อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ (ตอนที่ 9 คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ)
webmaster - 22/3/09 at 20:15
โปรด "คลิก" อ่าน ตอนที่ 9
คุณจักร ฯ คุณศาสน์ ฯ ll►
ทิพจักขุญาณ ll►
ตอนที่ ๙
คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ
เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเดชพระคุณพระอริยสงฆ์ ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเรียกว่า พระสุปฏิปันโน
มาหลายองค์แล้ว ชักจะเบื่อ ๆ ลองมาเปลี่ยนบรรยากาศติดตามเรื่องของฆราวาส ๒ ท่านดูบ้าง คือ เรื่องของ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์
เดี๋ยวพอให้คลายหายง่วงหายเหงา แล้วค่อยกลับเรื่องไปคุยถึงหลวงพ่อ ฯ หลวงปู่องค์อื่น ๆ กันอีกก็แล้วกันนะครับ
ในสมัยที่ผมได้มาพบกับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมมียศเป็นร้อยตำรวจเอก แต่ได้รับเกียรติยศเป็นอย่างสูง ให้ไปช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ
กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า (ปัจจุบันเรียกชื่อใหม่ว่า ศูนย์อำนวยการร่วม กองบัญชาการทหารสูงสุด)
ทั้งนี้ เป็นความกรุณาอย่างยิ่งของท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งในขณะนั้นมียศเป็น พ.อ.
ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองยุทธการ ท่าน พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นมียศ พล.ท.
ดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ท่าน พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหาร และท่าน พล.อ. ทำเนียบ ทับมณี รองประธานคณะเสนาธิการ กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
ขณะนั้นยศ พ.ท. ดำรงตำแหน่งประจำกองยุทธการ
ความจริงนอกจากผู้หลักผู้ใหญ่ทางฝ่ายทหารจะได้กรุณาผมดังกล่าวแล้ว ท่านผู้ใหญ่ทางตำรวจที่ให้ความกรุณาเป็นอย่างยิ่งกับผมในครั้งนั้นก็มี คือ
ท่าน พล.ต.ท. ประเนตร ฤทธิ์ฤาชัย อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน และท่าน
พล.ต.อ. วสิฏฐ์ เดชกุญชร ณ อยุธยา อดีต รมช. กระทรวงมหาดไทย ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน
ได้ช่วยเหลือและชักชวนให้ผมไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดนเช่นเดียวกัน
ผมจำได้ดีว่า ทั้งสองท่านยังได้กรุณาพาผมไปเลี้ยงอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งแถวถนนพหลโยธิน แต่แล้วในที่สุด
ด้วยความจำเป็นและความสะดวกสบายที่ได้รับมากกว่าจากทางกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ผมจึงจำเป็นต้องเลือกการไปช่วยราชการอยู่กับฝ่ายทหาร ทั้งๆ
ที่ความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งนั้นอยู่กับตำรวจตระเวณชายแดนมากกว่า
แต่ถ้าท่านเป็นผม ก็คงจะต้องเลือกเช่นเดียวกับที่ผมเลือกไปแล้ว ก็ลองคิดดูว่าจะให้ผมเลือกทางไหน ในเมื่อขณะนั้นผมยังเดินไม่ได้
ต้องใช้ไม้เหน็บรักแร้ค้ำยันเวลาเดิน และต้องไปรักษาพยาบาลที่ ร.พ. พระมงกุฎทุกวัน ผมและภรรยาเช่าบ้านอยู่ที่ท่าดินแดงฝั่งธนบุรี
ผมจะไปทำงานที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยสายลม พหลโยธินได้อย่างไร จะเบียดขึ้นรถประจำทางรึ ก็คงจะไปไม่รอด ครั้นจะขึ้นรถแท็กซี่อีกรึ
ก็คงจะไม่มีปัญญา
สำหรับทางฝ่ายทหารนั้นมีขีดความสามารถในการสนับสนุนและช่วยเหลือผมได้ดีกว่ามาก กล่าวคือ ได้จัดรถยนต์รับ-ส่ง พร้อมพลขับให้
อันเป็นการดูแลและอำนวยความสะดวกตลอดจนบรรเทาความเดือดร้อนในการเดินทาง ทั้งการไปทำงานและการไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ
ดังนั้น ผมจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางที่จะสามารถดำรงชีวิตได้เอาไว้ก่อน และในระหว่างที่ผมช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ
กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้านี้นั่นเอง ผมก็ได้รับความกรุณาจากท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต เป็นอย่างยิ่ง
โดยท่านได้กรุณาสนใจและเอาใจใส่ ให้ความสนิทสนม ให้ความคุ้นเคยประดุจบิดาซึ่งกระทำต่อบุตร
ท่านมักเข้ามาที่ห้องทำงานของผมบ่อย ๆ นอกจากจะเข้ามาคุยเฮฮาสัพเพเหระ หรือเข้ามาสอนเรื่องหน้าที่การงานต่าง ๆ แล้ว
ยังสอบถามเกี่ยวกับสาระทุกข์สุขดิบไม่เคยขาด เพราะความดีมีน้ำใจอันสม่ำเสมอของท่านนี่เอง ทำให้ท่านได้เห็นหนังสือที่เกี่ยวกับหลวงพ่อของเรา (ประวัติหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค) ที่ผมได้พยายามซ่อนเร้นแล้วบนโต๊ะทำงานของผม
(ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจซ่อนให้จริงจังอะไร เพราะไม่ได้เป็นความผิดอะไร เพียงแต่อายนิดหน่อย
กลัวท่านจะหาว่าบาดเจ็บแค่นี้ถึงกับเสียอกเสียใจจนต้องเข้าหาพระหาเจ้า จึงเอาหนังสือเล่มอื่นวางทับไว้
และด้วยเกรงว่าท่านจะหาว่าเอาเวลาราชการมาอ่านหนังสืออย่างหนึ่ง และงมงายอีกอย่างหนึ่ง)
ต่อมาท่านก็คงจะสังเกตว่า เมื่อมีเวลาว่างคราใด ผมจะต้องหยิบหนังสือของหลวงพ่อ ฯ ขึ้นมาอ่านทุกที (ส่วนใหญ่เป็นเวลาหลังอาหารเที่ยง)
ท่านจึงหยิบไปเปิดอ่านดูบ้าง พลิกไปพลิกมาแล้วก็คืน ผมเดาว่าท่านคงจะมีความสนใจ ดังนั้น ถ้าผมมีหนังสือเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ
ผมจะหามาเผื่อให้ท่านด้วยอีก ๑ ชุดเสมอ หลังจากนั้นเมื่อท่านพบผม ท่านถามทำนองหยั่งเชิงผมทันทีว่า
คุณว่าจริงเร๊อะ (ท่านคงจะหมายถึง เรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนเล่าเอาไว้)
ผมก็ได้แต่มองหน้าท่านแบบยิ้ม ๆ ไม่ตอบท่านตรง ๆ ในทันที (เพราะผมก็ยังไม่แน่ใจนั่นเอง) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมจากหลวงพ่อ ฯ
และยังได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ ที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ ฯ และเมื่อสังเกตว่าท่านมีเวลาว่างพอ ผมจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ
ที่ผมได้ประสบพบมาให้ท่านฟัง ซึ่งท่านก็ฟังเรื่องที่ผมเล่าอย่างสนใจ แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปจากผมว่า จริงหรือไม่จริง
ส่วนผมเองนั้นก็ไม่ทราบว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ (บุคคลในระดับนี้นั้น เด็กระดับผมชักจูงท่านไม่ได้หรอกครับ)
เพราะภูมิปัญญาและความรู้ตลอดจนประสบการณ์ของท่าน สูงกว่าผมมากมายนัก
เวลาล่วงเลยไปอีกระยะหนึ่ง ผมจึงได้ทราบว่า ท่านนั้นมีความเคารพเชื่อถือใน หลวงปู่พล เป็นอย่างยิ่ง สาเหตุนั้นมีอยู่ กล่าวคือ
ท่าน พล.อ.ท. ลิขิต สุวรรณทัต (ยศ น.ท. สมัยนั้น) ญาติของท่านและภรรยา ได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับ หลวงปู่พล
อยู่เสมอ ๆ
สมัยนั้นทราบว่า หลวงปู่พล ฯ ท่านมักจะมาสอนกรรมฐานอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งแถว ๆ บางแค ท่านลิขิต ฯ
กับภริยาก็มักจะหาโอกาสไปฝึกเสมอ และได้นำบุตรชายของท่าน ๒ คนติดตามไปด้วย คือ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ
ซึ่งเมื่อท่านบิดามารดากำลังฝึกกรรมฐาน คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันอยู่ข้างนอกตามประสาเด็ก
ครั้นเล่นจนเหนื่อยอ่อนจึงมานั่งคอยบิดามารดา และได้ยินการสอนของ หลวงปู่พล ฯ ไปด้วยโดยบังเอิญ และก็ตามประสาเด็กอีกนั่นแหละ
คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็ชวนกันเล่นนั่งสมาธิเลียนแบบผู้ใหญ่ตามที่ได้ยินคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ นั้น
ปรากฏว่า ทั้ง คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ นั้น พอจิตเป็นสมาธิก็ได้ทิพจักขุญาณทันที สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระ
และไม่ใช่เพียงแต่เห็นอย่างเดียว ยังสามารถติดต่อพูดคุยด้วยได้อีก สิ่งของต่าง ๆ ที่บ้านใคร คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ
บอกได้หมดว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปที่บ้านนั้นมาก่อน
แม้สิ่งของบางอย่างที่เจ้าของลืมไปแล้วว่าสิ่งของในกล่องที่เก็บเอาไว้นั้นเป็นอะไร ก็สามารถบอกได้เลยว่าสิ่งของนั้นเป็นอะไร ทีนี้ท่าน พล.อ.
ทวนทอง ฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณตาท่านก็สนุกใหญ่ ท่านพา คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปที่บ้านของท่าน พาไปที่ห้องเก็บของ
แม่จ้าวโวย...สัพเพเหระ สิ่งของกองเป็นพะเนินอยู่ในห้อง อยู่ในกล่องก็มี ห่อเอาไว้ก็มี ขี้ฝุ่นหนาปึ้ก
ท่านเจ้าของเองก็ลืมไปหมดแล้วว่า ภายในมีอะไรบ้าง แล้วคุณตาก็ถามคุณหลานว่าห่อนั้นห่อนี้มีอะไร คุณหลานก็บอก ซึ่งเมื่อแก้กล่องหรือห่อออกมาพิสูจน์ดู
ก็ตรงตามที่คุณหลานบอกเอาไว้ไม่มีผิดพลาด คุณตากับคุณหลานก็มักจะเล่นทายสิ่งของที่หมกเอาไว้จนคุณตาลืมอยู่เป็นประจำ จนคุณหลานสุดแสนจะเบื่อหน่าย
แต่คุณตาไม่เบื่อเลย (สมัยนั้น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ อายุราว ๆ ๔-๕ ขวบ)
คุณตาอยากเล่นแบบนี้ด้วยทุกวัน เพราะการทายสิ่งของดังกล่าวนี้ คุณตาสามารถท้าพิสูจน์กับใครก็ได้ว่าคุณหลานเห็นจริง ๆ นอกจากนั้น
เรื่องที่ตลกและขำขันก็คือ คราวหนึ่ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นึกสนุกอยากจะรู้ใจเจ้าสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ขึ้นมา
จึงได้ผลัดกันหลอกถามเจ้าสุนัขน้อยนั้นว่า ระหว่าง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เจ้าหมาน้อยรักใครมากกว่า
คำตอบของเจ้าหมาน้อยทำให้ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ หัวเราะลั่นจนงอหาย ชอบอกชอบใจว่าสุนัขนั้นตอบถูกใจ
แต่ก็ทำเอาคุณพ่อคุณแม่ตกอกตกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้มาสอบถาม และจึงพลอยได้รู้เรื่องนี้ไปด้วย
ทั้งนี้ไม่ว่าใคร พอได้ทราบว่าเจ้าหมาน้อยตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไรแล้ว ต่างก็หัวร่อกันงอหายเช่นเดียวกับ
คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปตาม ๆ กัน เพราะสำหรับสุนัขแล้ว คำตอบนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าสุนัขน้อยตัวนี้ นอกจากจะฉลาดแล้วยังมีปฎิภาณไหวพริบและ IQ
ไม่เบา
อยากรู้ไหมว่าเจ้าสุนัขตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไร มันตอบว่า รักเท่ากัน
ผมยังจำได้ดีในขณะที่ได้ฟังเรื่องนี้จากท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ท่านจะเล่าไปหัวเราะไปขบขันขนาดน้ำหูน้ำตาไหล ท่านว่า แหม...ไอ้หมาตัวนี้มันฉะหลาด (ฉลาด) แล้วก็หัวร่อต่อจนงอหงาย..!
<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 4/4/09 at 17:27
Update 4 เม.ย. 2552
ทิพจักขุญาณ
.เรื่องที่ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ สามารถทายสิ่งของที่อยู่ภายในโดยมีสิ่งภายนอกปกปิดอยู่
เป็นเรื่องที่คุณตาสามารถท้าใครต่อใครให้มาพิสูจน์ได้ทุกเวลาทุกโอกาส เรียกว่าถามปุ๊บก็จะตอบปั๊บ ไม่มีการรีรอหรือลังเลใจ ไม่ต้องหลับตา เพียงแต่
คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ออกจะรำคาญ เพราะยังเด็กมาก และก็คงจะเบื่อละครับ และมีคนมาขอให้ทาย ขอให้พิสูจน์แบบนี้อยู่บ่อย ๆ
จึงไม่รู้สึกสนุกเพราะถูกชวนเล่นซ้ำ ๆ กันอยู่อย่างนั้น
แต่พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่เห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ และรู้สึกสนุกกันจัง โดยเฉพาะคุณตา ไม่รู้จักเบื่อเลยที่จะชวนคุณหลานทั้งสองเล่นทายของในห่อ
หรือทายว่าที่ห้องโน้นที่ห้องนี้มีอะไร ต้นไม้นี้มีผู้ใดสถิตย์อยู่
บ้านหลังนี้บ้านหลังโน้นมีใครปกปักรักษาอยู่ ท่านชื่ออะไร ถ้าคุณหลานไม่รู้จักชื่อคุณตาก็สอนให้ถาม ซึ่งคุณหลานก็ตอบและทำตามอย่างเสียไม่ได้
เพราะตอนแรกก็ดีอยู่ แต่ตอนหลังเบื่อแล้วไม่เห็นสนุกตรงไหน แต่ก็ตอบถูกทุกครั้ง (เป็นร้อย ๆ พัน ๆ ครั้ง) โดยไม่เคยผิดพลาด
เท่าที่ผมสังเกต ผมรู้สึกว่าเวลามีผู้ใหญ่ไปพูดคุยกับ คุณจักร ฯ หรือคุณศาสน์ ฯ
อากัปกิริยาของทั้งสองจะสำรวมและเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที คำพูดคำจานั้นเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เกินเด็ก
และด้วยท่าทางที่สุภาพอ่อนน้อมที่แฝงไปด้วยอำนาจในตัว ทำให้ผู้ใหญ่กว่าที่เข้าไปพูดจาด้วยดูเหมือนจะกลายเป็นเด็กไปเสียเอง
แต่เมื่อปล่อยเขาเอาไว้ตามลำพัง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันซุกซนกันเหมือนกับเด็กธรรมดา ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกันนั้นนั่นเอง
แต่มักจะชอบเล่นด้วยกันเพียง ๒ คนมากเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะเขาทั้งสองสามารถพูดจากันรู้เรื่องได้ดีกว่ากับเด็กอื่น ๆ (ผู้ใหญ่ด้วยครับ แฮ่ม
)
เนื่องจากสามารถเห็นในสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาคนอื่น ๆ ไม่เห็น สามารถพูดคุยกับสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาคนอื่น ๆ ไม่สามารถพูดคุยด้วยได้ด้วยกันพร้อม ๆ กัน
เขารู้เขาเห็นด้วยตนเองทั้งสองคน เขาจึงไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย
ผมจะเปรียบเทียบกับอะไรดีหนอ เหมือนนายแพทย์คุยกับนายแพทย์ ทหารคุยกับทหาร หรือตำรวจคุยกับตำรวจด้วยกันนั่นแหละ รู้และเข้าใจกันได้ในเวลาอันสั้น
เขาจึงสนิทสนมกันเป็นพิเศษ เขาจะหารือสอบถามกันเมื่อคนใดคนหนึ่งไม่เข้าใจ เมื่อได้รับการเตือนหรือการสั่งสอนจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น
(ซึ่งเขาทั้งสองติดต่อได้) ถ้ายังไม่เข้าใจอีก บางครั้งเขาจึงจะมาถามกับคุณพ่อคุณแม่ ส่วนใหญ่เป็นคำศัพท์สูง ๆ ที่เด็กในวัยเขาไม่เข้าใจ
ในระยะแรก ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็รู้สึกวิตกกังวลใจมากที่บุตรชายทั้งสองคนรู้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น จึงกลัวว่าจะไม่ปกติธรรมดาเหมือนผู้อื่น
และไม่ทราบว่าจะเป็นอันตรายกับบุตรหรือไม่ ในที่สุดก็สบายใจว่า ก็แค่ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เท่านั้นเอง
ครั้งหนึ่งคุณตา (พล.อ. ทวนทอง ฯ) มาเล่าให้ผมฟังว่า คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เคยต่อว่าต่อขานกันเล็กน้อยด้วยเรื่องการเล่นซ่อนหา
เนื่องจากต่างคนต่างก็มีทิพจักขุญาณ ดังนั้น เมื่อใครไปซ่อนอยู่ที่ไหน อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรู้ได้โดยไม่ต้องไปเดินหา ทำให้การเล่นซ่อนหาระหว่าง
คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ จะต้องมีสัญญาต่อกันเป็นพิเศษมากกว่าเด็กอื่น ๆ
คือต้องสัญญากันว่าจะต้องเล่นกันแบบธรรมดา ๆ ที่ชาวบ้านเขาเล่นกัน ห้ามใช้ทิพจักขุญาณไม่งั้นหมดสนุกแน่ แต่แล้วไม่ทราบว่าใครผิดข้อตกลง
อีกคนหนึ่งจึงหัวเสียบ่นพึมพำไปทั้งวันเลยว่าเล่นแบบนั้น (แบบใช้ทิพจักขุญาณ) ไม่เห็นสนุกเลย
ส่วนอีกคนก็ทำหน้าเจื่อน ๆ (เหมือนเด็กที่เล่นโกงแล้วถูกจับได้แถมโดนฟ้องแม่นั่นแหละ) ท่านผู้อ่านลองนึกวาดภาพดูเด็กชายตัวเล็ก ๆ ๒ คน
พูดจาต่อว่าต่อขานกันในเรื่องนี้อย่างหัวเสียจริง ๆ ซิครับ ว่าเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูและน่าทึ่งปานใด
ความสามารถพิเศษของ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นี้ ทำให้ผมยิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อ ฯ นำมาถ่ายทอดว่า
วิชาต่าง ๆ ในกรรมฐาน ๔๐ นั้น สามารถทำได้ ปฏิบัติได้ ฝึกฝนได้และพิสูจน์ได้จริง
สำหรับท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ก็คงจะเช่นเดียวกัน เมื่อท่านเห็นหลานของท่านมีความสามารถเช่นนี้ ท่านจึงเชื่อว่าครูบาอาจารย์ของทั้งสอง
คือ หลวงปู่พล ฯ ต้องเป็นพระสุปฏิปันโนแน่ ๆ เพราะ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เพียงแต่จำคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ
แล้วนำมาปฏิบัติแบบเล่น ๆ กัน ก็ได้ทิพจักขุญาณและยังสามารถพูดคุยกับพระกับพรหมกับเทพ หรือกับสัตว์ก็ได้
แต่สำหรับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมคิดว่าในขณะนั้น ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าใด
เรียกว่ายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่างั้นเถิด แต่ท่านก็ไม่เคยปรามาสหรือดูถูกดูแคลน ได้สนับสนุนและกรุณาให้ผมกับทหารไปดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับหลวงพ่อ
ฯ เสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด
และแล้วในวันสำคัญที่ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ จะเชื่อถือและหมดความสงสัยข้องใจในหลวงพ่อ ฯ ของพวกเราอย่างสนิทใจก็มาถึง
วันนั้นท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ นิมนต์หลวงพ่อ ฯ ไปฉันเพลที่บ้านของท่านที่ลาดพร้าว หลวงพ่อ ฯ ได้กรุณาไปบวงสรวงให้ด้วย
มีแขกไปร่วมงานไม่มากนักไม่ถึง ๒๐ คน ส่วนใหญ่ใกล้ชิดกับท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ รวมทั้ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ด้วย
ซึ่งก็ไปคอยต้อนรับ แล้วก็แว่บไปเล่นซุกซนกันไปตามประสาเด็ก
หลังจากพิธีบวงสรวงเสร็จแล้ว จังหวะที่หลวงพ่อ ฯ กำลังสนทนากับผู้ใหญ่หลาย ๆ คนอยู่ที่ห้องรับแขก
(โดยผมเองนั้นหลบมานั่งอยู่ที่ห้องรับประทานอาหารซึ่งอยู่ถัดออกมา มีห้องโถงคั่นกลางระหว่างห้องรับแขกกับห้องรับประทานอาหาร) ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ
ได้ปลีกตัวออกมาจากห้องรับแขก และเข้ามาที่ห้องรับประทานอาหาร นัยว่าเพื่อมาดูความเรียบร้อยในการจัดภัตตาหารสำหรับถวายหลวงพ่อ ฯ
แต่ปรากฎว่า ท่านได้แอบทดสอบหลวงพ่อ ฯ โดยได้ให้คนไปเรียก คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เข้ามาพบท่านทีละคน แล้วท่านก็ซักถามแต่ละคนว่า
ทั้งสองเห็นอะไรบ้างในตอนที่หลวงพ่อ ฯ ทำพิธีบวงสรวง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ตอบตรงกันว่า เห็นแสงเต็มไปหมด เห็นเทวดา เห็นพรหม
และเห็นพระหลายองค์
และมีพระอยู่องค์หนึ่งซึ่งทั้งสองติดใจเป็นพิเศษเพราะเกล้าผมมวย ซึ่งทั้งสองไม่เคยเห็นพระเกล้าผมมวยมาก่อน จึงรู้สึกแปลกตาไปกว่าองค์อื่น ๆ
(ซึ่งต่อมาทราบว่าหลวงพ่อ ฯ ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ รวมทั้งสมเด็จองค์ปฐมด้วย และท่านก็มา)
เวลาที่ซักถาม คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เป็นเวลาที่หลวงพ่อ ฯ บวงสรวงเสร็จแล้ว
คุณตาเซ้าซี้ให้คุณหลานถามกับทุกองค์ที่มาว่าท่านชื่ออะไร เพราะคุณหลานยังเด็กไม่รู้จักชื่อพระและท่านที่มา คุณหลานก็ตอบว่าท่านกลับไปหมดแล้ว
คุณตาก็เซ้าซี้อีกว่าลองดูอีกทีซิ ยังเหลือใครอยู่กับหลวงพ่อ ฯ บ้าง
คุณหลานก็ชะเง้อมองไปที่ห้องรับแขก บอกว่ายังเหลือมีพระอยู่อีก ๑ องค์ ยืนอยู่ข้างหลังของหลวงพ่อ ฯ แต่คุณหลานไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร
แต่ได้อธิบายรูปร่างหน้าตาให้ทราบ ผมกระซิบบอกคุณตาว่า เห็นทีจะเป็นหลวงปู่ปาน ฯ แน่ ๆ คุณตายังไม่เชื่อผม จึงให้คุณหลานถามให้ที
คุณหลานก็ถามให้แล้วตอบคุณตาว่า ท่านว่าท่านชื่อหลวงพ่อปาน อยู่วัดบางนมโค
คุณหลานขยายความอีกว่า พระองค์ที่ชื่อปาน ฯ นี้มาพร้อมกับหลวงพ่อ ฯ ตั้งแต่ต้น ผมเห็นคุณตายังทำท่าสงสัยอยู่อีก
จึงได้ไปเอารูปพระเกจิอาจารย์หลายองค์ที่ผมมีอยู่ในรถมาให้คุณหลานดู คุณหลานชี้มั๊บไปที่รูปหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค แล้วบอกว่าพระองค์นี้แหละ
และยังอยู่กับหลวงพ่อ ฯ ที่ห้องรับแขก
เมื่อซักถามคุณหลานจนสิ้นสงสัยแล้ว คุณตานั่งเงียบไปเลย และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คุณตาก็สิ้นสงสัยในหลวงพ่อ ฯ
และสนใจอยากฝึกให้ได้ทิพจักขุญาณตามคำสอนของหลวงพ่อ ฯ เพราะเกรงใจที่จะต้องไปคอยถามอะไร ๆ จากคุณหลาน
และท่านก็สามารถฝึกได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็วมากจนน่าอิจฉา และนอกจากจะฝึกเองได้แล้ว ท่านยังได้กรุณาเผื่อแผ่และสอนให้ผู้อื่นฝึกเช่นเดียวกัน
โดยอุทิศบ้านของท่านให้เป็นสำนักสาขาหนึ่งของหลวงพ่อ ฯ เลยทีเดียว
สำหรับ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น หลวงพ่อ ฯ ได้กรุณาอธิบายภายหลังว่า เป็นของเดิมที่ทั้งสองเคยฝึกมาก่อนแล้วในอดีตชาติ
พอได้มาทบทวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถจะระลึกได้ แต่เมื่อเจริญวัยขึ้นก็จะเสื่อมถอยไปบ้าง แต่เขาทั้งสองจะอยู่ในศีลในธรรมตลอด
คุณพ่อคุณแม่และคุณตาไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อถึงวัยกลางคนก็จะกลับมาคล่องเหมือนเดิมอีก
เรื่องราวที่ผมเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ๒๕๑๙ เกือบจะ ๒๐ ปีแล้ว และผมไม่ได้พบกับ คุณจักร ฯ คุณศาสน์ ฯ อีกเลย
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของผม เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ยังจำได้ถึงท่าทางฉุน ๆ นิด ๆ ของคุณตา
เมื่อถามคุณหลานว่าชาติก่อนตาเป็นอะไร แล้วคุณหลานตอบว่า ชาติก่อนคุณตาเป็นรุกขเทวดา ทำเอาคุณตาย้ำเสียงหลงว่า ห๊า
รุกขเทวดาที่อยู่ตามต้นไม้น่ะเหรอ
คุณหลานก็ยืนยันว่าใช่
คุณตาก็พาลหันรีหันขวาง พาลหันมาชี้มั๊บมาที่ผม แล้วถามว่า แล้วชาติก่อนคุณอาเป็นอะไร คุณหลานก็ได้ตอบให้คุณตาทราบ
(ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับใครที่จะต้องรู้ รู้ไปก็ไลท์บอยว่างั้นเถิด
แต่เป็นประโยชน์สำหรับผมเองที่จะต้องระมัดระวังมิให้ตกต่ำกว่าปัจจุบันและอดีตเป็นอันขาด)
อนึ่ง ผมต้องกราบขออภัยเป็นอย่างสูง สำหรับท่านที่ผมได้กล่าวอ้างถึงมาแล้วหลายคน โดยที่ผมไม่ได้ไปกราบขออนุญาตก่อน และทุกท่านก็ยังมีชีวิตอยู่
สามารถอ้างอิงได้ และถ้าเรื่องที่ผมเขียนไม่น่าเชื่อถือหรือคิดว่าไม่เป็นความจริง ท่านที่อ่านและรู้จักกับท่านที่ผมเอ่ยนามมาแล้ว
กรุณาไปสอบถามได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ งานนี้ผมเอาชื่อเสียงและชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริงเป็นความอาญาครับ
(ก็ติดตารางน่ะซีครับ ถามได้)
สำหรับบางท่าน ผมก็จำชื่อเต็มของท่านไม่ได้ เช่น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ก็ต้องกราบขออภัยเป็นพิเศษ
เพราะในครั้งกระนั้นคุณทั้งสองได้กรุณามาบอกชื่อกับผม และยังกรุณาบอกด้วยว่าท่าน (ผมไม่บอกว่าท่านไหน) ให้จดเอาไว้ด้วยนะคุณอา (โดยผมก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องจด
แต่ก็จดให้ตามใจท่าน แต่บัดนี้พอจะเข้าใจแล้วครับ)
ผมไม่อยากจะแก้ตัว แต่ด้วยความจำเป็นที่ต้องย้ายไปรับราชการที่แห่งใหม่อยู่เรื่อยไป ชนิดที่ต้องเรียกว่า ชีพจรเทอร์โบ (ไวเสียยิ่งกว่าลงเท้าอีกครับ)
เพราะบางแห่งอยู่ได้เพียง ๔ เดือนกับ ๘ วันก็ยังเคย (แต่ให้ย้ายไปที่ดีกว่าชนิดที่เทียบกันไม่ได้) หลักฐานเอกสารต่าง ๆ ที่บันทึกเอาไว้ เชื่อว่ายังอยู่
แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนเพราะฝากเอาไว้หลายแห่งด้วยกัน บัดนี้ จึงจำเป็นต้องเขียนเอาด้วยความทรงจำเท่านั้น แต่ก็ยังดีและมีไฟอยู่
หมายเหตุ - โดย..คณะผู้จัดทำ "เว็บวัดท่าซุง"
หลวงปู่พล ธมมปาโล คือ อดีตเจ้าอาวาส วัดหนองคณฑี ต.พุกร่าง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ต่อมาได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสังวรธรรมานุวัตร
เป็นพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่ พล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัต ให้ความเคารพนับถือ ท่านได้ถึงกาลมรณภาพเมื่อ วันที่ ๒๒ พ.ย. ๒๕๓๔
<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>
◄ll กลับสู่ด้านบน