"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1 (ตอนที่ 4)
webmaster - 20/5/09 at 09:36

...บันทึกจาก "ลูกศิษย์หลวงพ่อ" ที่ลงในหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่มีคนอ่านกันมากมาย แต่การที่นำมาลงเว็บวัดท่าซุงนี้ จะมีการ "หมายเหตุ" เพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ เพราะบางท่านที่บันทึกไว้ อาจจะมีเหตุการณ์มากมายจนนึกไม่ออก

ฉะนั้น ทีมงานจึงมีความคิดที่จะอธิบายเสริมไปบ้าง ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่ท่านอาจจะไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนก็ได้ ตอนที่ 4 นี้จึงใช้ชื่อว่า หนังสือลูกศิษย์บันทึก "ตอนพิเศษ" จึงขอให้ติดตามอ่านประสบการณ์แต่ละท่านกันต่อไป...

« ตอนที่ 1 « ตอนที่ 2 « ตอนที่ 3 « ตอนที่ 5 « ตอนที่ 6 « ตอนที่ 7




สารบัญ

01.
พันตำรวจเอกหญิง วิรัตนา เจริญพงศ์ update 20 - 05 - 2552
02. ปรีชา อารีกุล update 21- 05 - 2552
03. พิมพา วงศ์งามนิจ update 22- 05 - 2552
04. ปรุง ตุงคะเศระณี update 23- 05 - 2552
05. บวรพรรณ ไพศาลเสถียรวงศ์ update 25- 05 - 2552
06. ปิ่นอนงค์ พวงเพ็ชร update 26- 05 - 2552
07. แพทย์หญิงสุภรณ์ พงศ์หล่อพิสิษฏ์ update 27- 05 - 2552
08. ภาณี วรทรัพย์ update 28- 05 - 2552
09. ศุภชัย ผ่องสวัสดิ์ update 03- 06 - 2552
10. อำนวยเพ็ญ มนูสุข update 04- 06 - 2552
11. ยุพา มกรพันธ์ update 05- 06 - 2552
12. วิมาลี ศิรประภาชัย update 06- 06 - 2552
13. พรนุช คืนคงดี update 12- 06 - 2552
14. อวยพร ฉันทวิกิจ update 14- 06 - 2552
15. สุวิทย์ สวรรค์กสิกร update 16- 06 - 2552
16. เพ็ญพิไลพรรณ บุนนาค update 19- 06 - 2552
17. สุภร ลีละยุทธโยธิน update 20- 06 - 2552
18. นายแพทย์ สุวิทย์ บุณยะเวชชีวิน update 23- 06 - 2552
19. สุชาดา เดชพันธุ์ update 26- 06 - 2552
20. วรรณสิริ มานพ update 05- 07 - 2552





พันตำรวจเอกหญิง วิรัตนา เจริญพงศ์

"...แด่หลวงพ่อ..."



"ความกตัญญู เป็นยอดของความดี
องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกย่องผู้มีความกตัญญูอยู่เสมอ"

หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

.......ในโอกาสที่พวกเราคณะศิษย์จัดพิมพ์หนังสือเพื่อแสดงคุณวิเศษของหลวงพ่อ ที่มีต่อพวกเราและเป็นเครื่องเจริญศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป อีกทั้งยังเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทีส่วนหนึ่งของพวกเราที่มีต่อองค์ท่าน

ในส่วนตัวของข้าพเจ้าเอง เริ่มเข้าปฏิบัติธรรมโดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นพระอาจารย์แรกเมื่อปี ๒๕๑๗ จากการอ่าน หนังสือประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เรียบเรียงโดยหลวงพ่อ มีความศรัทธาและเลื่อมใสเป็นอันมาก

เมื่อทราบว่าหลวงพ่อมาพักที่ บ้านท่านเจ้ากรม (ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) แม้จะมืดค่ำเพียงใด ไม่เคยขับรถกลางคืน ก็พยายามดั้นด้นไปกราบจนได้ความผูกพันหลายๆ อย่างที่มีต่อหลวงพ่อมีมากมาย ทั้งเคารพ รัก เกรงกลัว

เมื่อประมาณต้นปี ๒๕๑๘ หลวงพ่อได้พาลูกศิษย์ไปนมัสการ พระธาตุจอมกิตติ เชียงแสน ในตอนเช้าได้มีพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พวกลูกศิษย์นั่งรายล้อมหลวงพ่อรอบๆ เจดีย์ มีความรู้สึกเหมือนได้พบญาติพี่น้องในอดีต ทุกคนร้องไห้ โดยเฉพาะเมื่อ ท่านย่า ได้มาประทับทรงทักทายลูกหลาน พวกเราทุกคนยิ่งกลั้นน้ำตาไม่อยู่

ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ไปกับคุณแม่ ทิ้งลูกสาวที่ยังเล็กไว้กับคนเลี้ยงที่บ้านกรุงเทพฯ ติดตามหลวงพ่อไป เหมือนมีสิ่งใดดลใจให้ต้องไป เพื่อไปยังสถานที่เก่าที่เคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาแต่อดีตในสมัย พระเจ้าพรหมมหาราช

พวกเราติดตามหลวงพ่อมาหลายแสนชาตินับเวลา ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของหลวงพ่อ เราได้รับทุกข์เห็นทุกข์ของการเกิด แก่ เจ็บ ตายมาแสนๆ ชาตินับไม่ถ้วน หลวงพ่อได้พร่ำสอนชี้แนะให้พวกเราเห็นทุกข์และแนวทางแห่งการหมดทุกข์ โดยมิได้เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ด้วยความเมตตาแม้จะเจ็บป่วยก็มิได้ละเว้น

ด้านคุณวิเศษของหลวงพ่อนั้น พวกเรารู้อยู่แก่ใจ ไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นภาษาหนังสือ หรือคำพูดได้ครบถ้วน ยามใดที่ข้าพเจ้าและเพื่อนลูกศิษย์ติดขัดในธรรมะ แม้มิได้เอ่ยปากถาม หลวงพ่อก็จะสั่งสอนให้ด้วยความเมตตา แม้คิดนึกอย่างไรท่านก็ทราบเสมอในยามประสบภัย จิตระลึกถึงท่าน ท่านก็ช่วยให้พ้นภัยได้ อันพระคุณของหลวงพ่อนี้เหลือคณานับ

ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุแล้ว หลวงพ่อบรรลุแล้ว ข้าพเจ้าขอบรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ.."

แม่ย่าเชียงแสน - แม่ย่าสุโขทัย

หมายเหตุ : คุณหมอวิรัตนา เจริญพงศ์ เดิมทำงานอยู่ รพ.ตำรวจ ปัจจุบันได้เกษียณอายุราชการแล้ว ตามที่ท่านเล่าถึง ท่านย่า (พังคราณี) ว่ามาประทับทรงทักทายลูกหลานเมื่อปี ๒๕๑๘ นั้น อยากจะขออนุญาตอธิบายขยายความสักเล็กน้อยว่า

ในขณะนั้น หลังจากหลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงแล้ว ท่านย่าได้เข้าประทับทรง "คุณจันทร์นวล นาคนิยม" (ลูกศิษย์บันทึก ลำดับที่ ๘ ตอนที่ ๓) โดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อน จู่ๆ ก็หลับตาลุกเดินออกมาร่ายรำด้วยลีลาที่ชดช้อยสวยงามยิ่ง ท่ามกลางสายตาของผู้ร่วมพิธีมากมาย ลักษณะท่าทางที่ฟ้อนรำในวันนั้น...ประทับใจยากที่จะลืมเลือนไปจากความทรงจำได้...อตีตโยนกนครเชียงแสน ดินแดนที่ระคนไปด้วยทั้งความสุขและทุกข์ มีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตา...!

ในปีต่อมาประมาณปี ๒๕๑๙ หลวงพ่อมีกำหนดการไปที่สุโขทัย ซึ่งนับเป็นการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ รถบัสนำคณะศิษย์หลวงพ่อฯ โดยการจัดจาก "บ้านสายลม" นับเป็นสิบคัน พร้อมกับรถส่วนตัวอีกมากมาย เป็นการนำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ และคณะศิษย์ผู้ใหญ่มากมาย

บุคคลที่สำคัญร่วมเดินทางในครั้งนั้น นั่นก็คือ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต นับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะถูก ผกค.ยิงจนสิ้นชีพตักษัยที่ปักษ์ใต้แล้ว ท่านก็ได้มีโอกาสร่วมพิธีบวงสรวง ณ พระธาตุจอมกิตติ และกลับมาล่องเรือฟังหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัยเล่าเรื่องสมบัติในเขือนยันฮี และที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในถ้ำต่างๆ บนภูเขาบริเวณนั้น

เป็นอันว่า พวกเราที่ช่วยกันจัดรถจัดการเดินทางที่จะไปจังหวัดสุโขทัยในครั้งนั้น ต่างก็ตื่นเต้นและประทับใจ ขบวนรถบัสวิ่งตามกันไปเป็นแถว โดยมุ่งไปไหว้บรรพบุรุษของชาวไทยสมัยนั้น หลวงพ่อได้นำไปไหว้ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ในสุโขทัย

และที่ยังติดตาตรึงใจในวันนั้น อันเต็มไปด้วยประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง คือในขณะที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อนำไปไหว้ที่ ศาลาแม่ย่า (สมัยนั้นยังอยู่ที่เดิม) จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งผ้าถุงลุกเดินออกมาร่ายรำ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ผู้หญิงคนนั้น จำได้ว่าเป็น คุณป้าจันทร์นวล นาคนิยม คนเดิม (ศิษย์รุ่นแรก ตั้งแต่หลวงพ่อยังอยู่ที่วัดโพธิ์ฯ ชัยนาท) ที่ "ท่านแม่ย่าเชียงแสน" เคยเข้ามาสิงร่ายรำนั่นเอง

จะว่าเป็นเข้าทรงก็ไม่ใช่นะ เพราะไม่มีการเชิญแบบเข้าทรง หรือมีตำหนักร่างทรงแบบทั่วไป นี่ท่านเข้ามาแฝงร่างแบบไม่รู้ตัวอย่างกระทันหัน ภาพที่มองเห็นในวันนั้น ยังประทับใจไม่มีวันลืม เพราะได้มีโอกาสชมลีลาท่าทางร่ายรำของนางฟ้าบนสวรรค์ เหมือนกับที่พระธาตุจอมกิตติอีกเช่นกัน

แต่ในครั้งนี้ มีความประทับใจกว่าเดิมเสียอีก เพราะครั้งก่อนท่านร่ายรำด้วยท่าทางเหมือนกับถือดาบมือข้างเดียว แต่ในเวลานี้เท่าที่สังเกตเห็น ท่านร่ายรำเหมือนกับถือดาบแกว่งไกวทั้งสองข้าง ในชีวิตไม่เคยเห็นมาก่อน และเราก็รู้ว่าไม่ค่อยชอบรำไทยเท่าไร แต่ในวันนั้นทำไมถึงชอบเหลือเกิน..!

ท่านผู้อ่านทราบไหวว่าทำไม ? อ๋อ..."ท่านแม่ย่าสุโขทัย" ร่ายรำการฟันดาบสองมือ ด้วยท่าทางอ่อนช้อยแต่ก็แฝงไปด้วยความเด็ดขาดน่าเกรงขาม พอมองเห็นแล้วจึงนึกขึ้นได้ หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านย่า (ชายาท่านปู่พระอินทร์) สมัยอดีตที่เคยเกิด ท่านเก่งในการต่อสู้ด้วย "ขวานคู่" แม้ผู้ชายอกสามศอกยังสู้ไม่ได้ อาวุธทั้งหมดที่ฝึกฝนกัน ขวานเป็นอาวุธที่ยากในการฝึก คนที่จะฝึกขวานเป็นอาวุธได้นั้น จะต้องว่องไวและแข็งแรงมาก

หลวงพ่อเล่าต่อไปว่า ท่านย่ามีนิสัยเด็ดขาด คำสั่งคำไหนเป็นคำนั้น ไม่มีซ้ำสอง ขืนชักช้านิดเดียว มีโอกาสหัวขาดทันที เพราะฉะนั้น "พี่แดง" (พล.ต.ศรีพันธุ์ วิชชุพันธ์) จึงกลัวท่านย่ามาก เวลานี้พี่แดงได้เสียชีวิตไปแล้ว คงจะหนี "ท่านย่า" ไม่พ้นแน่..

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 21/5/09 at 08:04


ปรีชา อารีกุล


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

.....กระผมได้อ่านหนังสือประวัติของหลวงปู่ปาน(วัดบางนมโค) และได้ติดตามไปกราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อท่าน และได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อท่าน ทำให้ได้รับความรู้ในทางพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ได้รับความเมตตากรุณาจากคำสอนของหลวงพ่อท่านทำให้ได้รู้จักการทำบุญกุศลที่มากมาย

.......ทำให้รู้จักทางไปถึงพระนิพพาน ทำให้ได้รู้จักศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา รู้จักการทรงคุณธรรมของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ได้รับการสอนมโนมยิทธิ ได้รับพระเมตตา ได้บวชเป็นพระนวกะ ถวายพระราชกุศลในโอกาสเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ ๖๐ พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙

หลวงพ่อท่านเป็นห่วงเป็นใยลูกหลาน ท่านสอนและชี้ทางให้ลูกหลานได้ทำบุญกุศล ท่านได้บอกพระคาถาเงินล้าน น้ำมนต์รักษาโรค ยารักษาโรค การบวงสรวง คาถาป้องกันตัว คาถาป้องกันอันตราย เพื่อให้ลูกหลานได้มีความสุข ความร่ำรวย ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง ปราศจากอุปสรรคทั้งปวง และเหนือสิ่งอื่นใด ดึงให้ลูกหลานได้ไปพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

พระคุณพระเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมีเป็นล้นพ้น สุดที่จะเขียนพรรณนาได้ ขอพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเป็นมิ่งขวัญของลูกหลานตลอดไป และขอติดตามพระคุณท่านไปพระนิพพานด้วยเทอญ

หมายเหตุ : คุณลุงปรีชา อารีกุล นับเป็นบุคคลท่านหนึ่งที่หายาก เป็นคนอ่อนน้อมไม่ถือตัวไม่ถือตน ทั้งที่เป็นข้าราชผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง เกษียณแล้วยังอุตส่าห์ช่วยงานการกุศล ทั้งที่บ้านสายลมและที่วัดท่าซุง เรื่องของการทำบายศรีเป็นต้น ปัจจุบันนี้ก็ยังช่วยงานเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เหมือนบางคน จิตใจไม่หนักแน่น กระทบนิดกระทบหน่อยก็หวั่นไหว แล้วก็หายวับ..ไปทั้งร่างกายและจิตใจ..!!!

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/5/09 at 13:20



พิมพา วงศ์งามนิจ


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

.......ข้าพเจ้าได้กราบและสมัครใจขอเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อท่านเมื่อ ๑๐ ปีกว่าๆ ด้วยความเคารพนับถือ และยึดเป็นที่พึ่งของครอบครัวตลอดมา ติดใจและชอบมากที่ท่านรู้ใจโดยไม่ได้บอกกล่าวท่านก่อน บางครั้งเหมือนมีสิ่งลี้ลับดลใจให้ทำนั่นทำนี่ โดยตัวเองไม่ทราบเหตุผล เมื่อทำไปแล้วเกิดมาดีทุกครั้ง

.......อย่างครั้งหนึ่ง อยู่ๆ เบิกเงินมา ๕ หมื่นไปถวายหลวงพ่อท่าน เมื่อเดินเข้าไปท่านพูดว่ามาแล้วผู้ที่จะถวายเงิน ๕ หมื่น ซึ่งมีลูกศิษย์นั่งยิ้มกันหลายคน ทราบทีหลังว่า "สมเด็จ" กับ "ท่านแม่ศรี" บอกหลวงพ่อท่านไว้ก่อนแล้วว่า จะหาเงินซื้อเครื่องดนตรีให้ โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระ ท่านเล่าให้คนอื่นทราบแล้ว ตัวข้าพเจ้าเข้าไปถวายเห็นท่านพูดแบบนั้น และคนอื่นๆ แสดงอาการยิ้มพยักหน้ากันจึงงงๆ

เดือนเมษายน ๒๕๒๙ ข้าพเจ้าได้ติดตามคณะหลวงพ่อท่านไปนิวซีแลนด์ และพ.ศ. ๒๕๓๐ ไปอเมริกาอีก ลูกชายชื่อ "ทรงฤทธิ์" ไปด้วย ทั้งแม่และลูกชายๆ ยังเด็ก ชอบฟังหลวงพ่อเล่าเรื่องในอดีตชาติ ว่าใครเคยเป็นพ่อแม่พี่น้องกันมาก่อน สมัยนั้นๆ มีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง ใครเคยทำอะไรผูกพันกันแค่ไหน ลูกชายชอบมาก

ถ้าวันไหนลูกชายแอบถามแม่ว่าหลวงพ่อท่านจะเล่าอีกไหม? อยากฟังอีก วันนั้นหลวงพ่อท่านก็จะเมตตาเล่าให้ฟังอีกครั้ง ข้าพเจ้าจึงหายสงสัยว่าทำไมพบเห็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อท่านหลายคน จึงถูกชะตารักใคร่สนิทใจต่อกันเหมือนเคยรู้จักกันมานาน

เมื่อหลวงพ่อท่านเดินทางไปไหนๆ หรือที่วัดมีงานจึงอยากร่วมเดินทางไปด้วย ติดใจเพื่อนร่วมทางมากกว่าสถานที่ๆ ไปเที่ยวสบายใจรื่นเริง ลืมบ้านเลยทีเดียว จะทำกิจการงานใดๆ ก็กราบเรียนถามหลวงพ่อท่านขอพรจากท่านและปรึกษาในหมู่ผู้รู้บ้าง กิจการนั้นเจริญดีขึ้นเรื่อยๆ มาจนถึงปัจจุบัน

ครอบครัวข้าพเจ้าทั้งพ่อบ้านและลูกๆ ทุกคนจึงรักเคารพเชื่อมั่นในหลวงพ่อเป็นอย่างมาก หรือนามที่ได้รับเลื่อนใหม่เป็น "พระราชพรหมยาน" จะขอยึดองค์หลวงพ่อเป็นที่พึ่งตลอดไป เพื่อหวังการไม่เกิดอีก ขอเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายจะพยายามปฏิบัติตามคำสอนของท่านจนสุดความสามารถ ขอหลวงพ่อจงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เพื่อเป็นที่พึ่งแด่ลูกๆ ไปอีกนานๆ ด้วยเทอญ...

หมายเหตุ : คุณพิมพา วงศ์งามนิจ ในกลุ่มลูกศิษย์หลวงพ่อฯ ที่สนิทๆ กันมักจะเรียกกันว่า "อาซ้อ" เพราะเป็นคนยิ้มง่าย ไม่พูดไม่เคยตำหนิใคร ส่วนใหญ่จะไปวัดพร้อมกับสามี ทั้งสองเป็นคนใจบุญเสมอกัน หมายถึงไม่ขัดคอกัน คุณพิมพาและสามีมีกิจการที่มั่นคง และปัจจุบันนี้ก็ยังมีจิตใจมั่นคงในพระพุทธศาสนา ได้อุปถัมภ์ค้ำจุนวัดท่าซุงตลอดมา..

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 23/5/09 at 09:50



ปรุง ตุงคะเศระณี

" ... ประสบการณ์ของข้าพเจ้า ... "


    หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

".......พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านได้สอนพวกเราไว้ว่า คาถาก็ดี วิชาต่างๆก็ดี ที่เราได้มาในขณะปฏิบัติกรรมฐานนั้น ตามปกติเขาจะไม่บอกกันต่อๆ ไป เว้นไว้แต่ท่านเจ้าของคาถาหรือวิชานั้นๆ ได้อนุญาตให้บอกต่อๆ กันไปแล้ว นั่นแหละท่าน ผู้ได้รับจึงจะบอกคาถาหรือวิชาที่ตนได้มาต่อไปยังผู้อื่นอีกก็ได้

.......ประสบการณ์ของข้าพเจ้าที่จะเล่าต่อไปนี้ คือวิชาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้เมตตาสอนให้ขณะที่ข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานที่วัดท่าซุงในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ข้าพเจ้าเห็นว่าความรู้นี้เป็นประโยชน์ดีมาก ควรที่พวกเราคณะศิษย์หรือพุทธบริษัทที่ฝึกมโนมยิทธิ จะพึงได้รู้ไว้

......เพื่อนำวิธีการตามวิชานี้ไปฝึกเพิ่มเติมให้เกิดประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไป และพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็ได้เคยอนุญาตให้บอกต่อๆ กันไปได้แล้ว วิชาที่ว่านี้คือ วิชาถอดจิตออกจากกาย

พวกเราคณะศิษย์เริ่มฝึกมโนมยิทธิ เมื่อประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๑ ฝึกกันที่ห้องโถงด้านหน้าของศาลานวราชบพิตร(เก่า) ซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ และมีรูปเขียนของหลวงปู่ปานด้วย ด้านหลังของตึกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นที่พักของพระผู้ดูแลตึกนี้ และใช้เป็นที่เก็บสัมภาระและหนังสือต่างๆ อีกด้วย อีกส่วนหนึ่งทำเป็นห้องน้ำมีสองห้อง ห้องหนึ่งเฉพาะสำหรับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ อีกห้องหนึ่งสำหรับพระที่อยู่ดูแลตึกใช้ หรือผู้ที่มาฝึกมโนมยิทธิใช้

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ประมาณ ๓ อาทิตย์ก่อนเข้าพรรษา คืนหนึ่งข้าพเจ้าได้ไปนั่งฝึกมโนมยิทธิที่ส่วนหลังตึก และนั่งหน้าห้องน้ำของหลวงพ่อห่างจากประตูประมาณ ๒ เมตร หลวงพ่อท่านเทศน์สอนก่อนฝึกแล้วสมาทานพระกรรมฐาน เช่นที่ปฏิบัติในเวลาปัจจุบันนี้ เสร็จแล้วข้าพเจ้านั่งปฏิบัติตามปกติเช่นเคย

พอประมาณสัก ๕ นาทีต่อมา รู้สึกมีลมพัดวูบผ่านทางด้านหลังและได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิด จึงหันหลังกลับไปดู พอดีประตูปิดหลวงพ่อท่านเข้าห้องน้ำ ข้าพเจ้าจึงหันหน้ามาทางประตูห้องน้ำ สัก ๕ นาทีต่อมา ประตูเปิดออกหลวงพ่อท่านออกมายืนอยู่หน้าประตู

ท่านปิดประตูแล้วถามว่า "มานั่งทำไม..?"
ข้าพเจ้าตอบว่า ผมมาฝึกถอดจิตออกจากกายครับ

หลวงพ่อท่านพูดว่า ทำอย่างนี้ซิ ขึ้นไปที่วิมานของเราที่นิพพาน แล้วก้มมองหน้าอกของเราให้เห็น เห็นแล้วอธิษฐานให้ตัวใหญ่อย่างนี้

ท่านพูดพร้อมกับกำมือทั้งสองข้างทำท่าขึงขัง ทันใดนั่นเองสิ่งมหัศจรรย์ก็ปรากฏแก่ตัวของข้าพเจ้า ในชีวิตก็พึ่งจะเคยประสบพบเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกตกตะลึงตื่นเต้นพูดไม่ออก ได้แต่มองดูหลวงพ่อ ซึ่งท่านยืนห่างจากข้าพเจ้าไม่เกิน ๒ เมตร

ทันทีที่หลวงพ่อทำท่าขึงขังพูดขาดคำลง ร่างของท่านก็ใหญ่ขึ้นทันที สูงขึ้นจนศีรษะท่านเกือบจดเพดานห้อง ข้าพเจ้าแหงนหน้ามองดูท่าน ท่านก้มหน้ามองข้าพเจ้าแล้วหัวเราะและร่างท่านค่อยๆ เล็กลงและลดลงช้าๆ จนเท่าเดิม

ข้าพเจ้ากราบท่าน แล้วท่านสอนต่อไปว่า แล้วอธิษฐานให้กายสว่างให้มากที่สุด แล้วลงไปข้างล่าง เดินผ่านตัวของเราเท่านั้นเองก็เห็นสว่าง พูดแล้วท่านก็หัวเราะ ข้าพเจ้ากราบท่านแล้วท่านก็เดินออกไป

หนึ่งสัปดาห์ต่อมาตอนกลางคืนที่ตึกนวราชบพิตร(เก่า) เลิกฝึกมโนมยิทธิแล้ว หลวงพ่อท่านก็คุยกับพวกเรา พอได้เวลาท่านก็เดินกลับ เผอิญข้าพเจ้าอยู่ริมทางที่ท่านเดินมาพอดี จึงกราบเรียนท่านว่า วิชาที่หลวงพ่อเมตตาสอนให้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้ใช้แนะนำปฏิบัติแด่คุณทั้งสองคนนี้ พร้อมกับผายมือไปที่คนข้างๆ สองคน คือคุณมานพ แช่มเดช และ คุณมณี วิเลปะนะ ทั้งสองคนไปได้ เห็นชัดเจนแจ่มใสมาก และคุณสองคนนี้เป็นนาคที่จะบวชที่วัดท่าซุงในพรรษานี้ด้วย

หลวงพ่อท่านพูดว่า "เออดี" แล้วหันไปทางคุณมานพและคุณมณี พูดว่า นี่คุณ อาตมาไม่ได้อยู่เฉยๆ นะ อาตมายังต้องศึกษาอีก อาตมายังต้องศึกษาอีกไม่อยู่เฉยๆ ท่านหัวเราะ แล้วท่านก็เดินเลยไป

ข้าพเจ้าขอเรียนเพิ่มเติมต่อท่านผู้อ่านถึงวิธีที่ข้าพเจ้าแนะนำคุณมานพและคุณมณีคือ เมื่อถึงวิมานของเราในนิพพานแล้วอธิษฐานอาราธนาสมเด็จมาประทับในวิมาน แล้วทูลขออนุญาตฝึกจิตออกจากกายขอให้สำเร็จได้ตามความปรารถนา เมื่อท่านอนุญาตแล้ว

ซึ่งเราจะรู้ได้โดยได้ยินเสียงของท่านหรือเห็นท่านแย้มพระโอษฐ์หรือยกพระหัตถ์ข้างใดข้างหนึ่งขึ้น เป็นสัญญาณว่าอนุญาตก็ได้ แล้วก้มหน้ามองดูอกของเราให้เห็นชัด แล้วอธิษฐานว่า พระอรหันต์ที่ท่านเข้านิพพานแล้ว กายของท่านใหญ่แค่ไหน ขอให้กายของเราใหญ่เท่านั้น กายจะใหญ่ทันที เมื่ออธิษฐานจบแล้ว

อธิษฐานว่าพระอรหันต์ที่ท่านเข้านิพพานแล้วกายท่านสว่างแค่ไหนขอให้กายเราสว่างแค่นั้น เมื่อกายใหญ่และสว่างแล้วก็กราบสมเด็จ กำหนดจิตมาข้างล่างที่เรานั่งอยู่อธิษฐานว่าเราจะถอดจิตออกจากกายเนื้อของเรา ขณะเดินเข้าขอให้สังเกต เหลียวดูเห็นหัวไหล่ของกายทิพย์เท่ากันพอดีกับกายเนื้อเปี๊ยบเลย ข้อนี้พิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าว่า เป็นความจริงตามที่ท่านได้ตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฎกในหมวดพระสูตร เช่นพระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่ม ๙ สามัญผลสูตรข้อ ๑๓๒ หน้า ๙๕ เป็นต้น

ท่านสอนว่า อทิสสมานกายที่ถอดจิตจากกายเนื้อได้เปรียบเหมือนดึงไส้หญ้าปล้องออกจากหญ้าปล้อง หรือชักงูออกจากคราบ เมื่อออกมาแล้วจะพบว่า กลางวันอย่างใด กลางคืนอย่างนั้น กลางคืนอย่างใด กลางวันอย่างนั้น (พระธรรมคำสอนที่ท่านพระสารีบุตรท่านรวบรวมไว้ในสังคีตสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่ม ๑๑ ข้อ ๒๓๓ หน้า ๑๗๘ สอนเรื่องทิพจักขุญาณ)

ข้าพเจ้าขอถือโอกาสอธิษฐานขอบารมีพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระอริยะสงฆ์เจ้า ช่วยดลบันดาลให้คณะพวกเราบรรดาลูกศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน พุทธบริษัทที่ท่านได้เคยมาฝึกมโนมยิทธิและท่านผู้อ่าน ขอให้ทุกๆ ท่านที่กล่าวแล้ว มีโอกาสเห็นดวงตาธรรมในพระพุทธศาสนาในอัตภาพนี้ด้วยกันทุกท่านเทอญ.."

หมายเหตุ : คุณปรุง ตุงคะเศระณี เป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง ที่มีความศรัทธามั่นคงอย่างแน่นแฟ้น ตั้งแต่สมัยที่ยังรับราชการอยู่เป็นกงศุลใหญ่ที่ฮ่องกง อีกทั้งได้เคยนิมนต์หลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัยไปโปรดถึงที่โน่น ต่อมาหลังจากเกษียณราชการแล้ว คุณลุงปรุงก็ได้กลับมาอาศัยอยู่ที่วัดท่าซุง (หลวงพ่อให้พักอยู่กับท่านที่ตึกกลางน้ำ) จนกระทั่งเสียชีวิตไปในที่สุด

ถ้ามองไกลๆ คุณลุงปรุงมีรูปร่างเหมือนคนจีน ชอบแต่งตัวใส่เสื้อนุ่งกางเกงแบบชาวจีนทั่วไป แต่ถ้าเข้ามาคุยใกล้ๆ คุณลุงปรุงพูดไทยชัด มีความรอบรู้ทางโลกทางธรรมมากมาย คุณลุงบอกว่าความจริงมีเชื้อสายเป็นคนไทยแท้ แต่ทว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดดอนมูล จ.เชียงใหม่ บอกว่า.. ชาติก่อนคุณลุงปรุงเคยเกิดเป็น "ฮ่องเต้" ถึง ๗ ชาติ

เรื่อง "อดีตตังสญาณ" นี้เป็นข้อพิสูจน์ได้ดี ทั้งๆ ที่หลวงปู่กับหลวงพ่อก็ไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้ แต่มีอยู่คราวหนึ่งประมาณปี 2523 หลวงพ่อนำคณะศิษย์ไปที่ "ภูกระดึง" จ.เลย หลวงพ่อนั่งคานเสลี่ยงให้คนหามขึ้นไป ส่วนคนที่เดินไม่ไหวก็นั่งเสลี่ยงตามไปด้วย

ในขณะที่คนหามเสลี่ยง "คุณลุงปรุง" ขึ้นไปนั้น หลวงพ่อมองดูแล้วหัวเราะ พร้อมกับพูดล้อเล่นดังๆ ว่า... "ฮ่องเต้..เสด็จเลี้ยว.. ๆๆ" พูดย้ำสำเนียงคนจีนแบบนี้หลายครั้ง จนเป็นที่สนุกสนานลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าลงไปได้ ทุกคนจึงรู้กันภายในว่า คุณลุงปรุงนั้นเคยเกิดเป็น "ฮ่องเต้" มาก่อน และก็ไม่สงสัยเพราะหลวงพ่อพูดตรงกับหลวงปู่คำแสน (เล็ก) อีกด้วย

ยังมีอีกครั้งหนึ่งเช่นกัน ตอนที่หลวงพ่อเล่าเรื่องพระเจ้าตากสินกู้ชาติจากพม่าได้แล้ว พระองค์ทรงจัดตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง ต่อมาได้พยายามกอบกู้บ้านเมืองที่ถูกพม่าทำลายจนย่อยย่ำ เพื่อให้กลับมามีสภาพเหมือนเดิม แต่เงินในพระคลังร่อยหรอไม่พอ ต้องไปขอยืมจาก "เจ้าสัว" ชาวจีนไกลโพ้น

ครั้นบริหารราชการแผ่นดินไปได้ระยะหนึ่ง เห็นว่าคงจะใช้หนี้ไม่ไหว จึงได้ปรึกษากับรัชกาลที่ ๑ เพื่อหาวิธีหลบเลี่ยงจากการเป็นหนี้ ด้วยวิธีการแสร้างเป็นคนบ้าวิกลจริต แล้วก็ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นครองราชย์ ดังที่พวกเราทราบกันดีอยู่แล้ว

แต่ที่อยากจะเล่าต่อไปก็คือว่า "เจ้าสัว" คนที่ให้ยืมเงินนั้นมิใช่ใครอื่น ชาตินี้ก็คือ..คุณลุงปรุง..ของเราอีกเช่นเคย ซึ่งในบางครั้งหลวงพ่อจึงมักจะเรียกชื่อเดิมของคุณลุงปรุงว่า... "เจ้าสัว" อยู่บ่อยๆ เหมือนกัน

เรื่องราวที่คุณลุงปรุงได้ประสบในขณะอยู่ใกล้กับหลวงพ่อ หรือเคยเดินทางร่วมกับหลวงพ่อหลายแห่งหลายประเทศนั้น จึงทำให้ได้มีโอกาสสั่งสมสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์เป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่บันทึกในหนังสือเล่มนี้มีน้อยไป เพราะส่วนใหญ่ก็จะเล่าให้กับผู้ใกล้ชิดฟังอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะได้บันทึก "คุณสมบัติพิเศษของหลวงพ่อ" ไว้หลายอย่าง

ท่านผู้เยี่ยมชมเว็บวัดท่าซุงจึงถือว่าเป็นผู้โชคดี ที่จะได้มีโอกาสอ่านบันทึกส่วนตัวนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ไม่ควรจะวิพากษ์วิจารณ์ เพราะอาจจะเป็นโทษภายหลัง ฉะนั้น ข้อความทั้งหมดจึงไม่อยากให้นำออกไปภายนอกเว็บนี้ จึงต้องขอสงวนลิขสิทธิ์ไว้ตามกฎกติกาต่อไป...



บันทึกโดย คุณปรุง ตุงคะเศระณี


“คืนวันที่ ๑๖ ธ.ค. ๒๖ ก่อนเวลานั่งกรรมฐาน หลวงพ่อท่านไม่ได้ลงสอน และท่านคุยกับ เราถึงเรื่อง เมื่อเด็กๆ อยู่โรงเรียน

๑. ท่านชอบเล่นกีฬาฟุตบอล และสามารถเตะจากประตูที่ยืนโด่งไปเข้าประตูตรงกันข้ามได้ และหัดอยู่ไม่นาน ก่อนที่จะสามารถเตะได้เช่นนี้ ท่านเตะกับเพื่อนอีก ๑ คน ผลัดกันเตะ โดยอยู่ คนละด้านตรงหน้าประตู และเพื่อนก็สามารถ เตะเข้าประตูที่ท่านยืนอยู่ได้

๒. ท่านเคยลงแข่งขันเป็น “นายประตู” และเตะแบบข้อ ๑ เตะเข้าประตูฝ่ายตรงข้าม และ ผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้าม คือเพื่อนที่ซ้อมเตะมา ด้วยกันนั้น ก็สามารถเตะเข้าประตูที่ท่านรักษา อยู่ได้เหมือนกัน เมื่อลงเล่นเตะได้ประตูเช่นนี้ คนละครั้ง กรรมการเลยให้ท่านและเพื่อนออก ไปนอกสนาม เพราะไม่อยากให้เล่นต่อไป

๓. ท่านชอบ “มวยไทย” เคยหัดเตะต้น กล้วยที่ตัดยอดและโคนออกแล้ว เอามาปักตั้งไว้ แล้วเตะด้วยขาทั้งซ้ายและขวา..ต้นกล้วยไม่ล้ม ท่านบอกว่าครั้งแรกต้นกล้วยไม่ล้ม ..แต่ตัวเราล้ม

๔. ท่านชอบเล่นปามีด สามารถปามีด ปาดโคนเครือกล้วยทั้งเครือ ให้ขาดตกลงมารับ ได้อย่างสบาย ท่านเล่าว่าหัดปาเพียงวันเดียวเท่า นั้น เข้าใจว่าคงจะเป็นของเดิม (ในชาติก่อนๆ ท่านคงปามีดเก่ง) ท่านพกมีดปา ๕ เล่ม ตาม ขอบกางเกงที่พุง

เคยมีนักเลง ๕ คนจะรุมทำร้ายท่าน เป็นนักเลงต่างถิ่น ท่านแสดงปามีดปักผลกล้วย ให้ดู และบอกว่าแค่นี้ปานัยน์ตาไม่พลาด พวก นักเลงต่างถิ่นรีบหนีไปเลย (ผู้เขียนเคยได้ยิน ท่านเล่าเหมือนกัน ท่านสามารถใช้มีดปามะม่วง ให้ตกลงมาได้ โดยขอให้ชี้ว่าต้องการลูกไหน)

๕. ท่านหัดว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ท่าราชวรดิฐ หัดว่ายอยู่จนสามารถว่าไปกลับ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา รวม ๒๐ เที่ยวได้อย่างสบาย.

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 25/5/09 at 08:16


บวรพรรณ ไพศาลเสถียรวงศ์


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
....... ข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อฤๅษี เมื่อปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ หลังจากที่อ่านหนังสือหลวงพ่อปานมาครึ่งปี อ่านปี ๒๕๑๘ คิดว่าหลวงพ่อ ล่วงลับไปแล้ว คิดในใจว่าจะพบพระดีๆ สักองค์ก็พบแต่หนังสือ ไปบ้านซอยสายลมเพื่อหาซื้อหนังสือเล่มอื่นมาอ่านพบ "พี่นิด" (พี่นิดเป็นน้องสาว "พี่อ๋อย" ภรรยาท่านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ - "ทีมงาน" อธิบายประกอบ)

........จึงทราบว่าองค์หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ดีใจตื่นเต้นยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่ซะอีก ขึ้นรถไปหาท่านที่วัด เมื่อพบองค์ท่านๆ ทักว่า "คนใหญ่..คนโตมาแล้ว" คงหมายถึงสามี วันนั้นข้าพเจ้าและครอบครัว พ่อ - แม่ ลูกๆ ๕ ชีวิตขึ้นรถไปหาท่านรถแน่นมากแทบเหยียบกันตาย นึกว่าวาสนาของเราหนอ... จะหาองค์หลวงพ่ออุปสรรคเยอะจัง เมื่อพบแล้วฟังท่านคุยก็รู้สึกเป็นสุขมาก

ท่านสั่งข้าพเจ้าว่า "ถ้าอาตมายังอยู่ให้ทำบุญ ๒๐ ปี" ก็ยอมรับและทำบุญกับท่านมา ๑๔ ปีแล้ว (บางครั้ง เมื่อเกิดการกระทบกระทั่ง อยากจะเลิกทำบุญ ทำสมาธิที่บ้านอย่างเดียว นึกถึงสัญญาต้องทำบุญกับองค์ท่าน ๒๐ ปี จึงต้องทำบุญต่อ)

ก่อนจะกลับเห็นองค์ท่านเปลี่ยนสีเป็นสีทอง องค์ท่านพูดว่า "อาตมาก็หล่อแต่หล่อลืมขัด..!"

จนบ่ายสามโมงเย็นจึงลาท่านกลับ ยืนอยู่หน้าวัดรถประจำทาง อุทัย - กรุงเทพ วิ่งมาโบกมือให้เขาจอดและครอบครัว ๕ ชีวิตก็ขึ้นมา ปรากฎว่าไม่มีผู้โดยสารอื่นเลยนอกจากครอบครัวของข้าพเจ้า ตอนเช้านึกว่าลำบากจังเลยกว่าจะพบองค์ท่าน ตกบ่ายใจฟูขึ้น เก้าอี้คนละตัวกลับกรุงเทพฯ สบาย... เหตุเพราะบารมีขององค์หลวงพ่อจริงๆ

และอีกครั้งหนึ่งเมื่อสะเดาะเคราะห์ครั้งแรกที่วัดท่าซุงไม่ได้จำวันที่ วันนั้นองค์หลวงพ่อเรียกชื่อสามีขึ้นไปจับขยุ้มหัว ๑ ครั้ง และ พูดว่าให้ทำบุญเป็น ๓ เท่าของเงินที่บ้าน สามีไม่รู้ว่ามีเงินเท่าไหร แต่ข้าพเจ้ารู้ว่า ๖,๐๐๐ บาทและแบงค์ ๑๐ มีจำนวนหนึ่ง เรื่อง แบงค์ ๑๐ ไม่ได้นับนี่แหละไม่สนใจเลย ไม่ได้ส่ง ๓ เท่า ข้าพเจ้าก็เอาเงิน ๑๘,๐๐๐ บาท รวบรวมจากเงินฝากด้วย ส่งให้สามีไปทำบุญกับองค์ท่าน

ปรากฏว่าเมื่อขึ้นรถเมล์ โดนล้วงกระเป๋าไป ๗๐๐ บาท และอีกครั้งกระเป๋าสตางค์เล็กลื่นหลุดจากกระเป๋ากางเกง ตอนนั่งรถเมล์ ไปต่างจังหวัด ในนั้นมีเงินประมาณ ๑,๐๐๐ บาท แหวนอีก ๑ วง รวมแล้วประมาณ ๒,๐๐๐ บาท

ในชีวิตไม่เคยถูกล้วงกระเป๋า หรือกระเป๋าสตางค์หายเป็นพันๆ บาทเลย ถ้าไม่ได้องค์ท่านช่วยคงสูญเงินมากกว่านี้ เพราะมีครั้ง หนึ่งเอาเงินใส่กระเป๋า ๒๐,๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาท) จะไปใช้หนี้เพื่อนพอจะขึ้นรถเมล์ สามีอาสาขับรถมาส่ง ถ้าขึ้นรถเมล์คง โดนล้วงกระเป๋าหมด บารมีองค์หลวงพ่อท่านช่วยให้ได้บุญเป็นการจ่ายเงินที่มีประโยชน์

และเพราะศรัทธาในอีกหลายๆ เรื่อง ช่วยแคะสนิมใจโดยการนึก แล้วท่านจะตอบทันทีไม่ได้เอ่ยปากถาม จนท่านเคยบอกว่าสนิมเขรอะ ถ้าจะช่วยให้ใจว่างโล่งด้วย ปัญหาต่างๆ ก็ใช้เวลาฟังเทศน์หลายปี เป็นเพราะองค์ท่านสงเคราะห์จึงได้ทำบุญมา ๑๔ ปี

หมายเหตุ : คุณบวรพรรณได้รู้จักหลวงพ่อมานานพอสมควร ภายหลังได้เข้าไปร่วมงานกับ "คณะกองทุน" ทำอาหารถวายพระที่สวนไผ่เป็นประจำ การบันทึกประสบการณ์เกี่ยวกับองค์หลวงพ่อ ทำให้เราทราบแต่ละท่านว่า มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง

โดยเฉพาะที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ว่า "ถ้าอาตมายังอยู่ให้ทำบุญ ๒๐ ปี" นั้น ขณะที่บันทีกเวลาผ่านไปนานถึง ๑๔ ปี ไม่ทราบว่าหลังจากหลวงพ่อมรณภาพแล้ว จะครบ ๒๐ ปีหรือไม่ พวกเราก็ลืมถามกัน แต่ก็คงไม่มีคำตอบแล้ว เพราะ คุณบวรพรรณ ก็เพิ่งจากไป (เสียชีวิต) เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ขออนุโมทนาความดีที่ได้ทำไปแล้วทุกประการ...

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 26/5/09 at 08:42


ปิ่นอนงค์ พวงเพ็ชร


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
....... ได้พบหลวงพ่อครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๐ ที่ศาลานวราชบพิตร ตอนนั้นท่านได้สอนเรื่องความกตัญญูต่อพ่อแม่ ซึ่งตรงกับความคิดของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความมั่นใจ ในคำสั่งสอนของท่าน และเกิดปิติยินดีที่ท่านสอนตรงกับใจของข้าพเจ้าอีก

ประมาณ ๑ ปีต่อมา ก็ได้มีโอกาสเข้าเป็นแม่ครัวกองทุนของศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร โดยการแนะนำของพี่ชอ (คุณอัญชัน ศุทธรัตน์) เรียนให้หลวงพ่อทราบ ท่านก็บอก เออดี เตรียมไปดอยตุง ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ที่เชียงรายกัน ทำให้ข้าพเจ้าดีใจมาก ที่ได้มีโอกาสทำอาหารถวายหลวงพ่อ และมีโอกาสได้รับใช้ท่าน

ตั้งแต่นั้นมา ในช่วงที่หลวงพ่อท่านเดินทางไปแจกของคนยากจนในดินแดนที่ลำบากหลายแห่ง ข้าพเจ้าจึงได้ติดตามท่านไป ในตำแหน่งแม่ครัว ไปแต่ละครั้งก็เหนื่อยเอาการ เพราะต้องขนของเครื่องครัว เตรียมอาหารให้พร้อม ตลอดเวลาที่กำหนดพัก เพราะไป บางที่ก็เข้าป่า ซึ่งจะหาอาหารมาทำไม่ได้ แม่ครัวต้องเตรียมให้พร้อม ทั้งเตา หม้อข้าว หม้อแกง ถ้วยชาม ทุกอย่างที่เป็นเครื่องครัว

นอนดึกตื่นเช้า แต่ก็ไม่เป็นไรเพื่อหลวงพ่อ ข้าพเจ้าไม่เคยเหน็ดเหนื่อย บางครั้งหลวงพ่อท่านเมตตามาคุยด้วยถึงที่ทำครัว ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งใน ความเมตตาของท่าน ที่ท่านมีต่อผู้ยากจนในถิ่นที่ลำบากและอดอยาก ทุกภาคของประเทศ รวมทั้งท่านยังเมตตาสงเคราะห์หาหนทางสอนธรรมะ ที่เข้าใจง่ายๆ มาให้ลูกหลานเพื่อที่ว่าทุกคนจะได้ถึงที่สุดแห่งความทุกข์ และวัฏสงสาร และก็มีพระนิพพานเป็นที่ไปในชาติปัจจุบัน

หมายเหตุ : คุณปิ่นอนงค์ พวงเพ็ชร หรือส่วนใหญ่เรียกกันว่า "ป้าปิ่น" เป็นคณะทำงานแม่ครัว "กองทุน" อีกคนหนึ่งที่มีความขยันขันแข็ง อุตส่าห์เดินทางไปร่วมงานทุกแห่ง ทั้งไปทำอาหารที่วัดท่าซุงและร่วมเดินทางไปกับคณะ เรียกว่าสู้กันทุกทีไม่มีถอย "คุณป้าปิ่น" จึงเป็นที่รักและนับถือของผู้ร่วมงานทุกคน ต้องขออนุโมทนาความดีของคุณป้าไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 27/5/09 at 08:43


แพทย์หญิงสุภรณ์ พงศ์หล่อพิสิษฏ์


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
....... ณ นครชิคาโก รัฐอิลลินอยศ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ข้าพเจ้าและน้องๆ ได้พบปะสนทนาธรรมะกับลูกศิษย์ของพระมหาวีระ ถาวโร ผู้หนึ่ง และหลังจากได้ฟังกระแสธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลวงพ่อท่านได้นำมาเผยแพร่ สั่งสอนยังศิษย์ผู้นั้นบ่อยครั้ง ทำให้ข้าพเจ้าและน้องๆ มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระองค์นี้มาก

คุณวิรัช วรวรรณธนะชัย (พระปลัดวิรัช โอภาโส ในปัจจุบัน) ที่ชิคาโก จึงชวนไปฝึกกรรมฐานกัน และก็คอยติดตามอ่านหนังสือธรรมะ พร้อมกับฟังเทปของหลวงพ่อไปด้วย ตามแต่โอกาสจะอำนวย

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ข้าพเจ้าและน้องๆ ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อครั้งแรก ที่บ้านคุณ โต (คุณสุภรณ์ แทนศิริ) เมื่อหลวงพ่อและคณะศิษยานุศิษย์ได้เดินทางมาโปรดบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เพื่อสนทนาธรรม สอนพระกรรมฐาน และฝึกมโนมยิทธิ ที่เมืองวีตัน รัฐอิลลินนอยส์

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ติดตามข่าวคราวของวัดจันทาราม(วัดท่าซุง) พร้อมทั้งอ่านหนังสือคำสอนต่างๆ และฟังเทปของหลวงพ่อเป็นประจำ ข้าพเจ้าและน้องๆ พำนักอยู่ไกลจากเมืองไทยมาก ไม่มีโอกาสฟังเทศน์ ฟังธรรมหรือไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดจันทาราม หรือที่บ้านซอยสายลม

แต่ด้วยความเมตตาอย่างสูงของหลวงพ่อ ที่ให้กำลังใจ ให้คติข้อคิดธรรมะ แนะนำแนวปฏิบัติพระกรรมฐานให้ เมื่อเวลาทุกข์กาย ทุกข์ใจหรือมีอุปสรรคในการงาน ก็ได้ธรรมะเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจ และกำลังใจที่จะฟันฝ่าภัยทั้งปวงได้

วันที่ข้าพเจ้าและน้องๆ มีความปลื้มปิติสุขมากในชีวิตก็คือ วันที่หลวงพ่อรับกิจนิมนต์มาพำนักยังสถานที่ๆ ข้าพเจ้าได้จัดไว้ ที่บ้านพักเมืองเกลนวิว ตลอดระยะเวลาที่ท่านมาเจริญพระกรรมฐาน และฝึกมโนมยิทธิแก่บรรดาพุทธบริษัทที่รัฐอิลลินอยส์ เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๐ และปี พ.ศ. ๒๕๓๒ นั้น

หลวงพ่อได้ให้ความเมตตากรุณาอย่างสูง แก่ข้าพเจ้าและน้องๆ ตลอดทั้งเพื่อนๆทั้งหลาย ทั้งคนไทย ลาว และชาวต่างประเทศ ซึ่งมาจากหลายรัฐเป็นต้นว่ารัฐอินเดียนนา รัฐนิวยอร์ค และรัฐเวอร์จิเนีย ระหว่างที่หลวงพ่อและพระภิกษุที่ติดตามมาพำนักที่นี้ ท่านได้โปรดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทไต่ถามข้อสงสัยในการปฏิบัติธรรมะ ร่วมทำบุญถวายปัจจัยสร้างวิหารทานและถวายสังฆทาน สอนพระกรรมฐาน ฝึกมโนมยิทธิและฝึกญาณ ๘ ทั้งตอนบ่ายและตอนค่ำของทุกวัน

การที่ท่านเดินทางไกลมาโปรดญาติโยมพุทธบริษัทเหล่านี้ เพราะท่านมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวคือ เพื่อสงเคราะห์ในการปฏิบัติพระกรรมฐานและศีลธรรม แม้ว่าสุขภาพของท่านจะไม่แข็งแรง เจ็บป่วยตลอดเวลาและอายุมากแล้ว ท่านก็มีแต่ความเมตตา พร้อมด้วยขันติบารมีอย่างสูง

เมื่อถึงเวลาเจริญพระกรรมฐาน ท่านก็มานั่งแนะนำสั่งสอนธรรมะด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มิได้แสดงถึงความเจ็บป่วยอะไรเลย ซึ่งข้าพเจ้าเป็นแพทย์เองก็ยังมีความอดทนไม่เท่ากับธุลีของท่าน เป็นที่น่าปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง

เมื่อหลวงพ่อพาพระภิกษุ ครูฝึกและคณะศิษย์ที่ติดตามเดินทางมายังประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งใด จะมีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจากรัฐต่างๆ มามากมายทั้งที่พูดภาษาไทยและพูดภาษาอังกฤษ มิได้มีแต่ผู้ใหญ่ที่สนใจการเจริญพระกรรมฐานฝึกมโนมยิทธิเท่านั้น

แต่เด็กในวัยต่างกันที่สนใจที่จะแสวงหาธรรมะเช่นกัน ตลอดระยะทางที่คณะหลวงพ่อเดินทางไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ เป็นต้นว่าโบราณวัตถุสถาน พิพิธภัณฑ์ ร้านค้า บ้านเรือนนั้นๆ หลวงพ่อจะแนะนำสอนคณะศิษย์อยู่เสมอว่า "ให้ดูสิ่งต่างๆ โดยพิจารณาหลักธรรม อริยสัจ ๔ ไตรลักษณ์และอสุภกรรมฐานตามไปด้วย ในการเจริญพระกรรมฐานให้ บูชาระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีศีลบริสุทธิ์ ยึดไตรสรณาคมน์เป็นที่ตั้งระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ก็จะเข้าถึงกระแสธรรม"

หมายเหตุ : คุณหมอสุภรณ์ พงศ์หล่อพิสิษฏ์ จากเมืองไทยไปทำงานอยู่ที่สหรัฐนานแล้ว เมื่อหลวงพ่อไปที่ชิคาโกคราวใด ท่านก็จะไปพักที่บ้านคุณหมอสุภรณ์นี่แหละ โดยมีน้องชาย คือ คุณไพโรจน์ช่วยเตรียมการต้อนรับด้วยดีเสมอ

ต่อมามีอยู่ปีหนึ่งที่หลวงพ่อป่วยหนัก ท่านเกือบจะละสังขารไปแล้ว จึงได้บันทึกอารมณ์ในตอนนั้นไว้ พร้อมกับบันทึกย้อน "อดีตรำลึก" สมัยชิกาโคเป็นเมืองพระเจ้าจักรพรรดิ ท่านผู้อ่านที่อ่านแล้วอาจจะไม่ค่อยเชื่อถือก็ได้ แต่ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์ดีกว่า เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องอจินไตย คือไม่ควรคิด ไม่งั้นจะเป็นโรคประสาทเปล่าๆ

ด้วยเหตุที่เรื่องราวเหล่านี้อาจจะเกิดโทษภัยต่อผู้อื่นบางท่าน ทางทีมงานจึงห้ามคัดลอกหรือนำข้อความเหล่านี้ออกไปนอกเว็บ และเปิดโอกาสให้อ่านได้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น จึงขอให้สมาชิกทุกท่านกรุณา Login ก่อนที่นี่ แล้วจึงจะ Link ไปหาข้อมูลดังกล่าว.

ชื่อสมาชิก รหัสผ่าน


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 28/5/09 at 09:01


ภาณี วรทรัพย์


พระคุณของหลวงพ่อมากพ้นรำพัน

หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
.......หนังสือประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับหลายคนทีได้อ่านแล้วสนใจ ใคร่พบท่านผู้เขียน ข้าพเจ้าอ่านทันทีจนจบ และอ่านซ้ำหลายครั้งเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพบท่านผู้เขียน และได้ทราบว่าท่านเป็นพระมาสอนกรรมฐานที่ "ซอยสายลม" บ้าน พลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม และ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์(พี่อ๋อย) ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกับบ้านของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าได้พบและกราบท่านครั้งแรกประมาณปลายปี ๒๕๑๖ รู้สึกประทับใจในความเมตตาแจ่มใสรื่นเริงของท่าน เมื่อท่านเริ่มสวด "นะโม" เสียงท่านกังวานทั่ว ลีลาการแบ่งวรรคตอน ละม้ายแม้น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทร์เป็นที่สุด ข้าพเจ้าเกิดความเคารพศรัทธาเต็มเปี่ยม และขออนุญาตเรียกท่านว่า "หลวงพ่อ"

ต้นปี ๒๕๑๗ ข้าพเจ้าโชคดี ได้เดินทางไปกราบท่านที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี พร้อมกับพี่อ๋อยและค้าง ๑ คืนตอนกลางคืนมีผู้เข้าร่วมฟังธรรมและฝึกกรรมฐานไม่มากประมาณ ๒๐ กว่าคน หลังการสอนกรรมฐานก็จะมีการสนทนาธรรม ช่วงเวลานี้ข้าพเจ้าชอบมาก หลวงพ่อเล่าเรื่องในอดีตของท่านหลายเรื่องอย่างสนุกสนาน ด้วยท่านมีความจำอันเลิศ บางทีท่านเล่าแบบบอกล่วงหน้าเป็นนัยๆ ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรในอนาคตบ้าง พวกเราก็ฟังกันเพลินปรากฏว่าทุกอย่างที่ท่านพูดไว้ล่วงหน้า ถึง ๑๐ ปี เป็นจริงทุกประการตามลำดับเวลา

ข้าพเจ้ากราบเรียนถามท่านเรื่องที่ข้าพเจ้าทำสมาธิไม่ได้นาน แค่ ๒ - ๓ นาที จิตก็คิดไปเรื่องอื่น ท่านตอบว่า พระท่านบอกว่าที่เธอเคยอบรมมาในอดีตชาติ ไม่ใช่อารมณ์ฌานแต่เป็นอารมณ์คิด ฉะนั้นจงใช้พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และพิจารณาร่างกายว่าประกอบด้วยธาตุ ๔ วนเวียนไม่ออกนอกเรื่อง จนเป็นเอกคตารมณ์ แล้วใช้ปัญญา พิจารณาตัดขันธ์ ๕ คิดถึงความตายไว้เสมอ ไม่ขอเกิดอีก และให้หวังพระนิพพานเป็นที่ไปในชาตินี้

ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งมากในมหากรุณาของหลวงพ่อ และก็พยายามปฏิบัติแนวนี้มาตลอดมากบ้างน้อยบ้าง หลวงพ่อบอกว่า ไม่เป็นไรกำลังใจเล็กน้อยนี้จะรวมกันเอง เมื่อถึงจุดหนึ่ง สังขารุเปกขาญาณก็จะเกิดตัดร่างกายไปได้เลย

ราวปลายปี ๒๕๒๑ หลวงพ่อสอนมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าก็เข้ารับการฝึกด้วยแต่ไม่เคยสัมผัสอะไรได้เลย หลวงพ่อสอนเป็นกลุ่มและ กล่าวนำให้เราพิจารณาตัดขันธ์ ๕ และถามศิษย์บางคนที่สัมผัสได้ คำสอนเหล่านี้เขาอัดเทปไว้ทุกครั้ง ข้าพเจ้าก็ได้เทปเหล่านี้มาเหมือนกัน ช่วงเวลานี้เองข้าพเจ้าป่วยมากต้องลางานรักษาตัวที่บ้าน การขยับร่างกายเล็กน้อยก็เกิดทุกขเทวนามากทุกครั้ง

ข้าพเจ้าปฏิบัติตามที่หลวงพ่อได้สอนไว้เมื่อแรก และเปิดเทปการฝึกมโนมยิทธิด้วย นอนฟังและพิจารณาตัดขันธ์ ๕ ไปด้วยจนเพลิน ขณะนั้นไม่รู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกเหมือนหลับแต่สามารถเห็นองค์พระงามมาก ข้าพเจ้าน้อมนมัสการกราบแทบพระบาท

ตอนนั้นไม่ทราบตนเองอยู่ที่ไหน นึกอยากเห็น อยากทราบอะไร ก็ได้เห็นได้คำตอบปั๊บทันที ข้าพเจ้าขอให้ท่านช่วยให้หายทุกขเวทนา แต่ท่านตรัสว่า "เธอจงยอมรับกรรมด้วยจิตอันสงบ" ประโยคนี้ติดตรึงใจข้าพเจ้ามาโดยตลอด และปฏิบัติตามรับสั่งของท่านทุกครั้งที่ประสบทุกข์

หลวงพ่อสอนให้รู้จักปฏิบัติตัวเพื่ออยู่ในโลกนี้ให้มีความทุกข์น้อยที่สุด และปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น และแนะนำสั่งสอนอีก หลายประการเหลือคณานับ ด้วยความเมตตากรุณาอย่างหาที่สุดไม่ได้ของหลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าได้หลักธรรม ที่สามารถประคองตัว ประคองใจผ่านความทุกข์มาได้ในช่วงเวลาที่ผ่านๆ มาพระคุณของท่านล้นพ้นสุดจะพรรณนา

ข้าพเจ้าทราบดีว่าขันธ์ ๕ ของหลวงพ่อทำให้หลวงพ่อมีทุกขเวทนาเป็นประจำทุกวัน แต่เพื่อหมายจะให้ศิษย์ทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ หลวงพ่อยอมทนทุกข์เสียเอง เพื่ออยู่สั่งสอนลากจูงพวกเราทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์ให้ได้ในชาตินี้ เวลาอันมีค่าของเราเหลือน้อยลงทุกที การพร้อมใจกันเร่งปฏิบัติธรรมด้วยความไม่ประมาท เพื่อถวายเป็นมหากุศลแด่หลวงพ่อจะเป็นการแสดงความกตัญญูรู้ในพระคุณของท่านอย่างแท้จริง

หมายเหตุ : คุณภาณี วรทรัพย์ หรือพวกเราเรียกกันว่า "พี่ตุ๋ย" เป็นคนที่มีอัธยาศัยดีคนหนึ่ง หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แสดงให้เห็นถึงความมีจิตใจที่ดี ได้มีโอกาสร่วมสร้างวัดท่าซุงมาตั้งแต่ยุคต้นๆ คนหนึ่ง บัดนี้ พี่ตุ๋ยก็ได้จากพวกเราไปนานหลายปีแล้ว คงทิ้งไว้แต่ความหลังที่เป็นอดีต ตามที่ได้บันทึกไว้นี้

พวกเราที่อ่านบันทึกภายหลังนี้ก็เช่นกัน สักวันหนึ่งเราก็คงต้องจากโลกนี้ไป ชีวิตคนและสัตว์มีสภาพไม่แตกต่างกัน คือความไม่ทรงตัวอยู่ได้นาน เมื่อถึงเวลาก็ต้องไป.. จะไปไหนกันดีละ..ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย...?

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 3/6/09 at 08:58



ศุภชัย ผ่องสวัสดิ์


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

....... สิ่งที่ข้าพเจ้าจะขอเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงข้าพเจ้าเคยได้ประสบกับข้าพเจ้าเองเกี่ยวกับบารมีของหลวงพ่อ

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้ไปกราบหลวงพ่อ วันหนึ่งข้าพเจ้ามีอาการปวดท้องมาก อยู่ดีๆ ใจก็นึกถึงองค์หลวงพ่อ พอสักพักหนึ่งอาการปวดก็ทุเลาและหายไปในที่สุด

ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ไปวัดท่าซุงประมาณต้นปี ๒๕๓๑ โดยไปกับคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อเคยไปมาครั้งหนึ่ง แต่จำทางไม่ค่อยได้ ต้องแวะถามระหว่างทาง ปรากฏว่าคุณพ่อขับรถลงแพข้ามแม่น้ำไป รู้สึกตื่นเต้นดี เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้นั่งรถข้ามแพ พอไปถึงวัดตรงไปที่โบสถ์แล้วก็ไปที่ตึกรับแขก

ระหว่างรอหลวงพ่อ ก็ได้หาซื้อหนังสือธัมมวิโมกข์และการฝึกมโนมยิทธิ พอหลวงพ่อออกรับแขกได้กราบนมัสการ สักครู่หนึ่งก็เดินทางกลับ พอกลับถึงบ้านลงมืออ่านหนังสือของหลวงพ่อทันที ใจอยากฝึกมโนมยิทธิ ได้โทรศัพท์ถามที่บ้านสายลมว่าหลวงพ่อมาวันไหน พอทราบแน่ชัดแล้ว

ได้ชวนคุณแม่และพี่ข้างบ้าน วันนั้นคุณพ่อไม่ได้ไปด้วยเพราะติดธุระ ข้าพเจ้าและคุณแม่ฝึกได้ คุณครูที่ฝึกให้เป็นคุณครูผู้ชายต่อมาทราบว่าชื่อครู ร.อ.เจี๊ยบ ต่อมาข้าพเจ้าลงมาฝึกข้างล่าง ไปฝึกเกือบทุกเสาร์อาทิตย์ของต้นเดือน อยู่บ้านข้าพเจ้าก็ฝึกซ้อมทุกวัน ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปสมัครสอบเอ็นทรานซ์โดยที่มีเวลาเตรียมตัวน้อยมาก ผลที่ออกมาก็สอบได้

ข้าพเจ้ามีความภูมิใจมากที่ได้มาฝึกวิชานี้และได้ชวนเพื่อนๆ ให้มาฝึก ข้าพเจ้าสำนึกพระคุณในองค์หลวงพ่อมากที่ได้นำวิชานี้มาสอนเป็นประโยชน์แก่มหาชนมากมาย ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ พร้อมทั้งคุณครูทุกท่านที่ช่วยฝึกสอน

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 4/6/09 at 08:39


อำนวยเพ็ญ มนูสุข


บารมีและความเมตตาของหลวงพ่อ

หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

.......ข้าพเจ้าเริ่มสนใจศึกษาหาความรู้ทางด้านพุทธศาสนามากขึ้นในราวปี ๒๕๑๗ เพราะพี่ๆได้มาคุยให้ฟังว่า ได้เดินทางไปวัดหลวงปู่ปาน ที่จังหวัดอยุธยา และได้ทราบว่ามีลูกศิษย์ซึ่งน่าเคารพกราบไหว้มากของหลวงปู่ปานอยู่ ๑ องค์ คือหลวงพ่อของพวกเรานั่นเอง

ข้าพเจ้าจึงได้ขอตามไปกราบด้วย ช่วงนั้นหลวงพ่อท่านเพิ่งจะเริ่มให้มีการฝึกหัดนั่งกรรมฐานกัน ซึ่งหลวงพ่อท่านสอนด้วย ตัวของท่านเอง เพราะลูกศิษย์ยังไม่มากนัก

จุดเริ่มต้นของข้าพเจ้าในการปฏิบัติพระกรรมฐานจึงเริ่มในช่วงนี้ เมื่อก่อนนั้น ก็นับถือพุทธศาสนา นึกคิด ปฏิบัติ เหมือนกับบุคคลส่วนใหญ่ กล่าวคือ เจอพระก็กราบไหว้ ถึงวันเทศกาลก็ทำบุญตักบาตร แล้วจะอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าฉันใดขอให้พบแต่ความสุข ความสบาย ร่ำรวยฯลฯ คำว่าพบพระนิพพานไม่เคยไม่นึกถึงเลย ซึ่งเมื่อมาพบหลวงพ่อแล้วจึงได้ทราบว่าคำอธิษฐานเหล่านั้น เป็นการอธิษฐานขอทุกข์มาใส่ตนเองแท้ๆ

เมื่อไปกราบหลวงพ่อครั้งแรก ไปในลักษณะอยากจะลองดูว่า การปฏิบัติพระกรรมฐาน การฝึกแบบมโนมยิทธิ และวิชชาสามเป็นอย่างไร ตอนไปนั้น กายพร้อมเพราะอยากลองแต่ใจไม่พร้อมเลย เพราะไม่เคยได้รับทราบมาก่อนเลยว่าเป็นอย่างไร ท่อง พุท - โธ แล้วจะได้อะไรขึ้นมา จะได้บุญได้อย่างไร เรื่องตัดขันธ์ ๕ ยิ่งไม่รู้จัก และรู้สึกค่อนข้างแย้งว่า มันเป็นสิ่งสกปรกที่ชำระล้างทำความสะอาดได้ ดังนั้น เมื่อเวลาครูมาสอนจึงได้ทำไม่ได้

การฝึกครั้งแรก ข้าพเจ้าไปพักที่วัดหลวงพ่อที่จังหวัดอุทัยธานี ไปกับพี่ๆ ๔ คน คือแรกของการฝึก พี่ทุกคนต่างก็ทำสมาธิได้ จนกระทั่งบ่ายของวันที่สาม ข้าพเจ้าก็ยังทำไม่ได้ตัดขันธ์ ๕ ไม่เป็น พวกครูๆ คงจะเบื่อกันเหลืออด บางท่านก็ดุเสียงดัง บางท่านก็โยนให้ท่านอื่นๆ มาแทน ข้าพเจ้าก็เสียใจ นั่งทุกข์ใจ และคิดว่า ถ้าไม่ได้ก็ไม่อยู่แล้ว ตัวเองไม่มีบุญมาก่อนกลับบ้านดีกว่า กลับคนเดียวก็ได้ ฟังพวกที่ฝึกได้เล่าเรื่อง ได้พบได้เห็นกันอย่างสนุกสนาน มีเราคนเดียวที่ไม่ได้ไปไหนเลย เพราะความโง่ ที่ไปยึดขันธ์ ๕ เศร้าจริงๆ

จนกระทั่งคืนวันที่สามก็ไปฝึกกับเขาอีก คิดว่าเมื่อไม่ได้พรุ่งนี้เข้าก็จะลาแล้ว และอาจจะไม่ได้มาฝึกอีก คืนนั้น หลวพ่อลงมาที่ศาลานวราชสอนตามปกติ ข้าพเจ้าไปนั่งมองไปที่รูปของหลวงพ่อ ใจนึกว่า "หลวงพ่อคะ สามวันแล้วลูกยังทำไม่เป็นเลย หมดอาลัยไม่อยากฝึกแล้ว ขอบารมีหลวงพ่อช่วยเมตตาลูกด้วยเถิด"

พอใกล้เวลา ๑ ทุ่ม หลวงพ่อก็เดินเข้ามา ข้าพเจ้านั่งกับพี่ๆ อยู่ พอท่านเดินมาถึงที่พวกข้าพเจ้านั่ง ท่านก็บอกว่า "พวกนี้ เดี๋ยวมาฝึกกับฉันนะ" แทบจะไม่เชื่อหูตัวเองเลย ดีใจ ผสมกับกลัว โดยเฉพาะข้าพเจ้า ซึ่งแย่มาก่อน ท่านบอกให้นั่งหลับตาสบายๆ พิจารณาลมหายใจเข้าออก แล้วพิจารณาขันธ์ ๕ ของตน แยกแยะให้เห็นว่ามีความสกปรกโสโครกอย่างไร ให้ตัดทิ้งไปซะ จะได้ว่าตนเองกลัวจะทำไม่ได้จนมือเย็นไปหมด แต่พอได้ฟังเสียงหลวงพ่อไปสักพัก จิตเริ่มสงบขึ้นบ้าง หลวงพ่อใช้ไฟฉายส่องหน้าเข้าช่วยด้วย จิตเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ สงบมากขึ้น และคล้อยตามคำสอนของท่าน จนฝึกได้ในที่สุด ครั้งนั้นมีความรู้สึกปีติจนน้ำตาไหล ไม่คิดเลยว่าเมื่อปฏิบัติได้แล้ว คนเราจะพบกับความหมายของคำว่า "สุข" อย่างนี้ในโลกได้

ข้าพเจ้าได้เห็นภาพชัดเจน หลวงพ่อบอกให้จำวิธีการ และอารมณ์ขณะที่ ท่านสอนอยู่นั้น ไว้ให้ได้ และนำไปปฏิบัติที่บ้านเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ทำเอง ต้องทำอย่างนี้ ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้พยายามฝึกและรักษาอารมณ์แบบนั้นมาตลอด

ผลจากการนั่งพระกรรมฐาน ที่ได้รับมีค่ามหาศาล กล่าวคือ เมื่อก่อนที่จะมาปฏิบัติข้าพเจ้ามีโรคประจำตัว คือ ชอบปวดศีรษะและเป็นลมหน้ามืด เมื่อฝึกได้แล้ว ใจก็คิดว่า วิธีการปฏิบัติแบบนี้คือความสุข สงบของจิต เป็นสิ่งพิเศษ ข้าพเจ้าเลยคิดว่า น่าจะแก้ไขโรคประจำตัวของข้าพเจ้าได้

วันหนึ่งเมื่อรู้สึกปวดศีรษะมาก (ปกติข้าเจ้าชอบทายาหม่องที่ขมับ บางทีทาจนผิวไหม้ ก็มีบ่อยๆ) จึงได้ขอบารมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อให้การนั่งปฏิบัติของลูกในครั้งนี้ช่วยรักษาโรค นี้ให้ลูกด้วย และก็ได้ผลจริงๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าไม่เคยเจอโรคนี้อีกเลย

ข้าพเจ้าได้เล่าผลการปฏิบัติให้หลวงพ่อฟัง และได้ทราบว่าหลวงพ่อได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ลูกศิษย์ของท่านคนนี้รู้จักนำเอาวิธีการเจริญพระกรรมฐานมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ผล

สิ่งที่ข้าพเจ้าประสบด้วยตนเอง จากการที่ได้มาพบหลวงพ่อ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ได้ทราบว่าหลวงพ่อของเรานั้น ท่านมีบารมี ความเมตตามากเหลือเกิน ท่านอ่านใจลูกศิษย์ได้หมดทุกคนขนาด

ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านจากรูป ท่านก็ยังเมตตาให้ทันที การฝึกปฏิบัติที่หลวงพ่อสอนยังทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า นรก สวรรค์มีจริง เมื่อมีชีวิตอยู่ จึงควรละการทำชั่วให้มากที่สด พยายามหาทางทำความดีไว้ให้มาก ทำให้เป็นคนกลัวบาป และลำอายที่จะทำบาป และการที่จะปฏิบัติให้ได้ผล ผู้ปฏิบัติ(ฆราวาส) ต้องมีศีล (๕ หรือ ๘) ก่อนนั้นก็เท่ากับสอนให้ทุกคนทำความดี ละความชั่ว เมื่อปฏิบัติแล้วจิตใจยังผ่องใสอีก ครบตามแนวคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการ

เมื่อแต่ละคนทำความดี สังคมย่อมดีขึ้นด้วย พวกลูกศิษย์ทั้งหลายของหลวงพ่อจึงภูมิใจกันมากที่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน ไม่เสียชาติเกิด และอาจจะไม่ต้องเกิดอีกก็ได้ นั่นเพราะบารมีของหลวงพ่อแท้ๆ

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 5/6/09 at 09:37


ยุพา มกรพันธ์


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

.......ฉันรักและบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะฉันไปวัดท่าซุงครั้งแรก ฉันได้บูชาพระแก้วมา ๑ องค์ และได้วางไว้บนหลังตู้ พอจะเข้านอนฉันก็ยกมอไหว้บอกขอขมาที่จัดที่ทางยังไม่เรียบร้อย แล้วก็เข้ามานอนภาวนา สักครู่หนึ่งก็มีแสงสว่างจ้า เป็นองค์พระพุทธรูปใหญ่มาก พระพักตร์เป็นประกายเพชร จิตก็บอกว่า อ้อ...พระแก้วของเราแต่ใหญ่กว่าองค์จริงเป็นร้อยเท่า

เมื่อปี ๒๕๒๙ ฉันได้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัด พระองค์ก็ยังเสด็จมาสงเคราะห์ โดยย่อองค์เท่าฝ่ามือ ลอยมาจากบนหิ้งพระหัวนอนมาปิดบาดแผลสักครู่หนึ่ง พระองค์ท่านก็ลอยกับที่คืน

แล้วก็มีอยู่คืนหนึ่ง สามีฉันเขาได้เอารถเครื่อง ใส่เรือข้ามแม่น้ำ ก็พอดีคืนนั้น มีพายุแรงมากฉันก็ได้แต่นั่งเป็นทุกข์กลัวเรือจะล่ม รถจะจมกลางแม่น้ำ แต่สักประเดี๋ยวหนึ่งก็ได้คิดว่าตัวเรานี้เลวมากตั้งใจแล้วว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา แต่ทำไมกับของนอกกายเพียงเล็กน้อยแค่นี้ ก็เก็บมาเป็นทุกข์ เท่ากับเราโกหกตัวเองก็คิดว่าไม่เอาละ เราจะวางภาระทุกอย่าง พอจับลมหายใจแวบเดียวพระองค์ท่านก็เสด็จมาประทับยืนข้างหน้าปางพระนิพพาน จิตก็รู้ว่าพระองค์ทรงบอกว่าคิดถูกแล้วลูก

ปกติฟังธรรมที่หลวงพ่อท่านสอนทางพระนิพพาน ฉันก็มีความรู้สึกว่าไม่ยาก เราต้องทำได้ ซิของง่ายๆ ถ้าทำไม่ได้ก็เสียชาติเกิด

แต่มีอยู่คราวหนึ่ง เรื่องค้าขายฉันได้ตัดสินใจ ทำให้ขาดทั้งเงินและเหนื่อยแรงมากขึ้น มันก็กลุ้ม พอมีความกลุ้มมันก็มืดแปดด้าน เลยคิดอะไรไม่ออก ก็เรียกองค์สมเด็จช่วยข้าพเจ้าด้วย มันทุกข์จนไม่ต้องการเกิดอีกแล้วจะทำวิธีไหนดี ก็มีเสียงของพระองค์ ท่านตอบมาว่า "ก็ทางที่เธอคิดว่าง่ายยังไงล่ะ" พอได้ยินสุรเสียงก็ทำให้หายมืดเป็นทางสว่างเลย

อันนี้คือพระเมตตาจากพระองค์ ทรงช่วยทั้งปางพระพุทธรูป ทั้งปางพระนิพพานทั้งสุรเสียง ทำให้คิดได้ว่า คำที่เราบอกว่ายอมมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ นั้นยังมีค่าน้อยไป

ฉันรักหลวงพ่อ เพราะครั้งแรกที่เห็น ก็มีความรู้สึกว่าคุ้นเคยกับท่านตั้งแต่ก่อนเกิดมา มันคุ้นเคยจนบอกไม่ถูก อย่างตอนที่ขาเจ็บ หมอก็ไม่รู้เป็นโรคอะไร ก็ได้หลวงพ่อท่านเมตตาสั่งคนไปบอกให้กินยาต้มของท่านกับปล่อยนก ปล่อยปลา แล้วก็บนบวชเณร ผลที่สุดแผลหายเร็วจนหมอสงสัยว่า หมดเก่งไม่รู้โรคให้ยาเดาส่งยังหายเลย

อีกอย่างแก้โรคสงสัย ที่สายลมเพื่อบอกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล คือ พ่อเรา ฉันก็สงสัยว่าใช่หรือ พอตอนกลางคืนทำสมาธิ หลวงพ่อก็มานั่งข้างหน้าในรูปพระเจ้าปเสนทิโกศล แล้วองค์ท่านก็ค่อยๆ เปลี่ยน ตอนต้นก็เครื่องทรงพระเจ้าแผ่นดินหายเป็นห่มผ้าเหลือง คิ้วหาย พระมาลาหาย ก็เป็นรูปหลวงพ่อ เป็นคำยืนยันว่าใช่แน่

ปกติหลวงพ่อ จะลุกขึ้นทำสมาธิ เวลาตี ๒ ครึ่งของทุกคืน ท่านบอกว่าจะช่วยทุกคน ถ้าใครรับได้ ฉันก็สงสัยว่า ฉันทำสมาธิพร้อมกับท่านๆ จะรู้ไหม แต่ที่ไหนได้ พอได้เวลาท่านมาเลยในภาพยืนถือไม้เท้า เปล่งประกายสีรุ้งสว่างจ้า เลยทำให้เรารู้ว่าหลวงพ่อ ท่านแม่ ท่านอยู่กับเราตลอดเวลาเลย และรู้กระทั่งความคิด ทำให้เราไม่กลัว ทำความผิด นี้คือความเมตตาจากหลวงพ่อท่านแม่

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 6/6/09 at 09:17


วิมาลี ศิรประภาชัย


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

.......ในราวปี พ.ศ. ๒๕๑๗ – ๒๕๑๘ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาทำบุญที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ ซึ่งตอนนั้นมีหลวงปู่, หลวงพ่อ มาหลายองค์เพื่อสงเคราะห์ลูกหลานรวมกันที่นั่น

หลังจากนั้นมาข้าพเจ้าได้ทำบุญกับหลวงพ่อและได้มีโอกาสฟังคำสอนของหลวงพ่อรู้สึกประทับใจและเกิดศรัทธาในคำสอนของหลวงพ่อ จึงได้เพียรพยายามสอบถามว่า หลวงพ่อจะมาซอยสายลมเมื่อไร?

เมื่อหลวงพ่อมา ข้าพเจ้าก็จะต้องไปพบท่านทุกครั้งเป็นประจำ เมื่อข้าพเจ้ามีปัญหาและไม่เข้าใจเกี่ยวกับคำสอนของหลวงพ่อ หลวงพ่อก็จะสอนทุกครั้ง ในปัญหาและสิ่งที่ไม่เข้าใจ โดยที่ข้าพเจ้า ไม่ต้องถามเลยสักครั้งเดียว

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสฝึกมโนมยิทธิและญาณ ๘ ในวันอังคาร ก็เป็นสิ่งซึ่งเรียกว่า อัศจรรย์ใจมาก เพราะไม่เคยรู้และเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นิพพานเป็นอย่างไร เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เห็นและรู้สึกประทับใจมาก ให้รู้ว่านรก สวรรค์ - นิพพาน มีจริงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ข้าพเจ้าก็พยายามปฏิบัติให้ดีเรื่อยมา เพื่อเป็นการตอบแทนในความเมตตากรุณาปรานีของหลวงพ่อ เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าและลูกหลานอีกจำนวนมาก หลงทางไปในทางที่ผิด และสิ่งที่หลวงพ่อสอนมาก็สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง จนกระทั่งปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าได้รู้ถึงความละเอียดของศีล พรหมวิหารสี่ กรรมบถ ๑๐ และอื่นๆ ที่หลวงพ่อได้เมตตาสั่งสอนมาตลอดเวลาหลายปี

ทำให้ข้าพเจ้ารู้ซึ้งถึงความทุกข์ในการเกิด ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตอธิษฐานในการทำบุญทุกครั้งเสมอมา ขอให้ข้าพเจ้ามีพระนิพพานเป็นที่ไปในชาติปัจจุบัน

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 12/6/09 at 15:09


พรนุช คืนคงดี


   หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑


.......ข้าพเจ้าไปพบหลวงพ่อในกลางเดือนสิงหาคม ๒๕๑๖ ด้วยแรงบันดาลใจจากการอ่าน หนังสือประวัติหลวงปู่ปาน โดยมีปัญหาค้างใจอยู่แล้วเป็นเวลาแรมปี อันเนื่องมาจากคำสอนของ "หลวงปู่แหวน" สมัยที่ข้าพเจ้ารับราชการอยู่เชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๔ มีโอกาสไปกราบหลวงปู่แหวน

........พอลงจากลงก็พบหลวงปู่แหวนท่านเดินมีไม้เท้ายาวลงมารับด้วยรอยยิ้ม แล้วพาขึ้นไปนั่งที่รับแขก ท่านถามว่ามาทำไม ตอบว่ามาขอธรรมะจากท่านเจ้าค่ะ หลวงปู่ตอบทันทีว่า "อนิจจังทั้ง ๕ ทุกขังทั้ง ๕ อนัตตาทั้ง ๕.."

.......ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ แต่ไม่ถามท่าน เก็บไว้ในใจตลอดมา ครั้นเมื่อเดินทางไปวัดท่าซุงครั้งแรก ก็พรวดเข้าไปในกุฎิริมน้ำทันที พบหลวงพ่อท่านนั่งบนเตียง ไม่มีใครอยู่พอกราบท่านแล้ว


.......หลวงพ่อก็พูดว่า ไปตึกเสริมศรี เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง แล้ววันนั้นท่านก็อธิบายเรื่องขันธ์ ๕ มันไม่เที่ยง ในที่สุดมันก็สลายตัวไป ความก็แจ้งแก่ใจข้าพเจ้านับแต่บัดนั้นมา

ปลายเดือนเมษายน ๒๕๑๗ ปิดเทอม ข้าพเจ้าไปอยู่วัด ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของข้าพเจ้าเลย หลายคนเรียกข้าพเจ้าว่า "ครู" รวมทั้งหลวงพ่อด้วย รุ่งขึ้นเป็นวันครบรอบวันเกิดของข้าพเจ้า ค่ำลงเจริญกรรมฐานที่ตึกขาว

หลวงพ่อท่านนั่งบนธรรมาสน์ ข้าพเจ้าเตรียมเงินถวายตอนท่านออกจากกรรมฐานไว้แล้ว เมื่อกริ่งหมดเวลา ลืมตาเปิดไฟได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดลงมาจากธรรมาสน์ว่า

"พรนุช วันเกิดรึ..เข้ามาสิ ?"

ข้าพเจ้าตกใจที่ท่านเรียกชื่อข้าพเจ้าเป็นทางการ ดีใจกับพรวันเกิดที่สร้างความเอิบอิ่มตลอดมา

ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ น้ำท่วมวัด โรงเรียนในกรุงเทพก็หยุด ข้าพเจ้าก็มีโอกาสไปอยู่วัดหลายวัน คืนหนึ่งได้ยินเสียงก้อง ขณะเคลิ้มหลับไปว่า ลูกที่ตกนรกอยู่เวลานี้ ต้องการความช่วยเหลือ

ถามไปว่า จะช่วยได้อย่างไร เสียงนั้นตอบว่าทอดกฐิน ตื่นเต็มที่แล้ว ก็คิดคำนึงถึงการทอดกฐิน จะทำอย่างไรดีหนอ คิดว่าการทอดกฐินต้องเป็นเจ้าภาพไปหาวัดที่ไหน ที่ยังไม่มีเจ้าภาพ จะเอาเงินที่ไหนไปจัดการ วัดแถวบางกะปิซึ่งทำงานอยู่นั้น อยู่ไหนบ้างก็ไม่รู้ เวลาก็ใกล้หมดเขตการถวายกฐินกันแล้ว

กลางวันพบพี่จันทร์นวล ซึ่งแนะนำว่า วัดตรงข้ามท่าโป๊ะมีอยู่วัดหนึ่งเป็นวัดเล็กๆ คงไม่ต้องจ่ายมากนัก ก็ตกลงไป รับประทานอาหารกลางวันแล้วจะออกมาขึ้นรถ หลวงพ่อเดินออกมาจากกุฏิพอดี ท่านถามว่า จะไปไหน ก็เล่าความถวายให้ท่านทราบ

หลวงพ่อบอกว่า การทอดกฐินสำคัญอยู่ที่ผ้าที่พระสงฆ์ใช้ได้ ผืนเดียวก็เป็นกฐิน ถ้าถวายในระยะเวลากฐิน วัดท่าซุงทอดกฐินสามัคคีทุกคนเป็นเจ้าภาพ ผาติกรรมผ้าจากครูนนททาไปสัก ๑๐ บาทก็ได้

ข้าพเจ้าดีใจเหมือนยกภาระหนักอกไปได้เสีย จัดแจงเรื่องผ้าทันที โดยผาติกรรม ๒๐๐ บาท จัดทอดกฐินที่ศาลานวราช หลวงพ่อและพระไม่กี่องค์นั่งบนอาสนสงฆ์ มีเจ้าภาพนั่งหน้าพระแต่ละองค์เต็ม เหลือองค์สุดท้ายแถวพอดี

ข้าพเจ้าประคองผ้าไตรไปนั่งตรงหน้าท่านทันที เมื่อหลวงพ่อกล่าวนำถวายผ้ากฐินจบลงก็ถวายพระ ทันใดก็มีเสียงทางไมโครโฟนจากหลวงพ่อพูดมาว่าพรนุชอยู่ไหน เอาผ้าของพรนุชมานี่ซิ มีคนนำผ้าของข้าพเจ้าไปถวายท่าน

หลวงพ่อถือผ้าของข้าพเจ้าไว้ ท่านทำอะไรบ้างไม่ทราบ แต่สร้างกำลังใจและความดีใจแก่ข้าพเจ้ามากเป็นล้นพ้น เพราะแน่ใจว่าอานิสงส์กฐิน วันนี้ต้องช่วยลูกข้าพเจ้าที่ตกนรกให้พ้นขึ้นมาได้(ลูกในอดีตชาติ)

ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เดือนตุลาคม น้ำท่วมวัด ปิดเทอมเหมาะเจาะกันดีจริงไปอยู่วัดได้หลายวัน ข้าพเจ้าแช่น้ำขนของหนีน้ำทุกวัน จนเป็นตะคริว กลางคืนเจริญกรรมฐานบนศาลานวราชเป็นปกติ คืนหนึ่งหลังกรรมฐานหลวงพ่อเรียกเข้าไปพบ มีพระอรัญ เวลานั้นนั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วย

หลวงพ่อถามว่า พรนุชอายุเท่าไหรแล้ว ตอบท่านไปอย่างงงๆ แล้วท่านพูดต่อไปว่า เมื่อกี้นี้สมเด็จฯ และแม่ศรีมาบอกหลวงพ่อว่า ดูลูกบ้างหรือเปล่า หลวงพ่อบอกว่าก็ดูอยู่ มันทำงานทั้งวัน ท่านแม่บอกว่า ดูให้ลึกๆ ลงไปซิ เมื่อมันอายุ - ปี จะได้ - สมเด็จฯ ท่านมายืนยัน

วันนี้เป็นวันที่ข้าพเจ้ามีความสุขที่สุดในชีวิต ที่ได้รับคำตอบจากพระและท่านแม่จากปากหลวงพ่อเอง ชีวิตข้าพเจ้าหวังแค่นี้เอง นึกครึ้มใจคิดว่าวันนั้นอยู่อีกแค่เอื้อม

ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ข้าพเจ้าลาออกจากราชการซึ่งทำมาเกือบ ๒๐ ปี ด้วยเหตุแห่งการครบอายุขัยตามที่หลวงพ่อท่านแนะนำ คืนวันหนึ่ง ปี ๒๕๒๘ พอหลับตาลงสักครู่ก็มีเสียงก้องลงมาจากอากาศว่า "เป็นวันที่พระเจ้าปเสนทิโกศลสวรรคต"

ขณะนั้นสภาพอากาศมืดครึ้มราวกับเกิดสุริยุปราคา ท้องฟ้ามืดมัวสลัวเศร้า ทั้งๆที่เป็นเวลากลางวัน ข้าพเจ้าจำบรรยากาศนั้นติดตาติดใจจนบัดนี้ รุ่งเช้ากราบเรียนถามหลวงพ่อเรื่องนี้ หลวงพ่อตอบว่า

"จำเอาไว้นะว่า วันไหนท้องฟ้าอากาศแบบนั้น หลวงพ่อตายแน่นอน..!"

นับเป็นความเมตตาของท่านอย่างสูงที่บอกเหตุเช่นนี้แก่ข้าพเจ้า ปีเดียวกันนี้เอง บิดามารดาของข้าพเจ้าก็มาป่วยลงทั้งคู่ ด้วยโรคอัมพาต พูดไม่ได้ อยู่โรงพยาบาลทั้งสองท่าน สำหรับมารดาข้าพเจ้าไม่ห้วงนักแต่สงสารท่านที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เหตุที่ไม่ห่วงนักก็เพราะเมื่อหลวงพ่อฝึกมโนมยิทธิให้ข้าพเจ้าในปี พ.ศ. ๒๕๒๑

แล้วข้าพเจ้าก็นำไปฝึกให้มารดาของข้าพเจ้าป็นคนแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ท่านทำได้ทันที และมีโอกาสซ้อมบ่อยๆ ด้วยเนื่องจากมีนักเรียนมาฝึกที่บ้านข้าพเจ้าเสมอ มารดาก็ฟังตามไปด้วยทุกครั้งเป็นเวลานานปีจนภาวนาว่า "นิพพานสุขขัง" ก่อนนอนทุกคืนเป็นอัตโนมัติ

วันสุดท้ายแห่งชีวิตแม่ลูกต้องจากกันมาถึง ๒๔ มิถุนายนสองทุ่มข้าพเจ้าขอเข้าไปดูมารดาในห้องไอซียู โรงพยาบาลศิริราช ข้ามเรือมาขึ้นรถที่ท่าช้างนั่งบนรถแล้วมองดูไปในห้องไอซียูที่มารดานอนอยู่ เห็นอทิสมานกายของท่านเป็นประกายสว่าง แบบนี้ เห็นทีจะไม่ไปที่อื่นแน่นอน กลับมาถึงบ้านนอนไม่หลับ เที่ยงคืนมีคนมาแจ้งว่ามารดาข้าพเจ้าเสียชีวิตแล้วตอนห้าทุ่ม

รุ่งเช้า ๖ โมงเศษ ข้าพเจ้าโทรศัพท์ไปกราบเรียนหลวงพ่อท่านทราบ หลวงพ่อตอบทันทีว่า ไปนิพพานแล้วสว่างจ้าเลย ยืนอยู่ข้างหลวงพ่อนี่ ท่านสบายที่สุดแล้ว ถ้อยคำหลวงพ่อทำให้อาการเศร้าโศกเนื่องจากการพรัดพรากจากคนที่รักได้บรรเทาเบาบางไปมาก ดีใจที่คำตอบของหลวงพ่อยืนยันการเห็นจากใจข้าพเจ้าเมื่อตอนสองทุ่มเศษ

อีก ๕ เดือนต่อมา ๒๖ พฤศจิกายนปีเดียวกันบิดาของข้าพเจ้าก็เสียชีวิตลงอีกเช่นกัน สำหรับบิดาข้าพเจ้าเป็นที่น่าวิตก เพราะท่านต่อต้านการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าตลอดมา แม้ได้ยินเสียงเปิดเทปคำสอนหลวงพ่อ ท่านก็แต่งตัวออกนอกบ้านทันที ไม่ชอบ

แต่พอการป่วยระลอกแรกปรากฏด้วยการอธิษฐานแบบตัดเชือกของข้าพเจ้าทำให้บิดายอมฝึกมโนมยิทธิ ซึ่งท่านก็สามารถไปได้ถึงนิพพาน และฝึกได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จนวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง ข้าพเจ้ากังวลมาก แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า บิดาของข้าพเจ้าไปนิพพานแล้ว ข้าพเจ้าโล่งใจแต่ยังไม่วายกังขา

แต่มาอีกสองปีเห็นจะได้ ลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว คืนหนึ่งฝันว่าข้าพเจ้าพายเรือไปคนเดียว พบวัดร้างแห่งหนึ่งมีป้ายตัวหนังสืออ่านไม่ออกในด้านภาษา แต่ใจอ่านได้ว่าเป็นชื่อวัดสภาพเป็นป่าริมแม่น้ำกว้าง น้ำเต็มตลิ่ง มีพระสงฆ์รูปงามหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่เหมือนรอคอยข้าพเจ้ากระนั้น

ข้าพเจ้าจอดเรือแล้วขึ้นไปกราบท่าน ถามท่านว่าท่านมาจากไหนเจ้าคะ ท่านตอบว่ามาจากสถานที่ที่คนชื่อ...(เอ่ยชื่อบิดาข้าพเจ้า) อยู่ ข้าพเจ้าถามอีกว่าท่านจบกิจในพระพุทธศานาในด้านใดเจ้าคะ ท่านยิ้มแล้วตอบว่า "ปฏิสัมภิทาญาณ"

ข้าพเจ้าลิงโลดในใจ คำตอบท่าน จึงคลานเข้าไปกราบด้วยความดีใจ กล่าวว่า ขอพระคุณเจ้าได้โปรดสอนวิชาด้านปฏิสัมภิทาญาณแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าพร้อมแล้ว ไม่ห่วงใยใครอีกแล้ว ท่านตอบทันทีว่า วิชานี้หลวงพ่อฤๅษีลิงดำของเธอสอนอยู่แล้วมิใช่รึ ข้าพเจ้าไม่เซ้าซี้

กราบลาท่านกลับ อย่างน้อยก็เป็นการยืนยันว่าบิดาของข้าพเจ้าอยู่ที่เดียวกับพระคุณเจ้าองค์ รุ่งเช้ากราบเรียนหลวงพ่อท่านเรื่องนี้ หลวงพ่อตอบว่าพระสงฆ์องค์งามนั้นคือ สมเด็จองค์ปัจจุบัน แล้วหลวงพ่อท่านก็อธิบายความรู้ในด้านปฏิสัมภิทาญาณที่จะพึงได้ รับจากคำสอนที่ท่านสอนไว้แล้วในด้านมโนมยิทธิ ที่กล่าวมานี้แม้เป็นความฝัน ก็ยังความบรรเจิดใจอยู่ได้มิรู้ลืม



กิจวัตรประจำวันของหลวงพ่อ


ข้อความต่อไปนี้ หลวงพ่อสั่งให้ข้าพเจ้าเขียน ในฐานะที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตนรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อมานานปี จนปัจจุบันได้ทราบถึงกิจวัตรประจำวันของหลวงพ่อประจำตลอดมา ทั้งๆ ที่ท่านป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ อันเนื่องมาจากความชราภาพ สภาพร่างกายทรุดลงตามธรรมชาติของการเกิดมาต้องแก่

ประกอบกับชีวิตของหลวงพ่อผ่านการป่วย และวาระการมรณภาพชั่วคราวมาหลายครั้ง ทำให้เนื้อเยื่อและเส้นประสาทต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ไม่เป็นปกติมานาน โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ลำไส้ไม่ขยับตัว ไม่ทำงานตามหน้าที่ ทำให้ระบบอื่นๆ เรรวนปรวนแปรไปหมด ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสกับร่างกายของหลวงพ่อ

แต่หลวงพ่อเป็นพระที่อดทน และขยันที่สุด แม้จะป่วยไข้ไม่สบาย ท่านก็ไม่ปล่อยเวลาให่ว่างโดยไร้ประโยชน์ ตั้งแต่เช้ามืดยันค่ำถึงตกดึก วันไหนตื่นเช้ามากเกินไป เพราะไม่หลับอีกแล้วท่านจะทำงานขีดเขียน บันทึกเสียงหรือปรับปรุงเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เตรียมพร้อมในการทำงานต่อไป

เวลา 06.30 น.เศษ ฉันอาหารเช้าและฉันยาช่วยย่อยอาหารแล้วออกไปเลี้ยงสุนัข หลังจากนั้นหลวงพ่อท่านก็ไปที่ทำงาน หอบเอกสารการงานส่วนที่เป็นบัญชี การเงิน เซ็นธนาณัติ อ่านจดหมายผู้เขียนมา หรือไม่ก็ออกไปตรวจงานการก่อสร้าง บอกจุดให้ช่างก่อสร้างทำ

เพราะการก่อสร้างทั้งหมดไม่มีแบบแปลนที่เป็นแผ่นกระดาษ ได้เวลาฉันอาหารเพล เสร็จแล้วก็ต้องฉันยาช่วยย่อยอาหาร ได้เวลา 13.30 น. ลงรับแขก แม้จะป่วยก็ไม่พักผ่อนต้องฉันยากระตุ้นสมองไว้มิให้มีการอ่อนเพลียปรากฏ

ท่านผู้มาทำบุญจะมีมากน้อยเพียงใด หลวงพ่อก็ลงทุกวันตามเวลา 15.00 น. ต้องเลิกรับแขก เพราะอาการป่วยมาตามเวลาคือ เสมหะข้นเหนียว งง เพลีย มึนศีรษะ เดินซวนเซ แทบล้มทั้งยืน กลับที่พัก มีสุนัขนับร้อยและผู้ปฏิบัติรับใช้ท่านรออยู่

หลงพ่อเดินไปเยี่ยมสุนัขที่คลอดลูกแต่ละครอกสม่ำเสมอกัน เพราะตัวแม่มารอรับให้เข้าไปเยี่ยมลูกเข้าถึงบ้าน ปีนี้มีลูกสุนัขที่โตประมาณ 2 เดือน รวม 71 ตัว สุนัขใหญ่อีก 87 ตัว ตามหลวงพ่อไปเป็นขบวน หลวงพ่อจะนั่งกับพื้นดิน บรรดาลูกสุนัขก็รุมกันเข้ามานั่งตักบ้าง กัดสายรัดประคตเล่นบ้าง กัดเนื้อเล่นบ้าง ตามใจปรารถนา เป็นเวลาพอสมควรก็ย้ายไปครอกอื่น

ทำเช่นนี้ถึง 4 โมงเย็น ขึ้นห้องพัก พักเหนื่อยสักครู่ ฉันยาละลายเสมหะ และยาช่วยขับเสมหะมี 3 ขนาน แล้วสำรอกเสมหะออกมาด้วยความลำบากยากเย็น เพลียและเหนื่อยต่อการกระแทกให้เสมหะออกจากลำคอ เพราะถ้าเสมหะไม่ออก ฉันยาถ่ายเข้าไปตกค้างบนเสมหะ ก็ไม่มีผลในทางรักษา จึงต้องสำรอกและอาเจียนออกมาก่อนเป็นกระโถนเกือบเต็มแทบทุกวัน

ตอนนี้ก็มีพระครูปลัดอนันต์ช่วยตบหลังเบาๆ บริเวณตรงกับปอด เพื่อให้เสมหะออกดีขึ้น อาเจียนเสร็จแล้วสักครู่ ก็สรงน้ำ และฉันยาถ่ายซึ่งข้าพเจ้าจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ยาถ่ายสำหรับเราธรรมดา 5-10 เม็ดก็พอถ่ายดีแล้ว

แต่หลวงพ่อต้องฉัน 180-200 เม็ด แถมยาน้ำซึ่งเป็นยาถ่ายเช่นกันอีก 3 แก้วกินยาเต็ม รวม 150 ซีซี ยากันท้องอืด ยาแก้โรคกระเพาะ ยาบำรุง เรียกว่าอิ่มก็แล้วกัน บางทีล้นกระเพาะ อาเจียนออกมาก็หมดกัน กว่าจะเสร็จเรื่องยาก็ปาเข้าไป 5 โมงเย็น

เวลา 5 โมงครึ่ง หลวงพ่อท่านออกเดินรับอากาศบริสุทธิ์บริเวณหน้าวิหาร 100 เมตร และช่วยการขับเคลื่อนของลำไส้ด้วย หนึ่งทุ่มเศษ กลับที่พัก บันทึกเสียงหรือทำงานส่วนองค์ท่าน พร้อมกับกิจกรรมเดินเข้าห้องน้ำเป็นระยะๆ จนได้เวลาทุ่มครึ่ง ถวายยาก่อนนอนและยาบำรุงและน้ำส้มคั้น สี่ทุ่มหลวงพ่อออกมาเลี้ยงขนมสุนัข แล้วหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องการเข้าห้องน้ำ

บางวันท่านไม่ถ่าย เพราะมีไข้ อุจจาระแข็งจับลำไส้มาก ทำให้ไม่สบาย อึดอัด ร้อนภายใน อาหารที่ฉันเข้าไปย่อยไม่ได้ และออกไม่ได้ เพราะอุจจาระเดิมเกาะกันแข็งเต็มลำไส้ขยับไม่ได้ จะเกิดความร้อนภายในสูง อักเสบตลอดแนวทางเดินอาหาร ภายในช่องปากแดง ริมฝีปากมีเม็ดผื่นขึ้นเต็ม ทรมานมาก

อาหารออกไม่ได้ก็อืดขึ้นดันกระบังลม แน่นหน้าอก แน่นจมูกหายใจไม่ออกไม่โล่งไม่โปร่งไปได้ และเจ้าอุจจาระแข็งเกาะลำไส้นี้แหละไปกดทางเดินปัสสาวะเข้าอีก ทำให้ปัสสาวะไม่ออก ปวดแทบแย่ก็ไม่ออก เส้นประสาทขาและนิ้วเท้าถูกกดเจ็บเดินไม่คล่องอีก

จึงจำเป็นต้องหาทางเอาอุจจาระออกโดยสวนทางทวารหนัก น้ำยาที่ใช้สวนมิใช่น้ำสบู่ธรรมดา ใช้ดีจรเข้ซึ่งคุณฉวีวรรณ ปุษยานนท์ ซื้อหามาถวาย มีราคาแพงมาก และผสมกับยาดำในอัตราส่วนที่ข้าพเจ้าทดลองแล้วว่าจะละลายอุจจาระที่แข็งเกาะลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็กออกได้บ้าง สวนคราวละ 2-6 ครั้งเป็นเวลา 2 วัน ก็พอออกได้บ้าง

ท่านก็เบาสบายไประยะหนึ่ง แต่บางโอกาส โรคประจำตัวมาเยือน เช่นไข้ซึ่งมันเป็นแขกประจำตัว จนจะกลายเป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้ว ไข้มาปุบ อุจจาระก็แข็งตัวเกาะทันที นี่เป็นโรคที่ทรมานกายท่านอยู่ประจำไม่เคยมีวันไหนจะว่างเว้นจากการฉันยา เรื่องสวนอุจจาระจึงต้องทำเป็นปกติ เดือนละอย่างน้อย 2 ครั้ง

มีคราวหนึ่งในปี 2530 ขณะไปสอนกรรมฐานที่อเมริกา นั่งเครื่องบินไปใช้เวลานาน ลำไส้ไม่ขยับตัว อุจจาระแข็งมาก สวนก็ไม่ออก น้ำยาที่สวนเข้าไปไม่ออก ทางปากก็ไม่ออก ทางทวารหนักก็ไม่ออก น้ำและอุจจาระแน่นในลำไส้เฉยๆ อย่างนั้น จนร่างกายเขียว

แต่หลวงพ่อท่านอดทนมาก ซึ่งแขกผู้มาสังเกตยาก เพราะท่านคุยปกติ สร้างกำลังใจที่เป็นสุขแก่คนอื่นทั้งๆ ที่ร่างกายของท่านกำลังถูกเผาด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และแล้วก็อาเจียนออก น้ำร้อนมาก เพราะข้าพเจ้าจับกระโถนโลหะอยู่ มือเกือบทนถือไม่ได้

หลวงพ่อท่านก็ขอกับพระท่าน เพื่อกลับมามรณภาพในเมืองไทยเมืองเกิด จะได้ไม่ลำบากคนอื่น กลับวัดด้วยสภาพคล้ายคนที่ตายแล้วซีดเซียว ปากแห้ง ทางเดินอาหารตั้งแต่ลำคอลงไปแดงบวม กลืนอาหารไม่ลง เจ็บ

คุณหมอประจำองค์ท่าน 6 ท่านก็ระดมกำลังความคิด สติปัญญาเยียวยากันจนสุดความสามารถก็รักษาร่างกายไว้ได้ แต่ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไรนัก เรื่องอักเสบลดลงก็เบาลงมาก แล้วสวนอุจจาระออกให้ได้ ก็บรรเทาลงไปมาก ยาฉีดก็ดี น้ำเกลือก็ดี ต้องใช้ตลอดเวลา จนเส้นท่านไม่มีช่องว่างแล้ว และกล้ามเนื้อสะโพกก็เป็นพังผืด แข็งเป็นแผ่น ยาซึมยาก

หมอต้องกดกระบอกฉีดยาจนมือสั่นยาก็ไม่ลงไปได้ แต่จำเป็นต้องฉีด หลวงพ่อ ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน แม้กระนั้นวาจาที่ท่านเอ่ยออกมาจะมีแต่สร้างกำลังใจ ชุ่มชื่นใจให้แก่ผู้ฟัง ความทุกข์ของท่านเองที่รับประจำอยู่ไม่มีความหมาย แต่ท่านสงเคราะห์คนทั้งหลายให้คลายทุกข์และพ้นทุกข์ ทั้งชั่วคราวและตลอดไป มีพระนิพพานเป็นที่หมาย

ทุกวันท่านจะปรารภแต่กิจการงานที่จะสร้างสรรค์ตามสุขแก่ผู้อื่น ไม่ได้คำนึงถึงองค์ท่านเลย นอกจากนี้พอค่ำลงทุ่มเศษ จะบันทึกเสียงทำหนังสืออ่านเล่นบ้าง บันทึกเสียธรรมะบ้าง และเขียนหนังสือบ้าง เสียงแหบแห้งท่านก็ทนทำ เพื่อให้คนทั้งหลายได้รับความสุข

การทำงานของหลวงพ่อท่านทำเป็นเวลา แน่นอน และชัดเจน กว่าจะหลับก็ดึกมาก เพราะตั้งแต่ประมาณ 1 ทุ่มไป ยาถ่ายจะออกฤทธิ์ เดินเข้าห้องส้วมเพื่อถ่ายเป็นระยะๆ จนเกือบห้าทุ่ม ถ้าวันไหนการถ่ายผิดปกติ มีแต่น้ำออก ไม่มีเนื้อ แสดงว่าอุจจาระแข็งเกาะลำไส้ อาการจุกเสียดก็เกิดขึ้นเนื่องจากอุจจาระแน่น ท่านก็นอนไม่ลง บางครั้งตี 2-3 ก็ยังไม่หลับ จึงต้องใช้ยาช่วยหลับ

ยิ่งตอนไปสอนกรรมฐานที่บ้านสายลม ไม่ได้เดินให้ลำไส้เคลื่อนเลย นั่งรับแขกตลอดวัน เย็งลงก็ขึ้นฉันยา พักสักครู่ กลางคืนลงอีกถึง 4 ทุ่ม ขึ้นพัก กว่าจะได้นอนก็ห้าทุ่ม หมอต้องฉีดยาช่วยให้หลับทุกคืน เพราะถ้าไม่หลับ รุ่งเช้าก้ไม่มีแรงลงรับแขกอีก ดังนั้นเมื่อกลับจากสายลมจึงเพิ่มโรคมาอีก 4 เท่าจากเดิม กลับมาปรับปรุงร่างกายที่วัด พอ เดินรับอากาศตอนเย็นได้บ้าง

พอร่างกายจะดีขึ้นก็ได้เวลาเข้าสายลมสอนกรรมฐานแล้ว เป็นอย่างนี้ตลอดปีทุกปี แต่หลวงพ่อท่านไม่เคยบ่น เพียงเพื่อสนองเจตนากุศลของบรรดาพุทธบริษัท ตามคำสั่งของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

บางครั้ง เวลาท่านเข้าที่พักซึ่งเป็นเวลาจะต้องอาเจียนหรือสำรอกเอาเสมหะและอาหารไม่ย่อยออก ถ้ามีแขกผู้คุ้นเคยนั่งอยู่ด้วย โดยติดตามขึ้นไปยังห้องพักของท่าน โดยคิดว่าศรัทธานำหน้าเหตุผล ผลก็คือ ท่านไม่กล้าอาเจียน ต้องอดกลั้นเสมหะ ซึ่งควรจะออกไว้ เพราะไม่ต้องการให้แขกเห็นอาการเช่นนั้น

ท่านก็จะรู้สึกอึดอัด อักเสบ ผะอืดผะอม ท่นก็ทรมานสุดจะทนทาน ท่านก็กล้ำกลืนไว้ก่อน ต่อเมื่อแขกผู้คุ้นเคยกลับไปแล้ว นั่นแหละท่านจึงจะสำรอกเสมหะและอาเจียนออกมา

ข้าพเจ้าสงสารหลวงพ่อจับใจ จึ่งตั้งหน้าตั้งตาปรนนิบัติท่านเท่าที่สติปัญญาอันน้อยนิดของข้าพเจ้าจะพึงทำได้ เพียงเพื่อความสบาย บังเกิดแก่หลวงพ่อ สำหรับใจท่านเป็นสุขอยู่แล้ว ยามปกติข้าพเจ้าก็มีงานทำจิปาถะ ตั้งแต่งานแม่บ้าน งานโรงเรียน งานหอพัก งานดูแลรับผิดชอบสุนัขหนึ่งร้อยเศษ มันสมองไม่ว่างสักวัน

แต่ข้าพเจ้ามีพระ พรหม เทวดา ตลอดจนท่านผู้มีพระคุณมากมาย มีหลวงพ่อเป็นองค์สำคัญที่คอยให้กำลังใจข้าพเจ้าเสมอมา นี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้าทรงกายอยู่ได้ ทำงานไม่เหนื่อย และพอใจในการทำงาน ทั้งทางโลกและทางธรรมได้ตลอดเวลา ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่ยังให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้า.

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 14/6/09 at 15:39


(หลวง) พ่อ


อวยพร ฉันทวิกิจ
เขียนเผื่อ..ไซ, จิ๊, ติ๊ก, ติ๋ว, มณี, แดง, เล็ก, และ ปุ๊


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........เมื่อแรกคิดว่าจะไม่เขียนเพราะเขียนไม่ค่อยจะเป็น และก็อยากจะเก็บความประทับใจต่อองค์หลวงพ่อเอาไว้ในใจกับตัว เพราะว่าถึงจะบรรยายพรรณาอย่างไร ก็ไม่เหมือนกับที่ได้ประสบมา แล้วเห็นว่าไม่มีควาจำเป็นที่จะต้องประกาศคุณวิเศษ อ้างอวดความดีของท่านให้ใครๆ ทราบ เพราะทุกๆ คนที่มาก็ทราบกันดีด้วยกันทุกคนอยู่แล้ว...

แต่แล้วก็มีสิ่งกระตุ้น คือฝันถึงท่านติดๆ กัน ๓ - ๔ เดือน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ตามปกตินานๆ ถึงจะฝันเห็นท่านทั้งๆ ที่อยากจะฝันบางคืนนอนนึกถึงท่านจนหลับก็ไม่ยักกะฝัน

ในความฝันเห็นท่านนั่งเทศน์อยู่บนนั่งร้านไม้ไผ่สูงลิ่ว ที่พื้นมีลูกศิษย์อยู่คนเดียว คอยทานน้ำหนักนั่งร้าน ซึ่งก็คอยจะโงนเงนไปมา แต่ท่านก็ยังเทศน์ตามปกติไม่มีความหวั่นกลัว ในฝันคิดว่าลูกศิษย์คนอื่นๆ ทำไมไม่มาคอยช่วยดูแลบ้างเลย (แต่ในฝันตัวเอง ไม่ยักกะออกไปช่วย)

ตื่นมาใจไม่สบายเพราะไม่เคยฝันถึงท่านติดๆ กันอย่างนี้กลัวว่าท่านจะไม่สบายมากแต่ก็ได้ข่าวดีว่าท่านสบายดี ก็พยายามคิดว่ามีความหมายอะไร จนวันที่ ๕ นึกถึงหนังสือ "ลูกศิษย์บันทึก"

จึงมีความอยากจะเขียน นึกออกมาได้เป็นตอนๆ ตั้งแต่ต้นจนขึ้นเรื่องยังไงจะจบยังไง (ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยอยากจะเขียน) คืนนั้นไม่ฝันถึงท่านอีก(รู้งี้นึกไม่ออกก็ดีหรอกจะได้ฝันถึงท่านอีกหลายๆ คืน)

เริ่มแรก..ได้พบได้กราบท่านตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องอะไร (ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรเหมือนกัน) นั่งฟังท่านเล่าเรื่องต่างๆ สนุกๆ ใจก็นึกชอบ ใหม่ๆ แรกๆ ก็นั่งข้างหน้าใกล้ๆ ท่าน พูดอะไรเก็บเอามาใส่ใจไว้หมด

ค่าที่เรามาช้าคนอื่นๆ เขามากราบหลวงพ่อก่อนเราตั้งนาน เขาคงได้ดีๆ จากหลวงพ่อไปเยอะแยะ เราก็ต้องพยายามรีบตามเก็บให้มากๆ ก็จะได้ทันคนอื่นเขา

พอเริ่มเก็บได้มากๆ เข้าจากที่เคยพยายามนั่งข้างหน้าก็ค่อยๆ ถอยมาข้างหลังๆ ทีละนิดๆ เพราะว่าไม่กล้าสู้หน้าท่าน คือมัวแต่เก็บเพลินไปหน่อยมีอะไรเก็บหมดจนลืมทำ (ลืมทำนะ ไม่ใช่ขี้เกียจ เข้าทำนองรู้มากยากนาน)

มีความรู้สึกว่าที่ท่านสอนมานี่ ยังไม่มีอะไรก้าวหน้าเลยสักนิดเดียว นั่นก็ยังทำไม่ได้ นี่ก็ยังไม่ได้ทำ ถอยออกมานั่งหลังๆ หน่อยก็แล้วกัน เปิดโอกาสให้คนที่มาใหม่ๆ ได้เข้า(ไปสู้หน้าหลวงพ่อ) ใกล้ๆ (ใจดีซะด้วย)

หลังจากนั้นได้มีโอกาสเข้าไปช่วยงานทั้งของศูนย์สงเคราะห์และที่วัด เวลามีการออกหน่วยแจกของพวกเราก็ไปวัดเตรียมของใช้ที่จำเป็นทั้งสิ่งของที่จะแจก และเครื่องครัวสำหรับเลี้ยงคนที่ไปช่วยงาน (ไม่มีการไปล้มทับเจ้าถิ่น)

ตกเย็นหลวงพ่อท่านจะมานั่งอยู่ที่หน้าครัวดูพวกเราทำงานใหม่ๆ พอท่านมาถึงพวกเราก็ไปนั่งพนมมือแต้ งานเงนอะไรทิ้งไว้ รับท่านก่อน ท่านก็บอกว่าทำงานไปเถอะ มีอะไรก็ทำไป ก็เลยได้คิดว่างานในหน้าที่ของเรายังไม่แล้วเสร็จ จะมานั่งเสนอหน้าอยู่ไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า งานที่จะต้องเตรียมก็ยังอยู่อีกมากทิ้งงานมากลางคันอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี

ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง (ให้เราได้คิดเองถ้าเราพอมีปัญญา) แต่บางทีกว่าปัญญาจะเกิดขึ้น ก็โง่มาเสียเป็นนมเป็นนาน ยิ่งตอนไหนที่เป็นคนมีปัญญาทึบต้องคอยหลบหน้าท่าน เพราะมีความรู้สึกว่าท่านดุมากที่สุด หน้าท่านเฉยไม่ยิ้ม (ให้เรา) เลยสักนิดเดียว เห็นท่านยิ้มแย้ม(ให้คนอื่น) แต่ก็ยังดูท่านดุเราอยู่เสมอ แม้แต่เวลาไหว้พระก่อนนอน กราบท่านแล้วไม่กล้าดูภาพท่านนานรีบนอนเลย (รู้ตัวว่ามีความชั่วติดตัว)

ท่านเปรียบเหมือนพ่อ (ดุ) และเหมือนแม่ (ที่คอยสอนและเป็นห่วง) ไปพร้อมกัน ท่านสอนให้ทุกอย่างแล้วแต่ใครจะคิดได้นำไปปฏิบัติ งานทุกอย่างที่ทำต้องเร็วและเรียบร้อย ชักช้าไม่ได้วิ่งได้เป็นวิ่ง และที่สำคัญต้องเป็นระเบียบต้องทำตามกฏที่วางไว้ ห้ามแตกแถวนอกลู่นอกทาง

แต่บางทีลูก (ศิษย์) เล็กๆ ที่ยังซนๆ ก็สร้างเรื่องได้เหมือนกันทั้งๆ ที่ทุกๆ คนก็มีความเกรงในองค์หลวงพ่อท่านทั้งนั้น เหตุเกิดที่เชียงรายเกือบ ๑๐ ปีมาแล้วไปออกหน่วยกัน ไอ้ลูกชาย(หลวงพ่อเรียก) คือพวกผู้ชายที่มาช่วยงาน

ส่วนใหญ่ก็ยังรุ่นๆ อายุไม่มาก ถ้าผู้หญิงหลวงพ่อเรียกลูกสาว ช่วงกลางวันหลวงพ่อลงมารับแขกที่สนามหญ้าใต้ต้นไม้ ไอ้ลูกชายทั้งหลายก็กำลังจัดเตรียมสถานที่กันอยู่ในบริเวณนั้น ปรึกษาว่าจะเอายังไงดีกับโต๊ะตัวใหญ่ตัวนี้

บ้างก็ว่ามันอยู่ตรงโน้น บ้างก็ว่าให้เอาไปไว้ในครัวก่อน ที่นี้ไอ้โต๊ะเจ้ากรรมตัวนี้เผอิญมาอยู่ใกล้ๆ กับที่หลวงพ่อนั่งรับแขก ไอ้ลูกชายทั้งหลายก็มัวแต่ถกเหตุผล ดีเสียกันอยู่ว่าจะไปที่ไหนดี เสียงมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

หลวงพ่อท่านมองมายังไม่รู้สึก ๒ ครั้ง ๓ ครั้งก็ยังไม่รู้ตัว กำลังจะวิ่งเข้าไป เตือนแต่ไม่ทันซะแล้วฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ท่านลุกขึ้นยืน "ไอ้...ไปเดี๋ยวนี้นะ..."

เท่านั้นแหละโต๊ะหน้าไม้ใหญ่ๆ หนักอึ้งลอยละลิ่วปลิวตามแตงประมาณ ๑๔-๔๖ แรงตีน (ขอประทานโทษที่ใช้คำไม่สุภาพ แต่จะเห็นภาพได้กระจ่างแจ้งดี) โน่นไปสุดอยู่ที่สถานีวิทยุบนตึก ๒ ชั้น ซึ่งเดิมเคยเป็นร้านอาหาร แถมยังยกขึ้นไปชั้น ๒ ได้ยังไงก็ไม่รู้ซะด้วยซี่

หลังจากท้องฟ้าใสเหตุการณ์สงบกลับมารวมกลุ่มกันแล้วก็ถามว่า ไปถึงไหนกันเห็นใส่ตีนสุนัขโกยอ้าวไม่เห็นผุ่นเลย พวกนั้นเล่าว่าขึ้นไปหลบภัยอยู่บนชั้น ๒ พอวางโต๊ะได้แล้วก็ลงไปนั่ง - นอนหัวเราะกันท้องแข็ง

ตอนแรกได้ยินเสียงหลวงพ่อ หน้าซีดเลย หัวใจหลายดวงหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว(ท่านประธานสภาท่านตัดสินใจแล้วเสียงเดียวชนะขาดลอย) คิดแต่ว่าต้องไปให้พ้นจากตรงนั้นก่อน (ซ้ายหันขวาหันแบบไม่ต้องนัดแนะกันเลย) โกยอ้าวไปตั้งหลักให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ก็แล้วกัน

พอเห็นว่าพ้นภัยแล้วลงไปนั่งหอบหัวเราะกันกลิ้ง กลัวก็กลัว ขำก็ขำ พวกเราลูกสาวที่เห็นเหตุการณ์ยังอดขำไม่ได้เลย แต่ต้องรีบวิ่งออกไป หัวเราะไกลๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะโดนไปด้วย

บางครั้งก็มีการตัดพ้อกันเล่นๆ ในหมู่พวกลูก(ศิษย์)เล็กๆ ว่า พวกญาติผู้ใหญ่(หมายถึงลูกศิษย์เก่าๆ ที่เป็นผู้ใหญ่หรือรุ่นใหญ่หรือ บางครั้งท่านก็เรียกขานกันเองในหมู่พวกท่าน ว่าพวกบ้านบางแค) (กราบขอประทานโทษท่านญาติผู้ใหญ่ทุกท่าน ได้ยินท่านเรียกกันเองอย่างนี้จริงๆ)

พวกท่านตามหลวงพ่อมาเกิดมีเวลาเหลือมากเลยมีโอกาสเลือกเอาสมบัติติดตัวลงมาได้มากพวกเราเด็กๆ ไม่รู้ความกว่าจะรู้ตัวเห็นว่าเวลาเหลือน้อยรีบตะลีตะลานลงมา คว้าอะไรไม่ทัน เลยมีแต่แรงกายเข้าช่วยงานของหลวงพ่อ

ส่วนกำลังทรัพย์นั้นมีอยู่หรอกแต่มันน้อย (หลวงพ่อท่านไม่ให้พูดคำว่าจนมันจะซวยตามที่พูด) ก็ได้แต่ทำตามกำลัง มีแรงใช้แรงมีเงินใช้เงิน ไม่ให้มันเป็นอัตตกิลมถานุโยคก็พอ

นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นที่พอจะบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ ส่วนอื่นๆ ยังมีอีกมากมายที่จะใช้ตัวหนังสือเขียนบรรยาย ยังไงก็ไม่ได้ความซาบซึ้งเหมือนกับที่อยู่ในใจ ก็ได้แต่ใช้แรงกาย แรงใจตอบแทนสนองพระคุณของท่าน

และพวกลูกเล็กๆ ก็พยายามที่จะไม่เป็นลูกแหง่คอยติด(หลวง)พ่ออยู่ตลอดเวลา ท่านให้อะไรต่ออะไรมากมายมหาศาล ก็ต้องพยายามช่วยตัวเองให้ยืนอยู่ได้บนขาของตัว ไม่ต้องคอยพึ่งพา(หลวง)พ่ออยู่เสมอๆ (แต่ไม่ใช่ปีกกล้าขาแข็ง)

จำได้ขึ้นใจถึงพระพุทธพจน์ที่หลวงพ่อท่านพูดบ่อยๆ "อักขาตาโร ตถาคตา - ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้น" แต่เราต้องเป็นผู้ทำ (ให้ได้) ตามที่ท่านสอน...

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 16/6/09 at 11:51



สุวิทย์ สวรรค์กสิกร


ประสบการณ์ของข้าพเจ้า


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

ได้ยินเสียงเทวดาที่วัดท่าซุง

......เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ข้าพเจ้าได้เดินทางไปที่วัดท่าซุงเพ่อกราบนมัสการหลวงพ่อและปฏิบัติธรรม ได้พักอยู่ที่ห้องแถวหลังโบสถ์ห้องที่ ๒ ห้องแถวนั้นทั้งหมดมี ๑๗ ห้อง
.......จนถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ เวลา ๒๔.๐๐ น. (เที่ยงคืน) ตื่นจากการหลับ ได้ยินเสียงเทวดาเหมือนเสียงหญิงสาวคุยกันสองคน คนหนึ่งเสียงทุ้ม คนหนึ่งเสียงแหลม ผลัดกันพูด เสียงดังขนาดเครื่องขยายเสียง

ทีแรกเข้าใจว่าเป็นเสียงคนมาพักที่วัด คิดไปว่าดึกเที่ยงคืนขนาดนี้ ไม่เกรงใจพระที่พักอยู่ในกุฏิมีหลายหลังใกล้กัน เสียงคุยเป็นเวลานาน เสียงนั้นสำเนียงภาษาไทยดังแต่ฟังไม่ได้ศัพท์

ข้าพเจ้าชักสงสัยเป็นเสียงเทวดา ความอยากรู้จังได้เดินออกจากห้องพักที่ ๒ ปรากฏว่าเสียงนั้นก็ดังออกมาจากห้องที่ ๕ เดินไปหยุดฟังหน้าห้องที่ ๕ ข้างในห้องมองไม่เห็นภายใน และเดินผ่านไปห้องน้ำท้ายห้องแถว เสร็จธุระกลับมา เสียงนั้นดังตลอดเวลา มิได้หยุด สองจิตสองใจสงสัยคิดว่าเสียงมนุษย์หรือเทวดา (ภายหลังข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกว่า เวลานั้นอารมณ์ทรงอุปจารฌานตลอดเวลา และเสียงนั้นเป็นเสียงเทวดาชั้นจาตุมหาราช)

เมื่อกลับเข้าห้องพักทำสมาธิในท่านั่งเอาจิตจ่อที่เสียง ได้ยินเสียงคำเดียวว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ" ได้ยินเสียงชัดเจน แต่เสียงนั้นยังดังต่อไปนานเป็นชั่วโมงๆ ข้าพเจ้าฟังจนหลับไป
วันรุ่งขึ้นได้ถามชายหนุ่มคนหนึ่งที่พักอยู่ที่ห้องเบอร์ ๘ ซึ่งได้มาปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ก็ได้ยินเสียงเหมือนๆ ข้าพเจ้าได้ยิน แต่ฟังไม่ได้ศัพท์ ได้ยินเวลาตีสี่ แต่พอเดินออกจากห้อง เสียงนั้นก็หยุด ชายหนุ่มผู้นั้นบอกว่า เวลานั้นได้เดินไปพิสูจน์ดูทางหน้าต่าง ด้านหลังของห้องที่ ๕ ปรากฏไม่มีใครอยู่ในห้อง เป็นอันว่าข้าพเจ้าหมดความสงสัยในตัวเอง เพราะมีพยานรู้เห็นได้ยินเสียงในขณะนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าหมดความสงสัยในเรื่องนรก สวรรค์ เทวดา พรหม นิพพานโดยสิ้นเชิง

ที่ข้าพเจ้าสามารถได้ยินเสียงในขณะนั้น และรู้จักการปฏิบัติธรรม รู้เรื่องนรก - สวรรค์ เทวดา พรหม นิพพาน เพราะความเมตตา ของหลวงพ่อที่ได้แนะนำสั่งสอนแก่ข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขใจในธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงประกาศสั่งสอนไว้

พระคุณอันสูงสุดของหลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้า ไม่สามารถบรรยายมาเป็นตัวอักษรได้ แต่จารึกอยู่ในใจของข้าพเจ้าตลอดไป

เอ้าเขียนถึงพระคุณของหลวงพ่อเกิดร้องไห้โฮๆ ออกมาเสียแล้ว ต้องเขียนไปหยุดร้องไห้ไป เพราะน้ำตาไหลมองไม่เห็นตัวหนังสือ ร้องไห้โฮๆ มาตั้งหลายปี จะร้องต่อไปอีกนานเท่าไหร ร้องอะไรกันนักหนา อ๋อ...ร้องไห้กันเพื่อให้เข้าถึงอารมณ์พระนิพพาน เข้าไปถึงอารมณ์พระนิพพานแล้วอย่าถอยออกมาอีกล่ะ ยังไม่ถึงก็ร้องไห้น้ำตาไหลกันไปก่อนนะ

หลวงพ่อรู้วาระจิต

ครั้งหนึ่งในหลายสิบหลายร้อยเรื่อง ที่หลวงพ่อรู้วาระจิตของข้าพเจ้า หลวงพ่อลงจากชั้นบนบ้านซอยสายลม เพื่อลงมาสอนกรรมฐาน เวลา ๑๙.๐๐ น. หลวงพ่อลงมาแล้ว นั่งหยิบหมากพลูฉัน ข้าพเจ้าพนมมือ แอบอธิษฐานขอเศษพลูที่หลวงพ่อฉันเหลือทันที เพื่อจะนำไปอัดกรอบบูชา แอบอธิษฐานทำไม่ให้ใครเห็น เพราะนั่งอยู่ข้างหน้าหลวงพ่อ ติดข้างฝาห้องหลวงพ่อฉันพลูเหลือเศษขว้างมาให้ข้าพเจ้าและบอกว่า ไอ้งูตัวนี้มาเมื่อไหร่ไม่เห็น

ซึ่งหลวงพ่อไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าข้าพเจ้าปีมะเส็ง แสดงว่าหลวงพ่อรู้ได้อย่างอัศจรรย์ เรื่องรู้ทำนองนี้ และรู้วาระจิตรู้อนุสัย รู้จริตของลูกๆ เป็นความเมตตาของหลวงพ่อ เพื่อให้เกิดศรัทธาจิตใจมั่นคงในการปฏิบัติธรรม ซึ่งลูกๆ ของหลวงพ่อทุกคนทราบดี

ใครไปนิพพานก่อน..หน้าหมา

ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ามีความไม่พอใจ อารมณ์บูดเสีย เนื่องจากการทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้านสายลมและที่วัดแล้วอารมณ์เกิดกระทบกระทั่งกับลูกศิษย์หลวงพ่อด้วยกัน เพราะเรายังยึดติดขันธ์ ๕ และอารมณ์ยังเลวอยู่ และคิดไปว่าลูกๆ หลวงพ่อมากมาย เราคนเดียวจะไปช่วยอะไรหลวงพ่อได้ ขาดเราคนเดียวไม่เป็นไร (คิดอย่างนี้ผิด ที่จริงเราอาศัยวัดอาศัยหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง สร้างกุศลบารมี ทุกๆ ด้าน เพื่อให้อารมณ์จิตเป็นกุศลบารมีผลบุญหนุนส่งให้เราเข้าสู่พระนิพพานได้)

ต่อไปนี้ เราจะขอรับฟังธรรมะจากหลวงพ่ออย่างเดียว เพื่อการบรรลุธรรมเข้าสู่พระนิพพานให้เร็วที่สุด ไม่ต้องอยู่วุ่นวายกับใครในโลกมนุษย์อย่างนี้ เวลากลางวันที่บ้านสายลมหลงพ่อสอนว่า "เราต้องใจด้านหน้าด้านในการทำงานไม่หวั่นไหวไม่สนใจจริยาของผู้อื่น" และท่านบอกต่อว่า "ใครไปนิพพานก่อนหมา ไม่มีความกตัญญู"

หลวงพ่อท่านคลายอารมณ์เลว ที่มีมานะทิฏฐิ ความไม่พอใจให้ ท่านบอกว่า "เราจะไปอยู่มุมไหนที่ใดในโลก ที่มีกลุ่มชนอยู่ ก็ต้องพบกับสภาพอย่างนี้ เพราะเขาไม่รู้ว่าเราดี มันเป็นกิเลสของคนและเราจะต้องไม่หลงตน เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา ทำอารมณ์จิตให้เป็นอุเบกขา พิจารณาสภาพของกายของขันธ์ให้รู้ถึงสภาพของกายของขันธ์ ให้เป็นญาณที่เรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ" และหลวงพ่อบอกว่า "ถ้าเรายังเห็นคนอื่นเลวอยู่ แสดงว่าเรายังเลวอยู่"

ตัดขันธ์ ๕ ที่พระจุฬามณี วัดท่าซุง

ข้าพเจ้าไปทำบุญวันมาฆะบูชา พ.ศ. ๒๕๒๙ (ที่วัดท่าซุง) วันรุ่งขึ้นคิดว่ารอกราบลาหลวงพ่อหลังบ่ายโมง เวลาหลวงพ่อรับแขกที่ศาลานวราชเก่า เช้า ๑๐.๐๐ น. มีเวลาว่างข้าพเจ้าได้เดินไปกราบองค์สมเด็จพระวิสุทธิเทพที่พระจุฬามณี พอก้มลงกราบข้าพเจ้าได้อธิษฐานว่า ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระวิสุทธิเทพ และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอรหันต์เจ้าที่วัดท่าซุงตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และธรรมใดที่หลวงพ่อได้บรรลุแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้บรรลุตามธรรมนั้นโดยฉับพลันเดี๋ยวนี้

แล้วลงไปนอนรับลมเย็นเพื่อพักผ่อน และคิดไปว่าถ้าเราเกิดบรรลุเป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนี้ตามที่อธิษฐาน เราจะบวชหรือไม่ อารมณ์จิตคิดตอบทันทีว่า ไปบวชให้มันทำไม ร่างกายมันเป็นอสุภ เสือกจะไปบวชให้มันทำไม มันตายก็ช่างมัน ร่างกายคือมัน เราคือเรา มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไปนิพพาน อยู่ทำไมในโลกมนุษย์ ร่างกายมันเป็นโทษมีแต่ทุกข์ เราไปนิพพานดีกว่า คิดไปร้องไห้โฮๆ พร้อมกันไป

ปัญญาและอารมณ์และความรู้สึกเห็นชัดเจนใช่แล้ว อารมณ์ตัดขันธ์ ๕ รีบลุกขึ้นมาหาที่นั่ง ด้านหลังฐานองค์วิสุทธิเทพ เพื่อทำสมาธิให้ได้ฌานสูงๆ เป็นกำลัง หวังให้ได้บรรลุธรรมตัดกิเลสตัดอวิชชาเป็นสมุจเฉทประหาร เป็นพระอรหันต์ ทำสมาธิอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมง แต่แล้วไม่มีอะไรก้าวหน้ากว่านั้น บ่ายโมงเดินกลับมาศาลานวราชเก่า ด้วยอารมณ์ความรู้สึกปลอดโปร่งและอุเบกขา พอเปิดประตูเข้าไปหา หลวงพ่อเรียกถามด้วยเสียงอันดัง "สุวิทย์จะกลับเมื่อไหร"

บอกเดี๋ยวกลับครับ ท่านบอกว่า "งานยังไม่เสร็จเลยจะกลับ" เอ๊ะ เรามาวัดครั้งนี้ ไม่ได้ทำงานอะไรเลย อ๋อ หลวงพ่อคงทักเราแบบสากลทั่วไป เข้าไปทำบุญกับหลวงพ่อ ออกมาถึงประตูรถ นึกขึ้นมาได้ ที่หลวงพ่อบอกให้ทำงาน ด้านอารมณ์ใจตัดกิเลสเป็นสมุจเฉท จนจบกิจงานของศาสนา พอนึกได้อย่างนี้ ร้องไห้โฮๆ แล้วไปนั่งสมาธิที่ศาลารูปเหมือนหลวงปู่ใหญ่ต่อ

นั่งไปร้องไห้ไป มีแต่อารมณ์ เบื่อหน่ายและเห็นทุกข์ ไม่มีอะไรก้าวหน้า ขึ้นไปกราบลาหลวงพ่อแล้วกลับ เพราะภารกิจการงานโดยเฉพาะแฟนไปด้วย ถ้าไปคนเดียวคงอยู่ปฏิบัติต่อตามที่หลวงพ่อบอก

จากนั้นมาข้าพเจ้ากราบพระที่ใด สมาทานพระกรรมฐาน อธิษฐานขอบรรลุธรรมฉับพลัน เดี๋ยวนี้ทุกครั้ง ไม่ถึงเดือนมาที่บ้านสายลม หลวงพ่อบอก อธิษฐานบรรลุเดี๋ยวนี้ไม่ได้ อารมณ์มันหนัก เราอธิษฐานคิดในใจ ไม่เคยบอกใคร แล้วหลวงพ่อรู้ความคิดในใจเราได้

พระอาจารย์ท่านเก่งอย่างนี้ แล้วเรายังปฏิบัติไปไม่ถึงไหน แย่จัง หรือเพราะว่าเราไม่เอาจริง เฮ้อ... การบรรลุธรรมยากเหมือนกันนะ สมัยพุทธกาลท่านฟังเทศน์ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าครั้งเดียว ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันได้ นี่เป็นเรื่องหนึ่ง ในหลายๆ ครั้ง ที่หลวงพ่อท่านรู้อารมณ์จิตของข้าพเจ้า และแนะนำสั่งสอนบางครั้ง ท่านพยากรณ์ล่วงหน้าก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้อารมณ์ธรรม

หลวงพ่อกันท่า

อีกคราวหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ของท่าน พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา จากการที่หลวงพ่อท่านแนะนำสั่งสอนธรรม และเคี่ยวอารมณ์ให้ข้าพเจ้า จนอารมณ์เข้าถึงการตัดขันธ์ ๕ และอวิชชาได้เกือบทุกวัน บางวันตัดได้วันละหลายครั้ง แต่ไม่เป็นสมุจเฉทประหาร

ข้าพเจ้าคิดไปว่า ติดอยู่แค่นิดเดียว ทำไมหลวงพ่อไม่เคี่ยวอารมณ์ และสอนวิธีตัดให้อารมณ์เป็นสมุจเฉทประหารเป็นพระอรหันต์ไป หลวงพ่อคงกันท่าไม่สอนขั้นสุดท้าย กันท่าเราไม่ให้เป็นพระอรหันต์ คิดอยู่คนเดียวหลายวัน เป็นการบ้าน มีอยู่คืนหนึ่ง หลวงพ่อเทศน์ระหว่างสอนกรรมฐาน ตอนหัวค่ำที่บ้านสายลม ท่านหันไปปรารภกับหลวงน้า(หลวงน้าอำพัน)ว่า "เราต้องกันท่าไว้ก่อน ไม่ให้ไปนิพพาน เดี๋ยวไม่มีคนเอาข้าวใส่บาตรให้ฉัน"

นี่ข้าพเจ้ามันโง่เลวระยำ กำลังใจไม่แก่กล้า เด็ดเดี่ยวพอที่จะตัดได้เอง ไปโทษพระอาจารย์ พระอาจารย์ที่ดี มีหรือที่ท่านจะกันท่าไม่ให้ลูกศิษย์บรรลุธรรม

ในโอกาสนี้ ขอขมากราบพระรัตนตรัย หลวงพ่อ และพระอริยเจ้าทั้งหลาย กรรมใดที่ข้าพเจ้าปรามาส ประมาทพลาดพลั้งรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วย เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันและอนาคต ด้วยมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ขอพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และหลวงพ่อได้โปรดอดโทษแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้จนกว่า ข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน

หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่าการตัดอวิชชา พระพุทธเจ้าทรงแยกออกเป็น ๒ ศัพท์ ในขันธวรรคว่า ฉันทะ กับราคะ มีความพอใจ ราคะ มีความรัก เห็นว่าสวยสดงดงามพอใจอะไร รักอะไร พอใจในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก มีความรัก คิดว่ามนุษย์โลกสวยน่าอยู่ เทวโลกสวยน่าอยู่ พรหมโลกสวยน่าอยู่ อันนี้เป็นอารมณ์จิตของอวิชชา

ถ้าการตัดอวิชชาคือการตัดความรู้สึกว่ามนุษย์โลก เทวโลกพรหมโลกน่าอยู่ทิ้งเสีย มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดีเป็นของน่าอยู่ก็จริงแหล่ แต่ทว่าไม่มีการทรงตัว เป็นมนุษย์ไม่ช้ามันก็ตาย เป็นเทวดาหรือพรหม หรือนางฟ้าไม่ช้าไม่นานก็จุติ เอาแน่นอนไม่ได้ เราต้องการจุดที่แน่นอนมีจุดเดียวคือนิพพาน

ตัดอวิชชา ก็คือใช้ความจริงด้วยปัญญาน้อยๆ ที่เรามีอยู่ ไม่ต้องมาก โดยคิดถึงความเป็นจริงว่ามนุษย์โลกมันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์ ถ้าเรากลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มันจะสุขหรือมันจะทุกข์ มนุษย์ประเภทไหนที่เขามีความสุข ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่มี เรื่องเดือดร้อน

ถ้าเราเป็นเทวดาหรือพรหมมีองค์ไหนบ้างที่ไม่จุติ มันไม่มีทั้งสิ้น ก็ต้องทิ้งสุขมาเกิดใหม่ จุดที่แน่นอนที่สุดจริงๆ คือนิพพาน เกาะอารมณ์นิพพานเอาไว้ เพราะเป็นอารมณ์พระอรหันต์ หลวงพ่อเคยบอกไว้ว่า วิปัสสนาฌานละเอียดมีอยู่ แต่อธิบายออกมาไม่ได้ อารมณ์ตัดขันธ์ ๕ ตัดอวิชชา คือวิปัสสนาญาณขั้นละเอียด

พุทธปัจฉิมโอวาท ตัดสินข้อกังขา ฯลฯ

ภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากยังมีความสงสัยเคลือบแคลงในอริยสัจสี่ อันมีทุกข์สัจ เป็นต้น ท่านทั้งหลายจงสอบถามเสียเถิด อย่าปล่อยความสงสัยดังกล่าวไว้ โดยไม่แก้ไขให้กระจ่าง อันเป็นเหตุให้เดือนร้อนภายหลัง

สมัยนั้นแล สมเด็จพระบรมศาสดาทรงปวารณาถึง ๓ วาระ แต่กระนั้นก็ไม่มีภิกษุรูปใดทูลถาม ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไฉนฤๅ เพราะเหตุท่ามกลางพุทธบริษัทปราศจากความเคลือบแคลงในธรรมวินัย

สมัยนั้น พระอนุรุทธเถรเจ้า ได้เพ่งพิจารณาเห็นจิตใจบรรดาเหล่าบริษัทปราศจากความกังขา ในพระรัตนตรัย จึงกราบทูลพระพุทธองค์ด้วยความเคารพว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า"

แม้จันทราจะกลับกลายเป็นร้อน ดวงสุริยาจะกลับกลายเป็นเย็น แต่อริยสัจสี่ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั้น มิอาจที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงกลับกลายได้ อริยสัจสี่ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับทุกข์สัจ ย่อมเป็นความทุกข์อย่างแท้จริง มิอาจกลับกลายเป็นสุขได้

สมุทัยเป็นเหตุ นอกเหนือจากสมุทัยสัจแล้วก็ไม่มีธรรมอื่นใดเป็นเหตุ หากทุกข์จะดับก็เพราะสมุทัยดับ(เหตุดับ) เนื่องด้วยสมุทัยดับ ผลก็ย่อมดับลง อริยมรรคอันเป็นหนทางนำไปสู่ความดับทุกข์ ย่อมเป็นมรรควิถีอย่างประเสริฐแท้จริง นอกจากอริยมรรคแล้วก็ไม่มีมรรคอื่นใดยิ่งกว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ" ภิกษุทั้งหลายนี้ล้วนหมดจากความเคลือบแคลงสงสัยในพระอริยสัจธรรมแล้วพระเจ้าข้า

พระธรรมกายดำรงอยู่เสมอ

นับต่อแต่นี้ไป เธอทั้งหลาย จงจาริกเผยแพร่พระสัจธรรมให้แพร่หลายไพศาล ทั้งนี้เป็นการยังไว้ซึ่งพระธรรมกายแห่งตถาคต ให้ดำรงอยู่ชั่วนิรันดรโดยมิให้ดับสูญ ฉะนั้น เธอทั้งหลายพึงกำหนดให้รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะจีรังยั่งยืนถาวร ล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจังไม่เที่ยง

มีการร่วมกันย่อมมีการพลัดพรากจากกัน จงอย่ามีความเศร้าโศกใดๆ (ในการจากไปของตถาคต) สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นธรรมลักษณะของโลก ไม่มีผู้ใดหลีกพ้นได้ เธอทั้งหลายพึงวิริยะพากเพียร บากบั่น เพื่อแสวงหาวิมุตติสุข(ความหลุดพ้น) ไว้แต่เนิ่นๆ

จงใช้ความรู้แจ้งแห่งปัญญา ทำลายความมืด คืออวิชชาทั้งหลายให้สิ้นไป อันที่จริงโลกนี้ประกาบด้วยภัยน่าสะพรึงกลัว มีแต่ความเสื่อมสลายหาสิ่งใดเป็นแก่นสารมิได้ การที่ตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานนี้ เปรียบเสมือนพ้นจากโรคาพาธอันร้ายกาจน่ากลัว ซึ่งตคาคตได้ทำลายขจัดเสียสิ้นเชิงแล้ว

สิ่งที่เป็นอกุศลชั่วร้ายทั้งหลาย สักแต่มีนามว่า "กาย" เป็นสิ่งที่ต้องจมอยู่ในห้วงมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่แห่ง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่มีนรชนใดที่จะไม่ยินดีในโอกาสที่จะขจัดธรรมเหล่านี้ให้สิ้นไป เปรียบเสมือนได้ประหารโจรใจอำมหิต

ข้าพเจ้าได้อ่านพุทธปัจฉิมโอวาท จากหนังสือธรรมะ เดือนเดียวกันนั้นเองได้ฟังเทศน์กรรมฐานจากหลวงพ่อที่บ้านสายลมกลางคืน มีช่วงหนึ่งท่านเทศน์ว่า..

แต่เขาภูมิใจ เมื่อความตายจะเข้ามาถึง

แต่เขาภูมิใจ จะละสิ่งที่เลวร้ายไปหาสิ่งที่ดีคือ "พระนิพพาน"

หลวงพ่อได้เทศน์มีความหมายเดียวกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เทศน์ไว้เมื่อ ๒,๕๓๐ กว่าปีมาแล้ว

พระคุณของหลวงพ่อมากเหลือล้น

พระคุณของหลวงพ่ออันใหญ่หลวงที่มีต่อลูกๆ และพุทธบริษัททั้งหลาย ไม่สามารถบรรยาออกมาเป็นตัวอักษรได้ หลวงพ่อได้มีความเมตตาเพียรพยายามสั่งสอนให้ลูกๆ ได้เข้าถึงพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ประทานไว้ให้

ข้าพเจ้าได้รับความเมตตากรุณาจากหลวงพ่ออบรมสั่งสอนจนได้เข้าไปรับรสแห่งพระธรรม ที่มีอารมณ์ความสุขในหลายๆ ครั้ง ที่เกิดอารมณ์ตัดอวิชชาและขันธ์ ๕ ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 19/6/09 at 15:51


เพ็ญพิไลพรรณ บุนนาค


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

.......ความประทับใจในองค์หลวงพ่อนั้นมีมากมายเกินกว่าที่จะบรรยายได้ครบและได้ทำเศ ษหนึ่งส่วนล้านของความรู้สึก และอีกประการ ข้าพเจ้าไม่ใช่นักประพันธ์ จึงไม่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้สึก ที่มีความเคารพรักในองค์หลวงพ่อ ให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจได้ นอกจากผู้ที่ประสบด้วยตนเอง

เมื่อปีแรกๆ ที่ข้าพเจ้าเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของหลงพ่อใหม่ๆ ประมาณ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว มีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งฟังหลวงพ่อท่านคุยกับพวกลูกศิษย์ที่บ้านสายลม วันนั้นเอง ไม่ได้เป็นวันสอนกรรมฐาน ตามปกติ มีคนอยู่ประมาณ ๑๐ คน

ข้าพเจ้านั่งห่างจากองค์หลวงพ่อ ประมาณ ๕ เมตร ใจก็นึกว่าถ้าหลวงพ่อมีคุณวิเศษจริง ก็น่าจะมีอภินิหารอะไรให้เราเห็นบ้าง อย่างเช่น มีแสงออกมาที่หน้าผาก เหมือนกับที่เคยเห็นในภาพยนตร์อินเดีย หรือภาพยนตร์จีน เพราะเป็นคนชอบดูภาพยนตร์ประเภทอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์

พอนั่งได้สักครู่ ก็ เห็นแสงสีทองปรากฏอยู่ระหว่างคิ้วขององค์หลวงพ่อ เป็นรูป เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจที่ได้เห็นแสงนั้น ก็สงสัยว่า ใครเอาไฟมาส่องแอบซ่อนไว้ที่เพดานหรือตรงส่วนใดส่วนหนึ่งภายในบ้านหรือเปล่านะ หรือใครทำเล่นกล ให้เราหลงเชื่อหรือเปล่านะ หรือเราตาฝาดไป พยายามขยี้ตา จากนั้นก็พยายามนั่งขยับไปขยับมา โดยพยายามทำไม่ให้ใครเห็น สังเกตเห็นว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ อีกประการ กลัวว่าหลวงพ่อท่านจะจับได้ในกิริยาประหลาดของข้าพเจ้า (ซึ่งเป็นความโง่ของข้าพเจ้าแท้ๆ)

ข้าพเจ้าจะทำท่าอย่างไร ก็เห็นแสงสีทองตลอด และคิดว่าเป็นแสงไฟธรรมดา น่าจะเป็นจุดใหญ่ๆ เพียงจุดเดียว และก็ไม่เห็นเหมือนกับในภาพยนตร์ที่เคยเห็นเลย เพราะแสงแยกเป็นจุด ๓ จุด ลักษณะเป็นรูปเพราะฉะนั้น มันน่าแปลก ข้าพเจ้าเห็น อยู่นานจึงอดใจไม่ได้ เลยแอบกระซิบกับน้องของเพื่อนที่นั่งข้างว่า เห็นจุดเพราะฉะนั้นของหลวงพ่อหรือไม่ น้องของเพื่อนตอบว่า ไม่เห็นอะไร

ต่อมาได้มีโอกาสตามหลวงพ่อไปจังหวัดเชียงราย พักที่สถานีวิทยุทหารอากาศเชียงราย ในตอนค่ำ หลวงพ่อท่านมานั่งคุยกับลูกศิษย์ ที่บริเวณสนามมวยภายในที่พัก หลวงพ่อท่านนั่งอยู่องค์เดียวบนเวทีมวย ส่วนพวกเราประมาณ ๘๐ - ๙๐ คน นั่งอยู่ตรงบริเวณรอบๆ เวทีมวย ระหว่างที่นั่งฟังหลวงพ่ออยู่นั้น ข้าพเจ้าก็เห็นแสงสีทองนั้นอีก

ขณะนั้นข้าพเจ้านั่งห่างจากหลวงพ่อประมาณ ๒๐ เมตร ด้วยความสงสัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เหลียวไปดูรอบๆ ตัวว่ามีหลอดไฟ หรือเครื่องมือกลอะไรบ้างภายในบริเวณนั้น และเวลาที่หลวงพ่อ นั่งขยับบ้าง แสงตรงหน้าผากของท่านก็ยังขยับอยู่เหมือนเดิม อยู่ระดับเดิมไม่เปลี่ยน ถ้ามีใครเอาไฟมาส่อง หรือแสงสะท้อนก็น่าจะหาย หรือเคลื่อนไปบ้างเวลาท่านขยับตัว ถามคนข้างๆ เขาก็ไม่เห็นอีก ข้าพเจ้าเห็นจนกระทั่งลาไปพักผ่อน หลายปีต่อมา ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เห็นอีกเลย

จนวันหนึ่งได้นั่งฟังหลวงพ่อแบบเดิมที่บ้านสายลม เวลานั้น ติ๋ม(อภิญญา) นั่งอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้าก็เลยถามติ๋มว่า เคยเห็นจุดเพราะฉะนั้นของหลวงพ่อบ้างไหม ติ๋มถามว่าเป็นอย่างไร จึงอธิบาย ติ๋มบอกว่าตอนนี้เขากำลังเห็นอยู่ ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้า ไม่ได้เห็น จึงเข้าใจในพุทธานุภาพ ว่าแล้วแต่ท่านจะสงเคราะห์เรา

ส่วนอีกเรื่องประมาณ ๑๐ กว่าปีเช่นกัน ข้าพเจ้าตามหลวงพ่อไปที่ ต. คลองวาฬ จ. ประจวบคีรีขันธ์ พักบ้านของคุณเล็ก ฟอร์ตี้ วันหนึ่งหลวงพ่อท่านลงสรงในน้ำทะเลหน้าบ้าน เพราะหลวงพ่อท่านเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ลำไส้ไม่ทำงาน ฉะนั้นท่าน จำเป็นต้องลงไปแช่ในน้ำทะเล เพื่อให้คลื่นตีท้องให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหว

ในขณะนั้นข้าพเจ้ากับพวกลูกศิษย์ที่ติดตามประมาณ ๑๐ กว่าคน มีป้าโมทย์ น้าเชิญ อุ๋ย(ลูกของน้าเชิญ) และใครอีกจำไม่ได้ คุยกันอยู่บริเวณนั้น ครู่หนึ่งป้าโมทย์ทักให้ดูตรง ขอบทะเลมีเมฆก้อนใหญ่อยู่ตรงกลางระหว่างเกาะ ๒ เกาะเป็นรูปพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก สูงกว่าความสูงของเกาะทั้งสอง ประมาณ ๓ เท่า

ข้าพเจ้าคิดว่าบังเอิญหรืออุปาทานหรือเปล่าที่เห็นเป็นพระพุทธรูป แต่ก็บอกว่าเป็นพระพุทธรูปชัดมาก เห็นอยู่ประมาณ ๑๕ นาที พอหันไปดูอีกครั้งกลับเปลี่ยนเป็นรูปหลวงปู่ปาน เหมือนภาพวาดที่เราเคยเห็นกันตามปกติ ลองแตะน้ำในทะเล รู้สึกว่าน้ำอบอุ่นกำลังสบายไม่ร้อน ไม่หนาว ทะเลก็เรียบมาก คลื่นเล็กน้อย ลมเย็นอ่อนๆ

พอหลวงพ่อขึ้นจากน้ำ หันกลับไปดูเมฆใหญ่ ก็ไม่ทราบเมฆก้อนนั้นหายไปไหนเร็วจริง! เมฆใกล้บริเวณนั้นก็อยู่ห่างออกไปมาก และเป็นก้อนเล็ก ตอนนั้นลมก็สงบดี ทำให้น่าคิด!

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตามหลวงพ่อไปหลายแห่ง แม้ที่วัดท่าซุงก็มักจะมีอะไรแปลกๆ อยู่เสมอถึงพุทธานุภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจ เมื่อแรกข้าพเจ้ายังไม่มั่นใจในคุณวิเศษของหลวงพ่อมากนัก แม้ใจจะรักและเคารพท่านมาก แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ไม่เชื่อ

เพราะข้าพเจ้าเป็นคนช่างสงสัย พอเจอด้วยตัวเองในหลาย ๆ เรื่อง (ไม่ใช่แค่เรื่องที่เล่านี้ ยังมีอีกมาก) จึงมีความมั่นใจในคุณความดีที่หลวงพ่อมีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งท่านก็มิได้มีคุณวิเศษในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียว แต่ท่านมีคุณวิเศษในทุกๆ เรื่อง ซึ่งยากนักที่จะพบในโลกปัจจุบัน....

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 20/6/09 at 13:51


สุภร ลีละยุทธโยธิน


หลวงพ่อพระผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาจิตอันสูงส่ง

หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องย้อนหลังเมื่อปี ๒๕๒๘ ซึ่งข้าพเจ้าพึ่งจะเข้ามากราบหลวงพ่อได้ไม่นานนัก แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกประทับใจต่อความเมตตาที่หลวงพ่อท่านมีต่อลูกศิษย์ทั้งหลายอย่างยากที่จะหาผู้ใดเปรียบได้คือ

เมื่อประมาณวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๒๘ ข้าพเจ้าได้มา ทำบุญที่วัดกับเพื่อนและได้ค้างอยู่ที่วัดถึงวันที่ ๑๐ ธันวาคม ซึ่งในช่วงนั้น มีคนมาฝึกสมาธิกันหลายคนกะว่าประมาณ ๓๐ - ๔๐ คนคงจะได้ หลวงพ่อท่านเมตตา จะพาทุกคนไปเยี่ยมชมวัดเก่าแก่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเราได้สร้างไว้

ในวันที่ ๑๓ ธันวาคม ซึ่งปกติหลวงพ่อท่านก็ไม่ว่างอยู่แล้ว แต่ท่านก็อุตส่าห์สละเวลาพาผู้ที่ตั้งใจมาฝึกสมาธิได้ไปสัมผัสกับสถานที่เก่าๆ ที่สำคัญๆ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และหลวงพ่อก็เมตตาชวนข้าพเจ้าไปด้วย แต่ข้าพเจ้าต้องทำงานวันที่ ๑๑ และ ๑๒ ข้าพเจ้า จึงเรียนท่านว่าจะกลับมาในเย็นวันที่ ๑๒ แต่ไม่ได้ระบุเวลาว่าจะมาถึงกี่โมง ข้าพเจ้าไม่ทราบระเบียบของวัดว่าประตูจะปิดเวลา ๒ ทุ่ม

ข้าพเจ้านั่งรถประจำทางมากับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เมื่อมาถึงมโนรมย์ก็ ๒ ทุ่มกว่าแล้ว เรือข้ามฟากก็ไม่มี เลยต้องว่าจ้างเรือหางยาวลำหนึ่ง ให้มาส่งที่ท่าน้ำใกล้วัด ทางน้ำก็มืดๆ น่ากลัวมาก เพราะข้าพเจ้าว่ายน้ำไม่เป็น เมื่อขึ้นจากเรือแล้ว ทางเดินก็สลัวแลดูเงียบ ยังรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เกรงว่าจะเข้าวัดไม่ได้ เพราะข้าพเจ้ามาถึงวัดเวลาเกิด ๒ ทุ่มครึ่งแล้ว

แต่เมื่อมาถึง ก็เห็นหลวงพี่ชัยศรียืนอยู่หน้าประตูวัด หลวงพี่บอกว่าหลวงพ่อสั่งให้มารอข้าพเจ้าตอนประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง และให้หาที่พักให้ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจและประทับใจในความเมตตาและญาณวิเศษของหลวงพ่อ ที่รู้ล่วงหน้าว่าข้าพเจ้าจะถึงวัดประมาณกี่โมง ถ้าหลวงพ่อไม่ให้หลวงพี่มารอ ข้าพเจ้าคงไม่ทราบจะทำอย่างไร เพราะรถก็ไม่มี เข้าวัดก็ไม่ได้ และในช่วงนั้นข้าพเจ้า ก็ยังไม่ค่อยจะรู้จักกับใครที่จะขอเป็นที่พึ่งได้

ข้าพเจ้าเชื่อว่าลูกศิษย์ทุกคนคงจะได้สัมผัส และประทับใจต่อความเมตตาอันสูงส่งของหลวงพ่อเช่นเดียวกับข้าพเจ้า ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ท่านจะป่วยเป็นประจำ แต่ท่านก็ไม่ยอมแพ้ต่อสังขาร โดยการเร่งสร้างโรงพยาบาลเอย.. โรงเรียนเอย.. ท่านทำเพื่อใคร ถ้าไม่ใช่เพื่อลูกๆ หลานๆ ที่ยากจน หรือคนไม่ค่อยจะมีสตางค์ จะได้รับการสงเคราะห์จากสถานที่เหล่านี้

เมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วย และได้เล่าเรียนมีความรู้ จะได้เป็นคนดี และหาเลี้ยงชีพในอนาคตข้างหน้า โดยไม่ต้องลำบากมากนัก ไม่เพียงแต่ที่ข้าพเจ้ายกมาพูดเท่านั้น ยังมีอีกมากมายหลายเรื่อง จนพูดไม่จบ ที่หลวงพ่อท่านตั้งใจสงเคราะห์ทุกคน ทางใดที่ท่านจะช่วยให้ทุกคนมีความเป็นอยู่คล่องตัวและมีความสบายใจ ท่านจะทำทันที อย่างเช่นการสะเดาะเคราะห์เป็นต้น

นี่แหละ...หลวงพ่อของพวกเรา..ผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาจิต..ยากที่จะหาใครเสมอเหมือน...!

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 23/6/09 at 08:21


นายแพทย์ สุวิทย์ บุณยะเวชชีวิน


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

......เมื่อข้าพเจ้าเลือกสถานที่ทำงานคือ "โรงพยาบาลแม่และเด็ก" ข้าพเจ้าได้เลือก โรงพยาบาลแม่และเด็กอุทัยธานี เป็นแห่งแรกโดยไม่ทราบมาก่อนเลยว่า เป็นโรงพยาบาลที่หลวงพ่อท่านเป็นผู้สร้าง และต่อมาภายหลังท่านได้มอบให้กับทางกรมอนามัย เมื่อทราบในภายหลังจึงมีความรู้สึกแปลกใจและตื่นเต้นกับความคิดในการเป็นนักพัฒนาของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าท่านเป็นสร้าง

โรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ กันอีกด้วย เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่วนมากเป็นชาวบ้านแถบนี้ ชาวเมืองในอำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ต่างได้เล่าถึงความศรัทธาของผู้คนที่มากราบท่านในแต่ละปี ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งเชื่อมั่นว่า ท่านเป็นผู้ที่สามารถทำกิจที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ แสดงว่าท่านเป็นผู้ที่มีศักยภาพสูงมาก ทำให้เกิดความรู้สึกศรัทธาและอยากพบท่านมากขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฯ คือ คุณหมอชัยโรจน์ ขุมมงคล ได้นำข้าพเจ้าและเพื่อนแพทย์จบใหม่ไปพบ และกราบเคารพท่าน จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกฉงน เพราะท่านดูราวกับผู้ใหญ่ใจดี มิได้มีท่าทางดุหรือลักษณะน่ากลัวอย่างที่ข้าพเจ้าคาดคิดไว้แต่แรกเลย

ต่อมาคุณหมอชัยโรจน์เดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกา ข้าพเจ้าได้ทำงานรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล แทน ข้าพเจ้าตั้งใจจะเข้าพบท่าน แต่ในช่วงแรกๆ งานที่รับใหม่มีหลายเรื่อง จึงไม่สามารถเข้าพบท่านได้เลย ระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้ยินและทราบถึงผลงานด้านต่างๆ ได้แก่การสร้างโรงเรียน

และวันหนึ่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าพบท่าน เนื่องจากหลวงพ่ออาพาธ มีภาวะความดันโลหิตต่ำ เวียนศรีษะ และล้มลงหลังจากการรักษาเพียงชั่วครู่ ท่านก็แข็งแรง เกือบเหมือนปกติ ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสใกล้ชิดและพูดคุยซักถาม ข้าพเจ้ารู้สึกว่าท่านเปรียบเสมือนเป็นผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ได้เห็นผู้คนนับหมื่นนับแสน

ข้าพเจ้ายิ่งมีความศรัทธาในความที่มีความคิดริเริ่ม และรู้ถึงพลังศรัทธาของประชาชนที่มีต่อท่าน เป็นการไม่ยากนักที่ผู้คนทั่วไปจะทำความดี แต่เป็นการยากที่บุคคลหนึ่งจะสามารถทำให้คนหลายๆ คนทำความดี ด้วยพลังบารมีและความเชื่อมั่นในตัวของหลวงพ่อได้ ทำให้ผู้คนทั่วไปรู้จักการให้ทาน การเสียสละ การมีสติ อย่างน้อยความเชื่อมั่นในพุทธศาสนาและความดียังคงอยู่ต่อไป.

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 26/6/09 at 15:46


สุชาดา เดชพันธุ์


บุญคุณของหลวงพ่อ

หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

ดิฉันได้มาพบหลวงพ่อครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๒๕ โดยมีผู้รู้จักกันได้ชักชวนให้ไปทำบุญกับหลวงพ่อท่าน ครั้งแรกที่มาพบท่านที่ซอยสายลม ดิฉันยังไม่ใคร่มีศรัทธาในตัวหลวงพ่อท่านเท่าใดนัก อย่างไรก็ตามดิฉันก็ได้ลองฝึกมโนมยิทธิดู โดยที่ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า มโนมยิทธินั้นคืออะไร...?

วันนั้นดิฉันไปได้ทั้งพระจุฬามณีและพระนิพพาน แต่เมื่อกลับไปลองทำด้วยตนเองที่บ้านปรากฏว่า ไปได้แค่พระจุฬามณีเท่านั้น ก็เลยทิ้งมโนมยิทธิ กลับไปทำกรรมฐานแบบเก่าที่ดิฉันฝึกอยู่ เพราะขณะนั้นเข้าใจผิดว่ามโนมยิทธิ เป็นฤทธิ์อย่างหนึ่งของกรรมฐานที่ดิฉันทำอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันยังคงไปทำบุญกับหลวงพ่อ มิได้ขาดทุกครั้งที่ท่านมาสอนกรรมฐานที่ซอยสายลม และยังคงอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ เพราะชอบลีลาการตอบปัญหาของหลวงพ่อท่านมาก

ปกติดิฉันเป็นคนหัวแข็ง แม้แต่สามีก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ จึงทำให้ต้องมีเรื่องขัดใจกันบ่อยๆ ทำให้ชีวิตครอบครัวไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก ครั้งหนึ่งมาทำบุญกับหลวงพ่อ โดยมากับสามี หลวงพ่อท่านให้พรว่า "รักกันให้มากๆ นะ"

ทำให้ดิฉันสะดุ้งอยู่ในใจ และสงสัยว่าท่านทราบได้อย่างไรว่า ดิฉันและสามีมีเรื่องขัดใจกันอยู่เสมอ ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรก ที่ดิฉันเริ่มมีศรัทธาในหลวงพ่อว่าท่านคงมีญาณที่สามารถรู้วาระจิตของดิฉันได้

ดิฉันมักชอบไปฟังหลวงพ่อท่านพูดคุยกับบรรดาลูกศิษย์ที่ซอยสายลม วันหนึ่งท่านพูดว่า "พวกที่ได้มโนมยิทธิ แล้วทิ้งไปนับว่าเป็นคนแย่มาก" ดิฉันฟังแล้วหน้าชา แต่ยังดื้อไม่ยอมไปฝึกใหม่ซะที มากี่ครั้งท่านก็พูดย้ำแต่เรื่องนี้ จนดิฉันตัดสินใจไปฝึกใหม่ ทั้งที่เลิกร้างมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้เห็นวิมานที่นิพพานของดิฉันใหญ่โต มากกว่าที่เคยเห็นเมื่อมาฝึกครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๒๕ อย่างเทียบกันไม่ติดเลย

ดิฉันคิดว่าคงเป็นเพราะช่วงหลังได้มาทำบุญกับหลวงพ่อทุกเดือน หลังจากไปฝึกมาใหม่ก็เลยไม่ทิ้งอีก เพราะหลวงพ่อท่านเคยแนะนำว่า เมื่อมีปัญหาให้ใช้มโนมยิทธิยกจิตไปนิพพาน ไปกราบถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้คำตอบที่ถูกต้อง

ส่วนใหญ่ดิฉันใช้มโนมยิทธิที่ได้ไปในทางตัดกิเลส ตัดกระแสเวรกรรม ที่ผูกพันกับทุกคนที่มาเกี่ยวข้องกับชีวิตของดิฉัน ตัดแรงอาฆาตที่ดิฉันควรจะมีกับคนที่มาทำร้าย หรือบางทีนั่งสมาธิจนจิตสงบ ก็จะมีพระอริยสงฆ์ทั้งที่ยังมีชีวิตและมรณภาพไปแล้วมาสอน รวมทั้งหลวงพ่อท่านด้วย

ซึ่งตลอดเวลา หลวงพ่อท่านทราบ เพราะมีครั้งหนึ่งดิฉันสงสัยเรื่อง "สัญญา" ซึ่งเป็นหนึ่งในขันธ์ ๕ อยู่ในใจ หลวงพ่อได้ถามดิฉันว่า "ไอ้หนูสงสัยอะไร" ดิฉันก็ถามท่านไป ท่านก็บอกว่า "ใครมาสอนอีกล่ะ" ดิฉันก็เลยรู้ว่าหลวงพ่อท่านทราบ และทำให้ดิฉันยิ่งมั่นใจว่า มีพระอริยสงฆ์มาสอนในสมาธิจริงๆ มิได้เป็นนิมิตลวง

หลวงพ่อท่านมักให้กำลังใจในการปฏิบัติอยู่เสมอ จากเมื่อก่อนดิฉันคิดว่านิพพานเป็นเรื่องที่ไปได้ยาก ต้องตัดกิเลสอะไรต่ออะไร กันวุ่นวายไปหมด แต่พอมาปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อท่าน และได้กำลังใจจากหลวงพ่อ รู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายมาก อาศัยการตั้งใจให้ตรงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ถ้าจะเปรียบหนทางที่ปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เหมือนแม่น้ำ ตัวดิฉันก็เปรียบได้กับเรือที่ลอยไปติดตามฝั่งอยู่เรื่อย ก็ได้หลวงพ่อ ท่านคอยช่วยคัดหัวเรือให้ไม่ติด ผั่งลอยไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง คือพระนิพพาน โดยเกือบทุกครั้งที่ดิฉันไปทำบุญ

หลวงพ่อท่านมักจะให้ข้อคิดด้านธรรมะให้กลับไปปฏิบัติ แต่มีครั้งหนึ่งที่ติดฝั่งแล้วทำท่าจะยึดติดแน่นไม่ยอมลอยไปอีกคือ ดิฉันคิดว่าการเป็นพระอนาคามี น่ะดีตายแล้ว ไม่ต้องลงมาเกิดอีก ไปนิพพานที่พรหมได้เลย คิดอยู่อย่างนี้มานานหลายเดือน

หลวงพ่อท่านทราบ ท่านก็บอกว่าพระอนาคามีน่ะต่ำไป ไปเป็นพระอรหันต์ดีกว่า ดิฉันได้ยินแล้วรู้สึกอายจนหน้าชา ความคิดที่จะเป็นพระอนาคามีหลุดไปเลย ไม่สนใจอีกว่าขณะนี้จะเป็นพระอนาคามีแล้วหรือยัง สนใจแต่ไปนิพพานอย่างเดียว

นอกจากนี้บารมีของหลวงพ่อท่าน ดิฉันคิดว่ามีมากมายสามารถตามไปช่วยคุ้มครองทุกท่าน ให้รอดพ้นจากภัยอันตรายต่างๆ ได้ แม้แต่ตัวดิฉันเองก็ได้ประสบมาแล้ว โดยการระลึกถึงท่านขอบารมีของท่าน ให้ท่านช่วยให้แคล้วคลาดหรือคุ้มครอง ก็เป็นไปตามประสงค์ทุกประการ


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 5/7/09 at 10:56



วรรณสิริ (แก่) มานพ

"คนมีศีล 5 คือคนปกติ ..คนไม่มีศีล 5 คือคนไม่ปกติ"



ภาพในอดีต : ทีมงานแม่ครัว "คณะกองทุน" ก็ยังช่วยงานอยู่ตลอดจนถึงบัดนี้
ภาพจากซ้ายไปขวา : ไซ, แม่ปิ่น, ตึ๊ก, แก่, จี้ โดยมี ปุ๊ (ลูกชายแม่ปิ่น) นั่งอยู่ตรงกลาง


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้พบหลวงพ่อนั้น ข้าพเจ้ามีน้องสาวที่เป็นคู่แฝดกัน น้องสาวของข้าพเจ้าเป็นคนใจบุญ ตัวข้าพเจ้านั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะว่าข้าพเจ้าใม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ เวลามารดาจะเอาของไปทำบุญ ข้าพเจ้าก็พูดว่า ชาติหน้าจะมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ชาตินี้มีจริง ก็กินเสียก่อนดีกว่า

เวลาน้องสาวคู่แฝดไปวัดไปช่วยพระทำงาน ข้าพเจ้าก็มักจะบอกน้องสาวเสมอว่าถูกพระหลอกใช้ ต่อมาพออายุ 25 ปี น้องสาวคู่แฝดที่ชอบทำบุญก็ขับรถปิ๊กอัพชนกับรถสิบล้อตาย ข้าพเจ้าก็เสียใจมากเสียใจเป็นเดือน เพราะได้สูญเสียน้องอันเป็นที่รักไป

ต่อมาพี่สาวของข้าพเจ้าซึ่งเป็นอาจารย์อยู่บางแสนไปพบ หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ซึ่งเพื่อนพี่สาวชื่อ "วัชรี" เอาหนังสือหลวงพ่อปานไปจำหน่าย จึงซื้อมา 1 เล่ม พอเปิดอ่านหน้าแรก หลวงพ่อได้เขียนไว้ มีข้อความตอนหนึ่งว่า “พิสูจน์การตายแล้วไม่สูญ มีการพิสูจน์ได้ตามหลักสูตรของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้” พี่สาวก็มาเปิดหน้านั้นให้ข้าพเจ้าดูจึงดีใจ และพี่สาวไปถามเพื่อนชื่อวัชรีว่า หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

พอดีคุณวัชรีกำลังจะจัดรถมางานฝังลูกนิมิตที่วัดท่าซุง จึงดีใจที่ทราบว่าหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ก็เลยมากับรถที่เขาจัดในคราวนั้น มาถึงก็พบหลวงพ่อที่ศาลานวราช ข้าพเจ้ามีความประทับใจที่เห็นองค์หลวงพ่อมีผิวสีชมพู ปากแดง ดูแล้วสวยงามมาก จึงมีความติดใจ ไม่ยอมลุกไปไหน ก็นั่งดูอยู่อย่างนั้น นั่งดูตั้งแต่หลวงพ่อคุยรับแขก จนกระทั่งหลวงพ่อได้ฉันเพลเสร็จ (ฉันที่ศาลานวราช) จนกระทั่งหลวงพ่อเข้าโบสถ์ไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงเริ่มรู้สึกหิวข้าว จึงไปหาข้าวกิน

ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็อยากมาหาหลวงพ่อเรื่อยๆ เมื่อได้ฟังหลวงพ่อเทศน์เรื่องศีล 5 ท่านเทศน์ว่า ศีลแปลว่าปกติ คนมีศีล 5 คือคนปกติ คนไม่มีศีล 5 คือคนไม่ปกติ เลยตั้งใจรักษาศีล 5 ให้ได้ เพราะว่าอยากจะเป็นคนดี เพราะรักหลวงพ่อ จึงต้องทำตัวเป็นคนดี ทำตัวเช่นเตียวกับคนอื่นที่เขามาหาหลวงพ่อ จึงจะได้เข้ากับหมู่คณะได้ ตอนเริ่มรักษาศีล 5 ใหม่ๆก็รู้สึกอึดอัดใจ คุยกับเพื่อนก็ไม่สนุกเพราะโกหกไม่ได้

ตอนเริ่มรักษาศีล 5 ใหม่ๆก็เลยเหินห่างจากเพื่อนฝูง เพราะกลัวผิดศีล จึงไม่ค่อยมีเรื่องคุยกัน จึงเหินห่างจากเพื่อนมาเรื่อยๆ มาฟังคำสอนของหลวงพ่อคราวใด หลวงพ่อก็สอนแบบให้กำลังใจเสมอ การรักษาศีลนั้น หลวงพ่อสอนให้ทำแบบเบาๆ วันละไม่กี่ชั่วโมง จึงคิดว่าเป็นเรื่องไม่ค่อยยาก ตอนหลังก็เลยทำได้

ปกติข้าพเจ้าเป็นคนดื้อมาก บิดาข้าพเจ้า (ซึ่งปัจจุบันบวชอยู่ที่ชลบุรี) เป็นคนธรรมะธัมโมมาแต่ไหนแต่ไร มารดาก็ชอบทำบุญ เวลาบิดา (ตอนสมัยเป็นฆราวาส) สอนข้าพเจ้าให้ทำดี อย่าทำบาป อย่าทำชั่ว อย่าเบียดเบียนผู้อื่น อย่าเกเร ไม่ให้รังแกสัตว์ ไม่ให้ฆ่าสัตว์

พอเริ่มสอนข้าพเจ้าๆก็จะแกล้งพนมมือ ว่ายังไม่ทันติดกัณฑ์เทศน์เลย ก็เริ่มเทศน์แล้ว บิดาก็จะสอนไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าข้าพเจ้าจะตั้งใจฟังหรือไม่ (ความจริงข้าพเจ้าแกล้งทำพนมมือ ทำท่าฟังแต่ไม่ได้ตั้งใจฟัง)

แต่ท่านก็คงพูดสอนไปเรื่อยๆ ภายหลังบิดารู้ว่า ข้าพเจ้ามาหาหลวงพ่อและได้ปฏิบัติตัวใหม่ มีการถือศีลเป็นต้น ท่านดีใจมาก บิดาของข้าพเจ้าก็พูดอยู่เสมอว่าหลวงพ่อได้มีบุญคุณกับข้าพเจ้ามาก เพราะว่าถ้าไม่ได้พบหลวงพ่อข้าพเจ้าตายเมื่อไรต้องตกนรกแน่ๆ

เมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับคณะของหลวงพ่อ ในการแจกของตามต่างจังหวัด เพื่อสงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดารบ่อยๆ ได้ทำงานร่วมกับหมู่คณะ เรียนรู้ การทำงานที่ต้องตรงต่อเวลา ต้องรวดเร็ว ต้องเรียบร้อย ยามว่างงานหลวงพ่อจะเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังและสั่งสอนไปในตัว ทุกครั้งที่ออกแจกของ ข้าพเจ้าจึงมีโอกาสฝึกฝนตนเองทั้งทางด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น และด้านจิตใจ

หลวงพ่อมีพระคุณแก่ข้าพเจ้ามาก เพราะเป็นผู้ที่ได้เปลี่ยนให้ข้าพเจ้ากลับใจจากการเป็นมิจฉาทิฏฐิ มาเป็นสัมมาทิฏฐิ ข้าพเจ้าจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ อะไรจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอีกบ้าง ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าอยู่ในโลกนี้เหมือนคนตาบอด จึงขอยึดหลวงพ่อเป็นแสงสว่างตลอดชีวิต และขอรับใช้ช่วยงานหลวงพ่อตามความสามารถตลอดไป

◄ll กลับสู่ด้านบน