"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1 (ตอนที่ 5)
webmaster
-
14/7/09 at 15:48
«
ตอนที่ 1
«
ตอนที่ 2
«
ตอนที่ 3
«
ตอนที่ 4
«
ตอนที่ 6
«
ตอนที่ 7
สารบัญ
01.
กานดา อมาตยกุล
update 14 - 07 - 2552
02.
นวลน้อย โลพันธ์ศรี
update 15 - 07 - 2552
03.
ประชา สิกวานิช
update 16 - 07 - 2552
04.
วีวรรณ คำนวณกิจ
update 17 - 07 - 2552
05.
ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์
update 21 - 07 - 2552
06.
เดือนฉาย คอมันตร์
update 23 - 07 - 2552
07.
ดำรง นุตาลัย
update 27 - 07 - 2552
08.
ชาลินี เนียมสกุล
update 28 - 07 - 2552
09.
นุสมล สุขเสริม
update 31 - 07 - 2552
10.
นนท์ ปานเถื่อน
update 01 - 08 - 2552
11.
นิภา คงสุข
update 03- 08 - 2552
12.
บุญยืน คามพิทักษ์
update 10- 08 - 2552
13.
จินตนา จรัญวาศน์
update 17- 08 - 2552
14.
มาลินี โชติเลขา
update 20- 08 - 2552
15.
รัชนีพร ภู่กร
update 24- 08 - 2552
16.
สมพร บุณยเกียรติ
update 29- 08 - 2552
17.
สุนันท์ เจียรกุล
update 03- 09 - 2552
18.
สุภารัตน์ วงศ์งามนิจ
update 07- 09 - 2552
19.
จ่านายสิบตำรวจ สุวัฒน์ อั๋นประเสริฐ
update 11- 09 - 2552
20.
คัดนา บุนนาค
update 14- 09 - 2552
กานดา อมาตยกุล
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"........ปลายปี พ. ศ. 2515 ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ
ประวัติหลวงปู่ปาน โดยคุณอ๋อย(เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา)
ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอ่านแล้วถูกใจมาก เพราะปกติข้าพเจ้าง่วงเวลาอ่านหนังสือพระ แต่หนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าอ่านได้ตลอดและร้องให้ตอนหลวงปู่สิ้นชีวิต มีความอยากกราบผู้เขียน ต่อมาจึงได้ไปกราบท่านที่บ้านซอยสายลม เห็นหลวงพ่อขาวและหนุ่มมาก
ปี 2516 ได้มากราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง โดยที่
พี่สาวของข้าพเจ้า (คุณเยาวมาลย์ บุนนาค)
ได้อัญเชิญพระประธานมาถวายหลวงพ่อ และข้าพเจ้าได้มาอยู่วัดบ้าง กลับบ้านบ้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เหตุประทับใจหลวงพ่อของข้าพเจ้ามีอยู่เสมอ เหตุเกิดกับผู้อื่นโดยที่ข้าพเจ้าได้รับทราบมากมาย และที่ข้าพเจ้ามีส่วนอยู่ด้วยคือ ปี 2518 พระครูฐานาฯ ของหลวงปู่กล่อม(เจ้าคุณธรรมวราลังการ) วัดบุปผาราม ฝั่งธนบุรี องค์หนึ่งมาค้างที่วัดท่าซุงเสมอ
เย็นวันหนึ่งหลังจากที่ท่านหายไปหลายเดือน ท่านมาพักที่ตึกเสริมศรีฯ เมื่อท่านมาถึงที่ตึกซึ่งมีหลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์และข้าพเจ้าอยู่พร้อมหน้า ท่านพูดว่า
ผมฉันเจมา 3 เดือนแล้ว สบายมาก
ท่านพระครูพูดเสร็จก็พอดีระฆังขึ้นกรรมฐาน พระและข้าพเจ้ารวมทั้งท่านพระครูก็ไปศาลาพระกรรมฐานโดยขึ้นทางบันไดใหญ่ ส่วนหลวงพ่อท่านมีบันไดเฉพาะของท่านไม่ปนกัน
เมื่อขึ้นเทศน์สอน ท่านเทศน์ว่า
การกินเจนั้นเป็นของดี แต่ลำบากสำหรับผู้ต้อนรับ
เทศน์ถึงความลำบากของผู้ต้อนรับถ้าไม่มีของถวาย รวมทั้งความเศร้าหมองของผู้ต้อนรับด้วย ฯลฯ เมื่อลงจากกรรมฐานแล้ว ท่านพระครูได้ถามข้าพเจ้าว่า ใครไปฟ้องหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ตอบท่านว่า ไม่มีใครได้พบกับหลวงพ่อก่อนกรรมฐาน ขึ้นลงกันคนละบันได ไม่มีทางจะพบกันได้ ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นท่านพระครูออกบิณฑบาตรพร้อมกับพระ และฉันธรรมดากับพระวัดท่าซุงทุกองค์
เมื่อก่อนนี้ตอนเจริญพระกรรมฐาน ส่วนมากหลวงพ่อจะให้ศีลห้า มีอยู่วันหนึ่ง พวกเราไปทำธุระที่นครสวรรค์กลับมาก็ซื้อขนมมามาก จึงแก้ออกเพราะกลัวขนมเสีย แล้วจึงขึ้นไปหอพระกรรมฐาน คืนวันนั้น
หลวงพ่อท่านให้ศีลแปด!! พวกเรามองหน้าตามๆ กัน กลับมาต้องปิดห่อขนมใส่ตู่เย็น เลยสมน้ำหน้าตัวเองอยากตะกละนัก
เรื่องทั้งหมดที่ข้าพเจ้าประสบมาเกี่ยวกับหลวงพ่อนั้นมากมาย ที่เขียนมานี้เป็นส่วนน้อยเป็นเหตุทำให้ข้าพเจ้ามีความยึดมั่นในคำสั่งสอนของหลวงพ่อ และนึกอยู่เสมอว่า เราจะคิดหรือจะทำอะไร ทั้งดีเลว หลวงพ่อทราบทุกอย่าง ท่านจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น
แม้ท่านจะป่วยไข้ไม่สบาย ท่านก็จะเมตตาสั่งสอนพวกเราทุกโอกาสที่สอนได้ และการพูดหรือสอนนั้นจะแทรกธรรมะไว้ทุกตอน พระคุณของท่านนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะหาอะไรมาทดแทนท่านได้ตลอดชีวิต จะขอยึดมั่นท่านเป็นที่พึ่ง และขอปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อจนถึงซึ่งพระนิพพาน..
หมายเหตุ :
คุณกานดา (นิพัทธา) อมาตยกุล หรือใครๆ ก็เรียกกันว่า "พี่น้อย" เป็นครูฝึกสอนมโนมยิทธิท่านหนึ่งที่ได้ติดตามหลวงพ่อมานาน มีทิพจักขุญาณแจ่มใส โดยเฉพาะพี่น้อยมีความเคารพ "ท่านกรมหลวงชุมพร" เป็นอย่างยิ่ง เวลาใดที่ได้สัมผัสกับท่าน พี่น้อยจะมีอาการปีติน้ำตาไหลทันที
พี่น้อยได้มีโอกาสใกล้ชิดหลวงพ่อ ได้ฟังธรรมได้ปฏิบัติธรรมมานาน เวลาไปวัด "พี่น้อย" ก็ยังมีโอกาสดีกว่าผู้อื่น คือได้เข้าไปทำความสะอาดในห้องส่วนองค์ของหลวงพ่อ (ตึกอินทราพงศ์ และ ตึกกลางน้ำ) พี่น้อยเป็นอีกคนหนึ่งที่หลวงพ่อบอกไว้ ในจำนวนผู้ที่มีรายชื่อที่เกิดในยุค "สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น" แต่จะเป็นใครนั้นคงจะเปิดเผยในที่นี้ไม่ได้ ปัจจุบันพี่น้อยนอนป่วยอยู่กับที่มานานหลายปีแล้ว
ทางทีมงาน "เว็บวัดท่าซุง" จึงขอแสดงความระลึกถึง และขออนุโมทนาความดีที่ "พี่น้อย" ได้อุตส่าห์ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ ได้เสียสละเพื่องานพระพุทธศาสนาตลอดมา จนกระทั่งล้มป่วยลงไป เวลานี้พี่น้อยก็คงรอคอยเวลาที่จะมาถึง อย่างน้อยที่สุด "พี่น้อย" มีความพอใจใน "พระนิพพาน" ตลอดมา หวังว่า "พี่น้อย" คงจะสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ..
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
15/7/09 at 11:00
นวลน้อย โลพันธ์ศรี
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"......เรื่องต่อไปนี้ ขอให้เป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังค่ะ ดิฉันคิดว่า จะต้องมีลูกศิษย์ของหลวงพ่อหลาย ๆ คน ที่มีความปรารถนาอยากมากราบหลวงพ่อ เพื่อขอเป็นศิษย์ของท่าน ก็เนื่องมาจากได้อ่าน
หนังสือประวัติหลวงปู่ปาน
ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพของ
คุณหลวงอรรถไกวัลวที
ซึ่งบุตรสาวคือ
คุณอรอนงค์
เป็นผู้พิมพ์แจก
เพราะเมื่อดิฉันได้อ่านแล้ว มีความรู้สึกอยากไปกราบหลวงพ่อท่าน และขอเป็นลูกศิษย์ด้วยเถิด สาธุ..สาธุ..บังเอิญคุณอรอนงค์ เป็นน้องคุณไกวัลย์ ซึ่งเป็นเพื่อนของดิฉัน ได้บอกกับคุณอรอนงค์ว่าอยากไปกราบหลวงพ่อมาก แล้ววันหนึ่งดิฉันก็ได้ไปสมปรารถนา
คุณอรอนงค์ได้นัดว่า จะพาไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงสองวันนี้ บังเอิญจำวันที่ไม่ได้ ดิฉันก็ได้ชวนพี่เจริญ เจริญมานิตย์ไปด้วย (ขอบคุณ คุณอรอนงค์ ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ) ได้ไปบางลำภู จัดซื้อพาน ธูป เทียนแพ กระทงกรวยดอกไม้ เพื่อนำไปกราบนมัสการ ขอเป็นลูกศิษย์ของท่าน ของดิฉัน 1 ชุด พี่เจริญ 1 ชุด
รุ่งเช้าออกเดินทางไปวัดท่าซุง คุณอรอนงค์อุตส่าห์นำรถมารับที่บ้าน ไปถึงวัดท่าซุง ท่านฉันเพลเสร็จแล้ว แต่กำลังมีผู้มากราบพบท่านและคุยกันอยู่ ตอนที่ดิฉันไปนั้น กำลังสร้างตึกเกษมศรี ยังไม่ขึ้นหลังคา กำลังเทเสา ดิฉันมีความรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากที่จะได้มากราบท่าน จำได้ว่าพี่นนทาออกมารับ
เมื่อพาเข้าไปนั้น ท่านยังคุยกับแขก พอแขกกลับ คุณอรอนงค์ก็พาดิฉันกับพี่เจริญเข้า ไปกราบนมัสการท่าน ดิฉันกับพี่เจริญก็คลานถือพานธูปเทียนแพเข้าไป ไม่ทราบเป็นอย่างไร ดิฉันมือไม้สั่นจนธูปเทียนแพ กระทงดอกไม้เทตกจากพาน ดิฉันรีบเก็บวางบนพาน ด้วยมือที่สั่นเทาเป็นเจ้าเข้า
เมื่อคลานเข้าไปกราบถวายพานแล้ว เงยหน้าขึ้นท่านก็ทักว่า
โยมยังอยู่นี้อีกเรอะ...ใครๆ เขาไปดาวดึงส์กันหมดแล้ว..!
ดิฉันมีความรู้สึกบอกไม่ถูก..อยากร้องไห้ออกมาดังๆ สู้สะกดไว้
เอ..นี่เราเป็นอะไรไปนะ กลัวท่านมากหรืออย่างไร? ดีใจมากหรืออย่างไร? บอกไม่ถูกความรู้สึกตอนนั้น ซึ่งอาการเหล่านี้ ดิฉันไม่เคยเป็น เมื่อเวลาไปกราบหลวงพ่อ หรือพระอาจารย์ท่านที่ไหนๆ ก็ตาม จะว่าไม่เคยไปกราบพระที่ไหน หรือไม่เคยไปวัดก็ไม่ใช่ เพราะก่อนจะไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ก็ได้ไปวัดต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมาแล้วหลายแห่ง เหนือ ใต้ อีสาน ไม่เคยมีอาการอย่างนี้มาก่อน รู้สึกแปลกจริงๆ
เมื่อถวายท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านคุยสักครู่ก็ขึ้นพัก คืนนั้นได้ค้างที่ตึกกรรมฐานขาว 1 คืน รุ่งขึ้นตอนเช้าไปกราบลาท่านที่กุฏิ ท่านได้กรุณาเล่าเรื่องในอดีตชาติของดิฉันให้ฟัง ดิฉันดีใจมากจนน้ำตาไหล ได้นึกอยู่ในใจว่า
โอ... ชีวิตนี้ โยมถวายท่านได้เพื่อปกป้องท่าน และท่านได้แนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตักเตือนให้ถือศีลห้าให้ครบถ้วน นับตั้งแต่นั้นมา ดิฉันก็เริ่มฝึกสมาธิ ถือศีลให้ถูกต้อง นับว่าเริ่มเรียนกันใหม่ ดิฉันเริ่มเข้าใจในการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นคืออะไร พอคุยได้นิดๆ หน่อยๆ พอให้ดิฉันเข้าใจเอง
ดิฉันนึกถึงพระคุณของหลวงพ่อมาก สิ่งใดที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นก็พอได้รู้ได้เห็นบ้าง เมื่อดิฉันและสามีมีเรื่องเดือดร้อนแก้ปัญหาไม่ตก ท่านจะกรุณาแนะนำ และช่วยคลี่คลายปัญหานั้น จนลุล่วงไปได้ด้วยดีทุกครั้ง แม้แต่ลูกๆ ของดิฉันท่านก็มีความเมตตา ดิฉันระลึกถึงพระคุณท่านเสมอ
ดิฉันยังไม่มีโอกาสที่จะรับใช้หลวงพ่อเหมือนเมื่อก่อน ระยะนี้แม้จะไม่ได้รับใช้ท่าน และประพฤติปฏิบัติธรรมใกล้หลวงพ่อเหมือนเมื่อก่อน แต่ดิฉันก็มีรูปท่าน มีเทปคำสั่งสอนและเทศน์ของท่านอยู่กับดิฉันตลอดเวลา เมื่อใดที่จิตของดิฉันคิดไม่ดีหรือมีอะไรไม่สบายใจ มีความกังวล ดิฉันจะพูดและท่องออกมาจากปากว่า
คิดถึงหลวงพ่อ
เป็นการห้ามจิตที่คิดไม่ดี ความกังวลและความไม่สบายใจจะหายและหยุดคิดสิ่งไม่ดีนั้นได้ชะงักนักแล
เวลาที่ดิฉันได้ข่าวท่านอาพาธ ดิฉันเป็นห่วงท่าน ก็ได้แต่ถามข่าวเท่านั้น เพราะมีความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า ท่านมีนายแพทย์ที่มีความสามารถอยู่ดูแลท่านตลอดเวลา
ในฐานะที่ดิฉันเป็นศิษย์คนหนึ่งจึ่งขอกราบนมัสการนิมนต์หลวงพ่อ
พระคุณท่านพระราชพรหมยาน
ขอได้อยู่เจริญพรรษาอีกนานๆ ขอเป็นร่มโพธิ์แก้วของศิษย์ทั้งหลาย จนกว่าจะเข้าถึงนิพพานทุกคนค่ะ โดยเฉพาะโยมค่ะ
ขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย และ ขอกราบขอขมาต่อหลวงพ่อด้วยค่ะ
หมายเหตุ
พี่นวลน้อยเป็นผู้ที่มีจิตใจแจ่มใส ร่าเริง ใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอเวลาที่ทักทายกัน จึงเป็นที่รักและเคารพนับถือในหมู่ลูกศิษย์หลวงพ่อฯ ถือว่าเป็นผู้มีอาวุโสท่านหนึ่ง ในจำนวนลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงพ่อฯ เวลามีงานสำคัญของวัด พี่นวลน้อยจะเดินทางไปมาอยู่เสมอ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พี่นวลน้อยจะห่างเหินไปจากวัดสักหน่อย เนื่องจากร่างกายเดินไม่ค่อยไหว
ถ้าจะย้อนอ่านตามบันทึกข้างบนของพี่นวลน้อย ที่เล่าว่าได้อ่าน
หนังสือประวัติหลวงปู่ปาน
ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพของ
คุณหลวงอรรถไกวัลวที
ซึ่งบุตรสาวคือ
คุณอรอนงค์
เป็นผู้พิมพ์แจก ซึ่งหลวงพ่อมักจะเรียกคุณอรอนงค์ คุณะเกษม ว่า "หมอนิดบิดตระกูด" นั่นหมายความว่า พี่นวลน้อยได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ปี 2515 - 2516 ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้จัดพิมพ์จำหน่ายเหมือนในปัจจุบันนี้
ส่วนที่หลวงพ่อทักว่า โยมยังอยู่นี้อีกเรอะ...." นั่นหมายความว่า หลวงพ่อท่านจำพี่นวลน้อยได้ ว่าเคยมีอดีตประวัติเกี่ยวข้องกับท่าน แต่พี่นวลน้อยบอกว่า "ท่านได้กรุณาเล่าเรื่องในอดีตชาติของดิฉันให้ฟังนั้น.." ไม่เห็นพี่นวลน้อยบันทึกให้พวกเราอ่านกันบ้างเลย
แหม..ตอนนี้คงมีคนอยากรู้บ้างเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ว่าพี่นวลน้อยเคยเกิดเป็นอะไรในชาติที่หลวงพ่อท่านเกิดเป็น
"ขุนแผน"
นะ ถ้าพี่นวลน้อยรู้ข่าวในเว็บไซด์นี้ ต้องขอประทานอภัยที่จะขอล่วงละเลิดสิทธิ์ส่วนบุคคล เพราะหากไม่เปิดเผย นานไปความรู้ที่หลวงพ่อบอกไว้ก็จะสูญหายไปด้วย
ขอบอกว่า..พี่นวลน้อย..เคยเกิดเป็น..
"นางทองประศรี"
มาก่อน ภายหลังพวกเราเรียกพี่นวลน้อยว่า "ย่า" เหมือนกับเรียก พี่เฉลียว อาณาวรรณ ว่า "ย่าเหลียว" เช่นกัน เนื่องจากทั้งสองคนนี้หลวงพ่อบอกว่าเคยเป็น "แม่" ของท่านมาก่อน ส่วนนางทองประศรีเป็นใคร ไปถาม "ท่านขุนไกร" ที่วัดท่าซุงก็ได้ไงล่ะ..อย่าทำเป็นงง..!!!
และยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พี่นวลน้อยไม่ได้บันทึกไว้ แต่ผู้เขียนได้รับการเล่ามาจากพี่นวลน้อยโดยตรง พี่บอกว่าแต่ก่อนเคยเอาพวกแมลงสาบที่วิ่งเพ่นพล่านอยู่ในบ้านใส่เตาปิ้งไฟฟ้า หลวงพ่อบอกว่าพวกสัตว์เหล่านี้ทุกตัวตน มันก็เคยเป็นคนมาก่อน เราฆ่าสัตว์หนึ่งตัว เท่ากับฆ่าคนหนึ่งคนเหมือนกัน ตั้งแต่นั้นมา พี่นวลน้อยบอกว่า จะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเลย...!!!
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
16/7/09 at 11:58
ประชา สิกวานิช
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........จากหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน ทำให้คณะ อันประกอบด้วยครอบครัวและเพื่อนที่สนใจในทางธรรมเดินทางไปยังวัดท่าซุง เพื่อจะได้กราบนมัสการหลวงพ่อ
โยมมาจากไหนกันล่ะ
หลวงพ่อทักทายเมื่อได้กราบนมัสการท่านเป็นคำแรกจากท่าน
ผมมาจากกรุงเทพฯ กันครับ
มาตามสายหรือมาตามเสียง
(หลวงพ่อหมายถึงว่าฟังจากวิทยุหรืออ่านหนังสือ)
มาตามสายครับหลวงพ่อ
แล้วก็ได้สนทนากับท่านอยู่เป็นเวลาพอสมควร ก็ได้กราบลาท่านกลับ
จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ที่หลวงพ่อได้เมตตาสั่งสอน และให้ได้ใกล้ชิดกับท่านก็นับเป็นเวลาเกือบ 20 ปีเศษ การเดินทางไปวัดท่าซุง แม้น้ำจะท่วมทางเข้าวัด จนรองเท้าในรถลอยไปลอยมา ก็ยังไป จะเป็นถิ่นกันดารหรือเต็มไปด้วยอันตราย ตามชายแดน ก็ได้ติดตามหลวงพ่อไป จนเรียกว่าจะรอบขอบเขตอาณาจักรไทย เหนือสุด ใต้สุด สุดตะวันออก และสุดตะวันตก
เหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ในการเดินทางไปกับหลวงพ่อ ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่รถโฟล์คตู้กำลังบ่ายหน้าไปสุโขทัย เมื่อเลยนครสวรรค์ไปเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 100 กม./ชม. รถจักรยานยนต์ที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ขณะที่ตามกันมาก็ให้สัญญานเลี้ยวซ้าย รถโฟล์คตู้ จึงตีออกขวา เพื่อจะได้หลบและแซงขวาไปตามเกณฑ์ของความเร็ว
แต่รถจักรยานยนต์เจ้ากรรม ไม่ได้เลี้ยวซ้ายตามสัญญานที่ให้ กลับเลี้ยวขวาอย่างทันใด รถเราก็เลยต้องหักออกขวาตาม ก็ยังไม่พ้นรถจักรยานยนต์อยู่ดี เฉี่ยวรถจักรยานยนต์ล้มลง มารู้ภายหลังว่าคนขับข้อเท้าหัก แต่รถของเราซิเหาะลงข้างทาง
เมื่อมาถึงทางแยกที่รถจักรยานยนต์จะเลี้ยวเข้า ไหล่ทางตอนนั้นก็สูง ขนาดหลังคารถโฟล์คตู้เห็นจะได้ รถได้พุ่งไปโดยไม่เสียหลักเลย แม้ล้อจะไม่แตะพื้นขณะที่หลุดจากไหล่ทางลงไปประมาณ 10 กว่าเมตร รถที่ตามหลังมาในขบวนตกใจมาก เพราะฝุ่นตลบไปหมด
เสียงชาวบ้านที่อยู่แถบนั้น ตะโกนลั่นไปหมดว่า
หมดแล้ว หมดแล้ว..!
แต่ทว่าเสียงในรถกลับเงียบกริบ
หลวงพ่อนั่งสงบนิ่งอยู่ คุณโฉมเฉลาบอกทุกคนให้ "พุทโธ" เข้าไว้ "พุทโธ" เข้าไว้
อันนี้แหละ จึงกล่าวได้ว่า สติของลูกศิษย์หลวงพ่อตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา
ครอบครัวของผมทั้งหมดอยู่ในรถ ลูกชายสามคนนั่งข้างหน้ากับคนขับ ผมนั่งกับหลวงพ่อ ภรรยาและคณะนั่งอยู่เบาะหลัง เมื่อรถได้แตะพื้น และหยุดนิ่งลงด้วยเบรก ประกอบด้วยกับฝีมือคนขับที่ไม่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ เราทุกคนปลอดภัยไม่มีใครบาดเจ็บเลย
ทุกวินาทีผ่านไปราวกับปาฏิหาริย์ เราเปิดประตูรถลงมา หลวงพ่อก็เดินลงมาดูว่า รถจะเป็นอะไรบ้างไหม รถในขบวนตามมาถึงพอดี ทุกคนบอกว่าใจหายหมด แต่แล้วก็ดีใจที่เห็น หลวงพ่อเดินฝ่าฝุ่นออกมา ชาวบ้านวิ่งมาถึงรถ ก็แสดงความแปลกใจที่รถและผู้โดยสารปลอดภัยหมด
พร้อมทั้งบอกว่า
ต้นมะม่วงข้างทางที่รถเหาะข้ามมานั้น เพิ่มจะโค่นลงเหลือแต่ตอเมื่อ 2-3 วันมานี้เอง ไม่เช่นนั้นรถคงจงชนประสานงากับต้นมะม่วง เมื่อพ้นจากไหล่ทางทันที ก็เลยทำให้เราทุกคนต้องขอบคุณเทวดา ที่ท่านได้อนุเคราะห์ ให้รถหลวงพ่อเหาะลงแตะพื้น ราวกับเครื่องบินอย่างนุ่มนวล หลวงพ่อบอกว่า เทวดาท่านมาช่วยกันพยุงไว้เต็มไปหมด
เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี และที่ประทับใจที่สุดของคณะก็คือ สติที่มั่งคงไม่หวั่นไหว แม้ในยามนั้น แทนที่จะร้องกรีดกลัว กลับเป็นว่า ให้พุทโธกันเข้าไว้ นี่แหละศิษย์ของหลวงพ่อเราแหละ และศิษย์ทุกคนก็คงจะปฏิบัติได้เช่นเดียวกันแม้ในยามคับขันเช่นนี้ ซึ่งมีความตายคอยอยู่ข้างหน้าแค่ปลายจมูกก็ตาม
เมตตาบารมีของหลวงพ่อที่มีต่อคณะและครอบครัวของผม ยังคงมีเสมอมาโดยตลอดมิได้ขาด ธรรมเพื่อความหลุดพ้นของหลวงพ่อ ก่อให้เกิดความผูกพันทางใจที่บันดาลจิตให้ตื่น และเบิกบานในธรรมนี้แหละเป็นที่พึ่ง อันจะหาที่พึ่งอื่นเสมอมิได้เลยตลอดชีวิต.
หมายเหตุ
น.ต.ประชา สิกวานิช อดีตเคยดำรงตำแหน่ง ประธานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร และเคยรับราชการเป็นนายทหารเรือมาก่อน ต่อมาได้ลาออกมาประกอบอาชีพส่วนตัว โดยมีโรงงานทำพลาสติก มีภรรยาชื่อว่า คุณอรุณ สิกวานิช ทั้งคู่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมานาน น่าจะเป็นยุคต้นๆ อีกเช่นกัน ตามที่ได้ตอบหลวงพ่อว่า "มาตามสาย" คือมาจากการอ่านหนังสือนั่นเอง
สมัยนั้น "หนังสือหลวงพ่อปาน" เพิ่งจะเริ่มพิมพ์ออกจำหน่ายที่บ้านสายลม คนที่อ่านแล้วเกิดมีความศรัทธา นั่นหมายความว่ามาตาม
"ใบสั่ง"
คำว่า "ใบสั่ง" ลูกศิษย์สมัยก่อนถือว่า ใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว จะต้องไปพบหลวงพ่อตามใบสั่ง คือ
เมื่อปี 2515 หลวงพ่อจะขอลาเข้าสู่พระนิพพาน แต่ท่านปู่พระอินทร์ได้ขอร้องให้หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ก่อน เพราะคนของท่าน คนของหลวงพ่อ คนหลวงปู่ปาน คนของสมเด็จองค์ปัจจุบันยังมาไม่ครบ
หลวงพ่อบอกว่า ก็รออยู่ตั้งนานแล้วทำไมไม่มาเสียทีล่ะ ท่านปู่พระอินทร์บอกว่า เอาละ..ต่อไปนี้ผมจะเกณฑ์เข้ามาละนะ หลวงพ่อต่อรองว่าคนนอกไม่ต้องเอาเข้ามานะ เพราะเวลามีน้อย (คำว่า "คนนอก" หมายถึงถ้าไม่ใช่สายของท่าน ก็ให้กันออกไปเลย)
เป็นอันว่าหลังจาก
"หนังสือหลวงพ่อปาน"
ออกมาเผยแพร่สู่สายตาท่านสาธุชนแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2515 ปรากฏว่ามีผู้คนสนใจกันมาก ต่างก็ตามหาว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน แม้แต่ผู้เขียนเองก็เช่นกัน ต้องไปสืบหาถึงวัดบางนมโคโน่นนะ
ตานี้ขอย้อนกลับมาถึงคุณพี่ทั้งสอง คือ พี่ประชาและพี่อรุณ เมื่อปี 2518 ผู้เขียนได้มีโอกาสไปที่บ้านที่ยศเส เนื่องจากคุณพี่ทั้งสองชวนไปกราบ
หลวงปู่บุดดา ถาวโร
ซึ่งผู้เขียนได้กราบนมัสการหลวงปู่บุดดาเป็นครั้งแรกที่บ้านพี่ประชานี่เอง
คุณพี่ทั้งสองได้มีโอกาสติดตามไปทุกแห่งที่หลวงพ่อเดินทาง ไม่ว่าจะไปบวงสรวงที่พระธาตุจอมกิตติและพระธาตุดอยตุง แม้กระทั่งไปเยี่ยมเยียนทหารตำรวจตระเวณชายแดนในที่ทุกหนทุกแห่ง สมัยนั้นลูกศิษย์หลวงพ่อยังไม่มาก ส่วนใหญ่จะรู้จักกันทั้งนั้น
ภาพนี้เป็นภาพเดียวที่เหลืออยู่ : หลวงพ่อและหลวงปู่จากภาคเหนือ
ขณะนั่งรอที่จะเข้าไปทำพิธีปลุกเสกภายในพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศน์ฯ
เมื่อปี พ.ศ. 2518 งานสำคัญที่พี่ประชาและพี่อรุณได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อฯ นั่นก็คือจัดทำ
"ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม"
นับจำนวนเป็นแสนผืน พร้อมกับ "เสื้อยันต์" อีกด้วย เพื่อเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่ วัดบวรนิเวศน์ฯ กรุงเทพฯ เพื่อนำไปแจกให้แก่ทหารตำรวจตระเวณชายแดนทั่วประเทศ ผ้ายันต์ธงแดงชุดนี้ จึงยังคงเหลืออยู่ที่วัดท่าซุงจนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งเป็นผลงานที่พี่ประชาจัดทำถวาย ด้วยการพิมพ์ยันต์ลงไปในผืนผ้าแดงนับสิบม้วน
งานมหาพิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ทรงมีพระราชประสงค์ให้หลวงพ่อนิมนต์พระสุปฏิปันโนทางภาคเหนือเดินทางมาร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย พร้อมกับพระองค์ได้ทรงอาราธนาพระเกจิอาจารย์สายอื่นๆ มาร่วมพิธีอีกมากมายหลายสิบรูป
ผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามนี้ จึงเป็น "วัตถุมงคล" ที่พิเศษของวัดดังกล่าวแล้ว คุณพี่ประชาจึงมีอุปการคุณแก่วัดเป็นอันมาก สมควรที่จะได้ยกย่องเป็นปูชนียบุคคลอีกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่พี่ประชาได้จากโลกนี้ไปตามกฏธรรมดา หลังจากได้รับพระราชทานเพลิงศพไปไม่นานนี่เอง.
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
17/7/09 at 09:56
วีวรรณ คำนวณกิจ
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........หลวงพ่อเจ้าค่ะ ลูกดีใจเมื่อทราบว่าหลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น
พระราชพรหมยาน
แต่ลูกขออนุญาตหลวงพ่อ ขอเรียกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อ ต่อไป เพราะลูกต้องเรียกหลวงพ่อให้ช่วยลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าลูกจะมีความทุกข์ หรือลูกจะได้รับอันตราย ลูกต้องการความคุ้มครอง
ลูกจำได้เสมอว่า
หลวงพ่อได้เมตตาต่อลูก ทำให้ลูกมีความรู้สึกเข้มแข็งที่จะต้องผจญกับเหตุการณ์ต่างๆ
ลูกต้องระลึกถึงพระคุณของหลวงพ่อ ลูกต้องขอยึดเหนี่ยวหลวงพ่อ
ลูกจำได้ว่า
หลวงพ่อสอนไม่ให้ติดในบุคคล ให้ยึดเหนี่ยวคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นที่พึ่ง
ลูกก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่หลวงพ่อสอนลูกไว้ ลูกได้กราบไหว้และระลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ และยึดเหนี่ยวคำสั่งสอนของท่านไว้เป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ลูกก็อดไม่ได้ที่จะยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งของลูกอีกองค์หนึ่งด้วย
ลูกยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่ลูกมีความทุกข์ และต้องการความช่วยเหลือ ต้องการความคุ้มครอง เมื่อลูกไปกราบหลวงพ่อและรับพรจากหลวงพ่อแล้ว รู้สึกเหมือนมีกรอบคุ้มกันลูกให้ปลอดภัย ทำให้ลูกเข้มแข็ง กล้าเผชิญต่อเหตุการณ์ร้ายๆ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปด้วยดี และปลอดภัย
อีกครั้งหนึ่งที่คณะของลูกได้เดินทางตามหลวงพ่อไป เนื่องจากพวกเราต้องทำงานกัน จึงต้องเดินทางตามคณะหลวงพ่อไปตอนหลัง โดยออกเดินทางเวลากลางคืน ไปที่วัดที่อำเภอแม่สอด พวกเราได้เดินทางโดยรถบัสขนาดกลาง พวกเราให้ชื่อรถคันนั้นว่า
ต่องแต่ง
และ
โตงเตง
บังเอิญผู้ที่อาสาขับรถให้ยังไม่ชำนาญรถคันนี้ ก็ไม่สามารถขับขึ้นเนินเขาสูงได้ พวกเราจึงต้องค่อยๆ คลานลงจากรถทีละคน ลงมาอยู่กลางป่า ในความมืดและวังเวง
ลูกยังจำได้ว่าทุกคนร้องหาหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อช่วยลูกด้วย คนไหนช่างพูด ก็พรรณนาหาหลวงพ่อมากมายจนจำคำพูดไม่ได้ คนไหนไม่ช่างพูดก็พรรณนาถึงหลวงพ่อน้อยหน่อย แต่อาจจะเรียกหาหลวงพ่ออยู่ในใจ ต่อมาประมาณครึ่งชั่วโมง ผู้ที่ขับรถก็สามารถแก้สถานการณ์ได้โดยง่าย ทุกๆ คนก็บอกว่า
เห็นไหม บารมีของหลวงพ่อ
ทำให้รถวิ่งได้ฉิวไปเลย
ลูกมานึกขำว่าเมื่อกี้นี้ร้องเรียกหาหลวงพ่อกันระงม แต่ตอนนี้ก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ลูกมาคิดๆ ดูว่าพวกเรานี่ ช่างหาเรื่องกวนหลวงพ่อกันเสียจริงๆ หลวงพ่อไม่ต้องหลับต้องนอนกัน ทำอะไรไม่ได้ก็ร้องหาหลวงพ่อกัน ลูกๆ พวกนี้ช่างเป็นลูกที่งอแง เลี้ยงไม่รู้จักโตกันเสียที
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้น เมื่อพวกเราเพิ่งมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อใหม่ๆ ขณะนี้พวกเรารู้สึกว่าได้รับคำสั่งสอนของหลวงพ่อมากขึ้น จนสามารถปฏิบัติตัวและรู้แจ้งมากขึ้น สามารถพิจารณาได้ดีขึ้น ก็มีความรู้สึกเข้าใจในความทุกข์ ความกลัว และสามารถทำจิตใจได้ และสามารถระงับอารมณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น
ต่อไปนี้ก็คงจะรบกวนหลวงพ่อน้อยลงไปได้บ้าง แต่หลวงพ่อก็คงจะยังเหนื่อยอยู่ ซึ่งอาจจะต้องเหนื่อยกว่าเดิม เพราะหลวงพ่อมีลูกเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ลูกๆ พวกนี้ก็คงจะร้องให้หลวงพ่อช่วยเหมือนพวกเราอีกก็เป็นได้
ลูกจำความเมตตาของหลวงพ่อในการร่วมเดินทางไปกับหลวงพ่อ ไม่ว่าเดินทางในประเทศหรือต่างประเทศ หลวงพ่อมีความห่วงใยดูแลทุกข์สุขของลูกๆ ทุกคนเหมือนๆ กัน ทำความปลาบปลื้มให้กับลูกๆทุกคน
พวกคณะของลูกทุกคนมีความซาบซึ้งในตัวหลวงพ่อมาก พวกเราทุกคนถ้าติดตามหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด ก็รู้สึกมีความอบอุ่นมั่นใจ มีความสุขใจ ลืมความทุกข์ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะตลอดเวลาท่านพูดคุยกับลูกๆ พร้อมกับสอดแทรกคำสั่งสอนให้พวกลูกๆ
ลูกคิดว่าถ้าทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อ ทุกคนก็จะมีความสุข และมุงมั่นที่จะประกอบกรรมดี เพื่อความสุขในภพนี้และภพหน้า และจะมีการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี
ความจริงลูกยังมีเรื่องราวอีกมากมายนัก ถ้าจะบรรยายกันก็คงจะไม่มีวันจบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประทับใจลูกอยู่ตลอดเวลาก็คือ ความเมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อลูก คำสั่งสอนขอหลวงพ่อที่ได้อบรมสั่งสอนลูก ลูกไม่จำเป็นต้องเอามาเล่าให้ทุกๆคนฟัง เพราะคิดว่าลูกหลวงพ่อก็คงได้รับเหมือนๆ กันทุกคน และทุกๆ คนก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่ออย่างดีมาแล้วทุกคน
ลูกจึงขอกราบหลวงพ่อ และยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจของลูกและขอปวารณาตัวเป็นลูกที่มีความกตัญญู รับใช้หลวงพ่อไปจนตราบชิวิตจะหาไม่..
หมายเหตุ
บันทึกของคุณหมอวีวรรณนี้ นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก บ่งบอกถึงความศรัทธาของ "พี่หมอ" ที่มีต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ แต่พี่หมอไม่ได้เล่ารายละเอียดตั้งแต่ต้นว่า พี่หมอได้พบหลวงพ่อเมื่อไร และมีเหตุอะไรที่สนใจในพระพุทธศาสนา พี่หมอวีวรรณทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ เป็นคนที่มียศมีตำแหน่งด้วย
แต่ว่าพี่หมอก็เป็นคนอ่อนโยน ไม่ถือเนื้อถือตัว มีความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา โดยได้ซื้อรถมินิบัสถวายหลวงพ่อเพื่อไว้ใช้งาน หลวงพ่อจึงตั้งชื่อว่า
"ต่องแต่ง"
ส่วนรถ
"โตงเตง"
เป็นรถมินิบัส 25 ที่นั่งเช่นกัน ท่านเจ้ากรมเสริมและพี่อ๋อยเป็นผู้ซื้อถวายใช้ในงานของศูนย์สงเคราะห์ฯ ซึ่งเป็นรายได้ในการจำหน่ายหนังสือและวัตถุมงคลที่บ้านสายลม ปัจจุบันรถทั้งสองคันนี้หมดสภาพไปตามกาลเวลาแล้ว
ถึงแม้พี่หมอจะไม่ได้เล่าว่าพบหลวงพ่อเมื่อไร แต่ถ้าใครได้ไปวัดท่าซุง จะเห็นชื่อของพี่หมอวีวรรณ คำนวณกิจ ติดอยู่ที่ซุ้มประตูด้านข้างพระอุโบสถ นั่นหมายถึงว่า พี่หมอได้พบหลวงพ่อตั้งแต่ปี 2517 หรือก่อนปี 2517 ด้วยซ้ำไป และคงจะได้อ่านหนังสือ
"ประวัติหลวงพ่อปาน"
เช่นกับคนอื่นๆ มาแล้ว
ผลงานในด้านการอุปถัมภ์วัดท่าซุงของพี่หมอมีมากมาย หากจะบรรยายก็คงจะไม่หมด เสียดายที่พี่หมอบันทึกน้อยไป แต่ตามบันทึกของพี่หมอเรียกตัวเองว่า "ลูก" ทุกคำ นั่นเป็นอันที่รู้กันว่า คุณหมอมีความรู้สึกรักและเคารพหลวงพ่อ เสมือนเป็นพ่อบังเกิดเกล้าจริงๆ
ทาง "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" จึงได้มีโอกาสนำเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ มาเล่าเสริม แต่อาจจะเล่าไม่ครบทุกท่าน ทางทีมงานต้องขออภัยด้วย หรืออาจจะเล่าผิดพลาดไปบ้าง เพราะเหตุการณ์ผ่านมานานหลายสิบปี แต่ก็มีท่านผู้ชมเข้ามาอ่านกันเยอะ แสดงให้เห็นว่า
"ลูกศิษย์บันทึก"
ตอนพิเศษนี้ คือมีการเล่าเสริมเป็นพิเศษจริงๆ
ในท้ายที่สุดนี้ ขอย้อนนำบันทึกในตอนสุดท้ายของพี่หมอที่กล่าวว่า..
ลูกจึงขอกราบหลวงพ่อ และยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจของลูกและขอปวารณาตัวเป็นลูกที่มีความกตัญญู รับใช้หลวงพ่อไปจนตราบชิวิตจะหาไม่..
นับว่าเป็นคำลงท้ายที่มีความหมายยิ่ง ควรที่ลูกหลานหลวงพ่อทุกคน จะได้ยึดถือเป็นแบบอย่างเช่นกัน คำว่า "กตัญญู" หมายถึงการประพฤติตนตามคำสอนของท่าน หรืออุปถัมภ์บำรุงวัดท่าซุงที่ท่านสร้างไว้ ก็ถือว่าได้แสดงความกตัญญูต่อองค์หลวงพ่อแล้ว ไม่ใช่วอกแวกไปโน่นไปนี่เหมือนสมัยนี้
ผลงานของพี่หมอนับเป็นเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงความ "กตัญญู" ต่อหลวงพ่อตลอดมา ทั้งได้มีโอกาสกระทำตามบันทึกที่กล่าวไว้เป็นคำสุดท้ายว่า..
"จะขอรับใช้หลวงพ่อไป..จนตราบชิวิตจะหาไม่.."
คำนี้ก็เป็นจริงสมดังเจตนาของ "พี่หมอ" แล้วทุกประการ เพราะพี่หมอก็ได้ปฏิบัติจนหลวงพ่อจากไปก่อน ต่อมาภายหลังพี่หมอ...ก็ได้จากโลกนี้ไปแล้วเช่นกัน..!
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
21/7/09 at 08:34
ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์
หลวงพ่อมีความเมตตาอันหาประมาณที่สุดไม่ได้
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........เมื่อกลางปี พ.ศ. 2513 ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ
ประวัติหลวงพ่อปาน
วัดบางนมโค อ.เสนา จ. พระนครศรีอยุธยา ประพันธ์โดย พระมหาวีระ ถาวโร ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสในเมตตาบารมีของหลวงพ่อปานมาก จึงได้ขอร้องให้
ม.ร.ว.คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุล
ช่วยพาข้าพเจ้าเข้านมัสการหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ที่บ้าน
พล อ.ท.ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์
ซอยสายลม ถนนพหลโยธิน เพื่อจะได้เรียนและฝึกปฏิบัติธรรมบ้าง
ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่า หลวงพ่อเป็นพระอาจารย์สอนด้านสมถวิปัสสนากรรมฐาน มี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักใหญ่ ณ ศูนย์ปฏิบัติพระกรรมฐาน วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี ศูนย์ปฏิบัติธรรมนี้ หลวงพ่อสร้างขึ้นเพื่อบูชาพระคุณหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นพระปรมาจารย์ของหลวงพ่อ ที่ศูนย์นี้มีพระภิกษุสงฆ์ พุทธบริษัท ประชาชน จากจังหวัดต่างๆ มาปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ
นอกจากนี้แล้วหลวงพ่อยังเป็นนักพัฒนาช่วยเหลือผู้ยากจน โดยได้พาพระสงฆ์และคณะศิษย์พร้อมด้วยประชาชนผู้มีจิตเมตตาออกเยี่ยมและบริจาคเครื่องอุปโภคและบริโภคแก่ราษฎรที่ยากไร้ในแดนทุรกันดารทุกภาค เพื่อให้ผู้ยากจนเหล่านั้นได้มีการกินดีอยู่ที่ดีขึ้น หลวงพ่อช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแก่พี่น้องชาวไทย โดยให้ทั้งวัตถุและกำลังใจด้วยรสพระธรรมที่ง่ายๆ ฟังแล้วก่อให้เกิดความหวังที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป การช่วยเหลือเป็นไปตามความเหมาะสมและความต้องการของผู้ขาดแคลนในท้องถิ่นนั้นๆ
นอกจากหลวงพ่อจะได้ช่วยเหลือราษฎรแล้ว หลวงพ่อยังได้พาพระภิกษุสงฆ์และคณะศิษย์ออกเยี่ยมมอบอาหาร ยารักษาโรค เครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และวัตถุมงคลแก่ทหารและตำรวจที่ประจำหน้าที่ป้องกันภัยตามชายแดนของประเทศในจังหวัดต่างๆ ทุกภาคเป็นประจำ
การออกไปสงเคราะห์ราษฎรและทหารตำรวจนี้ ได้ดำเนินมาอย่างจริงจังไม่ว่างเว้น โดยทำตามกำลังทุนทรัพย์ที่มีคณะศิษย์บ้าง ประชาชนบ้าง พุทธบริษัทญาติโยมบ้าง มีศรัทธาเสียสละบริจาคทรัพย์และสิ่งของต่างๆ ถวายหลวงพ่อเพื่อสงเคราะห์ผู้ยากจนเป็นระยะยาวนานสืบมา หลวงพ่อเป็นพระนักพัฒนาทั้งในวัดนอกวัด ทั้งทางโลกและทางธรรมตลอดเวลาที่ผ่านมาประมาณ 30 ปี
เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2519
พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต
ได้เสด็จมานมัสการหลวงพ่อและทรงศึกษาการปฏิบัติธรรมจากหลวงพ่อ พระองค์เจ้าหญิงฯ ทรงนิมนต์หลวงพ่อร่วมการเดินทางไปเยี่ยมราษฎร ทหาร ตำรวจชายแดน และช่วยเหลือผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ทุกโอกาสที่เสด็จไป ไม่ว่าจะเป็นภาคใด จังหวัดไหน นับครั้งไม่ถ้วนตราบจนถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต สิ้นพระชนม์ลง ณ ที่บ้านเหนือคลอง อ.พระแสง จ. สุราษฎร์ธานี
ครั้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนิมนต์หลวงพ่อเข้าเฝ้าที่พระราชวังสวนจิตรลดา ทรงมีพระราชปรารภเป็นการส่วนพระองค์ให้หลวงพ่อตั้ง
ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดาร
ขึ้น โดยมีศูนย์กลางปฏิบัติงานอยู่ที่วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี และทรงรับสั่งให้หลวงพ่อเป็นองค์อำนวยการศูนย์ฯ นี้ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 100,000 บาท และยาป้องกันรักษาโรคมาเลเรีย 4 หีบใหญ่ให้แก่ศูนย์ฯ นี้อีกด้วย
หลวงพ่อเล่าให้คณะศิษย์ฟังว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงราษฎรในถิ่นทุรกันดารที่ยากจนซึ่งมีจำนวนมากมาย เนื่องจากในกลางปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา ในจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภาคเกิดภัยธรรมชาติรุกราน ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พื้นดินแตกระแหงแห้งแล้ง ราษฎรขาดน้ำทำไร่ทำนาปลูกพืชผล แม้น้ำจะดื่มอุปโภคก็หายาก ผลประโยชน์ที่เคยหาได้เพื่อยังชีพก็ขาดไปถึงกับต้องขุดกลอย ขุดมัน ใช้กินต่างข้าวพอประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ อดอยากยากจนมีทุกข์เดือดร้อนน่าเวทนายิ่งนัก
บางหมู่บ้านถึงกับทิ้งไร่นาบ้านช่องของตนเข้าไปอยู่ในป่าพงดงดิบตามยถากรรม ความทุกข์ของพี่น้องชาวไทยซึ่งมีมากมายทั่วถิ่นทุรกันดารเหล่านั้น เสมือนเป็นความทุกข์ของพระองค์เองด้วย ควรจะต้องรีบช่วยเหลือในปัญหาเฉพาะหน้าก่อนอื่น ให้เหล่าราษฎรบรรเทาความอดอยากตามสมควร เพื่อจะได้มีกำลงกายกำลังใจค่อยๆ ตั้งตัวทำมาหาเลี้ยงชีพเองต่อไปได้
หลวงพ่อได้เร่งจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ฯ สนองพระราชปรารภทันที โดยมีจุดมุ่งหมายดังนี้
1. ช่วยสงเคราะห์การอยู่กิน การเจ็บป่วย และช่วยเครื่องอุปโภคที่จำเป็นแก่ราษฎรที่ยากจนจริงๆ เป็นครั้งคราว เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
2. ตั้งสาขาของศูนย์สงเคราะห์ฯ ในจังหวัด อำเภอ ตำบลต่างๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อการสงเคราะห์จะได้ดำเนินโดยต่อเนื่องกันไป
3. แนะนำการทำมาหากิน การประกอบอาชีพที่เหมาะสมแก่ท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ เช่นการเกษตร การกสิกรรม การพัฒนาท้องถิ่นที่อยู่ ให้เป็นประโยชน์ต่อตนและส่วนรวม ตลอดจนช่วยหาแหล่งน้ำให้
4. ช่วยเหลือการจัดตั้งโรงเรียน เพื่อให้เยาวชนมีการศึกษาตามมาตรฐานที่กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งเป็นหลักเกณฑ์ไว้
5. จัดตั้งธนาคารข้าวทั่วไปทุกท้องถิ่น ให้ราษฎรในท้องถิ่นเป็นผู้จัดการและกรรมการดำเนินการเอง เพื่อให้ราษฎรได้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมถิ่นเดียวกัน ตามระเบียบของธนาคารข้าวที่ศูนย์ฯ ตั้งเป็นกฎระเบียบไว้
6. ตั้งโครงการในการแก้ปัญหาต่างๆ ระยะยาว โดยมีสาขาของศูนย์สงเคราะห์ แทน
7. พัฒนาจิตใจของของราษฎร โดยการพัฒนาจิตใจของของราษฎร โดยการปลูกฝังจริยธรรมให้มีปัญญาในทางที่ชอบ มีสัมมาอาชีวะ รู้จักหวงแหนผืนแผ่นดินไทยที่ตนกำเนิดเกิดมา ได้อยู่อย่างร่มเย็น รู้ตอบแทนและต่อสู้ศัตรูผู้เป็นภัยมารุกรานประเทศชาติ
เมื่อหลวงพ่อตั้งศูนย์ฯ นี้ขึ้นมา มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์ สิ่งของ เสื้อผ้า ผ้าห่ม ยารักษาโรค อาหารแห้ง ข้าวสาร อุปกรณ์ในการศึกษา รถยนต์ที่ใช้ในการเดินทาง ฯลฯ โดยเสด็จพระราชกุศลให้ศูนย์ฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังสวนจิตรลดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า
ขอให้ท่านทั้งหลายควรที่จะหาวิธีการช่วยเหลือ หาอาชีพ ให้ราษฎรที่ยากจนในท้องถิ่นทุรกันดารได้ประกอบอาชีพ ตั้งหลักตั้งฐานอยู่ในท้องถิ่นของตน เลี้ยงตนเองและครอบครัวอย่างมีความผาสุกต่อไป ขอให้ท่านทั้งหลายจงอย่าคิดว่า เมื่อเราช่วยเหลือครั้งนี้แล้วก็หยุด ถ้ามีโอกาสที่เราจะช่วยได้ก็จงช่วยกันต่อๆ ไป และการที่จะช่วยเหลือนี้ก็อย่าคิดว่าเราได้รับผลตอบแทน
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว การเสียสละของท่านทั้งหลายในส่วนที่เป็นกุศลนี้มีคุณค่ามหาศาล ยากที่จะหาสิ่งตอบแทนใดมาเทียบกันได้ นับว่า การกระทำของท่านทั้งหลายเป็นสิ่งที่น่าชมเชยและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง
หลวงพ่อได้เร่งนำพระสงฆ์และคณะศิษย์ออกเยี่ยมบริจาควัตถุสิ่งของต่างๆ ตามรายการที่สำรวจรับทราบว่า มีราษฎรจำนวนเท่าไรที่ขาดแคลนยากจนจริงๆ และตามความต้องการของเขา ทั้งที่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทหาร ตำรวจ เจ้าอาวาสในท้องถิ่นนั้นๆ คณะศิษย์และประชาชนผู้มีจิตศรัทธาเมตตาร่วมการสำรวจ และร่วมกำลังกายกำลังใจกำลังทรัพย์ให้ศูนย์ฯ และออกร่วมเดินทางกับคณะ
ซึ่งมีหลวงพ่อองค์อำนวยการศูนย์ฯ เป็นประธานร่วมไปทุกครั้ง ไม่ขาด การเดินทางเข้าป่าเขาที่แสนทุรกันดาร เต็มไปด้วยความลำบากและอันตรายรอบด้าน สมชื่อถิ่นทุรกันดารจริงๆ เป็นป่าลึก ภูเขาสูงชันบ้างต่ำบ้าง ที่ราบที่แฉะชื้นดินเป็นโคลนตมเป็นห้วยเป็นลำธาร มีอันตรายทั้งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากที่สุดที่ไม่เคยคิดมาก่อน โดยเฉพาะในแดนที่มีฝ่ายตรงข้าม ที่ไม่หวังดีต่อชาติซ่องสุมผู้คนอยู่ ขณะนั้นมีจำนวนไม่น้อย ในแต่ละจังหวัด
ฉะนั้น ทุกคนที่ร่วมมาปฏิบัติงานของศูนย์ฯ นี้ ต้องพร้อมเสมอที่จะสละร่างกายของตนได้ทุกเมื่อ ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ต้องอาศัยอยู่ในโรงทหารและตำรวจบ้าง ในวิหารที่เก่าแก่ของวัดบ้าง ต้องกินเพื่ออยู่ท้อง ต้องสามารถช่วยตนเองได้ทุกกรณี
หลวงพ่อได้กล่าวเตือนว่า
การเดินทางทุกครั้งของลูกรักทั้งหมดจงอย่ามีความประมาท และก็จงอย่าคิดว่าอันตรายจะไม่มีกับเรา ถ้าบังเอิญจะพึงมีอันตรายเกิดขึ้น ก็จงคิดว่าเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม เราทำดีที่สุดแล้ว เราเสียสละทุกอย่าง ชีวิตและเลือดเนื้อเราก็ยอม
ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีความสุข ความทุกข์มันจะเบียดเบียนเพราะ การเกื้อกูลบรรดาพี่น้องเจ้าไทยและไม่ใช่ไทยให้เขามีความสุขตามกำลังความสามารถของเราที่จะพึ่งทำได้ เป็นการสนองพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้คณะของเราตั้งศูนย์ขึ้น ในนามของพระองค์เป็นศูนย์สงเคราะห์ ทุกคนที่ร่วมงานของศูนย์นี้ไม่คิดเป็นปรปักษ์กับใคร จิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปราณี ถ้าเป็นเรื่องของประเทศชาติแล้ว จงสละความสุขส่วนตนเสียแล้วมุ่งหน้าช่วยเหลือกัน โดยกระทำทุกทางเพื่อส่วนร่วมเป็นสำคัญ ด้วยความเข็มแข้งและกล้าหาญจะประมาทเสียมิได้
ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ฯ นี้ หลวงพ่อเรียกว่า
สังคหวัตถุศูนย์ คือ เป็นศูนย์ที่มีการสงเคราะห์คนในด้านวัตถุและกำลังใจ
ทุกครั้งที่หลวงพ่อพาคณะศิษย์ไปสงเคราะห์ผู้ยากจนก็ดี ไปเยี่ยมและบริจาควัตถุมงคลแก่ทหาร ตำรวจชายแดนก็ดี สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อได้มีเมตตาแก่คณะศิษย์นั้นคือ ทุกครั้งเมื่อการปฏิบัติงานเสร็จสิ้น หลวงพ่อจะพาคณะศิษย์ไปเคารพนมัสการวัดวาอาราม ปูชนียสถานและอนุสรณ์สถานต่างๆ ในจังหวัดนั้น
หลวงพ่อจะเล่าความเป็นมาและเหตุผลการสร้างวัดและปูชนียสถาน ซึ่งพระมหากษัตริย์และบรรพชนไทยในสมัยโบราณสร้างไว้ ด้วยความรักเทิดทูนหวงแหนประเทศชาติศาสนามากอย่างไร ท่านเสียสละมากเพียงไหน เพื่อให้ชาติศาสนาดำรงอยู่ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้อยู่เย็นเป็นสุข คณะศิษย์และผู้ติดตามต่างซาบซึ้งในความเสียสละของท่าน พากันบริจาคทรัพย์สินไว้ซ่อมแซมบูรณะบ้าง ปัจจัยสี่บ้าง สร้างถาวรวัตถุเพิ่มขึ้น เพื่อให้เอกลักษณ์และความสำคัญของสถานที่นั้นๆ ยังคงไว้ซึ้งความศักดิ์และความสำคัญในการต่อไป
การบริจาคนี้เป็นวิหารทาน ธรรมทาน สังฆทานโดยสมบูรณ์ คณะศิษย์ผู้ร่วมงานไม่เคยนึกเหนื่อยและท้อถอย ไม่เคยออกกำลังกายกำลังใจเพื่อช่วยเหลือกิจการในส่วนสาธารณประโยชน์เหล่านี้ เมื่อทราบว่าหลวงพ่อจะนำคณะออกไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ต่างก็พากันมาที่ศูนย์กลางเพื่อจัดการเตรียมของต่างๆ ไว้บริจาค ซึ่งเป็นงานหนักมาก ใช้เวลาเตรียมล่างหน้าเป็นเดือนๆ เมื่อของที่เตรียมไว้สงเคราะห์พร้อมแล้ว หลวงพ่อก็จะนำคณะออกเดินทาง ซึ่งแต่ละคราวมีจำนวนประมาณ 60-150 คน
ข้าพเจ้าเชื่อว่า คณะศิษย์ที่ติดตามทุกคน มีความประทับใจมากในการเดินทางไปสงเคราะห์ผู้ยากจนทุกครั้ง ต้องผจญภัยไม่รู้จักจบบ้าง สลดใจน่าสงสารในความยากจนของพี่น้องไทยบ้าง คราวใดในยามค่ำคืนหลังอาหารเย็นแล้ว หลวงพ่อจะมีการสนทนาธรรมและสรุปผลการปฏิบัติงานในแต่ละวันนั้นๆ เป็นปกติ ถ้ามีข้อบกพร่องจะได้แก้ไขให้ดีขึ้น เช่น
วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 หลวงพ่อได้พาคณะศิษย์จำนวน 82 คนไปเยี่ยมราษฎรที่ยากจนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในการเดินทางนี้ได้นำข้าว รักษาโรค เครื่องอุปโภคบริโภค ผ้าห่ม ฯลฯ ไปแจกแก่ราษฎรใน อ.แม่ลาน้อย อ.แม่สะเรียง อ.ขุนยวงฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ต.ออบหลวง ฯลฯ
หลวงพ่อและคณะพักที่หน่วยชลประทาน ซึ่งเป็นอาคารสร้างไว้หลายปีแล้ว ในค่ำคืนนั้นหลวงพ่อได้ออกมานั่งอยู่ในกระโจมเล็กๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีไฟฉายอยู่ 1 อัน ก่อนออกไปนั่งชุมนุมกัน หลวงพ่อเตือนว่าให้ลูกหลาน (คณะศิษย์) ใส่เสื้อกันหนาวให้เต็มอัตรา ผ้าพันคอ ผ้าห่ม หมวก ถุงมือใส่ให้หมด
เพราะศูนย์ชลประทานอยู่บนดอย อากาศตอนนั้นไม่ได้วัดเพราะไม่มีปรอท แต่พอจะคะเนได้ราวๆ 8-10 องศา อากาศแสนจะหนาวเหน็บ นั่งเบียดกันเท่าไรๆ ก็ไม่หายหนาว น้ำค้างหยดพรมลงมากเรื่อยๆ อากาศมืดเพราะค่ำคืนแล้ว คณะศิษย์นั่งอยู่กลางสนามหญ้ากว้าง บนใบสักที่หล่นทับถมอยู่หนาชั้น ใต้ใบสักนั้นมีมดดำตัวโตๆ เดินเล่นไปมา(เข้าใจว่าคงมีครอบครัวอยู่ข้างล่างใต้ดิน) ธรระที่หลวงพ่อสนทนาในคืนนั้นมีใจความสั้นๆว่า
การเดินทางมาสงเคราะห์ครั้งนี้ลำบากกว่าทุกครั้ง เพราะมาพบอากาศหนาวเย็นเหลือเกิน อีกทั้งมีอันตรายรอบด้าน เราถูกติดตามโดยผู้ไม่หวังดีต่อประเทศไทยคอยตามล่าชีวิตพวกเรา เขามีกันหลายพวกกระจายอยู่ในที่ต่างๆ การสงเคราะห์บริจาคแก่ผู้ยากจนก็ถูกเขาขัดขวางทุกทางไม่เลือก จนผู้ยากจนจริงๆ อยากได้ยา อยากได้เสื้อผ้า ผ้าห่ม ข้าว อาหาร ก็ไม่กล้าบอกไม่กล้าออกมา เขาผลักไสให้ที่อื่น แต่เราก็ต้องแจกให้กับเขาไป ขอให้พวกเรานึกว่า การให้ครั้งนี้เป็นทาน อย่านึกว่าเราบริจาคแล้วจะไม่ได้ผล เราได้เสียสละแล้วและไม่โกรธเคืองเขา แม้ชีวิตเราแทบจะเอาตัวไม่รอด ผลที่เราได้ในวันนี้คือ ทานและอภัยทาน อันเป็นปรมัตถทาน
เรามีความเชื่อมั่นว่า ด้วยพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่แผ่ไปทั่วขอบขัณฑสีมาอาณาจักรไทยนั้น ปกเกล้าปกกระหม่อมคณะเราทั้งหลายให้แคล้วคลาดจากภยันตรายนานาประการ ให้เราได้ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นลงด้วยดีแต่ละครั้งเสมอมา
ในการเดินทางไปสงเคราะห์ผู้ยากจน หลวงพ่ออาพาธบ่อยเพราะกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ทำงานตามปกติ หลวงพ่อก็ไม่ได้หยุดยั้งการไปช่วยเหลือตามถิ่นทุรกันดาร ถ้าหลวงพ่อมีแรงพอไปได้ หลวงพ่อก็จะเดินทางไปโดยมีหน่วยแพทย์นำยาและน้ำเกลือไปด้วย เพื่อถวายการรักษาหลวงพ่อ
เราคณะศิษย์ผู้ร่วมเดินทางไปปฏิบัติงานได้เห็นภาพหลวงพ่อนอนให้นายแพทย์ใส่สายน้ำเกลือในวาระและสถานที่พักที่ออกปฏิบัติงานที่กันดารบ่อยครั้ง หลวงพ่อมีอายุมากแล้ว หลวงพ่อก็ยังมีเมตตาสูง รักและห่วงใยความเป็นอยู่ที่ยากจนของพี่น้องชาวไทยและเพื่อนร่วมโลก ปรารถนาจะให้เขามีความสุขพ้นทุกข์โดยไม่เลือกชาติ ศาสนา
หลวงพ่อปรารภว่า
เมื่อร่างกายไม่ดี แต่ใจสบายก็จะขอสงเคราะห์พุทธบริษัทและญาติโยมด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมทาน จะไปสนใจกับร่างกายทำไม ถ้ายังไม่ตายเพียงใด เราเลี้ยงมันแล้วเราต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ และ
ขอทุกคนจงนำพระราชจริยานุวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปปฏิบัติตาม ทุกคนจงคิดว่าศูนย์ฯ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมอบให้พ่อมานี้ เป็นศูนย์ฯ ของลูกทุกคนด้วยนะลูกรัก เวลาพ่อแก่ลงไปทำไม่ไหว หรือป่วยมากลงไปทำไม่ไหว หรือพ่อตายแล้วก็ตาม ขอลูกรักจงทำกันต่อไป
การเดินทางระหว่างปี พ.ศ. 2521-2528 หลวงพ่อพาคณะศิษย์ไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ของศูนย์ฯ แทบจะทุกเสาร์-อาทิตย์ทุกเดือน เว้นระยะเข้าพรรษา ก็ยังไปช่วยเหลือตามตำบล อำเภอต่างๆ ในจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งอยู่ใกล้ศูนย์กลางปฏิบัติการเป็นประจำ
ด้วยการตรากตรำในการเดินทางไปปฏิบัติงานเหล่านี้ ทำให้หลวงพ่อไม่ได้พักผ่อนเท่าที่ควร พอต้นปี พ.ศ. 2528 หลวงพ่ออาพาธหนักบ่อยครั้ง นายแพทย์แนะนำให้หลวงพ่อพักเพื่อรักษาองค์ท่านให้แข็งแรงก่อน แล้วจึงเดินทางไปสงเคราะห์เป็นครั้งคราว และท่านก็อาพาธหนักเรื่อยมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ แม้กระนั้น หลวงพ่อก็ยังได้มีบัญชาให้ศูนย์ฯกลางได้มอบอาหาร ข้าว เสื้อผ้า ยารักษาโรค และหนังสือเรียนให้แก่เจ้าหน้าที่สาขาของศูนย์ฯ ในจังหวัดต่างๆ ออกเยี่ยมราษฎรแทน
หลวงพ่อมีเมตตาและห่วงใยในงานสงเคราะห์ของศูนย์ฯ มากหลวงพ่อปรารภว่า ถ้าการสงเคราะห์มีแต่เพียงจัดหาทรัพย์สิ่งของต่างๆ ได้มาแล้วก็บริจาคไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ไม่ช้าจะหมดกำลังงานช่วยเหลือจะต้องสะดุดหยุดอยู่ คนยากจนที่มีจำนวนมากมายจะมีความทุกข์เดือดร้อนเพิ่มขึ้นเพราะขาดที่พึ่ง
ดังนั้น หลวงพ่อจึงวางรากฐานให้แก่ศูนย์สงเคราะห์ โดยให้ตั้ง
มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
ขึ้น เพื่อนำดอกผลของมูลนิธิมาใช่จ่ายในการช่วยเหลือคนยากจนต่อไปโดยไม่ขัดข้องอีก มีคณะศิษย์และประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศพากันมาบริจาคทรัพย์ถวายหลวงพ่อโดยเสด็จพระราชกุศลให้แก่มูลนิธิฯ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นกำลังอันล้ำค่ายิ่งนัก ควรแก่การอนุโมทนา
วัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ ก็คือทำนุบำรุงวัดและพระภิกษุสงฆ์ในพระบวรพุทธศาสนา อุปถัมภ์ศูนย์สงเคราะห์ในงานสาธารณประโยชน์ ช่วยเหลือผู้ประสบความทุกข์ยากและสาธารณภัย ส่งเสริมการศึกษาเผยแพร่ความรู้ทางพระพุทธศาสนาและวิทยาการอื่นๆ ที่ไม่ผิดกับกฎหมาย ร่วมการกุศลกับองค์กรอื่นๆ ตามความเหมาะสมตามกฎที่ตั้งไว้
ต่อมาหลวงพ่อได้ปรารภว่า ในเขตมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร ได้สร้างอาคารสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว มีโรงพยาบาลแม่และเด็กที่หลวงพ่อเมตตาสร้างตึกอาคารขึ้นมีมูลค่า 35 ล้านบาท มีเตียงคนไข้ 84 เตียง มีอุปกรณ์และห้องผ่าตัด รักษาโรค ทันตกรรม เอกซเรย์ มีนายแพทย์ พยาบาล เป็นโรงพยาบาลที่สมบูรณ์พร้อม หลวงพ่อทำพิธีมอบให้กับทางราชการกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ พ.ศ. 2526 แล้ว ยังขาดการสร้างโรงเรียนเพื่อช่วยเด็กยากจน
ดังนั้นในปี พ.ศ. 2528 หลวงพ่อองค์ประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิฯ มีความห่วงใยในเด็กที่ยากจนขาดแคลนทุนทรัพย์ที่จะเล่าเรียนต่อในชั้นมัธยม ซึ่งมีจำนวนมากในที่ต่างๆ มีความทุกข์มองไม่เห็นอนาคตของตน หลวงพ่อมีเมตตาต่อเด็กๆ เหล่านี้หาประมาณมิได้ จึงจัดตั้งโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาขึ้นในเขตของมูลนิธิฯ ต. น้ำซึม อ. เมือง จ. อุทัยธานี เป็นโรงเรียนรัฐบาลระดับมัธยม มีระเบียบการบริหาร โรงเรียนตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ
การสมัครเป็นนักเรียนประจำและนักเรียนไป-กลับ ต้องสอบเข้าและมีคุณสมบัติตรงตามกฎเกณฑ์ที่หลวงพ่อได้ตั้งไว้ หลวงพ่อมีความเมตตาและปณิธานอันแน่วแน่ที่จะปลูกฝั่งเด็กให้เป็นคนดีมีศีลธรรม และมีความรู้เพื่อจะได้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านวิชาการและคุณธรรมต่อไปในภายหน้า
ฉะนั้น เด็กนักเรียนทุกคนที่สอบเข้าได้จะต้องปฏิบัติตนอยู่ในสังคหวัตถุ 4 มีพรหมวิหาร 4 รักษาศีล 5 และฝึกปฏิบัติธรรมที่จำเป็น เป็นประจำและเรียนดี เป็นต้น โดยหลวงพ่อได้เมตตาสงเคราะห์ในเรื่องค่าใช้จ่ายทั่วไป ตลอดจนค่าเล่าเรียน อุปกรณ์และเครื่องแบบในการเล่าเรียนทุกอย่าง อาหาร ให้สถานที่พัก (นักเรียนประจำ) ซึ่งเป็นอาคารปลูกใหม่ 2 หลังใหญ่และยังได้สร้างอาคารเรียนอีก 2 หลังใหญ่ เพื่อบรรจุนักเรียนที่จะศึกษาต่อในชั้นมัธยมตอนปลาย
อีกทั้งได้เสริมการสอนวิชาชีพสาขาต่างๆ เช่นการเกษตร กสิกรรม หัตถกรรม เครื่องจักรยนต์ การก่อสร้าง การเจียระไนอัญมณี ดนตรีไทยและดนตรีสากล ศิลปวัฒนธรรมไทย เป็นต้น การใช้จ่ายที่สงเคราะห์นักเรียน เป็นจำนวนเงินสูงมาก ขณะนี้โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา มีนักเรียนประจำและไป กลับรวม 308 คน
ข้าพเจ้าคิดว่า เหล่าสานุศิษย์ทั้งหลายคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับข้าพเจ้าไม่มากก็น้อย ในเมตตาบารมีอันไพศาลหาขอบเขตมิได้ ที่หลวงพ่อมีต่อบรรดาเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา และคิดว่าการเกิดครั้งนี้เป็นบุญเหลือแล้ว ที่มีบิดามารดาเป็นสาธุชน มีญาติมิตรสหายเป็นกัลยาณมิตรมีชาติเชื้อไทยเป็นเอกราช
มีพระมหากษัตริย์มหาราชเจ้าที่ทรงทศพิธราชธรรมประเสริฐสุด มีกำเนิดอยู่ในพระบวรพุทธศาสนา มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเป็นหลักใจ และได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันเป็นสัจธรรมว่า ความเกิดเป็นทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ทางดับทุกข์ อันเป็นมรรคผลแห่งการไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีก และพบเอกันตบรมสุขเท่านั้นสืบไป...
หมายเหตุ
คุณหมอลัดดา จารุวัสตร์ เป็นภรรยานายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่งในอดีต แต่มีความศรัทธาพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ จะเห็นได้ว่ามาตาม "ใบสั่ง" อีกเช่นกัน จาก
"หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน"
โดยมีหน้าที่ช่วยเหลือ
"งานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดาร"
มาตั้งแต่ต้นเริ่มตั้งศูนย์สงเคราะห์ฯ คือช่วยจัดวัตถุสิ่งของที่รับบริจาคแล้วส่งไปให้ทางวัด ซึ่งมีหลวงพี่ชัยวัฒน์ อชิโต เป็นผู้ประสานงานอยู่ทางวัดท่าซุง
นอกจากพี่หมอลัดดาได้ช่วยงานศูนย์สงเคราะห์ฯ แล้วยังได้ทำรายงานการปฏิบัติงานของหลวงพ่อและเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ โดยได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือของศูนย์ฯ ขึ้นมาเผยแพร่อีกด้วย นับว่าพี่หมอเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังและเบื้องหน้า เพราะบางคราวก็ได้ร่วมเดินทางไปกับหลวงพ่อด้วย ส่วนวัตถุสิ่งของที่รับบริจาคแล้วนำแจกไปทุกครั้งนั้น เป็นผลงานของพี่หมอลัดดาพร้อมคณะฯ จัดช่วยจัดหีบส่งไปให้วัดทุกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ คณะทีมงาน "เว็บวัดท่าซุง" จึงขออนุโมทนาและขอนำความดีที่พี่หมอได้กระทำไว้ตลอดชีวิต นับว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าเป็น "บุคคลตัวอย่าง" ที่มีศักดิ์ศรีอีกผู้หนึ่งที่ไม่ถือตัวคือตน ได้อุตส่าห์เสียสละบำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะพี่หมอเป็นคนรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นที่สุด อีกทั้งพี่หมอเป็นนักปฏิบัติธรรมที่หวังการพ้นทุกข์เป็นที่สุด จึงหวังว่าพี่หมอคงจะได้ไปสู่ดินแดนที่เป็น "เอกันตบรมสุข" เป็นที่สุดด้วยเช่นกัน..
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
23/7/09 at 12:33
เดือนฉาย คอมันตร์
พระคุณท่านมากล้น..รำพัน
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมากราบหลวงพ่อครั้งแรกกลางปี พ.ศ. 2516 เมื่อเพื่อนข้าพเจ้าประสงค์จะพิมพ์เรื่อง
มหาสติปัฏฐาน 4
ของพระมหาวีระ ถาวโร แจกเป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพมารดา เธอจึงขอให้ข้าพเจ้าพามาบ้านสายลม เพื่อกราบขออนุญาตจากหลวงพ่อ ในตอนนั้นข้าพเจ้าพียงแต่คิดว่าจะไปกราบพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อปานเท่านั้น
เมื่อได้ก้มลงกราบท่าน ท่านทักว่า
เป็นไงโยม..เห็นแล้วผิดหวังไหม..?
ข้าพเจ้ารู้สึกอยากจะร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ หลังจากท่านทักทายแล้ว ท่านได้โปรดสอนธรรมะเกี่ยวกับขันธ์ 5 ทำข้าพเจ้าสะดุดใจเป็นอันมาก พอจะเข้าใจก็มองเห็นสภาพตนเองอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เราจะมีขันธ์เพิ่มขึ้นเป็น 20 ขันธ์แล้ว ภาระ หน้าที่ และห่วงต่างๆ จะมากขึ้นอีกเท่าไร ข้าพเจ้าเริ่มศรัทธาในพระองค์นี้ จึงกลับมาอ่าน
หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน
ที่น้าเสริมกับน้าอ๋อย(พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์เสริม และคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) กรุณาให้มาจนจบเล่มในเวลา 2 วัน
ครอบครัวของข้าพเจ้าคุ้นเคยกับ "น้าเสริม" และ "น้าอ๋อย" ดั่งญาติสนิทมากกว่า 20 ปีแล้ว ตั้งแต่ไปร่วมในการเชิญกระดานที่บ้านอุรุพงษ์ การเชิญกระดานนั้นหลวงปู่ศาทมงคล (ภู) ได้แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ (ศาสตราจารย์ ดร. เดือน และคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค) สร้างพระพุทธรูปทองเหลืองหน้าตัก 55 นิ้ว ขึ้นเป็นพุทธบูชา
ซึ่งได้ฤกษ์เททองเมื่อวันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เวลา 9:29 น. ที่โรงงานหล่อพระของคุณเฉวียง หงส์มณี ปฏิมากรรมของพระพุทธรูปองค์นี้ มีพระพักตร์แบบพระพุทธชินราชองค์แบบสุโขทัย ขัดสมาธิเพชร และนิ้วพระหัตถ์แบบเชียงแสน
ต่อมาในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2516 คุณแม่, น้าเสริม, น้าอ๋อย, และคณะได้ร่วมกันอัญเชิญพระพุทธรูปไปประดิษฐาน ณ วัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี โดยได้รับความกรุณาจากหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร อัญเชิญขึ้นเป็นพระประธานของวัดในนาม
พระพุทธพรมงคล
ในการถวายเป็นบูชานี้ คุณแม่ได้กล่าวสัจจะอธิษฐานไว้ต่อหน้าพระรัตนตรัยว่า
เมื่อผู้ใดได้มาบูชาองค์ท่าน ขอให้ท่านโปรดประทานพร ตามแต่วาสนาบารมีที่เขาจะพึ่งมีพึ่งได้
ในปี พ.ศ. 2517 บรรดาลูกหลานญาติมิตรได้ร่มสร้างพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร อัครสาวกถวายเป็นพุทธบูชา ตกแต่งผนังเพดานพระอุโบสถ ประดับช่อไฟ สร้างซุ้มพระอรหันต์ 8 ทิศ ตามลำดับ คณะคุณเดือน บุนนาค ได้สร้างพระพุทธพิมาย เป็นอนุสรณ์เนื่องในการอุปสมบทพระธัมมกโร (รัฐฎา บุนนาค) และพระธนากโร (ธนากร ทับทิมทอง) เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2518
ต่อมาคุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้าถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. 2525 และ พ.ศ. 2527 ตามลำดับ หลวงพ่อยังได้โปรดเมตตาให้ข้าพเจ้านำอัฐิของท่านทั้งสองไปบรรจุไว้ยังฐานพระประธาน
พระพุทธพรมงคล
ในพระอุโบสถอีกด้วย
"พระพุทธพรมงคล" พระประธานภายในพระอุโบสถ ณ วัดท่าซุง
ข้าพเจ้าได้มากราบหลวงพ่อเกือบทุกครั้ง ที่ท่านมาโปรดสอนธรรมะที่บ้านซอยสายลม ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณน้าเสริมกับน้าอ๋อยเป็นอย่างมาก ที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตามหลวงพ่อและบรรดาศรัทธาทั้งหลายไปแสวงหาธรรมะ และกราบนมัสการพระสุปฏิปันโนยังทิศต่างๆ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือเรื่องฤาษีทัศนาจร, ล่าพระอาจารย์, ปักษ์เหนือ, ปักษ์ใต้ และเชียงแสน เป็นต้น)
ในเวลาต่อมาข้าพเจ้าและครอบครัวน้าเสริมก็ได้ไปร่วม ทรงกระดาน อีกวาระหนึ่ง เรียกว่า "คณะพรสวรรค์" ซึ่งท่านผู้มาโปรดสงเคราะห์นั้นส่วนมากเป็นพระ และมักจะมีแต่เทศน์เกี่ยวกับธรรมะ (หนังสือพรสวรรค์) พระเดชพระคุณเจ้าหลวงพ่อท่านมีเมตตาสูง แม้ว่าศิษย์บางคนไปหาหลายอาจารย์ เมื่อไปมาแล้วก็นำมาเล่าให้หลวงพ่อฟัง รวมทั้งเรื่องที่ทรงกระดานด้วยท่านก็บอกว่าดีๆ ท่านเตือนเสมอว่า
ศิษย์พระพุทธเจ้าเหมือนกันทั้งนั้น อย่าอวดว่าอาจารย์นั้นเก่งกว่าอาจารย์โน้น ไม่มีอาจารย์คนไหนจะสอนเก่งกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าได้
ข้าพเจ้ามีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อมากขึ้นทวีคูณ ได้เห็นความอัศจรรย์ของหลวงพ่อในการสอนธรรมะ ความสารารถที่จะชี้ให้ผู้ฟังมีความเลื่อมใสในพระนิพพาน และตั้งใจปฏิบัติเพื่อให้ถึงซึ้งพระนิพพานให้ได้ในชาตินี้ หลวงพ่อท่านจะดูศรัทธาและกำลังใจของศิษย์แต่ละคน
ในบางครั้งเราจะถูกท่านสอนโดยไม่รู้ตัว และในบางครั้งดูเหมือนว่าจะถูกท่านตำหนิเอา แต่นั่นเป็นวิธีหนึ่งที่จะชี้จุดบกพร่องให้เรารู้จักตัด..ละ..ทิ้งไปเสีย ข้าพเจ้าได้รับความเมตตากรุณาอย่างสูงจากหลวงพ่อทั้งในด้านการเรียนธรรมะ ฝึกมโนมยิทธิ ปฏิบัติพระกรรมฐาน และทำบุญหลายๆ อย่างเกือบทุกรูปแบบ
ข้าพเจ้ามีความปิติสุขอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสทำบุญสนองพระคุณหลวงพ่อตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมาโดยได้รับการแต่งตั้งจากหลวงพ่อให้ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ
มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
ความเป็นมาของมูลนิธินี้ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เมื่อคณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมแรงร่วมใจบริจาควัตถุปัจจัย ตามหลวงพ่อออกเยี่ยมราษฎรยากจนในถิ่นทุรกันดาร ตลอดจนเยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจทหารชายแดนในจังหวัดต่างๆ ต่อมา
เมื่อได้รับบริจาคทรัพย์เครื่องอุปโภคบริโภคมากขึ้น หลวงพ่อจึงได้จัดตั้งกองทุนโดยใช้ชื่อว่า
กองทุนหลวงปู่ปาน - พระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ)
โดยนำทุนที่มีอยู่ออกใช้เพื่อบรรเทาทุกข์ยากของผู้ขาดแคลนในแดนทุรกันดาร เป็นการสงเคราะห์แบบปัจจุบันทันด่วน
ในการเดินทางทุกครั้งพระเดชพระคุณเจ้าฯ เป็นองค์อำนวยการร่วมไปทุกครั้ง ในวโรกาสที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ได้เสด็จมาทรงประกอบพิธีตัดลูกนิมิตผูกพัทธสีมาพระอุโบสถวัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2520 นั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อและพระสงฆ์ได้นำราษฎรที่เคยหลงผิดเป็นชอบ และได้กลับใจมาร่วงแรงพัฒนาท้องถิ่นของตนเป็นพลเมืองดีเหล่านั้นเข้าเฝ้า เมื่อทรงทราบถึงความเป็นไปของคนเหล่านั้น ร่วมทั้งภัยธรรมชาติ นาล่ม ท้องที่อำเภอบ้านไร่ จ.อุทัยธานี พื้นที่ทำการเพาะปลูกพืชผลไม่ได้เลย ราษฎรได้รับความอดอยากขาดแคลน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปรารภขอให้หลวงพ่อ พระมหาวีระ ถาวโร เป็นองค์อำนวยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารขึ้น และทรงพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 100,000 บาท(หนึ่งแสนบาท) พร้อมกับยาป้องกันรักษาโรคมาลาเรีย 4 หีบใหญ่
ดังนั้น
ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดาร ตามพระราชประสงค์ฯ
จึงจัดตั้งขึ้น ณ วัดจันทาราม(ท่าซุง) และได้เริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือราษฎรตามพระราชประสงค์ฯ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เมื่อมีผู้บริจาคทุนทรัพย์เครื่องอุปโภคบริโภคเข้ามาเป็นจำนวนมาก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เล็งว่างานของศูนย์สงเคราะห์ฯ เป็นงานที่ช่วยเหลือและทำประโยชน์ในเหตุการณ์เฉพาะหน้า ควรจะจัดตั้งมูลนิธิเพื่อเก็บดอกผลไว้ใช้ประโยชน์ในการสงเคราะห์ระยะยาวต่อไป
จึงได้ให้จัดตั้งคณะกรรมการ ทำตราสาร และจดทะเบียนมูลนิธิ
พระมหาวีระ ถาวโร
ขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2520 ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2524 จาก มูลนิธิพระมหาวีระ ถาวโร เป็น มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร มีชื่อย่อว่า ม.ป.ร. และชื่อภาษาอังกฤษว่า VENERABLE PHRA MAHAVEERA TGAVARO FOUNDATION
เครื่องหมายของมูลนิธิคือ รูปพระอินทร์ประทับอยู่บนพระแท่น ห้อยพระบาทข้างขวา พระหัตถ์จับคนโฑแก้วหลั่งน้ำ มีคาถา
สหัสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสธายิ
อยู่ข้างบนของรูป ข้างใต้รูปมีชื่อมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร ทั้งหมดนี้อยู่ในวงกลม สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่เลขที่ 60/3 หมู่ที่ 1 ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี และมีคณะกรรมการสงฆ์และฆราวาสจำนวน 20 ท่าน มี
พระมหาวีระ ถาวโร
เป็นองค์ประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิฯ
วัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ คือ ทะนุบำรุงวัดและพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สงเคราะห์สาธารณประโยชน์ช่วยเหลือผู้ประสบความทุกข์ยากและสาธารณภัย ส่งเสริมการศึกษาและเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางพระพุทธศาสนาและวิทยาการอื่นๆ ที่ไม่ขัดกฎหมาย ทั้งยังให้ความร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์เป็นต้น อนึ่งในปี พ.ศ. 2520 หลวงพ่อได้อำนวยการสร้าง
โรงพยาบาลแม่และเด็ก
มอบให้กับทางราชการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
และต่อมามีผู้มีจิตศรัทธาถวายปัจจัยเพื่อใช้ในการสาธารณกุศลเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อได้เมตตานำทุนทรัพย์นั้นมาสร้างเป็นอาคารเพิ่มเติม ณ โรงพยาบาลแม่และเด็ก วัดท่าซุง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 เป็นตึก 2 หลัง โดยให้ตึก
ปฐมราชานุสรณ์
ชั้นบนใช้เป็นที่ทำการแพทย์และพยาบาล ส่วนชั้นล่างเป็นห้องผ่าตัดใหญ่ ห้องเอ็กซเรย์ ห้องทำฟัน ห้องรอคลอด และห้องคลอด
ส่วนตึก
ปัญจมราชานุสรณ์
นั้น เป็นตึกพักคนไข้ ในขณะมีเตียงคนไข้ประมาณ 84 เตียง อาคารทั้ง 2 หลังนี้เป็นอาคาร ที่ทันสมัย มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบ และได้ทำพิธีเปิดตึกมอบอาคารโรงพยาบาลและทรัพย์สินให้กับทางราชการเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2528
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2527 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน ได้โปรดเกล้าฯ ถวายพัดยศและสมณศักดิ์
พระมหาวีระ ถาวโร
ขึ้นเป็น
พระสุธรรมยานเถระ
ซึ่งยังความปลื้มปิติให้บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง จึ่งใคร่จะสร้างอาคารอนุสรณ์สาธารณูปโภค แสดงมุทิตาจิตระลึกถึงเกียรติคุณของพระเดชพระคุณเจ้าฯ ณ บริเวณเขตมูลนิธิหลวงพ่อปาน - พระมหาวีระ ถาวโร
ซึ่งความคิดนี้ก็ตรงกับความประสงค์เดิมของพระเดชพระคุณพระสุธรรมยานเถระที่จะจัดตั้งโรงเรียนของมูลนิธิฯ ขึ้นมา เพื่อให้ผู้มีความประสงค์เรียน ได้ศึกษาวิชาที่สามารถนำไปประกอบอาชีพที่เหมาะสมแก่ถิ่นที่อยู่ของตน ซึ่งมีหลักสูตรในการเรียนใช้เวลาตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 6 เดือน หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับวิชาที่เรียน อุปกรณ์ในการเรียน หากไม่เกินวิสัยของมูลนิธิฯ แล้ว ทางมูลนิธิฯ จะจัดหาให้ และได้เปิดทำการสอนในปีการศึกษา 2530 ในชื่อ
โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา
อยู่ในความอุปถัมภ์ของมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร เป็นโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา ระดับมัธยมศึกษา
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2531 พระเดชพระคุณพระสุธรรมยานเถระเห็นว่า ประโยชน์ของงานการศึกษานอกโรงเรียน จะช่วยพัฒนาการศึกษาของประชาชนในชนบทได้เป็นอย่างดี ทั้งยังประหยัดเวลา เพราะใช้หลักสูตรในการศึกษาน้อยกว่า 2 ปี และสามารถสอบเทียบระดับได้ทั้งมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย พร้อมกันนี้ได้เปิดสอนวิชาชีพ และให้นักเรียนได้ร่วมกิจกรรมหลายอย่าง รวมทั้งแสดงดนตรีไทย วงโยธวาทิต รำละคร ช่วยทำอาหาร ขายของในวันเทศกาลงานบุญของวัดอีกด้วย
สำหรับนักเรียนที่นี่ทุกคนจะต้องเรียนธรรมะ และผ่านการฝึกมโนมยิทธิจากวัดจันทาราม (ท่าซุง) โดยมีหนังสือรับรองจากครูผู้ฝึกและต้องเป็นผู้มีความประพฤติดีด้วย อาจกล่าวได้ว่า โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาเป็นโรงเรียนแห่งแรกของจังหวัดอุทัยธานี ที่เปิดการสอนหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนแบบมีชั้นเรียน โดยมีมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-ม.3) สอนตามหลักสูตรของกรมสามัญศึกษา และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6) สอนตามหลักสูตรของกรมการศึกษานอกโรงเรียน
ในปีการศึกษา 2532 ทางโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ได้เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (หลักสูตร 2 ปีได้วุฒิ ม.6 ) โดยใช้หลักสูตรของกรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ สำหรับนักเรียนที่เรียนในระดับดีและประพฤติดีและประพฤติชอบทางโรงเรียนจะส่งเสริมให้เข้าสอบแข่งขันเพื่อจะได้เข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาต่อไป
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน วันที่ 5 ธันวาคม 2532 ได้โปรดเกล้าฯ ถวายพัดยศและสมณศักดิ์จาก
พระสุธรรมยานเถระ
เป็น
พระราชพรหมยาน
เป็นเจ้าคุณชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ยังความปิติเป็นอย่างยิ่งแก่บรรดาศิษยานุศิษย์
พระเดชพระคุณเจ้าฯ ท่านเป็นผู้มีเมตตาธรรมสูง แม้ว่าท่านจะล้มป่วยหนักมีทุกขเวทนาทางกายอย่างมาก ท่านก็อดทนอดกลั้นที่จะทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ท่านได้เดินทางมาสอนพระกรรมฐาน และฝึกมโนมยิทธิให้กับผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมที่กรุงเทพมหานครเป็นประจำทุกเดือน นอกจากนี้ท่านได้ไปเผยแพร่ธรรมปฏิบัติยังต่างจังหวัดและต่างประเทศอีกด้วย
ผลงานของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อมีมากมายเหลือคณานับ พระคุณท่านมีมากพ้นรำพัน สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นได้ธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งหลวงพ่อได้ท่านกรุณาชี้ทางให้ไว้เป็นกำลังใจในการดำรงชีพและการทำงาน พระคุณของหลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้าและครอบครัวนั้น มีมากพ้นรำพันทับถมท่วมท้นนับเนื่องมาแต่อดีตชาติ จนมิอาจนับได้ว่า อีกกี่กัปกี่กัลป์ ข้าพเจ้าจะตอบแทนพระคุณท่านได้หมด
ข้าพเจ้าได้แต่ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ตราบที่ยังดำรงขันธ์ 5 อยู่นี้ จะช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา ปฏิบัติหน้าที่ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมอบหมายให้ทำนั้นอย่างดีที่สุด และตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อให้ถึงพระนิพพานให้ได้ในชาตินี้..
หมายเหตุ
สาธุ..คำลงท้ายของคุณเดือนฉาย คอมันตร์ หรือที่พวกเราเรียกกันว่า "พี่ต้อย" คงจะเป็นจริงสมดังที่ตั้งความปรารถนาไว้ เพราะในเวลาต่อมา คุณเดือนฉายก็ได้เลื่อนเป็น "ประธานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ" และในสมัยต่อมาก็ได้รับเลือกเป็น "ประธานมูลนิธิหลวงพ่อปาน - พระมหาวีระ ถาวโร" อีกด้วย
คุณเดือนฉายและครอบครัวได้ช่วยเหลืองานส่วนรวมเป็นอย่างดี นับตั้งแต่สมัยคุณแม่ (คุณหญิงเยาวมาลย์) ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะได้อุปถัมภ์ผู้ที่บวชในวัดท่าซุง ในจำนวนนี้มี หลวงพี่ชัยวัฒน์ อชิโต รวมอยู่ด้วย ได้ถวายปัจจัยเป็นประจำทุกเดือนจนถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลานานกว่า 30 ปีแล้ว จึงขออนุโมทนาความดีที่ "พี่ต้อย" ได้กระทำไว้แล้วนับตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
26/7/09 at 14:36
วันหยุดสุดสัปดาห์..ขอพักตอบจดหมาย
วันนี้ยังไม่มีเรื่องลงให้อ่านกัน เพราะทีมงานพิมพ์ไม่ทัน ซึ่งต้องขออนุโมทนา "หลวงพี่ปุ๋ย" ที่วัดท่าซุง ด้วยที่อุตส่าห์พิมพ์ให้อย่างรวดเร็ว จึงขอตอบอีเมล์ที่ได้แสดงความเห็นเรื่องนี้กันไปพลางๆ ก่อนครับ
อีเมล์จาก...
ภูมิแก้วไทย
สวัสดีท่านทีมงานเว็บวัดท่าซุงครับ ความคิดเห็นวันนี้ผมอยากจะบอกว่า ผมชอบบทความจากหนังสือลูกศิษย์บันทึกมากๆ เลยครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงหมายเหตุ ทำให้ทราบว่าลูกศิษย์แต่ละท่าน มีความสำคัญมีความผูกพันกับหลวงพ่อท่านอย่างไร และก็มีเกร็ดเกี่ยวกับท่านเหล่านั้นด้วย อ่านไปก็โมทนาในความดีของแต่ละท่านไป
แต่ทำไมบางท่านถึงไม่มีหมายเหตุล่ะครับ ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีหมายเหตุไว้ทุกๆคนเลยครับ ผมขออนุญาตเสนอความเห็นนะครับ คืออยากให้มีบทความลูกศิษย์บันทึกไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ไกล้ชิดได้ปรนนิบัติได้รับใช้หลวงพ่อ ผมคิดว่าท่านเหล่านี้จะต้องเป็นคนดีในระดับหนึ่งแน่ๆ (ไม่งั้นหลวงพ่อคงไม่ให้อยู่ไกล้ท่าน)
เพราะจะได้ศึกษาว่าท่านเหล่านั้นปฏิบัติตัวอย่างไร หลวงพ่อสอนท่านเหล่านั้นอย่างไร ผมชอบตรงที่ท่านลูกศิษย์เล่าเกี่ยวกับความดีของหลวงพ่อ เช่นความอดทนอดกลั้นอย่างยิ่งต่อความเจ็บป่วย ความเมตตาต่อลูกศิษย์อย่างหาที่สุดมิได้ เป็นต้น
คำสอนหรือคำติติงที่ได้รับมาจากหลวงพ่อโดยตรง สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับตัวผมได้ทั้งทางโลกและทางธรรม และก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย(ปาฏิหาริย์ คุณวิเศษ และอดีตชาติของหลวงพ่อหรือท่านลูกศิษย์) ครับ สุดท้ายนี้อยากจะถามอีกข้อหนึ่งว่า ผมจะสามารถบริจาคเพื่อบำรุงเว็บวัดท่าซุงทางได้ทางไหน เพราะอยากให้เว็บนี้ดำรงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านานครับ.
สวัสดีครับ คุณภูมิแก้วไทย
ผมได้อ่านจดหมายของคุณโดยละเอียดแล้ว ขออนุโมทนาในความเห็นของคุณ จากการ "หมายเหตุ" ในลูกศิษย์บันทึกนั้น เดิมไม่ได้คิดจะลงหมายเหตุเพิ่มเติม เพิ่งจะมาคิดกันทีหลัง เพราะฉะนั้นที่ลงท่านอื่นๆ ไปแล้ว จึงไม่ได้ลงหมายเหตุไว้ไงครับ คืองานมันเดินหน้าไปก่อนแล้ว แต่เพิ่งจะคิดได้ทีหลัง แฮะๆๆ ขออภัยด้วยที่คิดช้าไป
ดังจะเห็นว่า ตอนที่ 1-3 จะตั้งกระทู้ว่า "ลูกศิษย์บันทึก" ไม่มีคำว่า "พิเศษ" คำนี้เพิ่งนึกขึ้นได้ทีหลังละครับ เพราะเห็นว่ามีลงในเว็บอื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นเว็บวัดท่าซุงเพิ่งจะนำมาลงทีหลัง จึงได้เพิ่มคำว่า "พิเศษ" ไป เพราะเหตุนี้แหละครับ และอีกอย่างหนึ่ง บางท่านที่ใกล้ชิดหลวงพ่อแล้วไม่ได้หมายเหตุไว้นั้น เพราะเราก็ไม่สามารถจะรู้รายละเอียดได้ การหมายเหตุก็เป็นดาบสองคม หากตรงก็ดีไป ถ้าไม่ตรงก็ซวยอีกตามเคย
ส่วนที่จะบำรุงเว็บวัดท่าซุงนั้น ความจริงทางวัดไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายให้เลย webmaster และทีมงานเป็นผู้ออกกันเอง แต่ก็มีผู้ส่งปัจจัยมาเป็นค่าเซฟเวอร์บ้าง ส่วนหลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้ทีมงาน เพราะเห็นว่าแต่ละคนได้ทำบุญใหญ่ และอานิสงส์มหาศาล เครื่องคอมฯ ของแต่ละคนจึงพังอยู่เรื่อยๆ
หลวงพี่ได้มอบเงินให้คนละประมาณ 20,000 บาท รวมแล้วประมาณ 7-8 หมื่น บางคนที่อยู่วัด ท่านก็ต้องจ่ายให้เดือนละ 1,000 บาท เป็นค่า ADSL ถ้าอยากจะมีส่วนร่วมในธรรมทานนี้ ต้องทำบุญกับท่านก็แล้วกัน เพราะท่านเป็นแม่งานอยู่เบื้องหลัง บางครั้งยังได้ "ของแถม" ไปบ้าง แต่ไม่เป็นไรพวกเราอดทนกันได้ ขอเพียงแต่ให้ท่านผู้เยี่ยมชมได้เข้ามาบ่อยๆ ก็พอใจแล้วขอรับกระผม..!
ผู้จัดทำ
webmaster
-
27/7/09 at 14:44
ดำรง นุตาลัย
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........จากการปวารณาตนเป็นศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ได้มีโอกาสพบเห็นพิธีและกฎเกณฑ์บางประการ เช่น เครื่องสังเวยเทพในพิธี ต้องมีสุราด้วยอย่างนี้เป็นต้น สิ่งที่ได้พบเห็นแล้วหลวงพ่อชี้แจงว่า แท้จริงแล้วเทพท่านมาเพื่อสงเคราะห์ ส่วนการแสดงอิทธิวิธี เช่นการดื่มเหล้าไม่เมา ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ และเพื่อศรัทธาผู้ยังไม่เข้าใจเท่านั้น ขอเล่าถึงสิ่งต่างๆ บางเรื่องที่ข้าพเจ้าได้พบมาสู่กันฟังไว้ดังนี้
1. คราวหนึ่งผู้หญิงอ้างเป็นร่างทรงของเทพ มีชื่อปรากฏประจำศาลหลักเมือง มาหาหลวงพ่อที่วัดท่าซุง หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าไปหาเหล้าโรงมา 1 ขวด ข้าพเจ้านึกในใจว่า ทำไมเทพจึงประมาทดื่มเหล้าต่อหน้าพระ จึงซื้อเหล้าโรง 40 ดีกรี 1 ขวด แทนเหล้าขาวธรรมดา แล้วยังซื้อแม่โขงกลมแถมอีก 1 ขวด ร่างทรงนั้นดื่มเหล้าขาวหมดขวด แล้วจึงดื่มแม่โขงอีกเหมือนดื่มน้ำ เพื่อแสดงตนว่าเป็นเทพจริงๆ จึงดื่มได้โดยไม่เมา
2. คราว พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์ มอบให้ พ.ต.อ. ม.ร.ว.เจตน์จันทร์ ประวิตร กับ พล.ต.ท.น.พ. อุทิศ ตันจันทรพงศ์ มานิมนต์หลวงพ่อเข้าโรงพยาบาลตำรวจ ต้นปี พ.ศ. 2517 พอคณะตำรวจลากลับ นางพยาบาลประจำจังหวัดอุทัยธานีก็ให้น้ำเกลือ ตอนถอนเข็มน้ำเกลือออกจากแขนหลวงพ่อ โลหิตพุ่งออกตามเข็มไปเปื้อนกระโปรงพยาบาลที่นั่งห่างจากหลวงพ่อเมตรเศษเป็นดวง
3. คราวไปประเทศอินเดีย หลวงพ่อเพลียมากเนื่องจากอากาศร้อน พล.ต.ท.น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน ต้องถวายน้ำเกลือ ขณะนั้นข้าพเจ้าและแม่ครัวคนไทย ประจำที่วัดพุทธคยาอีก 2 คน เฝ้าดูอยู่ หลวงพ่อเร่งหมอให้ปล่อยน้ำเกลือให้หมดเร็วๆ คุณหมอสมศักดิ์ เรียนท่านว่า ผมเปิดเต็มสายแล้วครับ หลวงพ่อต้องเร่งเอาเอง ข้าพเจ้าและแม่ครัวของพุทธคยา 2 คน มองดูน้ำเกลือที่เหลือในขวดราว ¼ นั้น ไหลพุ่งเป็นสายตามท่อเข้าร่างหลวงพ่อ ทุกคนปากอ้า..ตาค้างด้วยความอัศจรรย์
4. หลวงพ่อทราบเหตุได้ทันทีนั้นมีแน่ แต่จะเนื่องจากญาณหรือเทพบอกนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้ งานวัดท่าซุง พ.ศ. 2518 หลวงพ่อเชิญเกจิอาจารย์เท่าที่จำได้มี ท่านเจ้าคุณพระธรรมวราลังการ(หลวงปู่กล่อม) หลวงปู่บุดดา ถาวโร หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก พระครูภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (หลวงน้ามหาอำพัน สมณศักดิ์ในขณะนั้น) หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร ครูบาธรรมชัย และครูบาไชยวงศา
ข้าพเจ้าได้เห็นหลวงพ่อเดินจากห้องของท่านมามองที่หน้าต่าง แลดูไปทางโบสถ์ ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่เขาปิดประตูรั้วและประตูชั้นล่างของกุฎิแล้ว จึงเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อจะออกไปข้างนอกหรือครับ ท่านมองดูสักครู่แล้วบอกว่าไม่ต้อง พอเวลา 04:30 น. เจ้าหน้าที่เขาเปิดประตู ข้าพเจ้าจึงไปถามเจ้าหน้าที่ ที่อยู่หน้าโบสถ์ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเมื่อคืน จึงได้รู้ว่าศิษย์ของหลวงพ่อสายใต้และสายเหนือลองดีกัน เพราะต่างฝ่ายก็มีของดี จนตำรวจต้องส่งคนป่วยไปล้างท้องที่โรงพยาบาล หลวงพ่อยังตามไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
5. ผู้เคยร่วมงานและค่อยช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วยดีตลอดเวลา ถึงแก่กรรม จึงเรียนถามหลวงพ่อว่า ควรจัดอะไรบ้างเป็นสังฆทาน อุทิศกุศลแก่เขา หลวงพ่อบอกว่า คนรูปร่างขาวท้วมใช่ไหม เขายืนอยู่ที่นี่แล้ว บอกกับท่านว่าเขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ยังเป็นห่วงแต่แม่คนเดียวเท่านั้น ต่อไปอีกไม่ถึง 5 วัน แม่ก็ตายตามลูกไป
จากเรื่องต่างๆ ที่เล่ามา เพื่อบันทึกไว้ให้ศิษย์รุ่นหลังได้รู้ สำหรับข้าพเจ้า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อ" เป็นพระอาจารย์องค์สุดท้าย ข้าพเจ้าไม่แสวงหาองค์อื่นต่อไปแล้ว
หมายเหตุ
หากใครที่เห็นลูกศิษย์หลวงพ่อมานาน แค่เห็นนามสกุล "นุตาลัย" ก็ต้องจำได้ดี แต่ทว่าถ้าเพิ่งเข้ามาใหม่ ชื่อนี้อาจจะยังไม่คุ้นเคย แต่ถ้าจะบอกว่า "คุณลุงดำรงค์" คือ คุณพ่อของท่าน ดร.ปริญญา นุตาลัย ทุกคนก็ต้องร้อง อ๋อ.. อย่างแน่นอน..!
ครอบครัว "นุตาลัย" เป็นลูกศิษย์ทั้งตระกูล นับตั้งแต่ คุณลุงดำรงค์ คุณป้าบูรณะ นุตาลัย ซึ่งเป็นคุณพ่อคุณแม่ของท่านดอกเตอร์ ส่วนน้องสาวคือ คุณชาลินี (ปาน) เนียมสกุล ก็มีความเคารพนับถือหลวงพ่อมานานแล้ว โดยเมื่อประมาณปี 2517-2520 คุณลุงดำรงค์ได้ไปอยู่ที่วัดท่าซุงระยะหนึ่ง (ระยะเวลาอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง) จึงได้ประสบเหตุการณ์อันเป็นที่อัศจรรย์ไว้มากมายหลายอย่าง
เท่าที่รู้จักกันมานาน.. คุณลุงเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นตนเองสูง การที่จะยอมรับนับถือบุคคลใดเป็นครูบาอาจารย์สักคนจึงไม่ใช่ของง่าย ต้องพิสูจน์และปลดความสงสัยของตนเองได้ ดังจะเห็นได้ว่าคุณลุงไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ ถึงได้กล่าวเป็นคำสุดท้ายไว้ว่า..
"..สำหรับข้าพเจ้า.. "พระเดชพระคุณหลวงพ่อ" เป็นพระอาจารย์องค์สุดท้าย ข้าพเจ้าไม่แสวงหาองค์อื่นต่อไปแล้ว.."
ถ้อยคำนี้มีความหมายยิ่งนัก น่าจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจในสมัยนี้ ต้องมีความหนักแน่นและมั่นคง สิ่งใดที่ยังสงสัยหรือไม่แน่ใจ ควรจะค้นคว้าศึกษาหาความรู้ เพื่อความศรัทธาในครูบาอาจารย์ของเราจะได้ไม่คลอนแคลน มีความมั่นคงแน่นอนและถาวรตลอดไป
คุณลุงเป็นคนที่วางใจใครยาก จึงต้องขอโทษด้วย ที่จะเรียกว่าเป็น "คนหัวแข็ง" พอสมควร เมื่อยอมรับนับถือใครแล้ว คงจะมอบกายถวายชีวิตอย่างแน่นอน การได้พบเห็นได้นับถือหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์องค์สุดท้าย แสดงว่าในชีวิตของคุณลุงได้ผ่านอาจารย์มาเยอะแยะ
ฉะนั้น ในบั้นปลายของคุณลุงก็ได้ฝากชีวิตไว้กับพระพุทธศาสนาแล้ว บัดนี้ คุณลุงก็ได้จากโลกนี้ไปนานแล้ว คงจะเหลือแต่ข้อเขียนนี้ฝากไว้ เพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้เกิดความเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ต่อไป คุณลุงและครอบครัวได้สร้างสมความดีที่ผ่านมาไว้แก่วัดท่าซุงอย่างไรบ้าง ขอพวกเราทุกคนจะได้พึงอนุโมทนาสาธุการโดยทั่วถึงกันเถิด.
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
28/7/09 at 08:28
ชาลินี เนียมสกุล
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........ผู้เขียนรู้จักหลวงพ่อข้างเดียว จากการอ่านหนังสือ
คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน
ซึ่ง เรืออากาศโท บุญเลี้ยง (ยศในสมัยนั้น) ให้พ่อยืมมาอ่าน จึงได้หาโอกาสไปกราบหลวงพ่อที่จังหวัดอุทัยธานี ระยะนั้นใครไปกราบหลวงพ่อ ขอพร ขอธรรมะจากท่าน ท่านก็จะแจกแจงธรรมโดยพิสดารตามแต่จริตของลูกศิษย์ ทุกคนติดหลวงพ่อกันงอมแงม และเมื่อมีผู้สงสัยกันอยู่เนืองๆ ว่า หลวงพ่อรู้เรื่องนั้น เรื่องนี้ได้อย่างไร ท่านก็ตอบว่า
ฉันรู้ "วิชชาสาม"
พวกเราก็เชื่อท่าน
วันหนึ่งปลายปี พ.ศ. 2516 หลวงพ่อมาสอนกัมมัฏฐานที่บ้านน้าเสริม น้าอ๋อย
(พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม และคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์)
พ่อ, แม่, ดร.ปริญญา และผู้เขียนได้เตรียมตัวที่จะไปฟังท่านสอนตามปกติ พวกเราก็ปรารภธรรม (ซึ่งไม่รู้แจ้งกันสักคน) เรื่อง "ปฎิสัมภิทาญาณ" กันมาในรถตลอดทาง จนถึงซอยสายลม พอก้มลงกราบท่าน แทนที่ท่านจะทักทายเหมือนเดิม ท่านก็กล่าวว่า
เรื่องปฎิสัมภิทาญาณนั้น เป็นคุณสมบัติพิเศษของผู้ที่ได้เคยเจริญสมาบัติแปดมาก่อน เมื่อละสังโยชน์ห้าได้ ก็จะถึงความเป็นอนาคามีพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาสี่ คือ อรรถ, ธรรม, นิรุติ, และปฏิภาณ
พวกเรากราบเรียนท่านว่า หลวงพ่อหูยาวจัง ท่านก็บอกว่า
ก็ฉันได้ "วิชชาสาม" นี่
พวกเราก็เชื่อท่านอีก
ปลายปี 2517 หลวงพ่อรับอาราธนา
พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิวงศ์
(อธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้น) เพื่อมาตรวจสุขภาพโดยละเอียดที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยมี
ดร. ปริญญา นุตาลัย
ลงทุนลาพักร้อนจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาเฝ้าในฐานะลูกศิษย์วัด เช้ามืดวันหนึ่ง ดร.ปริญญา เข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ ผมรู้แล้วว่าหลวงพ่อทรงปฏิสัมภิทาญาณ หลวงพ่อก็หัวเราะ แล้วท่านก็บรรยายให้ ดร.ปริญญา ฟัง
สายวันนั้น น้าเสริม น้าอ๋อย พี่นิด
(สุภาพ ปุณศรี)
น้าน้อย
(กานดา อมาตยกุล)
พี่หมอ
(พ.ต.อ. พิเศษ สมศักดิ์ สืบสงวน
รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ ยศและตำแหน่งในสมัยนั้น) พ่อ และผู้เขียนไปกราบหลวงพ่อ ดร.ปริญญารีบบอกข่าวสำคัญแก่พวกเราด้วยความภาคภูมิใจ น้าเสริมก็ต่อว่าหลวงพ่อว่า แหม..พวกเราถูกหลวงพ่อหลอกอยู่ตั้งนาน หลวงพ่อท่านหัวเราะชอบใจแล้วก็บอกว่า
ฉันไม่ได้หลอกนะ "วิชชาสาม" ฉันก็ได้จริงๆ แล้วท่านก็กำชับลูกศิษย์ทุกคนว่า ห้ามเอาครูบาอาจารย์ตน (คือหลวงพ่อ) ไปเบ่งทับ หรือคุยทับถม หรือคิดว่าเก่งกว่าครูบาอาจารย์ของคนอื่น เพราะครูบาอาจารย์ของใคร ใครก็รัก พระทุกองค์ท่านก็มีลีลาต่างๆ กัน
พวกเราก็ฟังไปงั้นๆ เพราะก็อดคิดไม่ได้อยู่นั้นเอง
พระเทพวิสุทธิเวที(ไสว) วัดอนงคาราม เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยหลวงพ่อหนุ่มๆ นั้น ใครอย่ามาเปรียบอาจารย์กับท่านเลย หลวงปู่ปานต้องเก่งที่สุด
ภาพในอดีต : พระเกจิอาจารย์ทั้งหลายในอดีต
สมัยนั้นหลวงพ่อจะเล่าให้ฟังถึงพระร่วมสมัย "หลวงปู่ปาน" โดยเฉพาะพระเกจิอาจารย์ 108 รูป ที่ร่วมปลุกเสกเหรียญสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พ.ศ. 2481 ซึ่งหลวงปู่ปานก็ร่วมอยู่ด้วย หลวงพ่อเล่าถึง
หลวงปู่แช่ม
วัดฉลอง
หลวงปู่สด
วัดปากน้ำ
หลวงปู่สุข
วัดปากคลองมะขามเฒ่า
สมเด็จพุฒาจารย์
(นวม พุทธสร) วัดอนงคาราม
หลวงพ่อจง
วัดหน้าต่างนอก และ
หลวงพ่อยิ้ม
วัดหน้าต่างใน ฯลฯ เป็นต้น
เสาร์-อาทิตย์หนึ่ง พ่อ, ดร.ปริญญา, และผู้เขียน ได้เดินทางไปวัดท่าซุง เพื่อปฏิบัติพระกัมมัฏฐานค้างที่วัด ระหว่างพวกเราได้แวะวัดหน้าต่างนอก และได้บูชาตะกรุดคาดเอวของหลวงพ่อจง ที่ยังเหลืออยู่ที่วัดหน้าต่างนอกมาจนหมด กว่าจะมาถึงวัดท่าซุงก็ประมาณบ่าย 2 โมง
พอหลวงพ่อเห็นพวกเราก็ทักทายว่า
ไปเยี่ยมหลวงพ่อจงมาหรือ
ผู้เขียนกราบเรียนถามท่านว่า หลวงปู่มาบอกหลวงพ่อหรือคะ หลวงพ่อบอกว่า หลวงปู่มาพร้อมพวกแกนั้นแหละ ก็เลยได้ถวายตะกรุดคาดเอวหลวงพ่อไป 10 เส้น เพื่อให้หลวงพ่อแจกคนอื่นๆ
พบหลวงปู่สิม (หลวงปู่ตื๊อมารอพบด้วย)
......ในปลายปี พ.ศ. 2517 หลวงพ่อพาลูกศิษย์ไปกราบพระสุปฏิปันโนที่ภาคเหนือ โดยเริ่มที่
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
(พระครูสันติวราญาณ) สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องเป็นองค์แรก การเดินขึ้นถ้ำผาปล่องในสมัยนั้น ยังไม่มีบันไดคอนกรีตเหมือนสมัยนี้ การเดินขึ้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก
.......โดยเฉพาะในคณะลูกศิษย์ที่ติดตามหลวงพ่อนั้นมีผู้อาวุโส 3 ท่าน ที่สุขภาพไม่สมบูรณ์ คือ
น้านวลน้อย โลพันธุ์ศรี
เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเพียงเดือนเดียวก่อนเดินทาง อายุ้ย
(คุณสบสุข ประกอบไวทยกิจ)
และ แม่
(คุณบูรณะ นุตาลัย)
ซึ่งหัวเข่าไม่ดี เดินขึ้นบันไดไม่ค่อยได้ พวกเราขึ้นไปถึงก่อน(นิสัยไม่ดี) ส่วนหลวงพ่อท่านพยายามเดินช้าๆ คอยผู้อาวุโสทั้ง 3 ท่าน
หลวงปู่ตื๊อ อจลธัมโม
อันที่จริงผู้เขียนก็เป็นห่วงแม่อยู่เหมือนกัน แต่ ดร.ปริญญา บอกว่าไม่ต้องห่วงหรอก หลวงพ่อท่านต้องพาบริวารของท่านขึ้นมาจนได้ เพราะท่านเป็นหัวหน้าคณะ พอผู้อาวุโส 3 ท่าน ขึ้นมาแล้ว พ่อก็กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อทำอย่างไงครับ ถึงได้พาโยมขึ้นมาได้ น้านวลน้อยตอบแทนว่า
อายุ้ย และ น้านวลน้อย เห็นหลวงพ่อเดินรอ ก็เลยมีกำลังใจเดิมตามมาได้เรื่อยๆ ไม่เคยคิดเหมือนกันว่า ตัวเองจะเดินขึ้นเขาได้ไกลถึงเพียงนี้ และไม่เหนื่อยเท่าไร ส่วนแม่อาการหนักกว่าเพื่อน หลวงพ่อเลยหยิบไม้ข้างทางส่งให้ถือขึ้นมาท่อนหนึ่ง แม่ก็แบกไม้ท่อนนั้นขึ้นมาด้วย หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า
เทวดาท่านช่วยกันหิ้วปีกโยมทั้งสามขึ้นมายังไม่รู้กันอีก
หลวงพ่อได้พบกับหลวงปู่สิม ที่วัดถ้ำผาปล่องเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2517
เมื่อขึ้นไปยังถ้ำผาปล่องแล้ว หลวงพ่อสิมท่านก็นิมนต์ให้หลวงพ่อนั่งบนอาสนะที่ปูไว้บนยกพื้นสำหรับพระภิกษุนั่งสวดมนต์ หลวงพ่อท่านไม่นั่ง กราบพระพุทธรูปเสร็จก็หันมากราบทางด้านที่หลวงปู่สิมนั่ง (ด้านเดียวกับอาสนะ) แล้วก็นั่งแปะอยู่ตรงนั้น หลวงปู่สิมท่านก็เลยต้องนั่งข้างล่างไปด้วยกัน
แล้วหลวงพ่อก็ตั้งต้นคุยเรื่องจริยาของ
หลวงปู่ตื้อ อจลธมโม
ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ที่หลวงปู่สิมเคารพนับถือมาก ทั้งๆ ที่หลวงพ่อเองไม่เคยพบหลวงปู่ตื้อมาก่อน หลวงปู่สิมมีทีท่าสบอารมณ์ในอัธยาศัยของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง
หลวงพ่อเล่าให้พวกลูกศิษย์ฟังวันรุ่งขึ้นว่า
หลวงปู่สิมท่านก็เห็นอยู่แล้วว่าหลวงปู่ตื้อ ท่านมานั่งอยู่บนอาสนะนั้น แล้วจะให้หลวงพ่อไปนั่งอีกได้อย่างไร ส่วนหลวงปู่สิม ท่านบอกว่า พระมหาวีระ..เป็นผู้รู้แจ้งโลกในปัจจุบันโดยแท้
คณะศิษย์หลวงพ่อฯ ที่ขึ้นบนถ้ำผาปล่องเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2517
สมัยนั้นพอได้เวลาประมาณ 10:30 น. เรือที่ไปรับปิ่นโตเจ๊กิมกีจะกลับวัดพร้อมด้วยหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับที่มีจำหน่ายในจังหวัดอุทัยธานี พี่นนทาจะนำหนังสือพิมพ์ไปถวายหลวงพ่อ พวกเราจะไปคอยอ่านหนังสือพิมพ์ต่อจากหลวงพ่อ วิธีอ่านหนังสือของหลวงพ่อแปลกกว่าผู้อื่น คือ ยกขึ้นส่องดูพาดหัว แล้วก็โยนปุลงมาหน้าเตียงที่ท่านทีละเล่ม พวกที่เฝ้าอยู่ก็จะคว้ามาอ่านคนละเล่ม
ผู้เขียนสังเกตหลายครั้งว่า ไม่ว่าผู้เขียนกำลังอ่านข่าวอะไร หลวงพ่อก็จะตั้งต้นวิสัชนาเรื่องนั้น พร้อมทั้งถามความคิดเห็นพวกที่นั่งอยู่ด้วยกัน และไม่ว่าพวกเราจะพยายามแสดงปัญญาอันมีแค่หางอึ่ง ออกความเห็นอย่างไรก็ตาม หลวงพ่อก็จะสรุปว่า
ฉันว่า.................... แล้ว
เหตุการณ์ต่างๆ ก็จะเป็นไปตามที่หลวงพ่อพูด หากผู้เขียนแกล้งเปลี่ยนเรื่องอ่านโดยเจตนา หลวงพ่อก็จะเปลี่ยนเรื่องพูดไปตามข่าวที่กำลังอ่านทุกที่ไป จนท้ายที่สุดผู้เขียนต้องเลิกอ่านข่าว พอหลวงพ่อโยนหนังสือพิมพ์มาให้ ท่านเห็นไม่มีใครอ่าน ท่านก็จะถามว่า
ข่าววันนี้มีอะไรบ้าง ฉันตาไม่ดี
ผู้เขียนก็รีบพนมมือพร้อมทั้งกล่าวว่า นิมนต์หลวงพ่อกล่าวมาเลยดีกว่าค่ะ หลวงพ่อท่านจะยิ้มหรือบางครั้งก็จะบ่นว่า
อะไรกันวะ
วันหนึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผู้เขียนลาพักผ่อนไปอยู่ที่วัดท่าซุง มีผู้นำแหนมมาถวายหลวงพ่อหลายพวง ผู้เขียนจึงสมคบกับปุ๋ย (ลูกสาวน้าน้อยกานดา) ว่าวันนี้ได้การละ แล้วเรา 2 คนก็ช่วยกันจัดการแกะห่อแหนมหั่นจนพูนจานใบโต พร้อมทั้งนั่งคอยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะพวกเราคอยรับประทานอาหารเหลือหลวงพ่อทุกวัน
หลวงพ่อท่านนั่งลงฉันไม่พูดว่าอะไร ฉันไปก็หยิบแหนมส่งให้หมากินไปพร้อมๆ กับท่านจนแหนมหมดจาน พอท่านฉันเสร็จ ท่านก็บอกผู้เขียนกับปุ๋ย (ซึ่งหน้าจ๋อยเต็มที่ พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเพราะผู้เขียนเป็นหัวโจก) ว่า
แหนมน่ะให้หั่นเอาใหม่นะ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระราชพรหมยาน
นั้น มีพระคุณกับผู้เขียนเป็นที่สุดทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่อาจที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้ แม้ในขณะที่ช่วยกันจัดทำ "หนังสืออนุสรณ์งานสมโภช" และ "หนังสือบันทึกของลูกศิษย์" ฉบับที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ บารมีของหลวงพ่อก็ยังเมตตาแผ่มาถึง เพียงตั้งใจอธิษฐานขอบารมีของหลวงพ่อเป็นที่พึ่งเท่านั้น เหตุการณ์ขัดข้องทั้งหลายจะหมดไป
ปัญหาสุดท้ายที่ผู้เขียนขอบารมีหลวงพ่อ โดยเสี่ยงเอาหนังสือฉบับนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ ก็คือตัวพิมพ์และกระดาษ ตัวอักษรที่ใช้ในการพิมพ์หนังสือนี้เป็นตัวอักษรออกใหม่เรียกว่าตัวอักษร มานพ ซึ่งเส้นหนา เมื่อต้องการจะเน้นข้อความใดก็ใช้คำสั่งให้เป็นตัวเข้ม ซึ่งตัวอักษรจะหนาขึ้นไปอีก
คุณสุขหฤทัย ไชยรบ
ผู้เชี่ยวชาญการจัดทำหนังสือ เป็นผู้ออกแบบ และวางรูปเล่มหนังสือฉบับนี้บอกว่า
หากจะทำตัวอักษรตัวเข้ม อักษรมานพต้องใช้กระดาษพิเศษสั่งจากนอก มิฉะนั้นเวลาพิมพ์ตัวอักษรจะแตกและซึมกระดาษเลอะไม่น่าดู เหมี่ยว
(โศภิษฐ์ สดศรี)
จึงช่วยยักย้าย ถ่ายเทเลี่ยงจากการใช้อักษรตัวเข้ม มาเป็นตัวเอนเพื่อเน้นข้อความแทน ซึ่งก็ปรากฏผลไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่เหมี่ยวก็เห็นว่าดีกว่าตัวเข้มแล้ว อักษรแตก หมึกซึมเวลาพิมพ์ เพราะเราใช้กระดาษธรรมดาไม่ใช่กระดาษสั่งนอก ผู้เขียนคิดสูตรปรมาณูได้ เลยตัดสินใจแก้กลับไปเป็นตัวเข้มอีก แล้วบอกเหมียวว่า
เราทำหนังสือบูชาคุณหลวงพ่อก็ต้องเสี่ยงบารมีหลวงพ่อกันละ เหมี่ยวดูท่าทางจะไม่สบายใจนัก หากผู้เขียนมีความเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นว่า หนังสือจะต้องออกมาดี เพราะเราตั้งใจทำให้ดี ไม่ได้ทำกันเล่นๆ
การเขียนบันทึกเรื่องนี้ หากมีเรื่องที่ไม่สมควรด้วยประการใดก็ดี ผู้เขียนขอกราบขมาต่อพระรัตนตรัยและต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระราชพรหมยาน
ซึ่งผู้เขียนได้ยึดไว้เป็นสรณะประจำตนและขอถือโอกาสนี้อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์ทั้งหลายทั่วสากลพิภพ ได้โปรดอภิบาลและและประทานพร 3 ประการ อันได้แก่ อายุ สุขะ และพละ แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระราชพรหมยาน
ส่วนวรรณะ และปฏิภาณนั้นคงจะไม่ต้องเพราะท่านมีพร้อมแล้ว.
หมายเหตุ
นักเขียนทั้งสองท่านที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านคงทราบได้ดีว่า คุณลุงดำรงค์ นุตาลัย เป็นพ่อของ คุณชาลินี ซึ่งได้แต่งงานกับ นพ.ชุติ เนียมสกุล เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อกันทั้งเซ็ท คุณชาลินี หรือเรียกชื่อเล่นว่า "ปาน" มีนิสัยโอบอ้อมอารี หน้าตายิ้มแย้ม เป็นคนนิสัยดีน่ารัก ไม่ค่อยถือตัว ทั้งๆ ที่มีความรู้ และเงินเดือนเป็นแสน ได้เป็นผู้จัดทำหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ ร่วมกับ "คุณเหมี่ยว" คือ คุณโสภิษฐ์ สดสี
คุณปานได้รู้จักหลวงพ่อมานาน จึงได้สั่งสมประสบการณ์ไว้มาก อีกทั้งเป็นคนที่รู้จักกาลเวลา, รุ้จักบุคคล, รู้จักใช้ถ้อยคำในการคุยกับหลวงพ่อ คือไม่ถูกด่าออกมาเสียก่อนเหมือนคนอื่นๆ (แต่เป็นเพียงบางคนนะ) จึงทำให้ได้รู้เรื่องอะไรดีๆ เกินกว่าที่คนอื่นจะรู้ได้
ความจริงเรื่องที่คาดการณ์กันว่า "หลวงพ่อต้องไม่ใช่แค่พระวิชชาสาม" เป็นเพียงความคิดและเป็นคำพูดที่วิจารณ์กันมานาน ในกลุ่มลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามหลวงพ่อตรงๆ คงมีแต่ครอบครัว "นุตาลัย" นี่แหละ ที่สามารถยืนยันกับพวกเราในภายหลัง ให้เกิดความมั่นได้ว่า "หลวงพ่อต้องเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ" อย่างแน่นอน จากการเป็นคนช่างสังเกตของคณะนี้นี่แหละ
และอีกประการหนึ่ง ซึ่งมีหลักสูตรบังคับไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่เคยปรารถนา "พุทธภูมิ" มาก่อน เมื่อจะลาในช่วง "ปรมัตถบารมี" จะต้องจบกิจเป็น "พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ" เพียงสถานเดียว เพราะบารมีเกินไปมากแล้วนั่นเอง ดังตัวอย่างที่หลวงพ่อบอกไว้อีกองค์หนึ่ง นั่นก็คือ
"หลวงปู่สี ฉันทสิริ"
แห่งวัดถ้ำเขาบุนนาค จ.นครสวรรค์ หลวงพ่อบอกว่าท่านลาจาก "พุทธภูมิ" เหมือนกัน.
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
31/7/09 at 08:52
นุสมล สุขเสริม
"หลวงพ่อ"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........นับเป็นเวลา 20 ปีเศษ ที่ข้าพเจ้าได้รู้จักหลวงพ่อจากท่านผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง และหากข้าพเจ้าจะกล่าวถึงหลวงพ่อโดยไม่เอ๋ยนามท่านผู้นั้น ข้าพเจ้าก็คงเหมือนคนอกตัญญูที่ไม่รู้คุณผู้ที่ชักนำให้ข้าพเจ้าได้พบสิ่งที่เป็นมงคลอันประเสริฐยิ่งของชีวิต พี่อ๋อย หรือคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ภรรยาของท่านพลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้าของบ้านสายลม บ้านที่ท่านได้สละให้พวกเราได้ใช้เป็นที่พบปะหลวงพ่อ ได้ทำบุญ ได้ศึกษาธรรม
ท่านผู้นี้เป็นผู้มีเมตตาอย่างสูง เมื่อเห็นว่าข้าพเจ้าต้องพบกับความขัดข้องของชีวิต ต้องทุกข์ทรมานใจที่ต้องพลัดพรากจากลูกอันเป็นที่รักก็ดี ทุกข์ทรมานกับโรคภัยต่างๆ ที่ต้องประสบพบพานอย่างหนักเนืองๆก็ดี ท่านผู้นี้ได้ยื่นหนังสือ
ประวัติหลวงพ่อปาน
ที่หลวงพ่อเป็นผู้เขียนให้ข้าพเจ้าหนึ่งเล่ม และได้ชักนำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบเท้าหลวงพ่อ ณ บ้านสายลมแห่งนั้นอีกด้วย
นับแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ข้าพเจ้าได้ตระหนักชัดว่า ข้าพเจ้าได้มีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวอย่างแท้จริง ในความรู้สึกของข้าพเจ้านั้น
หลวงพ่อเป็นทั้งพ่อและครู เป็นผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง
ธรรมะต่างๆที่หลวงพ่อสอน ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจชีวิตมากขึ้นตามลำดับ การโอดโอยต่อสิ่งไม่พึงปรารถนาต่างๆ จึงค่อยๆ เบาลง ตั้งหน้าที่จะใช้กรรมและทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เพราะเหตุทุกเหตุต้องมีผล และผลทุกผลต้องมีเหตุ ที่ต้องเกิด ต้องตาย ต้องร้อน ต้องหนาว ฯลฯ ก็ด้วยกรรมอันเป็นรากฐานของตนทั้งสิ้น ความผันแปรต่างๆ บนโลกมนุษย์นี้แท้ที่จริงคือ ปกติธรรมดา ข้อสำคัญหลวงพ่อสอนให้รู้ว่า
ทุกข์นั้นเราต้องรู้จักเข็ด และมีหนทางที่จะหนีมันได้
หนีมันพ้น
พระนิพพานนั้น แม้นจะไม่ใช่สิ่งง่ายๆ ที่จะทำให้แจ้ง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเหลือวิสัย หากเรามั่นคงที่จะไป
หลวงพ่อทำให้ธรรมะของสมเด็จพระพุทธครูบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากระจ่าง สว่างแจ้ง ให้เราปฏิบัติได้ ปฏิบัติตรง หลวงพ่อจึงเปรียบเสมือนดวงแก้วที่ส่องทางให้บรรดาศิษย์และลูกรักทั้งหลายได้เดินพ้นอบายภูมิ และมุ่งสู่แดนสุขอันแท้จริง
สำหรับข้าพเจ้าแล้ว พระธรรมทั้งหลายที่หลวงพ่อสอน ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในธรรมอยู่เสมอ ข้าพเจ้าจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานอย่างมุ่งมั่นว่า เมื่อข้าพเจ้าได้เกิดมามีบุญได้พบพระอริยสงฆ์เช่นหลวงพ่อ ข้าพเจ้าย่อมภูมิใจที่ตัวเองนั้นขึ้นชื่อว่าเป็น ศิษย์มีครู เป็นลูกพ่อคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงขอเทอดเอาสิ่งที่เป็นมงคลยิ่งนี้ไว้เหนือหัว และไม่ว่าการปฏิบัติเพื่อให้ถึงความหลุดพ้นอันเป็นยอดปรารถนาสูงสุด จะมีอุปสรรคขวากหนามสักปานใด ข้าพเจ้าจะอดทน จะแก้ไข แก้ทุกข์ และทิ้งทุกข์ให้ได้ เพื่อติดตามหลวงพ่อผู้ซึ่งข้าพเจ้าเทอดไว้เหนือหัว ไปสู่แดนแห่งความสุขอันเกษมชั่วกาล
พระธรรมที่พ่อสอน ด้วยอาทรและห่วงใย
จงนำลูกพ้นภัย ไปทิพยสถานนิพพานเทอญ
หมายเหตุ
ตามปกติผู้เขียนเองไม่ค่อยได้อ่านข้อเขียนโดยละเอียด เนื่องจากต้องมีภารกิจต่างๆ มากมาย แต่เมื่อได้มีโอกาสเขียนเพิ่มเติมในเว็บวัดท่าซุงนี้ จึงได้มีโอกาสอ่านทุกถ้อยคำ อันแสดงถึงความจริงใจของผู้บันทึก ที่ได้หลั่งไหลออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการสะท้อนถึงจิตใจที่มีความรักและผูกพัน จากคำที่ว่า..
"หลวงพ่อเป็นทั้งพ่อและครู"
คุณนุสมล สุขเสริม เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมานาน จากการบอกเล่าให้ได้ทราบว่า เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้อ่าน
"หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน"
จึงได้เกิดความสัทธาปสาทะอย่างมั่นคง ตลอดเวลาอันยาวนานหลายสิบปีนี้ คุณนุสมลจึงได้มีโอกาสอุปถัมภ์บำรุงวัดท่าซุงตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัดท่าซุงหรือวัดอื่นๆ ที่หลวงพ่อให้การช่วยเหลือ ตลอดจนถึงการมอบสิ่งของให้แก่ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารอยู่เสมอๆ
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
1/8/09 at 10:24
นนท์ ปานเถื่อน
"พระคุณพ่อ..สุดมากพ้นรำพัน"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........ลูกได้มีโอกาสเข้าวัดท่าซุงประมาณปี 2517 ด้วยการชักชวนและนำพาของพี่สาว จนกระทั้งถึงปี 2523 เป็นปีน้ำท่วม ลูกมีโอกาสได้มาอยู่วัดหลายวัน จึงได้ฝึกมโนมยิทธิกับเขาเป็นครั้งแรก กว่าจะหายสงสัยเรื่องนรกสวรรค์และพระนิพพานได้ก็แทบแย่
ตั้งแต่นั้นมาลูกได้มีโอกาสมาวัดบ่อยขึ้น ปฏิบัติได้บ้างพอสมควร ก็ด้วยความเมตตากรุณาจากพ่อที่ให้แก่ลูก ช่วยให้แสงสว่างชี้ทางที่ถูกที่ตรง แล้วก็เป็นทางลัดด้วยให้ลูกได้เดิน ลูกจึงได้ยึดเอามาเป็นเครื่องปฏิบัติและ ขอก้าวเดินไปตามทางลัดที่พ่อสอนจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง และจะพยายามให้ถึงที่สุดในชาติปัจจุบันนี้ จะไม่ขอเกิดมาพบกับความทุกข์ในโลกนี้อีกแล้ว
ครั้นถึงปี 2528 พ่อได้จัดงานฉลองวัดและสมณศักดิ์ที่พ่อได้รับ ลูกและครอบครัวได้มางานนี้และได้พบ เรียกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์พิเศษสุดก็ว่าได้ ที่ลูกได้มีโอกาสพบและเข้าไปกราบพระองค์ที่ 10 อย่างใกล้ชิด ทำให้ลูกและครอบครัวมีความชื่นใจ อิ่มอก อิ่มใจจนบอกไม่ถูก ในชีวิตนี้คงจะมีครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น และก็ยิ่งชื่นใจมากขึ้นไปอีก เมื่อหลังจากงานลูกมีโอกาสได้ฟังเทปที่พ่อได้เมตตาเล่าเรื่องที่ได้พบพระองค์ที่ 10 และเอาคำสอนมาถ่ายทอดให้ลูกๆ ได้ฟังกัน
พ่อบอกว่าท่านสอนสั้นๆ แต่มีเนื้อหาสาระละเอียดลึกซึ้งมาก ลูกได้ฟังแล้วชื่นใจเป็นพิเศษ และยังก้องติดหูติดใจอยู่จนทุกวันนี้ ก็ด้วยความเมตตาและเป็นมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ 10 แล้วพ่อก็ยังเมตตาสงเคราะห์ลูกและครอบครัวของลูก ลูกจึงขอความกรุณาอนุญาตนำคำสอนซึ่งลูกขออนุญาตเรียกว่า
โอวาทของพระองค์ที่ 10
ซึ่งได้นำมาถ่ายทอดโดย
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
แห่งวัดท่าซุง ดังนี้
คนเราเกิดมาแล้วจะดีหรือจะชั่วอย่างไรก็ตาม จะมียศฐาบรรดาศักดิ์ขนาดไหนก็ตาม ทุกคนก็ต้องตายหมด ถ้าเราเมาในชีวิตคิดว่าชีวิตของเราจะไม่ตายนี่ มีความรู้สึกมันจะผิดมากเกินไปทุกคนจงอย่าลืมความตาย แต่ก่อนจะตายเราอย่าปล่อยให้เกิดมาขาดทุน เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ไม่ควรย้อนถอยหลังลงอบายภูมิ ให้ก้าวหน้าต่อไป ถ้าก้าวยาวไม่ได้ก็ก้าวสั้นๆ ก้าวสั้นๆ ก้าวไปไหน ก็ก้าวไปสวรรค์ ถ้าอยากจะไปสวรรค์ ให้รักษาเทวธรรมให้ครบถ้วน คือหิริ และโอตัปปะ หิริ อายความชั่ว โอตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะลงโทษให้ทำแต่ความดีตามพระธรรมวินัย
ถ้าอยากจะไปพรหมก็ก้าวให้ยาวอีกนิดหนึ่ง รักษากำลังใจ จงอย่าให้ใจเป็นทาสของนิวรณ์ ทรงพรหมวิหารสี่เป็นปกติ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทำจิตให้ตั้งมั่นในณานสมาบัติ แล้วต่อไปถ้าคิดจะก้าวลัดให้เร็วขึ้น ให้ตั้งใจไปนิพพาน จงมีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงเรืองร่างที่อาศัยชั่วคราวของอทิสมานกาย หรือที่เรียกว่า จิต
แล้วร่างกายมันก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เต็มไปด้วยความทรุดโทรม เรามีร่างกายเราก็ชื่อว่ามีใจแบกทุกข์ ถ้าเราติดร่างกายเราก็ติดทุกข์ เราจะไม่มีความสุข ขอทุกท่านจงปลดอารมณ์ ตัดราคะความกำหนัด ยินดีในบุคคลและทรัพย์สิน ตัดโทสะ ความโกรธ คือคิดประทุษร้ายกัน ให้มีแต่ความเมตตา ปราณี ตัดโมหะ ความหลงที่คิดว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา ทำได้อย่างนี้ทุกคนไปนิพพานหมด
พระคุณของพ่อที่ลูกได้รับนี้นับว่าใหญ่หลวงนัก ซึ่งลูกไม่มีโอกาสทดแทนพระคุณได้แน่นอน ลูกจึงได้ตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสที่จะได้ช่วยเป็นงานที่จะแบ่งภาระของพ่อได้ จะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม จะเป็นที่วัด ที่สายลม หรือที่อื่นๆ ถ้าโอกาสอำนวยจะขอช่วยจนถึงที่สุด เพราะว่าพ่อมีแต่ให้อย่างเดียว ลูกจึงขอยึดเอาคำสั่งและคำสอนที่พ่อให้ นำไปปฏิบัติจนถึงที่สุดจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน..
หมายเหตุ
ถ้าใครไปที่ "บ้านสายลม" บ่อยๆ จะเห็นพระวัดท่าซุงนั่งอยู่ที่จำหน่ายลูกแก้วและสังฆทาน ในจำนวนฆราวาส 2-3 คนที่ช่วยงานอยู่ตรงนั้น จะมีผู้ชายคนหนึ่ง ใครๆ เรียกกันว่า "จ่านนท" นั่งช่วยจำหน่ายคูปองสังฆทานอยู่ นับตั้งแต่วันศุกร์จนถึงวันจันทร์ ตามกำหนดเวลาที่มีการปฏิบัติธรรมทุกต้นเดือน
พี่จ่านนท์เป็นคนเงียบๆ พูดจาสุภาพกับทุกคน ช่วยเหลืองานอยู่ที่บ้านสายลม และไปช่วยงานที่วัด (ตึกรับแขก) เป็นประจำหลายสิบปีมาแล้ว การที่พี่จ่านนท์มีเวลาไปช่วยงานได้เต็มที่ เป็นเพราะพี่จ่านนท์เกษียณออกมาจากราชการหลายปีแล้ว เดิมรับราชการเป็นทหารอยู่ที่จังหวัดลพบุรี
การที่พี่จ่านนท์เป็นคนทำงานให้กับวัดมานานนี้ จะเห็นว่าเป็นคนที่มีความอดทนและเข้มแข็ง เพราะเป็นธรรมดาของโลก วัดท่าซุงเป็นวัดใหญ่ มีผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสหลวงพ่อมากมาย คนที่เข้ามาช่วยเหลืองานของวัดก็มีอยู่ ย่อมเป็นที่กระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา แต่ที่พี่จ่านนท์สอบผ่านมาได้นี้ คงเป็นเพราะพี่จ่านนท์ยึดถือคำสอนของหลวงพ่อเป็นสำคัญ ไม่ใช่ว่าเรียนธรรมะแล้วเอามาคุยแข่งกัน หรือเอาความรู้มาเบ่งทับกัน
แต่พี่จ่านนท์น้อมนำเอาธรรมะมาปฏิบัติจริงๆ จึงทำให้พี่จ่านนท์เป็นที่รักนับถือของคนทั่วไป สมกับที่พี่จ่านนท์บันทึกเอาไว้ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทุกประการ คุณความดีที่พี่จ่านนท์ได้ช่วยเหลืองานของสงฆ์ และงานสาธาณประโยชน์มานานหลายสิบปี พวกเราทีมงานต้องขอสดุดีและขออนุโมทนาไว้ ณ โอกาสนี้ทุกประการครับ
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
3/8/09 at 13:30
นิภา คงสุข
"หวนรำลึกนึกซึ้นในพระคุณท่านพ่อ..พระมหาวีระ ถาวโร ผู้ชี้ทางแห่งชีวิตใหม่"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........เมื่อ พ.ศ. 2517 ก่อนพบท่านพ่อมหาวีระ ถาวโร เราได้พบกับคุณชอ (อัญชัน) คุณอัญเชิญ พี่สรรเสริญ ที่อุตรดิตถ์ คุณชอได้เล่าถึงการรักษาศีล 8 เราฟังดูแล้วรู้สึกขำและยังพูดล้อว่า โฮ้ย! อยู่ดีไม่ว่าดีไปอดอยาก เราไม่เอาอดอยากตาย กินตายดีกว่าอดตาย ดีชั่วรู้หมดแล้ว สวรรค์-นรกก็เห็นหมดแล้ว หากินทางฝันดีกว่า
คุณชอก็สนใจและถามว่ามันเป็นอย่างไงที่ว่าหากินทางฝัน เราก็เล่าให้ฟังว่าเคยฝันเห็นคนแก่มาบอกว่า ทำบุญไปยายได้รับนะ จะตอบแทนคุณให้หวยจะออก 495 นะ เมื่องวดก่อนออกแล้วงวดนี้จะออกซ้ำอีก พอถึงวันออกก็ออกมาซ้ำจริงๆ เรายังถูก 20 บาทได้เงินหมื่นสอง สมัยก่อนทองบาทละ 600 และยังมีฝันอีก ฝันเห็นผู้ชายหนวดยาวสีขาว นุ่งขาวห่มขาวพาไปดูนรก-สวรรค์ คุณชอก็บอกว่า คุณพาถ้าได้อ่าน
หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน
ของหลวงพ่อแล้วจะติดใจ หลังกรุงเทพฯ จะส่งหนังสือมาให้ ต่อมาเพียง 3 วัน หนังสือจากคุณชอก็ถึงอุตรดิตถ์
เราเป็นคนชอบคนมีสัจจะจริงใจ พอได้รับตามจริง ตอนนั้นเปิดภัตตาคารไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือนัก แต่ต้องอ่านเพราะผู้ส่งมีสัจจะ จึงอ่าน..พออ่านไปๆ นึกชอบใจผู้เขียนและชอบใจอภินิหาร จึงอธิษฐานในใจว่า..พระองค์นี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่หนอ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ขั้วโลกเหนือโลกใต้จะไปหา เพราะท่านเหมือนเรา (ขอขมาท่านพ่อ) แทนที่จะนึกเราคล้ายท่านก็ยังไม่ควร แต่ตอนนั้นเหมือนเด็กไร้เดียงสา คิดอย่างนั้นจริงๆ
คิดว่าพระองค์นี้เหมือนเรา และตอนอ่านถึงอภินิหารพระธาตุที่พระฉายยิ่งทึ่ง จึงจุดธูปอธิษฐานขอพระธาตุทั้งๆ ที่เกิดมาไม่เคยรู้จักหรือเห็นว่าพระธาตุนั้นคืออะไร เราอธิษฐานเพราะคำว่า "อภินิหาร" เราอธิษฐานวันโกนคือก่อนวันพระ 1 วัน พอครบวันโกน คืนนั้นฝันว่ามีเทวดายืนบนต้นไม้ใหญ่ทองกวาว อายุประมาณ 80 กว่าปี
ท่านขึ้นไปยืนบนง่ามต้นไม้นั้นแล้วเปิดผอบ เรายืนดูอยู่พอเปิดผอบก็มีดวงลอยขึ้นมาจากผอบ ลอยสูงขึ้นก็ใหญ่ขึ้นและสว่างขึ้น เรายืมมองตามพอถึงหัวเราก็ใหญ่เท่าพระจันทร์เต็มดวง พอตรงหัวเราก็ครอบบนหัวดูตัวเราสว่าง เทวดาท่านก็พูดว่า เอาหละนะ แสงสว่างเข้าตัวเราแล้วนะ เรากราบท่าน พอเช้าก็มีคนให้พระธาตุ หลวงปู่ปานท่านมีอภินิหารจริงๆ เราเชื่ออย่างไม่มีสงสัยและอย่างมีปาฏิหาริย์จริง
หลังจากนั้นเราก็สืบดู จึงรู้ว่าท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่วัดท่าซุง เรามากับพระ 2 องค์ ฆราวาส 3 คนรวม 5 คน พบท่านพ่อกำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่ เรานมัสการท่านและท่านก็สั่งคุณอาทร (ทราบภายหลัง) ว่าเป็นทหารอากาศ ท่านเป็นผู้เปิดห้องพักให้เรา เกิดมาไม่เคยค้างวัด แอบไปหาโรงแรมที่มโนรมย์แล้วไม่มี ท่านพ่อก็รู้อีกทั้งๆ นอนให้น้ำเกลืออยู่ ท่านพูดลอยๆว่า
ไม่ต้องไปหาโรงแรมหรอกพักเสียที่นี่แหละ โรงแรมสกปรกกว่าวัดอีก
ความจริงสมัยก่อนถ้าไปวัดมาพอถึงบ้านต้องอาบน้ำสระผม ถือว่าวัดสกปรกและมีแต่ของไม่ดี เช่นศพผีแมวหมา ของไม่ดีเขาเอาไปวัดจึงรังเกียจวัด แต่เราเคารพท่านพ่อ ท่านอุตสาห์ให้ท่านอาทรเปิดห้องพักข้างกุฏิท่านให้จึงพัก 1 คืน และท่านยังพูดอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เป็นที่น่าทึ่ง น่าเคารพเลื่อมใส
ซึ่งเราไม่เคยพบพระอย่างนี้มาก่อน พบแต่พระที่เสมือนเพื่อนเท่านั้น สมัยนั้นเราเป็นคนมีอารมณ์สนุก จะไปวัดทั้งทีก็สั่งเจ้าอาวาสทำขนมจีน เผาข้าวหลามไว้ ท่านก็จะทำตามสั่ง เราก็พาพรรคพวกคณะรถไฟไปกิน แถมยังเอาไพ่ไปเล่นรัมมี่อีก ดูนะสมัยนั้นเราเป็นคนดีที่แฝงไว้ด้วยความเลวแค่ไหน และจะไม่ให้เราเรียก
"ท่านพ่อมหาวีระ ถาวโร"
ว่าผู้ชี้ทางแห่งชีวิตใหม่ได้อย่างไร ถ้าไม่พบท่านพ่อชี้ทางแห่งชีวิตใหม่ คงไม่พ้นขุมใดขุมหนึ่งแน่ๆ จริงมั้ยคะ..?
ต้องเป็นบุญของเราและยิ่งได้รับ "มโนมยิทธิ" ด้วยยิ่งสนุกใหญ่ ถ้าเป็นพุทธพาณิชหากินทางหมอดูได้รวยเละเลย ดีแต่ว่าเราปวารณาเป็นพุทธบริษัทและปรารถนานิพพาน จึงนึกคิดเสมอว่า คืนนี้ไม่รู้จักหายใจหรือไม่ จึงดูเพื่อสงเคราะห์เท่านั้น เมื่อได้มโนมยิทธิ เราก็เลยไม่ต้องอาศัยฝันอีกแล้ว ดีกว่าฝันด้วย เพียงนึกเปิดโทรทัศน์ ปิดพัดลม เพียงนึกนั่งมองไปก็ปิดได้ (แต่ไม่ทำโชว์นะจะบอกให้) ที่ทำนี้มีพยานด้วย ถ้าใครอยากทำได้ก็หมั่นทำความเพียรอย่าท้อถอย อย่าสงสัย อย่าใจเบาเชื่อเขาว่าสวรรค์-นรกไม่มี นิพพานสูญ..
หมายเหตุ
ผู้เขียนก่อนที่จะเพิ่ม "หมายเหตุ" นั้น จึงต้องอ่านโดยละเอียด เพราะต่อมาภายหลัง คุณป้านิภามีชื่อเสียงมาก ได้ไปสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เมืองกาญจน์ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย คงไม่มีอะไรที่จะเพิ่มเติม
แต่มีสักเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าว่า โดยเล่ามาจากพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2533 สมัยนั้นหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ คนยังไม่รู้จักคุณป้านิภามากนัก วันนั้นคุณป้ามาจากอุตรดิตถ์มาพักที่วัดหลายวัน จึงได้มีโอกาสสนทนากับหลวงพ่อองค์หนึ่งและหลวงพี่อีกองค์หนึ่งที่ตึกเสริมศรี (ต้องขออภัยที่ไม่สามารถเอ่ยนามของท่านได้
ในตอนนั้น หลวงพ่อและหลวงพี่ทราบดีว่า คุณป้านิภาได้ทิพจักขุญาณแจ่มใส จึงได้ซักถามเรื่องราวต่างๆ อีกทั้งอยากจะทดสอบความแม่นยำด้วย โดยเฉพาะเรื่องระลึกชาติ คุณป้าได้บอกว่าหลวงพี่ได้เคยเกิดเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ มีชื่อว่า "หรยู" หลวงพี่ก็ถามว่าเห็นเป็นภาพหรืออย่างไร คุณป้าบอกว่าเห็นเป็นตัวหนังสือลอยมา
หลวงพี่ท่านได้ฟังดังนั้น จึงได้ไปค้นหาตามตำนานต่างๆ เช่นตำนานเมืองเชียงใหม่เป็นต้น แต่ก็ไม่พบชื่อของเจ้าเมืององค์นี้ ส่วนใหญ่หลังสมัย "พ่อขุนเม็งราย" ก็มีชื่อว่า พระเจ้าแสนภู, พระเจ้าคำฟู, พระเจ้าผายู, พระเจ้ากือนา เป็นต้น
ต่อมาท่านก็ได้ไปค้นคว้าจนพบจาก "หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์" ซึ่งได้เล่าเรื่องประวัติเมืองเชียงใหม่ โดยรจนาเป็นภาษาบาลี ลำดับรัชกาลจากพ่อขุนเม็งรายมหาราชจนมาถึงสมัยพระเจ้า "หรยู" ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า "ผายู" นั่นเอง
หลวงพี่ท่านบอกว่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะตามประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อ "หรยู" ตามตำนานต่างๆ จะเรียกเจ้าเมืองเชียงใหม่องค์นี้ว่า "ผายู" หรือไม่ "ตายู" เป็นต้น แล้วคุณป้านิภาจะรู้ได้อย่างไรว่า ชื่อ "หรยู" นี้มีอยู่ใน "ชินกาลมาลีปรณ์" คนส่วนใหญ่ถ้าไม่ศึกษาประวัติศาสตร์จริงๆ จะไม่ค่อยรู้จักหนังสือเล่มนี้ นี่เป็นเรื่องที่แถมท้าย.
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
10/8/09 at 08:06
บุญยืน คามพิทักษ์
"พระคุณของ..หลวงพ่อ"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเขียนข้อความที่เกี่ยวกับพระคุณหลวงพ่อ
พระราชพรหมยาน
ข้าพเจ้าขอแสดงความคารวะและขอขมาหลวงพ่อท่านก่อน กันพลาดพลั้ง
เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ
ประวัติหลวงพ่อปาน
แล้ว ทำให้อยากรู้จักหลวงพ่อ ในหนังสือมีคุณวิเศษขององค์ท่านทั้งสอง เป็นที่ประทับใจข้าพเจ้ามาก เมื่อมีโอกาสจึงไปกราบหลวงพ่อท่านที่วัดท่าซุงและได้ทำบุญกับท่าน และได้ทราบว่าองค์ท่านไปแสดงธรรม สอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลมทุกเดือน ท่านเจ้าของบ้านท่านเมตตาอนุญาตให้ใครไปก็ได้ เป็นพระคุณอย่างยิ่ง
เมื่อได้ฟังธรรมนั่งกรรมฐานกับองค์ท่าน แล้วก็ติดใจในรสพระธรรมขององค์ท่าน ท่านสอนเข้าใจง่ายธรรมะของท่านมีหลายรสฟังไม่เบื่อ บางครั้งธรรมะของท่านก็แทงใจพวกเราหลายๆ คนต่างๆ กัน บางทีข้าพเจ้าไม่เข้าใจธรรมะบางประการ ก็เขียนจดหมายกราบเรียนถามท่าน ท่านก็กรุณาเมตตาตอบจดหมายชี้แจงมาให้เข้าใจ เป็นที่ซาบซึ้งในความเมตตากรุณาขององค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง (เมื่อ 10 กว่าปีก่อน)
กาลต่อมาธรรมะของท่านก็เข้มข้นขึ้น จนถึงขั้นอารมณ์พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ และบอกทางไปนิพพานในขั้นสุดท้าย เพื่อให้ลูกศิษย์มีใจแน่วแน่เพื่อพระนิพพาน จะได้ไม่กลับมาเกิดผจญกับความทุกข์อีก ได้แนะนำวิธีทำบุญต่างๆ ว่าทำบุญด้วยอะไร อย่างไร จึงจะได้ผลมาก ทุกๆ คนเมื่อได้ไปกราบครั้งหนึ่งแล้วก็ประทับใจ ต่างพาพี่น้อง เพื่อนฝูง มาทำบุญฟังธรรม นั่งกรรมฐานอย่างล้นหลามอย่างเช่นทุกวันนี้
หลวงพ่อท่านไม่เคยห่วงลูกศิษย์เมื่อตอนที่องค์ท่านแข็งแรงอยู่ องค์ท่านได้พาคณะศิษย์ไปนมัสการพระอาจารย์ทางภาคเหนือหลายพระองค์ เพื่อให้ลูกศิษย์นับถือเป็นอาจารย์และทำบุญกับท่าน จะได้เนื้อนาบุญที่สมบรูณ์มี
หลวงปู่คำแสนใหญ่ วัดสวนดอก หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล หลวงปู่อินทจักร วัดน้ำบ่อหลวง หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง หลวงปู่พรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่วงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย
และแนะนำให้ไปกราบและทำบุญกับ
หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรี หลวงปู่อำพัน วัดเทพศิรินทร์
หลวงพ่อท่านสอนไม่ให้ติดองค์ท่าน ท่านให้ติดคำสอนของขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หลวงพ่อท่านสอนให้ฝึกมโนมยิทธิเพื่อความแน่ใจว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง พรหมมีจริง นิพพานมีจริง และสอนให้ฝึกญาณต่างๆ องค์ท่านสอนให้ตั้งสติไปกราบพระพุทธเจ้าบ่อยๆ กราบท่านพ่อท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่า พ่อแม่และท่านผู้มีพระคุณ และให้เอาจิตไปตั้งไว้ที่นิพพานต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง เพื่อจิตจะได้ชิน เวลาจวนจะตายจิตจะได้ไปที่ที่เคยไปทุกวัน เพราะเราได้รู้จักหลวงพ่อท่านจึงมีความรู้พิเศษเช่นนี้ นับว่าเป็นบุญของพวกเราอย่างยิ่ง พระคุณของท่านมีเป็นล้นพ้น
หนังสือที่ท่านเขียนอ่านแล้วให้ความรู้ในธรรมะอีกมาก อ่านแล้วต้องพิจารณาตามไปด้วย ท่านมีวิธีพูดให้เรารู้ สำนึกในความผิดเพื่อแก้ไข คำสอนขององค์ท่านและทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์ท่านได้สงเคราะห์ เป็นที่ซาบซึ้งและประทับใจแก่ข้าพเจ้าและผู้ได้รับฟัง และประสบทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง พระคุณของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน มีมาก..มากสุดจะพรรณนา..!
ด้วยเดชะคุณพระศรีรัตนตรัย ได้โปรดดลบันดาลให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เจริญด้วยพลานามัย ไร้โรคาพยาธิ ปราศจากอุปัทวันตราย ขจัดอุปสรรคขัดข้องทั้งหลายทุกเมื่อเทอญ...
หมายเหตุ
ตามที่ได้อ่านบันทึกของคุณพี่บุญยืน พอจะรู้ได้ว่าเป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้ผ่านการอ่านหนังสือ
ประวัติหลวงพ่อปาน
มานานแล้วเช่นกัน แน่ละ..พวกเราได้รู้จักกับคุณพี่บุญยืนมานาน ทั้งที่บ้านสายลมและที่วัดท่าซุง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลามีการเดินทางไปกราบพระสุปฏิปันโนทางภาคเหนือ ตามรายชื่อที่พี่บุญยืนได้กล่าวนามของท่านไว้แล้ว
น่าเสียดายที่คุณพี่บุญยืนไม่ได้เล่าการเดินทางไว้บ้าง คงจะกาลเวลาผ่านไปนาน จึงได้เล่าแต่การประทับใจต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อเท่านั้น แต่เมื่อได้อ่านก็รู้สึกซาบซึ้งตรึงใจไปด้วย จะเห็นว่าลูกศิษย์หลวงพ่อทุกคนพอใจ "พระนิพพาน" คงจะเห็นความทุกข์ได้ดี เพราะพวกเราส่วนใหญ่ผ่านการเกิดกันมานานแล้วทั้งนั้น
จึงหวังใจว่าคุณพี่บุญยืนคงจะได้สมความปรารถนา ตามที่ได้ตั้งความหวังเอาไว้ การได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อและหลวงปู่ต่างๆ ที่ผ่านมา แสดงได้ว่ากาลเวลาที่ผ่านมา คุณพี่บุญยืนมิได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไป กลับได้สั่งสมบุญกับพระสุปฏิปันโนเอาไว้มากมาย จึงขออนุโมทนาบุญกุศลที่คุณพี่บุญยืนได้กระทำไว้แล้วทุกประการ.
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
17/8/09 at 08:53
จินตนา จรัญวาศน์
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........ในชีวิตของข้าพเจ้า นอกจากบิดารมารดาผู้ซึ่งเป็นที่รักและเป็นผู้มีพระคุณแล้ว ก็ยังหลวงพ่ออีกองค์หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้ารักและเคารพท่านอย่างที่สุด ข้าพเจ้าได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ท่าน เมื่อ 15 ปีที่แล้ว
หลวงพ่อได้เพียรพยายามสอนพวกเราให้รู้จักธรรมะต่างๆ จนถึงเรื่องพระนิพพาน ตั้งแต่ได้เข้าถึงธรรมะของหลวงพ่อ ในความรู้สึกลึกๆไม่ว่าข้าพเจ้าจะทำอะไรก็มีความรู้สึกว่า มีบุญกุศลมาช่วยทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าดีขึ้นในทุกๆ ด้าน
สิ่งที่ประทับใจข้าพเจ้ามากก็คือ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2522 ข้าพเจ้าและครอบครัวจะย้ายไปอยู่อเมริกากันหมด เรากะกันไว้ว่าจะย้ายไปอยู่ที่นั้นตลอด ข้าพเจ้าได้ชวนสามีไปกราบลาหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลมเพื่อขอพรท่าน พอกราบลาท่านว่าจะไปอยู่อเมริกาเลย
ท่านก็บอกว่า
"ไปเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ..!"
ข้าพเจ้าฟังแล้วก็งง สามีข้าพเจ้าฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจเท่าไร เพราะตอนนั้นสามีของข้าพเจ้าตั้งใจจะย้ายไปอยู่เลย อย่างไรก็ตาม ครอบครัวข้าพเจ้าไปอยู่ได้ปีครึ่งก็กลับกันมาหมด ข้าพเจ้าก็ได้ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม แล้วก็ได้เรียนหลวงพ่อว่า ลูกได้กลับมาแล้ว หลวงพ่อได้ทักข้าพเจ้าคำแรกว่า
"เห็นไหม..ว่าไปเดี๋ยวเดียว..?"
ท่านยิ้มใหญ่เลย ทำให้ตัวข้าพเจ้าและสามีมีความเชื่อมั่นในตัวหลวงพ่อเพิ่มมากขึ้น
ข้าพเจ้าและพี่ๆ และคุณพ่อคุณแม่ ได้มีโอกาสทำบุญกับหลวงพ่อเสมอมา สิ่งที่หลวงพ่อได้สอนธรรมข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่งโดยเฉพาะได้รู้จัก "พระนิพพาน" เพื่อชาตินี้ ข้าพเจ้าจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์และกิเลสโดยสิ้นเชิง บุญคุณอันนี้ ข้าพเจ้าจะขอจำจนวันตายหลวงพ่อได้พยายามช่วยพวกข้าพเจ้ามาก ร่างกายท่านเองก็ไม่แข็งแรง แต่ท่านมีเมตตาต่อครอบครัวของข้าพเจ้ามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ
คุณแม่จันทนา วีระผล
ท่านได้โปรดเมตตาและเมตตากรุณาให้ปั้นรูป "คุณแม่จันทนา วีระผล" ไว้ที่มณฑปหน้าวิหารแก้ว 100 เมตรอีก พวกข้าพเจ้าลูกๆ ของคุณแม่จันทนา วีระผล ขอกราบแทบเท้าของหลวงพ่อ ที่ได้โปรดเมตตาหาที่สุดมิได้แก่พวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายรู้สึกสำนึกในพระเดชพระคุณของหลวงพ่อมากที่สุด
ข้าพเจ้ากราบขอให้สิ่งศักดิ์ทั่วจักรวาลได้โปรดดลบันดาลให้หลวงพ่อมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยาวนาน เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่พวกเราได้อีกนานแสนนานเทอญ...
หมายเหตุ
คุณสุวรรณ - จันทนา วีระผล คือ คุณพ่อคุณแม่ของคุณจินตนา จรัลวาสน์ ครอบครัวนี้เป็นทายกทายิกาที่อุปถัมภ์บำรุงวัดท่าซุง ตั้งแต่หลวงพ่อเริ่มสร้างวัดที่ฝั่งโบสถ์ใหม่ ประมาณปี 2517 ที่หลวงพ่อเริ่มซื้อที่ดินจำนวน 11 ไร่ แล้วเริ่มก่อสร้างมากมายในเวณนั้น มี พระอุโบสถ ศาลานวราช ธรรมสถิตย์ ศาลาพระพินิจ เป็นต้น
ในตอนนั้น หลวงพ่อต้องเป็นหนี้ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ในแต่ละปี คุณสุวรรณ - จันทนา วีระผล จะนำครอบครัวและหมู่คณะเพื่อนสนิทมิตรสหาย จำนวนคนเต็มรถบัสปรับอากาศ โดยเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ณ ศาลาพระพินิจ ตลอดต่อเนื่องกันมาหลายปีทีเดียว เพื่อเป็นการชำระหนี้ให้ร้านค้า สมัยนั้นนับว่าหายากที่จะมีคนไทยเชือสายจีน ระดับเศรษฐีคหบดีที่มีความศรัทธาเลื่อมใส แล้วก็มีความมั่นคงจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานในปัจจุบันนี้
ด้วยเหตุนี้ หลังจาก เจ๊จันทนา วีระผล เสียชีวิตไปแล้ว หลวงพ่อจึงได้ให้ปั้นรูปเท่าตัวจริงไว้ใน "มณฑปหลวงปู่ปาน" ต่อมาภายหลัง เถ้าแก่สุวรรณ วีระผล เสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง หลวงพ่อก็ให้หล่อรูปไว้อีกเช่นกันที่ "มณฑปพระปัจเจกพุทธเจ้า" หน้าวิหารแก้ว 100 เมตร สมัยนี้อาจจะไม่ทราบรายละเอียดว่า บุคคลสองท่านนี้มีความสำคัญอย่างไร จึงจะต้องปั้นรูปเอาไว้
ขอบอกให้พวกเรารุ่นหลังได้ทราบว่า เศรษฐีสองท่านนี้พร้อมทั้งบุตรธิดาและญาติมิตร ได้เป็นผู้มีอุปการคุณแก่วัดท่าซุงตั้งแต่เริ่มต้น (โครงการที่เริ่มสร้างศาลาและอาคารที่พักต่างๆ บริเวณรอบโบสถ์ ) การที่พวกเรารุ่นหลังได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด แล้วได้หลับนอนกันอย่างสุขสบาย เวลามาพักค้างคืนที่วัดนั้นนะ ครอบครัวนี้ก็มีส่วนที่ร่วมกันสร้างวัด จนถึงการขยายพื้นที่มาสร้างที่บริเวณวิหารแก้ว 100 เมตร ซึ่งจะนำไปเล่าในโอกาสต่อไป.
◄ll
กลับสู่ด้านบน
webmaster
-
20/8/09 at 08:33
มาลินี โชติเลขา
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........พระคุณของหลวงพ่อ ที่มีต่อดิฉันและครอบครัวนั้นมากมาย ดิฉันไม่ทราบจะบรรยายอย่างไรจึงสมกับความเมตตาของท่าน
เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่ดิฉัน คุณพ่อ คุณแม่ และน้องสาวได้ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านสายลมในปลายปี พ.ศ. 2518 ดิฉันได้เกิดความรู้สึกเสื่อมใส เคารพและผูกพันกับท่านมาก ในวินาทีแรก ทั้งๆที่ดิฉันเองก็ไม่เคยรู้จักกับท่านมาก่อน สาเหตุที่ดิฉันได้มากราบหลวงพ่อ เนื่องจากดิฉันได้อ่านหนังสือเรื่อง
ประวัติหลวงพ่อปาน
ดิฉันอ่านแล้วเกิดความรู้สึกเลื่อมใสและอยากพบท่านมาก จึงได้สอบถามหาที่อยู่ของหลวงพ่อ ในที่สุดได้ทราบว่าท่านมาสอนการปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่ที่ซอยสายลม จึงได้รีบไปกราบท่าน ตอนกราบท่านครั้งแรกนั้น พวกเราได้ขอพรท่าน หลวงพ่อให้พรเป็นภาษาบาลี เมื่อให้พรเสร็จท่านได้บอกว่า
กลุ่มนี้ขาวแล้วนะ
พวกเรางง ไม่ทราบว่ามีความหมายอย่างไร ไม่กล้าถาม แต่ก็มีความภูมิใจว่าท่านว่าเราขาวก็แปลว่าดี ถ้าบอกดำคงแย่
หลังจากนั้น ดิฉันพร้อมด้วยคุณแม่และน้องสาว ก็จะมากราบหลวงพ่อทุกครั้งที่ท่านมาสอนกรรมฐานที่ซอยสายลม นอกจากบางครั้งบางคราวที่ติดธุระจึงไม่ได้มากราบ
สิบกว่าปี ที่ได้ร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ ดิฉันมีความรู้สึกว่า ยิ่งทำบุญมาก ลาภผลก็ยิ่งเกิดมาก การงานต่างๆ ก็เจริญขึ้นตามลำดับ ทำให้ดิฉันยิ่งเชื่อมั่นในการทำบุญกับท่านมาก หลวงพ่อเป็นเนื้อนาบุญที่วิเศษที่สุด ซึ่งให้ผลเร็วทันตาเห็น คำอวยพรของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์มากท่านให้พรรวยก็จะรวย ให้งานการสำเร็จผลก็สำเร็จผล
สำหรับธรรมะของหลวงพ่อนั้นลึกซึ้งมาก ท่านสอนเสมอให้เราไปพระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนที่มีความสุขนิรันดร์ ไม่ต้องกลับลงมาเกิดให้ทุกข์อีกต่อไป ดิฉันได้มีโอกาสนำธรรมะของท่านส่วนนี้ของท่านมาเล่าให้
คุณแม่จันทนา วีระผล
ฟัง ซึ่งคุณแม่ชอบใจมาก และได้ตั้งปรารถนาจะไปนิพพานเมื่อละจากโลกนี้
ตลอด 10 ปีกว่าที่ผ่านมา คุณแม่ได้สร้างวิหารทาน ทำบุญสังฆทาน สร้างพระ บวชพระ บวชเณร ทำบุญโคมไฟ ฯลฯ เป็นต้น เพื่อหวังพระนิพพานอย่างเดียว ตลอดปลายชีวิตยังได้ฝึกหัดนั่งสมาธิบ้างเล็กๆน้อยๆ และด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ ที่มีต่อคุณแม่และพวกเราทุกคน ในที่สุดคุณแม่จันทนา ก็ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเมื่อละจากโลกนี้แล้ว ดังที่ดิฉันจะขอเล่ารายละเอียดดังนี้