สู่แสงธรรม...โดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป (ตอนที่ 2 - A)
webmaster - 24/4/08 at 15:18
(Update ๒๒ ก.พ. ๒๕๕๒)
คำนำ ตอนที่ ๒
เมื่อข้าพเจ้าได้เขียน ตอนที่ ๑ เสร็จก็รีบใส่ซองฝากพระอาจินต์ฯ ไปให้ พระวิรัชในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ทันที
และตั้งใจว่าจะหยุดเขียนไว้ก่อนสักชั่วระยะหนึ่ง เพราะตอนที่ ๒ นี้ ข้าพเจ้าจะต้องใช้เวลาเขียนนานหน่อย เนื่องจากต้องนึกถึงย้อนหลังไปตั้ง ๒๐ กว่าปี
อีกทั้งต้องลำดับคำถามของตนเอง และคำตอบอันแท้จริงทุกคำพูดของหลวงพ่อให้เป็นไปอย่างถูกต้อง, ผิดพลาดไม่ได้เลย เพราะหากผิดพลาดต้องรับบาปมหันต์
อีกทั้งคำถาม-คำตอบจะต้องเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจโดยกระจ่างไปตามลำดับอีกด้วย จึงไม่ง่ายเหมือนตอนที่ ๑
ซึ่งเล่าเฉพาะเหตุการณ์ที่ตนเองประสบมา
แต่การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องจากเมื่อต้นฉบับที่ ๑ ไปถึงวัดท่าซุงปรากฏว่าลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งพระภิกษุและฆราวาส ต่างก็โรเนียวแจกจ่ายกันอ่าน
แล้วเกิดพออกพอใจกันมาก ยิ่งรู้ว่าข้าพเจ้าตั้งใจจะเขียนตอนที่ ๒ ซึ่งเกี่ยวกับการถามปัญหาหลวงพ่อด้วยแล้วก็อยากที่จะได้อ่านเร็วๆ
โดยสั่งให้พันจาอากาศเอกประมวล ราชอินทร์ คอยติดตามทวงถามข้าพเจ้าอยู่มิได้ขาด มิหนำซ้ำ พระวิรัช ท่านก็โทร. มาเร่งรัดข้าพเจ้าให้เร่งเขียนตอนที่ ๒ โดยด่วน
เพราะขณะนี้กำลังรอจัดพิมพ์อยู่
ซึ่งข้าพเจ้าก็ตอบท่านไปตามเหตุผลที่กล่าวแล้วข้างบนว่า ตอนที่ ๒ นั้นข้าพเจ้าจะต้องใช้เวลานานสักหน่อย
ขออย่าได้รอเลยหากรีบจัดพิมพ์ก็ขอให้พิมพ์เรื่องของข้าพเจ้าในตอนที่ ๑ ไปก่อนก็ได้ เพราะสามารถจบสมบูรณ์ในตัวเองได้อยู่แล้ว
ซึ่งคำชี้แจงของข้าพเจ้านี้ พระวิรัชท่านก็เข้าใจแต่ก็ยังคอยโทรศัพท์สั่งภรรยาของข้าพเจ้าให้คอยเตือนข้าพเจ้าให้ช่วยเขียนตอนที่ ๒ อยู่เสมอๆ
และภรรยาของข้าพเจ้าก็ดีใจหาย เห็นข้าพเจ้าว่างเมื่อไรเป็นต้องบอกให้ข้าพเจ้าเขียนทันที
ด้วยเหตุนี้ การเขียนจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็วเกินคาด เพราะข้าพเจ้าต้องรีบเขียนทั้งกลางวันและกลางคืน มิได้ขาด และได้จบลง สามารถส่งมอบต้นฉบับฝากไปให้
พระวิรัชได้ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๓๔ จึงขอให้ท่านผู้อ่านได้กรุณาติดตามต่อไป..
ตอนที่ ๒
ปัญหาที่น่าสนใจยิ่ง
ผีมีจริงหรือไม่?
ความเคลือบแคลงสงสัยของข้าพเจ้า เกี่ยวกับเรื่องผีนั้นมีมาตั้งแต่เด็กๆ ใครๆ ก็มักจะเล่ากันถึงแต่เรื่องผี และที่ฮิตที่สุดที่มักจะหนีไม่พ้นเรื่อง
นางนาคพระโขนง เด็กบางคนที่เถียงผู้ใหญ่ ก็มักจะถูกผู้ใหญ่ขู่ว่า ระวังนะตายไปแล้วจะต้องเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม
ยิ่งในสมัยสงครามมีผู้คนตายกันมากมาย ก็ยิ่งมีการเล่าขานกันถึงเรื่องผีมากยิ่งขึ้น จนเด็กๆ ในสมัยนั้นขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมด ยิ่งเวลาพลบค่ำเดือนมืด
เดินผ่านที่เปลี่ยวๆ ด้วยแล้ว ดูเหมือนผีจะมีอิทธิพลเหนือผู้คนไปเสียหมด
แม้เมื่อตอนข้าพเจ้าได้เข้าเป็นนักเรียนนายร้อย จปร. ก็มีกองบัญชาการชั้น ๒ ได้เห็นผีหัวขาด เดินลงบันไดมาจากชั้น ๓ มือขวาหิ้วหัวตัวเอง
ถึงกับใช้ปืนยิงไปจนหมดแมกกาซีน
แต่คนอย่างข้าพเจ้าก็หาได้เคยเชื่อถือไม่ ยังคงมุดรั้วหนีเที่ยวผ่านป่าช้าวัดมกุฎกษัตริย์ ยามค่ำคืนเป็นประจำ
และส่วนมากก็มักไปคนเดียวด้วย หาได้มีภูตผีปีศาจตนใดมายุ่งวุ่นวายกับข้าพเจ้าไม่ และแม้เมื่อข้าพเจ้าต้องรับหน้าที่อยู่เวรเฝ้ากำปั่นเงิน ซึ่งใครๆ
กลัวกันนักกันหนา ข้าพเจ้าก็ยังยืนดูรูปคนถูกตัดหัวที่เขาติดขู่ไว้ที่ลูกกรงกำปั่นแก้ง่วงเสียด้วย
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ตอนต้นๆ ปี เมื่อข้าพเจ้ารับราชการอยู่ที่กองบิน ๔ ตาคลี จังหวัด นครสวรรค์ ผู้บังคับการกองบิน ๔ ในขณะนั้นคือนาวาอากาศเอกบัญชา
เมฆวิชัย (ปัจจุบันยศ พลอากาศเอก และได้ถึงแก่กรรมแล้ว) ได้จัดให้นายทหารสัญญาบัตรโสด พักอยู่รวมกันที่บ้านพักหลังใหญ่ใกล้ๆ กับกองรักษาการณ์
(ปัจจุบันเป็นกองร้อยทหารสารวัตร)
ซึ่งรวมกันทั้งหมด ๑๐ คนด้วยกัน และส่วนมากในตอนเย็นวันศุกร์ ก็จะเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ กันหมด จะกลับตาคลีอีกทีก็คืนวันวันอาทิตย์
เพื่อทำงานในวันจันทร์
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้ากรุงเทพฯ กับเพื่อนๆ อีก ๙ คนได้ เพราะจะต้องเข้านายทหารเวรเขาโพลงในวันเสาร์
ดังนั้นในตอนเย็นวันศุกร์เมื่อข้าพเจ้าได้ส่งเพื่อนๆ ขึ้นรถไฟที่สถานีตาคลีแล้ว ก็ไปเล่นบิลเลียดที่สโมสร จนสโมสรปิด จึงกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้านก็อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วนอนสูบบุหรี่บนเตียงอย่างสบายๆ
(เป็นปกติวิสัยที่เคยปฏิบัติมาคือก่อนนอนหลับจะต้องสูบบุหรี่ก่อนเสมอ) บุหรี่หมดไปได้ประมาณครึ่งมวน
ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติที่หน้าต่างมุ้งลวดบานหนึ่ง จึงเพ่งมองไป
ก็เห็นมีแมวดำตัวหนึ่งเกาะตะกายมุ้งลวดที่หน้าต่าง และแล้วแมวดำตัวนั้นก็ขยายตัวใหญ่ขึ้นๆ จนโตเท่าขนาดของเสือดำตัวใหญ่
พร้อมกันนั้นก็พุ่งทะลุหน้าต่างมุ้งลวดโถมเข้าทับร่างของข้าพเจ้าที่นอนอยู่บนเตียง
ความรู้สึกตอนนั้นของข้าพเจ้ายังมีสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์หากแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวเองได้
เพราะชาไปหมดเหมือนคนถูกสะกดจิต อย่างไรก็ตามด้วยดวงจิตที่กล้าแข็งทำให้ข้าพเจ้าฮึดสู้ สะบัดตัวผลักเจ้าแมวดำตัวขนาดเสือนั้นหลุดกระเด็นไปได้
และมันก็หายตัวไป ข้าพเจ้าผลุดลุกขึ้นนั่งโดยทันทีและมือก็ยังคีบบุหรี่อยู่
เป็นการยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิใช่ข้าพเจ้าหลับแล้วฝันไป หรือเผลอไผลวูบวาบไปเป็นแน่
ทันใดความโกรธของข้าพเจ้าก็พลุ่งพล่านขึ้นมา ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างมุ้งลวดที่เห็นแมวดำ แล้วตะโกนด่าว่า
ผีบ้าซาตานตนใดก็ตามที่ปรากฏกายคุกคามข้าฯ เมื่อตะกี้นี้ จงมาปรากฏใหม่ เอ็งแน่จริงขอให้มาในขณะที่ข้าฯ ยืนอยู่นี้ อย่าใช้เดียรฉานวิชาสะกดจิตข้าซีวะ
ความจริงข้าพเจ้าด่าหยาบคายกว่านี้และด่าอยู่นานก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น จึงเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา แล้วจุดบุหรี่มวนที่ ๒
นอนสูบบุหรี่อยู่บนเตียงตามสบายแต่ใจยังโกรธขุ่นมัว
สักชั่วอึดใจ จิตของข้าพเจ้าก็สัมผัสว่ามีอะไรอย่างหนึ่งอยู่ที่ประตู จึงหันกลับไปดู ก็เห็นมีร่างๆ หนึ่ง ยืนดำทมึนเต็มประตู ยืนจ้องข้าพเจ้าอยู่
กายของข้าพเจ้าชากระดิกขยับไม่ได้ ร่างนั้นเดินมาหาข้าพเจ้าแล้วฉุดข้าพเจ้าลากไปด้วยแรงมหาศาล
ความรู้สึกในตอนนั้นกายข้าพเจ้าเบาหวิวล่องลอยผ่านหลุมฝังศพต่างๆ แต่ละหลุมศพที่เน่าเฟะผุดขึ้นจากหลุมศพ โบกไม้โบกมือให้ข้าพเจ้าสลอน ด้วยความขยะแขยง ทำให้ข้าพเจ้าสลัดมือที่ถูกเกาะกุมจากร่างดำใหญ่นั้นหลุดมาได้ และข้าพเจ้าก็พบตัวเองนุ่งอยู่บนเตียง เหงื่อกาฬแตกชุ่ม
ในขณะที่มือของข้าพเจ้าก็ยังคงคีบบุหรี่มวนที่ ๒ อยู่
แทนที่ข้าพเจ้าจะกลัวกลับยิ่งโกรธมากยิ่งขึ้น ตั้งใจว่าจะต้องตั้งสติสู้กับมันต่อ ข้าพเจ้าเข้าไปอาบน้ำอย่างใจเย็นให้ร่างกายสดชื่น
เปิดตู้เย็นหาน้ำเย็นดื่มแล้วก็ตั้งหน้าด่าต่อว่า ไม่แน่จริงนี่หว่า ยังใช้เดียรฉานวิชาอีกตามเดิม มาในขณะนี้ซีวะ หรือต้องให้ข้าล้มตัวนอนก่อน
ถ้าให้นอน ข้าก็จะนอนแต่เอ็งต้องมาทันทีที่หัวข้าแตะหมอนนะเว้ย
ด่าแล้วข้าพเจ้าก็ล้มตัวลงนอน และทันทีที่หัวข้าพเจ้าแตะหมอนก็มีมือใหญ่มาตะปบหัวข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าก็รีบใช้มือขวาตะปบทับมือใหญ่นั้นทันที ก็ได้สัมผัสเข้ากับมือที่เต็มไปด้วยพังผืดและมีขนแข็งๆ เหมือนขนหมู แต่มองไม่เห็น
และแล้วทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบสงบ
เหตุการณ์ทั้งสามครั้งสามครา ที่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้านั้นห่างกันไม่เกินครั้งละ ๑๐ นาที
ยังความฉงนสนเท่ห์ใจให้แก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง หรือว่ามีผีจริงๆ แต่ผีที่ข้าพเจ้าประสบมาก็ไม่เห็นเหมือนกับคำร่ำลือ
ที่ได้ยินได้ฟังมาสักนิด
เพราะที่ว่าผีตาโตเท่าไข่ห่านบ้าง ผีแลบลิ้นยาวเฟื้อยถึงพื้นบ้าง หรือผีมีหัวโตเท่าตุ่มบ้าง
หรือผีถอดหัวมาโยนเล่นบ้าง ผีแหวกอกเห็นตับไตไส้พุงบ้างเป็นต้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยเห็นสักที
แล้วสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นมานั้น คืออะไรกันแน่? และอะไรนั้นมายุ่งวุ่นวายกับข้าพเจ้าทำไม?
หรือว่าต้องการมาแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่า สิ่งลี้ลับที่ข้าพเจ้ายังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นยังมีอยู่ อ๊ะ? ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับเขามาดีน่ะซี
มาเพื่อชี้แนะให้เราหาหนทางค้นคว้าในเรื่องลี้ลับ ที่ไม่เคยมีการเรียนรู้ในโลกของวิทยาศาสตร์มาก่อนนั่นเอง
พอคิดได้เช่นนี้ข้าพเจ้าก็กำหนดจิตขอบคุณเขาไป และขอขมาที่ได้ล่วงเกินเขา
อีกทั้งให้คำมั่นสัญญาว่าข้าพเจ้าจะต้องติดตามหาความกระจ่าง ในเรื่องลี้ลับทั้งหลายนี้ให้ได้
ซึ่งปรากฏว่าในคืนนั้นข้าพเจ้าก็นอนหลับและฝันดีตลอดคืนโดยไม่มีอะไรมารบกวนอีก
อย่างไรก็ตาม แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานสักเท่าใดก็ตาม
ข้าพเจ้าก็ยังคงครุ่นคิดถึงแต่เหตุการณ์อันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นนี้อยู่ตลอดมา แต่ก็ไม่สามารถที่จะไต่ถามหาความกระจ่างในเรื่องนี้จากผู้ใดได้
คงเล่าให้เฉพาะภรรยาฟังเท่านั้นเอง
จนกระทั่งประมาณปี ๒๕๐๙ หรือ ๒๕๔๐ นาวาอากาศโทอาทร โรจนวิภาต (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันเป็นพลอากาศเอก และได้เกษีณอายุราชการแล้ว)
ได้ย้ายไปเป็นเสนาธิการกองบิน ๔ และได้ถูกจัดให้อยู่ ณ บ้านหลังเดียวกับข้าพเจ้าประสบเหตุการณ์ดังกล่าว
พร้อมกันนั้นท่านก็ได้นิมนต์หลวงพ่อพระมหาวีระถาวโร (พระราชพรหมยาน ในปัจจุบัน) มาเป็นประธานในวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ด้วย
ซึ่งข้าพเจ้าและครอบครัวก็ได้ไปร่วมงานบุญครั้งนั้นด้วย อีกทั้งยังได้ไปรอรับหลวงพ่อที่รถติดตามมาจนหลวงพ่อเดินขึ้นบันไดบ้าน
ทันใดนั้นหลวงพ่อก็หยุดอยู่ตรงบันไดชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วหันมาพูดกับข้าพเจ้ายิ้มๆ ว่า นี่คุณมนูญ ท่านเทพฤทธิ์ มายืนฟ้องฉันแน่ะ
ว่าคุณเป็นคนหัวดื้อ และด่าว่าท่าน ข้าพเจ้าได้ฟังในตอนนั้นก็งงมาก เพราะข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักใครที่ชื่อ ท่านเทพฤทธิ์ มาก่อนเลย
หลวงพ่อเห็นข้าพเจ้ายืนงงก็พูดต่อว่า คุณไปคิดดูแล้วกันว่า คุณเคยพบใครที่มีร่างกายดำๆ สูงใหญ่เทียมประตูที่บ้านหลังนี้บ้าง
คุณเคยอยู่ที่นี่มาก่อนไม่ใช่หรือ นั่นแหละท่านนั้นแหละ คือท่านเทพฤทธิ์ซึ่งเป็นเทพระดับสูงซึ่งปกป้องคุ้มครองกองบิน ๔ ละ
พูดแล้ว หลวงพ่อก็เดินขึ้นบ้านไปเป็นประธานในพิธีต่อไป ปล่อยให้ข้าพเจ้ายืนตกใจ ขนลุกซู่
คิดอยู่คนเดียวว่าผีที่ข้าพเจ้าเจอเมื่อครั้งนั้นที่แท้ก็คือ ท่านเทพฤทธิ์ ที่หลวงพ่อเพิ่งเปิดเผยให้ข้าพเจ้าทราบนี่เอง
ด้วยเหตุนี้เอง ปัญหาแรกที่ข้าพเจ้าได้โอกาสถามหลวงพื่อในวันหนึ่งที่แพท่าวัดท่าซุง หลังหลวงพ่อฉันอาหารเพลเสร็จแล้วก็คือ ได้ถามว่า
หลวงพ่อครับ ผีมีจริงหรือครับ
ท่านผู้อ่านคงจะขำว่า โธ่เอ๋ย.. เอาปัญหาระดับคนปัญญาอ่อนมาถามได้ แต่สำหรับหลวงพ่อพอได้ยินคำถามของข้าพเจ้าก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พูดว่า เออ..
ถามเข้าท่านี่ ทำให้ข้าพเจ้าค่อยหน้าบาน แต่ยังไม่ทันได้ปลื้มใจ
หลวงพ่อก็ถามข้าพเจ้าว่า คุณมนูญ เป็นหัวหน้าสถานีวิทยุกระจายเสียง ๐๔ ใช่ไหม?
ข้าพเจ้ารีบตอบด้วยความภาคภูมิใจ ใช่ครับ
หลวงพ่อชี้มือมายังเครื่องรับวิทยุ ที่ข้าพเจ้าถืออยู่แล้วถามว่า นั่นคุณถืออะไรบ้าง
ข้าพเจ้า เครื่องรับวิทยุครับ
หลวงพ่อ คุณถือเอามาด้วยทำไม
ข้าพเจ้า เอาไว้ฟังรายการของสถานีวิทยุ ๐๔ ว่าจะออกรายการเป็นไปตามที่ได้จัดเอาไว้หรือไม่ครับ แล้วก็เอาไว้ตรวจสอบดูด้วยว่า
กำลังส่งของสถานีจะไปได้ไกลถึงไหน อย่างที่วัดท่าซุงนี้ก็ยังรับฟังได้ชัดเจนดีอยู่ครับ
หลวงพ่อ ทำไมคุณไม่ใช้หูฟังคลื่นวิทยุที่ส่งโดยตรงล่ะ ทำไมจึงต้องเอาหูฟังจากเครื่องรับวิทยุ
ข้าพเจ้า หูฟังคลื่นวิทยุโดยตรงไม่ได้หรอกครับเพราะคลื่นวิทยุมีความถี่สูง
ต้องใช้เครื่องรับนี้เปลี่ยนความถี่ของคลื่นวิทยุมาเป็นความถี่ของคลื่นเสียงเสียก่อนหูของคนเราจึงรับฟังได้
หลวงพ่อพูดยิ้มๆ ว่า อ้าวถ้ายังงั้นหูของคนเราก็รับฟังได้อย่างมีขอบเขตจำกัดนะซี ถ้าจะถือเอาเป็นเครื่องรับหูก็เป็นเครื่องรับแบบหยาบๆ
ที่รับฟังได้เฉพาะในย่านความถี่ต่ำๆ ระดับคลื่นเสียงเท่านั้นเอง ความถี่ที่สูงกว่าคลื่นเสียงก็ดีหรือต่ำกว่าคลื่นเสียงก็ดี
หูคนเราโดยทั่วไปก็คงรับฟังไม่ได้ใช่หรือไม่?
ข้าพเจ้า ครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ ถ้าเช่นนั้น คุณยอมรับไหมว่า หูของคนนั้นเป็นเครื่องรับชั้นหยาบที่ขาดประสิทธิภาพ
ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนที่ทรนงนักหนาว่าเป็นบุคคลที่มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศกลับต้องถึงคราวอับจน จำต้องยอมรับกับหลวงพ่อว่า ครับ หลวงพ่อ
หูเป็นเครื่องรับชั้นหยาบจริงๆ
หลวงพ่อหัวเราะ แล้วถามข้าพเจ้าต่อไปว่า เออ.. ที่บ้านคุณ มีทีวีดูไหม?
ข้าพเจ้าชักลังเล คิดในใจว่า หลวงพ่อจะมารูปใดอีกแต่ก็ตอบไปว่า มีครับ
หลวงพ่อ คุณไปซื้อเครื่องรับทีวีมาทำไม เสียเงินเสียทองเปล่าๆ
ข้าพเจ้า เอาไว้ดูรายการซีครับ กองบิน ๔ เงียบเหงาจะตายไป กลางค่ำกลางคืนได้ดูทีวี ค่อยเพลิดเพลินหน่อยครับ
หลวงพ่อ อ้าว.. ตาคุณก็มีไม่ใช่หรือ? ทำไมคุณจึงไม่ดูภาพที่เขาส่งออกอากาศมาโดยตรงเล่า ต้องไปดูจากเครื่องรับทีวีทำไม?
ข้าพเจ้า ดูภาพที่เขาส่งมาในอากาศโดยตรงไม่ได้หรอกครับ ต้องใช้เครื่องรับทีวีแปลงความถี่นั้นมาเป็นความถี่ภาพ
ที่ตาของคนเรามองเห็นได้เสียก่อนครับ
หลวงพ่อ ถ้าเช่นนั้นตาของคนเราทั่วๆ ไป ก็มองเห็นอะไรได้ในขอบเขตจำกัดใช่ไหม? ดังนั้นคุณยอมรับไหมว่า
ตาของคนเรานั้นเป็นเครื่องมือจับภาพชั้นหยาบ ไร้ประสิทธิภาพ?
ข้าพเจ้ามาขบคิดดูก็จริงอย่างหลวงพ่อว่า เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถมองเห็นภาพ ที่เขาส่งมาในอากาศโดยตรงได้ ไม่สามารถมองเห็นเชื้อโรค
ไม่สามารถมองเห็นอะตอมหรืออณูต่างๆ ได้ด้วยตาตนเองจริงๆ จึงต้องยอมจำนนและยอมรับว่า ครับหลวงพ่อ ตาของเราเป็นเครื่องมือจับภาพชั้นหยาบๆ จริง
หลวงพ่อเมื่อเห็นข้าพเจ้ายอมจำนน ก็อธิบายต่อว่า
เมื่อคุณยอมรับว่า ตา และหูของคนเรานั้นเป็นเครื่องมือชั้นหยาบ
มีขีดความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินอยู่ในขอบเขตจำกัด แล้วคุณจะไปเห็นผีหรือคุยกับผีได้อย่างไรกัน เพราะผีก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี อยู่ต่างภพ
ต่างความถี่กับเรา
โดยปกติทั่วๆ ไปแล้ว คนเราจะเห็นผีเห็นเทวดา หรือพรหมไม่ได้ ถ้าเขาไม่ต้องการให้เราเห็น ผีเองก็เห็นเทวดาไม่ได้
เทวดาที่ชั้นภูมิต่ำก็ไม่สามารถเห็นเทวดาที่มีชั้นภูมิสูงกว่าได้ และแม้เทวดาที่มีชั้นภูมิสูงก็ไม่สามารถมองเห็นพรหมได้
เว้นไว้แต่ว่าท่านต้องการจะปรากฏให้เห็นเท่านั้น เหมือนเช่น ท่านเทพฤทธิ์ ท่านจงใจปรากฏกายให้คุณเห็น
ก็เพราะท่านเมตตาต้องการให้คุณเอาไปขบคิดว่ายังมีอะไรแปลกมหัศจรรย์อีกมากที่มนุษย์อย่างคุณยังไม่รู้
เพื่อคุณจะได้ศึกษาค้นคว้าและหันเหชีวิตไปสู่หนทางที่ถูกที่ควรต่อไป ฉันเองก็ดีใจนะ
ที่คุณเริ่มสนใจมาถามปัญหาเพราะแสดงว่าถึงเวลาของคุณแล้ว
ถึงเวลาอะไรครับหลวงพ่อ ข้าพเจ้ารีบถาม ชักใจคอไม่ค่อยดี
ถึงเวลาตายน่ะซี หลวงพ่อตอบทำเอาข้าพเจ้าสะดุ้งสุดตัว หลวงพ่อมองเห็นอาการของข้าพเจ้าก็หัวเราะพูดต่อว่า คุณน่ะยังไม่ตายหรอก
แต่ความประพฤติปฏิบัติเก่าๆ ของคุณจะค่อยๆ ตายจากไป เพราะคุณเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่มาก เนื่องจากได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ
หากแต่จิตของคุณในขณะนี้มันมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่มาก และขาดผู้ชี้แนะที่คุณศรัทธาเท่านั้นเอง
หากเมื่อใดปัญหาที่คุณเคลือบแคลงสงสัยถูกขจัดให้หมดไปได้ เมื่อนั้นคุณก็จะเห็นแสงธรรม และบัดนี้
ก็เริ่มถึงเวลาของคุณแล้วที่ได้มีโอกาสมาพบฉัน คุณมีอะไรที่สงสัยก็ถามมา การถามเป็นวิสัยของคนฉลาด พระพุทธเจ้าเองท่านก็สอนมิให้เชื่ออะไรง่ายๆ
เพราะผลอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมานั้นย่อมมาแต่เหตุทั้งสิ้น
จึงต้องศึกษาให้กระจ่างเสียก่อนแล้วจึงเชื่อ เหมือนดั่งเช่น พระสารีบุตร
ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังพระที่ได้บวชรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งนี้เพราะท่านไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์กันก่อน
แต่เมื่อท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ได้รับการยกย่องให้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธองค์ เพราะเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา
(พระโมคคัลลาน์ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เลิศด้วยอิทธิฤทธิ์) เป็นต้น หลวงพ่อ ได้อธิบายและให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าในการถามด้วยความเมตตาฉะนี้
หลวงพ่อครับ ถ้ายังงั้นพบขอถามต่ออีกนิดนะครับ คือว่า การที่ผมตัวชาขยับเขยื้อนไม่ได้ในขณะที่เห็นท่านเทพฤทธิ์
ทั้ง ๒-๓ ครั้งนั้น จะเป็นเพราะท่านช่วยปรับความถี่ในตัวผม ให้ประสาทในการมองเห็นของผมมีความถี่เดียวกับท่านใช่ไหมครับ
ผมจึงสามารถมองเห็นท่านได้ ข้าพเจ้ารีบถามต่อทันที
ก็เป็นทำนองนั้น แต่เป็นการปรับให้เห็นทางจิตโดยตรงทีเดียวนะ ตามปกติตาของคนเรามองเห็นอะไรก็บอกให้จิตรับรู้ แต่ถ้ามองไปที่สิ่งนั้นแบบ
เลื่อนลอยไม่บอกให้จิตรับรู้ ก็ย่อมไม่เห็นในสิ่งนั้นเช่นกัน คนที่เขาได้ทิพยจักษุญาณนั้น เขาก็เห็นกันทางจิต มิใช่ทางตานะ หลวงพ่อตอบ
ถ้ายังงั้นคนเราหากฝึกจิตให้ดี ก็สามารถปรับความถี่ในการมองเห็นและได้ยินเสียง จนสามารถติดต่อกับผู้อยู่ต่างภพได้ใช่ไหมครับ?
ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ
ถูกต้อง คุณเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างหรือไม่ว่า คนที่ใกล้จะตายนั้น บางคนทำไมจึงแสดงกริยาอาการหวาดกลัวตาเหลือกลานโบกไม้โบกมือไล่สิ่งใด
สิ่งหนึ่งซึ่งคนธรรมดาที่อยู่รอบข้างเขามองไม่เห็น และบางครั้งก็ถึงกับร้องออกมาอย่างหวาดกลัวว่า ข้ายังไม่ไป อย่ามาเอาตัวข้าไป อย่าเข้ามา ทำนองนั้น
ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าความถี่ในการมองเห็น และการได้ยินของคนใกล้จะตายนั้นใกล้เคียงกับความถี่ของคนที่ตายไปแล้ว
เขาจึงติดต่อและเห็นกันได้ ด้วยเหตุนี้ แม้นคนไม่ต้องฝึกจิต ก็ย่อมได้เห็นผีอย่างแน่นอน แต่จะเป็นการเห็นตอนใกล้จะตาย
ซึ่งย่อมเป็นการสายเกินไป
ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่สามารถมองเห็นผี เห็นเทวดา หรือเห็น พรหม หรือเห็นนิพพานได้
ก็อย่าไปคิดว่าทุกคนก็คงจะไม่เห็นเหมือนตน เพราะว่าท่านที่ทรงฌาน และได้ญาณที่เพียรพยายามฝึกจิตจนสามารถปรับความถี่ในการมองเห็น และการได้ยิน
อีกทั้งยังสามารถติดต่อกับผู้อยู่ต่างภพได้ ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีมิใช่น้อยเลย หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังฟังด้วยความสนใจ
ก็พูดต่อว่า
ถ้าคุณต้องการเห็นผี เห็นเปรต ก็ต้องเจริญกสิณกองใดกองหนึ่งแล้วฝึกทิพยจักษุญาณ จนมีระดับฌานเพียงแค่อุปจารฌาน หรือ
ฌาน ๑, ฌาน ๒ ก็พอ คุณก็จะได้เห็นผี เห็นเปรตนะ แม้แต่เทวดาคุณก็พอจะเห็นได้แต่ไม่ชัดนะ
แต่ถ้าคุณอยากจะเห็นพรหม ก็ต้องได้ฌาน ๔ ชำนาญ ทิพยจักษุญาณจะแจ่มใสขึ้น สามารถเห็นพรหมได้ แต่จะเห็นนิพพานไม่ได้
ถ้าอยากจะเห็นนิพพานก็ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ ให้ได้บรรลุพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ
เมื่อได้มรรคผลเป็นพระอริยเจ้า โลกีฌาณ ที่เคยได้ไว้ ก็จะกลายเป็น โลกุตรฌาน ขึ้นมา เกิดวิมุตติญาณทัสนะขึ้น
เท่านี้พระนิพพานก็จะปรากฏชัดแก่ญาณจักษุเอง แต่พระโสดาบันนี้จะเพียงได้แต่เห็นเท่านั้นนะ ยังอาศัยพระนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้
หลวงพ่ออธิบาย
วิมุตติญาณทัสนะ แปลว่าอะไรครับ หลวงพ่อ?
วิมุตติญาณทัสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมกับมีญาณเป็นเครื่องรู้ยังไงล่ะ หลวงพ่อตอบยิ้มๆ
ท่านผู้อ่านที่รัก หลวงพ่อได้อธิบายไว้แล้วโดยละเอียดพอสมควร ส่วนท่านจะเชื่อว่าผีมีจริงหรือไม่นั้น ก็ขอให้ท่านได้พิจารณาด้วยตัวของท่านเองเถิด.