"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 2 (ตอนที่ 2)
webmaster - 19/10/11 at 15:09

◄ ตอนที่ 1 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4 ►



ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒

จัดพิมพ์โดย..คุณ มาลิดา ปานทวีเดช และคุณทวีทรัพย์ ศรีขวัญ

( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )


สารบัญ

17.
กิจจา แก้วผดุง
18. แม่เล็ก แซ่เฮ้ง
19. สรรเสริญ รัตนอนันต์
20. คัทริน ตัณฑ์ไพบูลย์
21. จุฑามาศ กัญจนานนท์
22. บูรณะ นุตาลัย
23. พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา
24. พล.ต.อ. น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน
25. มุกดา ภู่นิยม
26. ร้อยตรี ม.ล.วรวัฒน – กานดา นวรัตน
27. วันดี เวสารัชชานนท์
28. สมบูรณ์ เวสารัชชานนท์
29. เสงี่ยม สังกรณีย์
30. ศุภสิทธิ์ อารีกุล (ธำรง อารีกุล)
31. แม่ชีชุลี อาตมะมิศร์
32. ลักขณา เศรษฐ์ยานนท์
33. สุนทร หงษ์ยิ้ม
34. ปาริชาติ แสงหิรัญย
35. วัชรีย์ บุนนาค
36. สามารถ ทิพย์รัตน์
37. สุนันท์ เจียรกูล
38. สุนีย์ จิวเฉลิมมิตร
39. ดิรัตน์ นามากุล



17

พระเดชพระคุณหลวงพ่อของลูก


กิจจา แก้วผดุง

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบพบหลวงพ่อเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ พร้อมด้วยพี่วิวัฒน์ และพี่วิชัย โกศล ข้าพเจ้าทั้งสามคนทำงานอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภา อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ก่อนที่จะได้พบกับหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเองนั้นชอบทำบุญใส่บาตรมาตั้งแต่เป็นเด็ก และบุญอื่นๆ ตามแต่โอกาส โดยที่ไม่เข้าใจว่ามีผลอะไร

เมื่อมีเวลาก็จะไปฝึกสมาธิกับสำนักต่างๆ ตามที่มีคนแนะนำ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่านั่งสมาธิเพื่ออะไร โดยเฉพาะเรื่องพระสูตรต่างๆ ที่แสดงไว้ก็ไม่เข้าใจและสงสัยอยู่ตลอดเวลา เวลาสอบถามท่านอาจารย์ต่างๆ ท่านก็บอกว่าตำราว่าไว้อย่างนี้ และที่สำคัญท่านเหล่านั้นไม่เคยพูดถึงเรื่องของการใช้ปัญญาว่าถ้ามีอารมณ์ชั่วอย่างนี้ จะต้องแก้ไขอย่างนี้

มีแต่สอนให้นั่งภาวนาอย่างเดียว ทำไปเท่าไหร่อารมณ์ด้านความชั่วก็ไม่เห็นมันลดลงไปสักที ก็เลยมาคิดว่า น่าจะมีครูบาอาจารย์ที่ท่านสามารถนำเราได้ว่า ถ้าอารมณ์ชั่วต่างๆ เกิดขึ้น ควรจะแก้ไขอย่างไร จนกระทั่ง ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน โดยที่ท่าน น.อ.ชัชวาลย์ รองผู้บังคับการสนามบินอู่ตะเภา สมัยนั้นให้พี่วิวัฒน์ยืมไปอ่าน

ข้าพเจ้าได้ยืมจากพี่วิวัฒน์อ่านบ้าง เพียงแค่ได้อ่านไปเพียง ๑๐ หน้า ข้าพเจ้าบอกกับตนเองว่าเราพบแล้วครูบาอาจารย์ที่เราแสวงหา พอดีทราบว่าหลวงพ่อมาโปรดที่ซอยสายลม ข้าพเจ้าตัดสินใจว่า เป็นตายร้ายดีอย่างไรต้องไปกราบพบท่านให้ได้ เมื่อไปถึงซอยสายลมก็ได้พบว่าหลวงพ่อกำลังรับแขกอยู่ จนกระทั่งคนที่ไปกราบพบท่านเหลืออยู่ไม่กี่คน

ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสเข้าไปกราบท่านใกล้ๆ ท่านได้เมตตาถามว่า ไอ้หนูจะถามอะไร ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะตอบ เนื่องจากตอนนั้นในใจมีแต่ความปีติและอิ่มเอิบที่ได้พบกับท่าน หลวงพ่อได้โปรดเมตตาถามถึง ๓ วาระ

ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนถามท่านว่า ก่อนที่ผมจะมาพบหลวงพ่อ ตอนกลางคืนผมนั่งสมาธิปรากฏว่า นั่งๆ ไปลมหายใจมันหายไป รู้สึกว่าไม่มีลมหายใจ ผมกลัวและเกรงว่าจะตาย
ท่านได้ฟังท่านก็ยิ้ม และบอกว่า “ไอ้อาการอย่างนั้น ฉันเคยผ่านมาแล้ว มันเป็นอาการของฌานสี่” จากนั้นท่านได้โปรดเมตตาอธิบายให้ทราบโดยละเอียด

ท่านบอกว่าถ้ายังสงสัยและยังไม่เข้าใจ ให้ศึกษาจากหนังสือที่ท่านเขียนไว้ จากนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่า ขอยึดหลวงพ่อเป็นสรณะและเป็นที่พึ่งตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ จากนั้นทุกครั้งที่ว่างจากการงาน ข้าพเจ้าก็จะไปที่วัดและติดตามหลวงพ่อไปในที่ต่างๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวย

และข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้รบกวนถามถึงเรื่องของการปฏิบัติอีก เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างท่านก็สอนไว้ในหนังสือและเทปแล้ว

อารมณ์ชั่วกำเริบ


ต่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ หลวงพ่อได้ไปพักผ่อนที่บ้านของโยมป้าเสงี่ยม ที่ จ.ระยอง เช้าวันนั้น หลวงพ่อท่านนั่งพักผ่อนอยู่ที่เตียง พี่วิวัฒน์ และพี่วิชัย และข้าพเจ้านั่งดูอัลบั้มรูปถ่ายใกล้ท่าน ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ดูอัลบั้มก่อน ปรากฏว่าพี่วิวัฒน์แย่งอัลบั้มไปจากข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้ายังดูไม่เสร็จ ข้าพเจ้านึกโกรธและนึกในใจว่า “ไอ้ห่าเอ๊ย ประเดี๋ยวก็เตะเสียเลย” เพียงเท่านั้นเอง

พระเดชพระคุณหลวงพ่อถอดแว่นออก ท่านมองหน้าข้าพเจ้านานพอสมควร จนข้าพเจ้ารู้สึกว่า ท่านทราบว่าข้าพเจ้ากำลังถูกอารมณ์โทสะครอบงำอยู่ ข้าพเจ้าทั้งกลัวและอาย ที่มีอารมณ์ชั่วเกิดขึ้นต่อหน้าท่าน นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะคิดอะไรที่เหลวไหลต่อหน้าท่าน

ผลจากความกลัวหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าต้องคอยระวังใจของตนเองว่า ถ้าจะต้องเข้าไปใกล้หลวงพ่อ อย่างน้อยจิตของเราจะต้องปลอดจากอารมณ์ชั่ว ถ้าจิตยังชั่วอยู่จะไม่เข้าไปเลย

แรงอธิษฐาน


จากปี ๒๕๑๗ ถึงปี ๒๕๒๐ หน้าที่การงานของข้าพเจ้าที่ทำอยู่ มีรายได้พอประมาณมีเหลือทำบุญบ้างแต่ไม่มากนัก เห็นคนอื่นเขาทำบุญกันได้เต็มที่ ก็มานั่งนึกว่าทำอย่างไรเราจึงจะมีปัจจัยทำบุญได้บ่อยๆ เหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง สุดท้ายก็เลยจุดธูปขอจากหลวงปู่ปานและหลวงพ่อว่า ขอได้โปรดเมตตาสงเคราะห์ลูกให้ได้มีโอกาสได้ทำงานที่มีเงินเดือนสูงกว่าเดิม

เพื่อที่จะได้มีเงินทำบุญสมความตั้งใจ ประมาณ ๑๐ วันให้หลัง มีเพื่อนที่รู้จักกันชวนไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอารเบีย ข้าพเจ้าตัดสินใจสมัครไปทันที และเงินเดือนก็ได้มากกว่าเดิมถึง ๑ เท่า ข้าพเจ้าเดินทางไปอย่างกะทันหันเพราะไม่คิดว่าเขาจะเรียกตัวเร็ว ไม่มีโอกาสไปกราบลาหลวงพ่อที่วัด

สู่ทะเลทรายพร้อมด้วยธรรมะที่ได้จากหลวงพ่อ


วันเดินทาง สิ่งที่ข้าพเจ้านำติดตัวไปด้วยก็มีพระพุทธรูป ครบรอบร้อยปีหลวงปู่ปาน และพระรูปของหลวงพ่อและหลวงปู่ใส่ย่ามสะพายติดตัวไป คณะที่เดินทางไปพร้อมกับข้าพเจ้ามีทั้งหมด ๒๒ คน ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าทีมในฐานะที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง นอกนั้นเป็นคนงานประเภทช่างต่างๆ ตามกำหนดการเครื่องบินจะต้องถึงประเทศซาอุดิฯ ในวันที่ ๑๖ ส.ค.

แต่ทว่า เครื่องเกิดขัดข้องต้องแวะซ่อมที่การาจี ปากีสถาน การเดินทางต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ ๑๗ คณะของข้าพเจ้าถึงซาอุดิฯ ประมาณตี ๒ ปรากฏว่าไม่มีใครไปรับที่สนามบิน ทุกคนต่างเข้าใจว่าถูกส่งมาลอยแพ ข้าพเจ้าเองก็คิดเช่นนั้น เพื่อรักษากำลังใจของเพื่อนร่วมทางข้าพเจ้าบอกว่าจะไปตามหาบริษัทที่เราจะต้องไปทำงานด้วย ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยไปซาอุฯ เลย

เหมาแท็กซี่ตระเวนหาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ในใจก็อาราธนาบารมีทั้งหมดมีหลวงพ่อเป็นที่สุด ตามหาบริษัทอยู่ ๒ ชั่วโมงก็พบจนได้ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับมีคนคอยชี้แนะให้ไปทางนั้นทางนี้ ข้าพเจ้ากลับไปรับเพื่อนๆ ที่สนามบิน ปรากฏว่าไม่ต้องถูกลอยแพ จนกระทั่ง ๖ โมงเช้า บริษัทได้จัดส่งคนงานชุดนี้ไปทำงานยังกลางทะเลทราย

เนื่องจากหน่วยงานอยู่ที่กลางทะเลทราย พวกคนงานไทยที่ไปทำงานอยู่ก่อนตั้งสมญานามหน่วยงานนั้นว่านรกบนดิน สาเหตุที่ได้ชื่อว่านรกบนดิน เพราะงานที่ก่อสร้างจะต้องทำอยู่ใกล้กับปล่องแก๊สที่เผาทิ้ง มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา อากาศในเดือนนั้นก็ร้อนถึง ๔๕ – ๔๗ องศาเซลเซียส

ความร้อนจากแสงแดด ผสมกับความร้อนจากเปลวเพลิงที่ออกมาจากปล่องเผาแก๊ส ก็ยิ่งทำให้ร้อนเป็นเท่าทวีคูณ พวกคนงานไทยบางคน ทนความร้อนไม่ไหวก็ขอลากลับเมืองไทยกลางคัน ข้าพเจ้าเอง ความจริงแล้วก็ต้องถูกส่งไปทำงานที่นรกบนดินเช่นกัน แต่บังเอิญข้าพเจ้ามัวแต่เสียเวลาอาบน้ำ ไปไม่ทัน ทางสำนักงานใหญ่ขาดเจ้าหน้าที่แผนกบุคคล

จึงรับตัวข้าพเจ้าทำงานอยู่ในสำนักงานใหญ่ ข้าพเจ้าจึงไม่มีโอกาสได้ไปเผชิญกับนรกบนดินเช่นเดียวกับเพื่อนๆ ที่ไปพร้อมกัน บริษัทที่ข้าพเจ้าทำอยู่นั้นมีคนงานไทยประมาณ ๔ พันคน แต่ทว่า ในแต่ละวัน จะมีคนงานไทยขอลาออกก่อนกำหนดวันละหลายสิบคน เพราะสู้กับความร้อนไม่ไหว ในที่สุดก็เหลือกันไม่กี่คน

ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้อยู่ในตัวเมือง มีห้องพักเป็นสัดส่วนก็เลยจัดห้องพระได้สะดวก การปฏิบัติพระกรรมฐานก็พยายามเต็มที่ตามที่ได้รับมาจากวัด เพราะทราบดีว่าที่ได้ไปทำงานที่ซาอุฯ ก็เป็นด้วยบารมีของหลวงพ่อ ดังนั้นจึงสู้และทนกับงานทุกอย่างเพื่อที่จะได้มีปัจจัยส่งมาถวายหลวงพ่อตามที่ได้ตั้งใจไว้ นับจากเดือนแรก ทุกวันที่ ๑๕ ของเดือน

ข้าพเจ้าจะส่งปัจจัยมากราบถวายหลวงพ่อ ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่อยู่ร่วมห้องเดียวกัน เขาเห็นข้าพเจ้าสวดมนต์ไว้พระและปฏิบัติพระกรรมฐาน แรกๆ ก็ไม่สนใจอะไร จนกระทั่งสองปีผ่านไปเขาขอยืมหนังสือไปอ่าน สุดท้ายก็สวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติพระกรรมฐานด้วยกัน ในแคมป์ที่ข้าพเจ้าพักอยู่ มีคนงานไทยที่อาศัยอยู่เกือบร้อยคน แต่ไม่ได้อยู่บริษัทเดียวกับข้าพเจ้า

โดยปกติข้าพเจ้าไม่ค่อยจะไปสังสรรค์กับใคร เช้าไปทำงาน เย็นกลับห้อง ฟังเทปและอ่านหนังสือหลวงพ่อ มีอยู่วันหนึ่ง มีกลุ่มคนงานไทยคุยกันถึงเรื่องราวในหนังสือหลวงปู่ปาน ต่างก็พูดถึงความวิเศษในหนังสือผิดบ้างถูกบ้าง ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่ ก็เลยบอกกับเขาว่าถ้าสนใจอยากจะทราบมากกว่านี้ก็ไปที่ห้องของข้าพเจ้า จะได้ให้ยืมเทปและหนังสือต่างๆ ที่มี

หลายคนตามไปที่ห้อง เมื่อเห็นที่ห้องพระของข้าพเจ้ามีครบแทบทุกอย่างต่างก็ขอยืมไปศึกษา และยิ่งทราบว่าข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อก่อนที่จะไปซาอุดิฯ เพื่อนๆ เหล่านั้นก็ซักถามเรื่องราวต่างๆ ข้าพเจ้าก็เล่าให้ฟังตามความเป็นจริง ในเวลาเดียวกันข้าพเจ้าก็จะเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวในพระสูตร ตลอดจนถึงอานิสงส์ในการทำบุญแต่ละอย่าง

เพื่อนๆ คนงานไทยก็เกิดศรัทธาในองค์หลวงพ่อและมีความตั้งใจในการที่จะบำเพ็ญกุศลกับหลวงพ่อ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆ วันที่ ๑๕ ของเดือน เพื่อนๆ คนไทยก็จะนำปัจจัยมาให้ข้าพเจ้ารวบรวมส่งมาถวายหลวงพ่อเป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี มีคนงานไทยบางคนที่ดื่มเหล้า และขายเหล้า หลังจากได้ฟังเทปและอ่านหนังสือแล้วก็เลิกเหล้าได้เด็ดขาด

และเมื่อถึงเวลากลับมาพักร้อนที่เมืองไทย และต่างก็ได้กราบพบหลวงพ่อสมความปรารถนาและได้ยึดหลวงพ่อเป็นสรณะทั้งตัวเขาเองและครอบครัว เมื่อข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ได้ร่วมกันส่งปัจจัยมาทำบุญกับหลวงพ่อหลายครั้ง หลวงพ่อก็ได้ส่งใบอนุโมทนาบัตรไปให้ข้าพเจ้า ดังเช่นเมื่อ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๓ หลวงพ่อส่งใบโมทนาบัตรความว่า

“ลูกกิจจา และคณะปิยะสหายที่ร่วมกันส่งปัจจัยมาสงเคราะห์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาในการถวายสังฆทานและวิหารทาน เป็นเงิน ๙๐๐ บาท ขอคณะลูกทุกคน จงมีความปรารถนาสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการเถิด และจงมีหวังในพระนิพพานในชาตินี้ทั่วทุกคนตามที่ปรารถนาไว้ พระคิดว่าได้แน่นอนเพราะตั้งใจจริง”
พระมหาวีระ ถาวโร

และอีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้ส่งใบโมทนาบัตรกลับไปให้ เมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ “คุณกิจจา แก้วผดุง ถวายหลวงพ่อร่วมการกุศล วัดท่าซุง เป็นเงิน ๒,๕๘๐ บาท” พร้อมกับใบโมทนาบัตรฉบับนี้แล้ว ด้านหลังของใบโมทนาบัตร หลวงพ่อได้เมตตาพิมพ์เป็นจดหมายถึงข้าพเจ้า ความว่า

๒๗ ก.พ. ๒๕๒๕
ลูกรัก
จดหมายและปัจจัยที่ลูกส่งมา พ่อได้รับแล้ว คณะของลูกเป็นคณะที่มีศรัทธามั่นคงมาก แม้จะมีความยากลำบาก ต้องจากบ้านจากเมือง จากลูกเมียมาหาเงินต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน ลูกทุกคนก็ยังมีศรัทธาส่งเงินมาร่วมบุญกุศลเสมอมิได้ขาด

อารมณ์อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า เป็นผู้มีฌานในอนุสติ คือนึกถึงเรื่องการส่งเงินมาทำบุญท่านเรียกว่า จาคานุสติ นึกถึงพระสงฆ์ เป็นสังฆานุสติ นึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสติ นึกถึงธรรม ส่วนใดส่วนหนึ่ง เป็นธัมมานุสติ อารมณ์ของลูกทุกคนเป็นฌานในอนุสติทั้งสี่ประการ คำว่า ฌาน แปลว่า นึกถึงจนชิน มีอานิสงส์ดีมาก

หากจะพูดกันเป็นขั้นบารมี ก็ต้องเรียกว่า ปรมัตถบารมี “คือมีกำลังใจเป็นกุศลอย่างยิ่ง” ด้วยอำนาจความดีนี้ ขอคณะลูกทั้งชายและหญิง จงมีความสุขสมหวังตามที่ลูกตั้งใจจงทุกประการเถิด
(พระมหาวีระ ถาวโร)

ธรรมะจากแคมป์สู่คุก


มีคนงานไทยบางคนที่หลงผิดคิดรวยทางลัด คือค้ายาเสพติด คนไทยที่ว่านี้เคยอยู่ในแคมป์เดียวกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นเขามีลักษณะดี คือบุหรี่ไม่สูบ เหล้าไม่กิน และไม่เล่นการพนัน ชอบมาคุยกับข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาค้ายาเสพติด จนกระทั่งเขาย้ายออกไปอยู่นอกแคมป์

และทราบจากเพื่อนด้วยกันว่า เขาร่ำรวยและมีรถใช้ส่วนตัวหลายคัน ข้าพเจ้าก็สงสัยว่าทำไมจึงรวยเร็ว เพราะเงินเดือนก็ไล่เลี่ยกับข้าพเจ้า เพื่อนบอกว่าเขารวยเพราะค้าของผิดกฎหมาย เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบก็บอกกับเพื่อนไปว่า ถ้าพบเขาก็ให้ช่วยบอกด้วยว่า ให้เลิกเสีย ถ้าเขายังไม่เลิก คิดว่าไม่เกินหนึ่งเดือนเขาอาจจะถูกจับ

ปรากฏว่าหลังจากนั้นประมาณ ๒๐ วัน เขาถูกจับที่สนามบินพร้อมด้วยของกลาง ศาลติดสินจำคุก ๑๕ ปี ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวก็สลดใจ ต่อมาอีก ๓ อาทิตย์ นักโทษคนไทยผู้นี้ฝากคนมาบอกข้าพเจ้าให้ไปเยี่ยมบ้าง เพื่อนๆ ของเขาที่รู้จักไม่กล้าไปเยี่ยมกันเพราะเกรงว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเพ่งเล็งว่าสมรู้ร่วมคิดกัน ไม่มีใครไปเยี่ยม

ข้าพเจ้าก็สงสารจึงตัดสินใจไปเยี่ยม แต่ก็กลัวว่าจะถูกหาว่ารู้เห็นเป็นใจด้วย ก่อนจะไปเยี่ยมที่คุก ข้าพเจ้าก็จุดธูปอาราธนาบารมีหลวงพ่อว่า ขออย่าให้มีอุปสรรคอะไรทั้งสิ้น ข้าพเจ้านำหนังสือและเทปของหลวงพ่อไปให้เขาถึงในคุกและบอกว่ามีอะไรสงสัยก็ให้ถาม ข้าพเจ้าไปเยี่ยมทุกวันศุกร์ และบอกว่าพยายามทำตามหนังสือที่ให้ไว้ ที่มาเยี่ยมก็ไม่ได้หวังอะไร

เพียงแต่ต้องการให้เขาเมื่อพ้นโทษออกไปจะได้เป็นคนดี ข้าพเจ้าแนะนำให้เขาปฏิบัติพระกรรมฐานและท่องคาถาเงินล้าน และคาถาต่างๆ ที่ได้จากหลวงพ่อ เขาก็ปฏิบัติตาม ในที่สุด เขาก็ได้เลื่อนเป็นนักโทษชั้นดี ได้ย้ายไปทำหน้าที่ในครัว มีเงินเดือนๆ ละ ๓๐๐๐ กว่าบาท ทุกเดือนจะฝากเงินถวายหลวงพ่อด้วย ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไปเยี่ยมก็พยายามให้กำลังใจ

ต่อมาจากโทษที่พิพากษา ๑๕ ปี ก็ลดเหลือ ๗ ปีครึ่ง จาก ๗ ปีครึ่ง เหลือเพียง ๕ ปี ช่วง ๓ ปีแรกที่เขาต้องโทษ ภรรยาของเขาที่เมืองไทยก็แต่งงานใหม่ ข้าพเจ้าแนะนำให้เขานึกถึงคำสอนของหลวงพ่อที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมดา ในที่สุดข้าพเจ้าก็ครบกำหนดกลับเมืองไทย และข้าพเจ้าไม่ต่อสัญญาในการทำงานอีก รวมเวลาที่ข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในซาอุดีฯ ๑๐ ปีเศษ

เมื่อเขาเห็นธรรม


หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับถึงเมืองไทยแล้ว ก็เปิดบริษัทส่งของกินไปขายที่ซาอุดิฯ คืนวันหนึ่งมีโทรศัพท์ถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำเสียงได้ว่าเป็นเสียงของเพื่อนนักโทษที่ต้องโทษอยู่ที่ซาอุดิฯ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าโทรมาจากซาอุดิฯ แต่ไม่ใช่ เป็นการโทรมาจากกรุงเทพฯ

เสียงทางโทรศัพท์บอกว่าคุณกิจจานี่อาตมาเอง อาตมาเพิ่งมาถึงเมืองไทยเมื่อเช้านี้และได้บวชแล้วในวันนี้เอง ขอให้คุณกิจจา โมทนาด้วยและสาเหตุที่ได้กลับก่อนกำหนด เนื่องจากอาตมาได้ทำความดีความชอบให้กับทางการซาอุดิฯ ทางการได้ปล่อยตัวและมอบเงินติดตัวกลับบ้าน ๒ แสนบาท (เรื่องที่ท่านช่วยเหลือทางการซาอุดิฯ นั้น ท่านไม่ให้ข้าพเจ้าเปิดเผย)

ท่านบอกว่าต้องการจะไปกราบพบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าบอกว่าหลวงพ่ออยู่ที่ซอยสายลมและถ้าจะไปพบก็ขอให้ไปพบกันที่ซอยสายลมก็แล้วกัน ในที่สุดวันรุ่งขึ้น ท่านก็ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ และถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ท่านบอกกับข้าพเจ้าว่าจะออกธุดงค์ไปทางพม่าและอาจจะเลยไปทางที่อินเดีย ข้าพเจ้าก็ได้แต่อนุโมทนาและยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ที่ผลจากการที่ข้าพเจ้านำธรรมะที่หลวงพ่อสอนไว้ นำไปมอบให้เขาถึงในคุกไม่สูญเปล่า สมกับที่ข้าพเจ้าคอยให้กำลังใจมาถึง ๕ ปี จวบจนบัดนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ข่าวคราวของท่านอีกเลย

คำอธิษฐานจากกลางทะเลทราย


ช่วงขณะที่ข้าพเจ้า ยังทำงานอยู่ที่ประเทศซาอุดิอารเบียขึ้นปีที่ ๕ ข้าพเจ้าถูกย้ายไปประจำหน่วยที่อยู่กลางทะเลทรายประมาณ ๕ เดือน ไม่มีงานที่จะทำมากนัก ว่างๆ ข้าพเจ้าก็ภาวนาและพิจารณาไปตามเรื่องก็มาคิดว่า ตัวข้าพเจ้าเองที่ได้พบกับหลวงพ่อมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยปรากฏว่าหลวงพ่อท่านเรียกว่าลูกเพราะเท่าที่ข้าพเจ้าทราบ

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกๆ ของหลวงพ่อมาก่อน ก็คิดว่าถ้าหากเราเคยเป็นลูกของท่านมาในการเดินทางกลับไปพักร้อนที่เมืองไทยคราวนี้ ขอให้หลวงพ่อได้โปรดเรียกว่าลูกให้ชื่นใจสักครั้ง และขอให้หลวงพ่อได้โปรดเรียกต่อหน้าสาธารณชน คือท่ามกลางคนหมู่มาก ข้าพเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ ขณะที่ข้าพเจ้ายังอยู่ที่ซาอุดิฯ

เมื่อครบกำหนดพักร้อน ข้าพเจ้าก็เดินทางกลับและตรงไปที่วัดทันทีหลังจากที่ลงจากเครื่องบิน ข้าพเจ้าจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันมาฆบูชา หลวงพ่อท่านลงเทศน์ที่ตึกพระพินิจอักษร ที่อยู่ด้านซ้ายมือของโบสถ์ หลังจากที่หลวงพ่อท่านเทศน์เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็ตั้งใจที่จะนำปัจจัยที่บรรดาเพื่อนๆ ฝากมากราบถวายหลวงพ่อประมาณ ๗ พันบาท ขณะที่ข้าพเจ้าเดินเข้าไป

มีข้าพเจ้าคนเดียว ประมาณ อีก ๑๐ เมตรจะถึงที่หลวงพ่อนั่งอยู่ หลวงพ่อท่านมองมาที่ข้าพเจ้าพร้อมกับพูดว่า “อ้าวลูกชาย มาถึงเมื่อไหร่ ลูก” เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้น ข้าพเจ้าเกิดความปิติอย่างบอกไม่ถูก หลังจากถวายปัจจัยแด่หลวงพ่อเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าเดินกลับมาที่น้าชอ และน้าเชิญ และป้าน้อยนั่งอยู่

ทั้งสามท่านบอกว่า ตุ๋ยทำตัวให้ดีนะ หลวงพ่อท่านโปรดอย่างนี้แล้ว ทำตัวให้สมกับเป็นลูกของท่าน นี่เป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งในหลายครั้งที่ข้าพเจ้าได้ประสบมา

ชีวิตนี้อุทิศแล้วเพื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ


จากสภาพความเป็นอยู่ในซาอุดิฯ มองไปทางไหนมีแต่ทะเลทรายและสิ่งก่อสร้าง ไม่มีสิ่งเริงรมย์ใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้คนไทยหลายคนเป็นโรคประสาทและคลุ้มคลั่ง บางคนเกิดอาการหลอนทางประสาทถึงกับแก้ผ้าแก้ผ่อน วิ่งไปทั่วแคมป์ก็มี ต้องถูกส่งตัวกลับ มีเพื่อนร่วมงานที่ทำอยู่บริษัทเดียวกับข้าพเจ้า

พอขึ้นปีที่ ๕ คลุ้มคลั่งต้องส่งกลับเช่นเดียวกัน สุดท้ายมีคนไทยเพียงคนเดียวคือข้าพเจ้าที่เหลือยู่กับบริษัทนี้ ข้าพเจ้าเอง ถ้าไม่ได้พบหลวงพ่อก่อน คงจะมีอาการเหมือนกับเพื่อนเหล่านั้นบ้างเหมือนกัน ช่วงที่ข้าพเจ้าต้องทนกับสภาพเช่นนั้นข้าพเจ้าได้อาศัยคำสอนของหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง โดยพยายามปฏิบัติตามเท่าที่ตนเองจะสามารถทำได้

ยามปกติ ข้าพเจ้าจะยึดถือด้านสังคหวัตถุ และในด้านอุปกิเลส ก็ไม่พยายามไปยุ่งกับเรื่องของใคร ถึงจะต้องทำงานกับคนต่างชาติก็อาศัยพรหมวิหารสี่เข้าช่วย เห็นใครเป็นมิตรทั้งหมด ในด้านของศีล ทางซาอุฯ ก็ไม่มีสิ่งยั่วยุอะไร และโดยเฉพาะในด้านของบารมี ๑๐ ข้าพเจ้าจับทานบารมีขึ้นเป็นเบื้องหน้า หลวงพ่อสอนไว้ว่าขณะที่เราสร้างทานบารมีอีก ๙ อย่างก็ตาม

และทุกครั้งที่ทำความดี ก็คิดว่าเราทำเพื่อพระนิพพาน ทุกครั้งที่ต้องทนทุกข์กับสภาพที่เป็นอยู่ ก็คิดว่าไม่ช้าเราก็ตายแล้ว เราอยากโง่เองที่มาเกิด ฉะนั้นหน้าที่ใดที่เรามีเราจะทำ มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าป่วยหนักอยู่ดีๆ ถ่ายปัสสาวะไม่ออก เป็นตั้งแต่ตอนเช้าจนกระทั่งเย็น อาเจียน ปวดท้องและท้องอืด ข้าพเจ้านำวัตถุมงคลทั้งหมดที่มีอาราธนาทำน้ำมนต์ดื่ม

จนกระทั่งค่ำก็ยังไม่ถ่ายปัสสาวะ ปวดจนทนไม่ไหว คิดว่าเราคงจะต้องตายคราวนี้แน่ ก็เลยจุดธูปบูชาพระกราบลาทั้งหมด นอนจับลมหายใจ และนึกถึงพระนิพพาน ใจก็คิดว่าหลวงพ่อสอนว่านิพพานเป็นดินแดนแห่งความสุข ถ้าเราตายเราจะไปที่นั่น ความห่วงใดๆ ไม่มี ใจสบาย พอรู้สึกว่าเคลิ้มได้ยินเสียงบอกที่หูว่า ไปโรงพยาบาลๆ ความปวดหายไป

แต่ยังถ่ายไม่ออก และอาเจียนอีก ข้าพเจ้าโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลพอถึงโรงพยาบาล หมอเอาเข้าเครื่องเอ๊กซเรย์ ปรากกว่าพบก่อนนิ่วที่ไต จึงทำให้ปัสสาวะไม่ออก หมอบอกว่าจะต้องผ่าในตอนเช้าตอนเก้าโมง พอรู้ว่าจะต้องผ่า ข้าพเจ้าน้อมจิตอาราธนาบารมีทั้งหมดมีหลวงพ่อเป็นที่สุดว่า อย่าให้ลูกต้องผ่าเลย อย่างไรแล้วขอให้ปัสสาวะออก

เมื่อลูกกลับถึงเมืองไทยแล้วจะไปถวายสังฆทานที่วัดทันที ข้าพเจ้าถูกให้น้ำเกลือหลายขวด ปรากฏว่าตกตอนกลางคืน ประมาณเที่ยงคืนข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงปู่ปานและหลวงพ่อ และตกใจตื่น รู้สึกปวดปัสสาวะและสามารถถ่ายปัสสาวะออกไปตามปกติ ตอนเช้าหมอเอ๊กซเรย์อีก หาก้อนนิ่วไม่เจอ ข้าพเจ้าโชคดีที่ไม่ต้องผ่าท้อง

ก็เนื่องด้วยบารมีพระทุกๆ องค์และหลวงพ่อเป็นที่สุด ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้พบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าอาจจะตายไปแล้ว หรือไม่ก็อยู่ในคุก เพราะข้าพเจ้าเป็นคนใจร้อนคำสอนต่างๆ ที่ได้รับจากหลวงพ่อ ทำให้ข้าพเจ้าเลือกจุดหมายปลายทางว่าเมื่อสิ้นลมแล้วจะไปที่ไหนและมั่นใจว่าทานมัย ศีลมัย และภาวนามัยเท่านั้นที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เกิดอีกก็ทุกข์อีก

เป็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดีก็ยังไม่สิ้นทุกข์ ขอติดตามหลวงพ่อดีกว่า ดังนั้นสิ่งใดที่ข้าพเจ้าจะกระทำได้เพื่อเป็นการสนองพระคุณท่าน ข้าพเจ้าก็พร้อมเสมอที่จะกระทำ ทุกวันนี้ พี่วิวิฒน์ พี่วิชัย และข้าพเจ้าต่างก็ได้ถวายการนวดแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ อันเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงกตเวทิตา

นอกเหนือจากการปฏิบัติตามคำสอนของท่าน หลวงพ่อเคยถามข้าพเจ้าว่า “เอ็งไม่เหนื่อยหรือ” เพราะบางครั้งข้าพเจ้าจะติดตามไปถวายการนวดที่วัดพร้อมด้วยพี่วิวัฒน์และพี่วิชัยแล้วกลับมาที่ซอยสายลม ข้าพเจ้ากราบเรียนให้ท่านทราบในใจว่า “ไม่เหนื่อยหรอกขอรับ เพราะลูกทั้งสามได้มอบกายถวายชีวิตแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้ว”

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 10/11/11 at 12:46

18

ปลูกมะม่วงในโอ่งซิ


แม่เล็ก แซ่เฮ้ง


ดิฉันเป็นคนจังหวัดอุทัยธานี แต่ก่อนญาติดิฉันชื่อ คมสัน กิจสะอาด หรือเปี๊ยก อยู่อำเภอมโนรมย์ (ปัจจุบัน ย้ายไปขายผักอยู่ จ.เชียงใหม่ เวลาวัดท่าซุงมีงาน เขาก็จะส่งผักมาถวายหลวงพ่อเป็นคันๆ รถเสมอ) เปี๊ยกได้มาบอกดิฉันว่า เจอหลวงพ่อ ดูหมอแม่นมาก ก็เลยพากันไปหาท่าน ตอนนั้นเป็นปี พ.ศ.๒๕๐๕ หลวงพ่ออยู่วัดโพธิ์ศรี

ดิฉันศรัทธาท่านที่เป็นพระหมอดูทางใน น้ำมนต์ท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้หลายอย่างและสำหรับค้าขายดีอีกด้วย จึงพากันไปให้ท่านดูทางในให้ ท่านบอกว่า “ชีวิตจะลำบากหน่อย แต่ไปสบายทีหลัง” ต่อมาได้นิมนต์หลวงพ่อมาฉันเพลที่บ้าน ขณะนั้นเป็นห้องเช่าเล็กๆ อยู่ ค่าเช่าสมัยนั้นเดือนละ ๕๐ บาทเท่านั้นเอง ต่อมาก็นิมนต์หลวงพ่อมาฉันเพลอีก

เมื่อท่านฉันเสร็จแล้วขณะนั่งสนทนากันอยู่ ท่านก็มองไปทางฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านที่ดิฉันอยู่ ก็คือบ้านเจ้าของบ้านที่ดิฉันเช่าเขาอยู่ ท่านมองไปเห็นโอ่งมังกร เขาตั้งขายเป็นแถว หลวงพ่อก็เอ่ยขึ้นว่า “โยมเป็นเถ้าแก่ไม่ดีนะ ปลูกมะม่วงในโอ่งซิ มีกินทั้งปี” พอได้ฟังก็สะดุ้ง เพราะตอนนั้นดิฉันมีหุ้นโรงสีและโรงไม้

คำพูดที่ได้ยินจากหลวงพ่อ ทำให้อดคิดแปลกใจไม่ได้ว่า ที่หลวงพ่อพูดเป็นนัยๆ เช่นนี้ คงจะมีเหตุอะไรไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า จึงคิดว่าโรงสีอาจจะเจ๊งก็ได้ จากนั้นอีกปีกว่าเท่านั้นกิจการก็เจ๊งหมด แทบไม่มีอะไรติดตัวเลย หลวงพ่อพูดให้ฟังภายหลังว่า ท่านรู้มาก่อนว่ากิจการจะเจ๊ง แต่ไม่อยากบอกดิฉัน พอดิฉันเจ๊งหมดตัวแล้ว

หลวงพ่อบอกว่า “บ้านที่เช่าเขาอยู่นั้น เจ้าที่แรง ถ้าไม่ตั้งศาลจะขาดทุน หาได้จะไม่เหลือ เวลามาอยู่ทีแรกไม่ได้บอกเจ้าที่เขา” ดังนั้น หลวงพ่อท่านได้เมตตามาตั้งศาลพ่อปู่ ให้ดิฉันทำเป็นหิ้งให้ท่านอยู่ในบ้าน ตั้งไว้ในห้องพระ ท่านบอกว่าให้ถวายบุหรี่พ่อปู่ และถ้าร่ำรวยขึ้นมา ให้ถวายหมูหันพ่อปู่ นอกจากนี้หลวงพ่อได้ทำน้ำมนต์ใส่โอ่งใหญ่ให้เลย

ทำให้มีน้ำมนต์ไว้ใช้ได้ตลอด เมื่อชีวิตตกยากเช่นนี้ ก็มาคิดใคร่ครวญคำพูดหลวงพ่อว่า “ปลูกมะม่วงในโอ่งซิ จะมีกินทั้งปี” ก็นำมาคิดว่า จะปลูกมะม่วงยังไงจึงจะมีกินทั้งปี ก็มาคิดว่าต้องดองมะม่วงใส่ไหไว้ให้เต็ม เมื่อเต็มก็ย้ายใส่ในโอ่ง ก็เลยดองมะม่วงทั้งปี ดองไว้ขาย ก็มีมะม่วงกินทั้งปีตามคำที่หลวงพ่อพูดไว้

จึงเริ่มมีอาชีพขายมะม่วงดอง จากคำแนะนำที่หลวงพ่อได้ชี้ช่องทางให้ไว้ และก็ทำตลอดมาจนถึงบัดนี้ ตอนนั้นถ้าไม่ได้หลวงพ่อเมตตาสงเคราะห์ต้องแย่เลย เพราะเมื่อกิจการเจ๊งหมด แม้แต่ข้าวสารก็ต้องซื้อมาทีละลิตร ต้องต้มเป็นข้าวต้มกิน เพื่อจะได้มีกินไปได้หลายๆ วัน ต้องอยู่อย่างแร้นแค้น ปีแรกก็ดองมะม่วง ๓๐ ไหก่อน ผลปรากฏว่าขายดีมาก

ก็เลยดองให้มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมา ไปขอให้หลวงพ่อตั้งชื่อร้านให้ หลวงพ่อบอกว่า หลวงปู่ปานท่านมาบอกให้ชื่อร้านว่า “มะม่วงเศรษฐี” หลวงพ่อยังเจิมป้ายให้อีกด้วย เมื่อมาแล้วก็ไม่กล้าไปติดที่หน้าร้าน เพราะว่าฐานะดิฉันยากจนมาก มันตรงข้ามกับป้าย ดิฉันอายคนอื่นเขา จึงเอาป้ายไปตั้งไว้ในห้องพระที่บ้าน

ดิฉันจัดห้องพระโดยเฉพาะ ๑ ห้อง ในนั้นมีแต่พระและวัตถุมงคลของหลวงพ่อ ปรากฏว่ามะม่วงขายดีมาก จนไม่พอขาย และก็ขายดีเพิ่มขึ้นทุกปี เมื่อครอบครัวดิฉันมีปัญหาอะไรก็มักจะไปหาหลวงพ่อบ่อยๆ ท่านก็ให้คำแนะนำที่ดีเสมอ และให้แสงสว่างแก่ครอบครัวดิฉันเสมอมา หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสะพาน จังหวัดชัยนาท

ดิฉันก็ตามไปหาหลวงพ่ออีก พอดิฉันกลับจากไปพบหลวงพ่อไม่กี่วัน หลานสาวของดิฉันก็ป่วยเป็นไข้เลือดออก ไข้เลือดออกได้ระบาดทั่วจังหวัดอุทัยธานี มีเด็กๆ ตายกันหลายคน ดิฉันก็นำหลานสาวไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด รักษาอยู่หลายวัน อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย ดิฉันก็นั่งปรึกษากับลูกสาว ซึ่งเป็นแม่ของเด็กว่า จะเอาอย่างไรกันดี

ดิฉันก็นึกถึงหลวงพ่อขึ้นมาได้ ก็จัดแจงให้ป้าของเด็กซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของดิฉันมาเฝ้าหลาน ดิฉันก็ไปหาหลวงพ่อที่วัดสะพาน จังหวัดชัยนาท สมัยนั้นทางสัญจรไปมาก็ยังไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ พอไปถึงหลวงพ่อก็ถามว่า มาอย่างไรเล่าโยม
ดิฉันก็ก้มลงกราบท่านแล้ว ก็เล่าให้ท่านฟังว่า หลานสาวของดิฉันป่วยเป็นไข้เลือดออก รักษาเท่าไรอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย

แล้วหลวงพ่อท่านก็นั่งหลับตาอยู่สักครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร เอาน้ำมนต์ไปกินก็หาย พอท่านบอกอย่างนั้น ดิฉันก็ลาท่านกลับ แล้วเอาน้ำมนต์ที่ท่านให้มาให้หลานสาวกิน หลังจากกินน้ำมนต์ที่หลวงพ่อให้มา อาการไข้เลือดออกของหลานสาวก็ดีขึ้น และต่อมาก็ออกจากโรงพยาบาลได้ หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ย้ายวัด

จนกระทั่งผลที่สุดมาอยู่ที่วัดท่าซุง สร้างเสียใหญ่โตดังที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ก่อนดิฉันไม่มีรถยนต์เป็นของตนเอง หลวงพ่อเอ่ยปากบอกให้ยืมรถวัดมาขนของไปขายที่หน้าวัดท่าซุง ดิฉันก็ไม่กล้า หลวงพ่อบอกดิฉันว่า “ปีหน้าจะมีรถเป็นของตนเอง” พอปีนั้นได้กำไรแสนสองหมื่นบาท ก็ซื้อรถยนต์เป็นของตนเอง สมจริงตามที่หลวงพ่อพูดไว้

ดิฉันเช่าบ้านราคาถูกๆ อยู่ ไม่คิดจะมีบ้านเป็นของตนเอง คิดว่าจะซื้อรถสิบล้อ แล้วขายมะม่วงดองเร่ร่อนไปเรื่อยๆ แต่หลวงพ่อเตือนว่า “แม้นกยังมีรังอยู่เลย เราจะไม่มีรังอยู่จะได้หรือ” เมื่อประมาณ ๙ ปีที่แล้วดิฉันจึงซื้อที่ดินแสนสองหมื่นบาท และปลูกบ้านรวมแล้วประมาณหกแสนบาท จึงทำให้มีบ้านเป็นของตนเองขึ้นมา

ถ้าดิฉันไม่เจอหลวงพ่อ ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปในรูปไหน ก็ติดตามหลวงพ่อมา ๒๘ ปี เพราะได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อ จึงยึดอาชีพมะม่วงมาตลอด และก็พบความเจริญก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ เสาร์อาทิตย์ก็ให้ลูกและหลานสาวนำมะม่วงดองมาขายหน้าวัดท่าซุงเป็นประจำ พอหลวงพ่อเข้าไปสอนพระกรรมฐานที่ซอยสายลม

ก็เอามะม่วงเข้าไปขายตรงปากซอยเข้าบ้านซอยสายลม (บ้านพล อ.ท.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์) มีลูกและหลานสาวไปช่วยกันขาย มีหลานสาวคนนี้คนเดียวชื่อ “อ้อย” หลวงพ่อพูดว่า “อ้อย ขายข้าวแกงก๊อกแก๊กรวยนะ” จากนั้นอีกหกเดือน เวลาหลวงพ่อเข้ามาสอนพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ก็เอาข้าวแกงมาขายดังที่หลวงพ่อเคยแนะนำไว้

ซึ่งขายดีทุกเดือน เมื่อหลวงพ่อเข้าไปสอนพระกรรมฐานที่นั่นเดือนละ ๔ วัน ดิฉันก็ตามไปขายของที่ปากซอยบ้านสายลมรายได้ตกประมาณคราวละ ๒ – ๓ หมื่นบาท และลูกน้องไปช่วยกันประจำคราวละ ๑๐ กว่าคน ขายดีทั้งมะม่วงดองและข้าวแกง เมื่อคราวที่หลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระราชพรหมยาน” เมื่อวันที่ ๕ ธ.ค. ๒๕๓๒ นั้น

หลวงพ่อพักอยู่ที่บ้านซอยสายลม ลูกดิฉันก็เข้าไปขายของที่นั่นอีกตามเคย วันที่ ๗ ธ.ค. ๒๕๓๒ ตรงกับวันพฤหัส ลูกและหลานกำลังตั้งเต็นท์ขายของอยู่ อยู่ๆ หลวงพ่อก็ออกมาเยี่ยมที่ร้าน ไปถึงท่านก็พูดกับพระครูปลัดอนันต์ว่า “เอาตรงไหนดี” แล้วหลวงพ่อก็พูดว่า “เอาตรงนี้ดี (ตรงเสาไฟ)” แล้วหลวงพ่อก็ยืนหลับตาสักครู่หนึ่ง

พอลืมตาขึ้นมา ก็พูดว่า “ต่อไปนี้รวย” แล้วหลวงพ่อก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ เดินออกกำลังเท้าเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย ตั้งแต่วันนั้นมาที่ร้านขายของดีมากตลอดมา นับได้ว่า หลวงพ่อได้แนะนำและให้ความเมตตาอย่างสูงต่อดิฉันตลอดมา ตั้งแต่ดิฉันยากจนถึงขนาดหมดเนื้อหมดตัวต้องซื้อข้าวเขากินทีละลิตร มาทำเป็นข้าวต้มกิน เพื่อให้กินได้หลายๆ วัน

จนเดี๋ยวนี้มีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ขึ้น มีรายได้ดีจึงมีเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อเรื่อยๆ ปีแรกๆ ดองมะม่วงแค่ปีละ ๓๐ ไห เดี๋ยวนี้ก็ดองมะม่วงไว้ตลอดปี ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๕๐๐ ไห ปริมาณก็นับว่าสูงขึ้นมาก เสาร์อาทิตย์ก็มาขายที่หน้าวัดท่าซุง เวลามีงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง ดิฉันให้ลูกและหลานสาวมาขายได้คราวละ ๔ – ๕ หมื่นบาท

และที่วัดท่าซุงก็มีงานที่มีผู้คนเยอะแยะอยู่เสมอ จึงทำให้ชีวิตครอบครัวดิฉันมีกินมีใช้จ่ายคล่องตัวขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเพราะพระคุณหลวงพ่อที่มีความเมตตาต่อครอบครัวดิฉันจริงๆ นับจากความไม่มีอะไรจนกระทั่ง บัดนี้มีชีวิตสบายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เวลานี้ดิฉันก็อายุ ๗๕ ปีแล้ว ดิฉันภูมิใจที่ได้พบหลวงพ่อ และได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อเสมอมาเป็นเวลาเกือบ ๓๐ ปี

หลวงพ่อแนะนำว่าให้ทำอย่างไร ก็ทำไปตามนั้น และก็ได้ดีก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นจริงตามที่หลวงพ่อเคยบอกไว้ตั้งแต่แรกพบว่า “ชีวิตจะลำบากก่อน แล้วจะสบายทีหลัง” ทุกคนในครอบครัวก็เคารพศรัทธาในองค์หลวงพ่อ ถือว่าท่านมีพระคุณต่อทุกคนในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง

อยากให้หลวงพ่อมีอายุยืน เพื่อเป็นร่มโพธิ์แก้วไปได้อีกนานๆ ดิฉันถือว่ามีบุญที่ได้พบหลวงพ่อและได้เป็นลูกศิษย์ผู้หนึ่งมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ll กลับสู่สารบัญ


19

พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีพระคุณเป็นที่หนึ่งในโลกของลูก


สรรเสริญ รัตนอนันต์


ตอนที่คณะจัดทำหนังสือ “ลูกศิษย์บันทึก” ถวายบูชาพระคุณเนื่องในงานสมโภชน์สมณศักดิ์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๓ ดิฉันอยู่ต่างจังหวัด จึงพลาดโอกาสเขียนความประทับใจ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีความเมตตามหากรุณาธิคุณ ต่อดิฉันในเล่มแรก

ดิฉันได้เป็นลูกศิษย์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ปี ๒๕๑๓ ได้มีโอกาสนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อแทบทุกครั้งที่ พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ และคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา นิมนต์มาที่บ้านของท่าน ที่ซอยสายลม เนื่องด้วยเรารักใคร่นับถือสนิทสนมกันมาตั้งแต่เกิด นับว่าดิฉันเป็นผู้มีโชคดีที่มีกัลยาณมิตรโดยกำเนิด

วันแรกที่นมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้ขึ้นพระกรรมฐานและปฏิบัติธรรมเลย เมื่อออกจากกรรมฐานแล้ว
พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามดิฉันว่า ป้าเห็นอะไรไหม
ดิฉันนมัสการว่า เห็นพระสงฆ์เจ้าคะ แต่เกรงว่าจะเป็นอุปาทาน

พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้กำลังใจว่า นั่นแหละของจริงละ ห้ามสงสัย ความสงสัยเป็นความเลวระยำทำให้ตัดรอนความดี

ดิฉันเคยร้องไห้ต่อหน้าพระพุทธรูปเสียใจที่เกิดมาเป็นหญิง ไม่มีโอกาสได้บวชได้เรียนเหมือนผู้ชาย เมื่อได้เป็นลูกศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้ว ทำให้ดิฉันเข้าใจความจริงว่า

ไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงมีโอกาสทำความดีความเพียรให้พ้นทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้เหมือนกันหมด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ขอเพียงมีครูดีรู้จริงสอนตรงจุดศิษย์ตั้งใจจริง คำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ให้ดิฉันภาวนาว่า พุทโธ และพิจารณาว่าต้องตายแน่ๆ ๑ ปี พอครบ ๑ ปี ดิฉันได้นมัสการว่า ครบปีแล้วเจ้าคะ

พระเดชพระคุณถามว่า รู้ว่าตายแน่หรือยัง พอดีก่อนที่จะไปนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อวันนั้นดิฉันไม่สบายเกือบตาย ตั้งสติว่าจะตายก็ไม่ว่า ขอได้นมัสการก่อน นอนภาวนาไปจนมีแรง จึงได้มานมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงนมัสการว่า ลูกก่อนที่จะมานี้ก็เกือบตายแล้วเจ้าคะ

พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่า ดี ต่อไปให้ภาวนา นิพพานังๆ นานมาแล้วเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาที่บ้านซอยสายลม ดิฉันนั่งฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อคุยธรรมะกับลูกศิษย์ในห้องรับแขก ดิฉันฟังด้วยการรักษาใจไม่ให้ออกนอก ตั้งใจฟังด้วยความเคารพยิ่ง

พระเดชพระคุณหลวงพ่อหันมาทักดิฉันว่า ป้านั่งเป็นฤาษีเชียวนะ ท่านยิ้มแล้วบอกว่า อารมณ์สบายๆ อย่างนี้แหละไปนิพพานได้ ดิฉันจึงชอบรักษาอารมณ์อย่างนี้ไว้เสมอ เพราะขอไปแค่พระนิพพานไม่เลยไปกว่านั้น

เมื่อรู้อารมณ์พระนิพพานแล้ว ดิฉันยังร้องไห้ต่อหน้าพระพุทธรูปอีกว่า ทำไมจึงโง่เง่าอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เคยเกิดในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม ทำไมดิฉันจึงยังมาเกิดอยู่อย่างนี้ โง่มากก็ร้องไห้บ่อย ทางครอบครัวไม่มีปัญหาทำให้คับแค้นใจถึงร้องไห้ ตอนที่ดิฉันไปเที่ยวยุโรปเลยไปอยู่กับลูกสาวที่สวีเดนหลายเดือน ได้ขอยืมเทปธรรมของน้องอัญเชิญ มณีจักรไปฟัง

ชุดปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ฟังถึง ตอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อลาพุทธภูมิ ดิฉันร้องไห้เป็นการใหญ่ ดีใจที่จะได้ติดตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ ที่คิดว่าตัวเองโง่เง่านั้นหายไป เพราะที่ยังเวียนตายเวียนเกิดอยู่นี้ เป็นว่าได้เคยปรารถนาที่จะเป็นพุทธสาวกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมากมายพรรณนาเท่าไรไม่จบ แม้ลูกศิษย์จะไปอยู่ที่ไหนไม่ว่าไกลใกล้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อส่งโทรจิตติดตามสั่งสอนสม่ำเสมอ

ครั้งหนึ่งที่สวีเดนดิฉันนิมิตเห็นงูตัวใหญ่มากซึ่งเกิดมาไม่เคยเห็นใหญ่อย่างนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่า นั่นแหละพญานาคเป็นเทพประเภทหนึ่ง คนไม่มีตาทิพย์จะมองไม่เห็น

เมื่อปี ๒๕๑๕ คืนหนึ่งก่อนปฏิบัติพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ขณะนั้นลูกศิษย์ยังไม่มากเหมือนทุกวันนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามดิฉันว่า ป้าแหวดช่วยสร้างบ่อน้ำเป็นทานสักบ่อหนึ่งไหม ที่บางสะพานใหญ่ขัดสนน้ำจืดไว้ดื่มไว้ใช้ บ่อละ ๒,๐๐๐ บาท ดิฉันขอถวาย ๑ บ่อ ในวันนั้นมีผู้ถวายทั้งหมด ๑๘ บ่อ

ท่านอ๋อยบอกว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อต้องมีอะไรพิเศษกับพี่แหวดแน่ๆ เลย พอออกจากพระกรรมฐาน บอกว่า อานิสงส์ที่ป้าแหวดสร้างบ่อน้ำเป็นทานในวันนี้นั้น ทำให้ไฟนรกดับเชียวนะ ถ้าป้าแหวดตายในวันนี้ ลูกหลานไม่นำเงินมาให้ก็ไม่เป็นไร เพราะอานิสงส์ของป้าแหวดได้เต็มแล้ว

การที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อชักชวนให้ดิฉันสร้างบ่อน้ำเป็นทานนั้น ดิฉันคิดว่าคงจะเป็นการปิดอบาย เพราะตอนหลังพระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกดิฉันอบายปิดแล้ว ดังนั้นเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อชักชวนผู้ใดทำบุญอะไรก็ตาม อย่าได้ลังเลใจ ขอให้รีบทำตามดีที่สุด

บางครั้งฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูดเหมือนเล่นๆ แต่ละคำพูดที่ออกมานั้นเป็นความจริงที่ต้องจดจำ และทำตามด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นห่วงลูกหลานลูกศิษย์ทั้งหลายทั้งมวลนี่แหละ พระคุณท่านจึงเหนื่อยยากลำบากสร้างวัดใหญ่โตทุกวันนี้นั้น

แม้พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ็บป่วยสู้ทน เพราะความเมตตาที่มีต่อพวกเรา เพื่อให้พวกเราเข้าถึงพระนิพพานกันสบายๆ

อีกหลายปีต่อมาดิฉันนัดน้องให้มารับที่บ้าน จะไปสำนักปฏิบัติที่ลำปาง เวลา ๑ ทุ่ม พอดีมีคนนำกระเทียมสดมาให้ก่อน ๖ โมงเย็น จำเป็นต้องตัดต้นตัดรากแช่น้ำปูนใสทิ้งไว้ ๑ คืน จึงจะดองได้กรอบ

ความรีบเร่งเพื่อจะให้เสร็จทันตามที่นัดไว้ กระเทียม ๕ – ๖ ก.ก. ดิฉันเสร็จก่อนเวลาทำให้มือร้อนจัด ล้างทายาว่าคาถาอย่างไรก็ไม่หาย ไปถึงสำนักนั้นแล้วจึงนึกได้ว่า ความร้อนแค่พิษกระเทียมแค่นี้จะแค่ไหนเชียว อานิสงส์ที่เคยถวายบ่อน้ำกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานไฟนรกยังดับเลย

จึงตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์และพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า ถ้าอานิสงส์ที่ลูกได้ถวายบ่อน้ำเป็นทางทำให้ไฟนรกดับมีจริง ขอให้ไฟพิษของกระเทียมจงหาย พอสิ้นคำอธิษฐานความร้อนที่มือหายทันที เหมือนปลิดทิ้ง

ผู้มีพระคุณต่อดิฉันนั้นมีมากมายตั้งแต่เกิดยังเป็นรอง พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ดิฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีพระคุณเป็นที่หนึ่งในโลกของลูก

ll กลับสู่สารบัญ


20

อารมณ์พระนิพพาน


คัทริน ตัณฑ์ไพบูลย์


ดิฉันได้เข้ามาศึกษา ฝึกสมาธิและทำบุญในพระพุทธศาสนาหลายปี ก่อนได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร) วันหนึ่งมีความรู้สึกว่า จิตใจสดชื่นเบิกบานเป็นพิเศษตลอดวัน จึงได้พิจารณาว่า ได้รับหรือได้พบผู้ใดที่เป็นต้นเหตุ ก็ไม่มี ในตอนบ่ายมีเพื่อนรุ่นพี่มาพบที่บ้านและชวนไปถวายสังฆทานเนื่องในวันขึ้นบ้านใหม่

และพระที่จะมารับสังฆทานในวันพรุ่งนี้นั้น คือ หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร ก็เลยถึงบางอ้อเพราะหลังจากที่ดิฉันได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานแล้ว อธิษฐานก่อนนอนทุกคืน หากหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ขอให้ได้พบสักครั้งเถิด หลังจากที่ได้พบหลวงพ่อที่บ้านพี่ไพฑูรย์แล้ว ดิฉันจึงได้มาฝึกสมาธิ และทำบุญกับหลวงพ่อท่านตลอดมา

และยังได้มีโอกาสพาลูกติดตามหลวงพ่อ ไปกราบพระสุปฏิปันโนทางภาคเหนือ ในสายของหลวงพ่ออีกหลายครั้ง นับเป็นบุญของดิฉันและลูกๆ อย่างยิ่ง และพวกเราที่เป็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ต่างก็พูดเหมือนๆ กันว่า ความรู้สึกเคารพและประทับใจของพวกเราที่มีต่อหลวงพ่อนั้นเกินกว่าจะหาคำมาบรรยายได้หมดสิ้น

ครั้งหนึ่งหลานโทรศัพท์มาบอกว่า ไฟไหม้บ้านคุณแม่สามี แต่ยังไม่ถึงเรือนครัว ดิฉันจึงรีบเอาผ้ายันต์แดงของหลวงพ่อมาจบ นึกเอาผ้ายันต์เป็นผืนใหญ่คลุมเรือนครัวไว้ ขอบารมีคุณพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ และบารมีของหลวงพ่อ ขอให้ไฟหยุดแค่เรือนครัว เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่ไฟหวนกลับไปทางต้นเพลิง เหลือครัวไว้ให้จริง

อีกครั้งหนึ่งมีพระทำนายว่า ลูกชายคนโตจะได้รับอุบัติเหตุจากการขับรถ ให้ระวังให้ดี และควรไปตัดวิบากเสีย แต่ลูกชายไม่ยอมทำอะไรทั้งสิ้น ดิฉันเป็นทุกข์มาก ในที่สุดจึงได้ไปพึ่งบารมีหลวงพ่อ ถวายสังฆทานพร้อมกับอธิษฐานว่า หากยับยั้งอุบัติเหตุไม่ได้ ก็ขออย่าให้ลูกได้รับบาดเจ็บและบุคคลอื่นๆ ด้วย ถ้าจะต้องเสียของไม่เป็นไร

หลังจากนั้น ๑ เดือน ลูกขับรถขึ้นฟุตปาท ตรงป้ายรถเมล์พอดี ชนถูกเก้าอี้หินสำหรับคนรอรถประจำทาง ล้อรถหน้าแบะพับลงทั้งสองข้าง หน้าหม้อพัง ประตูปิดไม่ได้ แต่ตัวลูกชายไม่บาดเจ็บเลย และที่ป้ายรถก็ไม่มีใครสักคน พระคุณครั้งนี้ดิฉันจะไม่ลืมเลย นับแต่ได้มาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากหลาย ล้วนเป็นพระคุณและประทับใจทุกเรื่อง

เพื่อนๆ พี่ๆ น้องที่เป็นศิษย์เดียวกัน ต่างก็จะพูดเหมือนกันทุกคนว่า ความประทับใจและความเคารพของพวกเราที่มีต่อหลวงพ่อนั้น ไม่สามารถจะหาถ้อยคำมาบรรยายได้ แต่ที่ประทับใจที่สุดคือ เมื่อข้าพเจ้าป่วยหนัก ใครๆ คิดว่าไม่รอดแล้ว เวลานั้นหายใจลำบาก เหนื่อยมาก ได้แต่กำหนดลมหายใจและภาวนาพุทโธเท่านั้น จิตอยู่กับการหายใจแนบแน่นมาก

ไม่คิดถึงใครเลยและไม่สามารถพิจารณาธรรมะข้อใดๆ ได้เลย คุณหมอได้พยายามรักษาดิฉันสิบกว่าวันจึงค่อยสบายขึ้น แล้ววันหนึ่งดิฉันเห็นหลวงพ่อนั่งอยู่ตรงหัวนอนของดิฉัน ในชุดพระนิพพานสวยมาก ข้างหน้าดิฉันมีพระอีกหลายองค์ ล้วนอยู่ในชุดพระนิพพานสวยงามทุกองค์ ในใจดิฉันขณะนั้นมีความสุขอย่างยิ่ง ไม่มีเยื่อใยในโลกมนุษย์

พร้อมกับคิดว่าวันนี้เวลานี้ ถ้าหมอฉีดยาให้ดิฉันเกินขนาดก็ดี จะได้ไปเสียเลยในวันนี้ แต่ดิฉันได้รู้และเห็นตัวอย่างเท่านั้น ดิฉันยังใช้กรรมไม่หมด และยังทำบุญไม่พอ สักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา เหตุการณ์นั้นคงจะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ถ้าดิฉันไม่ตั้งอยู่ในความประมาท

หมายเหตุ จากหนังสืองานศพ ท่านคัทริน ตัณฑ์ไพบูลย์

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 21/11/11 at 14:22

21

บุญใหญ่ที่ได้พบหลวงพ่อ


จุฑามาศ กัญจนานนท์


ดิฉันโชคดี ที่เกิดมาในแวดวงของพระพุทธศาสนา แต่น่าเสียดายที่ดิฉันรู้จักศาสนาพุทธแค่เพียงสวดมนต์ไหว้พระใส่บาตรตอนเช้า ทำบุญในวันพระและวันสำคัญเท่านั้น การรักษาศีลยังไม่ปรากฏในความคิด มีเพียงจำได้ว่าศีล ๕ มีอะไรบ้าง ยิ่งคำว่าพระอรหันต์ยิ่งแทบจะกล่าวได้ว่าไม่เคยได้ยินเลย

รู้จักแต่พระโสดาบัน เพราะมีคนเขาพูดกันบ่อย ดิฉันยังคิดว่าพระโสดาบัน ก็คือพระอรหันต์ด้วยซ้ำไป ในช่วงที่ดิฉันทำงานเอกชน ดิฉันมีความทุกข์มาก ทุกข์จากความอิจฉาริษยาของเพื่อนร่วมงาน ทุกข์จากนายจ้างคอยจับผิด ทุกข์จากสุขภาพไม่ค่อยดี ความทุกข์มันประดังเข้ามาจนทรงตัวแทบไม่ไหว ดิฉันเที่ยวแสวงหาพระเพื่อดับความทุกข์

หาหมอดูเพื่อความสบายใจ แต่ดิฉันไม่เคยสมความปรารถนาดังที่ตั้งใจไว้ ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนงาน ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ ดิฉันเข้ารับราชการเป็นครั้งแรกที่จังหวัดนครราชสีมา และในปีนี้เองประมาณเดือนพฤษภาคม คนข้างบ้านดิฉันได้นำหนังสือ “ประวัติหลวงพ่อปาน” มาให้ดิฉันอ่าน ดิฉันบอกเขาว่าขอเวลาอ่าน ๑ เดือน

เพราะหนังสือพระดิฉันมักจะอ่านแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่เสมอ แต่ดิฉันก็ต้องประหลาดใจที่หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วไม่อยากวาง มีเรื่องราวชวนให้ติดตามอย่างน่าทึ่งมาก ดิฉันใช้เวลาอ่านเพียง ๒ วันเท่านั้นก็จบ เมื่ออ่านจบแล้วอยากโลดแล่นไปกราบหลวงพ่อ อยากเห็นองค์ท่านและเกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่า หลวงพ่อผู้เขียนหนังสือนี้เป็นพระอรหันต์

แต่ท่านจะเป็นหรือเปล่าดิฉันก็ไม่ทราบ ดิฉันเกิดความปิติ อยากทำความดีทุกอย่าง เกรงกลัวความชั่ว และอยากฟังธรรมะของท่าน และแล้วความคิดของดิฉันก็เป็นความจริง ดิฉันได้มีโอกาสกราบท่านคครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๗ ที่ซอยสายลม นับแต่นั้นเป็นต้นมา ดิฉันก็ได้ฟังธรรมและทำบุญกับท่านตลอดมาจนทุกวันนี้

ปกติดิฉันเป็นคนชอบพิสูจน์ ก่อนจะปักใจเชื่อสิ่งใดต้องมั่นใจว่าถูกต้องจึงจะเชื่อ และถ้าเชื่อแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนใจไม่เชื่อ ดิฉันได้คำสอนของหลวงพ่อมาปฏิบัติปรากฏว่าบังเกิดผลอย่างอัศจรรย์ ทำให้ความทุกข์ที่ค้างอยู่ในใจสลายตัวเอง และพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ยังได้พิสูจน์บุญที่ทำกับหลวงพ่อด้วย

ครั้งแรกที่ดิฉันทดลอง คือ มีเพื่อนร่วมงานชายรุ่นพี่คนหนึ่งกับเพื่อนของเขาอีกหนึ่งคน เป็นบุคคลที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องผู้หญิงมาก จนได้สมญาว่า “เสือผู้หญิง” ดิฉันเป็นเหยื่อรายหนึ่งที่เขาหมายจะขย้ำ แต่มีคนเตือนดิฉันก่อนแล้ว ถึงแม้ดิฉันจะทราบเรื่องราวของเขา แต่ดิฉันก็ไม่เคยแสดงออกให้เขารู้ว่าดิฉันรู้เรื่องความประพฤติของเขา

วันหนึ่งเขาชวนดิฉันไปรับประทานอาหารกลางวัน ดิฉันปฏิเสธเพราะรับประทานเรียบร้อยแล้ว เขาขอเปลี่ยนเป็นอาหารเย็น ดิฉันก็ปฏิเสธอีก เพราะไม่ได้รับประทานอาหารเย็น ดิฉันเกรงว่าเขาจะจับได้ว่าดิฉันไม่ต้องการไปกับเขา ดิฉันจึงขอเป็นโอกาสหน้า ด้วยความกลัวว่าถ้าโอกาสหน้ามาถึงดิฉันจะปฏิเสธอย่างไร

จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์จริง บุญที่เราทำกับหลวงพ่อแม้จะน้อยนิด แต่ก็ได้มากและคงจะช่วยเราได้ เมื่อสวดมนต์ไหว้พระดิฉันอธิษฐานว่า “ขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และหลวงพ่อ ตลอดจนบุญกุศลที่ได้ทำมาแล้วในอดีตและกับหลวงพ่อในปัจจุบัน

จงช่วยดลใจให้ชาย ๒ คนนี้เกิดความเมตตาสงสารลูก ที่ลูกพลัดถิ่นมา ขอให้รักลูกอย่างน้องสาว และอย่ามายุ่งเกี่ยวกับลูกอีกเลยด้วยเถิด” เป็นที่น่าอัศจรรย์ ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งชาย ๒ คนย้ายไปอยู่ที่อื่น เป็นเวลา ๕ ปี เขาทั้งสองไม่เคยเข้ามาข้องแวะดิฉันอีกเลย มีอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อนสหายธรรมคนหนึ่งซึ่งทำบุญร่วมกับดิฉันเพียงแค่เดือนละ ๒๕ บาท

เมื่อคราวที่หลวงพ่อกรุณาให้แหนบทองไปแจกกับพวกสหายธรรม เพื่อนผู้นี้รับไปติดที่เสื้อด้วยความเคารพ และติดเสื้ออยู่เป็นประจำทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งเธอมาเล่าให้ดิฉันฟังด้วยความตื่นเต้นว่า “เมื่อคืนเธอนอนหลับไป แต่ในความรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นไม่ใช่ฝัน เธอเห็นพี่สาวพี่เขยที่ตายไปแล้วมาหา มาชวนให้เพื่อนไปอยู่ด้วย

เพราะบ้านที่สร้างไว้ปลูกเสร็จแล้ว เธอจัดแจงเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋ากำลังจะเดินตามไป พอดีเห็นหลวงพ่อมายืนอยู่ ท่านถามว่า จะไปไหน เธอบอกว่าจะไปอยู่กับพี่สาว ท่านบอกว่าอย่าไปเลย อยู่ที่นี่ดีแล้ว เพื่อนก็เชื่อท่านเก็บกระเป๋าไว้ที่เดิม แล้วสะดุ้งตื่น” รู้สึกใจหาย คิดว่าถ้าเมื่อคืนนี้ไปกับพี่สาวคงตายแน่ ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อที่มาห้ามไว้ จึงทำให้รอดมาได้

เธอซาบซึ้งในพระคุณและทึ่งในสิ่งที่ได้พบ เธอคิดว่าหลวงพ่อต้องมีอะไรพิเศษในองค์อย่างแน่นอน จึงมั่นใจในการทำบุญมากขึ้น และเพิ่มการทำบุญกับหลวงพ่ออีก ๑๐ บาท เป็น ๓๕ บาท นี่เป็นเพียงเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ จากประสบการณ์ที่ดิฉันได้ประสบพบมาจากการที่ได้ทำบุญกับหลวงพ่อแล้วมีอานิสงส์เพียงใด

และเมื่อดิฉันนำคำสอนของหลวงพ่อมาปฏิบัติ ทำให้ดิฉันคลายความทุกข์ลงไปมากและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจศาสนามากขึ้นด้วย ดิฉันรู้สึกปลื้มที่เกิดมาชาตินี้ แม้จะบุญน้อยในเรื่องทรัพย์สิน แต่ก็มีบุญใหญ่ที่ได้พบหลวงพ่อ ซึ่งท่านได้โปรดเมตตาชี้ทางสว่างคือพระนิพพานแก่ดิฉัน

ll กลับสู่สารบัญ


22

หลวงพ่อคุ้มครอง


บูรณะ นุตาลัย

ดิฉันเป็นคนเกิดใกล้วัด และอยู่ใกล้วัดมาตลอดจนทุกวันนี้ เมื่อเด็กๆ เห็นแม่ใส่บาตรทุกวัน วันพระเข้าพรรษาถ้าตรงกับวันอาทิตย์หรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โรงเรียนหยุดก็ถูกบังคับให้ไปเลี้ยงพระที่วัดกับแม่ คุณพ่อจะตามไปทีหลังเพื่อฟังเทศน์แล้วอยู่วัดจนเย็น หรือถ้ามีเทศน์กลางคืนก็จะอยู่ค้างที่วัดเลย

เมื่อโตขึ้นคุณพ่อก็ถือศีล ๘ ทุกวันพระ ต่อมาก็แยกบ้านไปปลูกหลังเล็กๆ ท้ายสวนอยู่คนเดียวและถือศีล ๘ ทุกวันมาจนถึงแก่กรรม ความรู้สึกของดิฉันมีเพียงว่าเกิดมาเป็นคนไทย ต้องนับถือพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี รู้สึกว่าตอนเด็กๆ จนโตนั้น มีจิตใจอิจฉาริษยา อยากมีอยากเป็นเหนือเพื่อนรุ่นเดียวกันทุกอย่าง

แล้วก็โชคดีหรือกุศลกรรมเก่าก็ยังไม่รู้ ได้มีโอกาสเท่าเทียม บางครั้งดีกว่าเพื่อนอยู่เสมอ เพราะพ่อแม่มีลูกผู้หญิงคนเดียว และมามีอาชีพเป็นครูจึงต้องรักษาตัวให้ดูเสมือนเป็นคนดี ความจริงแล้วก็เหลวไหลไปตามโลกตามอารมณ์ คุณพ่อชอบไปเที่ยววัดที่มีพระดีๆ ตามต่างจังหวัดกับคณะอุบาสก อุบาสิกาของท่าน

จนได้ไปเป็นศิษย์ของหลวงปู่เภา พุทธสโร วัดเขาวงกฎ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ได้พบท่านอาจารย์สงฆ์ พรหมสโร และหลวงปู่บุดดา ถาวโร ตอนปลายชีวิต คุณพ่อนัยน์ตามืดมาก หลวงปู่สงฆ์กับหลวงปู่บุดดาก็ได้มาเยี่ยม มาพักสอนธรรมะคุณพ่อที่บ้านคราวละหลายๆ วัน ดิฉันก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง บางทีบังอาจเถียง (หลวงปู่บุดดา) ด้วย

จนคุณพ่อถึงแก่กรรมแล้วรู้ดีรู้ชั่วขึ้นมาบ้าง จึงชวนคุณดำรงไปขอขมาท่านที่วัดบุญทวี (ถ้ำแกลบ) จ.เพชรบุรี ด้วยเมตตาธรรมของท่าน ท่านบอกว่าท่านไม่รู้ท่านไม่ได้จำ ถ้าดิฉันยังจำได้ท่านก็ “โหสิ โหสิ” ท่านพูดหัวเราะๆ รู้สึกว่าคราวนั้นลูกปานขับรถพาไปมองตัวเองแล้วน่าเกลียด และสกปรกเหลือเกิน

แม้อย่างนี้เมื่อหลวงปู่สงฆ์มรณภาพแล้ว หลวงปู่บุดดาก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมเสมอ ในที่สุดคุณดำรงก็ถือศีล ๘ ทุกวันมาจนบัดนี้ ดิฉันก็ทำมาหากินเลี้ยงลูกต่อมาจนลูกจบทุกคน เมื่ออายุ ๖๐ ปีพอดี จึงเลิกกิจการเกษียนตัวเอง ในปีนั้นเองลูกปริญญาได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เชียงใหม่ (ตอนที่ลูกเขียนไว้ในเล่ม ๑)

ได้เขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังด้วยความปิติยินดีอย่างยิ่ง และพิมพ์หนังสือ “คู่มือปฏิบัติ พระกรรมฐาน” ของหลวงพ่อมาให้ถวายพระในวันทำบุญวันคล้ายวันเกิด และแจกญาติมิตรในวันนั้น ต่อมาลูกก็พาพ่อแม่ไปวัดท่าซุง เพื่อถวายหนังสือจำนวนหนึ่งแก่ท่าน แต่หลวงพ่อไม่อยู่ คุณครูนนทาฯ ได้จัดให้พักที่เรือนขาว

ต่อจากนั้นเมื่อหลวงพ่อมากรุงเทพฯ ลูกก็พาไปกราบที่บ้านซอยสายลม หลังจากกรรมฐานแล้ว เรายังอยู่จนแขก – ศิษย์ทั้งหลายกลับเกือบหมดแล้ว ลูกจึงพาดิฉันเข้าไปกราบท่าน ดิฉันได้กราบเรียนท่านว่าดิฉันยังเข้าวัดไม่ได้ เพราะโลภ โกรธ หลง ยังอยู่สมบูรณ์ทุกอย่าง ท่านหัวเราะ แล้วบอกให้กำลังใจว่า ถ้าดีครบถ้วนแล้วก็ไม่ต้องเข้าวัด รู้ว่าบกพร่องก็นับว่าถูกแล้ว คนรู้ตัวนั้นยังมีทางแก้

และสอนอะไรๆ อีกหลายอย่างซึ่งดิฉันยังจำใจความได้ว่า “ให้มีมรณานุสติ” และ “ให้รู้ว่าสุข – ทุกข์ – สมหวัง หรือผิดหวังนั้น มาจากกุศลกรรม และอกุศลกรรมของตัวเองทั้งนั้น” ดิฉันรู้สึกปิติเป็นพิเศษและคำสอนนั้นเป็นสิ่งที่ดิฉันระลึกอยู่เป็นประจำจนทุกวันนี้ และได้พยายามใช้สติแก้ความชั่วของตัวอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่หมดค่ะ

หลังจากนั้นก็ได้ไปวัดท่าซุงเสมอมา ได้อยู่นานวันบ้างน้อยวันบ้าง ได้อ่าน ได้ฟังคำสอนของท่านมากมาย แต่ก็รู้ตัวว่าไม่ได้ดีเท่าที่ควร ในด้านกุศลจิตแล้วยอมรับว่าสู้ลูกก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้รับจากบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และคำสอนของท่านนั้นมากมายหาที่สุดมิได้ และบรรยายไม่ถูกไม่จบเลย

นั่นคือทุกชีวิตในครอบครัวของเรา นับแต่ตัวเอง ลูกหลาน มีความสุข ไม่มีทุกข์ภัยเดือดร้อน เช่นเพื่อนร่วมชาติร่วมโลกได้รับกันเลย เมื่อไรเกิดโลภะ โทสะ โมหะ (ซึ่งยังไม่หมด) เมื่อระลึกถึงหลวงพ่อก็ลดถอยไป เอาใจยับยั้งตัวเองให้ลดถอยไปด้วยสติที่ได้รับจากคำสอนของท่าน ดิฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าเป็นบุญตัวเหลือเกินที่ได้มีชีวิตอยู่จนได้พบหลวงพ่อ

มิฉะนั้นจะไปตกอยู่นรกขุมไหนก็ไม่รู้ สิ่งที่ได้รับจากโอวาทของท่านบรรยายไม่จบถ้วน แม้จะรับและปฏิบัติไม่ได้แม้ ๑ ใน ๑๐๐ แต่ส่วนที่ซึมซาบเข้ามาโดยไม่รู้ตัวโดยตรงนั้น มีค่ามากประมาณไม่ถูก เวลาอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงต่างก็พากันพูดว่าอิจฉาเหลือเกินที่เป็นคนไม่มีทุกข์ เวลาพบกันไม่เคยได้ยินบ่นว่ากลุ้มใจ หรือเดือดร้อนเลย

มีหรือคนที่มีลูก ๗ คน เขย ๒ สะใภ้ ๒ หลาน ๑๒ ถ้ารับทุกข์แบกทุกข์แล้วจะรับไหว เพราะพระเดชพระคุณคำสอนและบารมีของหลวงพ่อต่างหากที่ทำให้มีชีวิตอยู่อย่างปกติมีความสุขตามควรแก่อัตภาพ ทั้งๆ ที่ไม่มีอาชีพ ไม่มีบำนาญ ไม่ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากลูกทุกคนแบ่งรายได้ให้พอได้กิน – เที่ยว และทำบุญตามสมควร

ความที่รู้ตัวว่า ยังสกปรกอยู่มาก จึงไม่เคยอวดใครเลยว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อ หรือใกล้ชิดพระเดชพระคุณท่าน ทั้งๆ ที่เมื่อ ๗ – ๘ ปีก่อนเคยไปค้างวัดบ่อยๆ และหลายๆ วัน เพราะร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ แต่ในใจนั้นความระลึกถึงพระเดชพระคุณอันใหญ่ยิ่งของท่านเสมอมา และยิ่งกว่านั้นเวลามีทุกข์ หรือเดือดร้อนฉุกเฉินอะไรก็ยกมือ ๑๐ นิ้ว

“หลวงพ่อช่วยลูกด้วย” ทุกคราว แล้วก็ได้ผลมาตลอด แม้บางคราวไม่สมบูรณ์ ก็นึกเสียว่าเจ้ากรรมนายเวรไม่โมทนาอโหสิ แต่เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี่เอง ดิฉันจะไปงานศพมารดาของน้องเขยคนหนึ่งที่วัดลาดพร้าว รถเกิดกระแทกกับรถที่กำลังแซงเข้ามา ปรากฏว่ารถฝ่ายนั้นบุบนิดหน่อย แต่ความที่รถสองคันจอดขวางทางอยู่ รถจะเข้า – ออกไม่ได้และเริ่มติด

ลูกจึงถอยรถมาจอดปากซอย แล้วลูกก็ไปโทรแจ้งเองที่สถานีตร.พหลโยธิน ทั้งนายประกันและตำรวจมาพร้อมกัน ดูรอยบุบนิดเดียว ก็มาพูดเหมือนๆ กันว่าเรื่องนิดเดียวน่าจะตกลงกันได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม ในใจดิฉันก็ได้แต่ “หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยลูกด้วยๆๆๆ ฯลฯ ตลอดเวลา” ดิฉันจึงบอกว่าเราก็พร้อมจะตกลง และไม่อยากรบกวนตำรวจเลย

ในที่สุด ฝ่ายตรงข้ามต้องขอโทษลูก และนายประกันเป็นผู้ซ่อมรถ ถูกยุงกัดอดนอนหน่อยเดียว เงินก็ไม่ต้องจ่าย สาธุ! หลวงพ่อช่วยลูกอีกครั้งแล้ว ขอกราบมาแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วย ลูกสัญญาว่าจะใช้สติเตือนตัวเองให้ดีขึ้นตลอดไป

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 28/11/11 at 14:28

23

หลวงพ่อ


พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา


เมื่อประมาณปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๓ ผมได้รับข่าวจากตำรวจที่ดูแลรักษาความปลอดภัยวัดท่าซุง จดหมายมาบอกเล่าเก้าสิบว่า “หลวงพ่อ” (พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน) รับนิมนต์ไปประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปพระประธานที่ “วัดเขาไผ่” จังหวัดระยอง ระยะนั้นจะจำวัดอยู่ที่บ้าน “พี่สมบูรณ์” จังหวัดจันทบุรี

บอกมาด้วยว่า หลวงพ่ออยากให้ผมไปพบ แต่ไม่ยักกะบอกว่า เรื่องอะไร ผมก็เลยต้องเดาว่า หลวงพ่อคงอยากไปเยี่ยมทหารและตำรวจ ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ทั้งนี้เพราะเมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๓๒ หลวงพ่อได้เดินทางไปประกอบพิธีให้ทหารเรือ ที่อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด ซึ่งในขณะนั้นผมรับราชการอยู่ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด

จึงได้มีโอกาสไปดูแลให้ความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ และในโอกาสนี้เอง หลวงพ่อได้ปรารภกับผมว่า ปีหน้าจะมาอำเภอคลองใหญ่ (ตอนปรารภนั้นปลายปี ๒๕๓๒ ตอนที่เขียนถึงนี้ปี ๒๕๓๓) และผมก็เดาถูกนิดหน่อยเพราะมาทราบภายหลังว่า หลวงพ่อมีรายการไปบวงสรวงที่บ่อพลอยของศิษย์ที่อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด แต่ไม่ได้ไปเยี่ยมทหาร

เพราะเมื่อผมเดินทางไปพบก็เป็นวันสุดท้ายของกำหนดการแล้ว และได้ทราบจากหลวงพ่อภายหลังว่า ท่านมีเจตนาจะไปเยี่ยมทหารและตำรวจจริงๆ แต่เมื่อผมไปถึงนั้นเลยเวลาแล้ว และผมก็ได้ย้ายมาที่อำเภอบางคล้าแล้ว จึงไม่สะดวก ที่ผมเดาได้ถูกนั้น เพราะหลวงพ่อนั้นไม่เคยทอดทิ้งทหารและตำรวจ โดยเฉพาะพวกที่ไปปฏิบัติหน้าที่ตามชายแดน

หลวงพ่อได้กรุณาอนุเคราะห์และเอื้อเฟื้อมาโดยตลอดไม่ว่าดินแดนนั้นจะอยู่ห่างไกลเท่าไร ทุรกันดารเพียงไหนหรืออันตรายปานใด หลวงพ่อได้เคยพากเพียรดั้นด้นไปเยี่ยมเยียนมาแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน ระหว่างที่เดินทางไปสงเคราะห์ ก็มิใช่จะสะดวกสบายพูดอย่างภาษาชาวบ้านว่า ต้องกินอยู่หลับนอนเหมือนกับพวกเขาที่เราไปสงเคราะห์

หลายครั้งที่หลวงพ่อ “ต้องกินข้าวลิง” เพราะระว่างเดินทางอยู่นั้น ไม่มีร้านรวงหรือบ้านเรือนให้นิมนต์ฉันได้ สองข้างทางเป็นป่าทึบ นอกจากนั้นก็เป็นพื้นที่สู้รบอีกด้วย เวลาก็จะเลยเพลแล้ว ลูกศิษย์ที่ไปด้วยจำต้องถวายกล้วยและผลไม้อื่นๆ บ้างเป็นภัตตาหารมื้อเพล เพราะไม่มีอย่างอื่น ฆราวาสไม่เดือดร้อน เพราะจะกินเมื่อไรก็กินได้

แต่พระไม่ได้ แล้วพวกเรารู้ไหม คำน้อยสักคำหนึ่ง หลวงพ่อไม่เคยบ่น ท่านกลับคุยจ้อพออกพอใจ ท่าทางยิ่งแช่มชื่นอะไรจะปานนั้น ท่านพูดว่า “ไอ้เป๋เอ๋ย ไม่เป็นไรน่ะ เอ็งรู้ไหมข้าฯ อดข้าวสบายมาก การที่ข้าฯ ต้องอดข้าว เพราะเพื่อมาสงเคราะห์ลูกๆ ของข้าฯ ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละอยู่ที่ชายแดน คนเหล่านี้ยอมสละชีวิตเลือดเนื้ออวัยวะ

ความสุขส่วนตัว เพื่อปกปักรักษาชาติ รักษาในหลวงของเราและพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เขาต้องอดยิ่งกว่าเรา ถึงแม้ว่าข้าฯ จะต้องอดข้าวตลอดชีวิตเพื่อให้ได้มาสงเคราะห์ให้กำลังใจพวกเขา ข้าฯ ก็จะทำ” ผมไปพบหลวงพ่อที่จันทบุรี ช้าไปจนหลวงพ่อไม่อาจไปสงเคราะห์ทหารและตำรวจที่อำเภอคลองใหญ่ได้

ผมก็เลยนิมนต์อาราธนาหลวงพ่อมาเยี่ยมอำเภอบางคล้า ที่ผมเป็นสารวัตรใหญ่อยู่ เพราะเป็นเส้นทางผ่าน และอยากให้คณะศิษย์ของหลวงพ่อได้มีโอกาสมานมัสการหลวงพ่อพระพุทธโสธร ว่ายังงั้นเถิด หลวงพ่อก็รับนิมนต์คงจะเพื่อสงเคราะห์คณะศิษย์ เมื่อ ๑๕ ปีมาแล้ว หลวงพ่อเคยพาคณะศิษย์มานมัสการหลวงพ่อพระพุทธโสธร

หลวงพ่อว่า เทพ (หมายถึงเทวดาหรือพรหม) องค์ที่ดูแลรักษาหลวงพ่อพระพุทธโสธร ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้ เป็นเทพที่มีบุญบารมีทางโชคลาภสูงมาก แล้วในวันที่หลวงพ่อมาโรงพักบางคล้า ก็พูดอีก ผมฟังไม่ถนัด แต่ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นท่าน “สหัมปติพรหม” แน่ๆ

พบหลวงพ่อ


ผมถือกำเนิดมาในตระกูลพ่อค้าใหญ่ ผู้คนในตระกูลของผมส่วนใหญ่ไม่มีใครนับถือเจ้าอย่างจริงจังอะไร คุณก๋งผมเป็นพ่อค้าข้าวมีโรงสีหลายโรง สมัยก่อนแถวถนนสาธรยันถนนตกข้ามเจ้าพระยาไปจนถึงบางอ้อ ไม่มีใครไม่รู้จัก “เจ้าสัวกอเป็งเชียง” หรือ “เจ้าสัวเจียร” ร่ำลือกันว่า ร่ำรวยกว่าใครๆ ในย่านนี้

บ้านที่พักอาศัยเรียกว่า “บ้านสามภูมิ” ประกอบด้วยบ้านของ ๓ ตระกูลคือ “กอวัฒนา” “พยัคฆาภรณ์” และ “ทวีสิน” มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ใครจะจัดงานแต่งงาน ลูกหลาน มักจะมาขอยืมสถานที่เพื่อจัดงานพิธีและงานเลี้ยง เดือนๆ หนึ่งมีงานหลายงาน ผมจำได้เพราะถือว่าเป็นลาภปาก มีงานทีไรอิ่มสบายทุกที เขาเล่ากันว่า

สมัยหนึ่งที่รัฐบาลไทยห้ามส่งข้าวออกนอกประเทศ คุณก๋งของผมตกงาน ไม่มีอะไรจะทำ จึงจัดตั้งสมาคมขึ้นมา ไม่ใช่สมาคมอั้งยี่ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ เลี้ยงดูปูเสื่อกันทั้งวันทั้งคืน คุณก๋งทิปนักร้องครั้งละ ๑ บาทเชียวครับ โชคดีที่รัฐบาลห้ามเพียง ๓ เดือนก็อนุญาตให้ส่งข้าวออกได้ คุณก๋งก็ยุบสมาคมตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินต่อไป

คนเก่าๆ แถวนั้นจึงเรียกสมาคมนี้ว่า “สมาคมสามเดือน” แต่ถึงจะไม่นับถือพระนับถือเจ้า คุณก๋งของผมก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าที่ซื่อตรงที่สุด ผมเองนั้นเมื่อสมัยเด็ก เขาลงในทะเบียนว่า นับถือพุทธ ผมก็นับถือสักแต่เพียงกราบไหว้บูชา แต่ผมไม่เคยรู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร เขาให้กราบผมก็กราบ เขาให้ไหว้ผมก็ไหว้ แต่ผมไม่เคยเข้าใจว่า

หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร ยิ่งต้องไปเรียนในโรงเรียนฝรั่งก็โรงเรียนอัสสัมชัญ นั่นแหละครับยิ่งไม่มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ แม้จะผ่านโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมก็ไม่รู้เรื่องศาสนาพุทธเอาจริงๆ ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร สมัยเป็นเด็กมัธยมก็ดอดไปโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่วัดมหาธาตุ ก็ไม่รู้อะไร

ได้ทุนไปเรียนเมืองนอก ก่อนไปก็พยายามศึกษาก็ไม่รู้อีก ฝรั่งถามทีไรก็จนมุมมันทุกที กลับมาออกไปรบทางชายแดน ก็ห้อยพระห้อยเจ้าไปตามเรื่อง พอไปเจอพวกนิยมของขลัง คุยกันแต่เรื่องอยู่ยงคงกระพัน ก็เลยเลิกห้อยพระไปเลย เพราะหมดความเชื่อถือ เนื่องจากพวกเขาคุยอวดกันว่า พระเครื่องของพวกเขาคุ้มครองพวกเขาได้ตลอดกาล

ผมนึกค้านว่า ถ้าไอ้โจรห้าร้อยระยำอัปรีย์มันห้อยพระเครื่องดีๆ เกิดปะทะกัน ผมใส่มันเข้าไปเปรี้ยง! ไม่เข้า! เพราะมันมีพระดี แต่พอมันใส่ผมตูม! ผมตาย! เพราะผมไม่มีพระดีๆ จะใส่ เอ..พระท่านน่าจะคุ้มครองคนดีมากกว่านะ อย่ากระนั้นเลย ห้อยไปก็หนักเปล่าๆ ผมจึงออกรบโดยไม่เคยห้อยพระเครื่อง และผมก็แคล้วคลาดมาโดยตลอด เพราะผมเอาพระไว้ที่ใจ

ในหมวด ต.ช.ด. ที่ผมบังคับบัญชาอยู่ตอนออกรบมีกำลังตำรวจ ๑ หมวด แต่ห้อยพระไป ๑ กองพล เวลาออกลาดตระเวนเสียงพระเครื่องที่ห้อยอยู่กระทบกันดังพิลึกดี จนกระทั่งต่อมาผมถูกยิงได้รับบาดเจ็บ เพราะปากไม่ดี ไปด่ามารดาฝ่ายตรงข้ามเข้า หนังยุ่ยทันตาเห็น ต้องนอนขี้เยี่ยวอยู่บนเตียง ๙๖ วัน หัดเดินอยู่อีก ๒ ปี ช่วงระยะเวลานั้นเอง

ผมจึงได้มีโอกาสหวนกลับมาศึกษาเรื่อง พระพุทธศาสนาอีก ตื่นตั้งแต่ตี ๔ เปิดวิทยุฟังธรรมะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องอภิธรรมและปริยัติธรรม ฟังไปจดไปนะครับ จดไม่ทันเอาเทปมาอัด ซื้อตำรับตำรามาเต็มบ้าน เต็มช่อง ไม่รู้เรื่องอีกเช่นเคย เลิกครับเลิก คราวนี้หันมาสนใจพระเกจิอาจารย์ เขาว่ามีพระอาจารย์ที่ไหนดี เฮโลสาระพา

ตามไปนมัสการกลับบ้านได้มาแต่พระเครื่องแหละครับ ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร จนวันหนึ่งเพื่อนต่างวัยมีอาวุโสกว่าผม เขาเอาหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค บันทึกโดย “ฤาษีลิงดำ” มาให้อ่านก็เลยสนใจ แต่ผมกับเพื่อนสนใจกันคนละอย่าง เพื่อนเขาสนใจจะนำพระเครื่องไปให้ท่านปลุกเสก

ส่วนผมสนใจว่า ฤาษีลิงดำ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นพระหมด คงจะรักษาขาที่พิการได้ เอาละครับ มีประโยชน์ร่วมกัน จึงพากันออกตามหาหลวงพ่อ จนทราบว่า อยู่ที่วัดท่าซุง ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี จึงมานมัสการหลวงพ่อ

อะไรทำให้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ


อย่างที่เล่ามาแล้วข้างต้น เพื่อนผมเขาจะสร้างพระ มาขอให้หลวงพ่อปลุกเสก ผมก็ไม่ขัดศรัทธา ระหว่างเดินทางพวกเราปรึกษากันเรื่องทำพระ และตกลงกันว่า จะให้ผมเป็นคนพูดขอกับหลวงพ่อ ผมก็เออๆ คะๆ ไปตามแกน นึกในใจว่า เขาให้พูดก็จะพูดได้หรือไม่ได้ผมไม่สนใจมาก คิดแต่เพียงว่า ถ้าท่านมีฤทธิ์เดช เราก็จะขอให้ท่านช่วยรักษา ก็แค่นั้น

เพราะผมนั้นเคยขนข้าวขนของไปถวายวัดหนึ่งมากมายก่ายกอง พยายามดักพบท่านเจ้าสำนัก ท่านก็ไม่ให้พบ เขียนจดหมายถามท่านระบายความในใจว่า ผมอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรจริงๆ ท่านก็ไม่ยอมตอบ ส่งเงินไปก็หลายครั้ง ก็ไม่ยอมพบ ไม่ยอมตอบ เสียทั้งของ หมดทั้งเงิน แต่ยังเป็นควายเหมือนเดิม

พวกเราสามคนมาถึงวัดเวลาอะไรจำไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่ใช่เวลารับแขก จึงไปนั่งรออยู่ที่หอกรรมฐานขาว รอเวลาที่หลวงพ่อจะลงมารับแขก เผอิญไม่มีแขก พวกเราจึงถือโอกาสงีบหลับตามอัธยาศัย เพราะยังอีกนานโขกว่าจะได้เวลา และทั้งเหนื่อยและหิว แต่ก็ยอมอดข้าวด้วยเกรงจะไม่ได้พบ ครั้นแล้วก็ได้พบหลวงพ่อ เมื่อผ่านพ้นระบบทักทายและรายงานตัวกันแล้ว

พวกเราก็นั่งเลิกลั่กไม่ทราบว่าจะสานเรื่องต่อไปได้อย่างไรดี เพราะทั้งดีใจที่ได้พบ และทั้งงัวเงียเพราะเพิ่งจะตื่น แต่ก่อนหน้าที่เราจะได้พบ ต่างก็อาราธนาบารมีของหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ แล้วว่า ขอให้การที่คิดเอาไว้สำเร็จ หลวงพ่อนั้นครั้นเมื่อเห็นพวกเราเงียบอึกอัก จู่ๆ ท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “เออหลวงพ่อแดงนี่ท่านเป็นพระดีนะ”

พวกเราตะลึงเพราะว่าเมื่อเหยียบย่างเข้ามาในวัด ไม่มีใครพูดถึงหลวงพ่อเลย เราพูดกันในรถปรึกษาหารือกันในรถเท่านั้น หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร แล้วท่านก็พูดต่อไปอีกว่า “พวกคุณจะสร้างพระผงกันหรือ มีเจตนาดีนะ จะสร้างแบบไหน ฉันอนุญาต” ความรู้สึกของผมในตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนคนเป็นหูหนาตาเร่อ รู้สึกตัวชาหน้าชาแบบเห่อๆ

บรรยากาศรอบตัวมันหนาวๆ ร้อนๆ วูบๆ วาบๆ บอกไม่ถูก ปากปิดสนิท แต่ในใจร้องว่า “อัศจรรย์ๆ จริง” แล้วก็ต่างมองหน้ากัน เข้าใจว่าทุกคนคงมีความรู้สึกแบบเดียวกัน หลวงพ่อรู้จิตพวกเราได้ไงแฮะ “ไปทำตัวอย่างมาให้ดู มีเจตนาดีอย่างนี้ ฉันอนุญาต”

หลวงพ่อพูดย้ำอีก คนหนึ่งในจำนวนพวกเรา จึงรีบกราบเรียนรับคำว่า จะไปทำตัวอย่างให้สวยให้ดีมาถวายภายหลัง เพราะเราเพียงแต่เคยปรึกษากันว่าจะสร้างพระผง แต่ยังไม่ได้ตกลงกันว่า จะสร้างแบบไหน จำนวนเท่าใด ครั้นแล้วเพื่อนผมอีกสองคนก็กราบลา เพราะเขาสมประสงค์แล้ว ผมก็จำใจเข้าไปกราบลา หลวงพ่อเอามือตบศีรษะของผม

พูดว่า “เออดีๆ คุณเสียสละเพื่อประเทศชาติ พระท่านสอนว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเป็นทุกข์ ร่างกายของเราก็ดี ทรัพย์สมบัติของเราก็ดี อะไรๆ ต่างๆ ในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์และบังคับไม่ได้ ถ้าไม่ต้องเกิดก็ไม่ต้องทุกข์ ถ้าคุณปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คุณก็จะไม่ต้องเกิดอีก

มีอยู่หลายวิธี ไปหาหนังสืออ่านเอานะ ค่อยๆ ศึกษาไปนะ ถ้ามีโอกาสก็มาฝึกกรรมฐาน ที่นี่ก็ได้ ที่บ้านสายลมก็ได้” เจ้าประคุณเอ๋ย ผมดีใจจนบอกไม่ถูก แม้ในขณะนั้นผมจะยังเข้าใจคำว่า กรรมฐานน้อยมาก แต่ในใจก็คิดว่า “เออเข้าเค้าๆ แล้ว มีหลัก มีเกณฑ์นี่” แล้วก็กราบลา พากันกลับ สรุปว่าผมศรัทธาหลวงพ่อเพราะท่านรู้ภาวะจิตนั่นเอง

จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็พยายามหาโอกาส มารับการสอน มาฟังการเทศน์ของหลวงพ่อบ่อยๆ พยายามทำความเข้าใจจนผมหายสงสัย สมัยนั้นหลวงพ่อจะสอนกรรมฐาน เน้นมากเรื่อง อานาปานัสสติ เพื่อโยงจิตให้เป็นสมาธิ คำภาวนา ไม่จำกัด แต่นิยมคำว่า “พุทโธ” เพ่งอะไรไม่จำกัดแต่นิยมให้เพ่งพระพุทธรูป สอนเรื่องจิต สอนเรื่องอิริยาบถ

สอนให้รู้ว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิในระดับไหนแล้วมีอาการเป็นอย่างไร จะใช้สมาธิทำอะไรได้บ้าง แต่ในที่สุดก็สอนให้พิจารณา บางครั้งว่า กรรมฐาน ๔๐ เป็นเดือนๆ ต่อด้วยมหาสติปัฏฐานอีกเป็นเดือนๆ แล้วมาสรุปด้วยอารมณ์ของพระอริยบุคคล วนเวียนอยู่เป็นปีๆ ไม่มีการเรียนลัด นี่ผมว่าโดยย่อนะครับ ความจริงท่านแจงละเอียดให้ความรู้ไม่มีปิดบัง ผมอยากรู้อะไรท่านก็ยินดีสอนให้ ในที่สุดผมก็เลือกเอาไม่ต้องเกิดอีก

ออกทัศนาจรกับฤาษี


ผมได้เล่าเรื่องมายืดยาวตั้งแต่เหตุผลว่า ทำไมจึงเขียนเรื่องอะไรๆ นี่เนื่องด้วยหลวงพ่อของเรา การเริ่มต้นที่ได้มาพบหลวงพ่อ อะไรที่ทำให้ผมเกิดศรัทธา จนถึงการได้มาฝึกกับหลวงพ่อ ความจริง ถ้าจะเขียนให้ละเอียดก็จะยืดยาวมากกว่านี้มาก ได้พยายามย่นย่อพอสังเขปแล้วนะครับ ต่อไปก็จะเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครั้งที่ได้มีโอกาสไปทัศนาจรร่วมกับหลวงพ่อเอาพอหอมปากหอมคอนะครับ

เรื่องยาวไปหาอ่านเอาจากหนังสือเรื่อง “ฤาษีทัศนาจร” และ “ล่าพระอาจารย์” จากนี้ไปถ้าผมจั่วหัวข้อเป็นชื่อหลวงพ่อหรือหลวงปู่องค์ไหน ก็หมายความว่า ผมจะเขียนถึงท่านเหล่านั้นในเหตุการณ์ที่ผมได้ประสบ ขณะเดินทางไปทัศนาจรกับหลวงพ่อของเรา โดยที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ในเวลาและโอกาสนั้น หรือในกาลถัดมา

หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร


หรือพระครูสันติวรญาณ แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ผมไม่เคยพบท่านมาก่อนหน้านั้น แต่ทราบจากการบอกเล่าของผู้อื่นว่าท่านเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จาริกมาแสวงหาความสงบวิเวกอยู่ที่ถ้ำผาปล่องท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ แต่ท่านเบื่อคน จึงหนีมาอยู่ถ้ำ

กระนั้นก็ยังมีผู้เสาะแสวงหาท่านจนพบ เขาว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูงมาก ผมเคยคิดจะไปนมัสการท่านอยู่แล้ว แต่ล้มเลิกไป เพราะได้มาพบหลวงพ่อเสียก่อน มีอะไรให้ต้องเรียน ต้องศึกษามากมายไม่รู้จบจากหลวงพ่อ จึงไม่คิดจะไปหาอาจารย์องค์ไหนอีก เผอิญหลวงพ่อท่านชวนว่า คณะของท่านจะไปนมัสการหลวงพ่อสิมฯ และจะเลยไปนมัสการหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ด้วย

“อ๊ะ ได้การ” ผมคิดในใจ เพราะว่าหลวงปู่แหวนฯ นั้น ผมก็เคยได้ยินกิตติศัพท์มาจากรุ่นพี่และเพื่อนๆ ทหารอากาศว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่เคยได้ไปนมัสการสักที “ฮ้า เหมาะเลย” จึงกราบเรียนรับปากว่าจะไป แต่ผมขอไม่ไปพร้อมคณะ จะไปสมทบที่เชียงใหม่เลย เพราะตอนนั้นผมถูกยิงแข้งขาไม่ค่อยจะดี นั่งรถนานมันปวด จึงเดินทางไปโดยเครื่อง บดท.

แล้วตามไปสมทบที่น้ำตกแม่สา ตอนนั้นผมช่วยราชการอยู่ที่กองอำนวยการเคลื่อนย้ายทหารจีนชาติ หรือ บก.๐๔ ซึ่งมีหน่วยงานอยู่ที่เชียงใหม่ ทหารมารับผมจากสนามบิน แล้วร่วมกับขบวนลูกศิษย์ของหลวงพ่อแวะชมถ้ำเชียงดาวแล้วขึ้นไป นมัสการหลวงพ่อสิมฯ บนถ้ำ อันว่าทหารคนขับรถนี้ไม่ใช่คนเดิมที่เคยขับรถให้ผมเสมอๆ

แต่เขามีหน้าที่ดูแลบ้านพักของนายทหารระดับผู้ใหญ่มากๆ ท่านหนึ่งที่นั่น เขาอยากจะได้พระเครื่องของหลวงพ่อสิมฯ จึงอาสาขับรถแทนให้ ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้องเพราะเห็นว่าหน่วยก้านพอไปไหว แม้จะอ้วนไปสักหน่อย เป็นทหารอากาศ แต่ไม่เคยขึ้นเครื่องบินหรอกครับ อยู่ภาคพื้นดินมาโดยตลอด โดยผมชี้แจงว่า ที่เรามานี้เรามากับคณะนักบุญ

ซึ่งมีหลวงพ่อเป็นผู้นำ กำหนดจะพักค้างคืนบนถ้ำ พวกนักบุญเหล่านี้เขาไม่มีอาวุธอะไรติดตัวมา แต่เราก็ทราบดีอยู่แล้วว่าบริเวณดังกล่าวนั้นเป็นที่เปลี่ยวมีโจรผู้ร้ายชุกชุม เราจะต้องทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองปลอดภัยกับพวกเขาด้วยนะ ไม่ใช่มาเที่ยว เขาบอกว่า เขาเต็มใจตกลงเบิกเอ็ม ๑๖ ไป ๒ กระบอก นอกจากนั้น ผมมีปืนพกไปอีก ๑ กระบอก

เมื่อเดินทางไปถึงเชิงเขา เวลายังไม่ทันพลบค่ำ ผมกับเขาเดินตามคณะขึ้นไปที่ถ้ำผาปล่อง โดยเขาอาสาจะเอาเอ็ม ๑๖ ทั้ง ๒ กระบอกขึ้นไปด้วย โดยจะห่อให้มิดชิด ไม่ให้ประเจิดประเจ้อ และอาสาว่า เมื่อมืดแล้วเขาจะลงมานอนเฝ้าทรัพย์สินในรถของคณะใหญ่ซึ่งจอดอยู่ที่เชิงเขา ส่วนผมนั้นจะดูแลด้านบนถ้ำเอง เขาลงมาเมื่อมืดแล้ว

หลังจากรับพระเครื่องมาจากหลวงปู่สิมฯ เอาปืนพกของผมไปด้วยเพราะระหว่างทางลงเขาสภาพก็ไม่น่าวางใจ ตอนดึกระหว่างคณะกำลังนอนพักผ่อน ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด บริเวณที่จอดรถ ชายฉกรรจ์ทั้งหลายพากันกรูลงไปดูเหตุการณ์ พบว่าเขาถูกคนร้ายยิงที่บริเวณท้องถึงไส้ทะลัก พวกนักบุญช่วยกันพาเขาไปส่งอนามัย

และต่อมาตำรวจนำไปส่งโรงพยาบาลสวนดอก ผมว้าวุ่นมาก ไหนจะห่วงคนเจ็บ ไหนจะห่วงคนเป็น เพราะหวั่นไหวกันไปหมดด้วยเกรงภัยจากโจรร้าย ต่อมาตำรวจท้องที่ทราบเหตุนำตัวเขาส่งโรงพยาบาลสวนดอก ที่เชียงใหม่ ผมนั้นคิดว่าเขาไม่น่าจะรอดเพราะบาดแผลฉกรรจ์มาก ผมขอให้คุณหมอชุติ เนียมสกุล ขับรถพาผมไปดูเขาที่โรงพยาบาล

เพราะผมขับรถเองไม่ได้ หลังจากที่ได้นมัสการกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบแล้ว แต่ได้ติดต่อขอให้ตำรวจท้องที่มาดูแลให้ความปลอดภัยคณะใหญ่เป็นที่เรียบร้อยหมดกังวลไปเปลาะหนึ่ง หมอชุติฯ ท่านก็แสนดี คำน้อยสักคำก็ไม่ปริปากบ่น ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ นะครับ แถมยังคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามภูเขา ขนาดคนเป็นยังแย่

แล้วคนเจ็บจะเป็นอย่างไรผมไม่อยากคิด เพราะผมเองก็เคยมาแล้ว เมื่อครั้งถูกยิงที่ชายแดน นอกจากนั้นผมก็ยังกังวลใจว่า จะรายงานผู้บังคับบัญชาอย่างไรดี เพราะคนที่ถูกยิงไม่มีชื่ออยู่ในคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ ขอแทนกันเอง อุบา! ปัญหาร้อยแปดพันเก้าแต่แล้วทุกอย่างก็คลี่คลาย เขาปลอดภัย เรื่องทางวินัยก็ไม่โดนได้อาศัยท่านโกษาป่อง กรุยทาง

ผู้บังคับบัญชาที่นั่นให้ผมแก้ปัญหาจนเสร็จสรรพจึงได้วกกลับมายังถ้ำผาปล่อง คณะใหญ่กลับไปแล้ว หลวงพ่อสิมฯ ท่านกรุณาให้ผมกับลูกน้องชุดใหม่พักผ่อนหลับนอนในถ้ำที่ท่านจำวัดอยู่ ผมจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับหลวงพ่อสิมฯ อย่างใกล้ชิด โดยในขณะนั้นผมเกิดความลังเลสงสัยในตัวหลวงพ่อ เพราะในวันที่เกิดเหตุก่อนเกิดเหตุ

หลวงพ่อได้พูดกับศิษย์ลูกหาว่า มีเทวดามากันมาก ท่านแม่ศรีฯ ก็มา ท่านพ่อพระอินทร์ก็มา ท่านท้าวมหาชมพู วู้ย! เยอะแยะ ไม่น่าเชื่อ.. ก็จะไปให้เชื่อได้ยังไง ถ้ามีจริงและมากันจริง ทำไมจึงปล่อยให้ลูกน้องของผมถูกคนร้ายยิงเอาเกือบตาย ไม่จริงละมั้ง ขอเรียนให้ทราบเสียก่อนนะครับ ในสมัยที่เกิดเหตุนั้น ผมเพิ่งจะหัดภาวนา “พุทโธ” เท่านั้นเอง

ลืมตาหลับตาได้แต่ภาวนาพุทโธ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรพิสดาร แต่เอาละ ไอ้เรามันก็ชายชาตินักรบ ไม่ชอบทำอะไรคลุมเครือ เราไม่เห็นเองและไม่เชื่อ อย่ากระนั้นเลยเราถามหลวงพ่อสิมฯ ดีกว่า ผมตัดสินใจถามหลวงพ่อสิมฯ เลยครับ ถามว่าเทวดามีจริงหรือ หลวงพ่อฤาษีท่านติดต่อกับเทวดาเห็นเทวดาได้จริงหรือ เทวดาเหล่านั้นเป็นใคร มีความผูกพันอย่างไรกับหลวงพ่อฤาษี

ท่านแม่ศรีคือใคร ท่านท้าวมหาชมพูคือใคร เทวดานักรบมีจริงหรือใครเป็นหัวหน้า ทำไมปล่อยให้ลูกน้องผมถูกยิง เรียกว่าผมระดมคำถามแบบกระหน่ำยิงไม่เลี้ยงเลยครับ คิดในใจว่าถ้าหลวงพ่อสิมฯ ตอบไม่ตรงกับที่หลวงพ่อเคยพูด หรือแม้เพียงลังเลบิดพลิ้ว ผมก็จะเลิกนับถือ “ทั้ง ๒ องค์” นั่นแหละครับ พ่อแม่พี่น้องรู้ไหม หลวงพ่อสิมฯ มิได้ลังเลเลย

ท่านตอบทันทีว่า เทวดามีจริง มาจริง ท่านแม่ศรีเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านท้าวมหาชมพูเป็นใคร ใครเป็นใคร หลวงพ่อแจง ๑๕๐ เบี้ยเลยครับคือแถมให้อีก ๑๔๖ เบี้ย กระเซ้าผมว่าถ้าอยากรู้เองเห็นเองให้หมั่นฝึกตามที่หลวงพ่อพระมหาวีระฯ สอนเถิด แล้วจะได้รู้ความจริงไม่ต้องถามใคร ส่วนเหตุที่บังเกิดนั้นเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม

โยมอย่าไปโกรธอย่าไปโทษเทวดา แน่ะ รู้อีกแน่ะ ว่าผมเคืองเทวดา ก็ผมคิดเอาไว้ในใจว่า ถ้าเทวดามีจริงและมาจริงต้องถูกลงโทษเพราะดูแลรักษาพุทธบริษัทไม่ดี ปล่อยให้เกิดเหตุร้ายในพื้นที่อันเป็นเขตนิวาสสถานของพระอริยบุคคล เอาละครับหลวงพ่อสิมฯ ท่านไม่ได้เทศน์โปรดผม ท่านเล่าไปเรื่อยๆ แบบตามสบาย ท่านว่าเป็นกฎแห่งกรรม

คนทำตำรวจจะจับไม่ได้ แต่เขาจะต้องเสวยผลกรรมอันนั้นไม่เกิน ๓ วัน ๗ วัน น่าสงสารเขานะ เขาติดยาเสพติดคิดว่า คณะของหลวงพ่อมหาวีระฯ มีทรัพย์มามากจึงมาขโมยของเอาไปซื้อยาเสพติด เขากำลังงัดแงะรถที่จอดอยู่ พอมีคนลงไปเขาก็โดดหลบอยู่ที่กอไม้ นายคนนั้นก็บังเอิญปวดทุกข์ ถอดเสื้อถือปืนเดินตรงไปที่เขา เขาคิดว่าเห็นเขาจะมาจับเขา

เขาก็เลยยิงเอาแล้วหนีไป คนถูกยิงมีกรรมเก่า คนยิงมีกรรมใหม่หนักมาก น่าสงสารคนยิง แน่! เป็นงั้นไป! แทนที่จะสงสารคนถูกยิงหลวงพ่อสิมฯ กลับไปสงสารคนยิง ท่านย้ำว่าเป็นกรรมหนัก ผมถามท่านอีกว่า ตำรวจท้องที่เขาขึ้นมารายงานท่านหรือ ท่านยิ้มหัวเราะตอบว่าเปล่า ผมถามว่า แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไร ท่านย้อนถามผมว่า แล้วโยมว่าอย่างไร

ผมตอบว่าจริงครับ คนของผมไปสืบมาแล้วเหตุการณ์เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตรงกับที่หลวงพ่อพูดทุกอย่าง แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไรครับ “เฮ่ย รู้ก็แล้วกันน่ะ โยมน่ะ มีครูดี แล้วหลวงพ่อมหาวีระฯ ไม่ใช่พระธรรมดานะ สร้างบารมี ปรารถนาพระโพธิสัตว์เชียวนะ แต่เลิกได้ก็ดีลูกศิษย์เยอะแยะ ตามสร้างบารมีมานาน แต่นั่นแหละ พอหัวหน้าเลิก

ลูกน้องก็จะเลิกตามบ้าง เหนื่อยๆ เหนื่อยแทนนะ แบกๆ ไปไว้ที่กามาวจร สวรรค์ก่อนก็ยังดี ลูกน้องยังตั้งตัวไม่ทัน เออ โยมนอนเสียเถิด หลับให้สบาย ไม่ต้องกลัวอะไร เหนื่อยมามาก นอนอยู่กับหลวงพ่อนี่ เย็นใจ สบายใจ เก็บปืนเสีย ไม่ต้องใช้ หลวงพ่อจะเจริญกรรมฐาน มีอะไรเกิดขึ้นในถ้ำนี้ ไม่ใช่กิจของโยมเป็นเรื่องของอาตมา หลับเถิด หลับให้สบาย” สิ้นเสียงหลวงพ่อสิมฯ พวกผมก็หลับปุ๋ยโดยพลัน (ยังก๊ะโดนยานอนหลับ)

ผมมาะสดุ้งตื่นตอนราวๆ ตีสอง มองไปไม่เห็นหลวงพ่อสิมฯ ที่ที่นอนของท่าน เหลือบไปอีกที โอ้โฮ อะไรกันนะ มีคนเต็มถ้ำจนเรียกได้ว่าแออัด รูปร่างเหมือนคน แต่ตัวโปร่งใส แต่งตัวเหมือนพวกเล่นลิเก ทุกคนสำรวมและเคร่งขรึม หลวงพ่อสิมฯ นั่งอยู่บนอาสนะ ท่าทางเหมือนกำลังเทศน์ เพราะนุ่งห่มพาดสังฆาฏิเรียบร้อย พอผมผลุดขึ้นนั่ง

คนตัวใสๆ ก็หันมามองผมเป็นตาเดียว ทุกคนที่มองมาที่ผมมีพลังออกมาให้ผมรับรู้ว่าพวกเขากำลังไม่สบายใจ จิตของผมรับสื่อที่เขาส่งออกมาว่า เขาขอโทษผม ผมเริ่มจะตื่นเต็มตัวอยากลุกขึ้นมาพูดจาด้วย แต่แล้วทันใดนั้นเสียงของหลวงพ่อสิมฯ ก็ลอยมา “โยม นอนเสียเถิด นอนให้สบาย ไม่ต้องกังวล ที่นี่ปลอดภัย ไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่กิจของโยม นอนเสียเถิดนะ อาตมาดูแลเอง” เท่านั้นเอง ผมก็หลับผล็อย

ครูบาพรหมจักรสังวร (วัดพระพุทธบาทตากผ้า)


ก่อนหน้านี้ผมพอทราบเลาๆ ว่า พระเดชพระคุณเจ้าเป็นพระที่สำรวมอย่างยิ่ง ท่าทางติ๋มๆ หนิมๆ แต่ไม่ทราบว่าท่านดีกว่านั้นอย่างไร ก่อนที่ผมจะได้ไปพบ มีลูกศิษย์หลวงพ่อมาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าไปนมัสการท่านแล้วมีคนถามท่านว่า เขารู้ว่าท่านทรงอภิญญา และจะไม่ต้องเกิดแล้ว (หมายถึงเป็นพระอรหันต์แล้ว) แต่ท่านไม่ยอมพูดด้วย

หลวงพ่อของเราจึงยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ท่านวัดพระบาทตากผ้าทรงคุณธรรมอย่างนั้นจริงๆ ต่อมาเมื่อหลวงพ่อของพวกเราพาพวกเรามานมัสการ ก็ได้มีการถามไถ่ไล่เลียงกันอย่างมีชั้นมีเชิง ใครอยากรู้ว่าท่านถามไถ่กันอย่างไรให้ไปหาอ่านเอาจากหนังสือ “ฤาษีทัศนาจร หรือล่าพระอาจารย์”

สรุปได้ว่าหลวงพ่อของเราก็ไม่ได้ถามโต้งๆ แต่ถามอย่างมีชั้นมีเชิงว่างั้นเถิด ท่านก็ตอบโครม ๆ ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อของเราในวันนั้นที่ได้ยินได้ฟังอยู่ บ้างก็เข้าใจ บ้างก็ไม่รู้เรื่องว่าท่านทั้งสองโต้กันว่าอย่างไร แต่หลวงพ่อของเราซิครับ ถึงจะเรียกได้ว่าแน่จริง ถามประโยคหนึ่งแล้วก็หันมาอธิบายขยายความให้ลูกศิษย์ทุกคนได้เข้าใจในทันทีทันใดนั้นเอง

แล้วยังหันกลับไปถามท่านพระบาทตากผ้าอีกว่า จริงไหมขอรับ ถูกต้องไหมขอรับ ที่กระผมได้อรรถาธิบายให้ลูกศิษย์ของกระผมได้เข้าใจ ท่านพระบาทฯ ท่านก็ว่าถูกๆ พอรับปากว่าถูกๆ ไปเรื่อยๆ หลวงพ่อของเราก็หันขวับกลับไปประจันหน้าทันทีว่า เอ๊ะ พระคุณก็ยอมรับสิขอรับว่า พระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้วคราวนี้สิขอรับ

ญาติโยมทั้งหลาย มือไม้ของท่านพระบาทตากผ้าฯ ไม่ได้หยุดอยู่นิ่งแล้ว จับโน่นจับนี่ให้วุ่นวายไปทีเดียวเชียวขอรับ มองคนนั้นที คนโน้นสองที ค้อนหลวงพ่อของเราอีกห้าที มองฟ้ามองดินอีกยี่สิบทีกว่าจะวางลายด้วยการแกล้งทำเป็นครางว่า “อือๆ ฮือๆ” แท้จริงก็เป็นการยอมรับ ยอมแพ้นั่นเอง แต่ต้องสงวนท่าทีเอาไว้ ของสวยของงามของมีสกุลมีศักดิ์ศรี

จู่ๆ จะมายอมกันง่ายๆ ได้ก็เสียเชิงพระอรหันต์น่ะซี้ หลวงพ่อของเราสำทับไปอีกสองครั้ง ก็ยังวางมาดร้องครางว่า “อือๆ” อีกทั้งสองครั้ง หลวงพ่อของเราจึงกล่าวขอขมาว่า ลูกศิษย์ของกระผมนั้นยังมีความสงสัยข้องใจว่าในยุคนี้ยังจะมีพระอรหันต์หลงเหลืออยู่อีกหรือ กระผมจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงความจริงให้ปรากฏ คราวนี้ก็ฮากันทั้งวงน่ะสิขอรับ ว่ากันงอหาย

ชื่นอกชื่นใจกันไปทั้งหมด เมื่อยอมเปิดแล้ว ดูท่านพระบาทตากผ้าสบายอกสบายใจเป็นอันมาก สรวลเสเฮฮา เออออห่อหมกดีไปหมด หายเคร่งคลายเครียด กระผมเองนั้นก็บอกแล้วว่าเพิ่งจะภาวนาพุทโธเป็นก็รู้สึกสนุกสนานเป็นที่ยิ่งนัก ยิ่งได้เห็นพระคุณเจ้าทั้งสองกอดไม้กอดมือกันสนิทสนมกันผมงี้ น้ำตาแทบร่วง ไอ้เราก็ว่าเรานี้เป็นคนใจอ่อนแล้ว

หันกลับมาดูพี่ป้าน้าอา โอ้โฮ..ร้องไห้กันกระจองอแง อะไรกันนักกันหนา เอาเถิดนี่มันเป็นปิติน่ะ หันกลับมาอีกที เอ้า ท่านพระบาทตากผ้าเทศน์เสียแล้ว คราวนี้ว่าตั้งแต่ “พระโยคาวจร พระโสดาปฏิมรรค – ผล สกิคาทาปฏิมรรค – ผล อนาคามีมรรค – ผล” พอจบแล้วยถาสัพพีทันที

คราวนี้ก็จะขอเก็บเกร็ดจากการซักการถามบ้างเท่าที่จะพอจำได้ และเห็นสำคัญนะครับ ท่านพระบาทตากผ้า ท่านเล่าว่า ท่านบิดาชื่อ “ครูบาพ่อเป็ง โพธิโก (พิมสาร)” บวชเมื่ออายุมากแล้ว ท่านแม่ชื่อ “บัวถา” ได้นุ่งขาวห่มขาวรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระตลอดอายุท่าน มีพี่ชายบวชเป็นพระ ๑ องค์

ชื่อท่าน “วัดน้ำบ่อหลวง” หรือ “ครูบาอินทจักรรักษา” ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระสุธรรมยานเถระ เมื่อท่านมรณภาพแล้ว หลวงพ่อของเราก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้ต่อและมีน้องชายบวชเป็นพระอีกหนึ่งองค์ ชื่อครูบาคัมภีระ หรือพระครูสุนทรคัมภีรญาณ วัดดอยน้อย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่

ต่อมาหลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้าได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระสุพรหมยานเถระ” ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราได้ปรารภถึงท่านไว้ในหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพของท่านดังนี้

ปรารภถึงท่านผู้มีความดี
เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๐ อาจารย์ปฐม มาแจ้งให้ทราบว่า เธอมีหน้าที่จัดทำหนังสือ เนื่องในงานถวายเพลิงศพ หลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้า ขอเรียกท่านอย่างนี้ เพราะได้เรียกท่านมาอย่างนี้เป็นปกติ วันนั้นเป็นวันเป่ายันต์เกราะเพชร และอาตมาเองก็กำลังป่วยหนัก แต่เมื่อถึงวาระทำงานเพื่อท่านพุทธศาสนิกชน ก็ทำด้วยความเต็มใจ

มันจะเป็นจะตายเรื่องของร่างกาย เมื่ออาจารย์ปฐมเธอมาขอให้เขียนคำปรารภก็ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี แต่ก็ขอเขียนตามความรู้สึกตามที่ได้พบกับท่านมา เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ หรืออาจจะไม่ตรงนัก เพราะนานมาแล้ว เวลานี้กำลังป่วยไม่แน่ใจเรื่อง พ.ศ. ที่จะพูดถึงในปีนั้น คุณแม้นเทพ ศุภนคร มาเป็นสรรพากรจังหวัดลำพูน อาตมามีโอกาสมาเยี่ยมเธอ

ต่อมาวันรุ่งขึ้น ได้ถามเธอว่า ที่จังหวัดนี้มีพระที่ปฏิบัติธรรมชั้นดี พอมีไหม ขณะนั้นอาตมาเองยังเป็นเด็กที่เพิ่งจะลืมตาเห็นโลกได้ในระยะใกล้ มองไกลไม่เห็น เพราะยังต้วมเตี้ยมในธรรมปฏิบัติ จึงสนใจพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อความรู้คำแนะนำจากท่าน คุณแม้นเทพ ศุภนครก็บอกว่า เห็นจะมีก็วัดพระบาทตากผ้า ตามความรู้สึกว่าท่านปฏิบัติดีมาก

ก็บอกเธอว่าอยากไปนมัสการท่าน ภรรยาคุณแม้นเทพได้ยินเข้า เธอก็ค้านว่าไม่ไหวแล้ว ท่านดีแต่ท่านไม่พูด เคยเอาผ้าป่าไปถวายตั้งหมื่นบาท ท่านออกมานั่งเฉย เราพูดคำท่านก็ตอบคำ ไม่พูดต่อไป อาตมาก็คะนองปากพูดล้อเธอว่า ถ้าไม่พูดก็เอาไม้ทิ่มปากเสียก็แล้วกัน จะได้พูดเป็น เป็นอันว่า ตกลงกันว่าวันรุ่งขึ้นไปวัดพระบาทตากผ้า

เมื่อไปถึงแล้วคณะที่ไปด้วยก็เข้าไปหาท่าน อาตมาก็ชมสถานที่ ดูการก่อสร้างที่มีอยู่แล้ว ซึ่งคนนำทางบอกว่าส่วนนี้ ท่านครูบาศรีวิชัยท่านสร้างไว้ บ้างดูรอยเท้าที่ผู้แนะนำบอกว่า เป็นรอยพิเศษที่ท่านผู้มีฤทธิ์แสดงรอยไว้ เป็นเวลาพอดีที่คุณแม้นเทพออกมาจากที่รับแขก มาบอกว่านิมนต์เข้าไปได้แล้วครับ หลวงพ่อท่านออกมาแล้วครับ

วันนี้ดีกว่าวันก่อนเพราะวันก่อนที่ผมมา ผมพูดคำท่านก็ตอบคำ วันนี้ดีกว่าวันนั้นมาก เพราะออกมาแล้วนั่งหลับตาปี๋เลย ไม่พูดไม่จากับใครทั้งหมด อาตมาฟังแล้วก็มีความรู้สึกว่า วันนี้คงพบละครโรงใหญ่ แสดงบทพิเศษแน่ ด้วยพระขนาดนั้นไม่รู้อะไรเลยไม่มี เว้นไว้แต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น เมื่อคุณแม้นเทพเตือน ก็เดินเข้าไป

และนมัสการท่านด้วยความเคารพด้วยความจริงใจ ไม่ใช่กายเคารพแต่ใจต่อต้าน เมื่อนมัสการท่านแล้ว ท่านก็ทักทายปราศรัย คราวนี้พูดเก่งมาก พูดกับคนโน้นคนนี้ไม่หยุดปากเลย ขณะที่ท่านพูดอยู่ อาตมาก็คิดในใจว่า ท่านบรรลุขั้นไหน ที่คิดอย่างนี้ไม่ใช่อวดวิเศษ คิดด้วยความชื่นชอบในปฏิปทาของท่าน

เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วอารมณ์ใจที่ใช้เป็นปกติก็อยากรู้กำลังใจ แต่ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน เป็นเรื่องจริงที่หาได้ยาก นั่นก็คือ มองใจท่านไม่เห็น มืดตื๋อไปหมด ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ท่านมืด แต่เป็นเพราะอาตมาพบของจริงเข้า นั่นคือ เด็ก ไม่สามารถเสมอผู้ใหญ่ได้ หรือคนตามัวไม่สามารถเห็นอณูเล็กๆ ได้ นั่นก็คือ อาตมามีอารมณ์ใจเลวกว่าท่านมาก

จึงไม่สามารถเห็นอารมณ์ใจของท่านได้ ทันทีที่ต้องการรู้อารมณ์ใจของท่าน ท่านก็หันมา พูดทันทีว่า คนเรานี่แปลกนะ เห็นคนอื่นเขาได้ ก็คิดว่าตนเองจะได้บ้าง ท่านพูดตรงกับอารมณ์ที่นึกอยู่พอดี จึงแน่ใจว่าท่านองค์นี้เป็นพระที่ควรบูชาอย่างยิ่งองค์หนึ่ง

คุยกันตามลำพัง
เมื่อถึงเวลาพอสมควร ทุกคนก็อำลาท่านเพื่อกลับ ก่อนกลับก็ชมสถานที่ก่อน ตอนนั้นอาตมาขออนุญาตคุยกับท่านตามลำพัง เมื่อปลอดคน ก็เรียนถามท่านว่า “ท่านปรารถนาพุทธภูมิ หรือตัดตรงไปเลย” ท่านตอบว่า “ตัดตรงไปเลยดีกว่า” เป็นอันทราบว่า ท่านมุ่งอะไร จึงถามท่านต่อไปว่า

(คำถามตอนนี้ ฟังดูแล้วเหมือนถามแต่พระที่ท่านปฏิบัติได้แล้วท่านจะทราบว่า ไม่ได้ถามเพื่อต้องการศึกษา เป็นการถามถึงผลที่ได้แล้ว) ได้เรียนถามท่านถึงสังโยชน์สิบ บอกท่านว่า ต้องการศึกษา ท่านยิ้ม แล้วท่านก็อธิบายย่อสังโยชน์ถึงข้อห้า แล้วกลับต้นใหม่ รวม ๓ รอบ ท่านบอกว่า “ผมเข้าใจจริงๆ เท่านี้เองครับ”

ฟังแล้วเมื่อเทียบกับตำราที่เคยรับทราบมา ถ้าตำราไม่โกหก ก็ต้องยอมรับว่าท่านบรรลุพระอนาคามี เมื่อคิดว่าเวลานี้ท่านทรงอนาคามี และกำลังอยู่ในอรหัตมรรค มองหน้าท่านไม่ได้พูดด้วยวาจา ท่านมองหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านพูดออกมาโดยที่ไม่ได้ถามว่า “ใช่แล้ว” เมื่อหมดความข้องใจแล้ว ก็คุยวิธีการปฏิบัติ

ด้วยเวลานั้นอาตมาก็มีความรู้แค่งู ไม่ถึงปลาทั้งนี้หมายถึงความรู้ในด้านปฏิบัติธรรม มีความรู้กระจุ๋มกระจิ๋มจริงๆ แล้วขณะนั้นก็ไปอยู่ในสำนัก ของปาดที่อยู่ในถ้วยน้ำพริกครอบ จึงก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้า เพราะเพื่อนช่วยกันต้านทานทุกวิถีทางแต่ก็ไปได้เรื่อยๆ เมื่อขอศึกษากับท่าน ท่านก็แนะนำสังโยชน์สิบ อธิบายสั้น แต่หมดข้อข้องใจ

แล้วท่านก็บอกว่า “ไม่เป็นไรนะ จากนี้ไปไม่กี่ปี อาจไม่เกินสี่ปีก็เข้าใจหมดทุกอย่าง พยายามท่องจำไว้ก็แล้วกัน” เมื่อหมดภารกิจก็ลาท่านกลับ ก่อนจะกลับท่านจับมือสองมือไปกำแน่นแล้วท่านก็บอกว่า “ดีใจมากนะ ที่เราได้พบกันและเข้าใจในกัน อย่าลืมนะไม่เกินสี่ปีท่องจำให้ดีจะเข้าใจสังโยชน์ทั้งสิบ” ในที่สุดก็ลาท่านกลับ

เมื่อพบพระดี ดีทั้งปริยัติและดีทั้งปฏิบัติ ท่านมีวิริยะ และอุตสาหะ เป็นพิเศษ ท่านบอกว่าตั้งแต่บวชท่านธุดงค์ตลอดมา เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษาอยู่ใกล้วัดไหน ก็อาศัยวัดนั้นจำพรรษา ออกพรรษาก็อำลาจากวัดนั้นอยู่ป่าอยู่เขาธุดงค์ต่อไป ต่อเมื่ออายุ ๕๕ ปี ญาติโยมอาราธนาให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทตากผ้า ท่านก็สงเคราะห์พุทธศาสนิกชนตลอด

เวลานี้ท่านมรณะแล้ว คือกายดับ ประสาทดับ การท่องเที่ยวคงดับด้วย ข้อนี้ช่วยกันดูด้วยนะ ท่านดับการท่องเที่ยวด้วยหรือไม่ อาตมาไม่ทราบตามที่พูดกับท่าน แต่ตามความรู้สึกทางใจคิดว่า ท่านยอมแก่ด้วยประการทั้งปวงแล้วท่านคงขี้เกียจเที่ยวต่อไป อาตมาขออนุโมทนา ที่ท่านทั้งหลายพบพระดี แต่ละท่านก็เก็บความดีของท่านมาใช้มากบ้างน้อยบ้าง

ตามกำลังใจที่จะพึงรับได้ ก็ต้องถือว่าทุกคนมีโชคดีที่พบพระสุปฏิปันโนแท้ๆ ไม่ใช่ยัดไส้ หรือไม่มีอะไรปลอมไว้ภายใน เมื่อท่านพบพระดี ได้ของดีไว้ใช้ จะมากน้อยเพียงใดนั้นไม่แปลก ต้องถือว่าทุกคนมีดี จงพยายามรักษาความดีนั้นไว้อย่างให้สลายตัว สำหรับอาตมาเอง ต้องถือว่าท่านเป็นพระอาจารย์ที่ชี้ทางตรงให้

และก็ตั้งใจเคารพท่านตลอดเวลา ขอท่านพุทธศาสนิกชนโดยถ้วนหน้า จงบูชาความดีของท่านด้วยการปฏิบัติตาม ทุกท่านจะไม่พลาดจากผลของความดี คือความสุขตลอดกาล
(พระสุธรรมยานเถร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 28/11/11 at 14:32

ครูบาอินทจักรรักษา (วัดน้ำบ่อหลวง)


พวกเราเสร็จจากนมัสการเยี่ยมที่พระบาทตากผ้า ก็เดินทางไปวัดดอนมูล สันกำแพง จะไปนมัสการกราบเยี่ยมพระอริยะที่จนเกือบจะที่สุด แต่ไม่เจอะเจอ “ท่านทุกขะตะ” หรือหลวงปู่คำแสนน้อย พวกเราก็เลยเบนเข็ม ไปนอนก่อนสักวัน วันพรุ่งนี้จะไปนมัสการ ท่านวัดน้ำบ่อหลวง

ดังนั้นครั้นพอเช้ามืดเราก็ปลุกพรรคพวกออกไปช้อปปิ้งกันก่อนไป ส่วนท่านวัดน้ำบ่อหลวง พอตื่นจากจำวัด ก็สั่งให้มรรคทายกจัดเตรียมศาลาและอาหาร บอกว่าจะมีศรัทธาจากกรุงเทพฯ มากันมาก ไวยาวัจกรว่าไม่มีใครมาบอกอะไรไว้นะหลวงพ่อ ท่านก็ว่า เหอะ เดี๋ยวจะมีมาละก็จะไม่ทัน ปรากฏว่าพอรถเลี้ยวเข้าวัดถามไถ่ได้ความว่า

ท่านวัดน้ำบ่อหลวงรอรับอยู่ที่ศาลาก็พากันนมัสการ แหมแทบไม่น่าเชื่อ สำรับอาหารคาวหวานพร้อมยังกับรู้ล่วงหน้า พอลงจากรถมาก็ได้กินได้ฉันทันเพลพอดี เมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว หลวงพ่อของเราฯ ก็พาพวกเข้าไปกราบนมัสการทันที สอบถามเลยว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกกระผมจะพากันมาหาขอรับ

ท่านก็ว่า มีคนบอก หลวงพ่อของเราซักอีกว่า ใครบอก ท่านก็ไม่ยอมพูดถึงว่าใครบอก ตอบสั้นๆ ว่า รู้ แล้วมองหน้าหลวงพ่อของเราพูดกันด้วยภาษาสายตา ที่ผมขอเดาเอาเองว่า แหมท่านก็แกล้งทำเป็นมาถาม แกล้งทำเป็นไม่รู้ อะไรต่ออะไรมันก็เหมือนไก่เห็นไข่พญานาคา เอ๊ย ไม่ใช่ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่นั่นแหละ

หลวงพ่อของเราจึงขออภัยนมัสการกราบเรียนว่า กระผมนั้นทราบดี แต่ทว่าลูกศิษย์ที่ติดตามมาล้วนเป็นนักบุญก็จริง แต่ยังมีความสงสัยจึงเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่จะต้องทำให้ข้อสงสัยข้องใจนั้นปรากฏความจริงออกมา หาได้มีจิตคิดจะลบหลู่ครูบาไม่ ท่านก็หัวเราะและอมยิ้ม กิริยามารยาทที่พระสุปฏิปันโนสององค์ท่าน

น้อมคารวะปฏิสันถารกันอย่างน่าจดจำไว้เป็นตัวอย่าง สร้างความประทับใจให้กับเหล่าศิษยานุศิษย์ยิ่งนัก เมื่อหลวงพ่อ ปฏิสันถารโต้ตอบกับท่านวัดน้ำบ่อหลวง จนกระทั่งท่านยอมรับแล้วว่า สำหรับท่านนั้น สังขารมันป่วย แต่ใจไม่ป่วย แล้วพวกเราต่างก็ชื่นอกชื่นใจได้ฟังสองท่าน ปุจฉา วิสัชนา กันจนสิ้นสงสัยชื่นอกชื่นใจ

แหมองค์ปุจฉาก็ฉลาดลึก ส่วนองค์วิสัชนาก็ฉลาดล้ำ บัวก็ไม่ช้ำ น้ำก็ไม่ขุ่น ผู้เห็นผู้ได้ยินได้ฟังต่างบังเกิดปีติ เมื่อสนทนากันเสร็จสิ้นกระบวนความแล้วก็ถึงพิธีการแจกเครื่องรางของขลัง สำหรับผมเองนั้นบอกแล้วไงครับว่า สมัยนั้นน่ะอยู่หางแถว ผมนั่งอยู่ไกลกว่าใครเขา ไม่ว่าใครจะมาจากไหน ท่านก็แจกพระรอดให้คนละองค์

ใครตื๊อดีก็ได้เพิ่มไปฝากลูกฝากหลานอีกคนละองค์สององค์ ผมนั้นตั้งจิตอธิษฐานว่าเครื่องรางของขลังนั้น กระผมอยากที่จะได้นำไปฝากพวกที่กำลังรบหนักอยู่ที่ชายแดน ผมมาเจ็บป่วยถูกยิงเสียก่อนทิ้งพวกทิ้งเพื่อนรบราอยู่ ไม่ได้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา จึงอยากจะได้เพื่อนำไปช่วยเป็นกำลังใจ เออแน่ะ ได้ผลแฮะ

พอผมเข้าไปรับปุ๊บ พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราว่าให้เองเลย ไอ้นี่มันเป็นนักรบอยากได้เครื่องรางไปให้พวกของมัน ขอให้มันเยอะๆ เถิดขอรับ พวกมันมีมาก ปรากฏว่ามีพระเหลืออยู่สิบกว่าองค์ ท่านก็ให้หมดและยังบอกว่าวันหลังมาเอาใหม่ พวกเราว่าหลวงพ่อของเราท่านรู้วาระจิตไหมขอรับ

ท่านวัดน้ำบ่อหลวงนั้น ก่อนหน้าที่พวกเราจะพากันไปนมัสการ ท่านป่วยเป็นมะเร็งหมดเขาให้นำกลับมาที่วัด จะได้ทำศพกันสะดวก แล้วท่านก็ตายไปจริงๆ ตายไปกี่วันผมจำไม่ได้ ดี๊ ที่เขาไม่จับท่านฉีดยากันเน่า ไม่อย่างนั้นท่านก็คงจะต้อง เน่าเพราะยา ดูเหมือนจะเป็นสามวันที่ท่านตายไปพอวันที่สามท่านก็ฟื้น โชคดีอีกที่เขาไม่เอาท่านใส่โลงปิดฝา

ไม่งั้นไม่ฟื้นดีกว่าเพราะจะต้องมาตายซ้ำเพราะขาดอากาศ ไปหาหนังสืออ่านเอาเองนะครับว่าตอนที่ท่านตายท่านไปเที่ยวที่ไหนมา มีพระหมอประสาน เหตระกูล ลูกศิษย์ของท่านเขียนเล่าไว้ละเอียดแล้ว ท่านที่ไม่เคยอ่านลองไปเที่ยวที่วัดน้ำบ่อหลวงแล้วไปดูเจดีย์ครอบพระพุทธบาทจำลอง

จะเห็นการจำลองพระจุฬามณี นรก สวรรค์ เพียบตามที่ท่านไปมาแล้วกลับมาสร้างเลียนแบบ มีการรับรองอย่างนี้แล้ว ท่านว่า นรก สวรรค์ พระจุฬามณี มีไหมครับ พวกเราจะไปดูของจริงก็ได้นะครับ มโนมยิทธิ ไง้ พ่อคุณแม่คุณ อยากเห็นปุ๊บ ได้ดูปั๊บ

พอวันหลังผมก็ไปหาท่านอีก ท่านก็ให้พระรอดมาถุงใหญ่ เรียกให้ไปเอาที่กุฏิ ได้พบได้คุยเป็นส่วนตัวอยู่นาน แหม ไม่เห็นคุยเรื่องอื่น ชมหลวงพ่อของเราตลอดเวลา ตักเตือนผม ให้หมั่นปฏิบัติธรรมและดูแลหลวงพ่อฯ ให้ดี ท่านว่าหลวงพ่อฯ ของเรานั้น ลาพุทธภูมิแล้ว และมีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งหลวงพ่อฯ ให้ผมไปขอ สังฆาฏิ จากท่านๆ ก็ไม่ขัดข้อง

ให้ไปรับที่กุฏิ ก่อนท่านจะมอบท่านก็ยกขึ้นบรรจบหลับตาอธิษฐาน ผม ก็ไม่ถามไถ่ ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นถ่ายหมับ ปรากฏว่าแฟล็ชช็อตร้อนวาบจนต้องโยนทิ้ง ทั้งกล้องทั้งแฟล็ช ท่านก็ลืมตาขึ้นมาแล้วร้องห้ามว่า เดี๋ยวจบก่อน พอท่านจบเสร็จท่านก็ว่า เอ้า ถ่ายได้แล้ว ลูกน้องผม ก็รายงานทันทีว่าถ่ายไม่ได้แล้วครับ

ท่านถามว่าทำไม เรียนท่านว่า พังครับ พังทั้งกล้องทั้งแฟล็ช ถามอีกว่า แพงไหม ตอบไปว่าไม่ทราบครับ (กล้องผมขอยืมเขาไปครับ แพงหรือไม่ผมจะไปรู้เหรอหลวงปู่) ท่านว่าอีกว่า ดูใหม่ซิ ผมก็เอามาลูบๆ คล้ำ ใจนั้นคิดว่าจะทำพอเป็นพิธีเพราะก่อนที่จะรายงานว่าพังนั้น เห็นว่ามันพังแล้วจริงๆ กลไกมันติดขัดไปหมดแล้วมันจะไม่พังได้อย่างไร

เอ๊ะ พอลูบๆ คลำๆ อ้าว ไหงไอ้บรรดากลไกต่างๆ กลับทำงานได้ตามปกติ (ตอนนั้นใช้แฟล็ชหลอด จานไหม้ไปนิดหนึ่ง ราคาไม่กี่สตางค์) เก่งจริงๆ หลวงปู่ฯ นี่ ถามอีกว่าห้อยพระอะไร ตอบท่านห้อยลูกแก้วราหู ของ หลวงปู่ชุ่ม ท่านก็ว่า ศักดิ์สิทธิ์นะแล้วเจ็บบ้างหรือเปล่า เรียนท่านว่า ไม่เจ็บแต่มือชาไปหมด ท่านขอดู

ลูบคลำ ไม่เสกไม่เป่าแพล็บเดียวก็หายเป็นปกติ ความจริงก่อนจะถ่ายรูปนั้น ผมอวดดีระแวงอยู่แล้วว่าจะต้องเจอดี เพราะเคยฟังคนรู้เขาเล่าถึงประสบการณ์แบบนี้กับพระที่ทรงอภิญญา แต่มันอยากลองดี แอบอธิษฐานกับลูกแก้วขอให้ช่วยคุ้มครองขณะลองดี แล้วก็เจอดีสมใจปรารถนา

แต่ว่าก็ว่าเถิดนะครับ ถ้าตอนนั้นผมไม่ยอมเสี่ยงก็คงจะไม่มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ จริงไหมขอรับ สังฆาฏิ ผืนที่ว่านี้ ยังมีเหลืออยู่ จะเอาไปสร้างพระ เก็บหอบหิ้วมา ๑๓ ปีแล้วนะจะบอกให้

หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร (วัดดอนมูล)


องค์นี้ภายหลังหลวงพ่อฯ ของเราเปิดเผยว่า เคยเป็นพี่ชายของท่านมาหลายชาติแล้ว ท่านเป็นคนใจบุญ ได้ทรัพย์ได้สมบัติมาเท่าใดก็ไม่สะสม เทออกทำบุญจนหมดสิ้น ทำบุญหมดตัวเหมือนท่าน มหาทุกขตะ ยังไงยังงั้น เพราะฉะนั้น เมื่อประสบพบกัน ทั้งสององค์ก็คุยกันโน่น เรื่องราวสมัย พระเจ้าพรหมมหาราช มีโต้มีเถียงกันบ้างเรื่องยุทธการสมัยนั้น

แล้วพวกผมจะไปรู้เรื่องเรอะ ตอนที่กำลังคุยกันเรื่องนี้ หลวงพ่อของเราท่านหันกลับมาพูดขอเวลานอกกับพวกเรา แล้วหันไปคุยรู้เรื่องกันเพียง ๒ องค์ ต่างก็แสดงทัศนะในเรื่อง รายละเอียดของมหายุทธวิธีในยุคที่ว่า หลวงปู่ว่าถ้าหลวงพ่อเชื่อท่าน ทำตามที่ท่านติดเหตุการณ์จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อฯ ก็ว่าท่านมีเหตุผลที่ดีกว่านั้น

ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างโน้น เอ้อ ดี รู้เรื่องกันเพียง ๒ คน ตาเถนเณรยายชีไม่มีใครรู้เรื่อง บางตอนหลวงพ่อฯ ก็หันมาถาม ท่าน พล.อ.ท. ม.ร.ว. เริม ศุขสวัสดิ์ ที่พวกเรามักจะเรียกท่านว่า ท่านเจ้ากรมเสริมหรือลุงเสริมฯ นั่นแหละ ท่านนี้หลวงพ่อฯ ว่าเป็นเพื่อนเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านมาทุกยุคทุกสมัย

สมัยนั้นหลวงปู่ฯ ท่านกำลังหนีคนไปสร้างวัดใหม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดเดิม ซึ่งเริ่มไม่สงบท่านเรียกว่า “วัดป่าดอนมูล” ผมเคยถามท่านว่าด้านหลังวัดอยู่ติดลำห้วย มีป่าอยู่นิดหน่อย ไหงหลวงปู่ตั้งชื่อเสียน่ากลัวว่าวัดป่า ท่านว่าป่าที่เอาเป็นชื่อวัดนั้นไม่ได้หมายความตามอย่างที่ผมเข้าใจ ท่านหมายถึงป่าช้าต่างหาก

เพราะเดิมที่ตรงนั้นเป็นป่าช้า เป็นอันว่าที่ท่านตั้งชื่อว่า ป่า ไม่ใช่เพื่อความขลัง ให้กับสถานที่ แต่ ได้ตัดคำว่า ช้า ออกไปเพราะเกรงว่ามันจะน่ากลัวเกินไปต่างหาก พอรู้แล้วผมก็หมดกังขาว่าเวลาวิกาลหลวงปู่ฯ ต้องได้ความสงบวิเวกอย่างเต็มที่ เพราะจำวัดอยู่ในป่าช้าไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนหรอก

และแล้ววันหนึ่งกรรมของผมก็มาถึง จำไม่ได้ว่าหลวงพ่อใช้ให้ไปหาเรื่องอะไร ก็ไปกันหลายคนกับน้องๆ นี่แหละครับ กำลังหนุ่มแน่น แทนที่จะรีบไปทำธุระให้หลวงพ่อ แวะโน่นแวะนี่ไม่เห็นเจ้าเห็นหลังคาบ้านเจ้าก็ชื่นใจแท้ เที่ยวกันจนดึกดื่นเลี้ยวควับเข้าไปที่วัดนอก กะนอนวัด ตาย...แล้วหลวงพี่ก็ไม่อยู่หลวงปู่ก็ไปจำวัดอยู่ที่ป่า

หาข่าวได้มาอีกว่ารุ่งขึ้นแต่เช้าหลวงปู่ก็จะไม่อยู่จะเข้ากรุงเทพฯ แต่มืดทำไงดี เอาละวาสู้ตายมากันหลายคนนี่หว่าจะไปกลัวอะไร เอ็ม ๑๖ ในรถก็มีหลายกระบอก ผมเป็นหัวหน้ารับผิดชอบอยู่แล้วใครๆ ก็เชื่อมือ หลับกรนครอกๆ กันทุกคน ผมก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาด้วยความชำนาญ ป่าจะมีอะไร ไม่พอมือพอขี้ยา

ป่าดงดิบกับระเบิด พ่อยังฝ่ามาเสียหลายสมรภูมิ ป่าใกล้ๆ แค่นี้ไม่พอมือพอตีน ขับอยู่นาน เอ๊ะ ไหงมันนานนักไม่ถึงเสียที มันน่าจะถึงตั้งนานแล้วนี่นา ง่วงก็ง่วง ??? รำคาญเสียงกรนก็รำคาญเพราะอยากจะนอนเต็มแก่เหมือนกัน แต่เอ๊ะ นั่นรอยรถบนถนนข้างหน้าทำไมมันถึงได้เหมือนกับรถเรา จอดลงไปดู จะไม่เหมือนได้ไง

มันก็คือรอยล้อรถของเราเอง ตาย..หลงว่ะ หลงทางรู้ไปถึงไหนอาย ตาย..พวกมันยังหลับไม่รู้ว่าเราพาหลงทาง จอดรถข้างทางคว้าปืนคว้าไฟฉายลงไปดูลู่ทาง มองไปแต่ไกลเห็นหลอดไฟแดงๆ สูงระดับยอดตาลอยู่ ๒ หลอดไม่ไกลนัก เออค่อยยังชั่วน่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่มนุษย์ทำขึ้น ถ้าไปที่ตรงนั้นก็คงจะได้พบคนจะได้ถามทาง

กลับมาขึ้นรถอีกคราวนี้ไม่ไปตามทางแล้ว เอาทิศทางจับทิศทางที่เห็นหลอดไฟแดงมุ่งตรงเข้าไปหา พอเข้าไปใกล้ เอาไฟหายไปอีกแล้ว ลงจากรถอีก ไฟฉายท่านก็ไม่เป็นใจเหลือไฟอยู่ริบหรี่ นี่ขนาดเป็นไฟฉายในรถของท่านนายพลเอกในอนาคตนะ (รถขอยืมไปจากท่าน พล.อ.ชวาล กาญจนกูล สมัยนั้นเป็น พ.อ.) เดินเข้าไปสำรวจ

เห็นลำตาลคู่ทะมึนอยู่ตรงหน้า คะเนว่าต้องเป็นเสาที่เขาแขวนหลอดสีแดงที่เห็นมาก่อน เดินเข้าห่างซัก ๕ วา เอาไฟฉายดู ใจหายแว้บ ไอ้เวร ไม่ใช่ลำตาลนี่หว่า ดูๆ มันคล้ายกับหน้าแข้งคน ถอยห่างมาอีก ๕ วา กลั้นใจส่องไฟฉายไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ กูว่าแล้ว เปรตโว้ย ยืนทะมึนนัยน์ตาแดงโร่คร่อมทางอยู่ตรงหน้า

โกยแน่บกลับมาที่รถแหกปากร้อง เรียกน้องๆ ให้ตื่น เปรตมันจะมาเหยียบกบาลพวกมึงแล้วไม่รู้หรือ ชุลมุนกันไปหมด นึกขึ้นมาได้สองมือประนมขอให้พระช่วย แล้วตัดสินใจหันหัวรถเอาไฟรถส่องดู อ้าวหายไปแล้ว เอ๊ะ แล้วไอ้ตรงที่ขามันยืนคร่อมอยู่ถัดออกไปหน่อยคือประตูเข้าวัดป่านั่นเอง รอดตายแล้วกู กระทืบคันเร่งเลี้ยวควั้บเข้าไปเลย

จอดลงตรงหน้ากุฏิ หลวงปู่ยิ้มเผล่รอรับอยู่ที่ระเบียบ ไอ้ทโมนทั้งสี่ตัวเผ่นผลุงเข้าไปในกุฏิ จับกลุ่มนั่งกอดเข่าตัวสั่นงันงก ไม่พูดไม่จากว่าจะตั้งสติได้จึงหันไปกราบหลวงปู่ ท่านถามว่าไปทำอะไรมา หนาวเหรอ หลวงปู่นะหลวงปู่แกล้งทำเป็นมาถาม ไม่เห็นเรอะ ขี้อยู่บนหัวขมองกันทุกคน คราวนี้ต่างคนก็ต่างอ้อนซิ คนโน้นก็เห็น กูเห็นมึงเห็น เห็นกันทุกคน

ชิงกันเล่าน้ำไหลไฟแลบ ตกลงนอนกันในกุฏิหลวงปู่ฯ กันทุกคน ภายหลังหลวงปู่ฯ ท่านก็เล่าให้หายสงสัยว่า ที่เห็นนั้นน่ะ ไม่ใช่เปรต แต่เป็นยักษ์ เอาเถิดครับหลวงปู่ไม่ว่าจะเป็นเปรตไม่เปรต พวกผมก็ไม่อยากได้ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ โปรดเอาคืนไปให้หมด ในส่วนลึกผมคิดเอาเองนะครับว่าหลวงปู่ฯ จะต้องมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นเป็นใจอย่างแน่นอน บางทีอาจจะเป็น ตัวการ ส่ง คุณตาแดง ตนนั้นออกไป ดัดสันดาน พวกผม

ครูบาบุญทึม พรหมเสโน (วัดจามเทวี)


ด้วยกายเนื้อ หลวงพ่อเคยนำพวกเราไปพบและนมัสการพระคุณเจ้าศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย องค์นี้มาแล้ว ๒ ครั้ง

ครั้งแรก ที่วัดจามเทวี หลังจากที่ไปนมัสการหลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร (วัดป่าดอนมูล) และได้รับคำแนะนำให้มาพบให้ได้ “เป็นพระเฉยๆ ไม่เอาไหน พระที่วัดก็ไม่มีใครรู้ ชาวบ้านก็ไม่รู้ แต่เป็นพระแท้ ไปหาให้พบให้ได้” หลวงปู่คำแสน เล่าพลางหัวเราะ หลวงพ่อฯ รีบพาพวกเราไปพบ

หลังจากนมัสการกราบลาหลวงปู่คำแสน ท่านเตือนมาก่อนแล้ว ผมจะไม่เล่าตอนนี้เพราะรายละเอียด “โกษา ป่อง” เล่าอย่างละเอียดเอาไว้แล้วในหนังสือเรื่องล่าพระอาจารย์
ครั้งที่ ๒ ที่วัดจามเทวี หลวงปู่ทึมฯ ได้นิมนต์หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก ศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นพระสุปฏิปันโนอีกองค์หนึ่งมาคอยรับอยู่ด้วย

ครั้งที่ ๓ ที่วัดพระธาตุจอมกิตติ พร้อมกับหลวงปู่ครูบาชุ่ม
ครั้งที่ ๔ รับนิมนต์หลวงพ่อของเรา ไปแจกพระเครื่องและผ้ายันต์ให้กับ ตชด. ที่ค่ายดารารัศมีพร้อมกับหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล (พวกเรารับท่านออกมาจากโรงพยาบาลเพราะหลวงปู่ท่านอยากจะมา)

ครั้งที่ ๕ ไปเยี่ยมหลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโกที่วัดวังมุยพร้อมกับหลวงพ่อ
ครั้งที่ ๖ หลวงพ่อพาพวกเราไปเยี่ยมหลวงปู่ ที่วัดนาเลียง พระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งทำให้พวกเราได้รู้จักหลวงปู่ครูบาวงษ์

หลวงปู่บุญทึม เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ชื่อว่าเป็น “พระสุปฏิปันโน” โดยแท้ เป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนาที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว หลวงพ่อของพวกเราเป็นองค์รับรองอย่างแข็งแรง และสุปฏิปันโนทุกๆ องค์ที่หลวงพ่อพาพวกเราไปนมัสการมา ก็รับรองเช่นนั้น...

ผมนั้นทั้งรักทั้งสงสารท่านเป็นนักหนา เมื่อเห็นท่านป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งในตับ เคยใช้กลอุบายต่างๆ นานาเพื่อที่จะให้ท่านอยู่กับพวกเรานานๆ แต่แล้วก็ไม่ไหว สงสารท่าน ปล่อยให้ท่านไม่ต้องทรมานสังขารจะดีกว่า ผมเคยเห็นท่านเรียกพระรอดมหาวันหรือพระเครื่องสมเด็จหรือของหลวงปู่ปาน ออกมาให้ดูหลายครั้งเหมือนกับแขกเล่นกล

ผมสนิทสนมกับท่านจนบางครั้งกล้าพูดเล่นหยอกล้อกัน เมื่อท่านทำให้ดูแล้วท่านก็กำชับผมนักหนาว่าอย่าไปเล่าให้ใครฟัง เขาจะหาว่าเอ็งบ้า เหมือนกับเรื่องยักษ์หรือเปรตที่วัดหลวงปู่คำแสน ก็กำชับไม่ให้ผมเล่าเช่นเดียวกันว่าเขาไม่เชื่อเขาจะหาว่าเราบ้า แต่บัดนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึง ๑๓ ปีแล้ว ผมก็เริ่มมีอายุมากแล้วอีกทั้งสุขภาพไม่ค่อยดี

ผมระลึกอยู่เสมอว่า ความตายไม่มีนิมิตหมาย วันเวลาล่วงเลยไป บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ ถ้าผมไม่บอกไม่เล่าเสียตอนนี้ถ้าผมตายไปแล้ว ใครเขาจะมารู้เรื่องเหล่านี้ กลับมาเรื่องหลวงปู่บุญทึมฯ ดีกว่า เรื่องราวของท่านก็พื้นๆ ไม่มีอะไรโลดโผนพิสดาร ในวัดท่านก็เป็นเพียงพระปลัดฯ ของท่านเจ้าคุณธรรมฯ เจ้าอาวาส นอกจากเครื่องอัฏฐบริขารแล้ว

หลวงปู่ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตนเองเลยก็ว่าได้ ท่านเคยเล่าให้ผมฟังสมัยท่าน ครูบาศรีวิชัย ดังๆ หลวงปู่ท่านยังเป็นเณรอยู่ทางภาคเหนือนี่เขาเรียกเณรว่า น้อย แต่พอโตเป็นพระกลับเรียกว่า ตุ๊เจ้า ถ้าเป็นที่เลื่อมใสเคารพสักการะก็เรียกว่า ครูบา สำหรับหลวงปู่ทึม พวกกระเหรี่ยงนับถือมาก

สมัยที่ยังหนุ่มแน่น ท่านก็ออกจาริกธุดงค์ไปทั่ว พะม่งพม่าท่านเดินไปมาหมด ท่านเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับจังหวัดลำพูนหรือเมืองหริภุญชัย เกี่ยวกับ พระนางจามเทวี มาจนถึงสมัยวัดจามเทวีเมื่อครั้งเจ้าจักรคำฯ มาบูรณะวัด เล่าถึงเชื้อสายของเจ้านายทางเหนือพระองค์ซึ่งเป็นพระภิกษุที่ทรงบุญญฤทธิ์บอกชื่อแซ่มาเสร็จ

ให้เหรียญมา ๑ เหรียญ พร้อมกับรอยขมิ้นประทับรอยเท้าบนผ้าขาวมา ๑ ผืน ไม่รู้ไปทำหายที่ไหน แถมยังจำชื่อท่านก็ไม่ได้ เชื่อว่า พี่แดง (พ.อ.ศรีพันธ์) น่าจะจำได้ เพราะท่านชอบประเภทกำลังภายในอยู่แล้วนี่ครับ ตอนที่หลวงปู่ป่วยมากใกล้จะตาย พวกเราเอาท่านไปไว้ที่โรงพยาบาลลำพูนอยู่ติดกับวัดนั่นแหละ เพราะพี่ชวาล (ท่านพล.อ.ชวาล กาญจนกูล)

ท่านมีพรรคพวกคอยดูแลอยู่ หลวงปู่นั้นป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ เรารู้ว่าท่านจะอยู่ได้ไม่นาน ก่อนหน้านั้น กะเหรี่ยงก็มาเอาท่านไปนอนรับการรักษาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ท่านก็ตั้งใจจะไปตายที่นั่น แต่ผมไปกราบเรียนท่านว่าพวกเราจะ ทอดกฐิน ที่วัดจามเทวี ท่านถึงยอมมารอรับกฐินอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนั้นท้องของท่านป่องเหมือนลูกบอลลูน

[color=brown]น้ำเต็มช่วงอกทำให้ปอดชื้นด้วย หมอเขาเอาเข็มแทงเจาะเอาน้ำออกได้วันสองวันก็ป่องขึ้นมาอีก เหมือนคนท้อง ๙ เดือน ท่านเคยเรียกผมเข้าไปพูดตรงๆ ว่า ท่านขอตายเถิดนะ ผมไม่ยอม ท่านเอามือผมเข้าไปกอดพูดไปหอบไปแต่หน้ายิ้มแย้มตาใสแจ๋วแฝงความจริงจังขอฝากผมเรื่องกฐินวัดจามเทวี ผมดึงมือของผมออกจากฝ่ามือหลวงปู่

และกราบเรียนท่านว่าเสียใจหลวงปู่ ถ้าหลวงปู่ตาย กฐินไม่มา ท่านทอดถอนใจมองหน้าผมตาแป๋วจนผมนั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ร่ำๆ จะใจอ่อนพูดว่า จะตายก็ตายเถิดครับ อย่าห่วงอย่าทรมานอยู่เลย แต่ในตอนนั้นผมยอมรับครับว่า โหดจริงๆ ผมนี่ ผมให้เอาเหรียญครูบาศรีวิชัยที่หลวงปู่ฯ แอบไปสร้างมาไว้ที่โรงพยาบาล

ขอร้องว่า ถ้าหลวงปู่ ฝากเหรียญชุดนี้มาให้ผม ขอพี่ชวาลฯ อย่าได้รับปาก เพราะผมทราบดีว่าเป็นเหรียญรุ่นสุดท้ายที่หลวงปู่สร้างเตรียมเอาไว้แจกงานกฐินและงานศพ ตอนหลังหลวงปู่เอาเหรียญชุดนี้ไปไว้ที่พระอุโบสถวัดจามเทวีให้พระที่วัดโยงสายสิญจน์มาที่เตียงที่ท่านนอนอาพาธ ปลุกเสกตลอดพรรษา เหรียญชุดนี้ตอนหลังท่านฝากพี่ชวาล เอามาให้ผม

พี่ชวาล แกล้งทำลืมที่ผมสั่งรับเอามา ซึ่งผมเองก็รู้ทันว่าพี่ชวาล คงทนสงสารหลวงปู่ไม่ไหว ยินยอมพร้อมใจให้ท่านพ้นจากความทรมาน ทั้งๆ ที่พี่ชวาลฯ ก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้ผมอาราธนาหลวงปู่ให้อยู่ต่ออย่าพึ่งทิ้งขันธ์ ๕ หลวงปู่ท่านพูดทำนองปรึกษาหารือกับผมว่าสังขารของท่านนั้นภายในมันเน่าหมดแล้วนะ ผมถามว่าแล้วหลวงปู่ทำอย่างไร

ท่านว่า ธาตุไฟก็เอาเตโชมาหล่อเลี้ยง ดินก็เอาปฐวี ที่เป็นน้ำก็เอาอาโป ที่เป็นลมก็เอาวาโย วิญญาณเอาอากาสะ ทุกอย่างเอากสิณมาหล่อไว้ ท่านว่านานไปคนเขาจะจับได้ ผมก็ย้อนถามท่านไปว่า แล้วหลวงปู่ถามพระบ้างไหม พระท่านว่าอย่างไร

ท่านว่า พระว่าแล้วแต่ปู่ ผมบอกว่าไม่เชื่อ หลวงปู่ขี้เกียจ หลวงปู่ว่าเปล่าไม่ได้ขี้เกียจ มันเหนื่อย กลัวบาป ผมก็เลยบอกว่า ถ้างั้นเป็นอันว่าเราปู่หลานไม่ได้พบกันจนกว่าจะถึงวันกฐิน ถ้าเสร็จรับกฐินแล้วแขกจากกรุงเทพฯ กลับหมดแล้ว นิมนต์ตายตามสบาย หลวงปู่พอฟังคำนี้นอนหลับตาไปเลย

ไม่รับปากแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ผมก็กลับกรุงเทพฯ ทันทีเหมือนกัน ในใจนั้นภาวนาขอพรพระ (ผมว่าพระนี่ขอได้โปรดเข้าใจนะครับว่าผมหมายถึง พระพุทธเจ้า) ขอฉันทานุมัติสั่งไม่ให้หลวงปู่ตาย แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ผมอยู่ที่วัดท่าซุง หลวงพ่อของเราเรียกผมเข้าไปหา ท่านว่า ไอ้เป๋ ปู่เอ็งมาหาข้าฯ เมื่อคืนที่แล้ว เอาไม่ไหวจะตายวันนี้

ฟังคำหลวงพ่อผมก็งงเหมือนโดนระเบิด แต่ก็ไม่นานจนเกินรอ พอตอนกลางวันโทรเลขด่วนจี๋จากพี่ชวาลก็มาถึงวัดท่าซุง หลวงปู่มรณภาพแล้ว ขนาดที่ผมรู้จากปากของหลวงพ่อของเรามาก่อน ผมยังทำใจไม่ได้ ระยะหลังผมเรียนรู้จากหลวงพ่อมากจนมีความรู้สึกกับความตายเหมือนกับเดินออกจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งเท่านั้น

และห้องใหม่ก็ดีกว่าห้องเก่าทุกทีไป คนที่สร้างความดีไม่เคยกลัวตาย คนกลัวตายเป็นผู้ที่ไม่แน่ใจว่าจะลงอเวจีมหานรกหรือไม่ ความตายนั้นสำหรับพระอรหันต์นั้นท่านปรารถนาทุกลมหายใจเข้าออก ท่านไม่ได้ห่วงอะไร เหมือนหลวงปู่ทึม ผมอยากจะถามทุกท่านที่กรุณาอ่านข้อเขียนของผมว่า

ท่านห่วงกฐินหรือ ท่านห่วงวัตถุเงินทองหรือ สมมุติอย่างท่านอย่างหลวงพ่อของเรา ท่านจะเอาเงินเอาทองไปทำอะไรส่วนตัว หรือว่าท่านอยากจะให้เราสร้างถาวรวัตถุจะได้สร้างชื่อเสียงของท่านว่าสร้างวัตถุใหญ่โตมโหฬาร ผมคิดของผมอย่างนี้นะ หลวงพ่อหลวงปู่มีหรือท่านจะไม่รู้ว่าไม่วัตถุอะไรในโลกนี้หรือโลกไหน มันย่อมจะอยู่ในกฎ

อนิจจัง ทุกขํ อนัตตา สมบัติใดๆ ไม่ว่าจะในโลกมนุษย์ ในสวรรค์ แม้ในชั้นพรหมก็ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์อันนี้ อย่างนั้นก็จะมีคนถาม ว่ากระนั้นแล้วจะไปสร้างเอาไว้ทำไม ผมว่าประการที่หนึ่ง ท่านต้องการให้เรารู้จัก จาคะ คือ ความเสียสละ หรือ ให้ รู้จัก ทานํ ทานหรือการให้ เพื่อเอาตัวนี้ไปตัดตัว โลภะ

ประการที่สองการที่เสียสละเพื่อตัดความโลภแล้ว ให้ยังประโยชน์แก่ตัวของผู้บริจาคถ้าพลาดพลั้งเขายังไม่บรรลุอรหัตผลของเหล่านี้ก็จะบังเกิดอยู่เป็นสวรรค์วิมานของเขา อยู่ในสุคติของเขา ในประการเดียวกันถ้าไม่ต้องบังเกิดในกามาวจรอีก ของเหล่านี้จรรโลงพระศาสนา ศิษย์ของพระตถาคตมีหน้าจรรโลงพระศาสนานี้

ไม่ว่า พระศาสดา จะเป็นพระองค์ใดก็ในกัปนี้เป็นหน้าที่ของ พระสมณโคดม ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ว่ากัปไหน พระพุทธเจ้าพระองค์ไหน เป็น พระพุทธศาสนา หรือไม่ พวกเราควรจะจรรโลงเอาไว้หรือไม่ ประการต่อไปมีบางท่านที่ปรารถนาพระพุทธภูมิ ย่อมจะต้อง บารมี น้อยสุดก็ต้องสิบทัศ หลวงพ่อหลวงปู่ ท่านไม่มาห่วงสมบัติเหล่านี้หรอกครับ

ท่านอยากลากเราเข้าไปเสวยโลกุตตรธรรมสมบัติมากกว่าน่ะ ในที่สุดหลวงปู่ฯ ก็ถึงกาลมรณภาพ พวกเราไปดูแลไม่ได้หลวงพ่อฯ มอบหมายให้พี่ชวาลดูแล เพราะพวกเราติดงานวัดฉลองวันครบรอบ ๑๐๐ ปี เกิดของหลวงปู่ปานปรมาจารย์ของพวกเรา เสร็จแล้วเราก็รวมสมัครพรรคพวกไปกัน งานศพของหลวงปู่ ไปทอดกฐินกันจนได้

ได้เงินเท่าใดผมไม่ทราบเพราะไม่ได้เป็นคนเก็บเงิน ทราบว่าในวันเผาศพของหลวงปู่ฯ มีทั้งพระทั้งคนมากมายจนเดินแทบจะไม่ได้ นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ก่อนหน้านั้น ผมยอมงัดเอาพระเครื่องสมบัติส่วนตัวของผมออกมาให้ทำบุญเพื่องานกฐินและงานศพของหลวงปู่ฯ เช่นพระรอดเณรจิ๋ว

หรือ ที่เซียนพระเขาเรียกกัน พระรอดครูบาศรีวิชัย พระชุดนี้นั้นหลวงปู่เป็นคนแกะพิมพ์เมื่อครั้งยังเป็นเณร ถวายให้ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย นำให้ครูบาศรีวิชัยปลุกเสก ราคาพระในตลาดตอนนั้นประมาณองค์ละ ๕๐๐ บาท ผมลงทุนทำกล่องเอง แล้วมอบให้กับที่บ้านสายลมออกให้บูชา จำนวนหลายร้อยองค์ๆ ละ ๕๐๐ บาท

พรึบเดียวหมด แถมด้วยพระรอดพรหมเสโนอีกหลายพันองค์ หลายพันพรึบยังไม่หมด ยังเหลืออยู่ที่บ้านสายลมทุกวันนี้ ราคาเท่าเดิมเท่ากับให้บูชาเมื่อ ๑๓ ปีก่อน บัดนี้หลวงปู่ได้มรณภาพลงแล้ว พวกเราอยากจะใช้คำว่า “นิพพานแล้ว” หลวงปู่บุญทึมฯ นิพพานแล้ว ปู่นิพพานแล้ว ปู่นิพพานแล้วครับ... อย่างโดดเดี่ยว

ไม่มีผู้ใดได้ทันเห็นใจท่านในวาระที่กายสังขารแตกดับ เพราะพวกเราต่างก็มีภาระมากมายระยะทางหรือก็ไกลกัน แม้จะไม่ประมาทในเรื่องของสังขารร่างกายว่าความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าวาระแตกดับแห่งกายสังขารของหลวงปู่จะรวดเร็วถึงปานฉะนี้...ก็พรรษาเพียง ๖๐ ปี

เปรียบเทียบกับบรรดาพระคุณเจ้าพระสุปฏิปันโนที่พวกได้เคยไปนมัสการมานับได้ว่าหลวงปู่พรรษาเยาว์กว่าทุกองค์ ก็แล้วนี่เมื่อถึงวาระ หลวงปู่ก็เดินทางล่วงหน้าไปสู่แดนพระนฤพานแล้วแต่เพียงองค์เดียว... ที่เหลือไว้ก็คือซากกายสังขารที่ยังรอให้พวกเราดำเนินการ และเรื่องราวแต่หนหลังอันเป็นอนุสรณ์แห่งคุณความดีอนุสรณ์แห่งความเป็นผู้ให้

ผู้แจก แจกยัน...แจกทั้งวัตถุ แจกทั้งบุญกุศล หลวงปู่ช่างเป็นผู้ให้เสียจริงๆ แจกเป็นกอบเป็นกำเป็นถุง เรื่องลาภเรื่องยศสักการะไม่เอาไหนสักอย่าง เกิดมาเพื่อให้ประการเดียว แบบฉบับเดียวกันกับหลวงพ่อของพวกเรา... “ทำเป็นตีหน้าเซ่อ...ทีจริงละก็ตัวร้ายกาจเชียวละ”

หลวงพ่อเล่าพลางหัวเราะ “มิน่าเล่า สมเด็จฯ จึงทรงสั่งนักหนาว่า เดินทางไปทางภาคเหนือต้องไปพบพระที่ชื่อทิมฯ ให้ได้” (ทิม เป็นสำเนียงทางภาคกลาง สำเนียงทางภาคเหนือออกเสียง ทึม หรือ ทืม) ความตายแม้จะไม่มีนิมิตเครื่องหมาย แต่ก่อนหน้าที่กายสังขารของหลวงปู่จะแตกดับนั้น

มีสิ่งบอกเหตุอยู่หลายประการ เพียงแต่ว่าไม่มีใครสังเกตหรือคอยจับตาดู ใครจับทันหลวงปู่ได้ก็นับว่าเป็นยอดแห่งยุค พ้นจากหลวงพ่อแล้วคนอื่นเห็นที่จะไล่ทันยาก ขนาดหลวงพ่อยังไล่กันเสียแทบตาย ทุกขเวทนาจากอาการอาพาธกำเริบหนักหนาแต่หลวงปู่ก็ไม่เคยปริปากบ่น

ยิ่งเป็นระยะที่พวกเราทั้งหลายกำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมงานครบรอบร้อยปีเกิดหลวงปู่ปาน หลวงปู่กลับแสดงอาการให้เห็นว่าไม่น่าต้องเป็นห่วง ปรากฏอาการทางร่างกายให้เห็นเป็นว่าทุเลาลงแล้ว การแสดงออกภายนอกของท่านเป็นลักษณะพิเศษประจำตัวของท่านคือทำไม่รู้ไม่ชี้ตีหน้าตาย

เมื่อพวกเราถามท่านว่าจะอยู่จนถึงวันรับกฐินไหม ท่านก็ว่าจะพยายามอยู่ เมื่อเคี่ยวเข็ญให้ท่านฉันโอสถท่านก็ฉันให้ตามใจพวกเรา พวกเราว่าหลวงปู่หายนะ ท่านว่าหายก็หาย แต่พอพวกเราเผลอหลวงปู่ไม่ฉันเสียแล้ว ไม่ฉันทั้งอาหารทั้งโอสถ ระหว่างอาพาธอยู่อย่างหนักทุกขเวทนากำเริบหนักถึงเข้าขั้นตรีทูต ๒ ครั้ง

ก็ฝืนกลับมาทรงอาการอยู่ ไม่เคยร่ำร้องไม่เคยบ่นไม่เคยทุรนทุรายในเมื่อทุกขเวทนากำเริบ อย่างมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นก็เพียงเอามือตบที่หลังร้องบอกว่าอึดอัด พวกเรามาทราบกันภายหลังว่าอวัยวะภายในของหลวงปู่ท่านแทบจะไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว มันเน่าไปหมดด้วยโรคมะเร็งที่ตับ

ศรัทธาทายกทายิกาไปเยี่ยมท่านก็ไม่เคยแสดงอาการเบื่อหน่าย ลุกขึ้นนั่งรับได้ก็จับลุก ลุกไม่ไหวเขาไม่ยอมให้ลุกก็นอนยิ้มอยู่บนเตียง สังขารแม้อ่อนระโหยโรยแรงร่างกายซูบซีดเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ประกายตายังคงใสสด แวววาว บริสุทธิ์ และเจิดจ้า ตาพระอริยะ พระอรหันต์เป็นอย่างนี้นี่เอง

อายุขัยแห่งสังขารของหลวงปู่บุญทึมฯ หมดสิ้นลงไปนานแล้ว หลวงปู่ครูบาธรรมชัยฯ สุปฏิปันโนอีกองค์หนึ่งซึ่งพวกเรารู้จักท่านดีได้พยากรณ์ เมื่อตอนที่ พ.อ.ชวาล ไปนิมนต์ให้ท่านรับรักษาให้หลวงปู่ทึม อาการอาพาธของหลวงปู่ทึมนี้หลวงปู่ครูบาธรรมชัยซึ่งเคยรักษาหลวงปู่ครูบาอินทจักรรักษาวัดน้ำบ่อหลวง

เมื่อครั้งอาพาธเป็นมะเร็งที่กระดูกสันหลังจนแพทย์ขอให้กลับมาตายที่วัด และหลวงปู่ครูบาธรรมชัยฯ รักษาจนหาย ไม่รับรองว่าจะหาย แลได้พยากรณ์เพิ่มเติมอีกว่าสำหรับหลวงปู่ทึมฯ วันเสาร์เป็นวันอุบัติเหตุและวันอาทิตย์เป็นวันมรณะ

ต่อมาในวันเสาร์ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๘ หลวงปู่ทึมหงายหลังศีรษะฟาดขอบเตียง และนิพพานในวันอาทิตย์รุ่งขึ้น ตรงตามคำพยากรณ์ทุกประการ...เล่ามาถึงตรงนี้ น่าคิดไหมว่าก็ในเมื่ออายุขัยท่านหมดลงนานแล้ว แต่ที่ท่านยอมทนรับทุกขเวทนาจากความอาพาธแห่งกายสังขารรอจนมามรณภาพเอาเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๑๘ นั้น เพราะอะไรหนอ..

“มันเป็นกรรมเก่าของปู่” หลวงปู่เล่าพลางยิ้มเห็นฟันหลอ มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที แล้วตีหน้าเหรอหราตามแบบฉบับ “วัดจามเทวีนี้กษัตริย์ทรงสร้าง เป็นพระอารามหลวงรุ่งเรืองมาแต่อดีตครั้งสมัยพระนางจามเทวี ปฐมบรมกษัตรีแห่งนครหริภุญชัย

ตกมาถึงสมัยครูบาเจ้าศรีวิชัยหมู่ศรัทธาทายกทายิกามีเจ้าจักรคำ ขจรศักดิ์เจ้าผู้ครองนครนครลำพูนเป็นหัวหน้าก็ได้ไปนิมนต์ครูบาเจ้าฯ มาช่วยบูรณะซ่อมแซมพระวิหาร สร้างองค์พระประธานและซ่อมกำพงรอบวัด งานแล้วเสี้ยวพรรษา ครูบาเจ้าฯ ป่วยก็มาป่วยอยู่นี่ หมู่ทายกทายิกามาเชิญไปบ้านปาง ตายที่นั่น มาเผาศพที่นี่ อยู่นั่นไงอัฐิครูบา”

หลวงปู่ชี้มือไปทางพระสถูปอันเป็นอนุสรณ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยซึ่งบรรจุอัฐิเอาไว้ นี่ หีบศพ หลวงปู่หันไปชี้ที่หีบบรรจุศพครูบาเจ้าฯ ตามบันทึกพวกเราพอจะทราบกันมาแล้วว่า วัดจามเทวีแห่งนี้เป็นวัดที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยรักมากที่สุด หลังจากครูบาเจ้ามรณภาพแล้วได้ ๓ ปี ได้เชิญศพมาตั้งไว้ที่วัดจามเทวี

เพื่อรอให้บรรดาศิษยานุศิษย์ได้มีโอกาสเดินทางมานมัสการได้อย่างทั่วถึงเป็นเวลาอีก ๔ ปี และก็ที่วัดจามเทวีแห่งนี้นี่เองที่ใช้เป็นสถานที่ประชุมเพลิงถวายครูบาเจ้าศรีวิชัยฯ... “ทั้งครูบาเจ้าฯ และหมู่ทายกทายิกาได้ไว้วางใจให้ปู่เป็นผู้ดูแลวัดนี้สืบต่อมา แต่ปู่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำไม่ได้มาก เราเป็นพระธรรมดาๆ ยศศักดิ์หรือก็ไม่มี

เขาให้เป็นรองเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสก็ดีอยู่นะ แต่พูดไปก็พูดยาก วัดก็ยังทรุดโทรมอยู่ นี่โบสถ์ก็ยังสร้างไม่แล้ว ยังต้องใช้เงินอีกมาก หน้าบันอุโบสถเป็นไม้สักแกะลายลงรักปิดทอง ใช้ไม้หนาสามนิ้วแกะ เอาไปจ้างครูบาวงษ์ฯ ทำให้ ปู่เสี้ยงเงินไปสองหมื่นป่ายตุ๊วงษ์ฯ ท่าจะเสี้ยงหลายเสี้ยงสี่หมื่นมั้ง?”

มุขตลกเด็ดขาดของหลวงปู่ก็คือเรื่องหน้าบันพระอุโบสถท่านเอาไปจ้างครูบาวงษ์แกะด้วยไม้หนาสามนิ้วลงรักปิดทอง หลวงปู่ผู้ว่าจ้างหมดเงินไปสองหมื่นบาทเศษ แต่หลวงปู่ครูบาวงษ์ผู้รับจ้างขาดทุนไปอีกสี่หมื่นบาทเศษ นับตั้งแต่พบกับหลวงพ่อเป็นต้นมาแล้ว หลวงปู่ดูสดใสและกำลังใจดีขึ้น งานเพิ่มขึ้น มีคนไปรบกวนมากขึ้น

แต่เป็นสุขมากขึ้นที่ได้เห็นศรัทธาของบรรดาลูกหลานที่มีต่อพระศาสนาและต่อสาวกขององค์สมเด็จพระศาสดาฯ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจะได้ยินหลวงปู่พูดถึงหลวงพ่อฯ เสมอๆ เป็นต้นว่า “เออนี่! หลวงพ่อมหาวีระนี่นะเป็นพระดีนะ เป็นพระแม้จะเป็นพระโพธิสัตว์ ทำบารมีมามากแล้วบารมีล้นเหลือ

มาเลิกละเสียจะไปนิพพานในชาตินี้ ลำบากมาก หนักแรงเอาการ บริวารติดตามมีมากต้องเป็นภาระขนไปให้หมด เยอะแยะเหลือเกิน ยังจะมีมาอีก จะตายก็ตายไม่ได้ เป็นหนี้เขามามากจะเกาะพะรุงพะรังไปหมด สบายไม่ได้ เอ้อ..สงเคราะห์ให้เป็นเทวดาไปก่อนก็ยังดี ทันฟังเทศน์พระศรีอาริย์”

เมื่อพวกเราขอร้องให้หลวงปู่ช่วยหลวงพ่อบ้าง หลวงปู่ก็ยิ้มตามแบบฉบับเช่นเคย พยักหน้าแล้วก็ว่า “ลูกหลานทั้งนั้น เรื่องมันยาว มันเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน พูดมากก็ไม่ดี คนไม่รู้หาว่าบ้า???” “ได้มาพบกับหลวงพ่อมหาวีระมีทายกทายิกาลูกศิษย์ลูกหลานมากมาย นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลพระศาสนาและวัดจามเทวีก็คงจะได้รุ่งเรืองต่อไป

ศิษย์มหาวีระศรัทธาจริงๆ ศรัทธาแก่กล้า นักบุญจริงๆ” หลวงปู่เล่าด้วยประกายตาที่สดใส แล้วพูดต่อไปเหมือนกับจะพูดกับตนเอง “สังขารมันเป็นของไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นอนิจจัง ทุกขังเป็นอนัตตา จะตายก็ให้มันตายไป ไม่สนใจมันเสียอย่างตายก็ช่างมัน” น้ำเสียงของหลวงปู่ฯ ตอนนี้เด็ดเดี่ยวจนพวกเราที่ได้ยินขนลุกซู่

“ศิษย์หลวงพ่อมหาวีระต้องสร้างศรัทธาให้ดีๆ นะ หลวงพ่อมหาวีระอยู่ได้ด้วยอำนาจบุญอำนาจแห่งศรัทธาของลูกศิษย์ลูกหา ไม่งั้นจะหนีตาย จะหนีเข้าป่า อย่างทิ้งกันนะ อย่างทิ้งกัน วัดสองสามวัดนี้อย่างทิ้งกันนะ” ในตอนเช้าของวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๑๘ อันเป็นวันมรณภาพ หลวงปู่ได้ฉีกผ้ากาสาวพัสตร์ที่ใช้ห่มใช้ครองอยู่

ออกแจกบรรดาศิษย์และญาติโยมที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดสักคนที่จะเกิดเอะใจหรือเฉลียวใจ เพราะเมื่อก่อนหน้านี้หลวงปู่ก็ได้สละสังฆาฏิ อันเป็นผ้าที่หมู่ทายกทายิกาถวายเป็นผ้าพระกฐินปีที่แล้วให้มาตัดจำหน่ายจ่ายแจกในงานที่วัดท่าซุง ตอนที่จะมองสังฆาฏิ ท่านลุกขึ้นมาบรรจงเซ็นชื่อ

และอธิบายว่าชื่อที่เซ็นเป็นภาษาไทยลานนาอ่านว่า “ชัยเสนภิกษุ” เป็นสมญานามของท่านที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยตั้งให้ ก่อนเที่ยงของวันที่มรณภาพ พ.อ.ชวาล ซึ่งไปดูแลและให้การรักษาพยาบาลท่านเช่นเคยได้ขอร้องให้ท่านฉันอาหารอ่อนและโอสถบ้าง แต่...หลวงปู่ปฏิเสธและกลับขอให้ประคองท่านลุกขึ้นนั่งในท่าสมาธิ

หลวงปู่นั่งทำสมาธิอยู่สักครู่หนึ่ง ร่างกายของท่านก็มีปรากฏอาการสะอึกแรงและถี่ พ.อ.ชวาลจึงค่อยๆ ประคองร่างกายของท่านลงนอนราบลงบนเตียง หลวงปู่ลืมตาขึ้นถามว่าเอาท่านลงนอนทำไม เมื่อรับคำอธิบายว่านั่งแล้วมีอาการสะอึกท่านก็ยิ้มแต่ไม่ว่ากระไร นอนตะแคงข้างทำสมาธิในท่าสีหไสยาสน์และนิ่งอยู่นานร่างกายไม่มีอาการทุรนทุรายและไม่มีอาการสะอึก

นั่งเงียบไปจนกระทั่ง พ.อ.ชวาล เข้าใจว่าท่านนอนหลับพักผ่อน จึงได้นมัสการกราบลาเนื่องจากมีนัดหมายจะต้องรีบไปรักษาหลวงปู่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋ง ๑๔.๔๐ วันนั้นเอง หลวงปู่ครูบาบุญทึม พรหมเสโน หรือ ชัยเสนภิกขุ สาวกขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ผู้ชนะแล้วซึ่งกิเลสทั้งสิ้นปวง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระสุปฏิปันโนโดยแท้ก็ได้พ้นจากอำนาจความทรมานแห่งขันธมารโดยสิ้นเชิง

ครูบาชุ่ม โพธิโก (วัดวังมุย)


พวกเราได้พบกับหลวงปู่ครูบาชุ่มก็เพราะครั้งหนึ่งเมื่อหลวงพ่อฯ พาพวกเราไปนมัสการหลวงปู่ทึมปรากฏว่าหลวงปู่ทึมไปนิมนต์หลวงปู่ชุ่ม มารอรับพวกเราด้วย เห็นไหมครับปฏิปทาพระสุปฏิปันโน ไม่มีหวงลูกศิษย์ ไม่กลัวว่าจะถูกแย่งลาภสักการะ อะไรๆ ที่คิดว่าดีท่านจะสรรหามาให้ลูกศิษย์

หลวงปู่ชุ่ม ท่านเป็นศิษย์ครูบาศรีวิชัยฯ รุ่นพี่ของหลวงปู่ทึม เมื่อสิ้นบุญครูบาศรีวิชัยฯ แล้วหลวงปู่ทึมได้โลงศพ หลวงปู่ชุ่มได้ไม้เท้ากับพัดขนนก ท่านเดินตามรอยเท้าของครูบาอาจารย์มาโดยตลอด ถนนทางขึ้นพระธาตุดอยตุงสมัยโน้นเป็นทางเท้า หลวงปู่ชุ่มนี่แหละที่ไปนั่งหนักเอาคนเมือง คนดอยมาช่วยกันกรุยถนน จนเป็นทางรถยนต์ขึ้นได้ถึงยอดดอย

โดยรัฐบาลไม่ต้องออกสตางค์สักบาทหนึ่ง บนพระธาตุมองไปด้านหลังจะเป็นหน้าผาสูงชันแบ่งเขตไทยกับคู่ต่อสู้สมัยดึกดำบรรพ์ก็พม่านั่นไงล่ะ หลวงพ่อของเราเคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหาทุนให้กรมศิลปากร เปลี่ยนฉัตรทองยอดพระธาตุซึ่งเดิมชำรุดเสียใหม่ และท่านก็ไปทำพิธีบวงสรวงให้ด้วย เหนือ – ใต้ – ออก – ตก

การใดเพื่อชาติ การใดเพื่อพระพุทธศาสนา การใดเพื่อพระมหากษัตริย์ หลวงพ่อของเราด้นดั้นฝ่าฟันไปมาหมด บางครั้งก็หลายรอบจนกว่าภาระจะเสร็จสิ้น นิวาสถานบ้านเดิมของหลวงปู่ชุ่ม ท่านอยู่ที่บ้านวังมุย อันคำว่ามุยนั้นเป็นภาษาทางเหนือแปลว่าขวาน ส่วนวังนั้นแปลว่า ชุม หรือ แหล่ง เมื่อรวมกันแล้วไม่ทราบว่าจะแปลว่าอย่างไรดี

จะแปลว่าบ้านที่มีขวานขายเยอะก็แปลได้ เพราะอาจจะเป็นหมู่บ้านที่ประชาชนทำขวานขายมากมายก็อาจจะเป็นได้ ดูเข้าท่าเพราะถ้าแปลว่าชุมก็น่าจะแปลว่าเป็นหมู่บ้านขวานชุม ตรงและใกล้เคียงกับคำแปลในตอนแรก แต่เมื่อสอบถามหลวงปู่แล้ว ท่านว่าไม่ใช่หรอก สมัยก่อนคนบ้านท่านดุมาก มีทั้งนักเลงและไม่นักเลง แต่เป็นอันธพาล

และไม่ว่าเป็นนักเลงหรือไม่นักเลง ไม่ว่าอันธพาลหรือไม่อันธพาลก็เป็นคนดุทุกคน ทั้งหมู่บ้านชอบทำขวานและขอบพกขวานเป็นอาวุธในการเข้าต่อสู้ตะลุมบอนกันไม่ว่าจะเป็นตัวต่อตัว หรือหลายตัวต่อหลายตัว หรือหลายตัวต่อตัว เขาถึงเรียกว่า หมู่บ้านวังมุย ท่านยังเล่าให้ผมฟังด้วยนะครับว่า

ผู้หญิงบ้านวังมุย สวยกว่าผู้หญิงบ้านอื่นๆ ในละแวกใกล้และไกล สมัยที่พวกเราไปคนบ้านวังมุยไม่ดุแล้วครับ แต่หลวงปู่ท่านว่าเขาเลิกดุก่อนหน้านั้นแล้วเพราะท่านเสกเครื่องรางของขลังให้ใช้ มันตีมันฟันกันเท่าไรๆ ก็ไม่ยักกะถึงตาย หนักเข้าก็เบื่อละซีครับ ตีกันฟันกันแล้วไม่มีใครตายมันก็เหนื่อยมากซิครับ ไม่รู้จักจบจักสิ้น

พอเลิกตีกันฟันกันมันก็มีเวลามากขึ้น เริ่มเข้าหาวัด หลวงปู่ก็ได้โอกาสเทศน์สั่งสอน ฟังธรรมะบ่อยๆ เข้าจิตใจก็อ่อนโยนเยือกเย็น ทีแรกผมก็ไม่เชื่อหลวงปู่หรอกครับ แต่เมื่อครั้งที่เอา ต.ช.ด. ไปดูแลไม่ให้ใครไปรบกวนเมื่อครั้งที่หลวงปู่ เข้านิโรธสมาบัติ ตามคำอาราธนาของหลวงพ่อของเราก็เห็นจริงตามนั้น

พอพูดถึงคำว่านิโรธสมาบัติแล้ว เชื่อว่ามีคนสนใจอยากจะรู้เรื่องราว ครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ (ประมาณ ๑๐ กว่าปี เท่านั้นเอง) หลวงพ่อท่านเทศน์ถึงอำนาจแห่งบุญที่พวกเราจะได้รับหากได้ทำบุญกับพระอริยบุคคลที่เพิ่งจะออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ว่าจะมีอานิสงส์เพียงใด ท่านจึงได้อาราธนานิมนต์หลวงปู่ให้ทำตามนั้น และในวันที่หลวงปู่ออกจากนิโรธสมาบัติ

หลวงพ่อของเราท่านก็ได้นัดหมายให้พวกเราพากันไปทำบุญ เช้าวันนั้นหลวงพ่อจะให้หลวงปู่ออกไปรับคณะที่วัดดอนมูลเพราะเห็นทีรถจะเข้ามาไม่ได้ เนื่องจากฝนตกหนัก คืนก่อนที่พวกเราจะมาทำบุญ เมื่อหลวงปู่หันมาหารือผม ผมก็ไม่มีความเห็นแต่รายงานไปว่าขณะนี้รถเข้าได้แล้ว หลวงปู่ก็ว่าอย่างนั้นปู่ไม่ออกไปให้หลวงพ่อเข้ามา

หลวงพ่อก็ส่งข่าวมาอีกว่า ถ้าหลวงปู่ไม่รีบออกไป คณะหลวงพ่อก็จะพากันกลับ ผมก็คลานเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่อ้อนวอนหลวงปู่ออกไปเถิดครับ อ้าวหลวงปู่สั่นหัวบอกว่า หลวงปู่ไม่ออกไปเดี๋ยวหลวงพ่อเข้ามา อ้าว! นั่นผมตาฝาดหรืออย่างไร รถหลวงพ่อมาแล้ว

เอาร่มเอาผ้าไปต้อนรับเร็วๆ เข้า เอ้า! ไปบอกกระเหรี่ยงกับกระหร่างว่าไม่ต้องร้องงอแงแล้ว พ่อมาแล้ว พอหลวงพ่อลงจากรถก็เข้าไปกราบ น้ำไหลพรากๆ ดีใจ เฮ้อ เป็นอันว่าแฮบปี้เอนดิ้งขอรับ ทุกคนได้ทำบุญทำทานสมใจอยาก ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคนเลย แหม! อยากจะเล่าซ้ำนะครับ น่าชื่นใจน่าปลื้มใจจริงๆ

เสลี่ยงหามหลวงปู่เราเตรียมกระเหรี่ยงเอาไว้ให้หาม กระเหรี่ยงก็กระเหรี่ยงเถิดครับ ถูกกระหร่างผลักกระเด็นหมด แย่งเอาไปหามกันเอง ดีไม่ไปแย่งฆ้องแย่งกลองเข้ามาล่อเอง ผู้คนหลามไหลกันเข้า สาดเงินสาดธนบัตรเข้ามาที่ตักที่เท้าของหลวงปู่ ที่เข้ามาใกล้ไม่ได้ก็ใช้วิธีโยนเอา

เงินทองหกเรี่ยหกราด ต.ช.ด.ลูกน้องของผมก็เก็บก็กวาดเข้ากระสอบ แค่โกยเงินเข้ากระสอบก็เหงื่อไหลไคลย้อยหอบแฮ่กๆ หลวงปู่ชุ่มนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัยฯ เมื่อเริ่มแรกทีพวกเราไปนมัสการท่าน ท่านจะแจกเครื่องรางของขลังประเภท พระรอด ตะกรุดเหน็บ ตะกรุดหนัง (ลูกวัวตายในท้อง) และตะกรุดปรอท

พระรอดที่ว่าพวกนักเลงพระเรียกกันว่า “รอดเณรจิ๋ว” เป็นพระรอดที่หลวงปู่บุญทึม ออกแบบและสร้าง ถวายให้หลวงปู่ชุ่ม แล้วหลวงปู่ชุ่มก็ถวายให้หลวงปู่ครูบาศรีวิชัยปลุกเสก ท่านเก็บเอาไว้นานเหมือนกับจะรอพวกเรา ผมเห็นท่านเก็บเอาไว้ในบาตร ฝุ่นหนาปึ๊ก เมื่อจะเอามาแจกพวกเราท่านเอาน้ำล้าง พวกที่นิยมของเก่าโวยวายเพราะหลวงปู่ท่านไม่เข้าใจ

ท่านเห็นว่ามันสกปรกท่านก็ล้างเพราะกลัวลูกศิษย์ชาวกรุงเทพฯ จะรังเกียจ ตอนหลังผมจึงไปอธิบายให้ท่านทราบ จะล้างก็ไม่ขัดคอหรอกครับ เขย่าๆ พอสังเขปก็พอ ท่านก็เชื่อ พระชุดปัจจุบันไม่เหลืออยู่วัดแม้แต่องค์เดียว ผมรับรอง เพราะตอนหลังผมเอามา ให้กับวัดจามเทวีจนหมด ตามที่เล่าให้ฟังไปแล้วตอนหลวงปู่ทึม

ตะกรุดหนังลูกวัวก็เหมือนกับตะกรุดปรอทเป็นเครื่องรางเฉพาะตัวของท่านเอง ท่านได้ตำรามาจากใครผมจำไม่ได้ ทีนี้หลวงปู่ท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า อาจารย์ของท่านนั้นเก่งเหลือหลายเก่งกว่าลูกศิษย์อย่างท่านมากมายนัก ท่านทำได้แค่ซัดปรอทให้แข็งตัวทำเป็นตะกรุดปรอท

แต่พระอาจารย์ของท่านนั้นเก่งเหนือไปกว่านั้นซัดต่อจากปรอทจนกลายเป็นแก้ว ถ้าเป็นตัวเมียจะมีรูเรียกว่า แก้วราหู แต่ตัวผู้ผมจำไม่ได้ว่าท่านเรียกว่าอย่างไร ใครรู้และจำได้ช่วยบอกที ท่านได้รับมรดกมา ๓ ลูก เป็นตัวผู้ใหญ่ ๒ ลูก ตัวเมีย ๑ ลูก ใหญ่สุดท่านถวายพระเจ้าอยู่หัว รองลงมาท่านถวายหลวงพ่อของเรา ลูกเล็กสุดท่านให้ใครผมไม่บอก

แต่ลูกสุดท้ายกลับคืนไปอยู่กับครูบาอาจารย์แล้ว ลูกแก้วนี้เมื่อหลวงพ่อของเราได้มาแล้วก็เป็นที่สุดหมายปองของบรรดาเหล่าศิษย์ หลวงพ่อจึงได้ทำจำลองแจกต่อมาก็มีการสั่งลูกแล้วเจียระไนมาให้หลวงพ่อทำพิธีปลุกเสก เราจึงมีแก้วมณีรัตนะไว้บูชากันทุกคน นับเป็นมหากรุณาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 4/12/11 at 13:02

24

หลวงพ่อกับเหตุการณ์ ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๑๘ – ๒๕๒๐


พล.ต.อ. น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน


ในปัจจุบันนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ “พระราชพรหมยาน” มีอายุมากแล้ว และสุขภาพของท่านก็ไม่ค่อยดี อย่างที่ท่านได้แสดงธรรมให้พวกเราเห็นบ่อยๆ เรื่องมรณานุสสติ การแสดงธรรมของท่านมีหลายครั้งที่ทำให้พวกเราตกใจ จนต้องปล่อยน้ำตาออกมากันก็หลายหน แต่ก็โดยธรรมอีกนั่นแหละ หากยังไม่ถึงวาระที่จะต้องดับขันธ์ (ตาย) แล้ว

แม้จะมีอาการหนักขนาดไหน มีทุกขเวทนาปานใดก็ยังตายไม่ได้ ร่างกายยังจะต้องอยู่เพื่อทำหน้าที่ของท่านให้หมดก่อน แต่เมื่อถึงวาระแล้วก็ไม่มีอะไรมาห้ามร่างกายท่านได้อีก (หมดหน้าที่ของท่าน) ที่ผมเขียนอย่างนี้ก็เพราะว่า อายุขัยของหลวงพ่อจริงๆ มีเพียงแค่ ๒๗ ปี และไม่ยอมต่ออายุ ทั้งๆ ที่หลวงปู่ปานท่านเตือนเพื่อจะต่ออายุให้ ท่านก็ไม่เอา

แต่ในที่สุดก็เสียท่าหลวงปู่ โดยหลวงปู่ให้ยกปลาไปปล่อยที่แม่น้ำ เพราะหลวงปู่แก่แล้วยกไม่ไหว นั่นแหละจึงได้มีอายุยืนยาวต่อมาอีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้นองค์สมเด็จท่านก็เมตตาต่อให้อีกเพราะงานที่พระองค์มอบหมายให้ทำยังไม่เสร็จ และต่อมาเรื่อยๆ จนหลวงพ่อท่านไม่สนใจว่าร่างกายมันจะพังเมื่อใด คือเมื่อใดก็เมื่อนั่น เพราะท่านพร้อมตายอยู่แล้วทุกขณะจิต

และท่านก็เตือนพวกเรา ไม่ให้ประมาทในความตาย ให้คิดถึงความตายไว้ทุกวันอย่างน้อยวันละ ๒ หน คือ ตอนตื่นนอน กับตอนก่อนจะนอนกลางคืน ส่วนผู้ใดจะนึกถึงความตายมากกว่านี้ก็เป็นความดีของผู้นั้น ท่านให้อุบายในการปฏิบัติหลายๆ อย่าง สุดแต่สภาพจิต หรือสภาวะจิตของผู้รับฟังในขณะนั้น จะพร้อมรับได้แค่ไหน และอย่างไร

สำหรับส่วนตัวผมประทับใจในอุบายที่ท่านสอนมีความโดยย่อว่า ให้รู้ลมหายใจเข้า และออกไว้ตลอดเวลาในทุกอิริยาบถ เพราะผู้ใดรู้ลมหายใจเข้า และออกอยู่เสมอ เท่ากับผู้นั้นเป็นผู้ไม่ประมาทในความตาย ถ้าเราหายใจเข้าแล้ว หายใจออกไม่ได้ เราก็ตาย หรือถ้าเราหายใจออกแล้ว หายใจเข้าไม่ได้ เราก็ตายเช่นกัน ความตายอยู่แค่จมูก

ลมหายใจจึงเป็นเครื่องชี้บอกความตายแก่เราได้ตลอดเวลา เหตุผล
๑. ทางแพทย์ หากเราหยุดหายใจ แค่ ๒ นาที เราก็ตาย
๒. ทางธรรม พระองค์ตรัสไว้เกี่ยวกับอาหารของกายมี ๒ อย่าง คือ กวฬิงกราหาร (อาหารที่บริโภคทางปาก) กับผัสสาหาร (อาหารคือการสัมผัส)
ทั้งสองอย่างต่างเกี่ยวเนื่องกันและกัน อาศัยซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด ผมขอสรุปว่า

๑. รู้ลม ก็เท่ากับ รู้ความตาย ก็เท่ากับผู้ไม่ประมาทในธรรม หรือ เป็นผู้มีสติ
๒. รู้ลม ก็คืออานาปานัสสติกรรมฐานอันเป็นกรรมฐานใหญ่ที่สุด ซึ่งครอบคลุมกรรมฐานอื่นๆ ไว้ทั้งหมด กรรมฐานทุกกองต้องเริ่มจากกองนี้ก่อนทั้งสิ้น
๓. รู้ลม เท่ากับปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเกือบทั้งหมด เพราะในการปฏิบัติพระองค์ได้สรุปคำสอนของพระองค์ ๘๔,๐๐๐ บท ให้เหลือประโยคเดียว คือ “จงอย่าประมาท”

(หรือจงมีสติอยู่ตลอดเวลา พระอรหันต์ท่านจึงมีสติสมบูรณ์ คือ เป็นผู้ไม่ประมาทแล้วนั่นเอง)
๔. การรู้ลม หรืออานาปานัสสตินี้มีประโยชน์สุดประมาณ โปรดดูคำสอนของหลวงพ่อท่านซึ่งสอนอย่างละเอียดหลายครั้ง หลายหน และทุกครั้งที่ท่านสอนวิธีปฏิบัติกรรมฐานก็ให้เริ่มจากอานาปานัสสติก่อนทั้งสิ้น (โปรดทบทวนเอาเอง)

ผมในฐานะที่เป็นแพทย์ประจำตัวของท่านในอดีต ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.๒๕๑๗ ถึง ๒๕๒๑ หลังจากนั้นมาก็มีแพทย์รุ่นน้องเข้ามาช่วยรับภาระ และหน้าที่แทนผมตามลำดับ ผมก็ค่อยๆ ผ่อนคลายภาระและหน้าที่ลง จนในปัจจุบัน เกือบจะเรียกได้ว่าไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายหน้าที่ในการรักษาเลย เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาเท่านั้น

ในระหว่างปี พ.ศ.๒๕๑๘ – ๒๕๒๐ เป็นปีที่ประเทศไทยถูกแทรกแซงโดยพวกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในทุกๆ รูปแบบ จนพวกเราเกือบจะเสียท่าเขา หากด้วยบุญบารมีขององค์สมเด็จท่านสงเคราะห์ให้ประเทศไทยคงอยู่ เพื่อประกาศพระศาสนาของพระองค์ต่อไปจนครบ ๕,๐๐๐ ปี พวกคนไทยจึงรวมตัวต่อต้านจนพวกเหล่าร้ายต้องแพ้ภัยตนเองไปในที่สุด

ในความรู้สึกส่วนตัวของผมมีความเห็นว่า ในขณะนั้นมีข้าราชการบางส่วนที่มีจิตใจเลวร้าย ข่มเหงราษฎร ซึ่งเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้างโจมตีอย่างหนัก ข่าวลือในด้านร้ายมีมากมาย ข้าราชการที่ออกหน่วยตามชนบทล้วนมีค่าหัวทั้งสิ้น รวมทั้งตัวผมเองก็มี

ในระยะนี้ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถต้องออกแสดงเอง ต้องเสี่ยงต่อความตาย ทนต่ออุปสรรคและความยากลำบากนานาประการ และทนต่อข่าวลือในทางลบ (คำนินทา, บัตรสนเท่ห์) ทรงออกเยี่ยมประชาชนอย่างใกล้ชิด ชนิดที่ข้าราชการในท้องที่นั้นไม่กล้าทำ หรือไม่เคยทำมาก่อนเลย

ผลก็คือขวัญและกำลังใจของประชาชนกลับมาใหม่ โดยเฉพาะขวัญของ ต.ช.ด. (ตำรวจตระเวนชายแดน) เพราะเจ้านายก็กลัวตายเหมือนกันไม่ค่อยกล้าออกไปเยี่ยมบ่อยนัก หรือลืมไปเลย แต่ตรงข้ามพระองค์ทรงเสด็จไปเองไม่กลัวภัยอันตราย แม้จะมีผู้ทัดทานไว้ก็ไม่ยอม การที่ทรงเสด็จเยี่ยม ต.ช.ด.อย่างใกล้ชิด จึงทำให้ขวัญของ ต.ช.ด. กลับมาเป็นปกติ

ในส่วนของหลวงพ่อ ท่านก็มีบทบาทช่วยประเทศชาติอยู่มากมาย เสี่ยงต่อความตาย อดทนต่อความยากลำบากในการเดินทาง ในการจัดหาของกิน ของใช้และวัตถุมงคลไปแจกแก่บรรดา ตำรวจ ทหาร ที่ยอมสละร่างกายชีวิตเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องประเทศชาติ รวมทั้งประชาชนชาวไทยทุกๆ คน ให้พ้นจากศัตรู

หลวงพ่อท่านกล่าวกับตำรวจ ทหาร อย่างซาบซึ้งใจจริงๆ ผมเองฟังแล้วยังขนลุกด้วยปีติทุกครั้ง ผมยังจำคำกล่าวของท่านได้มีใจความดังนี้ “ที่อาตมา พาคณะมาเยี่ยมพวกท่านถึงที่อยู่ของท่านนี้ มิใช่มาในฐานะของผู้มีพระคุณ แต่มาในฐานะของผู้มาขอบคุณต่อพวกท่าน เพราะของต่างๆ ที่นำมามอบให้กับพวกท่านในวันนี้ มันมีค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อเปรียบเทียบกับบุญคุณของพวกท่านที่ได้ยอมเสียสละ ร่างกาย และชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านหวงแหน และรักที่สุด แม้ใครจะมาขอซื้อด้วยราคากี่แสนกี่ล้านบาท พวกท่านก็ไม่ยอมขายให้ แต่พวกท่านกลับยอมสละให้เปล่าๆ เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทยเหล่านั้น ที่สำนึกถึงบุญคุณของพวกท่าน

เห็นความเสียสละและความดีของพวกท่าน จึงได้รวบรวมสิ่งของที่จำเป็นเหล่านี้มามอบให้กับพวกท่านในฐานะผู้มาขอบคุณในความดีของพวกท่าน และเมื่อกลับไปก็จะไปแจ้งความดี ความเสียสละของพวกท่านแก่ประชาชนคนไทยที่ไม่ได้มีโอกาสมาเห็นความเสียสละของพวกท่าน และจะได้หาโอกาสตอบแทนพระคุณของพวกท่านต่อไป”

ความจริงหลวงพ่อท่านพูดไพเราะ และดีกว่าที่ผมเขียนนี้มากนัก แต่ผมมันไม่เอาไหน สัญญามันเป็นอนิจจา อะไรดีๆ มักจะลืม อะไรที่ไม่ดีมักจะจำได้แม่น ไม่ยอมลืม หากปล่อยไปนานกว่านี้ก็อาจไม่มีอะไรเหลือ ผลงานแห่งความเมตตาของหลวงพ่อท่าน ก็คงไม่มีใครรู้เห็น เพราะผู้ที่ได้ไปเห็นกับตา และได้ยินด้วยหูของตนเอง

ซึ่งผมจะใช้อ้างเป็นพยานท่านก็ค่อยๆ หนีผมไปนิพพานทีละท่าน เช่นท่านหญิง วิภาวดี รังสิต, ท่านอ๋อยหรือ พี่อ๋อย แม่งานใหญ่ของหลวงพ่อฝ่ายฆราวาส, ท่านจ่าอากาศ สาย และหลวงปู่ ครูบาธรรมชัย เป็นต้น สำหรับหลวงปู่ครูบาธรรมชัยนี้ ท่านใกล้ชิดกับหลวงพ่อมาก ชนิดถึงไหนถึงกัน ในการออกหน่วยเยี่ยม ตำรวจ ทหาร เรามีเวลาจำกัดมาก

เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ไปเป็นข้าราชการ หรือ งานประจำ ท่านจึงจัดให้ออกหน่วยเกือบทุกเสาร์ – อาทิตย์ โดยออกเดินทางตอนกลางคืนของวันศุกร์ ถึงจังหวัดที่จะออกเยี่ยมตอนเช้าวันเสาร์ ให้เวลากินข้าว – ล้างหน้า แค่ ๒๐ – ๓๐ นาที ก็เดินทางต่อ เย็นกลับมาพักตามวัด บางครั้งเช่นที่ จ.เพชรบูรณ์ ต้องพักตามค่ายลูกเสือ นอกเมือง วันอาทิตย์ก็ทำงานต่อ

กลางคืนวันอาทิตย์เดินทางกลับกะเวลาให้มาถึงเช้ามืด หรือสว่างในกรุงเทพฯ เข้าทำงานได้ทัน (ในระหว่างหน้าฝนต้องหยุด เพราะเข้าป่าไม่ได้) หากออกเยี่ยมทางภาคใต้ต้องลาราชการ ผมจำได้ว่าทางใต้เคยไปนานที่สุดถึง ๑๗ วัน เพราะเป็นการประสานงานระหว่างหน่วยของในหลวงท่าน ซึ่งมีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต กับของหลวงพ่อ

(ตามพระประสงค์ของในหลวงท่าน ให้รวมกัน และขอฝากหน่วยของท่านไว้กับหลวงพ่อด้วย ซึ่งต่อมาก็ไปด้วยกันทั่วประเทศ เรื่องเหล่านี้ไม่เคยมีใครเขียนไว้ เพราะผู้รู้ ผู้เห็น ท่านก็แอบหนีไปนิพพานกันเกือบหมดแล้ว เหลือผมซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะไปเมื่อใด และจะไปไหน ก็ยังไม่ทราบ ทราบแต่ว่าต้องตายแน่ๆ เท่านั้น

การเยี่ยมตำรวจ ทหารทั่วประเทศ หลวงพ่อท่านเยี่ยมถึงแนวหน้า โดยใช้ ฮ. เป็นพาหนะเป็นส่วนใหญ่ ที่นั่งก็จำกัด เพราะส่วนใหญ่มี ฮ. ตัวเดียว หรือ ๒ ตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนายทหาร หรือ นายตำรวจ พร้อมหน่วยคุ้มกันไปด้วย ผู้ที่ไปแน่ๆ จึงมีแค่ ๓ คือ หลวงพ่อท่าน หลวงปู่ และก็ผม ส่วนใหญ่ก็มีแค่นี้ หน้าที่ของผมก็คือมือหนึ่งหิ้วปิ่นโต – อาหารเพลของหลวงพ่อ – หลวงปู่

เพลที่ไหนถวายที่นั่น แม้บางครั้งขณะบินอยู่กลางอากาศก็เคยถวายเพล อีกมือหนึ่งหิ้วกระเป๋ายาใบใหญ่ หนักร่วม ๑๐ กิโล มีทั้งน้ำเกลือด้วย (สำหรับหลวงพ่อ) และรักแร้ก็หนีบลำโพงสำหรับพูด (ใช้ถ่าน) สภาพเวลาขึ้นและโดดลงจาก ฮ. ก็มีลักษณะอย่างนี้แหละ ไม่มีใครรู้จักผมเลย หากหลวงพ่อท่านไม่แนะนำ ร่วมเป็นร่วมตายกับท่านมาในตอนนั้น

ผู้ใดอ่านมาถึงตอนนี้ก็อาจคิดว่าผมนี่เก่ง กล้าหาญ ไม่กลัวตาย หากคิดเช่นนั้นละก็ผิดถนัด เพราะความจริงยังกลัวตายอยู่มาก ที่ไปได้ถึงไหนถึงกันบินตั้งแต่เช้ายันเย็นนั้น หากไม่มีหลวงพ่อท่านไปด้วย จ้างให้ผมก็ไม่ไป เพราะโอกาสที่จะถูกมันยิงตกนั้นมีได้เสมอ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่กล้าจริง แต่ที่ไปได้ตลอดร่วม ๓ ปีนั้น เพราะอะไรให้คิดเอาเองก็แล้วกัน

ส่วนเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังหรือเขียนให้อ่านนั้น คงไม่เรียงตามลำดับตามวัน เดือน ปี คงเขียนไปตามที่นึกออกแล้วอยากจะเขียน ดังนั้น หากอะไรผิดพลาดไปบ้างเรื่องของ วัน เดือน ปี ก็ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย เพราะสัญญาของผมมันเป็นอนิจจา ยิ่งเข้าสู่วัยหนุ่มน้อยเกิน ๖๐ ปี ไปแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นของธรรมดา

เรื่องแรก คือ การเยี่ยมและแจกของ ตำรวจ ทหาร ภาคใต้ ๑๗ วัน ของหลวงพ่อและท่านหญิง คณะของหลวงพ่อแยกออกเดินทางเป็น ๒ คณะ คณะแรกออกเดินทางก่อนโดยรถไฟ ต้องค้างแรมในรถและไปถึง อ.หาดใหญ่ในวันรุ่งขึ้น อีกคณะหนึ่งเดินทางโดยเครื่องบินในตอนเช้า เวลาชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว ก่อนเครื่องจะลงสนามประมาณ ๕ นาที

หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า มีเทวดาองค์หนึ่งแบกพระพุทธรูปทรงค่าไว้บนศีรษะมาหาหลวงพ่อ และบอกความลับเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ว่าถูกฝังไว้ที่ตรงไหนใกล้ตัวเมืองหาดใหญ่ เมื่อคณะของหลวงพ่อเข้าที่พัก (บ้านรับรองของแบงค์ชาติหาดใหญ่) แล้ว หลวงพ่อได้เรียกท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) มาพบ และบอกตำแหน่งตามที่เทวดาท่านบอกไว้

อยู่ในที่ดินแห่งหนึ่งใกล้สะพาน ใกล้แม่น้ำและใกล้ถนนใหญ่ที่ตรงไป จ.สงขลา และมีบ้านอยู่ ๑ หลัง พร้อมทั้งทิศที่จะต้องไปหา ท่านเจ้ากรมออกไปสักครู่หนึ่ง ก็กลับมารายงานหลวงพ่อว่า มีอยู่จริงตามนั้น หลวงพ่อพร้อมคณะก็ออกเดินทางไปที่นั่น พร้อมด้วยหลวงปู่สิม และ หลวงปู่ธรรมชัย เมื่อไปถึงก็ขอพบเจ้าของที่

ซึ่งบังเอิญเป็นตำรวจ ยศชั้นจ่า หรือนายสิบ จำไม่ได้ นิสัยดีให้การต้อนรับหลวงพ่อและคณะอย่างเต็มใจ เมื่อทราบวัตถุประสงค์ว่าหลวงพ่อท่านต้องการจะขอซื้อที่ดินที่ยังว่างๆ อยู่นี้เพียงไม่กี่ตารางวา เพื่อสร้างศาลาและตั้งพระพุทธรูปไว้บูชา ตำรวจผู้นั้นแกไม่ยอมขายที่ให้ แต่ยกให้เปล่าๆ โดยพูดว่าสุดแต่หลวงพ่อจะต้องการแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เพราะแกเกิดศรัทธา

จากนั้นหลวงพ่อก็นำคณะออกสำรวจที่ ตอนนั้นผมสังเกตดูหลวงปู่สิมท่านรีบเดินหนีไปทางอื่น เมื่อหลวงพ่อบอกให้ช่วยหาที่ๆ พระพุทธรูปทองคำฝังอยู่ เพราะต้องใช้เรดาร์จิตออกตรวจหา คงปล่อยให้หลวงปู่ธรรมชัยอยู่กับหลวงพ่อ ๒ องค์ และมีผมยืนอยู่ด้วย หลวงปู่ธรรมชัยปกติท่านเร็วมากในการใช้ทิพยจักษุญาณ แต่คราวนี้ท่านยืนงง ต้องใช้เวลานานมาก

นานจนท่านเมื่อยต้องทรุดตัวลงนั่งยองๆ ผมยืนอยู่กับท่านเลยต้องนั่งตาม สักครู่ท่านก็อุทานดังๆ ว่า เห็นแล้วๆ อยู่ตรงนี้เอง แล้วท่านก็บรรยายรูปร่างของพระพุทธรูปทองคำ และบอกว่ามีพระบรมธาตุ พร้อมทั้งเครื่องบูชาครบหมด ท่านตื่นเต้นมาก ผมเลยเลี่ยงไปคุยกับหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงเล่าให้ผมฟังว่าที่ไม่เห็นนั้นเพราะพระเจ้ารามคำแหงมหาราช

ซึ่งท่านเป็นพรหมมีหน้าที่รักษาเขตภาคใต้นี้ไว้ทั้งหมด ท่านเอามือบังไว้ หลวงปู่จึงไม่เห็น ต่อเมื่อหลวงพ่อท่านเตือนว่าอย่าไปแกล้งหลวงปู่ ท่านจึงชักมืออก หลวงปู่จึงเห็นและตื่นเต้นมากด้วยความปีติ พระเจ้ารามคำแหงท่านบอกหลวงพ่อว่า อย่าให้ใครเอาขึ้นมา เพราะจุดประสงค์ของผู้สร้างก็เพื่อไว้ป้องกันศัตรูทางภาคใต้ทั้งหมด ไม่ให้รุกรานประเทศไทยได้

ต่อมาหลวงพ่อจึงได้สร้างศาลาขึ้น พอสร้างเสร็จ พล.อ.บุญชัย บำรุงพงศ์ ท่านเป็นประธานสร้างพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๕๒ นิ้ว จากจังหวัดชลบุรี ยังหาที่ประดิษฐานไม่ได้ ท่านเจ้ากรมเสริมจึงแนะให้นำมาไว้ที่นี่ เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปมาแล้ว ท่านหญิง วิภาวดี รังสิต ก็กราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งท่านเสด็จมาภาคใต้พอดี ให้บรรจุพระบรมธาตุไว้ที่พระเศียร

ทุกอย่างต่อเนื่องกัน หรือลงตัวพอดี เหมือนกับเทวดาท่านจัดไว้ล่วงหน้าก่อนทั้งสิ้น ในปัจจุบันก็มีผู้ไปเคารพกราบไหว้ บูชาอยู่ทุกวัน พร้อมทั้งมีแม่ชีที่มีความศรัทธาสูง เป็นผู้คอยดูแลศาลานี้ไว้เป็นอย่างดี ผมได้ข่าวว่าใครไปบูชามักจะถูกหวยเสมอ แต่ท่านให้เพียง ๑ – ๒ หนเท่านั้น ตามวาระกรรมของแต่ละคน ซึ่งไม่เสมอกัน

คณะของท่านหญิง ซึ่งเป็นตัวแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงรวมกับคณะของหลวงพ่อ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยออกเยี่ยมตำรวจ ทหาร ทุกหน่วยในจังหวัดภาคใต้ ซึ่งหลวงพ่อท่านต้องเหนื่อยมาก เพราะต้องทำพิธีบวงสรวงด้วยในฐานใหญ่ๆ ต้องพรมน้ำมนต์ และแจกวัตถุมงคล รวมทั้งมีบางคนขอให้ลูบหัว เป่าหัว เคาะหัว เพื่อเป็นกำลังใจ

โดยมีหลวงปู่ธรรมชัยเป็นผู้ช่วยทุกครั้ง (ความจริงแล้วหลวงพ่อท่านขึ้นลง ระหว่าง กรุงเทพฯ – หาดใหญ่นี้หลายหน แต่ผมขอรวบรัดเพื่อความต่อเนื่อง) ในคราวแรกที่ไปภาคใต้ใช้เวลาอยู่ที่หาดใหญ่ประมาณ ๖ วัน ก็แยกย้ายกันกลับ คงเหลืออีกไม่กี่คนที่ติดตามหลวงพ่อมาที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี

เท่าที่จำได้ คือ หลวงพ่อท่าน, หลวงปู่ธรรมชัย พี่อ๋อย, พี่นนทา คุณวิวัฒน์หรือวิชัย และผม ซึ่งอาจมีผู้อื่นอีกผมก็ต้องขออภัยด้วย จากคณะใหญ่มีผู้คนร่วมร้อยก็เหลือเพียงเท่านี้ ที่นครศรีธรรมราช คณะของหลวงพ่อและท่านหญิงพักอยู่ในจวนผู้ว่าการ ซึ่งมีวังของท่านหญิง ปลูกไว้สำหรับท่านโดยเฉพาะ เพราะท่านเสด็จบ่อย

ส่วนหลวงพ่อและคณะอยู่เรือนรับรองอีก ๑ หลังใช้เวลาออกเยี่ยมตำรวจ ทหาร ทุกวันตั้งแต่ ๗.๐๐ น. และกลับประมาณ ๑๘.๐๐ น. โดยใช้ ฮ.เป็นพาหนะ ฮ.จะมารับที่สนามกีฬาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจวนผู้ว่า (ชื่อคุณโชดก) ฮ.จะบินไปเยี่ยมทุกฐานของทหารและตำรวจใน ๒ จังหวัดซึ่งอยู่ติดต่อกัน (นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี)

ในขณะนั้นขวัญและกำลังใจของตำรวจ ทหาร ตกมาก พวก (ผกค) คอม เข้ายึดหมู่บ้านไว้เป็นฐานกำลังของเขาได้หลายจุด โดยเฉพาะที่สุราษฎร์ธานี พวกคอมเข้ามาถึงในตัวเมืองบุกยึดสถานีรถไฟแล้วจะยึดสถานีตำรวจซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันด้วย แต่โดยบารมีของพระคุ้มครอง กระสุนปืนที่ยิงโรงพักขึ้นข้างบนหมดถูกแต่หลังคาโรงพักเสียหาย

โชคดีที่ยังมีตำรวจที่กล้าตายต่อสู้ จนมันต้องถอนตัวกลับเข้าป่าไป หลวงพ่อ และท่านหญิง พร้อมคณะก็ไปเยี่ยมในขณะที่เขากำลังขวัญกระเจิงพอดี ตำรวจที่สถานีดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด เพราะทั้งหลวงพ่อและท่านหญิง ได้พูดให้กำลังใจพวกเขาให้เกิดความฮึกเหิม เกิดความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และปวงชนชาวไทยทั้งมวล

หลังจากนั้นท่านก็แจกธงมหาพิชัยสงครามให้ทุกๆ คนและแนะนำวิธีใช้ ในขณะนั้น บังเอิญมีชายผู้หนึ่งเข้ามารับแจกธงด้วย หลวงพ่อท่านก็ทักว่า คุณอย่าเอาไปเลย หากคุณรับไปแล้วไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เช่นไปปล้น – จี้เขาหรือไปเข้ากับพวกคอม คุณจะถูกเขายิงตาย โดยจะถูกปืนยิงเข้าแสกหน้าทะลุออกด้านหลัง

เขาก็ยังยืนยันจะขอรับให้ได้ หลวงพ่อก็ให้ไป พอเขาไปแล้วมีตำรวจมารายงานให้หลวงพ่อทราบว่า อ้ายนี่แหละครับตัวแสบเป็นนก ๒ หัว เป็นแนวหน้าให้คอม มันทำชั่วได้ทุกอย่าง ผลก็คือ ๒ – ๓ วันต่อมาตัวแสบก็ถูกยิงตายสนิทขณะปะทะกับตำรวจ เพราะมันนำพวกคอมเข้าโจมตีหมู่บ้าน และถูกยิงเข้ากลางแสกหน้าทะลุท้ายทอยจริงๆ

พุทธานุภาพของธงมหาพิชัยสงครามมีจริงอย่างไม่ต้องสงสัย และจะไม่ป้องกันคนชั่วด้วย พวกตำรวจหลังจากได้รับแจกผ้ายันต์ ธงมหาพิชัยสงครามแล้ว กำลังใจดีมากทุกคน ในวันรุ่งขึ้น ตำรวจซึ่งกลัวพวกคอมและพวกที่มีอิทธิพลมากที่คุมเขาศูนย์อยู่ พวกตำรวจไม่กล้าแม้แต่จะผ่านทางนั้น แต่พอได้ของดีก็ยกกำลังขึ้นบุกเขาศูนย์เลย (เขาศูนย์มีแร่วุลแฟรมมากมาย)

ฝ่ายพวกคอมก็ยิงลงมาแบบไม่เลี้ยง แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่คนเดียว ที่รู้กันเพราะตำรวจรายงานให้ทราบ (พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา) คณะของหลวงพ่อและท่านหญิงเดินทางโดย ฮ. จึงบินแวะไปเยี่ยมอีกครั้ง ปรากฏว่า เหล่าตำรวจทั้งหลายต่างแย่งกันรายงานผลให้หลวงพ่อฟังด้วยปากของตนเองจนฟังไม่ทัน

สรุปแล้วมีใจความ ๑. การเข้ายึดเขาศูนย์ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะทุกคนไม่กลัวตาย ต่างคน ต่างดิ่งตรงเข้าไปยึดเอาดื้อๆ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร ๒. กระสุนปืนฝ่ายตรงข้างยิงมาหนาแน่นมาก แต่แปลกที่ไม่มีใครโดนลูกปืนเลยสักคน ๓. ความรู้สึกบอกว่า กระสุนวิ่งผ่านตัวไป (เฉียดตัว) เห็นเป็นสายแต่ก็ไม่โดน

เมื่อเห็นว่าตัวไม่ได้รับอันตรายจากลูกปืนแล้ว เลยไม่กลัวอีก ไม่หลบ ไม่หมอบลงกับพื้น วิ่งตรงเข้าหาผู้ที่ยิงปืนมาโดยไม่ยอมหลบ ๔. ผลก็คือยึดพื้นที่ได้และจับพวกที่ถอยหนีไม่ทันได้หลายคน ในเวลาอันสั้น เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก หลังจากนั้นตำรวจกองนี้ก็บุกแหลก ไม่เคยกลัวพวกคอม (ผกค) อีก มีข่าวพวกคอมจะเข้าหมู่บ้านใดก็ตรงเข้าปะทะทันที

และก็ตีพวกนั้นกระเจิงไปทุกครั้ง แต่มีอยู่วันหนึ่งขณะที่คณะของเรากำลังบินอยู่กลางอากาศ ได้รับวิทยุแจ้งเข้ามาว่าตำรวจถูกยิงได้รับบาดเจ็บให้ส่ง ฮ. มารับตัวด้วย ฮ.ของเราก็บินตรงไปจุดนัดพบทันที เมื่อลงไปเราไม่พบผู้บาดเจ็บเลย มีแต่พวกตำรวจมารุมล้อมหลวงพ่อ

หลวงพ่อเลยถามว่า คนไหนที่ถูกยิงบาดเจ็บ ก็มีตำรวจที่กำลังเกาะขาหลวงพ่ออยู่ตอบว่า ผมเองครับ หลวงพ่อถามว่า ไหนขอดูแผลหน่อย ตำรวจก็ตอบว่า ถากไปนิดเดียวครับที่ขา แล้วก็ถลกขาให้ดู

ผมเห็นแล้วเป็นเพียงแค่หนังกำพร้าถลอกไปเท่านั้น ผมเลยเกิดอารมณ์เสีย เพราะทำให้เราต้องเสียเวลาแวะมาดู ตำรวจบาดเจ็บแค่หนังถลอกเท่านั้น ผู้ที่วิทยุให้เรามารับคนเจ็บไม่ได้กรองข่าวเสียก่อน ก็สั่งการทันที แต่ผมก็มีอารมณ์มาตัดบอกว่า เออ ดี หลวงพ่อท่านจะได้มีโอกาสให้กำลังใจพวกตำรวจกลุ่มนี้อีกครั้ง

เป็นการเพิ่มกำลังใจให้เขามั่นใจในพุทธานุภาพยิ่งขึ้นไปอีก ตำรวจทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมาก เมื่อได้รับการชี้แจงถึงพุทธานุภาพจากธงมหาพิชัยสงครามอีกครั้งด้วยเครื่องขยายเสียง ต่อหน้ากลุ่มคนจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนจะต้องมีพวกคอม (ผกค) ร่วมปะปนอยู่ด้วย เป็นการข่มขวัญกันไปในตัว

ขอเล่าเรื่องอานุภาพของธงมหาพิชัยสงครามที่หาดใหญ่ – สงขลาให้ฟังเสียด้วยว่า คณะของหลวงพ่อได้แจกธงนี้ให้กับทหารทุกคนที่นั่นเรียงตัวโดยให้เข้าแถวรับ ผมเองก็เป็นผู้เดินแจกธงด้วย ปรากฏว่าภาคใต้มีทหารที่นับถือศาสนาอิสลามอยู่ด้วย ดังนั้น ทหารพวกนี้เขาจะไม่รับโดยพูดว่า “ผมอิสลามครับ” เราก็เว้นแล้วแจกรายต่อไป

หลังจากที่แจกให้ครบแล้ว อีกประมาณ ๗ วันต่อมา แม่ทัพภาค ๔ ออกตรวจเยี่ยมทหารด้วยขบวนรถ ๙ คัน ปรากฏว่ามีพวกคอม (ผกค) ซุ่มโจมตีอยู่ข้างทาง หลังจากปะทะกันสักครู่ เขาก็ถอยเข้าป่าไป ฝ่ายเราก็สำรวจความเสียหาย ปรากฏว่ามีทหารตาย ๙ คน ทุกคนเป็นอิสลามหมดเพราะไม่มีธงมหาพิชัยสงครามติดตัว

แต่ความลับไม่มีในโลก ข่าวนี้ก็กระจายไปทั่วกองทหารทุกกองในภาคใต้ ครั้นคณะของหลวงพ่อและท่านหญิงไปเยี่ยมทหารอีก และแจกธงให้กับหน่วยที่ย้ายเข้ามาแทนหน่วยเก่า และแจกให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับ ผลมีดังนี้ครับ ทหารที่เป็นอิสลามไม่ใช่ไม่ยอมรับธง แต่แย่งจากมือผู้แจกเลย ได้ถามความรู้สึกกับพวกเขา เขายอมรับแต่โดยดีว่า ผมกลัวธงหมดครับ ผมกลัวว่าจะไม่ได้ครับ

เรื่องของหลวงพ่อท่านมีมากมาย ถ้าจะเขียนกันจริงๆ ก็ยากที่จะจบได้ และผมก็ไม่ใช่นักเขียน สำนวนเป็นแค่ลูกทุ่ง (ชั้นเลว) จึงขอรวบรัดเอาเฉพาะจุดที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ และเป็นที่สนใจแก่ผู้อ่านเท่านั้น ซึ่งผมอาจเดาผิด คิดผิดก็ได้เพราะอ่านแล้วมันก็ยังไม่เอาไหนอยู่ดีแหละ จึงต้องขออภัยต่อท่านผู้อ่านไว้ก่อนอีกครั้ง

ใน ๘ – ๙ วันที่บินวนเวียน เยี่ยมตำรวจทหารอยู่ใน ๒ จังหวัดนี้ (นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี) ผมได้พบ ได้เห็นปาฏิหาริย์อะไรบ้างในแต่ละวัน ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ไม่ซ้ำกัน มีบางวันที่นั่งเต็มซึ่งผมไม่ได้ไป เพราะมีนายทหารระดับบิ๊กท่านมา แต่ท่านหญิง ก็ทรงเมตตาเล่าให้ฟังอย่างละเอียด พอสรุปได้ดังนี้

๑. เมื่อเครื่อง ฮ. บินไปพบก้อนเมฆขนาดใหญ่และหนาทึบขวางทางอยู่ ซึ่งตามปกติ ฮ.จะต้องบินอ้อมก้อนเมฆนี้ไป นักบินเกิดลังเลใจ จึงถามหลวงพ่อว่าผ่านไปได้ไหมครับ หลวงพ่อก็ตอบว่า ผ่านได้ นักบินก็บินผ่านเมฆก้อนนั้นเข้าไปเหตุอัศจรรย์ก็ปรากฏ ก้อนเมฆใหญ่นั้นแยกออกเปิดเป็นทางตรงเหมือนถนนไฮ – เว

ให้ ฮ. บินผ่านไปอย่างสะดวก เมื่อ ฮ. ผ่านพ้นก้อนเมฆไปแล้ว เราก็หันมาดูปรากฏว่า ก้อนเมฆนั้นกลับมาชิดกันเหมือนปกติเป็นที่อัศจรรย์แก่นักบินที่ ๑ – ๒ และผู้โดยสารทุกคนอย่างยิ่ง
๒. เมื่อ ฮ. บินไป มีเมฆก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง แต่ไม่หนาทึบ จึงมองเป็นเมฆสีขาวๆ ขวางทางบินของ ฮ. อยู่เป็นจำนวนมาก

แต่พอ ฮ. บินเข้าไปใกล้กลุ่มเมฆเหล่านั้นความอัศจรรย์ก็ปรากฏ คือ ก้อนเมฆเหล่านั้นถูกปัดออกไปให้พ้นทางบินของ ฮ. หมด เหมือนกับมีคนนั่งอยู่ส่วนหัวของ ฮ. เอาพัดวิเศษโบกปัดให้เมฆเหล่านั้นหลบออกไป อยู่สองข้างทางหมดหรือเหมือนใช้พัดขนาดใหญ่ๆ โบกปัดปุยนุ่น ฉะนั้น เป็นภาพที่น่าดูมาก ในเที่ยวนี้มีหมอและพยาบาลของท่านหญิงไปด้วย

หมอผู้ชายแกนั่งริมขวาสุด แกเห็นแล้วต้องอุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ว่า เอ๊ะ มันเป็นไปได้อย่างไรๆๆ
๓. วันหนึ่ง ฮ. ต้องบินผ่านเขตอันตราย ซึ่งมีพวกคอม (ผกค) อยู่เบื้องล่างจำนวนมาก โดยนักบินมั่นใจแล้วว่าหลวงพ่อท่านนั่งมาด้วย จึงขออนุญาตบินผ่านไม่ต้องบินอ้อม เมื่อท่านอนุญาตก็บินตรง พอเข้าเขตสีแดง (เขต ผกค) สิ่งอัศจรรย์ก็ปรากฏ

มีก้อนเมฆขนาดใหญ่มากหนาทึบเกือบเป็นสีดำ ไม่ทราบว่าลอยมาจากทางไหน และลอยมาเร็วกว่า ฮ. (ซึ่งปกติ ฮ. จะบินได้เร็วกว่าเมฆ) และเมฆก้อนนั้นมาหยุดอยู่ใต้เครื่อง ฮ. ฮ. จะบินไปทางไหน เมฆก็ลอยไปด้วย แม้ ฮ. จะเปลี่ยนทิศทางบินไปซ้ายหรือขวา เมฆก็ลอยตามบังอยู่ข้างล่าง ฮ. ตลอดเวลา จนกระทั่ง ฮ. พ้นเขตอันตรายแล้ว

เมฆก้อนนั้นจึงได้ลอยจาก ฮ. ไปคราวนี้ผู้ที่ตาเหลือกเพราะความอัศจรรย์ไม่ใช่ใครอื่น คือตัวนักบินเอง
๔. วันหนึ่ง ฮ.บินไปถึงจุดหมายแต่ลงไม่ได้ เพราะมีหมอกหนามากมองไม่เห็นพื้นดิน ฮ.ต้องบินวนอยู่สักครู่ สิ่งอัศจรรย์ก็ปรากฏ คือ หมอกเปิดออกเป็นช่องเหมือนปล่องขนาดใหญ่ให้เห็นพื้นดินได้ชัดเจนแล้ว ฮ.ก็ลงไปได้ตามปล่องนั้นอย่างปลอดภัย

เรื่องแบบนี้เคยเกิดมาก่อนที่ จ.ปัตตานี ตอน ฮ.จะขึ้น แต่ขึ้นไม่ได้ เพราะหมอกเมฆลงมาต่ำมาก ท้องฟ้าปิดสนิท นักบินก็ปรึกษาหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อบอกว่าขึ้นได้ สิ่งอัศจรรย์ก็ปรากฏคือท้องฟ้าที่ปิด ก็เปิดออกเป็นช่องคล้ายปล่องขนาดใหญ่ และ ฮ.ก็บินขึ้นไปตามปล่องที่เปิดให้นั้น

๕. วันหนึ่ง ฮ.บินไปเจอฝน ภาคใต้มีหน้าฝน ๒ ครั้ง ไม่มีหน้าหนาว ดังนั้นเรื่องฝนตกจึงเป็นของธรรมดา โดยปกติ ฮ. จะบินหลบฝนได้ จะไม่ฝ่าเข้าไปโดยไม่จำเป็นแต่คราวนี้ นักบินมากับหลวงพ่อ กำลังใจดีเป็นพิเศษ บินตรงฝ่าฝนเข้าไป เหตุอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเกือบทันที คือ ฝนหยุดตกทางด้านซ้ายของ ฮ. แต่ด้านขวาคงตกเป็นปกติ มองเห็นได้ชัดเจน

เพราะเม็ดฝนตกมาชนประตูกระจกด้านขวาของ ฮ.ตลอดเวลา พอมองมาด้านซ้ายของ ฮ.ก็พบสิ่งอัศจรรย์อีก คือนอกจากจะไม่มีเม็ดฝนเลยแล้ว ยังปรากฏมีรุ้งกินน้ำขึ้นสวยงามมาก เห็นยาวโค้งทั้งตัว ปรากฏจากเขาลุกหนึ่งไปจุดเขาอีกลูกหนึ่ง ได้เห็นแล้วติดตาติดใจมาก

๖. อีกวันหนึ่ง ฮ.บินไปเจอฝนอีก นักบินไม่ลังเลบินฝ่าเข้าไปเลย สิ่งอัศจรรย์ก็ปรากฏอีกแต่ไม่เหมือนครั้งก่อน เพราะฝนที่กำลังตกอยู่นั้นหยุดสนิท ทั้งสองข้างของ ฮ.ไม่มีเม็ดฝนเลย ทัศนะวิสัยหรือการมองดูภาพทั้งสองข้าง ฮ.แจ่มใสมากเหมือนตอนที่ฝนไม่ตก

แต่ที่ด้านหน้าของ ฮ.ปรากฏมีฝนตก เห็นชัดด้วยตาเนื้อว่ามีเม็ดฝนวิ่งมาชนกระจกหน้า ฮ.มากมายจนนักบินต้องใช้เครื่องปัดน้ำฝนตลอดเวลา
๗. วันหนึ่งขณะที่ ฮ.กำลังบินอยู่ ผมนั่งอยู่แถวที่ ๓ ซึ่งนั่งได้ ๕ คน ตรงกับประตูที่ปิดเปิด ผมนั่งอยู่ซ้ายสุด ถัดมาก็เป็นท่านหญิง

โดยปกติผมกับท่านหญิงจะนั่งอยู่ด้วยกัน และท่านจะรับสั่งกับผมเกือบตลอดทาง แต่วันนั้นท่านประทับอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยได้รับสั่งกับผม ผมจึงหันหน้าไปด้านซ้ายของ ฮ.ก็พบสิ่งอัศจรรย์ชนิดที่ไม่อาจจะลืมได้ในชีวิตของผม คือ ปรากฏมีรุ้งกินน้ำขนาดเล็กลอยอยู่ข้างๆ ฮ. สีสวยสดงดงามมากอย่างชนิดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต ขนาดกว้างโดยประมาณ ๒ วา

เมื่อเห็นปีติก็เกิดแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรหนอ จึงสวยงามขนาดนี้ ตอนนั้นคิดว่าตาคงจะฝาดไปกระมังได้หลับตาลงแล้วลืมขึ้นใหม่ภาพก็คงเหมือนเดิม ขยี้ตาแล้วก็เหมือนเดิม ทดลองหยิกขาตนเองแล้วภาพก็คงชัดเจนเหมือนเดิม ด้วยความดีใจและตื่นเต้นจึงได้บังอาจเอานิ้วมือไปสะกิดท่านหญิง แล้วชี้ให้ท่านดู (ทอดพระเนตร)

พอท่านหันพระพักตร์มาเห็นภาพนั้น ทั้งท่านและผมต่างก็พนมมือขึ้นไหว้พร้อมๆ กันแล้วต่างก็อยู่ในความสงบสักครู่ใหญ่ๆ ภาพนั้นจึงได้หายไป ท่านหญิงจึงได้รับสั่งถามผมว่าอะไรหมอ ผมตอบว่าให้ถามหลวงพ่อ เพราะไม่มั่นใจจึงไม่กล้าเดา เมื่อเครื่องลงจอดและเข้าที่พักแล้ว จึงได้ถามหลวงพ่อท่าน คำตอบก็คือ ฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการของพระพุทธเจ้า

ทุกคนที่ฟังอยู่ด้วยกันในที่นั้นต่างก็ยกมือขึ้นสาธุพร้อมๆ กัน พี่อ๋อยหรือท่านอ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยาของท่านเจ้ากรม พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านอ๋อยเป็นแม่งานฝ่ายฆราวาสของหลวงพ่อตลอดมา) ท่านอ๋อยฟังแล้วก็อยากเห็นบ้าง จึงขออนุญาต หลวงพ่อก็อนุญาตให้ไปกับ ฮ.ได้ แทนที่ของผม

โดยหลวงพ่อไม่รับรองว่าจะเห็นได้หรือไม่ สุดแต่พระเมตตาขององค์สมเด็จท่านและพระองค์ก็ทรงเมตตาให้พี่อ๋อยและท่านหญิงได้เห็นอีก พี่อ๋อยดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก ในปัจจุบันนี้ทั้งท่านหญิงและพี่อ๋อย ท่านทั้งสองก็หนีไปไม่ยอมกลับมาเกิดอีก (นิพพาน) หากผู้ใดไม่เชื่อก็พิสูจน์ดูได้ด้วยตนเองด้วย มโนมยิทธินั่นแหละคือคำตอบ

อีกประการหนึ่งก็คือ ผู้ที่นั่งอยู่บน ฮ. มีนักบิน แพทย์ พยาบาล และช่างเครื่อง ไม่มีผู้ใดได้เห็น แสดงว่าพระองค์ต้องการให้ผู้ใดเห็นก็เห็นได้ หากไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็น ผู้นั้นก็เห็นไม่ได้ “พุทโธ อัปปมาโณ”

๘. สิ่งอัศจรรย์ที่เกิดในวันนี้ทำเอานักบิน ๒ คนตาค้าง เรื่องมีอยู่ว่าขณะที่ ฮ.บินไปเยี่ยมตามฐาน ตำรวจ ทหาร ตั้งแต่ ประมาณ ๗.๐๐ ถึง ๑๘.๐๐ นี้หากเป็นช่วงที่บินไกล อาจจะต้องกลับมาเติมน้ำมันก่อนแล้วจึงบินต่อ ในวันนี้เราเหลืออีกฐานเดียวก็จะหมดภารกิจแล้ว แต่เข็มน้ำมันบอกว่าอันตรายให้เติมน้ำมันได้ หมายความว่าเราจะต้องบินกลับมาเติมน้ำมันแล้วจึงจะไปต่อได้

แต่ฐานที่จะไปต่อนี้ก็อยู่ไม่ไกลนักจึงเกิดความลังเล นักบินรายงานท่านหญิง ท่านหญิงก็ปรึกษาหลวงพ่อ หลวงพ่อตอบว่าไปได้ นักบินก็ออกบินทันทีทั้งที่ใจไม่ปกติ คอยชำเลืองดูเข็มวัดน้ำมันบ่อยๆ พอ ฮ.บินลงเยี่ยมฐานสุดท้ายจอดกับพื้นก็ดูเข็มน้ำมันให้เต็มตาก็พบว่าเข็มน้ำมันอยู่ที่เดิม มิได้ลดลงต่ำกว่าจุดเดิมเลย

นักบินเลยยิ่งสงสัยและคิดมากขึ้นไปอีก โดยอันตรายมากหากมันเกิดเสียขึ้นมา แต่ใจก็ยังชื้นอยู่เพราะมีหลวงพ่อท่านอยู่ด้วย พอภารกิจเสร็จ ก็บินกลับฐานเพื่อเติมน้ำมัน พอจอดสนิทเข็มน้ำมันก็อยู่ที่เดิม มิได้ลดลงเลย นักบินทั้งสองคนตาค้างเพราะความตื้นเต้นที่สามารถบินโดยไม่ได้ใช้น้ำมันเลยถึง ๒ จุด (ได้ตรวจเช็คเครื่องวัดน้ำมันแล้ว เป็นปกติ)

หากจำไม่ผิดเลขที่ชี้อยู่ที่ ๒๐๐ ลิตรตลอดตั้งแต่ออกบินไปจุดสุดท้าย แล้วบินกลับมาที่ฐานเก็บก็คง ๒๐๐ ลิตรเท่าเดิม โดยปกติ ฮ.จะกินน้ำมันมากที่สุดตอนสตาร์ทเครื่องแล้วเร่งเครื่องเต็มที่ก่อนจะขึ้นเรียกว่าดื่มน้ำมันกันทีเดียว

ในขณะนั้น ๒ จังหวัดนี้มีอันตรายมาก เพราะเต็มไปด้วยคอมมิวนิสต์ (ผกค) โดยเฉพาะบางอำเภอ คอมเข้ามามีอิทธิพลถึงในเมือง เช่น อำเภอพระแสง อ.เวียงสระ อ.บ้านนาสาร โดยเฉพาะ เคียนซา และบ้านนาสาร เจ้าหน้าที่เขาไม่ให้เข้าก็เข้าไปไม่ได้ ส่วนตำรวจนั้นเขาห้ามเข้าเลยเด็ดขาด และบางอำเภอเขาบุกมายึดไว้เลยก็มี

เช่น อ.ฉวางแล้วจึงถอนตัวออกไปภายหลังที่ฝ่ายทหารเข้ามา ท่านผู้อ่านลองนึกภาพเอาก็แล้วกันว่ามีความเสี่ยงขนาดไหน ในการปฏิบัติงานอยู่ในเขตเหล่านี้ เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์นี้ ผมเคยถามหลวงพ่อท่านแล้ว ท่านตอบสั้นๆ ว่า “พุทโธ อัปปมาโณ” คุณของพระพุทธเจ้า หาประมาณมิได้

ผมเลยนึกต่อในใจว่า “ธัมโม อัปปมาโณ และสังโฆ อัปปนาโณ” ด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นอจิณไตย ผู้ใดปฏิบัติได้ถึงแล้วจึงจะรู้ได้เอง หากผมเขียนให้ละเอียดไปกว่านี้ ก็จะมีผู้อ่านบางท่านอ่านแล้วเกิดความสงสัย แล้วก็ฟุ้งซ่าน ผลแห่งความฟุ้งซ่านนั้นเป็นการฆ่าตัวตายโดยตรง เผลอๆ ก็ลงอเวจีได้ง่ายๆ

จึงขอเล่าเพียงสั้นๆ แค่นี้ก่อน สำหรับภาคเหนือ, ภาคอีสาน และภาคตะวันออก ก็ยังมีเรื่องของหลวงพ่ออีกมาก เพราะหลวงพ่อท่านไปเยี่ยมตำรวจ ทหารทั่วประเทศไทย และในบางจุดไปหลายๆ หน หลวงพ่อต้องให้น้ำเกลือตั้งแต่ปี ๑๘ ทุกเดือนที่ท่านมาสอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ผมต้องมาให้น้ำเกลือ และฉีดยาให้ท่านเกือบทุกครั้ง

แต่ในขณะนั้นร่างกายของท่านดีกว่าปัจจุบันนี้มาก ส่วนใหญ่ให้กันที่ห้องสอนกรรมฐานเลย เพราะท่านจะได้มีโอกาส พูด คุย และแนะนำข้อปฏิบัติธรรมแก่ผู้ที่มาหาท่าน ท่านจึงไม่มีโอกาสพักจริงๆ เลย แม้ขณะให้น้ำเกลือจึงต้องนอนบ้าง นั่งบ้าง ผมสังเกตว่า หากใครมาถาม พูด คุย เรื่องทั่วๆ ไป (ทางโลก) ท่านจะอยู่ในท่านอน

แต่หากใครถามเกี่ยวกับพระธรรม หรือ ธรรมปฏิบัติแล้วท่านมักจะลุกขึ้นนั่งเสมอ ดังนั้นในฐานะของหมอจึงต้องเฝ้าท่านตลอด เพราะท่านเคลื่อนไหวอยู่เสมอ หมอเลยกลัวว่าน้ำเกลือจะไม่ไหล หรือเดินไม่สะดวก ในบางครั้งท่านไม่สบายมาก ช่วงเสาร์ – อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ ผมจะขับรถส่วนตัวไปฉีดยา และให้น้ำเกลือท่าน

และอยู่เฝ้าท่านจนน้ำเกลือหมด จึงกลับ ส่วนใหญ่จะไปคนเดียวและกลับคนเดียว แต่บางครั้งก็มีคนอาศัยกลับมาด้วย ต่อมา ผกค. กำเริบหนัก ตชด. (ตำรวจตระเวนชายแดน) หน่วยเดียวปราบไม่ไหวต้องใช้ทหารเข้าช่วย หลวงพ่อท่านเห็นความดีของ ตชด. และทหารที่ยอมเสียสละร่างกาย ชีวิต และเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

และปวงชนชาวไทย ๔๓ ล้านคน (พลเมืองในขณะนั้น) (สาเหตุที่ ผกค. กำเริบก็เพราะช่วงนั้นอเมริกาแพ้สงครามในญวน รีบถอนทัพกลับด่วน ญวนเข้ายึด ญวนใต้ ลาวและเขมรไว้ทั้งหมด และมุ่งเข้ายึดประเทศไทยต่อไป)

หลวงพ่อท่านปรารภกับพวกเรามีความว่า หากพวกเราแนวหลังยังคงมัวติดความสุขสบายกันอยู่ ไม่มีใครคิดถึงความดีของผู้เสียสละเหล่านั้น ประเทศชาติก็คงอยู่ไม่ได้ เมื่อหมดชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ก็อยู่ไม่ได้ และพวกเราก็คงหาที่อยู่ไม่ได้ด้วย ดังนั้นหลวงพ่อท่านจึงเป็นหัวหน้าคณะ

ให้จัดหาของแห้ง เช่น เกลือ ปลาแห้ง พริก กะปิ ปลาป่น น้ำพริกเผา ปลากระป๋อง เครื่องกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป เป็นต้น จัดเป็นถุง เป็นห่อเพื่อนำไปให้แก่พวกที่อยู่แนวหน้า ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหน่วยแรกก่อนใครทั้งหมดที่ออกไปถึงแนวหน้าเลย ผมยังมีภาพที่ประทับใจเก่าๆ อยู่มาก แต่สีจางเกือบหมดแล้ว เพราะนานกว่า ๑๐ ปี

ภาพที่ประทับใจผมมากที่สุดคือภาพที่หลวงพ่อท่านตำน้ำพริกด้วยตนเอง เมื่อทุกคนเห็นท่านลงมือเอง พวกเราเลยช่วยกันทำงานชนิดลืมตาย ในขณะนั้นคนยังน้อย เรียกว่าจับตัววางตาย ต้องช่วยงานกันตัวเป็นเกลียวเพื่อให้ทันกับเวลา

คนช่วยงานในตอนนั้น ในขณะนี้บางคนก็เดินไม่ไหว บางคนก็มาวัดไม่ไหวและบางคนก็หนีไปนิพพานแล้วก็หลายท่าน ผมขอคุยเป็นตัวอย่างไว้แค่นี้ก่อน ขอผลัดไว้เล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป (ถ้ายังมีลมหายใจอยู่) ผมขอย้อนกลับมาหาเรื่องของท่านหญิง วิภาวดี รังสิต อีกครั้ง เพราะหากไม่ให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ผมคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิตก็ได้

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 4/12/11 at 13:04

เรื่องเดิม มีผู้เขียนเรื่องนี้มาแล้ว ๓ ครั้งคือ
๑. พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ในหนังสือ อนุสรณ์ ในการพระราชทานเพลิงศพ นางเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (ท่านอ๋อย) พร้อมทั้งลงจดหมายของท่านหญิงถึงท่านอ่อย ๒ ฉบับ ลงวันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๑๙ และ ๔ ก.ค. ๑๙

๒. หลวงพ่อท่านบันทึกเทปไว้ที่จังหวัดเชียงรายแล้ว คุณพรนุช คืนคงดี และคุณสมพร บุญยเกียรติ ช่วยกันถอดเทป ลงในหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ เพื่อเป็นอนุสรณ์ ในโอกาสคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อในเดือนตุลาคม ๒๕๒๔

๓. หลวงพ่อท่านพูดถึงบุคคลตัวอย่าง คือ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ลงในหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือน ก.พ. ๓๓ หากท่านผู้ใดได้ติดตามอ่านเรื่องของท่านหญิง วิภาวดี รังสิต แล้วก็คงหมดสงสัยว่า เมื่อท่านสิ้นชีพิตักษัย (ตาย) ไปแล้ว ขณะนี้ท่านอยู่ที่ใด

สำหรับผมเองหมดสงสัยตั้งแต่ได้เห็นพระพักตร์ของท่านยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด (ยิ้มอย่างผู้ชนะทุกอย่างในโลก) ในตอนที่ไปคอยรับพระศพ และตอนเคารพพระศพซึ่งคลุมด้วยธงชาติ ซึ่งยังติดตาและติดใจผมอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้

ข้อเท็จจริง
๑. ผมกับท่านหญิง วิภาวดี รังสิต ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย (ในชาตินี้) จนกระทั่งหลวงพ่อท่านแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ ที่บ้านรับรองในจวนผู้ว่าการจังหวัด นครศรีธรรมราช เมื่อผมทำความเคารพท่านแล้ว ท่านรับสั่งว่า “ความรู้สึกของหญิงบอกหญิงว่า หญิงไม่ได้พึ่งเคยรู้จักคุณหมอ หากแต่รู้จักกันมาไม่รู้กี่ชาติๆ แล้ว”

๒. ในวันนั้นท่านหญิงรับสั่งให้ผมเข้าพบในตำหนัก หรือวังส่วนพระองค์ซึ่งปลูกอยู่ในบริเวณจวนผู้ว่า พร้อมทั้งรับสั่งเรื่องของพระองค์ ให้ผมฟังอย่างสนิทสนมและไม่ถือองค์เลย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเคารพ และยำเกรงพระองค์ท่านมากขึ้น ต้องคอยระวังตัวพร้อม กาย วาจา ใจ ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ

๓. ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมจึงเป็นเสมือนคนสนิทของท่าน และเป็นที่สนทนาถึงธรรมปฏิบัติของท่าน (ทั้งๆ ที่การปฏิบัติธรรมของผมในขณะนั้นยังไม่มีอะไรเลยที่จะไปเปรียบกับท่านได้) เมื่อตื่นบรรทมแต่เช้าก่อนหลวงพ่อท่านฉันอาหารเช้า พระองค์จะรับสั่งกับผมทุกเช้าถึงการปฏิบัติธรรมของท่านในตอนกลางคืน

๔. ผมสังเกตว่า ธรรมของพระองค์ท่านเปลี่ยนแปลงไปทุกๆ วันไม่มีซ้ำกันเช่น เมื่อเจริญอานาปานัสสติ (ลมหายเข้าและออก) แล้วก็เข้าสู่ปีติ ปีติทั้ง ๕ อย่างพระองค์ได้หมดที่เขียนเช่นนี้เพราะหลังจากที่ ท่านรับสั่งกับผมแล้ว ก็จะถามหลวงพ่อตรงอีกครั้ง เพื่อความถูกต้อง

หลังจากนั้นแล้วไม่เกิดปีติอีก พอเริ่มปฏิบัติจิตจะรวมตัวเป็นหนึ่ง แล้วเข้าสู่การพิจารณาขันธ์ ๕ เลย (วิปัสสนา) และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ใช้วิปัสสนา หรือด้านการพิจารณาทางปัญญาตลอดมา (ผมเขียนตามสัญญาหรือความจำที่ผมฟังการสนทนาระหว่างท่านกับหลวงพ่อ)

๕. ทุกครั้งที่ออกหน่วยโดย ฮ. หากผมไปด้วย พระองค์จะประทับติดกับผมเสมอ และเรื่องที่รับสั่งล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะเกือบทั้งสิ้น แม้ในระหว่างเดินเยี่ยมตามฐานของตำรวจและทหาร หากมีเวลาส่วนองค์ จะรับสั่งเรื่องการปฏิบัติธรรมในตอนกลางคืนให้ผมฟังเสมอเรื่องที่รับสั่งเป็นปกติคือ ทุกข์

เพราะทุกข์ทั้งหลายล้วนมาห้อมล้อมใจของพระองค์ ทั้งเรื่องภารกิจของชาติและประชาชน ทางเรื่องครอบครัว และเรื่องส่วนองค์อื่นๆ พระองค์ไม่เคยปิดบังอะไรเลย เล่าให้ฟังหมด จนพระองค์เองก็แปลกใจต้องไปถามหลวงพ่อ (เมื่ออยู่กันเฉพาะแค่ ๓ คน คือ หลวงพ่อท่าน, ท่านหญิง และผม) ว่าหญิงกับหมอนี่เคยเป็นอะไรกันนะ หญิงมีความลับอะไร ต้องบอกคุณหมอหมดเลย ทั้งๆ ที่ไม่เคยบอกความลับเช่นนี้กับผู้อื่นมาก่อน แม้พระองค์จะทุกข์แค่ไหนและอย่างไร

ท่านก็ไม่เคยยอมแพ้ กลับเอาทุกข์นั้นมาพิจารณาด้วยปัญญาให้เขาสู่อริยสัจหมด ท่านรับสั่งกับผมว่า “แม้หญิงจะทุกข์ขนาดไหน หญิงก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมหวั่นไหว หญิงเอาทุกข์เหล่านั้นมาพิจารณาเป็นอริยสัจหมด” คือเห็นทุกข์ทั้งหลายที่มากระทบใจนี้เป็นของธรรมดา ที่ท่านรับสั่งกับผมแบบนี้ไม่ใช่ครั้งเดียว

๖. หลังจากเยี่ยมตำรวจ ทหารภาคใต้แล้ว ก็เสด็จไปเยี่ยมตำรวจ ทหารทางภาคเหนือกับคณะของหลวงพ่อท่าน พระองค์ก็ยังทรงเมตตาให้ความสนิทสนมกบผมตลอดมา มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งผมหวาดเสียวแทนท่าน เพราะท่านบินไปเยี่ยมฐานทหารที่มองเห็นฐานข้าศึกอยู่ข้างหน้าอย่างแจ้งชัด ขณะที่ไปถึง ผมยังมองเห็นเครื่องบินของฝ่ายตรงข้ามบินมาทิ้งของให้กับพวกเขากับตา

ผมยังต่อว่าพวกทหารว่า ทำไมถึงให้ท่านเสี่ยงขนาดนี้ ฝ่ายทหารตอบผมว่า ผมได้พยายามทัดทานท่านแล้ว แต่ท่านไม่ยอมจะเสด็จมาเยี่ยมให้ได้ ในตอนนั้นผมยังจำได้ดีว่า ฮ.ลงจอดไม่ได้ ต้องค่อยชะลอลงใกล้พื้นดินแล้วพวกเราต้องกระโดดลง พอลงหมด ฮ.จะดีดตัวไปทันที

เพราะหากจอดฝ่ายตรงข้ามอาจยิงปืน ค.มา ที่ผมกล้าไปนั้นไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะผมมีหลวงพ่อท่านไปด้วย และหลวงพ่อท่านก็ต้องโดดลง
๗. ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ เมื่อ ๒๙ ต.ค. ๑๙ และได้รับยศว่าที่นายพลตำรวจในวันเดียวกัน ซึ่งผมเองไม่รู้เรื่องเลย เพราะกำลังอยู่ในป่าออกเยี่ยมตำรวจ ทหาร กับหลวงพ่อ และท่านหญิง

เมื่อกลับมาจึงทราบ (เขาแต่งตั้งให้แล้วประมาณ ๒ วัน) หลวงพ่อท่านเลยเรียกผมว่า “นายพลป่า” เพราะเขาตั้งให้ขณะอยู่ในป่า เมื่อรับตำแหน่งใหม่ งานในหน้าที่ก็ยุ่ง เพราะเป็นของใหม่ ทุกข์ก็เพิ่มขึ้น การจะออกไปเยี่ยมตำรวจ ทหาร กับ หลวงพ่อ และท่านหญิงก็ต้องชะลอไว้

หลวงพ่อและท่านหญิงทราบดี ผมจึงห่างจากการติดตามไปจนอีก ๓ เดือนกว่าๆ ก็ได้รับทั้งวิทยุ และโทรศัพท์ทางไกลจาก จ.สุราษฎร์ธานี โดย พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ต.ต. ตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน)

๘. ตอนท่านหญิงเสด็จไปยุโรป ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงผม ๑ ฉบับ ดังนี้
23 Walpole Street
London S.W.3
วันที่ ๘ ก.ค.๑๙

เรียน คุณหมอ สมศักดิ์ทราบ
ฉันได้ออกเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ วันที่ ๑๕ เดือนก่อน ท่องเที่ยวมาได้ ๔ ประเทศทั้งอังกฤษนี้ แต่อาการไม่สู้ดีเลย อยากจะกลับไปเจริญวิปัสสนาที่วัดท่าซุงมากกว่าอย่างอื่น เพื่อนฉันที่นี่ล้วนแต่หรูหราและน่ารัก อยู่ปราสาทบ้าง บ้านสวยที่สุดบ้าง

เป็นดัชเชสก็มี เลดี้ต่างๆ ก็มี เมื่อก่อนฉันก็เคยคบชอบพอกันดี ตอนนี้ได้แต่ปลง มีข่าวประหลาดจะเล่าให้คุณหมอฟัง วงการจักษุแพทย์จะต้องงงไปหมดอยู่ๆ ต้อกระจกของฉันซึ่งเป็นมา ๔ ปีกว่า จนตาขวามืดไปเห็นแต่เพียงเงาๆ หมออุทัยว่าจะต้องผ่าตัดจึงจะหายนั้น บัดนี้หลวงปู่รักษา (ฉันท่องคาถาที่หลวงปู่ให้ทุกวัน)

หายได้ภายใน ๒๗ วัน เริ่มรักษาเมื่อวันที่ ๓ เดือนที่แล้ว หลวงปู่ว่า ๒๘ วันจะหาย พอถึงวันที่ ๒๗ ก็สว่างโร่ขึ้นมาจนตกใจไปหมด ท่านชายเมื่อแรกก็ไม่เชื่อ จนฉันใช้ตาข้างเสียอ่านหนังสือให้ฟัง (ปิดข้างดีเสีย) จึงต้องเชื่อแต่งงไปหมดเลย กลับไป ก.ท. คุณหมอช่วยนัดจักษุแพทย์ที่ร.พ.ของคุณหมอให้ใช้กล้องส่องดูตาฉันซิว่า ต้อยังอยู่ไหม

หมอที่ลอนดอนที่ Harley Street การใหญ่นัดพบทีเป็นอาทิตย์ๆ แล้วก็แพงมาก เสียเวลาด้วย ฉันเลยไม่อยากไปยุ่งด้วย กลางๆ เดือนนี้ก็จะกลับแล้ว จะติดต่อกับคุณหมอเพื่อนัดพบหมอตาที่ ร.ต.ตำรวจก็ยังได้ จะได้พิสูจน์กันหลายๆ คน เรื่องตาของฉันนี้ ถ้าคนอื่นมาเล่าให้ฟังก็แทบจะไม่เชื่อ นี่เกิดขึ้นกับตัวเองและฉันก็ถือศีล ๕

คงจะไม่หลอกคนทั้งเมืองเป็นแน่ กลับมาก็จะเอาตาไปให้จักษุแพทย์พิสูจน์ด้วย คงจะต้องงงกันบ้างเป็นแน่ เวลานี้ ตอนว่างๆ ฉันนั่ง edit เรื่องของหลวงพ่อที่จะพิมพ์ใหม่ ชื่อเรื่องกรรมฐาน ๔๐ คุณหมอเตรีมซื้อเถิด เยี่ยมมาก เมื่อกลับไปบ้าน ฉันเตรียมจะไปอยู่กับหลวงปู่เพื่อเขียนชีวประวัติของท่าน
คิดถึงมาก
วิภาวดี

๙. หลังเสด็จกลับเมืองไทย ท่านหญิงก็เสด็จเยี่ยมตำรวจและทหารพร้อมกับหลวงพ่อและคณะทางภาคเหนือหลายหน ผมได้สังเกตเห็นว่าในตอนเย็น ท่านเกือบไม่ได้เสวยอะไรเลย หากจะเสวยก็เสวยแบบเสียไม่ได้ เพราะผู้จัดหาอาหารมาชักชวนหนักเข้าๆ พร้อมทั้งพวกพระสหายต่างก็จัดของเสวยให้ ท่านจึงเสวยแบบเอาใจคน

กลัวเขาจะเสียกำลังใจ พอมีโอกาสว่างท่านหญิงก็รับสั่งกับผมว่า ความจริงไม่รู้สึกหิวเลย ปกติแล้วจะไม่เสวย เพราะหากเสวยเข้าไปแล้ว มันจะออก (อาเจียน) จิตมันอยากจะถืออุโบสถศีลอยู่เรื่อย เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ผมสังเกตทั้งที่เชียงใหม่ และเชียงราย ส่วนใหญ่จะเสวยแค่ผลไม้ ๒ – ๓ ชิ้น

๑๐. ตอนปลายปี ๑๙ หรือต้นปี เดือนมกราคม ๒๕๒๐ จำไม่ได้แน่ ท่านหญิงมีรับสั่งให้ผมเข้าเฝ้าที่วังวิทยุเป็นการส่วนพระองค์ ท่านหญิงทรงเมตตาต่อผมมากที่ให้ชมสมบัติอันล้ำค่าทั้งหมด พร้อมทั้งทรงอธิบายว่าได้มันมาจากที่ไหนบ้าง มีสมบัติหลายชิ้นที่ซื้อมาจากต่างประเทศ ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต

นอกนั้นก็มีพระพุทธรูปในสมัยโบราณ สวยงามมากอีกจำนวนหนึ่ง แล้วในที่สุดท่านก็สรุปว่า “สมบัติเหล่านี้มันไม่มีความหมายสำหรับท่าน วังวิทยุนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับท่าน” หากผมจำไม่ผิด หลังจากนั้นมาอีก ๑ – ๒ อาทิตย์ ผมก็ได้ข่าวว่าท่านหญิงได้ยกสมบัติอันมีค่าเหล่านี้ ให้แก่ทางพิพิธภัณฑ์ไปส่วนหนึ่ง และให้กับผู้อื่นที่ควรแก่การให้ไปอีกส่วนหนึ่งจนหมด

คำตรัสอีกประโยคหนึ่งที่ชอบตรัสเสมอก็คือ “ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” รู้สึกว่าพวกเราที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่ออีกหลายๆ คนที่ได้ยินจนชินหูในช่วงระยะ ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพิตักษัย

๑๑. พระศพได้ถูกนำเสด็จมาทางเครื่องบินในวันนั้น (๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐) เดิมจะให้ทางโรงพยาบาลตำรวจเป็นผู้จัดสถานที่รับพระศพ แต่ต่อมาได้ขอเปลี่ยนเป็นที่โรงพยาบาลจุฬาแทน ผมจึงได้พบกับบุคคลสำคัญ ๓ คน คือ

ก) พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในสมัยนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ต.ต.) นายตำรวจท่านนี้ มีความใกล้ชิดกับท่านหญิงมาก จะติดตามเสด็จทุกครั้งที่ท่านหญิงเสด็จไปจังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี ท่านได้เล่าให้ผมฟังว่า ท่านหญิงได้ประทานพระสมเด็จที่ทรงแขวนประจำองค์อยู่ให้กับตน

ในการเสด็จภาคใต้ครั้งสุดท้ายนี้ ไม่นึกเลยว่าท่านหญิงจะจากไปอย่างคาดไม่ถึง ถ้าผมรู้ก่อนผมจะไม่ยอมรับพระสมเด็จที่ประทานให้ และเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนเช้าให้ผมฟัง
ข) คุณทิพา ซึ่งเป็นข้าหลวงของท่านหญิง ติดตามและรับใช้ท่านหญิงมาตลอด ผมจึงมีความคุ้นเคยกับคุณทิพาดี ผมได้ถามคุณทิพาว่า เมื่อเช้านี้ ท่านหญิงรับสั่งกับทิพาว่าอย่างไร

ทิพาบอกว่า ท่านตื่นบรรทมแต่เช้าเหมือนปกติและเรียกทิพาไปพบและรับสั่งว่า ทิพา “ถ้าฉันตายเธออย่าร้องไห้นะ” ทิพาเลยปล่อยโฮใหญ่ และพูดว่า “ทำไมท่านหญิงรับสั่งอย่างนั้นล่ะเพคะ” ท่านหญิงทรงเงียบไม่ตอบ แต่รับสั่งเรื่องงานกับทิพาว่า ทิพาบ่าวชื่อนี้ เธอจ่ายเงินจำนวนเท่านี้ให้เขา บ่าวชื่อนี้จ่ายเงินให้เท่านี้

ทิพาก็รับคำสั่งโดยไม่ได้จด ท่านหญิงก็รับสั่งว่า “ทิพาคราวนี้เธอต้องจดนะ” จากนั้นก็ให้ทิพาออกไปและรับสั่งให้มาลีมาพบ
ค) คุณมาลี ซึ่งเป็นพยาบาลประจำหน่วยของท่านหญิง ผมจึงรู้จักเธอดี และได้ถามคุณมาลีว่า มาลีเมื่อเช้าท่านหญิงรับสั่งกับมาลีว่าอย่างไร

คุณมาลีตอบว่า ท่านหญิงรับสั่งว่า “มาลี คนอย่างฉันหากจะตาย ฉันไม่ขอตายในบ้าน เพราะมันไม่มีเกียรติ สำหรับฉัน ฉันจะต้องตายนอกบ้าน และศพของฉันจะต้องคลุมด้วยธงชาติ” ท่านหญิงรับสั่งกับมาลีเพียงเท่านี้ แล้วก็ไล่มาลีให้ออกมา

๑๒. เมื่อผมคุยกับท่านทั้งสามแล้ว ผมก็อุทานว่า “งั้น ท่านหญิงก็ทรงทราบล่วงหน้าก่อนแล้วซิ ว่าจะต้องจากไป” คุณทิพาจึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในคืนสุดท้ายนี้ ท่านหญิงก็ถวายสังฆทานกับหลวงปู่ธรรมชัย เหมือนกับท่านจะรู้ก่อนจริงๆ ด้วย

๑๓. รับสั่งครั้งสุดท้ายกับหลวงพ่อและหลวงปู่
ก) โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ หญิงไม่ต้องการมีร่างกายอีก ขอลาหลวงพ่อไปนิพพาน
ข) หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทูลท่านชายด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน

ค) หลวงพ่อ หญิงอยากไปนิพพาน ช่วยนำหญิงไปนิพพานด้วย (ประโยคนี้ผมจำไม่ได้แน่ว่าท่านอ๋อยเล่าให้ผมฟังหรือ พ.ต.ท.สุดินทร์) แสดงว่าในขณะนั้นท่านหญิงทรงมีสติ – สัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่แสดงอาการว่าเจ็บปวดแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ควรจะปวดมาก

ง) ท่านเงียบไปสักครู่ แล้วจึงเปล่งเสียงออกมาดังๆ ฟังชัดว่า โอ สว่างแล้วๆ ถึงนิพพานแล้วๆ สวยจัง เมื่อท่านหญิงทรงตรัสเองเช่นนั้นแล้วก็เงียบสงบ มีพระพักตร์ยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุขที่สุด ซึ่งผมได้เห็นอย่างใกล้ชิดตอนรับพระศพและเคารพพระศพที่คลุมด้วยธงชาติ ตามที่ท่านได้รับสั่งไว้กับคุณมาลี ในตอนเช้าวันนั้นทุกประการ

ข้อควรพิจารณา
ในฐานะที่ผมเป็นหมอตำรวจ ย่อมได้พบและเห็นคนที่ถูกยิงแล้วเสียชีวิตบ่อยๆ จึงขอเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับพระศพของท่านหญิง ที่ท่านได้ทรงแสดงธรรมให้ผมเห็นตามรายงานของแพทย์ และคำบอกเล่าของ พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น)

สรุปโดยย่อได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงถูกเฮลิคอปเตอร์นั้นหลายนัด แต่มีเพียงนัดเดียวที่ทะลุลำตัวเฮลิคอปเตอร์ เข้าด้านหน้าเฮลิคอปเตอร์เฉียดเท้าของนักบิน แล้วจึงมาโดนท่านหญิง (โดยเฉพาะ) เข้าหน้าท้อง กระสุนผ่านตับ ทะลุปอดข้างขวา แล้วออกด้านหลัง บาดแผลด้านหน้า รูกระสุนเข้าเล็ก

แต่ทางออกของกระสุนปืนใหญ่มาก จนมองเห็นเลือดและเนื้อของปอดออกมาจุกอยู่ที่ปากแผลชัดเจน ในลักษณะบาดแผลเช่นนี้ บุคคลธรรมดาแล้วควรจะเสียชีวิตทันที เพราะช็อค (shock) เนื่องจากการเสียเลือดมากอย่างกะทันหัน โดยมีการตกเลือดมากในช่องท้อง ในช่องปอด

และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความกดดันภายในช่องปอดถูกทำลายทันทีจนปอดข้างขวาทั้งหมดแฟบลงอย่างรวดเร็ว คนไข้จะช็อค เพราะขาดทั้งลมหายใจและเลือดไปเลี้ยงสมองอย่างกระทันหัน แต่เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง ท่านหญิงยังทรงมีสติสัมปชัญญะดีตลอดเวลา ยังชะลอขันธ์ ๕ กลับมาได้

และรับสั่งกับหลวงพ่อ – หลวงปู่ได้อย่างผู้มีสติดีตามข้อ ๑๓ โดยธรรมชาติที่ท่านแสดงให้ผมเห็นนี้ ผมจึงเข้าใจเอาเองว่า ท่านเป็นผู้ทรงฌานสมาบัติชั้นยอด สามารถใช้ฌานสมาบัติของท่านได้ทันทีเป็นอัตโนมัติเพื่อบรรเทาทุกขเวทนาทางกาย

และใช้วิปัสสนาญาณชั้นสูงพร้อมกันไปด้วยจึงทำให้จิตเป็นสุขตลอดเวลา สมจริงตามที่ท่านได้ตรัสไว้เสมอๆ ใน ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะดับขันธ์ว่า “ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” (ผมขออนุญาตขยายความว่า ความตายไม่มีความหมาย เพราะคนเราเกิดแล้วต้องตายทุกคน

ร่างกายนี้มันหาใช่เรา ใช่ของเราไม่ เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราเป็นเพียงผู้ที่อาศัยร่างกายนี้อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น โลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มีใครสามารถจะเอาสมบัติของโลกนี้ติดตัวไปได้เลย ไม่มีใครเป็นใหญ่ได้ ในโลกเพราะต้องมีความตายเป็นที่สุด

และโลกนี้มีความพร่องอยู่เป็นปกติ เนื่องจากตกเป็นทาสของตัณหา ขอสรุปว่า ท่านไม่ได้ติด วัตถุธาตุใดๆ ในโลกนี้แล้ว รวมทั้งร่างกายที่ท่านอาศัยอยู่ หรือจะกล่าวว่า ท่านไม่ได้ติดสมบัติใดๆ ในโลกแล้วก็คงไม่ผิด)

นอกจากนั้นท่านหญิงไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ ที่ไม่พอใจต่อผู้ก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย ทรงให้อภัยทานอยู่เป็นปกติ ด้วยบารมี ๑๐ ครบบริบูรณ์จากทานบารมี ศีล – เนกขัมมะ – ปัญญา – วิริยะ – ขันติ – สัจจ – อธิษฐาน – เมตตา และอุเบกขาบารมี ขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตาม (ธัมมะวิจยะ) บามี ๑๐

ดูแล้วจะเข้าใจเอง ดีกว่าให้ผู้อื่นมาเป็นผู้บอกให้ฟัง ๑๐๐๐ เท่าหรือ ๑๐๐๐๐ เท่าทีเดียว เมื่อเข้าใจด้วยตนเองแล้ว จึงจะเข้าใจในอารมณ์ช่างมันหรืออารมณ์อุเบกขาหรืออารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้ ว่ามันเป็นอันเดียวกัน แต่มันมีได้ตั้งแต่หยาบๆ มาหาชั้นกลาง และละเอียดตามลำดับ และยังเห็นได้ชัดว่าบางคน บางวัน ก็มีอารมณ์ช่างมัน

แต่บางวันกลายเป็นอารมณ์ช่างเผือกไปก็มีอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เพราะอารมณ์นี้ขึ้นอยู่กับศีลเป็นสำคัญ หากศีลยังเป็นศีล เต็มบ้าง ไม่เต็มบ้าง (ศีลน้ำขึ้น น้ำลง หรือโลกียศีล) อารมณ์ก็ยังขึ้นๆ ลงๆ ตามศีล แต่หากศีลของผู้ใดเป็นอัตโนมัติแล้ว หรือมีสีลานุสสติอยู่กับใจตลอดเวลา หรือโลกุตตรศีล หรือศีลของพระอริยะเบื้องต้น หรือศีลของพระโสดาบันนั่นเอง

ซึ่งเป็นอธิศีลจะไม่มีคำว่าเผลอ ไม่มีคำว่าขาด อีกต่อไป บุคคลเหล่านี้แหละจึงจะมีอารมณ์ช่างมันจริง แม้จะมีอะไรมากระทบก็ทรงอยู่ได้ แต่หากกระทบแรงๆ ย่อมมีความหวั่นไหวในตอนแรกเป็นธรรมดา แต่ท่านก็สามารถปรับอารมณ์ของตนเองได้ หรือช่วยตนเองได้ เอาตัวเองรอดได้ในเวลาไม่นาน (ตามบารมีที่ท่านมีอยู่ในขณะนั้น)

ผู้ที่หมดความหวั่นไหว เมื่อถูกกระทบ คือ พระอรหันต์เท่านั้น สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความหวั่นไหวก็คือศีลอีกนั่นแหละ แม้ศีลจะเป็นอธิศีลก็ตาม แต่ยังไม่ละเอียดพอ พระพุทธองค์จึงให้ใช้กรรมบถสิบคุมอารมณ์จิต ต่อไปจากกรรมบถสิบ พระองค์ทรงให้ใช้เทวธรรมคุมอารมณ์จิต ไม่ให้เกิดอารมณ์พอใจหรืออารมณ์ยินดีด้วยในกามฉันทะ และปฏิฆะ

โดยใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า ศีลคือแม่ของพระธรรม หรือศีลเป็นมารดาของพุทธศาสนา (ผมขอให้ท่านผู้อ่านจงพิจารณาเอง จะได้รู้ได้เห็นด้วยตนเอง เพราะธรรมของพระองค์ จะรู้ได้ เห็นได้จริงตามความเป็นจริงด้วยการปฏิบัติตามวิธีของพระองค์เท่านั้น และรู้ได้ เห็นได้ เฉพาะตนด้วย

หากผู้ใดปฏิบัติยังไม่ถึงหรือยังไม่เข้าใจธรรมะของพระองค์ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ ทางเห็นได้ เพราะตัวเข้าใจคือตัวปัญญาหรือสัมมาทิฎฐิเกิด ผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมะ ปัญญายังไม่เกิด หรือยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่)
หากจะใช้สังโยชน์เป็นเครื่องวัด ความดีของท่านหญิง ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผมคือ

๑. สักกายทิฏฐิ ข้อแรกนี้ชัดเจนในคำอุทานที่ว่า “ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ผมขอผ่านไป
๒. วิจิกิจฉา ข้อสองนี้ก็เช่นกัน ท่านเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยการปฏิบัติตาม ๑๐๐% คือปฏิบัติตามอริยมรรค ๘

ซึ่งย่อแล้วเหลือ ๓ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือปฏิบัติบูชาด้วยทาน ศีล ภาวนา ท่านปฏิบัติตลอดเวลาชนิดเป็นอกาลิโก (คือทำตลอดเวลาในทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน)
๓. ศีล เป็น อธิศีล หรือมีสีลานุสสติอยู่ในจิต โดยไม่ต้องระวังหรือกลัวหรือสงสัยว่าจะผิดศีลหรือไม่ จนกระทั่งแม้กรรมบถสิบ

เท่าที่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่านและได้สนทนาธรรมกับท่านเสมอๆ พรหมวิหารสี่ท่านเต็ม ๑๐๐% จากการเสียสละความสุขส่วนองค์ ทำทุกอย่างเพื่อประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อตำรวจ ทหารที่อยู่แนวหน้า สละแม้แต่ชีวิตและทรัพย์สินที่รักและหวงแหน โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น

ซึ่งเท่ากับตัดโลภะ (ราคะ) นั้นเอง ส่วนปฏิฆะนั้นเมื่อพรหมวิหารสี่เต็ม อารมณ์ไม่พอใจย่อมไม่เกิด หรือเกิดก็ดับไปทันที เรื่องกามฉันทะกับปฏิฆะนั้น ผมเพียงแค่คาดคะเน หรือเดา หรือเพียงแค่สงสัยเท่านั้น เพราะผมยังปฏิบัติไปไม่ถึง เมื่อยังไม่ถึงก็ต้องมีความสงสัยอยู่เป็นธรรมดา

อนึ่งจะเห็นได้จากลายพระหัตถ์ที่มีถึงท่านอ๋อย (๑๗ มิถุนายน ๒๕๑๙) และถึงผม (๘ กรกฎาคม ๒๕๑๙) ท่านรับว่าท่านทรงศีล ๕ เป็นปกติ แต่ใจมันอยากอยู่ในอุโบสถศีลเป็นปกติ และผมก็ขอยืนยันตามเหตุผลในข้อ ๙ ตามตำรา ศีล ๘ คือศีลของพระอนาคามี

เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งของท่าน เมื่อมีคุณธรรมถึงอนาคามี ศีล ๘ จะปรากฏเอง ไม่ใช่แกล้งทำ หรือต้องบังคับให้เป็นศีล ๘ เหมือนกับผมซึ่งพยายามรักษาศีล ๘ ไว้เกิน ๑๐ ปีแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีคุณธรรมของพระอนาคามีปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย ผู้ที่ถือศีล ๘ ได้ในขณะนี้มีเป็นแสนๆ คน

แต่ผู้ที่มีคุณธรรมครบหายากจริงๆ แม้แต่พระสมมติสงฆ์และสามเณร กว่าสามแสนรูปก็เช่นกัน (ยังไม่รวมพวกชีอีกไม่รู้เท่าใด ผมเคยสนทนาด้วยกับชีบางคน พบว่ายังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าศีล ๘ มีอะไรบ้าง น่าเศร้าจริงๆ) ดังนั้นการถือศีล ๘ จึงไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร หากผู้ใดถือศีล ๘ แล้ว

ไปเที่ยวอวดผู้อื่น หวังประโยชน์จากการถือศีล ๘ ในทางโลก (โลกธรรม) เพื่อตนก็น่าเศร้าเช่นกัน ผู้ถือศีล ๘ โดยขาดปัญญา จึงเป็นการเบียดเบียนตนเอง ทรมานตนเองโดยเปล่าประโยชน์ และยังทำให้จิตเศร้าหมอง (จิตเป็นกิเลสหรือเกิดกิเลส) เนื่องจากความฟุ้งซ่านของจิต ความสงสัยที่เกิดกับจิตว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้น ที่ตนกินไปนั้น ที่เวลาเกินเที่ยงไปนั้น มันจะผิดศีลหรือเปล่า

จิตเต็มไปด้วยความสงสัย ความระแวง จิตจึงเกิดกิเลสเมื่อกิเลสเกิด อารมณ์พอใจ หรือไม่พอใจย่อมเกิด (ตัณหา) เมื่อตัณหาเกิด อุปาทานก็เกิด ผลคือจิตก็ปรุงแต่งไปและสร้างอกุศลกรรมต่อ ทางใจไปสู่ทางวาจาและออกทางกายในที่สุด และมีบางคนศีล ๕ ยังไม่ครบเลยเห็นเขาถือศีล ๘ ก็ถือกับเขาบ้าง

โอกาสใกล้นรกจึงมีมากขึ้น ผู้ใดมีปัญญาให้ใช้วิธีของหลวงพ่อท่านคือถือเฉพาะเวลา เช่น ตอนเจริญกรรมฐาน เจตนาคือตัวบุญ ขอให้บริสุทธิ์จริงๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ จิตก็จะไม่เศร้าหมอง สำหรับท่านหญิงนั้นศีล ๘ ได้ปรากฏขึ้นกับจิตของท่านเองเมื่อประมาณ ๖ – ๗ เดือนก่อนจะทิ้งขันธ์ ๕ ตามตำรากล่าวว่า เมื่อฆราวาสจบกิจพระศาสนา จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๑ วันหรือ ๒๔ ชั่วโมง

สำหรับส่วนตัวผมมั่นใจว่า ท่านหญิงทรงทราบอยู่แล้วว่าจบกิจจึงได้บอกกับคุณทิพา และคุณมาลีให้รับทราบตามตรง (โปรดย้อนดูข้อเท็จจริง ข้อที่ ๑๑) แต่ทั้งสองคนไม่เข้าใจ นอกจากนั้นหลวงพ่อท่านก็รู้ ตามที่พระมาบอกท่านว่า ท่านหญิงจบกิจเมื่อเวลา ๒ นาฬิกา แต่ขณะนั้นหลวงพ่อท่านพักอยู่ที่ ตชด. เขต ๘ ทุ่งสง

ส่วนท่านหญิงอยู่ที่บ้านรับรองของโรงปูน ส่วนรายละเอียดผมจะไม่ขอเขียนอีก เพราะหลวงพ่อท่านเล่าไว้ละเอียดแล้ว ปัญหามีอยู่มากในขณะนั้น (เรื่องของโลกธรรม) เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจเรื่องฆราวาสจบกิจในพุทธศาสนาจะต้องตายภายใน ๒๔ ชั่วโมง

(ท่านเจ้ากรม พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านเขียนไว้ชัดในหนังสืออนุสรณ์ ในการพระราชทานเพลิงศพภรรยาของท่าน) ผมก็ของดกล่าวเพราะในหนังสือเล่มนั้นมีของดีๆ น่าอ่าน น่าศึกษาอยู่มาก ต่อเมื่อเวลาได้ล่วงเลยมากว่า ๑๐ ปี แล้วจนถึงในปัจจุบัน ปัญหานี้ก็หมดไป

เพราะมีผู้มาปฏิบัติธรรมและฝึกมโนมยิทธิกันเป็นจำนวนมากกว่าแสนคน ซึ่งสามารถจะพิสูจน์ความจริงในพระศาสนาได้ด้วยตนเอง หลังจากท่านหญิงสิ้นชีพิตักษัยเพื่อประเทศชาติไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า สถาปนาขึ้นเป็นพระองค์หญิง วิภาวดีรังสิต เพื่อตอบแทนคุณความดีของพระองค์ท่าน

บทสรุปส่งท้าย
๑. หลวงพ่อท่านยกเอาท่านหญิงเป็นบุคคลตัวอย่าง ในการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบหรือสุปฏิปันโน ผมจึงแนะนำให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับไปดูธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ อีกครั้ง เพราะการเห็นพระ (อริยะ) จัดเป็นอุดมมงคล (ในมงคลสูตร)

๒. ขอให้ผู้อ่านพยายามศึกษาปฏิปทาหรือการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของท่านหญิง (ตามอิทธิบาท ๔ และอริยมรรค ๘) อย่างละเอียด เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อที่ใช้เวลาปฏิบัติเพียง ๘ เดือน เรียนวิธีปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงพ่อเพียง ๗ วัน ท่านก็สามารถจบกิจพระศาสนาได้

๓. การปฏิบัติของท่านยึดการปฏิบัติที่ใจเป็นหลัก (ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จที่ใจ) ท่านมิได้หยุดงานประจำ ไม่ได้ปลงผมและนุ่งขาว ห่มขาว ไม่ได้มานั่งเกาะหลวงพ่อตลอดเวลา ไม่ได้ยึดวัดหรือยึดสถานที่เป็นหลัก ไม่ต้องเลือกเวลา ตั้งเวลาว่าต้องเวลานั้น เวลานี้

แต่ปฏิบัติอยู่ที่ใจตลอดเวลา ในทุกอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน (ทั้งงานด้านทางโลกและงานด้านทางธรรม ถ้าเข้าใจแล้วก็สามารถปฏิบัติจิตไปพร้อมๆ กันได้)
๔. ท่านยึดสังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางปฏิบัติ ท่านเข้าใจดีว่า ศีลเป็นแม่ของพระธรรมเป็นมารดาของพระพุทธศาสนา สังโยชน์ ๓ ข้อแรกจึงมีความสำคัญอยู่ที่ข้อ ๓

ท่านจึงทรงมีอธิศีลในศีล ๕ ต่อไปก็ทรงกรรมบถสิบครบ (ในระยะ ๗ – ๘ เดือนที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านได้สนทนากับท่านไม่เคยได้ยินท่านตำหนิใคร ไม่เคยยกตนข่มผู้อื่น ไม่เคยยกตนเองว่าดี และไม่เคยยุ่งเรื่องของชาวบ้านในเรื่องส่วนตัวนอกหน้าที่ของท่าน หมายถึงไม่เอาจิตเข้าไปผูกพันให้เกิดทุกข์ ยามช่วยราษฎรก็ช่วยอย่างสุดกำลังหรือทำดีที่สุดเท่าที่จะพึงช่วยได้ พึงทำได้

แต่เมื่อหมดเวลาแล้วจะไม่เป็นทุกข์เพราะเอาจิตไปผูกพัน ทรงแยกได้ว่าอย่างไหนโลก (หน้าที่) อย่างไหนธรรม (ทางที่จะพ้นโลก) เมื่อศีลบริสุทธิ์เป็นอธิศีล ย่อมทำให้จิตบริสุทธิ์ตาม (อธิจิต) ส่งผลทำให้เกิดมีความคิดเห็นถูกหรือสัมมาทิฏฐิ หรือเกิดปัญญาในทางธรรม และพระอริยสงฆ์ ผู้หมดสงสัยย่อมปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด

สัมมาทิฏฐิคือตัวเข้าใจหรือตัวปัญญาซึ่งเป็นอริยมรรคองค์แรกของอริยมรรคอันมีองค์ ๘ เมื่อบุคคลใดเข้าใจ มีปัญญาย่อมหมดความสงสัยและย่อมเลือกเดินทางได้ถูกต้อง คือไม่มีวันเดินทางผิด (ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ) พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ไม่มีโทษอันใดที่จะร้ายแรงเท่ากับมิจฉาทิฏฐิ”

เพราะหากเราเริ่มต้นผิด การกระทำของเราก็จะผิดตลอด และด้านตรงข้ามหากเราเริ่มต้นถูกมันก็จะถูกตลอด พระองค์ทรงเห็นแล้วด้วยญาณทัสนะอันบริสุทธิ์จึงได้จัดให้สัมมาทิฏฐิ เป็นองค์แรกในอริยมรรค ๘ ผมจำได้ว่าเรื่องนี้หลวงพ่อท่านเปรียบสัมมาทิฏฐิเหมือนหัวรถจักร (หัวรถไฟ)

หากเรายึดหัวรถจักรได้และตั้งทิศทางที่จะไปได้ถูกต้อง (มรรคแปลว่าทาง) รถย่อมพาเราไปถึงที่หมายถูกต้องและแน่นอน ในทางปฏิบัติองค์ ๗ ที่เหลือก็จะเกิดขึ้นมาเองและถูกจูงไปทางเดียวกันหมด ทำนองเดียวกัน พวกมิจฉาทิฏฐิ จับหัวรถไฟได้เหมือนกันแต่เลือกทางวิ่ง ทางเดินผิด (เพราะเป็นมิจฉามรรค) มิจฉาอีก ๗ ตัวก็จะเกิดตามมาเป็นขบวนเช่นกัน

ให้จำง่ายๆ ว่าอริยมรรคอันมีองค์แปดก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “ตราบใดที่ยังมีบุคคลปฏิบัติตามอริยมรรคแปดของตถาคตแล้ว ตราบนั้นโลกนี้จะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า”

๕. ท่านหญิงท่านก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ และก็พ้นทุกข์ได้จริงตามที่พระองค์ตรัสไว้ มิได้ไปอาศัยการเข้าทรง ให้องค์นั้น องค์นี้มาประทับมาสอนให้วุ่นวายไปหมด ท่านมีปัญญา อันเกิดจากอธิศีลและอธิจิต ทำให้เกิดปัญญาอันเป็นสัมมาทิฏฐิหมดสงสัยในธรรมที่หลวงพ่อท่านสอน

ว่าเป็นสัมมามรรค เป็นสัมมาปฏิปทา จงพ้นทุกข์ได้จริงภายในเวลา ๘ เดือนเท่านั้น ท่านใช้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่ได้พึ่งสิ่งอื่นนอกตัวหรืออำนาจของผู้อื่นมาบันดาลให้เกิดผล
๖. ผู้ใดที่อ่านบุคคลตัวอย่าง (ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต) ของหลวงพ่อท่านแล้ว หากกลับไปทบทวนดูใจ ดูอารมณ์ของตนเองอย่างเป็นธรรม ย่อมต้องเห็นความชั่ว

ความเลวของจิตของตนเองอีกมากมายเหมือนกับที่ผมเห็นอารมณ์ชั่ว อารมณ์เลวของผมอยู่เกือบตลอดเวลาและพยายามแก้ไข ต่อสู้กับมันอยู่เกือบตลอดเวลาเช่นกัน (อัตนา โจทยัต ตานัง) ค่อยเพ่งดูจิตตนเอง คอยจับผิดที่ใจตนเองและคอยแก้ไขความผิดที่ใจตนเองไว้เสมอ เป็นอกาลิโก

แต่ก็ยังพบความชั่วความเลวอยู่ทุกๆ วัน จึงขอยืนยันว่า หากผู้ใดที่ยังไม่เห็นความชั่วความเลวที่ใจตนได้ ผู้นั้นจะไม่มีทางละความชั่วได้ (เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุ) แต่หากผู้ใดเข้าใจ แล้วกลับตัวกลับใจได้ (มาเป็นสัมมาทิฏฐิ) ก็ไม่มีอะไรที่สายเกินแก้ในพระพุทธศาสนา

(ส่วนดีของบทความนี้ขออุทิศถวายแด่ พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ส่วนเลวผมขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 16/12/11 at 13:41

25

บันทึกจากลูกศิษย์


มุกดา ภู่นิยม


ฉันขอขมาพระรัตนตรัย และกราบขออภัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ถ้าจะมีการเขียนเรื่องผิดพลาดไปบ้าง

พ่อของฉันทำสวนและทำสมาธิได้ด้วยตนเอง ท่านทำสมาธิเพื่อหวังจะรักษาโรคให้กับผู้ป่วยไข้ ท่านสามารถกำหนดดิน น้ำ ลม และไฟได้อย่างใส แล้วท่านเพ่งดิน น้ำ ลม และไฟนี้มารวมกันได้เป็นจุดเดียว ท่านสามารถรักษาโรคฝีที่ใต้หูของลูกได้ โดยเพ่งเอาหัวฝีมาอยู่ในขันน้ำ แล้วใช้มีดผ่าตัดฝีในขันนั้น

ขณะผ่าตัดเสร็จ แม่ของฉันก็เห็นฝีของลูกแตกมีหนองไหล โรคฝีก็หาย ต่อมาพ่อถูกหลอกไปรดน้ำมนต์บ่อยๆ พ่อไม่พอใจและคิดอาฆาตในใจ จากนั้นพ่อนอนไม่หลับเป็นเดือน จากนั้นก็มีอาการร้อนรุ่มกลุ้มใจ ไม่อยากอยู่บ้าน อาการหนักเข้าก็มีเสียงพูดในหูให้ไปโน่นไปนี่ ในที่สุดมันชวนให้ไปในสถานที่อันตราย

ตัวอย่างเช่น บอกให้ไปนอนที่รางรถไฟ ขณะรถไฟกำลังแล่นมา พ่อก็เถียงกับมันว่า มึงจะให้กูตายละซิ บางครั้งให้เข้าไปในโกดังเก็บของในเวลากลางคืน ที่มีแขกยามเฝ้าอยู่ พ่อก็เถียงว่า ยามมันก็ตีกูตาย พ่อไม่ทำตาม พ่อก็ปวดหัวมาก เหมือนมันเอาไม้ตีหัวของพ่อ พ่อก็อดทนไม่ทำตามมัน

พ่อออกจากบ้านและหาพระรักษาด้วย แต่มันก็ชวนให้ไปหาพระองค์นั้นองค์นี้รักษา พ่อก็ไม่ทำตาม และยังบอกคาถาและตัวยารักษาให้ด้วย พ่อก็ไม่ต้องการ พ่อไปหาพระรักษาหลายองค์ แต่รักษาได้บ้าง แต่ยังมีเสียงในหูอยู่ ในที่สุดก็ไปหา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค รักษา ท่านให้ยามาต้มกิน

พ่อเอายามาต้มกิน เสียงในหูบอกว่ายาของกูดีกว่า พ่อก็บอกว่ายาของเอ็งมีตัวยาอะไรบ้าง ขณะมันบอกพ่อก็เอายาของหลวงพ่อปานมากิน ระหว่างจะกิน ก็มีเท้ายื่นออกมาจากถ้วยยา มายันหน้าไม่ให้พ่อกินยา พ่อกำหนดรูปพระพุทธเจ้าลงในถ้วยยาแล้วจึงกิน เสียงพูดในหูบอกว่า อ๋อๆ กูชวนมึงมึงไม่ทำตาม แล้วยังเอายามารดกระบาลกูอีก เสียงกูก็แหบละซิ

มันยังชวนไปในที่ต่างๆ และบางทีเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง พ่อก็ฟังและไม่ทำตามที่มันสั่ง ก่อนกินยาพ่อต้องเพ่งพระพุทธเจ้าลงในถ้วยยาก่อนกินเสมอ ถ้าเผลอจะมีเท้าออกมาจากถ้วยยามายันหน้าไว้ กับชวนพูดคุยเหมือนเดิม แต่เสียงแห้งลง จนไม่มีเสียง ในที่สุดพ่อหายสบายดี พ่อไปกราบหลวงพ่อปาน แล้วบอกท่านว่าจะกลับไปทำสวนให้ร่ำรวยก่อน

แล้วจะมาเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อปาน เพราะไม่ได้ทำมาหากินมานาน ๒ ปีแล้ว ท่านมาทำสวนจนร่ำรวย แล้วกลับไปหาหลวงพ่อปาน วันที่ไปถึงเป็นวันเผาศพท่านพอดี พ่อของฉันจึงปฏิบัติธรรมตามแบบของหลวงพ่อปานบ้าง ศึกษาจากตำราบ้าง ไปหาหลวงพ่อเก่งๆ บ้าง แล้วปฏิบัติตามท่านบ้าง ตอนบั้นปลายชีวิตของพ่อเป็นเวลา ๑๐ ปีได้

พ่อได้โมทนาบุญกับฉัน ซึ่งฉันได้ทำบุญกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานทุกเดือน และได้แต่บอกพ่อว่า พ่ออย่าติดในทรัพย์สมบัติ ไปนิพพานนะพ่อ พ่อไม่ต้องห่วงลูก ลูกจะไปนิพพาน จะนำทรัพย์สมบัติไปด้วย พ่อก็โมทนาด้วยการยกมือไหว้ ตอนพ่อเสียชีวิตพ่อว่า พุทโธ แล้วจากไป เมื่อ ๕ เมษายน ๒๕๒๗ มีอายุรวม ๙๐ ปี

ฉันมีความสุขในสมัยที่เป็นเด็ก พอโตขึ้นเริ่มมีความทุกข์ มีความเจ็บป่วย และมีปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของพ่อและหน้าที่การงาน ฉันต้องแก้ปัญหาหลายเรื่อง ฉันได้พบหลวงพ่อ และได้มาพึ่งบารมีพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยานด้วยวิธีที่ประทับใจ แม้เวลาจะทำบุญกับท่านก็ประทับใจ เก็บเอาไปภาคภูมิใจ

วันหนึ่งฉันไปหาเพื่อนที่พรานนก เขาบอกว่าไปดูหลวงพ่อมหาวีระมาทำพิธีที่วัดระฆังกันไหม ฉันก็อยากเห็นหลวงพ่อ เพราะพี่สาวเคยไปหาท่านกับเพื่อนคนนี้หลังเลิกงานตอนเย็น ฉันได้เข้าไปเดินรอบโบสถ์และสามารถมองเข้าไปในโบสถ์ได้ ฉันชะเง้อมองหาท่าน และถามเพื่อนว่าองค์ไหน เพื่อนก็บอกว่า องค์นั้นๆ ฉันก็ยังไม่เห็นท่าน

ท่านชะเง้อหน้าให้ฉันเห็น เพื่อนก็บอกว่าองค์ที่ชะเง้อหน้านั่นแหละ ในใจของฉันก็คิดว่าเราได้ดูไม่ได้ไหว้ท่าน แต่ก็คิดว่าก็เรามาดูจริงๆ นี่ จากวันนั้นจนเดี๋ยวนี้ ฉันได้ไปหาท่านทุกเดือน ฉันเฝ้าสังเกตจะจะจำคำสอนของท่านทุกครั้ง โดยฉันหอบความทุกข์

ความกังวลใจไปพบท่านด้วย ฉันได้นำความสงสัยในปัญหาของฉันไปประกบกับคำสอนที่ท่านสอน ฟังทุกครั้งเป็นธรรมที่ฉันนำไปแก้ไขในปัญหาของฉันได้ทุกครั้งไป เพราะเสมือนบอกให้รู้ว่าคู่ปัญหาของฉันเขาจะปฏิบัติการกับฉันอย่างไร บางครั้งฉันทุกข์ร้อนด้วยความกลัว ท่านก็มาคุ้มครอง เพราะเมื่อฉันเลิกกลัว ฉันฝันเห็นท่านมาอยู่ใกล้ๆ แล้วบอกว่า ท่านจะไปละ

บางครั้งฉันมีเรื่องกับคนงาน ฉันฝันเห็นท่านกับลูกศิษย์ใกล้ชิดมาวงสายสิญจน์ล้อมบ้านให้ฉัน ฉันก็พ้นทุกข์ แม้ที่ทำงานของฉัน ฉันฝันว่าพระมาเตือนให้เก็บเงินไว้ให้ดี ส่วนสิ่งของที่ฉันรับผิดชอบ พระท่านจะช่วยดูแล ใกล้เวลาที่เรื่องทุกข์ร้อนจะเบาบางลง ท่านก็อวยพรให้ฉันชนะศัตรู เพราะฉันได้ไปทำบุญแล้วบวงสรวงในงานหล่อพระรูปหลวงพ่อปาน

และแม้จะเดินทางกลับ ท่านยังให้พรเหมือนคำพูดเดิม คือชนะศัตรู และก่อนกลับให้อธิษฐานที่หน้าพระรูปรัชกาลที่ ๑ ฉันทำบุญกับท่านก่อนกลับแล้วทำตามท่านบอก และต่อมาเสมือนท่านจะชวนให้ไปในงานฉลอง พระเจ้าพรหมมหาราชเพราะฝันเห็นสถานที่ ที่นักเรียนร่ายรำถวาย ฉันต้องรีบมาซื้อบัตรในตอนเย็นวันจันทร์

ฉันได้รับความรู้จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน โดยไม่ได้เขียนคำถามถามท่าน เพราะเกรงว่าฉันจะรบกวนท่าน แต่ท่านก็เมตตาฉันเสมอด้วยระยะเวลาอันยาวนาน ฉันได้รับความรู้จากท่านทุกเดือน และทุกคืนถ้ามีปัญหาฉุกเฉินด้วยการฝัน จนขณะนี้ฉันได้เขียนจดหมายถึงท่านเพียง ๑ ฉบับ

ถามว่าจะโค่นต้นไทรต้นโพธิ์ทิ้งได้ไหม เพราะฉันสร้างศาลไว้ให้ท่านแล้ว เพราะต้นโพธิ์ ต้นไทรจะบังต้นผลไม้ ขณะเขียนส่งไปเสร็จ ฉันคิดว่าฉันถามท่านแบบโง่ๆ แต่ท่านก็เมตตาตอบว่าไม่ต้องโค่น เอาไว้แขวนชิงช้า แม้แผ่นดินจะไหวก็ไม่ต้องกลัว และด้วยคำเตือนนี้ ฉันคิดใหม่ว่ามีความหมายมากมายทีเดียว

ll กลับสู่สารบัญ


26

พระคุณของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


ร้อยตรี ม.ล.วรวัฒน – กานดา นวรัตน


ธรรมะที่หลวงพ่อสอนลูกหลานนั้น มีจุดมุ่งหมายให้ไปพระนิพพานในชาติปัจจุบัน แต่ถ้าลูกหลานคนใดบารมียังไม่ถึงพระนิพพาน หลวงพ่อก็เมตตาสอนวิธีหนีให้พ้นอบายภูมิ ไปหยุดพักที่สวรรค์หรือพรหมโลกเสียครั้งหนึ่งก่อน รอเมื่อสมเด็จพระศรีอาริย์ ลงมาตรัสรู้แล้ว

ไปเฝ้าฟังธรรมะของพระองค์ท่านอีกครั้ง ก็จะได้เป็นพระอรหันต์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป พระคุณของหลวงพ่อใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้ามหาสมุทร สุดที่ลูกหลานจะตอบแทนพระคุณได้ ดังนั้นลูกหลานของหลวงพ่อจึงกตัญญูกตเวทีโดยตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อจะเดินตามรอย พระบาทสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

และตามรอยเท้าหลวงพ่อ มุ่งลัดตัดตรงไปสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ หลวงพ่อได้ถ่ายทอดธรรมะที่พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันได้เมตตาสอนไว้ เป็นธรรมะที่ย่อสั้นที่สุด แต่ได้ใจความมากที่สุด และถูกใจลูกมากที่สุด คือ “ตัดขันธ์ห้า” ให้เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหานก็จะไปสูพระนิพพานได้

ll กลับสู่สารบัญ


27

หลวงพ่อเมตตา


วันดี เวสารัชชานนท์


ปี ๒๕๑๗ ป้าเล้ง (ปกติเป็นไวยาวัจกรอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้ง แต่ชอบมาทำบุญให้ท่านพ่อลีที่วัดอโศการาม) ป้าเล้งได้หนังสือประวัติหลวงพ่อปานจากวัดอโศการาม จึงเอามาให้ฉันที่บ้านที่จันทบุรี เวลาฉันนั่งรถกับคุณพ่อ คุณแม่เพื่อมาสวนที่จันทบุรี ก็จะอ่านหนังสือนี่ให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง เพราะเห็นว่าหนังสือที่หลวงพ่อเขียนอ่านแล้วเข้าใจ และชอบ

จึงเอามาอ่านให้คุณแม่ฟัง เวลาคุณสมบูรณ์ (พี่ชาย) มาจากกรุงเทพฯ ก็อ่านให้เขาฟังบ้าง พอเขาได้อ่านบ้าง เขาก็ตามหาหลวงพ่อ เมื่อฉันอ่านแล้ว เชื่อว่าหลวงพ่อเป็นพระปฏิบัติตามแนวสอนของพระพุทธเจ้า อ่านแล้วก็เชื่อว่าท่านเป็นอริยเจ้าแล้ว และคำสอนที่ท่านเขียนในหนังสือ เราสามารถปฏิบัติตามท่านได้

ถึงแม้จะทำงาน ทำมาหากิน วุ่นวายอยู่ก็ปฏิบัติตามท่านได้ อ่านให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง ก็คิดว่าท่านอายุมากแล้ว อยากให้ท่านมีความสุข และเข้าถึงธรรมด้วย คุณพ่อคุณแม่ฟังแล้วก็ชอบ คุณสมบูรณ์ฟังที่อ่านให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง เขาก็ตามหาหลวงพ่อ และเขาก็เอาหนังสือหลวงพ่อมาแจกให้น้าเสงี่ยม สังกรณีย์

น้าเสงี่ยมอ่านแล้วก็มาหาหลวงพ่อที่วัดท่าซุง แล้วน้าเสงี่ยมก็นิมนต์หลวงพ่อมาพักที่บ้าน เมื่อหลวงพ่อมาพักที่บ้านน้าเสงี่ยม ฉันก็สร้างพระพุทธชินราช พร้อมกับสร้างพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรไว้ที่วัดป่าคลองกุ้งแล้ว ก็เลยนิมนต์หลวงพ่อมาฉลองพระ หลวงพ่อก็เมตตามาร่วมฉลองพระด้วย พี่น้องฉัน ๙ คนก็ร่วมสร้างอีกองค์

สร้างแบบเดียวกันไปไว้ที่โบสถ์ที่วัดขนุน ก็นิมนต์หลวงพ่อไปเททองหล่อที่กรุงเทพฯ แล้วนำไปไว้ที่วัดขนุน ตอนไปฉลองที่วัดขนุน หลวงพ่อก็เมตตาไปร่วมด้วยอีก ภายหลังได้สร้างบ้านพักไว้ในสวนทุเรียนที่ ตำบลห้วยสะท้อน อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี

กราบเรียนหลวงพ่อว่าถ้ามาที่จันทบุรีเมื่อไร นิมนต์หลวงพ่อมาพักได้ ระยะนั้นหลวงพ่อมาเยี่ยมทหารชายแดนหลายครั้ง แต่ละครั้งก็มาแวะค้างที่บ้านในสวน พอตอนหลังหลวงพ่อป่วย ไม่ออกไปต่างจังหวัด ก็ไม่ไปไหน ส่วนมากอยู่วัด และเพิ่งจะมาอีกในปี ๒๕๓๒ และปี ๒๕๓๓ นี้

คำสอนของหลวงพ่ออ่านให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง เพราะเป็นห่วงท่าน คำสอนของหลวงพ่อก็ช่วยท่านได้มากเพราะรักคุณพ่อคุณแม่มาก และให้ท่านทำบุญ พอท่านทั้งสองเสียชีวิต เวลาทำบุญก็ถามหลวงพ่อว่า ท่านอยู่ไหน หลวงพ่อก็บอกว่า คุณแม่อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ดีใจ

พอคุณพ่อป่วย หลวงพ่อก็ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลศิริราช หลวงพ่อก็คุยกับคุณพ่อ พอหลวงพ่อกลับ ก็พาคุณพ่อกลับจันทบุรี แล้วท่านก็เสียชีวิต การที่หลวงพ่อไปเยี่ยมคุณพ่อที่โรงพยาบาล เป็นการไปสงเคราะห์คุณพ่อ คุณพ่อก็ไม่ห่วงอะไร มีสติดี (ปกติคุณพ่อชอบไปวัด)

พอหลวงพ่อมาที่บ้าน ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อและคุณแม่ที่บ้านในสวน ก็ถามหลวงพ่อๆ บอกว่า คุณพ่อไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว อยู่ใกล้พระจุฬามณีมากกว่าคุณแม่ หลวงพ่อบอกว่า คุณพ่อไปแล้วก็มีความสุข

พี่ชายปฏิบัติธรรม (พี่ชายชื่อสมมา) ฝึกมโนมยิทธิ ก็ปฏิบัติตามที่ฝึกได้ แล้วขึ้นไปหาคุณพ่อคุณแม่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เลย ทำให้ฉันมีความสบายใจที่คุณพ่อคุณแม่สุขสงบดีแล้ว ทำให้ฉันมีความมั่นใจทำความดีตามที่หลวงพ่อสอน

ฉันมีความรู้สึกว่าเป็นผู้ที่โชคดี ที่หลวงพ่อมาโปรดถึงที่บ้านหลายครั้ง ทำให้มีความสุขใจและภูมิใจเป็นที่สุด ที่หลวงพ่อได้เมตตาสงเคราะห์ฉันและพี่น้องของฉัน ซึ่งฉันมีความเคารพเชื่อมั่นหลวงพ่อมาก และขอปฏิบัติตามแนวคำสอนของหลวงพ่อ เพื่อถึงที่สุดที่ฉันปรารถนาเอาไว้

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 25/12/11 at 14:21

28

หลวงพ่อของผม


สมบูรณ์ เวสารัชชานนท์


เดิมทีเดียวหลวงพ่อออก หนังสือประวัติหลวงพ่อปานรุ่นที่ ๒ เป็นเล่มมาจำหน่าย ประมาณปี ๒๕๑๗ ก่อนหน้านั้นผมเป็นคนไม่สนใจเรื่องพระพุทธศาสนา เพราะตอนเด็กๆ เห็นพระซื้อล็อตเตอรี่ เลยโกรธ ทำให้ไม่สนใจเรื่องนี้ ครั้นน้องสาว (วันดี) เอาหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาให้อ่าน จึงไม่ยอมอ่าน เพราะไม่สนใจ

ต่อมาคุณแม่ให้ขับรถมาส่งที่สวนจันทบุรี น้องสาวก็อ่านประวัติหลวงพ่อปานให้แม่ฟังในรถ หูก็ได้ยินและสนใจเรื่องทิพยจักขุญาณและเรื่องผี (ผมกลัวผีมาแต่เด็ก) พอฟังเรื่องในรถที่น้องสาวอ่าน ก็คิดว่ากลับกรุงเทพฯ เมื่อไรจะต้องพิสูจน์เรื่องทิพยจักขุญาณและเรื่องผีให้ได้ จึงไปหาคนทรงหลายแห่ง ซึ่งล้วนแต่เจอสิ่งที่น่าเชื่อถือมากด้วยตาตนเอง

และยังไปพบนายตำรวจที่มีทิพยจักขุญาณทายอะไรเหมือนกับเห็นด้วยตาเปล่า ทำให้รู้สึกทึ่งมาก และทำให้ผมเชื่อเรื่องทิพยจักขุญาณขึ้นมา ปีนั้นปี ๒๕๑๗ เมื่อผมตระเวนพิสูจน์ไปหลายแห่งแล้ว ผมก็เริ่มสนใจ จึงเริ่มหาประวัติหลวงพ่อปาน เพื่อจะมาอ่านให้ละเอียด ก็เกิดปัญหาว่าจะไปหาที่ไหน จะไปขอน้องสาวก็รู้สึกเสียเหลี่ยม

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ย้อนคิดดูก็นึกได้ว่า วันที่คุยกัน เขาบอกว่าผู้ที่เอาหนังสือมาให้ เขาได้มาจากวัดอโศการาม ผมก็ไปวัดอโศการามทันที ได้หนังสือมา ๓ เล่ม (ทั้งวัดเหลืออยู่ ๓ เล่ม ผมจึงเอามาหมด) ก็แจกเพื่อน ๑ เล่ม พี่ชาย ๑ เล่ม เอาไว้อ่าน ๑ เล่ม เมื่ออ่านจบก็มีความรู้สึกอยากพบหลวงพ่อขึ้นมาทันที

ในหนังสือบอกว่าหลวงพ่ออยู่วัดบางนมโค อยุธยา ผมก็ชวนเพื่อนไปวัดบางนมโค อยุธยา ไปไม่เจอมาทราบข่าวว่า หลวงพ่อย้ายมาอยู่วัดท่าซุง อุทัยธานีแล้ว ผมก็ตามมาที่วัดท่าซุง ได้พบหลวงพ่อที่อาคารเสริมศรี หลวงพ่อกำลังคุยกับลูกศิษย์ซึ่งเป็นเจ้าของแพปลามาจากสงขลา ผมนั่งอยู่ท้ายสุด แอบฟังอยู่ข้างหลังบังเสา

ขณะนั้นได้ยินหลวงพ่อพูดกับเจ้าของแพปลาว่าท่านจะไปที่แพปลาที่สงขลา เจ้าของถวายนามบัตรแก่หลวงพ่อ ซึ่งนามบัตรนี้เป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ เจ้าของนามบัตรบอกว่าเขาจะแปลให้ หลวงพ่อมองดูนามบัตรแล้วก็ยิ้มๆ พร้อมกับพูดว่า อ่านออก ผมได้ยินหลวงพ่อพูดเช่นนั้นก็คิดว่า หลวงพ่อเป็นพระทรงปฏิสัมภิทาญาณหรือเปล่า ก็เกิดความศรัทธา

เลยร่วมสร้างหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน วันนั้นผมนั่งฟังหลวงพ่อเป็นส่วนใหญ่ หลวงพ่อท่านมองผมแล้วก็ยิ้มๆ ท่านรู้ว่าผมมาจากจันทบุรี ก็ถามคำถามแบบคุยกันธรรมดา หลังจากนั้นผมก็ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ก็เจอพี่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) เจอท่านเจ้ากรมฯ เสริม (พล อ.ท.เสริม ศุขสวัสดิ์) และเจอคณะหลายคน

ผมพาเพื่อนไปด้วย ช่วงนั้นศีลผมไม่ค่อยครบสักข้อ เวลานั้นหลวงพ่อได้ไปแจกผ้ายันต์พิชัยสงคราม ให้ทหารชายแดน ผมมีความรู้สึกกระตือรือร้น และอยากจะไปร่วมแจกมาก ผ้ายันต์พิชัยสงครามนี้ผมพร้อมที่จะถวาย ตอนไปแจกทหาร รู้สึกภูมิใจ และดีใจเหลือเกิน เลยติดตามคณะของหลวงพ่อไปเรื่อยๆ

ต่อมาที่วัดท่าซุงก็มีการตั้งเป็นศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน ในแดนทุรกันดาร ตั้งขึ้นตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ (เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๒๐) ก็เริ่มแจกของแก่คนจน ตอนนั้นผมก็หยุดการทำงานหมดเพื่อติดตามหลวงพ่อ ได้รับความประทับใจในเหตุการณ์ที่ไปแจกของตามจุดต่างๆ

พร้อมกับได้รู้สึกว่าบารมีของในหลวงท่านได้แผ่คลุมไปทั่วกับบุคคลทุกเหล่าทุกชั้น และบรรดาพี่ๆ น้องๆ ทั้งหลายก็มีความฉลาดที่เข้าถึงผู้ที่มีความทุกข์ทั้งหลาย ไม่ได้นึกถึงความเหน็ดเหนื่อยของตนเอง หรือความเจ็บป่วยของตนเอง ทุกคนปรารถนาอย่างเดียวที่จะได้สงเคราะห์เหล่าผู้ที่ได้รับทุกข์มากกว่าตลอดเวลา

โดยไม่ได้นึกว่าตนเองเป็นคุณหญิงหรือเป็นท่านนายพล ขณะที่ไปก็ได้ลืมกันหมดว่าตนเองเป็นใคร เป็นอะไรทุกคนนอนเรียงกันเหมือนปลาที่เขาเสียบกันเป็นปลากรอบของเขมร ความใกล้ชิดหลวงพ่อมากขึ้น ทำให้มีความเข้าใจธรรมของหลวงพ่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีความเชื่อถือว่าธรรมะที่สอนมาเป็นเรื่องจริง

ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าธรรมะที่ได้รับนี้เป็นสิ่งที่ต้องพึ่งตนเอง และต้องนำไปปฏิบัติด้วยตัวเองจึงจะเกิดผล หลังจากนั้นหลวงพ่อได้มาโปรดลูกศิษย์ทางภาคตะวันออก ก็ได้มาพักที่บ้านคุณน้าเสงี่ยม สังกรณีย์ ที่อ่าวไข่ บ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตอนนั้นลูกศิษย์ทางจันทบุรี และระยองมากราบหลวงพ่อที่บ้านน้าเสงี่ยม

มีอยู่ครั้งหนึ่งทางค่ายตากสิน ได้นิมนต์พระหลายองค์มาร่วมทำพิธีพุทธาภิเษกพระรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ค่ายนาวิกโยธิน จังหวัดจันทบุรี พระที่มาร่วมพิธีก็มี หลวงปู่ครูบาธรรมชัย (วัดทุ่งหลวง เชียงใหม่) หลวงปู่สิม (วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่) และหลวงพ่อ

เมื่อเสร็จพิธีก็นิมนต์หลวงปู่สิม หลวงปู่ครูบาธรรมชัยไปพักที่อ่าวไข่ด้วย เช้าวันรุ่งขึ้น หลวงปู่สิม และหลวงปู่ครูบาธรรมชัยก็ลงมาชั้นล่างแล้ว เพราะได้เวลาฉันอาหารเช้า ก็ได้ให้ผมขึ้นไปนิมนต์หลวงพ่อลงมาเพื่อฉันเช้า ห้องพักหลวงพ่ออยู่ติดดาดฟ้าด้านนอก มีห้องพระติดกัน และมีหน้าต่างติดกัน ต่อจากห้องพระมีที่ว่าง ต่อมาก็มีบันไดลงชั้นล่าง

เมื่อผมเข้าไปกราบนิมนต์หลวงพ่อๆ ก็ลุกขึ้นห่มจีวร ผมก็ล่าถอยออกมาจากประตูห้อง เมื่อผมหันกลับมาทางบันได ผมก็เห็นหลวงพ่อยืนยิ้มอยู่เชิงบันไดเสียแล้ว ผมก็งงว่า หลวงพ่อท่านไปยืนอยู่ตรงนั้นได้ยังไง เพราะขณะที่ผมเอี้ยวตัวจากห้องหลวงพ่อมาที่เชิงบันได ใช้เวลาไม่เกิน ๓ วินาที (ถ้าท่านเดินออกมาจากห้อง ต้องผ่านผมก่อน หรือถ้าหากท่านเดินไปทางห้องพระต้องได้ยินเสียงเปิดประตู และต้องปีนหน้าต่างจึงจะผ่านไปได้)

ผมก็งงว่าหลวงพ่อท่านไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร ขณะผมยืนงงอยู่ หลวงพ่อก็หันมาบอกว่า “คุณสมบูรณ์ ช่วยปิดประตูให้ด้วย” เมื่อลงมาเล่าให้พี่อ๋อยฟัง พี่อ๋อยก็ถามหลวงพ่อว่า “คุณสมบูรณ์สงสัยเรื่องที่กราบๆ หลวงพ่อเพื่อนิมนต์มาฉันเช้า แล้วอยู่ๆ หลวงพ่อก็ไปยืนอยู่ที่เชิงบันไดลง เลยตกใจ”

หลวงพ่อท่านพูดว่า “ขี้เกียจตากฝน เพราะฝนมันตกปรอยๆ เพราะจะต้องเดินผ่านฝนมานิดหน่อย” นี่เป็นเรื่องแปลกที่ผมพบมากับตัวเอง ครั้นต่อมาผมขับรถถวายหลวงพ่อกลับจากต่างจังหวัด ระยะทางจากฉะเชิงเทราเข้ากรุงเทพฯ เกิดความรู้สึกว่าง่วงมาก ก็เริ่มมีอาการเคลิ้มจะหลับใน ก็หาทางแก้ง่วง โดยการบิดตัวบ้าง นวดแขนตัวเองบ้าง

ตอนนั้นผมมีกุญแจแบบแม่เหล็กในการล็อคพวงมาลัย ได้บีบล็อคไว้ ได้วางอยู่ที่คอนโซลข้างๆ ที่นั่งขับ (ต่อมาเก็บ) ด้วยความง่วงมีกริยายุกยิกๆ พยายามแก้ง่วงให้ได้ แต่ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะหลวงพ่อนั่งอยู่ เห็นหลวงพ่อจับกุญแจอันนั้นมาวางไว้บนฝ่ามือ ขณะนั้นเหลือบไปเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ ตัวงอของกุญแจที่บีบไว้ มันเปิดออกก็สะดุ้ง

หายง่วงเลยก็ไม่ทราบว่ากุญแจแม่เหล็กถูกพลังอะไรทำให้คลายล็อคออกมาได้ โดยที่ไม่มีลูกกุญแจมาดูดออก หลวงพ่อยิ้มแล้วถามว่า หายง่วงหรือยัง ผมตอบว่า “หายแล้วครับ” ปี ๒๕๒๓ ปีน้ำท่วมที่วัดท่าซุง พี่อ๋อยใช้ให้ไปรับหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ขณะที่ขับรถมาที่อุทัยธานี หลวงพ่อกำลังเทศน์อยู่ที่วัดท่าซุง ที่ศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์

หลวงพ่อเทศน์แค่ ๑๐ นาทีเท่านั้น (ปกติท่านเทศน์นานกว่านั้น) อยู่ๆ ท่านก็หยุดเทศน์ไปเฉยๆ แล้วตัดเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ขณะนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่ผมขับรถจะมารับหลวงพ่อ เราก็คุยกันมาในรถคุยถึงหลวงพ่อ พอมาถึงชัยนาท (เลยเขื่อนชัยนาท) ลุงพันขี่จักรยานสวนทางมา ตอนนั้นก็มีรถโดยสารมาจอดข้างหน้า ลุงพันก็จูงจักรยานจะเลี้ยวข้ามถนน

ผมเห็นแล้วก็บีบแตร พร้อมกับลดความเร็ว เมื่อลุงพันสบตาผมๆ ก็มั่นใจว่าเขาเห็นผม ผมก็วิ่ง (ขับ) โดยไม่ต้องหยุด ในขณะนั้นลุงพันก็เข็นจักรยานพุ่งข้ามทันที ผมก็หลบหักรถชนทั้งรถลุงพันด้วย รถผมก็พลิกคว่ำ ๓ ตลบ ขณะรถพลิกคว่ำ พวกเรานึกถึงหลวงพ่อตลอดเวลา ปรากฏว่าลงไปลอยอยู่น้ำ กระจกหน้ากับกระจกหลังดีดออกทั้งแผ่นไม่แตก

(ตอนหลังงมขึ้นมาได้) รถลอยน้ำได้และลอยไปติดสะพาน ก็มีคนมาช่วยดึงเรา ๓ คนขึ้นสะพาน (ปู่เหม่ พี่ชอ และผม) สำรวจดูแต่ละคนไม่มีรอยแผล ไม่มีรอยช้ำ คนมาถามว่าเป็นอะไรบ้างไหม บอกไม่เป็นอะไร เขาบอกไม่เชื่อหรอก ถ้าดูตามเหตุการณ์แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครเป็นอะไรเลย เวลานั้นเป็นเวลาประมาณ ๘ โมงเศษ

ตรงกับเวลาที่หลวงพ่อนั่งเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ที่วัดท่าซุง อยู่ที่ศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ พอมาถึงที่วัด จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครูนนทาจึงพูดว่า มิน่าเล่า หลวงพ่อก็เลิกเทศน์เสียเฉยๆ ตัดลงด้วยเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุที่พวกผมนึกถึงหลวงพ่อตลอดเวลาจึงทำให้รอดพ้นอันตรายมาอย่างน่าอัศจรรย์

หลังจากติดตามหลวงพ่อมานาน หลวงพ่อก็ได้เมตตาสงเคราะห์ผมและลูกศิษย์ทางจันทบุรี ผมจึงได้สร้างบ้านพักรับรองในสวนที่มีเนื้อที่พันไร่กว่า โดยมากปลูกเป็นสวนทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง มะม่วง ขนุน เป็นต้น บ้านพักรับรองนี้อยู่ในสวน ที่ห้วยสะท้อน ตำบลทุ่งเบญจา อำเภอท่าใหม่ จันทบุรี ดูแล้วก็ร่มรื่น เหมาะที่จะให้หลวงพ่อมาพักผ่อนและอบรมธรรมะการปฏิบัติแก่บรรดาลูกศิษย์ทางนี้

หลังจากหลวงพ่อได้มาโปรดผม ผลิตผลต่างๆ ในสวนของผมก็ทำให้มีความเจริญงอกงามออกผลดี ได้ผลดีเพิ่มขึ้น และทำให้บรรดาชาวจันทบุรีหลายคนที่ได้มาพบหลวงพ่อที่บ้านพักแห่งนี้ และได้ติดตามหลวงพ่อไปที่วัดท่าซุง จึงทำให้มีลูกศิษย์หลวงพ่อทางด้านภาคตะวันออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่พบหลวงพ่อ

ได้รับความเมตตาที่หลวงพ่อได้สงเคราะห์ผมเสมอมา มีความรู้สึกสงสารท่าน แต่ไม่สามารถจะทดแทนพระคุณ เห็นหลวงพ่อได้รับความทุกข์มากเหลือเกิน แต่หลวงพ่อไม่แสดงออกให้เห็นว่าท่านได้รับความทุกข์อะไรบ้าง ตั้งแต่ปีแรกๆ ที่ผมพบหลวงพ่อ ก็พบว่าหลวงพ่อมีทุกข์ทางร่างกายอยู่แล้ว และเห็นว่าความทุกข์ทางกายของหลวงพ่อก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

แต่ท่านไม่เคยกล่าวถึงหรือท้อแท้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ตัวท่าน ผมและบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ได้พบเห็นรู้สึกว่าปรารถนาอยากแบ่งเบาความทุกข์อันนี้มาบ้าง แต่ไม่สามารถจะทำได้ มีแต่ได้รับความเมตตาสงเคราะห์จากหลวงพ่อซึ่งท่านคอยช่วยส่งเสริมให้พวกเราเร่งรัดตนเอง เพื่อให้ได้ผลทางธรรมะ

ถ้าใครได้ผลทางปฏิบัติก็เท่ากับเป็นการช่วยแบ่งภาระของหลวงพ่อไปโดยปริยาย แต่ก่อนที่ผมจะพบหลวงพ่อนั้น ศีลผมก็บกพร่อง และชอบกินเหล้า เมื่อพบหลวงพ่อและได้รับฟังคำสอนบ่อยๆ ก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนไป ภายหลังมีความมั่นใจในคำสอนของหลวงพ่อ เพราะคิดว่าเดินถูกทางแล้ว จึงพยายามรักษาศีลจนกระทั่งมีความมั่นใจตนเองมากขึ้น

เรื่องการรักษาศีล ๕ ก็ไม่ลำบากใจ นานๆ ก็รักษาศีล ๘ บ้างแบบเบาๆ ตามคำสอนหลวงพ่อมุ่งหวังให้บรรดาพุทธบริษัทปฏิบัติตนเพื่อให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้นั้น ผมมีความมั่นใจต่อพระนิพพานในชาตินี้ ซึ่งเป็นหนทางที่ผมมุ่งไป

หลวงพ่อสอนผมไว้ว่า “คิดอะไร ให้มั่นใจ”

ll กลับสู่สารบัญ


29

บุญของฉัน


เสงี่ยม สังกรณีย์


ปกติฉันชอบไปหาอาจารย์เก่งๆ คุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ นำ หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน มาให้อ่าน อ่านแล้วชอบมาก พออ่านหนังสือเล่มนี้จบ ใจก็ชอบหลวงพ่อเลย เชื่อว่าหลวงพ่อเป็นพระที่สำเร็จแล้ว มีความเชื่อมั่นเลย อ่านแล้วก็อยากไปหาหลวงพ่อ จึงคิดออกตามหาหลวงพ่อ เพราะฉันชอบพระแบบหลวงพ่อ

จึงไปบอกคุณวันดี เวสารัชชานนท์ (น้องสาวคุณสมบูรณ์) ว่าฉันจะไปหาหลวงพ่อ คุณวันดีถามว่า เคยไปอุทัยธานีไหม ฉันก็บอกว่าไม่เคยไป เธอก็พูดว่าฉันจะไปได้หรือ ฉันก็บอกว่าฉันจะไปให้ได้ก็แล้วกัน ขอจดที่อยู่วัดท่าซุง และเบอร์โทรศัพท์ไว้ ฉันจึงไปหาหลวงพ่อด้วยการนั่งรถประจำทางไปจนถึง จ.อุทัยธานี ต้องต่อรถ ๒ แถวอีก ๒ บาท จึงจะไปถึงวัดท่าซุงได้

ฉันแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่ามาก เสื้อผ้าก็ขาดๆ ปะๆ มือหนึ่งหิ้วชะลอม แต่มีปืนอยู่ในนั้นด้วย ที่พกปืนก็เผื่อใครทำร้ายฉัน ฉันจะได้เอาปืนยิงขึ้นฟ้า คนจะได้กรูกันมาช่วยฉัน ตอนฉันไปถึงวัดท่าซุงนั้น ฉันยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน ก็พบคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค ลูกศิษย์หลวงพ่อซึ่งอยู่ที่วัด เอ่ยปากชวนฉันว่า “เชิญคุณป้าร่วมรับประทานอาหารด้วยกันซิ”

ฉันมีความซึ้งใจจนบัดนี้ว่า คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาคท่านตาถึง และคำพูดประโยคนี้ยังซึ้งอยู่ในใจฉันตลอดมาจนบัดนี้ คิดว่าลูกศิษย์หลวงพ่อช่างมีน้ำใจดีจริงๆ ทั้งที่ฉันก็แต่งตัวปอนๆ กะว่าคนจะต้องดูถูก แต่กลับได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นใจ เมื่อเข้าเขตวัดท่าซุง หลวงพ่อท่านจำวัดอยู่ ฉันไปเจอรูปปั้นใหญ่เป็นรูปผู้ชายยืนอยู่ ฉันเห็นปั๊บความรู้สึกบอกว่านี่คือขุนไกร

ซึ่งตอนสมัยนั้นยังไม่ได้มีป้ายเขียนติดไว้ว่าเป็นขุนไกร แต่ฉันรู้สึกว่ารูปปั้นนั้นคือขุนไกร โดยที่ตัวฉันเองตอนนั้นก็ไม่เคยรู้ว่าหลวงพ่อเคยเป็นขุนแผนมาก่อน พอใกล้จะได้เวลาเพล หลวงพ่อท่านตื่นขึ้นมาแล้ว คุณอ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) เข้ามาบอกว่า ป้าเข้าไปพบหลวงพ่อได้แล้ว พอเข้าไปถึง หลวงพ่อก็ถามว่า “โยมมีธุระอะไรหรือ” ฉันก็บอกว่ามาขอกราบท่าน

หลวงพ่อก็ถามว่าฉันมาจากที่ไหน ฉันก็บอกว่ารู้จักคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ แถมโกหกหลวงพ่อด้วยว่า ฉันเป็นคนรับใช้อยู่ที่บ้านคุณสมบูรณ์ และเล่าว่า คุณวันดี น้องสาวคุณสมบูรณ์ว่าฉันจะไปหาหลวงพ่อได้ยังไง เพราะฉันไม่เคยไปจังหวัดอุทัยธานีเลย มาคนเดียวคงมาไม่ถูก ครั้นหลวงพ่อฉันเสร็จก็มานั่งที่เก้าอี้โยก ฉันเลยขอให้หลวงพ่อเซ็นใส่กระดาษว่า ฉันมาพบหลวงพ่อแล้ว

จะได้ไปยืนยันกันคุณวันดี ว่าฉันมาพบหลวงพ่อได้จริงๆ หลวงพ่อท่านก็เมตตาเขียนให้ตาม
ที่ฉันขอ และหลวงพ่อพูดว่า “เออป้ามาก็ดีแล้ว ช่วยสร้างกุฏิสักหลังสิ ๒๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น” ฉันก็ช่วยหลวงพ่อแค่ ๒๐๐ บาทเท่านั้น ฉันแปลกใจว่า ฉันไปแบบอนาถา แต่งตัวก็ใช้เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ปะๆ ดูไม่ได้เอาเลย

แต่หลวงพ่อท่านมาชวนให้ฉันสร้างกุฏิ เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท แสดงว่าหลวงพ่อท่านมีตาใน ฉันจึงนิมนต์หลวงพ่อไปที่บ้านฉัน และหลวงพ่อตอบตกลงรับนิมนต์เลย คุณดำรง นุตาลัย เรียกฉันว่ายายเพิ้ง คุณดำรงก็พูดว่า หลวงพ่อไปเชื่อยายเพิ้ง แล้วคณะติดตามหลวงพ่อไปด้วย ไปถึงจะไปนอนที่ไหนกัน ฉันเลยพูดกับผู้อื่นว่า หลวงพ่อท่านมีตาใน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาคณะของหลวงพ่อ

ซึ่งประกอบด้วย คุณหญิง คุณนาย และมีคนใหญ่คนโต รวมทั้งบางคนก็เป็นนายพล ทั้งคณะประมาณ ๖๐ กว่าคน คณะนี้เขามาตอนแรกก็คิดว่าจะไปนอนที่อื่น พอมาถึงบ้านฉัน มีบ้านอยู่ ๓ หลัง หลังใหญ่ ๒ หลัง และหลังเล็กทำไว้เป็นกุฏิสงฆ์ ๒ ชั้นต่างหากอีก ๑ หลัง (อยู่แหลมแม่พิมพ์ บริเวณอ่าวไข่ จ.ระยอง) บ้านฉัน อยู่ติดริมชายหาดทะเลยเลย อากาศดี ลมพัดเย็นสบาย

คณะทั้งหมดที่มา ๖๐ กว่าคน ก็มาพักที่บ้านฉันกันหมด ตอนดึกๆ หลวงพ่อออกมาเดินเล่น ท่านบอกว่าตามหามานานแล้ว เพิ่งมาเจอแม่พิมพิลาไลย โดยที่ฉันไม่รู้ว่าท่านเคยเป็นขุนแผนมาก่อน ทำให้หวนคิดไปถึงตอนที่ไปถึงวัดท่าซุงครั้งแรก พอเห็นรูปปั้นใหญ่เท่านั้น ก็มีความรู้สึกว่า นั่นคือ รูปปั้นขุนไกร ทั้งๆ ที่ตอนนั้น ยังไม่ได้เขียนป้ายบอกไว้ว่าเป็นขุนไกร

ปัจจุบันที่แหลมแม่พิมพ์นี้ มีศาลเจ้าแม่พิมพ์อยู่ ภายหลังมาทราบเรื่องราวต่างๆ ของหลวงพ่อแล้ว จึงเข้าใจแจ่มแจ้ง และรู้สึกภูมิใจในความรู้สึกแรกพบรูปปั้นใหญ่ที่วัดท่าซุงว่า รูปปั้นนั้นคือขุนไกร (ปัจจุบันติดป้ายชื่อไว้ชัดเจน) ก่อนที่คณะของหลวงพ่อจะกลับ หลวงพ่อได้เมตตาจารึกอักษรลงไว้ในสมุดให้ฉันด้วยลายมือของท่านเอง ซึ่งฉันยังคงเก็บรักษาไว้จนกระทั่งทุกวันนี้ ในบันทึกลงวันที่ ๒๒ พ.ค. ๒๕๑๘ ความว่า

“อาตมาในฐานะหัวหน้าคณะ ได้มีโอกาสมาพักและได้รับอุปการะจากอดีตคุณป้า เป็นอย่างดีพิเศษ ซึ่งไม่เคยได้รับอุปการะจากสถานที่ใดอบอุ่นอย่างนี้ ด้วยความดีของคุณป้าที่รักและเคารพ อาตมา ในฐานะพระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน จงอภิบาลให้คุณป้ามีความสุขสมหวัง ทั้งชาตินี้ และสัมปรายภพเถิด”

ลายมือที่หลวงพ่อได้เมตตาจารึกไว้ในสมุดสำหรับฉันนี้ เป็นสิ่งที่ฉันภูมิใจและเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี หลวงพ่อเมตตามาที่บ้านฉันกว่า ๑๐ ครั้ง เมื่อตอนก่อนท่านแข็งแรงกว่านี้ ท่านก็มาเยี่ยมฉันบ่อยๆ มีอยู่ระยะหนึ่ง หมอให้หลวงพ่อพักผ่อน โดยมาพักฟื้นที่บ้านฉัน ก็มีหมอ ๑ คน และลูกศิษย์ใกล้ชิด ๕ – ๖ คนมาปรนนิบัติหลวงพ่อที่บ้านฉัน

เวลาหลวงพ่อไปทอดผ้าป่าที่วัดสนามรัตนาวาส อ.แกลง จ.ระยอง เมื่อเดือนธันวาคม ปี ๒๕๒๙ (หลวงปู่อำพัน วัดเทพศิรินทร์ได้สร้างโบสถ์ไว้ที่นั่น) มีขบวนรถ ๙ คัน หลวงพ่อคิดถึงฉันก็เลยนำคณะทั้งหมดแวะหาฉัน หลวงพ่อชอบมานั่งพัก ท่านบอกว่าอากาศเย็นสบายดี ฉันก็พลอยปลื้มอกปลื้มใจ ฉันคิดว่าฉันมีบุญที่หลวงพ่อไปไหนๆ ก็คิดถึงฉัน มักจะแวะมาที่นี่เสมอ

สมัยก่อนหลวงพ่อมาพักที่บ้านฉัน หลวงพ่อก็ฝึกมโนมยิทธิให้ฉันด้วยตนเองเป็นรุ่นแรก และก็มาอัดเทปธรรมะที่นี่ มีเทปเรื่องศูนย์อารมณ์ (เทปม้วนนั้น จะได้ยินเสียงคลื่นจากทะเลผสมผสานไปกับธรรมะที่หลวงพ่อพูดบันทึกไว้ในเทปนั้นด้วย) และมีเทปชุดเสียงเพลงเป็นธรรมก็มาบันทึกที่นี่เช่นเดียวกัน

มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงพ่อมาพักอยู่ที่บ้านฉัน หลวงพ่อนอนอยู่ห้องชั้นบน มีดาดฟ้า ห้องนั้นมีหน้าต่างติดกับอีกห้องหนึ่ง และมีประตูทางออกทางเข้าไปนอกชานเป็นที่โล่งแจ้ง ซึ่งจะเดินผ่านห้องโถงใหญ่ แล้วจึงจะถึง บันใดลงไปชั้นล่าง ปรากฏว่าคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ (มานอนที่บ้านฉันด้วย) ขึ้นไปนิมนต์หลวงพ่อเพื่อฉันอาหารเช้า คุณสมบูรณ์ตกใจว่า

นั่งรอหลวงพ่ออยู่ทางนอกห้อง เผลอแว้บเดียว หลวงพ่อไปอยู่ทางลงบันไดแล้ว คุณสมบูรณ์แกบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่อยู่ๆ หลวงพ่อจะไปอยู่ตรงบันไดลง เพราะว่าถ้าออกมาจากห้องก็ต้องปีนหน้าต่างหรือไม่ก็ออกมาทางประตู แกก็ต้องเห็น นับว่าเรื่องนี้คุณสมบูรณ์ตกใจมาก พอเหลียวไปดูหลวงพ่ออยู่ทางบันไดแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกดี

มีอยู่คราวหนึ่งฉันเป็นทุกข์เรื่องหลานหาโรงเรียนไม่ได้ หลวงพ่อแนะนำให้ฉันบนท่านเสด็จในกรมฯ (กรมหลวงชุมพร) ฉันก็ทำตาม และก็ได้ผลทันใจจริงๆ หลานฉันก็เข้าโรงเรียนราชินีได้ ทำให้ฉันสบายใจ มีเรื่องชอบกลอีกเรื่องหนึ่ง ฉันเปิดวิทยุ เขาประกาศว่า หลวงพ่อได้มรณภาพแล้ว พอได้ข่าวเท่านั้น ฉันก็ใส่ชุดไว้ทุกข์เลย หิ้วกระเช้า หิ้วถุงพะรุงพะรังไปกรุงเทพ

ไปหาพล อ.ท.เสริม ศุขสวัสดิ์ ไปถามว่าเขาเอาศพหลวงพ่อไว้ที่ไหน จะไปขอกราบศพท่าน ปรากฏว่าข่าวที่ประกาศนั้นไม่เป็นความจริง ฉันเลยไว้ทุกข์เก้อ อุตส่าห์หอบของพะรุงพะรังไปถึงกรุงเทพฯ เพื่อเคารพศพ ฉันก็แปลกใจว่าทำไมวิทยุจึงออกข่าวเช่นนี้ แต่ก็เป็นการดีที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่เป็นมิ่งขวัญของพวกเราจนกระทั่งบัดนี้

ฉันชอบบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ รู้สึกเป็นกันเองทั้งนั้น ดูแล้วสดชื่น พวกลูกศิษย์ไม่ได้ถือยศว่าตนเป็นใคร ใหญ่โตแค่ไหน ต่างทำตัวเท่ากันหมด ดูแล้วมีความสดชื่น สบายใจ
เมื่อวันที่ ๒๐ และ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๓ หลวงพ่อไปพักที่บ้านคุณสมบูรณ์ ได้แวะมาหาฉันที่หาดแม่พิมพ์ อ่าวไข่ จ.ระยอง มา ๒ วันติดกัน ฉันรู้สึกดีใจมาก ที่หลวงพ่อได้มีเมตตาต่อฉัน

หลวงพ่อไปไหนก็นึกถึงฉัน และมาเยี่ยมฉันเรื่อย ฉันมีความสุขเป็นที่สุด ดีใจมาก แม้ปวดหัวอยู่ ความดีใจก็เลยลืมปวดหัว ช่วงที่หลวงพ่อมาหาฉันนี้ ข้าวเช้าไม่ได้กิน จนบ่ายก็ไม่ได้กิน มันอิ่มมันไม่รู้สึกหิวเลย ฉันคิดว่าเป็นบุญของฉันจริงๆ ที่ได้พบพระอย่างหลวงพ่อ ที่ดีพร้อมทั้งทางโลกและทางธรรม หลวงพ่อไม่เคยว่าใคร มีแต่ยิ้มแย้ม มีแต่เออๆ ...ใครเห็นก็เคารพนับถือหลวงพ่อ

คนไม่รู้จักหลวงพ่อ พอเห็นก็จะชอบ เพราะบุญบารมีของหลวงพ่อ จุดไหนที่คนอื่นไปไม่ได้ แต่มาหาหลวงพ่อ เข้าถึงจุดที่สุดได้ ฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ จนป่านนี้เป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปี ฉันก็ปรารถนาแนวทางที่หลวงพ่อแนะนำสั่งสอน ฉันก็ปรารถนาเพื่อพระนิพพาน

ll กลับสู่สารบัญ


30

น้ำใจหลวงพ่อ


ศุภสิทธิ์ อารีกุล (ธำรง อารีกุล)


ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๗ หลวงพ่อท่านได้นำคณะลูกหลานไปบวงสรวงที่พระธาตุจอมกิตติ ที่ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเคยเสด็จมาที่นี่และได้ทรงอธิษฐานพระเกศาธาตุให้จมลงบนดอยนี้ แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าดินแดนสุวรรณภูมินี้ จะเป็นดินแดนที่รุ่งเรืองมาก จะทรงพระศาสนาแห่งพระองค์ท่านครบ ๕,๐๐๐ ปี

สมัยนั้นพวกเราทั้งหมดแจ๋วมาก เหมือนกันเกือบหมดทุกท่าน เพราะหลังจากเสร็จพิธีแล้ว หลวงพ่อถามว่า ใครเห็นอะไรบ้างเงียบหมด ก็จะมีแต่พี่แดง (พ.อ.ศรีพันธุ์) พอจะอ้อมแอ้มบอกว่า เห็นพระพุทธรูป หลวงพ่อบอก ไอ้ขี้หมา เวลาพวกเอ็งเดินเวียนทักษิณารอบองค์พระเจดีย์ พรหมและเทวดาเขามาโปรยดอกไม้ทิพย์จะท่วมเอวอยู่แล้ว (คือเดินลุยดอกไม้ทิพย์)

ครั้งนั้นก็มีเหตุการณ์แปลกหลายอย่าง ประการแรกเวลาหลวงพ่อเริ่มพิธีบวงสรวง มีลมหมุนเวียนขวารอบๆ พระธาตุ และเป็นลมที่แรงพอสมควร จะสังเกตได้จากยอดไม้ ยอดไผ่ที่ลู่ลมไปในทิศทางเดียวกันหมด แต่ส่วนอื่นๆ ไม่เห็นมีลมพัดเลย สังเกตได้จากต้นไม้รอบๆ ดอย ประการที่สอง มีเสียงนกร้อง แต่ไม่เห็นตัว และไม่เคยมีใครเคยได้ยินเสียงนกชนิดนี้มาก่อนเลย

(ทราบภายหลังว่า เป็นท่านท้าวผกาพรหม) ประการที่สาม มีคณะฟ้อนรำ ไปรำถวายด้วย เมื่อเพลงจบแต่แล้วต้องขึ้นใหม่ เพราะพี่จันทร์นวล นาคนิยม ซึ่งท่านอายุมากแล้ว ท่านออกมารำหน้าคณะ ชนิดที่ไม่เคยเห็นและไม่น่าเชื่อสายตาว่า คนอายุปานนั้นจะรำได้สวยหาที่ติมิได้ ดูจะหาแบบอย่างก็ไม่ได้ สวยงามมากจริงๆ

ปรากฏว่าหลวงพ่อบอก ท่านย่าท่านมาเอง ทุกๆ คนก็เข้าไปกราบท่าน ท่านย่าได้เล่าให้ฟังว่า อดีต เราต้องเป็นทาสขอมดำ ต้องได้รับความทุกข์ ถูกบีบคั้นแสนสาหัส ยามกินเราก็ไม่ได้กิน ยามนอนเราก็ไม่ได้นอน สองมือต้องถือดาบทั้งลูกหญิงลูกชาย เท่านั้นแหละ เสี่ยงปี่ก็กระหึ่ม ผมว่าดังไปถึงตีนดอยเป็นอย่างน้อย

ทั้งหญิงทั้งชายขี้มูกไหลเหมือนเด็กๆ ปล่อยกันโฮ โฮ ทั้งคณะร้องเพลงเดียวกันหมด ยกเว้นหลวงพ่อเท่านั้น ปรากฏว่าหลวงพ่อบอกว่า ต้องไปใหม่ คราวนี้ยังใช้ไม่ได้ การมาครั้งนี้เรามาเพื่อกู้ชาติบ้านเมือง เพราะฝ่ายตรงข้ามเขาคิดทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เอาเป็นว่า ผมรู้แค่นี้ก็แล้วกันนะครับ

ในพิธีบวงสรวงพระธาตุจอมกิตติครั้งที่สอง คราวนี้มีหลวงปู่พระสุปฏิปันโนหลายองค์โดยที่นัดหมายหรือไม่ก็ไม่ทราบ จากสายศิษย์ครูบาศรีวิชัย และสายหลวงปู่มั่น เป็นต้น ที่ผมพอจำได้มีหลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่สิม หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ และหลวงปู่ครูบาธรรมชัย คราวนี้หลวงพ่อสั่งให้ทำเจดีย์พร้อมทั้งฉัตร (๙ ชั้น) จำลอง ไปไว้บนพระธาตุจอมกิตติด้วย

เมื่อเริ่มพิธีบวงสรวง คณะทั้งหมดก็เวียนเทียนรอบเจดีย์พระธาตุ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ทางด้านตะวันออกของพระธาตุ หลวงปู่ทั้งหมดท่านนั่งปรก สวดพระพุทธมนต์อยู่ที่ศาลาเล็กๆ ด้านเหนือของพระธาตุ ซึ่งมองไม่เห็นกันและกัน แต่หลวงพ่อท่านสั่งให้เจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.หม่อมราชวงศ์เสริม ศุขสวัสดิ์) อัญเชิญยอดฉัตรขึ้นไปเสียบยอดเจดีย์จำลอง

ปรากฏว่าหลวงปู่ทุกๆ องค์ท่านออกมาจากศาลาพร้อมบาตรน้ำมนต์ ท่านก็กราบ กราบ กราบ แล้วก็พรมน้ำมนต์ แล้วก็กราบ กราบ กราบ พรมน้ำมนต์ ทำแบบนั้นอย่างไม่รู้จักอิ่ม ทำด้วยความเคารพยิ่ง บังเอิญผมอยู่ใกล้หลวงพ่อเพียงลำพัง คอยกางร่มและคอยรับใช้ เพราะไปเวียนทักษิณาวัฏกันหมด ผมก็รู้สึกแปลกใจ เพราะเห็นหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์

และหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ทั้งสององค์นี้กราบแล้วกราบอีก พรมน้ำมนต์แล้วก็พรมอีก ขณะที่กำลังสงสัยอยู่ในใจนั่นเอง หลวงพ่อก็หันมาทันที พร้อมกับบอกว่า พระระดับนี้ท่านทนไม่ได้หรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสด็จมาเอง เพราะฉันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในยอดฉัตร ฉันไม่ได้บอกใคร ผมเลยถึงบางอ้อ

คืนนั้น คณะเราไปพักกันที่วัดเม็งราย หลวงพ่อและหลวงปู่ทุกๆ องค์ก็โปรดเมตตาพวกเรา ท่านนั่งสนทนากันที่ศาลา อะไรจะประทับใจเท่าเมื่อได้เห็นท่านมาประชุมกันอย่างนี้ ท่านพบกันคุยกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ยิ่งเวลาท่านกราบไหว้กันแล้ว มันสวยบอกไม่ถูกจริงๆ ท่านเอ๋ย นึกภาพดูเถิดครับ ความบริสุทธิ์พบกัน พวกเราก็เลยทำบุญกันจนหมดตัว

มีเศษไม่ได้ต้องเติมให้เต็ม พอเติมมีคนทำต่อ จนบางคนบอกว่าหมดแล้ว เหลือแต่โมทนา ก็มีพี่อ๋อย (ภรรยาท่านเจ้ากรมเสริม) ท่านเป็นหัวหน้าคณะ อาราธนาขอให้หลวงปู่คำแสนเล็กเทศน์ ท่านอยู่หัวแถว รองลงมาก็หลวงปู่ชุ่ม ท่านก็ไม่ตอบว่ากระไร ก้มหน้าแก้มแดงๆ หลวงพ่อท่านชี้ไปทางหลวงปู่บอกว่า เขาขี้อายเป็นอย่างนี้ทุกชาติแหละ

พวกเราก็ฮาตึง ไม่ใช่อย่างชาวบ้านเขาฮานะครับ อาด้วยความเคารพและเป็นสุข ดีใจปนกันไปหมด หลวงพ่อท่านเลยบอกหมด องค์นี้เคยเกิดเป็นพี่ชายท่านนะ องค์นี้เป็นลุง องค์นี้เป็นเพื่อนกันมา พวกเราก็ปลื้มใจไปตามๆ กัน (ไม่พบเห็นเอง ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรถูก) หลวงปู่ชุ่มท่านยกบาตรน้ำมนต์ให้หลวงปู่คำแสนเล็กเป็นองค์ทำ เมื่อเสร็จพิธีท่านพรมน้ำมนต์ให้หลวงพ่อก่อนเลย

หลวงพ่อพนมมือรับ สวยจริงๆ ครับ จากนั้นพรมให้หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่ชุ่มรับแล้วก็พรมให้หลวงปู่คำแสนเล็ก พรมให้หลวงพ่อ พรมให้หลวงปู่ทุกๆ องค์ ลืมไป! ขณะที่พรมน้ำพระพุทธมนต์นั้น หลวงปู่ท่านก็สวดชยันโตให้พรด้วย แล้วพวกเราก็ได้น้ำพระพุทธมนต์จากหลวงปู่ด้วยความเมตตา เสมือนหนึ่งลูกหลานของท่านทั้งหมด

ปี พ.ศ.๒๕๒๐ ประมาณเดือนเมษายน หลวงพ่อจัดงานวันฉลองโบสถ์และตัดลูกนิมิต ในงานนี้จะมีนาคบวชพระฉลองโบสถ์ด้วยกัน ๖๒ รูป ด้วยพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๙ พ่อฟ้าหลวงท่านทรงมาเป็นประธานตัดลูกนิมิตด้วยพระองค์เอง เมื่อพระเจ้าอยู่หัวท่านเสด็จกลับแล้วก็เริ่มพิธีอุปสมบท ว่ากันตั้งแต่ ๒ ทุ่มเห็นจะได้ จนถึงตี ๕ เศษ

ก็ต้องอดนอนกันทั้งคืน เสร็จพิธีแล้วพระรุ่นพี่ก็จัดให้ไปอยู่รวมกันก่อนที่ตึกโรงเรียนพระนินิจ พระใหม่นี่ก็ใหม่ไปหมดนะครับ อ้อ! ลืมไปผมก็มีโอกาสได้บวชในคราวนั้นด้วย ๑ องค์ ยังจัดข้าวของกันไม่ทันเรียบร้อยดี พระพี่เลี้ยงก็แจ้งให้ทราบว่า ญาติโยมรออยู่ ให้แต่งตัวลงไปรับบิณฑบาตตอนเช้าได้แล้ว ก็เข้าแถวกันยาวทีเดียว ญาติโยมก็มากจังเลย ใส่กันมากพอหมดก็กลับเข้าที่พัก

ได้ยินเพื่อนพระคุยกัน บอกนี่ถ้ามีคนใส่ต่ออีกสักคนสองคน ผมคงล้มทั้งยืนแน่ หน้ามืดไปหมดแล้ว วันแรกก็ผ่านไป ญาติโยมส่วนมากมาจากกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดต่างก็กลับกันหมด พระต้องออกบิณฑบาตเองแล้วคราวนี้ การบิณฑบาตก็มีด้วยกัน ๔ สาย คือ สายเหนือ สายใต้ สายกลาง และก็ทางเรือ วันแรกผมก็ไปสายใต้ โดยการนำของพระรุ่นพี่ ดูเหมือนจะเป็นหลวงพี่โอ

(ปัจจุบันคือพระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ท่านช่วยดูแลเราทุกอย่าง หลวงพี่อนันต์ (ปัจจุบันคือพระครูปลัดอนันต์ พุทธญาโณ) ก็เช่นกัน ว่ากันตั้งแต่ปลงผม หัดนุ่งห่มสบงจีวร ท่านก็คอยหันมาดูว่าเราเดินตามทันไหม ผมก็เป็นองค์สุดท้าย ญาติโยมก็ไม่ทราบว่าพระมากกว่าเดิมมาก ต่างจัดอาหารใส่บาตรตามปกติเหมือนเดิม ผมได้ข้าวมาพอติดก้นบาตร เพราะข้าวขันเดียวก็ต้องเฉลี่ยกันไป

กลับมาแล้วก็ฉันร่วมกัน โดยแบ่งเป็นวงๆ ที่โรงครัวข้างตึกเสริมศรี หลังจากใส่บาตรถวายหลวงพ่อแล้วก็ร่วมวงกันฉัน กับข้าวมีน้อย ๗ องค์มีกับข้าว ๓ ปิ่นโต ไม่ใช่ ๓ เถานะครับ แถมแต่ละปิ่นโตมีกับข้าวสักครึ่งปิ่นโต ก็ฉันกันตามมี ข้าวให้มากหน่อยเพราะกับไม่มีรสชาติ อาหารที่อุทัยนี่ไม่เหมือนที่อื่นนะครับ เค็มก็ไม่เค็ม เปรี้ยว เผ็ด หวานอะไรสักอย่างก็ไม่เอา มันกร่อยๆ บอกไม่ถูก

แต่เราบวชแล้วนี่ ต้องถือว่ากินเพื่ออยู่ พอตกเย็นชาวบ้านฝั่งเกาะเขาก็นิมนต์พระหมดวัดไปสวดมนต์เย็นก็ข้ามเรือกันไปหมด มีเจ้าอาวาสเก่า (พระครูสังฆรักษ์) เป็นหัวหน้า เราได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อแล้ว บริเวณที่ไปเป็นกลางทุ่ง มีป่าน้อยๆ เขาเพิ่งถางไว้ใหม่ๆ ปูเสื่อให้พระนั่ง เจ้าอาวาสองค์เดิมท่านขึ้นต้นสวดเป็นการใหญ่ ที่ว่าใหญ่คือท่านสวดหมด ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน

พระใหม่นี่ครับจะสวดได้ยังไง เอาพวกเรามาฉีกหน้าแท้ๆ เลย ได้แต่นั่งพนมมือก้มหน้า ไอ้ที่ก้มหน้าเพราะไม่อยากสบสายตาใครอย่างหนึ่ง อีกอย่างมดแดงก็รบกวนเหลือเกิน เพราะเพิ่งถางป่าใหม่ๆ รังมันแตก พระก็ได้แต่เปล่ามันก็พยายามจะเข้าไปในสบง แต่พวกเราก็รักษาจริยากันเรียบร้อยกลับวัดโดยสวัสดิภาพ

ตกหัวค่ำ หลวงพ่อลงสอนกรรมฐานที่ตึกเสริมศรี พระใหม่ต้องนั่งแถวหน้า ผมกับหลวงพี่ชัยวัฒน์ (ปัจจุบันท่านยังบวชอยู่นะครับ) นั่งอยู่หน้าหลวงพ่อพอดี หลวงพ่อท่านขึ้นนั่งธรรมาสน์ก็เอ่ยถามว่า เป็นอย่างไรวันนี้ไปนั่งร้องไห้กันหรือ เราได้แต่ยิ้มตอบว่าครับผม ท่านบอกว่า เออ! ไม่เป็นไร ไม่ต้องเหนื่อยนะ พอท่านนั่งเรียบร้อยแล้ว สังเกตดูท่านเคี้ยวหมก ริมฝีปากแดง องค์ท่านดำเป็นเงา ได้เรื่องเลย

“เรามาบวชแล้วต้องเสมอกัน ได้ชื่อว่าเป็นพระเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มียศฐาน์บรรดาศักดิ์ยังไงไม่สำคัญ เมื่อบวชเข้ามาแล้วต้องเสมอกัน ต่างกันก็อาวุโสก่อนหลังเท่านั้น เราบวชมาเพื่ออะไร จำเอาไว้นะ สมัยก่อนนะ ปลาทูตัวหนึ่งต้องฉันได้ ๕ องค์ ไม่ใช่มาติดในรสชาติของอาหาร”

เอ๊า! โดนเข้าแล้ว เรียกว่าคืนนั้นท่านเข่นซะไม่มีใครกล้าเงยหน้า ผมว่าเราคงคิดไม่ต่างกันเท่าไหร่ ผมตั้งใจแน่วแน่จะไม่คิดอย่างนั้นอีก ท่านสั่งสอนด้วยเมตตาไม่ให้บวชมาเพื่อหานรก ผมพิจารณาตามที่พระคุณท่านได้เคยสั่งสอนมา พรุ่งนี้ข้าวเปล่าเราก็ฉันได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไม่ห่วงใดในอะไรอีกแล้ว รุ่งขึ้นเช้าก็ออกบิณฑบาตเหมือนเดิม แต่คราวนี้ได้มากกว่าเดิม

เพราะชาวบ้านเขารู้แล้วว่ามีพระบวชใหม่เข้ามามาก ทุกองค์ก็มานั่งฉันกันเป็นวงๆ ตามเดิม ผมน่ะไม่สนใจแล้ว มีอะไร แค่ไหน ก็กินแค่นั้น มันจะเคยกินหรือไม่เคยกินก็ไม่สนใจ หลวงพ่อบอกแล้ว พระต้องอยู่ง่ายกินง่าย นึกถึงเมื่อคืนนี้ยังก้องอยู่ในใจ พอเริ่มฉันไปได้หน่อย หลวงพ่อท่านก็ลงมาตรวจเยี่ยมลูกๆ เดินดูตามวงแล้วท่านก็สั่งแม่ครัว “ดูแลอาหารพระบ้างหรือเปล่า พอไหม เอาสตางค์ไปจ่ายกับข้าวเพิ่มนะ น้ำปลาล่ะ มีให้พระท่านบ้างหรือเปล่า”

แม่ครัวก็วิ่งกันวุ่นละซิ เพราะวันอื่นๆ มีน้ำปลา วันนี้ดวงดีดันลืม ไม่มีน้ำปลาให้พระ พระทุกองค์ต่างนั่งเงียบไปหมด เสียงช้อนก็แทบไม่ได้ยิน เมื่อคืนนี้เอง “ปลาทูหนึ่งตัวต้องฉันได้ ๕ องค์” พ่อสอนเรากลัวลูกๆ จะลืมตัว แต่พ่อก็คือพ่อ พ่อรักและเมตตาที่หาที่สุดไม่ได้ ท่านนึกสภาพตามผมเถิด ผมตื้นตันเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอ

มันล้นเอ่อท่วมใจ ช้อนที่ตักข้าว ไม่มีกับข้าวใส่ปากพร้อมกับหยดน้ำตา ผมฉันไปน้ำตาก็ไหลไปมันชื่นใจเหลือจะคณา ผมอยากร้องไห้โฮๆ ออกมาด้วยซ้ำที่เห็นน้ำใจของพ่อที่รักและห่วงลูกๆ ถึงปานนั้น สมกับที่ลูกหลานทุกคนได้เทิดทูนพระคุณท่านด้วยคำว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่รักยิ่งของลูกๆ พระเมตตาของพ่อท่านหาประมาณมิได้เลยจริงๆ

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 9/1/12 at 14:33

31

กราบหลวงพ่อสุดเคารพสุดบูชาของลูก


แม่ชีชุลี อาตมะมิศร์


หลวงพ่อเป็นดวงประทีปของลูก ลูกเป็นคนโง่ ดื้อ อวดดี และพูดจาไม่ค่อยเอาไหน เรื่องศีล ๕ ไม่ครบเพราะตบยุง ฆ่ามด และทั้งฆ่าปลาเป็นประจำ นิพพานไม่เคยรู้จัก แต่พอได้เข้าไปกราบหลวงพ่อครั้งแรกที่วัดบางนมโค ในงาน ๑๐๐ ปีหลวงปู่ปานแล้ว ลูกรู้สึกฝังใจในองค์หลวงพ่อ และได้ตามไปกราบที่วัดท่าซุง จากนั้นลูกก็ไปทุกครั้งที่มีโอกาส

หลวงพ่อได้เมตตาสอนลูก ทั้งทางตรง ทางอ้อม ทั้งเวลาหลับ (ในฝัน) และเวลาตื่น ไม่ว่าลูกจะทำความผิดอะไร ที่ไหน หรือคิดอยู่ในใจ หลวงพ่อจะนำความผิดนั้นๆ มาตำหนิ ในเวลาที่ท่านขึ้นเทศน์ หรือสอนกรรมฐาน ซึ่งคนอื่นคงไม่ทราบคิดว่าท่านสอนทั่วๆ ไป แต่ตัวลูกทราบว่า นั่นเป็นความผิดของลูกเอง แล้วลูกก็ได้แก้ไขปรับปรุงตัวเองมาตลอด

จนเดี๋ยวนี้เพราะพระเมตตาของหลวงพ่อ ที่ทั้งสอนทั้งสั่งได้เปลี่ยนชีวิตของลูกให้เป็นผู้รักษาศีล ๘ กรรมบถ ๑๐ และต้องการพระนิพพานอย่างแน่วแน่ ปัจจุบันลูกได้มารับใช้หลวงพ่ออยู่ในวัดท่าซุง จากการที่ได้มาอยู่รับใช้หลวงพ่ออยู่ในวัด ทำให้ลูกมีความอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก และมีร่างกายแข็งแรงขึ้น มีความคล่องตัวในหลายๆ ด้านดีขึ้น

พระคุณของหลวงพ่อลูกจะบรรยายเท่าไรก็ไม่หมด ลูกขอฝากชีวิตของลูกไว้แทบเท้าหลวงพ่อ ขออยู่สนองพระเดชพระคุณรับใช้หลวงพ่อไปจนกว่าลูกจะตาย

ll กลับสู่สารบัญ


32

บันทึกของลูกศิษย์


ลักขณา เศรษฐ์ยานนท์


ข้าพเจ้าขอเล่าประสบการณ์ หลังจากที่ได้พบ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่เคารพอย่างสูง เพื่อเป็นตัวอย่างในผลของการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน สิบกว่าปีมาแล้วเพื่อนบ้านให้ยืมหนังสือครบรอบ ๑๐๐ ปี ของหลวงปู่ปาน ข้าพเจ้าอ่านแล้วอยู่ไม่ได้ จิตใจอยากมากราบหลวงพ่อเป็นที่สุด จึงได้นัดหมายกับเพื่อนมาที่บ้านสายลม ๖ คน มาจริง ๔ คน

ทุกคนรวมเงินทำบุญใส่ซองเดียวกันแล้วถวาย น่าอัศจรรย์ยิ่งนักที่หลวงพ่อท่านมอบพระให้ ๔ องค์ เท่ากับจำนวนคน ๔ คน ทั้งๆ ที่เวลาใส่เงินในซองท่านไม่เห็น แสดงว่าท่านรู้ทุกอย่าง เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าแวะซื้อผลไม้ที่ตลาดสี่แยกมหานาค ซื้อเต็มคันรถได้ จ้างคนเข็นมากองไว้ข้างรถ พอจะขนขึ้นรถหากุญแจรถไม่พบ ข้าพเจ้าคิดจะไปหากุญแจรถได้ที่ไหน

ทันใดนั้นข้าพเจ้านึกถึงหลวงปู่ปานและหลวงพ่อขอให้ท่านช่วยอย่าให้ลูกขัดข้อง แล้วข้าพเจ้าเดินไปตามร้านถามไปเรื่อยๆ ว่าใครเห็นพวงกุญแจหล่นบ้าง ท่านผู้อ่านลองนึกถึงภาพตลาดสดว่าขยะมีมากขนาดไหน ครั้นเดินถึงร้านขายเนื้อวัวที่ข้าพเจ้าไปซื้อตับเนื้อให้สุนัข (เพื่อนฝากซื้อ) คนขายขนมชี้ หนูถามว่าพวงกุญแจอันนี้ใช่ไหม?

ข้าพเจ้าว่าใช่ ดีใจหาที่เปรียบมิได้ที่หลวงปู่และหลวงพ่อได้มีเมตตาแก่ข้าพเจ้า เย็นวันหนึ่งหลังโรงเรียนเลิก ข้าพเจ้าขับรถกลับบ้าน ฝนตกหนักมาก ทำให้เครื่องรถดับที่บริเวณใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ข้าพเจ้ายกมือขึ้นไหว้หลวงปู่ปาน ขอให้ช่วยลูกด้วยอย่าให้ลูกขัดข้อง สักครู่หนึ่งยังไม่มีใครมาช่วย ข้าพเจ้าจัดแจง ล็อกรถใส่กุญแจจะไปตามช่างมาช่วยด้วย

ทันใดนั้นมีแท็กซี่คันหนึ่งมาจอดใกล้ๆ คนขับรถลงมาถามว่ารถเป็นอะไร ข้าพเจ้าบอกว่าเครื่องดับสตาร์ทไม่ติด คนขับรถผู้มีน้ำใจบอกจะช่วยดูให้ ข้าพเจ้าเกรงใจเป็นที่สุดเห็นมีผู้โดยสารมาด้วย ๓ คน เขาบอกว่าไม่เป็นไรคนกันเอง ข้าพเจ้าได้ชะโงกหน้าไปดูผู้โดยสาร เห็นเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย ในที่สุดรถข้าพเจ้าก็ติดเครื่องได้ นับว่าเป็นผู้มีน้ำใจประเสริฐยิ่ง

ข้าพเจ้าต้องอ้อนวอนให้เขาช่วยรับเงินเป็นค่าเสียเวลามิใช่ค่าจ้าง นี่แสดงว่าหลวงปู่ได้มาโปรดอีกแล้ว เมื่อปลายเดือนธันวาคม ปี ๒๕๓๒ ข้าพเจ้ากลับจากทำบุญที่วัดท่าซุง หลังจากนั้น ๒ วัน ข้าพเจ้าขับรถไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง พอจอดรถที่ปั๊มหากระเป๋าสตางค์ไม่พบ นึกได้ว่าวางไว้บนกระโปรงหลังรถ ข้าพเจ้ารีบเดินกลับบ้านมองหากระเป๋าตามทางที่ขับรถไปปั๊ม ถึงบ้านก็หาไม่พบ

หาในบ้านก็ไม่พบอีก ข้าพเจ้ารีบขึ้นข้างบนจุดธูปขอบารมีพระพุทธองค์ทันทีที่หน้าพระ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่สบายใจเพราะมีบัตรประจำตัวข้าราชการ ใบอนุญาตขับขี่ และบัตรอื่นๆ อีกรวม ๖ ฉบับ เงินมีเพียง ๕๐๐ บาทเท่านั้น ข้าพเจ้าต้องไปแจ้งความเรื่องบัตรหาย ไปธนาคารเรื่องบัตรเบิกเงิน ในที่สุดคืนนั้นเองเวลาประมาณทุ่มเศษก็มีคนโทรมาแจ้งว่ามีผู้เก็บบัตรได้

แต่ที่บ้านคนเก็บบัตรได้ไม่มีโทรศัพท์ เขาได้กรุณาโทรไปตามหมายเลขที่มีในสมุดจดที่อยู่ที่มีในกระเป๋า ประมาณ ๒ ทุ่มข้าพเจ้าก็หาบ้านท่านผู้มีน้ำใจงามพบ อยู่ลึกจากบ้านข้าพเจ้าไปซอยหมู่บ้านอยู่เจริญ สุทธิสาร เมื่อข้าพเจ้าไปพบท่านผู้เก็บกระเป๋าได้ที่บ้าน เห็นลูกสาวห้อยลูกแก้วหลวงพ่อด้วย สอบถามว่าเป็นครอบครัวที่มาจากจังหวัดอุทัยธานี แสดงว่าพบลูกพ่อเดียวกันอีกแล้ว

ข้าพเจ้าดีใจมากกล่าวขอบคุณ และมอบของมีค่าคือวัตถุมงคล ของหลวงพ่อให้ครบทุกคนในบ้าน และปีใหม่ทุกครั้งข้าพเจ้ามิลืมที่จะแสดงการระลึกถึงและตอบแทนในน้ำใจจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะข้าพเจ้าถือว่าการแสดงความกตัญญูนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องพึงกระทำต่อผู้มีคุณแก่เรา ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเขียนเล่ามานี้

แสดงให้เห็นว่าถ้าเรามีความศรัทธาและยึดมั่นในบารมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพระอริยสงฆ์ทั้งหลายมีหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษี เป็นต้น เมื่อเราปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของท่านเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณที่ท่านมีเมตตาต่อเรา อีกอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำก็คือ ทุกครั้งที่ทำบุญจะขออธิษฐานว่า ขอความขัดข้องและความไม่มีจงอย่าปรากฏและแนะนำผู้อื่นให้ทำเช่นเดียวกัน จึงได้ผลดังที่บันทึกมานี้

ll กลับสู่สารบัญ


33

หลวงพ่อ ผู้ให้พระธรรม


สุนทร หงษ์ยิ้ม


ก่อนพบหลวงพ่อ
ผมพร้อมด้วยญาติสนิทมิตรสหาย เดินทางไปนมัสการหลวงพ่อธรรมจักร วัดธรรมามูล จ.ชัยนาท แล้วมีเวลาเหลืออีกมาก จึงเดินทางไปวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เพื่อพบหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ที่เลื่องลือกันว่า ท่านดี ท่านเก่ง ผมสนใจเรื่องการฝึกสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อเรียนรู้ไว้เท่านั้น ผมไปสู่สำนักวิปัสสนาหลายแห่ง เพื่อความรู้และสังเกตการณ์ แต่ละสำนัก วิธีการฝึกแตกต่างกัน

จนเกิดความสงสัยว่าวิธีใดจะถูกต้องกันแน่ ถ้าพบหลวงพ่อ จะถามเรื่องนี้ให้หายสงสัย ในการไปครั้งนี้ ผมไม่ได้จดบันทึกไว้ ดูจะเป็นปี ๒๕๑๘ เพราะพระอุโบสถกำลังก่อสร้างอยู่ โดยนายช่างกำนันเยี่ยม ซึ่งรู้จักชอบพอกับผมมาก การเดินทางไปวัดท่าซุง ไม่ลำบากเพราะผมเป็นคนเกิดและเติบโตมาจากในตลาดอุทัยธานีนี่เอง แต่จากบ้านเกิดเมืองนอน ระหกระเหเร่ร่อน ไปอยู่จังหวัดอื่นเสียหลายสิบปี

เข้าพบหลวงพ่อ
เวลา ๑๓.๐๐ น. เศษ ถึงวัดท่าซุง โชคดีเหลือเกิน หลวงพ่อกำลังรับแขกอยู่ที่ศาลานวราชบพิตร ผมเห็นมีพระพุทธรูปหลายองค์ ประดิษฐานอยู่หน้าศาลา สีเหลืองอร่ามเกิดความชุ่มชื่นจิตใจ มองไปพบหลวงพ่อกำลังรับแขกอยู่ และด้านขวาของหลวงพ่อ มีภาพพระสงฆ์บานใหญ่ตั้งอยู่ อีก ๑ ภาพ ผมเข้าใจว่า ภาพนี้คงเป็นที่เคารพสักการะของหลวงพ่อเป็นแน่

ต่อมาจึงทราบว่า เป็นภาพของ หลวงพ่อปาน อาจารย์ของท่านนั่นเอง บนศาลามีแขกอยู่ก่อน รวมพวกผมอีก ๔๐ คนเศษ ผมกะประมาณ ๑๐๐ คนขึ้นไป พวกผมเข้าไปกราบหลวงพ่อ ผมเข้าไปใกล้ท่าน ผมจึงมีโอกาสมองสบตาท่าน ซึ่งท่านมองดูผมอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ผมขนลุกซู่ขึ้นทันที เพราะสายตาของหลวงพ่อเป็นกระแสที่แรงกล้ามา

ท่านมองมาที่ผมด้วยความเมตตาปรานี ทั้งเอ็นดู ทั้งสงสาร ผมปลื้มปีติเป็นที่สุดในชีวิต ดวงตาของหลวงพ่อ จะประทับใจผมไปจนตลอดชีวิต ทั้งเคารพรักหลวงพ่อสุดพรรณนา ประโยคแรกที่หลวงพ่อพูดกับผมว่า “ผู้ใดที่มาหาฉัน ถ้าต้องการธรรมะละก็ ฉันชอบมาก” แล้วหลวงพ่อเอามือของท่านชี้หน้าผมพูดว่า

“การฝึกสมาธิวิปัสสนากรรมฐานนั้น มีหลายแบบ หลายอย่าง แต่ละสำนักวิธีการสอนไม่เหมือนกัน แต่มุ่งไปสู่จุดหมายอันเดียวกัน อย่าไปโทษเขานะว่าสำนักนั้นผิด สำนักนั้นถูก ถูกทุกสำนัก พระพุทธเจ้าวางหลักไว้ถึง ๔๐ แบบ ถ้าครูผู้สอน มีมโนมยิทธิ รู้อารมณ์ศิษย์ สอนศิษย์ตรงจุดนั้น ศิษย์จะไปได้ไวมาก”

ผมสะดุ้งใจ เพราะไม่ได้บอกท่านก่อนเลยว่า การฝึกสมาธิแบบไหนจะถูกต้อง แต่หลวงพ่อบอกก่อนถามท่าน ผมก็นึกแต่เพียงว่า เป็นการบังเอิญที่เราจะถามเรื่องนี้ให้หายสงสัย ท่านบอกเสียก่อนโดยที่นึกไม่ถึง เป็นการบังเอิญน่ะ ต่อจากนี้ หลวงพ่อได้อธิบายให้ผมกระจ่างแจ้งขึ้น แล้วท่านก็ถามผมอีกว่า “อยากฝึกหรือ สมาธิน่ะ”

ผมตอบว่า “อยากฝึกครับ” หลวงพ่อหัวเราะที่รู้ว่าผมโกหกท่าน เพราะผมไม่อยากฝึก แต่อยากจะเรียนรู้ไว้ ท่านจับโกหกผมได้ แล้วท่านก็ชี้มือไปที่โบสถ์กำลังก่อสร้างอยู่ บอกกับผมว่า “โน่นไปทำโน่นแน่ะ” พวกเราที่ไปด้วยกันหัวเราะขึ้นพร้อมกัน เพราะผมเป็นไวยาวัจกรวัดหนึ่ง โบสถ์เก่าแก่ทรุดโทรมมากจวนจะพังมิพัง

เพิ่งซ่อมเสร็จหมดทั้งหลังเมื่อไม่นานมานี่เอง ทำให้ผมเอะใจ ไม่ใช่เป็นการบังเอิญเสียแล้ว เมื่อหลวงพ่ออธิบายในการฝึกสมาธิ ไปอีกเล็กน้อย ท่านก็พูดกับผมว่า “การฝึกสมาธิ ก็เปรียบเหมือนเราฝึกมวยนั่นแหละ ถ้านักมวยคนใดขยันหมั่นฟิตหมั่นซ้อมมันก็ดีขึ้น สมาธิก็เหมือนกัน” คราวนี้ซิครับ พวกผมหัวเราะขึ้นพร้อมกันอีกเพราะว่าผมมีค่ายมวยและเป็นผู้ฝึกด้วย

หมดแล้วครับ ข้อสงสัยใดๆ ที่ผมคิดว่า เป็นการบังเอิญนั้น ท่านรู้มาก่อนหมด ผมไม่เสียเวลามาเลยในวันนี้ เพราะมีคุณค่ามหาศาล ผมพบแล้วครับ ผมขอมอบกายถวายชีวิตเป็นศิษย์ของหลวงพ่อไปตราบสิ้นชีวิต เมื่อสมควรแก่เวลา พวกเราเข้าไปกราบลาหลวงพ่อ ทุกๆ ท่านปีติอิ่มเอมใจกันทุกคน นับว่าเป็นคนโชคดีที่มีโอกาสมากราบหลวงพ่อ

เข้าฝึกสมาธิ
ผมมีโอกาสมากราบหลวงพ่ออีกหลายครั้ง ทุกครั้งผมจะนำหนังสือของหลวงพ่อไปศึกษาหาความรู้ ท่านสอนเป็นขั้นตอน อ่านเข้าใจง่าย และสอนให้เจริญอานาปานัสสติซ้ำบ่อยๆ เพราะอานาปานัสสติเป็นวิธีฝึกจิตให้มีสมาธิ ผมออกเดินทางมาฝึกสมาธิแต่ผู้เดียวเพื่อตัดกังวล และเริ่มจดบันทึกไว้ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๒๒ เป็นครั้งที่ ๘ ได้ห้องพักเบอร์ ๑๐ หลังโบสถ์ เวลา ๑๙.๐๐ น.

เข้าฝึกที่ศาลานวราชเป็นครั้งแรก แต่ผมก็ปลื้มใจ เพราะสมาธิของผมดีพอใช้ ผมขับเคี่ยวตนเอง ๓ วันอย่างหนัก ควบคุมอารมณ์ไว้เสมอ แม้เข้าห้องน้ำ รับประทานอาหาร ทำให้ผมสว่างขึ้น นรก สวรรค์ นิพพาน ชาตินี้ชาติก่อน กรรมดี กรรมชั่ว ค่อยเข้าใจขึ้น หมดข้อสงสัยที่เคยมีมาในกาลก่อน และมีจิตใจอยากจะสร้างแต่กรรมดีเสมอ

ประสบอุบัติเหตุ
วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ ผมนำหมู่คณะมากราบหลวงพ่ออีกวาระหนึ่ง เป็นครั้งที่ ๓๓ ของผม ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร ครั้งที่ ๑๓ มีผู้เดินทางมาครั้งนี้ ๑๖ คน ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ มีหนุ่มน้อยมากคือผมคนเดียว อายุเพิ่งได้ ๗๕ ปีเท่านั้นเอง รถโดยสารขับไม่ไวนัก เพราะระยะทางไม่ไกล ขับไปตามสบาย ถึงทางโค้งล้อหลังยางรั่ว รถส่าย วิ่งชิดซ้ายแต่ป่ายไปทางขวา พลัดตกถนน ถนนสูงพอดู

รถไม่พลิกคว่ำ ตะแคงข้างอยู่ พวกเราช่วยเหลือจนออกจากรถได้หมดทุกคน มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยเพียง หรือ ๔ คน เอายาหม่องทา บีบนวดเล็กน้อยก็ทุเลา และไม่มีผู้ใดเสียกำลังใจไปต่อไปจนถึงวัดท่าซุงจนได้ ในระหว่างที่รถตกถนนนั้น มีชาวบ้านบ้าง รถผ่านไปมาหยุดมาดูเหตุการณ์มาก เมื่อเห็นคณะของผมปลอดภัยดีทุกคน เขาโล่งใจ

ชาวบ้านแถบนั้นถามผมว่าจะไปไหน ผมตอบว่าจะไปวัดท่าซุง ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร หลายท่านร้องอ้อ มิน่าเล่า หลวงพ่อท่านคุ้มครองให้พวกเราปลอดภัย ชาวบ้านเขาพูด ผมก็คิดว่าถูกของเขา เพราะผมคิดว่าที่ปลอดภัยก็เพราะบารมีหลวงพ่อช่วยคุ้มกันแน่ ชาวบ้านที่มามุงดู บอกกับพวกเราว่า ที่ตรงนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้น ๑๓ ราย และทุกครั้งจะมีคนตายทุกรายถึง ๑๓ รายแล้ว ไม่รถชนกันก็ตกถนน มีคันนี้เพียงคันเดียวที่ปลอดภัยอย่างน่าอัศจรรย์

พวกเราตกใจบ้าง มีสิ่งหนึ่งที่ผมสะดุดใจ คือผู้ที่เสียชีวิตจุดนี้ ผมนึกสงสารเขาเหล่านั้นมาก อยากจะช่วยเหลือเขา หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ในหนังสือว่า สัมภเวสี นั้น ถ้าจะทำบุญควรถวายสังฆทาน หรือ สมาธิ แผ่ส่วนบุญไปให้ ผมนึกในใจว่า สัมภเวสีทั้งหลายในบริเวณนี้ วันนี้ผมจะไปถวายสังฆทานที่หลวงพ่อ (พระราชพรหมยาน) อุทิศกุศลเจาะจงไปถึงทุกๆ ท่าน ผมแผ่บุญกุศลด้วยความตั้งใจ

ขอให้ทุกท่านจงโมทนา ท่านที่มีทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ที่มีสุขก็ขอให้สุขยิ่งๆ ขึ้นเถิด ผมกลับถึงบ้านทำสมาธิแผ่กุศลให้อีก และผมมากราบหลวงพ่อในงานฉลองเลื่อนสมณศักดิ์ได้ถวายสังฆทานอุทิศให้อีกครั้งหนึ่ง

พระคุณหลวงพ่อ
พระคุณของหลวงพ่อนั้นมีมากมายต่อศิษย์ ชุบชีวิตที่มืดมนของผม ให้ได้พบพระธรรม น้อมนำไปปฏิบัติ ขจัดนิวรณ์ ที่เคยย่อหย่อนก็พยายามให้เข้าข้นยิ่งขึ้น ตัดขันธ์ ๕ เจริญพรหมวิหาร ๔ และบารมี ๑๐ พยายามลดละ ถึงจะไปยังไม่ได้ไกลนัก แต่ก็จะพยายาม มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง คือพระนิพพาน

ผมสงสารหลวงพ่อ ท่านมานะอดทน ต้องต่อสู้กับโรคาพยาธิ อุตส่าห์อบรมสั่งสอน ห่วงใย อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ เมตตาธรรมของหลวงพ่อใหญ่หลวงนัก พระคุณท่านเปรียบเสมือนกระจกเงา สะท้อนส่องแสงให้เราดูตัวเราเองว่าบกพร่องอะไรบ้าง เพื่อเอาเยี่ยงอย่างท่าน แม้จะได้เพียง ๑ ในล้านของหลวงพ่อก็ยังดี

สุดท้ายนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย มีพุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อภิบาลปกปักรักษา ให้พระคุณของหลวงพ่อผ่อนคลายจากโรคาพยาธิ มีพลามัยดีขึ้นตามลำดับ เพื่อเป็นร่มโพธิ์แก้ว ให้พวกเราสานุศิษย์ทั้งหลาย ได้เป็นที่สักการบูชากราบไหว้ ตลอดไปชั่วกาลนาน

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 20/1/12 at 13:26

34

ความในใจ


ปาริชาติ แสงหิรัญย


“ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วทำไมต้องตาย ตัวเราต้องตายไหม เราต้องแกแล้วหนังเหี่ยวเหมือนยายที่ไม่สวยไหม คนตายรู้สึกอย่างไร อาการตายเป็นอย่างไร อึดอัดไหม ทำไมต้องเอาไปเผาที่ป่าช้า ถูกเผาเจ็บไหม คนตายมีความรู้สึกเหมือนเราไหม ทำไมคนเราไม่เหมือนกัน บางคนโง่ บางคนฉลาด บางคนรวยบางคนจน

บางคนชอบโกหกใส่ร้ายคนอื่นทำไม สัตว์มาจากไหน รู้สึกเหมือนเราไหม นรกเขาว่ามีอยู่ใต้ดินแล้วทำไมคนไม่กลัวบาป สวรรค์อยู่บนฟ้าตรงไหน ทำไมเราจึงโง่ไม่รู้ทันคน ทำอย่างไร เราจะฉลาดทันคนบ้างจะรู้ใจคนอื่นวาเขาคิดดีไม่ดีกับเราอย่างไร มีใครไม่ตายไหม?” คำถามเหล่านี้ เป็นความสงสัยที่เด็กบ้านนอกอย่างข้าพเจ้ามีอยู่สะสมไว้ในใจ ตั้งแต่วัยประถมศึกษา

เพราะความเป็นคนคิดมากช่างสงสัยไปหมด แต่ไม่มีคำตอบ ข้าพเจ้าเคยเลียบเคียงถามผู้ใหญ่หลายคนกลับถูกดุว่า “สู่รู้ไม่เข้าเรื่อง ไม่อยู่ส่วนเด็ก คิดอะไรเรื่องตายๆ ไม่เป็นมงคล จะอายุสั้น” แต่ความเป็นคนรั้นดื้อเงียบก็พยายามหาคำตอบเรื่อยมาเพราะไม่เชื่อว่า คิดแค่นี้จะทำให้คนอายุสั้นได้ แต่ก็ไม่มีคำตอบจาก “นักปราชญ์ นักตำรา” ทั้งหลายสมัยนั้น

ข้าพเจ้าเพิ่งได้รับความกระจ่างชัดเมื่อไม่กี่ปีมานี้ และผู้ที่เมตตามีความสำคัญอย่างยิ่งที่ให้ความรู้แก่ข้าพเจ้าคือ พระราชพรหมยาน หรือ หลวงพ่อ ของเรานั่นเอง ข้าพเจ้าได้กราบหลวงพ่อครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ ที่วัดท่าซุง รู้สึกประทับใจในลีลาและการสนทนาของท่าน รู้สึกชอบใจและเคารพรักท่านมากเหมือนท่านเป็น “พ่อ” ผู้มีพระคุณอีกคนหนึ่ง

อีกอย่างพวกเราเข้าใจว่าท่านคง “ได้ยิน” คำอธิษฐาน ขอให้ท่านช่วยนำเราไปวัดให้ทันเวลา เพราะว่าเราหลงทางเกรงไม่ทันถวายของท่าน และเราเข้าไปเป็นชุดสุดท้ายในวันนั้น ดูเหมือนจะเป็นวันออกพรรษา ท่านนั่งรอบนธรรมาสน์ ศาลาพระพินิจ และเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เข้าไปถวายของแด่ท่าน แล้วท่านชวนให้ตามไปสนทนาที่ศาลานวราช (เก่า) ต่ออีกจนถึงเวลาบ่ายแก่ๆ

การสนทนาในวันนั้น ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าจะนั่งฟังหลวงพ่อและคุณพ่อของข้าพเจ้าสนทนากันอย่างถูกใจ ในธรรมะและเรื่องราวของหลวงปู่ปาน พอกลับถึงบ้าน ข้าพเจ้ามีอาการประหลาดนอนไม่ได้ ก็หลับตาทีไรเห็นหลวงพ่อชัดแจ๋ว (ทั้งๆ ที่ไม่ได้นึกถึงท่าน) เหมือนอยู่ตรงหน้า พอลืมตา นามของท่านก็ปรากฏในใจเป็นตัวอักษรชัดเจนอีก เป็นอยู่อย่างนี้จนหวาดผวา

อีกนานต่อมา พ.ศ.๒๕๒๕ ข้าพเจ้าจึงได้โอกาสกราบท่านหลวงพ่ออีกครั้งที่ซอยสายลม เป็นการไปด้วยใจหวาดๆ เพราะมีคนขู่ว่า ที่นั่นเขาไม่ต้องรับคนอย่างเราที่ไม่มียศฐาน์บรรดาศักดิ์ แต่ด้วยความดันทุรังอยากลองดูจึงตัดสินใจไปให้รู้เอง แล้วพบว่า ไม่มีใครสนใจเรา ต่างคนก็มุ่งไปที่หลวงพ่อเท่านั้น พอไปถึงบ้านสายลมก็แอบดูวิธีการเขาก่อน เกรงจะเป็นคนแปลกแยก

หลวงพ่อท่านยิ้มแย้มกับทุกคนที่นั่งอยู่และที่เดินเข้าไป เราไม่รู้จักใครสักคนก็ดีแล้ว เพราะเราอยากทำบุญเงียบๆ ก็ถือถังสังฆทานและพระเข้าไปพร้อมเงินใส่ซองเข้าไปถวาย พอเดินเข้าไประยะใกล้โต๊ะเตี้ยที่ท่านนั่ง ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจดูเหมือนเราจะค้ำหัวผู้ใหญ่ ยิ่งเข้าไปใกล้เห็นหลวงพ่อชัดๆ ขาชักจะสั่น เข่าก็อ่อน อยากหมอบคลานเข้าไปหาท่านใกล้ๆ ทั้งดีใจทั้งอยากจะร้องไห้เศร้าใจ

อารมณ์ขัดเขินยุ่งไปหมด พอใกล้อีกหน่อยก็ต้องลงเดินเข่าโดยอัตโนมัติเข้าไปหาท่าน ได้ยินเสียงทักว่า “มาแล้วรึลูก” รีบกราบไหว้โดยเร็วแล้วถอยหลัง (เดินเข่า) ออกมา ๔ – ๕ ก้าวก่อนลุกขึ้นยืน หันหลังกลับออกมานั่งค่อนข้างไกล “แอบ” มองท่านอยู่ห่างๆ และฟังคำสนทนาไปด้วย ในใจคิดว่า ท่านเจ้าของบ้านช่างใจดีมาก

เราเป็นหนี้บุญคุณท่านที่ได้มาทำบุญอย่างสะดวกสบายเช่นนี้ ข้าพเจ้านั่ง “แอบมอง” หลวงพ่อด้วยความสบายใจ ชอบใจลีลาการพูดและเสียงหัวเราะของท่าน และสะกิดใจในคำสนทนาของหลวงพ่อเพราะหลายตอนเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าสงสัยมาก่อนนานแสนนาน จึงตั้งใจฟังเต็มที่ น่าแปลกที่ท่านพูดไปเรื่อยๆ ไม่มีใครซักถาม แต่ล้วนตรงกับข้อสงสัยที่ระบุไว้ในตอนต้น

แถมย้ำว่า มีหลายท่านที่รู้ใจคนอื่น ไปนรกสวรรค์นิพพานกันก็ได้ไม่ยาก พระพุทธเจ้าท่านมีอยู่จริง เราพบท่านได้ พูดกับผีเทวดาก็ได้ ฯลฯ ข้าพเจ้าหูผึ่งเลยตอนนั้น แต่แล้วจิตก็แฟบลงด้วยความคิดที่ว่า แล้ววิชาที่ว่าใครเขาสอนกันที่ไหน คนโง่ๆ อย่างเราใครเขาจะยินดีสอนให้...เกิดกังวลใจอีก ไม่นานต่อมาหลวงพ่อท่านก็พูดว่า

“ที่นี่เขาสอนมโนมยิทธิทุกเสาร์ อาทิตย์ต้นเดือน มโนมยิทธิแปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ มีเขาฝึกกันได้เยอะแยะ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ใครจะเรียนวิชานี้กับท่าน ต้องเรียนแบบโง่ๆ ถ้าฉลาดเกินครูจะทำไม่ได้” ใจมาเป็นกองอีกตอนนี้ ขอสารภาพความดื้อรั้นว่า แม้ได้ฟังคำของหลวงพ่อตรงกับข้อคิดกังขาในใจหลายครั้งหลายหน ก็ยังเหมาเดาว่าเป็นการ “บังเอิญ”

พอกลับมาบ้านก็คิดกลับไปมาว่า เราไปฝึกดีไหม ไหวไหม อายเขาถ้าทำไม่ได้ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าอายใคร เพราะไม่รู้จักใครสักคนที่นั้น พอบางคนรู้เรื่อง เขาก็ “ขู่” อีกว่า “ฉันเคยฝึกนะ อย่างเธอน่ะฝึกไม่ได้หรอก ดวงเธอไม่ดี มันร้อน เธอภาวนา นะมะ พะธะ เมื่อไร เธอจะเป็นบ้าเสียสติไปเลย” เอาละซี ทำให้เราลังเล กลัวบ้า ลูกก็ยังเล็กๆ เราบ้าแล้วใครจะช่วยเลี้ยงลูก

แต่ว่าความอยากรู้อยากเห็นอยากลองมีมากกว่ากลัวบ้า ปลอบใจตัวเองว่า “ที่จริงตอนนี้เราก็บ้าอยู่ใน ๕๐๐ จำพวกอยู่แล้ว ถ้าจะบ้าเพราะอยากได้ดีอยากฉลาดมั่งก็ยอม แล้วหลวงพ่อเจ้าของวิชาท่านก็อยู่ที่นั่น ท่านเรียนรู้มาก่อน ท่านคงรู้วิธีแก้บ้าให้ได้ ถ้าเราเกิดบ้าขึ้นมาจริงๆ พ่อเราเก่ง แต่เป็นฆราวาส หลวงพ่อท่านเป็นพระ ท่านต้องเก่งกว่าพ่อเราแน่ๆ ในเรื่องช่วยคนอื่น”

ก็เกิดมั่นใจ แต่ขอดูลาดเลาจากหลวงพ่อก่อนเผื่อท่านไม่อนุญาตให้ฝึก นี่คิดที่บ้านนะท่าน พอเดือนต่อมา ท่านมาสอนกรรมฐานตามกำหนด ข้าพเจ้าก็ไปถวายสังฆทาน คราวนี้หลวงพ่อท่านถามชื่อด้วย แล้วท่านว่า “ชื่ออะไรมันก็ไม่รู้เรียกยาก” ต่อมาสักครู่ได้เวลามโนมยิทธิ หลวงพ่อ “สั่ง” ให้ข้าพเจ้าขึ้นไปข้างบนขอฝึกกับเขา ก็ต้องไปตามสั่งทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจตัวเอง

และด้วยเมตตาและบารมีหลวงพ่อท่านสงเคราะห์ ข้าพเจ้าก็สามารถพิสูจน์ข้อสงสัยและรู้เห็นเรื่องราวต่างๆ ที่ฝังใจมานานได้ ทำให้คนดื้อรั้นซอกแซกต้องยอมจำนนต่อเหตุผลและความสามารถของหลวงพ่อตั้งแต่วันนั้น นับแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๕ เป็นต้นมา ข้าพเจ้าพบว่า หลวงพ่อท่าน “รู้ไปหมด” จริงๆ ความรู้ความสามารถของท่านในทุกด้านจะซักถามเช่นไรขอศึกษาเท่าใดไม่มีวันหมดทางโลกทางธรรมเชิงภาษา

จนข้าพเจ้ามิอาจเรียกตัวเองว่าเป็น “ลูกศิษย์” ของท่าน อาจเป็นได้แค่ “ลูก” เพราะข้าพเจ้ายังไม่สามารถปฏิบัติตนตามคำสอนของท่านได้ดีสมกับเป็นลูกศิษย์ของท่าน ที่ท่านพยายามสอนอยู่เป็นประจำ วิธีการสอนของหลวงพ่อชวนให้สนใจ ท่าน “รู้ใจ” ผู้ฟัง เพียงคิดสงสัยในใจเท่านั้น ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังท่าน จะใกล้ไกลแค่ไหน ท่านจะ “รู้”

และถ้ามีประโยชน์ในสารัตถธรรมท่านจะเมตตาชี้แจงแถลงความให้ฟัง โดยไม่ต้องถามท่าน ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าได้รับการสงเคราะห์จากท่านแบบนี้เป็นประจำ (เนื่องจากบางคำถาม ไม่แน่ใจว่าสมควรถามหรือไม่ต่อโอกาสนั้น บ่อยครั้งจึงใช้การคิดถามในใจ) และอาศัยวิธีการสังเกตลีลาของท่านจะเป็นการย้ำให้รู้ว่า “นั่นท่านสอนเรา” ทุกคนที่เกิดมาล้วนมีทุกข์ทุกคน เพราะบาปจากการผิดศีล ๕ หนักบ้างเบาบ้าง

หลวงพ่อท่านมีวิธีการสอนการแก้ทุกข์และหนีทุกข์ด้วยตนเอง โดยให้ใช้ “ยถากัมมุตาญาณ” ดูการกระทำของตนเองในอดีต เพื่อทำใจให้ยอมรับเศษของกรรม แล้วแนะนำให้ใช้วิปัสสนาญาณในการปลดปลงใจจากการยึดติด ด้วยภาษาไทยแท้ง่ายๆ และวิธีปฏิบัติแบบง่ายๆ “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” ท่านก็แนะนำให้ใช้บ่อยๆ

เพื่อให้เข้าใจทุกข์จากการตายๆ เกิดๆ จะได้รู้จัก เบื่อ รู้จักละวาง และหันเข้าหาสังขารุเปกขาญาณต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนย้ำของหลวงพ่อที่ให้มองทุกอย่างเป็นธรรมะ อย่าคิดติฉินนินทาคนอื่น ผนวกกับวิธีสอนแบบลัดๆๆๆ แต่มีผลใหญ่ ซึ่งหลวงพ่อท่านจะทดลองก่อนแล้วนำมาสอนเรา ทำให้เข้าใจง่าย จำง่าย ชวนให้นำไปปฏิบัติมิรู้เบื่อ หลวงพ่อท่านรู้เห็นทุกอย่าง

แต่ท่านจะแสดงออกหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง ขอยกตัวอย่างเรื่องของตัวเองที่รู้เฉพาะตนแม้คนใกล้ชิดก็ไม่รู้ แต่หลวงพ่อท่าน “รู้” เช่น คุณไสยที่มีผู้พยายามทำร้ายข้าพเจ้าอย่างหนักหลายราย วันหนึ่งมีผู้มาถามท่านเรื่องนี้ ท่านพูดๆ ไปแล้วหันมาทางข้าพเจ้าแล้วว่า “ถามไอ้นี่มันซิ มันรู้ดี” ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยเล่าให้ท่านหรือใครฟังเลย เรื่องเจ็บป่วยแบบไร้สาเหตุผิดปกติก็เช่นกัน

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้ากำลังออกจากบ้านจะไปทำบุญที่ซอยสายลม เกิดปวดศีรษะกะทันหันอย่างหนักแทบเดินไม่ไหว ตามองไม่ชัด กลั้นใจภาวนาไปจนถึงซอยสายลม พอเข้าไปในบ้านผ่านประตูกระจกชั้นแรก ก็หมดแรงต้องฟุบลงในท่ากราบหลวงพ่อ บอกท่านในใจว่า “ลุกไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ” หูแว่วได้ยินเสียงท่านชัดมากว่า “ไม่เป็นไร”

แล้วเห็นมือหลวงพ่อยาวออกมาทั้งแขนจากที่ท่านนั่งมาวางบนศีรษะข้าพเจ้า ความปวดเจียนตายค่อยคลาย และเมื่อหลวงพ่อยกมือออกไปจากศีรษะข้าพเจ้า ความปวดหายไปเหมือนปลิดทิ้ง หรือว่าครั้งหนึ่ง มีผู้ทำร้ายข้าพเจ้าด้วยคุณไสย ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังหลับสนิท ต้องร้อนรุ่มทุรนทุรายเหมือนอยู่ในเตาไฟร้อนจัด กายข้าพเจ้าร้อนเหมือนถ่านคุโชน

ข้าพเจ้าเจียนบ้าตายเพราะความร้อนจากเขากระทำ พลันได้ยินเสียงบอกที่หูชัดเจนในว่า “จงภาวนาว่า...” ข้าพเจ้าท่องตามดังๆ ทั้งๆ ที่ยังหลับๆ ตื่นๆ แค่ ๓ ครั้งก็เยือกเย็นลงได้ หลวงพ่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวของทุกคน ข้าพเจ้าเช่นกัน เคยคิดบ่อยครั้งว่า ถ้าหลวงพ่อไม่อยู่แล้ว ข้าพเจ้าที่โง่เง่าจะได้ใครมาสอน เพราะคนดื้อรั้นไม่เชื่อใครง่ายคงไม่มีใครอยากแนะนำ หลวงพ่อก็เมตตาสอนว่า

“การปฏิบัติพระกรรมฐานต้องทำให้ถึงขั้นสามารถเรียนรู้จากครูอาจารย์ที่ไม่มีตัวตนจึงจะใช้ได้ ฝึกฝนให้คล่องสงสัยอะไรให้ถามแม่หรือถามพระ...” ก็เพียงแค่คิด หลวงพ่อท่านแนะนำสั่งสอนให้หายสงสัย หลายปีก่อน หลวงพ่อเล่าถึงการเป็นหมอดู ฟังดูสนุกน่าสนใจ แต่ใจเฉยๆ เพราะข้าพเจ้าไม่ค่อยเชื่อหมอดูนัก และไม่คิดว่าตัวเองจะเกี่ยวข้องด้วยก็ฟังเพลินๆ

หลวงพ่อหันมาทางข้าพเจ้า ๒ ครั้ง ใน ๒ วัน ว่า “พระท่านอนุญาตให้เป็นหมอดูได้เรียกเงินค่าดูได้ไม่เกินคนละ ๕๐ บาท” แต่ไม่นานหลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องทำตัวเองคล้ายๆ หมอดูร่วมกับ “น้องชาย” ใช้ความรู้จากการ “ถามท่าน” แล้วถ่ายทอดให้เป็นประโยชน์ต่อผู้มีทุกข์และอยู่วงนอกออกไปไกลๆ (แต่ไม่มีการเก็บเงิน)

หลวงพ่อท่านรู้กาลล่วงหน้าที่คนดื้อและขี้เกียจ เช่น ข้าพเจ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะคิดกตัญญูใคร่กระทำความดีตอบแทนพระคุณ ความประทับใจในองค์หลวงพ่อข้าพเจ้ายังมีอีกมาก ยากจะพรรณนาได้ครบถ้วน แต่ขอเล่าเพียงเท่านี้ เพื่อเป็นแค่ตัวอย่างแก่ผู้สนใจหรือสงสัยในสิ่งที่ควรสงสัย เช่น ความสามารถของหลวงพ่อ เป็นต้น

ใครที่ใคร่ได้รับความเมตตาสงเคราะห์เป็นพิเศษจากหลวงพ่อเป็น “ส่วนตัว” ดังที่ท่านเมตตาแก่ข้าพเจ้าผู้โง่เง่าในทุกเรื่องละก็ ขอให้พยายามปฏิบัติตามคำสอนของท่านที่แนะนำให้ไว้ อาศัยความเข้าใจและตั้งใจจริงเป็นสำคัญ ก็จะสามารถทำได้เช่นคนอื่นเขา กล่าวโดยสรุปความว่า ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้าซาบซึ้งในเมตตาของหลวงพ่อที่มีพระคุณต่อข้าพเจ้าอย่างใหญ่หลวง

หลังเหตุการณ์วิกฤตในชีวิตข้าพเจ้า ๑ พ.ย. ๒๕๒๖ จึงตัดสินใจกระทำการกุศลสนองพระเดชพระคุณทุกท่านโดยอาศัยการประสานสงเคราะห์แก่พุทธศาสนิกชนผู้ควรแก่การสงเคราะห์ตามนัยพระศาสนา เท่าที่ข้าพเจ้าจักกระทำได้ ข้าพเจ้าโชคดีที่มี “พ่อ” และหลวงพ่อ คอยสงเคราะห์ด้วยความเมตตา ข้าพเจ้าจึงรับอาสาเผยแผ่เมตตาจาก “ท่าน”

สู่ผู้ด้อยโอกาสกว่าอีกทอดหนึ่ง ทั้งนี้และทั้งนั้น เพราะความประทับใจหลายประการในองค์หลวงพ่อของเราและนึกเอาส่วนหนึ่งของท่านเป็นแบบฉบับแห่งความดี กุศลบุญราศีใดๆ ที่ลูกได้กระทำแล้วนี้ ขอน้อมถวายแด่บุพการีองค์หลวงพ่อด้วยความเคารพและกตัญญู

ll กลับสู่สารบัญ


35

ธรรมใดที่พระพ่อบรรลุแล้ว


วัชรีย์ บุนนาค


เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ ข้าพเจ้าและครอบครัวได้มีโอกาสมากราบนมัสการหลวงพ่อ จากการแนะนำของคุณอาว่าให้มาถวายสังฆทาน แด่มารดาที่ล่วงลับไป แต่ข้าพเจ้าก็หารู้ไม่ว่ามารดาจะมีโอกาสได้รับหรือไม่ เพราะในขณะที่มารดามีชีวิตอยู่ ได้เคยฆ่าสัตว์เพื่อประกอบอาหาร และเมื่อข้าพเจ้าทำบุญ สร้างพระตามที่มารดาต้องการแล้ว

หลวงพ่อได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า มารดากราบเรียนหลวงพ่อขออนุญาตไปอยู่ที่ที่หลวงพ่อจะไป ข้าพเจ้าจึงหายกังวลใจเพราะท่านไปสบายแล้ว หลวงพ่อยังกล่าวกับข้าพเจ้าอีกว่าเทวดาฉลาดกว่าคนมากนัก ตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าได้พยายามตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อด้วยดี ถึงแม้บางครั้งข้าพเจ้าจะพลั้งเผลอไปบ้าง แต่ข้าพเจ้าก็สามารถดึงใจกลับมาได้

และขณะนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการเกิดเป็นคนนี้ช่างเป็นทุกข์เหลือเกิน ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็หวังนิพพานเป็นที่ตั้ง ตามคำสอนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาปรานีของหลวงพ่อ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะได้อย่างช้าๆ ตามความโง่ของตน แต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็คงไปได้ถึงนิพพาน เช่นเดียวกับเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ตามคำกล่าวของหลวงพ่อ

เมื่อคราวที่ข้าพเจ้าได้ไปทำพระกรรมฐานที่ตึกอินทรพงศ์ว่า ถึงแม้มันจะคลานไปก็ยังดี และคำที่ข้าพเจ้าประทับใจมากที่สุดคือ หลวงพ่อเรียกว่า อีลูกสาว ถึงแม้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ค่อยมีโอกาสได้รับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิดเหมือนรุ่นพี่ๆ ที่เขามีโอกาสก็ตาม แต่ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า จะทำงานอุทิศตนเพื่อนำเงินมาช่วยพระพุทธศาสนา

และจะทำงานหาเงินให้กับหลวงพ่อให้มากที่สุดเท่าที่กำลังของข้าพเจ้าจะทำได้ เนื่องด้วยหลวงพ่อท่านได้ให้ความช่วยเหลือข้าพเจ้าเสมอไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม บางขณะที่ข้าพเจ้ามีความทุกข์มากๆ ก็มีแต่หลวงพ่อ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีกำลังใจต่อสู้อุปสรรคต่างๆ ไปได้ พระคุณของหลวงพ่อที่ได้พร่ำสอนมวลมนุษย์ด้วยความเมตตาทั้งทางโลกและทางธรรม

ขอจงเป็นกำลังใจให้ลูกและครอบครัวได้เข้าถึงซึ่งธรรมที่หลวงพ่อได้บรรลุแล้ว ในชาติปัจจุบันด้วยเถิด และข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานขอความดีของข้าพเจ้าที่ทำมาแล้วตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าและครอบครัวได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ และขอให้หลวงพ่ออยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกหลานไปนานแสนนานด้วยเถิด

แสงตะวันสาดส่องต้องขอบฟ้า
ทั่วแหล่งหล้าพลันกระจ่างสว่างไสว
ดั่งพระธรรมคำสั่งสอนสว่างใจ
ลูกได้เพราะหลวงพ่อช่วยชี้นำ

สอนธรรมที่ลี้ลับให้กระจ่าง
เสมือนอย่างหงายขันที่ปิดคว่ำ
ช่วยกำจัดกิเลสหนาพาระยำ
ได้ด้วยคำสอนเฉพาะเหมาะกับตน

อันนิพพานขานเล่าว่าลี้ลับ
หลวงพ่อกลับเทศน์สอนทั่วทุกหน
ว่าเพียงเราไม่ยึดถือในตัวตน
จะหลุดพ้นเข้าถึงซึ่งนิพพาน

ธรรมใดที่พระพ่อบรรลุแล้ว
จงผ่องแผ้วในใจลูกทุกสถาน
ขอลูกได้เข้าถึงซึ่งนิพพาน
สุขสราญกายใจในชาตินี้


ll กลับสู่สารบัญ


36

เมื่อผมเริ่มฝึกมโนมยิทธิ


สามารถ ทิพย์รัตน์


ก่อนที่ ผมจะมาหาหลวงพ่อนั้น ผมเป็นคนจากต่างจังหวัด ได้เข้ามาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ ไม่คุ้นเคยกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของอากาศ จึงทำให้ต้องเป็นโรคภูมิแพ้มาตลอด ได้ไปรักษากับแพทย์ทั้งตามคลินิก และโรงพยาบาล แต่โรคนี้ก็ยังไม่หายขาด เวลาหนาวอาการถึงขั้นหอบ หืด เมื่อรักษากับแพทย์ไม่หายขาดก็พยายามหายาสมุนไพรต่างๆ จากหนังสือบ้าง ไปหาเจ้าเข้าทรงบ้าง

และไปหาพระที่รักษาโรคบ้าง ก็ยังไม่หาย เวลาหนาวก็เป็นขึ้นมาอีกจนอาการถึงขั้นนอนไม่ได้ เวลาเดินแต่ละก้าวต้องหยุดหอบหายใจครั้งหนึ่ง ต้องให้น้ำเกลือ ได้ไปรักษากับแพทย์ที่รักษาโรคนี้โดยตรง ถูกฉีดยาวันละเข็มเป็นเวลา ๑ เดือน ต่อมาก็ถูกฉีดยาอาทิตย์ละครั้ง แล้วก็ลดลงมาเดือนละครั้งเป็นเวลานานจนจำไม่ได้ แต่ก็ยังไม่หายอีก อาการก็ยังเหมือนเดิม ได้อ่านหนังสือพบว่า

มีพระที่รักษาโรคนี้หายขาดอยู่ที่วัดพรหมสุวรรณสามัคคี ได้ยามารักษา ๓ อย่างด้วยกัน เป็นยาสมุนไพรไทย, ยาผงสีเหลือง และยาน้ำ เมื่อได้กินยานี้แล้วอาการของโรคหอบ หืด ไม่มีอีกเลย เป็นเพียงหวัดธรรมดา ยานี้ต้องกินถึง ๓ – ๗ ปีถึงจะหายขาด แต่ผมกินเพียงปีกว่าๆ เพราะยานี้มีข้อห้ามมากเหลือเกิน ห้ามไม่ให้กินของทะเลทุกชนิด, ห้ามกินของหมักดองทุกชนิด

ขนมปัง และของที่มันๆ ทุกอย่าง เป็นต้น แต่ผมอดไม่ได้กินทุกอย่าง เจ้าของยานี้บอกว่า ถ้ายังกินยานี้อยู่แม้แต่จะกินของห้ามเหล่านี้ก็จะไม่มีอาการเป็นโรคหอบ หืด เมื่อผมเป็นหวัดนอนหายใจไม่ค่อยออก นอนไม่หลับ ผมมาได้วิชาของหลวงพ่อแบบไม่ต้องใช้ยาในบางครั้ง ทำให้นอนหลับสบาย ยานั้นก็คือ การนอนภาวนาว่า “พุทโธ” หรือ “นะมะพะธะ”

แล้วแต่จิตจะชอบภาวนาว่าอย่างไรให้สบายในขณะนั้น ก่อนที่ผมจะได้มาหาหลวงพ่อนั้น ผมได้ยืมหนังสือของเพื่อนที่เขามาหาหลวงพ่อเป็นประจำ เป็นหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานทั้งเล่ม ๑ , ๒ และ ๓ มาชอบใจเอาตอนหนึ่ง เรื่องคนที่ตายไปแล้วมาขอส่วนบุญ มาขอให้ถวายสังฆทานให้ ขอให้ถวายพระพุทธรูปหน้าตักตั้งแต่ ๕ นิ้วขึ้นไป และผ้าไตรจีวร ๑ ผืน อย่างอื่นไม่เอา

ที่มาขอพระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วนั้น เพราะหน้าตักต่ำกว่า ๕ นิ้ว จะไม่มีผล ที่ขอพระนั้นก็เพราะว่า ทำให้มีแสงสว่างมาก ส่วนผ้านั้นจะทำให้มีเครื่องประดับอันสวยงาม ทำให้ผมกลัวว่าถ้าผมตายไปแล้วจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ จึงได้ไปเช่าพระแถวเสาชิงช้า พร้อมผ้าไตร และเครื่องอัฏฐบริขารต่างๆ มาถวายกับหลวงพ่อท่านที่ซอยสายลม เป็นครั้งแรกที่มาแล้วผมก็ได้รับแจกเหรียญ “กูผู้ชนะ” มาหนึ่งเหรียญ

แล้วผมก็มีโอกาสได้ไปวัดครั้งแรกกับเพื่อน ได้ขับรถยนต์มากันเองและไม่มีใครรู้จักวัดเลย มาถึงจังหวัดอุทัยหาทางไปวัดไม่ได้ต้องถามเขาตลอดทาง เมื่อมาถึงวัดในตอนเย็น ทราบว่าหลวงพ่อท่าน มาสอนกรรมฐานที่ศาลาพระพินิจ และมีการฝึกมโนมยิทธิ ผมได้มานั่งฟังหลวงพ่อท่านสอนในช่วงสุดท้ายก่อนจบท่านได้พูดว่า

“ผู้ที่ฝึกใหม่ให้มานั่งข้างหน้า ส่วนผู้ที่ฝึกได้แล้วให้ไปนั่งข้างหลัง ผู้ที่ฝึกใหม่จะมีครูฝึกสอน เมื่อครูฝึกถามว่า คนข้างหน้า หรืออยู่ข้างๆ ใส่เสื้อสีอะไร เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ให้ตอบไปตามความรู้สึก” ผมเองเพิ่งจะได้มาฝึกเป็นครั้งแรกเข้าใจว่าจะต้องจำคนข้างหน้าและข้างๆ ให้ได้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อสีอะไร พยายามจำคนข้างๆ และข้างหน้าให้ได้

ต้องเหลือบตาดูคนข้างๆ และคนข้างหน้าใหม่ เพราะอยากจะฝึกมโนมยิทธิให้ได้ เมื่อนั่งไปสักพักหนึ่งก็ได้ยินครูฝึกมาสอนคนข้างหน้า และคนข้างๆ ต่อไปก็ไปสอนคนข้างหลัง นั่งอยู่ตั้งนานจนหมดเวลาก็ไม่มีครูมาสอนเลย ก็มารู้เอาตอนหลังว่า สาเหตุที่ครูฝึกฯ ไม่มาสอนเพราะเราไม่มีขันใส่เงิน ๑ สลึง ดอกไม้สามสี ธูปและเทียน เป็นค่ายกครูมาวางข้างหน้า

และหลงคิดว่าต้องจำคนที่อยู่ข้างหน้าและข้างๆ ให้ได้ ไม่ทราบว่าเอาความรู้สึกว่าจะมีคนมาอยู่ข้างหน้า ใส่เสื้อสีอะไร เป็นความโง่ของเราที่มาฝึกเป็นครั้งแรก

สิ่งที่น่าแปลกมากในวันกฐินวัดท่าซุง
ก่อนวันงานกฐินที่วัดท่าซุง (จำ พ.ศ.ไม่ได้) ตอนนั้นมีน้ำท่วมมากทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะที่วัดท่าซุง ผมทราบว่ามีน้ำท่วมสูงมาก บางที่สูงตั้งเมตรกว่าๆ (ถ้าอยากทราบว่าสูงขนาดไหนก็ดูได้จากห้องแถวที่ให้คนมาพักอยู่ข้างโบสถ์ (ปัจจุบัน) จะมีรอยน้ำท่วมอยู่) ตัวผมเองก็คิดว่าเราจะไปงานกฐินที่วัดได้อย่างไรในเมื่อน้ำท่วมมากอย่างนั้น

แต่ก็เป็นที่น่าแปลกมากก่อนหน้ากฐินประมาณสักอาทิตย์หนึ่งเห็นจะได้ น้ำที่ท่วมอยู่ได้ลดลงหมด หลวงพี่ชัยศรี (ตอนนี้ได้สึกไปแล้ว) ได้โทรทางไกลจากที่วัดมาบอกพวกเราที่กรุงเทพฯ ให้พวกเราไปช่วยกันทำความสะอาดตามห้องพักต่างๆ ที่ข้างโบสถ์ เพราะเวลาใกล้จะถึงวันงานกฐินที่วัดแล้วเดี๋ยวคนมาพักไม่ได้ พวกเราได้ชวนเพื่อนๆ มากันหลายคนมาช่วยกันทำความสะอาดจนเสร็จเรียบร้อยแล้วพากันกลับบ้านที่กรุงเทพ

เมื่อถึงวันงานกฐิน ผมได้ขับรถยนต์มาเอง ได้มีรถบัสทั้งที่มาจากกรุงเทพ และต่างจังหวัดมากันมากพอสมควร ได้พากันมาทอดกฐินที่วัด เมื่อทอดกฐินกันเสร็จเรียบร้อย รถที่มาจากกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดพากันกลับหมดแล้ว แต่ผมยังไม่ได้กลับ แวะมากราบพระวิสุทธิเทพที่พระจุฬามณี หน้าตึกอำนวยการ (ปัจจุบันอยู่หน้า รร.สุธรรมวิทยา) เมื่อกราบพระเสร็จ

ไม่ทราบว่าน้ำขึ้นมาจากที่ไหนขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งที่ฝนก็ไม่ได้ตก อากาศก็แจ่มใส ท่วมขึ้นมาใกล้รถยนต์ที่ผมจอดอยู่ด้านข้างพระจุฬามณีอยู่แล้ว ผมเห็นดังนั้นรีบวิ่งลงมาขึ้นรถขับรถออกไปกลับกรุงเทพฯ ทันที เพราะกลัวกลับบ้านไม่ได้ นี่ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ที่ผมได้ประสบมากับตัวเอง ที่น้ำขึ้นลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะในวันงานกฐินไม่มีท่าทีว่าน้ำจะท่วมเลย แต่พอหลังวันงานกฐิน น้ำกลับท่วมขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

ได้วิชาปิดทองเพราะพระคำข้าวที่หลวงพ่อท่านสร้าง
เรื่องการปิดทองผมไม่เคยที่จะสนใจเลย ผมเห็นเพื่อนที่เป็นช่างปิดทองบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะปิดทองเอง ก่อนที่หลวงพ่อท่านจะทำพระคำข้าวขึ้นมา หลวงพ่อท่านได้มาพูดที่ซอยสายลม (บ้านท่านเจ้ากรมเสริมฯ) ว่าที่วัดจะทำพระคำข้าวของหลวงพ่อ และจะมีพิธีพุทธาภิเษกที่วัดที่วิหาร ๑๐๐ เมตร พอผมทราบข่าวนี้ก็ได้มาชวนเพื่อนที่เป็นช่างปิดไปในงานพิธีนี้ แต่เพื่อนไปไม่ได้

แล้วฝากเช่าพระคำข้าวนี้ด้วย และให้ผมเช่าพระมาแล้วจะปิดทองให้ ๑๐ องค์ เมื่อหลวงพ่อท่านได้พุทธาภิเษกแล้ว หลวงพ่อท่านได้บอกว่าพิธีในวันนี้มีพิเศษอยู่อย่างหนึ่งโดยเฉพาะเรื่องลาภ พระคำข้าวรุ่นนี้มีลาภมาก ผมได้เช่าพระรุ่นนี้มาเกือบ ๒๐๐ องค์ เพราะมีคนที่มาไม่ได้ฝากเช่ากันมาก ผมได้เอาพระมาให้เพื่อปิดทองให้ ๑๐ องค์ แล้วก็ได้เอามาแจกพวกเพื่อนๆ

เมื่อเขาได้เห็นพระที่ปิดทองแล้วสวยมาก เหมือนกับเอาทองที่หล่อเป็นพระแล้วมาติดกับเนื้อผง ต่างคนก็ฝากให้มาปิดทองเป็นจำนวนมาก เพื่อนที่เป็นช่างปิดทองไม่มีเวลาปิดทองให้เพราะเขามีงานปิดทองมากอยู่แล้ว เขาจึงสอนให้ผมปิดทอง ปิดทองครั้งแรกๆ ก็ได้ปิดให้พวกเพื่อนๆ และก็ได้เอามาถวายหลวงพ่อฯ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมามีคนเอาพระมาให้ปิดทองเป็นจำนวนมาก

และพระรุ่นนี้ได้ให้ลาภผมมากมาย ต่อมาทราบข่าวว่าหลวงพี่บัญชา (สุขปัญโญ) กับหลวงพี่วิรัตน์ (โอภาโส) ท่านบอกว่าหลวงพ่อเมตตาที่จะทำพระหางหมากจากหมากที่หลวงพ่อท่านฉันเหลือไว้แต่ละหางที่หลวงพ่อเสกไว้ให้หลวงพี่หลายๆ ท่านที่ได้เก็บสะสมไว้ ผมก็ได้ปรึกษากับหลวงพี่วิรัตน์ว่าผมจะปิดทองให้ก่อนมีพุทธาภิเษก หลวงพี่ท่านก็ตอบตกลง

หลวงพี่ท่านได้บอกว่าครั้งแรกคิดจะทำพระหางหมากสีเขียวเหมือนกับใบพลูที่กินกับหมาก เมื่อกราบเรียนหลวงพ่อทราบ ท่านบอกว่าให้เป็นสีชมพูเพราะสีชมพูจะตัดกับทองทำให้เด่นขึ้น ก่อนจะมีพุทธาภิเษก พระหางหมาก หลวงพี่วิรัตน์ได้ฝากพระหางหมากมาให้ผม ๕๐๐ กว่าองค์ เพื่อปิดทองถวายแด่หลวงพ่อ ที่มีโอกาสปิดทองถวายหลวงพ่อท่านในการได้วิชาปิดทองนี้มา

แต่ผมปิดทองได้แค่ ๓๐๐ กว่าองค์ เพราะเวลากระชั้นชิดมากไปปิดทองให้ได้ไม่หมด นี่ก็เป็นอานิสงส์เล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่ผมจะมาหาหลวงพ่อท่านนั้น เรื่องศีลทำครบหมดเกือบทุกข้อ เรื่องฆ่าสัตว์ทำมาเป็นประจำตั้งแต่เด็กๆ ยิงนก ตกปลา ทำมาเป็นประจำ เรื่องขโมยไม่ต้องพูดมีเป็นประจำเหมือนกัน แต่เรื่องผิดลูกผิดเมียเขายังไม่เคยทำเลย

ส่วนเรื่องเจ้าชู้มีอยู่ในตัวแล้วไม่มีใครมาสอนเราก็เป็นลูกพ่อขุน (ขุนแผน) เหมือนกัน แต่ผิดกันที่ว่าขุนแผนนั้นมีเมียมาก ส่วนผมมีนั้นมีเมียน้อย อ๊ะ อย่าเข้าใจผิดว่ามีภรรยาน้อย มีภรรยาคนเดียว เรื่องการพูดเท็จมีบ่อยเป็นประจำ ส่วนเรื่องสุรานั้นดื่มเป็นประจำเมื่อมีการสังสรรกับพวกเพื่อนฝูง เมื่อได้มาหาหลวงพ่อ ท่านได้สอนเรื่องศีลอยู่เป็นประจำ

ก็พยายามปฏิบัติตามลดลงเรื่อยๆ เรื่องฆ่าสัตว์นั้นหยุดฆ่าแล้ว ตั้งแต่มาหาหลวงพ่อ แต่บางครั้งอาจมีการพลั้งเผลอปัดกวาดมด และยุง อาจจะตายโดยไม่ได้เจตนา ก็ขออโหสิกรรมด้วย เรื่องลักขโมยนั้นไม่ได้กระทำแล้ว แต่บางทีเอาของจากที่ทำงานยืมมาให้ที่บ้านบ้าง เรื่องพูดเท็จก็พยายามเลี่ยงอย่างที่สุด ส่วนเรื่องสุรานั้นเลิกเด็ดขาดตั้งแต่มาหาหลวงพ่อท่านแล้ว

หลวงพ่อท่านพยายามสอนให้พวกเราปฏิบัติทีละเล็กทีละน้อย ค่อยเป็นค่อยไปอันเป็นความฉลาดในการสอนธรรมะ อย่างการรักษาศีล ๕ ท่านจะสอนให้คนที่ยังรักษาศีล ๕ ไม่ได้ในครั้งแรกๆ เมื่อตื่นนอนขึ้นมาให้เราตั้งใจว่าวันนี้เราจะรักษาศีล ๕ ให้ครบตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ – ๐๙.๐๐ น. เป็นประจำทุกวันให้เกิดความเคยชิน เมื่อได้แล้วก็ให้เลื่อนเวลาออกไปเรื่อยๆ

จนรักษาศีลได้ตลอดทั้งวัน ผมจึงได้ปฏิบัติตามอย่างที่ท่านได้สอนจนเกิดความเคยชินในการรักษาศีล หลวงพ่อท่านรักพวกเราขนาดไหนพวกเราคงรู้ดี ท่านได้มาสั่งสอนพวกเราทุกๆ เดือนที่บ้านซอยสายลม แม้ร่างกายของท่านเจ็บป่วยต้องให้น้ำเกลือตลอดมา แม้จะทรมานกายขนาดไหนท่านก็ยังอุตส่าห์ลงมาสอนกรรมฐาน และให้พวกเรามาสร้างบุญกุศลไม่เห็นแก่ความยากลำบาก

จะเห็นว่าตอนที่ท่านลงมาสอนนั้น หน้าตาสดใส ท่าทางกระฉับกระเฉง ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกในการเจ็บป่วยที่มีอยู่เลย แต่บางคนอาจจะไม่รู้ว่าเมื่อท่านสอนเสร็จ เมื่อขึ้นไปพักผ่อนท่านต้องอาเจียน ต้องให้น้ำเกลือตลอดมาทุกครั้ง ท่านได้อดทนพยายามสั่งสอนให้พวกเรามุ่งสู่จุดหมายปลายทางแห่งชีวิต คือ “พระนิพพาน” ให้ได้ ชีวิตลูกนี้ขอมอบให้แด่พ่อที่พยายามให้ลูกรักษาความดีด้วยชีวิต และจิตใจ

ผลบุญอันใดที่พ่อท่าน (พระราชพรหมยาน) ทำมาแล้วในอดีตชาติ ปัจจุบันและที่จะทำต่อไป ลูกคนนี้ขออนุโมทนาผลบุญที่พ่อท่านทำมาแล้ว และที่จะทำต่อไปทั้งหมดทั้งสิ้นด้วยเทอญ. สาธุ...สาธุ...สาธุ

ถ้าลูกได้เคยล่วงเกินแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พรหม เทวดาทั้งหมด ท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ และท่านพ่อ (พระราชพรหมยาน) ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ หรือทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ขอองค์สมเด็จพระชินศรีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านที่ลูกได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด ได้โปรดอดโทษให้แก่ลูกด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 25/1/12 at 14:55

37

อุบายของพ่อ


สุนันท์ เจียรกูล


ก่อนที่คนเราจะเกิดมาไม่มีผู้ใดแนะนำให้เกิด ความหลงว่าการเกิดเป็นของดีจึงอยากเกิด เมื่อเกิดมาแล้วรู้ว่าการเกิดเป็นความทุกข์มหันต์ จึงไม่ต้องการเกิดอีก ทำให้เกิดการเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนไม่ให้กลับมาเกิดอีก พุทธศาสนิกชนที่ต้องการหลุดพ้นจึงยึดถือ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นที่พึ่งด้านการปฏิบัติธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบัน

แนวในการสอนของหลวงพ่อมี ๔ แนวทาง คือสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญและปฏิสัมภิทัปปัตโต สำหรับมโนมยิทธิเป็นแนวการสอนที่ผู้ปฏิบัติประสบความสำเร็จสูงทั้งในประเทศไทย แม้ชาวต่างประเทศก็สามารถปฏิบัติได้ และผู้ปฏิบัติจะหมดความสงสัยเรื่องนรก สวรรค์ว่ามีจริง ตายแล้วเกิด พรหม นิพพาน เป็นความจริงไม่ใช่คิดและยึดถือความคิดความเข้าใจของผู้อื่น เพราะได้พิสูจน์แล้วด้วยวิชามโนมยิทธิเป็นสำคัญ

หลวงพ่อจะเตือนย้ำศิษยานุศิษย์ทั้งหลายว่าให้ทุกคนใช้ปัญญา ใคร่ครวญความทุกข์เอง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่สัญญาความจำจากหนังสือ ปฏิบัติจะต้องมีความวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติตามแนวทางต่างๆ ที่ถูกจริตของตน วิธีใดก็ได้แล้วแต่ความพอใจ ให้ปฏิบัติสบายๆ ไม่เครียด และย่อหย่อนเกินไป พระเดชพระคุณท่านจึงมีอุบายให้ศิษย์ปฏิบัติหลายประการเพื่อให้เกิดมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบัน

ผู้ที่ปฏิบัติได้มากหรือน้อยก็เป็นผลดีต่อตนเองทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงขอเสนอแนวทางปฏิบัติของหลวงพ่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่มีความต้องการมรรคผลนิพพานดังนี้

๑. ให้ทำบุญ ทำทานทุกวัน ตามกำลังทรัพย์ที่มีอยู่ และมีความยินดีที่เห็นผู้อื่นที่ทำบุญ ทำทานทุกเมื่อ โมทนาเมื่อผู้อื่นทำความดี
๒. ไม่ลืมความตาย ความตายจะมาถึงเราทุกขณะจิตไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว คนชรา เมื่อเกิดมาแล้วไม่มีใครไม่ตาย

๓. ยอมรับนับถือพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ
๔. รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะตาย ต้องตั้งจิตอธิษฐานไว้เสมอว่าตายเมื่อไหร่ขอไปนิพพาน ให้หมั่นพิจารณาเนืองๆ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

๕. ยอมรับกฎของกรรม ๒ ประการ ตลอดชีวิตของคนเราทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมจะส่งผลเป็นช่วงๆ หรืออาจส่งผลพร้อมกันก็ได้
- กุศลกรรม จะดลบันดาลให้ผู้ปฏิบัติมีความร่ำรวย ทั้งเงินทอง ทรัพย์สิน บุตรหลานอยู่ในโอวาท และเป็นที่เชื่อถือของคนทั่วไป
- อกุศลกรรม เป็นเหตุให้เกิดความยากลำบาก เจ็บป่วย ทรัพย์สินสูญหาย หาทรัพย์ได้ยาก บุตรหลานดื้อด้าน ไม่เชื่อฟังและถูกปล้นชิงทรัพย์

๖. เป็นผู้ทรงสมาธิ คือมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามอนุสสติ ๑๐ ประการ ซึ่งได้แก่
๑) อานาปานุสสติ นึกถึงลมหายใจเข้าออก เพื่อระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านและระงับเวทนา ผู้ปฏิบัติควรทำทุกวันในเวลาว่าง เวลาเจ็บป่วย อานาปานุสสติเป็นกรรมฐานกองใหญ่ที่สุดที่ทุกคนจะต้องทำให้ได้ก่อนที่จะใช้กรรมฐานกองอื่นๆ

๒) จาคานุสสติ นึกถึงบุญและทานที่ทำมาแล้ว
๓) สีลานุสสติ นึกถึงศีลที่เราปฏิบัติอยู่ นึกถึงอานิสงส์ของการรักษาศีล
๔) กายคตานุสสติ นึกถึงร่างกาย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ ร่างกายดำรงอยู่ได้เพราะอาหารที่กินเข้าไป เราบังคับร่างกายให้เป็นไปตามใจเราต้องการไม่ได้

๕) มรณานุสสติ นึกถึงความตาย รู้ว่าต้องตาย ความตายจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ เพื่อไม่ประมาทในความตาย ก่อนนอนให้นึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าตายคืนนี้ขอไปพระนิพพาน เวลาตื่นนอนให้อธิษฐานขอบารมีของพระองค์เป็นที่พึ่ง ถ้าลูกจะตายในวันนี้ก็ขอไปแดนพระนิพพาน
๖) พุทธานุสสติ นึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนรู้ทางพ้นทุกข์
๗) ธัมมานุสสติ นึกถึงธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสอน

๘) สังฆานุสสติ นึกถึงความดีของพระอริยสงฆ์ที่ถ่ายทอดคำสอนของพระองค์สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับผู้เขียนจะนึกถึงความดีของหลวงพ่อที่นำคำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้ามาสอนศิษย์อย่างไม่ปิดบัง เพื่อให้ลูกศิษย์พ้นทุกข์ ขออธิษฐานว่าหลวงพ่อไปไหนขอตามหลวงพ่อไปที่นั่นด้วย
๙) เทวตานุสสติ นึกถึงความดีของเทวดา ความดีที่ทำให้เกิดเป็นเทวดา คือ หิริ และโอตตัปปะ
๑๐) อุปสมานุสสติ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ โดยเฉพาะผู้เคยปฏิบัติในวิชามโนมยิทธิจะเข้าใจเพราะสามารถปฏิบัติได้

ตัดกิเลส ให้เป็นสมุจเฉทปหาน เพื่อมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบัน โดยละสังโยชน์ ๑๐ ประการ

สำหรับสังโยชน์ของฆราวาสเบื้องต้นคือ การทรงอารมณ์พระโสดาบัน ได้แก่ การละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
๑) สักกายทิฏฐิ คือการไม่ต้องการร่างกาย รู้ว่าร่างกายเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ ทุกข์มาจากการมีร่างกาย ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราอาศัยร่างกายนี้ชั่วคราว

๒) วิจิกิจฉา คือการไม่สงสัยในพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอยึดไตรสรณาคมณ์เป็นที่พึ่งสูงสุดของชีวิต
๓) สีลัพพตปรามาส คือการรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ยอมตายไม่ยอมให้ศีลขาดและนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตายชาตินี้ขอไปนิพพาน

สำหรับผู้ครองเรือนทั่วไปควรละทำสังโยชน์ ๓ ให้ได้ เมื่อใกล้ตายบุญกุศลที่ทำไว้จะรวมตัวกันและสามารถตัดสังโยชน์ที่เหลืออีก ๗ ข้อได้และเข้าสู่แดนพระนิพพานได้ดังใจหวัง ทุกคนที่ไปฟังหลวงพ่อๆ จะย้ำให้ทุกคนเห็นความทุกข์ เข้าใจในทุกข์ให้แจ้งชัด ตัดทุกข์เพียงตัวเดียวจะพาท่านไปดินแดนที่เรียกว่าพระนิพพานได้

พระสงฆ์ในพุทธศาสนาจะมีลีลาสอนศิษย์แตกต่างกัน ซึ่งแล้วแต่ความสามารถและความถนัดของแต่ละองค์ สำหรับหลวงพ่อ “พระราชพรหมยาน” ท่านมีเจตจำนงให้ศิษย์พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าท่านอธิษฐานไว้ว่า

บริวารที่ติดตามท่านมาในชาตินี้จะฟังธรรมะของท่านรู้เรื่อง ถ้าเป็นคนสายเดียวกันทุกอย่างจะไปได้ดี ท่านจะพาไปให้หมดอย่างเลวก็ไปรออยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อพระศรีอาริยะเมตตรัยลงมาตรัสก็ตามท่านลงมาเกิดมาฟังธรรมจากท่าน

พระเดชพระคุณหลวงพ่อเตือนให้ศิษย์ทุกคนพิจารณาร่างกาย เบื่อร่างกาย มองร่างกายให้รู้เรื่องทุกข์ ยอมรับนับถือพระไตรสรณาคมด้วยความจริงใจ ทำสมาธิแบบสบายๆ ใช้พุทธานุสสติกรรมฐานเป็นสำคัญ ทำเช่นนี้ทุกวันทั้งก่อนนอน ตื่นนอน และเวลาที่ว่าง

ข้าพเจ้าขอบารมีของหลวงพ่อเป็นผู้นำทางให้เกิดความสว่างสู่หนทางที่หวังไว้ และขออธิษฐานบารมีในบุญกุศลทั้งหลายที่ได้ปฏิบัติมาแล้ว จงน้อมนำให้ข้าพเจ้าได้เข้าสู่แดนพระนิพพานที่หวังไว้ดังใจปองเอย

ll กลับสู่สารบัญ


38

หลวงพ่อที่ลูกภูมิใจ


สุนีย์ จิวเฉลิมมิตร


ข้าพเจ้าพบหลวงพ่อครั้งแรกเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๙ ณ บ้านท่านเจ้ากรมเสริม ซอยสายลม ข้าพเจ้าได้นั่งฟังหลวงพ่อพูดธรรมะแล้วรู้สึกว่าพระองค์นี้ท่านพูดฟังแล้วเข้าใจง่าย ข้าพเจ้าจึงได้มาอีกเป็นครั้งที่สองและครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อ ท่านกำลังนั่งให้น้ำเกลือที่แขนพร้อมกับรับแขกไปด้วย ข้าพเจ้าได้มองด้วยความทึ่งว่า ท่านป่วยต้องให้น้ำเกลือ ท่านยังออกมารับแขก

ทำให้ข้าพเจ้าต้องมากราบท่านและฟังธรรมะจากท่านทุกเดือนแม้ว่าจะต้องเดินทางมาจากชลบุรี ข้าพเจ้าจะอยู่จนหลวงพ่อกลับวัดแล้ว ข้าพเจ้าจึงเดินทางกลับเมืองชล เมื่อมาหลายครั้งแล้วข้าพเจ้าจึงถามปัญหากับท่านซึ่งปัญหานี้ข้าพเจ้าได้ถามกับพระที่อื่นแล้วเขาตอบข้าพเจ้าไม่ได้ เมื่อเล่าให้หลวงพ่อฟังแล้วข้าพเจ้าก็ร้องไห้ หลวงพ่อได้พูดกับข้าพเจ้าอย่างไรไม่ทราบ

เพราะรู้สึกหูอื้อ ขณะนั้นคุณหญิงเยาวมาลย์นั่งอยู่ด้วยได้บอกให้ข้าพเจ้ายกมือสาธุ แล้วหลวงพ่อก็ขึ้นไปพักชั้นบน หมดเวลารับแขก คุณหญิงท่านได้ปลอบข้าพเจ้าและแนะนำให้อ่านหนังสือ มหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเป็นหนังสือที่อ่านแล้วปฏิบัติได้ง่าย สิบสี่ปีผ่านมาแล้วช่างเร็วเหลือเกิน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยอิ่ม ไม่เคยเบื่อที่จะฟังธรรมจากหลวงพ่อเพราะว่าทำแล้วได้ผล

ที่เคยทุกข์มากก็กลายเป็นทุกข์น้อย ที่ทุกข์น้อยก็ไม่รู้สึกทุกข์ คิดว่าธรรมดาของโลกตามที่หลวงพ่อสอน แต่ถ้าจะให้มาเกิดอีก ไม่เอาอีกแล้วชาตินี้ตายเมื่อไรต้องไปนิพพานให้ได้กลัวจะไม่เจอหลวงพ่อ เพราะฉะนั้นต้องตามหลวงพ่อไปให้ได้

ความภูมิใจของข้าพเจ้าที่มีต่อหลวงพ่อ
หลวงพ่อเป็นพระที่ข้าพเจ้าภูมิใจมากที่สุดที่ได้มาเป็นลูกศิษย์ท่าน ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าเรานี้เกิดมาไม่เสียชาติเกิดที่ได้เกิดมาแล้วได้พบหลวงพ่อ หลวงพ่อรู้ใจลูกศิษย์ทุกคนและท่านก็รู้ว่าควรพูดหรือไม่ควร ท่านรู้แม้อดีตและอนาคต ซึ่งข้าพเจ้าได้สัมผัสมาแล้วอย่างมากมาย ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ก็ต้องเคยสัมผัสมาแล้วเช่นกัน

หลวงพ่อเป็นผู้มีความกตัญญู จะเห็นได้ว่าท่านจะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องมีชื่อหลวงปู่ปานนำหน้าชื่อท่านเสมอ
หลวงพ่อเป็นพระที่มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลาแคล่วคล่องถูกต้องรวดเร็วทันใจ
หลวงพ่อผู้มีปฏิภาณไหวพริบดีที่สุด ท่านไม่เคยจนปัญหาของใคร

หลวงพ่อสอนลูกศิษย์ให้รักษาศีลห้าได้มากที่สุด ลูกหลวงพ่อส่วนใหญ่จะรักษาศีลห้าได้ ซึ่งมันไม่ใช่ของง่ายเลยที่คนในยุคนี้จะทำได้
หลวงพ่อผู้มีความสามารถเจริญศรัทธาคนทั้งประเทศ จะเห็นได้ว่าเวลาที่วัดมีงาน ผู้คนจะหลั่งไหลมาจากทุกจังหวัดเหนือสุดใต้สุด แม้แต่ข้าพเจ้าเองต้องเดินทางถึง ๕ ชั่วโมง จึงจะถึงวัด ข้าพเจ้าก็ไม่ย่อท้อคงไปเป็นประจำเกือบทุกงาน

หลวงพ่อเป็นผู้มีความอดทนสูงมากที่สุด ทุกครั้งที่มีงานหลวงพ่อจะนั่งรับศรัทธาของผู้มีใจบุญใจกุศลทั้งวันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและพูดให้พรตลอดเวลา ทั้งที่ร่างกายของท่านย่ำแย่เต็มทีท่านก็ไม่เคยที่จะแสดงอาการออกมาให้เห็น ซึ่งลูกศิษย์ใหม่จะไม่รู้เลยว่าท่านป่วยมากขนาดไหน

วัตถุมงคลคุ้มครองลูก
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๒๕ ข้าพเจ้าได้ขับรถยนต์ปิคอัพไปชนรถหกล้อ ซึ่งจอดเสียโดยไม่มีสัญญาณไฟท้าย ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนถนนสายนั้นมืดหมด เมื่อมีรถสวนมาไฟเข้าตาจึงมองไม่เห็นรถที่จอดเสียเลย ข้าพเจ้าจึงชนชนิดที่ว่าไม่ได้เหยียบเบรกเลย ผลปรากฏว่าข้างหน้ายุบถึงชัสซีคด เบาะด้านซ้ายถ้ามีคนนั่งมีหวังต้องเจ็บตัวแน่ บังเอิญวันนั้นข้าพเจ้าไปคนเดียว

กระจกแตกละเอียดกองเต็มตักข้าพเจ้า เปิดประตูลงมาต้องถอดรองเท้าเทเศษกระจกแตกออก สำรวจตัวเองก็ไม่มีแผลตรงไหนเลย เมื่อมีคนไปบอกทางบ้านพี่ชายของข้าพเจ้ามาถึงก็ได้แต่ด่าและให้ไปจัดการเอง เมื่อร้อยเวรไปแล้วชาวบ้านบอกข้าพเจ้าว่าไม่ต้องเอาไปโรงพักหรอก เดี๋ยวเวลาเอารถออกจะต้องเสียเงินให้ตำรวจ ให้ลากไปไว้ที่ป้อมตำรวจบ้านเรานี่แหละ ไปโรงพักก็ไปแต่ตัว

เช้าขึ้นมาข้าพเจ้าต้องไปโรงพักคนเดียวก็นึกกลัวร้อยเวรจะดุเอาที่ไม่ทำตามที่สั่ง จึงได้เอาลูกแก้วที่ห้องคออยู่ออกมานอกเสื้อ แล้วอธิษฐานขออาราธนาบารมีสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อ ท่านย่า ท่านแม่ ช่วยให้ร้อยเวรคนนี้เมตตา ข้าพเจ้าเคยฟังเทปท่านย่าสอนลูกหลานที่กำลังจะไปสมัครงานว่า

ถ้าต้องการให้เขาเมตตาให้ท่องว่า พุทธังเมตตา ธัมมังเมตตา สังฆังเมตตา ขอให้คนที่เราจะไปสมัครงานเห็นหน้าเราแล้วเมตตา แล้วนึกเป่าหน้าเขาและเป่าใจเขาด้วย (นึกเป่าในใจนะ) ข้าพเจ้าใช้วิธีนี้เป่าหน้า เป่าใจร้อยเวรโดยเขาไม่รู้ตัว ปรากฏว่านายร้อยเวรใจดีกับข้าพเจ้าทันที บอกว่าข้าพเจ้าเป็นฝ่ายถูกหกล้อเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายหกล้อต้องซ่อมรถให้ข้าพเจ้า

เมื่อตกลงเรียบร้อยข้าพเจ้าจะลากลับ นายร้อยเวรชี้มาที่ลูกแก้วถามว่าแขวนอะไร ข้าพเจ้าจึงบอกว่า ลูกแก้วปลุกเสก ของหลวงพ่อฤาษี เขาจึงหยิบสร้อยออกมาเขาก็แขวนลูกแก้วเช่นกัน ข้าพเจ้าถามว่าได้มาจากไหน เขาตอบว่าได้มาจากผู้บังคับบัญชา เมื่อก่อนเป็นตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ นครศรีธรรมราชแล้วขอย้ายเป็นตำรวจภูธร เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรรู้แต่ว่าต้องเป็นของดี

เพราะว่าผู้บังคับบัญชาถอดออกจากสร้อยคอท่านเลย เขาจึงติดตัวมาตลอดต่อมาจึงได้ไปถามชมรมพระเครื่องแถววัดราชนัดดา จึงได้รู้ว่าเป็นของหลวงพ่อซึ่งเขาเองก็นับถืออยู่แล้ว หมวกตำรวจของเขาด้านในก็ติดยันต์แดงของหลวงพ่อด้วย เมื่ออยู่ภาคใต้ ผ.ก.ค. ให้ค่าหัวตำรวจคนนี้ถึงห้าหมื่นบาท เขาบอกว่าหมวกเขาติดธงหลวงพ่อแล้วไปไหนไม่เคยกลัวเลย

ข้าพเจ้ายังมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระรุ่นวันเกิดหลวงพ่อ ทรายเสก แหวนที่มีหัวแหวนสีดำ แหวนเพชร เหรียญรุ่น ต.ช.ด. เขต๙ แต่คงจะต้องเก็บไว้ก่อน ถ้ามีโอกาสหรือคณะผู้จัดพิมพ์หนังสือจะเปิดโอกาสให้เขียนเรื่องอภินิหารวัตถุงมคลของหลวงพ่อแล้วละก็ ข้าพเจ้าจะเขียนมาเล่าให้ฟังอีก

ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทุกๆ พระองค์ พรหมและเทวดาทั้งหมดได้โปรดช่วยให้หลวงพ่อมีสุขภาพดีขึ้น เพื่ออยู่เป็นมิ่งขวัญในดวงใจของลูกๆ ทั้งหลายตลอดกาลนานด้วยเทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


39

ขอกราบแทบเท้า


ดิรัตน์ นามากุล


ในบรรดาพระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ พระสุปฏิปันโน จำนวนหลายสิบองค์ตามภูมิภาค หรือ จังหวัดต่างๆ ที่ได้ไปกราบทั่วประเทศนั้น องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ท่านมี “รู้” แบบพิเศษ และ “ไว” เป็นกรณีพิเศษจริงๆ ขอกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ที่ได้อบรม สั่งสอน ว่ากล่าว ตักเตือนกระผม นานเกินกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา

ll กลับสู่สารบัญ