นับจำนวนคนได้ ๑๐ คนพอดี

แต่มองเห็นยังเหลืออีก ๑ อันวางอยู่ใกล้ตัวท่าน เป็นชานหมากที่เพิ่งทำใหม่ๆ เพราะมองเห็นรอยน้ำหมากที่ผ้าจีวรผันอยู่ และที่นิ้วมือของท่านด้วย

สังเกตบ้างไหม..ท่านผู้อ่าน หลวงปู่สีไม่ได้ฉันหมากนะ ตามรูปภาพทั่วไป จะไม่เห็นท่านฉันหมากเลย แต่หมากท่านกลับศักดิ์สิทธิ์ได้

เมื่อคณะพวกเราที่ไปนั้น เห็นว่ายังเหลืออยู่อีกอันหนึ่งก็แปลกใจ พอจะขยับถามท่าน ปรากฏว่ายังมีคนขับรถอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างล่าง

เมื่อเขาเดินขึ้นมารับไปจากมือท่านแล้ว พวกคณะทั้งหมดถึงกับมองหน้าและยิ้มให้กัน เพราะรู้กันโดยนัยว่าได้มาเจอพระดีเข้าจริงๆ แล้ว



(ภาพจากซ้ายไปขวา-หลวงพี่พระครูสังฆรักษ์สุรจิต, หลวงตาวัชรชัย และหลวงพี่ชัยวัฒน์ พร้อมด้วยคณะที่ไปด้วยกัน)

...ภาพหมู่นี้ต้องยกเครดิตให้ "คุณสมโชค บุญสวัสดิ์" ที่อุตส่าห์เสียสละถ่ายรูปให้ หากนับคนในภาพรวม ๑๐ คนพอดี (ไม่รวมเด็ก)


Cr. คุณสมโชค บุญสวัสดิ์ (นั่งหันหน้ามายิ้มใส่เสื้อสีเทาเข้ม) เห็นภาพนี้แล้วนึกถึงความหลังนะ ส่วนใหญ่มัวแต่มองลายมือของตนเองกัน

แต่พระเอ็ด (ตอนเด็กๆ นั่งหันหน้า) กลับไม่สนใจดูลายมือตนเองว่า จะได้บวชหรือไม่

ส่วนหลวงปู่นั่งอมยิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดีกับเด็กๆ ตอนนั้นหลวงปู่ยังไม่แก่มาก ท่านยังแข็งแรงดีอยู่ ช่วงนั้นพวกเราสนิทสนมกับหลวงปู่มาก

...เรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่าท่านรู้ล่วงหน้าจริงๆ ว่า พวกเราจะไปหาท่าน แล้วก็รู้ว่าต้องการจะไปขอ "ชานหมาก" จากท่าน และท่านก็เตรียมเกินไว้ ๑ คนด้วย

คือทำไว้เผื่อคนขับรถอีกด้วย รวมทั้งหมด ๑๑ อัน นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่อยากจะนำมาเล่าเสริมจากท่านผู้บังคับการมนูญเล่าไว้นี้ แล้วท่านผู้อ่านจะรู้สึกว่ามีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด

แน่นอน...เหมือนกับผู้เขียน ถ้าหากไม่เจอกับตัวหรือได้เห็นกับตา แต่ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่วัตถุมงคลที่ท่านให้ จุดสำคัญอยู่ที่ใจของท่าน หรือความบริสุทธิ์ของจิต

เดิมเข้าใจว่าความขลังความศักดิ์สิทธิ์นั้น อยู่ที่การบริกรรมคาถาอาคม หรือการปลุกเสกของเกจิอาจารย์ทั้งหลาย ที่ได้เล่าเรียนวิชา "ไสยศาสตร์" กันมา

แต่พอมาได้ความรู้จากหลวงพ่อฯ จึงได้ทราบว่า วัตถุมงคลที่จัดสร้างนั้นมี ๒ แบบ คือจากพระที่ได้ฌานโลกีย์ และพระที่ได้ฌานโลกุตตระ อย่างหลวงปู่สีเป็นต้น

ฉะนั้น พวกเราได้รับของดีจากหลวงปู่สี โดยเฉพาะผู้เขียนได้รับถึง ๒ ครั้งด้วยกัน น่าสนใจมั๊ยละ..ท่านผู้อ่าน แต่อย่าสนใจเลยนะ เพราะชานหมากหลวงปู่สีทั้งสองแบบ..เรียบร้อยหมดแล้ว

ไม่ใช่แจกให้คนอื่นไปหมดนะ ไอ้ที่หมดนะ คือ ถวายหลวงพ่อฯ บรรจุในพระเจดีย์ที่วิหารร้อยเมตร และในพระเจดีย์พุดตาน ถวายเป็นพุทธบูชาไปหมดเรียบร้อยแล้ว..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 29/9/18 at 04:07

[ ตอนที่ 4/7 ]
(Update 25 ตุลาคม 2561)


หลวงปู่สีฝากศพไว้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง


...ต้นปีเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๐ หลวงปู่สีท่านมีอาการอ่อนเพลีย อาพาธด้วยโรคชรา และต่อมลูกหมากโต ได้รับการดูแลรักษา ญาครูจันทร์ (พระอาจารย์จันทร์ หลานหลวงปู่ คนสุรินทร์) ก็อยู่ดูแล

ตอนที่หลวงปู่อาพาธที่วัดเขาถ้ำฯ ก็มีพระอาจารย์สมบูรณ์ ปริสมปุณโณ เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำบุญนาค พระอาจารย์รักษ์ เตธธัมโม พระอาจารย์ประเทือง พุ่ทธธมโม พระอาจารย์สุพจน์ ฉนทชาโต

ส่วนหมอที่ดูแลอาการป่วยของหลวงปู่..คุณหมอโอ๊ด หมอโอ๊ดจะหนักใจเพราะหลวงปู่ไม่ยอมให้ฉีดยา ถ้าท่านไม่ยอมก็จะฉีดไม่เข้า เข็มจะหักหมด

นอกจากท่านอนุญาต จึงจะฉีดยารักษาไข้ได้ ลูกศิษย์ที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ ก็จะได้ยินหลวงปู่พูดว่า

"รักษาอย่างไร เดือน ๔ ข้าก็จะไปแล้ว !!"

ด้วยคุณวิเศษนานับประการของหลวงปู่สี จึงมีพระอาจารย์ดัง ๆ มากมายแห่งยุคให้การยอมรับ

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) ผู้เด่นดังมีลูกศิษย์มากมายเกือบทั้งประเทศ ให้การเคารพยอมรับหลวงปู่สี ฉันทสิริ

ว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่สุดยอดแห่งยุคองค์หนึ่ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ไปมาหาสู่หลวงปู่สีอยู่เป็นนิจ

เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ หลวงปู่สีท่านอาพาธมีอาการหนักมาก พระอาจารย์สมบูรณ์ เจ้าอายวาสวัดเขาถ้ำฯ ก็คลานเข้าไปถามหลวงปู่ว่า...

"หลวงปู่ครับ ถ้าหลวงปู่จะจากไป จะให้ทางวัดจัดพิธีศพหลวงปู่อย่างไร ?"

หลวงปู่สีถึงท่านจะอาพาธหนักปานใด แต่ท่านก็ควบคุมสติได้อย่างมั่นคง ท่านจึงตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า

"หากข้ามรณภาพเมื่อใด ท่านฤาษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง"

และแล้วต่อมาเวลาประมาณตี ๓.๔๕ นาที ของวันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๐ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง หลวงปู่ก็มรณภาพลงด้วยอากาสงบ สิริรวมอายุของหลวงปู่สี ได้ ๑๒๘ ปี

ท่ามกลางสายลมพัดผ่านที่เย็นยะเยียบ แต่ความเย็นของอากาศยังไม่ยะเยียบ เท่ากับเหล่าลูกศิษย์ได้ทราบข่าวการจากไปของหลวงปู่ อย่างไม่มีวันที่จะกลับคืนมาอีกได้

ทุกคนเงียบน้ำตาล้วนไหลพราก ต่างสะอื้นไห้ด้วยความอาลัยหลวงปู่ ท่านจากมวลลูกศิษย์ไปท่ามกลางลมหนาวแล้ว

อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดประมาณตี ๕ กว่าของคืนวันนั้น "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" ก็ปรากฏกายขึ้น โดยไม่ได้รับการติดต่อแจ้งข่าวจากผู้ใดในวัดเขาถ้ำบุญนาค

แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้มาถึงอย่างมหัศจรรย์ ตรงตามคำพูดของหลวงปู่สี ที่ท่านกล่าวไว้ ท่ามกลางลูกศิษย์ ก่อนที่จะถึงกาลมรณะ

เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาถึงวัดเขาถ้ำบุญนาค ก็ได้ขอให้เก็บศพของหลวงปู่ไว้ เสมือนหลวงปู่สีท่านนอนจำวัด และท่านจำวัดหลับสนิท ด้วยอาการปกติสงบเรียบร้อยมาตราบเท่าทุกวันนี้

ที่น่าอัศจรรย์คือร่างกายของหลวงปู่สีไม่มีน้ำเหลือง ไม่เน่าไม่เหม็น ไม่เปื่อยอยางเช่นซากศพทั่วไป

จากวันนั้นถึงวันนี้ กลิ่นซากศพของท่านไม่มีเลย แต่กลิ่นกายท่านกลับเสมือนหนึ่งกลิ่นธูปหรือกลิ่นกำยาน..."


ที่มา - คัดลอกบางตอนจากหนังสือวัตถุมงคล หลวงปู่สี ฉันทสิริ หน้า ๖๖-๖๘
(คัดลอกเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวหัวข้อ)

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/10/18 at 05:41

[ ตอนที่ 4/8 ]
(Update 11 พฤศจิกายน 2561)


หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี
เล่าโดย พ.ต.อ. (พิเศษ) อรรณพ กอวัฒนา


"...หลวงปู่สี ฉันทสิริ แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ในบรรดาพระเดชพระคุณพระสุปฏิปันโนทั้งหลาย ที่ผมเคยได้รู้จักและเกี่ยวข้องหรือเนื่องด้วยหลวงพ่อ ฯ ของพวกเรา

พระคุณเจ้าองค์นี้นั้นผมมีความสนิทสนมด้วยน้อยที่สุด คือผมมีโอกาสได้พบได้นมัสการพูดคุยกับท่านเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

แต่ครั้งเดียวที่ว่านี้ เรียกหรือนับได้ว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ติดตามมาซิครับ ถ้าไม่จริงไม่เอาตังค์...!

ในห้วงระยะเวลาระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ – ๒๕๑๘ เป็นช่วงระยะเวลาที่หลวงพ่อ ฯ ท่านต้องตระเตรียมงานต่าง ๆ มากมาย เกี่ยวกับการฉลองสมโภชงาน “ครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดหลวงพ่อปาน ฯ” พระอาจารย์ของท่านและปรมาจารย์ของพวกเรา

ส่วนหนึ่งของแผนงานก็คือ จะมีการอาราธนานิมนต์หลวงพ่อ ฯ หลวงปู่ ฯ ครูบา ฯ ต่าง ๆ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "พระเกจิอาจารย์" ที่มีชื่อเสียงให้มาร่วมในงานนี้

โดยมีรายการต่าง ๆ เพื่อให้ญาติโยมที่จะมากันมาก ได้โอกาสนมัสการและทำบุญกับพระสงฆ์เหล่านี้ และเพื่อมาเข้าพิธีพุทธาภิเษกรูปหล่อเหมือนหลวงปู่ปาน ฯ ตลอดจนพระเครื่องต่าง ๆ ด้วย ฯลฯ เป็นต้น

กำหนดการนี้อยู่กลางเดือนสิงหาคม ๒๕๑๘ ซึ่งอยู่ในระหว่างเข้าพรรษาด้วย พระเดชพระคุณ ฯ ที่พวกเราต้องการจะนิมนต์มานี้ ล้วนเป็นพระที่มีชื่อเสียง (ลูกศิษย์หวง)

การไปนิมนต์จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำได้ ระยะทางหรือก็ไกล แถมยังจะต้องมาค้างคืนอีกหลายคืน ใครจะมาต้องถือว่าสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งยังจะต้องลาสังคหะอีกด้วย

(ตามพระวินัยเรียกว่า "สัตตาหะ" คือการที่พระลาไปค้างคืนนอกวัดที่จำพรรษา เนื่องจากความจำเป็นมากๆ เท่านั้น ลาได้ครั้งละไม่เกิน ๗ วัน)

ปัญหาแบบนี้ใครจะมีบารมีมากพอที่จะไปทำได้ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อ ฯ ดังนั้นภาระในการนี้จึงต้องตกเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อ ฯ โดยตรงที่จะต้องไปดำเนินการ (ให้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลย)

สำหรับพวกผมก็คิดประเมินสถานการณ์กันว่า ๕๐/๕๐ หมายความว่าอย่างเก่งอาจจะสำเร็จเพียงครึ่งเดียว แต่สำหรับหลวงพ่อ ฯ แล้ว ท่านมีความมั่นใจมาก เพราะท่านพูดเสมอว่า งานนี้เป็นการสำคัญของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว

หลวงพ่อ ฯ หลวงปู่ ฯ ครูบา ฯ ทั้งหลายจะต้องมาแน่ ๆ และในการไปอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าเหล่านี้ หลวงพ่อ ฯ ก็ได้ชักชวนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาให้ไปร่วมนมัสการด้วยเป็นคณะใหญ่

จนกระทั่งได้เกิดเป็นตำนาน “ฤาษีทัศนาจร” และ “ล่าพระอาจารย์” ให้พวกเรารุ่นหลังได้อ่านกันสนุกสนานกันมาจนทุกวันนี้

และปรากฎว่าได้สำเร็จจริงตามที่หลวงพ่อ ฯ ท่านว่าเอาไว้ ยกเว้นอยู่เพียง ๔ องค์ที่มาไม่ได้ เพราะเหตุจำเป็นจริง ๆ คือ

- หลวงปู่แหวน ฯ (องค์นี้พวกเราพิจารณากันเองด้วยสติปัญญาว่า ท่านชราภาพมากและสุขภาพไม่ดี จึงไม่นิมนต์) องค์ต่อมาคือ

- หลวงปู่ทืม (บุญทีม พรหมเสโน วัดจามเทวี จ.ลำพูน) องค์นี้เล่นลาตายเลยครับ ดีเหมือนกันไม่ต้องแก้ตัว อีกองค์คือ

- ท่าน ฯ วัดพระบาทตากผ้า (ครูบาพรหมจักรสังวร) ศิษย์ของท่านองค์หนึ่งป่วยหนักเข้าขั้นตรีทูต ถ้าท่านไม่อยู่ดูแลต้องม้วยมรณัง องค์สุดท้ายที่ไม่มาคือ..

- หลวงปู่สี ฯ ไม่ยอมมาเพราะอาย อ่านตามมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้ว่าอายอะไร ?"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 25/10/18 at 05:01

[ ตอนที่ 4/9 ]
(Update 20 พฤศจิกายน 2561)


หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี
เล่าโดย พ.ต.อ. (พิเศษ) อรรณพ กอวัฒนา


"...บรรดาพระสุปฏิปันโนทุกองค์ที่ได้มาและไม่ได้มาร่วมงานดังกล่าว มีอยู่เพียงองค์เดียวคือ หลวงปู่สี ฯ

ที่หลวงพ่อ ฯ ไม่ได้พาคณะศิษย์ไปนมัสการ (เนื่องจากมีเหตุผลหลายประการ ซึ่งผมจะขอข้ามไป)

ลูกศิษย์ฝ่ายทหารอากาศ มีพี่สาย (พ.อ.อ. สาย ศิริรัตน์ ทำงานอยู่ที่ บน.4 ตาคลี) เป็นต้น ได้เคยมาปรึกษาหารือกับผมเสมอ ๆ

โดยขอให้ผมเสนอหลวงพ่อ ฯ ให้ชักชวนคณะศิษย์ไป แต่ผมทำเฉยเสีย ทั้งนี้เพราะผมนั้นรู้อยู่แก่ใจว่า

ถ้าการใดสำคัญจำเป็นแล้ว หลวงพ่อ ฯ ท่านจะบัญชาลงมาเองทันที โดยไม่ต้องไปชวน หรืออาราธนาให้ลำบาก

จากการที่ พี่สาย ฯ มาคอยตื๊อผมในเรื่องนี้ ผมจึงได้ทราบประวัติและความเป็นมาของหลวงปู่สี ฯ พอสังเขปว่า หลวงปู่ ฯ ไม่ได้เป็นชาวอำเภอตาคลีโดยกำเนิด

ท่านเป็นคนทางภาคอีสาน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในระหว่างที่ท่านจาริกธุดงค์ไปตามป่าเขา ท่านได้ไปปักกลดอยู่ใกล้หมู่บ้านป่าแห่งหนึ่ง

ซึ่งหมู่บ้านนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ไปแล้วกว่าครึ่ง หลวงปู่ ฯ จึงได้พยายามเทศนาสั่งสอน จนชาวบ้านจำนวนมากได้กลับตัวกลับใจหันมานับถือศาสนาพุทธอีก

การกระทำของหลวงปู่ ฯ สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่ควบคุมพื้นที่นั้นมาก จึงได้วางแผนจะเข้าไปจับตัวหลวงปู่ ฯ

โดยเข้าทำการปิดล้อมหมู่บ้านตามยุทธวิธีของเขา ปรากฎว่าพวกเขาหาตัวหลวงปู่ ฯ ไม่พบ ทั้ง ๆ ที่ระหว่างที่เข้าปฏิบัติการนั้น

หลวงปู่ ฯ ก็ยืนอยู่ในป่าอ้อยใกล้ ๆ หมู่บ้านนั้นเอง ไม่ได้ไปไหน ท่านว่าพวกเขาแทบจะเดินชนท่านหลายครั้ง

แต่ทำไมจึงไม่เห็นท่านก็ไม่รู้ (ไม่รู้ยันเลยนะครับหลวงปู่ ฯ แบบนี้เขาเรียกว่า รู้แต่ไม่ยอมบอก)

สมัยนั้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ไม่ได้โจมตีเฉพาะรัฐบาลเท่านั้น ยังได้โจมตีศาสนาและพระมหากษัตริย์ด้วยทุกวัน สามารถรับฟังได้ชัดเจนจากสถานีวิทยุเสียงปักกิ่ง

ข่าวการประสงค์ร้ายต่อหลวงปู่ ฯ นี้ล่วงรู้ไปถึงหูพวกลูกศิษย์ที่เป็นทหารอากาศ จึงได้วางแผนไปรับตัวหลวงปู่ ฯ นำขึ้น ฮ. มาที่ตาคลี

และต่อมาได้อาราธนาให้ไปอยู่ที่สำนักสงฆ์ดังกล่าวแล้วข้างต้น แต่ฟังว่ากว่าจะนิมนต์เอาตัวหลวงปู่ ฯ มาได้ ถึงกับต้องเอาราชการไปอ้างท่านถึงจำต้องยอม

เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ผมไม่รับรอง แต่เมื่อ พี่สาย ฯ รับรอง ผมก็เชื่อ เพราะเราไม่เคยโกหกกัน เว้นแต่จะฟังมาผิด

เพราะต่างก็ไม่มีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องในการนั้น ฟังเขามาเล่าต่อว่าอย่างนั้นเถิด แต่ถ้าใครยังติดใจก็ตามไปถามเอาจาก พี่สายฯ หรือ หลวงปู่ฯ เองก็แล้วกันครับ..."


หมายเหตุ : ในตอนจบนี้ "ผู้เขียน" เล่นมุขจนรับไม่ทัน บอกว่าให้ไปถาม "พี่สาย" หรือ "หลวงปู่" กันเอง จะไปถามได้ไงละครับ

ในเมื่อ "พี่สาย" และ "หลวงปู่" ได้จากโลกนี้ไปนานตั้งหลายปีแล้ว หรือว่าใครจะกำหนดจิตถามกันเองก็แล้วกันนะครับ...!!! (จาก "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง")

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 11/11/18 at 06:39

[ ตอนที่ 4/10 ]
(Update 5 ธันวาคม 2561)


หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี (3)
เล่าโดย พ.ต.อ. (พิเศษ) อรรณพ กอวัฒนา


"...ก่อนที่จะเขียนเรื่องนี้ ผมเองก็ได้พยายามติดต่อขอประวัติของหลวงปู่ฯ ที่เชื่อว่าที่วัดน่าจะมีเหลือ

มิสเตอร์บังฯ (คุณนที) บอกผมว่าพี่ประมวลฯ (พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์) น่าจะมี ผมก็รอคอยอยู่เพราะถ้าได้มาก็จะเป็นประโยชน์

ที่จะนำมาย่อพอสังเขป ไม่ต้องให้คนที่อยากรู้ต้องไปหาหนังสือหลายๆ เล่มมาอ่าน จึงจะได้ความครบสมบูรณ์

รออยู่นานมิสเตอร์ บังฯ ก็ยังไม่กลับ (ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ อยู่ในประเทศไทยนี่แหละ แต่กู่ไม่กลับ นัยว่ายุ่งกับธุรกิจถมดินอยู่จนท่อปัสสาวะอักเสบ)

ผมจึงตัดสินใจไม่รอคอย เพราะเดี๋ยวหนังสือเล่มนี้ไม่ได้พิมพ์ งวดหน้าพี่จะแวะมารับก็แล้วกันนะบังนะ งวดนี้พี่ไปก่อน คอยอยู่กับไอ้ตี๋เล็กฯ ก็แล้วกัน

กลับมาเข้าเรื่องหลวงปู่ฯ สีต่อไป ต่อมาเมื่อใกล้จะถึงกำหนดวันงานสมโภชครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงปู่ฯ ปาน

ท่านเจ้าคุณศุภมัสสุ หรือพระอาจารย์เหม่ฯ ได้แจ้งให้ผมทราบว่าหลวงพ่อฯ ตามหาผมจะให้ไปหาหลวงปู่ฯ สี เพื่อนำสังฆาฏิไปแลกแล้วนำมาแจกจ่ายในงาน ตามโครงการของผม

ทีแรกผมก็อุ่นใจเพราะคิดว่าหลวงพ่อฯ จะนำไป ที่ไหนได้พอหลวงพ่อฯ บอกว่าท่านไม่ไปจะให้ผมไปเอง ผมก็ร้องจ๊ากเลยครับ

นึกในใจว่าเวรกรรมของไอ้เป๋ฯ ไม่มีทางสำเร็จหร๊อก! แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ให้คุณป้านนทาฯ เลือกสังฆาฏิใหม่ให้ ๑ ผืน

ก้มหน้างุดๆ ออกมาชวนสมัครพรรคพวกกลุ่มทหารอากาศไปกันหลายคน ก็หวังพึ่งพิงพวกพี่ๆ เขานี่แหละครับ

บอกตรงๆ ดุ่ยเด่ไปคนเดียวใครจะกล้า อุ่นใจว่าพวกพี่เขาเคยไปนมัสการอยู่บ่อยครั้ง

ส่วนผมนั้นไม่เคยไปเลย จำได้ว่ามีน้องๆ ไปช่วยเชียร์กันหลายคน รุ่นเดอะที่ไปช่วยลุ้นก็มีแม่นิดฯ (คุณสุภาพ ปุณศรี คือน้องสาวของคุณเฉิดศรี (อ๋อย) อดีตเจ้าของบ้านสายลม) กับพระอาจารย์เหม่ฯ

พอถึงวัดก็ตรงรี่เข้าไปที่กุฏิหลวงปู่ฯ หลวงพี่ฯ (พระองค์ที่คุ้นเคยกับพวกเราที่เป็นทหารอากาศ และดูแลหลวงปู่ฯ อยู่) ก็ออกมาต้อนรับ และแจ้งให้พวกเราทราบว่า

"คอยประเดี๋ยวนะครับ ท่านกำลังฟังวิทยุอยู่ ต้องรอให้ท่านฟังให้เสร็จเสียก่อน จึงจะเข้าไปพบและนมัสการได้"

เออ..ก็ดีเหมือนกัน ผมคิดในใจพอมีเวลาตั้งตัว คิดดังนั้นแล้วผมจึงได้เร่เข้าไปเจรจากับหลวงพี่ฯ เป็นการหยั่งเชิงไปก่อนว่า ที่มานี่มีความประสงค์อย่างไร

หลวงพี่ฯ ก็ให้กำลังใจว่าคงจะสำเร็จ แต่เดี๋ยวเมื่อคุณได้พบแล้วก็ให้เรียนขอกับท่านเอาเองแล้วกัน ทางนี้ (หมายถึงระดับลูกศิษย์เท่านั้น) ได้ทราบเลาๆ แล้วถึงความประสงค์

แต่ไม่มีใครบอกกับหลวงปู่ฯ หรอก ไม่มีใครกล้าต้องขอเอง อ้าว..แล้วกันหลวงพี่ฯ ขนาดหลวงพี่ฯ อยู่กับท่านแล้วยังไม่กล้าบอกท่านก่อน

แล้วอย่างผมที่ไม่รู้จักกับท่านมาก่อนเลยจะทำยังไงนี่ ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ แล้วผม ขอสารภาพอีกว่าสำหรับองค์อื่นๆ แล้วผมชัวร์ป้าบเลยครับว่าสำเร็จ

แต่หลวงปู่สีฯ นี่ ไม่ป๊าดไม่ปู๊ดเลยครับ ทำท่าว่าจะเป๋งลูกเดียว หาข่าวมาแล้วก็รู้สำนึกเลยครับว่า ถูกต้มไม่มีใครนำทางหรือนำร่องให้มาก่อนเลย

พี่สายฯ นะพี่สายฯ ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นอยู่ในใจ เป็นทหารอากาศแท้ๆ แต่ดันพาผมมาปล่อยเกาะ ถ้าเป็นทหารเรือจะไม่ต่อว่าเลย

ผมเข้าไปซักถามพวกเราที่เป็นทหารอากาศ เพื่อความแน่ใจอีกครั้งได้ความว่า ไม่มีใครกล้ามาบอกหลวงปู่ฯ ไว้ก่อน

เวรนะ..เวรไม่น่าหลอกกัน ก็เมื่อตอนก่อนจะมา ถามแล้วก็พูดเสียงแข็งขันว่าสบายมาก ผมก็นึกว่ามีผู้เก่งกล้าอาสารับภาระมาขอให้เรียบร้อยแล้ว

จึงเตรียมกายเตรียมใจแค่วางมาดเข้ามารับของที่ต้องการแล้วก็กลับได้


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 20/11/18 at 03:15

[ ตอนที่ 4/11 ]
(Update 21 ธันวาคม 2561)


หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี
เล่าโดย พ.ต.อ. (พิเศษ) อรรณพ กอวัฒนา


"...ผมเข้าไปซักถามพวกเราที่เป็นทหารอากาศ เพื่อความแน่ใจอีกครั้งได้ความว่า ไม่มีใครกล้ามาบอกหลวงปู่ฯ ไว้ก่อน

เวรนะ..เวรไม่น่าหลอกกัน ก็เมื่อตอนก่อนจะมา ถามแล้วก็พูดเสียงแข็งขันว่าสบายมาก ผมก็นึกว่ามีผู้เก่งกล้าอาสารับภาระมาขอให้เรียบร้อยแล้ว

จึงเตรียมกายเตรียมใจแค่วางมาดเข้ามารับของที่ต้องการแล้วก็กลับได้ หนอยแน่..ก็แค่มากราบเรียนให้หลวงพี่ฯ ทราบเท่านั้น ส่วนหลวงปู่ฯ ไม่มีใครมาบอกไว้ก่อนเลย เอาไงดีวะ

ผมคิดในใจแล้วทำเถลไถลกลบเกลื่อนความไซ้ต์ (ภาย)ใน เดินออกไปชมเครื่องรางของขลังที่ตู้กระจกที่ชานหน้ากุฏิ

ทำไก๋เช่ารูปหล่อ เหมือนหลวงปู่ฯ มา ๑ องค์ หูก็แว่วๆ ได้ยินเสียงเพลงอีสานอยู่ในห้องของหลวงปู่ฯ คิดปลอบใจตนเองว่า

เฮ่อ ! พระองค์นี้คงไม่เท่าไหร่หรอก ยังติดฟังเพลงอยู่นี่ คงไม่มีอะไรหรอกน่า ผิว่า ไม่ได้ก็ไม่เอา แน่ะ อวดดีอีก..เอ้า !

เออ..เสียงเพลงจบลงแล้วได้พบเสียทีจะได้เสร็จๆ ข้างหลังหลวงพี่ฯ กุลีกุจอกระวีกระวาดไปลาดเลา เอาหูแนบประตูกุฎี กระแอมกระไอแล้วร้องบอกขออนุญาตให้โยมได้เข้าไปนมัสการ

แล้วหลวงพี่ฯ เองก็ผลุบเข้าประตูไป ไม่ถึงอึดใจประตูก็เปิดออกมา พวกเราก็ถลาเข้าไปกราบนมัสการ

เห็นท่านนั่งชันเข่าอยู่ข้างหนึ่ง นุ่งสบงอยู่ตัวเดียวหน้าตาบึ้งตึงชนิดที่ว่า ไม่ว่าไทย ไม่ว่าฝรั่งไม่รับทั้งนั้น อย่าว่าแต่แขกเลยครับ

ผมเข้าไปกราบแล้วถอยปรู๊ดออกมาหลบอยู่ข้างหลังแม่นิดฯ ภาวนาพุทโธๆ ขอให้หลวงพ่อฯ ช่วย หลวงพ่อฯ ค ะ ร๊ า บ ช่วยด้วยช่วยที

นี่พระหรือเสือขอรับ นัยน์ตาลุกวาวขมึงทึงทีเดียวเจียวแหละ พวกเราทุกคนนั่งกันเงียบกรี๊บเลยครับ ฝ่ายหลวงปู่ฯ ก็ออกงิ้วเลยครับ ตวาดแว๊ดมาด้วยเสียงอันดัง

"พวกมึงมาทำไมหืมม.. โน่น ข้างนอกโน่น จะมาเอาวัตถุก็ไปเอาข้างนอก เขาหล่อรูปกูเอาไว้ขายเยอะ อย่างอื่นก็มี ไปไป๊ ออกไปข้างนอก พาไปข้างนอก ธรรมะไม่เอา นี่ลูกศิษย์ใครกัน"

พูดจบก็โบกมือสั่งให้หลวงพี่ฯ ปิดประตู หลังจากโบกมือไล่พวกเราแล้วก็หันหลังให้ นั่งเฉยอยู่อย่างนั้นไม่พูดไม่จา

พวกเราตกตะลึง เสร็จ..เสร็จ..เสร็จแน่ เริ่มต้นบรรยากาศก็แปรปรวนล้วนสลดแลสยดสยอง หลวงพี่ฯ เข้าไปกราบเรียนอ้อนวอน

ว่าเป็นคณะศิษย์ของหลวงพ่อฯ มีธุระนำข่าวมาจากหลวงพ่อฯ ท่านจึงได้หันกลับมาอีกทีอย่างเสียไม่ได้ ตวาดเอ็ดอึงต่อไปว่า

"ที่เฮาฟังอยู่นี่ บ่อแม่นเพลง เป็นแหล่เทศน์ เคยฟังบ๋อ ฮื่อ ?"

ตอนท้ายยังทำเสียงฮื่อ..ออกทางจมูกเหมือนกับแสดงความสมเพช จากนั้นก็ยังดุ ยังบ่นพึมพำ ดังบ้างค่อยบ้างต่อไปอีกหลายกระบุงโกย (เป็นภาษาอีสาน)

แต่ผมไม่รับฟังแล้วภาวนาพุทโธอย่างเดียว จิตจับอยู่กับหลวงพ่อฯ และขอบารมีหลวงพ่อฯ ให้ช่วยด้วยลูกเดียว

อะไรๆ ที่ได้ล่วงเกินไปนั้นลูกช้างมันโง่ กราบขออภัยให้ไอ้ลูกหมา (เอ๊ย ไอ้หมาลูกคน) ด้วยเถิดคะร๊าบ ไอ๊หยา! น่ากลัวจินๆ

เสียงดุค่อยๆ เบาลงๆ จนเงียบแต่ผมก็ไม่ยอมลืมตา ใช่วิธีส่งกระแสจิตอย่างเดียวเท่านั้น รับได้หรือไม่ได้ไม่รู้

แว่วได้ยินแต่เสียงแม่นิดฯ เจรจากับหลวงปู่ฯ ว่าหลวงพ่อฯ ให้เอาสังฆาฏิมาแลกแล้วก็เงียบไป สักพักแม่นิดฯ สะกิดบอกว่าหลวงปู่ฯ เรียก จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น โอ๋ยโย่..เค้าเป๋..ลุจังโลย..ซี้แหง..เลี้ยว !

ท่านจ้องหน้าผมเป๋ง ผมหลับหูหลับตาคลานเข้าไปกราบ แล้วพูดโดยไม่ยอมมองหน้าท่านว่า

"หลวงพ่อฤาษีฯ ให้ผมเอาสังฆาฏิมาแลกครับ !!!"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 5/12/18 at 06:37

[ ตอนที่ 4/12 ]
(Update 4 มกราคม 2562)


หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี
เล่าโดย พ.ต.อ. (พิเศษ) อรรณพ กอวัฒนา


"...ท่านจ้องหน้าผมเป๋ง ผมหลับหูหลับตาคลานเข้าไปกราบ แล้วพูดโดยไม่ยอมมองหน้าท่านว่า

"หลวงพ่อฤาษีฯ ให้ผมเอาสังฆาฏิมาแลกครับ !!!"

ท่านก็รับสังฆาฏิที่ผมประเคนไปอย่างเสียไม่ได้ไม่เต็มใจเอาเสียเลย แล้วเอาไปคลี่ออก เอาศอกทาบตามความยาววัดไปทีละศอกๆ จนหมดความยาวของสังฆาฏิผืนนั้นแล้วร้อง

"เช๊อะ! ไม่ได้เรื่อง" พลางโยนสังฆาฏิผืนนั้นลงกับพื้นอย่างไม่แยแส ดุเกรี้ยวกราดขโมงโฉงเฉงต่อไปอีก

"คนสมัยนี้มันแย่ สังฆาฏิพระวินัยให้ยาว ๘ ศอก นี่ยาวเท่าไรเหอ"

แล้วท่านก็เอานิ้วจิ้มๆ ลงไปที่สังฆาฏิ ผมสั่นหัวตอบในใจว่าไม่ทราบครับ ตอนที่ท่านเอาศอกวัดก็ไม่ได้ดู จึงไม่ทราบว่าสั้นหรือยาวเกินไป

ตอนเอามาก็ไม่ได้พิถีพิถันจริงๆ ครับยอมรับผิดว่าชุ่ย เบิกมาจากคุณป้านนทาฯ แล้วก็แล้วกันไป ไม่นึกว่าจะละเอียดกันขนาดนี้

หลวงปู่ฯ เห็นผมไม่พูด ก็เอาสังฆาฏิ ไปวัดให้ดูอีก อ้อ! ขาดไปหน่อย ผมคิดในใจ

"แล้วจะเอายังไง" หลวงปู่ฯ เค้นถามเสียงเครียด ท่าทางยังเหมือนกับอยากจะกินลาบเลือด และไม่ยอมลดราวาศอกให้เลย

"ผมขออนุญาตเอาไปเปลี่ยนใหม่ก็แล้วกันครับ" ผมอึกๆ อักๆ อยู่นานกว่าจะพูดออกไปได้ แล้วทำท่าจะหยิบเอาคืนมา

แต่หลวงปู่ฯ ท่านกลับเอามือกดผ้าไว้กับพื้นเฉยเสียงั้นแหละ ผมจึงหดอีก ความอึดอัดใจที่ได้รับทำให้เกิดความรู้สึกว่านานเหมือนกับโกฏิปีเชียวครับ

ที่สำนักสงฆ์ถ้ำเขาบุนนาคอยู่ใกล้ป่าใกล้ภูเขาอากาศออกจะเย็นๆ แต่ผมร้อนจี๋เลยครับ เหงื่องี้ออกแฉะทั้งตัว หลวงพี่ฯ ถลาเข้ามาช่วย

"ให้โยมเขาแลกไปเถิดครับ เขาจะเอาไปให้คนทำบุญ" ท่านช่วยตะโกนอ้อนวอน แต่หลวงปู่ฯ โบกมือห้ามแล้วก้มลงพูดเบาๆ กับผม

"นี่โยม สังฆาฏิต้องยาว ๘ ศอกนะ จำไว้นะ" เอ๊ะ..ผมหูฝาดหรืออย่างไร ทำไมเสียงของหลวงปู่ฯ จึงกลับนิ่มนวลอะไรจะปานนั้น

ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากท่าที่ก้มกราบอยู่ เอามือแคะหูทั้งสองข้างอย่างไม่เชื่อมันและไม่เชื่อมั่นหวาดระแวงเต็มที่เลย เอาไงนี่

"เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ลูกศิษย์มหาวีระฯ ต้องละเอียดรอบคอบ จำเอาไว้ให้ดี"

เสียงนุ่มนวลไม่มีแกมเหน่อลอยมาอีก ผมลุกพรวดขึ้นมานั่งพับเพียบพนมมือแต้ เพื่อที่จะมองหลวงปู่ฯ ให้เต็มตา

อะไรกันนี่..เสือกลายเป็นพระไปแล้ว และกลายเป็นพระที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเสียด้วย ไม่มีท่าทางที่แสนจะดุดันหลงเหลืออยู่ต่อไปอีกเลย

กลับตาลปัตรไปแล้ว เปลี่ยนบทไวยังกะ วิกส์ ๐๗ แน่ะ หลวงพี่ฯ ได้โอกาสรีบตะโกนกราบเรียนเสียเสียงหลงทันที

"อนุญาตให้โยมแลกไปนะหลวงปู่"

"เออ..พูดเบาๆ ก็ได้ยิน" หลวงปู่ฯ บ่นตอบเบาๆ และสั้นๆ นิ่มๆ พอให้ได้ยิน

เมื่อได้ยินดังนั้นหลวงพี่ฯ ก็เผ่นผลุงไปที่ราวตากผ้าตรงชานกุฎีทันที รวบเอาสังฆาฏิที่เราได้หมายตากันเอาไว้ก่อนหน้านั้นมาถวายทันที

"ไม่ใช่ๆ เอาไปไว้ที่เก่า" หลวงปู่ฯ โบกมือห้ามอีก ผมก็ใจหายแว๊บอีก เปลี่ยนบทเป็นเสืออีกแล้วหรือไง โยมตามและตั้งตัวไม่ทันเลย

หลวงพี่ฯ ก็หน้าซีดเผือด ทุกคนคิดว่ารายการพลิกล็อค เกิดขึ้นอีกแล้ว ได้แต่ใจคอตุ๊มๆ ต่อมๆ ดูเหตุการณ์ต่อไป

หลวงปู่ฯ ค่อยๆ ชันกายขึ้นยืนอย่างช้าๆ เดินกระยองกระแย่งผ่านพวกเราเข้าไปในห้องนอนซึ่งอยู่ติดกัน ได้ยินเสียงรื้อของกุกๆ กักๆ อยู่เป็นนานสองนาน สลับกับเสียงกระแอมกระไอ

ผมหันไปมองหน้าพวกเราทุกคนหน้าซีดจ๋อยเหมือนกันหมด แม่นิดฯ ที่ว่าผิวดำ หน้าขาวจ๋องไม่ต้องทาแป้งเลยครับ

พวกเรากระซิบกระซาบกันเบาๆ ว่าไม่รู้ว่าหลวงปู่ฯ เข้าไปทำอะไร จะกลับออกมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้

พักใหญ่หลวงปู่ฯ ก็กระย่องกระแย่งออกมา ถือห่อกระดาษเก่าๆ ออกมาด้วยกลับมานั่งท่าเดิมและที่เดิม วางห่อกระดาษลงกับพื้น

แล้วค่อยๆ แก้เชือกห่อออกอย่างช้าๆ พวกเราต่างพากันกลั้นหายใจลุ้นกันโดยไม่รู้สึกตัวด้วยความที่อยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไร..เป็น "จีวรกับสบงและสังฆาฏิ" ครับ


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 21/12/18 at 07:39

[ ตอนที่ 4/13 ]
(Update 13 มกราคม 2562)


หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี
เล่าโดย พ.ต.อ. (พิเศษ) อรรณพ กอวัฒนา


"...พักใหญ่หลวงปู่ฯ ก็กระย่องกระแย่งออกมา ถือห่อกระดาษเก่าๆ ออกมาด้วยกลับมานั่งท่าเดิมและที่เดิม วางห่อกระดาษลงกับพื้น

แล้วค่อยๆ แก้เชือกห่อออกอย่างช้าๆ พวกเราต่างพากันกลั้นหายใจลุ้นกันโดยไม่รู้สึกตัวด้วยความที่อยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไร..เป็น "จีวรกับสบงและสังฆาฏิ" ครับ

ครบชุดแต่เก่างั่กเลยครับ หลวงปู่ฯ นำสังฆาฏิกลักแสนเก่าผืนนั้นออกมาคลี่ เอาศอกวัดให้ดูอีกครั้งเหมือนกับจะโชว์ให้ดู เพื่อยืนยันคำพูดของท่าน

O.K. ครับ ๘ ศอกพอดี (แต่ศอกของผมมันสั้นไปหน่อย)

ท่านมองค้อน เอามือลูบคลำอยู่พักหนึ่ง แล้วนำสบงจีวรออกมาคลี่ให้ดูอีก ปรากฏว่าเป็นสบงกับจีวรที่ทำด้วยผ้าแพรไหมครับ

ท่านเล่าอย่างอารมณ์ดีว่า ของชุดนี้เศรษฐีจีนสั่งทำและถวายให้ท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่ ๔ และท่านได้เก็บ ตลอดจนนำติดตัวไปตลอดเวลา หันมาถามผมว่า

"เอาไหม ?"
"สุดแท้แต่หลวงปู่ฯ จะกรุณาเถิดครับ" ผมตอบเบาๆ

"เอาไหม" ท่านถามย้ำอีก ผมเห็นว่าถ้าพูดให้เยิ่นเย้อต่อไป ต้องอดแน่ๆ จึงตอบไปอย่างม้าไร้พยศว่า

"เอาครับ"
"เออ..เอาไป" หลวงปู่ก็ให้ง่ายๆ

"แล้วนี่..เอาไหม ?" ท่านชี้มือไปที่สบงและจีวรแพรไหมนั้น

"ไม่กล้าครับ" ผมตอบ

"ทำไมไม่กล้า" หลวงปู่ฯ แกล้งสงสัย

"หลวงพ่อฯ ท่านใช้ให้มาเอาแต่สังฆาฏิเท่านั้นครับ หลวงปู่ฯ จะแถมให้หรือครับ" ตอนนี้พอโล่งใจแล้ว ผมจึงเริ่มทะโมนตามนิสัยเดิม

"ถ้าเอา..ก็ให้" ท่านพูดแล้วก็ผลักออกมาให้ข้างหน้า

"ไม่เอาละครับ หลวงพ่อฯ สั่งมาแค่นี้" ผมกัดฟันตอบอย่างแสนเสียดาย ค่อยๆ ผลักคืนไป แต่อย่างว่าแหละครับ ไม่นอกครูก่อนเป็นดี

"ไม่เอาก็เก็บ" ว่าแล้วหลวงปู่ฯ ก็บรรจงพับและห่อเข้าที่แล้วเดินเอากลับไปเก็บไว้ในห้องตามเดิม

เมื่อเสร็จจากการปราบพยศผมจนอยู่หมัดแล้ว หลวงปู่ฯ จึงเลิกราแล้วเปิดโอกาสให้พวกเราเข้าไปอ้อนกันได้ตามสบาย

ส่วนผมนั้นเก็บปากกระเป๋าแล้วรูดซิบ ๓ ชั้น ฝังดินปิดครั่งเลยครับ ฟังอย่างเดียวไม่กล้าอ้อนไม่กล้าถาม ใจนั้นอยากกลับวัดท่าซุงลูกเดียว

แต่แม่นิดฯ ยังไม่ยอมเลิกราพยายามนิมนต์ท่านให้ไปร่วมงานสมโภชครบ ๑๐๐ ปี เกิดของหลวงพ่อปานฯ ให้ได้

ท่านปฏิเสธเสียงหลงว่า "กูไม่ไป"

แม่นิดฯ ไม่ละความพยายาม ชักจูงอีกว่า "ในหลวงเสด็จนะ เจ้าคะ"

หลวงปู่ฯ ทำคอย่นสั่นหัวเดี๊ยะ

"ในหลวง กูก็ไม่ไป กูอั้นเยี่ยวไม่ได้ ลำบาก"

ก็น่าเห็นใจนะครับ เพราะในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่ผมเล่าอยู่นี้ หลวงปู่สีฯ อายุ ๑๒๗ ปีแล้วครับ

(อายุหลวงปู่ฯ นี่อาจจะไม่ตรงกับข้อเขียนของท่าน พล.อ.ต.มนูญ ชมพูทวีป ที่เขียนว่า ท่านมรณภาพเมื่ออายุได้ ๑๒๖ ปี

ผมไม่ทราบว่า จำนวนไหนที่คลาดเคลื่อน แต่ขอเรียนว่า ผมได้ยินท่านตอบกับแม่นิดฯ อย่างชัดเจนว่าท่านอายุ ๑๒๗ ปีแล้ว)

แม้ท่านจะยังดูแข็งแรง แต่อวัยวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ หรือพังผืดมันหย่อนยานไปหมดแล้ว

เพราะฉะนั้นท่านจึงอั้นปัสสาวะไม่ได้ ที่กุฎีของท่านตรงพื้นกระดานด้านหลังที่ท่านนั่งอยู่ จึงต้องเจาะร่องเอาไว้ ซึ่งพอประเดี๋ยวประด๋าวท่านก็ต้องหันไปจ๋องลงร่องเสียทีหนึ่ง

แต่แม่นิดฯ ก็ไม่ละความพยายามเรียนท่านว่า จะจัดการให้สะดวกสบายเหมือนกับที่ท่านอยู่วัดของท่านเลยทีเดียว

คราวนี้หลวงปู่ฯ สบัดหน้าพรืด พูดกระฟัดกระเฟียดว่า

"กูไม่เอา กูรู้จักอายเขา" ว่าแล้วก็หันหลังกลับ แซมเปิ้ลให้ดูอีก ๑ จ๋อง พวกเราฮากันเลยครับ


(คือไม่ได้หัวเราะท่านนะครับ ทุกคนมีความเคารพรักหลวงปู่ฯ แต่พึ่งเข้าใจในความจำเป็นอย่างยิ่งของท่านตอนนั้นเอง)

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 4/1/19 at 07:55

[ ตอนที่ 4/14 ]
(Update 22 มกราคม 2562)


หลวงปู่สี กับ หลวงพ่อฤาษี
เล่าโดย พ.ต.อ. (พิเศษ) อรรณพ กอวัฒนา


"...เป็นอันว่าได้คำตอบแล้วนะครับว่า ทำไมหลวงปู่สีฯ ไม่มางานครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงพ่อปาน โสนันโท (ปี ๒๕๑๘)

ส่วนแม่นิดฯ นั้น เมื่อเห็นว่าท่านไม่ยอมรับนิมนต์แน่แล้ว จึงหันไปคุยเรื่องอื่นๆ หลายๆ เรื่อง แต่ที่ผมหูผึ่งก็คือเมื่อแม่นิดฯ ถามท่านว่า

"หลวงปู่ฯ รู้จักกับหลวงพ่อปานฯ ไหมเจ้าคะ"
"ปานไหน?" หลวงปู่ฯ ย้อนถาม

"หลวงพ่อปานฯ วัดบางนมโคเจ้าค่ะ" แม่นิดฯ ยืด

"กูไม่รู้จัก กูรู้จักแต่ปานฯ วัดบางเหี้ย ปานฯ วัดบางเหี้ยนั่งเรือไม่ต้องพาย เรือวิ่งไปเอง" ว่าแล้วท่านก็หัวเราะชอบอกชอบใจ

แม้แต่คำตอบของหลวงปู่ฯ จะทำให้เราผิดหวังอยู่บ้างที่ท่านกับปรมาจารย์ของเราไม่รู้จักกัน แต่ว่าหลวงปู่สีฯ ท่านจะต้องมีอะไรๆ ที่เนื่องด้วยกับหลวงพ่อแน่ๆ

เพียงแต่ท่านนั้นไม่เนื่องกับหลวงปู่ปานฯ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่คำสนทนากันนี้ทำให้เราท่าน ทราบข้อมูลกันมาอีกว่า

พระเกจิอาจารย์สมัยนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลกันสุดขอบฟ้า ยานพาหนะหรือก็ไม่ดีเหมือนปัจจุบัน แต่ก็ไปเจอะเจอกันและรู้จักกันได้อย่างอัศจรรย์

เพราะหลวงปู่สีฯ อยู่อีสาน ส่วนบางเหี้ยก็คือบางบ่อในปัจจุบันเลยบางพลีไปนิดเดียว ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดช ให้เดินให้ตายก็ไม่ได้พบกัน

เป็นไงครับเรื่องที่ผมเล่าว่าเป็นวันเดียวที่ผมได้พบกับหลวงปู่สีฯ ก็จริง แต่เป็นวันแห่ประวัติศาสตร์ เห็นด้วยไหมครับ หรือจะเอาตังค์คืนดีครับ"


...จากเรื่องนี้ได้เกิดข้อคิดแก่ผมหลายประการคือ

๑. คำที่หลวงปู่ท่านสอนว่า " เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ลูกศิษย์มหาวีระฯ ต้องละเอียด ต้องรอบคอบ จำเอาไว้ให้ดี "

คำพูดนี้กินใจผมมาก เหมือนกับท่านสอนเราว่า เธอมีครูบาอาจารย์ที่แสนประเสริฐ พระอริยะ พรหม เทวดา ทั้งหลาย ยกย่องกันทั้งสามโลก

จะทำอะไรต้องละเอียด คิดให้รอบคอบ อย่าให้เสียถึงครูบาอาจารย์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา)

และควรมีความนอบน้อมถ่อมตน อย่าชูงวง(วางท่า)ไปในสถานที่ต่างๆ การพูดการจาให้มีสัมมาคารวะตามความอาวุโส

ให้ความเคารพในคุณธรรมของผู้อื่น ให้ระวังแม้กระทั่งความคิดของตนเอง นอกจากวาจา และ การกระทำ

๒. ท่านผู้ทรงความดีนั้น ท่านย่อมปิดบังคุณธรรมอันแท้จริงของท่านไว้ เสมือนเสือที่ซ่อนเขี้ยวเล็บอันทรงพลัง และท่านจะแสดงออกเมื่อถึงเวลาอันสมควรเท่านั้น

๓. คนดีเมื่อกระทำผิดพลาดไป เมื่อได้รับการตักเตือน ก็กลับตัวกลับใจประพฤติดี ไม่มีความดื้อดึง หรืออาฆาตแค้น เสมือนม้าอาชาไนย ซึ่งสามารถฝึกอบรมได้โดยง่าย

ขอให้ทุกท่านโชคดี มีความสุข และได้บรรลุธรรมตามที่ท่านปรารถนาทุกประการ...ครับ


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/1/19 at 03:44

[ ตอนที่ 4/15 ]
(Update 1 กุมภาพันธ์ 2562)


หลวงปู่สีเจิมรถ (๑)
เล่าโดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป


"...ข้าพเจ้าจึงได้นำรถวอลโว่คันใหม่ของข้าพเจ้าไปให้หลงปู่สีช่วยเจิมให้อีกด้วยคิดว่า

“แม้หลวงพ่อเจิมให้แล้วก็ตาม หากได้หลวงปู่สีช่วยเจิมทับลงไปอีกก็คงจะเป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น”

เมื่อหลวงปู่สีได้ทราบความประสงค์ว่า ข้าพเจ้าขอให้ช่วยเจิมรถให้ก็ทำพิธีเสกแป้ง แล้วถือแป้งเสกลงกุฏิไปหยุดยืนบริกรรมอยู่หน้ารถวอลโว่ โดยมีข้าพเจ้า ภรรยาและลูกน้องอีก ๓-๔ คนยืนพนมมือรถให้หลวงปู่เจิมรถ

แต่การณ์กลับปรากฏว่าหลวงปู่สีเกิดเปลี่ยนใจ วางถ้วยแป้งเสกไว้ที่กระโปรงรถด้านหน้า โดยไม่ยอมเจิมให้เสียเฉยๆ มิหนำซ้ำเดินขึ้นบันไดไปบนกุฏิ แล้วนั่งทำน้ำมนต์อยู่พักหนึ่ง

ก็ให้ พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ลูกน้องคนหนึ่งของข้าพเจ้าถือบาตรน้ำมนต์ลงบันไดตามหลวงปู่มาหยุดยืนอยู่ทางด้านท้ายรถวอลโว่ของข้าพเจ้า แล้วก็ประพรมน้ำมนต์ไปทางด้านกระโปรงหลังรถ อีกทั้งมีการสวดให้ศีลให้พรอีกด้วย

ต่อเมื่อประพรมน้ำมนต์เสร็จ หลวงปู่จึงเดินไปด้านหน้ารอหยิบถ้วยแป้งเสก แล้วเจิมรถให้ข้าพเจ้าจนเสร็จ ซึ่งก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์ใจกับทุกผู้คนในที่นั้น เพราะตามปกติแล้ว หลวงปู่จะเจิมให้โดยไม่มีการรดน้ำมนต์เช่นนี้

สำหรับเรื่องนี้ หลวงปู่สีได้เมตตาอธิบายให้ทุกคนหายข้องใจว่า

“รถวอลโว่คันนี้ มีพระระดับสูงที่ญาณบารมีแก่กล้าได้ทำพิธีเจิมไว้ให้แล้วอีกทั้งได้จัดเทพถึง ๔ องค์ อยู่คอยพิทักษ์รถคันนี้

เมื่อสักครู่พอจะเจิมรถให้เทพทั้ง ๔ ก็มาขอให้หลวงปู่รถน้ำมนต์ให้ก่อน จึงต้องให้น้ำมนต์เขาก่อนแล้วจึงเจิมรถให้ทีหลัง”

ข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกปลื้มปิติยินดี และซึ้งในเมตตาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณาเมตตาส่งเทพมาคอยให้ความคุ้มครองป้องกันภัยให้ข้าพเจ้าตลอดเวลาถึง ๔ องค์ เช่นนี้

ดังนั้นลูกหลานของหลวงพ่อผู้ใดก็ตาม ที่ได้เข้าพิธีต่างๆ กับหลวงพ่อแล้วก็พึงอุ่นใจได้ว่าหลวงพ่อจะช่วยขจัดปัดเป่าภัยพิบัติต่างๆ ให้โดยไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 22/1/19 at 04:43

[ ตอนที่ 4/16 ]
(Update 13 กุมภาพันธ์ 2562)


หลวงปู่สีเจิมรถ (จบ)
เล่าโดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป


"...ต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าได้ขับรถวอลโว่คันนั้นพาครอบครัวไปพักผ่อนที่บ่อฝ้าย หัวหิน ระหว่างทางขณะที่รถวิ่งผ่านไปทางกำแพงแสน จ.นครปฐม

ข้าพเจ้าซึ่งกำลังขับรถไปอย่างสบายๆ ด้วยความเร็วประมาณ ๘๐-๙๐ กม. ต่อชั่วโมงก็เห็นรถบรรทุกอ้อยสิบล้อคันหนึ่งวิ่งสวนมาด้วยความเร็ว

และทำท่าจะวิ่งชนจักรยานสองล้อของชาวบ้านที่ขี่อยู่ข้างทาง โดยผู้ขับสิบล้อมิได้คิดจะแซงหรือเบี่ยงหลบ

จิตของข้าพเจ้าตอนนั้นบอกว่าคนขับสิบล้อคงหลับใน หากรู้สึกตัวเห็นจักรยานสองล้อ มันจะต้องหักหลบมาชนรถของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน

พอจิตบอกข้าพเจ้าก็ถอนเท้าจากคันเร่ง เปลี่ยนเป็นเกียร์ ๒ และเหยียบเบรคอย่างแรงพร้อมทั้งเตรียมหักพวงมาลัยหลบ ก็พอดีรถสิบล้อคันนั้นหักหลบจักรยานพุ่งเข้าจะชนรถข้าพเจ้าดังที่คิด

ข้าพเจ้าก็พยายามหักพวงมาลัยหลบ แต่รถก็หาเลี้ยวไม่คงทื่อเข้าใส่รถบรรทุกที่ขวางลำรถข้าพเจ้าด้วยแรงเฉื่อย

ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าและทุกคนในรถไม่มีผู้ใดตกใจเลย มองเห็นรถข้าพเจ้าและรถบรรทุกค่อยเข้าหากันเหมือนภาพสโลโมชั่น เสมือนจะหลบกันพ้นแต่ก็ไม่พ้นชนกันแบบสะกิดๆ จนได้

เมื่อรถจอดสนิท ข้าพเจ้าก็สำรวจดูทุกคนในรถ ปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บแม้แต่จะฟกช้ำดำเขียว ขัดยอก หรือเลือดตกยางออกเลย

ก็โล่งใจจึงเปิดประตูรถลงไปเอาปืนจี้คนขับรถบรรทุกไม่ให้หนี แล้วสำรวจดูสภาพรถปรากฏว่า รถวอลโว่ของข้าพเจ้าชนบันไดรถบรรทุกขาดกระจุย หัวรถเข้าไปซุกอยู่ในใต้รถบรรทุก จนถึงกระจกหน้า ไม่สามารถจะถอยรถออกมาได้

สักครู่รถคันหน้า ที่ล่วงหน้าไปก่อนเห็นรถของข้าพเจ้าหายไปไม่ตาม ก็ฉุกใจวนขับรถกลับมาดู ทุกคนหน้าซีดแข็งขาอ่อนบอกเห็นแต่ไกลว่า คงต้องมีการตายกันบ้างแน่

แม้ชาวบ้านที่วิดปลาอยู่ตามคูน้ำข้างทางที่รถชนกัน ก็พูดว่ารถชนกันเสียงสนั่นหวั่นไหว จนไม่กล้ามองคิดว่าต้องตายทั้งคันแน่

เมื่อทุกคนในคณะของข้าพเจ้ามาพร้อม คนขับรถบรรทุกก็ยอมรับว่าตนผิดและขอไปตามเถ้าแก่เจ้าของรถมา และเมื่อเถ้าแก่มาก็พูดจาตกลงกันด้วยดี โดยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โดยไม่เกี่ยงงอน

แต่เมื่อตรวจดูสภาพรถวอลโว่ของข้าพเจ้า เมื่อใช้แม่แรงยกรถสิบล้อออกแล้วเข็นรถออกมา ทุกคนก็แทบไม่เชื่อสายตากล่าวคือ ฝากระโปรงรถหน้าที่ยุบไป เพราะรับน้ำหนักรถบรรทุกสิบล้อ

ซึ่งบรรทุกอ้อยเต็มกลับดีดคืนเข้าสู่สภาพเดิม มีเพียงสีถลอกนิดเดียว ไฟหน้าทุกดวงและกระจกหน้ารถซึ่งเป็นส่วนที่ชนกันอย่างประสานงา ไม่มีการแตกร้าวหรือแม้แต่ไส้หลอดไฟก็ไม่ขาด

เมื่อเห็นสภาพรถแล้ว เถ้าแก่เจ้าของรถ (มากับพรรคพวกนักเลงไร่อ้อยพก ๑๑ มม. คนละ ๑ กะบอก) ก็ขอจ่ายค่าเสียหายให้ข้าพเจ้า ๒๐๐๐ บาท ด้วยความเต็มใจอีก

ทั้งยังถามว่าข้าพเจ้าและครอบครัวจะกลับผ่านมาทางนี้อีกเมื่อไร จะมารอส่งด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็บอกไป และตอนขากลับเขาก็มารอส่งข้าพเจ้ากันจริงๆ

เรื่องที่ข้าพเจ้าประสบมานี้ ไม่น่าเป็นไปได้ในหลายๆ อย่าง อาทิเช่น รถวิ่งสวนกันด้วยความเร็ว และรถบรรทุกสิบล้อหักหลบมาชนแบบประสานงา กับรถของข้าพเจ้าในระยะกระชั้นชิด

ซึ่งแม้ข้าพเจ้าจะแก้ปัญหากระทันหันด้วยวิธีการดังกล่าว เพียงแต่ทำให้รถข้าพเจ้าช้าลงไปบ้างเท่านั้น แต่รถสิบล้อที่วิ่งมาชนหาได้ลดความเร็วลงไม่

และสิ่งที่เป็นพยานสายตาปรากฏแก่สายตาก็คือ บันไดรถสิบล้อขาดกระจุย และหัวรถของข้าพเจ้ามุดเข้าไปอยู่ใต้รถบรรทุก จนต้องใช้แม่แรงยกรถบรรทุกขึ้นจึงจะสามารถเข็นรถของข้าพเจ้าออกได้

แต่ปรากฏว่าทุกคนในรถของข้าพเจ้าปลอดภัย และรถของข้าพเจ้าก็มีสภาพปกติพร้อมที่จะวิ่งต่อไปได้ (มีสีถลอกตรงฝากระโปรงนิดหน่อย)

อีกทั้งนักเลงบ้านไร่ ซึ่งตามกิตติศัพท์ร่ำลือกันนักกันหนาว่าดุมาก กลับยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

มิหนำซ้ำยังมาคอยส่งข้าพเจ้าให้ตอนขากลับเยี่ยงมิตรที่ดีอีกด้วย ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้วด้วยพระบารมีของหลวงพ่อและหลวงปู่สี เมตตาคุ้มครองภยันตรายต่างๆ ให้นั่นเอง..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 1/2/19 at 05:30

[ ตอนที่ 4/17 ]
(Update 21 กุมภาพันธ์ 2562)


หลวงพ่อนัดพบหลวงปู่สีทางจิต (๑)
เล่าโดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป


"...เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ในวันหนึ่งหลวงพ่อได้มาแสดงธรรมะออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียง ๐๔ ตาคลี จ.นครสวรรค์ เหมือนเช่นเคย

และหลังจากที่หลวงพ่อได้แสดงธรรมะออกอากาศเสร็จ ก็ได้มานั่งพักผ่อนสนทนากับข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ที่ห้องรับแขก

ข้าพเจ้าจึงได้ฉวยโอกาสเล่าถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของ "หลวงปู่สี" ให้หลวงพ่อฟัง พอสรุปใจความสั้น ๆ ได้ดังนี้

“มีพ่อค้าชาวตาคลีกลุ่มหนึ่งไปกราบนมัสการ "หลวงปู่แหวน" ที่วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ และเมื่อหลวงปู่แหวนทราบว่าเป็นพ่อค้ามาจากตาคลี ก็หัวเราะพูดว่า

ท่านมีอาจารย์อยู่องค์หนึ่งอายุมากแล้วชื่อ "หลวงปู่สี" ขณะนี้อยู่ที่ตาคลีให้ค้นหาให้ดี เพราะท่านเก่งมาก

ดังนั้นเมื่อผู้คนกลุ่มนั้นกลับมา ก็พยายามติดตามค้นหาในที่สุดก็ได้พบว่าหลวงปู่สี พำนักอยู่ วัดถ้ำเขาบุญนาค มีอายุชราภาพมากแล้วถึง ๑๒๑ ปี

อภินิหารของหลวงพ่อสีในขณะนั้นที่ร่ำลือกันมากคือ ไม่มีใครถ่ายรูปหลวงปูสีติด หากไม่ขออนุญาตท่านเสียก่อน

และชานหมากของหลวงปู่สีหากผู้ใดได้ไว้แล้ว พกพาติดตัวไปก็จะเป็นสิริมงคล และป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ได้”

ข้าพเจ้าได้เล่าให้หลวงพ่อฟังต่อไปว่า “กิตติศัพท์ของหลวงปู่สีดังกล่าว เมื่อได้รับฟังมาผมก็มิได้สนใจนัก

จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นที่ในป่าหลังกองร้อยทหารสารวัตร (ในขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารสารวัตร และเป็นนายทหารรักษาความปลอดภัยกองบิน ๔ ด้วย)

ผมจึงชวนเรืออากาศโทสังวร สมหวัง รองผู้บังคับกองร้อย ฯ และเรืออากาศตรีครรชิต บัวอำไพ นายทหารสารวัตร ซึ่งได้นั่งปรึกษางานอยู่กับผมลงไปดู

ก็เห็นจ่าอากาศสารวัตร ๒ คน คนหนึ่งกำลังถือปืนตั้งท่าจะยิงไก่นัดต่อไป อีกคนหนึ่งยืนดู จึงตะโกนสั่งให้หยุดยิงและสอบถามว่า ทำไมจึงขัดคำสั่งผู้บังคับกองร้อย ฯ

(ข้าพเจ้าได้เคยสั่งให้ยิงปืนได้เฉพาะในสถานที่ที่จัดไว้ให้ยิงและยิงได้เฉพาะวัน เวลาที่ทางกองร้อย ฯ กำหนด)

ซึ่งทั้ง ๒ คน ก็ยอมรับผิดและอธิบายสาเหตุให้ฟังว่า จ่าประสิทธิ์ ไปได้ชานหมากจากหลวงปู่สีมา เล่าให้จ่าชิตฟังถึงอภินิหารต่าง ๆ

จ่าชิตได้ฟังก็ไม่เชื่อก็เกิดพนันกันขึ้น โดยจ่าประสิทธิ์ไปขอซื้อไก่ในกองบิน ๔ มา แล้วให้จ่าชิตยิง หากจ่าชิตยิงไก่ตาย จ่าชิตก็ได้ไก่ไป

แต่ถ้าหากจ่าชิตยิงไก่ไม่ตายก็ต้องจ่ายเงินให้จ่าประสิทธิ์ แล้วให้จ่าประสิทธิ์เอาไก่ไป

การยิงสัญญากันไว้ว่าจะยิง ๖ นัด ขณะนี้จ่าชิตยิงไปแล้ว ๓ นัด ยังไม่ถูกไก่ และยังมีสิทธิ์ยิงได้อีก ๓ นัด

ผมจึงให้เรืออากาศโทสังวร และเรืออากาศตรีครรชิต ซึ่งเป็นมือปืน P.P.C. เหรียญเงินทั้ง ๒ คน ยิงไก่คนละนัดก็ไม่ถูกอีก

ผมจึงให้คนโทรศัพท์ไปเรียก พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข มือปืน P.P.C. เหรียญทองมายิงในนัดสุดท้ายซึ่งก็ไม่ถูกไก่อีก

(ในตอนนั้น พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข โมโหมากขอให้เอาเหรียญบาทไปตั้งที่ตอไม้ ๓ เหรียญ ก็ยิงถูกเหรียญกระเด็นไปทั้ง ๓ เหรียญ แต่ยิงไก่ตัวใหญ่โตซึ่งมัดติดกับต้นไม้ไม่ถูก)


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 13/2/19 at 05:24

[ ตอนที่ 4/18 ]
(Update 2 มีนาคม 2562)


หลวงพ่อนัดพบหลวงปู่สีทางจิต (๒ จบ)
เล่าโดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป


"...ผมจึงให้จ่าประสิทธิ์พาไปหาหลวงปู่สีในวันนั้น และพอไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ก็กล่าวตำหนิว่า พวกผมทำให้ปากท่านเจ็บไปหมด

เพราะชานหมากไปผูกติดคอไก่ ท่านก็จะต้องคุ้มครองให้ไก่ และเมื่อเอาปืนไปยิงไก่ ลูกปืนมันไม่ไปถูกไก่ แต่มันมาถูกปากท่านทุกนัด

ผมและพรรคพวกที่ไป จึงต้องกราบขอขมาหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตามอบชานหมากมาให้ แต่ขอสัจจะว่า อย่าได้นำชานหมากของท่านไปทดลองที่ไหนอีก”

หลวงพ่อได้นั่งฟังข้าพเจ้า เล่าถึงหลวงปู่สีด้วยความสงบ พอข้าพเจ้าเล่าจบหลวงพ่อก็พูดว่า

“คุณมนูญ ฉันบอกหลวงปู่สีเมื่อตะกี้นี้แล้วว่า ฉันจะไปหา หลวงปู่ดีใจมาก จะคอยต้อนรับอยู่ที่กุฏิ ไป..เราไปกันได้เลย”

ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช ได้ฟังก็งงมาก เพราะหลวงพ่อก็นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ลุกไปโทรศัพท์ และโทรศัพท์ที่กุฏิหลวงปู่สีก็ไม่มี

หลวงพ่อจะบอกกับหลวงปู่สีได้อย่างไร แต่เมื่อเป็นเจตจำนงของหลวงพ่อเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จำต้องขับรถพาหลวงพ่อไป

เมื่อไปถึงกุฏิหลวงปู่สี (ตั้งอยู่หน้าถ้ำวัดเขาบุญนาค) ข้าพเจ้าก็ยิ่งฉงนสนเท่ห์ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลวงปู่สีซึ่งตามปกติท่านจะนุ่งสงบอยู่ตัวเดียว

บัดนี้ท่านแต่งชุดใหญ่ครบเครื่อง เยี่ยงพระภิกษุสงฆ์ที่พร้อมจะเข้าพิธีในโบสถ์ มีเสื่ออย่างดีปูไว้เรียบร้อย พร้อมด้วยชุดน้ำชาและหมากพลู

อีกทั้งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดอีก ๒-๓ รูป รวมทั้งเจ้าอาวาสมานั่งคอยรอรับหลวงพ่ออยู่พร้อมหน้า

ในขณะที่หลวงพ่อนั่งคุยอยู่กับหลวงปู่สี ข้าพเจ้าก็ได้แอบไปสอบถามท่านมหาองค์หนึ่ง ซึ่งใกล้ชิดกับหลวงปู่สีว่า

“หลวงปู่สีทราบได้อย่างไร ว่าหลวงพ่อจะมา ?”

ท่านมหาองค์นั้นก็ตอบว่า “อาตมาก็ไม่ทราบ เห็นหลวงปู่นอนจำวัดอยู่ตามปกติ จู่ ๆ ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วสั่งให้อาตมาคุมกวาดลานวัดและเช็ดกุฏิ แล้วให้เตรียมน้ำชา หมากพลู โดยเร่งด่วน

ท่านบอกว่า ประเดี๋ยวจะมีพระผู้ใหญ่ระดับสูงมากมาหา พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็เข้าไปนุ่งห่มจีวรใหม่เอี่ยม รอหลวงพ่อดังที่โยมเห็นนี้แหละ”

เรื่องที่ข้าพเจ้าและพรรคพวกได้ประสบในครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดจะพิสูจน์หรือหาเหตุผลใด ๆ ได้เลย นอกจากจะคิดกันไปว่า

"...หลวงพ่อได้นัดพบกับหลวงปู่สีทางจิตเท่านั้น หรือท่านผู้อ่านจะเข้าใจว่าอย่างไร..?"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ ตอนที่ 4/19 ]
(Update 10 มีนาคม 2562)


อรหันต์ ๗ แผ่นดิน "ผู้รู้กาลมรณะ"
บทความจาก dharma-gateway.com


(Cr. FaithThaiStory)


"...ต้นปีเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๐ หลวงปู่สีท่านมีอาการอ่อนเพลีย อาพาธด้วยโรคชรา และต่อมลูกหมากโต

ท่านได้รับการดูแลรักษา ญาครูจันทร์ (พระอาจารย์จันทร์ หลานหลวงปู่ คนสุรินทร์) ก็อยู่ดูแล ตอนที่หลวงปู่อาพาธที่วัดเขาถ้ำ

ก็มีพระอาจารย์สมบูรณ์ ปริสมฺปุณโณ เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำบุญนาค พระอาจารย์รักษ์ เตธธัมโม พระอาจารย์ประเทือง พุทธธมฺโม พระอาจารย์สุพจน์ ฉนฺทชาโต

ส่วนหมอที่ดูแลอาการป่วยของหลวงปู่ คุณหมอโอ๊ด (ชื่อเล่น - ชื่อจริงสอบถามแล้วไม่มีใครทราบ) หมอโอ๊ด จะหนักใจเพราะหลวงปู่ไม่ยอมให้ฉีดยา

ถ้าท่านไม่ยอมก็จะฉีดไม่เข้า เข็มจะหักหมด นอกจากท่านอนุญาต จึงจะฉีดยารักษาไข้ได้ ลูกศิษย์ที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ ก็จะได้ยินหลวงปู่พูดว่า

“รักษาอย่างไร เดือน ๔ ข้าก็จะไปแล้ว“ (สากลก็จะดูเดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือน ๒ แต่ถ้าปฏิทินหลวงโบราณก็จะเป็นเดือนสาม แต่ปลายเดือนก็จะเป็นเดือน ๔ เดือนไทย)

ด้วยคุณวิเศษนานัปการของหลวงปู่สี จึงมีพระอาจารย์ดังๆ มากมายแห่งยุคให้การยอมรับ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ พระราชพรหมยานผู้เด่นดัง มีลูกศิษย์มากมายเกือบทั้งประเทศ

ให้การเคารพยอมรับหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่สุดยอดแห่งยุคองค์หนึ่ง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้ไปมาหาสู่หลวงปู่สี อยู่เป็นนิจ

เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ หลวงปู่สีท่านอาพาธมีอาการหนักมาก พระอาจารย์สมบูรณ์ เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำก็คลานเข้าไปถามหลวงปู่ว่า...

"หลวงปู่ครับ ถ้าหลวงปู่จะจากไป จะให้ทางวัดจัดพิธีศพหลวงปู่อย่างไร?”

หลวงปู่ลีถึงท่านจะอาพาธหนักปานใด แต่ท่านก็ควบคุมสติได้อย่างมั่นคง ท่านจึงตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า

“หากข้ามรณภาพเมื่อใด ท่านฤๅษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง”

และแล้วต่อมาเวลาประมาณ ตี ๓.๔๕ นาที ของวันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๐ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง หลวงปู่ก็มรณภาพลงด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุของหลวงปู่สี ได้ ๑๒๘ ปี

ท่ามกลางสายลมพัดผ่านที่เย็นยะเยียบ แต่ความเย็นของอากาศยังไม่ยะเยียบเท่ากับเหล่าลูกศิษย์ได้ทราบข่าวการจากไปของหลวงปู่อย่างไม่มีวันที่จะกลับคืนมาอีกได้

ทุกคนเงียบ น้ำตาล้วนไหลพราก ต่างสะอื้นไห้ด้วยความอาลัยหลวงปู่ ท่านจากมวลลูกศิษย์ไปท่ามกลางลมหนาวแล้ว

อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ประมาณตี ๕ กว่าของคืนวันนั้น หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก็ปรากฏกายขึ้น โดยไม่ได้รับการติดต่อแจ้งข่าวจากผู้ใดในวัดเขาถ้ำบุญนาค

แต่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้มาถึงอย่างมหัศจรรย์ ตรงตามคำพูดของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริที่ท่านกล่าวไว้ ท่ามกลางลูกศิษย์ก่อนที่ท่านจะถึงกาลมรณะ

เมื่อหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมาถึงวัดเขาถ้ำบุญนาค ก็ได้ขอให้เก็บศพของหลวงปู่ไว้ เสมือนหลวงปู่สีท่านนอนจำวัด และท่านจำวัดหลับสนิทด้วยอาการปกติสงบเรียบร้อยมาตราบเท่าทุกวันนี้

ที่น่าอัศจรรย์คือร่างกายของหลวงปู่สีไม่มีน้ำเหลือง ไม่เน่าไม่เหม็น ไม่เปื่อยอย่างเช่นซากศพทั่วไป จนวันนั้นถึงวันนี้กลิ่นซากศพของท่านไม่มีเลย

คราใดที่ผมมีโอกาสได้ไปกราบศพหลวงปู่ผมจะจูบดมที่ร่างกายของท่านอย่างสนิทใจ เพราะไม่ปรากฏกลิ่นใดที่ทำให้เราไม่อยากเข้าใกล้

แต่กลิ่นกายท่านกลับเสมือนหนึ่งกลิ่นธูปหรือกลิ่นกำยาน แม้แต่เศษกายของท่านที่ร่วงหล่น ผมก็แตะเก็บโปรยลงบนศีรษะและเช็ดที่เส้นผมจนหมด

คำพูดของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ที่ท่านกล่าวไว้ก่อนจะถึงกาลมรณะของท่าน ในขณะนั้นท่านฤๅษีลิงดำมิได้อยู่ที่นั่น และหนทางก็ยังอยู่ห่างไกลกัน

แต่พอหลวงปู่ท่านมรณภาพลงตอนตี ๓ กว่า พอเวลาตี ๕ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านก็มาถึงทันต่อเหตุการณ์ ตรงตามคำพูดของหลวงปู่ที่พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำอย่างมหัศจรรย์

แสดงว่าหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ กับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านมีญาณจิตติดต่อกันได้โดยตลอด ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านเป็นพระอริยเจ้าระดับสูงท่านหนึ่งที่ทรงญาณและได้ญาณทั้ง ๘ คือ ทิพยจักษุญาณ จุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุบันนังสญาณ ยถากัมมุตาญาณ

อีกทั้งเป็นผู้มีฤทธิ์ได้ทั้งวิชชา ๓ และ อภิญญา ๖ อีกด้วย ผู้ที่ติดตามรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่สี ย่อมที่จะทราบถึงภูมิปัญญาและปฏิปทาของท่านได้ดี

ท่านเป็นพระปฏิบัติกรรมฐาน มีความเชี่ยวชาญในกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง อีกทั้งแตกฉานรู้แจ้งในวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ โดยแน่แท้

ฉะนั้น จึงย่อมเป็นการง่ายดายสำหรับหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ซึ่งได้วิชชา ๓ ได้อภิญญา ๖ ได้ ญาณ ๘ ท่านจึงได้นำสิ่งที่ได้มาพิจารณาวิปัสสนาเพื่อละสังโยชน์ ๑๐ อย่าง จนท่านบรรลุเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดก็คือ ท่านจึงเป็นผู้บริสุทธิ์ พระอรหันต์ องค์หนึ่ง

ด้วยความมั่นใจในหมู่ลูกศิษย์ ลูกหาของหลวงปู่ที่มีความรู้ในเรื่องการปฏิบัติของพระอริยเจ้า แล้วก็จะทราบได้ทันทีว่า หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านมิได้เป็นพระอรหันต์แบบ “เตวิชโช” หรือ วิชชา ๓ แบบ “ฉฬภิญโญ” หรือ อภิญญา ๖ เท่านั้น

แต่หลวงปู่สีท่านจะต้องเป็นพระ “อรหันต์” ผู้ทรงคุณวิเศษยิ่งยอดประเภท “ปฏิสัมภิทาญาณ” เพราะหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านทรงคุณวิเศษ ๔ ประการ ดังนี้คือ

...๑ อัตถปฏิสัมภิทา เป็นผู้มีปัญญาแตกฉานในอรรถ คือ ฉลาดในการอธิบายถ้อยคำ และเนื้อความในพระไตรปิฏกได้อย่างพิสดารเข้าใจง่าย และถอดเนื้อความที่พิสดารนั้นๆ ให้ย่อสั้นลงมาได้ชัดเจนไม่เลียหาย

...๒. ธัมมปฏิสัมภิทา เป็นผู้มีความฉลาดในการอธิบายหัวข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อให้มีความพิสดารได้อย่างถูกต้อง

...๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา เป็นผู้มีความฉลาดในภาษารู้และเข้าใจในภาษาในโลก รวมทั้งภาษาของเทพยดา พรหม ภูตผีปิศาจ อสูรกาย นาค ครุฑ ตลอดจนภาษาของสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด

สำหรับในเรื่องการรู้ภาษาทุกภาษาในโลกนี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านสามารถเข้าใจภาษาทุกชาติทุกภาษาที่มาหาท่านและพูดกับท่าน

จนชาวฝรั่งต่างชาติ หลายต่อหลายชาติต่างพูดกันว่า “หลวงปู่ท่านรู้หลายภาษา” และเวลาที่ท่านฉันอาหารนั้น ก็จะมีบรรดาสัตว์ต่างๆ มาห้อมล้อมตัวท่านมารับส่วนแบ่งอาหารจากท่าน เช่น นก ลิง ไก่ แมว หมา เป็นต้น

และสัตว์ทุกประเภทที่มาอยู่ใกล้ท่าน มันจะปรองดองกันไม่ไล่กัน ไม่รังแกกัน แสดงว่าท่านสามารถสนทนาภาษาสัตว์เหล่านั้นได้ ทั้งคนและสัตว์จึงอยู่กันอย่างปรองดอง และลูกศิษย์ของหลวงปู่ก็มีทุกชาติทุกภาษา

...๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นผู้ที่มีปฏิภาณไหวพริบเฉลียวฉลาด สามารถแก้อรรถปัญหาต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จะมีครบถ้วนอยู่ในตัวของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านเป็นผู้ที่มีคุณวิเศษ เหมาะสมกับคำว่า “อรหันต์ ๗ แผ่นดิน”


บทสรุป "ปฏิสัมภิทาญาณ"

"...เรื่องหลวงปู่สีขอจบเพียงแค่นี้ ตามประวัติความเป็นมา คงนำมาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อวัดท่าซุงเท่านั้น

แต่เท่าที่ได้ทราบ หลวงพ่อบอกว่าหลวงปู่สีเคยปรารถนา "พุทธภูมิ" มาก่อน ประเภท "วิริยาธิกะ" (๑๖ อสงไขยเศษ) ภายหลังท่านได้ลาพุทธภูมิ เมื่อเป็นพระอรหันต์จึงได้พร้อมกับ "ปฏิสัมภิทาญาณ"

นี่เป็นหลักสูตรเช่นเดียวกับผู้ปรารถนาพุทธภูมิทั้งหลาย แม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานก็เช่นกัน ที่ท่านสามารถติดต่อทางจิตกันได้ เพราะท่านมีภูมิธรรมระดับเดียวกันนั่นเอง..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 21/2/19 at 07:48

.


webmaster - 2/3/19 at 04:28

.


webmaster - 20/11/20 at 05:51

.