"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 2 (ตอนที่ 3)
webmaster - 9/2/12 at 19:19

◄ ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 4 ►



ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒

จัดพิมพ์โดย..คุณ มาลิดา ปานทวีเดช และคุณทวีทรัพย์ ศรีขวัญ

( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )


สารบัญ

40.
ทิพยา วิลาวัลย์
41. ทนงฤทธิ์ สีทับทิม
42. พ.จ.อ. สถาพร ปิ่นสุวรรณ
43. รศ.กรกฎ (วาสนา) สิงหโกวินท์
44. นรีกร กูรมะโรหิต (น้อย)
45. สัตวแพทย์นิวัฒน์ เจียมประสิทธ์
46. อุดมพร ฦาชา
47. ชัยชาญ เอี่ยมหนุน
48. บรรลือ ฦาชา
49. เสรีธร ทับทอง
50. อัจฉรา เสาร์เฉลิม
51. อาภรณ์ เทียมสิงห์
52. อุดม บุญเลิศ
53. เงิน งามขำ
54. สุรีรัตน์ มหินทรเทพ (เปล่งขำ)
สุรีรัตน์ มหินทรเทพ (เปล่งขำ)(ตอนจบ)
55. ดร.นิพนธ นิมบุญจาช
56. เพ็ญจันทร์ เลาวิลาวัณยกุล
57. วิเชียร อ้วนล่ำ
58. อมฤต สาตร์ร้าย
59. อารี จงพิศุทธิโสภณ
60. เกสร จันทรประภาพ


40

ความฝันก่อนพบหลวงพ่อ


ทิพยา วิลาวัลย์


ในราว พ.ศ.๒๕๒๐ ข้าพเจ้าได้นอนฝันว่า ได้ไปกราบหลวงปู่แหวน สุจิณโณไปกับพี่สาว ส่วนสามีแค่ขับรถไปส่ง แล้วก็ไปเดินดูอะไรรอบๆ บริเวณวัด ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ พอหลวงปู่เห็นข้าพเจ้าท่านก็หัวเราะและกวักมือเรียกให้เข้าไปใกล้ๆ ความรู้สึกของข้าพเจ้า เหมือนกับว่าท่านเป็นปู่ของข้าพเจ้าจริงๆ มีความสนิทสนมคุ้นเคย เป็นกันเองที่สุด ท่านก็แสดงความดีใจ

เมื่อเห็นข้าพเจ้ามาหา ท่านก็ถามข้าพเจ้าว่า “เอ็งอยากเรียนกรรมฐานให้ได้ผลไวไหม? อยากรู้ว่านรกสวรรค์มีจริงไหม?” ข้าพเจ้าก็ตอบว่า อยากเรียนเจ้าข้า แล้วท่านก็สวดอะไรไม่ทราบเป็นภาษาบาลี ท่านสวดยาวมากสวดไปก็ยิ้มไปอย่างคนใจดี ข้าพเจ้าก็เลยบอกท่านว่า หนูจำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ท่านก็บอกว่า เอาสมุดมาจดซิ ข้าพเจ้าก็เอาสมุดมาทำท่าจะจดก็มาคิดได้ว่าคำสวดเป็นภาษาบาลีทั้งนั้นเลย

กลัวเขียนไม่ถูกก็เลยบอกหลวงปู่ให้ท่านจดให้ดีกว่า ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านก็หยิบสมุดปากกาไปจดให้ แต่ก่อนที่ท่านจะจด ท่านได้หยิบอัลบั้มเล่มเล็กๆ มาส่งให้ ๑ เล่ม แล้วท่านก็พูดว่า “เอา! เอ็งอยากจะรู้ไหมว่า พระอรหันต์ในประเทศไทยมีกี่องค์ ใครบ้างดูเอาเอง” ท่านหยิบส่งให้แล้วท่านก็สวดไปจดไป ข้าพเจ้าก็เปิดดูสองคนกับพี่สาว หน้าแรกเป็นรูปพระสงฆ์ห่มจีวร สีเหลืองสด สวมแว่นตาด้วย

ผิวคล้ำๆ หน่อย ไม่อ้วนไม่ผอม ข้าพเจ้าก็สงสัยว่า เอ๊ะ! พระองค์นี้ชื่ออะไร เสียงก็บอกมาเองว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ข้าพเจ้าก็เลยพูดกับพี่สาวว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็เป็นพระอรหันต์ด้วย แล้วก็เปิดดูอีกหน้าหนึ่งเห็นเป็นรูปพระสงฆ์เช่นกัน แต่ปากท่านตรงริมฝีปากบนด้านซ้ายหยักเป็นเหมือนขั้นบันได ๓ ขั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ถามว่าท่านเป็นใคร

เพียงแต่นึกในใจว่าทำไมปากท่านจึงเป็นเช่นนั้น ก็พอดีตื่นนอนเสียก่อน ความฝันนั้นชัดเจนแจ่มใสเหมือนกับเกิดขึ้นจริงๆ ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักหลวงปู่แหวนและหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาก่อนเลย ข้าพเจ้ามีจิตใจสงบนิ่งมาก จิตก็คิดถึงแต่ความฝันนั้น อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ชั้นบนเสร็จก็ลงมาชั้นล่าง เปิดประตูร้านเสร็จก็ไหว้พระสวดมนต์ที่ชั้นล่างอีก พอสวดมนต์เสร็จกำลังก้มกราบ

เสียงคนเดินเข้ามาในร้านเรียกเจ๊ๆ ข้าพเจ้ากราบพระเสร็จหันไปก็เจอเขาพอดี เพราะเขาเดินมาถึงตัวข้าพเจ้าแล้ว เขาเป็นทหาร เขาถามว่าพี่ผู้ชายอยู่ไหมครับ ข้าพเจ้าก็ตอบว่าอยู่ค่ะ แต่ยังไม่ตื่นเลย เขาก็เลยพูดว่า งั้นผมฝากของไว้ให้แกด้วย แกเคยสั่งผมไว้ว่าถ้ามีใครเอาพระมาแจกให้เอามาให้แกด้วย แล้วเขาก็ยื่นห่อกระดาษสีขาวให้ แล้วเขาก็เดินกลับไปโดยไว

ข้าพเจ้าก็รับของไว้ด้วยความมึนงง แล้วก็แกะกระดาษออกดู พอเห็นของเท่านั้น ข้าพเจ้าขนลุกซู่ทันที ผมงี้แทบตั้งมันปีติตื่นเต้นดีใจบอกไม่ถูก คิดว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า เพราะของในห่อนั้นคือ เหรียญหลวงปู่แหวนรุ่นเราสู้ ๑ เหรียญ และเหรียญ กูผู้ชนะของหลวงพ่อฤาษีลิงดำอีก ๑ เหรียญ พอข้าพเจ้าคลายความตื่นเต้นได้แล้ว ก็นึกย้อนถึงความฝันว่าหลวงปู่แหวนให้คาถากรรมฐานปฏิบัติให้ได้ผลไวเห็นนรกสวรรค์

(ส่วนพรหมนิพพานนั้นข้าพเจ้ายังไม่รู้จักเลยตอนนั้น มีความรู้สึกว่าอยากนั่งกรรมฐาน เพื่อที่จะได้เห็นว่านรก สวรรค์มีจริงหรือเปล่า เพราะสงสัยมานานแล้ว แต่คนทางบ้านไม่มีใครเขาสนใจแม้แต่พระปฏิบัติทางนี้ก็ยังไม่มีเลย อยากจะเรียนก็ไม่รู้จะไปเรียนที่ไหน) ข้าพเจ้าดูที่เหรียญหลวงปู่แหวนก็มีแต่ภาษาบาลี ๔ ตัวเอง อ่านก็ไม่ออกด้วย พอว่างคนซื้อของตอนเที่ยงมีคนอยู่ร้านแทน

ข้าพเจ้าก็วิ่งไปที่วัด เพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่นัก ไปถามหลวงลุงว่าอักษรบาลี ๔ ตัวนี้เขาอ่านว่าอะไรคะ หลวงลุงดูแล้วก็บอกว่า นะ มะ พะ ธะ คืนนั้นข้าพเจ้าก็ลองดูเลยว่าคาถานี้แหละที่หลวงปู่ให้ หลังจากจุดธูปเทียนบูชาพระเสร็จแล้วก็นั่งกรรมฐาน ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าเขานั่งแบบไหน ข้าพเจ้านั่งพับเพียบธรรมดา วางมือแบบพระพุทธรูปแล้วก็หลับตาภาวนาว่า นะมะพะธะไปเรื่อยๆ

ไม่ได้จับลมหายใจเข้าออกแต่อย่างใด ภาวนาไปสักพักก็ไม่เห็นมีอะไรก็เลยเลิก ทำได้ ๓ วันก็หยุดทำ ตานี้ก็พยายามหาอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระ ตอนนั้นสามีเขารับหนังสือบางกอกกับทานตะวันมาอ่านนิยายกัน ข้าพเจ้าก็อ่านหน้าหลังๆ ในรายการคนเหนือโลก ซึ่งมีเกี่ยวกับธรรมะและประวัติพระ อ่านไปอ่านมาก็เจอประวัติของหลวงพ่อฤาษีลิงดำและถ้าใครสนใจก็ให้สั่งซื้อได้ที่ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ซอยสายลม กรุงเทพฯ

ข้าพเจ้าก็เลยเขียนจดหมายไปสั่งซื้อ ตอนนั้นรู้สึกว่าคุณเฉิดศรี เสียชีวิตแล้ว เพราะหม่อมราชวงศ์เสริมได้ตอบจดหมายมาแทน และแนะนำให้ไปหาหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็เลยเขียนจดหมายไปหาหลวงพ่อขอเป็นศิษย์ หลวงพ่อท่านตอบมาว่ารับเป็นลูกเลย และช่วงนั้นข้าพเจ้าก็ตั้งครรภ์ ด.ช.ธนะพัฒน์ วิลาวัย์ (ตอนนี้เรียนอยู่ที่ ร.ร.พระสุธรรมยานเถระวิทยา)

ได้อ่านหนังสือธรรมะและทำบุญมาตลอดจนคลอดในเดือนมีนาคม ปี ๒๑ ข้าพเจ้ามีใจจดจ่อแต่ในเรื่องธรรมะอยู่ตลอดเวลา ตอนเย็นๆ ก็พาลูกไปเล่นที่วัดเป็นประจำ คุยกับพระบ้าง แม่ชีบ้าง อยากบวชอยากเรียนกรรมฐาน ขนาดอยากจะหาภรรยาให้สามีและให้เขาดูแลลูกๆ แทนข้าพเจ้าจะได้ไปบวชแต่พระและแม่ชีก็ห้ามไว้

ต่อมาในราวต้นปี ๒๕๒๒ ข้าพเจ้าพาลูกไปเดินเล่นที่วัดอีกเช่นเคย พระที่ข้าพเจ้าเคยเอาหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ไปถวายให้ท่านอ่าน ท่านเรียกให้ข้าพเจ้าไปหา แล้วท่านก็บอกว่า พรุ่งนี้หลวงพ่อฤาษีจะมาที่ค่ายทหารหัวเขาคันนา เวลาไม่รู้ให้ไปถามเขาดู เพราะเขาพึ่งมายืมธรรมาสน์ไปตะกี้นี้ ข้าพเจ้าดีใจมากรีบกราบลาท่านแล้วก็เหมารถไปค่ายทหารทันทีเลย

ทั้งที่ไม่เคยรู้จักไม่เคยกล้า ข้าพเจ้ากล้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ขอพบ เสธ. ขออนุญาตเข้าพบหลวงพ่อ ตอนแรกเขาบ่ายเบี่ยง เขาบอกว่าคุณต้องการอะไรผมจะขอหลวงพ่อให้เอง ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ต้องการอะไรต้องการรู้จักพบเห็นหลวงพ่อ เพราะเลื่อมใสศรัทธาท่านมานานแล้วแต่ไม่เคยเห็น เขาก็เลยอนุญาต พอกลับมาถึงบ้านก็อาบน้ำแต่งตัวไปอรัญประเทศ รถเที่ยวสุดท้าย ๖ โมงเย็นพอดี

ไปซื้อของเตรียมห่อไทยทานถวายหลวงพ่อ และตลับเทปเปล่าไว้อัดเสียงและธรรมของหลวงพ่อด้วย พอรุ่งเช้าก็เตรียมพร้อม เทปของตัวเองมีอยู่แต่กลัวอัดได้ไม่ดีไม่เอาไปยืมของพี่ชายสามี ราวๆ เที่ยงได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ น้องสาวก็ตะโกนบอก เร็วๆ หลวงพ่อมาแล้ว ขณะนั้นฝนได้ตกพรำๆ พอดี พอออกมาหน้าบ้านก็มีรถคนรู้จักผ่านมาพอดี ข้าพเจ้าก็ตะโกนเรียกแล้วก็ขึ้นรถ

บอกเขาให้ไปส่งหน่อยแล้วค่ารถกลับมาเอาที่บ้านเพราะรีบมาก พอไปถึงฝนก็หยุดตกพอดี ข้าพเจ้าก็ลงเดินเข้าไปในค่ายทหารทันที มือหนึ่งหิ้วเทปมือหนึ่งหิ้วของที่จะถวายหลวงพ่อ ก้มหน้าก้มตาเดินไปด้วยใจตั้งมั่น มองไปที่เต็นท์เห็นพระนั่งอยู่ ๘ องค์ ก็คิดว่า เอ๊ะ! องค์ไหนกันแน่หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็นึกถึงความฝันคงจะเป็นองค์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าใส่แว่นตา และผิวคล้ำหน่อย

ส่วนอีกองค์อายุมากกว่าผิวขาวกว่าและอ้วนหน่อยคงไม่ใช่ ทหารก็นั่งบนเก้าอี้เป็นแถวสองข้างเต็มไปหมดเว้นไว้ช่องกลาง ข้าพเจ้าก็เดินฝ่าเข้าไปเลยโดยไม่ได้มองหน้าใคร ไปถึงนั่งกับพื้นต่อหน้าพระสงฆ์ทั้ง ๒ องค์ แล้วก้มกราบองค์อาวุโสก่อนแล้วจึงกราบหลวงพ่อ พอกราบเสร็จทหารก็มาเชิญให้นั่งบนเก้าอี้ ข้าพเจ้าไม่นั่ง เพราะต้องการนั่งแบบนี้ใกล้ๆ หลวงพ่อ จะได้มองท่านถนัด

หลวงพ่อท่านก็ทักว่า อีหนูเอ็งมายังไง ลูกมาทำไมคนเดียวหรือ ข้าพเจ้าก็ตอบท่านว่า มาคนเดียวเจ้าค่ะ เหมารถมา จะมาขอฟังธรรมจากหลวงพ่อเจ้าค่ะ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า มีเวลาน้อย เพราะจะต้องไปอีกหลายแห่ง ให้หลวงปู่เทศน์ให้ฟังย่อๆ ก็แล้วกัน และท่านก็ได้บอกกับพระอาวุโสว่า เอ้า! หลวงปู่สงเคราะห์หลานมันหน่อย

หลวงปู่ท่านก็เทศน์ให้ฟัง เกี่ยวกับให้สร้างแต่ความดี ละความชั่ว ทำใจให้สะอาด อย่าคิดชั่วทำชั่ว ให้คิดแต่ดีๆ ทำแต่ความดี และหลวงพ่อก็สรุปให้ฟังให้เข้าใจอีกทีหนึ่ง ข้าพเจ้าก็อัดเทป เทปไม่เคยใช้ก็ใช้ไม่ถูก มันหอนใหญ่เลย หลวงพ่อท่านก็ถามว่า เทปเอ็งทำไมมันหอนอย่างนั้นล่ะ แล้วจะใช้ได้หรือ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตอบเพราะไม่แน่ใจเหมือนกัน

(ก็ใช้ไม่ได้จริงๆ หลวงพ่อเหมือนท่านรู้พอท่านกลับไปก็ได้อัดเทปส่งมาให้ข้าพเจ้าแทน) แล้วท่านก็คุยกับนายทหารแล้วก็แจกพระเป็นถุงใหญ่ๆ ให้แต่ละหน่วยจนหมด แล้วท่านก็หันมาทางข้าพเจ้าแล้วก็พูดว่า เออ! อีหนูหลวงพ่อมีเหลือให้เอ็งหรือเปล่าวะ แล้วท่านก็ล้วงเข้าไปในย่ามหาสักพักก็ได้เหรียญมา ๑ เหรียญ เป็น เหรียญกูผู้ชนะ มีตำหนิทะลุเป็นรูเล็กๆ ตรงกลางเหรียญ

ท่านก็มอบให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารับแล้วก็กราบท่านและถวายของ ท่านก็เล่าให้ฟังว่าขณะนั่งฮอฯ มาก็มีพระมีรัศมีสวยมากและก็เทวดานางฟ้ามากมาย และได้บอกท่านว่าวันนี้จะได้เจอลูกสาวในอดีตชาติ จะมาเพียงคนเดียว และเอาดอกไม้ธูปเทียนมาสักการะท่านด้วย และความจริงข้าพเจ้าก็ได้เอาดอกไม้สีขาว และธูปเทียนใส่ในเครื่องไทยทานถวายท่านจริงๆ

ข้าพเจ้าปีติมากน้ำตาจะไหลถ้าไม่อายทหาร แล้วหลวงพ่อท่านก็พูดว่า เอ็งอยากเรียนกรรมฐานกับเขาไหม ตอนนี้ที่วัดเขากำลังฝึกมโนมยิทธิกัน เห็นนรก สวรรค์ พรหมนิพพาน ได้ผลภายใน ๓ – ๕ – ๗ วัน แต่บางคนก็ทำได้ในวันเดียว ข้าพเจ้าก็ตอบท่านว่า อยากเรียนเจ้าค่ะ แต่วัดอยู่ไกลและไม่มีเพื่อนไปด้วย ท่านก็บอกว่าให้ชวนพวกไป ๓ คนก็ไปได้ ถ้าเอ็งฝึกอย่างช้าไม่เกิน ๓ วัน

แล้วท่านก็ขอตัวกลับไปเยี่ยมทหารหน่วยอื่นต่อไป ทหารและข้าพเจ้าก็มาส่งท่านขึ้นรถ พอรถจะเคลื่อนข้าพเจ้าคิดได้ว่าลืมถวายเงินท่านทั้งที่เตรียมไว้แล้วในกระเป๋าเสื้อก็เลยตะโกนเรียก หลวงพ่อเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ ท่านก็บอกให้รถหยุด ข้าพเจ้าก็วิ่งไปเอาเงินใส่ในย่ามท่าน ๕๐๐ บาท ซึ่งเป็นการทำบุญมากที่สุดเป็นครั้งแรกในตอนนั้น หลวงพ่อก็ให้พร

หลังจากพบหลวงพ่อไม่กี่เดือน วันหนึ่งไปงานศพก็คิดว่าเราจะชวนใครเป็นเพื่อนดีหนอ ก็มานึกเห็นพี่สวง แสงทอง และคุณป้าอุดม พิลาแดง เพราะไปวัดทีไรก็พบแกทุกที และรู้สึกถูกชะตากันโดยที่ไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อน เพียงแต่รู้จักกันเผินๆ เท่านั้น เพราะแกเป็นคนที่อื่นย้ายมา ส่วนข้าพเจ้าเป็นคนตาพระยาโดยกำเนิด พอนึกแกก็เดินผ่านมาพอดีก็เลยชวน พี่สวงก็ตกลง คุณป้าอุดมก็ตกลง

แต่ว่าเงินไม่มีข้าพเจ้าก็บอกว่าจะเอารถไปเอง ค่าอยู่กินก็จะเลี้ยงดูเสร็จ พี่สวงก่อนโน้นเคยชวนไปฝึกกับพระจากที่อื่น ท่านปฏิบัติกรรมฐานและได้เข้ามาอยู่ในวัดที่บ้าน ข้าพเจ้าอยากเรียนกรรมฐานมากแต่ไม่มีใครเขาอยากเรียนด้วย ไม่มีเพื่อน ชวนพี่สวงแกก็ปฏิเสธ ก็เลยไม่ได้เรียน แต่พอมาชวนครั้งนี้กลับตกลงง่ายๆ ทั้งที่ต้องไปไกล ทำให้ข้าพเจ้างง แต่ก็ดีใจมากที่หาเพื่อนแล้วรวมข้าพเจ้าเป็น ๓ คนพอดี

ต่อมาราวๆ เดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงเข้าพรรษา สามีของข้าพเจ้าหายป่วย และกลับบ้านแล้วหลังจากนอนโรงพยาบาลมาถึง ๓ เดือนเศษ เพราะตอนเขาป่วยนั้นข้าพเจ้าได้เอาหนังสือประวัติหลวงปู่ปานไปให้เขาอ่าน เขาเกิดความศรัทธา เขาก็อธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อขอให้เขาหายป่วย แล้วเขาจะพาข้าพเจ้าไปวัดหลวงพ่อ เขาก็หายป่วย เขาก็เลยพาไป เขาแค่ไปส่งแล้วก็กลับ

ส่วนข้าพเจ้า ๓ คนอยู่ฝึก ๗ วัน แล้วจึงเดินทางกลับโดยสามีไปรับ ข้าพเจ้าและคณะรู้สึกดีใจและภูมิใจมากที่ได้พบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นนั้นเกินกว่าที่เคยอยากรู้อยากเห็นอีก และคำภาวนาในการฝึกมโนมยิทธินั้นนั้นคือ นะมะพะธะ นั่นเอง ซึ่งตรงกับความฝันที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว ส่วนหลวงพ่อท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่นั้นแล้วแต่ท่านจะพิจารณาเอาเอง

แต่สำหรับข้าพเจ้านั้น ท่านคือพระอรหันต์ของข้าพเจ้า เพราะท่านชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมสานต์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย และพร้อมด้วยกาย วาจา ใจ ที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมมาด้วยดีแล้ว แม้แต่ชีวิตความเป็นมนุษย์ของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าก็พร้อมถวายบูชาคุณของหลวงพ่อจนกว่าจะสิ้นอายุขัย เมื่อดับขันธ์ ๕ เมื่อไหร่ ขอไปพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

ส่วนความประทับใจที่ข้าพเจ้าและชาวคณะได้รับจากองค์หลวงพ่อก็คือ ครั้งหนึ่งในขณะที่หลวงพ่อได้นั่งคุยกับพวกเรา ท่านจะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้พวกเราฟัง บางครั้งก็คุยเรื่องชายแดนเกี่ยวกับเขมร ท่านรู้มากกว่าพวกเราเสียอีก บางอย่างเราไม่เคยรู้เลย แต่ได้รู้จากหลวงพ่อ ท่านพูดไปหัวเราะไปพวกเราก็เพลินไปด้วย แล้วท่านก็หยิบหมากมาฉัน

ข้าพเจ้าก็คิดในใจว่าเวลาท่านคุยกับคนอื่น ท่านฉันหมาก เหลือหางท่านก็โยนให้เขา แล้วเราท่านจะให้หรือเปล่านะ หลวงพ่อท่านมองหน้าข้าพเจ้าแล้วหัวเราะ แล้วท่านก็ขว้างหางหมากไปทางซ้ายมือของข้าพเจ้าซึ่งคณะของข้าพเจ้านั่งถัดไปสัก ๓ – ๔ คน เห็นจะได้ ทุกคนก็เห็นเช่นกัน คนที่นั่งติดจากข้าพเจ้าไป ๓ – ๔ คน เขาก็คิดว่าตกตรงหน้าเขา ก็ควานหากันใหญ่

ข้าพเจ้าก็ช่วยเขาหาเช่นกัน เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าหลวงพ่อให้ข้าพเจ้า แต่ท่านแกล้งขว้างไปข้างนั้น หากันไม่เจอ ข้าพเจ้าก็เลิกหามาดูที่หน้าตักตัวเองก็เห็นหางหมากอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้านั่นเอง พวกเราก็หัวเราะกันหลวงพ่อก็หัวเราะ ข้าพเจ้าก็แบ่งให้พวกคณะของข้าพเจ้าทุกๆ คน คนละนิดละหน่อยจนครบกันทุกคน

และอีกหลายครั้งที่หลวงพ่อชวนไปดูงานก่อสร้างทางด้านศาลา ๒ ไร่ ช่วงสร้างบันไดจากตึกธรรมสถิตข้ามไป ๒ ไร่ ข้าพเจ้าและคณะต้องวิ่งตามหลวงพ่อจนเหนื่อย วิ่งทันแล้วก็พยายามเดินกึ่งเดินกึ่งวิ่ง เผลอแป๊บเดียว หลวงพ่อไปตั้งไกลแล้ว พวกเราต้องวิ่งตามอีก เราขึ้นชั้นบนเห็นหลวงพ่ออยู่ชั้นล่าง เราลงมาชั้นล่างเห็นหลวงพ่ออยู่ชั้นบน เห็นหลวงพ่ออยู่ด้านซ้าย พอพวกเราไป หลวงพ่ออยู่ด้านขวาอีกแล้ว

เอ๊ะ! ยังไงกันแน่ พอเหนื่อยมากเข้าก็นั่งตรงบันไดนี่แหละไม่ตามแล้ว พอนั่งหายใจยาวๆ ได้ซักหน่อย หลวงพ่อมาถึงเราลงบันไดกลับ พวกเราก็วิ่งตามกลับอีก พอไปถึงที่พัก พวกเราต่างคนต่างเล่าว่าไปเล่นซ่อนหากันมา ธรรมะที่สำคัญที่สุดที่หลวงพ่อได้ให้ไว้แก่ข้าพเจ้า และจะลืมไม่ได้เลยตลอดชีวิตนี้ก็คือ เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าได้ไปฝึกมโนมยิทธิใหม่ๆ เช้าวันรุ่งขึ้นจะเดินทางกลับบ้าน หลวงพ่อท่านได้เมตตาสงเคราะห์มาคุยให้กำลังใจ และมีลูกศิษย์ท่านอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วยเป็นหญิงสาว

ท่านชี้ไปที่เขาแล้วก็พูดว่า เอ็งต้องอดทน แล้วท่านก็ชี้มาทางข้าพเจ้าว่า ส่วนไอ้ทิพยาเอ็งต้องทนอด ความทุกข์ทั้งหลายที่พวกเอ็งได้รับนี้ มันเป็นเพียงเศษของกรรมนะ ไอ้กรรมหนักเราใช้มาแล้ว นี่ขนาดเศษของมันทำให้เราทุกข์ขนาดนี้ เราต้องอดต้องทนอย่าสร้างกรรมต่อ พยายามใช้หนี้เขาให้หมดในชาตินี้ และต้องให้ดอกเขาด้วย เอ็งจะทนใช้หนี้เขาให้หมดในชาตินี้หรือเอ็งจะเกิดมาใช้หนี้เขาอีกชาติล่ะ

ข้าพเจ้าก็ตอบท่านว่า ไม่เอาแล้วค่ะ ชาติเดียวก็เต็มที่แล้วจะไม่ไหวแล้ว ท่านก็บอกว่า เออ! ขอให้อดทนไว้ คิดไว้เสมอว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้วให้ทนให้ได้ ทนต่ออารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบใจเรา นับตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็เจอความทุกข์มาหลายขนาดหลายอย่างประดังเข้ามา ตอนแรกก็เบาๆ ต่อมาก็เพิ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จากเรื่องสามี มาบุตรธิดา มาข้าทาสบริวาร

ทรัพย์สินเงินทอง และขันธ์ ๕ ของตัวเองและผู้อื่นไล่มาเรื่อยๆ แล้วก็ทวนต้นใหม่กลับไปกลับมา (กลัวไม่เข็ด) เรื่องของตัวเองไม่พอเรื่องของชาวคณะอีก มีทุกข์อะไรก็มาปรึกษาขอคำแนะนำแก้ไข ข้าพเจ้าต้องพึ่งพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นึกถึงองค์หลวงพ่อก็มีกำลังใจคลายทุกข์ สู้ต่อ นึกถึงเหตุถึงผลของความทุกข์ เอาทุกสิ่งทุกอย่างของความทุกข์มาเป็นบทเรียน เป็นครู มาสอนมาแก้ไขที่ตัวเอง

สรุปแล้วทุกข์สุข อยู่ที่ตัวเราเองไม่ได้อยู่ที่ใคร ถ้าไม่มีเราไม่มีของเราความทุกข์ก็ไม่มี ก็พยายามละวาง แต่มันยังละวางไม่ค่อยจะได้เพราะขันธ์ ๕ ยังมีอยู่ ดับขันธ์ ๕ เมื่อไหร่เราก็จบกัน บางครั้งก็อยากจะหนีความทุกข์ไปที่อื่นเหมือนกัน ก็มาคิดได้ว่า เราเอาชนะทุกข์ในบ้านไม่ได้ แล้วเราจะเอาชนะทุกข์นอกบ้านได้อย่างไร ถ้าเราจะทุกข์อยู่ที่ไหนมันหนีไม่พ้น

จะกลายเป็นหนีเสือปะจระเข้ เราต้องชนะใจตัวเองให้ได้เสียก่อน อยู่ที่ไหนเราก็จะชนะตลอดไปไม่มีแพ้ เลยต้องสู้ต่อไปให้มันตายไปข้างหนึ่ง ไม่มันก็เราตายเมื่อไหร่จบ จะผิดพลาดประการใด ลูกกราบขอขมาอภัย จากหลวงพ่อด้วยเจ้าค่ะ ความจริงหลวงพ่อใช้กำลังกาย วาจา ใจ พร่ำสอนลูกๆ ตั้งแต่เช้าจนค่ำ ทั้งที่ป่วยไข้ไม่สบาย แต่ลูกทำเพียงเท่านี้ ไม่ทราบว่าจะคุ้มกับคำสอนแม้เพียงเสี้ยววินาที

ที่หลวงพ่อทรงสอนหรือเปล่า ชีวิตของลูกนี้ปรารถนาที่จะตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา คุณพระรัตนตรัย คุณครูบาอาจารย์ทั้งหลายและผู้มีพระคุณบุญคุณทั้งหมด ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสได้ตอบแทนคุณหรือเปล่าเพราะตอนนี้ ยังใช้หนี้คนในครอบครัวยังไม่หมดเลย อยากจะมาอยู่ช่วยงานพระศาสนากับหลวงพ่อด้วยคนเจ้าค่ะ

ll กลับสู่สารบัญ


41

รู้สำนึกของเนยยะ


ทนงฤทธิ์ สีทับทิม


ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้ ชีวิตในโลกนี้ ชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหน ก็ไม่มีความแน่นอน
ความตายเป็นของแท้ แน่นอน พลวงพ่อสอนเอาไว้ ตายไปแล้วไปไหน?
หลวงพ่อบอกว่า ให้ตั้งใจไปพระนิพพาน

ผมได้ยินคำว่าปรินิพพาน เมื่อสมัยเรียนหนังสือศีลธรรม เมื่อยังเล็กอยู่ได้รู้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นองค์พระศาสดาสอนศาสนาพุทธ เมื่อเสด็จดับขันธ์เรียกว่าเสด็จสู่ปรินิพพาน ก็นึกว่าเป็นราชาศัพท์สำหรับพระพุทธเจ้า กับอาการตาย คำว่านิพพานก็ไม่กล้าเอ่ยถึง เพราะกลัวว่าไม่สมควรที่จะพูดส่งเดช ที่กำหนดตามศีลธรรม ก็ไม่รู้ความหมายที่แท้จริง ทำไมต้องทำตาม ถ้าไม่ทำตามจะมีผลอะไรไหม

จึงทำบ้างไม่ทำบ้าง ไม่ได้สนใจในความหมาย หรือผลของข้อกำหนดเพียงแต่ทำเพื่อให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ ชอบก็ทำ ไม่ชอบก็ไม่ทำ จนกระทั่งผมได้มากราบหลวงพ่อ โดยการเรียนรู้คำสอนต่างๆ จากหลวงพ่อ ในรูปของการเล่าเป็นนิทานผสมธรรมะ การที่หลวงพ่อคุยเรื่องต่างๆ สอดแทรกธรรมะ และพิธีการต่างๆ ที่หลวงพ่อทำ เรียนรู้ไปทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ

จนทำให้รู้และพอมองเห็นอะไรเป็นอะไรบ้างแล้ว ทำให้ผมสำนึกได้ว่าผมโชคดีที่ได้กราบหลวงพ่อและก็เห็นว่าคนอื่นๆ หลายแสนคนก็โชคดีเช่นเดียวกันที่ได้กราบและทำบุญกับหลวงพ่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในประเทศไทย และมีพระพุทธศาสนาประจำชาติเรา เมื่อก่อนนั้นผมไม่เข้าใจ ทำไมต้องมีศาสนา ทำไมมีหลายศาสนา สอนโน่นสอนนี่ คนจะดีก็ดีเอง คนจะเลวก็เรื่องของมัน

ผมไม่เข้าใจชีวิต ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าเป็นยังไง รู้ว่าหิวก็กิน รู้ว่าง่วงก็นอน อยากเที่ยวก็เที่ยว อยากทำอะไรก็ทำ ทำไม่ได้ก็ผิดหวัง เกิดอาการไม่ถูกใจไม่ถูกอารมณ์ การเกิด แก่ เจ็บตาย เป็นความทุกข์ ผมก็ไม่ได้สนใจ ได้ยินการสอนก็เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวาไป ผ่านแล้วก็แล้วกัน ชีวิตก็ผ่านไปเรื่อยๆ จากเช้า มาเย็น มาค่ำ วันต่อวัน เดือนต่อเดือน ปีต่อปี ก็ไม่รู้ว่านั่นคือทุกข์ รู้แต่ว่าเราโตขึ้น

มารู้ว่าเป็นความทุกข์เมื่อได้มากราบหลวงพ่อ และได้ซึมซับสิ่งต่างๆ ที่เป็นคำสอนซึ่งใช้เวลานานทีเดียวสำหรับผมกว่าจะเข้าใจ คงจะเป็นบัวใต้น้ำค่อยๆ โตหรือไม่ก็โง่อยู่มาก แต่ผมโชคดี เพราะว่าผมมีความอยาก แรกเริ่มผมอยากเก่ง จากการอ่านหนังสือเรียน หนังสือวรรณคดี หนังสือเกี่ยวกับเรื่องมหัศจรรย์ เห็นว่าผู้ที่เก่งต้องมีวิชาอาคม มีอภินิหาร เสกเป่าได้ หนังเหนียว มีคาถาอาคม

และส่วนใหญ่จะได้มาจากพระเก่งๆ ผมก็อยากมีสิทธิ์เป็นลูกศิษย์พระเก่งๆ บ้าง คนเก่งก็ต้องไปเรียนกับสำนักนั้นบ้าง สำนักนี้บ้าง พระองค์นั้นบ้างองค์นี้บ้าง จะได้เก่งมากๆ นี่เป็นความคิด ผมได้อ่านหนังสือและประวัติของหลวงพ่อ ก็รู้สึกชอบ เพราะเห็นว่าหลวงพ่อเก่งหลายอย่าง เช่น หลวงพ่อไม่กลัวผี แต่ผมกลัวผี ผมก็เลยชอบหลวงพ่อเป็นอันดับแรก และก็ไม่เคยรู้ว่าผีเป็นยังไง ไม่เคยโดนผีหลอก

เคยแต่โดนผู้ใหญ่หลอกอยู่เสมอว่า เดี๋ยวผีหลอกนะ ก็เลยกลัวผีมาตั้งแต่เด็ก อันดับต่อไปหลวงพ่อลำบากมาตั้งแต่เล็ก ได้เรียนกับพระอาจารย์เก่งๆ หลายองค์ บวชเป็นพระตั้งแต่ต้น มีประวัติตื่นเต้นอ่านแล้วสนุก หลวงพ่อสอนกรรมฐาน ดูแล้วหลวงพ่อมีความรู้เยอะแยะ ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติมากมาย จึงทำให้ผมชอบ และได้ใกล้ชิดกับพระศาสนามากขึ้น และอยากเก่งบ้าง

เมื่อเข้ามาแล้วติดตามฟังคำสอนบ่อยๆ เข้า ทำให้ผมรักในหลวงพ่อ และยิ่งได้เห็นว่าไม่ใช่เก่งธรรมดา ท่านเก่งเอามากๆ เลย ผมเลยไม่วอกแวกไปไหน ไม่ต้องไปหาพระอาจารย์ที่ไหนแล้ว หลวงพ่อองค์เดียวก็เรียนไม่หมด เลียนแบบไม่เหมือนในสิ่งที่หลวงพ่อทำ ผมจึงสมอยากที่ได้เป็นลูก (ศิษย์) พ่อเก่งๆ แต่ผมซิยังไม่เก่ง ความเก่งของหลวงพ่อมากเกินกว่าที่ผมจะบรรยายได้หมด

ต้องมาฟังมาเห็นมารู้ จึงได้รู้ว่าเป็นเช่นผมพูด หลวงพ่อมีวิชา มีเมตตา เกิดมาเพื่อสงเคราะห์คนโดยทั่วไป ท่านสงเคราะห์ด้วยการสอนกรรมฐาน สอนธรรมะด้วยการเขียนเป็นหนังสือ ด้วยการทำเป็นเทป ด้วยการเล่าเรื่องต่างๆ แทรกธรรมะ ตอบปัญหาธรรมะอย่างสนุกถูกใจผู้ฟัง มีการสร้างวัด สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สร้างอาชีพ มีศูนย์สงเคราะห์คนจน ฯลฯ

มองในแง่รูปธรรม หลวงพ่อสร้างวัดใหญ่โต มีห้องกรรมฐานหลายร้อยห้อง สร้างพระหลายร้อยองค์ ศาลาต่างๆ หลายศาลา โดยเฉพาะห้องส้วมหลายพันห้อง เป็นวัดที่มีส้วมมากที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ หลวงพ่อเอาเงินจากไหนมา สร้าง ก็จากลูกๆ หลานๆ ทั้งหลาย ลูกหลานของหลวงพ่อรวยๆ หรือ รวยก็มีจนก็มี มีเงินก็ทำบุญด้วยเงิน มีแรงก็ทำบุญด้วยแรง

มีศรัทธามาทำบุญอย่างเต็มใจ อย่างไม่เดือดร้อน หลวงพ่อเคยบอกไว้ว่าทำบุญอย่าให้เดือดร้อน เป็นสิ่งที่ท่านสอน การเรี่ยไรไม่มีปรากฏ แค่บอกบุญแก่ลูกๆ หลานก็แย่งกันทำบุญ ชนิดที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทำแล้วทำอีก ไม่อิ่มบุญ ผมไม่เคยเห็นคนจำนวนแสน มาร่วมกันทำบุญ ก็เห็นที่วัดท่าซุงเป็นครั้งแรกในชีวิต หลวงพ่อรู้ว่าลูกหลาน ลูกศิษย์มาก จึงต้องสร้างวัดให้ใหญ่โต

เพื่อที่จะได้เหมาะสมกับจำนวนผู้ที่มีศรัทธามาทำบุญ ลูกหลานของหลวงพ่อทุกคนได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างวัด พ่อบอกเอาไว้ และก็รู้ว่าลูกๆ หลานๆ ทั้งหลายเป็นคนกินเก่งขี้เก่ง พ่อก็มีทั้งโรงครัวกินฟรีก็ได้ จ่ายเงินก็ได้ แล้วแต่ความชอบ ลูกหลานก็ทำอาหารเลี้ยงกันโดยไม่จำกัดจำนวน อาหารการกินไม่เคยขาด เงินที่เป็นค่าอาหารก็ถวายพ่อ แรงก็ลงถวายพ่อเพื่อบุญกุศล

โดยไม่ย่อท้อแก่ความเหน็ดเหนื่อย ส้วมก็มีมากมาย เดินไปทางไหนก็มีแต่ส้วม สะดวกแก่การปลดทุกข์ ใครมาวัดของพ่อมีแต่ความสุข เมื่อเวลาผ่านไป ลูกหลานของพ่อไปพระนิพพานกันหมด คนรุ่นหลังจะได้เห็นความเจริญของจิตใจของลูกๆ ของพ่อได้ มีการร่วมแรงร่วมใจกันสร้างวัดให้ใหญ่โตขนาดนี้ โดยมีพ่อเป็นศูนย์ของจิตใจ เราเองเมื่อไปพระนิพพานแล้วก็ยังสามารถมองกลับลงมาเห็นวัดท่าซุง

และบุญกุศลที่ทำไว้ที่เป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพาน สำหรับการสร้างโรงเรียน พ่อสร้างไว้เพื่อให้การศึกษาแก่อนุชน ต่อไปภายหน้าจะได้ช่วยเหลือประเทศชาติ ให้เจริญรุ่งเรือง เป็นผู้ใหญ่ที่จิตใจสูงมีศีลธรรม รับใช้ชาติ นักเรียนที่จะเข้าเรียนได้ก็ต้องได้มโนมยิทธิ จึงมีสิทธิเรียน พ่อสงเคราะห์ทั้งค่าเรียน ค่าอาหาร ค่าที่พัก เสื้อผ้า ขณะเดียวกันก็มีอาชีพฝึกสอนให้อีกด้วย

พ่อจะบอกบุญแก่ลูกหลานเสมอมา อะไรที่เป็นบุญหลายต่อ ท่านก็สอนให้ทำเรียกว่าทำบุญได้กำไร คนเราจะเกิดก็ต้องเข้าโรงพยาบาล เมื่อป่วยก็ต้องเข้าโรงพยาบาล พ่อก็สร้างโรงพยาบาลขึ้นเพื่อสงเคราะห์คนทั่วไป ไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่ก็รักษาที่โรงพยาบาลของพ่อได้ อะไรที่พ่อทำอะไรที่พ่อสร้าง ลูกหลานได้หมด ถ้าจะคิดคร่าวๆ สำหรับค่าก่อสร้างต่างๆ นั้น

ต้องมากกว่า ๕๐๐ ล้านบาทแน่นอน แต่คุณค่าที่พ่อทำไว้นั้นมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับความเมตตาของพ่อ ในแง่นามธรรม พ่อสอนธรรมะและกรรมฐานให้ลูกๆ ได้ปฏิบัติให้รู้จริง และก็ประสบผลแตกต่างกันไป ในประสบการณ์ ท่านสงเคราะห์ลูกๆ ด้วยการนำเอาวิชาของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระอาจารย์ใหญ่มาสอน จุดหลักที่ท่านต้องการสงเคราะห์คือต้องการให้ลูกทุกคนไปพระนิพพานให้ได้

ซึ่งพ่อเห็นว่าพระนิพพานเป็นสภาวะที่ไม่มีในโลกนี้หรือโลกหน้า สภาวะที่มีความสุขไม่มีอะไรเทียบได้ ซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกที่เสด็จสู่พระนิพพาน การจะไปได้ก็ต้องฝึกกรรมฐาน พ่อจะสอนกรรมฐานที่ง่ายที่สุดให้ลูก และได้ผลเป็นอย่างดี พ่อเป็นผู้รอบรู้ รู้ว่าสิ่งใดสอนลูกได้ พ่อก็จะสอนสิ่งนั้น การสอนของพ่อมีทั้งคำพูดจากปาก ทำเป็นเทป ทำเป็นหนังสืออ่านเป็นทั้งหลักวิชา

เป็นทั้งอ่านเล่น เป็นทั้งนิพพาน พ่อทำทุกอย่างเตรียมไว้ให้ลูก ลูกชอบอย่างไหนเลือกเอาได้ตามปรารถนา พ่อทำไม่เคยหยุดทั้งๆ ที่ลำบากจากทางร่างกาย ที่เจ็บป่วยไม่ได้ขาดตอน เป็นแล้วหาย จากโรคหนึ่งไปยังโรคหนึ่ง พ่อต้องฉันยามากกว่าฉันข้าว พ่อมีทุกข์จากสังขาร แต่พ่อมีความสุขที่ได้สงเคราะห์ลูกหลาน พ่อก็ยอมทน ยาที่พอใช้ก็ยังสงเคราะห์สำหรับให้ลูกหลานได้ใช้ด้วย

ถึงแม้พ่อป่วย ก็ยังมาสงเคราะห์ลูกหลานถึงกรุงเทพฯ ถ้าลูกหลานไม่ไปกราบ ละเลยก็ไม่ใช่ลูกหลานของหลวงพ่อแน่ เพราะเป็นการอกตัญญูไม่รู้จักผู้มีพระคุณ ถ้าไม่มีเงินทำบุญ พ่อยังสอนให้อนุโมทนากับคนที่ถวายสังฆทานทุกๆ คนที่ทำก็ได้บุญเช่นกัน คือทำบุญโดยไม่ต้องลงทุน ก็สามารถไปพระนิพพานได้ น้ำใจของพ่อเป็นเช่นนี้ ไม่เรียกพ่อก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรเกินกว่าความหมายมากนัก

พิธีกรรมต่างๆ ก็เช่นกัน เช่น เป่ายันต์ สะเดาะเคราะห์ การบวงสรวง การปลุกเสกพระ งานบุญต่างๆ ท่านก็ทำเพื่อสงเคราะห์ลูกหลานทั้งหลาย เพื่อให้มีความสุข ขณะดำรงชีวิตและมีชีวิตอยู่เพื่อทำบุญกุศลได้สะดวกขึ้น เพราะถ้ามีทุกข์มาก บุญกุศลจะทำได้น้อย ทำด้วยความยากลำบาก พ่อจึงบรรเทาทุกข์ให้เพื่อจะได้ทำบุญได้เต็มที่ พิธีการต่างๆ ของพ่อตรงตามหลักของพระศาสนา

ทุกครั้งที่มีพิธีการต่างๆ พ่อจะให้ทุกคนมีศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วนทุกครั้งไป ทุกคนที่มาทำบุญมากราบหลวงพ่อมีความสำนึกเดียวกันคือ มีความรู้สึกว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน ทุกคนเป็นญาติพี่น้องกันหมด คุยกันได้เป็นอย่างดี การทำบุญไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ได้แบ่งชั้นรวย จน พ่อไม่เคยถือในเรื่องนี้ พ่อดูที่ใจ ดูที่ความดีเป็นหลัก ลูกพ่อทุกคนเป็นคนดี มีการอภัยกัน มีระเบียบเรียบร้อย

การนินทากันผมไม่เคยได้ยินที่บ้านซอยสายลม ทุกคนตั้งใจมาทำบุญกันอย่างแท้จริง ในกลุ่มลูกของพ่อก็มีบ้างที่มีคนชั่วเข้ามาปะปน แต่นั่นไม่ใช่ลูกของพ่อ และก็จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะไม่ได้มีจุดหมายเดียวกันคือทำความดี ครั้งใดที่พ่อมาที่บ้านสายลมหรือมีงานที่วัดหรือไปโปรดลูกหลานที่อื่นๆ ทุกครั้งก็จะมีการทำบุญกันเป็นจำนวนมาก จากการที่พ่อสอน

ทำให้ลูกได้ตระหนักดีว่าผลบุญจะส่งให้เราทั้งหลายมีความสุขได้ ทุกคนสนุกกับการทำบุญ ไม่มีการทำบุญเอาหน้า ทุกคนมีความรู้สึกอยากจะทำบุญ ลูกของพ่อเป็นนักบุญโดยสมบูรณ์ พ่อนั่งเป็นชั่วโมงๆ เพื่อสนองศรัทธาลูกหลาน เช่นที่ซอยสายลม เริ่มตั้งแต่ ๐๙.๐๐ – ๑๑.๐๐ , ๑๒.๐๐ – ๑๖.๐๐ , ๑๙.๐๐ – ๒๑.๓๐ น. ที่วัดก็ ๑๓.๐๐ – ๑๕.๓๐ น.

หลวงพ่อพูดถึงความตายอยู่เสมอๆ เพื่อไม่ให้ลูกหลานลืมหรือเกิดวามประมาทในความตาย พ่อมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นหลายครั้งหลายหน สามารถเล่าเรื่องราวได้ดี ให้ลูกหลานได้รู้ว่าตายแล้วไปไหน จะไปไหนนั้นพ่อบอกว่าขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำไว้ ว่าเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม เพราะกรรมทำให้เกิด ทำกรรมดีก็ไปที่ดี ทำกรรมชั่วก็ไปที่ไม่ดี เช่นเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน

เดี๋ยวนี้ผมนึกจนชินแล้ว เมื่อก่อนไม่กล้านึก ไม่กล้าคิดว่าตัวจะตายสักวันหนึ่งข้างหน้า ทั้งที่เห็นที่รู้ว่าญาติ พี่น้องต้องตายไปหลายคนแล้วก็ตาม ที่ไม่นึกเพราะกลัวตาย ผมเคยมีประสบการณ์ก่อนตายครั้งหนึ่ง เมื่อสมัยเป็นเด็ก ยังไม่ได้เรียนหนังสือ วันหนึ่งน้ำก๊อกไม่ไหล ต้องไปอาบน้ำบ่อ เห็นเด็กโตและผู้ใหญ่ว่ายน้ำเป็นที่สนุกสนานก็อยากว่ายบ้าง ยืนดูว่าทำอย่างไร

ก็เห็นเขาวาดมือไปข้างหน้าก็ไปได้ ก็เท่านั้นเอง ผมจึงเอามั่ง ลงไปในน้ำแต่คนละบ่อ แล้วก็ทำตามคนอื่นอย่างที่เห็น แต่ไม่เห็นมันไปข้างหน้า มันกลับไปข้างล่างคือจมน้ำ ตกใจอ้าปากจะร้องให้คนช่วย น้ำก็เข้าปาก ไหลเข้าหลอดลม ก็สำลักออกมา ตะกายน้ำขึ้นมาอีกจะหายใจน้ำก็เข้าไปอีก หายใจไม่ออกทรมานทุรนทุราย ทะลึ่งขึ้นมาก็จมลงไปอีก จนกระทั่งอ่อนแรงหมดแรงทะลึ่งต่อไป

ร่างก็ค่อยๆ จมลงไปข้างล่าง ก่อนสติจะดับไปก็นึกในใจว่ากูตายดีกว่า แล้วก็รู้สึกลอยล่อง สบายๆ ไม่เหนื่อย มารู้สึกอีกทีก็มีคนมาแบกๆ เอาน้ำออกจากปากและจมูก กลับบ้านไปเย็นนั้นไม่กินข้าวเลย ไม่ใช่เสียใจที่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่ว่ากินน้ำเข้าไปจนท้องกาง ตั้งแต่นั้นมาก็เลยกลัวความตาย จนกระทั่งได้ฟังคำสอนของหลวงพ่อ เรื่อง พระนิพพาน

จนทำให้นึกถึงความตายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ว่าวันหนึ่งเราต้องตาย ก็คิดไปเรื่อยตามคำสอน แล้วเปรียบเทียบดูกับความเป็นจริง ก็ได้เห็นจริง ทุกคนต้องตายหมด ถ้าตายแล้วไปพระนิพพานก็ไม่น่ากลัว มีวันหนึ่งที่ซอยสายลม หลวงพ่อก็พูดเรื่องของความตายอีก ขณะฟังก็ฟังไปเพลินๆ จนกระทั่งกลับบ้านในระหว่างทางที่กลับบ้าน ผมขี่มอเตอร์ไซค์กลับก็นึกในใจว่า

ถ้าตายขณะขี่มอเตอร์ไซค์ก็จะไปพระนิพพาน จะไปอยู่กับหลวงพ่อ ถ้าไปอยู่เลย เราก็ต้องตาย หลวงพ่อก็ต้องตาย เพียงคิดแค่นี้ ทำให้ผมน้ำตาไหล ร้องไห้ออกมาทันทีในขณะขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ไม่อยากคิดต่อไปว่าหลวงพ่อต้องตายเช่นกัน และความคิดนี้ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งๆ ที่หลวงพ่อเล่าเรื่องว่าเคยตายตั้งหลายครั้งมาแล้วก็ตาม ถ้าหลวงพ่อจะต้องตายเป็นครั้งสุดท้าย

ลูกหลานต้องร้องไห้ระงม กระจองอแงแน่นอน ผมยังคงร้องไห้ไปจนถึงบ้าน สะอื้นเหมือนเด็ก ก็ต้องคิดปลอบใจตัวเองว่า หลวงพ่อจะมีความสุขมากกว่าถ้าอยู่พระนิพพาน ไม่เช่นนั้นก็ต้องทนทรมานกับร่างกายที่เจ็บป่วยและเหนื่อยยาก การตายเป็นการเปลี่ยนสภาวะเท่านั้น เพราะมีร่างกายทำให้มีทุกข์ คิดถึงคำสอนก็ทำให้จิตใจของผมปกติขึ้น แต่ก็อดสะอื้นไม่ได้ ตั้งใจไว้ว่าจะเร่งทำบุญกุศลให้มากขึ้น

ฝึกกรรมฐานให้มากขึ้น ถ้าไม่ฝึกก็จะเป็นเช่นเดียวกับการจมน้ำ เพราะว่ายน้ำไม่เป็น ครั้งไรที่นึกถึงความตายของหลวงพ่อ ผมจะสะอื้นในอกทุกครั้งไป โดยไม่ตั้งใจโดยไม่อยากคิดเลย ผมต้องทำใจอยู่เสมอ เพราะไม่อยากเสียใจและไม่อยากใจเสีย ก็ต้องคิดในสิ่งที่ดีใจที่พ่อบอกว่าลูกของพ่อทุกคนไปพระนิพพานกันหมด ทำให้ผมมีความสุขขึ้นมา เพราะอย่างน้อยผมก็เป็นลูกของพ่อคนหนึ่งเหมือนกัน

ผมมีความมั่นใจในองค์หลวงพ่อมาก เพราะยังไงๆ พ่อไม่ทิ้งลูกหลานแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่ออย่างหลวงพ่อฤาษีที่ลูกๆ เคารพอย่างสูงสุด ยังไงก็ตามผมก็ยังสวดอิติปิโส ถวายกุศลแด่องค์หลวงพ่อเสมอทุกก่อนนอนและตื่นนอนเป็นปกติ เพื่อให้หลวงพ่อได้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งพ่อก็บอกว่าลูกๆ สวดถวายกุศลให้ก็ทำให้ดีขึ้น

ขณะที่ผมมีชีวิตอยู่ผมก็อยากเห็นหลวงพ่อพูดคุยสอนธรรมมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น อยากมองหลวงพ่อด้วยตาเนื้ออยู่ดี นอกเหนือจากการมองด้วยใจ พี่น้องทั้งหลายคงจะคิดเช่นเดียวกัน ผมสำนึกได้ว่าในชีวิตนี้ ผมโชคดีที่เอาใจจับหลวงพ่อติดยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจเสมือนหลวงพ่อเป็นต้นไม่ใหญ่ร่มรื่น เราเป็นฝูงผึ้งได้อาศัยเกาะต้นไม้ใหญ่ ผึ้งมีน้ำหวานหล่อเลี้ยง

เรามีธรรมะที่หลวงพ่อสอนเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ ได้อาศัยความดีของหลวงพ่อไปพระนิพพาน ไม่เช่นนั้นแล้วคงสะเปะสะปะไปไหนๆ ก็ไม่รู้แล้ว ถ้ามีใครพูดถึงพระนิพพานขึ้นมา คงจะทำหน้าเหลอ “มันก็ยังงงๆ” หรือไปพบกับคำว่านิพพานสูญ ผมก็คงเป็นศูนย์อยู่ยังงั้นแหละ

ll กลับสู่สารบัญ


42

พระคุณหลวงพ่อสุดมากรำพัน


พ.จ.อ. สถาพร ปิ่นสุวรรณ


นับเป็นเวลาสิบปีกว่ามาแล้วที่ลูกได้ก้าวมาสังกัดกับวัดจันทาราม (ท่าซุง) และบ้านสายลมที่เปรียบเสมือนนาวาลำใหญ่ที่มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พยายามประคับประคองทั้งแรงกาย แรงใจที่จะนำบรรดาลูกหลาน พุทธบริษัทที่ติดตามกันมา ตั้งแต่อดีตชาติ ซึ่งชาตินี้ก็เป็นชาติสุดท้ายของลูกๆ ทุกคนที่นาวาลำใหญ่ลำนี้จะเข้าเทียบท่าพระนิพพานกันเสียที ท่านแม่ก็คอยลูกทุกๆ คนแล้ว

ทั้งท่านปู่ ท่านย่าก็คอยให้กำลังใจ ทั้งที่กำลังกาย ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนับวันจะน้อยลงทุกที แต่กำลังใจของพระเดชพระคุณนั้นเต็มเปี่ยมด้วยมหากรุณาเสมอ ตามลำพังพระคุณหลวงพ่อแล้วถ้าท่านไม่ห่วงลูกหลานที่ติดตามกันมาทุกๆ ชาติ ท่านคงไม่ต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจเหมือนทุกวันนี้ โดยเฉพาะตัวลูกแล้ววนเวียนมาหลายสำนักจนมาอ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน

โดยยืมเพื่อนอ่าน ก็ชอบใจ แล้วลูกได้ไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลม พาลูกชายลูกสาวไปด้วยก็ฝึกกันได้ทุกคน โดยลูกเองกว่าจะได้หืดแทบขึ้นคอ เท่าที่มีมานะฝึกจนได้ก็เพราะมีทั้งเทปและหนังสือของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนี่แหละที่เป็นกำลังใจ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยสอนว่า คนเหมือนกันเขามีสิบนิ้วเรามีสิบนิ้ว เขาฝึกได้ เราก็ต้องฝึกได้ ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิชั้นบนของบ้านสายลมแล้วก็มาฝึกชั้นล่าง

คือฝึกญาณแปดท่องภพชาติต่างๆ หลังจากลูกฝึกญาณแปดแล้วจึงรู้ว่า เมื่ออดีตชาติเคยเกิดเป็นลูกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อและท่านแม่พรรณวดี ศรีโสภาค ทุกวันนี้ลูกมีแต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของลูก เป็นผู้ที่ชุบชีวิตของลูกให้พบกับแสงสว่างของชีวิตใหม่คือหนทางไปสู่แดนพระนิพพาน ถ้าลูกไม่ได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้ว ชีวิตของลูกถ้าไม่อยู่ป่าก็ต้องอยู่ในคุก

เพราะวิบากกรรมกำลังผจญลูกอยู่ สิ่งที่ลูกจะลืมไม่ได้ในความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ คือลูกนอนสมาธิเวลากลางวันพอจับอารมณ์ สมาธิ ก็มีความรู้สึกว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้มายืนอยู่ข้างกายลูก อารมณ์ของความดีใจ ลืมตัว ลืมตาแต่เป็นที่น่าเสียดายพบแต่ความว่างเปล่า เพราะความโง่ของลูกเอง แต่ลูกอดปลื้มใจไม่ได้จนทุกวันนี้ แล้วอีกหลายอย่างสุดจะพรรณนาได้หมด

ขอให้ลูกหลานที่ติดตามกันมาทุกๆ ชาติทุกท่าน จงช่วยกันประคองนาวาลำใหญ่เข้าเทียบท่าแดนพระนิพพานให้สมกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อต้องทนลำบากกาย ลำบากใจ ก็เพราะลูกหลานทุกคน นี่แหละความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อสุดมากพ้นรำพันจริงๆ

ลูกขอกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/3/12 at 16:45

43

บุญพระกรรมฐาน


รศ.กรกฎ (วาสนา) สิงหโกวินท์


การแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ครูอาจารย์และผู้มีพระคุณทั้งหลายนั้นมีวิธีแสดงได้หลายวิธี นับตั้งแต่ การเคารพเชื่อฟังคำสั่งสอน การอยู่ในโอวาท การช่วยเหลือการงาน การเลี้ยงดูตอบแทนท่านไปจนถึงการสืบต่ออาชีพกิจการงานของท่าน บุคคลผู้มีความกตัญญูดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นคนดี กุศลผลบุญย่อมนำส่งให้ผู้ปฏิบัติมีความสุข ความเจริญ

แต่ก็ยังมีการปฏิบัติอีกชนิดหนึ่งที่ให้ผลสูงกว่านั่น คือ การปฏิบัติบูชาด้วยการเจริญพระกรรมฐาน เพราะบุญของการเจริญพระกรรมฐานของผู้เป็นลูกนั้น นอกจากจะได้กับตัวผู้ปฏิบัติเองแล้ว ยังส่งผลถึงบิดามารดาโดยไม่ต้องบอกให้อนุโมทนา เพราะเป็นการบวชใจ เช่นเดียวกับการบวชพระ บิดามารดาของพระที่บวชไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใด จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต

ก็จะได้รับกุศลโดยไม่ต้องบอกให้อนุโมทนา จึงนับว่าการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณที่เราสามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน โดยไม่ต้องลงทุนแม้แต่บาทเดียว หากแต่ต้องใช้กำลังใจอย่างสูง คือชั้น ปรมัตถบารมี อันหมายถึงการยอมมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การตั้งใจปฏิบัติความดีให้ถึงที่สุด โดยไม่ขอเกิดอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเทวโลก พรหมโลก มนุษย์โลก ขออย่างเดียวคือไปพระนิพพานด้วยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ฉะนั้นกำลังใจจะต้องสูงมาก มิฉะนั้นจะไม่สามารถผ่านพ้นอุปสรรคขวากหนามซึ่งล้วนแต่เป็นเจ้าหนี้มาทวงหนี้รวบยอด แทนที่จะทยอยผ่านส่งกันหลายสิบชาติ ข้าพเจ้าเคยเกิดเป็นลูกหลวงพ่อมาหลายภพหลายชาติ

จึงมีเลือดนักสู้อยู่มาก มีกำลังใจพอจะสู้ไหว และก็จะขอสู้ต่อไปจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ด้วยผลแห่งการประกาศสู้กับกิเลสและยอมรับผลกรรมทุกชนิดนี่แหละ คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับเป็นผลตอบแทนกับตัวเองและกับมารดาของข้าพเจ้าโดยไม่รู้ตัว ดังเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้ ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอแนะนำตัวเองว่า ข้าพเจ้าเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ

คณะเดียวกับอาจารย์มังกุร ชัยพันธุ์ ได้มากราบหลวงพ่อครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๒ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็นวันมาฆบูชาเวลากลางคืน คนแน่นมาก ข้าพเจ้าไม่ได้พบหลวงพ่อโดยตรง เห็นท่านแต่ไกลๆ พอวันรุ่งขึ้นได้ไปกราบตอนกลางวัน พอท่านลงบันไดมาก็ทักขึ้นว่า “อ้าว! มาแล้วเหรอ”

ข้าพเจ้าก็กราบเรียนท่านว่า “ลูกมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้เจ้าค่ะ” ท่านก็บอกว่า “มิน่าเล่าถึงเคยเห็นไวๆ” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจนถึงปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๓๔ เป็นเวลา ๑๐ ปีกว่าแล้ว แม้ว่าข้าพเจ้าจะมิใช่ลูกศิษย์ที่มารับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิด เพราะเวลาและสังขารไม่อำนวย แต่ข้าพเจ้าได้รับใช้หลวงพ่อทางทิพย์ตลอดเวลา

ตามกิจและหน้าที่ของข้าพเจ้าจะพึงปฏิบัติและตามที่หลวงพ่อจะเรียกไปใช้ทั้งในประเทศ และนอกประเทศโดยที่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าทำอะไรบ้าง แต่รู้สึกเหมือนจิตถูกกระชากออกไป ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเบื้องบน ข้าพเจ้าก็ทำงานเป็นปกติ เรื่องนี้อาจารย์มังกุร ทราบดี เพราะมีอยู่คราวหนึ่งข้าพเจ้าไปรัสเซีย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ ก่อนไปข้าพเจ้าก็กราบเรียนหลวงพ่อแล้ว

อาจารย์มังกุรอยู่ทางนี้ปวดหัวมาก ทราบว่าต้องตามข้าพเจ้าไปทางทิพย์เพื่อไปช่วยข้าพเจ้าอีกแรงหนึ่ง หลวงพ่อท่านก็ตามไปควบคุมด้วยเป็นต้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้รับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิด ก็ได้อนุโมทนากับลูกศิษย์หลวงพ่อทุกคนที่มีโอกาสได้รับใช้โดยเฉพาะคุณพรนุช เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านกิจวัตรของหลวงพ่อแล้วรู้สึกสงสารหลวงพ่อมาก

พร้อมกับคิดว่าการป่วยของเรามีไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ เท่าของหลวงพ่อและถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะรบกวนกายเนื้อท่าน ข้าพเจ้าจึงใช้วิธีเอาจิตเข้าใกล้หลวงพ่อมากกว่าเอากายเข้าใกล้ และก็ได้ผลนั่นก็คือ เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้ซึ่งให้ชื่อเรื่องว่า “บุญพระกรรมฐาน” อันเป็นผลจากการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าที่มีต่อมารดาโดยไม่รู้ตัว

คุณแม่บุญเจือ จันทภาษา คือนามของผู้เป็นมารดาข้าพเจ้า แต่เดิมคุณแม่เป็นคนที่มีความดื้อ ไม่เชื่อในเรื่องการเจริญพระกรรมฐาน ไม่ชอบทำบุญเท่าไรมักจะเสียดายที่เห็นคุณพ่อและข้าพเจ้าทำบุญมากๆ และคุยกับข้าพเจ้าไม่ได้นานทั้งเคยตราหน้าข้าพเจ้าไว้ว่า “หน้าอย่างแกฉันไม่เชื่อว่าจะไปนิพพานได้” ซึ่งเป็นคำพูดที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดมุมานะ

ว่าจะต้องทำให้ได้กลายเป็นกำลังใจอย่างดีเยี่ยม คุณแม่ได้มาอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าตั้งแต้ต้นปี ๒๕๒๔ หลังจากที่ได้ไปอยู่บ้านน้องชายมาแล้ว โดยบอกกับข้าพเจ้าว่า ให้เลี้ยงลูกแก่สักคนเถอะ เนื่องจากข้าพเจ้าไม่มีลูกนั่นเอง ข้าพเจ้าก็ยอมรับระหว่างนั้นข้าพเจ้าก็ปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าไปเรื่อยๆ ไปกราบหลวงพ่อที่ซอยสายลมทุกเดือนเป็นประจำ ไปวัดบ้างตามแต่โอกาส

เพราะสังขารข้าพเจ้าไม่อดทน เนื่องจากโรคปวดหลัง และแพ้ฝุ่น แพ้แดด แพ้อากาศเป็นประจำ ต้องอาศัยการอ่าน การฟังและการปฏิบัติที่บ้าน ทั้งหัวค่ำและเช้ามืด ตามที่หลวงพ่อสอน ล้มลุกคลุกคลานไปตามวาระของกรรม เกือบจะหลุดออกนอกทางก็หลายวาระ ต้องขอบารมีหลวงพ่อ ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านปู่ ท่านย่า หลายองค์ ตลอดจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยดึงจิตให้เดินเข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานให้ได้

ในขณะนั้นคุณแม่ยังมิได้ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งปี ๒๕๒๙ ท่านเริ่มป่วยด้วยโรคเบาหวานของท่านกำเริบต้องเข้าโรงพยาบาล ข้าพเจ้าก็ถามท่านว่าท่านเตรียมตัวตายไว้แล้วหรือยัง คิดว่าตายแล้วจะไปไหน คุณแม่ก็ตอบว่าฉันขอไม่ลงนรกอย่างเดียวก็พอ ข้าพเจ้าก็ตอบว่าคนจะไม่ลงนรกได้ก็ต้องมีศีล ๕ ครบถ้วน ขาดข้อใดข้อหนึ่งก็ต้องลง คุณแม่ก็เชื่อและทำตามแล้วก็ภาวนาว่า “พุทโธ” ไว้ตลอดเวลา

ข้าพเจ้าก็เปิดเทปให้ฟังบ้าง ให้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์บ้าง ท่านเริ่มคล้อยตาม เริ่มทดลองอะไรต่ออะไรหลายอย่างกับหลวงพ่อจนเกิดความเชื่อสนิท ข้าพเจ้าจึงได้พาไปกราบหลวงพ่อครั้งหนึ่งที่ซอยสายลม ต้องขอเก้าอี้นั่ง ตอนนั้นยังเดินได้แต่คุกเข่านั่งพับเพียบไม่ได้ เพราะเป็นโรคกระดูกงอกในหัวเข่าด้วย คุณแม่ก็ขอหลวงพ่อว่าให้หายโรค แต่หลวงพ่อกลับบอกว่า ไปนิพพานดีกว่า

คุณแม่ก็เฉยๆ เพราะตอนนั้นยังไม่คิดอยากไป จนปลายปี ๒๕๓๐ ป่วยหนักเข้าห้องไอซียูอีกครั้ง คืนหนึ่งที่โรงพยาบาลท่านนอนไม่หลับ ๑ ชั่วโมง เวลา ๕ ทุ่มถึง ๒ ยาม ท่านบอกว่าท่านเห็นเทวดามานาทีละ ๑๐๐ องค์ ทั้งหมด ๖๐ นาทีก็เป็น ๖๐๐๐ องค์ แล้วมีองค์หนึ่งแต่งสีเขียว ถามท่านว่า “ตายแล้วจะไปไหน”

คุณแม่ตอบว่า “จะไปรับใช้พระพุทธเจ้า”
เทวดาถามต่อว่า “ทำไมต้องไปรับใช้”
คุณแม่ตอบว่า “เคยเป็นลูกศิษย์ท่าน”
เทวดาถามว่า “แล้วสังขารจะเอาไปด้วยหรือเปล่า”

คุณแม่ตอบว่า “ไม่เอาไป สังขารเอาไปทิ้งทะเล” เทวดาบอกว่าจะเอาไปทิ้งให้เอาค่าจ้างมา แต่คุณแม่ไม่มีให้ก็เลยไม่ได้เอาสังขารไปทิ้งให้ รุ่งขึ้นก็หายวันหายคืน กลับมาบ้านท่านก็ตั้งใจปฏิบัติมากขึ้น ภาวนา “พุทโธ” ไม่ขาด พอปลายปี ๒๕๓๑ อยู่ๆ คุณแม่ก็เรียกข้าพเจ้าไปบอกว่า ให้เอาเงินมาให้ท่าน ๑ ล้านบาท ให้เอาไปทำบุญ ๑๐ วัดๆ ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท

ข้าพเจ้าก็งงคิดว่าน้ำตาลขึ้นคุณแม่เพ้อ ท่านก็เตือนอีก บอกชื่อวัดด้วย มีวัดที่จังหวัดเพชรบุรี (บ้านเดิมของคุณแม่) และวัดสุดท้ายคือวัดเสน่หา ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่า อยู่ที่ไหน ถามท่านๆ ก็บอกว่าไม่รู้ นางฟ้ามาบอก (ปีนั้น คุณแม่ได้มโนมยิทธิแล้ว ท่านขึ้นไปข้างบนบ่อย เห็นหลวงปู่แหวน เห็นคุณพ่อ เห็นเทวดา นางฟ้ามาโปรดทุกวัน เห็นพระสงฆ์)

จนในที่สุด ทราบว่าเป็นวัดเก่าของสมเด็จพระญาณสังวรซึ่งท่านได้มาโปรดคุณแม่ถึงบ้านเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๓๑ คุณแม่ก็เลยทำบุญถวายวัดเสน่หา (นครปฐม) โดยผ่านสมเด็จพระญาณสังวรจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ สำหรับวัดท่าซุงเป็นวัดแรกที่คุณแม่ให้นำเงินไปถวายหลวงพ่อ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๒

หลวงพ่อบอกว่าจะเอาไปสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร ให้ไปบอกคุณแม่ด้วยมีพระพุทธชินราชหน้าตักกว้าง ๘ ศอกด้วย จะได้จับภาพพระสบายไปนิพพานได้แน่ เพราะจิตแจ่มใสมาก และพอเดือนกุมภาพันธ์ คุณแม่ก็เรียกข้าพเจ้าไปอีกตอน ๓ ทุ่ม ขอเงินทำบุญอีก ๑ ล้านมีไหม ข้าพเจ้าก็ตอบว่ามีเงินมูลนิธิที่คุณแม่คิดจะตั้ง ๒ ล้านบาทนั้น คุณแม่ใช้ได้เลย ส่วนที่แบ่งไว้ให้ลูกๆ มีกันแล้ว

ข้าพเจ้าทราบเพราะคุณแม่ทำพินัยกรรมไว้ ให้ข้าพเจ้าและน้องชายอีกคนเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันก็บอกว่าได้ แล้วนำกระดาษปากกามาให้คุณแม่เขียนพินัยกรรมเพิ่มเติม พี่น้องจะได้เข้าใจว่าเป็นความประสงค์ของคุณแม่ ท่านดีใจมากบอกว่าเทวดานางฟ้ารออนุโมทนาเต็มห้องเลย ท่านยิ้มแล้วบอกว่า “ดีนะแม่เล็กไม่ขัดคอแม่ ไม่หวงเงินเหมือนลูกคนอื่นเขา”

ข้าพเจ้าพลอยอนุโมทนาด้วยเพราะเป็นการพลิกจิตของท่านจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว ข้าพเจ้าก็เลยคิดที่จะให้คุณแม่ถวายเงินแสนที่สองกับหลวงพ่อด้วยมือของคุณแม่เอง จึงได้โทรติดต่อกับคุณหนุ่ย แจ้งความประสงค์ให้ทราบ โดยจะขอรบกวนหลวงพ่อแวะรับสังฆทานตอนขากลับวัดท่าซุง หรือก่อนเข้าซอยสายลมอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่หลวงพ่อจะสะดวก

ในเดือนมีนาคม ๒๕๓๒ และแล้ววันเสาร์ที่ ๔ มีนาคม คุณหนุ่ยก็โทรมาบอกว่าหลวงพ่อจะแวะรับสังฆทานที่บ้านข้าพเจ้าในวันอังคารที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๒ เวลาหลังเพลก่อนกลับวัดท่าซุง โดยให้ข้าพเจ้าไปรับหลวงพ่อที่ซอยสายลม เวลา ๑๐:๓๐ นาฬิกา ข้าพเจ้าก็ดีใจวันนั้นได้จัดผลไม้พร้อมด้วยปลาสลิดทอดกรอบไปถวายหลวงพ่อด้วย พบท่านเจ้ากรมเสริมฯ ก่อนท่านมาคุยด้วยว่า

หลวงพ่อถามถึงแม่อาจารย์วาสนาเป็นยังไงบ้าง ท่านก็ไม่ทราบตอบไม่ได้ ท่านก็เล่าว่า หลวงพ่อป่วยต้องให้น้ำเกลือ ท่านก็ว่าจะไม่แวะแล้ว แต่องค์สมเด็จมาบอกให้แวะว่าบ้านนี้เขาจะไปนิพพานกันก็เลยต้องแวะ พอได้เวลาหลวงพ่อลงมาโปรดเวลา ๑๐:๓๐ นาฬิกา ท่านก็ทักข้าพเจ้า แล้วก็พูดให้ทุกๆ คนที่นั่งอยู่ฟังว่า

“ฉันว่าจะไม่ไปแวะแล้วบ้านอาจารย์วาสนา ท่านมาบอกว่าไม่ได้ต้องไปแวะหน่อยเขาจะไปนิพพานกัน เขาเอาบัญชีมาให้ดูไม่มีชื่อโยมเลย บัญชีเทวดาก็ไม่มีชื่อโยม บัญชีพรหมก็ไม่มีชื่อโยม บัญชีนรกก็ไม่มีชื่อโยม ยังงี้ก็คนเถื่อนละซี ฉันก็เลยต้องไป เดี๋ยวนะฉันเพลก่อนแล้วจึงไป ไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนกัน ฉันหรือคุณแม่อาจารย์วาสนา” ข้าพเจ้าตื้นตันใจเป็นที่สุด

หลวงพ่อป่วยแล้วยังเมตตาขนาดนี้ พอได้เวลาข้าพเจ้านิมนต์หลวงพ่อนั่งรถของข้าพเจ้าเป็นรถวอลโว่ ๗๔๐ สีเทาเข้ม บ้านข้าพเจ้าอยู่ถนนพระราม ๖ ตรงสี่แยกประดิพัทธ์นี่เอง มีรถนำขบวนหลวงพ่ออีกที พอถึงบ้านอาจารย์มังกุรและคณะรอพบหลวงพ่ออยู่แล้ว เวลาเที่ยงกว่าเล็กน้อย หลวงพ่อนั่งที่ห้องรับแขกสักครู่ก็ขึ้นชั้นสอง ผ่านห้องคุณแม่ท่านก็แวะเข้าไป

เพราะกำลังจะยกคุณแม่ใส่รถเข็นขึ้นมาห้องพระ ซึ่งเป็นห้องขนาด ๔ x ๗ เมตร มีโต๊ะหมู่ใหญ่เล็กรวม ๕ ชุด หลวงพ่อขึ้นห้องพระพร้อมด้วยพระติดตาม ๓ รูป และคณะอาจารย์มังกุรอีกประมาณ ๑๐ คน พอหลวงพ่อรับสังฆทานเสร็จพร้อมปัจจัยจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ท่านก็บอกกับคุณแม่ว่า “โยมเคยเห็นพระพุทธเจ้าไหม”

คุณแม่ตอบว่า “ไม่เคย”
หลวงพ่อบอกว่า “เมื่อกี้ท่านมาบอกว่ามาให้เห็นแล้ว ที่โยมเห็นเป็นยังไง”
คุณแม่ตอบว่า “เห็นเป็นเทวดา ใส่ชาแว้บๆ เหมือนพระเอกลิเกเจ้าค่ะ”
หลวงพ่อตอบว่า “นั่นแหละใช่แล้ว จับภาพพระเอกลิเกไว้น่ะ ๓ วันก่อนตายจะเห็นภาพใหญ่ขึ้นๆ ท่านจะมารับเองเลยนะ”

แล้วหลวงพ่อก็ลากลับวัด พวกเราก็ตามลงมาส่งหลวงพ่อขึ้นรถ ข้าพเจ้าตื้นตันใจมาก กราบขอบพระคุณหลวงพ่อแทบเท้า ที่ท่านได้มีเมตตาต่อผู้บังเกิดเกล้าของข้าพเจ้าเป็นอย่างสูง การที่หลวงพ่อมาโปรดคุณแม่ถึงบ้านเป็นการยืนยันสิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติและที่คุณแม่ทำได้นั่นเอง ซึ่งข้าพเจ้าได้ทราบมาว่าที่คุณแม่ข้าพเจ้าได้ไวมากเพราะเหตุปัจจัยดังนี้คือ

๑. จากบุญพระกรรมฐานที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลา ๑๐ ปีโดยไม่ท้อถอย สม่ำเสมอ แม้ว่าจะเดินทางไปต่างประเทศ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติจิตตลอดเวลาไม่ได้ขาด เป็นการบวชใจ เช่นเดียวกับลูกชายบวชให้พ่อแม่ อานิสงส์จะส่งถึงผู้เป็นบิดามารดาโดยไม่ต้องบอกให้อนุโมทนา

๒. การกระทำของข้าพเจ้า เปรียบประดุจการลอกตะไคร่ที่จับหุ้มทองคำแท่งอยู่ เมื่อลอกตะไคร่ออกก็จะเห็นเนื้อทองอร่าม หมายถึงของเก่าของคุณแม่ปรากฏทันทีที่จิตใจท่านเปิดรับธรรม และไปได้ไว โดยไม่ต้องนั่งหลับตา ท่านนอนตลอดเวลาหลับบ้างตื่นบ้าง และพิสูจน์ถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำบุญไปแล้วเพราะท่านขึ้นไปเห็นมา เดี๋ยวนี้พอถามว่าจะทำบุญเท่าไร คุณแม่ก็จะย้อนถามว่าข้าพเจ้าทำเท่าไร ก็จะทำเท่านั้นบ้าง เป็นต้น เป็นการพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

๓ จากผลของการให้ธรรมเป็นทาน ช่วยเร่งรัดผลการปฏิบัติดังที่หลวงพ่อเคยสอน กล่าวคือ ข้าพเจ้าได้นำหลักธรรมที่หลวงพ่อสอนไปใช้ประกอบการสอนในวิชา การฝึกอบรมและพัฒนาบุคคล ที่สอนอยู่ในภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาตั้งปี พ.ศ.๒๕๒๘ จนถึงปัจจุบัน ให้นิสิตได้รู้จักการนำธรรมะมาช่วยพัฒนาจิตใจตนเอง

ด้วยเหตุปัจจัยทั้ง ๓ ประการดังกล่าวมีผลส่งถึงผลการปฏิบัติของข้าพเจ้าและคุณแม่มีความก้าวหน้ารวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าเองตอนแรกก็ไม่ค่อยเชื่อว่าจิตคุณแม่จะตัดอะไรได้ ข้าพเจ้าถามคุณแม่ว่า ตั้งใจไปพระนิพพานตั้งแต่เมื่อไร คุณแม่บอกว่า ตั้งใจตั้งแต่วันที่ก้าวขึ้นรถที่มารับไปโรงพยาบาลว่าไม่ขอเกิดอีกแล้ว เพราะเห็นทุกข์ของความเจ็บป่วย ความแก่ และไม่กลัวตาย ต่างกับเมื่อก่อนปฏิบัติธรรมจะกลัวตายมาก

ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าบุญของการเจริญพระกรรมฐานนั้นมีมาก นอกจากจะส่งผลให้กับตัวเองแล้ว ยังส่งผลให้กับบุคคลใกล้เคียงอันมีบิดามารดา สามีภรรยา บุตรธิดา ให้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม นับเป็นผลงานที่ข้าพเจ้าภูมิใจยิ่งกว่าผลงานทางวิชาการใดๆ ที่ได้ทำมาและหายเหนื่อยต่ออุปสรรคศัตรูที่ข้าพเจ้าต่อสู้มา ผลจากการปฏิบัติธรรม ได้เปลี่ยนจิตใจคุณแม่

ให้เป็นคนมีเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตัดความโลภ ความโกรธ ความหลงไปมาก เห็นได้จากที่ท่านตัดความตระหนี่ในบุญกุศลไปได้มาก จนข้าพเจ้าตกใจเพราะคุณแม่ไม่เคยทำบุญขนาดนี้มาก่อน เงินทำบุญของคุณแม่ข้าพเจ้าได้จัดการตามที่ท่านสั่งบัดนี้ได้ทำบุญไปทั้งหมดจำนวน ๒๘ วัด รวมทั้งการบูรณปฏิสังขรณ์พระแม่ธรณีบีบมวยผมที่ท้องสนามหลวง

พร้อมกับสร้างองค์จำลองหลวงพ่อได้โปรดเมตตาเบิกพระเนตรให้ เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๓๒ ด้วยเป็นเงินทั้งสิ้น ๑ ล้านห้าแสนบาทถ้วน ปัจจุบัน คุณแม่บุญเจือก็ยังมีชีวิตอยู่ด้วยพุทธานุสสติตลอดเวลา แม้ว่าสังขารจะเดินไม่ได้ มีถุงปัสสาวะพร้อมสายคาอยู่ตลอดเวลา และการขับถ่ายเองไม่ได้ต้องมีพยาบาลคอยล้วงให้ทุกๆ ๒ วัน ต้องฉีดอินซูลินเช้าเย็นทุกวัน เป็นเวลา ๒ ปีกว่าแล้ว

แต่รับประทานอาหารได้ คุยได้ มีสติดีครบถ้วน ความจำแม่นยำ และข้อสำคัญคือจิตโปร่งตลอดเวลา เคยถามท่านว่า “คุณแม่ทราบไหมว่าท่านให้อยู่ต่อทำไม่” ท่านตอบว่า “อยู่ให้ปฏิบัติความดีนะซี” ข้าพเจ้าดีใจที่ได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณท่าน วันที่ท่านได้ดวงตาเห็นธรรมท่านมีปีติมาก ร้องไห้แล้วพูดว่า “พ่อเขาฝากแม่ไว้กับแม่เล็กน่ะถูกคนนะ” คุณแม่ก็เพิ่งจะเข้าใจว่าทำไม่คุณพ่อจึงฝากคุณแม่ไว้กับข้าพเจ้า

สรุปแล้วการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย นับตั้งแต่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทุกท่านทั้งมวลทั้งเบื้องล่างและเบื้องบนขึ้นไปจนถึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่เท่ากับการปฏิบัติบูชาขั้นปรมัตถบารมี คือการเจริญพระกรรมฐานนั่นเอง เพราะบุญพระกรรมฐานนั้นให้ผลสูงสุดดังที่ได้ปรากฏกับเรื่องราวที่ได้เล่ามาข้างต้น

ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นพระคุณของหลวงพ่อที่มีเมตตาต่อลูกมาทุกภพทุกชาติอย่างหาที่เปรียบประมาณมิได้ ลูกขอน้อมระลึกถึงพระคุณของหลวงพ่อไว้เหนือหัวเหนือเกล้าไปตลอดกาล และขอแสดงความกตัญญูกตเวทีถวายแด่หลวงพ่อด้วยการปฏิบัติบูชาต่อไป ขออานิสงส์แห่งการเจริญพระกรรมฐานนี้ทำให้ข้าพเจ้าสามารถตัดกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมได้หมดหนี้และยังกิจของตนเองให้จบสิ้นในชาติปัจจุบันนี้

เมื่อหมดอายุขัยเมื่อไรก็ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้นด้วยเถิด บุญกุศลใดที่ลูกได้บำเพ็ญมาทั้งหมดทั้งในอดีตทุกภพทุกชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ลูกขออุทิศถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่เคารพบูชาอย่างสูง ขอให้หลวงพ่อมีสังขารแข็งแรงอยู่เป็นร่มโพธิ์เงินยืนยงเรืองรอง อยู่เป็นร่มโพธิ์ทองส่องแสงธรรมนำจิตลูกหลาน เป็นมิ่งขวัญของลูกๆ หลานๆ ญาติมิตรสถิตสถาพรชั่วกาลนานเทอญ

หมายเหตุ คุณแม่บุญเจือ จันทภาษา สมปรารถนาแล้ว เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๔ นี้

ll กลับสู่สารบัญ


44

บูชาพ่อ


นรีกร กูรมะโรหิต (น้อย)


เที่ยงเศษของวันหนึ่งในเดือนมกราคม ๒๕๒๒ ดิฉันก้าวเข้าไปในกองอ.ร.จ. ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ เพื่อไปพบเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่นั่น ด้วยสีหน้าที่เพื่อนคงจะเห็นถึงความไม่สบายใจนัก จึงมีการสอบถามกันขึ้น ดิฉันตอบตามตรงว่า เมื่อคืนก่อน ทำสมาธิไม่ได้เรื่องเลย เคยเห็นแสงสีสวยงาม มีความสุข ตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะทำให้ดีกว่านี้ กลับไม่ได้อะไรเลยสักนิดเดียว

เพื่อนและน้องๆ ที่นั่นหัวเราะเกรียว บุ้ยใบ้ไปที่คุณแต๋วซึ่งดิฉันเพิ่งรู้จักในวันนั้นว่า “แน่ะ..ไปฝึกกับคนนั้นแน่ะ” คุณแต๋วแนะนำว่า “เอางี้แล้วกัน พี่น้อยไปหัดท่อง นะ มะ พะ ธะ ให้คล่องก่อน แล้วค่อยไปฝึกกับหนูที่บ้านในซอยจันทิมา ลาดพร้าว” ดิฉันฟังแล้วก็สงสัย นึกว่าเอ..คำภาวนานี้แปลกมาก ไม่เคยได้ยินเลย เลยตัดสินใจไม่ตกว่า จะท่องดีหรือไม่ดีเพราะไม่เคยรู้เรื่องมโนมยิทธิเลย

และในวันนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องมโนมยิทธิด้วย ได้แต่สั่งให้ไปท่อง นะ มะ พะ ธะ เท่านั้น ลังเลใจอยู่ ๑ เดือนเพราะสงสัยในคำภาวนา สุดท้ายติดสินใจ “ลองดู” นั่ง นอน ยืน เดิน ก็ภาวนา ภาวนาไป ภาวนามา รู้สึกใจสบายและภาวนาคล่องเข้า สังเกตว่าคำ นะ มะ ไปตกที่หายใจเข้า และ พะ ธะ หายใจออก ทั้งๆ ที่ตอนแรกๆ ที่ภาวนาก็ไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ว่า จะหายใจเข้าหรือหายใจออก มันถูกต้องไปเองโดยอัตโนมัติ จึงไปฝึกกับคุณแต๋วด้วยใจยินดี

คุณแต๋วฝึกให้แบบเก่าตามที่หลวงพ่อท่านเคยฝึก คือคาดหน้าผากด้วยกระดาษ “นะ มะ พะ ธะ” แล้วกวัดแกว่งข้างหน้าด้วยแสงไฟ ก่อนหน้านั้นเปิดเทปคำสอนของหลวงพ่อ สวดมนต์ และรับศีล คุณแต๋วสอนให้ตัดขันธ์ห้า ชี้ให้เห็นถึงความสกปรกของร่างกายแล้วก็แนะนำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตของดิฉันหลุดผลัวะออกจากกาย ดิฉันใช้คำว่า “หลุดผลัวะ”

เพราะเด้งหลุดออกไปอย่างแรงรู้สึกได้ชัดเจน ทุกหนทุกแห่งที่คุณแต๋วพาไปนั้นสว่างไสว ไม่น่าเชื่อเลยว่า แม้ลวดลายกนกในพระจุฬามณีและพระนิพพานก็เห็นหมด ดิฉันได้กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นั่น ทรงงดงาม สง่า สุดจะพรรณนาได้กราบหลวงพ่อเป็นครั้งแรกทั้งๆ ที่ในชีวิตไม่เคยเห็นพระองค์จริงของท่านมาก่อนเลย ได้กราบ ได้รู้จัก ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ หลวงปู่ปาน ในครั้งนั้นเสียน้ำตามากเหลือเกิน

ดิฉันรอจะให้ถึงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๒๒ ด้วยใจกระวนกระวายอยากจะกราบอยากจะเห็นตัวจริงของหลวงพ่อ เพราะฟังแต่เสียงของท่านในเทปก็รักท่านมากเหลือเกิน ดิฉันรู้ว่า ดิฉันมี “ที่ลง” แล้ว ไม่ต้องไปตระเวนไปไหนต่อไหนอีกแล้ว ในระหว่างรอคอยนั้น ด้วยความเลวของจิตที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลาเลย ฟังใครปรามาสหลวงพ่อก็ไม่ได้ ใจมันโมโห เจ็บร้อน อยากเถียงแทน อยากฟ้องหลวงพ่อ

จนในวันหนึ่ง ยังไม่ทันจะได้เห็นตัวจริงของหลวงพ่อเลย ดิฉันก็จุดธูป ๓ ดอก ปักลงไปที่เนินดินในสนามหน้าบ้าน ดิฉันเรียกท่าน แล้วระบายความขุ่นเคืองด้วยหวังจะให้ท่านรับรู้ และบอกวิธีที่จะทำให้เขาเลิกปรามาสท่านโดยเร็ว พอหลวงพ่อไปสอนที่บ้านสายลม ดิฉันรีบไปหาที่นั่งด้านหน้าแต่วัน ตั้งใจแน่วแน่ที่จะรับฟังคำตอบจากท่าน แต่จนแล้วจนรอด ท่านไม่มีแม้แต่จะมอง (รู้สึกท้อใจ)

ผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ หลวงพ่อท่านก็พูดคุยและสอนเรื่อยไป ในที่สุดความกระวนกระวายรอฟังก็หายไป ดิฉันฟังเพลิน ใจสบาย แต่ฉับพลันทันใดท่านจ้องเป๋งตรงมา แต่ไม่พูด จ้องแล้วก็ปรายตาไปทางอื่น เหมือนพูดกับลม แต่ดิฉันสะดุ้งโหยง เพราะท่านพูดเสียงดังฟังชัดว่า
“ใครเขาจะด่าจะว่าเรา ว่าเราเลว ก็ถ้าเราไม่เลวจริงแล้วก็ใช่ว่าเราจะเลวไปตามปากเขา”
“หรือถ้าเราเลว ใครเขาชมว่าเราดี เราจะดีไปตามปากเขาหรือก็เปล่า”

แล้วท่านก็สอนต่อไปอีกหลายประโยค สรุปก็คือ ให้หมั่นสำรวจความเลวของตัวเอง แล้วขจัดมันให้หมดไปจะดีกว่า นี่คือคำสอนครั้งแรกที่ดิฉันได้รับตรงจากหลวงพ่อ ประทับใจและมีค่ามหาศาลยิ่งนัก ดิฉันตระหนักได้ในทันทีว่า ด้วยคำสอนที่หลวงพ่อท่านสอนเรา เพียงแค่นี้ ถ้าเราไม่ประมาท และเราปฏิบัติตามคำสอนของท่าน เราก็สามารถจะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้ในชาตินี้

ความโง่ ความเลวของจิตดิฉันนั้น มีมากมาย พรรณนาเท่าไรก็ไม่หมด ในวันหนึ่งที่วัดท่าซุง ดูเหมือนจะเป็นวันสงกรานต์ ราวๆ ๘ โมงเช้า หลวงพ่อท่านลงเทศน์ที่ศาลาพระพินิจ ตอนนั้นศาลา ๒ ไร่ ๔ ไร่ ๑๒ ไร่ ยังไม่ได้สร้าง ดิฉันนั่งฟังเทศน์อยู่แถวหน้าสุด นั่งตรงกับธรรมาสน์ของหลวงพ่อพอดี ใต้ธรรมาสน์ก็มี “พ่อโคล่า” องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อหลวงพ่อซึ่งบัดนี้แกได้ดีเกิดดิฉันไปเสียแล้ว

เขานอนฟังหลวงพ่อเทศน์อยู่ ฟังไปๆ ประเดี๋ยวก็เกาขยุกขยิกไปมาเสียทีหนึ่ง เขาเป็นสุนัขไร้ขน ผิวหนังตลอดร่างของเขาเป็นสีชมพูเพราะรอยเกา เห็บตัวหนึ่งโตเท่าเม็ดลูกหยีเม็ดโป้ง เกาะแน่นอยู่ที่ลำตัว เกาเท่าไรก็ไม่หลุดสักที ดิฉันฟังเทศน์ไปตาก็เกาะอยู่ที่เม็ดลูกหยีไป ด้วยความรำคาญแทนพ่อโคล่า ใจอยากไปช่วยแกะออกเป็นกำลัง แต่ถึงอย่างไร แม้มีโอกาสแกะ ก็คงจะแกะไม่ได้

เพราะพ่อโคล่าแกดุ แกจะได้งับเอาปะไร เมื่อหลวงพ่อท่านเทศน์จบ เสร็จภารกิจแล้ว ท่านก็ออกจากศาลาพระพินิจเดินไปหน้าโบสถ์ พวกเราบางส่วนพร้อมพระบางองค์ก็เดินตามท่านไป นัยว่า ท่านจะได้ตรวจสถานที่ที่จะสร้างศาลา ๒ ไร่ ในช่วงจังหวะหนึ่ง ท่านมีเมตตาหันมาทักทายดิฉัน ดิฉันก็ถือโอกาสกราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ โคล่านี่ เขาเป็นขี้เรื้อน”

“เออ...” ท่านรับคำ “รักษาไม่หาย”
ดิฉันก็ต่อว่าท่านในใจ สวนขึ้นมาในใจทันที ไม่รั้งรอว่า “ก็หลวงพ่อไม่พาไปฉีดยานี่ จะหายได้ยังไง”
“เฮ้ย!” เสียงหลวงพ่อร้องดัง ดิฉันสะดุ้งโหยง “ฉีดยาหลายหนแล้ว ไม่หาย มันกฎของกรรม”

นึกขึ้นมาทีไร ยังอายตัวเองไม่หาย เราหนอเรา ทำไมมันช่างโง่ยังงี้ช่างไม่รู้เสียเลยว่า “เจโต” ของพระเดชพระคุณท่าน ไวยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ ต่อจากนั้นอีกไม่ถึงเดือน ดิฉันติดตามหลวงพ่อท่านไปสงเคราะห์ศิษย์ที่คลองวาฬ ประจวบคีรีขันธ์ พักอยู่ที่บ้าน พ.ต.อ.พิเศษ เล็ก และคุณรศนา ฟอร์ตี้ ซึ่งมีบ้านพักและบริเวณกว้างขวางมาก พวกเราติดตามหลวงพ่อท่านไปหลายสิบคน

โดยการถวายค่าอาหาร ค่าน้ำประปา เป็นพิเศษ มิให้เป็นภาระแก่สงฆ์และท่านเจ้าของบ้าน ตลอดเวลากลางวัน มีชาวบ้านและศิษย์ในถิ่นใกล้เคียงนั่น มาทำบุญและรับคำสอนจากท่านมากมาย ตอนทุ่มหนึ่งมีการฝึกมโนมยิทธิทุกวัน พวกเรามีเวลาทำกรรมฐานกันได้มาก ดิฉันเคยได้ทราบเรื่องราวของคุณรัชนี เจนรถาว่า ท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณท่านเคยลงฤทธิ์ที่มือให้จนแดงจัด

ก็สงสัยว่าคุณรัชนีเอามือนั้นไว้ทำอะไร ตัวเองก็อยากรู้อยากได้บ้าง ก็ใช้วิชามโนมยิทธิไปกราบท่าน ยังไม่ทันได้พูดอะไร ท่านก็เมตตาลงฤทธิ์ให้ที่มือขวา พร้อมกับสั่งให้ไปรักษาลูกชายซึ่งขณะนั้นดิฉันไม่ทราบเลยว่าเขาถูกไสยศาสตร์ ท่านบอกจึงรู้ วันรุ่งขึ้นต่อมา รู้สึกมือขวาชาเล็กน้อย แล้วก็ค่อยๆ ชาเพิ่มขึ้นจนกระทั่งจากมือขวาไปมือซ้าย ในที่สุดมือทั้งสองก็ไม่มีแรง จะหวีผมก็จับหวีไม่ได้

หิวน้ำก็จับแก้วน้ำไม่ได้ นิ้วไม่มีแรงยึด ต้องใช้ส้นมือทั้งสองประคองแก้วน้ำเอาไว้จึงดื่มน้ำได้ย่างเข้าวันที่สาม มือขวายกไม่ขึ้น ห้อยตุกติกเหมือนคนเป็นง่อย รู้สึกใจไม่ดี จึงเข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อให้ทราบ เล่าด้วยว่าท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณท่านลงฤทธิ์ให้ที่มือขวา หลวงพ่อท่านตอบสวนขึ้นมาทันทีเลยว่า “ก็แกไม่รับปากตามที่เขาสั่งนี่ ไปรับปากกับเขาเสียไป๊ แล้วก็หาย”

ดิฉันไม่ได้เล่าให้หลวงพ่อท่านฟัง ว่ารับปากหรือไม่รับปากเพราะดิฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องรับปาก ไม่ได้นึก หรือนึกไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ แล้วหลวงพ่อท่านทราบได้อย่างไร ดิฉันก็เลยไปกราบขอขมาท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณ แล้วรับปาก ปรากฏว่าออกจากกรรมฐานไม่กี่ชั่วโมง อาการที่เป็นก็ค่อยๆ หายไป เหมือนไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เหลือเชื่อจริงๆ

ต่อมาอีกครั้ง ตอนนั้นหลวงพ่อท่านเพิ่งจะค่อยยังชั่วจากการอาการหนัก ดิฉันทุกข์ใจ กังวลกับอาการป่วยของท่านตลอดเวลา วันหนึ่งเจริญพระกรรมฐานในตอนหัวค่ำ นั่งอยู่คนเดียวในห้อง ดับไฟด้วย ขึ้นไปกราบองค์สมเด็จ กราบท่านผู้มีพระคุณ กราบหลวงปู่ปาน แล้วก็กราบหลวงพ่อ แปลกจริงๆ เห็นหลวงปู่ปานท่านสว่างไสว แต่ทำไมหลวงพ่อท่านมัวหมอง ทั้งๆ ที่เป็นการเห็นในขณะเดียวกัน ใจก็กังวลว่า หลวงพ่อท่านเป็นอะไรหรือเปล่าหนอ

เพียงเท่านั้น จิตดิฉันพุ่งกลับทันทีโดยอัตโนมัติ ด้วยรู้สึกว่าเบื้องล่าง มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ร่างดิฉันที่กำลังเจริญกรรมฐาน ในท่ามกลางความเงียบ ดิฉันได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ ยาว..ได้ยินถนัดชัดเจนทั้งสองหู สาบานได้ หลวงพ่อ! เสียงเป่ายานัตถุ์อย่างนี้..หลวงพ่อ ลืมตา ลุกทะลึ่งพรวด หันรีหันขวางในความสลัว มองความไปรอบตัว มีแต่ความว่าง ไม่มีใครสักคน ไม่มีก็ไม่มี นั่งลงใหม่ สงบใจ

แล้วพุ่งจิตขึ้นไปอีกไปกราบหลวงพ่ออีกครั้ง คราวนี้ภาพท่านชัดแจ๋วเลย ท่านยิ้มด้วย ถ้าใครไม่เชื่อ ก็จนใจจะอธิบายจริงๆ วันหนึ่ง หาโอกาสไปเล่าให้ท่านฟัง เลือกเอาช่วงเวลาที่มีคนน้อยหน่อย ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า เวลาที่พวกลูกๆ เจริญพระกรรมฐาน หากนึกถึงท่าน ท่านจะรู้ทันที ดิฉันก็เลยถามท่านว่า “ถ้าเช่นนั้น หลวงพ่อก็ไปหาลูกจริงๆ”

ท่านหัวเราะ พูดเล่นๆ ว่า “เออ..ถ้าเสียงไป ตัวก็ไปด้วยซีหว่า” อีกคราวหนึ่งที่บ้านสายลม ตอนใกล้ค่ำ ระหว่างรอหลวงพ่อลงสอน พวกเรานั่งเบียดกันจนเข่าแทบจะเกยกัน เนื่องจากต้องรอนาน ก็อดคุยกันไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการปฏิบัติ กลุ่มดิฉันเป็นกลุ่มคนแก่ อายุรวมกันก็ได้หลายร้อยปี ก็คุยกับเขาเหมือนกัน ตอนหนึ่ง มีอยู่ ๒ – ๓ ท่านที่ดิฉันเคารพเรียกท่านเป็นพี่ เกิดพร้อมใจสนับสนุนให้ดิฉันคุยเรื่องอาหาเรปฏิกูลสัญญา

ท่านบอกว่าดีกว่าอยู่เปล่าๆ ดิฉันก็ร้องไม่ไหวละ ประเดี๋ยวหลวงพ่อท่านก็ลงมาสอนเองแหละ พอได้เวลา ๑ ทุ่ม หลวงพ่อท่านก็ลงบันไดมา พอประตูซึ่งเป็นห้องแอร์เปิด พวกเราทั้งหมดก็ก้มลงกราบ กราบไม่ถึงพื้นด้วยซ้ำ เพราะคนแน่นเหลือเกิน ประเดี๋ยวหนึ่งหลวงพ่อท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “เอ.. วันนี้จะสอนอะไรดีน้า เอาอะไรดีล่ะ อาหาเรปฏิกูลสัญญาดีมั้ย” พวกเรามองตากัน นึกแล้วเชียว

อีกหนหนึ่ง ที่เก่าเวลาเดิมนี่แหละ ระหว่ารอเวลาหลวงพ่อท่านลงสอนกรรมฐานตามเคย พี่ๆ ที่เคารพ เกิดจะให้ดิฉันคุยฆ่าเวลาเรื่องอริยสัจสี่ ขึ้นมาอีก ท่านสนับสนุนให้คุย แล้วท่านก็หัวเราะ พูดเองเออเองว่า “ประเดี๋ยวหลวงพ่อท่านก็ลงมาสอนเองแหละ” ประเดี๋ยวหนึ่ง ได้เรื่องเลย เสียงออดดังขึ้น แสดงว่าได้เวลาที่หลวงพ่อท่านจะลงสอนแล้ว พอประตูเปิด ท่านก็เดินเข้าในห้อง พวกเราก้มลงกราบ

ท่านพูดหัวเราะๆ ขึ้นมาทันทีเลยว่า “วันนี้จะสอนอะไรดีล่ะ อริยสัจสี่เอามั้ย เมื่อกี้ลงบันไดมา บันไดบอก” ก็ขนาดพวกเรานั่งติดๆ กันเต็มห้อง ต่างคนต่างคุย แม้จะคุยกันเบาๆ แต่คนเป็นร้อยเป็นพัน เสียงรวมกันแล้ว ก็เซ่งแซ่ ไม่รู้เรื่องอะไรเป็นอะไร ฟังรู้เรื่องเฉพาะ ๒ – ๓ คนที่นั่งติดกันเท่านั้น พอลงนั่งแล้ว เรื่องลุกไปไหนไม่ต้องพูดถึง เรื่องเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องพูดถึง ลงนั่งแล้ว เป็นหมดสิทธิ์ลุก

แล้วหลวงพ่อท่านพักผ่อนอยู่ชั้นบน ท่านรู้ได้อย่างไร? กลุ่มคนแก่ มองตาแล้วยิ้ม เดี๋ยวนี้หายโง่ไปเยอะ รู้แล้วอะไรเป็นอะไร คืนนั้นได้ฟังเทศน์เรื่องอริยสัจสี่สมใจ หลวงพ่อท่านเทศน์ให้เราฟังแบบง่ายๆ ให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ และรู้ทางลัดเพื่อตัดตรงไปพระนิพพานจุดเดียว หลายปีมาแล้ว เมื่อคราวที่หลวงพ่อท่านอาเจียน และถ่ายท้องอย่างหนักจนฟุบกับโถส้วม และได้มรณภาพไปในห้องน้ำ

เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ศิษย์เก่าๆ ครั้งนั้นเมื่อพวกเราได้ทราบก็ร้องไห้กันระงม ด้วยคิดว่าร่มโพธิ์แก้วของพวกเราได้ล้มโค่นลงแล้ว ครั้นเมื่อท่าน “ต้องฟื้น” “ต้องกลับ” ลงมาใหม่ ดิฉันก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากแม้นหลวงพ่อท่านจะเป็นดังนั้นอีก ลูกขอรับเอาไว้เองทั้งหมด เพื่อทดแทนพระคุณท่าน แม้ทดแทนด้วยชีวิตก็ยอม

หลังจากนั้นไม่นาน ดิฉันปวดท้องอย่างหนักในตอนดึก ปวดอย่างแสนสาหัสในชีวิต ดิฉันรีบเข้าห้องน้ำ ทั้งท้องเสียและอาเจียนอย่างรุนแรง ในที่สุดดิฉันก็หมดสติ ฟุบอยู่กับโถส้วม บังเอิญในคืนนั้น พี่สาวดิฉันซึ่งอดีตเป็นพยาบาล เธอไปค้างด้วย แต่นอนคนละห้อง เธอเข้าห้องน้ำไปพบเข้า เธอก็ปฐมพยาบาล รอดชีวิตมาได้ครั้งนั้น ดูเหมือนจะไปป่วยอยู่ในโรงพยาบาลหลายวัน

จึงรู้แน่ชัดด้วยตนเองว่าที่หลวงพ่อท่านป่วยมาก มีทุกขเวทนามากในการป่วยแต่ละครั้งซึ่งมีบ่อยนั้น ท่านมีทุกขเวทนาสาหัสขนาดไหน ถ้าเราเป็นท่านเราคงตายไม่ฟื้นมานานแล้ว ไม่พบด้วยตัวเองก็ไม่รู้ แม้กระนั้น ท่านก็ไม่เคยหยุดพักผ่อนเลยในชีวิต ยิ่งป่วยมากท่านก็ยิ่งสอนและทำงานเพื่อลูกๆ มากขึ้น ท่านทำทุกอย่างเพื่อช่วยลูกๆ คือพวกเราให้พ้นทุกข์ สอนในทุกวิถีทางเพื่อลูกๆ ได้หายโง่

เราเห็นท่านยิ้มแย้มแจ่มใส เราก็คิดว่าท่านแข็งแรงสบายดี เราไม่รู้หรอกว่า เบื้องหลังความยิ้มแย้มแจ่มใสในขณะที่ท่านลงสอนเรานั้น ท่านได้อดทนรับเวทนาในร่างกายสาหัสสากรรจ์แค่ไหน พระคุณของพ่อ สุดแล้วที่ลูกจะพรรณนาได้ ลูกไม่มีอะไรจะตอบแทนพ่อได้เลย นอกจากปฏิบัติบูชาให้พ่อได้ชื่นใจ ให้พ่อได้ภูมิใจว่าลูกได้เจริญรอยตามคำสอนของพ่อแล้ว จะไม่ทำให้พ่อต้องหนักใจในตัวลูก

ลูกจะมอบกาย ถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่พ่อพร่ำสอน ลูกจะทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเป็นที่ไปในชาตินี้ ลูกขอสัญญา ขอข้อเขียนนี้ จงเป็นเสมือนดอกไม้ ธูปเทียน ที่ลูกบูชาพ่อ ขอเอาจิตกราบลงที่เท้าพ่อ ขออาราธนาบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยและท่านผู้มีคุณทั้งหมดเป็นที่พึ่ง ได้โปรดพิทักษ์ปกปักรักษาพ่อของลูกให้มีร่างกายแข็งแรงโดยเร็วไว ให้พ่อของลูกได้อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกทุกคน นานๆ ด้วยเถิด..พระพุทธเจ้าข้า ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระเมตตา

 ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 23/3/12 at 08:24

45

ด้วยความเคารพรักและผูกพัน


สัตวแพทย์นิวัฒน์ เจียมประสิทธ์


ข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ แต่กำลังใจไม่เข้มพอ จึงไม่ไปถึงไหน มีคำสอนและเรื่องของหลวงพ่อ ที่ข้าพเจ้าประทับใจไม่มีวันลืม ส่วนใหญ่หนักไปทางด้านการทำบุญและทำทาน

พบหลวงพ่อ
ปี ๒๕๒๒ ข้าพเจ้ามีความปรารถนาอยากบวช หลังจากอ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานแล้ว จึงได้ไปขออนุญาตกับหลวงพ่อ ส่วนใหญ่การติดต่อของข้าพเจ้าใช้จดหมายเป็นหลัก เพราะอยู่ไกล (ตอนนั้นทำงานอยู่สถานีผสมเทียม นครราชสีมา)

หลวงพ่อมีความเมตตาตอบจดหมายไปว่า “การบวชที่ไหนก็ดีทั้งนั้น ถ้าเราประพฤติปฏิบัติดี ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเลว อยู่กับพระพุทธเจ้าก็เลว” และให้ผ่านการฝึกมโนมยิทธิก่อนจึงอนุญาตให้บวช ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้บวชสมความปรารถนา

หลวงพ่อเมตตาช่วยพ่อบุญธรรม
ปี ๒๕๒๔ พ่อบุญธรรมของข้าพเจ้าถูกยิงตาย ข้าพเจ้าได้กราบเรียนหลวงพ่อทางจดหมาย หลวงพ่อได้เมตตาตอบไปว่า “ให้บวชพระหรือสร้างพระพุทธรูปขนาด ๒๐ นิ้วขึ้นไปให้สัก ๑ องค์ แล้วจะสบายมาก” ข้าพเจ้าได้ทำตามคำแนะนำ หลวงพ่อได้เมตตาตอบมาว่า ท่านพ่อบุญธรรมของข้าพเจ้า ฝากบอกมาว่า

“ขอให้ใจบุญมากๆ ตายแล้วจะได้สบายอย่างพ่อหรือไปนิพพานเลย พ่อก็ไม่อิจฉา แถมจะดีใจมากและบอกว่า ๑.อย่าเจ้าชู้ ๒.อย่าเมา ๓.อย่าเล่นการพนัน ๔.การงานจงตั้งใจทำ ๕.อย่าสุรุ่ยสุร่าย ๖.มีใจอยู่ในศีลธรรม ท่านบอกว่าเท่านี้ ท่านพอใจ เป็นสิ่งที่ท่านขอจะให้ท่านหรือไม่ ตัดสินใจเอาเอง” ข้าพเจ้าได้เรียนถามหลวงพ่อว่า ได้จัดข้าวและน้ำที่รูปผู้ตายทุกวันได้รับหรือเปล่า หลวงพ่อตอบมาว่า ผู้ตายบอก “ไม่ต้องจัดตามนั้น ให้ใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้ดีที่สุด”

ตาทิพย์
วันสะเดาะเคราะห์ครั้งที่ ๑ ปี ๒๕๓๓ ข้าพเจ้าได้ช่วยรับสังฆทานและพระพุทธรูปอยู่ด้านหลังหลวงพ่อ อยู่เกือบท้ายแถว ที่ศาลา ๒ ไร่ หลวงพ่อไม่เห็นข้าพเจ้าแน่ เพราะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่และห้องที่กรรมการและเจ้าหน้าที่ธนาคารเช็คเงินทำบุญอยู่ วันนั้นคนมากด้วย หลวงพ่อนั่งรับสังฆทานอยู่และไม่ได้ลุกไปไหน

เมื่อถึงเวลาสะเดาะเคราะห์เสร็จ ข้าพเจ้าเข้าไปถวายสังฆทาน หลวงพ่อได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “ขอบใจนะ” ซึ่งปกติหลวงพ่อไม่เคยพูดกับข้าพเจ้าแบบนี้เลย เพราะส่วนใหญ่ที่ข้าพเจ้าไปที่วัดเวลามีงาน ก็นำครอบครัวและญาติไปร่วมทำบุญต้องคอยอยู่แนะนำเขาตลอด เลยไม่มีโอกาสช่วยงานหลวงพ่อ

รู้วาระจิต
วันเป่ายันต์เกราะเพชรที่ศาลา ๑๒ ไร่ เมื่อปี ๒๕๓๓ ข้าพเจ้าได้นำญาติไปร่วมพิธีด้วย พอดีเมื่อไปถึงคนมาทำบุญมาก ญาติของข้าพเจ้าต้องการทำสังฆทาน ข้าพเจ้าบอกกับญาติว่าเดี๋ยวหลวงพ่อทำพิธีเสร็จค่อยถวายสังฆทานก็ได้ ถวายหลังจากหลวงพ่อออกจากสมาบัติ จะทำให้ความเป็นอยู่คล่องตัว สักประเดี๋ยวหลวงพ่อได้พูดออกทางเครื่องขยายเสียง “ถวายสังฆทานหลังจากออกจากสมาบัติจะทำให้มีความคล่องตัว” ซึ่งตรงกับที่ข้าพเจ้าได้อธิบายให้ญาติฟัง

คาถาเงินล้าน
ตั้ง นะโม ๓ จบ
“เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤๆ”
“สัมปจิตฉามิ”
“นาสังสิโม”
“พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ” (คาถาปัดอุปสรรค)
“พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม” (คาถาเงินแสน)
“มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม” (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
“มิเตพาหุหะติ” (คาถาเงินล้าน)
“พุทธมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหังสา วิระทาสี
วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม”
“สัมปติจมิ”
(บูชา ๙ จบ ว่าตัวคาถาทั้งหมด)


หลวงพ่อเมตตาให้คาถาเงินล้าน เพื่อให้ศิษย์ไว้ใช้ในการดำรงชีวิต ให้คล่องตัวทุกอย่าง คาถาให้คุณทางลาภผลและเป็นฌานสมาบัติ มีคุณเป็นทิพยจักขุญาณด้วย และยกฐานะของผู้ปฏิบัติไม่ให้ขัดสนจนยากด้วย วิธีปฏิบัติ (ตามแบบคาถาพระปัจเจก)

๑. ทุกเช้า เย็น สวดมนต์และว่าคาถานี้ ๙ จบ ต่อหน้าพระพุทธรูป
๒. ถ้าทำเป็นสมาธิ จะดีมาก ตั้งเวลา ๕ นาที ๑๐ นาที ตามอัธยาศัย
๓. ใส่บาตรทุกเช้า ก่อนใส่บาตรว่าคาถานี้ ๙ จบ ถ้าวันใดไม่มีพระบิณฑบาต ให้เก็บเงินไว้แทนการใส่บาตร ข้าพเจ้าใช้วิธีนี้เก็บเงินไว้ในบาตรวิระทะโยทุกวัน

๔. เมื่อครบเดือนส่งธนาณัติไปทำบุญกับหลวงพ่อ (พระราชพรหมยาน วัดจันทาราม ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ๖๑๐๐๐ สั่งจ่าย ปท.อุทัยธานี)
๕. ก่อนเอาเงินเก็บตอนเย็น หรือก่อนเอาเงินออกตอนเช้าว่าคาถานี้ ๙ จบ
(จากคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน)


“คาถาบทนี้มีลาภมาก ใครที่ภาวนาไปแล้วจะมีความเป็นอยู่เป็นสุข มีลาภสักการะมาก ถ้าทำจิตเป็นสมาธิ สมาธิสูงเท่าไร ลาภมากเท่านั้น คำว่าลาภหรือคำว่ารวยเป็นเครื่องจูงใจเป็นเหตุให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีความขยันหมั่นเพียร แล้วผลก็เป็นไปตามนั้น

เป็นไปตามความเป็นจริง ถ้าสมาธิสูงขึ้นการทำมาหาได้ ลาภสักการะก็มากขึ้นจริงๆ หนักๆ เข้าก็มีหลายท่านจิตก็เข้าถึงทิพยจักขุญาณ สามารถรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้ตามที่ตนปรารถนา” (จากหลักสูตรวิชชาสาม ธัมมวิโมกข์ ธันวาคม ๒๕๓๐)

“การบูชาถ้าบูชาเฉยๆ มันเป็นเบี้ยต่อไส้ อย่าลืมนะ เวลาสวดมนต์แล้วให้สวดคาถานี้ ๙ จบ และภาวนานอนภาวนาก็ได้ ว่าเรื่อยๆ ไปจนกระทั่งหลับไปเลย ตื่นขึ้นมาต่อจากกรรมฐานนอนก็ได้ ใจสบายๆ นะ บางทีเผลอๆ ฉัน (หลวงพ่อ) ก็ต้องว่าของฉันเรื่อยๆ ไป อย่าลืมนะ เวลาว่างๆ นั่งนึกก็ได้ เดินไปก็ได้ไม่ห้ามเลยละ ให้มันติดใจอยู่อย่างนั้น

ให้ถือว่าเป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จ เพราะคาถาที่พระพุทธเจ้าบอกทุกบท ก่อนจะทำต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน”
“ภาวนาคาถาเงินล้านขณะทำงานหรือเลิกงานแล้วภาวนาก็ดี อย่างนี้ดีจิตเป็นฌาน ทรัพย์สินจะคล่องตัว ทำไปเรื่อยๆ นะ”
(จากหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เล่ม ๔)

คาถาเงินล้านแก้กฎของกรรม
“กฎของกรรมที่ทำให้คนลำบากคือบาปในชาติก่อน เราก็สร้างบุญให้มันเยอะ การสร้างบุญให้มันเยอะ ไม่ใช่ต้องใช้เงินเยอะ บางทีกุศลก็ไม่มาก ไม่แน่นะ อย่างพวกที่เจริญกรรมฐาน บูชาพระสวดมนต์ จิตก็สะอาดขึ้น ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปก็แล้วกัน

วิธีแก้อีกวิธีหนึ่งท่านย่าบอกไว้คือให้ว่าคาถาเงินล้านด้วยความตั้งใจอย่างน้อยวันละ ๓๐ บท ไม่ต้องจบครั้งเดียวนะ หลายครั้งภายในวันเดียวนะ อย่างนี้จะแก้ความฝืดเคืองได้ ค่อยๆ แก้”
(จาก ธัมมวิโมกข์ เมษายน ๒๕๓๐)

เหรียญทำน้ำมนต์แก้กฎของกรรม
“ลุงพุฒิท่านบอกว่าให้ทุกคนทำตามนี้ ว่าถึงเวลาที่จะนอนถ้ามีกำลังใจสูงนะ กำลังเข้มข้นก็ไม่ต้องใช้น้ำมนต์ นึกถึงภาพเหรียญหรือภาพยันต์นั้นอยู่ตรงกระหม่อมแล้วว่าอิติปิโส ๗ จบแล้วก็นะมะพะธะ ๑๕ จบ ว่าอย่างอื่นเสียก่อนนะ บูชาพระเสียก่อนนะ แล้วก็สวดอิติปิโส ๗ จบ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ แล้วก็ว่า นะมะพะธะ ๑๕ จบ

อย่างนี้ท่านบอกว่าจะคลายกฎของกรรมไปมาก ค่อยๆ คลายกฎของกรรมนะ กฎของกรรมนี้ความจริงทำลายไม่ได้ แต่อำนาจของกฎของกรรมจะค่อยๆ คลายตัว ถ้าทำทุกวันต่อไป จะเหลือนิดเดียวอย่างโทษปาณาติบาต ต้องป่วยไข้ ไม่สบาย หรือทุพพลภาพทางกายจะคลายตัวเหลือเล็กน้อย ถ้าบุคคลใดกำลังใจไม่เข้มแข็ง ก็ให้นึกถึงน้ำมนต์แล้วว่าอิติปิโส ๗ จบแล้วก็สวด นะมะพะธะ ๑๕ จบ

เอาน้ำมนต์มาพรมที่ศีรษะเล็กน้อยอย่างนี้ทุกวัน ทำทุกวันกฎของกรรมจะคลายตัว อันนี้ดีมาก กฎของกรรมเราหาทางแก้ไม่ได้อยู่แล้วนะ ท่านบอกจะคลายเรื่อยๆ ไป จนกระทั่งสิ้นกำลัง แต่ไม่สิ้นเลย เหลือนิดหน่อย ดีมากอย่างคนถูกหวยยากนี่จะถูกหวยง่าย”
(จาก ธัมมวิโมกข์ มกราคม ๒๕๓๓)

ชำระหนี้สงฆ์
“การทำบุญชำระหนี้สงฆ์ ไม่ว่าชาติไหนก็ตาม มีหรือไม่มีชำระไปก่อนดีกว่า ถ้าบังเอิญไม่เป็นหนี้สงฆ์นะ เงินประเภทนั้นก็เป็นสังฆทานกับวิหารทาน ถ้ามีหนี้ก็ชำระไป ถ้าไม่มีหนี้ก็มีอานิสงส์ใหญ่” (จาก ธัมมวิโมกข์ ธันวาคม ๒๕๓๓)

สะเดาะเคราะห์
“ท่านลุงทั้งสองมาบอก บุคคลที่ทำบุญสะเดาะเคราะห์แบบนี้ หมายความว่า ต้องมีการบวชเณร ๑๐๐ องค์เศษขึ้นไป ถ้าทำติดต่อกันถึง ๓ ปี ท่านผู้นั้นชื่อของท่านจะไม่อยู่ในบัญชีนรก ก็จะถูกขีดเส้นใต้ด้วยสีน้ำเงิน ถ้าขีดเส้นใต้ด้วยสีน้ำเงินท่านบอกว่า

คนที่ทำบุญแบบนี้จะมีอานิสงส์มาก มีกำลังบุญสูงคือ ๑.ถวายสังฆทานด้วย ๒.รักษาศีลด้วย ๓.เจริญภาวนาด้วย ๔.สงเคราะห์นักเรียนด้วยเป็นปัญญาบารมี ๕.บวชเณรและบวชชีในพระพุทธศาสนา” (จาก ธัมมวิโมกข์ มิถุนายน ๒๕๓๒)

บูชาพระบรมสารีริกธาตุ ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร
“การเอาทรัพย์สินบรรจุ เขาทำช่องไว้แล้ว ลุงพุฒิกับลุกนายบัญชีบอกว่าทรัพย์สินแม้แต่ไม่มากให้ทำเพียงสลึงเดียว ถ้าทำด้วยความเต็มใจและปีติ ถ้าทำอย่างนี้ ฉันจะขึ้นบัญชีสงเคราะห์เวลาตายไว้ นั่นหมายความว่าบาปไม่ได้ล้างไป แต่เวลาตายประคองขึ้นสวรรค์ไปก่อน

เวลาที่จะเอาสตางค์หรือทองคำไปใส่ใต้แท่นพระบรมสารีริกธาตุ เวลานั้นเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ใช่ไหม ใส่ป๊อกลงไปในนั้น เท่านั้นเขาจดทันทีจดลงตัวทอง สตางค์สลึงก็ใช้ได้อยู่ที่กำลังใจนะ สร้างกำลังใจให้แน่นอน สร้างปีติคือความปลื้มใจ อิ่มใจก็แล้วกันนะ

การนำทรัพย์สินบรรจุในแท่น เป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ จะมีทรัพย์สินมากเหมือนอย่างท่านเมณฑกเศรษฐี แต่ท่านลงท้าย ท่านบอกว่า (ท่านลุงทั้งสอง) แค่เหรียญสลึง สลึงเดียว ก็เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ท่านไม่ได้เกณฑ์ว่าเป็นทองเท่านั้น บาทเท่านี้ สลึงนะ เป็นทองคำก็ได้ ทองแดงไม่เอา ทองเหลืองเท่าทองคำ เอาเหรียญสตางค์ธรรมดานะ ไม่ต้องเกณฑ์มากมายใหญ่โต ไม่ต้องอย่างนั้นหรอก

เอาแค่มีสลึงเดียวถือว่าเป็นทรัพย์สิน เงินสลึงหนึ่งจะถือว่าน้อยไม่ได้ เพราะสามารถจะรวมกันซื้อของได้ การบูชาพระรัตนตรัยด้วยทองคำ อย่านึกว่าเป็นบุญเล็กน้อยเกินไปนะ แม้แต่เป็นทองคำเปลว ก็ทองคำ ทองคำเปลวเป็นทอง ๑๐๐% เมื่อตายจากชาตินั้นแล้วผู้ชายก็เป็นเทวดา ผู้หญิงก็เป็นนางฟ้า ต่อมาเกิดอีกชาติหนึ่งเป็นลูกมหาเศรษฐี นั่นผลเพราะใช้ทองคำเปลวนิดเดียวนะ บูชาพระไตรสรณคมน์” (จากสนทนาสายลม ธัมมวิโมกข์ กรกฎาคม ๒๕๓๒)

“ถ้าไม่มีทองคำ ลุงพุฒิกับลุงนายบัญชี ท่านบอกว่าให้เอาสีผึ้งทาเหรียญห้า เหรียญสิบ เหรียญบาท เหรียญสองบาทก็ได้ แล้วเอาทองแผ่นทองคำเปลวปิดแล้วใส่ไปใต้แท่นพระบรมสารีริกธาตุวิหาร ๑๐๐ เมตร จะมีอานิสงส์อย่างเมณฑกเศรษฐี และคนถวายทองคำจริงๆ เพชรนิลจินดา ก็จะมีอานิสงส์อย่างเมณฑกเศรษฐีและโชติกเศรษฐี”

“มีสตางค์บาทหนึ่ง ห้าสิบสตางค์ เหรียญเงิน เหรียญทอง สร้อยใส่ได้ตามอัธยาศัย แต่ก่อนจะใส่ตั้งใจอธิษฐานให้ดีเอาตามชอบ” (จาก ธัมมวิโมกข์ มิถุนายน ๒๕๓๒)

พระพุทธชินราชที่วิหาร ๑๐๐ เมตร
“พระพุทธชินราช ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร อธิษฐานขออะไรก็ได้ พระท่านลงให้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์” (จาก ธัมมวิโมกข์ มีนาคม ๒๕๓๒)

คาถากันภัย
“ท่านให้ภาวนาว่า ภะ สัม สัม วิสะ เท ภะ เวลาออกจากบ้าน อีกบทหนึ่ง สัมปติฉามิ หรือสัมปติจฉามิ บทนี้ขอข้าศึกจงไม่เห็นตัว เขาเห็นเราแล้วเขาก็เดินหลีกไป นี่ท่านบอกเดี๋ยวนี้ ใช้บทใดบทหนึ่งก็ได้” (จาก ธัมมวิโมกข์ มีนาคม ๒๕๓๑)

ชำระหนี้สงฆ์
“ท่านพกาพรหมท่านบอกว่า คนที่เคยเอาของสงฆ์ไปหรือเคยบุกรุกในที่ของสงฆ์ก็ตาม ชำระหนี้สงฆ์เสีย ท่านบอกว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์กันเดือนละ ๑ บาท จะไปให้วัดไหนก็ได้ จะเก็บไว้ก่อนก็ได้ เดือนหนึ่งใส่กระป๋องไว้ ๑ บาท

ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ หลายๆ เดือนจนครบ ๑ ปี เข้าไปถวายวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ แล้วบอกพระว่าเงินจำนวนนี้ ผมขอชำระหนี้สงฆ์ เอาเท่านี้ ถ้าเพียงเท่านี้ ท่านช่วยสะเดาะเคราะห์ได้ (จาก ธัมมวิโมกข์ มิถุนายน ๒๕๓๒)

อานิสงส์การทำบุญต่างๆ
อานิสงส์การทำบุญ สังฆทาน วิหารทาน อุปสมบท บรรพชา สร้างพระพุทธรูป สร้างแท่นพระ สร้างพื้นปูน เจตนาการให้ทาน ๓ กาล ทาน ๓ ประเภท ไวยาวัจจมัย ปัตตานุโมทนามัย และอื่นๆ อีกที่ข้าพเจ้าคิดว่ามีประโยชน์กับนักบุญทั้งหลายที่ยังไม่ทราบ เนื่องจากเนื้อที่หนังสือจำกัด โปรดอ่านในหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมเล่ม ๑ มีจำหน่ายที่วัดท่าซุง และที่บ้านสายลม

สร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐม
“ท่านลุงทั้งสอง บอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดูเป็นบัญชีสีทอง ท่านบอกว่าการสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช่ไหม และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม ทีนี้อย่างคนมีเงินน้อยๆ ใช่ไหม

เอาสตางค์ เก้าสตางค์ สิบสตางค์ ไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปน่ะ ที่เขามีน้อยๆ บาท สองบาท สิบสตางค์ ยี่สิบสตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด ก็ถามว่าบัญชีสีทองหมายถึงอะไร ท่านบอกมันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด” (จาก ธัมมวิโมกข์ ตุลาคม ๒๕๓๓)

“ญาติโยมที่ร่วมในการหล่อก็ลงบัญชีเดียวหมด”
หลวงพ่อจะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมในปี พ.ศ.๒๕๓๕ ตอนนี้ก็เริ่มมีคนทำบุญบ้างแล้ว ถ้าท่านอยากร่วมทำบุญติดต่อโดยตรงกับหลวงพ่อ

“การหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปฐมกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเข้าบัญชีสีทอง ไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น”

“จะเป็นเงินก็ตาม เป็นทองคำก็ตาม เหมือนกัน ลงบัญชีเล่มเดียวกัน อย่าลืมนะ สมเด็จองค์ปฐมเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์แรก ท่านบำเพ็ญบารมีมากกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดๆ คือ ๔๐ อสงไขยแสนกัป กว่าจะบรรลุพระโพธิญาณ ฉะนั้นท่านจึงมีอานุภาพมาก เดือนมีนาคม ๒๕๓๕ หลวงพ่อจะหล่อรูปพระองค์ท่าน ใครจะร่วมบริจาคเงินหรือทองคำก็ได้ตามอัธยาศัย ถวายหลวงพ่อโดยตรง” (จาก ธัมมวิโมกข์ ธันวาคม ๒๕๓๓)

หลวงพ่อ ๔ พระองค์
๑. พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
๒. หลวงพ่อใหญ่ วัดท่าซุง
๓. หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
๔. หลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า


เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ ประดิษฐานอยู่ที่วิหารพระสมณโคดม วัดท่าซุง ผู้ที่ได้รับความทุกข์และความเดือดร้อน ไปบนท่านส่วนใหญ่มักจะสำเร็จสมหวังเสมอ ข้าพเจ้าเคยบนหลายครั้งสำเร็จทุกครั้ง

การแก้บน ถ้าสำเร็จสมความปรารถนาแล้ว ให้แก้บนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทุกอย่างก็ได้ ให้ตั้งใจก่อนบน และเมื่อสำเร็จอย่าลืมแก้บนจะเสียสัจจะและอาจเป็นโทษได้

๑. ถวายสังฆทานชุดใหญ่ ๑ ชุด มีพระพุทธรูป ๑๒ นิ้ว ผ้าไตรจีวร ๑ ชุด และของบริวาร
๒. ถวายทองคำเปลว ๑๐๐ แผ่น
๓. ถวายผ้าห่มพระองค์ละ ๑ ผืน
๔. รักษาศีล ๘ เป็นเวลา ๗ วัน
๕. บวชเณร ๑ องค์

สำหรับข้อ ๑ – ๓ มีของเตรียมไว้ให้พร้อมที่วิหารพระสมณโคดม จัดไว้ตอนที่วัดมีงานสำคัญๆ หมายเหตุ บนที่บ้านก็ได้ แต่เวลาแก้บนต้องไปที่วัดท่าซุง

ธัมมวิโมกข์เผยแพร่คำสอนของหลวงพ่อ
ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าได้ศึกษาธรรมะ การปฏิบัติ การทำบุญ คาถาต่างๆ ซึ่งหลวงพ่อได้มีเมตตาให้แก่ลูกหลานและศิษย์โดยอ่านจากธัมมวิโมกข์ เรื่องบางเรื่องที่ท่านไม่เข้าใจ ต้องการจะรู้ และที่ยังไม่รู้ มีอยู่ในหนังสือธัมมวิโมกข์ เชิญสมัครเป็นสมาชิกได้

โดยส่งธนาณัติสั่งจ่าย ปณ. อุทัยธานี ในนามพระอาจินต์ ธมมจิตโต สำนักงานธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง อำเภอเมือง อุทัยธานี ๖๑๐๐๐ แล้วท่านจะมีความรู้สึกเหมือนลูกศิษย์ทั่วไปคือเหมือนกับได้อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อ จิตมีความสุขสบายใจ (๑ ปี ๑๒ เล่ม ๒๒๐ บาท ครึ่งปี ๖ เล่ม ๑๑๐ บาท)

การอุทิศส่วนกุศล
“พระอนุรุทธถามพระปัจเจกเรื่องการอุทิศส่วนกุศล พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบพระอนุรุทธว่า สมมุติว่าโยมมีคบไฟแล้วมีคนเขาไม่มีคบไฟเขามาต่อไฟจากคบของโยม แสงสว่างจะเกิดขึ้นมากไหม ท่านบอกว่ามาก ถามว่าไฟของโยมจะยุบไหม ท่านบอกว่าไม่ยุบ ข้อนี้ฉันใด การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขามีความสุขมากขึ้น แต่เราไม่ลดความสุขของเรา” (จาก ธัมมวิโมกข์ พฤศจิกายน ๒๕๓๑)

คำอุทิศส่วนกุศลของหลวงพ่อ
นะโม ๓ จบ
อิทัง ปุญญะ ผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพาน และข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ

และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา...(จนถึง) สังฆัง นะมามิ (กราบ)

อธิษฐานบารมี
“อธิษฐานแปลว่าตั้งใจ บารมีแปลว่าเต็มใจ เราเต็มใจจะไปพรหมโลก เราเต็มใจจะไปนิพพาน ก็ตั้งใจไว้ ทำสังฆทานกับพระก็ดี ถวายทานกับพระเป็นส่วนบุคคลก็ดี ให้ทานกับคนก็ดี ให้ทานกับสัตว์ก็ดี เราตั้งใจว่าการกระทำอย่างนี้ เราต้องการไปนิพพาน เราต้องการว่าทานประเภทนี้เราให้แล้วชาติหน้าขอให้รวยใหญ่ ก็เป็นอธิษฐานบารมี

ถ้าตั้งใจไว้โดยจริงๆ มันมีผลตามนั้นเพราะกำลังของผลบุญกุศล ถ้าตายจากความเป็นคนก็ตั้งใจไว้อย่าเลิก ไม่ใช่ตั้งใจไว้เฉพาะวันนี้ ให้ตั้งใจทุกวันตอนค่ำหรือตอนเช้ามืด เวลาบูชาพระตั้งใจไว้ตามนั้น การฟังเทศน์เป็นตัวปัญญา เราไม่ยอมรวยชาตินี้ชาติเดียว เราจะรวยตั้งแต่ชาตินี้ไปจนกว่าจะถึงนิพพาน ถ้าตั้งใจจริงๆ มันจะคล่องตัวตั้งแต่ชาตินี้ไป เวลาทำบุญทุกอย่างให้ตั้งใจอธิษฐานแบบพระอนุรุทธ

จะใส่บาตรก็ดี จะให้ทานก็ดี จะบูชาพระก็ตาม จะสมาทานศีลก็ตาม จะเจริญกรรมฐานก็ตาม ตั้งใจไว้อย่างเดียวโดยเฉพาะ ความจริงไม่ใช่อย่างเดียวมัน ๒ อย่างว่า “ขอบุญบารมีที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญแล้วเวลานี้ ให้เป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานโดยง่าย แต่ว่าก่อนที่จะถึงนิพพานเพียงใด ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏ กับอธิษฐานอย่างโน้น อธิษฐานอย่างนี้ มันยุ่งกันไปเปล่าๆ ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏกับข้าพเจ้าแค่นี้พอ มันมีทุกอย่าง

คำว่าอธิษฐานบารมีนี้ถ้าบุคคลใดทำจริง เทวดาต้องอารักขา เทวดาอารักขาจะช่วยให้เป็นไปตามนั้น ไม่ใช่เราคนเดียวนะ เทวดาที่ประจำตัว เขาต้องทำด้วยเพราะว่าคนทุกคนที่เกิดมานี่มีเทวดารักษาตัวทุกคน ไม่ใช่รักษาองค์เดียว คนหนึ่งมีเทวดารักษาตัวหลายองค์” (จาก ธัมมวิโมกข์ กรกฎาคม ๒๕๓๓)

ปีใหม่
เนื่องในปี พ.ศ.๒๕๓๓ มีท่านพุทธศาสนิกชนจำนวนมากและลูกรักทั้งหลายต่างสงเคราะห์ช่วยเหลือทั้งเงิน ของใช้ อาหาร และแรงงานทั้งให้เป็นส่วนตัวและส่วนกลางของสงฆ์ ด้วยอำนาจความดีที่ท่านทั้งหลายเมตตานี้ ขอผลความดีนี้และอำนาจพระศรีรัตนตรัย จงปกปักรักษาท่านทั้งหลาย

ให้มีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ตามที่ท่านทั้งหลายปรารถนา จงทุกประการเถิด สิ่งขาดไม่ได้นั้นคือ ขอให้ทุกท่านหาเงินคล่อง มีทรัพย์สินเหลือใช้ ตั้งแต่ต้นปีใหม่นี้จนกว่าจะสิ้นชีวิต”
พระราชพรหมยาน (จาก ธัมมวิโมกข์ มกราคม ๒๕๓๔)

ของขวัญจากพ่อ
มอบแด่ลูกรักของพ่อทุกๆ คน
“ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี้ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ห้า ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยของลูก

ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”
พระราชพรมยาน (จากหนังสือพรหมวิหาร ๔ พิมพ์ถวายเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด หลวงพ่อ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๓)

เทพื้นปูน
“เทพื้นคอนกรีต บ้านจะไม่ทรุด ทรัพย์ไม่ทรุด รวยตลอด รวยขึ้นไม่มีลง การสร้างพื้นประเภทนี้ให้ความสุขกับคนทุกคนที่มา ถ้าเราให้ความสุขกับเขาความสุขมันก็ถึงเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขึ้นชื่อว่าความทรุดต่ำ ทรุดตัวลงจะไม่มีสำหรับคนสร้างพื้นเพราะพื้นมันหนักใช่ไหม บุญใหญ่จริงๆ เขาต้องเดินทุกวันนะ”

“อานิสงส์ พื้นเป็นทองกับแก้ว เป็นอานิสงส์ของวิหารทาน แต่ว่าด้วยพื้นเป็นทองกับแก้ว พื้นเพราะอาคารนะ วิมานที่มีอยู่ พื้นจะเป็นทองเป็นแก้วผสมกัน เป็นทองแพรวพราวเหมือนแก้วใช่ไหม สำหรับชาตินี้ ฐานะไม่ทรุดตัวลงมีแต่สูงขึ้น มันทรุดไม่ได้เพราะพื้นแข็ง นี่เรื่องจริงนะ” (จาก ธัมมวิโมกข์ มีนาคม ๒๕๓๓)

สร้างแท่นพระ
“สร้างแท่นก็เหมือนกับสร้างพระพุทธรูป คือแท่นพระพุทธรูปเขาบกพร่องอยู่ เราทำให้เต็มอย่างนางวิสาขาหรือพระสีวลี อานิสงส์ไม่ใช่เล็กน้อยนะ อานิสงส์ใหญ่มาก คนจะรวยแล้วนะ วาสนาบารมีจะสูง สร้างแท่นพระ หนุนพระให้สูงนะ แล้วพระพุทธเจ้าด้วยนะ เราฐานะก็จะดีขึ้น” (จากหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เล่ม ๑)

ปัจฉิมลิขิต
ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้หลวงพ่อมีความปลอดภัยทุกอย่าง มีความคล่องตัวทุกอย่าง รวยทุกอย่าง มีพลังกายและพลังจิตที่เข้มแข็ง อยู่เป็นมิ่งขวัญของลูกหลานและศิษย์ทุกคน นานๆ เทอญ

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 4/4/12 at 16:40

46

มหากรุณาธิคุณของหลวงพ่อ


อุดมพร ฦาชา


ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมกราบบูชาพระรัตนตรัยด้วยความเคารพหาที่สุดมิได้
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมอันประเสริฐ จากพระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ครั้งแรกเมื่อพ.ศ.๒๕๒๒ โดยข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องจริงอิงนิทานจากวิทยุที่ลุงพรนำมาอ่าน เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังก็สนใจและสนใจยิ่งขึ้นในนามของท่าน มีความรู้สึกว่านามนี้แปลกมีอำนาจมาก ไม่มีใครเหมือน ยิ่งท่องชื่อยิ่งอยากเห็นท่าน ยิ่งเห็นจริยาในเรื่องจริงอิงนิทานแล้ว

ทราบว่าพระคุณท่านไม่ใช่พระธรรมดาเสียแล้ว คงจะมีคุณธรรมที่วิเศษแน่นอน ปีต่อมาข้าพเจ้าจึงทบทวนดูว่าท่านอยู่ที่ไหน จำได้พอเลาๆ ว่าท่านอยู่วัดท่าซุง แต่ก็จำจังหวัดไม่ได้ และหลายวันต่อมาไม่ทราบว่าอะไรดลใจว่าวัดท่าซุงอยู่จังหวัดอุทัยธานี อันวัดท่าซุงนี้เหมือนเคยได้ยินชื่อมานาน ทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจมาก จึงสั่งซื้อหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานมาอ่านจากท่านอาจินต์

สำหรับท่านอาจินต์นี้ ข้าพเจ้าก็ไม่เคยเห็นหน้า เห็นชื่อพระที่จะสั่งซื้อหนังสือได้อยู่หลายองค์ ก็ตกลงเลยเลือกสั่งซื้อกับท่านอาจินต์ ซึ่งตรงเผงเลยเพราะท่านอยู่สำนักธัมมวิโมกข์พอดี และข้าพเจ้าก็คิดว่าท่านอาจินต์เป็นเสมือนญาติคือเป็นพี่ชาย (ในความรู้สึก) เมื่อข้าพเจ้าได้หนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานมาอ่านก็อัศจรรย์ใจว่า พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลวงพ่อท่านนำมาสอนเป็นอย่างนี้หรือ

ท่านพากันเรียนพระกรรมฐานเพราะอย่างนี้เอง คนเป็นมนุษย์เพราะอย่างนี้เองและมนุษย์เป็นพระก็เพราะอย่างนี้เอง ข้าพเจ้าจึงมีความประทับใจในองค์หลวงพ่อมากขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาจึงสั่งซื้อประวัติหลวงพ่อปานมาอ่าน จึงเห็นจริยาของหลวงพ่อมาก มีความรักและเคารพหลวงพ่อและหลวงปู่ที่สุด เล่มนี้ยิ่งถูกใจมาก คิดว่าท่านเป็นพระที่วิเศษยิ่ง ข้าพเจ้าสว่างแล้วในคำสอน

ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นคนมีบุญที่ได้พบกับหลวงพ่อ ต่อมาท่านอาจินต์ได้ส่งหนังสือธัมมวิโมกข์ไปให้อ่านฟรี ๓ เล่ม จึงคิดอัศจรรย์ใจว่า ธรรมวิเศษนี้ หลวงพ่อท่านสอนดีมาก สอนตรงไม่วกวน ไม่เป็นน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง แต่ถ้าสิ่งใดไม่เข้าใจก็กราบเรียนให้ท่านอาจินต์อธิบายให้ฟัง ท่านอาจินต์ก็ใจดีมากท่านก็สงเคราะห์สอนให้จนสว่างในพระนิพพาน ข้าพเจ้าจึงถือว่า

ท่านอาจินต์เป็นพระอาจารย์ของข้าพเจ้าอีกท่านหนึ่งที่ข้าพเจ้ามีความเคารพอยู่ตลอดเวลา จึงขอน้อมกราบบูชาพระคุณท่านไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วยความเคารพอย่างสูง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คือปี ๒๕๒๓ ข้าพเจ้าก็เป็นสมาชิกธัมมวิโมกข์จนกระทั่งทุกวันนี้bในปี พ.ศ.๒๕๒๒ – ๒๕๒๓ ข้าพเจ้าป่วยเรื่อยมา ในปี ๒๕๒๔ เดือนพฤศจิกายน ข้าพเจ้าจึงได้มีจดหมายไปกราบเท้ารบกวนหลวงพ่อให้ท่านเปลี่ยนชื่อให้ ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อท่านเปลี่ยนชื่อให้ข้าพเจ้าคงจะหายป่วย

ก็เป็นดังที่คิด คือในเดือนเดียวกันนั้นเอง ข้าพเจ้าก็ได้รับโทรเลขจากหลวงพ่อใจความว่า “ชื่ออุดมก็แล้วกัน” จากหลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ วันนั้นเป็นเวลาเช้า ครูใหญ่ถือโทรเลขไปให้ ข้าพเจ้ายกมือน้อมรับโทรเลขด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น คิดว่าหลวงพ่อท่านให้ความเมตตาแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้ ความจริงแล้วข้าพเจ้าไม่ชอบชื่อ อุดม เลย แต่หลวงพ่อท่านทราบว่าข้าพเจ้าไม่ชอบ ท่านก็ตั้งชื่ออุดมให้ เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง

ดังนั้นเพื่อเป็นศิริมงคลยิ่ง ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตท่านในใจ เติม คำว่า พร ลงไปในท้ายชื่อ จึงเป็นชื่อในปัจจุบันนี้ เพราะเป็นชื่อที่ได้รับพรจากท่าน เมตตานี้ข้าพเจ้ามีความเกรงใจและภูมิใจอยู่ทุกวันนี้ และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าหายป่วย หายโรค มีความสุขด้านร่างกาย และรู้สึกอ้วนท้วนสมบูรณ์ ที่เจ็บป่วยก็ป่วยธรรมดา ไม่เหมือนที่ยังไม่เปลี่ยนชื่อ สำหรับเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อนั้น

เมื่อปี ๒๕๓๑ ข้าพเจ้านำชาวบ้านมาวัดท่าซุงโดยรถทัวร์ที่เช่าเขามา เพื่อไปรับยันต์เกราะเพชรกับหลวงพ่อ พอถึงเวลา ๔ ทุ่มกว่าๆ เกือบเกิดอุบัติเหตุ ที่ไม่เกิดเพราะ ก่อนออกจากบ้านข้าพเจ้าได้เข้าห้องพระกราบขอพรจากหลวงพ่อให้รถเดินทางด้วยความปลอดภัย และเมื่อขึ้นรถแล้ว ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิอยู่ท้ายรถอยู่ตลอดเวลา ในนิมิตของข้าพเจ้าได้เห็นหลวงพ่อท่านประทับยืนอยู่ที่หน้ารถ

เห็นผ้าจีวรเหลืองอร่ามชัดเจนตลอดเวลา ขณะนั้นลูกปืนล้อรถแตกกำลังจะหลุด คนบนรถกลิ่นไหม้ครู่ใหญ่ จึงบอกกับคนขับ จึงได้จอดรถดู เขาบอกว่ามันน่าจะหลุดเพราะรถแล่นเร็วมาก ข้าพเจ้าคิดว่าหลวงพ่อช่วยแน่นอน อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๓ เวลา ๗.๒๕ น. ข้าพเจ้าจะไปประชุมที่กลุ่ม ลูกชายคนเล็ก (ตั้ม) ขับรถเครื่องไปส่ง แต่ถูกสามล้อเครื่องเลี้ยวตัดหน้าอย่างจัง

ข้าพเจ้ากระเด็นตกจากรถโดยไม่รู้ตัว แต่สติยังอยู่ เมื่อกระเด็นก็กลิ้งไป ๓ ตลบ หัวเขาถลอก แขนถลอก ซี่โครงเดาะ ๓ จุด ส่วนลูกชายแค่หัวเขาเป็นแผล ๒ ข้าง นอกนั้นไม่เป็นอะไร เขาแขวนเหรียญกูผู้ชนะของหลวงพ่อ นี่ถ้าไม่มีหลวงพ่อข้าพเจ้าคิดว่าทั้งลูกและข้าพเจ้าจะต้องเป็นอันตรายหนักกว่านี้ เพราะธรรมดาเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ไม่แขน ขา หัก ก็หัวน็อคฟื้น สลบไปเลย (ลูกขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ได้ช่วยลูกๆ ให้ปลอดภัยในครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ)

และเมื่อวันที่ ๓๐ พ.ค. ๓๓ นี้ ลูกชายคนใหญ่ไปธุระ ขับรถเครื่องไป หลบรถสิบล้อไปเจอควาย หลบควายแต่รถเสียหลัก เลยโหม่งพื้น ตีลังกาลง แต่ไม่เป็นอันตราย เพราะเขาแขวนเหรียญหลวงพ่อ นี่ก็คงเพราะหลวงพ่อช่วยลูกหลานแท้ๆ จึงไม่เจ็บหนัก แต่ก่อนนี้ ข้าพเจ้าเคยคิดว่าอยากจะเกิดเป็นคนในสมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เพราะคิดว่า ท่านเหล่านั้นมีบุญและได้เป็นพระอริยเจ้ามากมาย

แต่บัดนี้ข้าพเจ้าไม่คิดอย่างนั้นอีกแล้ว เพราะข้าพเจ้ามีบุญเหมือนกับท่านเหล่านั้นเหมือนกัน จึงได้มาเกิดในสมัยนี้ เพราะได้พบกับคำสอนของหลวงพ่อที่เหมือนกับคำสอนขององค์พระประทีปแก้ว เพราะหลวงพ่อท่านฉลาดมากในการสอนธรรมะแก่พุทธศาสนิกชน ท่านมีความสามารถไปทุกอย่างสิ่งใดที่ท่านทำไม่ได้ท่านจะไม่นำมาสอน ข้าพเจ้าสังเกตว่า สิ่งใดหลวงพ่อนำมาพูดให้ฟังในเรื่องธรรมะ เรื่องอภินิหาร เรื่องต่างๆ หลายเรื่องล้วนแล้วแต่ท่านได้ประสบมาด้วยองค์ท่านเอง

จึงพูดได้ถูกไม่เหมือนกับนักบวชบางคนพูดผิดพูดถูกเพื่อล่อให้คนไปนับถือตน ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าพบเอกอัครมหาสาวกของสมเด็จฯ แล้ว ท่านผู้ใดจะหาว่าข้าพเจ้าเพี้ยนก็ยอม เพราะข้าพเจ้ามีความประทับใจในองค์ท่านมาก ไม่ว่าเรื่องสอนธรรมะก็ดี ในการสอนมโนมยิทธิก็ดี ในเมตตาคุณก็ดี ในมหากรุณาคุณก็ดี ท่านมีเต็มเปี่ยมที่มีต่อชาวโลก ถึงข้าพเจ้าจะพรรณนาพระคุณเท่าไรก็คงไม่ได้เท่าล้านล้านล้านของความดีที่ท่านได้อุตส่าห์สั่งสมคุณงามความดี

เพื่อช่วยให้โลกเป็นสุขซึ่งนับได้ ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป ในการออกโปรดลูกหลานและพุทธศาสนิกชนทั่วไป แม้องค์ท่านจะเจ็บป่วยจะชราอย่างไรก็ตาม ท่านจะลงสอน ลงต้อนรับท่านเหล่านั้นไม่ได้ขาดตรงกับเวลาที่กำหนด คนข้างนอกที่ไม่รู้อะไรคงคิดว่า (ไม่คิดหละว่าเลย) หลวงพ่อเป็นพระเศรษฐี ไม่เจ็บไม่ไข้ หลวงพ่อองค์นี้แหละมีหนี้มากที่สุดในบรรดาพระด้วยกัน และมีโรคภัยมาเบียดเบียนมากที่สุด ป่วยได้ทุกวัน แต่ความอดทนท่านมีมากยากที่จะหาใครมาเทียบท่านได้

ท่านมีดีอยู่อย่างเดียวคือ “ดวงจิตอันบริสุทธิ์สะอาดเป็นแก้วประกายพรึกอยู่ตลอดเวลา ดวงจิตของท่านไม่รู้โลภ ไม่รู้โกรธ ไม่รู้หลง เป็นทั้งดวงประทีปแก้วส่องทางและเป็นทั้งยานแก้วขนพวกเรามุ่งสู่พระนิพพาน จึงนับได้ว่า ท่านมีเมตตาคุณ และมหากรุณาคุณหาประมาณมิได้” ธรรมใดที่หลวงพ่อท่านสำเร็จแล้ว ขอธรรมนั้นจงสำเร็จแก่ลูกในชาติปัจจุบันนี้เทอญ.

 ll กลับสู่สารบัญ


47

ศรัทธา เคารพ บูชาสุดหัวใจ


ชัยชาญ เอี่ยมหนุน


ปกติข้าพเจ้าเป็นคนบาปหนา ถึงแม้จะเคยบวชมาแล้วก็ตาม แต่หลังจากที่โดนนักจี้มือดีเอาขวานจามหัว เพื่อชิงรถจักรยานยนต์ ซึ่งข้าพเจ้ารอดตายมาได้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าเข้าหาทางพระเป็นที่พึ่ง ต้นปี ๒๕๒๓ ข้าพเจ้าเริ่มได้รู้จักพระเดชพระคุณหลวงพ่อทางหนังสือโลกทิพย์ เห็นรูปในตอนแรกก็รู้สึกสงสัย และในใจก็ยังคิดว่า “ทำไมพระองค์นี้จึงต้องใส่แว่นตาแบบนี้ และชื่อก็แปลกกว่าองค์อื่นๆ อีกด้วย”

พอตกกลางคืนเท่านั้นก็นอนฝันไปว่า ได้ไปกลางป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ได้พบศาลาหลังหนึ่งอยู่กลางป่า ลักษณะเหมือนศาลา ๒ ไร่ในปัจจุบัน ตอนที่ฝันนั้นยังไม่เคยเห็นองค์จริงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และวัดก็ไม่เคยได้ไป ซอยสายลมก็ยังไม่เคยรู้จัก ในฝันว่าบนศาลามีพระองค์หนึ่งรูปร่างใหญ่ผิวค่อนข้างคล้ำหน่อย ท่านยืนอยู่กลางศาลา ท่านได้เรียกข้าพเจ้า “ขึ้นมาบนศาลาซิลูก”

ข้าพเจ้าดีใจตกใจตื่นนึกถึงความฝันก็รีบเอาหนังสือมาดู ก็พบรูปพระเดชพระคุณหลวงพ่ออยู่ปกหลัง มีรูปถ่ายหมู่ มีหลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงปู่สิม หลวงปู่บุดดา หลวงปู่พระครูบาชุ่ม พอเห็นรูปเท่านั้นก็จำได้ทันทีว่า ในฝันก็คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อแน่นอน เกิดคิดอยากจะไปกราบองค์ท่านขึ้นมากะทันหัน อันดับแรกก็คงจะต้องไปที่ซอยสายลมก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักและไม่เคยไปเลย

การไปก็ขับรถจักรยานยนต์จอดถามไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านท่านเจ้ากรม ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ วันนั้นบังเอิญเป็นวันเสาร์ และไม่ตรงกับวันที่หลวงพ่อท่านมา รู้สึกว่าจะหมดหวังได้กราบองค์ท่าน แต่ไหนๆ ก็มาถึงซอยสายลมแล้ว จึงได้ซื้อหนังสือไปอ่านสองเล่ม คือหนังสือประวัติหลวงพ่อปานวัดบางนมโค และหนังสือตอบปัญหาเล่ม ๑ จากการได้อ่านหนังสือประวัติของหลวงปู่ปานก็ยิ่งทำให้จิตใจเลื่อมใสในองค์ท่านมากยิ่งขึ้น

ในโอกาสต่อมาก็ได้มากราบองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านที่ซอยสายลม การเห็นครั้งแรกก็จำได้ว่าเหมือนองค์ที่พบในความฝันไม่มีผิด ไปพบตอนแรกก็พกเอาความเลวเข้าไปหาพระอีก คือ ไปคอยคิดสงสัย ตำหนิว่าพระระดับนี้ทำไมจึงหยิบเงิน หยิบทอง แต่แล้วข้าพเจ้าก็ต้องพบเข้ากับความอัศจรรย์ และปาฏิหาริย์เข้าอย่างจัง คือขณะที่สงสัยอยู่ในใจแล้วเข้าไปกราบองค์ท่าน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อ้าปากพูดถามอะไรเลย องค์หลวงพ่อท่านก็พูดเรื่องในใจของข้าพเจ้าตรงเป๊ะเลย

คือท่านพูดว่า “เป็นพระถ้ามีใจยินดีอยู่ในเงินๆ ทองๆ ที่ญาติโยมถวายเข้ามายังมีความยินดีอยู่ว่าเป็นของเรา และเก็บไว้เป็นส่วนตัว ถึงแม้ว่าจะหยิบหรือไม่หยิบ ก็มีผลพอกันคือความโลภเกาะกินใจ แต่ถ้าญาติโยมถวายเข้ามา เราตัดใจถวายเป็นของสงฆ์ทั้งหมดไม่คิดยินดีเอาไว้เป็นส่วนตัว จะจับหรือไม่จับก็ไม่มีความผิด หรือไม่บาปความโลภไม่เกาะใจ เพราะเราจับของสงฆ์ รักษาของสงฆ์” เท่านั้นเองข้าพเจ้าถึงบางอ้อ คุกเข่ากราบอีก ๓ ครั้ง พร้อมทั้งคิดในใจขออภัยจากท่าน

มีหลายเรื่องที่องค์ท่านพูดโดยที่ข้าพเจ้าสงสัยแต่ไม่ต้องกราบเรียนถามท่าน เมื่อข้าพเจ้าเจอปาฏิหาริย์เข้าเช่นนี้ แน่ละ ศรัทธา เคารพ เพิ่มเป็นทวีคูณ และในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ต้องหาธูปเทียนแพ เพื่อขอขมาต่อองค์ท่าน พอดีในโอกาสต่อมาในเดือน ตุลาคม เป็นวันคล้ายวันเกิดขององค์ท่าน ซึ่งคณะศิษย์ได้จัดถวาย ข้าพเจ้าได้ซื้อพานแก้ว ธูปเทียนแพ เอาชนิดที่เขาถวายพระสังฆราช (คนขายเขาว่าอย่างนั้น) ไปที่ซอยสายลมทันที

แต่พอไปถึงเอาอีกแล้ว วันนั้นคนมากจริงๆ รู้สึกว่าผิดหวัง คงจะเอาธูปเทียนแพมาผิดวัน เพราะว่าคนมากและมองดูคนที่เข้าถวายของก่อนข้าพเจ้านั้นเป็นร้อย แต่ในเมื่อเอาพานมาแล้วจะทำอย่างไรดี และอีกอย่างหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปถึงองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้ก็มีลูกศิษย์ยืนเรียงแถวคอยรับของจากมือของผู้ที่เข้าไปถวายอีก ๔ – ๕ คน ของที่ถือเข้าไปไม่มีโอกาสได้ถึงมือหลวงพ่อท่านเลย และก็ทุกคนจะอยู่ช้าไม่ได้

เสียงคุณประเสริฐ และดร.ปริญญา (ทราบชื่อภายหลัง) พูดไล่หลังว่า “เดินเลยครับ เดินเลยครับ อย่าช้าเพราะคนข้างหลังยังมีมาก ส่งของให้ลูกศิษย์ รับน้ำสรง แล้วสรงน้ำที่มือท่าน ส่งขัน รับของที่ระลึกแล้วออกเลยนะครับ ไม่ต้องนั่ง” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในระหว่างรอคิวนั้นข้าพเจ้าก็ทำใจเฉยๆ สบายๆ คิดว่าท่านคงจะทราบว่าลูกตั้งใจมาแล้ว (ในตอนนั้นยังไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิ) ความคิดอันหนึ่งก็วูบเข้ามาเหมือนฝันว่า

พระองค์นี้เคยเป็นพ่อเรามาหลายชาติ และเคยยอมตายแทนท่านมาแล้วก็มี จะถูกหรือผิดประการใดก็สุดแล้วแต่ น้ำตามันไหลออกมาเองโดยอัตโนมัติเพราะความปีติ พอได้สติข้าพเจ้าก็เลยรีบยกเทียนแพ และพานแก้วที่ถืออยู่ขึ้นเหนือหัวพร้อมตั้งจิตอธิษฐานว่ากายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดีผิดพลาดโดยตั้งใจหรือมิได้ตั้งใจก็ดี ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี ในชาติก่อนก็ดี ในชาตินี้ก็ดี

ขอพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้โปรดให้อภัยแก่ลูกด้วยเถิด และถ้าหากว่าพ่อจะให้อภัยแก่ลูกแล้วไซร้ ขอช่วยดลบันดาลให้ลูกศิษย์ทุกคนที่ยืนเข้าแถวให้ยืนเฉยให้หมด อย่าดึงพานที่มือลูก และขอให้พ่อรับพานแก้วที่มือลูกด้วยมือของพ่อด้วยเถิด ต่อจากนั้นพอถึงคิวข้าพเจ้าก็เดินเข้าไป แต่คุณพระช่วย ช่างอัศจรรย์ และปาฏิหาริย์จริงๆ ข้าพเจ้าเจอเข้าอีกแล้ว คราวนี้ทำเอาข้าพเจ้าแทบจะยืนไม่อยู่

เกือบจะลอยเอา น้ำตาไหลออกมาโดยอัตโนมัติ หายใจดังฟืดๆ ออกมาดังๆ ด้วยปีติ ก็เพราะว่าลูกศิษย์ทุกคนที่ยืนเรียงแถวอยู่นั้นจะดึงของรับของที่มือของทุกคนที่เข้าไป แต่พอถึงข้าพเจ้าทุกคนยืนเฉยหมดไม่มีใครรับหรือพูดอะไร ยืนนิ่งจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้น องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านพูดว่า “เออ เอามานี่ลูก ส่งมา” พร้อมกับท่านยกมือของท่านที่วางอยู่ที่ขันรับน้ำสรง มารับพานแก้วจากมือของข้าพเจ้า

พร้อมกับพูดอะไรไม่ทราบเบาๆ นิดหนึ่ง แล้วส่งพานแก้วให้ลูกศิษย์ของท่าน ข้าพเจ้ารีบสรงน้ำที่มือท่าน รับของที่ระลึกแล้วออกไป ชื่นใจ ดีใจจนบอกไม่ถูก มารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าได้มายืนอยู่ที่ที่จอดรถแล้ว น้ำตายังไหลอยู่ใจมันพองอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยได้ประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เรื่องของอิทธิฤทธิ์ และปาฏิหาริย์นั้นข้าพเจ้าชอบอยู่แล้ว เมื่อมาชนเข้าอย่างจังเช่นนี้ ก็ยิ่งรัก ยิ่งศรัทธา เลื่อมใสมากยิ่งขึ้น

และถ้าจะให้เขียนจริงๆ ล่ะก้อ คงจะเป็นเล่มแน่ๆ ฉะนั้นจึงขอเขียนเฉพาะบางเรื่องเท่านั้น ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปพักค้างคืนที่วัด เพื่อจะฝึกมโนมยิทธิเพิ่มเติมหลังจากที่ฝึกได้จากที่ซอยสายลมแล้ว เมื่อไปค้างที่วัด ในตอนตี ๕ ทุกวัน ข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นนั่งทำสมาธิทุกวัน และในวันสุดท้ายนั่นเอง ตอนตี ๕ ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งสมาธิพร้อมกับฟังเสียงตามสายที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเปิด (ครั้งนั้นพักห้องด้านหลังพระอุโบสถ)

พอนั่งสมาธิเต็มที่ ก็ออกไปกราบพระที่พระนิพพาน เห็นว่าทั่วบริเวณนั้นเหมือนบริเวณวัดท่าซุงเกือบทุกอย่าง มีโบสถ์ มีหอระฆัง มีศาลา ๒ ไร่ ๓ ไร่ ๔ ไร่ เหมือนกัน ผิดกันแต่บริเวณทั้งหมดนั้นเป็นแก้วผสมทองและเป็นเพชรเป็นส่วนมาก ในสมาธินั้นว่าข้าพเจ้าได้ขึ้นไปบนศาลาเพื่อจะกราบองค์หลวงพ่อท่าน พอดีพบองค์สมเด็จองค์ปฐมท่านประทับยืนอยู่กลางศาลาข้าพเจ้าคลานเข้าไปหมายจะกราบท่าน แต่ว่าท่านเสด็จจงกรมหนีไปรอบๆ เป็นวงกลม ข้าพเจ้าตามหลายรอบตามเท่าไรก็ไม่ทัน

และไม่ได้กราบพระองค์ ก็พอดีมีเสียงบอกมาว่า “ถ้าเราหยุดตาม พระองค์ท่านจะหันมาหาเราเองนั่นแหละ” ข้าพเจ้าจึงหยุดอยู่กับที่ ท่านก็เสด็จหันพระพักตร์มาทางข้าพเจ้า พระองค์ท่านนั้นเหมือนกับเขาได้เอาเพชรไปเจียระไนเป็นองค์ท่านทั้งองค์อย่างนั้นแหละ แสงออกจากพระองค์ท่าน นวลตา มีหลายสี ข้าพเจ้ากราบแล้วทูลขอว่า

“ข้าแต่องค์สมเด็จพระพ่อใหญ่ ลูกกราบขอธรรมะสักข้อหนึ่ง ที่ปฏิบัติแล้วจะได้เข้าพระนิพพานเร็วๆ ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
พระองค์ทรงตรัสว่า “เธอปฏิบัติตามคำสอนของพ่อเธอ ที่พ่อเธอ (หมายถึงองค์หลวงพ่อ) ได้สอนแล้วนั่นแหละดีที่สุดแล้วถูกต้องแล้ว ถึงแน่ เพราะพ่อเธอไม่ใช่พระธรรมดา แต่เป็นพระพิเศษเป็นพระที่สามารถและฉลาดเพราะพ่อของเธอเป็นพระพุทธภูมิจะเต็มแล้ว สะอาดหมดจดดีแล้ว”

พอสมเด็จพระพ่อใหญ่องค์ปฐมได้ตรัสจบแล้วเท่านั้น ข้าพเจ้าก็กราบพระองค์ท่าน และรู้สึกดีใจสองอย่าง คือ หนึ่งได้พบพระองค์จริงๆ ที่พระนิพพาน และ สอง ได้รู้แน่ชัดว่า ท่านพ่อของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้พบแล้ว ได้ฝึกมโนมยิทธิ ได้อ่านคำสอน ได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านอยู่นี้ (คือองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ) แน่นอนแล้ว ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว แม้แต่องค์สมเด็จพระพ่อใหญ่ ยังทรงยืนยันเช่นนั้น ตรัสเช่นนั้น

ในสมาธิตอนนั้นว่าข้าพเจ้าร้องไห้ออกมาด้วยความดี ปล่อยโฮออกมาดังๆ น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้มด้วยปีติ ข้าพเจ้านึกขึ้นมาได้ว่า ข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เกรงว่าจะทำให้เพื่อนตกใจ และเขาอาจจะเสียสมาธิ จึงรีบออกมานั่งข้างนอกที่โคนต้นหูกวางหน้าห้องเบอร์ ๑๘ ๑๙ จนถึง ๖ โมงจึงมาใส่บาตรที่หน้าวัด หลังจากนั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าก็เพิ่มศรัทธา เคารพ บูชา และเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อท่านจนสุดหัวใจของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าได้เคยตั้งจิตอธิษฐานหลังจากสวดมนต์ว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้ตายไปเพื่อแลกกับอาการป่วยของหลวงพ่อ ขอให้ข้าพเจ้าตายเมื่อไร แบบไหนก็ได้ ขอแต่เพียงให้องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้หายจากอาการป่วย มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มแก้วของลูกหลาน และพุทธบริษัทสืบต่อไปอีกนานเท่านาน ข้าพเจ้าได้อธิษฐานแบบนี้อยู่ประมาณ ๓ เดือนเห็นจะได้ ถ้าจำไม่ผิด

องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีพระคุณต่อข้าพเจ้าอย่างมหาศาล จนไม่รู้จะพรรณนาอย่างไรได้ พูดได้แต่เพียงว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้พบองค์หลวงพ่อท่าน คงจะต้องลงสุดกู่ (ตกนรก) แน่นอน ก็เพราะพบองค์หลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อท่านเมตตาแท้ๆ จึงได้รู้ ได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน จึงได้พบแล้ว เห็นแล้วจริงๆ ว่า นรก สวรรค์ พรหม มีสภาพเป็นอย่างไร พระนิพพานมี แดนพระนิพพานเป็นอย่างไร ได้พบแล้ว และก็ขอเข้าพระนิพพานในชาตินี้ด้วย ข้าพเจ้าจะไม่ขอเกิดอีกแล้ว เพราะการเกิดมันเป็นทุกข์

สุดท้ายนี้ถ้าหากมีความผิดพลาดในคำพูดหรือในข้อเขียน ข้าพเจ้าขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่ถ้าหากมีความดีบ้างแล้วไซร้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ขอน้อมถวายแด่องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน และขออาราธนาพระบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆ พระองค์

พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหมเทวดาทั้งหมด และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ขอจงช่วยดลบันดาลอภิบาลรักษาให้องค์หลวงพ่อหายจากการป่วย มีสุขภาพแข็งแรง มีพลานามัยสมบูรณ์ เพื่อจะได้ดำรงคงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้วัฒนาถาวร และเป็นร่มโพธิ์แก้ว ของลูกหลานและพุทธบริษัทสืบต่อไปอีกนานเท่านาน ด้วยความเลื่อมใส ศรัทธา เคารพ บูชาจนสุดหัวใจ

ll กลับสู่สารบัญ


48

หลวงพ่อช่วยผู้บริสุทธิ์


บรรลือ ฦาชา


แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้เห็นองค์ท่าน ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาก่อน และรู้สึกประทับใจในจริยาของท่านมาก จึงหันมาปฏิบัติธรรมตามท่าน แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าไม่รู้จักคำว่า พระอริยเจ้าและเชื่อว่าพระนิพพานไม่มีจริง แต่เดี๋ยวนี้เชื่อแล้วว่ามีพระนิพพานจริง เพราะหลวงพ่อท่านสอนดี ในปี พ.ศ.๒๕๒๓ ข้าพเจ้าได้นำเพื่อนๆ มาวัดเพื่อมากราบหลวงพ่อ และฝึกมโนมยิทธิก็ได้ผลสมความปรารถนา

และก็มาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตจากท่าน เพื่อตั้งชมรมพุทธปฏิบัติ ชื่อว่า “ชมรมพุทธปฏิบัติศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” ท่านก็อนุญาตทันที และท่านบอกต่อไปว่า “ต่อไปชมรมนี้ก็จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้น” ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งในเมตตาของท่านมาก เหตุที่ข้าพเจ้าได้ตั้งชมรมนี้ขึ้น ไม่ใช่ว่าจะตั้งตนเป็นอาจารย์สั่งสอนสมาชิกหรอก ข้าพเจ้ามีเหตุผลดังนี้<

- เพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสอนขององค์พระประทีปแก้ว ที่หลวงพ่อนำมาสั่งสอน
- เพื่อกันคนที่หลงผิดรับศาสนาอื่น แล้วโจมตีศาสนาพุทธและโจมตีพระดีๆ
เพราะขณะนั้นมีนักบวชบางคนโจมตีศาสนาพุทธ และการปฏิบัติธรรมของพระดีๆ ในด้านเสียหาย หากท่านเหล่านั้นหลงผิด และยังไม่มีใครมาแยกออก นานไปศาสนาพุทธในย่านนั้นก็จะไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง

เพราะปฏิบัติไม่ถูก เพราะมีนักบวชบางคนนำคำสอนมาสอนชาวบ้านผิดๆ ถูกๆ ทำให้พระศาสนาด่างพร้อย ข้าพเจ้าทนไม่ได้ สำหรับเรื่องที่หลวงพ่อท่านช่วยผู้บริสุทธิ์นั้น เรื่องเป็นอย่างนี้ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๑ หลานชายของข้าพเจ้ารับราชการที่กรมไปรษณีย์ ได้ถูกกล่าวหาว่า หลอกกินเงินชาวบ้านที่จังหวัดหนึ่ง แต่ตัวเขาเองรับราชการอยู่ที่อีกจังหวัดหนึ่ง ตัวคนกล่าวหาก็อยู่คนละจังหวัดกับหลานชายของข้าพเจ้า

เขาได้วิ่งเต้นจนหมดตัว และถูกสั่งพักราชการ ๕ – ๖ เดือน เขาคิดว่าเขาคงถูกให้ออกจากราชการเป็นแน่ เขาจึงมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้านึกถึงหลวงพ่อทันที จึงนำเขามาเฝ้าหลวงพ่อ และกราบเรียนให้ท่านทราบ ท่านมีเมตตาถามว่า “เรื่องมันเป็นมาอย่างไรเล่าให้ฟังซิ” เมื่อหลานเขากราบเรียนให้ท่านทราบ ท่านจึงพูดว่า “ยังไม่ทันสอบสวนเลยสั่งพักราชการยังไม่เคยเห็น” แล้วท่านก็นิ่งไปสักครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นว่า “เอาแค่ชนะก็พอนะโยม กลับไปนี่ก็จะได้ข่าวหรอก”

พอข้าพเจ้ากลับบ้านได้ ๒ วัน หลานชายได้ไปบอกว่า มีหนังสือให้เข้าทำงานตามเดิม ไม่มีความผิดแต่อย่างใด เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ทั้งๆ ที่เขาจะเอาออกจากราชการอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นเพราะหลวงพ่อท่านช่วยแท้ๆ คำพูดของท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งในมหากรุณาขององค์ท่านมาก

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 19/4/12 at 14:43

49

พระคุณของหลวงพ่อท่านหาประมาณมิได้


เสรีธร ทับทอง


เมื่อราวปี ๒๕๒๒ ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าจากเพื่อนสนิทว่า มีพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่องค์หนึ่ง ที่จังหวัดอุทัยธานี ข้าพเจ้าและเพื่อนสนใจมากเพราะกำลังเสาะหาพระอาจารย์ดีเพื่อศึกษาธรรมะอยู่ ส่วนพระองค์อื่นหลายองค์ได้ศึกษามาแล้วฟังท่านไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่ทราบชื่อและที่อยู่ของท่าน เมื่อได้รายละเอียดแล้วจึงได้ชวนกันเดินทาง ไปจังหวัดอุทัยธานี

ในปี ๒๕๒๓ สืบเสาะจนได้พบท่านและได้กราบนมัสการท่านได้สมใจที่รอคอยมานานเป็นเวลาร่วมปี ท่านได้ให้การต้อนรับข้าพเจ้า เพื่อน ตลอดทั้งทุกคนด้วยความยิ้มแย้มเป็นกันเองเหมือนกับเป็นญาติสนิท ทำให้ทุกคนอบอุ่นใจ แถมยังมีเรื่องสนุกๆ คุยให้ฟังด้วย ทำให้ข้าพเจ้าหายเหนื่อยจากการเดินทางเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งตรงกันข้ามกับคำเล่าลือหรือที่นักหนังสือพิมพ์บางฉบับ

ได้เขียนไว้เกี่ยวกับการเข้าพบหลวงพ่อท่าน อย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว ตอนกลับกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้ซื้อหนังสือประวัติหลวงพ่อปานติดมือไปด้วย เมื่ออ่านแล้ววางไม่ลง มีความรู้สึกรักท่านมากที่สุดเท่าที่เคยมีความรู้สึกรักมา แม้กระทั่งพ่อ แม่ ของข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยมีความรู้สึกรักมากเช่นนี้มาก่อน ในเวลาต่อมาข้าพเจ้าและเพื่อนได้ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง

พอฝึกเสร็จครูฝึกได้บอกว่าข้าพเจ้าได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่ค่อยมั่นใจตัวเองเท่าใดนัก ใจหนึ่งก็คิดว่าภาพที่เห็นเป็นภาพที่คิดเอาเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ ครั้นต่อมาจึงทราบจากหลวงพ่อท่านว่า ภาพที่เห็นเวลาฝึกนั้น เป็นภาพจริงไม่ใช่อุปาทาน เพราะเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความแคลงใจของข้าพเจ้าจึงหมดไป ข้าพเจ้าเริ่มสำรวจศีล ๕ ของตนเองพบว่า “สุรา” เป็นข้อบกพร่องมากที่สุด จำจะต้องรีบแก้ไข

แต่ใจหนึ่งก็เกรงว่าจะเข้าสังคมได้ไม่ค่อยดี จะมีเสียงเสียดสีจากเพื่อนและคนที่รู้จักอยู่เป็นประจำ ใจจะทนได้ไหม เพราะสังคมบ้านเราส่วนใหญ่เขาถือคติว่า การคบกันถ้าจะให้คบกันได้ต้องดื่มสุราเหมือนกัน และถ้าจะให้เป็นเพื่อนรักกันต้องเมาหัวราน้ำเหมือนกัน และคิดต่อไปอีกว่า ถ้าเราตกนรกเพื่อนๆ หรือสังคมจะช่วยเราได้ไหม คงช่วยเราไม่ได้ เราคงตกนรกคนเดียว

ถึงจุดนี้ทำให้มีกำลังใจที่จะเลิกเหล้า จึงตัดสินใจเลิกเหล้าโดยถือฤกษ์ในวันงานที่บ้านเจ้านาย เป็นการทดสอบกำลังใจอย่างดี และข้าพเจ้าก็ทำได้สำเร็จ ภายหลังจากข้าพเจ้าได้ฝึกสมาธิดังกล่าวแล้ว ข้าพเจ้าได้สมัครเป็นสมาชิกหนังสือธัมมวิโมกข์มาตลอด และได้เลิกศึกษาธรรมะจากพระตามสถานที่อื่นทั้งหมด แล้วก็มีความรู้สึกเกิดขึ้นว่า ทำอย่างไรเราถึงนิพพานในชาตินี้ได้ เพราะใจรักนิพพานรุนแรงมาก

จนเกิดความวิตกกังวลอยู่ ตลอดเวลาเป็นประจำเป็นเวลานานเพราะเกรงว่าจะไปนิพพานไม่ได้ในชาตินี้ เนื่องจากเมื่อคิดย้อนหลังดูตัวเองแล้วเห็นว่า ทำบาปเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำบุญนิดเดียว บารมีคงมีน้อยมากซึ่งเป็นการเข้าใจคำว่า “บารมี” ผิดอย่างถนัด เพราะบารมีหมายถึงกำลังใจ มิใช่หมายถึงบุญ ซึ่งมาทราบจากหลวงพ่อท่านภายหลัง และกอปรกับอายุก็มากแล้ว คงมีเวลาทำบุญได้น้อยมาก

คงไปนิพพานในชาตินี้ไม่ได้แน่ แต่ใจก็อยากจะไปให้ได้ในชาตินี้ ข้าพเจ้าคิดว่าหลวงพ่อท่านคงจะทราบความทุกข์ร้อนวิตกกังวลของข้าพเจ้า และทุกท่านได้ดีแต่โอกาสคงยังไม่เปิดพอที่จะให้ท่านสงเคราะห์ได้เท่านั้น และเมื่อมีโอกาส ในคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ฝันว่า ภายหลังจากที่หลวงพ่อท่านได้พบญาติโยมพุทธบริษัทที่ศาลาหลังหนึ่งเสร็จแล้ว ท่านก็จะเดินลงจากศาลา

ท่านได้เดินผ่านมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ก้มลงกราบท่าน ท่านได้ทำนายให้ข้าพเจ้าได้ชื่นใจเป็นที่สุด ความวิตกกังวลแต่เดิมมาได้มลายหายไปเป็นปลิดทิ้งในทันทีทันใดนั้นเลย และในเวลาต่อมา ท่านก็ได้บอกวิธีไปนิพพานในชาตินี้ อย่างง่ายๆ ว่า ต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง ในหนังสือธัมมวิโมกข์ให้ทุกท่านได้ทราบแล้ว


ข้าพเจ้าได้เกิดความคิดขึ้นอีกว่า
การจะได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ก็แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะได้พบศาสนาพุทธที่แท้จริงก็แสนยาก การจะได้พบพระอาจารย์ที่ดีที่รอบรู้ธรรมะ ทั้งภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติ และรู้ผลการปฏิบัติก็แสนยาก และโดยเฉพาะยิ่งแสนยากขึ้นไปอีกที่ได้พบพระอาจารย์ที่ดีที่อดีตชาติท่านเคยเป็นพ่อ หรือเป็นญาติที่สนิทมาก่อน

ฉะนั้น เมื่อท่านได้มีโอกาสดี ที่ได้พบหลวงพ่ออันแสนประเสริฐ ท่านมีมหาเมตตาธิคุณ มหากรุณาธิคุณ อย่างยิ่ง ประกอบทั้งท่านมีธรรมะที่จะให้ทุกท่านได้ครบวงจรซึ่งมีน้อยองค์มากในโลกนี้ ท่านจะยังชักช้าไม่รีบตัดสินใจศึกษาและปฏิบัติธรรมะจากหลวงพ่อเพื่ออนาคตของตัวท่านอยู่อีกหรือ หลวงพ่อท่าน มีมหาเมตตาธิคุณ มหากรุณาธิคุณ ต่อลูกหลาน

ตลอดทั้งประชาชนทุกชาติ ชั้น วรรณะ โดยเสมอหน้ากัน โดยไม่มีขีดจำกัด ถึงแม้ท่านจะป่วยหนักอยู่ตลอดเวลาเป็นเวลานาน ท่านก็พยายามอดกลั้นอดทน ไปสั่งสอนธรรมะให้ลูกหลานฟังมิได้ขาด ธรรมะของท่าน ใช้ภาษาง่ายๆ ชาวบ้านก็ฟังได้ และครบวงจรด้วย โดยท่านมีจุดประสงค์ประการสำคัญที่สุด เพื่อให้ทุกท่านไม่ต้องเวียนตาย เวียนเกิด อันเป็นทุกข์แสนสาหัสไม่มีที่สิ้นสุดต่อไปอีก

ข้าพเจ้ามีโอกาสได้พบหลวงพ่อท่านในชาตินี้ นับได้ว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวงของข้าพเจ้าแล้ว พระคุณของท่านจึงมากจนเหลือที่จะประมาณได้ และข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนพระคุณของท่านได้อย่างไร ถึงจะให้เบาบางลงหรือหมดได้ในชาตินี้ แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้า ก็จะพยายามตอบแทนพระคุณของท่านไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต และคิดว่าจะได้สักหนึ่งธุลีของท่านที่ข้าพเจ้าได้รับมา หรือไม่ก็ไม่ทราบได้

ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขออำนาจศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มีคุณพระรัตนตรัยทั้งสามประการ คุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ได้โปรดช่วยคุ้มครองหลวงพ่อท่านให้หายจากการป่วยไข้ทั้งปวง และมีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ทุกอย่าง อยู่เป็นร่มฉัตรแก้วของลูกหลานสืบไปนานแสนนาน

 ll กลับสู่สารบัญ


50

ลูกศิษย์บันทึก


อัจฉรา เสาร์เฉลิม


นับแต่ข้าพเจ้าได้รู้จักพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นต้นมา ข้าพเจ้าได้รับความเมตตาจากหลวงพ่ออย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เพราะท่านสอนให้ละกิเลส เพื่อหนีนรก หนีจากวัฏฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดเพื่อไปนิพพานให้ได้ ด้วยการสอนที่ให้กำลังใจ เมื่อเกิดท้อถอย ท่านก็สอนด้วยคำพังเพยว่า

“จงรักษาความดี เหมือนเกลือรักษาความเค็ม” “นักกีฬาต้องเข้มแข็ง” “เรื่องถูกนินทาหรือลูก พ่อโดนมาซะหนักแล้ว ใครว่าโดนหนักยังไม่เท่าที่หลวงพ่อเคยโดยมาหรอกนะ นัตถิ โลเก อนินทิโต คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลกนะลูกนะ” “เวลาใครเขาตีกัน เอ็งอย่าไปยุ่งนะ เราคุยด้วยทั้งสองฝ่าย อย่าไปเข้าข้างโกรธกับเขาด้วย” “คนที่ไม่โกรธตอบนั่นน่ะเป็นคนดี คนโกรธตอบเป็นคนเลว” ฯลฯ

หลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรมพิเศษ สามารถสั่งสอนศิษย์ตามลักษณะนิสัยใจคอ ขูดกิเลสออกอย่างเห็นผลได้ชัดเจน ท่านสอนมิให้เชื่อโดยศรัทธา หรือเชื่อโดยฟังจากคำเล่าสู่กันฟัง หรือจากข่าวลืออันก่อให้เกิดอคติทั้งหลาย หากควรใช้ปัญญาประกอบด้วยเหตุผลจึงสมควรเชื่อ ซึ่งก็ตรงกับนิสัยของข้าพเจ้าที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จึงได้รับการสอนที่ให้ตามไปดู ตามไปพิสูจน์ เหตุการณ์หลายอย่างด้วยกัน เช่น

ให้ไปหาหวยจากพระ
หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า มีพระให้หวยแม่นๆ องค์หนึ่งชื่อ หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี จ.สมุทรสาคร หากจะไปเมื่อใดให้จุดธูปอธิษฐานจิตบอกล่วงหน้าไปก่อน ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม (เรื่องหวย..ของชอบอยู่แล้วค่ะ) ปรากฏว่า อธิษฐานหรือนึกอย่างไรก่อนไป หลวงพ่อเนื่องท่านก็สงเคราะห์ ปฏิบัติตามที่ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานไว้ทุกทีไป จนข้าพเจ้าเริ่มสงสัยในปฏิปทาของหลวงพ่อเนื่อง

ว่ามีเจโตปริยญาณคล้ายพระเดชพระคุณหลวงพ่อ สามารถรู้วาระจิต ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นเป็นแน่แท้ทีเดียว ที่ศาลานวราชเก่าหลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า “ไอ้คนกรุงเทพฯ เจอพระอรหันต์เดินชนพระอรหันต์จนกระทั่งท่านตายไปหลายองค์ ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์” ความที่หลวงพ่อท่านพูดอย่างนี้ให้ฟังหลายวาระแล้วก็พูดว่า

มีพระดีอยู่ที่วัดสามพระยา ชื่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ซึ่งขอเรียกว่าหลวงปู่) ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ให้สงสัยอยู่ในใจเต็มที ว่าในสมัยปัจจุบันนี้ ยังมีพระที่ดีแท้ๆ อีกหรือ จำจะต้องตามไปดูให้หายสงสัยซะหน่อย พอมีเวลาว่างเมื่อใด ข้าพเจ้าจึงรีบนำอาหารไปถวายเพลหลวงปู่แล้วขอให้สอน หลวงปู่บอกว่า “โยมมีครูดีอยู่แล้ว อาตมาไม่มีหน้าที่สอน” ซึ่งหลายวาระด้วยกัน

ท่านก็ยืนกรานบอกว่า ไม่มีหน้าที่สอน ข้าพเจ้าฟังแล้วก็นึกถึงปฏิปทาของพระที่หลวงพ่อ เคยไปศึกษาเพื่อเพิ่มเติมความรู้ตามที่หลวงปู่ปาน (วัดบางนมโค) แนะนำไป แล้วโดนปฏิเสธด้วยการถูกด่าซะหลายวัน แต่หลวงพ่อท่านก็ไม่ยอมย่อท้อ อยู่ต่อจนพระท่านเห็นว่า เอาจริงจึงสอนให้ในเวลาต่อมา ด้วยความคิดว่า เราก็ศิษย์มีครู (ครูก็คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อ) ปฏิปทาของหลวงพ่อท่านเคยปฏิบัติมาอย่างไร

เราก็ควรจะปฏิบัติตามที่ท่านสอนและท่านเคยปฏิบัติมาก่อน ข้าพเจ้าจึงนำอาหารเพลไปถวายหลวงปู่บ่อยๆ เมื่อยามว่างจากงานสอนที่โรงเรียน ถวายอาหารเพลเสร็จแล้วก็ไม่พูดไม่จารีบกราบลา กลับโรงเรียนปฏิบัติอยู่เช่นนี้เป็นนานด้วยความอดทน ในที่สุดท่านก็ไม่สอนหรอกนะ แต่ท่านพูดขึ้นมาลอยๆ ยามที่ข้าพเจ้ามีปัญหาคับข้องใจ ไม่กล้าถามด้วยปาก ก็ถามในใจก็แล้วกัน

หลวงปู่ก็ตอบแก้ไขปัญหานั้นให้ทุกครั้ง เช่น “การทำความดี อยู่ที่ไหนๆ ก็ทำความดีได้” “จงคิดว่างานมิใช่ของเรา แต่เปรียบเสมือนเป็นของเรา เมื่อละร่างกายไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือ ไม่ยึดไม่ติดอะไร” “เขารบกัน เราก็อยู่ของเรา” “เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ไม่มีทางอับจนแน่นอน” ฯลฯ หลวงพ่อท่านบอกกับข้าพเจ้าว่า “มีเอ็งคนเดียวที่จะขอหวยจากหลวงปู่ได้” แหม! ฟังแล้วก็ชอบซินะ

ข้าพเจ้าไปวัดจุฬามณี ได้กระดาษที่หลวงพ่อเนื่องให้มาพร้อมตัวเลข รวบรวมความกล้าอยู่นาน (กลัวๆ กล้าๆ) กราบเรียนหลวงปู่ว่าได้ตัวเลขมาจากวัดจุฬามณีอย่างนี้เจ้าค่ะ หลวงปู่รับไปแล้วก็ยิ้ม (ถ้ายิ้มละก็เป็นอันว่าซื้อได้และถูกรางวัลด้วย) หรือบางทีหากมีญาติโยมที่ไปพบหลวงปู่นั่งอยู่ด้วย หลวงปู่ท่านก็จะส่งต่อไปให้ บางคนดูแล้วก็นั่งเฉยๆ หลวงปู่จะสั่งว่า

“เอ้า! จด จด เดี๋ยวกรรมมันบังตาจะทำให้ลืม โอ้โฮ! งวดนั้นข้าพเจ้าลืมซื้อจริงๆ ส่วนคนที่จดตัวเลขในวันนั้นก็โชคดีไป ถ้าในกระดาษมีตัวเลขที่ไม่ถูกเลย ท่านจะส่งกลับแล้วบอกว่า “คนแก่ตาไม่ค่อยดี แต่อย่าลืม..๒.๓ นะ” ข้าพเจ้าก็ไปซื้อตัวเลขตามที่ท่านสั่งว่าอย่าลืม บางครั้งหลวงพ่อ เล่าความฝันของท่านให้ข้าพเจ้าฟัง

ซึ่งตรงกับที่หลวงพ่อเนื่องให้ตัวเลขมา ตรงกับที่หลวงปู่บอกสรุป ข้าพเจ้าก็รวยมากในงวดนั้น ในใจจะมีความปีติดีใจ มีภาพพระสงฆ์มากมายนั่งอยู่ในใจเต็มไปหมด จนหลวงพ่อท่านต้องบอกว่า เวลานึกถึงพระรัตนตรัยต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนไม่ใช่พระสงฆ์ก่อน ข้าพเจ้าก็สะดุ้งทุกทีว่า เอ๊ะ! หลวงพ่อรู้ได้ยังไงกันนะเนี่ย?

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้คิดในเวลาต่อมาและขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยก็คือ ข้าพเจ้าเห็นโลกธรรม ๘ ในข้อที่ว่าได้ลาภก็เสื่อมลาภ ได้มาก็หมดไป ไม่มีอะไรทรงตัว เห็นความวุ่นวายของจิตตัวเอง พอถูกหวยก็มีความสุข ไม่ถูกหวยก็มีความทุกข์ มันเหนื่อยทั้งสุขและทุกข์ ทำความดีก็เหนื่อยทำความชั่วก็เหนื่อย จึงต้องไม่ติดทั้งดีและชั่ว แต่มีชีวิตอยู่ก็พยายามละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตให้แจ่มใส

เพื่อไปนิพพานให้ได้ในชาติปัจจุบัน ข้าพเจ้าตั้งสัจเลิกเล่นหวยตลอดชีวิตแล้ว และสิ่งที่ดีใจมากที่สุดในชีวิตก็คือ ข้าพเจ้าหายสงสัยในพระอริยสงฆ์ พระที่ดีแท้ๆ ยังมีอยู่ในโลกปัจจุบัน พระที่สอนได้ตรงวาระจิต นึกคิด ติดอะไร ท่านสงเคราะห์สอนให้หายสงสัยทั้งในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์

สรุปแล้วพระแต่ละองค์ท่านก็มีหน้าที่ต่างๆ กัน เหมือนครูที่ถนัดสอนวิชาอะไร ก็สอนวิชาด้านที่ตนเองถนัดนั่นเอง อย่างน้อยพระให้หวยท่านก็ทำให้คนนับร้อยนับพันคน ได้มีโอกาสทำบุญ ได้นึกถึงพระ จิตเป็นกุศล ตายไปอย่างน้อยก็ไปสวรรค์ เช่นเดียวกับที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังเรื่องนางฟ้าปิ่นโตนั่นเอง

ทดลองปลูกต้นไม้ในไข่เน่า (อภิญญาไข่เน่า)
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเล่าให้ฟังเรื่องสมัยตอนท่านหนุ่มๆ เดินทางไปเทศน์กับเพื่อนพระ ระหว่างทางเพื่อนของหลวงพ่อก็บ่นว่า ชักหิวแล้ว ถ้ามีขนมจีนให้ฉันก็ดีซินะ เดินไปอีกสักพักก็พบคนขายขนมจีนพายเรือผ่านมา เพื่อนของหลวงพ่อก็พูดว่า แหม! ถ้ามีผักชีโรยหน้าด้วยก็จะดี ปรากฏว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาแล้วก็บอกว่า

“อยากฉันผักชีหรือครับ” ว่าแล้วก็หยิบไข่ออกมาฝังดินกลบเอาน้ำพรมๆ ภายในพริบตาเดียว ต้นผักชีก็งอกเดี๋ยวนั้นโตเดี๋ยวนั้น กินดูก็มีรสชาดแบบผักชีทุกอย่าง หลวงพ่อท่านนึกในใจว่า มีแตงโมเป็นของหวานก็จะดี ชายหนุ่มคนนั้นก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับครั้งแรก คือเอาไข่ฝังลงในดินแล้วพรมน้ำ แป๊บเดียวต้นแตงโมค่อยๆ งอกขึ้นมา เลื้อยไปแล้วมีดอกมีลูกแตงโมในทันที

กินแล้วก็มีรสชาติเหมือนแตงโมทุกอย่าง ข้าพเจ้าฟังหลวงพ่อเล่าก็คิดตาม จิตก็สงสัยว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็น... ทันทีทันใดที่ข้าพเจ้าคิดออก หลวงพ่อท่านก็หันมาทางข้าพเจ้าทันที แล้วก็บอกว่า “ไอ้เอมันรู้แล้วว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” และท่านก็บอกว่า “มีเอ็งคนเดียวที่จะทำได้” หลวงพ่อท่านบอกสูตรในการทดลองให้ ซึ่งข้าพเจ้าก็เตรียมอุปกรณ์ตามที่ท่านบอก

(ผู้ที่ข้าพเจ้าต้องขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ก็คือ พี่อรพินท์ พี่มาเรียม และคณะ ซึ่งได้กรุณาช่วยจัดหาตู้อบไข่ไปให้ข้าพเจ้า) ก่อนทำข้าพเจ้าก็จุดธูปบอกท่านเจ้าของเรื่อง แล้วเฝ้าพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ทดลองเห็นน้ำเหลืองของไข่ไหลลงสู่จานรองพร้อมกลิ่นเหม็นตลบไปทั่วห้อง เห็นหนอนที่เกิดขึ้นแล้วคลานกระดุ๊บกระดิ๊บ เกือบจะขึ้นที่อก ต้องหาฉากมาบังไว้

(ต้องแอบทดลองในห้องนอนเพราะกลัวคนว่าเป็นแม่มด บ้าทดลอง ฯลฯ) เห็นแมลงวันลายตัวใหญ่มากเกิดจากหนอนแล้วในที่สุดก็ตายไป ฯลฯ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับ ก็คือมีปัญญารู้เข้าใจในคำสอนของหลวงพ่อที่บอกว่าสัตว์ทุกตัว คนทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ เกิดเท่าใด ตายหมดเท่านั้น เมื่อมีชีวิตอยู่ร่างกายก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มีน้ำเหลือง น้ำหนอง อุจจาระ ปัสสาวะ สิ่งปฏิกูลต่างๆ

ข้าพเจ้าต้องล้างจานรองตู้อบไข่บ่อยๆ ล้างไปก็พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นอยู่ เทียบกับตัวตนของเราเองว่ามันไม่ต่างอะไรกันเลย เพราะเรากินอาหาร เช่น ไข่ เข้าไป ร่างกายเราก็สกปรกเช่นเดียวกับไข่ตัวอย่างในตู้อบนั่นเอง พอย่างเข้าเดือนที่ห้า...หก ไข่ในตู้ทดลองก็เปลี่ยนสีเป็นสีดำคล้ำ มีเชื้อราขึ้น ซึ่งเทียบได้กับผิวหนังของคนที่ตายไปแล้วก็จะมีสีแบบเดียวกัน

ข้าพเจ้าต้องทนดมกลิ่นเหม็นตลบเป็นเวลา หกเดือนเต็มด้วยใจซึ่งมีความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะทดลองสำเร็จ หอบไข่เน่าทั้งหมดไปที่กุฏิของหลวงพี่วัชรชัย ซึ่งเป็นผู้ปลอบให้กำลังใจและช่วยอธิบายบางสิ่งบางอย่างซึ่งข้าพเจ้าไม่กล้าถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ (เพราะกลัวไม้ตะพดขว้างนะคะ) คุณอภิชาต สุขุม ก็เป็นอีกท่านหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าขอขอบพระคุณในความช่วยเหลือทั้งหมดด้วย ณ โอกาสนี้

คุณอภิชาตช่วยขุดดินฝังไข่เน่า แล้วข้าพเจ้าก็นิมนต์หลวงพี่ช่วยรดน้ำให้ ปรากฏว่ายังทดลองไม่สำเร็จผล ใจของข้าพเจ้าห่อเหี่ยว เฝ้าหวังด้วยกำลังใจเต็มที่มา ๖ เดือนเต็ม ต้องไปทดลองใหม่อีกหรือ หลวงพี่วัชรชัยท่านแนะนำซึ่งทำให้ใจของข้าพเจ้าสดชื่นขึ้นมา ว่า “ตามธรรมดามีใครบ้างไหมทนทดลองได้อย่างเอ็ง เอ็งไม่มีวิจิกิจฉาในคำสอนของหลวงพ่อ ความมั่นใจทำได้นั่นแหละคืออภิญญาแล้ว”

นี่เป็นคำพูดของหลวงพี่วัชรชัยใน พ.ศ.๒๕๓๐ ซึ่งก็ตรงกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเมตตาเล่าให้ฟังในเดือนมกราคมปี ๒๕๓๔ นี้เองว่า พระรุ่นพี่ของท่านองค์หนึ่ง นั่งสมาธิเคร่งทุกวัน เพื่ออธิษฐานจิตให้สามารถยกพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ที่นอนอยู่ให้ลุกตั้งขึ้นมาได้เอง นั่งตัวสั่นเพ่งสมาธิซะหลายวัน พระพุทธรูปท่านยังไม่ตั้งขึ้น จนอยู่มาวันหนึ่งพอพระรุ่นพี่นั่งหลับตา

หลวงพ่อท่านก็แอบไปหยิบพระให้ตั้งขึ้นแล้วยืนแอบมอง เห็นพระรุ่นพี่ลืมตาแล้วก็ร้องลั่นดีใจที่สามารถทำสำเร็จผลแล้ว ท่านนึกว่าท่านทำได้เอง ดีใจ กำลังใจมา ความมั่นใจปรากฏ อธิษฐานให้ตั้งให้นอนทำได้เองจริงๆ ทันทีที่อธิษฐานจิต “ตัวมั่นใจนั่นแหละทำให้ทำได้” พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเน้นพร้อมกับหัวเราะด้วยความชอบใจ

นี่เป็นการยืนยันคำสอนของพระปฏิบัติที่ดีแท้ๆ ว่า การสอนจะไปในแนวทางเดียวกัน แม้จะต่างสถานที่กาลเวลา บุคคลก็ตาม ครูกรรมฐานคนแรกของข้าพเจ้าคือ หลวงปู่ปาน (วัดบางนมโค) ท่านมาเข้าฝันสอนสมาธิตั้งแต่ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักหลวงพ่อ ครูต่อมาคือ หลวงพ่อฤาษี หลวงปู่วัดสามพระยา และหลวงพ่อเนื่องท่านก็สอนด้วยอุบายอันแยบยลซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจ

และชอบใจในลีลาพระแบบปฏิสัมภิทาญาณ ซึ่งได้พิสูจน์พบเห็นมาแล้วด้วยตนเอง ส่วนครูเฉพาะซึ่งช่วยเมตตาแนะนำเน้นเตือน คอยประคับประคองมิให้เดินหลงทางยามกำลังใจตกหรือยามที่เกิดสงสัยในเหตุการณ์บางอย่างแล้วไม่กล้าถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีหลวงพี่นันต์, หลวงพี่วัชรชัย, หลวงพี่อาจินต์, หลวงอานิภัทร, หลวงพี่สมปอง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นพระพี่เลี้ยง ทุกองค์

ท่านมีเจโตปริญญาณ สามารถรู้วาระจิต เพราะท่านสอนตรงกับจิตที่กำลังคิดอยู่ทุกที ทำให้ข้าพเจ้าหายสงสัยในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ โดยสิ้นเชิง สิ่งที่พระท่านสอนเหมือนกันทุกๆ องค์ คือ มองให้เห็นอริยสัจ ๔ โดยเฉพาะเห็นทุกข์ในการมีร่างกายอยู่ทุกวัน มองเห็นกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาสังโยชน์ ๑๐ ประการ โดยเฉพาะ ๓ ข้อแรก เพื่อหนีนรกให้ได้ คือ

๑. สักกายทิฏฐิ คิดถึงความตายทุกวัน เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
๒. วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในพระรัตนตรัย
๓. สีลัพพตปรามาส รักษาศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ ทุกวัน

กรรมบถ ๑๐ คือ
๑. กายกรรม ๓
- ไม่ฆ่าสัตว์
- ไม่ลักทรัพย์
- ไม่ประพฤติผิดในกาม

๒. วจีกรรม ๔
- ไม่พูดวาจาที่ไม่มีความจริง
- ไม่พูดวาจาหยาบให้เป็นที่สะเทือนใจของผู้รับฟัง
- ไม่พูดจาส่อเสียดยุยงให้ผู้อื่นแตกร้าวกัน ไม่นินทาผู้อื่น
- ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อ ไม่มีประโยชน์

๓. มโนกรรม ๓
- ไม่คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น โดยที่เจ้าของไม่อนุญาตให้ด้วยความเต็มใจ
- ไม่คิดอาฆาต จองล้างจองผลาญผู้ใด
- มีความเห็นตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า

ทุกข้อของกรรมบถ ๑๐ จะต้องประกอบด้วย
๑. ไม่ทำผิดเอง
๒. ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ
๓. ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำไปแล้ว


เพราะฉะนั้น จากสังโยชน์ ๑๐ ศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ นี่เองที่จะทำให้เราสามารถพิสูจน์พระหรือบุคคลว่า เป็นคนดีที่ควรกราบไหว้บูชาหรือไม่ ส่วนคนที่ไม่ดีเราก็ไหว้ได้ โดยนึกในใจว่า ฉันจะไม่ทำเลวอย่างคุณ ขอบคุณที่เป็นครูให้รู้ว่าดีและเลวต่างกันอย่างไร พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนให้ไหว้ และบอกว่า การไหว้ก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง เพราะข้าพเจ้ายังมีความเลวอยู่มากในกาลก่อน

ที่ไม่ไหว้คนที่ไม่ดี แต่เดี๋ยวนี้เพราะคำสอนของหลวงพ่อที่ขูดกิเลสขูดความเลวของข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าจึงขอน้อมกราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ได้ชี้แนะทางเดิน แนวทางปฏิบัติตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งตายแล้ว เพื่อไปนิพพาน และจะขอปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ดังพรของหลวงพ่อที่ให้ลูกทุกๆ คน ดังนี้

“ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี้ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก

ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณะประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”

ll กลับสู่สารบัญ


51

อานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย


อาภรณ์ เทียมสิงห์


ข้าพเจ้าได้มีนิสัยชอบฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวันทั้งๆ ที่ไม่มีครูสอน ด้วยใจรักเป็นนิสัยมาแต่ดั้งเดิม จะนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญในชีวิต และมีจิตอยากหาพระมาเป็นครูบาอาจารย์สอนกรรมฐานให้ไปพระนิพพานได้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยศึกษา แต่ใจรักพระนิพพาน เพราะตอนนั้นยังรับราชการอยู่ ตลอดวันพบกับความวุ่นวาย รู้สึกเบื่อเหลือเกิน สถานที่ๆ จะทำให้ใจสบายก็คือ

เข้าห้องพระสวดมนต์เป็นประจำไม่ขาด ใส่บาตรตอนเช้า ชอบเข้าหาพระ อยากฟังธรรมที่จะไปพระนิพพานได้ และนั่งสมาธิโดยไม่มีใครสอน จึงคิดในใจว่าเราอยากจะมีครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐานให้ไปนิพพานได้จะไปหาที่ไหนดี คนนั้นก็ว่าพระองค์นั้นดี คนนี้ก็ว่าพระองค์นี้ดีไม่รู้จะฟังใคร ก็นึกในใจว่าเราจะไม่ฟังใครหมด จะขอเอาพระพุทธรูปองค์นี้แหละเป็นที่พึ่งของเรา

วันหนึ่งข้าพเจ้าก็เข้าห้องพระสวดมนต์ก็ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปว่า ลูกอยากได้ครูบาอาจารย์ที่ดีที่สอนกรรมฐานให้ถูกต้องแก่ลูกด้วย ลูกอยากไปพระนิพพาน ขอให้ลูกสมความปรารถนาด้วยความตั้งใจด้วยเถิด พออธิษฐานวันรุ่งขึ้นก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของสามีเคยสอนหนังสือกันมา และก็ชอบธรรมด้วย ได้นำหนังสือเล่มเล็กๆ ของหลวงพ่อ วัดท่าซุง มาให้อ่าน

ข้าพเจ้าดีใจปลื้มปิติเป็นอย่างล้นพ้น นี่หรือ ครูบาอาจารย์ของเราองค์แรก รู้สึกชอบใจ และก็ได้รับคำแนะนำให้ไปวัดท่าซุงจากผู้ที่รู้จักในวันวิสาขบูชาที่วัดจนได้ รู้สึกปลื้มใจ สุขใจเป็นล้นพ้นแต่ก็ยังไม่ได้เข้าปฏิบัติกับหลวงพ่อ ปัญญาก็เกิด และพบพระนิพพานจนได้สมความปรารถนาที่ได้ตั้งใจไว้ แต่การปฏิบัติกับหลวงพ่อ จิตยังทุรนทุรายไม่ยอมหยุด ไปวัดโน้น วัดนี้เสมอ

เพื่อค้นหาทางไปพระนิพพานให้ได้ จนอ่อนใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะฟังคนโน้นพูดทีคนนี้พูดที จิตก็หวนนึกถึงหลวงพ่อว่าเราเคยอธิษฐานไว้นี่นา ลองเข้าไปวัดปฏิบัติดูซิ จึงได้เดินทางไปเข้าปฏิบัติใน พ.ศ.๒๕๒๓ จึงได้เข้าใจในคำสอนของหลวงพ่อ ปัญญาก็เกิด และพบพระนิพพานจนได้สมความปรารถนาที่ได้ตั้งใจไว้ แต่การปฏิบัตินั้นเราต้องมีความมั่นใจ สนใจ ไม่สงสัย อดทนต่ออุปสรรคนานาประการไม่ท้อถอย เราต้องชนะใจตนเองให้ได้ และจะปฏิบัติพรหมวิหาร ๔ ที่หลวงพ่อสอนให้ได้

มีเหตุการณ์ที่ประสบมาครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจะมากราบหลวงพ่อที่ซอยสายลมเสมอ มาฟังคำปฏิบัติถวายสังฆทานกับครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นประจำ พร้อมทั้งได้แนะนำญาติ พี่น้อง และผู้อื่นไปทำบุญถวายสังฆทานเป็นประจำทุกเดือน ปกติข้าพจ้าชอบเดินจงกรมอยู่แล้ว เมื่อก้าวเท้าซ้ายว่า พุท ก้าวเท้าขวาว่า โธ นึกถึงพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อเสมอ ตาก็เหลือบไปเห็นสุนัข

แม่ลูกอ่อนกำลังให้ลูกกินนมอยู่ท่าทางดุมาก จิตก็บอกมาทันทีว่า ใช้พรหมวิหาร ๔ ซิถึงอย่างไรก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ จะต้องเดินผ่านตรงนี้ก็ตั้งจิตนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน และต่อมาก็หลวงพ่อ ขอให้ลูกปฏิบัติจิตในพรหมวิหาร ๔ มีผลสักครั้ง ขอให้สุนัขตัวนี้ทำอะไรไม่ได้เพราะดุมาก แกก็มองเราด้วยความดุดัน เราก็มีจิตเมตตา ก้าวเท้าขวาออกจะเดินผ่านไป

สุนัขก็ลุกวิ่งเข้ามากัดอย่างกะทันหันที่ขาข้างซ้ายเต็มที่ แล้วก็วิ่งหนีไป คนแถวนั้นวิ่งมาดู ถามว่าเข้ามากไหม ก็ยิ้มให้กับคำถามที่ถามมา ตาก็มองไปดูที่ขาซ้าย ปรากฏว่ากัดไม่เข้ามีแต่น้ำลายติดขาเปียกๆ ทั้งที่ไม่มีผ้าปิดขาเลย จึงคิดในใจว่าที่หลวงพ่อสอนนั่นมีผลจริง ขณะเดียวกันกับที่สุนัขวิ่งมากัดกับการใช้จิตเมตตานั้น เขี้ยวสุนัขไม่สามารถกดลงในเนื้อได้ คนแถวนั้นแปลกใจตามๆ กัน

ข้าพเจ้ามีความมั่นใจ ในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงพ่อ หลวงปู่ปานเป็นยิ่งนัก ที่คอยสอนประคับประคองในการปฏิบัติเสมอ บางครั้งมีอุปสรรคอย่างหนัก แต่พยายามนึกถึงความไม่เที่ยงทั้งหลายในโลกนี้เสมอ คิดว่าเป็นของธรรมดา จึงผ่านพ้นอุปสรรคได้ตลอดมา ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐาน จะเชื่อฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และองค์หลวงพ่อเสมอ

ชั่วชีวิตนี้ ลูกได้นำคำสั่งสอนของหลวงพ่อมาให้ครอบครัวและญาติ ได้ปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา แนะนำให้รู้จัก นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน และให้ไปฟังคำสอนของหลวงพ่อที่ซอยสายลม จนเข้าใจ และปฏิบัติได้หลายคน ปกติลูกและครอบครัวญาติพี่น้อง ลูกหลานเข้าสวดมนต์ ทำวัตร เจริญกรรมฐาน ที่บ้าน พี่ลมัย วิบูลยานนท์ในกรุงเทพ อายุ ๖๑ ปี ไม่มีครอบครัว

ซึ่งมีจิตเมตตาให้ทำเป็นที่ใช้เจริญกรรมฐานด้วยใจเมตตา และรักองค์หลวงพ่อเหมือนกัน และได้นำคำสอนในหนังสือธัมมวิโมกข์มาอ่านให้ฟังได้ปฏิบัติตามคำสอนทุกวัน เพราะลูกคิดว่าหลวงพ่อเป็นพระที่จะนำทุกคนข้ามพ้นฝั่งไปได้ถึงพระนิพพาน

ลูกสงสารหลวงพ่อเป็นที่สุด อุตส่าห์พยายามอดทนต่อการเจ็บปวดของร่างกายไม่มีวันหยุดหย่อน เพื่อให้ลุกๆ หลานๆ ประพฤติปฏิบัติข้ามพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงให้ถึงซึ่งพระนิพพานได้ หาไม่ได้อีกแล้ว ให้ทุกคนมีปัญญาจะเข้าใจในองค์หลวงพ่อเป็นอย่างดี และก็หยุดอยู่กับที่องค์หลวงพ่อนี้เอง

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 7/5/12 at 14:15

52

เป็นไงมันเมื่อยมากหรือลูก


อุดม บุญเลิศ


หากไม่มีเหตุบังเอิญให้ได้พบหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ไม่พบเพื่อนที่แนะนำและมิได้ฟังคำพูดของหลวงพ่อที่พูดว่า “เป็นไงมันเมื่อยมากหรือลูก” เชื่อว่าบั้นปลายของชีวิตจะต้องลงไปท่องอเวจีทั้งขุมใหญ่ ขุมเล็กเพลินไปเลยแน่ๆ ประมาณกลางปี ๒๕๓๓ ขณะที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในที่ทำงาน เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน

ขณะออกจากห้องจะต้องเดินผ่านโต๊ะรับแขก สายตาได้เหลือบไปพบหนังสือวางอยู่ที่โต๊ะ จึงได้หยิบขึ้นดู ปรากฏว่าเป็นหนังสือ “ประวัติหลวงพ่อปาน” พลิกๆ ดูแล้วก็ว่างไว้อย่างเดิม ครั้นเลิกงานจะกลับบ้าน ก็ยังคงเห็นหนังสือเล่มนั้นวางอยู่ในที่เดิม จึงได้สอบถามผู้ร่วมงานทุกคนว่าเป็นของใคร ไม่มีใครรับว่าเป็นเจ้าของ จึงถือโอกาสหยิบติดมือไปบ้าน วันนั้นเป็นวันศุกร์

เมื่อดูข่าวทีวีจบแล้วก็จะเข้านอน ใจก็นึกขึ้นมาได้ว่าหนังสือที่เอามาจากที่ทำงานที่เปิดดูไว้คร่าวๆ ควรที่จะนำมาอ่าน กะว่าจะอ่านสักเรื่องสองเรื่อง พออ่านเข้าจริงๆ ๒ ยามกว่ายังวางหนังสือไม่ลง การอ่านก็อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจและอ่านทุกตัวอักษรด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ปรากกว่าตั้งแต่คืนวันศุกร์ถึงคืนวันอาทิตย์อ่านจบ ๒ เที่ยว

ครั้นถึงวันจันทร์จะต้องไปทำงานจึงเอาหนังสือที่หยิบมาไปคืนที่เดิมด้วย ใจก็นึกอยากจะเป็นเจ้าของ ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะยึดไว้เลย เพราะสอบถามใครแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเป็นเจ้าของ ครั้นพออ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว จึงเกิดอาการกลัวบาปขึ้นมา จึงต้องเอาคืนไปไว้ที่เดิม เมื่อเปิดดูด้านในพบข้อความที่พอจะจำได้ว่า หากต้องการหนังสือเล่มนี้ให้ติดต่อ

คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ บ้านเลขที่ ๙ ซอยสายลม เมื่อได้แหล่งที่จะซื้ออย่างนี้แล้ว ก็เขียนจดหมายไปที่บ้านสายลม ปรากฏว่าได้รับบันทึกตอบจาก พล อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ความว่าคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ได้เสียชีวิตไปแล้ว หากต้องการจะต้องมาซื้อด้วยตนเอง ไม่มีการสั่งซื้อทางไปรษณีย์ เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่คอยจัดส่งให้ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้พอถึงวันเสาร์ก็เดินทางไปซอยสายลม

เข้าไปในบ้านก็มีความแปลกใจ เพราะเห็นว่าสถานที่จำหน่ายหนังสือทำไมถึงใหญ่โตกว้างขวางนัก เมื่อได้หนังสือตามต้องการแล้วก็กลับบ้าน นั่งอ่านนอนอ่านอีกเที่ยว ในใจก็นึกว่าผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ต้องเป็นพระดีแน่ๆ วันเวลาผ่านไปประมาณสักเดือนเห็นจะได้ โทรศัพท์ถึงเพื่อนเก่าที่เคยร่วมงานกันมา เพื่อนัดแนะรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน เมื่อพบกันก็จัดแจงสั่งอาหาร

และที่จะขาดเสียมิได้ก็คือเบียร์เย็นๆ เพื่อเจริญอาหารตามความนิยม เมื่อได้เบียร์มาแล้วก็รินแจกเพื่อนทั้งสองคน ปรากฏว่าเพื่อนอีกคนบอกว่าคนนี้ขอตัวไม่ดื่ม เขาถือศีล ใจก็ยังคิดว่าเขารังเกียจเราหรือไง จึงได้ทราบว่าเขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษี พอได้ฟังเท่านี้ก็มีความรู้สึกว่าชาไปหมดทั้งตัวขนลุกซู่ซ่า ต้องรวบรวมสติทบทวนถึงเรื่องหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน

วันนี้ได้มาพบตัวผู้ปฏิบัติที่ใกล้ชิดเข้าแล้ว จึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่ได้สนใจในหนังสือหลวงพ่อปานให้เพื่อนฟัง เพื่อนจึงบอกว่าอยากจะพบท่านจะพาไป จึงได้นัดแนะวันกัน ปรากฏว่าอาหารมื้อนี้เลยเป็นการรับประทานอาหารจริงๆ ไม่มีการดื่มเบียร์ตามประเพณีบ้าๆ บอกๆ แต่ประการใด และเมื่อแยกย้ายกับเพื่อนแล้ว ในวันต่อมาก็ติดต่อกับเพื่อนทางโทรศัพท์ตลอดเวลา

เมื่อถึงวันเสาร์ก็ไปพบเพื่อนที่บ้านซอยสายลม เพราะหลวงพ่อท่านมาสอนเป็นวันแรก เพื่อนก็จัดหาหนังสือและเทปต่างๆ ให้เพื่อนำไปอ่านและเปิดฟังที่บ้าน ถึงเวลาที่หลวงพ่อท่านสอน ก่อนเจริญพระกรรมฐาน จำได้ว่า ตอนหนึ่งท่านพูดว่าจิตใจคนเรามันสับสนมาตลอด ฟุ้งซ่านมานานจะให้มันนิ่งเลยรู้สึกจะยาก แต่ให้พยายามสักนาที หรือเพียงชั่วขณะจิต ก็ยังระงับความฟุ้งซ่านไม่ได้ก็นับว่าแย่ แต่ไม่เป็นไรให้พยายาม วันนี้ไม่ได้วันต่อไปมันต้องได้

ครั้นถึงเวลาที่เจริญพระกรรมฐานก็นั่งหลับตาภาวนาพุทโธๆ ตามที่หลวงพ่อท่านแนะนำ พอหลับตาภาวนาพุทโธไปได้สัก ๒ – ๓ ครั้ง เกิดตะคริวกินขาและปวดร้าวไปทั้งตัวจนระงับไม่อยู่ต้องลืมตานั่งมองคนอื่นเขาปฏิบัติกันจนหมดเวลา ก็นั่งรำพึงอยู่ในใจว่าเราคงจะปฏิบัติไม่ได้แน่ๆ คงไม่มีบุญ ใจก็คิดเลิกไม่มาอีกแล้ว ครั้นพอจะกลับบ้านเพื่อนแนะนำให้ถวายเงินหลวงพ่อเราก็ไม่ถวาย

เพราะตอนนั้นไม่เชื่อถือสอนแล้วเราปฏิบัติไม่ได้จะถวายทำไมกลับบ้านดีกว่า พอถึงวันอาทิตย์ตอนเย็นใจอยากจะไปบ้านสายลมอีก ก็เลยตัดสินใจไปลองอีกที พอได้เวลาเจริญพระกรรมฐาน หลับตาภาวนาพุทโธไปได้ ๒ – ๓ ครั้ง เหน็บกินขาและปวดไปทั้งตัวเหมือนวันแรกอีก ต้องลืมตาดูคนอื่นเขาปฏิบัติกันใจก็คิดไปในทางอกุศลตลอดเวลา

เมื่อหมดเวลาเจริญพระกรรมฐานแล้วก็กลับบ้านไม่ได้ถวายเงินหลวงพ่ออีกตามเคย เอพอถึงวันจันทร์ได้เวลาเลิกจากงานกลับถึงบ้านใจอยากไปหาหลวงพ่อแล้ว ทั้งๆ ที่ตั้งใจแล้วว่าไปสองครั้งแล้วไม่ได้อะไรจะไม่ไปอีก ตอนนี้ทำไมกระวนกระวายอยากจะไปก็เลยไปบ้านสายลมอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย พอถึงเวลาเจริญพระกรรมฐานก็เป็นเหมือนเมื่อ ๒ วันแรก

และวันนี้รู้สึกว่าจะรุนแรงมากปวดร้าวไปทั้งตัวในเวลาที่เริ่มจับลมหายใจเข้า ออก และเริ่มภาวนาว่าพุทโธ ต้องลืมตาดูผู้ปฏิบัติคนอื่นเขาปฏิบัติกันจนหมดเวลา ก่อนกลับบ้านเพื่อนที่พามาบอกว่าไหนๆ ก็มาตั้งสามวันแล้วใจคอจะไม่ทำบุญกับหลวงพ่อบ้างเชียวหรือ จึงตัดสินใจหยิบเงิน ๑๐๐ บาทถือเข้าแถวเป็นร่วมจะสุดท้าย พอถึงหลวงพ่อก็ส่งเงินให้ท่าน ท่านไม่รับ

ท่านมองหน้าแล้วท่านก็ยิ้มให้ท่านพูดว่า “เป็นไงมันเมื่อยมากหรือลูก” เอได้ฟังก็ไม่แน่ใจว่าท่านพูดกับเราหรือพูดกับใครก็หันหลังไปดู พอหันกลับมามองหลวงพ่อ ท่านมองเราและพูดซ้ำว่า “เรานั่นแหละ เรานั่นแหละ” เท่านั้นพลันขนลุกซู่ซ่าไปหมดทั้งตัว และมีความรู้สึกในขณะนั้นว่ามันอยากจะส่งเสียงร้องไห้ออกมาให้สาแก่ใจว่า

เรามันทำไมถึงเลวปานนี้ที่นั่งปรามาสหลวงพ่อมาตลอด ๓ คืน เมื่อทำบุญกับท่านคืนนี้แล้ว ระหว่างนั่งรถกลับบ้านก็มาทบทวนถึงการเรานั่งปวดเมื่อยมา ๓ คืน เราก็มองไม่เห็นหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่เห็นตัวเรา แล้วท่านรู้ได้ไงว่าเราเมื่อยจนปฏิบัติพระกรรมฐานไม่ได้ พลันก็เกิดการเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมา และตั้งแต่คืนนั้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ก็อุทิศตนรับใช้และยึดถือคำสอนของท่านตลอดมา

กับทั้งยังพาบุคคลในครอบครัวเข้ามาปฏิบัติด้วย หากไม่มีเหตุบังเอิญให้ได้พบหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ไม่พบเพื่อนที่แนะนำ และมิได้ฟังคำพูดของหลวงพ่อที่พูดว่า “เป็นไงมันเมื่อยมากหรือลูก” เชื่อแน่ว่าบั้นปลายของชีวิตจะต้องลงไปท่องอเวจีทั้งขุมใหญ่ ขุมเล็กเพลินไปเลยแน่ๆ ทั้งนี้ก็เพราะเราเสื่อมศรัทธาในตัวพระสงฆ์ที่ได้พบเมื่อเวลาเดินทางไปทำงาน

เห็นพระสงฆ์รับบาตรบางองค์เดินคุยกัน บางองค์สูบบุหรี่ และบางองค์เล่นหวยกินรวบ ก็เลยไม่ทำบุญไม่ไปวัด อยู่เฉยๆ บุญไม่ทำ ทำแต่บาปอย่างนี้ถ้าไม่ลงอเวจีก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ขนาดมีหลวงพ่อคอยอบรมสั่งสอนซ้ำแล้วซ้ำเล่ายังเอาดีไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็เลวน้อยกว่าเดิมก็พอใจแล้ว ชาตินี้ลูกเป็นหนี้บุญคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาก

ดังนั้นลูกจะอุทิศกายและใจประพฤติปฏิบัติและจะช่วยเหลืองานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจนกว่าชีวิตจะดับสูญไป และจะติดตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปนิพพานให้จงได้ในชาตินี้ ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ได้โปรดประทานพรให้หลวงพ่ออย่าเจ็บอย่าไข้ ขอให้มีกำลังเพื่อลูกหลานจะได้ยึดถือปฏิบัติต่อไปนานๆ

 ll กลับสู่สารบัญ


53

ครั้งหนึ่งในชีวิต


เงิน งามขำ


สวัสดีค่ะ ท่านนักอ่านทุกท่านครั้งหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้าก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการนั่งสมาธิหรือมโนมยิทธิ เรื่องเริ่มเมื่อสมัยข้าพเจ้าอายุได้ ๑๐ ขวบ ตอนนั้น นิสัยของข้าพเจ้าก็ชอบเข้าวัดสวดมนต์ทำบุญ แต่การนั่งสมาธิก็ไม่เห็นจะเอาด้วย เพราะตอนนั้นคิดว่านั่งไปก็ไม่เห็นอะไร ก็คิดตามประสาเด็กๆ ถ้าให้นั่งอย่างเก่งก็ได้ไม่เกิน ๔ – ๕ นาที

กาลเวลาผ่านไปข้าพเจ้าก็ได้เข้ามาปฏิบัติธรรมทางสายหลวงพ่อ (วัดท่าซุง) ก็เห็นมีคนเขาบอกกันว่าการนั่งสมาธิหรือมโนมยิทธิ เขาว่าเห็นนรก สวรรค์ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่เคยคิดที่จะเชื่อแต่ข้าพเจ้าก็ไม่โต้แย้ง ถึงแม้นคุณพ่อ (อาจารย์ ยกทรง) จะฝึกได้แล้ว เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อ กาลเวลาผ่านไป ๗ ปี ในเดือนหนึ่งในปี ๒๕๓๓ ข้าพเจ้ากับคุณพ่อ

ได้นำอาหารเพลมาถวายหลวงพ่อที่ซอยสายลม บ้านเจ้ากรมเสริม เมื่อถวายเสร็จคุณพ่อก็อยู่ห้องเดียวกับหลวงพ่อ ส่วนข้าพเจ้าได้มานั่งอีกห้องซึ่งติดกับห้องกลาง เมื่อถึงเวลา ๑๒.๓๐ นาฬิกา หลวงพ่อก็นำสวดก่อนที่จะนั่งกรรมฐาน ก็มีคุณป้าคนหนึ่งได้บอกว่าคนที่ไม่ได้ฝึกญาณ ๘ ให้ไปนั่งรอข้างนอก ตอนนั้นข้าพเจ้ายังลังเลอยู่ว่าจะเอายังไง แต่เหมือนมีสิ่งมาดลใจให้อยากจะนั่งฝึกในห้องญาณ ๘

เพราะก่อนหน้านี้เคยมีครูไปสอนที่บ้านแต่ก็ไม่ชัดจะแจ้ง ทำให้วันนี้อยากจะท้าพิสูจน์ดูว่า สิ่งที่เขาเล่ากันนั้นจริงหรือเปล่า พอข้าพเจ้าและคนในห้องเริ่มทำสมาธิ ๑๐ นาทีผ่านไปครูก็มานั่งประจำที่ วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ถ้าจำไม่ผิด เป็นคุณครู พรนุช ตอนแรกคุณครูก็ให้ตัดขันธ์ ๕ ให้คิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสกปรกตายเมื่อไหร่ ขอไปนิพพาน

จากนั้นก็ขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดสงเคราะห์ให้การฝึกครั้งนี้ราบรื่นชัดเจนแจ่มใส แล้วคุณครูค่อยๆ พาจิตเคลื่อนที่ไปยังวิมานของพระพุทธเจ้า ขณะนั้นอารมณ์จิตเงียบสงบ จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน สักครู่เหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิด ภาพที่ไม่เคยเห็นก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า คือภาพพระพุทธเจ้า ทรงประทับนั่งอยู่กลางวิมานมีทางเดินตรงกลางเข้าไป คุณครูได้พาจิตพวกเราเคลื่อนไปอยู่ข้างหน้าแท่นประทับ

และให้มองพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน ข้าพเจ้ามองที่พระพักตร์ของพระองค์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา รูปทรงของพระองค์ท่านสง่างามมีรัศมีสว่างทั่วทั้งองค์ องค์ท่านทั้งองค์เป็นแก้วระยิบระยับราวเพชรที่หาค่ามิได้ ตอนนั้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาเกือบซึมไหล ไม่เสียดายชาติเกิด ที่เกิดมายังได้พบพระองค์ท่านรอบข้างของพระองค์ล้อมรอบไปด้วยพรหม เทพ เทวดา นางฟ้า

มากันเต็มวิมานทุกท่าน มาแสดงความยินดีกับลูกหลานของท่านที่ฝึกมาได้ถึงขนาดนี้ จากนั้นครูได้พาจิตไปกราบ หลวงพ่อ ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ ในวิมานของแต่ละองค์ ทุกๆ ที่ไปไม่ว่าจะเป็นวิมานไหนก็เป็นแก้วไปทุกที่ หรือเรียกว่าเป็นทิพย์ทั้งหมด หลังจากที่ได้ไปชมสถานที่ต่างๆ แล้ว ครูฝึกก็พาจิตขึ้นไปกราบลาพระพุทธเจ้า และกราบขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงได้โปรดสงเคราะห์

ลูกหลานที่ได้ขึ้นมาทั้งหมด ได้เวลาบ่าย ๓ โมง ครูให้เลิกจากสมาธิ ใครจะทำบุญกับพระพุทธเจ้าก็มาทำบุญที่ครู เดี๋ยวครูก็จะนำไปถวายหลวงพ่ออีกที ครั้งหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้าก็ได้บรรยายมาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าใครอยากจะฝึกมโนมยิทธิ ก็มาฝึกได้ที่ซอยสายลม ทุกเสาร์ – อาทิตย์ ในวันที่หลวงพ่อมาที่บ้านท่านพล อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ หรือจะไปฝึกที่วัดก็ได้ แล้วท่านจะได้พบในสิ่งที่ไม่เคยคิดฝันอย่าเช่นข้าพเจ้าได้พบครั้งหนึ่งในชีวิต

ll กลับสู่สารบัญ


54

พระคุณนั้นล้นเหลือพรรณนา


สุรีรัตน์ มหินทรเทพ (เปล่งขำ)


ข้าพเจ้าพยายามอย่างยิ่งที่จะนำประสบการณ์ทางธรรม และคุณวิเศษต่างๆ เหลือคณานับที่ได้รับจากหลวงพ่อถ่ายทอดออกมาให้ได้เป็นตัวอักษร ทั้งที่มือเจ็บอย่างมาก ตั้งใจจะเขียนวันที่ ๕ ธ.ค. เพราะเป็นวันสำคัญยิ่งของพวกเราทุกคน อีกยังจะถือโอกาสเล่าเกร็ดบางส่วนในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ของทุกพระองค์ในคราวที่มีโอกาสได้ตามเสด็จคราวแปรพระราชฐาน ยังพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ฯ

เพราะหากกล่าวถึงหลวงพ่อแล้วไม่กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ดูจะขาดตกบกพร่องไป ก็ปรากฏว่าวันนี้มือบวมมาก (วิบากกรรมนี่น่าตีนักเชียว) ต้องกินยาแก้ปวด แก้อักเสบ พันมือ กังวลก็กังวล เพราะเลื่อนนัดกับพี่เดือนฉายถึง ๗ – ๘ เดือน พี่ก็เมตตาเหลือเกินให้เวลาน้องที ๓ เดือน น้องก็ล่อซะ ๗ – ๘ เดือน พอครั้งสุดท้ายโทรไปขอเลื่อน (นึกในใจว่า คราวนี้โดนว้ากแน่) ผิดคาด

พี่เขายังกับน้ำเย็นที่ทำให้เราหายร้อนเลย บอกวันที่ ๗ ธ.ค. นะ มือเจ็บเขียนได้ไม่ดี ไม่เป็นไร พี่จะให้คนพิมพ์ดีดให้อีกที แล้วเมื่อพี่มีเมตตาเหลือเกิน จะให้ข้าพเจ้านั่งรอให้มือหาย คงไม่ทันการ ความเจ็บของเราไม่ได้แม้เสี้ยวธุลีของหลวงพ่อเวลาที่ท่านจับแผล ใครไม่รู้ ใครที่คอยจับผิด จะคิดว่าท่านตีบทแตก เวลาข้าพเจ้าปวดท้องซึ่งเป็นโรคประจำตัวเช่นกัน หามไปโรงพยาบาลทีไร ปวดใจแทบขาด

ผ้าหรือขอบกางเกงมาขมวดตรงบริเวณท้องไม่ได้เลย ขนาดนึกถึงความตายให้เป็นปกติตามหลวงพ่อท่านสอน แต่พอเวลาเจ็บขึ้นมา เวทนามันครอบงำข้าพเจ้ากลับกลัวตาย แล้วพลันนึกถึงหลวงพ่อท่านอีก ขนาดเรายังแทบขาดใจ แล้วท่านเล่าจะทุกขเวทนาเพียงใด พูดกับลูกศิษย์หรือทำเป็นหัวเราะยิ้มแย้ม แค่พูดนี่มันก็สะเทือนท้องตายเหมือนกันข้าพเจ้ารู้เพราะโรคนี้มันเป็นเพื่อนกับข้าพเจ้า

แล้วท่านทนอาการทุกขเวทนาได้อย่างไรเล่า ท่านต้องใช้มานะ อดทน อดกลั้นที่เข้มแข็งมาก มากที่สุด แล้วท่านก็ไม่กลัวด้วยไข้ความตาย ท่านจะทิ้งขันธ์ ๕ ไปเมื่อใดก็ย่อมทราบกันดีอยู่แล้ว เพราะที่ที่ท่านอยู่นั้น มันสูงมาก จนไอ้พวกเศษกรรมที่ตกค้างทั้งหลาย มันตามไปไม่ได้หรอก มันกลัวขี้หดตดหาย เรียกว่าล้างบัญชีกันไปเลย แต่ท่านก็อยู่ อยู่เพื่อคอยอบรมสั่งสอน ฉุด กระชากลากพวกเรา

ลูกๆ หลานๆ ไปให้หมด และที่สำคัญท่านรับภาระจากองค์สมเด็จฯ ด้วย ดังคำที่หลวงพ่อได้กล่าวกับ ดร.ปริญญาว่า “ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด ฉันเก็บลูกศิษย์ของฉันครบแน่” ในความคิดของข้าพเจ้านะ (ไม่เกี่ยวกับใคร) คนที่มาหาหลวงพ่อนี่มีศรัทธา ๒ ประเภท

๑. ฤทธิ์ ว่าท่านมีฤทธิ์ยิ่งเดินบนผิวน้ำนี่ข้าพเจ้าได้ยินบ่อยมาก มาหาบ้างก็พิสูจน์ บ้างก็อยากได้ฤทธิ์ตามความเข้าใจของบุคคลนั้นๆ ให้ท่านสอนฤทธิ์ให้ บ้างก็มาลองของ ฯลฯ
๒. มาเอาธรรมะ มารับคำกล่าวตักเตือนสั่งสอนลูกศิษย์ทุกครั้ง ท่านกล่าวทุกครั้งว่า ท่านนำคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านมาสอนท่านไม่เคยอวดตัว ไม่เคยยกองค์ข่มพระองค์อื่นๆ

และท่านไม่เคยหวงลูกศิษย์ ท่านมีความกตัญญูต่อองค์สมเด็จพระพุทธเจ้ามาก มีความเคารพกตัญญูต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมา และมีความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ของท่านทุกๆ องค์มากเช่นกัน ฉะนั้นในการสอนของท่านทุกครั้งๆ ท่านจะเน้นมากในความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ทั้งหลายให้ลูกศิษย์ประพฤติปฏิบัติตาม ท่านต้องอดทน อดกลั้นต่อกาการทุกขเวทนาทั้งปวงอันเกิดจากขันธ์ ๕

ประโยชน์อันใดที่จะเป็นทางพ้นทุกข์ ท่านก็จะนำมาสอนด้วยกลอุบายต่างๆ ให้ศิษย์เข้าใจตามแต่ระดับสติปัญญาต่างๆ จึงไม่แปลกเลยว่า ถ้าไปสายลมวันไหนพบท่านสอนแค่สวรรค์ ก็หมายถึงคนหมู่มากในวันนั้น เข้าใจภูมิจิตได้เพียงสวรรค์ แล้วลูกๆ ทุกคนมักพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ท่านเทศน์ทีไรจี้ใจดำทุกที ท่านรู้จิตนึกคิดและเรื่องการรู้วาระจิตนั้นข้าพเจ้าประสบกับตนเอง

นับแต่ได้มีโอกาสพบท่านครั้งแรกเลยในปี ๒๕๒๔ โน่น แต่จะยังไม่ขอกล่าวในตอนนี้ คิดว่าลูกศิษย์บันทึกจะมีเพียง ๒ เล่มคงจะไม่พอ สำหรับศิษย์ลูกๆ ทุกคนแน่ คงมีเล่ม ๓ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นข้าพเจ้าจะกล่าวถึง เมื่อบุญกุศลส่งผลมาให้เกิดเป็นมนุษย์ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้หาทางพ้นทุกข์ที่พระสวัสดิโสภาทรงปูไว้ แล้วเราจะเพิกเฉยไม่ประสีประสา ปล่อยไปตามแรงกรรมฉุดกระชากลงไปสู่ภูมิเดิมอีก

แล้วอีกกี่กัปกี่กัลป์ถึงจะได้เกิดมาอีก เกิดมาก็แน่ใจหรือว่าจะได้พบพระพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายโปรดอย่าประมาทเลย เร่งทำปฏิบัติโดยด่วน ท่านเจ้ากรรมนายเวรของเรานั้น เขาคอยจ้องมองดูเราอยู่ทุกขณะจิต ถ้าขณะใดจิตเราไม่อยู่ในบุญกุศล เขาก็รู้แล้วเราจะเอาสิ่งใดให้เขาหวั่นเกรงเล่า เพราะไม่มีอำนาจต่อรองให้เขาหวั่นเกรงเลย เขาก็เข้าครอบงำจิตใจให้ได้เกิดทุกข์ ยาก ทุกเวลานั่นแหละ

แต่หากเราพยายามปฏิบัติดีทั้งกาย วาจาใจ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อยู่สม่ำเสมอ โดยทุกขณะจิต แรกๆ ก็ค่อยๆ สะสม สร้างสิ่งดีทำไปเสมอๆ นานๆ เข้า มันก็จะเป็นอำนาจต่อรอง เป็นเพราะกำบังจากหนักเป็นเบา หรือบางทีก็อโหสิกรรมกันไปเลย ญาณและปัญญามีในบุคคลใดบุคคลนั้นย่อมใกล้พระนิพพาน ข้าพเจ้าแปลกใจมาก พระองค์อื่นๆ ใช่ว่าท่านไม่ดี

แต่ข้าพเจ้าฟังท่านเทศน์ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าพเจ้าจะไม่เข้าใจเลย แทงไม่ออกมันตัน เป็นอย่างนี้ทุกองค์ แต่ถ้าเป็นหลวงพ่อ เวลาท่านสอนอะไรก็ตาม เหมือนเอากะลาที่คว่ำนั้นหงายออก เข้าใจซึมซับไปเสียทั้งหมด บางทีคนอื่นไม่เข้าใจ แต่ข้าพเจ้ากลับเข้าใจ แล้วกลัวด้วยนะคะ เวลานั่งใกล้ๆ ท่านนี้ จะไม่กล้าสบตา เวลาท่านมองมา มันปล๊าบไปหมดตั้งแต่หัวถึงเท้า (เขาเรียก “วัวสันหลังหวะ” น่ะ)

เวลาท่านถามมีอะไรจะถามมั้ย ข้าพเจ้าก็จะตอบว่า “ไม่มี” ตลอด บางทีเตรียมคำถามไปจากบ้าน พอไปถึงวัด ท่านรับแขกเสร็จ ท่านก็จะหันมาทางข้าพเจ้าแล้วถามว่า “มีอะไรถามมั้ย” ข้าพเจ้าก็ตอบเหมือน พ.ศ.๒๕๒๔ คือ “ไม่มีค่ะ” มีใครเป็นอย่างนี้บ้างมั้ย ยิ่งมาสายลมนี่ จะไม่กล้าเข้าไปนั่งใกล้ๆ เลย กลัว...มีความรู้สึกว่า เราเกเร เป็นลูกที่เกเรมาก โดยพ่อดุเป็นประจำ ไม่ค่อยประพฤติดีเหมือนพี่ๆ เขา

มันฝังจิตฝังใจมาตลอด จนเกิดเหตุเศร้าในชีวิต ก็ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ นี่ล่ะ ท่านเมตตามาก มากสุดคณานับ นับแต่นั้นมาความกลัวก็หาย เหตุนั้นก็คือ

เมื่อสุนัขตาย
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของไม่เที่ยง แล้วก็อนัตตา ครั้นเราเอาจิตเข้าไปยึดถือไว้ ความทุกข์มันก็เกิด ความเสียใจ เสียดายเกิดขึ้น เพียงเพราะเราไม่รับนับถือกฎของความจริง ดังเช่นข้าพเจ้านี้ รักสุนัขมาก ไม่ใช่แต่ของตัว หมาขี้เรื้อนมันมาตกท่อ (สูงเมตรกว่า) หน้าบ้าน ข้าพเจ้าก็ยังช่วย ทั้งๆ ที่หัวเราก็จะทิ่มตกลงไปในท่อด้วย สัญชาติญาณ มันกลัวข้าพเจ้าจะทำร้าย

ทั้งๆ ที่ตามเนื้อตัวมันบาดเจ็บหลายแห่ง ข้าพเจ้าต้องพูดปลอบประโลมแม่อย่างงั้น แม่อย่างงี้ นะลูกนะ ถ้าลูกไม่ส่งขาให้แม่ก็ช่วยดึงขึ้นมาไม่ได้ แปลก มันฟังรู้ พอมันแน่ใจว่าข้าพเจ้าช่วยมันแน่ มันก็ร่วมมือ ความรักสัตว์นี้มีต่อ “เจ้าติ่ง” เต่าของหลวงพ่อที่ได้มาจากญี่ปุ่นด้วย ทุกๆ วันตอนอยู่วัด ข้าพเจ้าจะเดินไปซื้อผักบุ้งนอกวัดมาให้มันกิน และเลี้ยงตัวอื่นๆ ด้วย ก็อย่างที่รู้ “เจ้าติ่ง” นี้เชื่องมาก

เวลาไปหาเรียก “ติ่งเอ้ย” ไม่กี่คำ มันก็จะโผล่หัวขึ้นมาหา เมื่อสนิทสนมกันมากๆ เข้า ข้าพเจ้าก็ชอบเอานิ้วใส่ปากให้มันกัด จะดูว่าฟ้ามันจะผ่ามั้ย และนิ้วขาดเหมือนโบราณพูดกันไว้มั้ย ก็ไม่เห็นมันกัดอะไรเลย ครั้งหลังๆ ไปหาเจ้าติ่งไม่เจอแล้ว มีแต่ตะพาบเต็มไปหมด ถึงเจอก็คงไม่กล้าเอานิ้วแหย่ปากเหมือนก่อนแล้ว (ฮิๆ) แต่ไม่ใช่ข้าพเจ้าจะรักสัตว์ขนาดเอา กิ้งกือ หนอน มากอดนะ ไม่ใช่ กลัว แขยง

เหมือนผู้หญิงทุกคนนั่นแหละ ครั้นมีสุนัข (หมานะ เรียกง่ายดี) หมาตัวนี้ สามีข้าพเจ้าซื้อมาให้ ก็รักผูกพันกันมาก นอนด้วยกัน ไปไหนก็เอาไปด้วย มาเป่ายันต์เกราะเพชรก็ยังเอามาด้วยเลย ทิ้งไว้บ้านก็ไม่มีใครดูเอามาด้วย พระที่วัดท่านก็เมตตาไม่ว่าอะไร เมื่อไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ เมื่อเช้าวันที่ ๔ มิถุนายน เด็กหน้าตาตื่นมาบอก โอโจ้ถูกรถชน ข้าพเจ้าก็ยังมีสติอยู่รีบไปสอบถามได้ความว่า

เขาตามรถสามีไป (เขาดื้อ ชอบแอบตามสามีเวลาไปทำงานเสมอๆ) ถูกรถปิคอัพชน พยายามคลานมาจะให้ถึงบ้าน (ซึ่งมันไกลมากจากจุดที่ชนมาบ้าน) แต่มีชาวอิสลามแกจำได้ว่าเป็นหมาที่บ้านจึงนำไปเช็ดเลือด เช็ดแผล ให้นอนพักที่บ้านแกก่อน แล้วแกก็เดินมาถามที่บ้าน ครั้งแรกที่เห็นโอโจ้ หมอที่คลินิกก็ว่าต้องไปคลินิกใหญ่ที่มีห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าก็รีบไป เอ๊กซเรย์ ผลออกมาหมอบอกกระดูกสันหลัง

หักเป็นอัมพาตตลอดชีวิต สมองข้าพเจ้าเริ่มขาดสติ คิดว่าที่นี่รักษาไม่ได้ ไปที่อื่นก็ได้ ทางหมอเขาก็ให้ข้าพเจ้าลองโทรไปที่จุฬา หรือเกษตรก็ได้ ผลจะตรงกับที่เขาบอก ไม่ช้าข้างในเริ่มเน่า กระดูกที่หักก็จะทิ่มแทงปอด อวัยวะภายใน เขาจะทรมานมากไม่ช้าก็จะตายไป ตอนนั้นข้าพเจ้าเหมือนคนบ้า ขาดสติพิจารณา คิดว่าหมอรักษาไม่หาย ไม่เป็นไร เอาไปให้พระรักษาก็ได้

พระองค์นี้เคยรักษากระดูกที่ขาของข้าพเจ้าหาย ท่านมีชื่อเสียงทางด้านรักษาพวกโรคกระดูก ถนนทางเข้าวัดยังไม่เจริญ (อยู่ต่างจังหวัด) ยังเป็นดินลูกรัง กลับจากคลินิกในวันนั้นข้าพเจ้าก็ขับรถพาหมาไปหาพระเลย ก่อนไปก็แวะเอาลูกชายซึ่งตอนนั้นยังไม่ถึงขวบ แวะไปฝากเนิสเซอรีเลี้ยงสัก ๒ – ๓ ชั่วโมงก่อน คนที่เนิสเซอรี่ยังแซวข้าพเจ้าเลยว่า รักพี่มากกว่าน้อง

ข้าพเจ้าให้สุนัขของข้าพเจ้านอนเบาะหลังกับเด็ก ต้องค่อยๆ ขับไม่ให้เขาปวดเวลากระดูกมันแทงอวัยวะภายใน ก็พอดีกับทางเข้าวัด ๒ กม. มันเป็นดินลูกรัง หลุมบ่อใหญ่ๆ สงสารเขามาก ไปถึงวัดก็เกือบ ๒ ทุ่มแล้ว ความที่รีบข้าพเจ้ารีบเปิดประตู บอกพระที่ผ่านไปมาแถวนั้นว่า “หลวงพ่ออยู่ที่ไหน” พระท่านก็บอกว่า “หลวงพ่อจำวัดแล้ว” ข้าพเจ้าก็อ้อนวอนขอพบหลวงพ่อด่วน

บอกลูกชายข้าเจ้าถูกรถชนกระดูกหัก หมอที่ไหนก็ไม่รักษามีที่สุดท้ายก็หลวงพ่อเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งสุดท้าย พอพระท่านได้ฟังท่านก็ตกใจ รีบบอก “โยมไหนลูกชาย รีบพาไปหาหลวงพ่อได้เลย อาตมาจะไปเรียนท่าน” อารามที่ข้าพเจ้าตกใจและขาดสติจึงไม่ได้เรียนท่านครบถ้อยคำว่า ลูกชายที่ว่านั้นคือหมา จึงปลกใจที่ทำไมพอเราให้เด็กอุ้มหมาออกมา พระท่านที่ยืนจึงทำหน้าพิกลๆ

(ตอนที่นึกถึงทีไร ก็นึกอายทุกครั้งในท่าทางของเรายิ่งกว่าเสือบวกจระเข้ที่หวงลูกอีก) พอพบหลวงพ่อท่านก็บอกเขาหมดอายุ แต่ท่านก็นวดน้ำมันที่หลังให้ด้วยความเมตตา กลับจากวัดก็ ๔ ทุ่มมาแวะรับลูกชายคนเล็ก สมองข้าพเจ้าอื้ออึงทึบไปหมด นึกคิดอะไรไม่ออก อยากถามหลวงพ่อก็ต้องรอตอนท่านมาสายลมในต้นเดือน ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้น โอโจ้ก็คงตายแล้ว

นี่ข้าพเจ้ากำลังจะหยุดความตาย เหวอ...ใช่แล้วคะ เพราะไปยึดในขันธ์ของเราและของผู้อื่น จึงไร้ปัญญาเช่นนี้ ถ้าหากไม่ได้หลวงพ่อท่านเมตตาแล้ว ข้าพเจ้าคงคุมแค้นเจ้าของรถกระบะคันนั้นอย่างสุดขีด ยากจะอภัย ข้าพเจ้าเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างปากซอย ซึ่งเป็นหัวโจกคุม ด้วยความแค้นสั่งเธอว่าให้จด ก.ท.รถ กระบะสีเขียวทุกคันที่วิ่งเข้าออกซอย และใครพบเห็นเหตุการณ์มีรางวัลให้อย่างงาม

นี่ข้าพเจ้าเป็นไปได้ขนาดนี้ น้ำตาไหลทุกครั้งที่เห็นลูกชายเจ็บปวด ทุกเย็น เธอเคยวิ่งนำหน้าเวลาข้าพเจ้าเอาน้องใส่รถเข็นไปเดินเล่นหน้าบ้าน ข้าพเจ้าแค้นมาก อยากต่อยหน้ามันที่ขับรถชนแล้วหนี อยากทำมากกว่าต่อยด้วยใจมันแค้น เพราะปกตินิสัยข้าพเจ้าก็ไม่เหมือนผู้หญิงอยู่แล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นคือเอาน้ำมนต์หลวงปู่ปานมาคอยนวดให้ เอาสร้อยเชือกแดงของหลวงพ่อมาสวมคอให้

เวลานอนก็เอาพระรูปองค์หลวงปู่และหลวงพ่อมาให้เธอนอนดู แถมเปิดเทปสมาทานพระกรรมฐานให้ฟังทุกวัน พอฝนตกก็ต้องคอยระวังโรคแทรกอย่างปวดบวม ข้าพเจ้าพยายามให้เธอรู้ว่า แม่นั้นรักลูกเสมอไม่ว่าลูกจะเป็นเช่นไร สุนัขที่เป็นเพื่อนเขาก็มาเยี่ยม เวลาต่อหน้าข้าพเจ้า เธอก็พยายามจะเดินให้ได้ ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้นะว่า เธอยืน คิดว่าเธอมีโอกาสหายแม้เป็นอัมพาตก็ไม่เป็นไร

ขออย่าให้เธอตายจากเลย มีใครบ้าได้เท่านี้มั้ย เพราะเห็นอาการเธอดีขึ้นหลังจากทาน้ำมนต์หลวงปู่ปาน จึงพาเธอไป ร.พ.จุฬา หมอพอดูฟิล์ม เอ๊กซเรย์ ปั๊บก็ส่ายหัว บอกว่าไม่นานเธอก็ตาย แต่ช่วงที่ยังไม่ตายนี้เธอทรมานมาก มีวิธีเดียวที่จะช่วยให้เธอไปสบายคือ ฉีดยาให้ตาย ข้าพเจ้าก็ตอบหมอว่า “ขอกลับไปคิดดูก่อน” ข้าพเจ้าตอบแค่นี้หมอก็งง ข้าพเจ้ากลัวว่าหมอจะงงไปกว่านี้

ก็เลยไม่พูดต่อก็ร้องไห้กลับบ้าน วันรุ่งขึ้นคิดว่าไปไอ้ที่จุฬามันอาจไม่เก่ง ลองไปที่เกษตรดีกว่า แต่คราวนี้ให้สามีเธอพาไป ข้าพเจ้าไปเองกลัวผิดหวังอีก พอสามีกลับมา ข้าพเจ้าก็รีบวิ่งไปรับเห็นโอโจ้เดินเหินโดยใช้ขาหน้าอย่างคล่องแคล่ว แถมหน้าตาก็สดชื่นอีกด้วย ก็ดีใจว่าลูกเราคงได้รับข่าวดีแน่แล้ว แต่พอสามีบอกว่า

“หมอบอกว่าเธอเจ็บปวดมาก เพราะกระดูกที่หัก ได้ทิ่มแทงอวัยวะข้างใน จนเน่าหมดแล้ว แต่เธอทน เธอยืนเพื่อให้เราเห็นว่าสบายดี” หมอยังกำชับให้เราคอยให้ยาแก้ปวด ข้าพเจ้าโกรธสามีว่าเธอโกหก ทุกๆ คนต้องการให้ลูกข้าพเจ้าตาย แต่พอคลายสติก็เห็นว่าสามีข้าพเจ้านั้นก็รักเฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้ารัก อีกทั้งเป็นคนเอามาให้เองด้วย แล้วเธอยังบอกว่า

ถ้าไม่เชื่อให้ไปถามหมอเองได้เลย ตอนนั้นก็เลยคิดว่ากว่าจะรอหลวงพ่อมาสายลมก็คงไม่ไหวเสียแล้ว ทั้งๆ ที่มาแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้ท่านช่วยอย่างไร แต่มันก็นึก...นึก..นึกถึงแต่ท่าน จนวันนั้น อดรนทนไม่ไหว โทรทางไกลไปหาท่านที่วัด (ซึ่งกิริยาแบบนี้จะไม่เคยทำเลย) แต่สมองมันทึบ มันตื้อหมด รู้อย่างเดียวว่า อยากพบ อยากพูดกับท่านคงจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ก็ตัดสินใจฉับพลันโทรไป

ทางโน้นเจ้าหน้าที่รับสายบอกให้ฝากบอกไว้แล้วจะเรียนหลวงพ่อให้ทราบอีกที ข้าพเจ้ากำลังพูดอยู่ พลันก็มีเสียงเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา มันเป็นความรู้สึก ที่อธิบายไม่ถูก แต่เสียงนั้นมีพลังอำนาจพอที่จะหยุดความคิดสับสนทั้งมวลลงได้ ด้วยประโยคที่ว่า “

อ่านมาก รู้มาก แล้วทำไมไม่นำมาปฏิบัติเล่า อยากไปนิพพาน มันเอาอะไรไปไม่ได้นะ แม้แต่เส้นผมเส้นเดียว นี่ขนาดหมาตายตัวเดียว ยังเสียใจขนาดนี้ หากลูก หากผัว เล่าจะขนาดไหน แล้วจะไปนิพพานได้อย่างไร อ่านมาก รู้มาก ถึงเวลาทำไมไม่นำมาใช้ นี่แหละ แค่ทดสอบนะ หากอยากไปนิพพานแล้ว ต้องตัดหมดผมเส้นเดียวก็เหลือไม่ได้”

พอวางหูแล้วข้าพเจ้าโล่งหัวกระบาลไปเลย เหมือนกะลาที่คว่ำอยู่แล้ว ถูกหงาย ก็คิดตามว่า เออ จริงเนอะ เจ้าหน้าที่ที่รับสายทางวัดพูดถูกจริตเราแฮะ แต่พอนึกย้อน เอ๊ะ แล้วไอ้ตรงประโยคที่เริ่มด้วย “อ่านมาก รู้มากแล้วทำไมไม่นำมาปฏิบัติเล่า” เสียงมีอำนาจประหลาดๆ แต่ เอ๊ะ เขารู้ได้ยังไงล่ะ ว่าเราอ่านมาก รู้มาก (แต่ไม่เอาถ่าน) เอ ไอ้ของอย่างนี้

การปฏิบัตินี่มันอยู่ที่จิตข้างใน แล้วเขารู้ เขาพูดถูกได้ยังไง ก็แปลกใจมาก แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ขณะนั้นอกุศลกรรมที่ครอบงำจิตใจอยู่เป็นนาน ก็เกิดปัญญาสว่างไสว ดำเนินในทางที่ถูกด้วยคุณของพระรัตนตรัย ความคุมแค้น อาฆาตก็สลายไป มีแต่เมตตา และอโหสิ มันเกิดขึ้นได้ก็จากปัญญาซึ่งรู้เท่านั้นมันก็จากคำพูดประโยคเดียว ดังที่กล่าวไปแล้ว

ครั้นพอต้นเดือนหลวงพ่อมา ข้าพเจ้าก็มาถวายสังฆทานให้เธอซึ่งตายไปแล้วและพอถวายเสร็จ ข้าพเจ้าก็หยิบรูปภาพหมาของข้าพเจ้าที่ถ่ายครั้งยังมีชีวิตอยู่ให้พี่นักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งดู ที่ท้ายสุดห้อง พลันก็ได้ยินหลวงพ่อท่านพูดว่า “อย่าเศร้าโศกเสียใจไปเลยลูกเอ๊ย” ข้าพเจ้าหันผลึงมองไปที่องค์ท่านก็พบท่านมองมาที่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเข้าใจ

แต่ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก แม้แต่จะไหว้ท่านก็ไม่ไหว้กลัวคนรู้ว่า ประโยคนี้หมายถึง เรา ข้าพเจ้าเดินใจลอยกลับบ้านเลย ตื้นตันมาก กลับบ้านเลย อยู่ต่อกลัวท่านกล่าวปลอบอะไรอีก กลัวตัวเองเดี๋ยวร้องไห้ออกมา อายเขา ความเมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อลูกๆ หลานๆ นั้น มันมากมายเกินพรรณนาเหลือเกินค่ะ แม้ความรู้สึกนึกคิดเพียงนิดเดียว ท่านก็ไม่ละเลย

ความเมตตาของท่านหาที่สุดประมาณได้ วันรุ่งขึ้นไปสายลม นั่งฟังท่านเทศน์ ท่านก็เทศน์เรื่องสุนัขที่ตายแล้วเกิดไปเป็นเทวดา ท่านเทศน์ พยายามทุกอย่างให้จิตคลายกังวลอีก เพราะตอนนั้น คิดกังวลอีก เอ๊ะ เขาไปเกิดที่ไหน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านเมตตาอนุเคราะห์นะคะ ตอนที่จะร่วมสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็เอาทองของข้าพเจ้ากับแหวนที่สามีหมั้นครั้งแรกที่รักกัน

ซึ่งเธอก็อนุญาต มาร่วมเททองด้วย ตอนถวายคนก็เยอะ คนก็แน่น อย่างที่เราๆ ทราบกันดี ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดอะไร คืนนั้นกลับมา หลวงพ่อก็ไปหาข้าพเจ้าในนิมิต กล่าวอะไรกับข้าพเจ้า ๒ – ๓ ประโยคเกี่ยวกับการถวายทองในวันนั้น (แต่จะไม่ขอกล่าวในที่นี้) ท่านไปหาข้าพเจ้าในสภาพที่ป่วยมาก รู้สึกตื้นตันไม่ว่าจะทำ จะคิดอะไร ท่านไม่เคยทอดทิ้งข้าพเจ้าเลย

แม้แต่การปฏิบัติอารมณ์ในกรรมฐาน หากวางอารมณ์ได้ถูกต้อง ท่านก็ต้องไปปรากฏในนิมิต สอนแนะนำทุกครั้ง ซึ่งการไปปรากฏของท่านใช่ว่าจะได้พบท่านบ่อยๆ ก็เปล่า พี่ๆ ที่ได้ มโนมยิทธิ เขาก็เห็นหลวงพ่อได้ตลอด ส่วนข้าพเจ้านั้นมันเต่าตุ่น แถมวิบากกรรมจำพรากให้ได้อยู่ห่างหลวงพ่ออีก ทั้งๆ ที่ไม่มีโซ่ตรวนมาล่ามขา ข้าพเจ้าก็มิได้อยู่ปฏิบัติสนองคุณและช่วยงานหลวงพ่อดังเช่น พี่ๆ ทั้งหลาย

ฉะนั้นการปฏิบัติของข้าพเจ้าจึงต้องศึกษาจาก “ธัมมวิโมกข์” ซึ่งเปรียบเสมือนขุมทรัพย์คลังปัญญา ลองผิดลองถูกซึ่งแม้อยู่ไกลแสนไกล และไม่ได้นึกถึงท่านเลยในตอนนั้น ตอนแรกก็งง (โง่ซะมากกว่า) เอ๊ะ เราคิดอารมณ์แบบนี้จะเข้มข้นจริงจังแค่ไหน มันก็อยู่ในใจเรานี่หว่า แล้วท่านก็อยู่ที่วัดท่าซุง เราอยู่พระโขนง แล้วท่านรู้ได้ยังไง การปรากฏของท่านจะต้องมีเหตุสำคัญๆ เท่านั้น

อย่างคราวโดนคนญวนทำคุณไสยราวปี ๒๔ หรือ ๒๕ นั่นของตกใส่หลังคาบ้าน ๒ คืนติดๆ กัน พอคืนที่ ๓ ท่านก็เมตตาให้เห็นหน้าคนทำ และให้เอายันต์หลวงปู่ปานป้องกันไว้ นี่ขอพูดเพียงย่อๆ เพราะยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมาก ซึ่งเกิดจากพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ และสังฆานุภาพ จากหลวงพ่อแท้ๆ แต่ตอนนั้น จิตไม่รับรู้ทางธรรมสักกะพี้ (เลยโดนแค่เบาะๆ ก็อ่วมอรทัยดีเหมือนกันค่ะ)

เจอยันต์เกราะเพชรสุนัขกัดไม่เข้า
ไหนๆ ก็พูดถึงหมาแล้วก็ขอเล่าเรื่องหมาอีก ๒ เรื่อง ดังที่เคยกล่าวในตอนต้นว่าได้เอาหมาเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรด้วย ในปี ๒๕๒๗ ขณะนั้นสามีประจำอยู่โรงพักลุมพินี แล้วละแวกนั้น ก็มีหมาอันธพาลจอมเกเรอยู่ ๑ ตัว ได้เที่ยวไล่กัดคนเขาไปทั่ว จนเจ้าของเดือดร้อนมากต้องนำไปล่ามไว้ นานๆ ก็ปล่อยซะที เพราะความสงสารมัน ซึ่งเราก็เข้าใจนะ ทีนี้บังเอิญ คืนหนึ่งซัก ๔ ทุ่มแล้วนะ

ประมาณเอาก็ลงมาซื้อก๋วยเตี๋ยวทานกัน ๒ คน ทุกทีสามีจะเป็นคนลงมาซื้อ วันนั้นอย่างไรไม่รู้ข้าพเจ้าอาสาลงมาเอง (ที่พักมันเป็นแฟลต) ในตัวข้าพเจ้ามันมีกลิ่นหมาติดแน่ๆ หมาด้วยกันมันย่อมดมกลิ่นออก พอพ่อจอมเกเรเห็นเท่านั้นแหละ ท่านไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรเลย ท่านตรงรี่เข้ามากัดข้าพเจ้า งับที่ข้อขา (ตรงเส้นเลือดใหญ่ด้วยนะ) อย่างไม่ทันตั้งตัว ข้าพเจ้าก็ช็อคนะซิ

ช็อคของข้าพเจ้าคือเงียบ คนโน้นคนนี้ ก็ร้องโว้ยว้าย ข้าพเจ้าเงียบ (ที่เงียบนะช็อคน่ะ) รู้สึกถึงแรงกดของเขี้ยวที่ข้อขาได้เป็นอย่างดี (เขี้ยวนะใครจะไม่รู้สึกใช่มั้ย) สัก ๒ นาทีมันก็คลายเขี้ยวออกเฉยๆ แฮะ ข้าพเจ้าก็งง (แต่มันจะงงด้วยรึเปล่าไม่รู้นะลืมถามมันไป) พวกแม่ค้าก็พากันอาสาจะมาส่งข้าพเจ้าบนห้อง ข้าพเจ้าฝืนยิ้ม บอกไม่เป็นไร กลับเองได้ แต่จำได้แม่น ข้าพเจ้าเดินร้องไห้ จากชั้น ๑ ยันชั้น ๔

จนถึงห้องพัก แฟนดูแผล เห็นเป็นรอยบุ๋มของเขี้ยวชัดเจน แจ่มใส เธอก็จะให้ไปฉีดยากัน ข้าพเจ้าก็ไม่เอา ก็ถ้าฉีดก็ตั้ง ๑๔ เข็มแน่ะ เรื่องอะไรจะไปฉีด ก็เขี้ยวมันไม่เข้านี่นา รุ่งเช้าเดินไปที่ไหนก็รู้กันทั่ว ตั้งแต่นายสิบยันสารวัตรว่า ข้าพเจ้าถูกหมากัด (เติมให้เสร็จ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันกัดใช่ แต่ไม่เข้าจ๊ะ) ส่วนอีกหมา นี่เหตุการณ์อยู่ในปี ๒๕๓๑ ตอนนี้ท้องได้ ๔ – ๕ เดือน หรือ ๖ เดือนราวๆ นี้แหละ

ตอนนี้การปฏิบัติอะไรทางธรรมแจ่มชัดขึ้นมาหน่อย จิตมันคุมสมาธิตลอดโดยการภาวนาพุทธะมะอะอุ ฯลฯ บ้าง สัมปะติจฉามิ บ้าง จิตที่ถูกควบคุมให้อยู่ในสมาธินี่ จะต่างกับจิตที่เราปล่อยมันตามสบายนะ มันมีข้อเปรียบเทียบดังตัวอย่างนี้ ตอนนั้นเด็กที่บ้านมักบ่นให้ฟังเสมอๆ ว่า “เวลาไปซื้อของถูกหมาบ้านนี้ ๕ – ๖ ตัว วิ่งไล่กัด เขี้ยวคมด้วย” ข้าพเจ้าก็บอก “มันไล่กัดเราก็ปั่นจักรยานหนีซิ”

เธอก็บอก “ขนาดปั่นมันก็ยังมากัดที่ขาเลย บางทีมาทั้งกลุ่ม” เธอก็ให้ดูแผลนะ ก็ไม่ติดใจอะไร แต่ฟังหนักๆ เข้าทุกวัน ก็อยากเห็นจัง เอ..ไอ้เจ้าพวกนี้มันพันธุ์อะไรนะ เย็นวันหนึ่งให้เธอไปซื้อของแล้วบอกว่าจะยืนรอเธอเป็นเพื่อน ซึ่งหากหมากัดเธอจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่า จะช่วยเธอยังไง คิดตอนนั้นแต่ว่าจะยืนให้กำลังใจเธอ ที่นี้ยืนคอยเธอ เธอก็ไปนานซักหน่อย เลยค่อยๆ เดินเรื่อยๆ จากบ้านมา

ซึ่งตอนนั้นทุกขณะจิตถ้าว่างจากพูดคุยกับใคร จะภาวนาตลอด (ขณะพูดอยู่ยังกำหนดภาวนาไม่ได้) ก็เดินผ่านมาได้สัก ๑๐ เมตรกว่า ก็เห็นหมาตัวเล็กๆ เตี้ยๆ ดำๆ เขี้ยวแหลมเล็กๆ ๕ – ๖ ตัว หรือกว่านะ เพราะก็ฝูงใหญ่เหมือนกัน เห่าข้าพเจ้าใหญ่พยายามลอดรั้วบ้านออกมา ข้าพเจ้าหันไปมองตามเสียงเห่าก็เห็นมันกำลังตะเกียกตะกายลอดออกมา ก็มองด้วยความตลก นึกว่าช่างซนกันนัก

ซึ่งความรู้สึกอันนี้มันกลายเป็นความเมตตาไปโดยเราไม่รู้แทนที่จะโกรธหรือกลัว กลับเอ็นดูในความซนของมัน เลยไม่ทันรู้ตัวว่า พวกหนุ่มๆ หมาทั้งฝูงวิ่งกวดข้าพเจ้าตามมาสุดฝีเท้า ตอนนั้นภาวนา “สัมปติจฉามิ” ตลอดตั้งแต่เช้า จนขณะนั้น เย็น ก็ยังภาวนาไปปกติ ก็เอ๊ะ ได้ยินเสียงวิ่งตามอยู่ข้างหลัง ก็เลยหันหลังมามอง ในตอนนี้หละที่รู้ว่า มันวิ่งกันสุดฝีเท้าก็เพราะ ฃ

พอข้าพเจ้าหันไปมอง (ขอเน้น “มองเฉยๆ” นะ) พวกมันทั้งกลุ่มเบรคกึ๊ก หันหลังหางจุกตูดวิ่งหนีเข้าบ้านไปเลย แถมร้องอีกด้วย ข้าพเจ้าก็สงสารนะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่มองเฉยๆ นึกได้ ขณะนั้นกำลังภาวนา “สัมปติจฉามิ” อยู่ เลย อ๋อ อย่างนี้นี่เองอยากให้คนอ่านนึกภาพเห็นตอนมันเบรก ร้องอิ๋งๆ จังเลย มันตลกและน่าสงสาร ซึ่งในข้อนี้อยากเปรียบเทียบให้อ่านในเรื่องของสติ

หากเรารู้เท่าทันและคุมมันไว้ได้โดยการหางานให้มันทำ จะภาวนาอะไร บทพุทธคุณ บทไหน ได้ทั้งนั้น มันจะเป็นพลังลึกลับที่สะสมไว้ได้มากน้อยก็ตามแต่ผู้สะสม เปรียบดังนักมวยที่หมั่นฝึกซ้อม ย่อมมีพละกำลังที่แข็งแรง พร้อมที่จะน็อคคู่ต่อสู้ได้ตลอดเวลา ข้าพเจ้าตอนนี้ ปัจจุบันที่กำลังเขียนนี้ไม่ได้คุมสติ หรือคุมก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร ผลคือเวลาขี่จักรยาน ลูกก็นั่งซ้อนด้านหน้า พอเจอหมาเป็นฝูง

ยิ่งตัวใหญ่สัก ๒ – ๓ ตัว มันวิ่งไล่กัด ขานี้สั่นแล้ว อิติสุคะโต พุทธะมะอะอุ หลวงปู่ปาน, หลวงพ่อสด ก่อนหลังปนกันหมด หลังงี้เสียววาบๆ ว่ามันตามอยู่อีกมั้ย มันใกล้จะกัดขาเรามั้ย จิตมันขาดสมาธิก็เป็นอย่างนี้แหละ แต่คาถาทุกคาถาที่หลวงพ่อท่านมอบให้ลุกหลานและศิษย์ทุกคน ท่านได้มาจากองค์สมเด็จฯ ฉะนั้น ขอยืนยัน นอนยัน นั่งยันด้วยเอ้า ว่าหากท่านนำไปใช้ด้วยความเคารพ ผลนั้นประมาณมิได้จริงๆ

โปรดติดตามอีก หนึ่งตอน


 ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 17/5/12 at 13:25


พระคุณนั้นล้นเหลือพรรณนา


สุรีรัตน์ มหินทรเทพ (เปล่งขำ)


หลวงพ่อสดให้คาถากันแมลงสาบ
ในตอนแรกข้าพเจ้าก็แปลกใจว่าทำไม่หลวงพ่อสดมาเกี่ยวพันอย่างไรกับวัดท่าซุงด้วย จนมาอ่าน “ประวัติหลวงพ่อปาน” ถึงได้รู้ว่า หลวงพ่อสดท่านเคยเป็นอาจารย์ให้กับหลวงพ่อของเรา มิน่า ตอนไปอยู่วัดครั้งที่ ๒ (คือไปบวชอยู่หลายวันหน่อย ไม่ใช่ไปเช้ากลับเย็น เหมือนดังทุกครั้ง) ข้าพเจ้าเป็นคนที่กลัวแมลงสาบมาก แล้วในคืนที่ ๒ ต้องมานอนคนเดียวไอ้เราก็กลั๊ว...กลัว

นอนไปก็คิดว่าถ้าเกิดนอนนอนไปแล้ว เกิดมองไปเห็นคนจะหญิงหรือชายก็ตาม เดินลงกระไดมาจากข้างบนละ จะทำอย่างไง (จำชื่อไม่ได้ บ้านไม้ใกล้ศาลานวราชนะคะ) ไหนจะกลัวผี ไหนจะแมลงสาบตัวโป้งๆ ทั้งน้านเลย ทั้งที่หลวงน้าวัชรชัยท่านก็สอนแล้วน้า ว่าถ้าพบเห็นจะเสียงหรืออะไรก็ตามให้รู้ว่านั่นนะเทวดา เพราะภายในบริเวณใกล้ๆ โบสถ์นั้น เทวดาท่านคุ้มครองหมด

แล้วคนอื่นเขาจะเจออย่างเรามั้ยก็ไม่รู้ คนยิ่งกลัวก็ยิ่งเจอ ตอนเด็กๆ เวลาอาบน้ำเสร็จขึ้นบ้าน บ้านมัน ๒ ชั้น ข้าพเจ้าต้องหันหลังขึ้น ยิ่งรู้ข่าวว่าบ้านไหนซึ่งอยู่ใกล้ๆ เรามีคนตาย เวลาอาบน้ำต้องตักน้ำรดหน้ายังไงก็ตาม ตาจะไม่ยอมกะพริบซักแป๊บเลย ด้วยกลัวว่าถ้ากะพริบตาเมื่อไหร่ผีมันจะมาหลอก พอโตมามันก็ชอบเจอเรื่อยๆ เป็นกระสายยา ยิ่งตอนนั้นยังท่องคาถาของหลวงพ่อไม่ได้นี่

สู้ผีมันไม่ไหว กำลังใจเราไม่ดีด้วย ยิ่งมาต้องนอนคนเดียวในห้องพักซึ่งใหญ่มาก แถมมีชั้นบนอีก จะเดินไปทางไหนของห้องก็พบแต่แมลงสาบ มองขึ้นไปชั้นบนก็เสียววาบๆ ทั้งตัว แล้วมันก็ได้เรื่องจนได้ จะเปิดไฟก็ไม่ได้ เพราะต้องช่วยกันประหยัดไฟให้วัด สัก ๔ ทุ่มได้ ข้างขวาของข้าพเจ้า เหมือนมีคนนอนข้างๆ เพราะส่งเสียงกรนสนั่นหวั่นไหว ฟังปั๊บก็จำได้ปุ๊บว่าเสียงกรนของใคร

ที่ว่าเหมือนก็เพราะข้าพเจ้าไม่กล้าแม้แต่ชำเลืองหางตาไปมองทางขวามือข้างๆ ที่นอนข้าพเจ้า เพราะแค่ได้ยินเสียง “กรน” ดังขนาดนี้ ข้าพเจ้างี้นอนตัวแข็งมันวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า เอามือสานกันที่หน้าอกคอยกุมหัวใจไว้ มันเต้นตุ๊บๆ แรงมาก เพราะเสียงกรนนี้ ข้าพเจ้าจำได้ถนัดหู เพราะฟังมาช้านาน เสียงกรนของ “แม่” ข้าพเจ้า

ที่ต้องนอนตัวแข็งก็เพราะแม่ข้าพเจ้าตายได้ ๓ – ๔ ปีแล้ว แฮะๆ จะว่าแม่ล้อเล่นก็ไม่น่าทำลูกนา จะว่าแม่ห่วงลูกก็ไม่น่าแสดงออกในขณะนี้ จะว่าตามมาโมทนา เฮ้อ ก็ไม่น่าตามมาถึงนี่ แน่แล้วต้อง เทวดา นั่นแหละ ทำโทษข้าพเจ้า แต่ตอนนั้นจะแม่หรือเทวดา ท่านก็เป็นผีทั้งนั้น ใครจะไม่กลัว ฉี่งี้หดหมด นอนไม่กล้าตะแคงซ้าย ขวาเลย นานเกือบครึ่งชั่วโมง เสียงค่อยหาย

ข้าพเจ้าเลยนึกถึงว่า ความจริงหลวงพี่ท่านก็ถามด้วยความเมตตาแล้วนะ โยมจะพักคนเดียวได้เหรอ มีห้องข้างๆ มีแม่ชี ๒ องค์จะไปพักด้วยมั้ย ตอนนั้นยอมรับความจริงนะ ว่าข้าพเจ้าคิดชั่วมาก คือโกรธ พระ งอนที่ท่านให้ข้าพเจ้าย้ายจากเรือนริมน้ำมาพักใกล้ศาลานวราช อาการนี้มันเลวนะคะ แบบงอนมีทิฐิบอกท่านว่าอยู่ได้ ทีนี้ก็คงเดาออกแล้วนะคะว่า ข้าพเจ้าโดนลงโทษเรื่องอะไร

พอตื่นเช้ามาข้าพเจ้าทำกิจที่ทางวัดกำหนดเสร็จแล้ว ก็ไปซื้อลูกเหม็นมา ๒ ห่อใหญ่จากร้านเจ๊กิมกี มาโปรยทั่วห้องพัก ทั้งในห้องน้ำ และห้องโถง บังเอิญแม่ชีท่านเดินมาเพราะฉุนกลิ่นลูกเหม็น ท่านก็บอกแนะนำว่า ทำอย่างนี้เขาจะโกรธนะ ควรแผ่เมตตา ข้าพเจ้าฟังก็เชื่อคือแผ่เมตตา แต่ต้องเอาลูกเหม็นล้อมไว้ให้ทั่ว (ลูกเหม็น ๒๐๐ ลูกนะที่อยู่ในห้อง) ก็ไม่ได้ผลเลย กลับพากันมาใหญ่เลย นอนไม่ได้

ต้องขอย้ายไปอยู่กับแม่ชีท่านที่หลวงพี่ท่านแนะนำให้ไปพักในครั้งแรก คืนแรกที่ไปนอนกับแม่ชีก็พบเห็นบ้าง แต่ไม่มาก เหมือนกับที่พักของข้าพเจ้า ด้วยเข้าใจว่า ด้วยอำนาจศีลและเจริญภาวนา แผ่เมตตาของแม่ชี ๒ องค์แน่ๆ เราก็ชอบ ถือโอกาสเกาะท้ายอาศัยความดีท่านอาศัยนอนด้วย ทีนี้พอตอนเช้าแม่ชีอีกองค์ก็มาบอก

“อีหนูเอ้ย เมื่อคืนหลวงพ่อสดท่านให้แม่เอาคาถานี่มาให้อีหนูมัน ท่านบอกสงสารมัน มันกลัวแมลงสาบให้มันเอาไปท่องให้ได้นะ” ข้าพเจ้าฟังแล้วก็รับคาถาไว้ (แม่ชีองค์นี้ท่านอายุ ๘๐ กว่า เกือบ ๙๐ ปีแล้ว ท่านบวชมานานมาก) ใจมันก็คิดนะ เอ ทำไมถ้าหลวงพ่อสดให้เรา ทำไมไม่ให้กับเราเองนะ ก็เลยเฉยๆ รับมาแล้ว ท่องมั่ง ไม่ท่องมั่ง คือไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่

คืนหนึ่งผ่านไปเรียบร้อย พอแม่ชีถาม อีหนูเอ้ย ท่องคาถาที่หลวงพ่อท่านให้ได้รึยัง ข้าพเจ้าก็ตอบแบบเอาใจว่า “ได้แล้วค่ะ” ที่จริง ยังกระท่อนกระแท่น พอท่านเผลอๆ เลยต้องหยิบมาท่องซะหน่อย เดี๋ยวท่านจะเสียใจ นี่คิดแค่นี้นะคะ ก็เลยพอได้บ้าง แต่ไม่แม่นนัก พอคืนที่ ๒ ได้เรื่อง ระหว่างที่ทำสมาทานพระกรรมฐานเสร็จ ก็ตั้งเวลาให้เราภาวนา (ตอนหัวค่ำ) ข้าพเจ้าก็นั่งหลับตา

ทีนี้มันชอบลืมตาเวลาคนอื่นเขาหลับตา มองไปมองมา พลันสายตาก็ไปเจอ แมลงสาบตัวหนึ่ง มันแล่นฉิว ดิ่งตรงมาทางข้าพเจ้าโดยไม่แวะเวียนที่ไหนเลย แมลงสาบกับข้าพเจ้านั้นเรื่องใหญ่มาก คนใกล้ชิดรู้ดี จะร้องก็ไม่ได้ เพราะที่นั่นกำลังทำกิจอันกุศล จะลุกหนีก็ไม่ได้อีก เพราะเขากำลังนั่งสมาธิกัน ไอ้ท่ากระโดด เหยงๆ แบบที่บ้านก็เอามาทำที่นี่ไม่ได้ ใจมันสู้ก็คิดไปว่า เอ้ย มันเรื่องบังเอิญน่า

แต่เอ ทำไมมันตรงดิ่งมาหาเราวะ มันไม่แวะออกข้างทางเลย ยิ่งใกล้เข้ามาใจก็ชักไม่ดีแล้ววิ ที่ว่าสู้น่ะมันตอนแรก ตอนนี้มันไม่สู้แล้ว อ้อ นึกได้ คาถาที่หลวงพ่อสดท่านให้มาไง ก็ท่องใหญ่เลย ความที่ไม่ได้กระตือรือร้น พอจวนตัวมันก็ท่องผิดท่องถูกซิ ท่องเท่าไหร่ มันก็ไม่หนี ข้าพเจ้างี้แทบร้องไห้ เพราะถ้ามันไม่หยุด ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในห้องนั้นถ้าควบคุมอารมณ์กลัวไม่ได้ ก็นึกขึ้นได้ว่า

เราจดไว้นิ รีบเปิดอ่านท่องใหญ่ คราวนี้ท่องถูก ท่องได้จบเดียว อีกนิดมันกำลังจะไต่เข่าข้าพเจ้า พอท่องได้จนครบ มันเลี้ยวปลั๊บออกไปเลย ข้าพเจ้ายังงงจนทุกวันนี้ว่า อะไรวะ ทำไมมันถึงเจาะจงข้าพเจ้า แล้วหลังจากคืนนั้น ดีใจว่า คาถาท่านได้ผล (แฮะๆ รู้งี้ท่องตั้งนาน) แล้วยังแปลกใจอีกด้วยความโง่ว่า เอ นี่มันวัดท่าซุงนี่นา แล้วหลวงพ่อสดมาเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อฤาษีของเราล่ะ

โอ้โฮ กว่าจะหายโง่ ก็ตั้งนาน ว่าท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อ เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ท่านมั่นใจได้ว่า ท่านแม้พักอยู่ที่วัดหรือไปแล้วกลับ หากไม่เกินวิสัยของกฎของกรรมแล้ว พระคุณของครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมาของหลวงพ่อท่านคอยปกป้องคุ้มครองอยู่เสมอนะ ก็อย่างคราวที่มาเข้าพิธีสะเดาะเคราะห์กับหลวงพ่อที่วัด ตอนนั้นอยู่ช่วงเบญจเพสไม่ค่อยดีเท่าไร พ้นวันสะเดาะเคราะห์ได้เดือนเดียว

ถูกรถมอเตอร์ไซค์ชน มันวิ่งมาด้วยความเร็ว คนแก่ข้ามตัดหน้า มันเลยหักมาชน เราซึ่งนั่งซ้อนท้ายจักรายานซะกระเด็นเลย เห็นเลือดพุ่งปรู๊ดนึกว่าขาเราขาดแล้ว ที่ไหนได้ เขาชนเรา แทนที่เอ็นเราจะขาด เขากลับเอ็นขาด ๓ เส้น (แค่เบาะๆ นะ) เรากลับไม่เป็นอะไรมาก นอกจากเท้าอักเสบเดินไม่ได้ เกือบเดือนเท่านั้น แต่สภาพตอนที่ถูกชนใหม่ๆ ใครๆ ที่เห็นขาก็นึกว่ากระดูกต้องหักแน่ๆ

เพราะปูดๆ งอๆ อย่างไรอธิบายไม่ถูก แต่ข้าพเจ้าเคยเห็นคนกระดูกหักตายที่สถาบันนิติเวชหลายศพ (แอบเข้าไปดูนะ) ขาข้าพเจ้ายังไงก็อย่างงั้น เหมือนกับที่เคยเห็นมาก แต่แปลกไปเอ๊กซเรย์กลับไม่มีอะไรผิดปกติ เวลาพยาบาลเขาจะใส่ยา ข้าพเจ้าก็ร้องจ๊ากลั่น พยาบาลก็ตกใจบอกเป็นอะไรไป เขายังไม่ได้ใส่ยาเลย ข้าพเจ้าก็บอก ข้าพเจ้าร้องก่อนล่วงหน้าไง เฮ้ย แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก

เพราะถูกชนอย่างจัง ไอ้ที่ว่าถ้าเบญจเพสแล้ว จะต้องเลือดตกยางออกมาก ก็ไม่ใช่ไม่จริงนะคะ แต่มาเข้าพิธีสะเดาะเคราะห์กับหลวงพ่อซะก่อน ไอ้ที่ว่าเจ็บมากก็เจ็บน้อย เลือดที่ออกก็ไม่เห็นมี มีก็แต่ยาแดงใส่แผลต่างหาก

ฆ่าตัวตายหลวงพ่อช่วยไว้
ในปี ๒๕๓๐ ได้ ข้าพเจ้าประสบปัญหาที่ตนเองคิดว่าหนักในตอนนั้นอย่างหนัก ด้วยเรื่องนิดเดียวเพียงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล และเกียรติยศ ถูกทำลายด้วยลมปากคน ซึ่งหากตอนนั้นข้าพเจ้ารู้ซึ้งถึงโลกธรรม ๘ ประการ ก็จะรู้ซึ้งถ่องแท้ในการเกิดมา มันหนีไม่พ้นหรอก โลกธรรม ๘ ประการ ข้าพเจ้าคิดมาก คิดด้วยนะว่าจะตายวิธีไหนดี ผูกคอตายก็ไม่เอามันเจ็บนะ ทรมานด้วย

ก็คิดว่า เออ ยิงขมับดีกว่า โป้งเดียว สบายดี ตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่า ผลนั้นจะตามมาอย่างไร กว่าจะได้เกิดนั้นยากแสนยาก เกิดแล้วใช่ว่าจะได้พบพระพุทธเจ้ามั้ย?? ที่ว่าสบายนั้น หาใช่ไม่ มีแต่แดนนรกเป็นที่ไป เกิดมาเป็นคนทั้งที มีอุปสรรคอะไรก็ไม่อดทนอดกลั้น ดังคำหลวงพ่อสอนว่า “เราอยู่ใต้ฟ้าก็ต้องเจอฝนและแสงอาทิตย์ จงหย่าหวั่นไหวในคำนินทา ทำอย่างเดียวก็คือ กายไม่พ้น แต่ใจเราพ้น”

ก่อนที่จะพบหลวงพ่อนับแต่เด็กมาแล้ว หากชีวิตเกิดสิ่งใดขึ้น ก็มักจะโทษโน่นโทษนี่ โทษคนโน้น โทษคนนี้ แต่ลืมกล่าวโทษตนเอง ทุกอย่างจะเกิดผลได้ก็เนื่องจากเหตุเป็นสำคัญ หากตอนนั้น หยิบยกธรรมะข้อหนึ่งข้อใดจากองค์สมเด็จพระภควันมาสัก ๑ ข้อจาก ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ข้าพเจ้าก็จะไม่คิดสั้นเช่นนั้น ขอเท้าความเดิมที่ว่าคิดจะตายด้วยวิธียิงปืนใส่ขมับ

ก็จัดแจงล็อคห้องนอนทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่เปิดออกสู่ระเบียงบ้านได้ ล็อคลูกบิดไม่พอล็อคกลอนอีกด้วย กลัวคนเข้ามาขัดจังหวะตาย ทีนี่ตอนจะฆ่าตัวตายก็หยิบปืนมาวางไว้ข้างๆ ตัว แล้วก็นึกถึงหลวงพ่อตอนที่ท่านสอนว่า “ถ้าเวลาตาย จิตคิดดี มีสุคตเป็นที่ไป” ก็ท่านสอนออกมากมาย เรามันโง่แล้วอวดฉลาด ดันไปจำเอาท่อนเดียว ก็เลยนึกถึงหลวงพ่อ

ใจตอนนั้นมันเลยสบาย ก็เปิดตู้เย็น หยิบสไปรท์มากิน กะกินไปด้วยแล้วก็จะยิง ขณะนั้นนึกถึงหลวงพ่อตลอด แบบว่า คิดอย่างโง่ๆ ว่า นี่ลูกทำตามที่หลวงพ่อบอกแล้วนะ พอกินสไปรท์ได้ ครึ่งกระป๋อง ก็เหนี่ยวไกปืนทันที โดยจ่อขมับตรงเป๋ง อย่างไม่รีรอ มือถูกผลักอย่างแรง กระสุนกลับไปทะลุตู้เสื้อผ้า ชนิดคนละเรื่องเดียวกันเลย ข้าพเจ้าเงียบไปเพราะช็อค ทำไมเล่าก็เราจ่อขมับ

ไหงมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ คนที่เคยคิดฆ่าตัวตายคงพอจะเข้าใจนะว่า คนตั้งใจ กับไม่ตั้งใจ มันต่างกัน ถ้าจะว่าแรงวิถีของกระสุนทำให้มือเราเบนทิศทางเหรอ ไม่ใช่แน่ เพราะตอนเด็กๆ เวลาพี่ชายข้าพเจ้าซ้อมยิงปืน (เธอเป็นนักเรียนนายเรือ) จะให้ข้าพเจ้ายืนถือเป้าคือใบทองหลางไว้บนหัวเป็นประจำ แล้วที่สำคัญคือความตั้งใจที่จะตาย เพื่อหนีปัญหาแค่เหตุผลที่บอกในตอนต้น

ความตั้งใจที่มั่นคงเหนี่ยวไกปืน แบบนั้น ท่านว่าจะพลาดมั้ยล่ะ (ลองดูเองซิ) เมื่อเสียงปืนดังขึ้น เข้าใจว่าทุกคน คงตกใจ ยิ่งเห็นข้าพเจ้าเงียบเสียงไปด้วยก็ยิ่งทุบห้องใหญ่ พี่เขยทุบห้องด้านหน้า สามีทุบห้องตรงระเบียง ตอนที่เงียบไปนั้นข้าพเจ้าตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง มือถูกผลักกระสุนกลับไปทะลุตู้เสื้อผ้า ช็อคพูดไม่ออก ยิ่งเงียบข้างนอกก็ยิ่งทุบประตูโครมใหญ่ๆ

เมื่อมันดังมากก็ทำให้สติกลับคืนมา กลัวจะตกใจกันไปใหญ่ ก็ลุกไปถอดกลอน คลายลูกบิด ไม่มีใครถามถึงเหตุการณ์ในขณะนั้น เพราะพี่เขยเข้ามาได้ก็รีบหยิบปืนหนีทันที ข้าพเจ้าก็พูดไม่ออก เพราะมันเป็นสิ่งที่เหนือการอธิบาย จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าจะนำมาเป็นอุทาหรณ์ในทุกครั้ง ที่เกิดปัญหา จากสิ่งแวดล้อมใดๆ ก็ตาม

แต่จะหยิบยกพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วและคำสอนของหลวงพ่อมาเป็นพลังและกำลังใจในการดำเนินในทางที่ถูกที่ควร ดังพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “อุบาสกใครจะตำหนิติเตียนอย่างไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก สำคัญตรงที่ว่า ใครเป็นคนตำหนิ บัณฑิต หรือ พาล ถ้าเป็นบัณฑิตตำหนิ จึงควรรับฟัง หากเป็นพาลตำหนิ ก็หาใช่แก่นสารสาระที่ควรสนใจไม่”

รถเสียแต่ไปได้
ในช่วงที่มาค้างที่วัดครั้งหลังได้สหายธรรมเพิ่มอีก ๑ ท่าน รู้สึกถูกคอกันมากเลยสมัครเป็นเพื่อนกัน แม้วัยของเพื่อนคนนี้แกจะ ๖๐ กว่าปีแล้วก็ตาม ข้าพเจ้าเรียกว่า “ป้าทวี” ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ เราได้นัดกันว่า อีก ๑ เดือน เราจะมาเจอกันที่วัดอีกทีในงานเป่ายันต์เกราะเพชร ด้วยคำมั่นสัญญาเปรียบดังสัจจะเมื่อถึงเวลาช่วงนั้น รถเครื่องไม่ค่อยดี เดี๋ยวดับๆ ยังไม่ได้ไปทำ สามีรู้ว่าจะมางานที่วัด

เธอก็อาสาขับรถให้ ซึ่งวันงานจะตรงกับเธอเข้าเวรที่ทำงาน ข้าพเจ้าก็ไม่ให้เธอต้องมาเป็นธุระด้วย เนื่องด้วยเธอต้องเสียเวลาราชการให้กับข้าพเจ้าทั้งวัน เธอก็ไม่ยอมแล้วเลยขอร้องว่าให้ไปคราวหลังได้มั้ย ข้าพเจ้าจึงพูดกับเธอว่า “ข้าพเจ้าพบหลวงพ่อก่อนที่จะมาพบคุณ ต่อให้ฟ้าทะลาย แผ่นดินแยก ภูเขาถล่ม อะไรก็มาห้ามไม่ให้ข้าพเจ้ารักและมาหาหลวงพ่อได้ นอกเสียจาก ความตายเท่านั้น แม้ทางข้างหน้า ถ้าจะไปหาหลวงพ่อแล้วรู้ว่าตาย ข้าพเจ้าก็จะไป”

เธอนิ่งเงียบไปเลย เรื่องของเรื่องการที่เธอห่วงนั้นเป็นปกติของสามีภรรยากันอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่อยากให้เธอต้องลางาน ก็เลยโกหกเธอไปว่า เปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว จะเลื่อนไปปีหน้าคอยไปพร้อมกัน เธอก็ดีใจ ครั้นถึงวันงานข้าพเจ้าก็ขับรถไปส่งเธอที่ทำงาน แล้วบอกว่าจะเอารถไปซ่อมแล้วอาจจะเลยไปค้างบ้านอา ซึ่งสามีเธอก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ มาตั้งเข็มไมล์ไว้ แต่เหตุผลที่ว่า รถเดี๋ยวดับไม่ดีต้องไปทำ

จึงทำให้เธอจำยอมต่อเหตุผล เมื่อข้าพเจ้าออกจากปากน้ำที่ทำงานเธอ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้แวะอู่ที่ไหนหรอก นอกจาก จุดธูป ๙ ดอก ขอบารมีพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อและท่านผู้มีพระคุณ ช่วยให้ข้าพเจ้าขับรถไป กลับโดยปลอดภัย ถ้าไม่เกินวิสัย ขอช่วยให้รถดีชั่วคราวระหว่างไปงานกุศลยิ่งใหญ่นี้ (ความจริงไม่ต้องใช้ธูปก็ได้) งานหลวงพ่อท่านเป่ารอบแรกรู้สึกจะ ๑๒.๐๐ น. นะคะถ้าจำไม่ผิด

ข้าพเจ้าก็ไปถึงทันงานด้วยดีรถเครื่องไม่รวนเลย ตอนช่วงรอข้ามแพตรง อ.มโนรมย์ ข้าพเจ้าอยู่ๆ ก็รู้สึกปิติขึ้นมา มันบอกไม่ถูกมันเหมือนได้กลับบ้าน มันมีความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด น้ำตาไหลไม่หยุด วันนั้นหลวงพ่อทำพิธีกี่รอบ ข้าพเจ้าเข้าเกือบทุกรอบ จนเกือบหกโมงเย็น ป้าทวี เธอชวนไปค้างที่บ้านเธอ อีก ๔๕ กิโลกว่าแค่นั้น (บ้านเธอเป็นโรงงานอยู่ จ.นครสวรรค์) ข้าพเจ้าก็ตอบตกลง

เช้ามืดก็ตื่น ๐๕.๐๐ น. กว่าจะล่ำลากันเสร็จก็ ๐๕.๓๐ น. ขับ ๑๒๐ตลอดจากนครสวรรค์ มาถึงปากน้ำ ๐๘.๐๐ กว่าๆ ทันรับสามีออกเวรพอดี ระหว่างที่เดินทางรถวิ่งดีตลอด พอมาที่ปากน้ำสามีเธอขับ ออกมาได้ประมาณ ๑ กิโลกว่า เครื่องดับ สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด ต้องเข็นรถหาอู่ที่ใกล้ๆ ทำงานนั้นถ้าไม่ได้บารมีของพระรัตนตรัยและหลวงปู่ หลวงพ่อแล้วไซร้ ไฉนเลยจะมีวันนั้นได้

เพราะนับแต่ปีนั้น ๒๕๓๐ หรือ ๓๑ ไม่แน่ใจ ข้าพเจ้ายังไม่ได้ไปเป็นหนที่ ๒ อีกเลย ท่านทราบถึงความจำเป็นว่าข้าพเจ้าไม่ค่อยมีโอกาสไปบ่อยๆ เฉกเช่นคนอื่น พูดถึงรถมีอีกครั้ง

เบรคแตกกับเกือบรถคว่ำ
เช้าวันนั้นหกโมงเช้า จำไม่ได้ว่าจะเอารถออกไปทำอะไร เพราะยังไม่เปลี่ยนชุดนอน ก็ลงมาเอากุญแจไขรถ ขณะที่ไขนั้น ข้าพเจ้าภาวนา คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงปู่ปานกับหลวงพ่อสดอยู่ตลอดสลับกัน ขึ้นขับก็ภาวนาตลอดทุกลมหายใจเข้าออก รถน้ำมันเบรครั่ว ข้าพเจ้าไม่ทราบ ออกจากบ้านได้นิดเดียว วิ่งอยู่ทางโท จะเลี้ยวซ้ายไปทางเอก เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ชั่วนาทีนั้น

รถเบรกไม่อยู่ ข้าพเจ้ารีบลดเกียร์ด้วยความตกใจ แต่ปรากฏเบรกแตก นาทีนั้นรถกำลังจะพุ่งออกทางเอก ซึ่งคงพอหลับตาเข้าใจว่า ถนนใหญ่นั้นจะมีรถวิ่งสวนไปมา ผู้คนเดินไปทำงานกันพลุกพล่าน จะมัวรอคิดโน่นคิดนี่ก็ไม่ทัน แต่การภาวนาทำให้เรามีสติคิดในตอนนั้นขึ้นมาทันที ว่าระหว่างเสาไฟฟ้ากับรั้วหนามกั้นบ้าน เราจะเลือกชนอะไรที่เจ็บน้อยที่สุด เพราะเราหยุดรถไม่ได้จริง

แต่เราเบนทิศทางให้เสียหายน้อยที่สุด มันเหลือเชื่อ ทางเอกนั้นชั่วขณะที่รถข้าพเจ้าเบรกแตก มิมีรถ หรือคนวิ่งสวนไปมาเลย เมื่อตัดสินใจเลี่ยงเสาไฟ เอารถเข้ารั้วหนามซึ่งติดต้นไม้ รถมันวิ่งต่อไปไม่ได เครื่องจึงดับ ช็อคเลย นับเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในชีวิต รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จอดถาม “เอ้า พี่เข้าไปทำอะไรในนั้น” “เปล่า รถมันเบรกแตก”

ข้าพเจ้าตอบ แล้วก็ช่วยๆ กันเอารถออกจากตรงนั้น ข้าพเจ้ายกมือไหว้หลวงปู่ปาน ท่านผู้มีคุณทั้งปวง และเจ้าที่เจ้าทางตรงนั้นอย่างไม่อายใคร และทุกครั้งที่ขับรถผ่านถนนเอกตรงนั้นทุกครั้ง จะยกมือไหว้ขอบพระคุณตลอด ไม่มีหรอกที่จะโชคดีอย่างนี้ ถ้าท่านไม่ช่วยจัดคนและรถให้ ทางเอกก็รู้ๆ กันอยู่ ยิ่งเช้าๆ จะมีคนเดินไปทำงานและรถก็วิ่งตลอด หลับตานึกภาพแล้วเสียวหากชนคน

เราก็หยุดรถได้ แต่เบรคแตกนี่จนปัญญา ชนแล้วอัดทับจนเละตุ้มเป๊ะ หลับตาก็เห็นแต่ตะรางรออยู่ หลังจากที่ช่างตรวจแล้ว น้ำมันเบรกรั่วออกหมด ข้าพเจ้ารอดพ้นจากภัยวิบัติครั้งนี้อย่างปาฏิหาริย์ทีเดียว ด้วยบารมีแห่งหลวงปู่ปาน เพราะข้าพเจ้าภาวนาคาถาพระปัจเจกตลอด เรื่องรถเกือบคว่ำนี้ มันต่างกับเบรกแตกตรงที่เห็นด้วยตาสัมผัสทางตาได้ มีอยู่ปีหนึ่งข้าพเจ้ากับสามีและเพื่อนสามีอีก ๒ คน

จะไปวัดท่าซุงกัน บังเอิญสามีเธอเมาขับรถไม่ได้ ให้ลูกน้องที่เป็นตำรวจขับ ซึ่งแกไม่ได้นอนทั้งคืน ก็ไม่ได้บอกพวกเรามารู้ก็หลังจากเกือบต้องนอนอ่าน น.ส.พ.กันข้างทางแล้ว ข้าพเจ้านั่งหน้าคู่กับเธอ สามีเมาหลับนั่งอยู่หลังรถซึ่งพอข้าพเจ้าเริ่มสังเกตว่าเธอหลับใน ก็ปากหนักไม่กล้าพูด เพราะเป็นคนเดียวที่มองเห็นเวลาเธอสัปหงก ก็เริ่มจับลูกประคำสวดมนต์อ้อนวอนนึกถึง

พระพุทธเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ นึกหมดเลยมีกี่องค์ก็นึกหมด ที่นั่งๆ กันในรถก็แปลก ไม่มีใครทักเลย แต่ก็น่าเห็นใจนะคะ เพราะผู้ชาย ๓ คนที่นั่งหลัง เพื่อนสามี ๒ คน คนหนึ่งเธอเพิ่งกลับจากเยอรมัน ยังไม่ชินกับการจับพวงมาลัยมือขวา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นทนายความ แต่มือขาดทั้ง ๒ ข้างด้วยอุบัติเหตุตอนเด็กต้องใช้มือเหล็ก จะขับก็ต้องรถของตนเองซึ่งต้องสั่งทำอย่างพิเศษ

คนที่ขับได้ คือสามีก็เมาหลับอยู่ รถพุ่งลงข้างทางครั้งแรกก็แค่ตกใจ แต่ไม่มีใครพูด (เขาเรียกว่าคนมันถึงคราวนะ) ยังไม่เป็นไร ข้าพเจ้าเริ่มภาวนาเรียก ท่าน มาช่วยอย่างหนัก มือก็จับลูกประคำ เพื่อไม่ให้มือสั่น ถ้ากล่าวถึงตรงนี้ก็ให้แปลกที่เวลานั้น ทุกคนดูพร้อมใจกันเงียบสนิท เหมือนนั่งรอความตาย รถที่นั่งมาไม่ได้มาเส้นทางตรงเข้า อ.เมือง จ.อุทัยธานี แต่ได้เลี้ยวซ้ายเข้า อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท

เพื่อขึ้นแพข้ามฟาก ก่อนถึงโรงพยาบาล ข้างถนนจะเป็นคันนาซึ่งอยู่ต่ำกว่าถนนสักเกือบ ๒ เมตร พอให้รถที่ตกลงไปพลิกคว่ำได้หลายตลบ ถึงช่วงนั้น ไวกว่าความคาดหมาย ถนนมีให้วิ่ง เธอไม่วิ่งเธอเล่นขับจะลงคันนา (ก็เล่นหลับตาขับนี่นะ) ท่าเดียว คนที่ขับรถนั้นรู้ดีว่าพวงมาลัยนั้นมันไวมาก มือสามีข้าพเจ้ายื่นมาหักพวงมาลัยไปทางขวา ลูกน้องเธอก็หักมาทางซ้าย จะลงข้างทางท่าเดียว

มือสามีก็หักไปทางขวาอย่างแรงอีกครั้ง เฉียดฉิวคันนาไปเส้นยาแดงผ่าแปด มันก็แปลกที่สุด ตรงที่ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะตายนะ แต่ไม่มีใครพูดขึ้นมาสักคำเดียว แล้วสามีข้าพเจ้าถามเธอว่า ในเมื่อนอนหลับอยู่วินาทีแห่งความตายอย่างนั้น เธอรู้สึกตัวกะทันหันเช่นนั้นได้อย่างไร เธอก็ตอบไม่รู้หลับอยู่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย และก็ตอบว่า ไม่รู้กระทั่งว่ารู้สึกตัวตอนไหน

(จริงๆ แล้วคาดว่าเธออธิบายไม่มีวันถูกหรอก เพราะมือที่ข้าพเจ้าเห็นยื่นมาหักพวงมาลัยนั้นไม่ใช่มือสามี) เธอใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น มือที่ยื่นมานั้นยาว และเสื้อแขนกระบอกยาวจรดข้อมือ มันคงเป็นการเห็นโดยลำพัง ในสายตาคนอื่นเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่เหตุที่เกิดขึ้นบางครั้งก็อยู่เหนือการอธิบาย และข้าพเจ้าก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟังนอกจากสามี เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจึงให้หยุดรถ

ซึ่งรถก็หยุดหัวพ้นคันนาข้างทางมานิดเดียว ชั่ว ๒ ก้าว สามีก็ถามลูกน้องว่า ง่วงนอนทำไมไม่บอก เธอก็บอกว่าเมื่อคืนยังไม่ได้นอนเลย พวกเราร้อง “อ้าว” พร้อมกันโดยไม่นัดหมาย ความที่เธอเป็นคนดี เคยขับรถให้เวลามาวัดบ่อยๆ เธอไม่เคยเหลวไหลในการงาน ความที่เธอเกรงใจเจ้านาย เห็นนายขับไม่ได้ ตนเองไม่ไหวก็ไม่กล้าพูด ทุกคนก็เข้าใจตลอดทางที่ถึงวัด จนกลับ

จึงมิมีใครเอ่ยคำใดให้เป็นที่กระทบกระเทือนใจเธอเลย ทั้งที่ทุกคนยังผวากับเหตุการณ์ที่ผ่านมา และหากไม่ได้ ท่าน ช่วยไว้ คงได้อ่านหนังสือพิมพ์กันบ้างสัก ๒ – ๓ คน และข้าพเจ้ามีคำตอบให้กับตนเองได้ว่า มือที่ข้าพเจ้าเห็นนั้น ถ้าไม่ใช่มือสามีแล้วมือใคร ก็ข้าพเจ้านึกถึงอะไรอยู่เล่า

อุบัติเหตุครั้งล่าสุด
ในช่วงเดือนกรกฎาคม ปี ๒๕๓๒ ลูกชายป่วยด้วยโรคประจำอยู่แล้วคือ G6PD (จีซิกพีดี) มีอาการหอบหืด หอบมาก จนน่าสงสาร เลยคิดที่จะพาเขาไปพักผ่อนชายทะเลแถวระยอง ซึ่งบ้านพี่ชายอยู่ที่นั่น ระยะทางเริ่มจากบางนา ข้าพเจ้าก็ให้เด็กที่ไปด้วย ท่อง “สัม ปะ ติจ ฉา มิ” โดยบังคับให้ท่องในใจเริ่มจากบางนา จนถึงสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงเมื่อไหร่ ก็ให้หยุด

พูดคุยเล่นได้ ตามประสาเด็ก โดยลูกชายนั่งในเก้าอี้เด็กซึ่งอยู่เบาะหน้าของข้าพเจ้า สามีติดเข้าเวรโดยจะตามไปในวันรุ่งขึ้นทุกคนก็ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด หยุดพูดหยุดคุย ท่องนะโม อิติปิโสฯ เสร็จก็ภาวนา สัม ปะ ติจ ฉา มิ ตลอด พอเข้าเขตพัทยาก็แวะเข้าไปเที่ยวซักนิดหน่อยก่อนมุ่งตรงไปที่สนามบินอู่ตะเภา อันเป็นจุดหมาย ช่วงนี้ข้าพเจ้ามิได้ภาวนาดังในตอนเริ่มมาแล้ว เพราะสนุกสนานจนลืม

ออกจากพัทยาก็นึกอย่างไรไม่รู้ ย้ายลูกจากที่นั่งหน้าไปเบาะหลังกับเด็ก (ขณะนั้นยังคลาน คอไม่แข็งเท่าที่ควร ยังไม่ขวบเลย) ข้าพเจ้าวิ่งรถมาทางสายจันทบุรีเก่า ไม่ได้มาทางสายพัทยาเซอร์กิต ช่องเลนรถไม่มีเกาะกั้น คงใช้วิ่งสวนกัน ซึ่งเส้นทางนี้มักไม่ค่อยมีอุบัติเหตุบ่อยนัก ไม่เหมือนสายธนบุรี – ปากท่อ และสายเอเชีย รถทัวร์อะไรก็วิ่งกันเรียบร้อยดี ข้าพเจ้าขับแบบสบายๆ

เหยียบแค่ ๗๐ – ๘๐ กว่า (หลังเบรกแตกนี่เลิกไว้ใจรถมันแล้ว ไม่เคยเหยียบถึง ๑๒๐ เหมือนก่อน) ในรถก็ร้องเพลง พูดคุยกันสนุกสนานดี ใกล้จุดหมายอีกไม่ถึง ๒๐ กิโล ข้าพเจ้าร้อนแดดช่วงเย็นจึงให้เด็กที่นั่งหลังเอื้อมมือมาหยิบแว่นกันแดดให้ ช่วงนี้เองที่มันเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ทราบแวบผ่านตาข้าพเจ้าไปชั่วไม่ทันกะพริบตาก็แล้วกัน (เปรียบเทียบความเร็ว) มองไปข้างหน้า

เฮ้ย นี่รถเราหมุนมาอยู่เลนขวาได้ยังไง แม้ตกใจแต่ข้างหน้าคือเสาหลักกิโลเมตร ดีที่ข้างทางมันดินต่ำกว่าถนนนิดหน่อย ข้าพเจ้าใช้สติอย่างเร็ว รีบลดเกียร์เบรกเต็มที่ ความที่ชอบใช้มือขวาจับพวงมาลัยมือเดียว มือขวาข้าพเจ้าจับพวงมาลัยจนเกร็ง หน้าอกกระแทกพวงมาลัยนิดหน่อย (พอท้วมๆ) ข้าพเจ้างงมาก ยิ่งรถที่อยู่เลนขวาเขาแล่นมาจะประสานงา

ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นรถปิคอัพเขาเลยหักหลบไปทางเลนข้าพเจ้าซึ่งก็ให้บังเอิญ ไม่มีรถแล่นตามหลังข้าพเจ้ามา (โชคดีเรื่อย) ส่วนลูกนั้น เด็กที่นั่งหลัง ๒ คนเห็นเหตุการณ์โดยตลอด เขาอุ้มลูกข้าพเจ้าไว้กับอก แล้วเอาขางอ โน้มตัวคร่อมลูกข้าพเจ้า มีข้าพเจ้าคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องเลย ก็ให้เด็กหยิบแว่นตาแล้ว แว้บเดียว อะไรวืบผ่านตา มันเร็วแบบไม่ทันกระพริบตาด้วยซ้ำ

ก็อ้าว! ที่ข้าพเจ้ามีสติทุกครั้งเวลาเกิดเรื่องใหญ่ๆ มองกระจกหน้า เห็นรถปิคอัพ มันจอดมองกระจกแตกร่วง เขาจะลงมาดูรถข้าพเจ้า ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่รู้อะไร ก็ดันกลัวว่าถ้าเราไม่รีบถอยรถออกจากเสาหลัก เดี๋ยวโดนตำรวจปรับเอา แน้ะ ดันไปคิดแบบนี้ซะด้วยนะ พอขยับมือขวา ปรากฏว่าไร้ความรู้สึกจับพวงมาลัยไม่ได้ ก็มองกระจกอีกที ว้าย เขาพากันลงมาแล้ว

เดี๋ยวต้องลงมาดูรถเราแน่ๆ ถ้ายังไม่ขยับรถเขาต้องนึกว่าในรถมีใครเป็นอะไร บวกกับความกลัวตำรวจด้วย (ชนหลักกิโลมันล้ม) รวบรวมแรงด้วยความงง ถอยรถออกมา กลับไปอยู่เลนของตัวเองดังเดิมคือเลนซ้าย ทนขับได้ประมาณกิโลไม่ถึงดี มันเจ็บจนน้ำตาร่วง ขับไม่ไหว อีกอย่างอยากรู้จากปากเด็กด้วยว่า เหตุการณ์มันเป็นยังไง เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเชื่อมั่นในตนเองสูง

สูงมากจนบางครั้งเกิดเป็นโทษแก่ตนเองก็บ่อยไป ไอ้ที่หลับใน หรือไม่พร้อมแล้วจะขับรถนั้นไม่มี เพราะถ้าขับไม่ไหวจริงๆ จะจอดนอนไม่ขับหรอก แต่ก็มีแค่ ๑ – ๒ ครั้ง นั่นลูกไม่สบายอดนอน ๓ คืนติดกัน สามีก็ขับไม่ไหว ข้าพเจ้าก็ไม่ไหว เราก็เลยตกลงกันว่าจอดนอนตรงถนนวิภาวดีฯ แล้วก็ความที่มีหลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ ทั้งหลายคุ้มครอง ปกป้องผองภัยให้

จึงมีความมั่นใจว่าผีเบี้ยบ้ายรายทางทำอะไรข้าพเจ้าไม่ได้แน่ ในรถก็มีท่านท้าวเวสสุวรรณเหรียญที่หลวงพ่อปลุกเสก ไหนจะท่านลุงพุฒิอีก (พระยายม) ยิ่งคิดก็ยิ่งมึน เด็กบอกว่า ข้าพเจ้าขับอยู่ทางนี้ (เลนซ้าย) อยู่ดี ก็รถหมุน ๒ รอบ ๓ รอบไม่แน่ (จากปากเด็ก) ไปอยู่เลนขวา รถปิคอัพเขาจะชนรถเราเขาเลยหักหลบไปทางโน้นเสียงดังใหญ่ ทุกอย่างที่เด็กเล่า ไม่ว่ารถหมุน เสียง ทำไมข้าพเจ้าซึ่งมี

สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกอย่าง กลับไม่เห็น ไม่ได้ยิน ชั่วแวบไม่ทันกระพริบตา เวลาเพียงแค่นี้ เกิดเรื่องตั้งมากมาย ทำไมข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น แวบอีกทีอ้าว เสาหลักข้างทาง งง! แต่ก็ยังมีสติ คิดไปคิดมาอะไรแว่บผ่านเราไปว่ะ เพราะเราอยู่ในรถกลิ่นอายผ้าเหลืองกระจายทั่วรถ วิญญาณข้างทางจะว่ามาผลัก มาบังอะไรก็เป็นไปไม่ได้ นอกจากเจ้ากรรมนายเวร ใช่แล้ว ถ้าเจ้ากรรมนายเวรละก็

มันเกินวิสัยของท่าน เมื่อแน่ใจว่าต้องเป็นอกุศลกรรมของเราโดยตรง ก็จอดรถนานมากจนเริ่มค่ำ กลัวหาค่ายอู่ตะเภาของทหารเรือไม่เจอ จึงทนเจ็บแขนขวานี้ชาหมดความรู้สึก เข็มจิ้มก็ไม่เจ็บ อยู่ ๒ – ๓ วัน ไม่มีบาดแผลนะ แต่มันปวดร้าวๆ ปวดมากหลัง ๒ – ๓ วัน มาแล้วปวดมาก ก็จนปัจจุบันนี้ละ รักษาอย่างไรก็ยังไม่หาย เลยเลิกรักษามันเลย มันอยากจะเจ็บก็ช่างมัน ปวดมากๆ ก็ทานยาเอา

ให้ข้าพเจ้าถือแก้วเปล่า ๑ ใบ ซัก ๕ นาทีโดยถือนิ่งๆ มือก็สั่นแล้ว ยิ่งแก้วใส่น้ำละก็เลิกพูดกันเลย จะปวดทรมานมาก คนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่าเวลาส่งของจากมือขวาให้ ต้องรีบรับ เมื่อกลับกรุงเทพฯ ได้ไปกราบถามท่านผู้มีคุณท่านหนึ่ง (ไม่ใช่คนนะ เป็นผีน่ะ แต่ผีทหารบรรพบุรุษของไทยเราน่ะ ไม่บอกชื่อหรอก) ถามท่านว่า เป็นกฎของกรรมหรือโดนวิญญาณแกล้ง ท่านบอก

“เป็นกฎของกรรมถึงคราวที่ข้าพเจ้าจะต้องเลือดตกยางออกร้ายแรง แต่เพราะยึดมั่นในพระรัตนตรัย จึงรอดมาได้” ที่เล่าก็เพราะอยากให้ทุกๆ คนมีความมั่นใจในความดีของหลวงพ่อ ที่ข้าพเจ้าระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าตลอด ก็จากการอบรมบ่มนิสัยตลอดท่านจะสอนศิษย์เช่นนี้ทุกคน ข้าพเจ้าเลยติด จะทำอะไรก็ต้องนึกถึงพระพุทธคุณก่อน

ส่วนดีทั้งหมดก็เนื่องมาจากคำสอนของหลวงพ่อ คาถาทุกคาถาที่ท่านให้ท่อง ขอรับรอง หากท่านนำไปบูชาด้วยความเคารพ และมั่นใจแล้วผลที่ตามมานั้นมากมายทวีคูณผลนับไม่ถ้วน ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น หลายต่อหลายครั้ง ข้าพเจ้าล้วนรอดมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากหนักก็จักกลายเป็นเบาลง ทุกเรื่องที่เล่าขอรับรองว่า เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์จริง

ซึ่งยังถือว่าเพียงนำส่วนหนึ่งมาเล่าเป็นอุทาหรณ์เตือนกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในสติ รู้เท่าทันมัน แม้การปฏิบัติข้าพเจ้าจะค่อนหนักไปในทางเลวซะมากกว่า ซึ่งเปรียบไม่ได้เลยกับพวกพี่ๆ แม้กระนั้นท่านก็มิเคยทอดทิ้งข้าพเจ้าแม้เพียงสักครั้งเดียว พระคุณท่านนั้นล้นเหลือเกินพรรณนานัก

 ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 2/6/12 at 13:31

55

อนุสาสนีปาฏิหาริย์


หลวงพ่อฯ สั่งสอนเป็นอัศจรรย์ เหตุ – ผล พร้อมมูลปฏิบัติตามได้ผล


ดร.นิพนธ นิมบุญจาช


ลูกประณตนบนอบถวายนมัสการกราบแทบบาทด้วยเบญจางคประดิษฐ์ กระทำสักการบูชาพระคุณด้วยความคารวะสูงสุดในพระคุณล้นเกล้าสุดพรรณนา หาที่เปรียบมิได้ หากลูกได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงละเมิดต่อพระเดชพระคุณท่านฯ ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เจตนาหรือมิได้ก็ตาม ในชาติก่อนๆ หรือในชาติปัจจุบันก็ตาม

ลูกกราบขอขมา ขอทรงโปรดให้อโหสิกรรมแก่ลูกนับแต่บัดนี้ไปตราบท้าวเข้าพระนิพพานเถิดพระเจ้าข้ากาลใดก็ตามหากลูกจะพลาดพลั้งด้วยอำนาจกิเลสและกรรมส่วนใด หรือจะมีอกุศลจิตและอกุศลกรรมเก่าเข้าดลใจเมื่อใดก็ตาม ถ้าจะเป็นปัจจัยให้ลูกเข้าถึงความชั่วแล้ว ขอบารมีพระเดชพระคุณให้สติลูกตัดอารมณ์นั้นได้ทันที ให้จิตลูกตั้งมั่นในพระนิพพานตลอดไปเถิดพระเจ้าข้า

แรกกราบหลวงพ่อเมื่อปี ๒๔๙๖ ที่กุฏิพระครูหนูศิษย์สมเด็จแพ วัดสุทัศน์ และได้รับแจกเต่านำโชคมาบูชา หลวงพ่อกรุณาถามลูกว่า เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นพ่อเธอเมื่อชาติก่อน ลูกกำลังเตรียมสอบไล่จึงไม่มีโอกาสไปหาหลวงพ่ออีก สอบเสร็จไปหาก็ไม่อยู่แล้ว จวบกับฉุกละหุกเตรียมไปเรียนต่อยุโรปเลยต้องเสียโอกาสทองล่วงเวลามานาน เรียนจบแล้วกลับกรุงเทพฯ ทำงานแล้วก็กลับไปเรียนเพิ่ม

เลยต้องทำงานอยู่ยุโรป เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจเงินตราและนโยบายน้ำมันให้ประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่และรัฐบาลประธานาธิบดีคาร์เตอร์ กำหนดแผนแก้สถานการณ์โลกพ้นวิกฤติหายนะในปี ๒๕๒๑/๒๒ งานสำเร็จจึงกลับกรุงเทพฯ พ่อแม่บ่มนิสัยให้รักพระมาแต่เด็ก แรกเกิดก็จับใจกาสาวพัสตร์ แม้อุ้มใส่บาตรหน้าร้านใบชานิ้มฮงจั๋วในสำเพ็ง

นิมนต์พระวัดสามปลื้มทั้งวัด ๗๔ รูปมารับสังฆทานทุกวันอาทิตย์ติดต่อกัน ๑๐ ปี พ่อขายร้านแล้วย้ายมาอยู่สุรวงศ์ ๔๗ ปีก่อนคุณปู่เป็นไวยาวัจกรสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดเทพศิรินทร์ ท่านจากไปพ่อก็บำเพ็ญกุศลให้ตลอดมา คุณย่าอยู่สวนลาดหญ้าใกล้ชิดสร้างวิหารทานกับหลวงพ่อสดเป็นอันมากร้านเราชื่อดังเรื่องใบชา ผ้าไหมกางเกงแพร และสมุนไพรจีน

แต่ปี ๒๔๑๙ คุณทวดลี้ภัยคอมมิวนิสต์จากจีนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ได้รับพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาเสวยพระสุธารส ที่ร้านเป็นนิจ หลายรัชกาลถึงรัชกาลปัจจุบันเมื่อเสด็จประพาสสำเพ็ง พ่อจึงได้รับความกรุณาใกล้ชิดจากเจ้านาย โดยเฉพาะท่านนักขัตฯ ท่านอมรฯ ท่านอัศนีฟ่องฟ้าฯ ท่านนราธิปฯ พระองค์จุลฯ พระองค์พีระฯ พระองค์ภานุฯ พระองค์อนุสรฯ ฯลฯ

อรุณรุ่งทอแสงกระทบกาสาวพัสตร์ พระสงฆ์ ๗๔ รูปเรียงแถวเป็นระเบียบรับบิณฑบาตงามจับจิต วันอาทิตย์จึงเป็นวันที่ลูกรอคอยมาแต่แบเบาะ ได้ถวายภัตตาหารดังนี้จนเติบใหญ่จึงรักพระแต่เด็ก แต่กลัวผี อธิษฐานขอเห็นเทวดาไม่เห็นผี ผู้ใหญ่เล่าเรื่องอภินิหารพระ ลูกก็รักอภิญญาอยากได้ฤทธิ์เอาอย่างพระ เพียรปฏิบัติฌานสี่ตามตำรา ๒๐ ปีก็ไม่เกิดผล

เข้าฌานทุกครั้งจะคุมจิตให้มีผลตามลำดับตามตำราบอก แต่ไม่สำเร็จต้องเริ่มภาวนาตั้งต้นใหม่ยื้อไปยื้อมาผลไม่เกิด สิ้นสุดสัญญางานกลับกรุงเทพฯ ปี ๒๕๒๓ พ่อมอบหนังสืองานฌาปนกิจลุงสำเร็จ ชัยเสรี พี่พ่อเป็น คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ของหลวงพ่อฯ ลูกได้อ่านจึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เข้าใจการเข้าฌานสี่เหมือนผ่าแตงเห็นเนื้อใน ปฏิบัติตามก็ได้ผลครั้งแรกในชีวิตดีใจล้นพ้น

อารมณ์ฟู โปร่งสบาย ทำให้ได้รู้จักสภาวะอภิญญา ด้านล่องหน เที่ยวสวรรค์ เฝ้าสมเด็จฯ รู้อดีตบางชาติ เห็นว่าวิชาต่างๆ ที่เรียนมาเป็นเพียงการฝึกของวิชาสมเด็จฯ ที่หลวงพ่อฯ สอน เพราะได้แล้วอยากรู้วิชาแขนงใดน้อมจิตไปก็รู้ได้ บุญนำพาปี ๒๕๒๔ ได้รู้จักคุณสมศักดิ์ ศิษย์หลวงพ่อฯ ถ่ายทอดประสบการณ์ธรรมปฏิบัติสู่กันเพื่อนจึงพาลูกมากราบเท้าหลวงพ่อฯ ที่สำนักสายลม

จำได้ว่าเป็นองค์เดียวกับที่เคยกราบเมื่อปี ๒๔๙๖ ดีใจมากที่ได้พบพ่ออีก ลูกเข้ารับฝึกมโนมยิทธิทันที ได้กราบพ่อแม่ในอดีต ท่านปู่ใหญ่ฯ ท่านย่าใหญ่ฯ ย่าเล็กฯ ท่านแม่ใหญ่ แม่เล็ก กราบพระเขี้ยวแก้ว พระโมลีแก้ว พระขรรค์แก้ว ที่จุฬามณีมหาเจดีย์ กราบหลวงพ่อฯ ที่วิมาน เล่นตุ๊กตา ตีฆ้องตีกลองจากเล็กสุดถึงใหญ่สุดสนุกสนาน เยี่ยมวิมานลูกด้านขวาวิมานหลวงพ่อฯ

เข้าเฝ้ากราบสมเด็จฯ ทรงประทานบัวแก้ว ๙ ดอก ตรัสว่าอีกดอกไว้กับท่านก่อน ทรงประทานพระขรรค์แก้วที่ทรงอยู่ ลูกไม่กล้ารับ กราบทูลว่าลูกไม่ต้องใช้อาวุธ ประทานกระแสพระราชบัญชาว่า เจ้าจงรับไว้ เจ้าจะต้องปกป้องอาณาจักร ยามนั้นจะมีภายหน้า จงรับพุทธศาสตรานี้ไว้เถิด ลูกกราบทูลว่าไม่ได้เป็นทหาร และไม่มีอิทธิพลเกี่ยวข้องการบริหารประเทศ โปรดประทานแก่ผู้ที่ทำประโยชน์ได้เถิดพระพุทธเจ้าข้า

ทรงตรัสว่า ก็ผู้นั้นมิพ้นเจ้า ลูกเลย มิกังวลดวงจิต มุ่งชอบกอบบุญ ศีลมหาโภคะอุบัติพลัน ลูกจึงรับพระขรรค์แก้วจากพระหัตถ์ ขณะนั้นประหม่ามาก เกรงมือจะทานน้ำหนักไม่ไหว เพราะเล็กนิดเดียวเปรียบกับสมเด็จฯ องค์มหึมา แต่แล้วก็เข้ามาอยู่ในสองมือลูกได้อย่างไรไม่อาจทราบและไม่รู้ความหนักเลย อัศจรรย์จากการฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกที่สำนักสายลม ดีใจจนลืมถามชื่อครูฝึก

รู้เพียงว่าเป็นครูสาวสอนต่างจังหวัดต้องมารถไฟหลายชั่วโมงเพื่อสงเคราะห์มนุษย์ ครูก็เป็นน้องในอดีตชื่อประกายเพชร ลูกประกายแก้วกาวิลในชาติอดีตนั้น จากนั้นลูกก็ไม่ขาดการฝึกที่สำนักสายลมทุกต้นเดือน ปีนั้น นายกเปรมนำคณะไปขอความช่วยเหลือจากประชาคมยุโรปอาหรับที่ศูนย์กรุงบรัสเซล ขอ ๒ พันล้านดอลล่าห์สร้างสนามบินหนองงูเห่าบนพื้นที่ ๒ หมื่นไร่

เวนคืนตราเป็นพระราชบัญญัติในพระราชกฤษฎีการสมัยจอมพลสฤษดิ์ เจ้านายโทรมาสอบถาม ลูกจึงยืนยันและขอให้ช่วยโดยไม่คิดดอกเบี้ยลงทุนสร้างให้ก่อนแล้วให้รัฐบาลผ่อนชำระ ๒๐ ปี โครงการผ่านอนุมัติ ครม. และเจ้ากระทรวงจะต้องแสดงรายละเอียดขั้นสุดท้าย แต่รอยเตอร์ลงข่าว นายลีเพื่อนบ้านจึงบินมา แล้วมีนายพลเอกออกมาแถลงทางทีวี โครงการจึงพับฐาน สมประสงค์นายลี [/color]

ขณะนี้มีบุคคลแถลงว่าต้องการขุดพื้นที่มูลค่า ๒ แสนล้านบาทนี้เป็นทะเลสาบอาจเป็นการสืบเจตนารมณ์นายลีก็ได้ เพราะเหตุขัดข้องเทคนิคหรือค่าลงทุนไม่มี เมื่อโครงการล้ม รัฐบาลมาเลเซียได้ขอให้ลูกไปช่วยโครงการพัฒนาโครงฐานเศรษฐกิจลูกจึงประจำอยู่ที่รัฐซาบาห์ ๕ ปี กลับมาปี ๒๕๓๑ ตลอด ๕ ปีมีโอกาสรักษาศีล ๘ ปฏิบัติพระกรรมฐานทุกคืน ได้ประสบการณ์ดื่มด่ำ

จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ เห็นว่าอายุปูนนี้แล้วจะตายเมื่อใดไม่อาจรู้เตรียมพร้อมเพื่อตายดีกว่า กิจตามภาระก็ทำไป ใคร่ครวญงานสร้างกุศลดลจิตให้ต้องการสร้างโรงแรมธนาคารในสวิสดอกเบี้ยร้อยละ ๕ ผ่อนชำระคืน ๒๐ ปี ลูกไม่ยอมให้ผู้อื่นร่วมทุนเพราะเหตุต้องการตั้งกิจการหารายได้เข้ามูลนิธิสมเด็จองค์ปฐมฯ บัญญัติไว้ถาวรรายได้ร้อยละ ๒๕ เป็นของมูลนิธิฯ

สำหรับทำบุญตลอดไปไม่เพิกถอน คำนวณว่ามูลนิธิฯ จะได้รับปีละ ๒๐๐ ล้านบาท ลูกตั้งใจอาราธนานิมนต์หลวงพ่อฯ เป็นประธานมูลนิธิสมเด็จองค์ปฐม อาคาร ๕๒ ชั้น จะสร้างบนพื้นที่ ๕ ไร่ มีห้องรโหฐานประชุมใหญ่จุ ๓ พันที่นั่ง ติดตั้งทีวีจอยักษ์กว้าง ๒๐ เมตร สูง ๑๒ เมตร ลูกๆ จะได้เห็นหน้าหลวงพ่อชัดๆ เวลามาโปรดสัตว์ตามอัธยาศัยท่าน ออกแบบเสร็จปี ๒๕๓๑

เกิดเหตุพ่อแม่อายุ ๗๖/๗๑ ถูกข่มขู่บังคับฉ้อฉลให้ขายที่โอนไปโดยมิชอบ ได้รับเงินมาเพียง ๑๐ ล้านบาททั้งที่ราคาขณะนั้นกว่า ๒๐๐ ล้านบาท จึงเป็นคดีระหว่างอุทธรณ์ โครงการเลยชะลอ หากเป็นวาสนาบารมีพ่อแม่ได้ที่คืนก็จะได้สมใจดำเนินโครงการงานเดียว เพื่อมหากุศลจัดว่าเป็นมหาทานก็ไม่ผิดความสัจจริง เพราะการบุญนี้จะดำเนินสืบๆ ไปนานเท่านานตกทอดตลอดไป

อานิสงส์เกิดกับจิตเพราะเคยเป็นลูกพ่อ สืบมาหลายชาติจึงมิอาจละนิสัยเดิม ใครตำหนิว่าบ้าก็เรื่องเขา เรารักอย่างนี้ก็บ้าแบบเราเขาไม่เกี่ยว เรื่องใครเรื่องมัน ตัวใครตัวมัน สมเด็จพ่อสอนว่าอย่างนี้ดี เราเชื่อท่านก็เดินตามท่าน แค่นี้ดีพอสำหรับเรา ดีเล็กๆ น้อยๆ เปรียบธุลีฝ่าบาทเราก็พอใจ เป็นมนุษย์ทั้งทีไม่เสียชาติมีโอกาสก็สร้างความดี ความชั่วมากในกมลสันดานก็ค่อยๆ เลาะมันทิ้ง

มัวพะวงคนอื่นเราก็มีเวลาพิจารณาตัวน้อยไป พยายามปฏิบัติตามหลวงพ่อสอน นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ มีอานาปานัสสติภาวนา พุท – โธ หรือนิพพานัง – สุขัง จับภาพสมเด็จฯ ในพระนิพพาน รักษาอุปสมานุสสติเป็นฐาน อภิญญาที่เคยชอบได้รู้สภาวะแล้วก็สิ้นความสนใจ มุ่งเพียงนิพพาน การปฏิบัติภาวนาทำตลอดเวลาที่รำลึกได้ทุกอิริยาบถ ขับรถจะสวดมนต์ยาวปิดด้วยอาฏานาฏิยปริตร

แล้วภาวนาคาถาเงินล้านไม่หยุดตลอดเวลานั่งรถ ๑ ชม. บางครั้งถึง ๔ ชม. สุดแต่โอกาส อารมณ์ไม่เครียดเพราะจิตรักจะทำ ไม่สนใจด้านอื่น เพื่อนๆ ที่ปฏิบัติธรรมแต่ไม่เป็นศิษย์หลวงพ่อฯ ชอบชวนให้งดกินเนื้อ ให้กินเจ แสวงวิเวกในสำนักสงฆ์ ในป่าเขา จะได้นั่งคู้ตั้งกายตรง ลูกปฏิเสธทั้งหมดเพราะเท่าที่ปฏิบัติอยู่ทุกวันเท่าที่โอกาสอำนวยตามทางสายเอกอริยสมบัติที่หลวงพ่อฯ

กรุณามอบให้ก็มากโข หากปฏิบัติขั้นอุกฤษฏ์อย่างเพื่อนๆ เช่นนั้นอาจจะเครียด อาจจะเสียผลกว่าจะได้ ที่ได้แล้วรักษาให้คงก็พอใจแล้ว ไม่ต้องทรมานกาย ไม่ใช่ฝึกบริหารกาย แต่เป็นการบ่มจิตบริหารจิต จิตกับกายแยกกัน การต้องการพระนิพพาน หากลูกไม่ปฏิบัติให้ชินเป็นนิสัย เมื่อถึงกาลวาระ หากจิตไม่คุ้นอาจจะพลาดเพราะความประมาท ลูกจึงขอพรหลวงพ่อฯ ได้โปรดลูก

หากลูกจะพลาดพลั้งเพราะเหตุใดก็ตามลูกขอบารมีหลวงพ่อฯ ช่วยนำลูกเข้าพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า หลวงพ่อฯ สอนไว้ว่า นิพพานไปไม่ยาก แต่ตัดสินใจไปยาก ขึ้นกับใจ ใจเป็นประธานใจเป็นใหญ่ เมื่อใดขณะใดจิตใจตัดละทุกสิ่งมุ่งเพียงนิพพานแน่วแน่ เมื่อนั้นก็ว่างภาระ หลวงพ่อฯ แสดงธรรมโปรดสัตว์ครบองค์สาม

คือ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เพราะสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ เหตุ – ผลพร้อมมูล ปฏิบัติตามไปผลอริยทรัพย์ที่มีมหากรุณาธิคุณล้ำพ้นมอบให้ลูกๆ นี้ ลูกขอรักษาไว้ชั่วชีวิต พระคุณล้นเกล้าสุดพรรณนาหาที่เปรียบมิได้ หากบุญไม่ถึงไม่พบหลวงพ่อฯ ก็ไม่รู้จักนิพพาน

 ll กลับสู่สารบัญ


56

หลวงพ่อ เมตตา


เพ็ญจันทร์ เลาวิลาวัณยกุล


ข้าพเจ้าได้รับความเมตตาปรานีจากองค์หลวงพ่อจังๆ ครั้งแรก เมื่อประมาณ ๑๐ ปีที่แล้ว ตอนเช้าตรู่ ข้าพเจ้าข้ามไปทางตึกเก่าเพื่อเอาอาหารไปเลี้ยงปลา ได้เดินผ่านตึกหลังหนึ่ง (ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่าหลวงพ่ออยู่ตึกนั้น) มองดูที่หัวบันไดก็นึกในใจเล่นๆ ว่าถ้าหลวงพ่อมานั่งตรงนี้ก็ดีหรอก แล้วก็เดินไปให้อาหารปลาที่แม่น้ำหลังวัด พอเดินกลับออกมา

เห็นหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ตรงหัวบันได ยิ้มแฉ่ง ข้าพเจ้าในตอนนั้นดีใจมาก แต่ความดีใจมันเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน เพราะยิ่งคิดถึงตอนนั้นทีไรก็ยิ่งปลื้มใจเป็นทวีคูณ เพราะ
๑. หลวงพ่อป่วยหนัก แต่ก็เมตตาลงมาหาลูก เพียงแค่นึกเล่นๆ แสดงว่าท่านรู้กระทั่งความรู้สึกนึกคิดของลูกๆ ไม่ว่า เราจะอยู่ใกล้หรือไกลท่าน ความต้องการของลูกท่านไม่เคยขัดเลย

ทั้งๆ ที่ร่างกายท่านป่วยมากถึงขนาดนั้นก็ยังเมตตาลูก
๒. ได้มีโอกาสพูดกับองค์ท่านใกล้ๆ รู้สึกภาคภูมิใจมาก
๓. ได้ทำบุญอีกครั้ง แถมกลับออกมา มีผู้หญิงมาเลือกล็อตเตอรี่ให้และถูกเลขท้าย ๓ ตัว ยังสงสัยอยู่ว่าผู้หญิงวัยกลางคนนั้น เป็นใครกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ

หลวงพ่อเมตตา แม้ในความฝันท่านเมตตาบอกเหตุในความฝันบ่อยมาก แต่ที่ประทับใจมาก คือ ตอนที่ข้าพเจ้าเป็นหิดที่นิ้วก้อย ข้าพเจ้าไปซื้อยามาทาแล้วเกิดแพ้ยานิ้วบวม ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องก็ทาไปเรื่อยๆ คิดว่าหิดมันหนีก็ทาใหญ่ ปรากฏหลวงพ่อบอกในฝันให้เลิกทายาแล้วจะหายเอง แต่นานหน่อย ข้าพเจ้าเชื่อตามนั้น ปฏิบัติตามคือเลิกทายา ประมาณ หนึ่งเดือน หิดก็หายไปเอง

จะเห็นได้ว่า หลวงพ่อท่านเมตตาลูกหลานแม้เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หลวงพ่อรู้การปฏิบัติธรรม อารมณ์ใจ ความคิดของลูก แม้จะอยู่ไกลถึงเชียงใหม่ ข้าพเจ้าไม่เคยมารายงานปัญหาข้องใจใดๆ ถ้าสงสัยอยากรู้อะไร เดี๋ยวหลวงพ่อก็เขียนลงหนังสือบอกเองโดยไม่ต้องถาม เคยฟลุ้กๆ หลุดออกไปแบบเต็มกำลังพุ่งขึ้นสูง และเร็วมากความรู้สึกเหมือนตัวจริงออกไป รู้สึกเย็นลมกระทบหน้า

เกิดความกลัวมาก ตกใจตะโกนเรียกหลวงพ่อช่วยด้วยๆ แต่ไม่ยอมเล่าให้ใครฟังเพราะอาย ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านเขียนบอกในธัมมวิโมกข์ ว่าทีหลังให้ท่องนะมะ พะธะ (ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะข้าพเจ้าท่องแต่พุทโธ) จะได้ไม่ต้องมาตะโกนเรียกหลวงพ่อช่วยด้วย แต่ก่อนนี้ ถ้าหลับตาแล้วเห็นเมฆจิตจะพุ่งขึ้นไปหาเมฆ แล้วมีความรู้สึกคล้ายเหาะได้ ถ้าเหาะไปข้างหลังก้นโด่ง

จะไปเห็นอดีต (หมายเหตุ เหาะไปข้างหน้า เหาะไปข้างหลัง นี่เข้าใจว่าเป็นเพราะพระท่านเมตตามากกว่า ไม่ใช่กำลังสมาธิของข้าพเจ้า เพราะเห็นชัดแจ๋วแหววเกินกำลังตัวเอง) ข้าพเจ้าชอบดูอนาคต ไม่ชอบดูอดีต เวลาเหาะถอยหลัง จะดื้อ ไม่ยอม พอดื้อมากๆ ท่านเลยไม่ให้เหาะ ให้เดินไปเลย เดี๋ยวนี้เลยเหาะไม่ได้แล้วค่ะ

เคยเห็นหลวงพ่อมาเดินจีวรปลิวที่ฮ่องกง ท่านช่วยไม่ให้ผีฮ่องกงอำ เพราะอาจเป็นเหตุให้ป่วยได้ ถ้าฝันว่าโดนสามีบีบคอ จะเห็นหลวงพ่อมาทันที แล้วสามีก็หายไปเลย มีความฝันที่เหมือนจริงมากและสนุกที่สุด คือฝันว่าท่านพาขึ้นเรือเหาะ โดยมีเรือของท่านลากจูงขึ้นไป เหมือนรถเลื่อนของซานตาคลอสพาไปดูรอบโลก และเมืองไทย มีความรู้สึกเหมือนได้ไปจริงๆ ไม่ใช่ฝัน อันนี้ประทับใจมาก

มีความรู้สึกว่าท่านจะตามใจลูกๆ ทุกคน ข้าพเจ้าเพียงนึกอยากอ่าน อยากรู้เรื่องอะไร ท่านเป็นต้องเขียนลงหนังสือให้ได้อ่านได้รู้กันทุกที พระเมตตาที่องค์หลวงพ่อมีต่อลุกๆ มีมากกว่านี่มากพรรณนาไม่หมด บางสิ่งบางอย่างไม่น่าจะได้โดยง่ายก็ได้ เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก ข้าพเจ้าภูมิใจเป็นที่สุดที่ได้มาพบองค์ท่านและได้เป็นบริวารลูกหลานของท่าน จะขอติดตามองค์ท่านเข้าพระนิพพานให้ได้ในชาตินี้

ทำบุญสร้างกุศลใดๆ ก็ขอเพียงให้องค์ท่านหายจากโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิด ขอให้หลวงพ่อหายเจ็บ หายป่วย มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงโดยฉับพลันเทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


57

พระสุปฏิปันโน


วิเชียร อ้วนล่ำ


นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

สัพพัง อปราธัง ขมถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารตเยนะ กะตัง
สัพพัง อปราธัง ขมถะ เม ภันเต อุกาสะ ขมามิ ภันเต

กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยและหลวงพ่อ จะด้วยกาย วาจา ใจก็ดี จะด้วยความรู้เท่าถึงการณ์ก็ดี ไม่รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ตั้งแต่อดีตชาติก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จงได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพเจ้านับตั้งแต่บัดนี้ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

ข้าพเจ้าเดินทางมาวัดท่าซุงครั้งแรก เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.๒๕๒๔ โดยที่น้องชายได้มาขอพระของหลวงพ่อไว้คุ้มครองป้องกันภัย เนื่องจากได้สมัครเป็นอาสาสมัครทหารพราน ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสขอติดตามมาด้วย ซึ่งตอนที่มานั้นยังไม่เคยรู้จักประวัติของหลวงพ่อมาก่อนเลย

ครั้งที่ ๒ เดินทางมากับคณะของนักศึกษาวิทยาลัยครูเทพสตรี ลพบุรี เมื่อประมาณปลายปี ๒๕๒๔ เพื่อมากราบนมัสการหลวงพ่อและทัศนศึกษาสถานที่สำคัญของจังหวัดอุทัยธานี แต่ไม่ได้พบหลวงพ่อเนื่องจากท่านมีกิจธุระนอกวัด

ครั้งที่ ๓ เดินทางมาร่วมในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ ๑ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๒๗ มาโดยคำชักชวนของน้องชาย ทั้งไม่รู้มาก่อนว่าทำอย่างไร และจะต้องเตรียมอะไรมาบ้าง แต่ก็ตัดสินใจมาทันที

ครั้งที่ ๔ เดินทางมาทำบุญในงานประจำปีของวัด เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๒๗ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนล่วงหน้า และเป็นการมาโดยค้างคืนที่วัดเป็นครั้งแรกอีกด้วย การเดินทางมาวัดท่าซุง ๓ ครั้งแรก ไม่ได้มาเพราะศรัทธาแท้ แต่มาเพราะคำชักชวนของบริวารญาติมิตรบ้าง มาเพราะอยากได้ของดีบ้าง

แต่การมาด้วยจิตศรัทธาจะเริ่มตั้งแต่ครั้งที่ ๔ มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ในโอกาสที่จะทำบุญประจำปีของวัด และทำบุญประจำปีของหลวงพ่อในปี พ.ศ.๒๕๓๔ นี้ ข้าพเจ้าขอเขียนบทความเกี่ยวกับความประทับใจในปฏิปทาของหลวงพ่อมาเป็นการตอบแทนคุณความดีของหลวงพ่อที่มีต่อลูกหลาน ๒ เรื่อง ดังนี้

เรื่องแรก คือความประทับใจในงานเขียนของหลวงพ่อที่เขียนในหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานเล่มที่ ๑ – ๓ซึ่งข้าพเจ้ารับราชการครู เดือนหนึ่งจะต้องไปทำหน้าที่อยู่เวรยามกลางคืน ๒ ครั้ง เวลาหัวค่ำก่อนนอนก็จะหาหนังสือมาอ่าน ที่ห้องพักครูของโรงเรียนมีหนังสือประเภทธรรมะอยู่ ๑ หลังและมีหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน

รวมอยู่ด้วย ข้าพเจ้าก็หยิบมาอ่านทุกครั้งที่มาอยู่เวรจนครบทั้ง ๓ เล่ม ก็มีความรู้สึกว่าชอบ เหมือนกับว่าหลวงพ่อเขียนมาจากการรู้จริงสัมผัสจริง บางเรื่องก็ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน เช่น เรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องผี เทวดา พรหม พระอริยสงฆ์และอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นต้น ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่เคยเดินทางมาวัด ยังไม่รู้จักหลวงพ่อ ยังไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ

เมื่อมาคิดทบทวนดูคงจะเป็นการเริ่มต้นของการเดินทางสายนิพพานของชาตินี้
เรื่องสอง เป็นความประทับใจในลีลาการเทศน์ของหลวงพ่อ ซึ่งได้ฟังครั้งแรกเมื่องานทำบุญเข้าพรรษา ปี ๒๕๒๗ หลวงพ่อได้เทศน์ถึงประวัติของการถวายผ้าอาบน้ำฝน อานิสงส์ของการถวายผ้าไตร

ฟังแล้วมีความรู้สึกว่าหลวงพ่อเทศน์เหมือนกับอยู่ในเหตุการณ์จริง มีความรู้จริง ไม่ใช่เทศน์จากความรู้ที่มีอยู่ในตำรา และบางสิ่งบางอย่างมีความละเอียดลึกซึ้งยิ่งกว่าที่มีอยู่ในตำรา เมื่อฟังเพียงครั้งแรกก็มีความรู้สึกประทับใจ ชอบ เมื่อได้มาพบหลวงพ่อแล้ว ได้ฟังธรรม ได้ฝึกมโนมยิทธิแล้วยังมีความรู้สึกเสียดายที่รู้จักหลวงพ่อช้าไป

น่าจะรู้จักหลวงพ่อให้ไวกว่านี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นคงจะหนีไม่พ้นเรื่อง “บารมี” ที่หลวงพ่อได้เคยกล่าวไว้บ่อยๆ นั่นเอง ทุกวันนี้ข้าพเจ้าขอถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ปฏิบัติตนตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าที่องค์หลวงพ่อได้แนะนำสั่งสอนไว้ ทั้งในด้านการให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญสมาธิภาวนาเป็นปกติเท่าที่เวลาและโอกาสจะอำนวย โดยมุ่งหวังพระนิพพานเป็นที่สุด

ท้ายที่สุดนี้ ขออ้างอำนาจแห่งบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้เคยบำเพ็ญไว้แล้วตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันจะมีแก่ข้าพเจ้าเพียงใด ข้าพเจ้าขออุทิศให้แก่หลวงพ่อทั้งหมด ขอให้หลวงพ่อจงโมทนาในส่วนกุศลนี้ และจงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ

ขอให้หลวงพ่อจงมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์มีอายุยืนยาว สามารถเป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจแก่บรรดาลูกหลานและเหล่าพุทธบริษัทต่อไปได้อีกนาน และบุญกุศลใดที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญไว้แล้วตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้จะมีแก่หลวงพ่อเพียงใด ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในส่วนบุญส่วนกุศลนั้นทั้งหมด

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 19/6/12 at 13:53

58

พระคุณของหลวงพ่อ


อมฤต สาตร์ร้าย


ข้าพเจ้าได้พบกับหลวงพ่อครั้งแรกในเดือน เมษายน ๒๕๒๔ เพราะเหตุว่าในขณะนั้น คุณพ่อของข้าพเจ้าป่วยอยู่ที่ ร.พ.พระมงกุฎฯ และข้าพเจ้ามาเฝ้าคุณพ่อเกือบจะทุกวัน ในตอนเลิกงานและในวันหยุด ข้าพเจ้ามีความทุกข์ใจมากในอาการป่วยของคุณพ่อ ได้เคยอ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมีความศรัทธาในองค์หลวงพ่ออยู่แล้ว แต่ไม่เคยพบ วันนั้นเป็นวันหยุดต้นเดือนจึงชวนหลานมาที่ซอยสายลม

ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน เมื่อมาถึงปากซอยถามสองแถวดูจึงพามายังบ้าน พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ วันนั้นข้าพเจ้ามีความปลื้มปิติมากเมื่อพบหลวงพ่อ ได้ฟังธรรมที่หลวงพ่อสอนแล้วทำให้คลายความทุกข์ลงไปมาก ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ได้ไปบ้านซอยสายลมเกือบทุกเดือนไม่เคยขาดเลยจนถึงปัจจุบัน และได้ไปยังวัดท่าซุงเป็นประจำทุกปี ก่อนที่ข้าพเจ้าจะพบกับหลวงพ่อ

ข้าพเจ้าชอบดื่มสุรา เฮฮากับเพื่อนฝูงอยู่เป็นประจำ ทำให้ต้องมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยาอยู่เป็นประจำ ทำให้ครอบครัวไม่มีความสุข หลังจากได้พบกับหลวงพ่อ ได้ฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อ ทำให้ข้าพเจ้าเลิกหมดทุกอย่าง ทั้งเหล้า บุหรี่ และการเที่ยวเตร่ ทำให้ญาติพี่น้อง พากันแปลกใจกันไปตามๆ กันถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวข้าพเจ้า เมื่อความประพฤติของข้าพเจ้าเปลี่ยนไป

ความสงบสุขของครอบครัวซึ่งไม่เคยมีมาก่อนก็เกิดขึ้น หลวงพ่อไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตที่แสนเลวของข้าพเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่ว่าหลวงพ่อได้ช่วยให้ลูกและเมียของข้าพเจ้ามีความสุข มีความสมบูรณ์ในชีวิตเกิดขึ้น จากเงินทองที่ไม่ค่อยจะพอใช้ ทำให้พอที่จะมีเหลือเก็บบ้างและมีบ้านอยู่เป็นของตนเอง เพราะอาศัยบารมีของหลวงพ่อแท้ๆ ข้าพเจ้าสวดคาถาเงินล้านที่หลวงพ่อมอบให้เป็นประจำทุกวัน

ทำให้การงานราบรื่น ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ อยู่เป็นประจำ ทำให้ข้าพเจ้ามีความมั่นคงในคุณพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์มากยิ่งขึ้น และบางครั้งเกิดความไม่สบายใจ หรือไม่เข้าใจในธรรมะต่างๆ ในขณะที่หลวงพ่อมาที่ซอยสายลม แม้แต่เพียงนึกอยากถามอยู่ในใจ หลวงพ่อมักจะพูดออกมาเอง ทำให้สิ้นสงสัยทุกครั้งไป

นานมาแล้วข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งได้กล่าวว่าในกึ่งพุทธกาลจะมีผู้วิเศษลงมาเกิด เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้ามั่นใจว่าที่แท้ก็คือองค์หลวงพ่อของเรานี่เอง สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจอีกอย่างหนึ่ง คือความเมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อลูกหลาน ถึงร่างกายหลวงพ่อจะไม่แข็งแรง เจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา ในงานใหญ่ๆ หลวงพ่อต้องนั่งรับแขกตั้งแต่เช้าถึงเย็น ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารท่านมาก

เพราะเหตุว่าท่านต้องการสงเคราะห์ลูกหลานแท้ๆ ข้าพเจ้ายังจำคำพูดของหลวงพ่อได้จนถึงทุกวันนี้ ในวันที่ ๑๑ มี.ค. ๒๕๓๒ ในวันทำบุญประจำปี และฉลองวิหาร ๑๐๐ เมตร องค์หลวงพ่อท่านกล่าวว่า ท่านจะมาเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย และคนที่ฟังท่านอยู่ทุกคนภายในวิหาร ๑๐๐ เมตรในวันนั้น ล้วนเป็นลูกหลานท่านในอดีตชาติ เคยร่วมรบทัพจับศึกกันมานับครั้งไม่ถ้วน

ซึ่งในชาตินี้ได้มาเกิดเพื่อช่วยหลวงพ่อสร้างวัดและร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อจะนำลุกหลานทั้งหมดไปนิพพานให้ได้ ถ้าไปนิพพานไม่ได้ ก็จะติดอยู่ที่สวรรค์ และพรหม ได้ฟังหลวงพ่อแล้ว ข้าพเจ้ามีความปลื้มปิติมาก มีความสุข สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า หายไปหมดสิ้น ในคืนนั้นหลังจากกลับมานอนที่ศาลา ๓ ไร่ ข้าพเจ้ามีความปิติสุขทั้งคืนโดยไม่มีอาการง่วงนอนเลย

ข้าพเจ้ามีความตั้งใจว่าจะประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในโอวาทของหลวงพ่อทุกอย่าง ข้าพเจ้าประทับใจในคำพูดของหลวงพ่อครั้งหนึ่งที่ซอยสายลมว่า “ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกับท่านมากที่สุด คือลูกศิษย์ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน” และในหนังสือพิมพ์เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ เมื่อ ๑๔ ต.ค. ๒๕๓๓

หลวงพ่อกล่าวว่า “ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่ามันคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี้ พ่อไม่แน่ใจนักว่า จะมีอายุยืนยาวสักอีกกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกิดวิสัยของลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณะประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายของพ่อจะสลายไปแต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ"

ข้าพเจ้าเคยมีความคิดอยู่ในใจมานานแล้ว ว่าอยากจะเห็นคนไทยทุกคนมีความสุข มีความอยู่ดีกินดี ไม่เดือดร้อน มีความสามัคคีปรองดองกันไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแต่เพียงอย่างเดียว มีความเจริญรุ่งเรือง สมดังพุทธพยากรณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อมาได้พบองค์หลวงพ่อ ได้มาฟังคำสั่งสอนจากหลวงพ่อ

มาได้เห็นศรัทธาของมหาชนที่มีต่อหลวงพ่อ ความลังเลสงสัยก็หมดสิ้นไป เป็นบุญของคนไทยแล้วที่หลวงพ่อได้ลงมาโปรด ข้าพเจ้าขออธิษฐานจิตขอให้คนไทยทุกคนจงหันมายึด พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่แท้จริง โดยมีองค์หลวงพ่อเป็นผู้นำทางให้และขออานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย

ตลอดจนเทวดา พรหม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลให้องค์หลวงพ่อ มีสุขภาพพลานามัย แข็งแรง สมบูรณ์ เพื่อเป็นมิ่งขวัญแด่ลูกหลานไทย และประเทศไทยชั่วกาลนานเทอญ.

 ll กลับสู่สารบัญ


59

หมดความสงสัย


อารี จงพิศุทธิโสภณ


ประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๔ ข้าพเจ้าได้มากราบหลวงพ่อโดยพกเอาความโง่และความเลวมาด้วย เพราะตัวเองรู้ตัวว่าเป็นคนที่เลวมากและโง่มากที่สุด้วย โง่กระทั่งการรักษาศีล ๕ ก็ทำไม่เป็น ไม่รู้จักการปฏิบัติธรรม ทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ ด้วยความเมตตาอันหาที่สุดไม่ได้ของหลวงพ่อท่าน ท่านได้ชี้ทางสว่างให้กับข้าพเจ้าและทุกคนที่ต้องการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบโดยมิได้เลือกที่รักมักที่ชังเลยจริงๆ

วิชาความรู้ต่างๆ ที่ท่านได้ ท่านสอนโดยไม่มีปิดบังให้แก่ลูก หลาน ลูกศิษย์ ทั้งใกล้และไกลด้วยเสมอภาค แล้วแต่ว่าลูกหลานคนไหนชอบอย่างไร ปฏิบัติอย่างนั้น แต่ต้องเจริญอิทธิบาท ๔ ด้วย ข้าพเจ้าได้ฝึกมโนมยิทธิแล้วได้เห็นพระสงฆ์ลงนรกมาก ก็สงสัยว่าทำไมถึงได้มากขนาดนั้น คืนหนึ่งที่ซอยสายลมที่หลวงพ่อมากรุงเทพฯ ท่านได้สั่งให้ข้าพเจ้าไปพบพระองค์หนึ่งที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี้

เมื่อไปถึงสถานที่นี้พบพระครูแต่งกายเป็นพระสงฆ์ มาให้การต้อนรับ มีอาการผิดปกติเพราะเวลาคุยกับพวกเรา (ไปกันหลายคนกับเพื่อน) เห็นมดเดินมาใกล้ที่นั่ง ก็บี้มดนั้นตาย ยุงกัดตบยุงตายทันที พวกเรามองตากัน นึกในใจขอบิณฑบาตลาเจ้าค่ะ สงฆ์ที่นี่เล่นการพนัน สุรา นารี พร้อมจนถึงขั้นวิวาทก็มี เมื่อเข้าไปกราบพลวงพ่อที่ซอยสายลมอีก เข้าไปถึงท่านพูดว่า เป็นไง หายสงสัยหรือยัง?

ตอนแรกรู้สึกตกใจเพราะความสงสัยนั้นไม่เคยบอกให้ท่านรู้และพบเหตุการณ์อย่างนั้นก็ไมเคยเล่าให้ท่านฟังเลย ข้าพเจ้าตอบว่า “หายสงสัยแล้วเจ้าค่ะ แต่เขาถือศีลตั้ง ๒๒๗ ไปไหนละค่ะ”
หลวงพ่อตอบว่า “เออ เขาเอาแขวนไว้ต่างหาก เอ็งมันช่างสงสัยต้องพิสูจน์ไปอีกชาตินี้”
ตั้งแต่นั้นมาหากข้าพเจ้าสงสัยเรื่องใด เสร็จทุกเรื่องต้องถูกดีดเข้าไปอยู่ในเหตุนั้นจนกว่าจะพบผลถึงจะได้ออกมา อ๋อนี่เอง เกิดมาตั้งแต่เล็กพบทุกข์แล้ว ยังโง่ไม่รู้ว่านั่นละทุกข์

ก็ต้องพบกับทุกข์ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความพลัดพราก ความปรารถนาไม่สมหวัง และอื่นๆ ครบเครื่องจนต้องร้องให้ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยลูกด้วย เข็ดแล้วเจ้าค่ะ ทำให้นึกถึงพระองค์ที่ ๑๐ ท่านกล่าวว่า มนุษย์สมัยนี้ปัญญาทราม คือมีความจำเลวมากลืมง่าย เห็นด้วยแล้วจริงๆ ก็ตัวเรานี้เอง ครั้งหนึ่งเมื่อเข้าไปกราบหลวงพ่อ

หลวงพ่อท่านพูดว่า “อารี ชอบหน้าหนาวไหม”
ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่ชอบเจ้าค่ะ
หลวงพ่อท่านว่า “เออ ไม่ชอบ มันก็มา มาแล้วก็ผ่านไปเปลี่ยนไปตามฤดูกาลของมัน แล้วเราจะไปทุกข์ร้อนกับมันทำไม เพราะมันเป็นธรรมดา อะไรจะเกิดมันต้องเกิด”

ธรรมดานี้แหละที่ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มมีความสุขในใจได้เพราะมันเป็นธรรมดา เลยช่างมันหากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะมันเป็นธรรมดา รู้แล้วก็วาง ยิ้มแล้วลุยต่อไป เมื่อเห็นทุกข์มากขึ้น ต้องยอมรับว่า “เบื่อ” เห็นแล้วว่าทุกคนที่ทุกข์นั้นเพราะมีขันธ์ ๕ นี้เป็นสาเหตุที่เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะมีขันธ์ ๕ นี้ ขันธ์ ๕ นี้มันไม่มีทุกข์ก็หมด มีความรู้สึกว่ามีอีกกายหนึ่งยึดกายนี้ที่เห็นตัวตนนี้ไว้

เริ่มสงสัยว่าจะทำอย่างไรดี ก็พอดี คุณอภิชาต สุขุม ได้โทรมาบอกว่า คุณพ่อคือ คุณเกษม สุขุม ได้สิ้นใจแล้ว หลังจากนั้นก็ขึ้นนอน พอหัวถึงหมอนก็เห็นท่านลอยอยู่เหนือหัวของข้าพเจ้าแสงสว่างมา สวย รู้สึกดีใจที่ท่านไปดี ก่อนท่านจะกลับไปท่านบอกให้ไปรดน้ำศพท่านด้วยนะ รุ่งขึ้นพบคุณอภิชาตอีก ก็เลยขออนุญาตขอไปรดน้ำศพท่านด้วย คุณอภิชาตก็แสนใจดีมาก บอกได้สิ เพื่อนของลูกก็เหมือนลูกอยู่แล้ว

เลยรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสไปรดน้ำศพท่านได้ เมื่อไปรดน้ำศพท่านนั้น ก็เห็นกายอีกกายหนึ่งของท่านซึ่งสวยสว่างลอยอยู่เหนือศพ ใจสิ้นสงสัยแล้วว่า กายกับจิตมันแยกกันได้ตลอดเพราะอย่างนี้นี่เอง กายนี้มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเราที่หลวงพ่อท่านพูดอยู่เสมอ ร่างกายนี้ต้องแตกดับ ตาย เน่าเปื่อย สลายไปในที่สุด แต่จิตหรืออทิสมานกายเรายังไม่เน่า ยังมีการเกิดอีกได้ ถ้าเรายังเวียนว่ายในการเกิดในโลกนี้อีก เราก็ต้องพบกับความทุกข์อีก

เทวโลก พรหมโลก ก็ดีชั่วคราวหมดบุญก็ต้องเกิดใหม่ ใจนึกถึงนิพพานทันทีว่าขอไปนิพพานดีกว่า จิตจับภาวนา นิพพานัง สุขัง ทันทีรู้สึกใจเป็นสุขมาก ข้าพเจ้าหมดสิ้นความสงสัยทั้งหมดแล้ว โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ ไม่สวยสดโสภาดังก่อนเก่า ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพราะโลกนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจริงๆ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาและเรียนรู้ ก็ด้วยอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยเจ้าอริยสงฆ์ทั้งหลายทั้งสิ้น พรหม เทวดาทุกๆ พระองค์ คุณพ่อ คุณแม่ ครูบาอาจารย์ทุกๆ พระองค์

มีหลวงพ่อเป็นที่สุดที่ทำให้ข้าพเจ้ามีปัญญาได้เห็นพระไตรรัตน อริยสัจ ๔ ได้ พระคุณของทุกๆ พระองค์ท่านนั้นหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าได้แต่น้อมใจปฏิบัติตามคำสอนของทุกๆ พระองค์ท่าน และขอตามไปอยู่กับพระพุทธองค์ พระพุทธองค์และหลวงพ่ออยู่ที่ไหน ลูกขอไปอยู่ที่นั่นด้วยเทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


60

บันทึกตอนป่วย


เกสร จันทรประภาพ


ลูกตั้งใจเขียนเรื่องการป่วยหนักด้านหัวใจทำงานผิดปกติ ปี พ.ศ.๒๕๒๕ (๙ ปีมาแล้ว) จำได้แม่นยำเหมือนกับว่าตายแล้วเกิดใหม่ สมัยนั้นลูกยังไม่เคยได้พบได้กราบหลวงพ่อเพียงได้อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน และอ่านธรรมะเล็กๆ น้อยๆ จากหนังสือหลวงพ่อ ลูกอยู่ที่ชิคาโก อเมริกา พระธรรมที่หลวงพ่อสอนทำให้รู้ซึ้งว่าธรรมะจริงๆ ก็คือ ร่างกาย ๒ แขน ๒ ขา ๑ หัว ดีๆ นี่เอง ไม่ให้สนใจ

ติดใจหลงรักร่างกายเราร่างกายเขาเพราะมีแต่ทุกข์ มีแต่โทษ เสื่อมสลาย มีภาระให้ยุ่งวุ่นวายหาให้กิน ให้ใช้ ให้นอน ทุกวัน ร่างกายก็เหม็นเน่า เหนื่อยหิว แก่ป่วยตายทุกวัน สมัยนั้นลูกยังไม่ทราบวิธีฝึกมโนมยิทธิ ลูกมีความรู้สึกว่า หลวงพ่อกับลูกเคยมีความใกล้ชิด สนิทสนมกันอย่างดี เหมือนกับลูกรู้จักหลวงพ่อมานานแสนนานและดีใจที่ได้พบหลวงพ่อ แม้จะพบในหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ลูกก็ดีใจมาก

วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๕ ลูกมีอาการเหนื่อยหอบอย่างไม่มีสาเหตุ ร่างกายก็เริ่มหนักเหมือนหินก้อนมหึมา ลูกจับชีพจรดูก็รู้ว่าชีพจรเต้นไม่เป็นปกติ หยุดๆ เต้นๆ ๕๐ ครั้งต่อ ๑ นาที (ปกติของคน ๗๒ ครั้งต่อนาที) บางทีก็ ๔๐ ครั้งต่อนาที ลูกบอกสามีซึ่งเป็นหมอเขาก็เฉย ลูกก็นอนพักหลับไป วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๒๕ ลูกตั้งใจขับรถไปจ่ายตลาด แต่ร่างกายยิ่งหนักอึ้งลุกไม่ไหว

พยายามทรงกายทำงานแม่บ้านเป็นปกติ คิดว่าใจเรา มันขี้เกียจอยากนอนมากกว่า ตอนสายลูกก็จะขับรถไปซื้ออาหาร ก็รู้ว่าไปไม่ไหวร่างกายหนักมากเกินไป ลูกก็เริ่มโทรศัพท์หาหมอโรคหัวใจ ทุกคลินิกเขาก็มีคนไข้เต็มไม่รับตรวจ ลูกก็คิดว่าจะขับรถไปตรวจที่ห้องฉุกเฉิน ร.พ.เอง พอดีสามีลูกโทรฯ มาถามอาการ เขาจึงขอร้องให้เพื่อนบ้านพาลูกไป ร.พ.ใกล้บ้าน ลูกก็ยังคุยเล่นหัวเราะขำตัวเอง

ทั้งๆ ที่ร่างกายหนักเท่าภูเขา พอเข้า ร.พ. หมอก็จัดแจงให้เข้า I.C.U. ห้องรักษาผู้ป่วยหนักให้น้ำเกลือให้ออกซิเจน ตรวจเช็คการเต้นหัวใจหลายแบบหลายอย่าง สอบซักประวัติแพทย์ผู้ชำนาญทางโรคหัวใจก็สรุปว่าเชื้อไวรัสเข้าสู่เยื่อหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นไม่ดี ลูกก็เตรียมใจตายแน่ ไม่ไวรัสก็หัวใจลูก ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตาย แต่ลูกเตรียมตัวตายแบบหลวงพ่อ

คือ ภาวนา พิจารณาร่างกายทุกครั้งก่อนตาย เป็นเวลา ๑ เดือนครึ่ง ลูกกลับมานอนกิน นอนภาวนา อาการเวียนหัว เหนื่อยตัวหนักหัวใจเต้นดังโครมคราม เห็นหน้าอกตัวเองสั่นคลอน โดยไม่ต้องจับชีพจร หนึ่งเดือนครึ่งที่เฝ้านอนอยู่ในเตียง มีทุกขเวทนาสารพัดทางกาย นานคล้ายกับหนึ่งปีครึ่ง แต่ลูกสบายใจเพราะภาวนาจับพระพุทธนิมิต ไว้บนเพดานที่ลูกจ้องมอง

บางครั้งจิตตกจิตเศร้าหมอง น้อยใจในร่างกายเป็นทุกข์เป็นโทษของตัวเอง ลูกก็ร้องไห้หลายครั้ง สามีและลูกชายเล็กๆ ทั้ง ๒ คนก็ดูแลเอาใจใส่ลูกดีทั้ง ๒ คน ลูกคิดว่า หนึ่งเดือนครึ่งไม่ใช่ไวรัสแน่ๆ ถ้าเป็นไวรัสจริง เชื้อไวรัสก็ต้องตายหรือไม่ลูกก็ไม่หายใจแล้ว จึงเปลี่ยนหมอหัวใจ เปลี่ยนโรงพยาบาล จึงต้องโดนหามเข้าตรวจรักษาเข้า ร.พ.อีกโรง ที่นี่แพทย์ทุกระบบในร่างกายก็ตรวจดูทุกระบบ

ทั้งประสาท สมอง หัวใจ ตับไตไส้เลือดทุกอย่าง แต่ก็จนใจหาสาเหตุไม่พบ การเต้นหัวใจก็หยุดๆ เต้นโครมครามไม่เป็นปกติ ลูกทั้งเหนื่อยทั้งไม่สบายสารพัดจึงขออนุญาตหมอกลับบ้าน ขอให้สามีเตรียมโลงใส่ศพได้ เพราะลูกคิดว่าควรไปตายที่บ้านดีกว่า ในด้านทางจิตใจนั้น แม้ว่าจะภาวนาทั้งคืนทั้งวัน พิจารณาร่างกายเป็นทุกข์ เป็นโทษ ใจจริงลูกยังผูกพันในรูปร่างกายตนเอง

ไม่อยากตายจากสามีที่ยังแข็งแรง ลูกชายทั้ง ๒ คนที่ยังเล็ก กลับจาก ร.พ. ลูกก็กลับมานอนกินยาควบคุมการเต้นของหัวใจ ๑ เดือน อาการไม่ดีขึ้นมีทรง มีทรุด ลูกก็เริ่มคิดสงสารสามีและลูกต้องมาลำบากดูแลลูกตอนป่วย เพราะลูกนอนอยู่ในเตียงตลอดเวลา ต้องการอะไรก็สั่นกระดิ่งเรียกลูกช่วยเอาให้ บางครั้งมีอาการคล้ายหัวใจค่อยๆ หยุดเต้นประสาทสมองชาไป ปลายมือเท้าชาหมดความรู้สึก

ลูกก็พิจารณาร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราคือจิต จิตไม่ตาย ร่างกายตายช่างมัน เราไม่ต้องการอะไรอีกต่อไปในโลก เราคือจิต เราต้องการไปอยู่กับพระพุทธองค์ที่พระนิพพาน ลูกไม่รู้จักว่าพระนิพพานเป็นอย่างไร เพียงแต่ว่า อยากไปอยู่กับพระพุทธองค์เท่านั้น ลูกทำตามคำสอนของหลวงพ่อ ตอนหลวงพ่อป่วยทุกอย่าง การเขียนของลูกครั้งนี้เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที

ลูกขอกราบมายังแทบเท้าขององค์หลวงพ่อ ที่คำสอนหลวงพ่อเป็นประโยชน์ต่อลูกมากในตอนป่วย ที่ลูกหายป่วยก็หายแบบแปลกประหลาดมหัศจรรย์ไม่น่าเชื่อ เล่าให้ใครฟัง เขาก็ไม่เข้าใจ นอกจากประสบด้วยตนเอง ลูกไม่เชื่อตนเองว่าหายป่วยเหมือนฝันเพราะรวดเร็วเกินไป ลูกป่วย ๓ เดือน แต่หายป่วยในพริบตา ๑ นาที วันสุดท้ายที่ป่วยลูกป่วยหนักมาก รู้ตัวว่าอีกไม่นานร่างกายนี้จะต้องหมดไฟธาตุ

หมดการทำงานทุกระบบ ลูกหมดหวังหมดกำลังใจที่อยากหาย แม้แต่นิ้วก็ยกนิ้วไม่ได้ ร่างกายหมดแรง กำลังใจก็พลอยหมดไม่ต้องการร่างกายอีกต่อไป คิดเอาว่าขอมอบกายถวายชีวิตไว้กับพระพุทธองค์ดีกว่า แล้วก็มาคิดได้อีกทีว่า ร่างกายไม่ดีจะไม่ทำงานจะตายจะเน่าเหม็นอยู่แล้ว ของไม่ดีไม่ควรถวายให้พระพุทธองค์ จึงขอคืนจากพระพุทธองค์ ลูกขอเอาร่างกายนี้ คืนให้กับธาตุเดิมของมันคือ

คืนให้กับดิน น้ำ ลม ไฟ ดีกว่า ให้กลับเป็นธรรมชาติเดิมของมัน ส่วนใจนั้นลูกจะขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ลูกได้ตั้งใจภาวนาพิจารณาร่างกายก็เอาแบบอย่างหลวงพ่อ จึงนึกถึงหลวงพ่อตลอดเวลา แล้วก็อาราธนาแก้วมณีรัตนะพระบารมีพระพุทธคุณ พระสังฆคุณช่วยให้ลูกได้ลุกขึ้นหาอาหารกินด้วย ตอนระยะที่ป่วย ๓ เดือนก็ได้ แก้วมณีรัตนะช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะ ตัวหนัก

ขอแค่ให้ลุกขึ้นหาอาหารรับประทานก็พอ พออิ่มแล้วก็เกิดการเวียนศีรษะต้องล้มลงนอนกับพื้นในห้องอาหารทันที หลังจากคิดมอบกายคืนให้กับธาตุดิน น้ำ ตามเดิมแล้วจิตใจลูกก็เบาสบาย ตัดสินใจไม่ห่วงอาลัยร่างกาย ลูก สามี ทรัพย์สมบัติอีกแล้ว ก็หมุนโทรศัพท์มาหาคุณแม่บัวผัน สุทธจิต คุณแม่ที่ลูกสงสารท่าน คงโศกเศร้าที่ลูกสาวคนเล็กตาย ไม่ได้ล่ำลากัน

ลูกจึงโทรฯ ไปตั้งใจกราบลาท่านก่อนหัวใจจะหยุดเต้น สมัยนั้นโทรศัพท์ทางเมืองไทย มีสายเข้าได้เพียง ๔ – ๕ สายๆ ไม่เคยว่างต่อเข้าเมืองไทยไม่ได้ ลูกก็พยายามนอนหมุนโทรศัพท์เป็นเวลา ๑ วัน ระหว่างที่หมุนจิตใจก็จดจ่ออยู่กับคุณแม่ จึงไม่รู้ตัวว่าอาการที่ป่วยหนักคือ เจ็บปวดตามกล้ามเนื้อ ร่างกายเคลื่อนไหวไม่ได้ เวียนศีรษะ ใจสั่น เหนื่อยหอบ หายเป็นปลิดทิ้ง

หายไปได้เป็นปาฏิหาริย์ในพริบตา วันที่จะต้องตายคือวันที่ลูกหายป่วย ลูกแปลกประหลาดใจมากตอนที่หมุนโทรศัพท์จะลาคุณแม่ตายเป็นตอนที่อาการป่วยทุกขเวทนาหายเงียบกริบยังกับว่าอานุภาพพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ปัดเป่าหายเป็นปลิดทิ้ง ลูกจึงเลิกโทรศัพท์ถึงคุณแม่ แล้วพอดีหลวงพ่อก็ไปเยี่ยมลูกที่ชิคาโกอเมริกาหลังจากหายป่วย ๔ – ๕ วัน

ลูกก็กล้าขับรถไปรับหลวงพ่อที่สนามบินโอแฮร์ นครชิคาโก ขับรถประมาณ ๔๐ ไมล์เป็นวันแรกที่ลูกขับรถ สามีห้ามไม่ให้ลูกขับ แต่ลูกคิดว่าถ้าลูกจะตายบนถนนเพราะไปรับหลวงพ่อก็ให้มันตายไป ตั้งแต่หายป่วยวันนั้น จนกระทั่งวันนี้ ๙ ปี ชีวิตลูกก็มีความสุขในพระธรรมมากยิ่งขึ้น ในด้านทางโลกก็สุขทุกข์ตามประสา ชีวิตที่หลงเหลือน้อยนิดลูกขออุทิศรับใช้พระพุทธองค์และองค์หลวงพ่อที่ทำให้ลูกหายป่วย

ลูกจึงเริ่มพูดธรรมะตามแนวของหลวงพ่อให้ คนที่เขาพอจะฟังรู้เรื่องทั้งเด็ก ผู้ใหญ่อเมริกัน ลูกหวังอยู่อย่างเดียวว่าขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้านของลูกพอแล้ว ขออธิษฐานตามหลวงพ่อ เข้าสู่พระนิพพาน การป่วยทรหดอดทนของหลวงพ่อก็เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลุกๆ ทำให้ลูกไม่กลัวป่วยไม่กลัวความตายอีกต่อไป คำสอนหลวงพ่อใครทำจริงก็ได้ผลจริง ลูกหายป่วยเพราะหลวงพ่อแท้ๆ ถ้าไม่มีหลวงพ่อลูกคงทุกข์ทรมานแสนนานหรือตายไปเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น

ll กลับสู่สารบัญ