"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 ( ตอน 3 )
webmaster - 9/3/11 at 14:24

◄ ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 4 ตอนที่ 5 ตอนที่ 6 ตอนที่ 7 ►



ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓


สารบัญ

40.
เกศริน ภู่กร
41. ร.ต.นที (บัง) ทนุวงษ์
42. ชัยสิทธิ์ ยาวะโนภาส
43. วัชรพงศ์ ศรีหนองห้าง
44. นพดล (เอี้ยง) นาควิเชตร์
45. ส.อ.วิชัย ศิลปศร
46. ระพี เลขะกุล
47. จตุรงค์ จารุพันธ์พานิช
48. วนิดา ตันติประภาส
49. ทนงฤทธิ์ สีทับทิม
50. สมบูรณ์ ทรัพย์กล้า
51. เกตุ อารีรักษ์
52. ละเมียด (ละไม) เขมาสวิน
53. ปราณี แสงเดือน
54. สมจิตต์ แก้วนันทวัฒน์
55. สุชาดา ศรีประศาสตร์
56. คณิชา สิทธิดำรง
57. วีระ งามขำ
58. นายแพทย์ปัญจะ ไม้เกตุ
59. ศศิธร วรรธนะกุล
60. สมทรง หิรัญเกตุ



40

ความเมตตาของหลวงพ่อ


เกศริน ภู่กร


...หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน เปรียบเสมือนหมายเกณฑ์ผู้ที่มีสายใยแห่งความสัมพันธ์กับหลวงพ่อในอดีตขาติ เมื่ออ่านหนังสือนี้แล้วต้องมารายงานตัวทันที ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับหมายเกณฑ์ มีความร้อนใจอยากมากราบหลวงพ่อ จึงรวบรวมพรรคพวกได้ 8 คนเป็นหญิงทั้งนั้น ซึ่งแต่ละคนมีวัยรุ่นลูก

...ดังนั้น ในวันที่ 3 มกราคม 2519 จึงได้เดินทางมาวัดท่าซุง รู้สึกตื่นเต้นในการเดินทาง เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาถึงวัดท่าซุงได้ เมื่อเวลาประมาณบ่ายสองโมง พวกเราหิ้วกระเป๋าขึ้นศาลานวราชกองไว้ข้างๆ ประตู มองเห็นหลวงพ่อนั่งเป็นสง่าอยู่ข้างหน้า ดิฉันยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้ไม่ลืม

ทันทีที่เห็นหลวงพ่อรู้สึกรักและดีใจมาก เกิดปีติ น้ำตาไหล เนื่องจากวันนี้เป็นวันเด็ก มีนักเรียนมาเต็มศาลา หลวงพ่อกำลังพรมน้ำมนต์ให้นักเรียน ดิฉันได้ตามเด็กเข้าไป เพื่อรับน้ำมนต์จากหลวงพ่อ

หลวงพ่อเห็นดิฉัน ได้พูดกับคุณเอี่ยมซึ่งนั่งอยู่ใกล้หลวงพ่อว่า เอี่ยมพาโยมพิษณุโลกไปพักที่อาคารเสริมศรี และบอกดิฉันว่าให้เอาของไปไว้ที่ห้องพัก อาบน้ำให้สบายแล้วค่อยมาคุยกัน
ดิฉันและพรรคพวกหิ้วกระเป๋าไปห้องพัก ด้วยความปลื้มใจที่ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ และก็อดคิดไม่ได้ว่า
หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าเรามาจากพิษณุโลก

หลังจากเก็บของไว้แล้ว พวกเราก็ไปกราบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง พวกนักเรียนกลับกันหมดคงมีแต่พวกเรา 8 คนเท่านั้น ที่อยู่คุยกับหลวงพ่อจนถึง 4 โมงเย็น ดิฉันมีความสุขใจมาก กล้าพูด กล้าถาม (ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่กล้า) ตอนนั้นยังไม่ทราบว่า หลวงพ่อเป็นพระระดับไหน หลวงพ่อก็เมตตาอธิบายให้และชี้ให้เห็นทุกข์

ดิฉันประทับใจอีกอย่างหนึ่งคือ เวลาประมาณ 1 ทุ่ม ได้ไปนั่งที่หอกรรมฐานโดยมีหลวงพ่อเป็นประธาน ตอนนั้น ทางวัดมิได้จัดชุดสังฆทานไว้ให้ผาติกรรม และพวกเราก็ไม่มีความรู้ และไม่เคยถวายสังฆทานอย่างนี้มาก่อนเลย แต่ด้วยการแนะนำของผู้หวังดีท่านหนึ่ง ซึ่งมาค้างที่วัดเหมือนกัน จึงได้ผ้าไตรพร้อมด้วยพระพุทธรูป โดยคุณนนทาให้การอนุเคราะห์

ดิฉันนำผ้าไตรพระพุทธรูปและพานใส่เงิน จำได้ว่าพวกเราทำบุญเพียง 66 บาทนั้น ไปวางไว้ข้างหน้าหลวงพ่อ พอถึงเวลา พระภิกษุในวัดและศรัทธาที่มานอนค้าง ได้ขึ้นไปเพื่อนั่งกรรมฐาน ดิฉันได้เห็นพระภิกษุทุกรูปเดินไปใส่เงินในพาน เสียงเงินกระทบกันดังกิ๋งๆๆ ด้วยความประทับใจยิ่งและโมทนาสาธุกับท่าน ที่ท่านได้ลาภ แล้วก็ทำบุญไม่ติดในลาภ

เมื่อถวายสังฆทานเสร็จ หลวงพ่อได้เมตตาเรียกพวกเรา พร้อมกับกล่าวว่าเจ้าภาพนับเงินในพาน และลงบัญชีเงินไว้ เพื่อเป็นค่าภัตตาหาร พวกเราก็ช่วยกันนับ เงินส่วนมากจะเป็นเหรียญบาท และต้องอุทานด้วยความดีใจ ที่ได้เงินถึง 900 กว่าบาท

หลวงพ่อยังเมตตาอธิบายให้ฟังว่า “การถวายสังฆทาน หลังจากนั่งกรรมฐานได้บุญกุศล ยิ่งกว่าทำบุญธรรมดา เป็นพันๆ เท่า เพราะผู้รับและผู้ให้ต่างก็มีจิตใจบริสุทธิ์”
ดิฉันปลื้มใจเป็นที่สุด ในการถวายสังฆทานครั้งแรกในชีวิต ที่ทำด้วยความยากจน

เมื่อจะกลับ พวกเราก็เข้าไปกราบลาหลวงพ่อ หลวงพ่อกำลังให้คนนวดอยู่ ดิฉันคลานเข้าไปเป็นคนสุดท้าย หลวงพ่อเมตตาบอกว่า เป็นหัวหน้าพาคนมาอีกนะ และในเดือนมีนาคม จะมีงานยกช่อฟ้าโบสถ์ มีพระสุปฏิปันโนมากันหลายองค์ พากันมานะ ขอให้โชคดีมีความสุข เดินทางปลอดภัย

ดิฉันได้ยินหลวงพ่อพูดกับคนที่นวดว่า ต่อไป คณะนี้จะพาคนพิษณุโลกมาเป็นรถบัส คำพูดนี้ยังก้องอยู่ในโสตประสาทดิฉัน และก็เป็นจริงตามหลวงพ่อพูด นับตั้งแต่นั้นมา พวกเราก็ยึดมั่นในองค์หลวงพ่อและปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ ทำให้ครอบครัวมีความสุข และมีความเป็นอยู่คล่องตัวขึ้น สามารถทำบุญได้โดยไม่หนักใจ แต่ก็มีบางครั้งที่มีความขัดสน

หลวงพ่อก็โปรดเมตตา (ทางฝัน) ก็ได้ลาภ ทำให้ไม่เดือดร้อน หลวงพ่อให้กำลังใจ ทั้งทางโลกและทางธรรม บางครั้งดิฉันสงสัยอะไรไม่กล้าถาม หลวงพ่อก็เมตตาบอก (ทางฝัน) ทำให้ดิฉันซาบซึ้งในความเมตตายิ่งนัก หลวงพ่อได้ให้กำลังใจในการปฏิบัติและให้แนวทางที่เข้าใจง่ายดังจดหมายนี้

ลูกรัก
ลูกมีเจตนาน่ารัก มีอารมณ์หวังผลพระนิพพาน ถ้าลูกตั้งใจไว้อย่างนี้จะตายเมื่อไร ไปนิพพานเมื่อนั้นลูก คนจะไปนิพพานได้เพราะเบื่อโลก และวางเฉยไม่ยินดียินร้ายในเรื่องของโลก ไม่สนใจมันเลย แต่ทำงานตามหน้าที่ ไม่บ่นและไม่กลุ้ม แต่ไม่ต้องการมันอีก เท่านี้ก็นิพพานแน่
(พระมหาวีระ ถาวโร)
19 มิ.ย. 24



วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
24 ธันวาคม 2524
ลูกรัก

พ่อไม่ได้ตอบจดหมายใครๆ มานานแล้ว ทั้งนี้เพราะพ่อป่วยมาก ขนาดออกรับแขกก็ซวนคล้ายล้ม แต่อาการนี้แขกผู้มาคงไม่เห็น เพราะพ่อต้องใช้กำลังใจช่วยเสมอ มาตอนนี้พอมีแรงบ้าง จึงตอบตามที่มีแรงเพื่อสนองเจตนาดีของผู้สงเคราะห์

ปัจจัยที่ลูกส่งมา เพื่อสร้างห้องกรรมฐาน จำนวน 1,600 บาท สมทบมูลนิธิหลวงพ่อปานอีก 100 บาท เป็นค่าภัตตาหารอีก 100 บาท พ่อได้รับแล้วลูก ลูกฉลาดทำบุญมากนะ เพราะห้องกรรมฐานเป็นวิหารทาน มีอานิสงส์สูง เป็นเลิศกว่าอามิสทานทุกประการ

ค่าอาหารเป็นสังฆทานก็ได้ มูลนิธิเป็นหมดทุกทานคือ วิหารทานก็ได้เมื่อเอาดอกไปซ่อมหรือสร้าง เป็นสังฆทานก็ได้เมื่อเอาไปใช้ในส่วนรวม เช่น ค่าอาหาร ยารักษาโรค ค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปาเป็นต้น เป็นสาธารณทานก็ได้ เพราะช่วยสงเคราะห์ รวมความว่า ลูกทำทานยกยอดทุกประการ ผลนี้คงได้ถึงนิพพานแน่นอน

(พระมหาวีระ ถาวโร)

จดหมายทั้งสองฉบับนี้ มีค่ายิ่งสำหรับดิฉัน ยามใดที่รู้สึกท้อแท้ ก็ได้จดหมายนี่แหละเป็นสังฆานุสสติ ทำให้มีกำลังใจสู้ต่อไป

ในอดีตชาติ ดิฉันละเมิดศีลข้อปาณาฯ ไว้มาก มาในชาตินี้ทำให้เจ็บป่วยอยู่เสมอๆ แต่ด้วยความเมตตา ของพรหม เทวดา หลวงพ่อ และท่านผู้มีพระคุณ สงเคราะห์ (ทางฝัน) จึงทำให้ดิฉันไม่เป็นอะไรมากถึงเข้าโรงพยาบาล

ครั้งหลังสุดนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ดิฉันรู้สึกปวดไหล่ข้างขวา ยกมือขึ้นสุดมือไม่ได้ และยกของหนักก็ไม่ได้ นอนตะแคงข้างขวารู้สึกเจ็บไหล่ ดิฉันก็ทนทำงานบ้านทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ตอนแรกไม่ยอมไปรักษา คิดว่าเป็นการชดใช้กรรม พอนานวัน แทนที่จะหายกลับเป็นมากขึ้น

ดิฉันกลัวว่า แขนจะพิการจึงเริ่มรักษาทั้งหมอไสยศาสตร์ หมอแผนปัจจุบัน อีกทั้งกายภาพบำบัด ก็หมดเงินไปเป็นพันๆ บาท ก็พอบรรเทาแต่ไม่หาย ดิฉันรู้สึกท้อแท้คิดว่าปล่อยตามกรรมดีกว่าจึงงดรักษา

หลวงพ่อคงรู้สึกว่า ดิฉันใช้กรรมมานานพอสมควรแล้ว จึงเมตตาดิฉันอีกครั้งหนึ่ง ดิฉันจำได้ไม่ลืมว่า เป็นคืนวันที่ 17 มิ.ย. 2534

ดิฉันฝันว่า ได้มากราบหลวงพ่อพร้อมด้วยพรรคพวกอีกหลายคน ดิฉันนั่งหน้าสุด เห็นหลวงพ่อห่อยาผงสีขาวๆ ลงในขันน้ำมนต์ แล้วหลวงพ่อก็ลุกขึ้นเดินมาที่ดิฉันนั่งอยู่ แล้วใช้ที่พรมน้ำมนต์ตีที่ไหล่ของดิฉันแรงๆ 3 ครั้ง

จากนั้น หลวงพ่อก็ประพรมน้ำมนต์ให้คนอื่นๆ ต่อไป ดิฉันตื่นขึ้นกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ รู้สึกสดชื่นน่าอัศจรรย์จริงๆ ดิฉันมีความรู้สึกว่าหายเจ็บปวด ได้ทดสอบด้วยการหิ้วของหนัก และยกมือขึ้นก็ทำได้ตามปกติ จนถึงทุกวันนี้ที่ดิฉันหายนี้ด้วยความเมตตา อันหาที่สุดมิได้ของหลวงพ่อ

พระคุณของหลวงพ่อใหญ่หลวงนัก ดิฉันจะจดจำไว้จนตลอดชีวิต และจำตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อ ด้วยการทำความดี และปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ ยึดหลวงพ่อเป็นสังฆานุสสติ
ดิฉันมีความรู้สึกว่า เป็นผู้ที่โชคดีที่หลวงพ่อโปรดเมตตาไปที่บ้าน ในเดือนมิถุนายน 2532, 2533 และ 2534 รวม 3 ครั้งติดต่อกัน

ทำให้มีความสุขใจ และภูมิใจเป็นที่สุดที่หลวงพ่อได้เมตตา สงเคราะห์ครอบครัวของดิฉัน จากการไปบ้านดิฉัน เป็นการชี้ให้เห็นว่า หลวงพ่อได้เมตตาต่อลูกๆ โดยมิได้เลือกชั้นวรรณะและฐานะ ท่านที่ติดตามหลวงพ่อไปคงได้เห็นแล้ว

คุณเจี๊ยบ (ขออภัยที่กล่าวนามท่าน) ได้กล่าวกับดิฉันว่า หลวงพ่อเมตตาคุณป้ามาก ซึ่งแต่ละบ้านที่หลวงพ่อไปนั้นราวกับพระราชวัง ทำให้ดิฉันรู้สึกภูมิใจ และซาบซึ้ง ในความเมตตาของหลวงพ่อยิ่งขึ้น

ขอกราบบูชาความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทุกพระองค์ ตลอดจนพรหม เทวดา และท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน และขอกราบที่เท้าของหลวงพ่อ ด้วยความเคารพรักเป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้ดิฉันถึงวันนี้ได้ ขอบารมีแห่งพระรัตนตรัย จงช่วยให้หลวงพ่อมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนนาน อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกหลานต่อไปอีกนานๆ เถิด

◄ll กลับสู่สารบัญ


41

พ่อปู่ที่นั่น ท่านไม่ชอบนะ


ร.ต.นที (บัง) ทนุวงษ์


...ผมนับถือศาสนาอิสลามมาแต่กำเนิด มีความเคร่งครัดต่อศาสนาอิสลาม ตั้งแต่เด็กๆ เป็นต้นมา (เกิดปี 2492) ครั้นอายุได้ 18 ปี จิตใจเริ่มค่อยๆ หันเหไปสนใจเรื่องการไปดูการเข้าทรงเจ้า แต่ก็ยังเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเช่นเดิม จวบจนได้พบหลวงพ่อแล้วได้เกิดความศรัทธามั่นคง จึงได้หันมานับถือศาสนาพุทธ

...และเมื่อคราวที่มีการอุปสมบทพระภิกษุจำนวน 180 รูปที่วัดท่าซุง เพื่อถวายกุศลให้แก่หลวงพ่อในคราวนั้น ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมการอุปสมบทในครั้งนั้นด้วย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่า ผมมีความเคารพศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

การพบหลวงพ่อในชีวิตนี้ ถ้าดูผิวเผินคล้ายกับเป็นการบังเอิญ แต่ถ้าพูดกันตามหลักแล้ว คิดว่า เป็นเพราะเคยได้ร่วมบุญกับหลวงพ่อมาแต่ปางก่อน จึงส่งผลให้ผมโชคดีที่ได้เกิดมาพบหลวงพ่อในชาตินี้ และคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เกิดมาร่วมบุญกับหลวงพ่อ

กาลในตั้งแต่ในอดีตชาติทุกๆ ชาติมาจนถึงปัจจุบันนี้ หากผมได้เคยได้ล่วงเกินหลวงพ่อ หรือได้ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย มีหลวงพ่อปู่ปานและหลวงพ่อเป็นที่สุด ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดยกโทษให้แก่ผม จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

ผมต้องขอขอบพระคุณ และจารึกพระคุณของ พล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัต นายเก่าของผม และ พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา ที่ทำให้ผมได้เข้ามาพบแสงสว่างจากหลวงพ่อ

ต่อไปนี้ผมขอเล่าเหตุการณ์บางตอนเมื่อผมได้พบหลวงพ่อ
ประมาณปี 2519 พล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัต นิมนต์หลวงพ่อไปที่ บก. สน. สนามเสือป่า ตอนนั้นหลวงพ่อจะไปทุ่งสง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นิมนต์หลวงพ่อไปร่วมพิธีเปิดอนุสาวรีย์พระเจ้าตาก ที่ค่าย ตชด.

ขณะที่หลวงพ่อไปฉันเพล ช่วงที่หลวงพ่อเดินผ่านหน้าผมไป พอท่านเดินผ่านหน้าผมไปแล้ว (ผมเป็นจ่าทหารอยู่ที่นั่น) ผมก็นึกในใจว่า “เอ๊ะ พระองค์นั้นถูกชะตา”
ผมก็ไปถาม ร.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา (ยศขณะนั้น) ปัจจุบันคือ พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา ว่า “พระองค์นี้...เป็นใคร? แล้วท่านจะเดินทางไปไหน?”

ตอนนั้น เรื่องพระกับผมไม่ค่อยถูกโฉลกกันเท่าไร (แต่ผมก็มีใจรักทางนี้อยู่บ้าง) เพราตอนนั้น ผมไปหลงการเข้าทรงเจ้าอยู่ พอผมถามพี่อรรณพแล้ว พี่อรรณพบอกว่า หลวงพ่อจะไป ตชด. ที่ทุ่งสง
ผมเลยถามพี่อรรณพว่า “ผมจะติดตามหลวงพ่อไปได้ไหม”

พี่อรรณพบอกว่า “ให้ไปขออนุญาตจากนาย คือ พล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัต”
ผมก็เข้าไปขออนุญาต (ระหว่างคอยนาย ผมก็เตรียมเสื้อผ้าพร้อมปืนทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมที่จะร่วมออกเดินทางได้เลย)

นายบอกอนุญาตให้ไปได้ และสั่งเลยว่าให้ผมติดตามหลวงพ่อไปตลอด เมื่อติดตามไปตลอดแล้ว ต่อมานายคือ พล.อ.ทวนทอง ก็อนุญาตให้ผมไปอยู่วัดท่าซุงได้ ให้ไปเฝ้าหลวงพ่อ
ตอนไปอยู่ที่วัดท่าซุง ช่วงที่หลวงพ่อฉันเพลแล้ว พอฉันเพลเสร็จ หลวงพ่อก็เข้าพักในห้องทำงาน (จำวัด) ที่ข้างวัดคือโรงเรียนซึ่งอยู่ติดกับวัดท่าซุง มีเสียงปืนดังขึ้น

ผมก็ออกไปห้ามเขา บอกเขาว่าหลวงพ่อกำลังพักผ่อน พอไปห้ามเขาแล้ว ผมก็เดินกลับมานั่งพักที่หน้าห้องพักหลวงพ่อ สักพัก เขา (คนที่ยิงปืน) ก็มาหาพี่สมนึก ถามว่า คนใส่แว่น (คือตัวผม) นี่เป็นใคร? เพราะเขารู้จักพี่สมนึกดี พี่สมนึกก็โทรศัพท์มาตามผมว่า “เฮ้ย บัง มีคนมาตามหาต้องการพบอยู่ที่หน้าวัด”

ระหว่างนั้น ผมก็เตรียมปืนอยู่ หลวงพ่อกำลังนอนพักอยู่ในห้องส่วนตัวของท่าน อยู่ๆ ท่านก็เดินออกมาลักษณะคนเพิ่งตื่นนอนใหม่ๆ หน้าตายังบวมอยู่ ท่านมาหาผมแล้วพูดว่า “เฮ้ย พวกเดียวกัน”
แล้วท่านก็พาผมไปรู้จักกับเขา จับมือกัน ไม่มีเรื่องกัน เพราะพวกนั้นกำลังเมาเหล้ากันอยู่ ผมไปห้ามพวกนี้ เขาท้าผมไปยิงกันหน้าวัด (ตอนที่ท้านั้น ท้าตอนผมไปห้ามเขาครั้งแรกที่โรงเรียน)

เมื่อจับมือกันแล้วหมดเรื่องหมดราวกัน ก็ได้เข้าใจกัน ตอนนั้นผมมีความมั่นใจอยู่ว่า หลวงพ่อต้องเก่ง คุ้มครองผมได้ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจเรื่องนรก สวรรค์ เทวดาเท่าไร เพราะยังมีความคิดเก่าๆ อยู่ ช่วงนั้นเริ่มมีความคิดค่อยๆ เปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ เกิดความศรัทธาหลวงพ่อ แต่ก็ยังมีออกนอกลู่นอกทาง แต่ผมก็เริ่มมั่นคงขึ้น

ประมาณปี พ.ศ.2520 – 2521 หลวงพ่อเดินทางไป จ.ยะลา น้าเหม่เป็นผู้ควบคุมการเดินทางของคณะศิษย์หลวงพ่อที่ติดตามขบวนของหลวงพ่อไป ระหว่างเดินทางกลับจากยะลา ลงมาพักที่โรงงานปลาป่น ที่ จ.ชุมพร ช่วงเย็น หลวงพ่อนัดเวลาว่าจะลงมาเดินเล่น และรับแขกคุยกับลูกหลาน ท่านก็บอกว่า จะลงมาประมาณ 6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม

พวกผมก็นั่งอุดประตูบันได ไม่ได้ไปไหน มีผม มีนายดาบตระกูล มีจ่าสาย พี่เฮี้ยง ก็นั่งคุยจุกกันอยู่ตรงบันไดทางเดิน บ้านนั้นมีบันไดลงข้างเดียว ต้องลงทางบันไดที่พวกผมนั่งกันอยู่เพียงทางเดียว พวกผมอาบน้ำอาบท่า ไปนั่งรอหลวงพ่ออยู่ตรงนั้น ตั้งแต่ประมาณบ่าย 4 โมงครึ่ง นั่งคอยตรงที่นัดกัน ตรงประตูบันได

ระหว่างคุยกันอยู่ ได้ยินเสียงหลวงพ่อหัวเราะอยู่ที่โรงครัว ที่แม่ครัวทำกับข้าวกันอยู่ พวกเราก็หน้าตาตื่นกัน ก็แปลกใจว่าพวกเรานั่งกันอยู่ที่นี่ หลวงพ่อไปที่ครัวได้ยังไง ถ้าลงบันไดมาก็ต้องเจอพวกผมก่อน นี่แสดงว่า หลวงพ่อท่านแสดงอะไรให้ดูเป็นแน่

ช่วงนั้นผมยังมีความสงสัยอะไรอยู่ ท่านคงแสดงให้ผมหายสงสัยแน่ๆ ว่า ท่านเป็นพระที่พวกเราทิ้งท่านไม่ได้ ไม่ต้องไปหาใครอีกแล้ว
พอไปเจอหลวงพ่อ ก็ไปถามท่านว่าท่านลงมาได้ยังไง
ท่านตอบว่า “พวกมึงนั่งหลับกันเองแหละ เลยไม่เห็นกูลงมา”

ก็หัวเราะกันแบบงงๆ
ผมมาประทับใจหลวงพ่ออีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ผมรักท่านมาก เรื่องหลวงพ่อห่วงคณะที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ใครก็ตามที่เดินทางร่วมคณะกับหลวงพ่อๆ ท่านจะไม่นอน ตอนนั้นท่านยังแข็งแรงกว่าตอนนี้ ท่านห่วงทุกคนที่เดินทางร่วมคณะว่า จะกินยังไง นอนยังไง จะมีอันตรายหรือเปล่า

เพราะช่วงนั้นการเดินทางไปใต้ พวก ผกค. กำลังเผาสถานี อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี มีอันตรายมาก หลวงพ่อคอยสอดส่องดูแล เป็นห่วงเป็นใยทุกๆ คนว่า นอนกันยังไง กินกันยังไง แทนที่ท่านจะอยู่ในห้องพักผ่อนนอนสบายเมื่อถึงที่พัก ไม่มี ไม่ทำอย่างนั้น ท่านจะออกเดินตรวจดูทุกๆ คนว่า ได้พักอยู่กินกันแล้ว ท่านจึงจะยอมไปพัก

จนกระทั่งปัจจุบันนี้ท่านชราภาพและป่วย ท่านก็ยังทำเช่นนี้อยู่ เป็นห่วงลูกหลานไม่คิดถึงตัวท่านเอง ห่วงที่จะสงเคราะห์ผู้อื่นจนวินาทีสุดท้าย
สมัยก่อนเวลาเดินทาง ผมจะคำนวณว่าระยะการเดินทางควรใช้เวลาเท่าไร เพื่อกะให้ท่านฉันเพลทันเวลา

ครั้งแรกผมขับรถเหยียบประมาณไม่เกิน 120 กม. ต่อชั่วโมง จากกรุงเทพฯ – อุทัยธานี ผมจะเหยียบ 120 กม.ต่อชั่วโมง จะมาฉันเพลที่กรุงเทพฯ ที่บ้านซอยสายลม มาถึงเพลพอดี
อีกคราวหนึ่ง พอขึ้นรถมาท่านก็บอกผมว่า “เฮ้ยไปแค่ 80 ก็พอ”

ระยะทางเท่ากัน ระยะเวลาออกจากวัดเท่ากัน แต่มาถึงบ้านซอยสายลมเวลา 10.00 น. ถนนโล่งเหมือนกัน ก่อนหน้านั้น ท่านคุยเรื่องการย่นระยะทาง ตอนที่ท่านร่วมเดินทางกับหลวงปู่ปาน ท่านคุยให้ฟังว่า หลวงปู่เดินแป๊บเดียวถึงวัดแล้ว

ผมก็นึกในใจว่า “แล้วหลวงพ่อจะย่นระยะทางได้หรือเปล่า?”
หลังจากที่ผมนึกเช่นนั้นแล้ว อีกประมาณ 1 เดือน ผมก็มาเจอเรื่องนี้ (เพราะงวดแรกที่ผมขับรถให้ท่านก็ขับเร็วฉิว พองวดหลังท่านมาสั่งว่าไปแค่ 80 พอ) ก็นึกในใจว่า จะไปทันฉันเพลหรือ? ขนาดขับ 120 กม./ชั่วโมง ยังไปถึงเพลพอดี

ผมก็นึกในใจอย่างนั้น ปรากฏผมขับมาแค่ 80 กม./ชั่วโมง มาถึงบ้านซอยสายลมประมาณ 10 โมง 15 นาทีเท่านั้น เลยเชื่อว่าหลวงพ่อสามารถสอนผมแบบเอาอยู่หมัดเลย เพราะผมก็ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เจออย่างนี้ก็ต้องเชื่อ

มีอีกคราวหนึ่ง หลวงพ่อไปทอดกฐินที่วัดโขงขาว ประมาณปี 2529 พอทอดกฐินที่วัดโขงขาว (จ.เชียงใหม่) เสร็จ ก็เดินทางต่อไปยังสถานีวิทยุทหารอากาศ เชียงราย ไปพักที่นั่น ท่านจะเดินทางไปบวงสรวงพระธาตุจอมกิตติ พระธาตุดอยตุง ที่ จ.เชียงราย ก่อนที่ท่านจะป่วยหนัก (กลับมาท่านก็ป่วยหนักเลย)

ระหว่างทาง อ.งาว กับศาลเจ้าพ่อประตูผา (อยู่ที่ อ.งาว) สองข้างทางจะเป็นภูเขากับเหว ทางก็คดเคี้ยว แต่ไม่ถึงกับคดเคี้ยวมากนัก ขบวนก็ผ่านเจ้าพ่อประตูผา ระหว่างที่จะผ่าน หลวงพ่อเคยสอนว่า “ให้คนขับรถนึกขอท่าน ให้รถทุกคันเดินทางโดยปลอดภัย”

พวกเราก็ทำตามกันหมด ทั้งนึกในใจและบีบแตร 3 ครั้ง ตามที่หลวงพ่อบอก คันที่ 1 ผ่าน คันที่ 2 ผ่าน คันที่ 3 ยางแตก ยางหน้าขวาแตก รถใหญ่ (เป็นรถบัส) ยางหน้าขวาแตก ปกติยางหน้าขวาแตกรถจะต้องลงเหว หน้ารถจะต้องเบนหัวรถไปทางขวา (ขวามือเป็นเหว) แต่แปลก พอยางแตกปั๊บ หัวรถเบนซ้ายหันหลังเข้าภูเขา

หักซ้ายไปเกยกับหินที่ภูเขา รถจอดนิ่งอยู่พอดี พี่สมนึกเป็นคนขับ พี่สมนึกไม่ทันระวัง ยางนั่นเพิ่งซื้อใหม่ทั้ง 2 เส้นหน้า ปรากฏว่าถึงที่พักเชียงราย ก็นั่งคุยกันที่วง พี่แดง (พล.ต.ศรีพันธุ์ วิชชุพันธ์) ก็บอกว่า ผมแค่นึกแค่นั้นว่า “ไอ้ห่า กูแค่นึกเท่านั้นนะ ว่าจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน เอาเสียเลย ช่วงเหวลึกเสียด้วย” พี่แดงเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า “ผมแค่นึกเท่านั้นเอง”

หลวงพ่อก็พูดว่า “ไอ้แดง (พล.ต.ศรีพันธ์) มันอยากลอง”
ตั้งแต่นั้นมา พอผ่านที่ตรงนั้น ลงจอดจุดประทัดกันเลย
ปกติผมห้อยวัตถุมงคลชุดใหญ่ มีผ้ายันต์แดง ผ้ายันต์เกราะเพชร ลูกแก้ว พระตะกั่วที่หลวงพ่อทำกับมือ และรับกับมือท่าน ผมอัดกรอบเป็นอันเดียวกัน ไปไหนก็พกติดตัวตลอด

ผมเป็นคนขับรถเร็ว ผมขับไม่ต่ำกว่า 120 ในช่วงที่ผมไม่ได้เดินทางกับหลวงพ่อ
ช่วงเช้าผมจะขับรถไปทำงาน จะส่งลูกไปทำงาน ออกจากบ้านสายก็ต้องใช้ความเร็ว ช่วงจากบางกะปิมาแฮปปี้แลนด์ มีสะพานอยู่สะพานหนึ่ง พอเลยสะพานจะเป็นช่วงกลับรถได้ ผมขับรถมา รถข้างขวาติด มีช่องซ้ายไปได้

ผมก็แซงซ้ายออก ข้างหน้ามีรถบัส พอแซงซ้ายออกก็เจอรถบัส ซึ่งผมไม่รู้ว่ามีรถบัส ผมก็หักขวาออกมาเลนขวาสุด พอพ้นตัวเห็นทางข้างหน้ามีรถจอดเบรกอยู่จะยูเทิน ผมก็หักซ้ายมาอีก ผมก็คิดว่าเอาไม่อยู่ล่ะ ช่วงนั้นผมเร่งหนีรถบัส พอผมรู้ว่า ไม่พ้นก็เหยียบเบรกเปลี่ยนเกียร์เอาด้านผมชน ไม่เอาด้านลูกชน (กลัวลูกเป็นอันตราย)

ปรากฏว่าประตูยุบไปถึงคนขับ เบาะหน้าของคนขับ เบาะยุบไปครึ่งหนึ่ง ลูกชายหัวเข่าแตกหน่อย แฟนผมไม่เป็นอะไร ผมไม่เป็นอะไรเลย มันน่าจะเจ็บเพราะชนช่วงแข็งของรถคันอื่น (มุมรถเขาพอดี) แต่ไม่เป็นอะไร

ลูกชายเจ็บนิดเดียว หัวเข่าเป็นแผลเพราะไปโดนตู้แอร์ นี่ผมก็เชื่อว่าเครื่องราง วัตถุมงคลของหลวงพ่อสามารถคุ้มครองผมได้
เวลาเดินทางไปกับหลวงพ่อ ท่านจะบอก เราไปเหนือ ท่านจะบอกเลยว่า “ข้างหน้ารถกำลังชนกันนะ ชิดซ้ายไว้นะ”

ตอนนั้นยังไม่มีรถนำ รถเพิ่งชนกันใหม่ ช่วงระหว่างนั้นผมก็ลองของ ผมกดคันเร่ง ระดับความเร่งที่ผมวิ่งไปนี่จะประมาณ 110 กม./ชั่วโมง แต่ผมดูเข็มไมล์มันขึ้นแค่ 70 ทั้งๆ ที่เข็มไมล์ก็อยู่ในสภาพที่ดี ปกติมันน่าจะต้องขึ้น 110 กม./ชั่วโมง เหตุการณ์ล่วงหน้า ทิพยจักขุญาณ พอรถชนกันปั๊บ ท่านก็บอกผม

การเดินทางของท่าน ตัวท่านต้องเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึก มีเหตุการณ์อะไรล่วงหน้า ท่านจะต้องรู้ ไม่ได้ปล่อยอารมณ์ไปธรรมดา นี่แสดงว่าหลวงพ่อท่านมีสายตายาว
เรื่องการเดินทางของหลวงพ่อนั้น การตรงต่อเวลาสำคัญมาก

ตั้งแต่รู้จักกับท่านมา สมัยก่อน การเดินทางนั้น กลางคืนก่อนเดินทาง ผมจะเรียนถามว่าจะเดินทางออกกี่โมง ท่านจะบอกว่า ประมาณตี 5 ผมขับรถให้ท่านประมาณตี 3 ครึ่ง ผมต้องตื่น อาบน้ำอาบท่า เตรียมพร้อมที่หลวงพ่อจะลงมา

ทุกครั้งที่เดินทาง หลวงพ่อจะต้องตื่นก่อนผม และท่านจะนั่งคอยอยู่ที่เตียง (ตึกริมน้ำ) ผมอาบน้ำอาบท่านเสร็จ ท่านนั่งคอยญาติโยมกินข้าวก่อนเดินทาง
มีอยู่วันหนึ่ง มีคนแก่อยู่คนหนึ่งช้าและตื่นสาย
ผมเตรียมตัวมานั่งกับท่านแล้วก็กราบเรียนท่านว่า “ผมพร้อมแล้วครับ ของเอาขึ้นรถและมัดเรียบร้อยแล้ว”

ท่านก็หันมาพูดกับผม “มึงไปทำอะไรมา มึงไม่รู้หรือไง?”
ผมก็นั่งนึกในใจว่า “เอ๊ะ ผมก็ตื่นตี 3 ครึ่ง ท่านก็เห็นผมอาบน้ำไม่ถึง 5 นาที ผมก็แต่งตัวเสร็จออกมา แล้วท่านมาพูดกับผมอย่างนี้ ผมก็นึกว่า เอ๊ะ ท่านจะเอายังไงนะ”
ผมก็นึกว่า มีใครไม่เสร็จบ้าง

ก็มาทราบภายหลังว่า คนแก่คนนี้ยังไม่ได้อาบน้ำแต่งตัว หลวงพ่อก็นั่งคอย ท่านสอนให้เรารู้ว่า กำหนดการเดินทางของหลวงพ่อต้องแน่นอน ทุกคนต้องคอยพร้อมกัน ก่อนเวลาเดินทาง ท่านบอกตี 5 เป๊ะ ก็ต้องตี 5 เป๊ะเลย เพราะสมัยก่อนออกบ่อยและออกแต่เช้า ตี 4 บ้าง
นี่แสดงว่าเวลาหลวงพ่อจะเตือนท่านเตือนแบบอ้อมๆ

มีอยู่คราวหนึ่ง ไปเชียงใหม่กับหลวงพ่อ ปกติผมเป็นคนชอบทำอะไรนอกทางบ่อยๆ ในบรรดาลูกๆ ของหลวงพ่อ ก็มีอยู่วันหนึ่งไปเชียงใหม่ วันที่หลวงพ่อพัก ผมก็หนีออกไปเที่ยว (หนีเวรยาม) เข้าไปในเมือง พอดีวันนั้นเป็นวันขึ้นบ้านใหม่ของคนที่รู้จัก ผมก็ไปแวะเยี่ยมเขา

พอนั่งโต๊ะอาหาร อาหารเต็มโต๊ะ เขาเตรียมเอาไว้ให้เราก็มีเป็ดอยู่ 1 ตัว (ในวงอาหาร) เฉพาะวันนั้น ผมเลือกกินเป็ดอยู่อย่างเดียวเพราะมันนุ่มหวานอร่อย ผมนั่งอยู่ในงานวันเกิดเพื่อนประมาณ 1 ชั่วโมง ผมก็กลับมาวัดโขงขาว ผมก็ปิดหลวงพ่อทำเป็นปกติ ลงไปตรวจเวรยามปกติ แล้วก็เดินขึ้นไปพบหลวงพ่อที่ห้องนอน

ขึ้นไปเจอคนกำลังนวดให้หลวงพ่ออยู่ ท่านก็คุยกับญาติโยมพวกเราหลายคน ท่านก็คุยเรื่องราวของท่าน คุยไปเรื่อยๆ แล้วก็วกกลับมาหาผมแล้วพูดว่า “ไอ้พวกเห็นแก่แดกเป็ด”
ผมนั่งมองหน้าหลวงพ่อ 1 ครั้ง แล้วรีบก้มหน้าแล้วรีบออกเลย เข้าห้องน้ำ เวลาผมไปเชียงใหม่อีก ใครชวนผมกินเป็ดอีก ผมไม่ยอมกินอีกเลย

เวลาเดินทางไปต่างจังหวัด ปกติเมื่อเข้าพักแล้ว พอถึงที่พักหลวงพ่อ ถ้าผมอยู่ในห้องท่านก็จะคุยสั่งงาน ปกติท่านก็รู้ว่าผมชอบทำอะไรออกนอกลู่นอกทางเสมอๆ ท่านก็เมตตาผม คอยห้ามความคิดที่กำลังจะทำ

มีอยู่วันหนึ่งท่านก็เรียกผมเข้าไปพบแล้วพูดว่า “พ่อปู่ที่นั่น ท่านไม่ชอบนะ”
ความคิดช่วงเช้า ผมนึกว่า คืนนี้ผมจะเดินทางรอบๆ ห้องพักแล้วจะไปจีบผู้หญิงในหมู่บ้าน
ตอนหัวค่ำ พออาบน้ำอาบท่านเสร็จ ผมก็เตรียมอาราธนาวัตถุมงคลทั้งหมดเลย พระหลวงพ่อทั้งหมดเอาขึ้นคอ

ที่ขาดไม่ได้คือสีผึ้งสีปาก เพราะใช้ได้เห็นผลมาแล้ว แต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินเตร่อยู่แถวที่หลวงพ่อพักคอยฟังข่าวว่า หลวงพ่อจะใช้ให้ทำอะไรหรือเปล่า ท่านก็เรียกผมเข้าไปในห้อง ผมก็เข้าใจว่า ท่านจะเรียกไปสั่งงาน หรือว่าจะให้ผมไปหยิบของ หรือหยิบโน่นหยิบนี่
ท่านก็พูดขึ้นมาเลยว่า “พ่อปู่ที่นี่ ท่านไม่ชอบนะ”

พูดแค่นี้แล้วไม่พูดอีก พอหลวงพ่อพูดจบ ผมก็เดินออกมานอกห้อง เปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านตามเดิม
ที่ผมเล่ามาทั้งหมด เป็นประสบการณ์เพียงส่วนน้อยที่ผมได้พบมา มีเรื่องอื่นเยอะที่ประสบมาด้วยตัวเอง ที่เล่ามาเพียงแต่พอสังเขปเท่านั้น

นี่แหละ ผมจึงมีความเคารพหลวงพ่อ และทุ่มเททั้งชีวิตเลยให้ท่าน ทั้งด้านการเดินทาง ทั้งการถวายอารักขา การดูแลท่าน ถ้าผมมีโอกาส ผมก็ทำอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผมก็ทำตามที่ท่านสอน ถึงแม้บางครั้ง ก็มีแหวกนอกลู่นอกทางบ้าง แต่ผมก็ค่อยๆ ละไปทีละอย่าง เพื่อปฏิบัติตามแนวคำสอนของหลวงพ่อให้ถึงที่สุด

◄ll กลับสู่สารบัญ


42

ซาบซึ้งในพระคุณหลวงพ่อ


ชัยสิทธิ์ ยาวะโนภาส


...คำสอนในพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าก็สนใจพอรู้บ้างนิดหน่อย ได้ฟังจากคนเฒ่าคนแก่พูดสั่งสอนมาว่า บุญ – บารมี ผีมีจริง เทวดามีจริง ทำบุญกับพระสงฆ์ก็ได้บุญ ผลของบุญ ผลของบาปมีจริง แต่ความลึกซึ้งในคำสอนของพระพุทธเจ้า ยังไม่มีใครอธิบายได้ชัดเจน

...อย่างชีวิตของสัตว์ที่มนุษย์กินเป็นอาหาร เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา และสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์ เช่น งูพิษ หนู เลือด ยุง มด ปลวก เหล่านี้เขาบอกว่าฆ่าแล้วไม่บาป ถึงแม้ว่า จะเคยสวดมนต์ทำวัตรอยู่บ้าง แต่ก็ยังฆ่าสัตว์ที่เป็นอาหาร กินเหล้าอยู่

...ข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อและได้ฟังเทศน์ของหลวงพ่อเมื่อปี 2520 ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้น ข้าพเจ้าเรียนหนังสืออยู่วิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เทคนิคโคราช) ปีนั้น หลวงพ่อไปเทศน์โปรดลูกศิษย์ที่นั่น แรกๆ ก็มีคนเข้านั่งฟังอยู่ประมาณ 20 คน

ได้ยินหลวงพ่อพูดว่า มีคนฟังน้อยแต่ไม่เป็นไรประเดี๋ยวก็มากันเต็ม

พอหลวงพ่อเทศน์ไปได้สัก 10 นาที ปรากฏว่ามีนักเรียนทยอยกันมานั่ง จนเต็มห้องประชุม พอหลวงพ่อเทศน์จบ ท่านก็แจกพระทุ่งเศรษฐีเนื้อดินเผา ข้าพเจ้าก็ได้รับแจกมา 1 องค์ (แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เพราะตอนนั้นไม่ค่อยซึ้งในหลวงพ่อ) หลังจากนั้น ข้าพเจ้ายังปฏิบัติตนเหมือนเดิม

จนกระทั่งปี พ.ศ.2524 ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ไปทำบุญถวายอาหารเพลพระวัดคลองเตยใน (กรุงเทพฯ) ขณะที่รอพระอยู่นั้น
ท่านก็บอกว่า โยมเอาหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปานไปอ่านฆ่าเวลาก่อน
ข้าพเจ้าก็รับมาอ่าน อ่านๆ ไปชักสนใจ เลยถือโอกาสยืมท่านไปอ่านที่บ้าน ท่านก็อนุญาต

พออ่านจบก็ถึงบางอ้อ ว่าเราเลวมาตั้งแต่เล็กจนโต คำที่หลวงพ่อบอกว่า หากคนใดไม่มีศีล 5 อย่านึกเลยว่า จะได้กลับมาเกิดเป็นคนอีก ไม่รู้ว่า อีกกี่ภพกี่ชาติกี่กัลป์ถึงจะได้กลับมาเกิดเป็นคน คำสอนหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าตัวเองทำบาปมาหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าจึงอยากจะตามหาหลวงพ่อ

เลยโทรศัพท์ไปที่ซอยสายลม ขอพูดกับคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ก็หน้าแตกเย็บไม่ติด ในเมื่อได้รับคำตอบว่า ท่านเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าก็พยายามไปหาบ้านซอยสายลม ตามที่อยู่ในหนังสือก็พบ และได้ถามเจ้าของบ้านคือท่านเจ้ากรมฯ ก็ได้รับความกรุณาบอกเล่าเรื่องหลวงพ่อมาสอนกรรมฐาน ที่บ้านซอยสายลม และถึงวันเวลาที่หลวงพ่อมาสอนกรรมฐาน ข้าพเจ้าก็ไปหาหลวงพ่อ

หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ประกอบกับธรรมะขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ที่หลวงพ่อนำมาสอนให้กระจ่าง ละเอียด และง่าย กระผมซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อมาก

หลวงพ่อเปรียบเสมือนเข็มทิศ ที่ชี้ดี ชั่ว ประโยชน์ โทษ ทุกข์ สุข ในชาตินี้ ชาติหน้า และเปรียบเสมือนผู้ถือแสงสว่าง คือประทีปแก้วจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาส่องสว่างในความมืดของชีวิตของลูกๆ ทุกคนให้เห็นการปฏิบัติถึงการพ้นทุกข์

หลวงพ่อเป็นพ่อที่มีพระคุณต่อลูกๆ มากมาย ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้ ข้าพเจ้าเริ่มเป็นคนมานิดๆ ก็เพราะฟังธรรมจากหลวงพ่อ ซึ่งแสดงให้ได้เห็นหนทาง แนวทางว่า การปฏิบัติตามพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ได้ยากเหมือนที่เคยได้ยินได้ฟังมา จะยากจริงๆ ก็คงจะเป็นคนที่ไม่คิดที่จะปฏิบัติเท่านั้น

หลวงพ่อไม่เคยขาดแม้แต่สักครั้งเดียวในการสอนธรรม ถึงแม้ว่าร่างกาย ขันธ์ 5 ของท่านเจ็บไข้ได้ป่วยสักเพียงใด หากยังพอเดินได้ พูดได้ หลวงพ่อเป็นต้องสอนอบรมลูกๆ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ข้าพเจ้าซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อ จนบางครั้งนึกถึงท่าน น้ำตาจะไหลให้ได้

และการได้ทำบุญกับหลวงพ่อ ไม่ว่าจะที่ซอยสายลม หรือที่วัดท่าซุง ทำให้มีจิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน ขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายในการเกิดเถิด นั่นคือความปรารถนาของข้าพเจ้า
เท่าที่ข้าพเจ้าได้ทราบ หลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีญาณแจ่มใสชัดเจนมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้กราบเรียนถามหลวงพ่อเรื่องแม่ยายของข้าพเจ้า เป็นโรคปวดหัวเป็นพระจำมานานหลายปี

รักษาอย่างไรก็ไม่หาย กินยาแก้ปวดพอทุเลาบ้าง แต่ก็ไม่หาย ต้องกินยาอย่างน้อยวันละ 2 เม็ด (ยาแก้ปวดซาริดอน) ติดต่อกันมา 30 กว่าปีไม่เคยขาด ตอนหลังเวลานอน จะมีเลือดสดๆ ไหลออกมาตามรูหู ทำให้ปวดทรมานมาก

ข้าพเจ้าก็เลยกราบเรียนถามหลวงพ่อ ผ่านทางคุณยกทรง
พออ่านปัญหายังไม่ทันจบ หลวงพ่อก็บอกว่า มันเป็นโรคเวรโรคกรรม รักษาไม่หายหรอก เพราะว่าเมื่อก่อนเคยทำบาปทุบหัวปลาช่อนไว้มากมาย

ท่านบอกว่า ปลาช่อนเหล่านั้น มาแสดงให้เห็นว่าเขาโดนทุบหัวดิ้นปั้บๆ พอมีทางทุเลาได้บ้าง ก็แต่ทำบุญสังฆทาน แล้วอุทิศเจาะจงให้ปลาช่อนเขาไป
ข้าพเจ้ากลับไปบ้าน ถามแม่ยายว่า เคยทุบหัวปลาช่อนบ้างหรือเปล่า

เขาบอกว่าเมื่อตอนสาวๆ เขาอยู่บ้านกับพ่อที่อยุธยา วิดบ่อปลาปีละ 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งๆ ได้ปลาช่อนเป็นลำเรือเลย (เรือพายเล็กๆ) ต้องทุบหัวปลา ส่วนมากเป็นปลาช่อน ครั้งละเป็นร้อยๆ ตัว (เก็บตากแดดเอาไว้กินได้นาน) ใช้ไม้สะแกที่มีตุ้มๆ ทุบ จนกว่าจะตายก็ประมาณ 3 ถึง 4 ครั้ง

นี่ก็แสดงว่า หลวงพ่อท่านมีญาณแจ่มใสมาก รู้อดีต อนาคต ปัจจุบันได้ดีและรวดเร็วมาก หลวงพ่อท่านจะถึงขั้นไหนนั้น ข้าพเจ้าไม่ติดใจอะไร แต่ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า จิตของหลวงพ่อไม่มีความทุกข์ฝังอยู่เลยแม้แต่น้อย และมีสุขใจในทุกสถานที่ถึงแม้สถานที่นั้นจะเป็นป่าหรือบ้าน

หลวงพ่อไม่ห่วงดี ไม่ห่วงชั่ว ไม่ห่วงทุกข์ แม้แต่ร่างกายขันธ์ห้าของท่านเอง เพราะฉะนั้นหากแม้ว่าหลวงพ่อละขันธ์ห้าแล้ว หลวงพ่อต้องถึงซึ่งความสุขอันเป็นเอกันตบรมสุขอย่างแน่นอน

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 26/3/11 at 14:20

43

มโนมยิทธิไม่ใช่การสะกดจิต


วัชรพงศ์ ศรีหนองห้าง


...ลูกศิษย์บันทึกที่ผมเขียนนี้ ทีแรกว่าจะไม่เขียน เพราะผมคิดว่าตัวเองยังมีความดีไม่พอที่จะประกาศตนเองว่า เป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เพราะเกรงว่า เมื่อเขียนลงไปแล้วจะเป็นการแอบอ้างหรืออวดตัวเองไป และต่อไปภายหลัง ถ้าตนเองทำไม่ดีไม่งาม ก็อาจเสื่อมเสียมาถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้

...และอาจเป็นการเกินหน้าเกินตาศิษย์รุ่นพี่ๆ ไป เพราะบางท่านก็ไม่ได้เขียนมาลง และหากการเขียนครั้งนี้ผิดพลาดล่วงเกินประการใด ก็ขอให้พี่ป้าน้าอา อภัยให้ผมด้วย เพราะผมเองเพิ่งได้มารู้จัก และศึกษาธรรมจากหลวงพ่อประมาณปี 2520 หรืออาจเกินกว่านั้นบ้าง ซึ่งถ้านับแล้วประมาณ 10 ปี แต่ก็ยังเอาดีไม่ใคร่ได้เลย นับว่าเป็นความเลวอย่างยิ่งของผม

...ต่อมา ผมมีโอกาสได้บวชในวันที่ 25 ธันวาคม 2534 เพื่อถวายกุศลให้หลวงพ่อท่านที่วัดท่าซุง โดยมีท่าน ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นหัวหน้า มีอยู่วันหนึ่ง ผมและพวกพี่ น้า อา ที่บวชด้วยกันได้มีโอกาสพูดถึงการเขียนหนังสือเล่มนี้กับพระ ดร.ปริญญา ซึ่งท่านก็ได้กรุณาอธิบายให้ฟังว่าการเขียนหนังสือเล่มนี้ เพื่อเป็นการช่วยยืนยันในคำสอนของหลวงพ่อ

และเป็นการประกาศคุณความดีของท่าน ไม่ใช่ว่าปล่อยให้หลวงพ่อท่านทำของท่านอยู่เพียงลำพัง ซึ่งท่านทำมาองค์เดียวนานมากแล้ว และก็จะช่วยเป็นตัวเพิ่มความเข้าใจให้กับพี่ๆ น้องๆ หรือศิษย์รุ่นหลังที่อาจเกิดไม่ทันเลยก็ได้ ที่มีความข้องใจในธรรมะบางอย่าง ซึ่งอาจตรงกับที่ได้เขียนไว้ ผมจึงได้ติดสินใจและรับปากกับพระ ดร.ปริญญา ท่านว่าจะเขียนลงด้วย

และที่จะเขียนนี้ก็เป็นเพียงประสบการณ์บางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อท่านกับวิชามโนมยิทธิ ตลอดจนคำสอนที่ได้รับโดยตรงจากท่านบ้างเท่านั้น เพราะถ้าเขียนมากเกรงว่า จะเยอะและฟุ้งจนเกินไป และการเขียนในบางครั้งอาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เพราะนานมามากแล้ว ก็มีการลืมบ้าง แต่ก็เป็นไปในทำนองนั้น

ก่อนอื่นผมขอตั้ง นะโมฯ 3 จบ บูชาพระรัตนตรัย บิดามารดา และครูบาอาจารย์ทุกท่าน รวมทั้งพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานด้วยก่อน เพราะวิชาความรู้ต่างๆ ผมได้มาจากท่านทั้งสิ้น หากมีการล่วงเกินทั้งทางกาย วจา ใจ ทั้งเจตนาหรือไม่ก็ตาม กระผมก็ขอขมาโทษมา ณ ที่นี้ด้วย และขอให้ท่านทั้งหลาย อดโทษให้ข้าพระพุทธเจ้านับแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

ผมได้มีโอกาสพบหลวงพ่อครั้งแรกในตอนอายุ 7 ขวบ ซึ่งเป็นวันเกิดของผม เพราะเนื่องจากว่า วันเกิดทุกปี ผมจะได้ใส่บาตรตอนเช้าเสมอ แต่ในปีนั้นใส่บาตรไม่ทัน พ่อของผมจึงบอกว่าไม่เป็นไร ใส่ตอนเช้าไม่ทันก็ไปใส่ตอนกลางคืนกัน ทีแรกผมก็งงว่าตอนกลางคืนจะไปใส่บาตรที่ไหน

พอตอนเย็นพ่อผมก็ได้พาไปทำสังฆทานที่ซอยสายลม ซึ่งในสมัยนั้นเป็นปี 2520 หลวงปู่มหาอำพันท่านก็ยังรับแขกอยู่ที่ซอยสายลมกับหลวงพ่อเช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นตอนเด็กอยู่จึงจำได้เพียงคลับคล้ายคลับคลาเท่านั้น

ในตอนที่ผมยังเล็กมานั้น คงประมาณ 3 – 4 ขวบ ผมเคยมีความรู้สึกว่าตนเองขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาโรงรถ ซึ่งยาวมาก เพราะเป็นโรงเก็บรถของทหาร และก็มีท่าน 2 ท่านมายืนขนาบผมอยู่ เมื่อมองลงมาผมก็เห็นแม่กับพ่อ อุ้มเด็กเดินมาคนละคนและก็มีเด็กจูงมาด้วยคนหนึ่ง ซึ่งถ้าดูไม่ผิดเด็กที่เดินจูงมาคือพี่ชายของผม และที่พ่อผมอุ้มอยู่คือน้องสาวผม

กำลังจะเดินขึ้นแฟลตซึ่งเป็นบ้านพักข้าราชการทหาร เป็นแฟลตนายสิบ ต่อมาผมก็มารู้สึกตัว และเริ่มจำความได้อีกทีก็ตอนเรียนอยู่ชั้นอนุบาลแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ในตอนนั้น ทำให้ผมสงสัยมากว่าเป็นอะไร และเมื่อโตขึ้นมาเรียนอยู่ในระดับ ป.5 – ป.6 ก็มีความรู้สึกแปลกอีก นั่นคือ

เมื่อผมเรียนอยู่ก็ดี ทำอะไรอยู่ก็ดี ผมมีความรู้สึกว่า มีอีกตัวหนึ่ง มันชอบไปเที่ยวดูโน่นดูนี่ตามที่ต่างๆ โดยมีความรู้สึกคล้ายกับตัวเนื้อนี้มา เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ผมยืนอยู่บนรถเมล์ซึ่งกังติดไฟแดงอยู่ อยู่ดีๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนกับตัวเองไปยืนอยู่บนหลังคารถ สามารถมองไปได้รอบบริเวณ มองเห็นสี่แยกได้ชัดเจน

ขยับท่าทางได้ตามอัธยาศัยผลุบเข้าผลุบออกขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้อยู่หลายครั้ง ทดลองทำอีกมันก็ได้ทุกครั้ง เสร็จแล้วผมก็เอาเจ้าตัวนั้นเล่นมวยจีนอยู่บนหลังคา ซึ่งตอนเด็กๆ ผมบ้ามวยจีนมากทีเดียว แต่สักเดี๋ยว ผมก็รู้สึกอายคนข้างๆ ที่อยู่ในรถ เพราะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า กายเนื้อมันทำท่าทางไปด้วยจริง เกรงว่าเมื่อเขาเห็นผมทำท่าทางแล้ว จะหาว่าไอ้เด็กคนนี้มันบ้าไป

จึงลงมาอยู่ในความรู้สึกธรรมดา ซึ่งเมื่อมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นมีใครสนใจอะไร ความรู้สึกนี้เอง เป็นอีกอย่างที่ทำให้ผมสงสัยว่ามันเป็นอะไรกันแน่ และคนอื่นจะมีความรู้สึกเหมือนผมหรือไม่ ตลอดจนสงสัยไปถึงเรื่องโลกในทำนองไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน และสภาวะต่างๆ ของโลกด้วย

ต่อมา ผมได้ถูกพ่อพามาฝึกมโนมยิทธิที่บ้านซอยสายลม แต่ก็ฝึกไม่ได้ เพราะไม่รู้เรื่องเลยว่าเขาทำอะไรกัน ตอนฝึก ผมกับพี่และน้องลืมตามองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะไม่รู้เรื่องจริงๆ ไม่ได้เตรียมตัวกันมามากพอ จึงทำให้ขาดความเข้าใจ ผมได้ฝึกมโนมยิทธิอีกครั้งที่วัดท่าซุง ที่ตึกธัมมวิโมกข์ ในตอนฝึกสมัยนั้น ผู้ชายมีพระท่านเป็นครูฝึกให้ ก็นั่งกันเป็นวง ประมาณ 5 – 6 คน

ในวงนั้นผมอายุน้อยที่สุด ในขณะที่ฝึกมีอยู่ช่วงหนึ่งครูฝึกท่านให้ไปดูพระจุฬามณี แล้วท่านก็ถามคนข้างๆ ผมว่าเห็นว่าเล็กหรือใหญ่ คนข้างๆ แกก็ตอบว่าเล็ก แล้วท่านก็ถามทีละคนไล่ไป แต่ละคนก็ตอบว่าเล็ก จนกระทั่งผมเป็นคนสุดท้าย ท่านก็ถามผมว่า เห็นว่าเล็กหรือใหญ่อีก ใจผมนั้น เห็นว่าใหญ่

แต่เห็นคนข้างๆ ตอบว่าเล็กกัน ผมเลยบอกว่า เล็กบ้าง เท่านั้นเอง ท่านก็เอามือมาจับที่ตักผมแล้วบอกว่า “เฮ้ย เห็นใหญ่อย่าว่าเล็กสิ” นั้นเป็นผลจากที่ผมตามผู้ใหญ่ แล้วตอบผิด นั่นแสดงว่า ครูฝึกสมัยนั้นท่านรู้ท่านเก่งสมกับเป็นครูจริงๆ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร เพราะว่าไม่ได้ลืมตาดู เพราะท่านสั่งว่าไม่ให้ลืมขณะฝึก

เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเห็นด้วยใจไม่ใช่ด้วยตา ซึ่งผมก็ยังระลึกถึงพระคุณของครูฝึกท่านนั้นเสมอ ทั้งที่ไม่มีโอกาสทราบว่าท่านเป็นใคร และถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งของผมเหมือนกัน
ทำให้ผมเริ่มเข้าใจว่าความรู้สึกต่างๆ ที่เคยมีมา นั่นก็คือมโนมยิทธิ หรือที่ท่านเรียกว่าของเก่าที่ได้มาจากอดีตชาตินั่นเอง

และมโนมยิทธินี้ ผมก็เคยพิสูจน์มาหลายครั้ง และที่เห็นได้ชัดก็คือ ในครั้งหนึ่งผมได้ไปเป็นลูกศิษย์พระที่เป็นญาติผู้พี่ ซึ่งบวชอยู่ที่จังหวัดตาก และจากนั้นพระท่านก็ย้ายจากวัดดอยเชียงทอง ไปยังวัดบางจักร จังหวัดอ่างทอง ซึ่งผมก็ตามไปเป็นลูกศิษย์ด้วย และก่อนวันที่จะย้ายไปนั้น ผมคิดจะทดสอบมโนมยิทธิของผม ที่ญาติๆ บางท่านบอกว่าเป็นวิชาสะกดจิตให้หลวงพี่ดู

ผมจึงหากระดาษกับดินสอหรือปากกามา แล้วเขียนรูปร่างผังของวัดว่าโบสถ์อยู่ตรงนี้ เมรุอยู่ตรงนี้ ศาลา กุฏิอยู่ตรงนั้น ด้านหน้าเป็นลานกว้าง และมีโรงเรียนในวัดตามตำแหน่งต่างๆ ที่เห็นให้หลวงพี่ท่านดูต่อหน้า ซึ่งเมื่อเขียนเสร็จ หลวงพี่ถึงกับออกปากว่า “ตั้งเคยไปแล้วนี่” ทั้งๆ ที่ถึงแม้ว่าผมเคยไป แต่ก็เป็นสมัยที่ยังเด็กอยู่มาก ผมเองก็จำไม่ได้

เพียงแต่ได้ยินจากพ่อและแม่ว่า เคยไปเมื่อตอนยังเด็กๆ เท่านั้น และก็ไปแค่บ้านญาติแถวนั้น วัดผมจะได้เข้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมจึงบอกกับหลวงพี่ว่า นี่แหละวิชาที่ผมเรียนมาที่ญาติบางท่านหาว่าสะกดจิต และเมื่อถึงวันที่จะย้ายจริงๆ แล้วในขณะที่นั่งไปในรถ ผมก็อยากดูว่า หน้าบันโบสถ์มีรูปร่างเป็นอย่างไร ผมก็เห็นเป็นรูปเทพพนม

และเมื่อไปถึง ผมก็เห็นหน้าบันโบสถ์ว่าเป็นรูปเทพพนมเรียงเป็นแถวตามที่เห็นจริงๆ ซึ่งถ้าใครบอกว่าเป็นวิชาสะกดจิต ผมก็จะขอยืนยันว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะในตอนนั้นก็ไม่เห็นมีใครมานั่งสะกดผม และถ้ามีวิชาสะกดจิตแล้ว สามารถเห็นได้ตามความเป็นจริงแบบนี้ ผมก็ยอมให้สะกดละครับ

หากท่านใดยังสงสัยก็ขอเชิญกันมาพิสูจน์กัน ไม่ใช่ว่าพอเห็นแกงก็บอกแล้วเผ็ด ทั้งที่อย่าว่าแต่กินเลย ดมก็ยังไม่เคย ก็ตีโพยตีพายไปแล้ว และถ้าฝึกไม่ได้ ก็จงคิดเถิดว่า ข้าวเมื่อท่านปลูกวันนั้นก็จะกินวันนั้นได้เลยหรือ

ผมได้มีโอกาสไปช่วยงานที่วัดบ้างในบางครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อท่านลงรับแขกที่ศาลานวราชใหม่ ก็มีคนเข้าไปถวายสังฆทาน พอว่างจากคน ก็มีคนชวนหลวงพ่อท่านคุย บางคนก็มาขอหวยบ้าง มาพูดในสิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวบ้าง ผมกับพี่เจี๊ยบ (ผู้หญิง) จึงปรึกษาว่าทำอย่างไรหลวงพ่อท่านจึงจะพูดธรรมะ หรือเล่าเรื่องอะไรสนุกให้ฟังบ้าง

จึงคิดกันด้วยปัญญาตื้นๆ ว่าจะถามหลวงพ่อว่า ทำไม คาถาสัมปะติจฉามิจึงเป็นพุทธานุสสติ เผื่อว่าเป็นคำถามนำเพื่อให้หลวงพ่อท่านเทศน์ต่อ เมื่อปรึกษากันแล้ว ผมจึงหาโอกาสเข้าไปถามหลวงพ่อท่าน แต่เมื่อเข้าไปถามแล้ว
หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า “ไอ้ระยำ พระพุทธเจ้าให้ ก็เป็นพุทธานุสสติสิวะ”

แล้วท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ ทำให้ผมรู้ตัวว่า ที่ถามอย่างนั้นเป็นการโง่จริงๆ และนับเป็นเมตตาของท่านเป็นอย่างมาก ที่แม้ท่านจะว่ามาแต่ท่านก็ยังตอบให้กับผม ซึ่งคำว่า “ไอ้ระยำ” ผมจะจำไว้เป็นระยำนุสสติไปจนตลอดชีวิตเลยทีเดียว

ซึ่งต่อมาตอนเย็นผมกับพี่เจี๊ยบก็ไปขอหลวงพี่ดูโทรทัศน์ที่ตึกธัมมวิโมกข์ และที่ปรึกษาข้อธรรมและคุยกับหลวงพี่ เพื่อเป็นการคลายอารมณ์
สักเดี๋ยวหลวงพี่นันต์ (พระครูปลัดอนันต์ พุทธญาโณ) ท่านก็พูดออกมาว่า “เออ หลวงพ่อนี่ถ้าถึงเวลาที่ท่านจะพูด ท่านก็จะพูดเองละนะ”

ซึ่งผมกับพี่ก็มองหน้ากันอย่างแปลกใจในคำพูดของหลวงพี่นันต์ ท่านและผมก็ได้กราบขอบคุณหลวงพี่นันต์ ที่ท่านเมตตาสงเคราะห์พวกผมในครั้งนั้นด้วย
และในการที่ผมได้มีโอกาสได้บวชให้หลวงพ่อในวันที่ 25 ธ.ค.2534 ครั้งนี้ ผมก็ยังได้มีโอกาสได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านอีกครั้ง

กล่าวคือ เมื่อผมบวชเป็นพระเสร็จในวันที่ 25 แล้ว ผมก็กลับไปที่กุฏิห้องพัก ก็มีญาติโยมตามไปส่ง และได้ทำบุญกันตามอัธยาศัย และโยมแม่ได้ฝากชุดนาคของหลวงลุงสมบูรณ์ สุมาลีไว้ที่ผม ผมจึงรับเป็นธุระนำไปคืนให้ และเมื่อตอนกลางคืนก่อนจำวัดนั้น ผมก็จัดของให้เรียบร้อย พอจัดเสร็จก็ไหว้พระ ทำกรรมฐานบ้างพอสมควรก่อนจำวัด เพราะง่วงและเพลียมาก

แต่พอนอนลง ของก็ยังเกะกะอยู่ ผมจึงลุกขึ้นมาจัดอีก ตอนที่จัดก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอจัดเสร็จ ก็มีความคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่า ถ้าเราต้องการของลุงสมบูรณ์มาเป็นของตนล่ะ เพียงคิดแค่นั้นเอง ยังไม่ทันนึกอยากได้หรือต้องการมาเป็นของตนเลย ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นตัวอุปาทาน คือคิดขึ้นมาลอยๆ เอง เพียงเท่านั้น ผมมีความรู้สึกว่าขนลุกจากหัวลงมาแล้ว รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมดทั้งตัว

ประกอบกับความกลัว อาจเพราะความระมัดระวังในศีลเกรงว่าตนเองจะอาบัติปาราชิก ทำให้ผมกลุ้มใจมาก แทบจะครองผ้าเหลืองไว้ไม่อยู่ทีเดียว เพราะเป็นการบวชครั้งแรกในชีวิตของผม อีกทั้งมีการเตรียมตัวมาน้อยอีกด้วย แต่ผมก็พยายามทำใจและพิจารณาตามความเป็นจริงว่า เราไม่ผิดเพราะเจตนาไม่มี

แต่ก็ยังมีความรู้สึกคล้ายกับมีอีกตัวหนึ่ง มาแย้งใจว่าจะให้ผิดให้ได้ แต่ผมก็พยายามไม่สนใจเสีย และต่อมาผมก็หลับ ทั้งที่ใจยังมีความกลุ้มอยู่บ้างเพราะความที่เพลียมาทั้งวัน พอวันรุ่งขึ้นผมก็ยังกลุ้มใจอยู่ แต่ก็พยายามข่มใจไม่คิดอะไร พยายามทำจิตใจให้ผ่องใส
แล้วขึ้นไปกราบเรียน ถามพระท่านว่า ผิดหรือไม่

พระท่านก็ทรงเมตตาตรัสตอบว่า “ถ้าลูกผิด ลูกก็มองไม่เห็นพ่อแล้วละ เพราะศีลไม่บริสุทธิ์”
แต่ผมก็ยังคงมีอารมณ์ข้องใจอยู่เพราะเกรงว่า จะอุปาทานคิดเข้าข้างตัวเองไปเอง จนกระทั่งวันที่สามของการบวช พระทุกรูปบวชเสร็จแล้ว ตอนเช้าผมก็ไปบิณฑบาตทางสายใต้

ในขณะที่เดินไปก็สวดอิติปิโสฯ และเมื่อคนใส่บาตรก็อธิษฐานขอให้ท่านผู้มีคุณ จงมีความเป็นอยู่คล่องตัว ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้ผลยิ่งใหญ่ ตามที่หลวงอาบรรจงท่านแนะนำ ผมก็ทำตามและผมดีใจมากที่มีคนมาใส่บาตรให้ผม มีทั้งคนแก่ คนหนุ่มสาว และเด็กๆ น่ารักจริงๆ และเป็นการบิณฑบาตครั้งแรกของผมด้วย

ในตอนบิณฑบาต ผมก็ยังจับภาพพระให้ลอยอยู่ตรงหน้า ทำอารมณ์ให้เป็นสุข แต่ในบางครั้ง ความคิดที่คิดว่า ตนเองอาบัติก็คอยจะมาแทรกอยู่เสมอ ซึ่งผมก็พยายามไม่ตามนึกถึง จนกระทั่งตอนบ่าย พระทุกรูปที่บวชใหม่ก็ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ที่ศาลานวราชใหม่ ผมจึงอธิษฐานว่า ถ้าผมผิดจริง ขอให้หลวงพ่อเทศน์เรื่องอทินนาทาน

แต่ผมก็คิดได้ว่า ถ้าอธิษฐานอย่างนั้น ถ้าหลวงพ่อจะเทศน์โปรดบุคคลอื่น ในเรื่องนี้ก็ไม่สามารถเทศน์ได้ ผมจึงอธิษฐานใหม่ว่า ถ้าผมผิดจริงแล้ว เมื่อผมเข้าไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อท่านทัก แต่เมื่อผมเข้าไปถวายสังฆทาน หลวงพ่อกลับเงียบไม่พูดอะไรเลย ทำให้ผมรู้สึกเบาใจและสบายใจขึ้นมากทีเดียว

และเมื่อพระทุกรูปถวายสังฆทานเสร็จแล้วหลวงพ่อท่านก็เทศน์ถึงการระมัดระวังในศีลของพระ โดยเฉพาะเรื่องอทินนาทาน ซึ่งในขณะที่ท่านกำลังเทศน์ หลวงพ่อก็มองมาที่ผมเสมอ คล้ายกับเป็นการบอกว่า หลวงพ่อท่านเทศน์โปรดเราโดยเฉพาะทีเดียว

ท่านบอกว่าการเคลื่อนย้ายของ เพื่อการจัดให้เรียบร้อยไม่เป็นไป หากอยู่ที่เจตนาคือความตั้งใจว่า เราต้องการจะเอาหรือไม่ ถ้าตั้งใจแม้ของมีราคาเพียง 1 บาท เพียงหยิบให้เคลื่อนไปเท่านั้นก็อาบัติแล้ว

และท่านยังเมตตาเทศน์ถึงเรื่องของพระนางมัลลิกาเทวี ที่ท่านมีอารมณ์กลุ้มที่ไปสะดุดเท้าพระสวามีทั้งที่ตัวเองไม่ตั้งใจ เป็นเหตุให้ต้องหย่อนเท้าลงไปในอบายภูมิ สิ้นระยะเวลา 7 วันมนุษย์ ทำให้ผมทราบว่า ท่านเจาะตรงมาที่ผมเลยทีเดียว ทำให้ผมสบายใจและคลายตัวจนหมดสิ้น

ซึ่งถ้าไม่ได้ความเมตตาจากหลวงพ่อในครั้งนั้น ผมคงกลุ้มใจไปจนตายเลยทีเดียว และคงมีอบายภูมิเป็นที่ไปแน่ๆ ผมจึงคิดได้ว่าการบวชพระนี้ คล้ายกับการฝึกมโนมยิทธิมากเลยทีเดียว นั่นคืออย่าสงสัย และที่สำคัญคือระวังอุปาทาน

ผมได้มีโอกาสได้ร่วมงานเป็นเจ้าหน้าที่คุมรถ ที่ไปวัดท่าซุงที่ทางซอยสายลมจัด โดยมีพี่นราธิป (สมชาย) เย็นทรวง เป็นหัวหน้าทีม และพี่ๆ อาๆ อีกหลายท่าน ในการคุมรถแต่ละครั้ง ให้ประสบการณ์ในแต่ละครั้งแตกต่างกันออกไป แทบทุกงานจะมีเรื่องมาเล่ากันสนุกๆ เสมอ ถ้าให้คนคุมรถแต่งเป็นหนังสือ ผมว่าคงเป็นเล่มที่หนามากทีเดียว

ผมมีโอกาสคุมรถครั้งแรก เมื่อตอนอายุประมาณ 15 – 16 ปี ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นงานเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งตอนนั้นคนคุมรถขาด เนื่องจากรถมาก พี่สมชายเลยบอกให้ผมไปช่วยลองคุมรถดู ผมก็ตกลงรับอาสา เพราะใจอยากอยู่แล้ว ในสมัยนั้น การจัดที่นั่งเป็นแบบฟรีสไตล์ คือเมื่อขึ้นแล้ว ก็เลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ ใครอยากจะนั่งตรงไหนก็ได้ ถ้าที่ว่าง

ผมได้คุมรถธรรมดาคันหนึ่ง ตอนขาไปผมก็เช็คคนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว นั่งไปกับรถจนถึงวัด ตอนนั้น คนคุมจะต้องนั่งที่หน้ารถตรงฝาเครื่องเพรายังไม่มีการจัดที่นั่งสำรอง หรือที่นั่งของคนคุมเหมือนสมัยหลัง ซึ่งถ้าง่วงละก็ต้องนั่งหลับกันอย่างระวังทีเดียว เพราะถ้าเผลอละก็หล่นลงมาแน่ๆ ส่วนตอนขากลับนั้น รถจะออกตามเวลาปกติคือ 3 โมงเย็น

ในวันนั้น พอผมมาเช็คคนบนรถขากลับ ก็ปรากฏว่ามีป้าคนหนึ่งมาหาผม แล้วบอกว่ามีคนแย่งที่นั่งของแก ให้ผมไปดูให้หน่อย ผมก็ไปดู ปรากฏว่าเป็นชายหนุ่ม 2 – 3 คน มานั่งแทน ผมจึงขอดูบัตร ปรากฏว่าเขาก็มีบัตรเหมือนกัน ซึ่งผมก็จะจัดหาที่นั่งใหม่ให้ก็ไม่มี แสดงว่าตีตั๋วเกิน ซึ่งอาจผิดพลาดกันได้เพราะคนมาก

หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะรถที่จัดมามีที่นั่งไม่พอซึ่งมีบ้างเป็นบางครั้ง ผมจึงขอให้คนที่ขึ้นมาใหม่ ลงไปรออยู่ข้างล่างก่อนแล้วจะจัดหาที่ให้ แต่แกไม่ยอมอ้างว่ามีบัตรเหมือนกัน (แสดงว่าขาไปไม่ได้ไปกับรถ แต่ขากลับจะกลับด้วย) จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น

ผมก็ใจไม่ดีเพราะคุมรถครั้งแรก ไม่เคยเจออะไรมาก่อนเลย บังเอิญพี่สมชายเดินผ่านมาจึงขอให้ช่วยไกล่เกลี่ย แต่รู้สึกว่าต่างคนต่างไม่ยอม ผมจึงฉุนพี่ผู้ชายที่มานั่งที่ของป้าเพราะแกหนุ่มกว่า แต่ไม่ยอมเสียสละให้คนแก่ ผมจึงพูดตะโกนประชดไปว่า “เสียดายที่ไม่มีเสื่อ ถ้ามีผมก็จะปูให้ป้าแกนั่งกับพื้นแล้ว”

พอพูดจบผมก็คิดขึ้นได้ว่า พูดไม่สมควรออกไป พี่ชายก็หันมาบอกว่า ไม่สมควรและให้ใจเย็นๆ แล้วให้ผมลงไปรอข้างล่างรถ ผลสุดท้ายพี่ชายก็หาที่ว่างบนรถคันอื่นให้ป้าแกได้ ซึ่งนับว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นความเลวอย่างยิ่งของผมทีเดียว

และพอลงจากรถ เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ ผมก็หาโอกาสไปขอโทษพี่ผู้ชายที่มานั่งทีหลังแต่ก็ไม่พบกัน จนกระทั่งบัดนี้ผมก็ไม่มีโอกาสได้พบเพื่อขอโทษแกเลย และตอนนี้ก็นึกหน้าไม่ออกแล้วด้วย เพราะนานมาแล้ว

พอกลับถึงบ้าน พ่อผมก็เทศน์มหาชาติกัณฑ์ใหญ่เลยทีเดียว แต่ก็มีประโยชน์มาก เพราะพ่อผมบอกว่า การเป็นคนคุมรถ อย่านึกว่าตนเองดีเด่นอะไร ไม่ใช่ว่าได้คุมรถแล้วจะเป็นเจ้านายเขา แต่กลับตรงกันข้ามเสมือนกับเป็นคนใช้เขาดีๆ นี่เอง ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปว่าผู้โดยสารถึงขนาดนั้น

เพราะไปวัดก็ไม่ต้องเสียเงินค่ารถ ไปได้เพราะผู้โดยสารแท้ๆ จึงควรไปเพื่อทดแทนคุณท่านตามหน้าที่ เพราะถ้าผู้โดยสารมีระเบียบวินัยแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีคนคุมรถอยู่เลย และในตอนหลังพวกพี่ๆ อาๆ ก็พูดกับผมในทำนองนี้เช่นกัน แต่ก็ยังกรุณาปลอบผมว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีอุปสรรคบ้าง เพราะเราทำงานกับคนมากๆ

จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ผมเจอปัญหาที่เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ถือซะว่าใช้หนี้กันไป และการคุมรถใครว่าสบายนั้น ถ้าคนที่เขารู้จักคุ้นเคยกับพวกผมดี ก็จะทราบว่าลำบากและเหนื่อยพอดู เพราะจะไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตนเองเหมือนกับผู้โดยสาร

จนในบางงานโอกาสที่จะไปกราบทำบุญกับหลวงพ่อ ทั้งๆ ที่ตนเองอยู่ที่วัดก็ยังไม่มีเลย แต่ผมก็ชอบงานนี้เพราะสนุกและพบอะไรที่เป็นประสบการณ์ชีวิตหลายแบบทีเดียว
ประสบการณ์ที่ผมได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผมขอเล่าให้ฟังอีกเรื่องคือ ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง หลวงพ่อลงรับแขกที่ศาลานวราชใหม่

ผมมีความคิดสับสนว่า จะปรารถนาพุทธภูมิต่อดีหรือจะลาไปกับหลวงพ่อดี เพราะถ้าจะลาก็เป็นห่วงพวกเพื่อนฝูงอีกหลายคน และถ้าจะอยู่ต่อผมก็คิดดูแล้วว่ามันทุกข์เหลือเกิน และผมก็ยังมั่นใจว่า ถ้าผมลา ผมก็สามารถที่จะไปนิพพานกับหลวงพ่อได้อย่างแน่นอน

ผมจึงได้อธิษฐานในใจว่า ลูกเจ้าไปปรารถนาพระโพธิญาณต่อหลวงพ่อแล้ว ถ้าหลวงพ่อเห็นว่า สมควรจะไปกับท่านก็ขอให้ท่านห้าม หรือทักให้ไปนิพพานกับท่าน แม้เพียงสักนิด ผมก็จะลาทันที ซึ่งในขณะที่ผมอธิษฐานอยู่นั้น ท่านก็ได้มองมาทางผม และเมื่อผมหาโอกาสเข้าไปแล้ว

ทำบุญกับท่านแล้ว เปล่งวาจาว่า “ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ลูกได้สำเร็จพระโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีวิริยาธิกะพิเศษ ในอนาคตด้วยเทอญ” ซึ่งในตอนนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คำว่า “วิริยาธิกะพิเศษ”” เป็นอย่างไร แต่ใจมันก็ชอบแบบนั้น จึงพูดไปแบบนั้น

หลวงพ่อท่านก็ได้เมตตาตอบบอกว่า “เออ พ่อไม่ห้ามนะลูก พ่อโมทนาด้วย” เท่านั้นเอง ผมมีความดีใจเหมือนกับว่า ตนเองจะได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแน่นอนเลยทีเดียว ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้มากยิ่งขึ้น และเป็นข้อพิสูจน์ว่า หลวงพ่อท่านสามารถรู้ใจบุคคลอื่นได้จริง

สุดท้ายนี้ เนื่องจากผมปรารถนาพุทธภูมิ ผมจึงขอกล่าวถึงประสบการณ์และความรู้บางอย่างสำหรับผู้ที่สนใจบ้าง
ก่อนอื่น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราปรารถนาพุทธภูมิและเป็นแบบใด คือปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ หรือวิริยาธิกะ ข้อนี้อยู่ที่ความชอบของใจ ถ้าเราเคยบำเพ็ญแบบไหนมาใจก็จะชอบแบบนั้นเอง

ผมทำความคิดตามที่ได้ศึกษามาจากตำราบ้าง และจากการได้ยินได้ฟังบ้างว่า การที่เราจะไปนิพพานเพียงลำพังคนเดียว ไม่เป็นประโยชน์ที่สูงสุด การที่ได้นำบุคคลเป็นอันมากไปได้ด้วยกับเรานี้สิ จึงเป็นประโยชน์สูงสุด และพึงพิจารณาถึงความทุกข์ที่จะพึงได้รับในการบำเพ็ญบารมี ว่าจะยอมทนไหม ยกตัวอย่างเช่น

ท่านเปรียบไว้ว่า บุคคลใดสามารถใช้เท้าเหยียบย่ำห้องจักรวาลหมื่นห้อง ซึ่งดาดาษไปด้วยคมมีดโกน ไปจนถึงฝั่งโน้นได้ บุคคลใดสามารถใช้กำลังแขนของตน ว่ายข้ามห้วงจักรวาลหมื่นห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำร้อนคล้ายกับในโลหกุมภีนรก ไปจนถึงฝั่งโน้นได้ บุคคลนั้นย่อมบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้

ซึ่งหลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าบารมีขั้นอุปบารมีขึ้นไปแล้ว เมื่ออธิษฐานจะต้องทราบด้วยว่า ตนเองบำเพ็ญมาแบบใด (ซึ่งอาจสามารถรู้ด้วยวิชาของตน) หลวงพ่อท่านบอกว่า พุทธภูมิจะต้องเป็นทุกอย่าง คือในกรรมฐาน 40 ต้องได้หมด

ผมเคยถามหลวงพ่อท่านว่า “หลวงพ่อครับ พุทธภูมิจะต้องลง (ผ่าน) นรกทุกขุมหรือครับ”
หลวงพ่อท่านก็ได้เมตตาตอบว่า “นรกมีไว้สำหรับคนชั่วนะลูก”
และสำหรับมโนมยิทธิ ถ้าขึ้นนิพพานได้

หลวงพ่อท่านบอกไว้ว่า อย่างน้อยต้องอุปบารมีจึงจะเข้าได้ และพุทธภูมิก็ต้องการนิพพาน ถ้ายังไม่ต้องการ หลวงพ่อท่านบอกว่ายังอีกนาน
และความรู้พิเศษที่ผมได้จากหลวงลุงพระราชกวี (วัดโสมนัส กรุงเทพฯ) ท่านได้กล่าว ท่านที่ได้บำเพ็ญปรมัตถบารมีแบบอุกฤษฎ์

คือถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา เช่น ในสมัยหนึ่ง พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตตรัยท่านทรงตัดพระเศียรถวายพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์รามเจ้า ได้ทรงเผาตัวเองด้วยผ้าชุบน้ำมันสองผืนถวายเป็นพุทธบูชา เป็นต้น ซึ่งนั่นเป็นการเร่งรัดบารมีอีกแบบหนึ่ง

นั่นคือ อัตราคือผลที่ได้เท่าเดิม แต่ระยะเวลาสั้นลงเหมือนกับทำงานหนักไม่กี่วัน แต่ได้ค่าจ้างเท่าคนทำงานเรื่อยๆ มาทั้งเดือน ยกตัวอย่าง เช่น หลวงลุง (วัดโสมนัส) (ซึ่งหลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นช้างปาลิไลยกะมาเกิด) ท่านเคยบอกผมกับเพื่อนๆ ว่า ท่านเหลือการบำเพ็ญอีก 5 อสงไขย (แบบวิริยาธิกะ)

แต่ท่านจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าภายในกัปนี้ ตามพุทธพยากรณ์ ก็คิดดูเอาก็แล้วกันว่า จะช่วยย่นระยะเวลาได้มากเพียงใด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละท่านด้วยว่า พร้อมหรือไม่ ซึ่งผมเชื่อว่าแต่ละท่านย่อมต่างก็ทราบกำลังใจของตนดี เพราะถ้าทำไปแล้ว ก่อนตายจิตเศร้าหมองก็มีทุคติเป็นที่ไป

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ก่อนตายจิตเศร้าหมองย่อมไปสู่ทุคติ” นะครับ และการบำเพ็ญแบบอื่นที่มีผลสูงก็ยังมีอีกหลายอย่าง
หลวงพ่อเคยบอกว่า “ความเข้มแข็ง ความเด็ดขาด การปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นตัวบังคับไปเอง”

ส่วนเรื่องเวลาที่นับเป็นอสงไขย มหากัป กัป นั้น ก็จะไม่ขอนำมากล่าวว่ามากเพียงใด เพราะเกรงว่าเนื้อหามันจะมากเกินไป
เท่าที่เขียนมานี้ ก็ไม่ใช่ว่าผมจะมายุให้บุคคลอื่นมาปรารถนาพุทธภูมิแบบผม หรือมาบำเพ็ญหนักๆ แบบที่ได้กล่าวไว้นะครับ เพราะผมพอจะทราบว่ามันทุกข์มาก

เพราะผมอยู่มาทุกวันนี้ ก็ไม่อยากจะเกิดอยู่แล้ว แต่มันก็จำเป็น ผมเห็นคนไปนิพพานเยอะ ผมก็ดีใจครับ แต่ผมขอบอกท่านที่บอกว่าจะไปนิพพานในชาตินี้ บางท่านนะครับว่า ถ้าทำตัวไม่เหมาะสมละก็ ระวังจะไปเจอพวกผมอีกในชาติหน้า หรืออาจพบกันในอบายภูมิก็ได้ สงสารหลวงพ่อท่านบ้างเถิดครับ ท่านสอนมามากขนาดนี้ ยังเอาดีไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

ในโลกนี้ ดอกมะเดื่อหาได้แสนยากฉันใด ความเป็นพระพุทธเจ้าหาได้แสนยากยิ่งกว่านั้น
หลวงพ่อท่านบำเพ็ญพุทธภูมิแบบวิริยาธิกะ ถ้านับรวมบารมี 30 ทัศแล้วจะได้เป็น 80 อสงไขย

ท่านลาพุทธภูมิมาเป็นสาวกภูมิ ทั้งที่บารมีมีท่านเต็มในชาตินี้ ตามพุทธพยากรณ์มาในอดีตชาติว่า ท่านจะลาพุทธภูมิในสมัยนี้ อย่าให้หลวงพ่อท่านเหนื่อยใจกับลูกหลานไปมากกว่านี้เลยครับ
ท่านที่ทำดีแล้ว ผมก็ขอเคารพนับถือในความดีและตัวของท่านอย่างเต็มใจ เพราะผมมันก็เป็นได้เพียงแค่ปุถุชนที่มีความเคารพในพระรัตนตรัยเท่านั้น

สุดท้ายนี้ หากคุณความดีจะพึงมีต่อการเขียนเรื่องนี้เพียงใด ขอส่งผลให้หลวงพ่อท่านจงมีความสุขกาย สุขใจ ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียน เป็นที่รักของลูกหลานและพุทธศาสนิกชนทุกท่านตลอดไป และหากมีความบกพร่องผิดพลาดประการใด กระผมก็ขออภัยในความโง่ของผม ที่ยังไม่แน่ว่าจะพ้นนรกหรือไม่ และขอรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว

สมัคคานัง ตโป สุโข ความเพียรของหมู่ชนผู้พร้อมเพรียงกัน (ความสามัคคี) ก่อให้เกิดความสุข (พุทธสุภาษิต) ขอทุกท่านจงมีนิพพานเป็นที่ไปเทอญ

◄ll กลับสู่สารบัญ


44

ไอ้หนู มานี่ซิ


นพดล (เอี้ยง) นคาวิเชตร์


...ตั้งแต่เด็ก ผมมีนิสัยชอบไปหาพระภิกษุที่มีอายุมากๆ แก่ๆ แบบหลวงปู่ต่างๆ ซึ่งพ่อกับแม่มักจะพาไปหาพระตามต่างจังหวัด ผมก็ชอบไปทำบุญ ผมชอบพระที่ดังๆ เกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะเรื่องอยู่ยงคงกระพันนั้น ผมชอบเป็นพิเศษ

...เพราะผมเป็นคนชอบพิสูจน์ ยิ่งบอกว่า รดน้ำมนต์แล้ว สามารถจะคุ้มครองอะไรได้ หรือวัตถุมงคลที่ได้รับมาสามารถป้องกันอาวุธ ชนิดยิงไม่เข้าหรือแทงไม่เข้า อย่างนี้เป็นต้น ผมมีความสนใจมาก ผมชอบไปดูด้วยตาตนเอง ไม่ได้ไปศึกษาหาธรรมะอะไร ผมชอบไปเสาะหาดูทางอิทธิฤทธิ์มากกว่า

...ต่อมา ผมเริ่มจะมีนิสัยเกเรมากขึ้น พี่สาวและพี่ชายเป็นห่วง กลัวว่าผมจะเสียคน จึงชวนผมไปวัดท่าซุง ซึ่งการไปวัดท่าซุงในครั้งแรกของผมนั้น ผมไปกับพี่สาวและพี่ชาย ซึ่งเป็นโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จมางานฝังลูกนิมิตโบสถ์วัดท่าซุง ในปี 2520

งานฝังลูกนิมิตนี้มีการอุปสมบทหมู่พระภิกษุประมาณ 42 รูป ซึ่งพี่ชายผมชื่อ “อเนก” ก็ร่วมอุปสมบทในคราวนั้นด้วย
ตอนผมไปวัดท่าซุงครั้งแรกนั้น ผมยังไม่เคยรู้ประวัติเกี่ยวกับหลวงพ่อเลย แต่เมื่อพบหลวงพ่อครั้งแรก มีความรู้สึกว่า “พระองค์นี้แน่” ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

แต่กลัวๆ หลวงพ่อ มองๆ ลีลาของท่านว่า เป็นยังไง คล้ายจะคอยจับผิดเพราะอยากพิสูจน์ ชอบลีลาหลวงพ่อ ที่ท่านเป็นพระที่ชอบพูดอะไรตรงๆ ถ้าจะด่าท่านก็ด่าเลย (แต่การด่านั้นไม่ใช่ด่าแบบพวกเรา – ท่านมีเหตุผลที่ลึกซึ้งมาก)

การที่ผมได้มีโอกาสมาพบหลวงพ่อ ในงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มางานฝังลูกนิมิต และมีพระสุปฏิปันโนมาร่วมนับสิบองค์ขึ้นไป เป็นต้นว่า หลวงปู่สิม หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่บุดดา หลวงปู่ชุ่ม เป็นต้น ทำให้ผมมีอารมณ์ฟู มีความประทับใจมาก ทำให้อยากมาอยู่และมาช่วยงานที่นี่

ครั้นเมื่อผมกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ ใจก็หันกลับมาทางโลกอีก ก็เริ่มเกเรอย่างเดิม ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ผมไม่มีอะไรทำ ก็เอาหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาอ่าน ซึ่งผมไม่เคยอ่านมาก่อน พออ่านหนังสือเล่มนี้ใจก็เกิดศรัทธา หนังสือที่หลวงพ่อเขียนขึ้น มีกี่เล่ม ก็เอามาอ่าน เช่นหนังสือฤาษีทัศนาจร พระเมตตา เป็นต้น

เวลานั้น ผมยังเรียนหนังสืออยู่ชั้น ม.ศ.2 – 3 ผมเกิดศรัทธาหลวงพ่อถึงขนาดนั่งรถเมล์ไปวัดท่าซุงคนเดียว ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะไปยังไง แต่ก็ไป ซึ่งพี่ๆ ผมก็แปลกใจ ผมไปลงมโนรมย์แล้วก็ข้ามโป๊ะไป จากนั้นก็ยืนโบกรถกระบะไปลงหน้าวัด

เมื่อผมมาถึงวัด ผมยังไม่รู้จักใครเลย แต่อยากช่วยงานวัด คิดว่ามีงานอะไรที่จะช่วยทำได้ผมก็จะทำ เมื่อมองดูแล้วมีงานที่ง่ายที่สุดคือ ช่วยล้างชามในครัวกับคณะครัวกองทุน ตั้งแต่นั้นมา เมื่อมีงานที่วัดท่าซุง ผมก็ไปช่วยแม่ครัวล้างชาม ติดไฟหุงข้าว

ซึ่งกลุ่มแม่ครัว มีป้าชอ (หรือป้าอัญชัน) แม่ปิ่น พี่ตี้ (พรนุช) ป๊ะ สมชาย เป็นต้น ผมก็มาช่วยเวลาหลวงพ่อเข้ามาสอนพระกรรมฐานที่กรุงเทพฯ บ้านท่านเจ้ากรมฯ เสริม (ซอยสายลม) ผมก็มาช่วย ใครใช้ทำอะไรผมก็ทำ

พี่แดง (ดาบตระกูล) สอบถามผมไปยังไงมายังไงจึงมาช่วย แล้วก็บอกให้ผมมานอนค้างที่บ้านซอยสายลม และเป็นผู้ที่คอยชี้แนะผมเสมอ จากนั้นผมก็มาช่วยงานหลวงพ่อเป็นประจำ
ต่อมาหลวงพ่อได้นำวิชาฝึกมโนมยิทธิมาสอนที่บ้านเจ้ากรมฯ เสริม (บ้านซอยสายลม) ผมก็ฝึกกับเขา แต่ฝึกไปไม่ได้ก็รู้สึกเสียใจ คิดว่าความดีเราไม่ถึงหรือ

พอดีมาเจอพี่ตี้ (พรนุช) บ้านอยู่ซอยเดียวกัน พี่ตี้แนะนำให้ไปหาที่บ้าน บอกว่าจะสอนให้ จึงนัดให้ผมไปหาที่บ้าน และสั่งให้ผมเตรียมธูปเทียนดอกไม้ไปด้วย วันรุ่งขึ้นผมก็ไปตามนัดไปหาพี่ตี้ ก็พากันเข้าห้องพระที่บ้านพี่ตี้ ฝึกกัน 2 คน

ผมก็ฝึกได้จึงดีใจมาก ผมนอนไม่หลับถึง 3 วัน เพราะรู้สึกมีปีติมากตลอดทั้ง 3 วัน พี่ๆ ที่บ้านกลัวผมจะเครียดเห็นนอนไม่หลับ เพราะผมออกไปเดินเล่นในซอย เดินไปเดินมาอยู่นั่น เขาเป็นห่วงกลัวฟิวส์ผมจะขาด แต่ผมก็สามารถควบคุมตัวเองได้

หลังจากนั้น ผมก็ไปช่วยงานวัดเป็นประจำ พอหลวงพ่อมาสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ผมก็มาช่วยที่บ้านซอยสายลม มาที่นี่ก็จับจุดไม่ถูก ไม่รู้จะช่วยตรงไหนดี เจอพี่สั้นก็บอกให้ผม ช่วยจัดวงสอนกรรมฐาน จัดพานดอกไม้ธูปเทียนบูชาครูก่อนฝึกแก่ผู้ที่จะมาฝึกมโนมยิทธิ

ผมก็คอยสังเกตว่าครูฝึกเขาสอนกันยังไงบ้าง ก็จับจุดได้ว่าการสอนแบบนี้ก็เป็นการแนะนำ ซึ่งคิดว่า ผมก็น่าจะทำได้เหมือนกัน ผมจึงเริ่มเป็นครูฝึกมโนมยิทธิกับเขาบ้าง
เมื่อผมเป็นครูฝึกมโนมยิทธิได้ไม่ถึงปี วันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อไปสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ขณะที่หลวงพ่อนั่งเป็นประธานอยู่

ท่านก็พูดขึ้นต่อหน้าญาติโยมพุทธบริษัทในวันนั้นว่า “ไอ้ครูที่ยังเลวอยู่ ถ้าไม่ดีก็อย่าเสือกไปเป็นครูเขา”
พอผมได้ยินเช่นนั้น ตั้งแต่วันนั้นผมก็เลยหยุดสอน เพราะมีความรู้สึกตัวว่า เรายังเลวอยู่

เพราะว่าบางครั้งสอนคน บางคนก็แก่ มีอายุเป็นรุ่นพ่อ รุ่นปู่ เป็นผู้ใหญ่ก็มาก เขายกมือไหว้ผม ในฐานะครูฝึกกรรมฐาน บางครั้งเจอผมบนถนน ก็ยังยกมือไหว้อีก เมื่อคิดได้เช่นนี้ผมหยุดสอนเด็ดขาด

จากนั้น ผมก็หันมาช่วยงานด้านอื่น ทุกครั้งที่ช่วยงานวัด ทุกครั้งที่เจอหลวงพ่อ ผมมีความรู้สึกขึ้นมาเองว่า (ขอประทานอภัยด้วย ที่ผมพูดตามความรู้สึกและความเห็นของผมโดยไมได้มีความเกลียดชังใครเป็นการส่วนตัว) บางคนที่ทำหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ

น่าจะมีความรอบคอบกว่านั้น มีความระมัดระวังมากกว่านั้น ผมไม่มีความพอใจ ไม่สบอารมณ์ ซึ่งสมัยก่อนเหตุการณ์ที่วัดสถานการณ์มันรุนแรง มีภัยจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งจ้องจะปองร้ายหลวงพ่อ ฉะนั้น ผู้รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ (หน่วยรักษาความปลอดภัย) น่าจะมีความรอบคอบ

ใจผมก็คิดอยากเข้าไปอยู่ใกล้หลวงพ่อบ้าง ตั้งแต่ผมไปช่วยงานที่วัดท่าซุงมา ผมก็ไปช่วยอยู่แผนกครัวมาตลอด อยู่กลุ่มแม่ครัว ผมจึงสนิทกันมา รู้อุปนิสัยกันดีหมด เวลาหลวงพ่อแจกของมาผ่านหัวหน้า ผมก็ได้รับด้วยก็มีความภูมิใจ

ช่วงหลวงพ่อไปภูกระดึง พอขึ้นภูกระดึง จำได้ว่า พอขึ้นถึงฐานภูกระดึง หลวงพ่อนั่งเสลี่ยงขึ้นภู เหมือนกับเป็นสัญชาติญาณของผม ที่ผมหาไม้ไผ่ 1 อัน พอขบวนเริ่มออก ผมก็เอาไม้ไผ่คอยฟาดไปข้างหน้า เคลียร์พื้นที่ (ผมก็ทำไปแบบอารมณ์เด็ก)

พอไปถึง “ซำแฮก” หลวงพ่อก็นั่งพักที่เรือนพัก พวกคณะติดตามก็พักดื่มน้ำกัน ปกตินั้นเวลาผมติดตามหลวงพ่อไปที่ไหน ผมจะคอยมองดูหลวงพ่อไม่ให้คลาดสายตาไปจากผม
ณ ที่นั้น หลวงพ่อพูดกับผมว่า “ไอ้หนู มานี่ซิ เอ็งชื่ออะไร” (ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่รู้จักชื่อผม)

ผมก็ตอบว่า “ชื่อ “เอี้ยง” ครับ”
ท่านพูดว่า “เออ ตั้งแต่นี้ให้เอ็งมาอยู่ใกล้ข้าฯ ตลอด”
ตั้งแต่นั้นมา กำลังใจผมเต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ กำลังใจฟูเต็มที่ มีความรู้สึกว่าตัวใหญ่กว่าโลกมนุษย์เสียอีก

พอขึ้นภูไปแล้ว ผมอยู่ยามได้ตลอด พวกพี่ๆ มีดาบตระกูล พี่ประมวล จ่าสาย พี่บัง พี่เฮี้ยง เปิดไฟเขียวให้ผมตลอด ไม่เคยขัดขวางผมเลย ไม่เคยกันผมเลย ทำให้ผมมีกำลังใจ พี่ๆ ไม่กีดกัน มีแต่ส่งเสริมแนะนำ อันไหนผิดพลาดก็ตักเตือนด้วยความหวังดี ตั้งแต่นั้นมา ผมทำอะไรก็แล้วแต่ ผมทำอย่างเต็มที่ด้วยความเต็มใจ

ช่วงที่ผมฝึกมโนมยิทธิได้ ก็มีอารมณ์ฟิตจัด ผมอยากจะเหาะได้ อยากมีฤทธิ์ อยากเป็นพระอรหันต์ คิดว่าถ้าผมมีฤทธิ์เสียอย่าง หากมีศัตรูมาทำร้ายหลวงพ่อ ผมจะจัดการให้หมด นี่ผมฝึกเครียด ทำแบบโง่ๆ เพราะใจคิดอย่างนั้น

พอหลวงพ่อไปพักที่คลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธ์ กลางคืนผมอยู่ยาม กลางวันก็คอยอยู่รับใช้หลวงพ่อ พออยู่ใกล้ๆ ท่าน เห็นชาวคณะที่ไปด้วยกันคุยกับหลวงพ่อ ก็อยากคุยบ้าง
พอผมอ้าปากจะคุยบ้าง หลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า “มึงอย่าเสือก”

ผมกำลังหนุ่ม อายก็อาย ต้องนั่งตัวแข็ง ต้องใช้อารมณ์กด น้ำตาก็จะไหล แต่จะต้องอดทน เพราะต้องอยู่ใกล้หลวงพ่อ อ่อนแอไม่ได้
หลวงพ่อเคยพูดว่า “เกิดมามันต้องมีความอดทน อย่าเป็นคนอ่อนแอ ขี้สำออย น้ำตาอย่าให้มันไหลออกมา อายเขา”

เพราะฉะนั้น เวลาถูกทำโทษหรือถูกดุต้องอดทน ทั้งๆ ที่อยากจะร้องโฮออกมา บางครั้งเวลาเสร็จงาน ต้องไปแอบร้องไห้เพราะเสียใจ เพราะผมไม่มีที่ปรึกษา ทุกครั้งที่ถูกดุ หรือถูกเตือน ถูกทำโทษหนักๆ บางครั้ง ถูกดุถูกทำโทษต่อหน้าสาธารณชนในศาลา ต่อหน้าคนเป็นหมื่นๆ คนก็จำเป็นต้องอดทน

ผมเคยถูกดุที่ศาลา 4 ไร่ ตอนนั้นเป็นงานวัดท่าซุง มีคนมากล้นหลาม งานยุ่งมีคนแหกคอกขึ้นมา ทหารที่ยืนอยู่แถวนั้นก็ไม่กล้า ผมก็เลยลงไป ก็เกิดผลักอกกันเกือบจะชกกัน
พอหลวงพ่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็เรียกให้ผมขึ้นมา (ขึ้นมาบนเวที)

แล้วหลวงพ่อก็พูดกับโยมที่มาในศาลาว่า (พูดออกไมค์) “อาตมาต้องขอโทษนะโยม อาตมาเลี้ยงหมดไว้ตัวหนึ่ง มันดุ ดูแลไม่ทั่วถึง เที่ยวไปกัดชาวบ้านเขา”
แล้วหลวงพ่อก็เอาตะพดตีหัวผม 3 หน เจ็บมาก ผมยืนตัวสั่น เรื่องอายไม่มี แล้วผมก็ทำท่าจะหลบไปที่อื่น

ท่านก็หันมาสั่งผมว่า “จะไปไหน ให้ยืนอยู่ตรงนี้”
คล้ายกับเป็นการประจานให้คนรู้ ทั้งเจ็บตัว ทั้งอาย ทั้งๆ ที่น้ำท่วมปอดแต่ต้องทำหน้าแข็ง

พอหลวงพ่อตีหัวผมเสร็จ ท่านก็พูดว่า “พวกโยมก็เหมือนกัน เวลาเจ้าหน้าที่แนะนำอะไร โยมก็ควรจะเชื่อฟังเขาบ้าง คนมันเยอะ”
ผมก็อารมณ์ชื้นขึ้น “เอ็งนะ ทำอะไร ถ้าข้าไม่สั่งละก็อย่าเสือก ถ้าทำผิดข้าก็ต้องทำโทษ”

ซึ่งคำพูดอย่างนี้ ไม่ทำให้ผมน้อยอกน้อยใจอะไร แต่กลับเพิ่มกำลังใจให้กับผมมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะถือว่าผิดเป็นผิด ใช้ไปทำอะไรก็ทำ
ท่านก็พูดอีกว่า “ถ้าพ่อไม่รักเอ็ง ข้าจะไม่เตือน ไม่สอน และก็ไม่ลงโทษ”
ผมลงมาจากตึกกลางน้ำ ผมน้ำตาคลอแล้วก็น้ำตาไหลเลย

การที่มาทำงานใกล้ๆ หลวงพ่อ ต้องรอบคอบ เรียบร้อย และต้องรวดเร็ว การถูกดุว่านั้นต้องโดนบ่อยมาก แต่เพราะถือว่า ท่านเป็นพ่อ ไม่ว่าท่านจะด่า จะตี จะอะไรก็แล้วแต่ ได้ทั้งนั้น เพราะถือว่าท่านเป็นพ่อ

เพราะฉะนั้น ความรู้สึกเหล่านี้จะไปกลบความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมด ความรู้สึกอย่างนั้นไม่มี ความรู้สึกที่จะไปนั่งอิจฉาเขามันไม่มี (ตอนมาใหม่ๆ มันมี) เพราะถือว่าบางครั้ง งานที่ตัวเองรับผิดชอบยังเอาตัวไม่รอดเลย จึงไม่มีเวลาไปสนใจคนอื่น เพราะตัวเองก็ยังทำได้ไม่เรียบร้อย ไม่สมบูรณ์

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ติดตามหลวงพ่อไปบ้านอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.สงวน จิตตาลาน ที่ จ.ลพบุรี ช่วงนั้นคนน้อย หลวงพ่อลงมาคุยกับญาติโยมพุทธบริษัทเรื่องกรรมฐาน ฟังจากคำแนะนำของหลวงพ่อ ก็มีความรู้สึกสงสัยอยู่ในใจแต่ไม่กล้า เพราะไม่มีเวลา

พอหลวงพ่อขึ้นห้องพักก็เหลือผมกับหลวงพ่อ 2 คนเท่านั้น ก็พอดีมีจังหวะ
ก็ถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ เมื่อกี้ที่หลวงพ่อบอกว่า คนเราถ้ายังไม่ถึงเวลาเพียงใด ฝึกอะไรก็ไม่สำเร็จ แล้วเราจะเร่งได้ไหมครับ?
(เพราะใจผมอยากจะเหาะได้ อยากเป็นพระอรหันต์)”

ท่านหันหน้ามา และพูดว่า “มึงไม่ต้องเสือก ไปได้”
ท่านพูดสั้นๆ แค่นั้น ผมก็รีบลงมาทันที ผมเคยถามปัญหาหลวงพ่อ 3 ครั้ง ถูกดุ 3 ครั้ง ตั้งแต่นั้นมาผมไม่ถามอีกเลย

แต่ผมจะคอยกวาดทั้งหมด ที่หลวงพ่อพูดกับญาติโยมพุทธบริษัท อันไหนสอนตรงตัวผมชอบใจ ก็จะเก็บเอามาใช้ เพราะบางทีผมไปชนกับปัญหาทางโลก ก็สามารถเก็บเอามาแก้ไขปัญหาแก่ตัวเองได้
ช่วงที่ผมเริ่มทำงานบริษัท 3 ปีแรก มีปัญหาเรื่องการคอรัปชั่นในที่ทำงานผม ซึ่งเป็นงานในความรับผิดชอบของผม แต่ผมไม่สามารถแก้ปัญหาได้

ผมเครียดอยู่ 3 เดือน คิดแต่เรื่องแก้ปัญหา แก้ไม่ได้ พออยู่กับหลวงพ่อที่ห้องชั้นบนบ้านซอยสายลม ผมก็ไม่พูด ผมนั่งก้มหน้า
อยู่ๆ หลวงพ่อก็ถามผมว่า “เออ เป็นไง งานของเอ็งน่ะ”
อยู่ๆ ท่านถามผมอย่างนี้ ผมมีความรู้สึกว่าท่านเปิดฝา เปิดโอกาสทองให้ผม

ผมก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมด ที่ผมต้องประสบปัญหามา เวลาเล่าต้องรวบรัด พูดสั้นให้ได้ใจความ พอผมพูดจบ ท่านบอกให้ผมไปแก้ 3 ตัว (3 ข้อ) คือ
1. อันไหน ที่ตรงกับหน้าที่รับผิดชอบ ให้แก้ไขให้ถูกต้อง
2. อันไหน ที่ไม่กระทบโดยตรง ให้วางเฉย ถ้ากระทบทำเป็นเฉยๆ หลบๆ เฉยๆ หลีกๆ
3. อันไหน ที่เป็นกฎระเบียบของเขา เราอย่าไปฝืนเขา (อย่าไปละเมิดกฎของเขา)

และอย่างอื่นไม่ต้องทำ แล้วพอกลับไปทำตามที่ท่านแนะนำ ปัญหาทุกอย่างแก้ได้หมด แถมเป็นพลังแฝงเขาคอยหนุนให้ผมด้วย กลัวผมจะนำความลับไปบอก แต่ผมไม่ทำ นี่เป็นสิ่งที่พ่อแนะนำ

หลวงพ่อท่าน เป็นพระเคร่งเรื่องกฎระเบียบ ท่านเคยปรารภกับผมว่า “การอยู่กับคนหมู่มาก มันต้องมีกฎระเบียบ ไม่งั้นเดี๋ยวคนโน้นจะเอาอย่างโน้นอย่างนี้ มันจะคุมกันไม่อยู่ เหมือนกับสมัยก่อน แม่ทัพถ้าไม่มีความเข้มงวดเด็ดขาด ในเรื่องระเบียบวินัย ก็ไม่สามารถจะคุมกองทัพได้”

เพราะฉะนั้น เวลาผมรับนโยบายจากหลวงพ่อมา ญาติโยมจะไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่แท้ๆ ที่จริง ญาติโยมเขาก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าทำผิดระเบียบ เมื่อเป็นเรื่องส่วนรวมผมก็ต้องทำตามระเบียบ เพราะฉะนั้น เวลาเราต้องไปคอยดุ ไปคอยเตือนเขานี่

บางครั้งก็คิดเหมือนกัน ต้องมีหลายคนต้องโกรธ เกลียด แต่ผมทำตามนโยบายของท่าน ไม่สนใจว่าใครโกรธ เกลียด คิดว่าทุกคนต้องเจออารมณ์กระทบกระทั่ง คิดว่าทุกคนที่เป็นลูกหลานหลวงพ่อจริง สักวันหนึ่งข้างหน้าเขาก็จะต้องเข้าใจ เพราะเขาไม่หนีไปไหนเขาต้องมาเอง

เพราะว่าตัวเขาเองจะเป็นผู้พิสูจน์ว่า เขาเป็นลูกหลวงพ่อจริงไหม ว่าเขามีความจงรักภักดีต่อหลวงพ่อแค่ไหน ฉะนั้นบางคนที่เจอปัญหา แล้วหนีไปเลยไม่กลับมาหาหลวงพ่ออีกโดยไม่เข้าใจ ก็ต้องเป็นเรื่องของตัวเขาเองที่จะทำความเข้าใจ เพราะว่าลูกหลานทุกคนท่านรักเท่ากันด้วย

ผมขอย้ำ แต่อยู่ที่ตัวท่าน จะรับความรักที่หลวงพ่อมอบให้มากน้อยแค่ไหน
หลวงพ่อ เป็นพระที่มีความอดทนมาก ทั้งๆ ที่อายุก็มาก ทุกขเวทนาก็มาก เวลาท่านมากรุงเทพฯ ต้องรับแขกเป็นเวลา 4 ชั่วโมง ถ้านับตั้งแต่เช้าถึงหัวค่ำ ก็ 8 – 10 ชั่วโมงติดต่อกัน เพราะฉะนั้นอาการเมื่อยทางกายของท่านต้องมีมาก

ผมเคยยืนคอยรับใช้ข้างๆ ท่าน ผมก็รู้ว่าอาการปวดเมื่อยทางกายของผมมีมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เท่าหลวงพ่อ แต่ก่อนผมเคยยืนทำงานทั้งวันที่สายลม ปัจจุบันผมก็มาคอยช่วยที่บริเวณใกล้ท่าน (ช่วยแจกวัตถุมงคล) ผมรู้ว่าอาการอย่างนี้ต้องปวดเมื่อยแค่ไหน

หลวงพ่อต้องมานั่งทั้งวัน พูดซ้ำๆ กันทุกวัน หลวงพ่ออายุมากขนาดนี้ ท่านต้องมานั่งทำอะไรซ้ำๆ อย่างนี้ทุกวัน หลวงพ่อจะทุกข์ขนาดไหน สำหรับตัวผมเองนั้นได้รับรู้แล้ว จะหลบหนีก็ไม่ได้ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อกำลังฉันยาตอนค่ำ พวกเราก็เปิดทีวีดูข่าวกันที่สำนักพุทธไชโย (หัวหิน)

ตอนนั้นหลวงพ่อป่วยมาก อาการเสมหะที่ขวางลำไส้อยู่ ขณะที่ดูทีวีอยู่ ผมก็เปลี่ยนไปดูทุกช่อง ปรากฏว่าข่าวทุกช่องมีแต่ปัญหา หมายความว่า ผู้ประกาศข่าวขึ้นต้นด้วยการแก้ปัญหา
ผมเลยกราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ เปิดทีวีทุกช่องมีแต่ปัญหา”

ท่านหันมามองหน้า แล้วพูดว่า “ใช่ๆ ลูก โลกนี้มันมีแต่ปัญหา มันมีแต่ความทุกข์ ในเมื่อเรารู้แล้ว เราต้องยอมรับ แล้ววางเฉย อย่าไปติดในโลก จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก”
เพราะฉะนั้น ทุกขเวทนาที่เกิดกับหลวงพ่อ เท่าที่ผมได้พบได้เห็นมา ประกอบกับความทุกขเวทนาที่ผมได้รับ มันเจอทุกวัน จะหลบหนีไปไหนก็ไม่ได้


webmaster - 26/3/11 at 14:27

นึกถึงคำพูดหลวงพ่อว่า “เมื่อรู้ว่ามันทุกข์ ให้ยอมรับแล้ววางเฉย ให้เข้าใจในโลกว่า มันเป็นธรรมดาของโลก ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็จะไม่มีทุกข์”
บางที ลีลาของหลวงพ่อ ท่านจะเปลี่ยนเรื่องทุกข์เป็นเรื่องสุข โดยเปลี่ยนเป็นเรื่องตลก จะสังเกตได้จากหลวงพ่อชอบพูดเรื่องตลกบ่อยๆ เพื่อให้ลืมทุกข์เสีย

แต่มันก็ขึ้นอยู่กับใครบ้างที่จะเข้าใจลีลาของหลวงพ่อ เรื่องที่หลวงพ่อคุยตลก ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ถ้าใครนำไปคิดพิจารณา ก็จะเกิดประโยชน์แก่ตัวของท่านเอง ที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ขณะที่หลวงพ่อป่วยมากๆ ญาติโยมลูกศิษย์ใกล้ชิด อยากจะขึ้นไปหาหลวงพ่อเป็นการส่วนตัว บางครั้งผมก็จนใจ เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ ที่จะต้องไม่ให้ใครขึ้นไปรบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน

แต่เมื่อมาคิดว่าถ้าผมปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรักษาชีวิตหลวงพ่อไว้ ถึงแม้ญาติพี่น้องจะโกรธจะเคืองอย่างไรก็ไม่มีปัญหา ต่อไปภายหน้าเขาคงจะเข้าใจผม เพราะการปฏิบัติหน้าที่บางครั้ง วันนี้ท่านอาจจะพบหลวงพ่อได้ แต่วันรุ่งขึ้น ท่านอาจจะทำแบบเดิมไม่ได้ เพราะว่าสภาพร่างกาของหลวงพ่อท่านเปลี่ยนไป

ท่านต้องเข้าใจความเหมาะสมและกาลเวลาที่เหมาะกับกาลเทศะ
เพราะผมเคยถูกหลวงพ่อดุเอาว่า “มึงไม่เห็นหรือ? ว่ากูจะตายอยู่แล้ว ให้มันรู้เวร่ำเวลาบ้าง?”
ซึ่งผมก็แปลกใจ เมื่อวานนี้ยังให้เข้าพบได้ แต่วันนี้ทำไมไม่ให้พบ แล้วผมยังถูกดุด้วย

ฉะนั้น บางครั้ง แม้แต่จะขึ้นไปขออนุญาตในขณะที่เป็นเวลาส่วนตัวของหลวงพ่อ ผมยังไม่กล้า เพราะพออ้าปากจะพูดก็ถูกดุเสียแล้ว เวลาท่านมีความทุกขเวทนามาก
ท่านเคยปรารภว่า “พวกมึงไม่เข้าใจหรอก ว่ากูมีความทุกขเวทนาขนาดไหน เอาแต่ตอบครับผมๆๆ”

บางครั้ง หลังจากที่หลวงพ่อรับแขก ท่านมีอาการเครียดจัด ซึ่งพวกเรา ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้ลีลาของท่าน เพราะฉะนั้น บางครั้งหลังเลิกรับแขกแล้ว ท่านจะคุยกับลูกหลานใกล้ชิด เพื่อคลายความเครียด เช่นคุยกับป้าอัญเชิญ คุยกับเจ๊ขวัญ ซึ่งพวกนี้จะรู้ดีว่าหลวงพ่อท่านเป็นอย่างไร

เขาจะไม่หาเรื่องเครียดๆ มาให้กับหลวงพ่อ แต่จะคุยกันแต่เรื่องตลก หลวงพ่อก็นั่งหัวเราะสบายใจ เป็นเวลา 15 – 20 นาที โดยประมาณ แล้วท่านก็จะเข้าที่พักเพื่อฉันยา แล้วท่านพูดว่า “เออ ดีเหมือนกัน ให้มันหัวเราะเสียบ้าง มันจะได้คลายเครียด”

ฉะนั้น เวลาใครจะถามปัญหาหลวงพ่อให้ดูเวร่ำเวลาบ้าง ว่าปัญหาใดควร ปัญหาใดไม่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องความทุกข์ที่มันเป็นธรรมดาของโลก ขอให้ยอมรับเสียว่า โลกมันเป็นทุกข์อย่างที่หลวงพ่อสอน

ในด้านความจำนั้น หลวงพ่อจำแม่นมาก โดยเฉพาะเรื่องความผิดของลูกๆ ที่ทำเอาไว้ สมัยก่อน เวลาทำงาน ผมจะถือโทรโข่ง คอยประกาศรอบวัด สมัยนั้นยังไม่มีวิทยุมือถือ เวลาหลวงพ่อสั่งงานมา ผมก็จะใช้โทรโข่ง เดินประกาศให้ญาติโยมทราบ

มีอยู่ครั้งหนึ่งพองานเสร็จ ผมก็กลับบ้าน โดยลืมถอดแบตเตอรี่ที่อยู่ในเครื่องออก โดยหลวงพ่อบอกแล้วว่า หลังจากใช้แล้วให้เอาแบตเตอรี่ออกด้วย แต่ครั้งนั้นผมรีบกลับบ้านลืมเอาแบตเตอรี่ออก 3 เดือน หลังจากนั้นทางวัดมีงานผมก็หยิบมาใช้

พอหลวงพ่อเห็นปั๊บ ท่านดุทันที “มึงใช้ของแล้ว ทำไมไม่รักษา บอกให้เอาแบตเตอรี่ออก ทำไม่เอาออก ดูซิของเสียหายหมด ต้องเอาไปให้ช่างเขาซ่อม เลว ใช้ของสงฆ์แล้วไม่รู้จักรักษา มึงจะลงนรกรู้ไหม?”

ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่รู้กี่ปี ผมหยิบโทรโข่งมาใช้ทีไร ต้องถูกดุทุกที มีหลักอยู่อย่างหนึ่ง เวลาหลวงพ่อดุไม่ว่าด้วยกรณีใดๆ ต้องยอมรับโดยดี ห้ามอ้างเหตุผลว่า เพราะอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าอ้างเมื่อไรเจอตะพดทันที

หลวงพ่อท่าน เป็นคนชอบเครื่องอิเลคโทรนิคอะไรใหม่ๆ ที่คนเอามาถวายใช้งานภายในวัด ท่านหวงมาก (หวงในที่นี้ไม่ใช่หวงสมบัติ ท่านกลัวว่าคนจะไม่รู้วิธีใช้จะทำของสงฆ์พัง แล้วจะบาป)
ผมก็เป็นคนชอบใหม่เหมือนกัน เวลาหลวงพ่อได้อะไรใหม่ๆ มา ผมก็คอยดูคอยสังเกต แต่ไม่ได้ไปจับอะไร

มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อไปพักที่กองพันสัตว์ต่าง (จ.โคราช) มีคนถวายเครื่องขยายเสียงขนาดกระเป๋าใหญ่รุ่นใหม่จากเมืองนอก (เพื่อให้หลวงพ่อใช้ในกิจการสงฆ์) หลวงพ่อก็หยิบออกใช้ โดยผมนั่งดูอยู่ข้างๆ แล้วท่านก็หันมามอง แล้วก็อธิบายสรรพคุณว่า “ไอ้ตัวนี้มันดีนะ ไวต่อเสียงมาก”

แล้วท่านก็ส่งมาให้ผมจับ ผมก็หยิบไมค์มาพูดแล้วก็ใช้นิ้วเคาะ ปรากฏว่าท่านหันซ้ายหันขวา ผมนึกว่าท่านมองหาอะไร กลายเป็นว่าท่านคว้าไม้ตะพดแล้ว หันมาพูดนิ่มกับผมว่า “มึงจำไว้นะ ไอ้ไมโครโฟนนี่มันบอบบาง อย่าไปทำอะไรที่มันรุนแรงกับมัน”

แล้วท่านก็เอาไม้ตะพดฟาดกลางหัวผม 3 หน ฟาดแรงมาก โอ้โหย รู้ไหม มันจำเสียไม่มีวันลืม
พอถูกตีเสร็จ ผมก็นึกในใจว่า “อ้าว ก็หลวงพ่อเอามาให้ผมใช้ทำไม?”
แต่ก็ได้ความรู้ว่า ของสงฆ์ต้องถนอมอุปกรณ์ต่างๆ ต้องรู้จักใช้ เรื่องใช้ของสงฆ์นี่สำคัญมาก

ท่านเตือนย้ำเสมอว่า “เงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่ญาติโยมให้มา จะถือว่ามีค่าน้อยไม่ได้”
ท่านเคยบอกว่า “การรักษาของสงฆ์ ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องยอม”
หลวงพ่อท่าน มีความเป็นห่วงในกิจการของสงฆ์ทุกลมหายใจ

จะสังเกตได้ว่า เวลาหลวงพ่อพักผ่อนนอนหลับ แม้กระทั่งท่านป่วย บางคืนท่านตื่นมาเข้าห้องน้ำตี 2 ตี 3 ออกมาจากห้องส้วม พอมานั่งที่เตียง ท่านก็จะพูดถึงเรื่องการก่อสร้างที่ยังค้างอยู่ อันไหนที่ยังบกพร่องอยู่ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านตื่นขึ้นมาตอนตี 2 ก่อนนอนหมอฉีดยานอนหลับ (ประมาณ 4 ทุ่ม)

ประมาณ 5 ทุ่ม ท่านตื่นมาเข้าห้องส้วมกินยานอนหลับอีก 2 เม็ด ตี 2 ตื่นเข้าห้องส้วม พอออกจากห้องส้วมมานั่งที่เตียง ก็พูดกับพระใบฎีกาประทีปว่า

“เออ...ทีป! ถ้าพ่อตาย พวกเอ็งต้องสามัคคีกันไว้นะลูก ถ้าพวกเอ็งแตกความสามัคคีกันเมื่อไร พวกเอ็งก็จะอยู่วัดนี่ไม่ได้ เราต้องปกครองกันเองตามที่พ่อตั้งไว้ สำคัญที่สุดพวกเอ็งต้องสามัคคีกัน ถ้าพวกเอ็งแตกความสามัคคีเมื่อไร พวกคนอื่นเขาก็จะมาปกครองเอ็ง แล้วพวกเอ็งก็จะเดือดร้อนทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อจัดสรรไว้ให้หมดแล้ว บัญชีค่าใช้จ่ายต่างๆ ในวัด พ่อจัดเตรียมไว้ให้พวกเอ็งเรียบร้อยแล้ว จำไว้นะลูก ต้องสามัคคีกัน” แล้วท่านก็นอน

เวลาเดินทางไปต่างจังหวัดไปไหนๆ กับหลวงพ่อ พอขบวนเริ่มออกจากวัดก็ต้องมีเหตุ หมายความว่า จะมีใครคนใดคนหนึ่งต้องถูกดุเป็นแน่ เป็นฤกษ์ชัย ทั้งๆ ที่พวกเราเตรียมพร้อมกันหมด แต่มันก็ต้องมีสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดาบตระกูลพี่บัง หรือตัวผมเอง

อย่างดาบตระกูล พอขบวนออกพ้นหัวโค้งวัด ก็จะต้องเปิดกระติกกินกาแฟทันที มีอยู่คราวหนึ่ง กระติกกาแฟเกิดล้มแตก น้ำกาแฟก็หกราดเปื้อนรถหมด
หลวงพ่อก็ด่าตั้งแต่ขบวนรถออกจากอุทัยยันเชียงใหม่ว่า “ไอ้...ย.ม....พอขบวนออก ก็เริ่มแดกเลยนะ”

บางครั้งเครื่องวิทยุ หลวงพี่ทีปเตรียมไว้ให้พร้อม แต่พอขบวนรถออกก็ใช้ไม่ได้ ก็มีเหตุให้ถูกด่า (แสดงว่าพวกเราขาดความรอบคอบ)
บางครั้งในขณะเดินทาง พวกพี่ๆ เขาจะคุยกันทางวิทยุ สนุกสนานไม่ถูกดุ หลวงพ่อหัวเราะ ยิ้ม ไม่ถูกดุ

พอผมพูดวิทยุเล่นบ้าง ท่านดุว่า “มึงไปพูดเล่น เดี๋ยวมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจริงๆ เดี๋ยวมันก็ไม่เชื่อ”
ผมก็มาคิดว่า เอ๊ะ ทำไมพวกพี่ๆ ทำได้ แล้วทำไมผมทำไม่ได้ ความจริงเหมือนกับท่านให้ผมศึกษา เหมือนกับเราเป็นนักศึกษา ได้ดูเขาเล่นละครซึ่งกำหนดไว้ว่า

มีตัวผู้เล่นรับบทนั้น บทนี้ ถ้าอยากลงไปเล่นเองก็โง่เต็มที แท้ที่จริงแล้วท่านให้ผมเรียนศึกษาจากพี่ๆ ที่เป็นตัวอย่าง
บางเวลา ที่หลวงพ่อว่างจากการรับแขก ลูกหลานใกล้ชิด และพี่ๆ ก็จะเข้ามาคุยเรื่องสนุกสนานต่างๆ เป็นที่เฮฮา แต่เวลาเริ่มทำงาน ทุกอย่างจะกลับหน้ามือเป็นหลังมือ

ทุกคนจะรู้หน้าที่ว่า ใครจะเล่นบทไหนก็ว่ากันไป ทุกอย่างจะอยู่ในระเบียบวินัยหมด เพราะถือว่าเวลานั้นเป็นเวลาปฏิบัติงานหมด
เรื่องก้าวก่ายหน้าที่ในวัด ก่อนงานสำคัญๆ ที่วัด ท่านจะไปตรวจงานชี้แจงว่า ควรจัดสถานที่งานอย่างไร ก่อนงาน 1 วัน แล้วก็จะวางแผน แล้วสั่งงานพระที่มีหน้าที่รับผิดชอบไว้

สถานการณ์ของงานแต่ละงาน จะมีแผนงานไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่างานที่แล้วเป็นยังไง งานนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ซึ่งคิดผิด บางครั้งผมเห็น พอเริ่มงานก็มีการก้าวก่ายกัน อย่างเช่น เครื่องเสียงเครื่องไฟต่างๆ ในศาลา 4 ไร่ , 2 ไร่ , 12 ไร่ ซึ่งหลวงพ่อวางแผน ให้พระที่รับผิดชอบปฏิบัติงานแล้ว (วางแผนแล้ว)

และได้ทดลองกันอย่างดีก่อนงาน พอเริ่มงานก็มีพวกที่เข้ามาขอแทรกใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือบอกกล่าวกับพระเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ ปรากฏว่าพอหลวงพ่อเริ่มใช้งาน ระบบเสียงเสีย ระบบไฟเสีย พระที่รับผิดชอบก็ถูกดุเอา บางครั้งพระเจ้าหน้าที่ท่านก็ไม่ทราบสาเหตุ

สำหรับตัวผม บางครั้งได้รับคำสั่งเฉพาะกิจให้ปฏิบัติแก้ไขเปลี่ยนทิศทาง หรือปรับเปลี่ยนแผนโดยตรงจากหลวงพ่อ แต่ก่อนที่ผมจะลงมือปฏิบัติ ผมก็ต้องเข้าไปชี้แจงกับพระเจ้าหน้าที่โดยตรงก่อน (หลวงพี่พระครูสังฆรักษ์สุรจิต) จะได้ประสานงานกันเพื่อแก้ไข

บางครั้งท่านมีเหตุผลของท่าน แต่เราได้รับคำสั่ง ก็ต้องพบกันคนละครึ่งทาง จะได้เข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย บางครั้งการทำงานโดยไม่ปรึกษากัน จะทำให้เกิดข้อแตกแยกกัน ทำให้เกิดการขาดความสามัคคีกัน ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายก็มีเจตนาดี แต่เพราะไม่หันหน้าเข้าปรึกษากัน

เรื่องคำสั่งของหลวงพ่อนั้น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เวลาผมรับคำสั่งจากหลวงพ่อ ผมต้องทวนคำสั่งให้ท่านฟังก่อน 1 ครั้ง ถึงจะไปปฏิบัติได้
โอกาสที่ผมจะศึกษาในเรื่องธรรมะไม่ค่อยมี เพราะไม่ค่อยมีโอกาส เพราะว่ามีความรู้สึกว่าตัวเองทำได้แค่ไหนก็พูดได้แค่นั้น ผมไม่ได้มีความรู้สึกมาทางสายสอนคนอื่น

ผมจึงไม่ได้แนะนำใครมาหาหลวงพ่อ เพราะสถานการณ์แต่ก่อนที่วัดท่าซุงมีความรุนแรง ศัตรูอาจเอาตัวผมเป็นสะพานเข้ามาหาหลวงพ่อ เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ทำตัวสนิทกับใคร ไม่พูดเล่นกับใคร ไม่เปิดโอกาสให้ใครมาตีสนิทกับผม โดยเฉพาะคนแปลกหน้า

ดังนั้น จึงเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ว่าทำงานตามปกติที่ผมจะต้องทำ เพราะฉะนั้นบางคนถามว่า อยู่กับหลวงพ่อมาหลายปี เคยเจอปาฏิหาริย์อิทธิฤทธิ์บ้างไหม? ผมไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เพราะว่าเจอเสียจนชินแล้ว ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา

สรุปชีวิตนี้ ผมคิดว่า ถ้าผมไม่เจอหลวงพ่อ ผมคงลงนรกแน่ๆ เพราะว่าความชั่ว 5 ประการครบ โหดร้าย มือไว ใจเร็ว พูดปด หมดสติ ครบลงนรกแน่
แต่เพราะบุญที่ผมมาเจอหลวงพ่อ ทำให้ผมพบทางสว่าง ทางที่ถูก เพื่อที่จะพ้นจากโลกใบนี้ (ใบเบี้ยวๆ) ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์

เพื่อจะได้หมดจากทุกข์เสียที จะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะหลวงพ่อท่านได้สอนวิธีการปฏิบัติสายตรงสู่พระนิพพาน และเทคนิคต่างๆ ในการหลบเลี่ยงบาป เคราะห์ ให้ไว้แล้ว ซึ่งแล้วแต่สติปัญญาของแต่ละคน แต่ผมแน่ใจ 100% เต็ม ว่าผมไปนิพพานแน่ ไม่ว่ากรณีใดๆ ผมมีวิธีของผมที่พ่อให้ไว้ ที่จะนำผมไปสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

ที่สุดนี้ ผมขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พรหม เทวดาทั้งหลาย โปรดช่วยสงเคราะห์ขันธ์ 5 ของหลวงพ่อ ให้ทุเลาเบาบางลงจากทุกขเวทนา

ถึงแม้จะไม่หายขาด เพราะเป็นเรื่องกฎของกรรม แต่ขอให้เบาจากทุกขเวทนา และให้หลวงพ่อมีอายุยืนนานต่อไป เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา เป็นร่มโพธิ์แก้วร่มไทรทองของชาวประชาต่อไป อีกชั่วกาลนานเทอญ

◄ll กลับสู่สารบัญ


45

มากราบหลวงพ่อ


ส.อ.วิชัย ศิลปศร


........ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา ปฏิปัตติบูชายะ
....ข้าพเจ้าเป็นคน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันได้รับแต่ความทุกข์และผิดหวังอย่างมาก เคยรับราชการทหารอยู่สิบกว่าปี ได้รับยศสิบเอก แล้วลาออกมาประกอบอาชีพส่วนตัว

...ชีวิตในอดีตเมื่อได้รับความทุกข์ระทม ก็เอาสุรายาเมาเข้ามาแก้ ไม่รู้จักคำว่าศีล 5 หันหน้าเข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว หมดความสงสัยในพระรัตนตรัย ถือศีล 5 ได้เองโดยอัตโนมัติมาสิบกว่าปีแล้ว

... เห็นความทุกข์ในโลกนี้ และความทุกข์ในการเกิดท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร คิดว่าไม่อยากเกิดอีกแล้ว อยากให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
... เมื่อปี 2520 บังเอิญข้าพเจ้าเห็นหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ที่บ้านแม่ของข้าพเจ้า จึงลองหยิบมาอ่านดู เมื่ออ่านจบแล้วรู้สึกเคารพรัก นับถือหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง

ชอบใจชื่อที่หลวงปู่ปานตั้งให้ อีกทั้งสำนวนการเขียนและลีลา อารมณ์ขันถูกใจไปหมดทุกอย่าง อยากมากราบเท้าหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง จึงเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2520 จึงเดินทางมาวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ถึงวัดเวลาประมาณ 16.00 น. ตรงเข้าไปในร้านอาหารเจ๊กิมกี (ตอนนั้นก็ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักเจ๊กิมกี)

ถามหาหลวงพ่อ เจ๊กิมกีบอกว่าหลวงพ่อไปทำธุระนอกวัด ก็เป็นอันว่าไม่แจอหลวงพ่อ ค้างที่วัด 1 คืน รุ่งเช้าเดินทางกลับ ปีรุ่งขึ้นคือวันที่ 8 เมษายน 2521 (ถือว่าวันเดียวกันแต่คนละปี) เดินทางมาวัดท่าซุงอีก ถึงวัดประมาณ 16.00 น. พอมาถึงวัดก็เดินเข้าไปคุยกับคณะชาวโคราช มาทอดผ้าป่า

เขาก็พูดว่า หลวงพ่อลงรับผ้าป่าจากคณะชาวโคราชเมื่อบ่ายโมงแล้ว ดังนั้น เวลากลางคืน 20.00 น. หลวงพ่อจะไม่ลงรับแขกอีก ข้าพเจ้ายังได้ยินเสียงหลวงพ่อกระจายเสียงออกมาอีกว่า คืนนี้จะไม่ลงรับแขก

ข้าพเจ้าจึงมานั่งเสียดายในใจว่า เมื่อปีที่แล้ว เรามาหลวงพ่อไม่อยู่ ปีนี้มาได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ไม่ได้เห็นองค์ท่าน ก็คิดว่าพรุ่งนี้เช้าเราก็จะกลับบ้านที่ อ.โพธารามแล้ว ไม่เป็นไรไม่เจอ คราวหน้ามาใหม่ คงได้พบสักครั้งเป็นแน่

ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงเปิดเครื่องกระจายเสียง เสียงหลวงพ่อพูดขึ้นว่า อาตมามีข่าวดีจะแจ้งให้ญาติโยมทราบ (ข้าพเจ้าก็นึกว่าข่าวดีอะไร พรุ่งนี้เช้าเราจะกลับแล้ว) ที่ว่าอาตมาจะไม่ลงรับแขกตอน 2 ทุ่มนั้น บัดนี้อาตมาขอแจ้งให้ทราบว่า อาตมาจะลงรับแขกตอน 2 ทุ่มอีก

จึงทำให้ข้าพเจ้ารอเห็นหน้าหลวงพ่อด้วยความตื่นเต้น เมื่อถึงเวลา หลวงพ่อเดินขึ้นศาลานวราช มีสุนัขเดินห้อมล้อมหลวงพ่อเต็มไปหมด ไปดมคนนั้นที ดมคนนี้ที แต่ข้าพเจ้าเขาไม่มาดม เราก็กลัวๆ อยู่เหมือนกัน ก็เข้าคิวกันเข้าไปกราบหลวงพ่อ แขกคืนนั้นประมาณ 30 – 40 คน

พอถึงคราวข้าพเจ้าคุกเข่าเข้าไปอยู่หน้าหลวงพ่อก็ตื่นเต้นไปหมด ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับหลวงพ่อ ได้แต่พูดว่า “หลวงพ่อครับ ผมรู้จักหลวงพ่อจากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน” เมื่ออ่านจบแล้วก็จะมาหาหลวงพ่อนึกว่าจะไม่ได้พบหลวงพ่อเสียแล้ว

หลวงพ่อนั่งยิ้มๆ และพูดอะไร 2 – 3 คำ ข้าพเจ้าได้ยินไม่ถนัด เมื่อหมดแขกแล้ว ได้เวลาสมควร หลวงพ่อก็ขอตัวกลับกุฏิ ขณะที่หลวงพ่อเดินมา ข้าพเจ้าสบโอกาสที่จะทำตามที่ตั้งใจมา จึงคลานเข้าไปหาหลวงพ่อ ท่านหยุดยืนรออยู่

ข้าพเจ้าเข้าไปกราบบนหลังเท้าท่านสามครั้ง ด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่ง หลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็มาวัดท่าซุงและซอยสายลมบ่อยๆ ข้าพเจ้านับถือพระรัตนตรัยอย่างสูงสุด และนับถือหลวงพ่อเป็นพระสงฆ์องค์เดียวในดวงใจ

◄ll กลับสู่สารบัญ


46

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


ระพี เลขะกุล


........ในช่วงปลายปี พ.ศ.2519 ข้าพเจ้าเริ่มคิดถึงเรื่องความตายขึ้นมาเป็นครั้งแรก กลัวการตายคนเดียว และเมื่อตายแล้วจะไปไหน กับใคร ที่ๆ จะไปมืดหรือสว่าง ไม่มีทางทราบได้ ความคิดเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้ากลัวความตายจับใจ เพราะไม่สามารถหาคำตอบจากใครได้

.....แต่ข้าพเจ้าก็โชคดี ที่ในขณะนั้น ได้อ่านพบบทความเกี่ยวกับหลวงพ่อ พระมหาวีระ ถาวโร ในหนังสือนิตยสาร “ขวัญเรือน” ฉบับหนึ่ง บรรยายถึงปฏิปทาและคำสอนบางตอนของหลวงพ่อ ซึ่งข้าพเจ้าอ่านแล้วรู้สึกประทับใจซาบซึ้ง และศรัทธาในองค์หลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง

คำสอนของท่านเรียบง่าย สั้น ตรงไปตรงมา สามารถเข้ใจได้โดยง่าย และคิดว่าจะปฏิบัติตามได้โดยง่ายด้วย ในตอนท้าย บทความบอกด้วยว่า หลวงพ่อจะมาสอนพระกรรมฐานทุกต้นเดือน ที่บ้าน พล.อ.ต.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ (ยศในขณะนั้น)

ซึ่งท่านได้ยกบ้านของท่านในซอยสายลมถวายหลวงพ่อ เพื่อให้เป็นสถานที่สอน อบรม และปฏิบัติพระกรรมฐานแก่บุคคลทั่วไป ความดีนี้ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นชมและอนุโมทนาด้วยเป็นอย่างมาก อยากจะทำดีเช่นนั้นอย่างท่านบ้างถ้ามีโอกาส

จากเหตุจูงใจเหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงได้เขียนจดหมายแนะนำตัว และกราบขอเป็นลูกของท่านคนหนึ่ง และขอร่วมทำบุญถวายหลวงพ่อเป็นประจำตั้งแต่นั้นมา ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2520 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสถวายการต้อนรับหลวงพ่อ และคณะศิษย์จำนวนหนึ่งที่บ้าน

หลวงพ่อท่านได้เมตตาไปเยี่ยมข้าพเจ้าและครอบครัวเป็นครั้งแรก ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสถวายบ้านที่อยู่อาศัย ให้เป็นเสมือนวัดของท่านแห่งหนึ่ง สมตามเจตนารมณ์ของข้าพเจ้าแต่แรกด้วย และเพื่อเป็นสถานที่สอน อบรม พระกรรมฐานและมโนมยิทธิแก่ลูกหลานชาวยะลา

และจังหวัดใกล้เคียงเป็นครั้งคราวตามควรแก่โอกาสที่หลวงพ่อจะโปรดเมตตา นับจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็ค่อยๆ ได้เรียนรู้พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการสอนของหลวงพ่อ จากเทปและวีดีโอเทป และหนังสือชุดต่างๆ ของหลวงพ่อมากมาย

ทำให้รู้สึกว่าตัวเองหายโง่ขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ไม่รู้สึกกลัวตายอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่ประทับใจข้าพเจ้า เกี่ยวกับองค์หลวงพ่อมีมากมายหลายอย่าง แต่พอจะสรุปได้เป็นข้อใหญ่ๆ ดังนี้คือ

1. คำสอนง่ายๆ ของหลวงพ่อที่อธิบายสิ่งที่ยากให้ดูเป็นของง่าย เข้าใจได้เร็วและปฏิบัติตามได้ด้วย เราสามารถเลือกเป็นเทวดา พรหม หรือเข้านิพพานได้เลย ถ้ามีอิทธิบาท 4 และปฏิบัติตามคำสอนได้อย่างจริงจัง

2. ความเมตตาของหลวงพ่อนั้น ยิ่งใหญ่สุดจะประมาณได้ ท่านมีเมตตาต่อคนทั่วไปทั้งใกล้ และไกลโดยทั่วหน้า และสม่ำเสมอ เป็นที่ประจักษ์ในหมู่ลูกหลาน และลูกศิษย์ทั้งหลายเป็นอย่างดี

3. เจโตปริยญาณที่แจ่มชัดของท่าน ไม่ว่าจะคิดนึกอะไรอยู่ในใจ เป็นทุกข์สุขอย่างไร ท่านย่อมทราบได้เสมอ ถ้าท่านต้องการ สิ่งนี้ข้าพเจ้าต้องยอมรับ เพราะประสบกับตนเองมาหลายครั้งแล้ว ท่านได้เมตตาสั่งสอน แนะนำให้โดยตรงจุดทุกครั้งโดยไม่ได้กราบเรียนด้วยวาจาเลย นับเป็นพระคุณอย่างสูงที่สุดแก่ข้าพเจ้าจริงๆ

นอกจากนี้ ข้าพเจ้ายังทราบดีว่า หลวงพ่อต้องทนทรมานกายเพียงใด จากโรคภัยไข้เจ็บที่มีอยู่เป็นประจำของท่าน ในการเดินทางทุกครั้ง เพื่อไปเยี่ยมเยียนลูกหลานและพุทธบริษัททั้งหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เพื่ออบรมสั่งสอนให้ทุกคนละชั่ว กระทำความดี และทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วตามแนวทาง ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านนำคณะครูฝึกมโนมยิทธิมาฝึกสอนให้ทุกครั้ง หลวงพ่อจะพอใจมาก ถ้าครูผู้ฝึกรายงานให้ทราบว่า มีผู้เข้าถึงอารมณ์พระนิพพานได้เป็นจำนวนมาก

ท่านมุ่งหวังผลของการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากทั้งหลาย หรือแม้อาการป่วยไข้ของท่านที่มีอยู่เป็นประจำเลย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจมั่นคงว่า จะขอรับใช้สนองพระคุณหลวงพ่อท่าน จนสุดกำลังความสามารถ จนกว่าชีวิตจะหาไม่

◄ll กลับสู่สารบัญ


47

บารมีหลวงพ่อคุ้มครอง


จตุรงค์ จารุพันธ์พานิช


........ปีใหม่นี้ 31 ธ.ค. 2534 – 3 ม.ค. 2535 ผมและเพื่อฯ 2 คน ได้ชักชวนเดินป่าเขาใหญ่ นครราชสีมา เรามีเพียงเข็มทิศประจำตัวแต่ละคน แผนที่ขนาด 1:50000 และอุปกรณ์เดินป่าเท่าที่จำเป็น อาวุธปืนไม่มี มีเพียงมีดเดินป่าคนละเล่มไว้เบิกทางบางช่วงที่รกๆ

ส่วนผมได้นำมีดหมอชาตรีรุ่นแรกติดตัวไปด้วย ผมถือเป็นโอกาสดีมากๆ จึงตั้งจิตอธิษฐาน อยู่แบบธุดงค์กึ่งทัศนศึกษา อารมณ์จิตเป็นปกติเหมือนอยู่บ้าน คือระงับนิวรณ์ให้ยิ่งๆ ขึ้นอีก ตามที่หลวงพ่อแนะนำไว้เรื่องธุดงค์ 13

คืนวันที่ 31 ธ.ค. 2534 พักแรมที่น้ำตกผากล้วยไม้ 1 ม.ค. 2535 เราทั้ง 3 คนเดินตัดทุ่งหญ้าคา เดินทางตามด่านเสือบ้าง ด่านช้างบ้าง ด่านกวางบ้าง สลับกันจนถึงหุบเชิงเขา เริ่มเข้าป่าดงดิบ เราเดินตามสีที่ทาตามต้นไม้ที่พนักงานป่าไม้ทำไว้

จนถึงที่นักท่องเที่ยวเคยมาพักแรมนานแล้ว ชัยภูมิเหมาะสม มีลำธารสองสายบรรจบกัน มีน้ำตกเล็กอยู่ด้วย เราจึงพักแรมกันที่นี้ ผมกางกลด หมอและกรณ์นอนเปลสนาม ผมก่อไฟหุงข้าว ส่วนหมอและกรณ์ออกสำรวจบริเวณ พบแต่ร่องรอยเท้าเสือขนาดต่างๆ มากมายทั่วบริเวณ

เราทุกคนรู้ดีว่า ถิ่นนี้เป็นถิ่นใคร เราเพียงแต่มองหน้ากัน สักครู่ฝนเริ่มตก ไฟที่สุมขอนไม้ไว้จึงดับ แต่แรกคิดจะอาศัยแสงที่สุมไว้เป็นเพื่อน เพราะพรานโบราณเขาเล่าว่า สัตว์ร้าย เช่น ช้าง และเสือกลัวแสงไฟ

แต่ใจผมนั้นไม่เชื่อเพราะขนาดบ้านพักของทหาร มีแสงนีออนอยู่ริมถนนในเขตชุมชน เสือยังคาบคนไปกินเลย เรามีเพียงแสงของตะเกียงรั้งที่เตรียมไปเท้านั้นจุดส่องสว่างอยู่
ก่อนนอน ได้นำสวดสมาทานพระกรรมฐาน และที่ลืมไม่ได้เลยคือ อาราธนามีดหมอชาตรี (เทพชาตรี) และอ่านบทบารมี 30 ทัศ สำหรับการปักกลดของพระธุดงค์ ซึ่งคุณสุดาพรได้จดไว้ให้

ผมได้แนะนำมโนมยิทธิ ให้แก่หมอ จนไปถึงนิพพาน เพื่อพิสูจน์คัดค้านความเชื่อเดิมของหมอว่านิพพานสูญ อีกทั้งเรื่องอื่นๆ ที่เธอสงสัย ได้สนทนาธรรมกันเท่าที่จำจากการอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ และเล่มอื่นๆ ที่หลวงพ่อสอนไว้ หมอและกรณ์คลายความสงสัย แล้วจึงต่างคนต่างนอน

เที่ยงคืนเศษ ท่านเทพชาตรี ท่านมาปลุก แล้วทำภาพหน้าเสือให้ดู เป็นที่รู้กันว่า ผู้มาเยือนมาเดินรอบๆ บริเวณริมตลิ่งของลำธาร ซึ่งห่างจากกลดประมาณ 7 เมตร ท่าชาตรีบอกว่า เขามากันสองตัว คุณปกรณ์สะดุ้งตื่นและฉายไฟฉายไปรอบบริเวณ

กรณ์พบดวงตาสีแดงคู่หนึ่งในระยะเดียวกัน แต่ดวงตานั้นแปลกเป็นประกาย และไม่หลบแสงไฟ มือข้างหนึ่งของกรณ์กุมมีดเดินป่าไว้ ปากก็เรียก หมอๆๆ ซึ่งนอนอยู่ใกล้ แต่หมอหลับไม่รู้สึกตัว ผมซึ่งตื่นอยู่ก่อนแล้ว

จึงตอบไปตามที่ท่านชาตรีบอก “ไม่ต้องตกใจ เขามาดี ดับไฟฉายเถิด เพราะหากเขาเกิดตกใจขึ้นมา จะวิ่งสวนแสงไฟมาทำร้ายได้ ” เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี
ตีสองครึ่ง ท่านเทพชาตรี ท่านมาปลุกอีกครั้ง คราวนี้มาในรัศมี 15 เมตร มาทางด้านพุ่มไม้ด้านหลัง ปกรณ์อีกเช่นเคยที่นอนไม่ค่อยลง ฉายไฟฉายพบดวงตาสีแดงอีก 1 คู่ในพุ่มไม้นั้น

ท่านชาตรีบอกไม่ต้องตกใจ เป็นหน้าที่ท่านเอง ให้เริ่มสมาทานพระกรรมฐาน และนั่งสมาธิต่อไปเลย เหตุการณ์ปกติจนถึง 6 โมงเช้า จึงออกสำรวจบริเวณอีกครั้ง พบรอยริมลำธารขนาดใหญ่ประมาณ 10 ซ.ม. หนึ่งรอย ขนาด 8 ซ.ม. หนึ่งรอย ส่วนพุ่มไม้ด้านหลังไม่เห็นรอย เพราะมีใบไม้มาก

ตีห้า ท่านพระภูมิบอกไม่ควรจะเดินป่าขึ้นยอดเขาแหลมยอด 1 และ 2 หรือไปพิชิตยอดเขาร่ม เพราะอันตรายมากและการเดินทางจะโหดเกินกำลัง เมื่อผมบอกให้หมอและปรกณ์ทราบ เธอทั้งสองยืนยันเจตนาเดิมที่จะพิชิตยอดเขาแหลมให้จงได้ ผมเองก็หนักใจ แต่ก็ตัดสินใจไปก็ไปกัน

ท่านพระภูมิและรุกขเทวดาบอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สองวันต่อไปนี้ ฉันพาเที่ยวเอง แต่วันที่ 3 ต้องออกจากเขตป่าให้ได้นะ ผมนึกยิ้มอยู่ในใจอยู่แต่ผู้เดียว ลองเทวดานำเที่ยวละก็ เป็นอันว่า เดินหลงป่าแน่ แล้วแต่ท่านจะพาไปนี่

พอเริ่มเดินได้พักใหญ่ การกำหนดแผนที่ และกำหนดเข็มทิศเริ่มรวนและสับสน บางจุดหมอเป็นผู้นำทาง กรณ์ระวังหน้า ผมระวังหลัง บางจุดหมอเดินออกเส้นทาง ท่านชาตรีบอกปล่อยเขา เราเดินอยู่พื้นราบกลางหุบเขาแหลมเป็นดงป่าไผ่โดยตลอด

หาทางขึ้นยอดเขาแหลมไม่พบ จะเดินให้พ้นดงไผ่ก็ไม่ได้ เราจึงตกอยู่ในภาวะจำยอม ต้องกางเต็นท์กลางดงไผ่ พวกเรารู้อยู่แก่ใจดีว่า ล่อแหลมต่ออันตรายเป็นสองเท่าตัว คือ 1 เสือ 2 ช้างป่า จุดตะเกียงกางเต็นท์ใต้ร่มไผ่ ตะเกียงแขวนหน้าเต็นท์

ท่านเทพชาตรีบอกให้ใช้ผ้ายันต์เกราะเพชรติดบนหลังเต็นท์
2 ทุ่มสมาทานพระกรรมฐานพร้อมกัน และนั่งสมาธิ 10 กว่านาที หมอกับกรณ์หลับก่อน
ท่านเทพชาตรีบอกว่า เจ้าลายมันมารออยู่ตั้งแต่ตอนกางเต็นท์แล้ว แต่ไม่ต้องกลัว พระหลวงพ่อ หลวงปู่ปาน อานุภาพท่านคุ้มครองอยู่

จนถึง 7.00 น. ของวันที่ 3 ม.ค. 35 จึงออกนอกเต็นท์ได้ เพราะเขาจะรอจนเช้า คืนนี้ไม่มีกรณ์เป็นผู้ส่องไฟ ไม่ต้องอยู่ยาม หากช้างมาเหยียบเต็นท์ แบนไปด้วยกันนั่นแหละ
ห้าทุ่มเศษ ได้ยินเสียงจากนอกเต็นท์ ตรงหัวนอน เสียงดัง แก๊กๆ ครืดๆๆๆ เมื่อเอาหูแนบพื้นไม่ได้ยินเสียงเลย

ท่านเทพชาตรีท่านบอกว่า พี่ช้างมา โขลงนี้มี 5 เชือก แต่บารมีผ้ายันต์กันไว้แล้ว 15 เมตร
พวกเรานอนหลับๆ ตื่นๆ เราไม่คุยกันเลย เพียงทำจิตในอยู่ในสมาธิ อารมณ์จึงเป็นปกติ เหมือนอยู่บ้าน พระท่านให้พิจารณาถึงความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย ที่อยู่ในป่า แล้วหลับต่อ

ตีสามท่านเทพชาตรีท่านมาบอกอีกว่า ช้างมาอีกหนึ่งโขลง คราวนี้มา 7 เชือก ท่านบอกจ่าโขลงเป็นช้างดี เขายืนกันอยู่ตรงหัวนอน ระยะ 10 เมตร ช้างอื่นเดินหากินหลีกออกไปหมด
ผมเกรงกรณ์และหมอจะตื่นขึ้นและพูดจาเอะอะ จะทำให้ช้างลูกโขลงตื่น

จะเป็นอันตรายจากการถูกช้างเหยียบมาก เธอทั้งสองหลับสนิท ผมจึงนั่งสมาธิต่ออีก 30 นาที
ท่านเทพชาตรีบอกผีกองกอยก็มาด้วย
เจ็ดโมงเช้า ออกตรวจสอบบริเวณรอบๆ พบรอยเท้าช้างขนาดใหญ่ประมาณ 10 – 11 นิ้ว ห่างจากเต็นท์ที่พักประมาณ 10 เมตร

วันนี้ เทวดานำทางจนไปถึงยอดเขาแหลม ถึงยอดแล้วจึงเห็นทุ่งหญ้าข้างล่าง จึงตั้งเข็มทิศ เดินตัดป่าลงทุ่งเขาแหลม ถึงน้ำตกเหวสุวัฒน์ 18.30 น. คราวนี้เทวดาส่งถึงกรุงเทพฯ เราได้พบรถกระบะซึ่งมีนักเดินป่ารุ่นพี่แต่เพิ่งจะรู้จักเมื่อออกป่านี้เอง เห็นเราทั้งสามเดินอย่างหมดเรี่ยวแรง จึงเข้ามาทักและรับอาสาให้อาศัยรถส่งถึงกรุงเทพฯ

ประสบการณ์ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าผ่านมาในการทัศนศึกษากึ่งธุดงค์นั้น หากมิได้มีบารมีขององค์สมเด็จ และหลวงพ่อผุ้ถ่ายทอดคำสอนและเกร็ดความรู้ต่างๆ ในการปฏิบัติธุดงค์ อีกทั้ง วัตถุมงคล ยันต์เกราะเพชร และมีดหมอชาตรีของหลวงพ่อ คุ้มครองปกปักรักษาแล้ว คณะของเราคงมีความลำบากใจมากกว่านี้เป็นแน่

ดังนั้น ขอบรรดาท่านผู้ปฏิบัติธรรมให้มั่นใจในความดี ที่หลวงพ่อท่านถ่ายทอดสั่งสอนให้ด้วยความเมตตาแด่ลูกๆ ข้อวัตรปฏิบัติที่ท่านถ่ายทอดให้นั้น ดีเบื้องต้น ดีในท่ามกลาง และดีในที่สุด นำผู้ปฏิบัติตามให้เข้าถึงพระนิพพานได้

◄ll กลับสู่สารบัญ


48

ข้าพเจ้าจะตั้งใจปฏิบัติธรรม


วนิดา ตันติประภาส


........ในปี พ.ศ.2520 เป็นปีที่ข้าพเจ้ารู้จักกับพระที่ดี 1 องค์ อยู่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานีค่ะ ข้าพเจ้าใช้เวลา 10 ปี กว่าจะได้มากราบนมัสการท่าน มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก แต่ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้มีบุญวาสนาที่จะได้เจอ นับจากในปีที่เจอ จนกระทั่งปัจจุบัน 14 ปีกว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา ล้วนแต่ต้องมีเรื่องที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องทำกำลังใจกระโดดข้ามปัญหาต่างๆ ไปทีละขั้น

...เพื่อเป็นการพิสูจน์สัจธรรม ที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสสอนไว้ และแน่นอนที่สุด ทุกๆ คำที่พระพุทธองค์ท่าน ทรงตรัสไว้ ล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น ทุกๆ ปัญหา ล้วนผ่านมา แล้วก็ผ่านไป เหมือนกับวันเวลา ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เหมือนตั้งนาฬิกาที่ตีบอกเวลา ค่ะ ในชีวิตของเรา เคยชินกับคำว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ก็เหมือนนาฬิกา ที่บอกว่าอีกทุกๆ 1 วินาทีข้างหน้า จะมีการเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยงที่ปนอยู่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

และยังบอกอีกว่า ในแต่ละวินาทีจะเป็นทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคตในตัวของมันเอง สามารถเทียบกับธรรมะว่า ไม่มีอดีตหรืออนาคต มีเพียงปัจจุบันชาติที่เรามุ่งมาดปรารถนาพระนิพพาน แล้วก็ตั้งมั่นต่อคำอธิษฐานนั้นให้เป็นสัจจะว่า “ทางใดที่ไม่ใช่สายทางของพระนิพพาน เราจะไม่เดินไปทางนั้น เราจะเดินแต่ทางสายสู่พระนิพพาน”

ดั่งคำสอนที่ว่า “ทางที่บุคคลคนเดียวเดิน เป็นทางสายเอก เป็นทางนำมาซึ่งความสุข” (คัดมาจากหนังสือพรหมวิหาร 4) ท่านทั้งหลาย แม้แต่ข้าพเจ้าเองต้องพยายามรู้เท่าทันต่อกิเลสมารที่อยู่เบื้องหลัง คอยยุยงให้เราตกไปในที่ชั่ว ตกไปในการเวียนว่ายที่ไม่รู้จักจบสิ้น ท่านพ่อมีเมตตาอย่างหาที่เปรียบมิได้ ที่ต่อสู้ อดทนต่อความทุกข์ทั้งปวง

เพื่อหวังให้ลูกๆ หลานๆ ขององค์ท่านได้หลุดพ้นจากวัฏสงสารอันนี้ ท่านทนต่ออุปสรรคทุกๆ อย่าง เพียงเพื่อขัดเกลาเพชรที่อยู่ในตม ให้สามารถส่องแสงแวววาวของมันออกมาให้จงได้ แล้วเราล่ะ จะไม่ทำสิ่งที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่านพ่อเลยเชียวหรือ ที่จะขัดจิตของเราได้เป็นแก้วใสประกายพรึก เป็นเครื่องตอบแทนความดีต่อท่านพ่อ

ให้สมกับคำสอนของพระพุทธองค์ท่านที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ท่านพ่อรักลูก หลานทุกคน หากวันใดได้เห็นดวงจิตเป็นแก้วใสโผล่ขึ้นมา 1 ดวง ท่านพ่อจะมีคามสุขสักเพียงใด ไม่ใช่ว่าจะได้ยินแต่เรื่องเกี่ยวดองเป็นคู่กันตลอดเวลา แล้วเราจะทำสิ่งที่ท่านพ่อปรารถนาไม่ได้เลยเชียวหรือ?

ทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นผู้กำหนด ไม่ว่าจะบอกว่า ถ้าเจอคู่บุพเพสันนิวาส คู่บารมี คู่อธิษฐาน หรือคู่อะไรก็แล้วแต่ จะหลุดพ้นจากการเป็นคู่กันไม่ได้ต้องแต่งงานกัน ต้องอยู่ด้วยกัน ข้าพเจ้าว่ามันเป็นเรื่องที่เรายอมให้กิเลสของเรา ดองกันกับกิเลสของผู้อื่นต่างหาก เพราะเทปทุกเรื่องที่เป็นคำสอน ล้วนแต่พูดเรื่องเกี่ยวเนื่องด้วยเหตุแห่งความรักเป็นทุกข์ การแต่งงานเป็นทุกข์ ขันธ์ห้าเป็นทุกข์ ขันธ์ 10 ก็ยิ่งทุกข์เพิ่มไปเรื่อยๆ

แต่ก็ยังมีคู่แต่งงานเกิดขึ้นอีกมากมาย (ท่านพ่อบอกว่า คำอธิษฐานในอดีตชาติแก้ไม่ได้ แต่สามารถยกเลิกได้ ถ้าคนใดบอกว่า อธิษฐานเป็นคู่ อยู่ร่วมสร้างบารมีด้วยกันนั้น เรายกเลิกได้ หากเราปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ เราจะเชื่อคำสอนของท่านพ่อ หรือเราจะเชื่อคนเดินดิน)

แล้วเราจะเป็นอีกคนหนึ่ง ที่หลงต่อคำหวานที่ว่า “พี่จะเป็นสามีที่ดีของผู้หญิงคนไหนก็ได้ พี่จะนำครองครัวให้เป็นสุข เป็นครอบครัวตัวอย่าง” ฟังดูแล้วน่าเคลิบเคลิ้มเพราะบุคคลที่พูดก็เป็น “คู่ครอง คู่ใดๆ ก็ดีที่จะสร้างความสุขให้ไม่มีเลย” ถ้าพูดกับชาวโลก เขาก็จะไม่ยอมรับ แต่นี่กำลังพูดกับคนปฏิบัติธรรม

ท่านใดก็ตาม ที่ใช้มโนมยิทธิดู อดีตเป็นคู่กัน แล้วจะดองกันต่อในชาตินี้ ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า คิดว่าผิดจุดประสงค์ของท่านพ่อ ที่ท่านให้ดู เพื่อความเบื่อหน่ายในการเกิด เพื่อละ เพื่อตัด เพื่อวาง ไม่ใช่คิดว่า การตัด ละ วาง ใช้ตอนก่อนจิตออกจากร่าง (หากท่านมีโอกาสเลือกลักษณะการตายก็คงดี แต่ท่านพ่อให้ฝึกจิตตั้งแต่วันนี้ เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง) ไม่ใช่ให้ดูอดีต เพื่อไปก่อติดกับกิเลส ตัณหา อุปาทานอีก

ท่านพ่อสอนไว้ในเรื่อง พระอนาคามี ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “พระอนาคามีเป็นผู้มีอธิจิตสิกขา” คำว่า เป็นผู้มีอธิจิตสิกขา หมายความว่า ต้องทรงฌานตลอดเวลา สำหรับพระโสดาบันก็เหมือน คนเดินบุกทางป่ารก รู้สึกไม่มีความลำบากมากนัก มาถึงพระสกิทาคามีก็ต้องพบกับช้าง พยายามตีช้างให้ช้ำทั้ง 4 ขา ยังไม่ได้ฆ่าหรือตัดขาช้าง แต่ตอนพระอนาคามี นี่ต้องตัดขาช้างทิ้งเสีย 2 ข้าง

คำว่าช้างก็คือ กิเลส : ราคะ-ความรัก โทสะ-ความโกรธ โลภะ-ความโลภ และโมหะ-ความหลง ช้างเป็นสัตว์ใหญ่มีกำลังมาก การจะตัดขาช้างก็ต้องใช้กำลังกายสูงมาก ต้องพักเพาะกำลังกายให้ดี กำลังกายก็คือ กำลังจิต ต้องมีความเข้มแข็งพอ กล่าวคือ จริยาที่เข้าปราบกามฉันทะโดยตรง ต้องการให้กามฉันทะตัวนี้ขาดไปเลย ไม่ให้มีอยู่ในจิต แล้วก็ปฏิฆะ คืออารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่ง ทำให้เกิดความโกรธ 2 ตัวนี้ต้องทำลายให้พินาศไป

(มันดูแล้วยาก แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าตั้งใจจะเข้าพระนิพพานชาตินี้ จะยากยังไงก็ต้องทำ และจะต้องทำให้ได้ด้วย ไม่งั้นก็ไปไม่ถึงแน่ เพราะท่านพ่อลงในธัมมวิโมกข์เดือนธันวาคมและมกราคม ว่าด้วยเรื่องขั้นตอนที่ไปของอารมณ์ พระอริยะ มาจบตรงที่ “ฟังเทศน์เพียงจบเดียว เป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน” ข้าพเจ้าพอจะสรุปได้ว่า จะเข้าพระนิพพาน อารมณ์ต้องเข้าข่ายพระอรหันต์ และก็ต้องเร่งทำกำลังใจให้ถึงให้เร็วที่สุด

โดยการจับอานาปานุสสติเป็นฌาน เพราะท่านพ่อให้สังวรอยู่เสมอว่า “ชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง” เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา) เป็นอันว่าขาช้างทั้ง 4 ขา ได้แก่ กามฉันทะ 1 ความโลภ 1 ความโกรธและความพยาบาท 1 ความหลง 1 เบาบางลง อาศัยที่เรียกว่าใจเราเข้มแข็งพอ กำลังใจดีขึ้นแล้ว จึงทำขาช้างให้เพลียได้ เป็นโอกาสที่เราตัดขาช้างทั้ง 2 ขา

ยังไม่หมดทั้ง 4 ขา เอาแค่ 2 ขา คือ ขาที่ 1 กับขาที่ 3 ขาที่ 1 ได้แก่ กามฉันทะมีความพอใจในกามคุณ 5 ขาที่ 3 ได้แก่ ปฏิฆะ คืออารมณ์ไม่ชอบใจ ที่เรียกว่าความโกรธหรือความพยาบาท เรื่องขา 2 ขานี่ต้องตัดทีละขา ขาแรกที่ต้องตัด คืออารมณ์หวาน ได้แก่ กามฉันทะ แต่ความจริงแล้ว ในสมัยเป็นพระสกิทาคามี ตัวนี้อ่อนเปลี้ยมากแล้ว ถึงกับอารมณ์ที่ปะทะหน้ากัน ไม่มีความรู้สึกระหว่างเพศ

บางคราวก็ดับลงง่ายเหลือเกิน ก็เห็นว่า สภาพของคนและสัตว์ที่เราพึงปรารถนามันเป็นของสกปรกไปหมด ด้วยอำนาจของสักกายทิฏฐิ และอสุภกรรมฐานร่วมกัน ห้ำหั่นอารมณ์ทั้ง 2 ประเภทนี้ ให้พิจารณาว่า ร่างกายสกปรก อาการ 32 นี่ หาความสุขสะอาดไม่ได้ เป็นอสุภ หาความสวยสดงดงามไม่ได้ เป็นของน่าเกลียด เห็นคนมีสภาพที่เราเคยรัก ขอประทานโทษ อยากจะอาเจียนเสียเต็มที

เห็นคนแต่งตัวสวยๆ มากสักเท่าไรก็ตามที รู้สึกสังเวชใจแล้วสลดใจอย่างยิ่ง คิดว่าโอหนอ นี่ช่างกระไร เขาไม่รู้จักความทุกข์ “การแสวงหาคู่ครองเป็นการแสวงหาความทุก คู่ครองคู่ใดที่จะเป็นคู่ครองที่สร้างความสุขให้ไม่มีเลย” แต่พูดอย่างนี้ คงจะต้องขัดคอกับชาวโลก แต่ไม่เป็นไร เพราะเวลานี้พูดกับชาวธรรม ไม่ได้พูดกับชาวโลก โดยเฉพาะพูดกับ พระอนาคามีมรรค ย่อมพิจารณาเห็นว่า คนก็ดี สัตว์ก็ดี ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก น่าสะอิดสะเอียน

นึกถึงสภาพภายในเข้ามาทีไร ก็อยากจะอาเจียนออกมาเสียทันที ยิ่งเห็นคนแต่งกายสวยสดงดงาม เป็นเครื่องหลอกหลอนตา ความรู้สึกเท่าสภาวะความเป็นจริงมันก็เกิด รู้ตัวว่า สิ่งที่แปลกปลอมเหล่านี้ เป็นสิ่งภายนอก มีสภาพเหมือนกับเอาผ้าแพรเนื้อดี สีสวย มาหุ้มห่อเอาอุจจาระ ปัสสาวะ สิ่งโสโครกไว้ข้างใน มันเป็นของเต็มไปด้วยความเน่า ความเหม็น และไปตามอำนาจของพระอริยสัจว่า ร่างกายของคนนี้ นอกจากสกปรก ก็เป็นปัจจัยของความทุกข์ ร่างกายเป็นบ่อเกิดของความทุกข์จริงๆ

และท่านพ่อยังสอนในเทปอานาปานุสสติ โดยยืนยันผลของการปฏิบัติว่า ถ้าท่านทรงอารมณ์อานาปานุสสติทุกขณะจิต เป็นเวลา 1 เดือน ท่านจะทรงฌาน 4 ตลอดไป อารมณ์ของพระนิพพาน เป็นอารมณ์ที่มีความสุขเยือกเย็น มีความอิ่มใจมาก ไม่มีความสุขใดเทียบได้ (ถ้าเราทำกรรมฐานอานาปานุสสติได้ทรงตัว เราสามารถทำกรรมฐานอีก 39 กองได้ กองละภายใน 7 วัน เป็นอย่างช้า)

ท่านสอนไว้เช่นกันว่า ร่างกายมันจะหนุ่มก็ช่างมัน ร่างกายมันจะสาวก็ช่างมัน มันจะแก่ก็ช่างมัน มันจะป่วยก็ช่างมัน มันจะตายก็ช่างมัน ทำไมถึงช่างมัน ก็ถือว่าเป็นกฎธรรมดา มันเป็นของมันอย่างนั้น ถือว่าขันธ์ 5 อันนี้ไม่ช้ามันก็พัง พังเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราก็หันมาถึงเรื่องกามฉันทะหรือโลภะหรือโทสะหรือโมหะ เรายังตัดกันไม่ได้เด็ดขาด แต่ก็บรรเทาลงมาก คล้ายๆ กับจะได้อนาคามี

วิธีที่เราจะระงับมันได้จริงๆ อย่าลืมว่าต้องใช้กรรมฐาน 1.กายคตานุสสติและอสุภกรรมฐานประจำใจไว้เสมอ ให้มีความรู้สึกตัว เรื่องความรักในเพศหยุดที เรียกว่าหยุดกันเสียที เพราะเรื่องนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ สิ่งที่เรารักมันสกปรก ตามที่พูดมาแล้วอย่าย้ำให้มากเลย ในเมื่อมันสกปรกโสโครกอย่างนั้นจะเอาอะไรมาดี แล้วก็มรณานุสสติกรรมฐานเข้ามาว่า คนที่เรารักไม่ช้าก็ตาย ตายแล้วมันน่ารักตรงไหน

เป็นอันว่า คนที่เรารักก็คือเรารักส้วมเคลื่อนที่ เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก และในที่สุดก็ต้องมาเป็นผีตาย ในเมื่อเรากับเขามีสภาพเสมอกัน ต่างคนต่างสกปรก ต่างคนต่างไม่ทรงตัว ต่างคนต่างกาย จะมานั่งรำพึงรำพัน ในเรื่องความรักด้วยประโยชน์อันใด ใจก็วางเฉย จะมายังไงก็ช่างเห็นคนทำจิตเห็นสภาพเหมือนเห็นศพ เป็นผิวพรรณสภาพเห็นภายในแม้แต่ผิวพรรณเขาก็สกปรก มันไม่ได้สะอาด

ทีนี้สภาวะของจิตมันเบื่อหน่ายมันท้อแท้ใจ เราก็ทำใจวางเฉยในสังขารุเปกขาญาณ ว่าสภาพความสกปรกอย่างนี้ สภาพความวุ่นวายเพราะความรักอย่างนี้ มันไม่มีสำหรับเราแล้ว จะไปยุ่งอะไรยังไง ใครจะมาใครจะไป ยังไงเราก็เฉย อันดับแรกอย่าลืมว่า “มึงมากูมุด มึงหยุดกูแหย่ มึงแย่กูตี มึงหนีกูตาม” หมายความว่า ถ้าเราเห็นสภาวะที่เราจะพึงรักในกามฉันทะ เราก็มุดไปหาอสุภกรรมฐาน กับกายคตานุสสติ แล้วจับสักกายทิฎฐิ

คิดว่าร่างกายไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร เป็นธาตุ 4 ที่ตัณหาสร้างขึ้นเป็นเรือนร่างชั่วคราว ใจก็มีอารมณ์สบาย อารมณ์เฉย อารมณ์เบามีความสบายๆ เฉยๆ เหมือนกับไม่มีอะไรมาถ่วงใจ ใจเบาใจสบาย ความรักในระหว่างเพศไม่มี อาการอย่างนี้เรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ ในเฉพาะกามฉันทะที่เราพึงตัด มีแล้วถอยหลัง ถ้าอารมณ์รักเกิดขึ้นมาเมื่อใด ก็ผลักมันให้ไกลเรา มันหลบไปไหนไปหาอสุภสัญญา ต้องทำให้ชิน

อยากจะพูดว่า กูมุดตั้งแต่มึงยังไม่มา มุดอยู่ในอสุภกรรมฐาน และกายคตานุสสติ จิตจับอารมณ์ให้ทรงตัวไว้ นั่งนึก นอนนึก ว่าใครหนอในโลกนี้จะสะอาด ร่างกายมีปัจจัยของคามสุข ไม่มี ถ้าไม่มี ให้คิดว่า ชีวิตนี้มีสภาพคล้ายผีหลอก หลอกตรงไหน เกิดเป็นเด็กหลอก เราโตขึ้นมา โตมาเป็นหนุ่ม เป็นสาว ร่างกายมีความเปลี่ยนแปลง ตอนนี้มีความปรารถนากันมาก มึงรักกู กูรักมึง อยากจะเคล้าเคลียอยู่เป็นคู่ สามีภรรยาซึ่งกันและกัน

ตอนนี้อารมณ์เราก็หลอกอีก หลอกยังไง หลอกเห็นว่าเขาสวย หลอกเห็นว่าเขาดี เขาน่ารัก มีร่างกายสะอาดสด ใจมันหลอก ร่างกายของใครมันดี ร่างกายของใครสวย ร่างกายของใครสะอาด มันมีที่ไหน คนทุกคนมีใครไหม ร่างกายไม่มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำหนอง เสลด น้ำลายที่อยู่ในร่างกาย มีใครไหม ไม่มี แล้วทำไมเราจะไปหลงรักกับร่างกายที่มีสภาพสกปรก มันเลวแสนเลวนี้

อารมณ์ต้องเกาะติดว่า ร่างกายมีความเสื่อม ความทรุดลงไปทุกวัน ไม่ช้ามันก็มีสภาพพลันตาย เราตาย เขาตาย อาการตายนี่ ความจริงจิตไม่ตายแต่ร่างกายตาย ช่างเถอะ ชาวบ้านเขาถือเรา ถือเขา เราก็คิดว่า เอ๊ะ เราก็ตายเขาก็ตาย ไอ้เราก็สกปรก ไอ้เขาก็สกปรก มองดูร่างกายว่ามีอะไร มีนิมิตเครื่องหมายที่ทรงไว้ซึ่งความดี หาไม่ได้ สภาพตายปรากฏ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะธาตุ 4 ที่มันคงเข้ามาเป็นร่างกาย แบ่งเป็นอาการ 32 มันเคลื่อนไปหาความพังเป็นปกติ

สภาวะมันเป็นอย่างนี้ มีอะไรไหมที่เรายึดถือเป็นเรา เป็นของเรา คนที่เรารัก เลือกคนสวยที่เราพอใจแล้ว ไปดูหรือเปล่า เคยดูคนที่มีวัยเลยไปแล้ว สวยไหม คนแก่ไม่มีใครอยากแต่งงานด้วย สิ่งที่เขาแต่งงานด้วยต้องมีความแข็งแรงพอ มีความเอิบอิ่มของขันธ์ 5 เฉพาะสตรี ความสวยอ่อนช้อย พูดจาอ่อนหวานไพเราะ เราหลอกเขา เขาหลอกเรา ร่างกายข้างในเต็มไปด้วยความสกปรก ไม่ต่างกับส้วมเคลื่อนที่

ร่างกายของสุภาพบุรุษหรือสตรีที่เรารักก็เหมือนกันแล้ว เราก็ตั้งหน้าตั้งตาหลอกคนอื่น แต่งไปหาความทุกข์ ไม่ใช่ความสุข เป็นอันว่า เราจะทำอย่างไรก็ตาม เขาจะทำอย่างไรก็ตาม ร่างกายตรงไปหาความเน่าแล้วตายไปทั้งสิ้น นี่เป็นกฎของความจริง นี่ผมสงสัย สงสัยว่า คนในกลุ่มของเราบางคน ที่มีนิสัยสักแต่ว่า “จับปลายรูด” คอยตำหนิติเตียนแต่คนอื่น แต่ตนเองไม่มีความดีพอ คนที่ชอบตำหนิคนอื่นแสดงว่า จิตใจเลวจัด

ถ้าใจของเราไม่เลว ก็ไม่อยากจะติใคร บางคนก็ทำแต่เพียงว่า ทำผีหลอกชาวบ้าน ทำเหมือนว่าฉันนี่เป็นปราชญ์ เป็นคนดี มีความรู้ แต่จิตใจของตน ยังประกอบไปด้วยความเลวทราม ไม่เคารพในไตรสรณคมน์ในคำสั่งสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราได้ยินคำสอนตลอดเวลา แต่จิตของเรา ยังไม่บรรเทา ความรักในระหว่างเพศ ไม่บรรเทาในความโลภ ไม่บรรเทาในความโกรธ ไม่บรรเทาในความหลง


webmaster - 6/4/11 at 15:12

แสดงว่าเราเป็นอาภัพบุคคล เป็นบุคคลที่หาความดีไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าไม่ต้องการ ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย จงระวังจิตใจในเรื่องนี้ให้มาก อย่ามีความประมาทเกิดมาเป็นคนแล้ว จงอย่ากลับลงไปเป็นสัตว์นรกอีก ให้เอาสังโยชน์ทั้ง 10 ประการเป็นเครื่องวัดใจ

ข้าพเจ้าขอตั้งปณิธานไว้ว่า ข้าพเจ้าจะตั้งใจปฏิบัติธรรม ตามปฏิปทาของท่านพ่อให้จงได้ในชาตินี้ ข้าพเจ้าเบื่อหน่ายในการเกิดอย่างยิ่ง และจะตอบแทนคุณของท่านพ่อที่ทรงมีพระเมตตา ดึงกำลังจิตของข้าพเจ้าตลอดเวลา โดยข้าพเจ้าไม่ต้องเอ่ยปากถามหรือบอกแม้แต่อย่างใด ท่านจะเทศน์ตามปัญหาที่ข้าพเจ้าเกิดมีในขณะเวลานั้น

ข้อสรุปที่ท่านพ่อทรงให้ไว้เพียงสั้นๆ มีใจความว่า “ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ ความไม่มีสามี เป็นลาภอันประเสริฐ ความไม่มีภรรยา เป็นลาภอันประเสริฐ” และหากคำเตือนใดที่เราให้กับบุคคลที่เรารัก และเขาก็เลือกแล้ว หากเขายังไม่ยอมปฏิบัติ ก็ต้องวางเพราะจะทำให้กำลังใจเราเสียไปด้วย เมื่อเขาปรารถนาที่จะเวียนว่ายก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางนั้น

ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ท่านไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำออกมาถามท่านพ่อ ถ้าท่านตั้งใจปฏิบัติจริงตามท่านพ่อทรงสอน พระพุทธองค์ท่านจะเป็นผู้กำหนดว่า จะสงเคราะห์ผู้ใด จะสอนสิ่งใดที่จะเป็นทางให้ แม้เพียงบุคคลคนเดียวได้ประโยชน์ ยังดีกว่าพูดรวมๆ แล้วยังไม่มีใครเข้าถึงเลย

ข้าพเจ้าเองยังไม่มีความดีพอที่จะนับเป็นศิษยานุศิษย์ ขององค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังไม่เป็นพระอนาคามีผล เพียงใดข้าพเจ้าก็ยังสามารถทำความเลวอีกมากมายได้ แต่การเขียนลงหนังสือนี้ เจตนาเพื่อแสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณ ตอบสนองต่อท่านพ่อบ้าง และตอบแทนต่อบุพการีทุกๆ ท่านที่ทรงห่วงใย

(ท่านแม่ทรงตรัสกับข้าพเจ้าในสมาธิว่า “แม่รักลูกดั่งดวงใจ แม่จะปกป้องภัยใดๆ ให้ลูก”) ค่ะ ข้าพเจ้าจะพยายามขัดจิตตัวเองเพื่อรับเรดาร์ที่บุพการีเบื้อบนส่งลงมาให้ เพื่อเรดาร์ที่ส่งลงมาจะได้ไม่คลาดเคลื่อนไป ลงชามกะละมังเจ้าด่างได้
ความดีใดที่เกี่ยวเนื่องด้วยการเขียนหนังสือนี้ และทำให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจปฏิบัติต่อให้สมกับเจตนารมณ์ ที่ท่านพ่อทรงสั่งสอน

ข้าพเจ้าขอถวายความดีนี้ต่อพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย โดยมีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่โต พรหมรังสี วัดระฆัง หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง เป็นที่สุด ท่านพระยายม ท่านสักกะเทวบุตร ท่านท้าวจาตุมหาราชทั้งสี่ พระภูมิ เจ้าที่

ด้วยอานิสงส์ของความดี ด้านธรรมทาน จงเป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายและข้าพเจ้า ที่มีความปรารถนาตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง จงมีพระนิพพานเป็นที่ไป และได้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ด้วยเทอญ

◄ll กลับสู่สารบัญ


49

หลวงพ่อ...พระ


ทนงฤทธิ์ สีทับทิม


.....เราเทือกเถาเหล่ากอเดียวกัน ต่างคนต่างเกิด เกิดมาแล้วก็ตาย ต่างคนต่างตาย ตายมาหลายครั้งหลายครา ไม่รู้จักจบ จักสิ้น และไม่รู้ตัว มารู้ตัวก็ต่อเมื่อเรามาร่วมทำบุญในที่เดียวกัน เนื้อนาบุญเดียวกัน ได้ร่วมกันสร้างวัด สร้างพระ ได้ฟังพระธรรม ได้ฝึกพระกรรมฐาน จึงได้รู้ว่า เรานั้นมาจากไหน แล้วกำลังจะไปไหน

....สิ่งที่ได้รับรู้นั้นก็ด้วยพระเมตตากรุณาของหลวงพ่ออย่างแท้แน่นอน ที่ได้โปรดบรรดาลูกๆ ทั้งหลาย ให้ได้เห็นถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้อย่างชัดเจนจนถ่องแท้...

กาลข้างหน้า นามของหลวงพ่อจะขจรขจายไพศาล เท่ากับปากคน เป็นอย่างน้อย (สุภาษิต..ปากคนยาวกว่าปากกา)

....ตัวอย่างที่เห็นได้ใกล้ตัว ชัดเจนเช่นปี พ.ศ.2534 มีคนไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรมากกว่า 300,000 คน เพียงแค่พูดถึงหลวงพ่อคนละ 1 ครั้ง เพื่อให้คนอื่นฟังหรือชักชวนกันมาวัด ก็ 300,000 ปากแล้ว ไม่นับคนใบ้ที่ใช้ภาษามืออีกต่างหาก ทั้งนี้เพราะท่านสงเคราะห์คนทั่วๆ ไปไม่มีขีดจำกัดใดๆ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น จึงเป็นที่รู้จักเคารพศรัทธาของพุทธบริษัททั้งหลาย

เมื่อก่อนนี้ ถ้าพูดถึง จ.อุทัยธานี คนถามว่าอยู่ใกล้กับจังหวัดอะไร เมื่อตอบไปแล้ว คนถามยังนึกไม่ออกว่า จังหวัดนี้อยู่ตรงไหนของแผนที่ประเทศไทย หลวงพ่อทำให้วัดท่าซุง และ จ.อุทัยธานี ให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ถ้าดูข้อมูล จังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว สถิติจำนวนคนที่มาท่องเที่ยวยังนับเป็นรายปีๆ ละเท่านั้นเท่านี้

คนที่มาแวะเที่ยว..แต่ที่วัดของหลวงพ่อ เห็นจะต้องใช้นับเป็นรายวัน เช่นว่า วันนี้มีผู้มาวัดท่าซุง 300,000 คนเศษ วันรุ่งขึ้นของปีถัดไป 500,000 คนเศษ แล้วก็ต่อๆ ไป เป็นต้น เพียงแค่นึกก็มากมายเหลือเกินแล้ว อย่างนี้ต้องไปให้เห็นกับตา คนที่ไปเห็นมาแล้ว ยังบอกว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย.. นี้แหละเป็นคำตอบ ต่อคำถามที่ว่า ทำไมวัดของหลวงพ่อจึงได้ใหญ่โตมโหฬารนัก

หลวงพ่อเตรียมการไว้ เพราะคนจะท่วมวัด ในอนาคตข้างหน้า
วัดท่าซุง เป็นแหล่งรวมบุญใหญ่หลายๆ อย่าง ที่สามารถทำได้ไม่อั้น และไม่อิ่มบุญ บุญนั้นคือการบูชาด้วยการปฏิบัติหรือการฝึกกรรมฐาน มีศีล สมาธิ และปัญญา กับบุญที่บูชา ด้วยการให้ เช่น วิหารทาน ธรรมทาน สังฆทาน ฯลฯ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

ทุกคนที่มาทำบุญ จะประทับใจ สุขใจกับการที่ได้มีโอกาสทำ ตามองเห็น ได้ตื่นตากับความงามของมหาวิหารที่ยาว 100 เมตร ความตระการตาภายในมหาวิหาร พระพุทธรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอาจารย์ รูปหล่อ รูปเหมือน รูปปั้นองค์พระมหากษัตริย์

และท่านที่มีพระคุณต่อประเทศคนไทย มีไว้ระลึกเพื่อเป็นอนุสติ บูชาความดีของท่าน จิตใจได้ระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้ระลึกถึงบุญที่ได้ทำ ได้ระลึกว่า วัดนี้เราได้ร่วมกันสร้าง ซึ่งหลวงพ่อบอกว่าทุกคนได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างวัด แม้แต่เงินทำบุญเพียงบาทเดียวก็ตามที

เมื่อใดนึกถึงบุญ เมื่อนั้นก็ต้องนึกถึงหลวงพ่อ เมื่อใดนึกถึงหลวงพ่อที่เรารัก เมื่อนั้นต้องนึกถึงคำที่หลวงพ่อสอนไว้ แล้วปฏิบัติตามคำสอนนั้น เป็นการตอบแทนพระคุณ เมื่อนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อ นั่นก็คือ พระธรรมของพระพุทธองค์พระอาจารย์ใหญ่ของหลวงพ่อ พระพุทธเจ้าของเราที่เราสักการบูชา

กราบไหว้พระ คุณความดีของพระพุทธองค์ ที่ไม่ทรงปรารถนาให้คนตกอยู่ในวัฏสงสาร ทรงปรารถนาให้คนอยู่เหนือธรรมชาติของคน คือเหนือกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อใดนึกถึงพระพุทธองค์ เมื่อนั้นถ้าตายได้ ให้รีบตาย จะไปพระนิพพานในทันที ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป

ถ้าตายยังไม่ได้ ให้นึกไว้ให้ขึ้นใจอยู่เสมอ ถึงเวลาจะตายจริงๆ จะมีความสุข เช่นเดียวกับพระพุทธองค์และพระอรหันต์ทั้งหลาย
สิ่งที่ประทับใจ ได้เริ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เหมือนปลวกสร้างรัง เหมือนผึ้งสร้างรวง ยิ่งนานวันยิ่งใหญ่ขึ้น แน่นแฟ้นมากขึ้น

หลวงพ่อสอนให้รู้จักการทำบุญอย่างได้บุญ บุญอย่างนี้ทำแล้วมีผลอย่างนั้น บุญอย่างโน้นทำแล้วมีผลอย่างนี้ หลวงพ่อแยกแยะให้รู้แจ้ง ไม่ใช่สักแต่ว่าทำบุญไปอย่างนั้นเอง โดยไม่เข้าใจ โดยไม่รู้หรือรู้อย่างผิดๆ การทำบุญกับหลวงพ่อไม่ใช่ทำด้วยความเกรงใจ แต่เป็นบุญที่ทำด้วยความเต็มใจ ตั้งใจ คนที่มีปัจจัยมากก็ทำบุญมาก หน้าก็บาน (ปีติ) มาก

คนที่มีปัจจัยน้อย ทำได้น้อยหน้าก็บาน (ปีติ) มากเช่นกัน เพราะได้โมทนาบุญกับคนที่มาทำบุญ ยิ่งมีคนมาทำบุญกันมากๆ เช่นงานบุญเป่ายันต์ฯ งานบุญสะเดาะเคราะห์ ทำบุญไปด้วย โมทนาไปด้วยได้บุญกันเต็มที่ “น้ำหยดลงตุ่มทีละหยดบ่อยๆ น้ำย่อมเต็มตุ่มได้ฉันใด การทำบุญแม้จะเล็กน้อย แต่ทำบ่อยๆ บุญก็เต็มได้ฉันนั้น”

หลวงพ่อให้กำลังใจลูกๆ ในการทำความดีเสมอ ใครก็ตามที่ได้มาทำบุญกับหลวงพ่อจะหน้าบาน (ปีติ) กลับบ้านทุกคน ไม่มีใครทำบุญแล้วหน้าซีดกลับบ้าน แม้ว่าจะเหลือแต่ค่ารถกลับบ้านเท่านั้นก็ตาม และเป็นจำนวนมาก ที่เทกระเป๋าทำบุญกันเลย ถ้ารู้ว่ามีรถฟรีกลับบ้านได้ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องงมงาย หรือหลงลืมขาดสติ

แต่เป็นเพราะความอิ่มเอิบของการได้ทำกุศล บุญใดบกพร่อง หลวงพ่อจะแนะนำให้ทำบุญนั้นเอาไว้เป็นกำไร เป็นปัจจัยหนุนให้ไปพระนิพพานได้สะดวก คล่องตัวและเร็วไว
หลายท่านที่มีปัญญาสูง เมื่อได้ฟังคำสอนของหลวงพ่อ ก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี สำหรับผมเองแล้ว ใช้เวลานานปีจึงเข้าใจ มองเห็นภาพชีวิตได้ หลงเข้าใจผิดเสียมานมนาน

มองแค่เพียงสั้นๆ ผิวเผินว่า ความรวยคือความสำเร็จ ตำแหน่งหน้าที่สูง กิจการใหญ่โต คือจุดมุ่งหมายของชีวิต จะทำให้มีความสุข แต่แท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แต่ละคนได้มา เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ขณะเป็นคน เป็นสิ่งที่ได้มาจากกรรมดีที่เป็นทุนเดิม เป็นปัจจัยที่ใช้ในการต่อบุญ คนที่ฉลาดจะได้ต่อบุญ ส่วนคนโง่จะสะสมไว้เกินความจำเป็นและเกินสมควร

จากการที่ได้ฟังหลวงพ่อสอนมากๆ เข้าจึงได้รู้ว่า ชีวิตไม่ได้จบตรงที่การตาย หลวงพ่อชี้ให้เห็นว่าชีวิตหนึ่งนั้น ก็คือหนึ่งฉากเท่านั้น หมดฉากนี้ (ตาย) ไปก็ไปฉากใหม่ (เกิด) อีก จะเป็นอะไรสุดแล้วแต่จิตใจเป็นสำคัญ ใครๆ ว่าชีวิตเลือกเกิดเองไม่ได้ บางคนเกิดมารวย พรั่งพร้อมไปทุกอย่าง คนส่วนมากอยากเกิดมารวย อยากสวย อยากงาม

อยากเกิดมาสบาย มีความสุข มีพร้อมสรรพ บางคนเกิดมาลำบาก ยากแค้น อยากมีแต่ไม่มี อยากได้แต่ไม่ได้ นั่นเป็นเพราะบุญกรรมทำแต่ง ที่ว่าชีวิตเลือกเกิดเองไม่ได้ อย่างที่ได้ยินมานั้น หลวงพ่อชี้ให้เห็นว่า ชีวิตเลือกเกิดเองได้ คือจะเลือกเกิดในที่ต่ำสุด คือนรก หรือระดับกลางคือมนุษย์ หรือระดับสูงคือสวรรค์ จนถึงพรหม

ถ้าไม่ต้องการเกิดอีก ก็เลือกไปพระนิพพานคือ พ้นวัฏฏะ หลวงพ่อชี้แล้วก็บอกว่า ถ้าลูกจะเกิดอย่างเลวที่สุด ก็ขอให้เกิดมาเป็นคนที่ไม่รู้จักกับคำว่า “ไม่มี” คือมีพร้อมทุกอย่างที่ต้องการ แต่หลวงพ่อไม่ต้องการให้ลูกทั้งหลายเกิดอีกต่อไป แม้ว่าจะเกิดดีเพียงไรก็ตาม ก็จะพบความทุกข์

ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อจึงได้นำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า มาพร่ำสอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ลูกๆ ได้ซึมซาบ ขึ้นใจ ตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคน หลวงพ่อป่วยอย่างหนักก็ยังมาโปรด ใครอื่นดูว่าหลวงพ่อแข็งแรง สมบูรณ์ แต่ความจริงนั้นคืออาการบวม

เห็นยิ้มแย้มแจ่มใส ผิวกายสว่าง ตามสายตาเท่าที่เห็นภายนอกก็เพราะว่ามีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระอริยสังฆคุณ รักษาให้หลวงพ่อดำรงคงอยู่ได้ หลวงพ่อใจแข็งมาก ตี 5 ของวันที่ 11 ธ.ค. 2534 หลวงพ่อพร้อมที่จะจากลูกๆ ไป มีผู้ไม่กี่ท่านเท่านั้น ที่หลวงพ่อได้มอบหมายหน้าที่ให้จัดการต่อไป แต่ด้วยโชคดีและเป็นกุศลมหาศาลของเรา

ลูกๆ หลวงพ่อผ่านพ้นจุดวิกฤต (หลวงพ่อไม่ต้องการอยู่อีกต่อไป ถ้าหากร่างกายไม่ดี หลวงพ่อปรารภไว้) ลูกๆ จึงยังได้เห็นหลวงพ่ออย่างปกติที่เป็นอยู่ (ปกติที่เป็นอยู่ หมายถึงโรคภัยไข้เจ็บหลายชนิดที่มาเบียดเบียนเป็นประจำ เป็นแล้วเป็นอีก โรคหนึ่งหาย เป็นอีกโรคหนึ่งแทนที่ เป็นคราวเดียวหลายโรค เบียดเบียนอย่างไรก็เบียดเบียนอยู่อย่างนั้น (ไม่ใช่ร่างกายปกติดี)

เมื่อหลวงพ่อไม่จากไป หลวงพ่อต้องทนรับทุกข์ทรมานเพื่อสงเคราะห์ผู้คนต่อไป ถ้าหลวงพ่อไม่บอกเล่าให้ฟัง จะไม่รู้เลยว่า หลวงพ่อตั้งใจจากไปจริงๆ ผมได้ฟังก็งันไป บอกความรู้สึกของใจไม่ถูก ไม่อยากให้หลวงพ่อไป ก็รู้อยู่แค่นั้น คอตีบขึ้นมา ใจหายโหวงเหวง

เมื่อนึกคิดว่า ถ้าหลวงพ่อจากไปจริงๆ ใจหนึ่งก็คิดว่าหลวงพ่อไม่ไปง่ายๆ ไม่ไปดื้อๆ แน่ๆ แต่ก็ไม่ประมาท ในความคิดผมเชื่อว่าถ้าหลวงพ่อจะไปเมื่อไร หลวงพ่อต้องบอกลาลูกๆ ทั้งหลาย ให้รู้ตัวล่วงหน้าแน่นอน จะด้วยความรู้สึกหรืออะไรก็ตามที

แม้หลวงพ่อจะพูดอยู่เสมอว่า ความตายไม่มีเครื่องหมาย ตายเมื่อไรก็ได้ เพราะหลวงพ่อไม่ต้องการให้ลูกๆ ประมาทในความตายนั่นเอง
เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว รู้สึกค่อยโล่งอกไปหน่อยหนึ่ง จากที่ผมรวมทั้งพี่ๆ น้องๆ จำนวนนับร้อยๆ ร่วมใจกันบวชพระ เณร ชีพราหมณ์ ถวายกุศลแด่องค์หลวงพ่อ เมื่อ 25 ธันวาคม 2534

อย่างน้อยเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย คงระงับการจองเวรองค์ท่านบ้าง ผมบวชถวายท่านแล้ว และก็จะบวชถวายอีก ตั้งใจเอาไว้จะอีกกี่ครั้งก็เอา ส่วนคำสอนที่หลวงพ่อสอนไว้ ผมตั้งใจสะสมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตลอดทั้งการทำบุญและการปฏิบัติ รวมทั้งชักชวนคนที่ห่างธรรมะให้ได้เข้ามาสนใจขึ้น

เป็นการถวายทดแทนพระคุณองค์ท่าน เท่าที่ปัญญาและความสามารถจะทำได้ ให้หลวงพ่อเห็นว่าลูกๆ ของหลวงพ่อไม่ใช่ขี้ไก่ไร้สาระ ไม่ให้หลวงพ่อเสียเวลาสอนเปล่า
อันที่จริงแล้ว หลวงพ่อทำทุกอย่างเพื่อสงเคราะห์ในความเป็นอยู่ของลูกๆ ในปัจจุบัน จะเห็นได้จากสิ่งที่หลวงพ่อเกื้อหนุนมาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นวัตถุมงคล มากมายหลายชนิด

น้ำมนต์ คาถา ยารักษาโรคชนิดต่างๆ มีดหมอ – น้ำมันชาตรี พิธีสะเดาะเคราะห์ ยันต์เกราะเพชร เบ็ดเตล็ดยังไม่นับ ฯลฯ มากจริงๆ ใช้เวลาวันหนึ่งเล่าไม่จบ เพื่อให้นำไปใช้ให้เกิดความคล่องตัวขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้ปฏิบัติธรรม จะได้ทำบุญทำกุศลได้เต็มที่ เต็มกำลังและยังสามารถนำไปสงเคราะห์ผู้อื่น ที่ยังมาไม่ถึงได้อีกด้วย

เมื่อหมดอายุขัยเมื่อไร ก็ให้สามารถได้ไปพระนิพพานได้ทันที สมดังความตั้งใจของตัวเอง ตามความตั้งใจของหลวงพ่อ ตามพระประสงค์ของพระพุทธองค์ที่ทรงต้องการให้คนพ้นทุกข์ แต่..อายุขัยของหลวงพ่อหมดไปตั้งนานแล้ว หลวงพ่อยังทนทุกข์เพื่อลูก ลากสังขารมาโปรดลูกๆ แสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อของเรารักพวกเรามากเหลือเกิน เกินกว่าปัญญาจะเปรียบเทียบได้

แม้แต่หลวงพ่อเองยังเร่งรัดให้ลูกๆ ได้บุญมากๆ ด้วยการเข้าสมาบัติ ตามกำลังเต็มกำลังขององค์ท่าน รับสังฆทานและปัจจัยฯ ซึ่งจะได้บุญเป็นแสนๆ เท่าของการรับอย่างปกติ ให้รีบทำบุญ ไม่ใช่คิดว่า “รอให้หลวงพ่อตื่น ก่อน...” หรือ “เดี๋ยวหลวงพ่อ มองไม่เห็น” หรือ รอให้หลวงพ่อให้พร รอให้หลวงพ่อทักทาย หรือ “หลวงพ่อหลับหรือ...!!!” อย่างที่มีคนมาถามผม

มีสิ่งเดียวคือ ทำให้หลวงพ่อได้ชื่นใจด้วยการเชื่อฟังคำสอนของหลวงพ่อ โดยลูกจะทำแต่ความดี ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ที่ทำมาแล้วก็จะทำให้ดียิ่งขึ้น เร่งรัด เข้มงวด ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพาน เพื่อเป็นการบูชาความดีของหลวงพ่อ เพื่อสนองพระคุณของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

◄ll กลับสู่สารบัญ


50

ความประทับใจที่ได้เป็นศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ


สมบูรณ์ ทรัพย์กล้า


....เมื่อราวปี พ.ศ. 2522 ข้าพเจ้าได้ไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ซอยสายลม กรุงเทพฯ ข้าพเจ้าเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และได้อ่านหนังสือที่ตามคณาจารย์อื่นๆ เขียนขึ้นมา หลายต่อหลายอาจารย์ ก็ไม่กระจ่างชัด เรื่องนรก สวรรค์ ทำให้อ่านแล้วเวียนหัว หาทางออกไม่ได้ คิดในใจว่าท่านผู้เขียนคงไม่ได้ปฏิบัติ อาจจะเขียนไปตามตำรามากกว่า

....แต่ข้าพเจ้าก็หาหนังสืออ่านเรื่อยๆ มา จนมีเพื่อนบ้านเอาหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน มาให้อ่าน พออ่านแล้วก็ประทับใจมาก เรื่องนรก สวรรค์ และสามารถพิสูจน์ได้โดยวิธีปฏิบัติ ข้าพเจ้าก็เริ่มปฏิบัติโดยอ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน พอฝึกได้อารมณ์อะไร หรืออุปสรรคเกิดขึ้นเวลาทำสมาธิ ข้าพเจ้าก็เปิดดูหนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน เมื่อดูแล้วก็ตรงกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเขียนไว้ทั้งหมด

ข้าพเจ้าจึงมาคิดว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านปฏิบัติมาแล้ว ท่านจึงได้มาสอนลูกหลาน และบันทึกไว้เป็นตัวหนังสือ เพื่อให้ลูกหลานและคนรุ่นหลังจะได้ปฏิบัติไม่ผิดทาง ยิ่งได้มาฟังคำสอนของท่านแล้ว ก็เกิดศรัทธามากขึ้น เช่น ท่านสอนให้รักษาศีล 8 เวลาทำสมาธิเพียง 1 ชั่วโมง จะมีอานิสงส์มาก พอเลิกทำสมาธิแล้วจะรักษาศีล 5 ก็ได้ ถ้ามันหนักกินไป ก็ให้รักษาวันละ 1 ข้อก็ได้

ถ้าไม่ได้อีกให้รักษาเป็นชั่วโมง วันละ 1 ชั่วโมง ท่านสอนว่า วันละ 1 ชั่วโมงนี้มีอานิสงส์ไม่ใช่น้อยนะ ถ้าเป็น 10 ชั่วโมงเท่าไร และถือๆ ไป จิตมันชินก็ได้ครบเองทั้งศีล 5 ศีล 8 ก็เช่นเดียวกัน การทำสมาธิให้ทำวันละไม่ต้องมาก ให้นับลมหายใจเข้าออกครั้ง 10 คู่ พอจิตไม่ส่ายมันชินจะนับเป็นร้อยยังสบายเลย ฟังท่านสอนแล้วมีกำลังใจที่จะปฏิบัติจริงๆ

ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ซื้อหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ไปให้พระท่านอ่าน เพราะข้าพเจ้าเห็นท่านสนใจในการปฏิบัติ พอท่านอ่านแล้ว ท่านก็ชอบจริงๆ แล้วท่านก็ออกธุดงค์ไปตั้ง 3 เดือน
พอท่านกลับมาจากธุดงค์ ท่านก็มาหาข้าพเจ้า พอดีพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมาซอยสายลม พระท่านก็มากราบหลวงพ่อ

กราบแล้วก็มานั่งฟังท่านคุยหลังเจริญกรรมฐาน พอมาฟังท่านคุยปรากฏว่าท่านเล่าเรื่องพระองค์นั้นไปธุดงค์ที่ไหนมาบ้าง และทำอะไรมาบ้างท่านรู้หมดเลย พระองค์นั้นยังงงเลย เพราะพึ่งจะมากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นครั้งแรก ยังไม่เคยเล่าอะไรให้ท่านฟังเลย

เพียงประวัติหลวงพ่อปานเล่มเดียว จะไปที่ไหน ท่านรู้หมดเลย ข้าพเจ้าจึงภูมิใจมากที่ได้เป็นศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านสอนด้วยและคุมดูแลตักเตือนให้เดินทางให้ถูก ขอให้ทุกๆ คน รับคำสอน แล้วตั้งใจปฏิบัติให้จริงๆ จะได้พ้นทุกข์ในชาตินี้ทุกคน

พระธรรมคำสอนใดใด ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เห็นแล้ว บรรลุแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าและลูกหลานทุกๆ คนได เห็นธรรมนั้นฉับพลันเถิด สาธุ

◄ll กลับสู่สารบัญ


51

บันทึกประสบการณ์


เกตุ อารีรักษ์


.....ขอกราบนมัสการ หลวงพ่อ ที่รักยิ่ง และที่เคารพนับถืออย่างสูง
.....นับตั้งแต่ เกล้ากระผม ได้มาเป็นสานุศิษย์ของหลวงพ่อ ตั้งแต่วันวิสาขบูชา วันที่ 29 พฤษภาคม 2523 เป็นวันเดือน 6 ใต้ (เดือน 8 เหนือ) ซึ่งเป็นวันประสูติ วันตรัสรู้สัมโพธิญาณ และเป็นวันปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาเป็นต้นมา จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2534 เป็นเวลานานถึง 11 – 12 ปีเศษ

....และได้รับความประทับใจที่ได้รับความกรุณาจากหลวงพ่อ ที่ได้อบรมสั่งสอนแบบยึดสุกขวิปัสสโก และมโนมยิทธิ ได้ประสบการณ์เป็นที่พอใจ และได้รู้แจ้งเห็นจริงพอสมควร จึงได้บันทึกประสบการณ์มากราบเรียนหลวงพ่อฯ ดังต่อไปนี้

ก่อนอื่น เกล้ากระผมขอออกตัวเสียก่อนว่า เกล้ากระผม อยู่บ้านเลขที่ 516 หมู่ที่ 4 ตำบลกลางเวียง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เป็นจังหวัดชายแดน ในขณะนั้นมีผู้ก่อการร้ายเข้าโจมตีจังหวัดน่านอยู่มากมาย บ้านนอกตามชายแดนเขาเรียกว่า คอมมูดี เขาได้ถนนหนทางเดินไปมาสะดวก ก็เพราะคอมมูดี เขาไม่เรียกว่าคอมมิวนิสต์

ถ้าไม่มีคอมมิวนิสต์เข้ามารบกวนบุกชายแดน เขาก็ไม่ได้ ถนนหนทาง สะพานข้ามห้วยหนองคลองบึง เดินสบายขึ้น คนในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีใครที่จะกล้าเข้าไปเหยียบย่ำจังหวัดน่าน เพราะเกรงกลัวผู้ก่อการร้าย ราษฎรได้อดๆ อยากๆ ก็ได้อาศัยหลวงพ่อนี่แหละไปตั้งฉางข้าวที่บ้านนาก้อ หมู่ที่ 13 อำเภอปัว จังหวัดน่าน

เพื่อเมตตาให้ราษฎรผู้อดอยากหยิบยืมเป็นจำนวนข้าว 100 ถัง โดยนายธารพร เป็นสานุศิษย์ของหลวงพ่อเป็นผู้ไปจัดตั้ง จนบัดนี้มีข้าวร่วมเป็น 1,000 ถัง จนไม่มีที่เก็บและที่ขยาย นับว่าหลวงพ่อมีความเมตตากรุณาอย่างสูง และในขณะนั้น เกล้ากระผมได้ดำรงตำแหน่งเป็นไวยาวัจกรวัดบุญยืน

ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าคุณสาราธิคุณ เจ้าอาวาสและเจ้าคณะอำเภอเวียงสา ได้รับแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกรตั้งแต่ พ.ศ.2503 เป็นไวยาวัจกรอยู่ ก็ได้เข้าปฏิบัติธรรมะถืออุโบสถศีล นอนวัดในวันอุโบสถศีล และได้ตรวจหาตำรับตำราแบบยึดสมถภาวนาและวิปัสสนาญาณ ก็ไม่มีใครที่รู้แจ้งเห็นจริง ปฏิบัติกันตามจารีตประเพณี ทำกันมาแต่โบร่ำโบราณ

ไม่มีผู้รู้จริงแนะนำสั่งสอน โดยให้นั่งเป็นชั่วโมงๆ จะพลิกตัวก็ไม่ได้ ปวดเมื่อยจะพลิกขาก็ไม่ได้ โดยศิษย์ไม่รู้ ไม่เข้าใจปฏิบัติอยู่ร่วม 10 ปีเศษ เพียงแค่ได้สมาธิเล็กน้อยเท่านั้น พอมาถึงปลายเดือนมีนาคม 2523 หลานสาวสมบุญ ณ น่าน ได้มาเช่าบ้านอยู่ใกล้ชิดติดกัน แกรู้ว่า เกล้ากระผมมีความสนใจในการปฏิบัติธรรม

จึงได้นำเอาหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน (พระครูวิหารกิจจานุการ) วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งหลวงพ่อฯ เป็นผู้เขียนและเล่าประวัติของหลวงปู่ปานให้ฟัง เกล้ากระผมได้อ่านหลายจบ ติดอกติดใจในคำอธิบายประวัติของหลวงปู่

ในขณะนั้นอายุของเกล้ากระผมได้ร่วม 70 ปีเศษ จะครบ 71 อยู่แล้ว จึงคิดตัดสินใจเด็ดขาด ที่จะมายึดและปฏิบัติธรรมจากหลวงพ่อ จึงได้ปรึกษากับเมียและลูกว่า จะต้องลงมากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาปฏิบัติสมณธรรม จากหลวงพ่อให้จงได้ แม้จะอายุแก่ปานนี้ก็ตาม แก่แบบมะพร้าว ยังมีจิตใจอันแรงกล้า แม้จะตายวายชนม์อยู่ที่ไหนๆ ก็ตายเหมือนกัน

เมื่อมีวัตถุประสงค์เช่นนี้ เมียและลูกก็ยินดีด้วย เพราะลูกสาวก็อยู่ที่คลองจั่น เขตบางกะปิ อยู่ต่อมา เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2523 เกล้ากระผมจึงได้ไปกราบเรียนเจ้าคุณสาราธิคุณ เจ้าอาวาส ขอลาออกจากไวยาวัจกร วัดบุญยืน ชี้แจงเหตุผลให้ฟัง เพราะช่วยในทางศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง พร้อมกับส่งตราตั้งไวยาวัจกรคืน

เจ้าคุณสาราธิคุณก็ให้ลาออก แต่ขอร้องแต่งตั้งให้เกล้ากระผมเป็นที่ปรึกษาของท่านโดยเฉพาะ ส่วนตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการอบรมประชาชน ประจำตำบลกลางเวียง และประจำอำเภอเวียงสาไม่ยอมให้ลาออก ขอให้ช่วยไปก่อน ต้องยินยอมตามที่ท่านขอร้อง

บ้านนอกเข้ากรุง พอสงกรานต์ปีใหม่เสร็จ ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2523 ก็ได้ลงมากรุงเทพฯ ไปพักอยู่ที่บ้านลูกสาว ซึ่งอยู่ที่แฟลตคลองจั่น เขตบางกะปิ และเล่าวัตถุประสงค์ที่พ่อลงมากรุงเทพฯ คราวนี้ ให้ลูกสาวและลูกเขยฟัง ลูกสาวและลูกเขยก็มีความยินดีช่วยเหลือทุกอย่าง

และได้ขอร้องให้ลูกสาวและลูกเขย เอารถไปส่งบ้านคุณสงัด ปริกเพ็ชร์ บ้านเลขที่ 78/9 ตรอกสุพรรณิกา ห้วยขวาง กรุงเทพฯ ไปค้นหาบ้านคุณสงัด ปริกเพ็ชร์ถึง 2 วันจึงพบ ก็ได้เล่าวัตถุประสงค์ให้คุณสงัดฟัง คุณสงัดก็ยินดีสนับสนุน และคุณสงัดและภรรยาก็เป็นศิษย์ของหลวงพ่อและคุ้นเคยกับบ้านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ ดี

เมื่อคุยกันแล้วแกก็นำไปบ้านเจ้ากรมเสริมฯ แต่คุณสงัดบอกว่า เจ้ากรมฯ ไม่มีเวลารับแขก เมื่อมีจิตศรัทธาที่จะปฏิบัติธรรมที่นี่ ท่านให้ถือว่าเป็นบ้านของตัว และพบเข้าชมห้องต่างๆ และได้แนะนำการติดต่อ ในวันนั้นได้ซื้อหนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ติดมือไปอ่าน 1 เล่ม

และคุณสงัดก็แนะนำเวลาเดินทางไป – กลับ ให้เข้าตรงซอยสายลม 1 ซึ่งมีป้ายบอก และขึ้นรถยนต์ประจำทางเบอร์ 27 ถึงคลองจั่น บางกะปิ รถเมล์ประจำทางมีเบอร์ 27, 21, 32 เดินผ่านทางนี้ ไปสนามหลวง ถึงป้ายตรงหน้าปั๊มน้ำมันก็ลงตรงนั้น และก็เดินเข้าตรอก ตรงไปบานเจ้ากรมเสริมฯ เลย

เวลาหลวงพ่อมาสอนธรรมะให้ดูประกาศที่บ้านเจ้ากรมเสริมฯ ท่านจะเขียนประกาศไว้ ก็ให้มาตามนั้น เพราะเราเป็นคนใหม่ มาใหม่ ไม่ค่อยจะรู้อะไร เพราะบ้านนอกเข้ากรุง และทราบจากคุณสงัด ปริกเพ็ชร์ บอกว่า ในวันวิสาขบูชา ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2523 หลวงพ่อจะทำการไหว้ครูที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

จะมีศิษย์ของหลวงพ่อฯ ไปกันมาก ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2523 จึงได้โทรศัพท์ติดต่อกับคุณสงัด ขอความกรุณาช่วยจองตั๋วรถไปและกลับให้ ก็ได้รับความกรุณาจากคุณสงัด จองตั๋วรถให้ ไปกลับคนละ 100 บาท ให้ไปขึ้นรถยนต์ที่กองตำรวจตระเวนชายแดน รถทัวร์จะมาจอดที่นั่น

รถยนต์จะออกจากกรุงเทพฯ ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2523 เวลา 18.00 น. ให้ไปให้ทันเวลา เพราะมีรถยนต์จะไปหลายคัน ศิษย์หลวงพ่อก็จะไปกันมาก
ถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2523 เวลาเช้า ก็บอกกับลูกสาว บอกให้ไปส่งขึ้นตามสถานที่ดังกล่าว เพราะว่ากองตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้จัก เพราะกรุงเทพฯ กว้างขวาง บ้านนอกเข้ากรุง

ลูกสาวบอกว่าวันนี้เวลา 15.00 น. จะไปส่งขึ้นรถเมล์ เมื่อถึงเวลาก็ออกจากที่พักแฟลตคลองจั่น บางกะปิ ไปขึ้นรถยนต์ เกล้ากระผมพอไปถึง คนจัดรถก็จัดให้ขึ้นรถคันที่ 7 บัตรเลขที่นั่งที่ 84 พร้อมกับชำระเงินให้ เมื่อขึ้นรถแล้วลูกสาวก็กลับที่พัก

เมื่อถึงเวลา 18.00 น. รถยนต์ก็ออกจากกรุงเทพฯ ไปวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ในระหว่างทางฝนตกมาก รถก็ติด วิ่งเร็วไม่ได้ ถึงวัดท่าซุงเวลา 22.00 น. ก็มีเจ้าหน้าที่ออกมารับบอกว่า ท่านสุภาพบุรุษให้ไปพักศาลานวราช ส่วนสุภาพสตรีไปพักตึกเสริมศรี นอกจากรถทัวร์ 7 คันแล้ว ยังมีรถปิคอัพ และรถเก๋งส่วนตัวก็ไปกันมาก

เมื่อถึงที่พักแล้ว รู้สึกว่าเป็นกันเอง ไม่มีการถือตัวถือพรรคถือพวก เข้ากันได้ดี ต่างคนก็มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อถึงที่พัก ก็เข้าห้องส้วมห้องน้ำ แล้วก็พักผ่อน ก่อนจะนอนก็กราบไหว้พระแล้วก็ภาวนาได้ 3 – 4 คำก็หลับไป

พอถึงเวลา 04.00 น. ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2523 เป็นวันเพ็ญเดือน 6 เป็นวิสาขบูชา ก็ได้ยินเสียงระฆังกังวานมาจากลำโพงวิทยุ เพื่อปลุกให้สานุศิษย์ตื่นนอน เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา หลวงพ่ออยู่ที่กุฏิของท่าน ก็นำไหว้พระเสร็จก็ให้สมาทานศีล 8 และสมาทานพระกรรมฐานตามแบบพิธี

โดยมิได้มีธูป เทียน ดอกไม้ แล้วก็ให้คำอธิบายวิธีปฏิบัติมโนมยิทธิ และวิชชาสาม เพิ่งได้รับคำแนะนำ และอธิบายวิธีปฏิบัติเป็นครั้งแรกในชีวิต หลวงพ่อก็ให้คำอธิบายโดยปริยายและเข้าใจ แล้วก็ให้เริ่มลงมือปฏิบัติ หลวงพ่อก็มิได้บอกว่าให้ภาวนาอะไร สุดแล้วแต่ใครจะภาวนาเอาตามจิตของตัวเอง เกล้ากระผมนั้นจึงได้ภาวนา นะมะพะทะ

ก่อนจะภาวนา ได้พิจารณาตัดขันธ์ 5 ตามสังโยชน์ 3 คือ ตัดสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เป็นอารมณ์ของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี คือเป็นผู้มีความรู้เล็กน้อย คือ 1.พิจารณาตัดสักกายทิฏฐิว่า ร่างกายนี้นั้นเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็เสื่อมไปในท่ามกลาง มันสลายตัวไปในที่สุด นับเป็นทุกข์

2.พิจารณาวิจิกิจฉา เราไม่ได้คัดค้านหรือสงสัยคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคารพพระพุทธเจ้า เราเคารพพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เราเคารพในพระอริยสงฆ์ เราถือเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งตลอดชีวิต 3.พิจารณาตัดสีลพพตปรามาส เราไม่ได้ถือศีล 5 แบบหัวเต่าผลุบเข้าผลุบออก

เราถือศีล 5 โดยบริสุทธิ์ เราไม่ทำลายศีล 5 ด้วยตนเอง เราไม่ได้ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล ถ้ารู้ว่าบุคคลอื่นได้ทำลายศีล รู้สึกเสียใจ เมื่อทำลายขันธ์ 5 ไปแล้ว ขอไปพระนิพพานจุดเดียว จะเกิดเป็นมนุษย์ ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่ต้องการเกิดอีก เพราะทุกข์ จะเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็มีความสุขดีแหละ

แต่เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีแล้ว ก็ต้องลงมาจุติเกิดเป็นมนุษย์ บางทีก็ลื่นไปอบายภูมิใช้หนี้เก่าอีก เราไม่ต้องการ ต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน แล้วก็ภาวนาว่า นิพพานสุขังๆๆ สัก 2 – 3 นาที เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ก็เริ่มสมาทานกรรมบถ 10 ให้ครบก่อน แล้วก็ภาวนา นะมะพะทะไป เพราะเริ่มฝึกใหม่เป็นครั้งแรก

นั่งภาวนา และพิจารณาอยู่ประมาณ 10 นาที ก็มีอาการรู้สึกว่าเบาเนื้อเบาตัว ในขณะหลับตาภาวนา คำภาวนาก็หายไปเอาดื้อๆ จิตใจก็เริ่มสบายมีแสงสว่างไหวเกิดขึ้นยิ่งกว่าเวลากลางวัน บอกไม่ถูก จิตจมอยู่ที่พระพุทธรูป ปางพุทธชินราช ที่ตั้งอยู่แทนพระบูชาในที่ศาลาที่พัก ดูยิ่งใสเป็นประกายแก้วใส จึงสงสัยตัวเอง

จึงลืมตามองดูพระพุทธรูปก็ใสเป็นแก้วตามเดิม แล้วก็เริ่มหลับตาใหม่ ก็ได้รับแสงสว่างใสเป็นแก้ว ในชีวิต เพิ่งปรากฏเห็นแสงสว่างไสวครั้งนี้เป็นครั้งแรก นี่เป็นอารมณ์ของเกล้ากระผมที่เพิ่งได้รับฝึกใหม่ และยังไม่รู้วิธีจะปฏิบัติอะไร เพราะยังไม่มีใครแนะนำทางให้ ได้รับเพียงแต่แสงสว่างอย่างเดียว

พอถึงเวลา หลวงพ่อก็ให้หยุดคำภาวนาให้อยู่อย่างสบายๆ เป็นเวลา ในขณะนั้น 05.30 น. แล้วหลวงพ่อฯ ก็นำแผ่กุศล ไปให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์ทั้งหลาย เสร็จแล้วหลวงพ่อก็บอกว่า วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา มีการทำบุญใส่บาตร เกล้ากระผมพึ่งมาปฏิบัติใหม่ยังไม่รู้อะไรเป็นอะไร เห็นพรรคพวกซื้อกับข้าวและข้าวใส่บาตร

ก็ได้ซื้อกับข้าวและข้าวใส่บาตรพร้อมกับสานุศิษย์ทุกคน แล้วก็ซื้อธูป เทียน ดอกไม้ บอกว่าเวลา 09.30 น. ให้ไปประชุมกันที่หน้าโบสถ์ เพื่อจะได้ร่วมกันบูชาครู เวลาบูชาครูให้จุดธูป 1 ดอกถือไว้ จึงได้เข้าร่วมพิธีกับหลวงพ่อ มีสานุศิษย์มาดูหลวงพ่อกระทำพิธีบูชาครู ซึ่งเกิดมาในชีวิตยังไม่เคยรู้เคยเห็น เกิดมีความปีติขึ้นขนลุกขึ้นมาในจิตใจ

พอหลับตาก็ได้เห็นแสงสว่างเหมือนเข้าพระกรรมฐาน ตอนใกล้จะสว่าง การเห็นแสงสว่างนี้ไม่ใช่ลืมตานะขอรับ เป็นการหลับตา จิตคงเป็นทิพย์เกิดขึ้นมาเอง นี่คิดเอาเองนะ มิได้รับคำแนะนำ จะผิดจะถูกอะไรก็ขอได้รับอภัย จากท่านที่ได้ฌานชั้นสูงและได้ทิพยจักขุญาณ อาจจะมีโลภะมาปิดบังก็ได้ เมื่อเสร็จพิธีแล้ว หลวงพ่อก็พรมน้ำพระพุทธมนต์ให้

แล้วก็พากันไปเวียนเทียนที่โบสถ์ เพราะเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนา เป็นวันประสูติ เป็นวันตรัสรู้ เป็นวันพระปรินิพพาน เป็นวันวิสาขบูชา ในขณะเวียนเทียนจวนจะเสร็จรอบที่สาม เจ้าหน้าที่ควบคุมรถก็บอกมา ในเครื่องกระจายเสียงบอกว่า พวกมาจากกรุงเทพฯ รถจะกลับเวลาบ่ายโมงตรงคือ 13.00 น.

ถึงเวลาให้ไปขึ้นรถของตน ตามเบอร์และเลขที่นั่งของตน เมื่อถึงเวลา 13.00 น. เขาก็เริ่มออกจากวัดท่าซุง พอจะถึงสะพานลาดพร้าว ทางจะเข้าไปบางกะปิก็บอกคนขับ ขอลงรถที่สะพานลาดพร้าว จะลงที่นั่น เพราะบ้านพักอยู่ที่บางกะปิ พอถึงสะพานลาดพร้าว คนรถก็จอดให้ลงที่นั่นหลายคน ก็ต่อรถประจำทางถึงที่พักบางกะปิ เวลา 17.30 น.

จึงได้เล่าเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาให้ลูกสาวทราบ และในขณะนั้นวัดท่าซุงที่ไปเห็นครั้งแรกยังไม่มีอะไรที่เจริญ ไม่เหมือนสมัยปัจจุบันนี้ เกล้ากระผมได้ประสบการณ์มาตั้งแต่ เริ่มฝึกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 – 4 มิถุนายน 2523 เป็นวันที่หลวงพ่อเดินทางมาฝึกสอนที่บ้านซอยสายลม เกล้ากระผมก็ได้มาฝึกที่นั่น

ในขณะที่หลวงพ่อมาอบรมสั่งสอนแนะนำไม่ได้ขาด เพราะเหตุว่าได้อ่านประวัติของหลวงปู่ปาน ซึ่งหลวงพ่อได้เขียนประวัติไว้ติดอกติดใจ จึงตัดสินใจจากบ้านมาแล้วต้องพยายามฝึกให้ได้ ไม่ได้มาก ได้เล็กน้อยก็มีความพอใจ นี่เป็นคำอธิษฐานของเกล้ากระผม ดังจะได้เล่าการปฏิบัติธรรมและได้ประสบการณ์ที่เริ่มต้นปฏิบัติครั้งแรกวันแรกดังต่อไปนี้

วันที่ 1 มิถุนายน 2523 หลวงพ่อได้มาพักที่บ้านซอยสายลม จึงได้ออกจากบ้านที่พักเวลา 09.30 น. ถึงบ้านซอยสายลมเวลา 12.00 น. หลวงพ่อได้ฉันเพลแล้วพัก เวลา 13.00 น. หลวงพ่อจึงเริ่มลงมือแนะนำฝึกมโนมยิทธิและวิชชาสาม ก่อนอื่นได้เข้ากราบนมัสการกับหลวงพ่อ และรายงานแนะนำตัว

กราบเรียนให้หลวงพ่อทราบว่า มาจากอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ท่านก็แนะนำพูดจาปราศรัยดี เพราะคนที่มาฝึกกันมาก ไม่มีเวลากราบเรียนหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อก็เริ่มให้สมาทานศีล 8 และสมาทานพระกรรมฐานเสร็จ มีเทียนเล่ม 1 เล่ม ดอกไม้ 3 สี 3 ดอก ธูป 3 เล่ม เงิน 1 สลึง

ถ้าไม่มีเหรียญสลึงจะเป็นเหรียญห้าสิบสตางค์ หรือเหรียญบาทก็ได้ เพื่อขึ้นครู และหลวงพ่อก็ได้อธิบายชี้แจงแนะวัตถุประสงค์ การเจริญพระกรรมฐานและวิปัสสนาญาณ และในวันนั้นจะฝึกมโนมยิทธิและวิชชาสาม ได้อธิบายวิธีปฏิบัติให้ศิษย์ทราบ เป็นเวลานานประมาณ 20 นาที เสร็จแล้ว พวกที่จะฝึกมโนมยิทธิให้ขึ้นไปชั้นบน

พร้อมทั้งธูป เทียน ดอกไม้ และเงินหนึ่งสลึง ให้จัดหาที่นั่ง ให้นั่งอย่างสบายๆ ไม่ต้องเคร่งและเครียดจนเกินไป ให้ภาวนานะมะพะทะ เวลาหายใจเข้าให้นึกว่า นะมะ เวลาหายใจออกให้นึก พะทะ ให้เอาจิตจับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เราชอบใจ จำลักษณะให้แม่น จำได้ทุกขณะจิตทุกลมหายใจ ให้นั่งประมาณ 10 นาที

เวลาครูผู้แนะนำเข้าไปนั่งข้างหน้า ให้หยุดคำภาวนา ให้อยู่อย่างสบายๆ อย่าลืมตา ยังหลับตาอยู่ ถ้ามันเมื่อยมาก ให้เปลี่ยนพลิกหน้าพลิกหลังได้ อย่าอยากรู้อยากเห็นอะไร เมื่อครูผู้ฝึกเข้าไปนั่งอยู่ข้างหน้า ห่างจากท่านประมาณ 1 เมตร ท่านจะนำตัดขันธ์ 5 ก่อน แล้วก็บอกขอให้ท่านทุกคนตัดสินใจว่า

การที่เรามาปฏิบัติพระกรรมฐาน และวิปัสสนาญาณในวันนี้ ก็เพื่อหวังมรรคผลพระนิพพานเป็นสำคัญ บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลาย เห็นจริงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการแล้วว่า การเกิดเป็นมนุษย์มันเต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ มีความยุ่งยากนานาประการ

และร่างกายของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ เมื่อเกิดมาแล้วมันก็เดินเข้าไปหาความแก่ ขณะดำรงชีวิตอยู่ก็มีการเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย ประสบอารมณ์ไม่สมหวังนานาประการ บางครั้งก็ถูกเขากลั่นแกล้ง ถูกด่าว่า ถูกเขานินทา มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ

และสิ่งสุดท้ายที่สุด ทุกคนหนีไม่พ้นคือความตาย เมื่อร่างกายนี้ตายไป เราก็ไม่สามารถจะแบกเอาไปได้ ร่างกายของบุคคลอื่นอันเป็นที่รักที่ชอบใจ เราแบกเอาไปไม่ได้ ทรัพย์สมบัติ ไร่นาช้างม้าวัวควายหรือเงินแม้แต่บาทเดียว เราก็ไม่สามารถจะแบกไปได้ เพราะฉะนั้น ร่างกายของข้าพระพุทธจ้าทั้งหลายนี้ มันดับพังเมื่อใด ขอตัดสินใจเข้าสู่พระนิพพาน ตามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วโดยทันที

ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอได้ทรงโปรดพระมหากรุณาธิคุณ แสดงพระวรกายของพระพุทธองค์ ในสมัยอยู่ในโลกมนุษย์ และหลวงปู่ปาน พระปรมาจารย์ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้รับความสัมผัสได้อย่างถูกต้อง ตามความเป็นจริงทุกประการ ณ บัดนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า

ครูผู้ฝึกในวันที่ 1 มิถุนายน 2523 เวลา 13.00 น. นี้ จะเป็นคุณรัชนีหรือยังไงก็จำไม่ได้แน่ เพราะนานแล้ว เป็นอันว่า เอาผลที่ได้รับก็แล้วกัน
ครูถามว่า ขณะนี้ความรู้สึกของจิตทุกท่านว่า ขณะนี้มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่ข้างหน้าพวกเราหรือเปล่า

ก็ตอบครูฝึกไปว่า เวลานี้ความรู้สึกของจิตบอกว่า องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเสด็จมาประทับอยู่ข้างหน้า รูปร่างพระวรกายสมัยเมื่ออยู่ในโลกมนุษย์
ครูถามว่า พระพุทธองค์ทรงเครื่องสีอะไร

ก็ตอบครูผู้ฝึกไปว่า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงห่มผ้าจีวรสีเหลือง แบบครองผ้าม้วนเข้าที่แขน มีพระสังฆาฏิพาดไหล่ ทรงยืนอยู่บนดอกบัว ดูตั้งแต่เท้าพระองค์ขึ้นไปไม่สวมรองเท้า ยืนเหยียบอยู่บนดอกบัว ห่มจีวรปิดพันแขน เนื้อใสขาวมีประกายเป็นแก้ว ใบหน้าพระองค์ทรงยิ้ม คางสวย ปากสวย คิ้วสวย มือข้างซ้ายเหยียดลงมาแนบพระวรกาย มือข้างขวายกขึ้น เอานิ้วชี้จีบแตะกับหัวแม่มือข้างขวาเป็นรูปกลม ส่วนนิ้วกลางนิ้วนางนิ้วก้อยเหยียดออก สวยมาก

จึงได้กราบลงที่เท้าพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงยิ้ม นี่ไม่ใช่ตาเห็นนะขอรับ เพราะเราหลับตาเสียแล้ว จิตมันบอกสว่างไสวมาก
ครูผู้ฝึกบอกว่า นอกจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันแล้ว มีใครอีกสักคนไหม

ก็ตอบครูผู้ฝึกไปใหม่ อยู่ทางซ้ายมือของพระพุทธเจ้ามีพระสงฆ์อีก 1 รูป ครองผ้าจีวรสีกรัก ห่มจีวรแบบธรรมดา เอาผ้าสังฆาฏิพาดไหล่ เอาผ้ากำพล รัดเอวไว้ รูปร่างพระวรกายขาว หน้าคล้ายๆ แบนสวย

ครูผู้ฝึกบอกว่า ถูกต้องตามความเป็นจริง พระภิกษุองค์ที่เห็นนี้คือหลวงพ่อปาน เป็นพระปรมาจารย์ กราบท่านแล้วหรือยัง
ตอบครูผู้ฝึกว่า กราบลงที่เท้าท่าน ท่านก็ยิ้มรับ
ครูผู้ฝึกถามว่า ดีใจไหม? ที่ท่านได้รู้ได้เห็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเสด็จไปพระนิพพานนานแล้วร่วม 2,500 กว่าปี และพระวรกายของหลวงปู่ปาน

ตอบครูผู้ฝึกว่า รู้สึกดีใจมาก มีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น มีจิตใจสว่างไสวขึ้น ซึ่งในชีวิตเกิดมา ยังไม่เคยได้พบได้เห็นเพิ่มความปีติขึ้น เพราะร่างกายของพระพุทธองค์ได้ถูกเผาไปแล้ว แต่จิตหรืออาทิสมานกายของพระพุทธองค์ อยู่บนพระนิพพานตามสภาวะพระนิพพาน

และหลวงปู่ปานอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ชาติก่อนๆ เกิดมายังไม่เคยได้รู้ได้เห็นพระพุทธองค์ และหลวงปู่ปาน
ครูผู้ฝึกบอกว่า ชาตินี้เราได้เห็นพระพุทธองค์ จิตของเรามีความอิ่มเอิบ นี่จิตของเราเป็นสมาธิ ศีลก็บริสุทธิ์ จิตของเราเป็นปรมัตถบารมี จิตใจเบาไหม จิตสว่างไหม

ก็ตอบครูผู้ฝึกว่า จิตใจเบา สว่างไสวดี
ครูผู้ฝึกก็บอกว่า ในขณะที่อยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์ท่านและหลวงปู่ปาน ให้ทุกคนตัดสินใจว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะรักษาศีล 8 ให้บริสุทธิ์นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าพระนิพพานในชาติปัจจุบัน

จะรักษาศีลโดยเคร่งครัด และขณะที่ดำรงชีวิตอยู่จะทำงานทุกอย่างตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าร่างกายนี้ดับตาย ทำลายขันธ์ 5 ไปเมื่อใด การเกิดเป็นคนก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าไม่พึงปรารถนา ขอติดตามพระพุทธองค์ไปแดนสุขาวดีคือ พระนิพพานจุดเดียว ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตร

และอำนาจพระบารมีของหลวงปู่ปาน ขอนำอทิสมานกายของข้าพระพุทธเจ้า เข้าไปกราบไหว้พระจุฬามณีเจดียสถาน เขาลือกันว่า เป็นเจดีย์เพื่อจะได้เข้าไปกราบไหว้พระพุทธเจ้าและหลวงปู่ปานในแดนพระนิพพาน ขอให้ข้าพระพุทธเจ้า ได้สัมผัสได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการด้วยเถิดพระเจ้าข้า

ครูผู้ฝึกถามว่า ขณะนี้ความรู้สึกในจิตของท่านถึงพระจุฬามณีแล้วหรือยัง รูปร่างพระจุฬามณี และกำแพงพระจุฬามณีเป็นอย่างไร ขอให้ศิษย์ตอบ
จึงตอบครูผู้ฝึกว่า เวลานี้ความรู้สึกในจิตถึงพระจุฬามณีแล้ว แต่อยู่นอกกำแพงพระจุฬามณี ดูบันไดขึ้นพระจุฬามณีเป็นแก้วผสมทอง แสงระยิบระยับไปทั่ว กำแพงยาวมาก

มีประตูเข้าพระจุฬามณีก็มีมากนับไม่ถ้วน ซุ้มประตูที่เข้าพระจุฬามณีคล้ายคลึงกับซุ้มประตูเข้าโบสถ์วัดท่าซุง รูปร่างคล้ายคลึงกัน ประดับด้วยแก้วคล้ายกากเพชร มีสีขาวเป็นประกาย มีสีทอง สีเหลือง ส่วนกำแพงล้อมรอบพระจุฬามณี เป็นสีขาวประดับด้วยกากเพชรผสมทอง และสีเหลืองระยิบระยับไปหมด อยู่ข้างนอกพระจุฬามณีใหญ่โตมาก

ดูเหมือนจะตั้งอยู่ตรงกลางบริเวณเป็นสีขาว ประดับด้วยแก้วสีขาวคล้ายๆ การเพชรมีสีทองคำผสม มีสีเหลืองเป็นระยิบระยับ ใหญ่และสงบมาก พระจุฬามณีมีฐานกว้างและสูง มองขึ้นไปถึงฉัตรมีหลายชั้นประมาณ 9 ชั้น ประดับด้วยแก้วคล้ายเพชรและมีสีทองปน มีสีเหลืองใสสว่าง ดุยอดฉัตรคล้ายกับเพชรเม็ดโต

สว่างไสวไปทั่วบริเวณ คล้ายกับแสงสปอตไลท์ ในขณะมองดูพิจารณาอยู่ ก็เห็นหลวงปู่ปานเดินเข้าประตูพระจุฬามณีไป เราก็รีบเดินตามหลวงปู่ พอดีก็พบท่านมเหสักขา แต่งตัวเป็นเทวดาสวยงามมาก นุ่งผ้ายกโจงกระเบน สวมรองเท้าแก้วปลายงอน ประดับด้วยเพชรสีเขียวและเพชรสีขาวสลับกัน สวมเสื้อแขนสั้นสีขาวมีดอกคล้ายๆ เพชร

สวมสายสร้อยเพชร 2 เส้น ที่ปลอกคอมีปลายงอนทั้งสองข้าง มีปลอกข้อมือ และมีสนับเพลา คาดเข็มขัดนพเก้ามีเพชรสีขาว เขียวสลับกัน สวมมงกุฎ หนุ่มอายุประมาณ 18 ปี สวยงามมาก ท่านเป็นมรรคนายก เฝ้าพระจุฬามณี พอเข้าไปใกล้จะยกมือไหว้ขออนุญาตต่อท่าน แต่ท่านมเหสักขา เอามือมาแตะบ่าเข้าแล้วบอกว่าน้องไม่ต้องเข้าไปได้เลย

ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าจะเสด็จมาที่พระจุฬามณี ก็เลยเข้าไปถึง พอไปถึงลานพระจุฬามณี เป็นพระเจดีย์ใหญ่โตสูง และสวยงามมาก ประดับด้วยแก้ว แต่ก็ไม่ใช่แก้ว แต่คล้ายเป็นเพชร และผสมทองมีเหลืองๆ อร่ามไป แสงที่อยู่ยอดพระจุฬามณี ส่องแสงสว่างไสวมาก คล้ายกับว่ามีแก้ว 7 ประการในชั้นดาวดึงส์

การเห็นนี่ ทุกคนที่เข้าไปพระจุฬามณี จิตไม่เหมือนกัน เห็นสีต่างกัน ทั้งนี้เกี่ยวกับการทรงศีล สมาธิ และปัญญาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ในขณะที่เข้าไปอยู่ในแดนพระจุฬามณี จิตสว่างไสว เนื้อตัวเบาหวิว ไม่เหมือนกับอยู่ข้างนอกกำแพง จิตใจชุ่มชื่น เบิกบานในชีวิตที่ได้รู้ได้เห็น จึงได้นั่งลงกราบพระจุฬามณีสามหน

และบอกอาราธนา คุณพระบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ มีสิ่งที่มหัศจรรย์ที่บรรจุไว้ในพระจุฬามณี เช่นพระเกศาของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ที่ท้าวสักกเทวราชพระอินทร์ ได้เก็บบรรจุไว้ในตลับทอง เอาบรรจุไว้ในองค์พระจุฬามณี ก็ขอได้โปรดพระเมตตา ให้เห็นของจริงด้วยเถิดพระเจ้าข้า

ตลับทองคำ ที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็ออกมา ปรากฏเรียงรายกันเป็นแถว ไม่ใช่ 38 ตลับ มีมากมายเหลือเกิน เปิดดูแค่ตลับพระเกศา กลับกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุไปหมด ใสคล้ายๆ เพชร ส่วนพระเขี้ยวแก้วที่บรรจุไว้ในตลับทองก็มีมาก เช่นตลับพระเกศาของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน

แต่พระเขี้ยวแก้วอยู่ในตลับนั้นใหญ่ขนาดเมล็ดพริกชี้ฟ้า แต่พระเขี้ยวแก้วเป็นสีขาวใส เป็นเพชรแพรวพราวไปหมด จะเล่าให้ละเอียดนัก มันก็ไม่หมด เวลามันไม่ให้ จึงได้กราบไหว้ 3 หนว่า

อหังวันทามิ ธาตุโย ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระเกศาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น อหังวันทามิ ธาตุโย ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระเขี้ยวแก้ว ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น อหังวันทา มิสัพพโส ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น


webmaster - 21/4/11 at 17:13

เมื่อในขณะกราบไหว้นั้น เกิดปิติอิ่มเอิบขึ้นมาในชีวิต น้ำตาไม่รู้ว่ามันมาจากที่ไหน คล้ายๆ ร้องไห้ เพราะความปีติ ได้รู้ได้เห็น สิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แล้วก็ลุกยืนขึ้น ขณะยืนมองไปรอบบริเวณ เห็นพระเจดีย์อยู่ทั้งสี่แห่ง บริเวณกำแพงพระจุฬามณี เป็นพระเจดีย์สวยงามมาก มีธงทิวแขวนขวักไขว่กันไปทั่วบริเวณ

พื้นดินที่บริเวณพระจุฬามณีตั้งอยู่ ก็คล้ายเป็นแก้วกากเพชรผสมทองคำระยิบระยับไปหมด มองออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศใต้ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เห็นมีวิมานสีเขียวสูงมาก ประมาณสัก 30 กว่าชั้น และมีวิมานสีเขียวล้อมรอบอยู่จำนวนมาก มีประดับด้วยแก้วสีเขียว มีช่อฟ้า ปั้นลม มีแตรขึ้นตรงกลางวิมาน

มองไปทางทิศใต้ มีวิมานเป็นมณฑปสีขาวเป็นแก้วใสก็มีจำนวนมาก มณฑปสีทองก็มีจำนวนมาก ล้วนแต่มีช่อฟ้า ใบระกามีฉัตรขึ้นตรงกลาง มีกำแพงล้อมรอบ ในขณะที่ยืนอยู่
ครูผู้ฝึกก็บอกว่า ขอให้ทุกคน อาราธนาในจิตใจให้ว่าตาม...ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดประทานพระมหากรุณาธิคุณ จงแสดงพระวรกายในเมื่ออยู่ในพระนิพพาน

ขอให้ทรงเครื่องเต็มอัตราพร้อมด้วยหลวงปู่ปาน และท่านแม่ศรีและท่านย่า ให้ข้าพระพุทธเจ้าได้รับความสัมผัสกราบไหว้ได้อย่างถูกต้อง เห็นตามความเป็นจริงทุกประการในประเดี๋ยวนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า

ครูผู้ฝึกถามว่า พระพุทธเจ้า หลวงปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรีมาแล้วหรือยัง ถ้าหากบุคคลใดยังไม่รู้ไม่เห็น ก็ให้บอกว่าไม่รู้ไม่เห็น
ครูผู้ฝึกก็จะนำตัดขันธ์ 5 แนะนำให้ปฏิบัติให้รู้ให้เห็น การเห็นนี้ ไม่ใช่ตาเนื้อเห็นนะ การเห็นนี้จิตเป็นทิพย์จึงจะเห็นได้ การที่จิตเป็นทิพย์นี้ จะต้องเป็นปรมัตถบารมี มีศีล ศีลจะมีได้ ต้องมีพรหมวิหาร 4 เข้าควบคุม

เมื่อมีศีลบริสุทธิ์แล้ว สมาธิก็จะเกิดขึ้น ปัญญาก็คือวิปัสสนาญาณ บางคนที่ร่วมฝึกด้วยกัน บางคนก็ไม่รู้ไม่เห็นก็มี ส่วนข้าพเจ้านั้นจิตพอไปได้ จิตสว่างไสวเห็นชัด การเห็นนี้ ไม่ใช่ลูกตาเห็นนะขอรับ จิตมันเป็นทิพย์เห็นแสงสว่างเหมือนเห็นรูปในเวลากลางวัน

บอกครูผู้ฝึก เสด็จมาแล้วพระพุทธเจ้าท่านทรงเครื่องเต็มอัตรา นั่งอยู่บนแท่นแก้ว เนื้อพระวรกายเป็นแก้ว สวมรองเท้าแก้วปลายงอน นุ่งผ้าโจงกระเบน มีสนับเพลา สวมสร้อยเพชร สวมชฎาสูงเป็นแก้ว ประดับเพชร ท่านเป็นพระวิสุทธิเทพอยู่ในแดนพระนิพพาน

หลวงปู่ปาน ท่านย่า ท่านแม่ศรี ก็สวยมาก หนุ่มแต่งเครื่องทรงแบบพระวิสุทธิเทพอยู่ในแดนพระนิพพาน จึงได้เข้าไปกราบแทบเท้าพระวิสุทธิเทพ ท่านยิ้ม กราบที่ตักหลวงปู่ หลวงปู่ก็ยิ้ม กราบที่ตักท่านย่ายิ่งยิ้มใหญ่ แสดงความเมตตายินดีมาก กราบตักท่านแม่ก็ยิ้มสวยมาก

เมื่อกราบพระพุทธเจ้า คือพระวิสุทธิเทพ ในแดนพระนิพพาน หลวงปู่ ท่านย่า ท่านแม่แล้ว ครูผู้ฝึกก็นำขออาราธนาว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้กระทำบุญทำทาน และได้เข้ามาปฏิบัติสมณธรรม และได้ทำสังฆทานมาตั้งแต่รู้ภาษา กราบไหว้ทำทุกวันตลอดทุกวันพระ ถืออุโบสถศีล

ถ้าวิมานของข้าพเจ้ามีที่แห่งใด ขอพระมหากรุณาธิคุณได้โปรดนำจิตของข้าพระพุทธเจ้าไปในสถานที่นั้น โดยขอมหากรุณาให้หลวงปู่ปานและท่านย่า ท่านแม่ศรี นำจิตของข้าพระพุทธเจ้า ได้สัมผัสตามความเป็นจริงในขณะปัจจุบันเดี๋ยวนี้เถิดพระเจ้าข้า

ครูผู้ฝึกถามว่า ถึงวิมานของเราแล้วหรือยัง ถ้าถึงแล้วมีวิมานเป็นรูปสีอะไร เป็นวิมานไม้หรือก่อด้วยอิฐ ใหญ่หรือเล็ก มีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร ขอให้บอกตามความเป็นจริง

บอกกับครูผู้ฝึกบอกว่า ถึงแล้ว วิมานเป็นสีทอง มีช่อฟ้า ปั้นลม มีฉัตรอยู่ตรงกลาง มีมณฑปสีเหลื่อมจตุรมุข ไม่ใหญ่โตพอประมาณ บรรจุคนได้ขนาด 1,000 คน มีหน้าบันหน้าจั่วสวย ประดับด้วยทองระยิบระยับไปทั่วทั้งหลัง หลวงปู่ ท่านย่า ท่านแม่เข้าไป หลวงปู่ไปนั่งอยู่ที่ตั่ง นั่งประดับด้วยแก้วสีทอง

มีเตียงประดับด้วยแก้วสีขาวคล้ายเพชรผสมทอง ท่านย่า ท่านแม่ยืนอยู่ที่ข้างเตียงนอน ขณะเข้าไปเห็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่โต๊ะพระเครื่องบูชา ซึ่งเมื่อปีก่อนนี้ ได้นำโต๊ะหมู่บูชาไปถวายผ้าป่า ที่วัดบ้านนอกที่ยากจน ก็ไปปรากฏที่นั่นสวยงามมาก เมื่อกราบพระพุทธเจ้าแล้ว ก็กราบหลวงปู่ และหลวงปู่ก็ชี้ไปที่เตียงนอน

นี่เป็นวิมานของหลาน ให้ขึ้นไปนอนดูซิ ได้ไหม เราก็ขึ้นไปนั่งดูนิ่มนวลมากและนอนลง ท่านย่าก็ขึ้นไปนั่งขอบเตียงข้างขวาริมไหล่ ส่วนท่านแม่นั่งริมขอบเตียงตรงข้างบั้นเอว เมื่อนอนลงรู้สึกนิ่มนวลมาก หลวงปู่บอกว่า ให้ขึ้นมาวิมานทุกๆ วันมาปฏิบัติธรรมที่นี่ นี่เป็นวิมานของเรา เมื่อดับกายทำลายขันธ์ หลานก็จะได้มาอยู่ที่นี่

พอลุกขึ้นมามองดู ตัวเราผิดแปลกไปจากเมื่ออยู่ข้างล่าง เรานุ่งกางเกงขายาวสีดำ สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ใส่นาฬิกาข้อมือกลับเปลี่ยนไปเป็นนุ่งผ้ายก ทรงโจงกระเบนสีทองมีสนับเพลา นุ่งเสื้อแขนสั้นสีทองมีปลอกแขนและปลอกที่ข้อมือ มีปลอกสีทองที่คอมีปลายงอน สวมสร้อยเพชร 2 เส้น คาดเข็มขัดนพเก้าสีทองประดับเพชร

สวมรองเท้าปลายงอนประดับแก้วผสมทอง อายุหนุ่มประมาณ 18 ปีหยกๆ 19 ปีหย่อนๆ วิมานนี่อยู่ที่ชั้นดาวดึงส์ เมื่อลุกขึ้นกราบหลวงปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรี และท่านก็ถามว่าจะไปไหนอีก ก็บอกว่าจะไปหาแม่และพ่อ ผู้บังเกิดเกล้า

ครูผู้ฝึกก็บอก ให้อธิษฐาน ต่อพระพุทธองค์และหลวงปู่และท่านย่า ท่านแม่ว่า บุญวาสนาข้าพระพุทธเจ้ามีเพียงใด ใคร่จะสัมผัสบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว ขอพระพุทธองค์โปรดได้นำจิตหรืออทิสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าได้สัมผัสกับบิดาร มารดา และวิมานของผู้บังเกิดเกล้าฯ ในกาลบัดนี้เถิด

ครูผู้ฝึกถามว่า ถึงแล้วหรือยัง
บอกกับครูผู้ฝึกว่า ถึงแล้วโดยหลวงปู่ปาน ท่านย่า ท่านแม่ศรีเป็นคนนำไป ไปถึงวิมานของแม่ หลวงปู่ ท่านย่า ท่านแม่ ท่านอยู่ข้างนอกรอ หลวงปู่ชี้มือให้เข้าไปในวิมานของแม่ วิมานของแม่เป็นมณฑปสีเขียว

ประดับแก้วแพรวพราว มีช่อฟ้า ปั้นลม มีฉัตรขึ้นตรงกลาง มีหน้าจั่วสวยงามมาก เข้าไปถึงท่านแม่ ซึ่งเป็นมารดาผู้บังเกิดเกล้าฯ ก็แสดงตัวเป็นรูปร่างเดิม สมัยอยู่เมืองมนุษย์ แล้วก็ค่อยเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นเทพธิดา นุ่งผ้ายกทรงสีเขียว จีบหน้านาง สวมเสื้อสีเขียวแขนสั้น มีแสงเป็นแก้วประดับด้วย กากเพชรมีสีเขียวเป็นประกาย

ใส่ปลอกแขนและที่ข้อมือสวยมาก ที่คอก็มีปลอกสวมงอนทั้งสองข้าง มีสีแสงประกายเป็นเพชรผสมสีเขียว มีสายสร้อยเพชร 2 เส้น เข็มขัดนพเก้าประดับด้วยแก้วสีเขียวและเพชร สวมรองเท้าปลายงอนสีเขียว ประดับด้วยแก้ว แล้วก็ลงนั่งบนตั่งหน้าเตียงนอน จึงเข้าไปกราบตักท่านแม่บังเกิดเกล้า เมื่อมองหน้าแล้วก็ยิ้มสวยมาก

อายุของแม่ อายุไม่แก่ อายุประมาณ 19 ปี แล้วก็เอามือเข้าลูบหลังบอกว่า ยินดีที่ได้เห็นลูกเล็กคนสุดท้องขึ้นมาหาแม่ได้ ขอให้ขึ้นมาหาแม่ทุกๆ วันนะ แม่อยู่ชั้นจาตุมหาราช ถามหาเจ้าพ่อ แม่บอกว่าลูกไปพบแล้วหรือยัง ก็ตอบแม่ว่ายังไม่ได้พบ พ่ออยู่วิมานถัดหลังนี้ไปอีก 2 หลัง อยู่คนละที่ มิได้อยู่ร่วมกัน ไปแม่จะไปส่ง ข้าพเจ้าก็ตามแม่ไป

ส่วนหลวงปู่ ท่านย่า ท่านแม่ก็ตามไปด้วย แต่ท่านไม่ได้เข้าไป ท่านอยู่ข้างนอกรอ พอเข้าไปก็พบท่านพ่อกำลังตื่นนอน แข้งขาสมัยเป็นมนุษย์ ข้างขวาท่านเดินเขย่ง ขาเป๋และสวมแว่นตา แต่ในขณะที่ท่านตื่นนอนออกมา ท่านแต่งเครื่องทรงเป็นเทพบุตร สวมมงกุฎสวยมากและหนุ่ม เข้าไปกราบที่ตักท่าน

ท่านยินดีมากเอามือเข้าลูบหลังยินดีที่ลูกเล็กได้ขึ้นมาได้ ขอให้ลูกขึ้นมาหาพ่อและแม่ทุกๆ วันนะ แล้วก็ถามพ่อและแม่ว่าไปไหว้พระจุฬามณีแล้วหรือยัง ท่านบอกว่าพ่อและแม่เตรียมตัวจะไปอยู่แล้ว พอดีลูกก็มาคุยกับพ่อและแม่อยู่พอสมควร ท่านพ่อก็บอกให้รีบกลับ หลวงปู่ และท่านย่า ท่านแม่ศรีกำลังรอคอยลูกอยู่ข้างนอก จึงได้กราบพ่อและแม่ ลากลับไปหาหลวงปู่ ท่านย่า ท่านแม่

หลวงปู่ถามว่า อยากจะไปไหนอีก หลวงปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรีจะไปส่ง
ก็กราบหลวงปู่ว่า อยากจะไปหาญาติในชาติก่อน ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ขอให้ลูกอธิษฐานต่อท้าวสักกะเทวราช ท่านท้าวโกสีย์สักกะเทวราช ขอไปสัมผัสบิดามารดาในชาติก่อนๆ ร่วม 100 ชาติ ขอได้โปรดเมตตา กรุณาให้สัมผัสความเป็นจริง ณ บัดนี้

ครูผู้ฝึกก็ถามว่า ถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์แล้วหรือยัง
ก็ตอบครูผู้ฝึกว่า ถึงแล้ว โอ้โฮ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี่กว้างขวางมาก เป็นวิมานสวยงามมาก

เป็นสีทองปนแก้วออกสีแดงนิดๆ เสาก็เป็นแก้ว เข้าไปเป็นดั่งแก้วคล้ายๆ เพชร ยาวประมาณ 100 โยชน์ กว้าง 50 โยชน์ หนา 50 โยชน์ นี่ประมาณเอาเท่าที่จิตได้สัมผัส เป็นที่พระพุทธเจ้าทรงประทับ ที่อื่นๆ ก็ไม่เหมาะสมเท่าบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์

ที่ข้างๆ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์มีต้นดอกไม้ปลูกเป็นแถวเป็นระยะ สวยงามเป็นคล้ายๆ ดอกไม้แก้วไปหมด จึงได้อาราธนาว่า ญาติพี่น้องก็ดี บิดามารดาในชาติก่อนๆ ก็ดี ครูบาอาจารย์ในชาติก่อนๆ ก็ดี ขอมาปรากฏพระวรกายให้ข้าพระพุทธเจ้า ได้สัมผัสตามความเป็นจริงด้วยเถิดพระเจ้าข้า

ทันใด ก็ปรากฏพระวรกายแต่งเครื่องทรงเต็มอัตราดั่งแก้วข้างหน้าแถวหน้า แต่งเป็นแก้วสีขาวเป็นเพชร คล้ายพระวิสุทธิเทพสวยมาก สวมชฎาแก้วสูง
แถวที่สอง แต่งเครื่องทรงเป็นสีทองผสมแก้ว สมมงกุฎแก้วผสมทอง
แถวที่สาม แต่งเครื่องทรงเป็นเทพธิดาก็มาก แต่งตัวเป็นเทพบุตรก็มาก ส่วนเทพธิดานี้นั่งอยู่ทางทิศตะวันตก เป็นแถวหนึ่งไม่ปนกับเทพบุตร

จึงได้เข้าไปอธิษฐาน กราบไหว้ทั่วทุกองค์ และขออธิษฐานว่า ในสมัยก่อนๆ โน้นท่านองค์ใดที่เป็นญาติใกล้ชิด เป็นบิดามารดา มีอิทธิฤทธิ์กว่าองค์อื่น โปรดได้แสดงพระวรกายออกมายืนข้างหน้า เพื่อจะได้ทูลถามชาติกำเนิดก่อนๆ มีออกมายืนหลายองค์ ที่เป็นผู้เป็นบิดาทรงสีขาว 1 องค์ ทรงชื่อว่าพระศรีสุนทราทิพย์ อยู่ชั้นดุสิต

และทรงสีทองผสมแก้วมี 2 องค์ ชื่อท้าวมหาพรหมราเมศ อีกองค์ชื่อพระรามเมศวร อยู่ชั้นดาวดึงส์ ที่ข้อมือเบื้องขวามีสีแดง ส่วนเทพบุตรออกมายืน 1 องค์ ที่ข้อมือแดงเข้มมาก ชื่อพรหมราเมศ ส่วนเทพธิดา 2 องค์ ชื่อแม่สุชาดา อีกองค์หนึ่งชื่อแม่ศรีประภาวดี นี่เราก็มีญาติอยู่ชั้นดุสิตก็มี อยู่ชั้นดาวดึงส์ เป็นพรหมก็มี

อยู่เป็นเทพบุตรและเทพธิดา อยู่ในชั้นจาตุมหาราชก็มี นี่เราก็มีเชื้อชาติสัญชาติสูงสุดมาเหมือนกัน มิฉะนั้น ก็มาปฏิบัติสมณธรรมถืออุโบสถศีลไม่ได้ แล้วถือว่าเรานี่เป็นพรหมมาก่อน จึงได้ปฏิบัติธรรม มีศีล มีสมาธิ มีวิปัสสนาญาณ เป็นปรมัตถบารมีมาบ้างพอสมควร จึงได้สัมผัสได้

ต่อไปครูผู้ฝึกบอกว่า อยากจะไปชมสวนนันทวัน สวนจิตรลดา และสระโบกขรณีไหม ครูฝึกบอกให้อาราธนา เพราะสวนแห่งนี้ และสระโบกขรณี ท้าวสักกะเทวราชคือพระอินทร์ เป็นผู้ปกครองดูแลรักษา จึงอธิบายว่า ในสถานที่ในแดนชั้นดาวดึงส์ก็ดี ในชั้นพระปรินิพพานก็ดี

ขอองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและท่านท้าวสักกะเทวราชซึ่งอยู่รักษา ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้สัมผัสสวนนันทวัน และสวนดุสิต และสระโบกขรณี ซึ่งพระนางเจ้าสุธรรมาได้สร้างไว้ก็ดี พระนางสุจิตราได้สร้างสวนดอกไม้ไว้ก็ดี พระนางสุชาดาได้สร้างสระบ่อน้ำไว้ก็ดี ในสมัยเมื่อท่านมฆมานพได้สร้างถนนเข้าไปในเมืองได้ ถ้ามีจริงขอได้สัมผัสตามความเป็นจริง ณ บัดนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า

ครูผู้ฝึกถามว่า ถึงแล้วหรือยัง
บอกกับครูผู้ฝึกว่า เวลาจิตได้สัมผัสถึงสวนนันทวันแล้ว สวนนี้มีต้นไม้มีร่มเงาสวยงาม ปลูกเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นแนวเดียวกัน ไม่มีต้นใหญ่ต้นเล็ก แต่ก็ต้นขนาดกลางสูงเสมอกัน ใบสวยงามมาก มีแสงสีเขียว ปนแก้วระยิบระยับ มีม้าหินอ่อนสำหรับนั่งไว้ริมต้นทุกๆ คน รื่นรมย์เย็นใจมาก

นี่สอบถามท้าวสักกะเทวราช คือหลวงปู่พระอินทร์ว่า ใครเป็นคนมาสร้าง
หลวงปู่พระอินทร์ก็บอกว่า นี่เป็นสวนของพระนางสุธรรมาสร้างขึ้น สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่เมืองมนุษย์ เพราะเหตุว่าท่านมฆมานพมีเมียหลายคน หายอดปราสาทที่ไหนก็ไม่ได้ ให้ช่างทำยอดก็ไม่ได้ เห็นมีอยู่ที่บ้านของพระนางสุธรรมาเขาสร้างไว้ ก็จำเป็นเอายอดปราสาทของพระนางสุธรรมาที่สร้างไว้เข้าไปใส่ยอดศาลาที่พัก และให้ใส่ชื่อของพระนางสุธรรมาติดศาลาที่พักด้วย

เอากันย่อๆ ก็แล้วกัน ต่อมา พระนางสุธรรมาพิจารณาเห็นว่า คนเดินทาง ไปๆ มาๆ มันเหนื่อยไม่มีร่มเงาที่พัก จึงได้ปลูกต้นไม้ขึ้นเอาหินเข้าไปวางทับ ให้สำหรับคนนั่งพักผ่อนให้สบาย และได้ปลูกสวนดอกไม้ไว้ให้คนได้เก็บได้ดมกลิ่นเวลานั่งพัก ต้นไม้ที่ปลูกก็ดี สวนดอกไม้ก็ดี เมื่อนางสุธรรมาตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นเทพธิดา

เป็นภรรยาของท้าวสักกะเทวราช คือหลวงปู่พระอินทร์ สวนนันทวันก็ดี สวนดอกไม้จิตรลดาวัลย์ก็ดี จึงได้ไปปรากฏอยู่ในเมืองสวรรค์
ส่วนพระนางสุจิตรา นั่นเป็นภรรยาของนายมฆมานพเหมือนกัน นายมฆมานพมีเมียหลายคน ลืมบอกไปว่านายมฆมานพนี้กับพวก 33 คน และช้าง 1 เชือก คนช่าง 1 คนช่วยกันสร้างถนนเข้าเมือง และช่วยกันสร้างศาลาที่พัก

เมื่อท่านมานพตายไป ก็ไปเกิดเป็นท้าวสักกะเทวราช คือหลวงปู่พระอินทร์ มีปราสาทสูง 39 ชั้น ไม่ได้นับนะขอรับ ประมาณเอา ส่วนพรรคพวก 33 คนและนายช่าง เมื่อดับกายทำลายขันธ์ไปก็ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตร มีปราสาทล้อมรอบพระอินทร์ ส่วนช้างเอราวัณเมื่อตายไป ก็ไปเกิดในชั้นดุสิต

ท่านอธิบายไว้ จะเป็นพระพุทธภูมิ คือเป็นพระพุทธเจ้าจะมาจุติภายหลังพระอริยเมตไตยมาโปรด และช้างเอราวัณก็จะมาเกิด
ส่วนสระโบกขรณีนั้น พระนางสุจิตราเมียคนที่สองรองจากพระนางสุธรรมา เมื่อเห็นพระนางสุธรรมาปลูกต้นไม้ และทำสวนดอกไม้ขึ้น

ตัวเองจึงได้พิจารณาว่า ศาลาที่พักก็มีแล้ว สวนนันทวันก็มีแล้ว สวนดอกไม้ก็มีแล้ว ตัวเองยังมิได้ทำอะไร เมื่อพิจารณาแล้วยังขาดน้ำ คนเดินทางมาพักอาศัยขาดน้ำกินน้ำใช้น้ำอาบ เวลาเดินทางมาร้อน จึงได้จ้างคนขุดสระให้มีน้ำขึ้น หรือจะเรียกว่าบ่อน้ำก็ได้ เมื่อพระนางสุจิตราดับกายทำลายขันธ์ไป

ก็ไปเกิดบนสวรรค์ไปเป็นเมียของพระอินทร์คือท่านท้าวสักกะเทวราช และบ่อน้ำก็ไปเกิดขึ้นในแดนสวรรค์ เป็นสระโบกขรณี เป็นที่เล่นอาบน้ำของเหล่าเทพธิดานางฟ้า สระโบกขรณีนี้กว้างเป็น 4 แห่ง มีม้านั่ง มีต้นไม้ล้อมรอบสวยงามมาก ต้นไม้เหล่านี้เป็นต้นไม้คล้ายๆ มีชีวิตมีสีเขียว มีแสงระยิบระยับคล้ายเพชร ร่มเย็น มีม้าหินอ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ นี่เป็นเรื่องที่ได้เอาจิตหรือที่เรียกว่าอทิสมานกายไปสัมผัสมา

พอครูผู้ฝึกบอกให้อาราธนาไปศาลาสุธรรมา ที่ประชุมของเทพบุตรและเทพธิดาในชั้นดาวดึงส์ ขอกราบท้าวสักกะเทวราช คือหลวงปู่พระอินทร์ ซึ่งท่านได้ปกครองรักษาอยู่ในแดนนี้ ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้สัมผัสตามความเป็นจริงด้วยพระเจ้าข้า

ครูผู้ฝึกถามว่า ถึงศาลาสุธรรมาแล้วหรือยัง
ก็ตอบครูว่า ถึงแล้ว
ศาลาสุธรรมาใหญ่โตสวยมาก มีหน้าจั่ว มีช่อฟ้า ปั้นลม และมียอดฉัตรขึ้นตรงกลาง เสาเป็นสีเขียวปนแก้วคล้ายเพชร พื้นก็สวย

มีแท่นประดับด้วยแก้วสีเขียว มีประกายคล้ายเพชรปนเขียว เป็นที่นั่งบรรลังก์ของท่านปู่พระอินทร์ และมีตั่งเป็นแก้วก็มีเป็นแถว ส่วนทางทิศตะวันตกสำหรับเทพธิดานั่งนั้น ก็มีตั่งนั่งเป็นสีเขียวผสมแก้ว มีแสงระยิบระยับ ข้าพระพุทธเจ้าขออธิษฐานบุญบารมีแห่งองค์สมเด็จองค์ปฐมเป็นต้น เป็นประธาน

และพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พรหม และเทวดา เทพบุตร เทพธิดาทั้งหมด ตลอดจนพระอินทร์คือท้าวสักกะเทวราช ที่ได้ปกครองในชั้นสวรรค์ ขอเชิญเสด็จเข้ามานั่งประจำที่ ขอให้แต่งองค์เต็มอัตรา ตามความเป็นจริง ให้เข้ามานั่งในศาลาสุธรรมานี้ เพื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้สัมผัสตามความเป็นจริง

พระพุทธเจ้าที่อยู่ในแดนพระนิพพาน ทรงเครื่องสีขาวเป็นแก้ว มีประกายออกเป็นเพชร สวมชฎาสูงนั่งแถวหน้า
แถวที่สองเป็นพรหม ทรงเครื่องสีเหลืองผสมแก้ว แสงระยับระยับสวมมงกุฎ
แถวที่สามเป็นเทพธิดา ทรงเครื่องสีเขียวผสมแก้ว สวมมงกุฎสีเขียวประดับแก้ว สวมรองเท้าปลายงอนสวยงามมาก

ส่วนที่แท่นบรรลังก์ของหลวงปู่พระอินทร์ ท่านใหญ่มาก ตัวสีเขียวทรงเครื่องเต็มอัตราสีเขียวผสมแก้วระยิบระยับ ส่วนทางเทพธิดานั้น นั่งตั่งแก้วทางทิศตะวันตกแต่งตัวสวยงามมาก รูปร่างหน้าตาสวยเหมือนกัน จึงแยกจิตออกเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระพรหม และเทพบุตร กราบหลวงปู่พระอินทร์ๆ ก็ทรงยิ้ม

และผินหน้าไปทางเทพธิดา ต่างก็ยิ้มต่างก็ยกมือประนมไหว้ซึ่งกันและกัน ท่านย่าและแม่ศรียิ้ม พ่อแม่บังเกิดเกล้าก็ยิ้มแสดงความยินดี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ฝึกจิตเข้าถึงแดนเมืองสวรรค์ของท่านท้าวสักกะเทวราช ต่อไปครูผู้ฝึกก็แนะนำให้อาราธนา ที่ได้มีจิตศรัทธามาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ

ขอนำจิตของข้าพระพุทธเจ้า ไปวิมานของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน และวิมานของหลวงปู่ปานพระปรมาจารย์ เพราะหลวงพ่อและหลวงปู่ได้จัดสร้างไว้มากมาย ขอให้ใจข้าพระพุทธเจ้าได้สัมผัส ตามความเป็นจริงด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ

ครูฝึกถามว่า ถึงวิมานหลวงพ่อแล้วหรือยัง ถึงแล้วก็ให้เลยไปชมวิมานของหลวงปู่ด้วย
วิมานของหลวงพ่อนี่ อยู่ชั้นพระนิพพาน มีกำแพงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน กำแพงสูงสีขาว ประดับด้วยแก้วผสมทองกว้างขวางมาก ซุ้มประตูสวย แบบซุ้มประตูเข้าไปพระจุฬามณี

หรือคล้ายประตูเข้ากำแพงหน้าโบสถ์วัดท่าซุงสวยมาก เข้าไปข้างในบริเวณมีหอระฆังสวยงาม ประดับด้วยแก้วผสมทอง สูง และมีวิมานใหญ่ 3 หลัง เรียงแถวกัน เฉพาะหลังกลางใหญ่มาก ห้องโถงเป็นห้องพระมีโต๊ะหมู่พระพุทธรูปบูชา และเห็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันประทับอยู่ มีแจกันกระถางธูป มีดอกไม้สดสวยงามมาก จึงเข้าไปกราบ

และเลยเข้าไปอีกห้องหนึ่งคล้ายๆ เป็นห้องรับแขก ลึกเข้าไปข้างในไม่ได้เข้าไปคล้ายกับห้องนอน หลังใหญ่นี้มีหลายห้อง ล้วนสวยงามมาก พื้นฝาเป็นแก้วผสมทอง ส่วนอีกสองหลังอยู่ข้างหลังกลางสวยเป็นแก้วผสมทอง มีช่อฟ้า ปั้นลม มีฉัตรตั้งขึ้นตรงหลังคาเป็นฉัตร ประดับด้วยแก้วผสมทอง สวยงามมาก ใหญ่เหมือนกัน

วิมานของหลวงปู่ปาน ใหญ่โตมาก มี 3 หลัง หอระฆังก็สูงมาก วิมานแต่ละหลังประดับไปด้วยแก้วคล้ายเพชร มีหน้าบันก็สวย มีช่อฟ้า ปั้นลม มีฉัตรเป็นสีแก้วขาว ระยิบระยับคล้ายๆ เพชร และมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ภาพกำแพงคล้ายเป็นหอไตรบรรจุพระไตรปิฎก สวยงามมากแต่ไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ

ได้กราบหลวงปู่ ท่านย่า และท่านแม่ก็มาอยู่ที่นั่น ท่านย่ายิ้มมาก ได้เข้าไปข้างในวิมาน ประตูมีผ้าม่าน สีขาวๆ มีประกายเป็นเพชรทุกๆ ห้อง และมีม่านสีทองผสมแก้วที่ประตูสวยงามจริง

ท่านย่าบอกว่า อย่าประมาทพยายามตัดสินใจ ให้จิตใจอยู่อย่างสบายๆ อย่าคิดอะไรปล่อยให้จิตว่าง ให้ศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิมั่นคง เมื่อมีสมาธิมั่นคงแล้ว ปัญญาก็จะเกิด ให้พยายามเชื่อฟังหลวงพ่อให้มาก และพยายามขึ้นมาปฏิบัติธรรมในวิมานของหลานทุกๆ วันๆ ละ 10 นาที 20 นาทีบ้าง แล้วก็ไปกราบพระจุฬามณี แล้วก็กลับลงไปทุกวันนะหลาน

จึงได้กราบหลวงปู่ ท่านย่า ท่านแม่แล้วก็จะกลับลงมา ในวันนี้เป็นวันเริ่มเป็นปฐมฤกษ์ที่ไปฝึกมโนมยิทธิวิชชาสาม แล้วก็กลับที่พักแฟลตคลองจั่นเวลา 17.00 น.
ตอนกลางคืนเวลา 20.30 น. เด็กที่บ้านเปิดเครื่องสเตอริโอ และวิทยุร้องเพลงกัน ส่วนกระผมก็เข้าห้องนอนได้ปฏิบัติธรรมได้กราบพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์

เสร็จก็ชุมนุมเทวดา แล้วก็คารวะพระพุทธเจ้า แล้วสมาทานศีล 8 สมาทานเข้าพระกรรมฐาน เสร็จแล้ว ก็นั่งพิจารณาตัดสังโยชน์ 10 รวม 3 ข้อ คือสักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และอัปนาสมาธิ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ และสมาทานกรรมบถ 10 แล้วก็ตัดกายคตากับอสุภ คือพิจารณาร่างกายในอาการ 32 เป็นของสะอาดหรือสกปรก อาการของร่างกาย 32 เป็นของอสุภ ร่างกายเป็นที่อาศัยของจิต

ที่เรียกตามภาษาธรรมะว่า อทิสมานกาย จะมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น ท่านที่ได้ทิพยจักขุญาณและใช้ฌานชั้นสูง จึงจะรู้จะเห็นได้ เพราะอทิสมานกายนี้อาศัยธาตุสี่ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งไม่สมดุลกัน มันก็ดับ หมายถึงตาย เช่นธาตุลมดับ ธาตุไฟก็ดับไปด้วย คงเหลือธาตุดินกับธาตุน้ำ ดินกับน้ำอยู่ด้วยกัน ร่างกายก็เริ่มเย็นลง พอกายขาดธาตุลม ธาตุไฟ จับไหนก็เย็นเจี๊ยบเลย

อ้วนปรี่ขึ้นมามีจุดเขียวๆ เริ่มขึ้นมีกลิ่นหอมขึ้นมากระทบจมูก อยู่ใต้ลมไม่ได้ ต้องไปอยู่ทางเหนือลม พอหมดลมหายใจตายไปได้ 3 – 4 วัน เริ่มชักหอมใหญ่ น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำเหลือง มันก็โผล่ออกหูสองข้าง ตาก็ถลนออก จมูกทั้ง 2 ข้างน้ำเลือดน้ำหนองก็ไหลออก ลิ้นก็ออกมาจุกปาก ขุมขนน้ำเลือดน้ำหนองก็หยดออกมาตามเส้นขน ทวารหนัก ทวารเบาน้ำเหลืองน้ำหนองก็ทะลักออก เริ่มเหม็นจะเก็บไว้ก็ไม่ได้ ถ้าเราดับไปด้วย

เราคือจิต หรือที่เรียกว่าอทิสมานกายมิได้ตายไปด้วย จิตหรืออทิสมานกายก็ออกจากร่างไปหาที่อยู่หรือที่เกิดใหม่ หากเราคืออทิสมานกายดับไปด้วย คงไม่มีนรกสวรรค์ นี่จิตเป็นทิพย์คือ จิตออกจากร่างไป

จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา ถ้าจิตเศร้าหมองก็ไปอบายภูมิ คือไปตามกรรมที่คนกระทำ ไปนรก ไปเป็นเปรต ไปเป็นอสุรกาย ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน
จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา ถ้าจิตบริสุทธิ์ เวลาดับกายทำลายขันธ์ ก็ไม่ดิ้นรนอะไร ก็ไปเกิดเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง ไปพระนิพพานบ้าง

ให้สังเกตดูให้ดี ท่านที่ได้ทิพยจักขุญาณหรือได้ฌานชั้นสูง ถ้าบุคคลนั้นดับ จิตจะไปเกิดเป็นเพทธิดา ก็แต่งตัวเป็นเทพธิดาไปอยู่สวรรค์ ถ้าจะไปเกิดเป็นเทพบุตรก็แต่งตัวเป็นเทพบุตร ไปเกิดในดินแดนสวรรค์ ถ้าไปพรหม ก็แต่งตัวเป็นพรหมออกจากร่างไป อยู่ในชั้นพรหม ถ้าไปพระนิพพานก็มีเทวดานางฟ้า พรหม พระอรหันต์มาแห่รับเอาไป ในแดนพระนิพพาน

นี่เมื่อร่างกายสังขารเน่าเปื่อย ก็เอาซากศพไปเผา ก็เหลือแต่เถ้าถ่านเป็นธาตุดินไป แล้วก็ภาวนานิพานะ สุขังๆๆ ไปแล้วก็ภาวนานะมะพะทะ ใช้อานาปานุสสติ เข้าฌาน 1, 2, 3, 4 แล้วก็ย้อนเข้าฌาน 3, 2, 1 แล้วย้อนกลับมาอยู่แค่อารมณ์ของอุปจารสมาธิ ทำให้จิตสบายปลอดโปร่งสบาย เนื้อตัวเบาไม่เมื่อยไม่ปวด

แล้วก็อธิษฐานอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา มีหลวงพ่อปานวัดบางนมโค และเจ้าคุณราชพรหมยาน วัดท่าซุงและสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

ขอให้พระพุทธองค์ได้โปรดเมตตามหากรุณา เสด็จมาขอให้ข้าพระพุทธเจ้า ได้สัมผัสพระพุทธองค์และหลวงปู่ปาน ได้ตามความเป็นจริงด้วยเถิดพระเจ้าข้า เมื่อพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า และหลวงปู่เสด็จมาแล้วได้เห็นชัดเจนแล้ว อยู่ข้างหน้าก็เห็นชัด อยู่ข้างหลังก็เห็นชัดเจน พระรูปพระโฉมของพระพุทธองค์และหลวงปู่ใสเป็นแก้วประกายพรึก

ก็ขอทบทวนที่ฝึกในเวลากลางวัน เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2533 ปัจจุบันนี้เกล้ากระผมอายุ 85 ปีเศษ เริ่มเข้า 86 ปี นี่กำลังทบทวนการปฏิบัติ ที่คุณครูผู้ฝึกพาไปพระจุฬามณี เข้าไปไหว้พระพุทธเจ้าและท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ในแดนพระนิพพาน แล้วก็เอาจิตเข้าไปวิมานของตนเอง มีรูปร่างเป็นอย่างไรรู้เห็นชัด

แล้วก็ไปกราบแม่และพ่อบังเกิดเกล้าที่วิมานของท่านในชั้นจาตุมหาราช เข้าไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ดูพ่อแม่ญาติชาติก่อนๆ แล้วก็เข้าชมสวนนันทวัน เข้าไปชมสระโบกขรณี แล้วก็ไปชมชุมนุมเทวดา พรหม พระอรหันต์ที่ศาลาสุธรรมา แล้วก็ไปชมวิมานของหลวงพ่อ เจ้าคุณราชพรหมยาน และวิมานของหลวงปู่ปาน ปฏิบัติธรรมจนถึงเวลา 24.00 น.

ตื่นขึ้นเวลา 04.00 น. ในขณะนอนอยู่ไม่ได้ลุกไปไหน ก็เริ่มกราบพระ ไว้พระ แล้วตัดอารมณ์ตามสังโยชน์ 3 แล้วก็ภาวน นะมะพะทะ แล้วก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย และขอให้พระยายมราชโมทนาส่วนกุศลนี้ และขอมาเป็นสักขีพยานในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ด้วยเถิด

ในวันนี้เป็นวันที่ 2 มิถุนายน 2523 ได้ออกจากที่พักเวลา 11.30 น. ไปบ้านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ ถึงที่บ้านเจ้ากรมเป็นเวลา 12.30 น. เวลา 13.00 น. หลวงพ่อก็ออกจากห้องพักมาอบรมศิษย์ วันนี้มีคนมากกว่าวันก่อน และเข้าไปกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อยิ้มรับและไม่พูดอะไร แล้วหลวงพ่อก็เริ่มให้สมาทานศีล 8 และสมาทานพระกรรมฐาน

เสร็จแล้วหลวงพ่อก็เริ่มอธิบายชี้แจงวิธีปฏิบัติ มโนมยิทธิ วิชชาสามให้ขึ้นไปชั้นบน จัดหาที่นั่งให้นั่งอย่างสบายๆ ไม่ต้องเคร่ง ตึงจนเกินไปให้ทำอย่างสบายๆ แล้วให้ภาวนาว่า นะมะพะทะ ไปจนกว่าครูผู้ฝึกจะเข้าไปสอบจิต ครูจะไปนั่งอยู่ข้างหน้า ให้หยุดคำภาวนา ให้รอฟังครูพูดแนะนำ ให้พิจารณาตามครูแนะนำโดยทันที

ไม่ใช่ครูผู้ฝึกแนะนำจบแล้ว มาพิจารณาตามทีหลังนั้นใช้ไม่ได้ ให้พิจารณาตามไปทันที ถ้าจิตนึกคิดสัมผัสอย่างใด ให้บอกครูผู้ฝึกทันที ให้เชื่อจิตทันที ไม่ใช่อุปาทานและสงสัย ถ้าเกิดสงสัยขึ้นจะเป็นอุปาทาน ส่วนผู้ที่จะยึดแบบสุกขวิปัสสโก ให้อยุ่ข้างล่างให้ภาวนาว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท เวลาหายใจออกให้นึกว่าโธ

ให้ใช้อารมณ์สบายๆ ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นอะไร ถ้ารู้เข้าจิตไปรับอะไรอย่าเอาจิตไปเกาะเข้า ให้มันผ่านไป ไม่ต้องยึด ไม่เชื่อถืออะไร การรู้การเห็นจะต้องปฏิบัติตามแบบวิชชาสามอีกต่างหาก ให้นั่งภาวนา 10 นาที พอได้ยินสัญญาณ ก็ให้เลิกภาวนา แล้วหลวงพ่อจะได้นำอุทิศส่วนกุศล

ครูผู้ฝึกแนะนำให้อธิษฐานไปชั้นดุสิต ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้อาราธนา เชิญท้าวมาลัย หรือพระยามาราธิราช ขอท่านจงมาปรากฏตัวแล้วก็กราบท่าน ขอเมตตาจากท้าวมาลัย จงนำจิตของข้าพระพุทธเจ้าเข้าไปชั้นดุสิต เพื่อไปกราบพระอชิตหรือพระอริยเมตไตย และขอดูวิมานตามความเป็นจริง ขอให้พระยามาราธิราชหรือท้าวมาลัย จงนำจิตของข้าพระพุทธเจ้า ได้สัมผัสตามความเป็นจริง

ครูผู้ฝึกถามว่า ถึงแล้วหรือยัง
บอกกับครูผู้ฝึกว่า ถึงแล้ว
วิมานของพระอชิตที่จะมาตรัส เป็นพระอริยเมตไตยในชั้นดุสิต ตั้งเป็นแถว สวยงามมาก เป็นมณฑปเป็นแก้วใสเป็นประกายพรึก

มีช่อฟ้า ปั้นลม มีแตรเป็นแก้วอยู่บนหลังคา ถนนก็เป็นคล้ายๆ แก้ว มีต้นดอกไม้ปลูกเป็นระเบียบตามขอบถนนสวยงามมาก ใยเป็นคล้ายกากเพชรระยิบระยับ จึงเข้าไปกราบพระอริยเมตไตย ท่านทรงเครื่องเต็มอัตรา รูปร่างก็เป็นแก้วทรงเครื่องสีขาว คล้ายกากเพชรสีขาวสวยงามมาก

ทูลถามท่านว่า จะลงไปตรัสในโลกมนุษย์เมื่อใด
ท่านบอกว่า เมื่อหมดอายุของพระสมณโคดม พระพุทธองค์ปัจจุบันแล้ว พระองค์จะลงมาจุติเหนือประเทศพม่า

พระองค์ท่านบอกว่า ยังไม่ให้เรียกว่าเป็นพระอริยเมตไตย เวลาลงไปจุติในโลกมนุษย์ก็เรียกชื่อว่า พระปรีชาทรงธรรม และจะต้องไปได้ภรรยาและมีลูกชาย เช่นพระสมณโคดม แล้วก็หนีเมียไปบวช แล้วก็ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จนได้ตรัสรู้สำเร็จพระโพธิญาณ จึงเรียกว่าพระอริยเมตไตย ศาสนาของพระองค์มีแต่พระภิกษุผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ส่วนทางพุทธบริษัทชายหญิงก็เป็นผู้ถือศีล 5 ศีล 8 ครบถ้วน

ศาสนาก็จะรุ่งเรือง มีแต่พระสุปฏิปันโณ พระอุชุปฏิปันโณ พระญายะปฏิปันโณ พระสามีจิปฏิปันโณ คือ หมายความว่า มีพระอริยเจ้าเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ชั้นดุสิตนี้ พระอชิต หรือท่านปรีชาทรงธรรม บอกว่า บุคคลใดที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องมาจุติอยู่ในชั้นดุสิต และมีพระพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ก็มาจุติอยู่ในชั้นดุสิต คนที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิจะมาอยู่ในชั้นนี้ไม่ได้

และถัดจากนี้ไป ก็ขออนุญาตท้าวมาลัยไปชั้นปรนิมมิตวสวัสดี และสวรรค์ชั้นนิมมานรดี กราบท้าวนิมมานรดี ส่วนมากเทวดาชั้นนิมมานรดีนี้ ท่านบอกว่า ของทุกอย่างทุกชิ้นที่ท้าวปรนิมมิตวสวัสดีต้องการ ท้าวนิมมานรดีเป็นผู้เนรมิตให้ คือเป็นผู้ทำให้ทุกอย่าง วิมานก็เป็นแก้วใสประกายพรึก เช่นเดียวกับวิมานของชั้นดุสิต แต่ท่านท้าวปรนิมมิตวสวัสดี และท้าวนิมมานรดีมิได้ปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระพุทธเจ้า

ในวันนี้ นอกจากไปชมเทวดาสวรรค์ 6 ชั้นแล้วก็จะเขียนให้ครบยืดยาวมาก เพราะบางสิ่งบางอย่างอาจจะเขียนไม่ครบ ถึงเวลา 16.00 น. ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แก่เจ้ากรรมนายเวร แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้ล่วงเกินในชาติก่อนก็ดี ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรจงโมทนาส่วนกุศลนี้

และขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน แล้วก็กลับบ้าน เวลากลางคืนตั้งแต่เวลา 21.00 น. เข้าปฏิบัติธรรม แล้วก็นอนหลับไปถึงเวลา 04.00 น. ได้เริ่มปฏิบัติธรรมจนสว่าง

วันที่ 3 มิถุนายน 2523 ได้ออกจากบ้านไปถึงบ้านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ เป็นเวลา 12.30 น. มีสานุศิษย์มาเริ่มปฏิบัติกัน มาถึงเวลา 13.00 น. หลวงพ่อก็เริ่มให้สานุศิษย์สมาทานศีล 8 และสมาทานพระกรรมฐาน เสร็จแล้วหลวงพ่อก็ได้อบรมชี้แจงในการปฏิบัติวิชามโนมยิทธิ และวิชชาสาม บอกวิธีปฏิบัติ และวัตถุประสงค์ให้ทราบ

แล้วพวกที่ฝึกมโนมยิทธิวันก่อน ให้ขึ้นไปชั้นบน ให้ใช้คำภาวนา นะมะพะทะ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติแบบสุกขวิปัสสโก ให้อยุ่ข้างล่าง ให้ภาวนา เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท เวลาหายใจออกนึกว่าโธ ให้นั่งเป็นเวลา 10 นาที ถ้าได้ยินเสียงสัญญาณ บอกว่าหมดเวลา นาฬิกาจะลั่นกริ๊กๆ แล้วก็หยุดภาวนา แล้วก็อุทิศส่วนกุศล แผ่ไปให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์

ส่วนข้าพเจ้าได้ขึ้นไปชั้นบน เลือกที่นั่งได้ ชั้นบนวันนี้มีประมาณ 30 – 40 คนเศษ ข้าพเจ้าพอเริ่มหาที่นั่งได้ ก็ได้เริ่มตัดสังโยชน์ 10 ตัดเพียง 3 ข้อ ในอารมณ์ของพระโสดาบัน สกิทาคามี และนั่งให้จิตเป็นสมาธิแล้วก็พิจารณา 1.ตัดสักกายทิฎฐิ 2.ตัดวิจิกิจฉา 3.ตัดสีลัพพตปรามาส คือนึกถึงความตาย

สังขารร่างกายนี้ มันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็เสื่อมไปในท่ามกลาง มันเป็นอนัตตา มันสลายตัวไปในที่สุด และเราไม่ได้คัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคารพนับถือพระพุทธเจ้า เคารพนับถือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เคารพนับถือพระอริยสงฆ์

ถือเอาพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งที่สักการะ และเมื่อดับกายทำลายขันธ์ไป ข้าพระพุทธเจ้าขอไปพระนิพพานจุดเดียว จะเกิดมาเป็นมนุษย์ ขอเกิดมาในชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายเพราะเป็นทุกข์ ไม่ต้องการ จะเป็นเทวดาหรือพรหมก็มีความสุขจริงแหล่ เมื่อหมดวาสนาบารมี ก็กลับลงมาจุติเป็นมนุษย์อีก ดีไม่ดีก็ลื่นไปใช้กรรมเก่า เราไม่ต้องการ

เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน แล้วภาวนานิพพานัง สุขังๆๆ ให้จิตเป็นสมาธิสัก 2 – 3 นาที แล้วก็ตัดอารมณ์ของพระสกิทาคามี พระสกิทาคามีจะต้องมีกรรมบถ 10 ต้องยึดถือไว้ให้บริสุทธิ์ คือ กรรมบถ 10 คือกายกรรม 3 วจีกรรม 4 มโนกรรม 3 ให้บริสุทธิ์

คือเราไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง เราไม่ยอมให้บุคคลอื่นทำลายศีล ถ้ารู้ว่าบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เรารู้สึกเสียใจ เมื่อเราตัดอารมณ์พระโสดาบัน พระสกิทาคามีแล้ว เราก็เริ่มตัดสังโยชน์ 10 อีก 2 ข้อ คือ เราจะเป็นพระอนาคามี เราจะต้องตัดสังโยชน์อีก 2 ข้อคือ ตัดกามราคะ และปฏิฆะ คือตัดรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย ความสัมผัสระหว่างเพศ

และตัดความกระทบกระทั่งใจ ความไม่พอใจ มีการอาฆาตมาดร้าย จองเวรต่อบุคคลอื่นและสัตว์อื่น เราจะเป็นพระอนาคามี ศีล 5 ไม่พอแล้ว จิตใจจะต้องการสมาทานศีล 8 ถืออุโบสถศีล และเอาสังโยชน์ข้อที่ 1 มาพิจารณาเป็นกายคตา และอสุภกรรมฐาน คือพิจารณาตั้งแต่ผมเบื้องสูง ถึงฝ่าเท้าเบื้องต่ำ

ในอาการ 32 ของเรา มันสะอาดหรือสกปรก หาให้พบ ร่างกายอาการ 32 ล้วนแต่สกปรกและเป็นสิ่งปฏิกูล เป็นอสุภ เป็นของไม่ดีไม่งาม และพิจารณาถึงอาการ 32 นี้ เป็นร่างกายและเป็นขันธ์ 5 มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา เราในที่นี้ ได้แก่จิตหรืออทิสมานกาย เอานวสี 9 และธาตุ 4 มาพิจารณา

ผลที่สุดก็เน่าเหม็น สิ่งเหล่านี้มาจากกาย น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำเหลือง ทะลักไหลออกทวารทั้ง 9 หูทั้งสองข้าง ตาทั้งสองข้างก็ถลนออกมา จมูกทั้งสองข้าง น้ำเลือด น้ำหนองก็ไหลออก ปากลิ้นก็ออกมาจุกปาก น้ำเหลือง น้ำหนอง ก็ไหลออกทุกขุมขน ทวารหนัก ทวารเบา น้ำเลือด น้ำหนองก็ไหลออก สิ่งเหล่านี้มันมาจากกาย มันมีมาจากตัวเรา

มันมีมาก่อน ผลที่สุดก็เน่าเหม็น รักกันเพียงจะตาย ก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้ ต้องเอาไปเผาเสีย จะฝังเหมือนสมัยก่อนก็ไม่มีที่ดินฝัง ต้องเผาเสีย เหลือแต่เถ้าถ่านเป็นธาตุดิน ถ้าเราตายหรือถูกเผาไปด้วย คงไม่มีนรก สวรรค์ เพราะจิตหรืออทิสมานในกายเป็นทิพย์ ได้ออกจากร่างกายของเราไป ในเมื่อธาตุลมดับ

เราคือจิตจะต้องไปหาที่เกิดใหม่ แล้วแต่ว่าเราจะไปสวรรค์หรือไปพรหม หรือไปพระนิพพาน หรือว่าในเวลาขณะที่จะดับจิต ถ้าจิตฟุ้งซ่านก็ไปเกิดในอบายภูมิ มีนรกเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าจิตของเราในขณะที่จะดับ จิตเป็นกุศล คิดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไปจุติเป็นเทวดา เป็นพรหม ไปพระนิพพาน

ตามเจตนาของเราที่ได้อธิษฐานไว้ในเมื่อป่วยและจะดับจิต แล้วก็ภาวนา นะมะพะทะ ไปจนจิตเป็นสมาธิ จิตเข้าถึงฌาน 1, 2, 3, 4 แล้วก็ถอยสมาธิอยู่แค่อุปจารสมาธิ ให้จิตใจสบาย จิตใจผ่องใส แล้วก็อธิษฐาน ในการที่ข้าพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติพระกรรมฐานในวันนี้ ก็เพื่อหวังมรรคผลพระนิพพานนี้เป็นสำคัญ

บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นจริงตามคำสั่งสอนขององค์พระประทีปแก้วทุกประการแล้วว่า การเกิดเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ มีความยุ่งยากนานาประการ และร่างกายของข้าพระพุทธเจ้า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วนั้น ก็เดินเข้าหาความเสื่อมและความแก่ ขณะดำรงชีวิตอยู่ ก็มีการป่วยไข้ไม่สบาย ประสบอารมณ์ไม่สมหวังนานาประการ

คำว่าถูกนินทา มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนหนีไม่พ้นก็คือความตาย เมื่อร่างกายนี้ตายไป เราไม่สามารถจะแบกร่างกายนี้ไปได้ ทรัพย์สินสมบัติแม้แต่ชิ้นเดียว หรือเงินทองแม้แต่บาทเดียว เราก็ไม่สามารถจะแบกไปได้ เพราะฉะนั้น ร่างกายของข้าพระพุทธเจ้านี้ มันพังเมื่อใด ขอตัดสินใจเข้าสู่พระนิพพาน ตามองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว

ต่อไปก็ขออาราธนาพระพุทธองค์ และหลวงปู่ปาน ปรมาจารย์นำจิตของข้าพระพุทธเจ้าไปดูนรกขุมที่ 8 อเวจีมหานรก ก่อนจะไปเที่ยวชมเมืองนรก เราจะต้องไปพบกับพระยายมราช (คือลุงพุฒิ) ซึ่งเป็นผู้พิพากษาตัดสินเสียก่อน พระยายมราช (ลุงพุฒิ) นี้ ท่านบอกว่าไม่ใช่ใครอื่น เรามีศักดิ์เป็นหลาน

เพราะลุงพุฒิเป็นญาติใกล้ชิดกับหลวงพ่อเจ้าคุณราชพรหมยาน ลุงพุฒิคือพระยายมราชอยู่วิมานชั้นจาตุมหาราช รวม 3 หลัง ท่านอยู่ 1 หลัง พนักงานจดบัญชีอยู่ 1 หลัง ที่ตัดสินคล้ายศาลาตัดสินคดีอยู่หลังกลาง ใหญ่โตกว้างขวางมาก เวลาเราจะไปเที่ยวดูเมืองนรก เราก็บอกว่าเราเป็นลูกของหลวงพ่อ

เป็นลูกหลานของลุง ขอให้ลุงไปส่งนำดูเมืองนรก ที่จะไปไหน ท่านก็จะนำไปให้ดูให้ทั่ว ก่อนจะไป ก็เดินทางไปพบทาง 4 แพร่ง มียามคนหนึ่งแต่งตัวนุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดง เสื้อแดง ใส่รองเท้าสีแดงปลายงอน สวมมงกุฎประดับด้วยแก้ว แพรวพราวระยิบระยับไปหมด ท่านนี้งามมากเป็นยามเฝ้าอยู่ทาง 4 แพร่ง ถามท่านท่านก็บอกชื่อหลวงตาอิน

แกก็บอกว่า สมัยเมื่อเป็นพระภิกษุท่านได้ฌานสมาบัติ เวลาใกล้จะตาย ท่านลืมเข้าฌาน เลยมาเฝ้าทาง 4 แพร่ง เป็นผู้ชี้ทางบอกให้แก่ผู้สร้างบารมีแก่กล้าที่จะไปขุมนรกนะ ต้องผ่านด่านท่านองค์นี้ไปก่อนจะไปพรหม ไปเที่ยวเทวดา ไปพระนิพพานหรือจะไปอบายภูมิ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน

มีทางขาวโพลงและมีทางซอยไปซ้ายไปขวา จะไปนรกขุมไหนที่นี่ จะบอกนรกที่ไปเยี่ยมมีกี่ขุม ขุมใหญ่มีเท่าใด ขุมเล็กมีเท่าใด โทษหนัก โทษเบา กรรมที่รับต่างกัน ไปดุแล้วสนุกจริงๆ จะสงสารเวทนาก็ไม่ได้ ลุงพุฒิบอกว่า เป็นกรรมของเขาที่กระทำมาต้องได้รับอย่างนี้ ลุงพุฒิต้องพาไปดูการตัดสินของศาลาหลังใหญ่

ที่พระยายมราชคือลุงพุฒิเป็นผู้ตัดสิน เป็นธรรมาสน์ดีกว่าเมืองมนุษย์หลายร้อยเท่า หน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีการขู่เข็ญอย่างใด เมื่อไปถึงหน้าบัลลังก์แล้วก็ถามนายบัญชีว่า คนนี้มีโทษอะไร ขณะไปเยี่ยม มีนายนิรยบาลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เอาคนมามากมาย ดูหน้าซีดเซียวแล้วเจ้าหน้าที่ก็รายงานว่า เมื่ออยู่ในเมืองมนุษย์ทำผิดอย่างนั้นอย่างนี้

ก็รายงานให้พระยายมราชทราบ ต่อหน้าจำเลย แล้วพระยายมราชก็ถามว่า จริงหรือไม่ เขาก็ตอบว่าจริง รับสารภาพ ไม่ต้องหาพยานอะไร เมืองผีไม่มีสับเปลี่ยนคน เหมือนเมืองมนุษย์ แล้วพระยายมราชก็ถามว่า เคยทำบุญอะไร อยู่ในเมืองมนุษย์ในศาสนา หรือได้บวชลูกเป็นเณรหรือเป็นพระภิกษุ สามเณรและพระภิกษุที่บวชประพฤติดีไหม

ในทางส่วนรวมเคยไปช่วยทางวัดกวาดวัดไหม โดยเอาแรงงาน ช่วยสร้างกุฏิวิหารไหม เคยไปช่วยชาวบ้านเขาทำบุญบวชนาคไหม เคยบริจาคเงินช่วยงานผ้าป่า หรือบริจาคสร้างกำแพง วิหาร ก็บอกความจริงไป ว่ามีทำงานช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ พระยายมราชก็ให้นายบัญชีเปิดบัญชีดู มีไหม? ถ้ามีก็บอกว่าบุคคลนี้ยังมีคุณความดีอยู่ ไม่ไปอบายภูมิ

ก็ส่งตัวให้ไปอยู่เป็นเทวดาก่อน ถ้าคนไหนไม่มีบารมีมาก กระทำผิดกรรมบถ 10 ไม่เคยมีศีล 5 ศีล 8 ไม่เคยทำบุญ ทำไปโดยไม่เต็มใจ พระยายมราชก็ส่งตัวให้นายนิรยบาลนำตัวไปลงนรก ขุมไหนล่ะ ท่านพระยายมราชเป็นคนตัดสิน บอกให้เอาไปนรกขุมนั้น โดยมิได้มีอุทธรณ์ ฎีกาเหมือนเมืองมนุษย์

คนในเมืองสวรรค์ เทวดา พรหม สวยงามทั้งนั้น ไม่ว่าหญิงหรือชาย หนุ่มอายุไม่เกิน 18 ปี การถามของพระยายมราชค่อยๆ ถามๆ ซ้ำๆ ซากๆ ถ้ามีซ้ำ 3 หน คอยจี้จุดทีละจุด จำได้ไหม หรือลืมไป เมื่อจำเลยบอกว่าไม่ได้ช่วยทำบุญ ไม่ได้ช่วยแรงงาน ไม่ได้บริจาคเงิน ไม่ได้บวชลูกบวชหลาน เมื่อสอบสวนแล้ว ก็ตัดสินพิพากษาเลย

บอกว่า เสียใจมากที่ไม่มีคุณงามความดี ต้องได้รับกรรมที่กระทำไว้ จำเลยก็ยินดีรับโทษ เมื่อรู้เรื่องราวของพระยายมราชแล้ว พระยายมราชไม่ใช่พวกนรก เป็นพวกเทวดามีศีลธรรม มีพรหมวิหาร 4 ไม่มีเงินดงเงินเดือนอะไรเหมือนเมืองมนุษย์ ที่ทำการตัดสินของศาลในเมืองสวรรค์นั้น ที่ทำการกว้างขวาง สวยงามมาก

มีบัลลังก์อย่างเมืองมนุษย์ ประดับด้วยแก้ว แม้เก้าอี้ก็ประดับด้วยแก้วเป็นเพชร ได้เอามาเมืองมนุษย์สักตัวหนึ่ง ราคาเป็นหลายร้อยล้าน แม้แต่ประตูเข้าไปก็มีผ้าม่านสีดำ สีแดง สีเหลือง สีขาวประดับคล้ายเพชรสวยงามมาก เมื่อดูที่ทำการตัดสินของพระยายมราชแล้ว ก็ขอให้ลุงพุฒิพาดูนรก การไปดูนรกทุกขุมนั้นมันจะยืดยาว รำคาญท่านผู้อ่าน

เอาเพียงแต่ขุมสำคัญๆ อเวจีมหานรก ถ้าเราไปด้วยตนเองจะไม่รู้เรื่อง จะไต่ถามนายนิรยบาล นายนิรยบาลก็ไม่พูดด้วย ต้องเอาลุงพุฒิซึ่งเป็นหัวหน้านายนิรยบาลไปด้วย จึงจะไต่ถามรู้เรื่องดี ขอเมตตาจากลุงพุฒิ โปรดนำจิตของหลานพาไปดูนรกขุมที่ 8 ชื่อว่า อเวจีมหานรก ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้สัมผัสตามความเป็นจริงด้วยเถิดพระเจ้าข้า


webmaster - 21/4/11 at 17:22

ถึงนรกขุมที่ 8 แล้ว ลุงพุฒิบอกว่า หลานอย่าเข้าในประตูนรกนะ ไม่ได้ ไฟนรกเขาดับ เขาจะได้ตำหนิ เพราะหลานได้ปฏิบัติสมณธรรม มีศีล มีสมาธิ มีวิปัสสนาญาณแล้ว เข้าไม่ได้จะเกิดเรื่อง อยู่ข้างนอกดุ อยากจะพบคนใด มีโทษอะไรที่รู้จักก็บอกลุง ลุงจะบอกให้นายนิรยบาลนำตัวออกมาสอบถาม ถ้าหลานถามนายนิรยบาลเขาโดยเฉพาะ เขาไม่พูดด้วย เขาไม่รู้เรื่อง นี่เป็นเรื่องไปดูนรก

เมื่อไปถึงนรกขุมแรก ก็คือขุมที่ 8 อเวจีมหานรก เป็นขุมแรกก่อน ไปเห็นพระเทวทัตกับพวกหลายท่าน ลงนรกขุมนี้ สุปปะพุทธะ เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัต นายนันทมานพ นางจิญจมาณวิกา นันทยักษ์ ลุงพุฒิบอกว่า บุคคลเหล่านี้ทำบารมีอย่างสูง ทำบาปกรรมไว้มาก ผิดกรรมบถ 10 อย่างร้ายแรง จึงมาตกอเวจีมหานรก ไม่มีกำหนดที่จะได้พ้น

เพราะท่านไม่ได้บอกไว้ว่า จะได้พ้นเมื่อใด ทรมานจนกว่าโทษจะเบาและหลุดพ้นโทษ เท่าที่ได้ไปชมนรกในวันนี้ ถ้าจะกล่าวให้ละเอียด มันก็ยืดยาวมากเสียเวลาเอาเพียงย่อๆ ละเอียดก็จะเฟ้อไป เวลา 16.00 น. จึงได้เลิกการปฏิบัติ และกลับที่พัก วันที่ 5 มิถุนายน 2523 หลวงพ่อก็กลับวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

นับตั้งแต่ เข้าเริ่มฝึกมโนมยิทธิและวิชชาสาม และได้รับคำแนะนำอบรมจากหลวงพ่อ ในวันที่ 1, 2, 3, 4 มิถุนายน 2523 ข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติทุกๆ คืน เริ่มตั้งแต่เวลา 21.00 น. ถึงเวลา 23.00 น. และตื่นนอนเวลา 04.00 น. ถึง 06.00 น. ได้ปฏิบัติทุกๆ คืน และเวลากลางวัน ถ้าเวลาว่าง ก็ได้ปฏิบัติตามโอกาสจะอำนวย

และบางวันก็ไปอบรมที่บ้านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ และได้ซื้อหนังสือธรรมะและเทปมาเปิดฟัง เมื่อมีความเข้าใจแล้ว ก็เริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2523 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2523 รวม 6 เดือน

เริ่มเข้าสอบญาณ 8 ในวันที่ 5, 6, 7 ธันวาคม 2523 หลวงพ่อ พระอาจารย์ก็ได้มาที่บ้านพลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ บ้านเลขที่ 9 ซอยสายลม 1 ถนนพหลโยธิน สามเสน กรุงเทพฯ ก็ได้ไปสอบญาณ 8 ในวันนี้มี 12 คน รวมทั้งข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนแก่ เหล่านั้นเป็นผู้หญิง 9 คน เป็นเด็กผู้ชาย 2 คน

เมื่อถึงเวลา 13.00 น. หลวงพ่อให้สมาทานศีล 8 และสมาทานพระกรรมฐาน โดยนำกราบพระก่อน เสร็จแล้วหลวงพ่อก็ให้เอาจิตจับพะพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เห็นว่าสวยงาม ให้พระพุทธเจ้าองค์นั้นอยู่ในจิต การสอนญาณ 8 มีดังนี้

ก่อนอื่น เมื่อได้รับคำอธิบายจากหลวงพ่อ และมีความเข้าใจพอสมควร ก็นั่งทำสมาธิ การนั่งให้สบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งหมด ไม่ต้องคิดอยากรู้อยากเห็นอะไร ให้วางเฉยเป็นอุเบกขา แล้วก็พิจารณาตามสังโยชน์ 10 สังโยชน์แปลว่า กิเลส เครื่องร้อยรัดจิตใจ ให้จมอยู่ในวัฏสงสาร 10 อย่าง

แล้วก็ขออาราธนาพระบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมามีหลวงปู่ปานวัดบางนมโค และเจ้าคุณราชพรหมยานวัดท่าซุง จงมาพร้อมกัน ทำให้จิตข้าพระพุทธเจ้าสว่างไสว และขออาราธนา พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และหลวงปู่ปาน ปรมาจารย์ จงมาปรากฏพระรูปพระโฉม

ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงอยู่ในแดนพระนิพพาน ขอพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ จงมาปรากฏพระพุทธองค์ ขอให้แต่เครื่องทรงเต็มอัตรา ในกาลบัดนี้เถิด

พระพุทธเจ้า และหลวงปู่ปานเสด็จมาประทับอยู่ข้างหน้า นั่งอยู่บนแท่นแก้วพระรูปพระโฉมก็เป็นแก้ว เป็นพระวิสุทธิเทพ สวมชฎาสูงสวยงามมาก ข้าพระพุทธเจ้าเข้าไปกราบ ทั้งสองพระองค์ทรงยิ้มและได้อธิษฐานบุญกุศลบารมีของข้าพระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญมา เป็นปรมัตถบารมี

ขอพระพุทธองค์นำจิตของข้าพระพุทธเจ้าไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เพื่อจะได้กราบพ่อและแม่ในชาติก่อนๆ ขอให้เห็นทุกชาติตามความเป็นจริงทุกประการด้วยเถิดพระเจ้าข้า ถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์แล้ว เป็นแก้วชั้นดาวดึงส์เจ็ดสี มีสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว สีน้ำเงิน สีทอง และมีประกายเป็นเพชรใหญ่โตมาก กว้างขวาง เสาก็สวย หลังคามีช่อฟ้า ปั้นลม

มีฉัตรตั้งอยู่กลางหลังคาวิมานสวยมาก เข้าไปมีท่านเป็นสีขาว คล้ายเพชร มีสีเหลือง มีประกายเป็นเพชร ท่านสีเขียวมีประกายเป็นเพชรจำนวนมากมาย เมื่อเข้าไปก็ว่างเปล่า ไม่มีใครสักคนเดียว จึงอธิษฐานว่า บุญบารมีของข้าพระพุทธเจ้ามีเพียงใด ตั้งแต่ชาติก่อนๆ ร้อยชาติ หมื่นชาติ และมาถึงสมัยปัจจุบันมีบิดามารดา

ที่เป็นพระอรหันต์ก็ดี เป็นพรหมก็ดี เป็นเทวดาก็ดี ขอท่านที่มีเดชอำนาจปกครองในสมัย ขอได้โปรดออกมายืนข้างหน้า ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้สัมผัสตามความเป็นจริงทุกประการด้วยเทอญ

องค์ที่ออกมายืนข้างหน้า ทรงเครื่องเต็มอัตรา แต่งเต็มอัตราเป็นแก้ว อยู่ที่พระนิพพาน ชื่อพระศรีสุนทราทิพย์ เป็นบิดาในชาติก่อนร่วม 100 ปี
องค์ที่ 2 ออกมายืนชื่อ ท้าวมหาพรหมราเมศ ทรงเครื่องสีทองเต็มอัตรา อยู่ชั้นพรหม เป็นบิดาเมื่อ 800 ปี
องค์ที่ 3 ออกมายืนชื่อ พระยารามเมศวร ทรงเครื่องสีทอง อยู่ชั้นพรหม เป็นบิดาเมื่อ 600 ปี

องค์ที่ 4 ออกมายืนชื่อพระนางสุชาดา อยู่ชั้นพรหม แต่งตัวสีทอง เป็นมารดาเมื่อ 1,000 ปี
องค์ที่ 5 ออกมายืนชื่อ แม่ศรีประภาวดีพรหม อยู่ชั้นพรหม แต่งตัวสีทอง เป็นมารดาเมื่อ 800 ปี

เมื่อครั้งสุดท้าย ในเมื่อ 700 ปี ข้าพเจ้าเคยเป็นลูกเป็นหลานของท่าน เดิมชื่อ พญาราชวังขวา เป็นผู้ช่วยนายแขวง อยู่เมืองพะเยา ในสมัยก่อนๆ เป็นเมืองย่อมๆ เมืองหนึ่งก็เท่ากับอำเภอหนึ่ง ในสมัยนั้นแม่ศรีประภาวดีพรหม บอกว่า พระเจ้าพังคราชปกครองเมือง อยู่ที่จังหวัดพะเยา เดี๋ยวนี้คือเมืองต๊ำ เมืองเทิง

ในสมัยนั้นก็มีพวกขอมดำเข้ามาตีเมืองพะเยา พระเจ้าพังคราชมีกำลังเล็กน้อย ถูกพวกขอมดำไล่อพยพไพร่ฟ้าประชาชนอยู่ติดริมน้ำโขง จะข้ามโขงไปก็ไม่ได้ ติดกับเขตพม่าและเขตประเทศลาว พระเจ้าพังคราช ก็ตั้งถิ่นฐานอยู่เมืองเชียงแสนหลวง และหมู่บ้านแม่สาย

ติดท่าขี้เหล็ก ติดต่อเขตพม่าปัจจุบัน ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แคบ ทำมาหากินลำบาก เมืองเชียงแสนหลวงที่พระเจ้าพังคราชไปตั้งอยู่ ก็คืออำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายปัจจุบันนี้ ต่อมาพระเจ้าพังคราช ก็มีบุตรชื่อพระเจ้าพรหม ในคืนหนึ่งนั้น พระเจ้าพรหมฝันว่า จะมีช้างลอยแม่น้ำโขงมา 3 เชือก ให้พระเจ้าพรหมไปจับ

พระเจ้าพรหมก็มาปรึกษาเสนาอำมาตย์แล้ว ได้อธิษฐานบุญบารมี ถักด้ายสายสิญจน์ขึ้นเป็นบ่วงสำหรับคล้องช้าง ถ้าบุญบารมีมี ขอบ่วงเข้าสวมคอช้างชักขึ้นมาได้
พอถึงเวลา ตัวที่ 1 เป็นนาคสีแดงลอยมา พระเจ้าพรหมไม่เห็นช้าง ก็ปล่อยให้ลอยไป
ตัวที่ 2 เป็นคล้ายๆ ช้างมังกร หัวคล้ายๆ นาคลอยมา พระเจ้าพรหมก็ปล่อยให้เลยไป

พอนาคตัวที่ 3 ลอยมา พระเจ้าพรหมก็อธิษฐานด้วยบารมี ขว้างบ่วงไปสวมคอนาค นาคก็กลับกลายเป็นช้างเผือก คล้องช้างได้แล้ว ก็ชักขึ้นมาบนบก พอช้างเข้ามาชิดตลิ่ง ไม่ยอมขึ้นบก แต่ก็ไม่หนีไปไหน ด้ายสายสิญจน์มงคล ยังสวมคอช้างอยู่ จึงได้อธิษฐานบุญบารมีอีก ต้องให้เสนาอำมาตย์เอากระพังทองไปตีล่อช้าง

ช้างก็เดินตามกระพังทองขึ้นมา ให้เสนาอำมาตย์จูงเข้าพระราชวัง ช้างเผือกตัวนี้เป็นช้างเผือกประกายเพชร หรือประกายแก้ว มีตัวเดียวในโลกนี้ แล้วก็ไม่ดุ เชื่องดี ปล่อยให้อยู่ข้างๆ พระราชวัง นานๆ เข้าช้างก็ออกป่า นำช้างพังช้างพลายในป่าเป็นบริวารมาเป็นจำนวนมาก พระเจ้าพรหมก็อธิษฐาน

ถ้าบุญบารมีมี ก็ขอให้บรรดาช้างป่าทั้งหลายเข้ามาเป็นบริวาร เป็นช้างที่เชื่อง ไม่ดุร้าย จึงให้เสนาอำมาตย์จัดการหาเครื่องทอง เครื่องเงินที่จะขึ้นประดับหลังช้าง มีช้างป่ามาเป็นจำนวนหลายร้อยเชือก แต่ละเชือกๆ ก็ได้กูบทองกูบเงินขึ้นประทับหลัง สมัยข้าพระพุทธเจ้ายังเป็นผู้ช่วยนายแขวง นายแขวงสมัยก่อนก็คล้ายๆ นายอำเภอปัจจุบัน

ผู้ช่วยนายแขวงก็คล้ายๆ เป็นปลัดอำเภอในสมัยปัจจุบัน แต่สมัยก่อนผู้ช่วยนายแขวงจะต้องเป็นคนที่รบเก่ง ฟันดาบสองมือเก่ง แทงหอกเก่งและว่องไว ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ช่วยนายแขวงชื่อ พญาราชวังขวา ต้องควบคุมทัพออกรบและจัดอบรมไพร่พลประชาราษฎร์ เพราะมีสายลับมาบอกว่า พวกขอมจะมาขับไล่ออกจากเชียงแสนและแม่สาย

พระเจ้าพรหมก็ส่งเสนาอำมาตย์นายแขวงอบรมไพร่พลช้างม้าพลเท้า เตรียมเสบียงอาหารไว้พร้อมมูล ไม่ให้ประมาท เมื่อถึงเวลารบจริงๆ พญาขอมดำพร้อมทั้งพลช้าง พลม้า พลทหารรบ ก็เข้ามาถึงด่านเชียงแสนหลวง พวกช้างของพญาขอมดำเข้ามาประชันหน้า ช้างประกายแก้ว

ช้างเผือกที่พระเจ้าพรหมเป็นแม่ทัพขี่คอช้างอยู่ ช้างพวกขอมเห็นเข้าก็เตลิดเปิดเปิงวิ่งหนีไม่เป็นขบวน พลช้าง พลม้า พลเท้าต่างวิ่งหนี พวกขอมแตกออกวิ่งหนีเป็นสองทาง พญาขอมกับพวกวิ่งหนีไปทางอำเภอแม่สรวย ไปทางจังหวัดเชียงใหม่

สายที่สอง พวกขอมก็ขึ้นช้างวิ่งหนีกลับมาทางพะเยาซึ่งพวกขอมตั้งอยู่ ข้าพเจ้าเป็นผู้ช่วยแม่ทัพในสมัยนั้น พร้อมนายแขวงและเสนาอำมาตย์ก็ไล่พวกขอมไม่ให้ได้ตั้งตัวและพัก ไล่แทงไล่ฟันพวกขอมล้มตายเป็นจำนวนมาก จะเข้าแวะเอาครอบครัวภรรยาที่อยู่พะเยาก็ไม่ได้ เลยเอาช้างไล่แทงไล่ฟัน เลยอำเภอสองไปข้ามเมืองแพร่

ถึงอำเภอลอง ถึงเมืองพิษณุโลก ถึงศรีสัชนาลัย ส่วนพระเจ้าพรหมก็ขึ้นช้างไล่ ไม่ให้พวกขอมตั้งตัวติด ถึงพะเยา งาว สอง สุโขทัย จนถึงเมืองกำแพงเพชร ส่วนข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ช่วยนายแขวง ก็ติดตามขับไล่ถึงเมืองสุโขทัยปัจจุบัน

ส่วนนายแขวงและข้าพเจ้าก็ควบคุมไพร่พลกลับมาทางเดิม คือมาทางอำเภอลอง มาพักแรมอยู่ที่พระธาตุแหลมสี่ อยู่ที่นั่นอยู่นานถึง 4 – 5 เดือน แล้วกลับภูมิลำเนา
ข้าพเจ้านี้ คงจะเป็นญาติใกล้ชิดกับหลวงพ่อ ในสมัยที่ออกรบกับพวกขอมดำ เพราะได้สัมผัสกันในทั้งค่ายพัก อยู่บริเวณเมืองสุโขทัย คงได้ถูกคอกัน

มาปัจจุบันจึงได้เกี่ยวพันและจิตใจถึงกัน ได้มาพบกันในชาติปัจจุบันนี้ก็อาจเป็นได้ เพราะชาติก่อนๆ โน้น เคยได้ร่วมกัน คงปฏิบัติธรรมชั้นพรหมมาด้วยกัน จึงมีจิตใจกับหลวงพ่อจนถึงปัจจุบันนี้ เพราะได้อ่านประวัติของหลวงพ่อปาน ซึ่งหลวงพ่อได้เขียนก็เลยติดอกติดใจ

จึงตัดสินใจโดยเด็ดขาด และไม่เคยรู้จักไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาว่า รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงแต่ได้อ่านประวัติหลวงพ่อปาน 2 – 3 ครั้งเท่านั้นก็ติดใจ เลยตัดสินใจมาปฏิบัติสมณธรรม จนมีความรู้ ความเข้าใจบ้างอย่างเป็ดๆ จะรู้จริงก็ไม่เชิง ยังโง่เขลาเบาปัญญาอยู่ จึงเขียนญาณ 8 อย่างย่อๆ

ขอท่านที่ได้ฌานและได้ทิพยจักขุญาณ จงให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย อาจจะมีโมหะเข้ามาขวางกั้น อาจผิดพลาดไปก็อาจเป็นได้ แต่ก็พยายามติดต่อพระทุกขณะจิตที่เขียนขึ้น ถ้าผิดพลาดก็ขอรับผิดแต่ผู้เดียว

พระเถระผู้ใหญ่ไม่เชื่อว่าจิตไปดูนรกสวรรค์ได้


การปฏิบัติมโนมยิทธิและวิชชาสามนี้ พระเถระผู้ใหญ่บางรูป และพระมหาเปรียญไม่เชื่อว่า นักปฏิบัติคนไทย ถอดจิตไปเมืองนรกและสวรรค์ได้ และสวรรค์ – นรกไม่มี

เหตุดังกล่าวนี้ กระผมได้ชี้แจงในเวลาประชุมพระสังฆาธิการ และเวลาพุทธบริษัทชายหญิงผู้มาปฏิบัติธรรม เพราะพระสังฆาธิการมาประชุมที่ศาลาการเปรียญ กระผมมิได้มาแนะนำสั่งสอนพระคุณเจ้า จะเป็นคุรุกรรม เป็นศิษย์ของหลวงพี่พระเทวทัตไป ไม่เอา

ขอมอบสิทธิอำนาจให้แก่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้รับผิดชอบด้วยพระองค์เอง กระผมเป็นแค่เป็นสะพานให้เดินเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไร กระผมก็แนะนำไปตามนั้น กระผมเพียงแต่แนะนำ บรรดาท่านพุทธบริษัทหญิงชายที่เป็นนักปฏิบัติธรรม

เพื่อให้มีความเข้าใจ ในข้อวัตรปฏิบัติเท่านั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา พระพุทธองค์เป็นเพียงแค่ผู้บอกเท่านั้น ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ หรือใครจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติเป็นเรื่องของท่าน

มโนมยิทธิวิชชาสามนี้ เอามาจากไหน เพราะว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานมีด้วยกัน 4 แบบคือ
1. แบบสุกขวิปัสสโก ที่พวกนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ปฏิบัติตามประเพณี ภวนาว่า พุทโธ นี่ก็ไม่รู้ไม่เห็น เทวดา นรกแต่อย่างใด เพียงแต่ให้จิตเป็นสมาธิเท่านั้น และก็ไปพระนิพพานได้

2. แบบเตวิชโช คือแบบวิชชาสาม หรือมโนมยิทธินี้ เอาจิตไปท่องเที่ยวนรกสวรรค์ทุกชั้นได้ จะไปเมืองไทยไปดูอะไรก็ได้
3. แบบอภิญญา 6 นี้ เอาตัวคือร่างกายไปเที่ยวนรกสวรรค์ ไปที่ไหนก็ได้
4. แบบปฏิสัมภิทัปปัตโต นี้ควบทั้งแบบสุกขวิปัสสโก แบบเตวิชโช อภิญญา 6 รู้ทั้งภาษาสัตว์และภาษาคนทุกภาษา และวิชาเหล่านี้พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในที่ไหนบ้าง

แบบวิชชาสาม คือมโนมยิทธินี้ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า บัญญัติไว้ในพระพุทธคุณ 9 บทอิติปิโส ว่า วิชชา จรณะสัมปันโน พระคุณเจ้าทุกรูปได้สวดและทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นทุกๆ วัน โปรดเปิดดูพระพุทธคุณ 9 วิชชา จรณะ วิชชาสามก็มี วิชชา 8 ก็มี จรณะ 15 ก็มี คำว่า อรหัง

อรหังนี้แปลว่าผู้ไกลจากกิเลส พระพุทธองค์ไม่มีกิเลสเครื่องเศร้าหมอง อยู่ในพระราชหฤทัยเลย เป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องจริง อารมณ์กิเลสที่พระอรหัง หรือที่เรียกว่าพระอรหันต์ละได้นั้น ต้องปฏิบัติตามสังโยชน์ 10 อย่าง คือปฏิบัติได้ 3 ข้อเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี ปฏิบัติได้ 5 ข้อเป็นพระอนาคามี

ปฏิบัติได้ 10 ข้อเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่กระผมจะมาแนะนำสอนหนังสือหรือปฏิบัติธรรมให้พระคุณเจ้า และท่านพุทธบริษัทหญิงชายทั้งหลาย โปรดไปเปิดดูคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน และไปเปิดดูพระไตรปิฎก ฉบับหลวงเล่มที่ 15 หน้า 4 นะขอรับ

ดูบทพระพุทธคุณ 9 ที่สำคัญๆ คือ สัตถา เทวมนุสสานัง แปลว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นครูสอนเทวดา และมนุษย์ ทั้งนี้หมายความว่า การสั่งสอนเพื่อมรรคผลนั้น พระองค์มิได้ทรงสั่งสอนแต่มนุษย์เท่านั้น แม้เทวดาและพรหม พระองค์ทรงสอน ข้อนี้ขอท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าโปรดอ่านพุทธประวัติ

จะทราบว่า พระพุทธองค์ทรงสอนเทวดา พรหม เช่นเดียวกับสอนพวกมนุษย์เหมือนกัน ไม่ใช่ท่องได้แบบนกแก้วนกขุนทองนั้นมันไม่ได้ผล

บทพิสูจน์


พระคุณเจ้าที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่บางรูปและพระมหา 7 – 8 ประโยคบางรูป มีความปรามาสพระบรมศาสดาว่า ปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปถึง 2534 ปีแล้ว พระอรหันต์ไม่มีเหลือแล้ว ไปเอาที่ไหนแล้ว อยากจะใคร่ถามว่า พระคุณเจ้าเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาทำไม ไม่ใช่ว่าเข้ามาบวชเพื่อดับกิเลส

เวลาจะบวชก็ได้ปฏิญาณตนต่อพระอุปัชฌาย์ต่อหน้าสงฆ์ ในขณะทำสังฆกรรมแล้วว่า เอสาหัง ภันเต ฯลฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อพระนิพพานใช่ไหม? กระผมขอยืนยันว่า พระอริยเจ้าชั้นสูงหรือพระอรหันต์ยังมีอยู่มาก มีทุกภาค พระที่บวชเข้ามาเอาผ้ากาสาวพัสตร์ โกนหัว และเอาผ้ามาครอง ไม่ปฏิบัติ

เอาผ้าเหลืองเข้ามาหากินก็มีไม่น้อยเหมือนกัน ดูข่าวหนังสือพิมพ์ประกาศทุกวัน ที่กระผมยืนยันนี้ก็เพราะมีพระธรรม 6 ยืนยันพิสูจน์อยู่ ขอให้ทำจริง ปฏิบัติจริงไม่หลอกตัวเองก็ได้จริง มีสัจจะ มีอิทธิบาท 4 กระผมขอรับรองว่า ได้จริง จะได้มากได้น้อยนั้น ให้ถือสันโดษ ได้เท่าใดพอใจเท่านั้น

เพราะพระธรรม 6 กล่าวว่า อกาลิโก แปลว่า ไม่เลือกกาลไม่เลือกสมัย ผลของการปฏิบัติได้รับผลทุกขณะจิต ไม่จำกัดกาลเวลา คือพอนั่งปฏิบัติได้ขณิกสมาธิ เป็นสมาธิเล็กน้อย พระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองว่า บุคคลใดทำสมาธิจิตในวันหนึ่งได้ขณะจิตหนึ่ง ก็ได้ไปเกิดในบนสวรรค์

ตามภาษิตโบราณบอกว่า บุคคลใดทำสมาธิกรรมฐานในวันหนึ่งได้เท่าช้างพับหู งูแลบลิ้น คือได้ขณะจิตเดียวเท่ากับ 1 วินาที 2 วินาที ท่านผู้นั้นก็ไปเกิดเป็นพรหมชั้นหนึ่งได้ มีอายุหนึ่งในสามของกัป มันเป็นสันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติบรรลุ จะพึงเห็นเอง เป็นความสุขของจิตใจ เป็นปัจจัตตัง

อันวิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะคน คนอื่นไม่ปฏิบัติ ไม่รู้ไม่เห็นด้วย ขอให้มีศรัทธาทำจริงเถิด มันไม่เหลือความสามารถของเรา ถ้าเหลือความสามารถ พระพุทธเจ้าคงไม่นำเอามาสอน คนที่ทำไม่ได้ก็เพราะเป็นคนไม่เอาไหนเลย เป็นคนขี้เกียจ คนอื่นเขาทำได้ เราทำไม่ได้นี่แย่มาก

พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ


โปรดดูหนังสือพระกรรมฐาน สังฆานุสสติ พระสุปฏิปันโนซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์แล้ว ท่านได้บรรลุมรรคผลแล้ว ท่านมิได้แสวงหาความสุข เพราะผลของการบรรลุนั้นเฉพาะตัวของท่าน ท่านพลีความสุขที่ท่านควรได้รับนั้น นพพระธรรมคำสั่งสอนที่ได้รับผลมาแล้ว มาสั่งสอนพุทธบริษัท ไม่ต้องการโลกธรรม 8 ประการ

กุสลาธัมมา แล้วก็กุสสลาธัมไป ก่อสร้างวัตถุส่วนรวม ปัจจัยที่ได้มาถือว่าเป็นของสงฆ์ทั้งหมดใช้ร่วมกัน มิได้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว
นี่กระผมขอยืนยันว่า พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีอยู่ทุกภาค มีจำนวนมาก พระบวชเข้ามาหากิน เอาผ้ากาสาวพัสตร์มาห่อหุ้มตัว โกนหัว โกนคิ้ว

บางรูปหมดความเป็นพระตั้งแต่วันบวชแล้วก็มี ปัจจุบันบวชเองไม่มีอุปัชฌาย์บวชให้ก็มี ทว่าที่สำเร็จบรรลุเป็นอรหันต์ทั้งพระผู้หญิง ทั้งพระผู้ชาย บวชวันสองวัน บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็มี พระพุทธองค์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอายพระเหล่านี้ พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติอยู่จน 6 ปี จนซูบผอม เอามือลูบหนังขนก็หลุดติดมือมายังไม่สำเร็จ

พระองค์จึงพิจารณาการสำเร็จบรรลุธรรม ไปพระนิพพานได้นั้น ไม่ใช่ทางร่างกาย การปฏิบัติธรรมมันอยู่ที่จิตใจ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า “มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา” ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ

ดังนี้ และการปฏิบัติมโนมยิทธิวิชชาสามนี้ ไม่ใช่ได้พร้อมกันเลยนะขอรับ บางคนมาวันเดียวได้ก็มี บางคนมาฝึก 2 วันได้ไปก็มี บางคนมาถึง 3 วันได้ก็มี บางคนมาถึง 4 วันได้ก็มี บางคนไม่ได้เลยก็มี

พระคุณเจ้าบางรูปว่า การเข้ามโนมยิทธิเป็นการสะกดจิต


ทั้งนี้เพราะพระคุณเจ้าไม่เชื่อ เพียงแต่เคยปฏิบัติแบบสุกขวิปัสสโก และปฏิบัติไม่จริงไม่จัง ไม่เอาไหน สมาธิยังไม่ถึงอุปจารสมาธิก็เลยโจมตีหาว่าสะกดจิต จึงได้ชี้แจงว่า การรู้การเห็นของบรรดาศิษย์ที่มาฝึก บางคนมีศีลบริสุทธิ์ และก็มีสมาธิตั้งมั่นปัญญาก็เกิด พวกนี้ได้ทิพยจักขุญาณมาก่อน ถามอะไร บอกถูกหมดทุกอย่าง

บางคนมาฝึกวันเดียวก็ได้ บางคน 2 – 3 วันได้ไปก็มี บางคนไม่ได้เลย การเห็นนี่จริตของผู้ฝึกไม่เหมือนกัน บางคนก็เห็นสีนั้น บางคนก็เห็นสีนี้ไม่เหมือนกัน เพราะแก้วในชั้นในดาวดึงส์มี 7 สี ใครเห็นสีอะไรก็ได้ แล้วแต่จิตของบุคคลนั้น ถ้าหากสะกดจิต ก็ต้องตอบเหมือนกันหมดทุกคน ปล่อยท่านไป

พระคุณเจ้าบางรูปบอกว่า พาคนไปสวรรค์ไปนรกไม่ได้


หลวงพี่องค์สำคัญองค์หนึ่ง ท่านได้พูดทางโทรทัศน์ ว่าการพาคนไปดูสวรรค์นั้นทำไม่ได้ดอก แม้แต่พระโมคคัลลานะก็ยังทำไม่ได้เลย หลวงพี่องค์นี้คงไม่ได้ปฏิบัติธรรมถึงฌาน 4 เพียงแต่อาศัยทางทฤษฎี มีความรู้ทางโลกมาก แต่ทางธรรมะคงจะไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกเลยกระมัง

กระผมจึงได้พยายามค้นหา หลักฐานคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า และหลวงพี่องค์นั้น บอกว่า แม้พระโมคคัลลานะก็ยังทำไม่ได้นั้น บอกว่า แม้พระโมคคัลลานะก็ยังทำไม่ได้นั้น กระผมไม่ได้ยินกับหูแต่เท่าที่เคยอ่านพระไตรปิฎก (พระสูตรเป็นส่วนใหญ่) 2 – 3 เที่ยว จำได้ว่า ไม่เคยพบพระโมคคัลลานะพาใครไปสวรรค์เลยละก้อพูดถูก

อย่างไรก็ดี เรื่องพาคนขึ้นไปสวรรค์นี้มีปรากฏอยู่ว่าทำได้ พบในพระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่ม 25 หน้า 91 (นันทสูตร) เรื่องพระนันทะขอลาสิกขา พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่าทำไมละ พระนันทะทูลตอบว่า นางสากิยานี บอกให้กลับไปเร็วๆ จึงคิดถึงจนทนไม่ไหว ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจับพระนันทะที่แขน แล้วก็หายไปจากพระวิหารเชตวัน

ไปปรากฏในเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์เหมือนบุรุษที่มีกำลัง พึ่งเหยียดแขนที่คู้หรือเพิ่งคู้แขนที่เหยียด เพราะฉะนั้นเอากันเพียงย่อๆ เพราะกระผมยังโง่เขลาอยู่มาก จะเล่าละเอียดลออนั้น มันก็คงจะเพ้อออกนอกเรื่องไป

เรื่องต่อมามีว่า มีนางฟ้า 500 องค์ มาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่า ใครสวยกว่ากัน พระนันทะทูลตอบว่า นางสากิยานีนั้นเหมือนลิง ผู้มีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟไหม้ หูและจมูกขาด พระพุทธเจ้าตรัสรับรองจะให้นางฟ้า 500 องค์แก่พระนันทะ

พระนันทะเลยตกลงไม่ลาสิกขาลาเพศ และต่อมาเมื่อพระนันทะเป็นพระอรหันต์ ก็เลยบอกคืนว่าไม่เอาแล้วนางฟ้า พระเจ้าข้า นี่เป็นหลักฐานว่า พาไปสวรรค์ทั้งตัวเลยก็ได้
นอกจากหลักฐานที่อ้างแล้ว โปรดไปอ่านดูพระไตรปิฎกเล่ม 13 หน้า 309 ดูเรื่องพระอุทายี เจรจากันกับเทวดาทั้งหลาย

และให้ดูเล่ม 9 หน้า 370 เรื่องของเกวัฎฎ์ ฯลฯ เห็นว่าไปสวรรค์ทั้งตัว (กายเนื้อ) ก็ได้ ไปด้วยทางจิต (สมาธิ) ก็ได้ ถ้าไปทั้งตัวนั้น ถ้าหากไม่ได้อภิญญาหกก็คงไปไม่ไหว แต่ถ้าไปทางจิตนั้นคงจะเบากว่า

ดังนั้น ที่พระคุณเจ้าที่ท่านออกโทรทัศน์ไปว่า การพาไปสวรรค์ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้นั้น ก็ไม่ตรงกับพระไตรปิฎกตามหลักที่กระผมอ้าง เวลานี้พวกเด็กๆ และคนรุ่นใหม่ คนแก่ ทำจิตเป็นสมาธิไปสวรรค์ได้เป็นจำนวนหลายหมื่นหลายแสน ขอให้ท่านผู้มีวิชานี้ แนะนำวิธีปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำ ก็จะไปได้แทบทุกคน

นอกจากหลวงพี่มาขวางๆ คัดค้านสงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู บรรดาพุทธบริษัทก็จะตามท่านไป ศาสนาก็จะเสื่อม พระคุณเจ้าบวชเข้ามาและท่านพุทธบริษัทหญิงชายมาทำบุญในศาสนาพุทธ ก็เพื่อหวังดับทุกข์ไปพระนิพพาน พระนิพพานไปได้อย่างไร ก็ต้องตัดราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ให้เป็นอุเบกขาญาณจึงจะไปได้

แต่ความจริงแล้ว ความโลภเราก็ได้บริจาคทานมาตั้งแต่นานแล้ว ความโกรธ เราก็ได้ปฏิบัติตามศีล 5 และมีพรหมวิหาร 4 ความหลง เราก็พิจารณาร่างกายแล้ว มันไม่ใช่ของเรา ทรัพย์สิน สมบัติ ลูกเมีย ผัว บ้านช่องหอเรือน เงินทอง ตายแล้วก็มิได้ติดตัวแม้แต่บาทเดียว ตามสังโยชน์ 10 ถ้าถึงพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามีแล้ว ท่านให้ตัดสักกายทิฏฐิตัวนี้ตัวเดียว

ค่อยๆ คิดนะเดี๋ยวพระพุทธเจ้าอาย พระพุทธเจ้าพยายามตัดถึง 6 ปี มันไม่แน่เหมือนพระโพธิกะ พระพุทธเจ้าบอกว่า โพธิกะ เธออย่าสนใจให้มากเลย หมายความว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราในที่นี้ก็คือขันธ์ 5 เราก็ตัดขันธ์ 5 เสีย ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา

ทุกข์ก็เพราะร่างกาย เราไม่มีร่างกาย เราก็ไม่ทุกข์ ไม่หิว ไม่ปวด ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ตาย ทุกข์ก็เพราะมีร่างกาย พยายามพิจารณาตัด ค่อยๆ ตัดไปวันละเล็กละน้อย เมื่อจิตมันเบื่อหน่าย ร่างกายสังขาร ฆราวาสถ้าได้เป็นพระอรหันต์ วันนี้จะตายไปนิพพาน

เหตุการณ์ที่ได้ประสบมา


นับตั้งแต่กระผม ได้เข้ามาปฏิบัติธรรม เป็นสานุศิษย์ของหลวงพ่อเจ้าคุณราชพรหมยาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ก็ได้ปฏิบัติธรรมทุกๆ คืนตลอดมา การนั่งปฏิบัติที่ไหนๆ รู้สึกว่ากว่าสมาธิจะเข้านี่หนักมาก สู้ที่บ้านเจ้ากรมเสริมและที่วัดท่าซุงไม่ได้ นั่งประเดี๋ยวเดียว สมาธิเข้า ตัวเบา รู้สึกมีแสงสว่างกว่า ปรากฏว่าที่บ้านเจ้ากรมเสริมก็ดี ที่วัดท่าซุงก็ดี เป็นที่พระอรหันต์เคยมาอยู่ปฏิบัติธรรม

และที่บ้านเจ้ากรมเข้าใจว่า คงเป็นวัดเก่าแก่ร้าง มีพระอรหันต์เคยมาปฏิบัติเพราะเข้าสมาธิได้เร็วมาก เมื่อต่อญาณ 8 เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ทำต้นดอกไม้เป็นดอกกุหลาบ เข้าไปคารวะต่อเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ ที่ได้อาศัยเข้าไปร่ำเรียนวิชาความรู้ธรรม อาศัยบ้านท่านได้ความรู้ในธรรมปฏิบัติ และกระผมจะได้กลับบ้าน ที่อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน

เพราะตามธรรมดา เจ้ากรมเสริมฯ ไม่ค่อยมีเวลารับแขก ในวันนั้นได้อธิษฐานบารมีขอหลวงพ่อ และหลวงปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรี ฯลฯ ขอให้ได้พบเจ้ากรมฯ เพื่อจะได้ให้โชคให้พรแก่ท่าน เพราะได้มาอาศัยบ้านของท่านปฏิบัติธรรมะ เสร็จแล้วก็ปวารณา ถ้ามีธุระสิ่งในในจังหวัดน่าน ที่ไม่เกินความสามารถแล้วโปรดบอก ยินดีรับใช้ท่านทุกประการ โปรดกราบเรียนหลวงพ่อด้วย

ในระหว่างกลับไปอยู่บ้าน ก็ได้เริ่มปฏิบัติธรรมทุกๆ คืน และได้ถือศีล 8 ตลอดมา ได้แนะนำสั่งสอนอบรม ท่านผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมแบบสุกขวิปัสสโก และสอนมโนมยิทธิวิชชาสามให้บรรดาท่านพุทธบริษัทหญิงชาย ตามความรู้ความสามารถที่ได้รับจากหลวงพ่อไป โดยมิได้เรียกร้องเงินทองแต่อย่างใด เพื่อการกุศล

นับว่าได้นำเอาคำสอนของหลวงพ่อไปเผยแพร่ มีจำนวนมากได้มาในงานหลวงพ่อทุกๆ ปีที่หลวงพ่อมีงาน บางปีก็ 2 หน ได้เหมารถมา นับว่าในจังหวัดน่านมีศิษย์ของหลวงพ่อแล้วหลายร้อยคนที่มากราบหลวงพ่อที่วัด บางคนก็ยังไม่ได้มาเพราะจำเป็นติดธุระ บุญกุศลที่กระผมได้ปฏิบัติ ในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2531 วันนี้รู้สึกเจ็บเอวมาก

จึงบอกหลานสาวให้เอารถไปส่งโรงพยาบาลเวียงสา เวลา 09.30 น. ในวันนี้เป็นวันพุธ ตรงกับวันเกิดอายุครบ 82 พอดี พอไปถึงโรงพยาบาลก็เริ่มจะเข้าตรวจ นั่งอยู่ที่ม้านั่ง ก็เป็นลมไม่รู้สึกตัว ล้มนอนลงไปไม่รู้สึกตัว เพียงแต่ในขณะล้มลงไป มีความรู้สึกว่าจะไปพานผ้าป่า มีเงินอยู่ 78 บาท แล้วไม่รู้สึกตัว หมอช่วยปั๊มหัวใจและใช้เครื่องออกซิเจนช่วย

รู้ภายหลังว่า ความดันโลหิตลงถึง 45 – 50 ไม่รู้สึกตัว หมอบอกว่าไม่มีทางรอด อยู่โรงพยาบาลเวียงสา รวม 3 วัน ทางโรงพยาบาลเวียงสาจึงนำส่งตัวไปโรงพยาบาลน่าน เข้าห้องไอซียู อยู่ถึง 7 วัน มีพรรคพวกไปเยี่ยมมาก ตลอดพระภิกษุสงฆ์ก็ไปเยี่ยมกันมาก ต่างคนก็ค่อยปลงอนิจจังแล้วว่าไม่รอด ตายไปจริงๆ 2 วัน 2 คืน

จิตไปเรื่อยของมัน จิตมันไปที่วิมานที่เคยไปทุกๆ วัน ไปในวันนั้น รู้สึกว่าถึงวิมานของตัวแต่จำได้ แต่มืดมาก ไหนๆ เมื่อถึงแล้ว ประตูวิมานไม่ยอมเปิด มืดไม่เห็นอะไร ไม่หนีไม่ถอย นอนอยู่หน้าประตูอยู่นานเท่าใดจำไม่ได้ สักประเดี๋ยวเดียวประตูก็เปิดผัวะออกมาสว่างไสวมาก

พระท่านออกมาว่า ยังไม่ให้มาให้รีบกลับ ให้ไปช่วยหลวงพ่อของโยมก่อน อีก 3 ปีค่อยมา
เกล้ากระผมบอกว่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่กลับแล้ว เบื่อเต็มที แก่แล้ว
ท่านก็ไม่ยอม

พอดีมีคนแก่นุ่งผ้าขาว โจงกระเบนสวมเสื้อขาวมีหนวดเคราขาว บอกว่าให้หลานหายใจยาวๆ เพราะปอดไม่ดี และให้รีบปล่อยปลาเสีย มารู้สึกตอนนี้ คนแก่หนวดขาวนี่ คงเป็นท่านปู่หมอโกมารภัจเป็นคนมาบอก พอรู้สึกตัว ทางหมอก็ให้ออกจากห้องไอ ซี ยู เอาไปไว้ที่ห้องพิเศษ พอรู้ตัวก็บอกให้หลานสาวที่ไปเฝ้า ให้ไปซื้อปลาไปปล่อยเช้าวันนี้

เด็กก็ไปซื้อปลาไปปล่อย 4 ตัว เวลาปล่อยปลาได้ตายไป 1 ตัวเหลือ 3 ตัว ขณะนั้นปรากฏว่าหลวงพ่อบอกว่าอย่าเคร่งครัดเกินไป แก่แล้วให้กินอาหาร 3 เวลา ไม่ใช่อยู่ที่กาย ความสำเร็จมันอยู่ที่จิตใจ เมื่อกลับมาบ้าน หายดีแล้วก็ถือศีล 5 และกินอาหาร 3 เวลา นี่ที่ฟื้นขึ้นมาได้ก็เพราะหลวงพ่อไปโปรด จึงเป็นที่รักอย่างยิ่งในจิตใจและเคารพอย่างสูงสุด

อยู่ต่อมา ก็มีอาการป่วยเกี่ยวกับไส้เลื่อน ไปตรวจที่โรงพยาบาลเวียงสา ขอให้หมอผ่าตัดเพราะรำคาญ ขอประทานโทษ เวลาถ่ายจะต้องดันเอาไส้ขึ้นมาจากลูกอัณฑะก่อน แต่มันรำคาญ มันก็ไม่ปวด หมอบอกว่า อายุแก่แล้ว ไม่ควรผ่าตัด นานๆ ทีจะมีอาการป่วยทีหนึ่ง เมื่อหมอไม่ยอมผ่าตัด จึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลจังหวัดน่าน

ในวันที่ 10 กันยายน 2533 ตรงกับวันจันทร์ บอกหมอว่าทุกข์ทรมาน ผ่าตัดก็ตาย ไม่ผ่าตัดก็ตาย ขอให้หมอจัดการ หมอก็ได้ถ่ายเอ๊กซเรย์ ไปเช็คปอดเช็คหัวใจว่าปกติดีไหม ความจริงปอดยาน หายใจหอบ เวลาไปตรวจ พระก็บอกว่าให้หายใจเข้าออกยาวๆ ไปเช็คบอกก็ปกติ ไปเช็คหัวใจก็ปกติ หมอก็เอาเข้าห้องผ่าตัด จึงได้เข้ากรรมฐานให้จิตใจเป็นสมาธิ

หมอแทงเข็มฉีดยาเข้าไปในสันหลัง 3 ครั้ง รู้สึกว่ายาแล่นตั้งแต่สันหลังถึงปลายเท้า ยังไม่รู้สึกชาเลย ยังรู้สึกอยู่ บอกหมอว่าผ่าตัดดิบๆ ก็ได้หมอ มันจะตายก็ให้มันแล้วไป หมอบอกว่าไม่ได้ หมอจึงวางสลบ ได้สลบไปตั้งแต่เวลาบ่ายโมง 13.00 น. ถึงเวลา 16.30 น. ถึงเวลานาน 3 ชั่วโมงครึ่ง เสร็จแล้ว ฟื้นขึ้นเร็วกว่าปกติ

วันรุ่งขึ้นก็เดินได้ ใช้กำลังใจและใช้สมาธิ หลานสาวขอให้กลับบ้าน หมอก็จัดยาให้และถึงเวลา 7 วันให้ไปตัดไหมที่โรงพยาบาลเวียงสา หมอได้ออกหนังสือให้ ขนาดที่วางยาสลบนั้น จิตมันพุ่งไปพระจุฬามณี และเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าในแดนพระจุฬามณี และเข้าไปอยู่บ้านของตนเองที่ชั้นดาวดึงส์แล้วก็ลงมา

ปรากฏว่าตัวเองมานอนอยู่เตียงห้องพิเศษได้อย่างไร นี่ก็เพราะหลวงพ่อโปรดอีกเหมือนกัน เรื่องมันยืดยาวไป ขอยุติเพียงเท่านี้

อภินิหารของพระคำข้าวและพระหางหมาก และเหรียญของหลวงพ่อ


เกล้ากระผมได้มาบูชาพระหางหมาก และพระคำข้าวของหลวงพ่อไป เมื่อกลางปีพ.ศ.2534 จะเป็นวันเดือนใด จำไม่ได้ ได้เอาพระคำข้าวและพระหางหมากและเหรียญของหลวงพ่อ มอบให้ลูกเขยคนเล็กชื่อ คุณอนันต์ มาคำ อยู่บ้านเลขที่ 1820 ซอยสุขศรีเฉลิมพจน์ ถนนกรุงเทพ – นนท์ เขตดุสิต กรุงเทพฯ

แกเอาพระคำข้าวและพระหางหมาก เหรียญของหลวงพ่อติดตัวไป และเอาวางไว้ข้างหน้ารถแท็กซี่ ในขณะขับไปบังเอิญเด็กวิ่งตัดหน้ารถ เบรกไม่ทัน รถแท็กซี่ได้ชนกับเด็ก กระเด็นไป 4 – 5 วา กระโปรงหน้ารถยนต์ฉีก และได้อุ้มเอาเด็กขึ้นรถไปโรงพยาบาล ขอให้แพทย์ช่วยตรวจและเอ็กซเรย์ให้ ปรากฏว่าหมอบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ฟกช้ำดำเขียว ถลอกก็ไม่มี นี่เป็นที่น่าอัศจรรย์

รถชนขนาดนี้ไม่มีเหลือสักราย หรือมิฉะนั้นก็ป่วยหนักเสียสุขภาพ นี่กลับไม่เป็นอะไรเลย ก็เพราะบุญคุณของหลวงพ่อได้คุ้มครองป้องกัน และเมื่อให้หมอตรวจปลอดภัยแล้ว ลูกเขยก็นำขึ้นรถกลับบ้านและมอบเงินบำรุงขวัญ 2,000 บาท (สองพันบาทถ้วน) แจ้งให้ผู้ปกครองทราบและก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระคำข้าวและพระหางหมาก และเหรียญของหลวงพ่อฯ คุ้มครอง

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 30/4/11 at 14:22

52

โชคดีของลูก


ละเมียด (ละไม) เขมาสวิน


...ประมาณปีที่เริ่มทำหนังสือธัมมวิโมกข์ ทางวัดมาติดต่อทำหนังสือธัมมวิโมกข์ที่โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ที่ลูกทำงานอยู่ ลูกเป็นคนจัดการเกี่ยวกับหนังสือที่โรงพิมพ์ จึงต้องมาประสานงานกับทางวัดเป็นประจำ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มารู้จักกับหลวงพ่อ เพราะว่าลูกเอาหนังสือธัมมวิโมกข์มาส่งที่วัด

...พอมาได้เห็นและได้กราบหลวงพ่อ นึกเคารพและรักหลวงพ่อมาก จึงมีความศรัทธาหลวงพ่อและได้เริ่มเข้ามาช่วยงานด้านหนังสือธัมมวิโมกข์ ตอนมาใหม่ๆ ก็มาไม่ได้เต็มที่ เพราะมีงานประจำอยู่ที่โรงพิมพ์ ต่อมา ก็ตัดสินใจลาออกจากงาน เพราะอยากช่วยงานหลวงพ่อให้เต็มที่

มาช่วยทางด้านหนังสือธัมมวิโมกข์และประสานงานกับทางโรงพิมพ์ที่กรุงเทพฯ และมาช่วยงานทางด้านโรงเรียนแผนกนาฏศิลป์ เมื่อลาออกจากงานมาช่วยงานหลวงพ่อหลายๆ ด้าน ทำให้รู้สึกมีความสุขใจมาก ยามใดที่ลูกมีความทุกข์ใจ ก็กราบรูปหลวงพ่อ กราบขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ทุกครั้งก็เป็นผลสำเร็จ ไม่ว่าจะไปไหนก็จะต้องนึกถึงหลวงพ่อตลอดเวลา

ลูกมีจิตผูกพันกับหลวงพ่อเป็นอย่างมาก เวลาลูกจะเดินทางไปไหน พอนั่งรถก็นั่งภาวนานึกถึงหลวงพ่อ จะทำให้ใจเป็นสุข ลืมเรื่องต่างๆ คล้ายกับมีหลวงพ่อร่วมเดินทางไปด้วยตลอดเวลา

ลูกมีความประทับใจมากๆ เนื่องจากหลวงพ่อตั้งชื่อให้ตอนแรก เรียกลูกว่า “นิโกร” เสมอๆ ต่อมาเรียก “ละไม” เวลาไปกราบท่าน ท่านก็มักจะทักว่า “นิโกร” เป็นประจำ ต่อมาพอมาเรียกว่า “ละไม” ลูกก็มีความประทับใจมากๆ เมื่อหลวงพ่อเรียกชื่อลูกว่า “นิโกร” หรือ “ละไม” ซึ่งชื่อจริงๆ ของลูกเรียกว่า “ละเมียด”

ลูกก็พอใจที่จะให้หลวงพ่อเรียกชื่อนี้ (นิโกร หรือ ละไม) ชื่อนี้เป็นศิริมงคลกับตัวลูก และเวลาหลวงพ่อเรียกชื่อนี้ทีไร มักจะเป็นเรื่องดีสำหรับลูกเสมอ
ในด้านการสอนธรรมะนั้น หลวงพ่อสอนเข้าใจง่าย และได้นำมาปฏิบัติถึงทุกวันนี้ ซึ่งแต่ก่อนลูกเป็นคนโมโหร้าย ทำให้มีแต่ความทุกข์

แต่เมื่อปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อแล้ว ทำให้จิตใจมีแต่ความสุข เพราะทำให้อารมณ์โกรธเบาขึ้นมาก จึงนับว่าเป็นโชคดีของลูก ที่ได้มาเป็นลูกของหลวงพ่อ มิฉะนั้น ชีวิตของลูกคงมีความทุกข์ไปตลอดชาติ ลูกจะจำคำสอนของหลวงพ่อจนตราบเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบัน

ll กลับสู่สารบัญ


53

ประสบการณ์ของข้าพเจ้า


ปราณี แสงเดือน


...หลังจากที่สามีของข้าพเจ้าตายไปในปี พ.ศ. 2523 ด้วยโรคหัวใจวาย ทำให้ข้าพเจ้าว้าเหว่และเศร้าใจตลอดมา เพราะเราทั้งสองมีจิตใจตรงกันคือ ชอบทำบุญ วัดไหนขาดแคลนสิ่งใด ข้าพเจ้าและสามีจะหาและนำไปถวาย และช่วยเหลือทางวัดที่ยากจนอยู่เสมอ แต่เมื่อสามีตายไปแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าห่างจากการทำบุญไป เพราะไปไหนก็ไม่สะดวกเพราะขับรถไม่เป็น

...ต่อมาทำให้ข้าพเจ้าได้คิดคือ คิดอยากจะเห็นสามีที่ตายไปแล้ว เพราะไม่เคยเห็นแม้จะจุดธูปขอเห็นก็มิได้เห็น จะฝันเห็นก็น้อยนัก เพราะความคิดที่อยากจะเห็น อยากจะพบสามีนี้แหละ จึงเป็นชนวนหนึ่ง ที่ทำให้ข้าพเจ้าดิ้นรนอยากจะไปฝึกกรรมฐาน นั่งสมาธิขอเห็น

จึงขวนขวายไปสำนักแรก คือที่วัดปากน้ำ แต่เมื่อไปดูคำประกาศระเบียบการปฏิบัติธรรมแล้วเลยรู้สึกท้อใจ เพราะมีกำหนดวันที่จะมาฝึก คือมิได้ฝึกทุกวัน มีกำหนดวันให้ไป ข้าพเจ้าเลยไม่ไป

ต่อมามีญาติห่างๆ มาชวนไปทำบุญที่วัดๆ หนึ่งมีชื่อเสียงอยู่ทางปทุมธานี วัดนี้ก็สอนฝึกด้วย โดยแนวคำสั่งสอนจากทางวัดปากน้ำ ข้าพเจ้าลองฝึกแล้วก็ไม่ได้ผล โดยพูดอย่างง่ายๆ ว่าไม่ทันใจ และคิดว่าคงจะสำเร็จยาก และคงอีกนานกว่าจะได้ผลสมใจ ข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนอีก ตั้งใจว่าจะมาฝึกกับหลวงพ่อที่ซอยสายลม

เพราขณะนั้นท่านหลวงพ่อมีชื่อเสียงมาก ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจว่าแห่งนี้แหละเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จะเป็นเพราะในอดีตชาติ ข้าพเจ้าคงเคยทำบุญร่วมกับองค์ท่านมา จึงทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจจัดดอกไม้ธูปเทียนมาสักการะท่าน และขอปวารณาเป็นลูกศิษย์ท่าน ท่านก็ยอมรับทำให้ข้าพเจ้าดีใจมาก

ในวันนั้นข้าพเจ้าก็ได้ฝึก แต่ผู้ที่มาฝึกในวันนั้นก็มีมาก เสียงเด็กก็ร้อง เสียงคนเดิน เสียงคุย จึงทำให้สมาธิของข้าพเจ้าตก ไม่รู้เรื่อง เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วทำให้ข้าพเจ้าคิดว่า ต้องไปฝึกที่วัดท่าซุงแน่ จึงจะได้ผล ต่อมาในวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เดินทางมาวัดท่าซุงคนเดียว โดยขึ้นรถทัวร์จากตลาดหมอชิตมาลงที่ จ.อุทัยธานี

แล้วก็สอบถามคนแถวนั้นว่า วัดท่าซุงอยู่ที่ไหน? ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้มาถึงวัดท่าซุงโดยถูกต้องตามคำเขาบอก เมื่อมาถึงวัดแล้ว ข้าพเจ้าดีใจอย่างที่สุด ได้ไปสอบถามระเบียบเจ้าหน้าที่พระที่วัดแล้ว ข้าพเจ้าก็เลยขอพักเพื่อฝึกไม่เกิน 7 วัน ท่านก็ติดต่อสถานที่พักให้ ข้าพเจ้าได้พักอยู่คนเดียวรู้สึกสบายใจ

แต่เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าไปในห้องพักที่ทางวัดกำหนดให้อยู่ในห้องนั้นแล้ว เมื่อวางกระเป๋าเดินทางลง สิ่งหนึ่งทีทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจ และสงสัยก็คือ มีกลิ่นหอมประหลาดๆ อยู่ใกล้ๆ ตัวข้าพเจ้า บอกไม่ถูกว่ากลิ่นใด จะว่าเป็นดอกไม้ก็ไม่ใช่ พูดไม่ถูก กลิ่นหอมนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กับข้าพเจ้าสักพัก ก็หายไป ข้าพเจ้าไม่กล้าไปถามใคร? เก็บความสงสัยนั้นอยู่ในใจคนเดียว

ต่อมาใกล้ค่ำ ข้าพเจ้าจึงแต่งตัวออกจากห้องพักเพื่อไปศาลานวราช ครั้งนั้นสถานที่นั้นเป็นที่ฝึก ข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นไปบนศาลาเพื่อคอยรอรับการฝึกมโนมยิทธิ และหลวงพ่อก็ยังมาจึงนั่งคอย ในระหว่างที่นั่งคอย ก็ได้รู้จักกับผู้ที่มาฝึกมโนมยิทธิใหม่ๆ ในวันนั้นได้ 2 – 3 คน จึงคุยกันเบาๆ ในหมู่ที่เรารู้จักกันพอได้ยิน

แต่แล้วต่อมาข้าพเจ้าก็สะดุ้งตกใจ เมื่อได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดมาตามสายว่า “ผู้ที่มาใหม่ ยังมีกิเลสอยู่” ข้าพเจ้านั่งมองหน้าเพื่อนหน้าใหม่ 2 – 3 คน ที่อยู่ในกลุ่มของข้าพเจ้าว่า เขาได้ยินอะไรหรือไม่? แต่ข้าพเจ้าก็เห็นเพื่อนหน้าใหม่ของข้าพเจ้าเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าเขาได้ยิน

ข้าพเจ้าจึงสะกิดถามทุกคนในกลุ่มเพื่อนใหม่ของข้าพเจ้าว่า “ได้ยินเสียงพูดอะไรไหม?” เขาเหล่านั้นสั่นหัว ต่างบอกว่าไม่ได้ยิน เขายังถามว่า “คุณได้ยินเสียงพูดว่าอย่างไร?” ข้าพเจ้าจึงตอบไปตามที่ได้ยินเสียงนั้น เขาเหล่านั้นต่างยืนยันว่าไม่ได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดเลย ข้าพเจ้านึกแปลกใจทำไม? ข้าพเจ้าจึงได้ยินคนเดียว

ทั้งๆ ที่เสียงมาตามสายไม่ใช่ค่อย เสียงก็ดัง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองโดนแน่! เพราะก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปวัดท่าซุง ข้าพเจ้าได้ซื้อยาฆ่ายุงที่มันเกาะอยู่เป็นฝูง ในตุ่มน้ำหลังบ้านของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ฉีดยากันยุง ตักใส่กระป๋องน้ำไปทิ้ง ยุงตายไปหลายสิบตัว เพราะเหตุฉะนี้เองกระมัง จึงทำให้ข้าพเจ้าได้ยินเพียงคนเดียว

ข้าพเจ้าคิดแล้วใจหาย ศีลห้าของข้าพเจ้าก็มีไม่ครบ คิดว่ากลับไปบ้านต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเองใหม่แน่นอน ข้าพเจ้าเลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่กล้าเล่าให้เพื่อนหน้าใหม่เขาฟัง เกรงว่าอาจโดนถูกตำหนิเขาว่าได้ นี่นับว่าเป็นเรื่องประหลาดที่ข้าพเจ้าได้มาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก

และต่อมายังมีอีกเรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าในระหว่างที่ยังพักอยู่ที่วัด วันต่อมาข้าพเจ้าได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่ปาน ที่มณฑปใกล้ร้านอาหาร ข้าพเจ้าได้จุดธูปอธิษฐานจิตต่อหลวงปู่ปานว่า ขอให้ข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิให้ได้ภายในเร็ววันนี้ด้วยเถิด หากฝึกได้เร็วจะนำเงินมาทำบุญถวายหลวงพ่อหนึ่งหมื่นบาท

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ไปบนไว้กับหลวงปู่ปานแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจว่าจะเกิดผลจริงเร็วหรือช้า ต่อมาได้ประมาณสัก 3 – 4 วัน ใกล้กำหนดที่จะหมดเวลาที่จะอยู่ห้องพักในวัดแล้วนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ชวนเพื่อนข้างห้องที่มาฝึกมโนมยิทธิเหมือนกันไปซื้ออาหารร้านค้าใส่ถาด มีทั้งคาวและหวานพร้อม เพื่อไปถวายพระหลวงปู่ปานที่มณฑปใกล้ร้านอาหาร

ข้าพเจ้าจึงจุดธูปบอกกล่าวหลวงปู่ปานว่า ถ้าหลวงปู่ปานรับอาหารในถาดที่หลานถวายหลวงปู่นี้ ขอจงให้ลูกนิมิตเห็นด้วยเถิด พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าก็ได้ยกถาดสำรับกับข้าว ทั้งคาวและหวานทูนไว้เหนือหัว กล่าวคำอธิษฐานแล้วข้าพเจ้าก็วางถาดลงต่อหน้าหลวงปู่ปาน พร้อมทั้งนั่งสมาธิ จิตสงบด้วย

และแล้วต่อมาสักครู่ ภาพนิมิตก็เกิดขึ้นทันทีในระหว่างนั่งสมาธิ ข้าพเจ้าเห็นมีพระนั่งหลายองค์ มีผ้าขาวปูลาดไว้ และข้าพเจ้ากำลังถวายอาหารซึ่งอยู่ในถาดนั้น มีพระองค์หนึ่งซึ่งข้าพเจ้าดูไม่ถนัด กำลังเอื้อมมือมารับถาดอาหารที่ข้าพเจ้ากำลังถวายประเคนให้อยู่นั้น ความดีใจที่ได้เห็นในภาพสมาธิ ข้าพเจ้ารีบลืมตา

ถามเพื่อนที่ชวนกันมาถวายว่าได้เห็นอะไรหรือไม่? เขาบอกว่า “ไม่เห็น” นี่แสดงว่าข้าพเจ้าได้แล้วมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าดีใจอย่างที่สุด ตั้งใจว่ากลับไปบ้านต้องปฏิบัติธรรมทุกวันแน่! มิฉะนั้น เดี๋ยวสูญหายไปหมด และจะต้องทำตามสัญญา นำเงินมาทำบุญให้ได้ หลังจากนั้น เมื่อข้าพเจ้ากลับไปแล้ว

ข้าพเจ้าก็ได้นำเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อตามสัจจะที่ว่าไว้ทันที นี่ก็เป็นเรื่องแปลกเหมือกัน และแล้วต่อมา ข้าพเจ้ากำลังปฏิบัติธรรมภาวนานั่งสมาธิอยู่ในห้องพระในวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดอยู่ใกล้ๆ กับข้าพเจ้าว่า “ขอบใจมาก” ข้าพเจ้าได้ยินเสียงรีบลืมตาขึ้นมาดู เข้าใจว่าต้องเป็นใครในบ้านสักคนเข้ามาพูดในห้องพระ

แต่เมื่อมองดูแล้วก็ไม่มีใคร? จึงทำให้ข้าพเจ้าทบทวนว่า เรื่องอะไรที่เขามาขอบใจ นั่งคิดทบทวนว่า เสียงนั้นมาจากไหน เรื่องอะไร? เป็นใคร? มาพูดให้ฟัง จึงรู้ได้ว่าต้องเป็นคุณพ่อของข้าพเจ้านั่นเอง เพราะเมื่อต้นเดือน ข้าพเจ้าได้มาทำสังฆทานที่ซอยสายลมกับหลวงพ่อ และได้อุทิศให้กับบิดาของข้าพเจ้าที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านคงจะได้รับจึงมาขอบใจ

และในวันต่อๆ มา ข้าพเจ้าก็ได้เห็นสามีของข้าพเจ้าได้มายืนที่หน้าห้องพระ โดยนุ่งกางเกงแพรสีเขียวใส่เสื้อคอกลมผ้าบางๆ สีขาว มายืนยิ้มให้กับข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า “แหมไปเที่ยวไกลนะ” ข้าพเจ้าดีใจที่ได้พบ และเห็นสามี แล้วจึงทำให้ข้าพเจ้ามุมานะปฏิบัติต่อไป โดยไม่เบื่อหน่าย

ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนและคำแนะนำของหลวงพ่อแล้ว ทำให้ไม่ผิดหวังและได้ผลเร็วดีขึ้น ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะนำคำอย่างไร มาบรรยายความดีของหลวงพ่อพระราชพรหมยานแห่งวัดท่าซุง ได้อย่างละเอียด คำสอนของท่านเมื่อฟังแล้วไม่เบื่อ เข้าใจง่าย รู้เรื่องง่าย และท่านสอนก็มักมีคำพูดขำๆ ทำให้ฟังแล้วสนุก ไม่เบื่อ ชอบฟังเวลาท่านสอน

แต่สงสารท่านที่ท่านไม่สบาย แม้จะป่วยอย่างไร? หลวงพ่อก็มีเวลาสอนให้ลูกหลานฟังธรรม ด้วยความเป็นห่วงเสมอ ฉะนั้น ทุกวันข้าพเจ้าจึงสวดบทพระพุทธคุณ เพื่อขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกองค์ ตลอดทั้งพรหม เทพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดช่วยปกป้องคุ้มครองหลวงพ่อ

อันเป็นที่พึ่งของลูกๆ หลานให้ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน ให้พ้นจากความทุกข์ทรมานด้วยเถิด และขอให้หลวงพ่อพระราชพรหมยาน จงมีอายุยืนนาน เป็นร่มโพธิ์แก้วให้ลูกๆ หลานๆ ไปนานๆ เถิด และเรื่องสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะกล่าวให้ฟังนี้ ก็เป็นเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ปีนี้เอง

คือลูกชายของข้าพเจ้า ได้รับไปอยู่ที่บ้านด้วย เนื่องจากเห็นว่าที่บ้านไม่มีใคร? แต่เมื่อข้าพเจ้าไปอยู่แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ลืมที่จะเอาวิทยุเครื่องเล็กที่อัดเทปสมาทานของหลวงพ่อไปด้วย ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าชอบเปิดฟังเวลาปฏิบัติธรรม แต่เมื่อเปิดฟังเทปสมาทานเสียงของหลวงพ่อครั้งใดๆ จะมีความรู้สึกว่า เหมือนมีใครมานั่งฟังธรรมอยู่ในบริเวณนั้นด้วย

แรกๆ ข้าพเจ้ามิได้สนใจ แต่ต่อมามีสิ่งผิดปกติขึ้นคือ วันนั้นบังเอิญลูกชายลูกสะใภ้ไม่อยู่ ปล่อยทิ้งให้ข้าพเจ้าและหลานชายอายุประมาณ 8 – 9 ขวบ ให้อยู่กับข้าพเจ้า เวลาเย็นแล้วข้าพเจ้าก็เปิดเทปหลวงพ่อฟังตามปกติ และนั่งปฏิบัติธรรมเหมือนเช่นเคย

ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกตกใจและแปลกใจ เพราะพอเสียงเทปจากหลวงพ่อจบลงปรากฏว่า ห้องพระที่ข้าพเจ้านั่งปฏิบัติธรรมเกิดไหวสั่นสะเทือน ข้าพเจ้าไม่กล้าลืมตาหรือหันไปมองข้างหลัง บ้านเป็นตึกไม่ใช่เรือนไม้ แต่เหตุไฉนจึงสั่นสะเทือนได้ ข้าพเจ้าข่มความกลัว รีบนั่งภาวนาชั่วครู่ก็รีบลืมตาขึ้นดูก็ไม่มีอะไร?

จึงรีบลงไปข้างล่างไปถามหลานชายว่าขึ้นไปข้างบนหรือเปล่า! หลานชายตอบว่า เปล่า! เล่นอยู่แต่ข้างล่าง ข้าพเจ้าเก็บความสงสัยไว้ในใจ ว่าถ้าเช่นนั้นเป็นใคร? ต่อมาไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็เจอดีจนได้ คือคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ดูหนังทีวีรอบดึกสองคนกับลูกชาย เมื่อหนังทีวีรอบดึกจบลงแล้ว ก็ต่างแยกย้ายกันไปนอน

ข้าพเจ้านอนอยู่ในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งลูกชายได้จัดให้ ซึ่งหลังห้องมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไม่ทราบชื่อว่าต้นอะไร? มีดอกสีเหลืองๆ มีกลิ่นหอมเย็นๆ เมื่อข้าพเจ้าปิดไฟในห้องสวดมนต์ก่อนนอนเป็นกิจวัตรประจำแล้ว ข้าพเจ้าก็ล้มตัวลงนอน ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงเหมือนเด็กพูดอยู่ใกล้ๆ กับที่ข้าพเจ้านอน เสียงเหมือนเด็กและเสียงเพราะ

แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจับใจความว่า พูดว่าอะไร? เพราะเสียงไม่ใช่ภาษาที่เราสามารถที่ทราบได้ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงฟังไม่รู้เรื่อง ความรู้สึกข้าพเจ้าขณะนั้นไมได้กลัว แต่ก็ตอบไปในใจว่าขออย่ารบกวนเลย เพราะง่วงนอนดึกมากแล้ว เสียงที่พูดมานั้นจึงเงียบหายไป และตั้งแต่บัดนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นอีกเลย

ฉะนั้น เรื่องต่างๆ ที่ข้าพเจ้าเล่ามาให้ฟังนี่ ก็ถือว่าครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าได้ประสบการณ์ผ่านมา จึงนำมาเล่าให้ฟังย่อๆ แต่เพียงเท่านี้ ขอโชคดีจงมีแด่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกๆ ท่าน

◄ll กลับสู่สารบัญ


54

ความทรงจำตอนได้มโนมยิทธิเต็มกำลัง


สมจิตต์ แก้วนันทวัฒน์


...เมื่อประมาณ 10 ปีเศษ ผมได้รู้จักเคารพรักหลวงพ่อ จากเพื่อนร่วมงานที่มาจากจังหวัดพิษณุโลก และยังได้รู้จักกับลูกศิษย์หลวงพ่อที่มาจากพิษณุโลกหลายคน นับว่าเป็นกัลยาณมิตรที่ดี ที่ชี้ทางให้ผมพบพระที่ประเสริฐคือหลวงพ่อ จนกระทั่งผมเกิดความศรัทธาแรงกล้า ขอลางานมาบวชที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ในปี พ.ศ.2526 เป็นเวลา 1 พรรษา

...ความจริงอยากบวชตลอดชีวิต แต่จำเป็นต้องสึกออกมา เพราะมีภาระพ่อแม่ที่ต้องดูแลอยู่ คำสอนหลวงพ่อที่ว่า “เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน” นั้น ยังเป็นที่ประทับใจผมอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะสึกไปแล้ว กายไม่ได้ห่มผ้าเหลือง แต่ก็จะขอยึดมั่น ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานในชาตินี้

...ผมถือการปฏิบัติตามคำสอนหลวงพ่อเสมอมา รักษาศีล 5 เป็นปกติ คิดว่าตัวเองต้องตายแน่ ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เชื่อว่านรก สวรรค์ มีจริง ชาติหน้ามีจริง พระนิพพานแดนแห่งความสุข ปราศจากทุกข์มีจริง

ผมขอเลียนแบบอารมณ์พระโสดาบันไว้ก่อน ผมไม่ยอมรับว่าได้พระโสดาบันแล้ว เพียงแต่ยอมรับว่าเลียนแบบพระโสดาบันเท่านั้น พยายามกระทำความดี ละความชั่วทุกวันติดต่อกัน ชั่วชีวิตนี้ไปจนกว่าจะตาย ยอมรับกฎของกรรม สิ่งใดที่เป็นทุกข์ ก็ขอใช้หนี้ให้หมดไป ไม่พยายามสร้างความชั่วใหม่ สร้างความดีไว้ เพื่อเป็นทุนต่อไป จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน

หลังจากผมสึกไปแล้ว 2 ปี ทางวัดท่าซุง ก็มี “การฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง” เฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ศาลา 2 ไร่ ผมก็ไปร่วมฝึกกับเขาด้วย ตอนนั่งรถ บขส. จากกรุงเทพฯ รถก็แออัด พอไปถึงอุทัยธานี ต้องนั่งรถสองแถว คนแน่นต้องขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ จนถึงวัดท่าซุง ได้เห็นความตั้งใจของแต่ละคนที่มาหาหลวงพ่อ มาด้วยความทุกข์ยาก

เพื่อมาพบหลวงพ่อ มาด้วยความยากลำบากกว่าจะถึงวัด พอผมมาถึงเขตวัดก็ไม่ให้เสียเวลา ทำจิตใจให้สงบ ไม่ใส่ใจกับผู้คนที่พากันมามากมาย ผมก็ภาวนา “พุทโธ” ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงบริเวณศาลา 2 ไร่ ที่หลวงพ่อเป็นประธานสอน “การฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง” ผู้คนเต็มศาลา นั่งเก้าอี้คนละตัว เรียงเป็นแถวเต็มศาลา

การฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังนี้ ผู้ฝึกต้องบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และค่าครูคนละ 1 บาท และนั่งเก้าอี้คนละตัว โดยมีกระดาษปิดหน้า เขียนด้วยภาษาขอมว่า นะโมพุทธายะ เวลาฝึกไปสักประเดี๋ยว บางคนจะเริ่มเต้น หรือสั่น หรือตีขาตัวเอง จะมีเสียงร้องดังๆ ก็มี บางคนดิ้นจนตกเก้าอี้ก็มี และจะมีครูคอยเดินเอาไฟฉายส่องหน้าเพื่อช่วยให้สว่าง

สำหรับผมที่เดินทางมาถึงศาลา 2 ไร่ ในวันแรกที่มาถึง พิธีได้เริ่มแล้ว ผมจึงไม่เข้าไปนั่งที่เก้าอี้ที่เขาจัดเตรียมไว้ หลังจากที่ผมบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และค่าครูแล้ว ผมจึงไปนั่งอยู่ตรงข้างพระประธานองค์ใหญ่ในศาลา 2 ไร่นั่นเอง นั่งพิงพระประธานเลย และปิดหน้าด้วยกระดาษที่เขียนภาษาขอม ผมภาวนา นะ มะ พะ ทะ สักครู่หนึ่ง

จิตก็รวมเป็นหนึ่งขึ้นมา ไม่สนใจกับเสียงอะไรที่มารบกวนจากภายนอกเลย ซึ่งเวลานั้น เสียงผู้คนที่ฝึกจะมีทั้งเสียงร้อง เสียงเต้นดังปับๆ ก็ตาม จิตไม่รำคาญในเสียง จนลมหายใจเบาลงๆ จนรู้สึกว่าร่างกายเบา โปร่งใส มีอารมณ์นิ่ง สงบ สว่าง ก็ปรากฏเห็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ปางสมาธิ ลอยอยู่ต่อหน้าผม ซึ่งมีแสงสว่างมาก

ผมกำหนดให้เห็นเป็นองค์เล็กและใหญ่ได้ เป็นเวลาเดียวกับ ขณะนั้นอทิสมานกายของผม ได้แยกออกจากกายผม ปรากฏเป็นอีกกายหนึ่ง ไปอยู่นอกกายเดิมของผม เป็นร่างที่สวยงามกว่าเดิมมาก มีความสว่างไปหมด เป็นประกายสีขาวปนสีทอง มีเครื่องประดับเต็มไปหมด มีชฎาสวมบนศีรษะ เหมือนกับชุดละครโบราณในเรื่องรามเกียรติ์

เมื่อมองไปรอบๆ บริเวณที่ฝึกกรรมฐาน ก็เห็นหลวงพ่อนั่งอยู่ในพิธีและลูกศิษย์มากมาย มีทั้งที่นั่งสงบนิ่ง และส่งเสียงร้องดังๆ กายทิพย์ของผมก็เดินเข้าไปกราบหลวงพ่อ แล้วได้ตามองค์พระประธานที่เห็นชัดเจนเบื้องหน้า ซึ่งขณะนั้นพระประธานได้กลายเป็นพระวิสุทธิเทพ มีเครื่องทรงเป็นประกายเพชร สวยงามมาก

กายทิพย์ของผมก็ตามไป (ตามพระพุทธองค์) เป็นทางสีขาว สว่างมาก ผมก็ตามพระพุทธองค์ไปจนถึงแดนนิพพาน ไปยังวิมานของพระพุทธองค์ก่อน มีประกายแสงสว่างคล้ายกับเพชร มีศาลา มีเจดีย์ต่างๆ อยู่รอบๆ มากมาย จากนั้น พระพุทธเจ้าได้พาผมไปเที่ยวพรหมแต่ละชั้นๆ สวยงามมาก และน่าอยู่

ตอนที่พบกับท่านท้าวสหัมบดีพรหมนั้น ผมก็ขอพรท่าน ท่านยกมือประทานพรและท่านก็บอกว่า ผมเคยเป็นพรหมมาหลายชาติ ชาติสุดท้ายก่อนเกิดเป็นมนุษย์ก็อยู่ที่พรหม ขอให้รักษาความดีที่กระทำไว้ในโลกมนุษย์ คบหาสัตตบุรุษ กัลยาณมิตร ค้นหาความจริงจากเสด็จพ่อ (พระพุทธองค์) ของเรา จะได้เข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้

ก่อนที่จะลากลับ ท่านท้าวสหัมบดีพรหมได้สอนว่า “โลกมนุษย์ทุกวันนี้มีความเจริญมาก มนุษย์เหล่านี้เขาไม่รู้หรอกว่า ถ้าเขาตายจากชาตินี้แล้ว เขาไม่สามารถจะกลับมามีชีวิตเช่นนี้ได้อีก” (ผมเข้าเอาว่า ใครก็ตาม ที่หลงกับความสุขในโลกนี้ ที่คอยหลอกล่อให้เราเพลิดเพลินอยู่ โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม ตายไป คงต้องไปเสวยทุกข์อีกยาวนาน เรียกได้ว่าเกิดมาชาตินี้ย่อมขาดทุน)

ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ได้พาไปเที่ยวสวรรค์แต่ละชั้นๆ และได้ไปกราบหลวงปู่ปานที่ชั้นดุสิตด้วย ตอนที่อยู่ที่สวรรค์นั้น ผมนึกถึงเพื่อนของผมสมัยที่เคยเรียนอยู่โรงเรียนพาณิชย์ฝั่งธนบุรี รุ่นเดียวกัน ชื่อประเสริฐ ได้ป่วยตายไปด้วยโรคไวรัสลงตับที่โรงพยาบาลศิริรราช จึงกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า เพื่อนผมคนนี้ตายไปแล้ว ไปอยู่ที่ไหน

พระพุทธองค์ก็พาผมไปหาพระยายม เป็นสำนักงานใหญ่มาก ท่านพระยายมก็บอกว่า เพื่อนที่ตายไปแล้วอยู่ที่สวรรค์ดาวดึงส์ ทันใดนั้นภาพเดิมของเพื่อนผมก็ปรากฏให้เห็นต่อหน้าผม แล้วก็เปลี่ยนเป็นเทวดา ผมก็ได้ทักทายกัน

ก่อนผมจะลาพระยายม ท่านสอนผมว่า “ให้กระทำความดี” แล้วท่านก็ชี้ให้ดูตัวอย่าง ก็ปรากฏภาพกองไฟใหญ่มาก พวกมนุษย์ทำบาปทั้งหลายที่ตายไปแล้ว พากันเดินเข้ากองไฟ ลักษณะเหมือนกับเดินเบียดกันเข้ากองไฟ

ท่านพระยายม ท่านบอกว่า “มนุษย์ตายไปแล้ว ตกนรกมากกว่าไปสวรรค์ เพราะความเจริญในโลกมนุษย์มีมาก มัวติดอยู่กับความเจริญและความสนุก จนขาดศีลธรรมกันเป็นส่วนใหญ่”

จากนั้น ผมก็ตามพระพุทธองค์ไปยังสวรรค์ดาวดึงส์ มาที่เทวสภาพบท่านปู่พระอินทร์ และท่านย่าทั้ง 2 นั่งรออยู่ ท่านดีใจมากมาสวมกอดผม บอกกับผมว่าเคยเป็นพ่อแม่ลูกกัน ท่านดีใจที่ผมปฏิบัติธรรมได้มาพบท่าน ขอให้รักษากำลังใจไว้ รักษาความดีไว้ เพื่อมุ่งพระนิพพานในชาตินี้

จากนั้น ผมก็ตามพระพุทธองค์เข้าสู่พระจุฬามณี เข้าไปกราบเท้าเสด็จพ่อ (พระพุทธองค์) ขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอปฏิบัติความดี รักษาศีล 5 ไม่ลืมความตาย และมีความเชื่อมั่นในคำสอนของเสด็จพ่อตลอดชีวิต เพื่อมุ่งสู่พระนิพพานในชาตินี้ ท่านยกมือมาลูบศีรษะผมเป็นการให้พร

พอถึงตอนนี้ ก็รู้สึกมีน้ำเย็นๆ เป็นน้ำมนต์มาถูกกายของผม พร้อมมีเสียงสัญญาณหมดเวลาดังขึ้น กายทิพย์ของผมก็กราบลาพระพุทธองค์ ลงมาเพื่อจะเข้าร่างเดิม แต่ก่อนที่ผมจะเข้าร่างเดิมของผมนั้น กายทิพย์ของผมยังอยู่เหนือบริเวณ 2 ไร่ ได้เห็นท้าวมหาราชทั้ง 4 องค์ พรหม เทวดาอยู่ล้อมรอบเป็นชั้นๆ เต็มไปทั่วบริเวณไปหมด

เมื่อมองไปทางหลวงพ่อ เห็นพระพุทธองค์อยู่ใกล้หลวงพ่อมากที่สุด และมีพระพรหม เทวดาห้อมล้อมอยู่เป็นชั้นๆ ซึ่งท่านทั้งหมดต่างก็มาคุม และมาช่วยผู้มาฝึกเต็มกำลัง ผมได้ยินเสียงคนร้องดังก็เดินเข้าไปดูใกล้ๆ พวกที่ร้องดิ้นอยู่ตามเก้าอี้ แล้วก็เดินกลับมาเข้าร่างเดิม แล้วจึงรู้สึกตัว แต่แปลกร่างกายไม่ปวดเมื่อยเลย รู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง

จากนั้น ก็มีเสียงหลวงพ่อ ประกาศทางไมโครโฟนว่า “ผู้มาฝึกวันนี้ไปได้เกือบหมด ไปถึงนิพพานกันเยอะ” ผมก็คิดในใจว่า ผมก็เป็นผู้ที่โชคดีคนหนึ่งด้วย รวมเวลาจากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลาเกือบ 7 ปีแล้ว ผมยังรักษาอารมณ์ใจจากการที่ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังในคราวนั้นไว้เสมอ

เมื่อวันบวงสรวง วันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2534 นี้ หลวงพ่อป่วยหนัก ต้องมีคนประคองท่านออกมารับแขก การนั่งสมาธิภาคค่ำหลวงพ่อเข้าสมาบัติ เพื่อระงับเวทนา ผมไปร่วมนั่งสมาธิในคืนนั้น พอนั่งประเดี๋ยวเดียว เห็นหลวงพ่อสว่าง ปรากฏอยู่ข้างหน้าแล้วก็ตามหลวงพ่อไปพระจุฬามณี

มีพระอริยะ พรหม เทวดา เป็นชั้นๆ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ผมเข้าไปกราบพระพุทธองค์ ขอบารมีพระพุทธองค์เพื่อไปยังพระนิพพาน ทันทีก็ถึงพระนิพพานเห็นพระพุทธองค์ประดับเครื่องทรงสวยงามมาก แล้วก็กราบ 3 ครั้ง ตอนนั้นนึกถึงหลวงพ่อก็ขอพรพระพุทธองค์ แล้วก็ไปปรากฏที่วิมานหลวงพ่อ

มีศาลาต่างๆ คล้ายวัดท่าซุงเลย แต่เห็นศาลาหลังหนึ่งใหญ่มากคล้ายที่ประชุม มีหลวงพ่อและท่านแม่ มีบริวารอยู่กันเต็ม พอใกล้เวลาที่สัญญาณจะหมดเวลา จิตจะเตือนเองว่าใกล้หมดเวลา พอลงมาถึงข้างล่างเข้าร่างเดิมก็ได้ยินเสียงสัญญาณหมดเวลาพอดี แต่ก่อนที่จะหมดเวลา ก็ไปกราบลาพระพุทธองค์ พระอริยะ พรหม เทวดาล้อมรอบเต็มไปหมดเป็นชั้นๆ ลดหลั่นลงมาจนถึงบ้านซอยสายลม

ก็เห็นหลวงพ่อมีกายทิพย์สว่างสวยงามมาก เบื้องบนเหนือหลวงพ่อขึ้นไป มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่เหนือขึ้นไป ตามด้วยพระอริยะ พรหม เทวดาเป็นชั้นๆ กายทิพย์ของผมก็เข้าไปกราบหลวงพ่อแล้วก็หมดเวลาพอดี ตามที่ได้ยินสัญญาณหมดเวลาดังกล่าวแล้ว กายทิพย์ของผมก็กลับเข้าร่างเดิม

ในคืนวันนั้น การนั่งสมาธิที่บ้านซอยสายลมรู้สึกดี เพราะว่าหลวงพ่อป่วยหนัก ท่านปรารภร่างกายไม่ไหวแล้ว คล้ายๆ กับว่าอยากจะละสังขารเลยทีเดียว หลวงพ่อบอกว่าเป็นอย่างนี้ทุกปี เพราะว่าครบกำหนดการต่ออายุ ผมก็มาซอยสายลมทุกเดือน

เห็นว่ามาคราวนี้ ก่อนขึ้นกรรมฐานหลวงพ่อก็เล่าถึง ตอนที่หลวงพ่อป่วยหนักอยู่โรงพยาบาลทหารเรือ ปี พ.ศ.2500 ท่านเลยสอนวิธีตัดร่างกาย จึงทำให้เห็นนิมิตชัดเจนมากกว่าปกติ เพราะสามารถมองเห็นข้อเปรียบเทียบชัดเจน ทำให้เกิดความสลดใจและตั้งใจรับการฝึกจากหลวงพ่อ ทำให้กำลังใจและจิตใจขณะนั้นออกไปได้ดีกว่าปกติ

การเล่าถึงประสบการณ์ “การฝึกเต็มกำลัง และออกเต็มกำลังได้ของผมที่ผ่านมานั้น” ผมต้องขอกราบขอขมาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยะทั้งหลาย ตลอดจนหลวงพ่อ ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย ที่บางครั้งอาจจะล่วงเกินโดยมิได้มีเจตนา ผมมิได้อวดอ้างว่ามีคุณวิเศษใดๆ เกินความเป็นจริง การที่จิตแยกออกจากกาย

ในการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังในครั้งนั้น หลวงพ่อเน้นเสมอว่า ถึงจะได้ฌานชนิดเต็มกำลังนี้ ก็อย่าคิดว่าตัวเองจะมีคุณวิเศษเหนือคนอื่นทั่วไป เพราะเป็นฌานโลกีย์ มีเสื่อมได้ ออกจากสมาธิแล้วก็เหมือนคนธรรมดา ซึ่งยังมีกิเลสคอยรุมล้อมอยู่ตลอดเวลาที่ว่างจากสมาธิ ซึ่งถ้าหากไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรมแล้ว ก็ยิ่งเสื่อมเร็วขึ้น บางทีอาจลงนรกก็ได้

แม้ว่าสิ่งที่ผมทำได้จะเป็นฌานโลกีย์ ผมก็พยายามปฏิบัติของผมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจากโลกนี้ไป หลวงพ่อเน้นให้เลียนแบบพระโสดาบันไว้ดีกว่า อารมณ์พระโสดาบันนั้นตัดสังโยชน์ 3 ได้แน่

1. คิดว่าชีวิตนี้ต้องตาย
2. รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์
3. เชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ เชื่อว่าท่านดีจริง หมดความสงสัย สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าดีแล้ว เป็นสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดมาลบล้างได้

ผมขอน้อมรับมาปฏิบัติจนกว่าชีวิตจะหาไม่ สิ่งใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เว้นจากความชั่วบาป ผมก็ขอเว้นเด็ดขาดตลอดชีวิต ถึงจะไม่ได้พระโสดาบัน ก็ยังถือว่ามีอารมณ์เข้าใกล้พระโสดาบัน ผมขอเลียนแบบอารมณ์เช่นนี้ไปตลอดชีวิต

ผมมีความเคารพรักหลวงพ่อเป็นชีวิตจิตใจ ไปทำบุญกับท่านเสมอ ทั้งที่วัดท่าซุง และบ้านซอยสายลมมิได้ขาด ท่านมีความเมตตาต่อลูกๆ ทั้งหลาย รวมทั้งตัวผมด้วย ให้พยายามเดินตามทางที่หลวงพ่อชี้ให้เดิน ซึ่งเป็นทางแห่งความดี มิใช่ทางแห่งความชั่ว หลวงพ่อท่านยอมทรมานกายเพื่อพวกเราทุกคนจะได้พ้นจากความทุกข์ เพื่อพบความสุขอันแท้จริง คือพระนิพพาน

สุดท้ายนี้ ผมขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงช่วยหลวงพ่ออันเป็นที่เคารพรักของบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย และผมด้วย ขอให้มีอนามัยแข็งแรง สามารถอยู่สอนและเผยแพร่ธรรมแก่ลูกหลานอีกนานๆ ด้วยเทอญ

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/5/11 at 15:16

55

พระคุณของหลวงพ่อ


สุชาดา ศรีประศาสตร์


...ข้าพเจ้าได้ยิน (อ่าน) ชื่อหลวงพ่อครั้งแรก เมื่อหนังสือพิมพ์ “สกุลไทย” ลงข่าวและบรรยายเรื่อง การบวงสรวงที่ดอยตุง ประมาณ พ.ศ. 2518 ถ้าจำไม่ผิด เมื่อข้าพเจ้าอ่านอยู่ก็ร้องไห้ อ่านจนจบก็ร้องจนจบ อ่านอีกก็ร้องอีก มีความรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์นั้น หลังจากนั้น ก็ให้พี่สาวไปซอยสายลมซื้อหนังสือ ซื้อเทปทุกอย่างที่มีอยู่ในขณะนั้น

ส่งไปให้ข้าพเจ้าที่อเมริกา เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังเทป และเห็นชื่อพรนุชก็ดีใจว่า เป็น “พรนุช” คนเดียวกับที่เคยเป็นเพื่อนครูโรงเรียนเดียวกัน เลยเขียนจดหมายไปถาม และได้ถามปัญหาหลายอย่าง ข้าพเจ้าปฏิบัติมานานแบบไม่มีครู ก่อนนอนท่อง “พุทโธ” จนหลับ เพราะเป็นเด็กแก่นแก้ว คุณแม่ชอบเอาขังห้องมืด

คุณยายข้าพเจ้าตาเสีย จะขึ้นบันไดไปช่วยก็ไม่ได้ ก็สอนว่าถ้ากลัวอะไรก็ตามให้ท่อง “พุทโธ” ไว้ก่อน ข้าพเจ้าก็เลยติด “พุทโธ” หายใจเข้า – ออก โดยไม่รู้ว่านี้คือการฝึกกรรมฐาน จนได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อจึงได้เข้าใจ ข้าพเจ้ากลับเมืองไทยปี 2523 อยู่กรุงเทพฯ ถึง 9 เดือน เที่ยว กิน เล่นอยู่กับลูก

ข้าพเจ้าทำธุระไม่เสร็จ ส่งคุณแม่และลูกกลับอเมริกาก่อน พอลูกไป 2 วันจะตามลูกไป เกิดมีปัญหาเอกสารผิดพลาด ทางกงสุลให้ไปหาเอกสารประเภทหนึ่ง เราหาไม่ได้ ลูก-สามี-แม่ อยู่อเมริกาหมด ข้าพเจ้าคลั่งเลย ได้ยินลูกเรียกตอนตีหนึ่งตีสอง สามีโทรจากอเมริกา ทำไมไม่หาหลวงพ่อ ถึงได้นึกได้ที่เขาว่า “ไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่หาทางดับทุกข์” เหมือนข้าพเจ้าไม่มีผิด

ไปหาพี่พรนุช พอดีหลวงพ่อเข้าสายลมวันรุ่งขึ้น พระเดชพระคุณของหลวงพ่อล้นเกล้าจริงๆ กราบท่านจำได้ว่าวันนั้น หลวงพ่อท่านหันมาถาม หันมาคุยด้วยตลอดเวลา จนจะกลับก็เข้าไปกราบลาท่าน ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งไป
ท่านถามว่า “ไปอยู่ที่ไหนมา เพื่อนเขาไปนิพพานกันจนกระดูกผุแล้ว”

พอได้ยินคำนี้เท่านั้น ร้องไห้เลยล่ะค่ะ (และก็ร้องไห้มาตลอดเวลาได้กราบหลวงพ่อ กลั้นไม่อยู่จริงๆ นะคะ) หลวงพ่อรู้ว่า ท่านแม่ให้อยู่อีก 6 เดือน เมื่อหลวงพ่อพูดนั้น เดือนเมษายน (ความที่เคยเป็นลูกดื้อก็ไม่เชื่อหลวงพ่อ ไปให้คนเขาทำวีซ่า เสียเงินเสียทอง แต่พระก็ยังปรานี ตอนหลังได้คืนหมด) ท่านก็ให้อยู่วัด 6 เดือน

จำได้ว่าท่านสั่งให้พี่พรนุชเป็นคนฝึกให้ ไปวัดก่อนพี่พรนุช 1 คืน มีคุณยายชีมาฝึกให้ ท่านบอกว่าเห็นคุณอยู่ข้างบน แล้วทำไมคุณไม่ยอมขึ้น เห็นเป็นทางจริงๆ นะคะ แต่ขึ้นไม่ได้ตัวหนักเหมือนหินเลย ถึงได้เข้าใจคำที่หลวงพ่อพูดว่า “คนจะฝึกกันได้ ต้องเคยกินข้าวหม้อเดียวกันมา”

หลวงพ่ออนุญาตให้ข้าพเจ้าตามไปเมืองจันท์ด้วย ไปถึงข้าพเจ้าก็ไม่สบาย ก็ฝึกกันทั้งๆ ที่ไม่สบาย หลวงพ่อท่านเมตตาลูกๆ มาก ข้าพเจ้าเห็นท่านไม่สบายทุกครั้ง แต่หลวงพ่อลงไปโปรดลูกๆ หัวเราะ บางครั้งต้องแอบร้องไห้ พ่อช่วยลูกจนถึงอย่างนี้ แต่ลูกก็ยังไม่เอาไหน หลวงพ่อผู้รักลูกเสมอกันทุกคน เมื่อตอนข้าพเจ้าอยู่วัด ตอนกลางคืนนอนร้องไห้

ตอนเช้ายังไม่ทันเข้าใกล้ท่านเลย หลวงพ่อพูดแล้ว “อ้วนเอ๋ย ลูกเป็นห่วงผูกคอนะลูก” ขณะนี้เวลาข้าพเจ้ากลุ้มใจเรื่องลูก คำนี้จะทำให้ข้าพเจ้าคลายความทุรนทุราย คุณๆ เชื่อไหม หลวงพ่อให้หลวงพี่วิรัชส่งหนังสือบันทึกฯ เล่ม 2 มาให้ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะคลั่ง เรื่องความดื้อ ความร้ายของลูก

พอข้าพเจ้ารับหนังสือ เปิดอ่านหน้าแรกเป็นคำสอนของหลวงพ่อให้กับแม่ที่มีลูกดื้อเหมือนกัน ท่านไม่ให้เราเอาจิตผูกพันว่านี้คือแม่ นี่คือลูก ทุกคนเกิดร่วมกันเพราะกรรม เท่านี้แหละค่ะ ข้าพเจ้าหัวเราะได้ เดี๋ยวนี้สบายขึ้นเยอะ ลูกจะเถียงจะทำอะไร ก็ไม่โกรธง่ายเหมือนแต่ก่อน

หลวงพ่อท่านรู้วาระจิตคน ใครจะเข้าไปกราบหลวงพ่อ ขอให้ทำจิตให้สะอาดเสียก่อนนะคะ สำหรับตัวข้าพเจ้าเองเห็นจริง 2 ครั้งแล้วค่ะ ครั้งแรกปีที่หลวงพ่อไปพักวัดไทย ข้าพเจ้าเข้าไปกราบท่าน เจอคนที่ไม่ชอบใจ ใจมันร้อนวูบขึ้นมาทันที ขอโทษนะคะ ด่าในใจเลยแหละค่ะ หลวงพ่อท่านยื่นมีดและผ้าเช็ดหน้าให้ ท่านบอกให้ตัดซะ

ก็ตัดนะคะ แต่ตัดแบบไม่รู้ความหมาย กลับออกมาเล่าให้สามีฟัง แหม! พอเห็นใจร้อนเลย หลวงพ่อให้ตัด แฟนเขาเลยบอกว่า หลวงพ่อท่านสอนยังไม่รู้อีก ครั้งที่สอง หลวงพ่อไปเมื่อ 2532 รอรับหลวงพ่อที่สนามบิน ระหว่างรอกระเป๋าอยู่ใจก็คิดว่าหลวงพ่อมาคราวนี้ จะใช้เครดิตการ์ดอันไหนซื้อของถวายหลวงพ่อ ได้เรื่องเลยค่ะ ตอนนั้นนั่งอยู่กับน้องวา

หลวงพ่อท่านพูดว่า “พ่อมาคราวนี้ แดงกับวาไม่ต้องซื้อของอะไรให้พ่อนะ”
ก็ลืมถามวาว่า วากำลังคิดในใจเหมือนข้าพเจ้าหรือเปล่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ คือความปรานีของพ่อ ที่เมตตาเป็นห่วงลูกว่าจะลำบาก ท่านอนุญาตไว้เผื่อว่า ลูกจะได้ไม่ลำบากใจ

แต่เชื่อว่าลูกทุกๆ คนของหลวงพ่อคงยอมลำบากทั้งกายและใจ เพื่อสนองพระคุณของท่านให้เต็มที่ ซึ่งพระคุณของหลวงพ่อถ้าจะกล่าว ข้าพเจ้าว่าให้ข้าพเจ้าเขียนหมดเล่มลูกศิษย์บันทึกก็ไม่พอ เอาแค่ที่เห็นชัดๆ ก็คือ การตายของคุณแม่ข้าพเจ้า ซึ่งในขณะมีชีวิตอยู่ ท่านชอบสวดมนต์

แต่ท่านเคยพูดกับลูกสาวของข้าพเจ้าเป็นเชิงน้อยใจว่า แม่ก็อยู่นี่ยังมีท่านพ่อ ท่านแม่ที่ไหนอีก แต่พอถึงเวลาตายเข้าจริง หลวงพ่อท่านว่า แม่บอกท่านว่า ที่พึ่งสุดท้ายนึกขึ้นได้ว่า หลวงพ่อเคยไปสอนกรรมฐานที่บ้านข้าพเจ้า เท่านั้นแม่ก็ได้ตามบุญของหลวงพ่อไปอยู่ดาวดึงส์ ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าได้ทราบดังนี้ ทำให้ข้าพเจ้าคลายความเศร้าโศกลงมา

เพราะแม่ไม่สบายมาประมาณ 7 เดือน ทุกครั้งที่เข้าโรงพยาบาล แม่จะไม่มีสติสัมปชัญญะ เพ้อและไม่รู้เรื่องเลย แต่ด้วยบารมีของหลวงพ่อแท้ๆ ทำให้แม่ได้สติและสามารถไปสู่สุคติได้

ด้วยกาย วาจา ใจทั้งหมด ลูกขอมอบกายถวายชีวิตแด่พ่อผู้รักลูก ห่วงลูก และสามารถทำทุกอย่าง เพื่อให้ลูกทุกคนพ้นอบายภูมิ ดังที่อาจารย์ปริญญาท่านบันทึกสัตยาธิษฐานของหลวงพ่อไว้ใน “ลูกศิษย์บันทึกเล่ม 2” เพราะฉะนั้นขอให้ลูกศิษย์ทุกคนสบายใจได้ ถ้าประพฤติดี เว้นชั่ว มั่นคงในหลวงพ่อว่า

ท่านเป็นผู้คุ้มครองเราได้ ท่านจะประสบผลสำเร็จดังที่ปรารถนาทุกประการ ดูคุณแม่ของข้าพเจ้าเป็นตัวอย่าง ทำบุญกับหลวงพ่อ แต่ใจก็น้อยใจในลูก ก็ยังได้ถึงที่ซึ่งต้องการ เพราคุณแม่ไม่ปรารถนานิพพาน ท่านว่าข้าพเจ้าตลอดเวลา “ทำสลึงจะเอาบาท” ข้าพเจ้าก็พยายามอธิบายให้ท่านฟังเหมือนหลวงพ่อสอน แต่จิตท่านจับแค่สวรรค์ ท่านยังห่วงลูกห่วงหลาน

ลูกขออาราธนา องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมเป็นที่สุด ขอได้โปรดอำนวยพรให้หลวงพ่ออยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วร่มไทรทองของลูกๆ ไปนานแสนนาน (โดยเฉพาะแดง ขอไปก่อนหลวงพ่อค่ะ)

ll กลับสู่สารบัญ


56

ลาพุทธภูมิ แล้วไปกับพ่อ


คณิชา สิทธิดำรง


...ข้าพเจ้าเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของพ่อแม่ มีน้องชาย 2 คน ข้าพเจ้ามีนิสัยชอบในทางบู๊ โลดโผนเหมือนผู้ชาย ชอบเรื่องหมัดมวย ยิงปืน และเป็นนักกีฬา ตรงกันข้ามกับน้องชาย 2 คน ที่มีนิสัยเรียบร้อย เชื่อฟัง ไม่ดื้อ ไม่ชอบโลดโผน และมีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ามีความพิสดารกว่าเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายในวัยเดียวกันคือ

...ตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบเรียนมัธยมต้นนั้น คือ ข้าพเจ้าชอบแอบเอาหนังสือธรรมของพ่อที่มีคาถาอาคมต่างๆ มาอ่าน มาท่องจนจำได้แม่นยำ เป็นต้นว่า คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า คาถาเสกแป้งผัดหน้า คาถาถอนโบสถ์ ถอนเสมา ฯลฯ และยังนำมาใช้ได้อยู่จนทุกวันนี้

...และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของข้าพเจ้า และเป็นสื่อชักนำให้ข้าพเจ้าหันมาสนใจศึกษาธรรมอย่างจริงจัง และปฏิบัติธรรมในเวลาต่อมาจนให้มาเลื่อมใสหลวงพ่อ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ สิ่งนั้นคือ ความฝันที่เป็นจริง ข้าพเจ้าฝันประหลาดๆ บ่อยๆ ฝันเป็นเรื่องยาวๆ ฝันต่อเนื่องกันหลายครั้ง ในเรื่องเดียวกันก็มี

แต่ส่วนใหญ่ของความฝันจะเป็นทำนองว่า ผู้ที่ตายไปแล้วมาขอส่วนบุญเสมอ เวลาไปจังหวัดต่างๆ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรกันแน่ ทำไมจึงเกิดกับข้าพเจ้าบ่อยนัก รบกวนจิตใจ ไม่รู้จะถามใครดี จนข้าพเจ้าเติบโตมาเรื่อยๆ จากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ ราวปี 2517 – 2518

ไปรับราชการต่างจังหวัด มีโอกาสได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และเล่มอื่นๆ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ชอบมาก ถูกกับนิสัยของข้าพเจ้า แต่ยังไม่มีโอกาสมากราบหลวงพ่อ เพราะยังรับราชการอยู่ต่างจังหวัด จนราวปี พ.ศ.2523 ย้ายเข้ามารับราชการที่กรุงเทพฯ

จึงมีโอกาสได้มากราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม จนเลื่อมใส และเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อตลอดมาจนถึงบัดนี้ ส่วนเรื่องการฝันเป็นจริงก็ยังมีอยู่ตลอดมา แต่ก้าวหน้าไปจนถึงขั้นที่ มีอยู่บ่อยครั้งที่ผู้ล่วงลับไปแล้ว มาขอส่วนบุญในลักษณะต่างๆ กันไป หรือไม่ก็เป็นประเภทมีการดลใจให้ได้รับรู้เรื่องราว หรือเหตุการณ์แปลกๆ เสมอๆ จากที่ห่างไกลออกไป

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เหมือนถูกดลใจให้ได้ไปรับรู้เรื่องราวที่ต่อเนื่องกันหลายครั้ง จนทำให้เกิดความสงสัยว่าเป็นอะไรกันแน่ และนำมากราบเรียนถามหลวงพ่อในเวลาต่อมา พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้เมตตาเล่าให้ฟังจนหายสงสัย เรื่องมีอยู่ว่า

เมื่อปลายปี พ.ศ.2529 ข้าพเจ้าไปเที่ยวทัศนศึกษาที่จังหวัดน่าน จนถึงวันสุดท้ายก่อนกลับ เพื่อได้พาไปเที่ยวที่ “ดอยภูคา” เป็นดอยสูงอยู่ในอำเภอปัว ในอดีตเป็นอาณาจักรเก่าแก่ ร่วมสมัยกับอาณาจักรเชียงแสน และก่อนอาณาจักรสุโขทัย แต่ปัจจุบันเหลือเพียงดอยสูงชื่อภูคา ที่ยังคงซ่อนความลึกลับอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูคา

มีถนนราชประสงค์สายเดียวตัดผ่าน พวกเราขึ้นไปเที่ยวชมทิวทัศน์ตรงระหว่างกิโลเมตรที่ 18 – 21 นั้นสวยงามมาก มีแต่ทะเลภูเขา ถนนคดเคี้ยว ขึ้นลงวกไปวกมา ผ่านหุบเหวต่างๆ อย่างน่ากลัว คืนนั้น เมื่อกลับมาที่พัก ข้าพเจ้าฝันแล้วตื่นขึ้นตอนตีห้า ข้าพเจ้าฝันว่า...

ข้าพเจ้าอยู่ที่ดอยภูคา กำลังยืนอยู่เหนือหุบเขาคล้ายๆ เป็นเมือง แล้วมีประชาชนห้อมล้อมอยู่ข้างรอบตัวข้าพเจ้า และเบื้องล่างลงไป หนาแน่นไปหมดเหมือนมาต้อนรับ หุบเขานั้นเป็นสถานที่ที่ไปเที่ยวมาเมื่อวาน แต่สภาพของข้าพเจ้าเปลี่ยนไป ไม่ใช่คนในปัจจุบัน แต่เป็นเหมือนหัวหน้ากลุ่มคนเหล่านั้น หรือเป็นนายทัพ นายกองอะไรสักอย่าง

ที่มีประชาชนกำลังชื่นชมโห่ร้องต้อนรับ มีบริวารยืนขนาบข้างเป็นกลุ่ม แต่ที่เห็นชัดๆ คือต่ำลงไปที่เชิงเนินนั้น มีคนผู้ชายจำนวนมากกำลังชูหอก ดาบ แหลน หลาว ศาสตราอาวุธ โห่ร้องอยู่เซ็งแซ่ และเหนือหุบเขานั้นมีฟองแก้ว คล้ายฟองสบู่มากมายลอยเลื่อน เรื่อยรี่อยู่เป็นจำนวนมาก ภายในบางฟองก็เห็นเป็นรูปเจดีย์บ้าง รูปวิหารบ้าง

รูปดาวพระเสาร์บ้าง อยู่ภายในฟองแก้วอีกทีหนึ่ง มีอยู่ฟองหนึ่งลอยรี่ตรงมาหาข้าพเจ้า ภายในฟองแก้วใบนั้น มีทารกที่รอการลืมตามาดูโลกอยู่คนหนึ่งลอยอยู่ ข้าพเจ้ายื่นมือทั้งสองข้างออกไปรอรับ ฟองแล้วลอยรี่มา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องนั้นมาหยุดนิ่งบนฝ่ามือของข้าพเจ้าที่ยื่นออกไป

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นชัดเจนมีใจความว่า “มีบุญนั้น ที่ได้คุ้มครองผู้มีบุญ” หมายถึงข้าพเจ้าเป็นผู้มีบุญ ที่ได้มีโอกาสคุ้มครองผู้มีบุญเป็นทารกที่อยู่ในอุ้งมือนั้น ข้าพเจ้าตื่นเต้นประหลาดใจมาก ไม่เชื่อว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้ายังรู้สึกเหมือนปกติที่เป็นคนในปัจจุบัน

ก่อนจะนอนหลับแล้วฝัน ยังมีสามัญสำนึกต่างๆ เป็นปกติอยู่ แต่เหตุการณ์ตรงหน้าขณะนั้น (ในฝัน) เป็นเหมือนเรื่องโบราณทั้งหมด ยังถามตัวเองในฝันขณะนั้นว่า เป็นไปได้หรือนี่ เราเป็นไปได้ถึงเพียงนี้หรือนี่ ไม่น่าเชื่อเลย เมื่อมองออกไปข้างหน้า ตรงเหนือหุบเขาขณะนั้นอีกครั้ง ก็พบว่าท่ามกลางฟองแก้วอันมากมายนั้นมีอีก 2 ดวง

ที่กำลังหมุนวนมีลายเหมือนก้นหอยสีเขียวเหลือง กับน้ำเงินเหลือง เห็นเป็นแสงสว่างเกิดขึ้นแว้บๆๆ ตลอดเวลา มีรัศมีสีขาวนวลอยู่รอบๆ 2 ฟองนั้นด้วย ยังติดตาข้าพเจ้าอยู่จนทุกวันนี้เลย แล้วข้าพเจ้าก็ตื่นขึ้นมา นาฬิกาตี 5 พอดี ข้าพเจ้าฝันเกี่ยวกับดอยภูคาอีกหลายครั้งภายในเดือนเดียวกัน ทำให้ได้ทราบเหตุการณ์ต่อเนื่องกันไป

ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าสงสัยยิ่งขึ้น จึงได้นำความสงสัยเหล่านี้ กราบเรียนถามหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 30 หลวงพ่อเมตตาตอบให้ทราบดังต่อไปนี้คือ
คำตอบตอนที่ 1 เมื่อ ดร.ปริญญาอ่านคำถามของข้าพเจ้าให้หลวงพ่อได้ทราบแล้ว
หลวงพ่อถามทันทีว่า “นี่ปัญหาของใคร”

ข้าพเจ้ายกมือไหว้ หลวงพ่อมองหน้าอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วพูดว่า “พระท่านบอกว่า เจ้าปรารถนาพุทธภูมินี่ ปรารถนาพุทธภูมิตั้งแต่สมัยของพระพุทธเจ้าปทุมมุตระ เจ้ามีอารมณ์ใจแข็งมาก ทุกคนที่ปรารถนาพุทธภูมิต้องมีอารมณ์ใจที่เข้มแข็ง เพราะต้องสงเคราะห์คนอื่นเขา”

พูดแล้ว หลวงพ่อจึงหันไปพูดกับ ดร.ปริญญาอีกว่า “เขามีกำลังเต็มแล้วนะ กำลังใจแข็งมากด้วย”
หลวงพ่อหันกลับมาพูดกับข้าพเจ้า พร้อมกับมองหน้าอีกว่า “มันอารมณ์ใจของผู้ชายนี่ จึงกล้าแข็งอย่างนี้ ตัวเป็นผู้หญิงแต่อารมณ์ใจเป็นผู้ชาย อ้ายหนูเอ็งเหมือนผู้ชายว่ะ ฉันเห็นเดินเข้ามา ยังคิดว่าเป็นกะเทยเสียอีก เจ้าเกิดเป็นชายมาหลายชาตินักนี่”

ข้าพเจ้าถามแทรกขึ้นทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้นลูกมีกรรมอันใดเจ้าค่ะ ชาตินี้จึงเกิดเป็นผู้หญิง”
หลวงพ่อหัวเราะเสียงดังพลางบอกว่า “ไม่มีกรรมอะไรหรอก อยากเกิดเป็นผู้หญิงเท่านั้นเอง อยากรู้ว่าเขาเป็นผู้หญิงกันยังไง เหมือนพระโมคคัลลาน์ไงหละ ที่อยากเกิดเป็นผู้หญิงตั้งหลายชาติ”

ทุกคนหัวเราะกันครืน ดร.ปริญญาถามซ้ำเกี่ยวกับเรื่องในฝันอีกครั้ง
หลวงพ่อตอบว่า “ก็เหมือนกับตอนที่พระพุทธเจ้า แสดงยมกปฏิหาริย์นั่นเอง” เหมือนกับว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตอธิษฐานเมื่อตอนปรารถนาพุทธภูมิในครั้งนั้นของข้าพเจ้านั่นเอง แต่ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าใดนัก

เพราะหลวงพ่อไม่ได้อธิบายให้ละเอียดว่า เหมือนอย่างไร เนื่องจากท่านได้พูดมายาวมากแล้ว จึงไม่กล้าซักไซ้ต่อ
หลวงพ่อหันมาถามข้าพเจ้าซ้ำอีกว่า “ยังอยากเป็นพระพุทธเจ้าต่อมั้ย”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ลาแล้วเจ้าค่ะ อยากไปนิพพานในชาตินี้แล้ว”

หลวงพ่อย้ำอีกว่า “ถ้างั้น ขึ้นไปลาพระพุทธองค์เสีย เป็นพุทธสาวกนี่ไปได้ง่ายกว่า สายเดียวกันกับพ่อ ไปทางเดียวกันได้ คนปรารถนาพุทธภูมินี่ คิดแต่จะช่วยเหลือคนอื่นท่าเดียวนะ ทุกข์ยากของตนมองไม่เห็น ได้ช่วยคนอื่นแล้วมีความสุขใช่มั้ย”
“เจ้าค่ะ”

ที่หลวงพ่อพูดเช่นนั้น เป็นเพราะข้าพเจ้าหารือท่านเกี่ยวกับเรื่องที่ข้าพเจ้า อยากจะไปช่วยเหลือชาวเขาที่ดอยภูคาในเวลาต่อไป
ข้าพเจ้าฝันเกี่ยวกับดอยภูคาอีก ฝันคืนวันที่ 22 ธ.ค. 2529* ฝันว่าเดินไปตามอุโมงค์ที่ลาดจากที่ต่ำ ไปหาที่สูงจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก

ภายในอุโมงค์สูง กว้าง และยาวมากเดินไปได้อย่างสบายมาก ภายในอุโมงค์ มีแสงสีเหลืองนวลสว่างเย็นตามาก ตามผนังถ้ำเป็นแสงระยิบระยับเป็นประกายเหมือนฉาบทาด้วยทอง เดินไปรู้สึกเย็นสบาย ไม่รู้สึกมืดหรืออับทึบเลย คล้ายความสว่างนั้นออกมาจากประกายทองนั่นเอง ข้าพเจ้าเดินเรื่อยมาหยุดอยู่ตรงทางตันอยู่เบื้องหน้า

มองเห็นเหมือนสายน้ำทองไหลลงไปตามผนังเป็นทาง ประกายทองระยิบระยับ ทันใดก็ได้ยินเสียงพูดดังเซ็งแซ่ขึ้นหลังผนังตันนั้น แต่มองไม่เห็นต้นเสียงว่ามาจากใคร
มีใจความ “ช่วยด้วย ช่วยหน่อย ช่วยเอาออกไปที”
ข้าพเจ้าประหลาดใจคิดว่า “เอ๊ะ! เสียงใครพูดนะ ต้นเสียงอยู่ที่ไหนกัน”

คิดจบ ก็มีเสียงตอบว่า “อยู่หลังก้อนหินนี่แหละ” หมายถึงหลังผนังถ้ำที่เหมือนทางตันนั่นแหละ
ข้าพเจ้าคิดต่อว่า “แล้วเราจะเข้าไปช่วยยังไงกันนะ ก็ไม่มีทางไปนี่นา”
ทันทีก็มีเสียงตอบมาอีกว่า “เดินไปทางขวามือซิ มีทางออกไป”

เมื่อข้าพเจ้ามองไปตามเสียงบอก ก็เห็นมีเหวอยู่เบื้องล่าง
จึงคิดอีกว่า “ออกไปได้ยังไงเดี๋ยวก็ตกเหว”
มีเสียงตอบอีกว่า “มาได้ เดินอ้อมมาทางข้างหลังนี่ซิ จะมีทางเข้ามาได้ มาช่วยหน่อยเถอะ”
ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากยังยืนอยู่หน้าผนังถ้ำ

คิดแล้วก็มีเสียงตอบเท่านั้น ข้าพเจ้าตื่นเสียก่อน (* ทราบภายหลังวันที่ 22 ธ.ค. 29 เจ้าหน้าที่จาก ททท. เจ้าหน้าที่ ศน. จ.น่านและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จากอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ได้ไปทำการสำรวจถ้ำลูกหนึ่งที่ยังไม่เคยมีใครเข้าไปเลย บริเวณ บ้านป่าไร่ อ.ปัว บริเวณดอยภูคา เพื่อทำเรื่องนี้มาลงนิตยสาร ททท. ฉบับเดือนประจำเดือน ก.พ.2530)

ข้าพเจ้าถวายสังฆทาน ชุดละ 500 1 ชุด ให้กับดวงวิญญาณที่ดอยภูคา จากความฝันทั้ง 2 ตอน เมื่อคราวไปเป่ายันต์เกราะเพชรต้นเดือน ม.ค.30 เมื่อนำมาถามหลวงพ่อในความเดียวกันนี้
หลวงพ่อเมตตาตอบให้ว่า “กำลังใจเต็มแล้วอย่างนี้ ให้แผ่เมตตาไปเลย เขาจะรับได้ทันที เขารู้ว่ากำลังเราเต็มแล้ว เขาจึงขอ”

ข้าพเจ้าคิดว่า มิน่าหละ จึงฝันว่าผีมาขอส่วนบุญบ่อยๆ
ข้าพเจ้าเรียนหลวงพ่อว่า “ได้ถวายสังฆทานชุดละ 500 บาทไปให้แล้ว”
หลวงพ่อย้ำว่า “ไม่ต้องถวายสังฆทานก็ได้ แผ่กำลังของเราไปเลย เพราะเต็มแล้ว แต่ถ้าถวายสังฆทานไปแล้วก็ยิ่งดีใหญ่ และไม่ต้องไปช่วยถึงที่โน่น แผ่จากนี่ไปก็ได้รับแล้วนะ”

ข้าพเจ้าฝันถึงดอยภูคาอีก เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2529 ฝันว่า ข้าพเจ้าคิดจะไปเที่ยวดอยภูคาอีก แต่หลวงพ่อห้ามไว้ว่าอย่าไปเลย เดี๋ยวจะได้รับอันตราย แต่ข้าพเจ้าไม่ฟังยังดื้อจะไปให้ได้ และจำได้อีกครั้งหนึ่งก็เห็นตัวเองกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่จะไปดอยภูคา ขณะที่กำลังเดินไปนั้น มีรถเบนซ์สีครีมคันหนึ่ง แล่นมาจอดใกล้ๆ ข้าพเจ้า

เมื่อหันไปดูเห็นหลวงพ่อนั่งอยู่ตอนในด้านขวาตัวรถ หลวงพ่อเอื้อมมือเปิดประตูรถด้านซ้ายที่ติดกับที่ข้าพเจ้ายืนอยู่
หลวงพ่อออกคำสั่งว่า “ขึ้นมาบนรถ! ไป! หลวงพ่อจะไปส่ง อย่าไปคนเดียว”
ข้าพเจ้าจึงเข้าไปนั่งในรถ รถแล่นไปจนถึงเชิงดอยภูคา หลวงพ่อหยุดแล้วนั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง ที่อยู่สูงกว่าข้าพเจ้า แล้วหันหน้ามาหา ข้าพเจ้านั่งลงแทบเท้าของหลวงพ่อ พลางยกมือไหว้แล้วพนมอยู่

หลวงพ่อพูดว่า “ยื่นมือมาดูซิ”
ข้าพเจ้าหงายมือทั้งสองข้างให้ชิดกัน แล้วยื่นไปตรงหน้าหลวงพ่อ รู้สึกแปลกใจมากที่เห็นฝ่ามือของตัวเองแล้ว แทบไม่เชื่อสายตา เพราะว่าฝ่ามือทั้งสองข้างนั้นไม่เหมือนฝ่ามือที่เคยเห็นอยู่ทุกวันเลย เนื่องจากมีลักษณะนุ่มนิ่ม อวบอิ่ม เต่งตึง มีสีเรื่อๆ อมชมพู นิ้วก็ได้รูปสวยงามทั้งสองข้าง

หลวงพ่อใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ 2 นิ้ว หยิบกลางฝ่ามือทีละข้าง เมื่อหยิบขึ้นมา หนังกลางฝ่ามือ ก็ยืดๆ หดๆ ตามมือหลวงพ่อทุกครั้ง หลวงพ่อทำปากขมุบขมิบ ไม่ทราบว่ามนต์อะไรไม่ได้ยินเสียง แต่เหมือนกับรู้ว่าหลวงพ่อบอกว่า เมื่อไหร่ร่ำรวยแล้ว ให้เอาเงินไปถวายหลวงพ่อบ้างนะ แล้วหลวงพ่อก็หายไปทิ้งข้าพเจ้าไว้บนดอยภูคานั่น แล้วข้าพเจ้าก็ตื่น

ข้าพเจ้านำความสงสัยนี้ ไปเรียนถามหลวงพ่อ ในคราวเดียวกันกับคำถามแรกๆ
ถามว่า “แล้วลูกเกี่ยวข้องอะไรกับภูคานั่น จึงทำให้ฝันถึงบ่อยๆ เจ้าคะ”
หลวงพ่อตอบพลางหัวเราะพลางว่า “ก็เราแต่งงานกับภูคาเขานะซิ เราเคยอยู่ที่นั่นมาก่อนนี้ถิ่นเก่าของเรานี่” ทุกคนที่ฟังหัวเราะกันครืน

หลวงพ่อถามย้อนมาว่า “ดอยภูคานี่ มันอยู่ตรงไหนนะ”
ข้าพเจ้าตอบว่า “อยู่ที่ อ.ปัว จ.น่าน ใกล้ทุ่งช้าง เจ้าค่ะ”
“อยู่ใกล้ลาวใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ”

ข้าพเจ้าเพิ่มเติมว่า ประวัติศาสตร์เขียนไว้ว่า ภูคากับน่านคนละเมือง แต่ปัจจุบันคนคิดว่า เป็นเมืองเดียวกัน หลวงพ่อว่าเป็นเมืองเดียวกันหรือคนละเมืองเจ้าคะ
หลวงพ่อตอบว่า “สมัยก่อน เป็นเมืองเล็กเมืองน้อยที่ไม่ขึ้นต่อกัน พอวันดีคืนดี มันก็ยกพวกตีกัน แย่งความอุดมสมบูรณ์กัน”

แล้วข้าพเจ้าเล่าถึงความยากจนของชาวเขาบนดอยภูคาว่า เหมือนคนป่าจริงๆ ไม่มีศาสนา ไม่มีหนังสือ ที่ทำงานของข้าพเจ้าเคยทำโครงการไปช่วยสอนให้รู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้ราว 1 พันกว่าคนแล้ว และอยากจะไปช่วยต่อไป จะได้หรือไม่

หลวงพ่อสั่งว่า “ถ้าไปอีกที เมื่อไปถึงแล้ว ก็ให้บอกเจ้าที่เจ้าทางที่นั่นว่า นี่มาเยี่ยมแล้วนะ มาถึงแล้วให้ต้อนรับด้วย และจงอนุโมทนาในส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำมาแล้ว และได้อุทิศให้โดยทั่วกัน และถ้าไปนอนค้างคืนที่นั่นก็ให้บอกกับเขาว่า ช่วยคุ้มครองป้องกัน ภยันตรายต่างๆ อย่าให้อะไรมารบกวน ให้นอนดี มีความสุขความเจริญ ให้โชค ให้ลาภ ไปคราวนี้ จะได้เพื่อนเยอะแยะเลยแหละ คอยดูซิ” หลวงพ่อพูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น

ดร.ปริญญา ถามซ้ำที่คำถามเดิมอีกว่า “แล้วพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เกี่ยวข้องอะไรกับภูคาและคุณคนนี้ละครับ”
หลวงพ่อหัวเราะลั่นตอบว่า “ก็เขาเคยพาผู้หญิงไปซ่อนนะซิ ก็อยากมีเมียมากนักนี่ เขาก็เป็นลูกนะซิ เป็นลูกผู้ชายหลายชาติด้วย” หลวงพ่อหันมาทางข้าพเจ้าอีก

ตอนท้ายของเหตุการณ์ ถามตอบในวันนั้น ข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงพ่ออีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับความฝันที่เป็นจริงที่ข้าพเจ้าเคยพบมาแล้วว่า “ลูกเคยฝันเห็นพระพุทธรูปปางประทานพร ที่ชื่อ “พุทธวัตระ ” มีที่ประเทศอินเดียแกะจากหินทรายสีชมพูในสมัยคุปตะ ชัดเจนมากเป็นทองทั้งองค์ ขณะนั้นไม่เคยเห็นในประเทศไทยเลย ค้นหาอยู่หลายปีจึงพบ

และทราบประวัติว่า เป็นพระพุทธรูปในสมัยคุปตะ ซึ่งเป็นสมัยที่ศิลปะอินเดียเจริญที่สุด สวยงามที่สุด เมื่อนำเรื่องนี้ไปถามพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ลูกศิษย์หลวงพ่อลีองค์หนึ่ง ซึ่งท่านได้มรณภาพไปแล้ว ท่านเมตตาบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้แกะสลักเอง ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และท่านยังเป็นเพื่อนกับข้าพเจ้าด้วยในสมัยนั้น พระพุทธรูปองค์นี้ยังเป็นพระพุทธรูปองค์แรกในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชด้วย”

ข้าพเจ้าถามหลวงพ่อว่า “เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ”
หลวงพ่อมองหน้าข้าพเจ้านิ่งอึดใจหนึ่ง พูดว่า “ไม่ใช่สมัยพระเจ้าอโศกนะหลังมาหน่อยนึง อ้ายหนูนี่มันเกิดที่เมืองพาราณสีนะ เป็นอ้ายแขกแกะสลักหิน นั่นแหละ”

ดร.ปริญญา ยังเพิ่มเติมอีกว่า “ไม่ใช่พระพุทธรูปองค์แรกนะ องค์แรกนั่นคือ พระแก่นจันทร์ แกะจากแก่นไม้จันทน์ โดยพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อเอาไว้ดูแทนองค์พระพุทธองค์ เมื่อพรรษาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนชั้นดาวดึงส์ สมัยที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ของคุณนั่นเป็นองค์แรกของแบบนั้น ในสมัยนั้น”

ความเมตตาจากหลวงพ่อในครั้งนี้นั้น นับว่ายิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่เคยได้รับมา เป็นเหมือนคำรับรอง เป็นประกาศนียบัตรเป็นเหมือนผลจากการศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าเป็นอย่างดียิ่งไปตลอดชีวิต ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจในการปฏิบัติธรรม เพื่อไปสู่ความหมดทุกข์ให้ได้ในชาตินี้

ไม่ต้องมาวนเวียนรับรู้ความเป็นไปครั้งแล้วครั้งเล่านับพันๆ ปีมาแล้ว เคยรุ่งเรือง เคยตกต่ำ ฯลฯ มาถึงชาตินี้ก็ยังมีทุกข์อยู่เช่นเดิม จึงหวังตั้งใจ จะเพียรพยายามละทุกข์ ให้สิ้นในชาตินี้ให้จงได้ ขอบารมีหลวงพ่อเป็นที่สุดของกำลังใจด้วยเทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


57

ไอ้...ยกทรง...ระยำ


วีระ งามขำ


...ยังพอจำได้ว่าเมื่อเดือนตุลาคม 2524 คุณชาญชัย จรุงเดชากุล ปิยมิตรข้างร้านได้พยายามตื๊อ เพื่อลากคอไปพบหลวงพ่อที่ซอยสายลม บ้านท่านเจ้ากรม พล.อ.ท.เสริม ศุขสวัสดิ์ สมัยนั้น การรับแขกวันศุกร์คืนแรกมีประมาณเกือบไม่ถึง 20 คน

...เมื่อพบหน้ากันครั้งแรก หลวงพ่อก็พูดและชี้หน้ามาหายกทรงว่า เคยตัดหัวมาหลายชาติแล้ว เพราะความระยำของจิตก็เกือบจะเผ่นหนีแบบไม่คิดชีวิต! อาศัยพระเมตตาและกรุณาจิต หลวงพ่อยิ้มและหัวเราะ

...แล้วก็ขยายความว่า ฉันเป็นอาจารย์ แกเป็นลูกศิษย์ฉันมาหลายชาติ พุทโธ...ธัมโม...สังโฆ...ค่อยหายใจเต็มปอด รอดปากเหยี่ยวปากกา อายุ 59 ของเก่าจะตามมา สาธุ...สาธุ...สัมปะติจฉามิ สิบกว่าปี ทั้งปีนี้ (2534) พรของหลวงพ่อ ยังคงเป็นธรรมปีติจนตราบเท่าทุกวันนี้และคงจะเป็นต่อไป จนกว่าจะเข้านิพพานในชาตินี้

มโนมยิทธิเรียนได้เมื่อไร? คนชอบถามกันเสมอๆ เพราะความระยำอวดดื้อถือดี มีกิเลสตัณหาอุปาทาน อกุศลกรรม และตัวมานะร้อยกว่าเปอร์เซ็นต์ จึงเอาดีไม่ได้ ถึงเอาได้ก็ไม่ได้ดี

ดังนั้น หลวงพ่อท่านเมตตาดลใจให้ครูเตี้ยม นิตยศรี ไปยืนฝึกในขณะยกทรงกำลังนั่งเย็บจักร สาธุ อนุโมทนามิ อาศัยบารมีของหลวงพ่อและครูเตี้ยม จึงพอเห็นทางห่างโลกันตนรกมา 1 เซนติเมตร

หลวงพ่อชาร์จแบตเตอรี่


ยามใดที่ยกทรงมีจิตระยำเศร้าหมองด้วยปัญหานานัปการ หลวงพ่อก็จะสงเคราะห์ด้วยการเป่ายานัตถุ์ลูกสาวหมอมีจากวัดท่าซุงไปยังร้าน ยกทรง เงิน เงิน ประตูน้ำ กรุงเทพฯ

พอได้กลิ่นยานัตถุ์ปุ๊บ รีบยกมือไหว้กราบขอบพระเดชพระคุณไปทางหลวงพ่อทันที สุขสบายจิตอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งหลวงพ่อเป่าแรงเกินไป เล่นเอาหอมฟุ้งเต็มร้านไปหมด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาวัดท่าซุงมีงานครั้งไร ยกทรงตั้งเวทีเสร็จ ก็จะมีญาติโยมมาทำบุญว่ากันไปจนสว่างคาตา แล้วต่อไปจนเย็นของวันรุ่งขึ้น แม้สังขารจะสู้ไม่ได้ แต่กำลังใจบอกว่าต้องสู้ๆ หลวงพ่อท่านก็เป่ายานัตถุ์มาสงเคราะห์เป็นประจำ

หลวงพ่อเข้าฝันสอนธรรมะ


แม้ยกทรงจะเลวระยำหมาเพียงไร หลวงพ่อก็ยังเมตตาไปเข้าฝันสงเคราะห์อยู่เสมอๆ เดือนหนึ่งๆ หลายวันเชียวละ บางวัน 4 รอบ คือ 5 ทุ่ม, ตี 1, ตี 5 และ 7 โมงเช้า โดยสอนเกี่ยวกับมรณานุสสติ – ปฏิกูลสัญญา และควบด้วยอภิญญา

โอ๊ย! คนเลวๆ อย่างยกทรง ถ้าเป็นอาจารย์องค์อื่นๆ เขาคงเซย์กู้ดบาย ลาก่อนไปนานแล้ว อีกจุดหนึ่งก็คือ จะไปสอนเกี่ยวกับการทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา ในด้านกำลังใจและวิธีที่ถูกหลัก นับเป็นความรู้ใหม่และใช้ได้ผลเกินค่ามหาศาล

ความเป็นจริงแล้ว หลวงพ่อท่านก็เมตตาไปเข้าฝันทุกๆ คน เสียดายลูกๆ ดีเกินไป ไม่เปิดคลื่นรับฟังแล้วจะมานั่งบ่นหาพระแสงอะไรเล่า?

ภาพหลวงพ่อยิ้มนิมิต


นี่ก็เป็นการสอน การให้กำลังใจอีกแบบหนึ่ง ถ้าตอนใดเราทรงอารมณ์อยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ ตอนนั้นจะเห็นภาพหลวงพ่อหรือว่ากายทิพย์ มาลอยยิ้มและหัวเราะอยู่เฉพาะตรงหน้าของเรา ไม่ว่าเราจะหลับตา ลืมตา ก้มหน้า หันหลัง ภาพนั้นก็จะปรากฏอยู่ ชื่นใจสบายอย่างบอกไม่ถูก

ดูหลวงพ่อเมื่อตอนป่วย


หลวงพ่อของเราทั้งหลาย ต้องป่วยเป็นปกติ เพราะว่าบารมีขั้นวิริยาธิกะ 16 อสงไขย แสนกัปได้เต็มไปแล้ว เมื่อพ.ศ.2504 กว่าจะเต็มมาได้ ก็ต้องผ่านการเป็นหัวหน้า เป็นกษัตริย์ รบมาไม่ต้องนับชาติเชียวละ เฉพาะหัวคนที่หลวงพ่อฆ่าตาย ต้องใช้เนื้อที่กว้างโยชน์ ยาวโยชน์ สูงโยชน์ เฉพาะเอาหัวคนวางก็ยังเลยไปไม่รู้ขนาดไหน

แล้วก็วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ ปลา กุ้ง โอ้ย สารพัด ชีวิตอีกไม่รู้กี่พันก็โกฏิปฏิโกฏิชีวิต เมื่อเราทำไว้อย่างไร เราก็ต้องเป็นผู้รับผลอย่างนั้น คิดดูซิ อาเจียนเป็นเสมหะ ตั้งแต่บ่ายสี่โมงเย็นถึง 5 ทุ่มทุกวัน ครั้งละเป็นกระโถนๆ นอนได้คืนหนึ่งไม่ถึงชั่วโมง ฉันได้ 3 – 4 ช้อน ไหนจะงานเขียน – พิมพ์ดีด – บันทึกเทป – เทวดามาคุย องค์สมเด็จมาสั่งงาน

โอ้ย! เป็นเราๆ ไหวหรือ? แถมบางทีลูกๆ ก็ทะเลาะเบาะแว้งอิจฉามารศรี ท่านหลวงพ่อคนดี ก็ยังยิ้มรับแผ่เมตตาสงเคราะห์ เรียกว่า ทนแบบบรมทนเชียวละ ลูกๆ ทั้งหลายที่เจ็บไข้ได้ป่ายก็จงทนตามอย่างหลวงพ่อ ยอมรับตามกฎแห่งกรรมจะได้สบายใจ

อย่าไปเซ้าซี้ให้หลวงพ่อช่วยเป่า ช่วยรักษานะ! ดีไม่ดีไปบังคับใช้พระอรหันต์ มันจะซวยทั้งชาตินี้และชาติต่อๆ ไป เชียวนะ เพราะยกทรงโดนมาแล้ว

งานก่อสร้างวัดท่าซุง


ถ้าจะดูผิวเผินแล้ว มนุษย์ปากหมาระดับรัฐมนตรีตัวหนึ่ง เคยไปหาหลวงพ่อแล้วเต๊ะท่าจำนรรจาว่า หลวงพ่อจะสร้างให้มันใหญ่โตไปทำไม หน่อยแน่! บังอาจว่าหลวงพ่อผู้ทรงความดี พูดแบบนี้ก็แสดงว่ากะโหลกหนาปัญญาควาย คงจะเคยกินลูกเดียวมาทุกๆ ชาติมั้ง!

ถ้ากล้าพูดความจริงแล้ว งานก่อสร้างทั้งหมดทุกๆ จุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้สั่งให้ทำพร้อมทั้งออกแบบและหาเงินให้เสร็จ และก็เป็นความดี มีโชคดีของลูกหลานทั้งหลาย ที่ได้มีโอกาสทำบุญกับงานของพระพุทธเจ้า

เราพูดและยืนยันนั่งยันนอนยันได้เลยว่า นิพพานสูญ ของนักเปรตทั้งหลายนั้นไม่จริง เพราะยกทรงก็เป็นเปรต! สอนว่านิพพานสูญ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ตายแล้วสูญมาก่อน คือสูญตามตำราและตามครูบาอาจารย์ที่สอนๆ กันมา

ทำให้พิสูจน์ว่านิพพานไม่สูญ


หลักสูตรวิชาธรรมกายของหลวงปู่สด วัดปากน้ำก็ดี มโนมยิทธิของวัดท่าซุง ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานีก็ดี หรือท่านที่ได้วิชชาสาม อภิญญาหก และปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า นิพพานไม่สูญ

มีเมือง มีจิต มีกายทิพย์ อย่าว่าแต่เป็นอรหันต์เลย พวกที่มีลูกมีผัว มีกิเลสหนาปัญญาหยาบ ทำไมเขายังไปดูวิมานที่นิพพานในปัจจุบันกันได้ ทำให้มันได้มันถึงเสียก่อนซี่ ค่อยพูดจาอรรถกถาธิบาย แต่ถ้าตัวเองยังทำไม่ได้ละก้อ! อยู่เฉยๆ เสียจะดีกว่า ไม่งั้นจะอายผีสางเทวดาและหมาวัดท่าซุง

อุบายธรรมของหลวงพ่อ


สมัยก่อนและสมัยนี้ และก็สมัยต่อๆ ไป รามักจะมีจิตคิดเศร้าหมองเกี่ยวกับเรื่องเวรกรรมความชั่วที่ตัวได้กระทำมา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ตายแล้วจะได้กลับไปเกิดในอบายภูมิใหม่ เพราะอำนาจของจิตที่เศร้าหมอง ตายในขณะนั้นก็ป๊อมๆ ลงไปทันที

แต่ว่า...หลวงพ่อเป็นพระมีกรุณาอันบรมแสนจะฉลาด สอนลูกๆ หลานๆ ทั้งหลายว่า ก่อนนอนให้นึกถึงกุศล คือความดีทั้งหลายที่ได้กระทำมาแล้ว เช่น ทาน ศีล ภาวนา มโนมยิทธิ และอารมณ์พระโสดาบันก็ดี

หรือว่าตื่นนอนใหม่ๆ ก็ขอให้นึกดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นก็ดี ตายปุ๊บเวลานั้นก็ไปสวรรค์ก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้านึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์ ต้องการนิพพานเป็นอารมณ์ละก็...คุณเอ๊ย!...ปริ๊ง! ไปนิพพานทันทีล่ะ

อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อเล่าเป็นกำลังใจก็คือ
วันหนึ่งหลวงพ่อไปวิมานของท่าน พบคน 200 เศษ มานั่งอยู่ในวิมาน
หลวงพ่อถามเขาว่า ? : เอ...นี่มาที่นี่กันได้อย่างไร?
200 เศษตอบ : อ้าว! แล้วท่านสอนไว้อย่างไรเล่า

หลวงพ่อ? : อ้อ...อื้อ...สาธุ...สาธุ
หลวงพ่อ? : นี่...โยม...ตายกันมาแล้วหรือ?
200 เศษตอบ : ยังไม่ตายขอรับ
หลวงพ่อ? : ยังไม่ตายมากันได้อย่างไร?

200 เศษตอบ: ทำไมหลวงพ่อยังไม่ตายก็ยังมาได้เล่าขอรับ
หลวงพ่อหายใจยาว เพราะโดนศอกกลับ
หลวงพ่อ? : ถ้าอย่างนั้นขอดูภาพ ภาพปัจจุบันที่เป็นมนุษย์ซิ?

โอโฮ...เขาแต่งตัวแบบราษฎร อนาถาเชียวล่ะ ยากจน ผ้าขาดหน้าปะหลัง อีกพวกหนึ่งก็เป็นชาวประมง และนักเปรตทั้งหลาย รวมทั้งพวกกะโหลกหนา ปัญญาควายด้วย
หลวงพ่อ? : อ้าวโยม! ชาวประมงก็ปาณาฆ่าสัตว์ ต้องทำบาปแทบทุกๆ วัน วันหนึ่งๆ เป็นหมื่นเป็นแสนชีวิตอย่างนี้จะมานิพพานดิบๆ คือมาตอนเป็นๆ ยังไม่ได้ตายได้อย่างไร?

ชาวประมง : ตอนกลางคืน ผมมีเวลาว่าง ผมก็ไหว้พระ สวดมนต์ เจริญพระกรรมฐาน ตามแบบที่หลวงพ่อสอนทุกประการ ทำบ่อยๆ เสมอๆ เป็นนิจ โดยมีจิตศรัทธาตัดอารมณ์ทั้งหลายในขณะนั้น แต่เอาจริงเอาจังเฉพาะอารมณ์พระกรรมฐาน กระผมจึงมาได้อย่างที่หลวงพ่อเห็นอยู่ในขณะนี้ขอรับ

หลวงพ่อ : สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ เห็นไหม ชาวประมงปาณาเป็นอาจิณยังมาได้ แล้วท่านล่ะ!

พระโสดาบันฆราวาส


กระผมยังชอบใจ และสบายใจในคำสอนของหลวงพ่อตอนที่ว่า อารมณ์ของพระโสดาบันในภาคปฏิบัติแล้ว ฆราวาสญาติโยมได้เปรียบกว่าพระเยอะแยะ มีลูกมีเมียมีผัวได้ กินตลอด 24 ชั่วโมง ร้องรำทำเพลงได้แบบฟรีสไตล์อิสรเสรี โดยย่อมีดังนี้

1. นึกถึงความตาย เราจะทำดีให้มากที่สุด ตายเมื่อไร เราไม่ต้องการไปอบายภูมิทั้ง 4
2.เคารพพระรัตนตรัยอย่างจริงใจ (ถ้าจะขอขมาทุกๆ วันก็จะดีมากนะ)
3. รักษาศีล 5 ให้ครบ

ความจริงสามข้อนี้ก็สบายหายห่วงแล้ว แต่หลวงพ่อมักจะแถมพิเศษให้อีก 1 ข้อก็คือ
4. ตายเมื่อไรเวลาไหนก็ไปนิพพานทันที ถ้ายังไม่ตายก็ให้ทำความดีไปเรื่อยๆ เพื่อนิพพานชาตินี้ก็แล้วกัน

เรียนลัดตัดเข้านิพพาน


โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ สักกายทิฏฐิ คือการตัดร่างกายของเรา ตัวร่างกายนี้แหละ ขยันพิจารณาให้ดี ให้ละเอียดลงไปเถอะ สามารถตีรวดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ได้ เช่นหลวงพ่อสอนว่า

ก. ร่างกายคน สัตว์ สกปรก โสโครก น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำมูก น้ำลาย แสนจะสกปรก เหมือนถุงพลาสติกห่อหุ้มขยะฉันนั้น

ข. เพราะมีร่างกาย จึงต้องเป็นทุกข์ ต้องต่อสู้กับความทุกข์ กิเลสคือความชั่ว ตัณหาคือความต้องการความชั่ว อุปาทานคือยึดติดเกาะในความชั่ว อกุศลกรรมยอมตนเป็นคนโง่ ใจโง่ กระทำความชั่วๆ นั้นๆ เมื่อทำชั่วแล้วเราก็จะต้องรับผลแบบชั่วๆ

ถ้าเราไม่ต้องการความชั่ว ก็อย่ามีร่างกาย หรือเราไม่ต้องการร่างกายที่ชั่วๆ สกปรก และเป็นทุกข์เช่นนี้อีกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ร่างกายกับเรา ขอสิ้นสุดยุติกันที

ค. คนก็ดี สัตว์ก็ดี โลกทั้งหมดก็ดี ล้วนแล้วแต่สกปรก และเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ทั้งนั้น พอกันทีสำหรับความคิดผิด หลงผิดเช่นนี้ เราไม่ต้องการมันอีกแล้ว

ง. เราไม่มีในร่างกาย และร่างกายก็ไม่มีในเรา ทุกอย่างล้วนเป็นธาตุทั้ง 4 มีอันที่จะสลายกระจัดกระจาย หาตัวคนไม่ได้ทั้งหมด พอกันทีสำหรับเรือนร่างอันแสนโสโครกและเป็นทุกข์ จิตและอทิสมานกายของข้าต้องการอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือ เมื่อร่างกายนี้พังเมื่อไรข้าขอไปพระนิพพานทันที

ด้วยกุศลผลบุญ ที่ยกทรงได้บำเพ็ญมาแล้ว กล่าวคือได้บรรพชาอุปสมบทก็ดี ได้เผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ดี รวมทั้งได้ถวายสังฆทาน ธรรมทาน วิหารทาน และสร้างพระชำระหนี้สงฆ์มาแล้วแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี

เกล้ากระผมขออุทิศเจาะจง ถวายแด่หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง ขอองค์หลวงพ่อโปรดรับและอนุโมทนาการ ในมหากุศลอันไพศาลของเกล้ากระผม ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 1/6/11 at 13:50

58

ได้รับหมายเกณฑ์


นายแพทย์ปัญจะ ไม้เกตุ


...กราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยและหลวงพ่อพระราชพรหมยานด้วยความเคารพสูงสุด หากข้อความใดได้ประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย ขออโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วย ตราบเข้าพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด

...ผมเป็นผู้หนึ่ง ที่ได้รับหมายเกณฑ์ คือ ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง เรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อท่าน หรือได้อ่านหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งของท่านแล้วต้องมารายงานตัว (ตามข้อ 1 หน้า 387 เรื่องหลวงพ่อของเรา โดย ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 2)

...ผมได้ทราบข่าวหลวงพ่อของเรามาตั้งแต่ก่อน พ.ศ.2524 จากนิตยสารคนพ้นโลกและเรื่องโลกทิพย์ในนิตยสารขวัญเรือน ได้เกิดความศรัทธามาก จนในวันวิสาขบูชาปี 2524 นั้น ได้เดินทางไปวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ได้พบหลวงพ่อท่าน แต่อยู่ห่างปลายแถวสุด ได้แต่กราบท่าน

ฟังคำอธิบายปฏิบัติธรรมกรรมฐานที่โรงเรียนพระพินิจอักษร และได้พบใกล้ชิดตอนที่ท่านออกมาจากพระอุโบสถ จึงได้ถวายปัจจัยใส่ย่ามทำบุญ และก่อนจะกลับก็ได้ซื้อหนังสือธรรมะ และเทปธรรมะที่ศาลานวราชบพิตรไปหลายเล่ม และหลายม้วนเทป รวมทั้งขอสมัครเป็นสมาชิกนิตยสารธัมมวิโมกข์ด้วย

และเป็นสมาชิกสืบต่อมาตลอดทุกปีจนถึงทุกวันนี้ ได้อ่านหนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ของหลวงพ่อ ทำให้เข้าใจในองค์ฌานและเพิ่งจะรู้ว่า ตนเองสามารถเข้าถึงจตุตถฌานได้ เมื่อครั้งที่อุปสมบทหนึ่งพรรษาเมื่อปี 2519 ที่วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ

ซึ่งตอนนั้นเข้าใจว่า ถึงอุปจารสมาธิเท่านั้น ยิ่งอ่านคำสอนของหลวงพ่อท่าน ยิ่งติดใจ อ่านหนังสือของท่านเกือบทุกเล่ม ฟังเทปของท่านมากพอควร ศึกษาธรรมะของท่าน จนอยากจะไปฝึกมโนมยิทธิ และได้ไปลองฝึกที่บ้านท่านเจ้ากรม พล.อ.ท.เสริม ศุขสวัสดิ์ ซอยสายลม กรุงเทพฯ

เมื่อ พ.ศ.2525 วันนั้น ได้ทำบุญกับหลวงพ่อและได้ฝึกมโนมยิทธิเป็นครั้งแรก คนฝึกแน่นมาก ครูฝึกมีน้อย ผมมีอารมณ์จิตฟุ้งซ่าน ผลคือไม่ได้ในครั้งนั้น ผมได้ศึกษาธรรมะ และเริ่มปฏิบัติธรรมสมาธิตั้งแต่ปี 2517 แต่ก็ไม่ได้เอาจริงจัง จนได้บวชแล้วได้สมถภาวนา จึงได้ปฏิบัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

พอได้อ่านธรรมะของหลวงพ่อท่าน ยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้ง ยิ่งมีศรัทธามั่นใจได้ทำบุญทานเรื่อยมา ในระยะ 3 – 4 ปีมานี้ก็ได้ทำบุญทานมากขึ้น จนเกือบจะทุกวัน จนเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน มีศีลห้า และกุศลกรรมบถสิบเป็นปกติ เป็นสีลานุสสติกรรมฐาน ส่วนสมาธิยังไม่แน่นอน

บางทีก็ได้ดี บางทีก็เหลว ในด้านวิปัสสนาได้แต่ปลงอนิจจังทุกขังอนัตตา ชาติชรา (พยาธิ) มรณะ เกิด แก่ (เจ็บป่วย) ตาย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ (เก่าเสื่อม) ดับไป เห็นอะไรก็เอามาปลงได้ทุกสิ่งทุกอย่าง และพยายามไม่ให้โลกธรรม 8 มาครอบงำจิตใจ ทำให้ชีวิตมีความสุขตามอัตภาพในระดับหนึ่ง

แต่ก่อนนี้ยังไม่คิดอยากจะไปพระนิพพาน เพราะไม่เข้าใจดีพอ (ยึดคำสอนเก่าๆ จากที่เคยศึกษามา) คิดว่าขอให้ได้โสดาบันในชาตินี้ก็พอเพื่อหนีนรก หรือไม่ก็สมาธิเข้าฌานตายไปพรหมโลกก็พอ พอได้อ่านธัมมวิโมกข์ไปเรื่อยๆ ก็เข้าใจว่า พระนิพพานมีสภาพไม่สูญ แต่กิเลสสูญ

เป็นการไม่ยากที่จะไปหากได้มโมยิทธิ เวลาจะตาย ก็ตั้งใจไปพระนิพพานก็จะไปได้ ทุกคืนก่อนนอนและทุกเช้าตอนตื่นนอน ก็ให้นึกถึงความตาย (มรณานุสสติกรรมฐาน) ถ้าเราตายคืนนี้หรือวันนี้ ก็ขอไปพระนิพพาน หรือถ้าใครได้มโนมยิทธิ ก็ขึ้นไปพระนิพพานทุกคืนก่อนนอนและทุกวันตอนตื่นนอน

แบบนี้ก็มีหวังเวลาตาย ไปนิพพานได้แน่ จึงเกิดความมั่นใจเพราะมีตัวอย่าง หลวงพ่อท่านได้เล่าให้ฟังหลายครั้ง ในธัมมวิโมกข์และหนังสืออ่านเล่น ว่าขึ้นไปพระนิพพาน ครั้งหลังๆ นี่พบคนตายไปนิพพานเพิ่มขึ้น เขาเหล่านั้นได้มากราบหลวงพ่อ

เขาอบกว่าได้ทำตามหลวงพ่อบอกในหนังสือ บาคนไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิด้วยซ้ำไป ตัดสินใจไปพระนิพพานเวลาตาย ก็ไปถึง ไปอยู่ที่พระนิพพานมากมาย ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจขอเข้าพระนิพพานในชาตินี้บ้าง เริ่มตัดสินใจเมื่อปี 2528 โดยตั้งจิตอธิษฐานว่า

เกิดมาชาตินี้มีร่างกายเป็นทุกข์หนัก เจ็บป่วยตลอดมา ขอไปพระนิพพานในชาตินี้ นึกถึงความตายทุกวัน ถ้าตายชาตินี้ขอไปพระนิพพาน ปรากฏว่าเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้อกุศลกรรมที่เคยทำมาแต่ก่อน ผมก็ป่วยเรื่อยมา มีโรคภัยไข้เจ็บหลายโรค หนักก็มีเบาก็มีตลอดเวลา

โรคที่รุนแรงมีโรคกระเพาะอาหาร สงสัยว่าจะเป็นแผลเพราะปวดมาก ปวดเร็งไปทั้งตัว ต้องฉีดยาแก้ปวดทุก 4 ชั่วโมงอยู่หลายวัน และต้องกินยารักษาอีกเกือบ 2 เดือนจึงหายขาด แต่ต่อมา ก็ต้องคอยระวังไม่ให้ผิดเวลาอาหาร โรคลำคออักเสบเป็นทุกปี บางปีเจ็บมากกินยา หรือฉีดยาปฏิชีวนะอย่างดีอย่างแรงเท่าไรก็ไม่หาย

ตอนหลังเลยปล่อยไม่รักษาด้วยปฏิชีวนะ แต่ผมรักษาด้วยการดื่มยาธาตุน้ำแดง ที่ผมผสมเองตามตำหรับของคุณตา ซึ่งเป็นแพทย์จบศิริราชรุ่นที่ 1 เลขประจำตัว 1 ท่านได้ให้ตำหรับยาธาตุไว้ (ยาธาตุน้ำแดงนี้ก็ได้ผสมทำบุญถวายพระเรื่อยมาเป็นส่วนมาก ทำขายเป็นส่วนน้อย ได้เคยนำมาถวายหลวงพ่อด้วย)

กินยานี้ไปแผลในลำคอเกิดหายได้ โรคนิ่ว เคยเป็นเมื่อปี 2528 มีอาการปัสสาวะขัด สองสามวันต่อมาปัสสาวะมีก้อนนิ่วเล็กๆ หลุดออกมา แบบนี้เป็น 2 ครั้ง ไม่ปวดรุนแรง ต่อมาไม่เป็นอีกเลย ส่วนโรคความดันเลือดสูงก็เป็นมาเรื่อยๆ กินยาก็หายไป

กินอาหารของที่เป็นไขมันหรือแดงกะทิ อาหารใส่มะพร้าวนมเนยก็เกิดเรื่อง คือความดันจะขึ้น แต่ไม่มาก กินยาควบคุมได้ ส่วนโรคอื่นๆ ก็มีอีกมาก อีกโรคหนึ่งที่เป็นเรื้อรัง บางครั้งรุนแรง บางครั้งทุเลา ก็มีโรคริดสีดวงทวารหนัก เป็นมาสามสิบกว่าปี เป็นมาเรื่องตั้งแต่อายุ 18 ปี

เป็นรุนแรงมากเมื่อปี 2528 เลือดออกมาจนหน้ามืดตาลาย ต้องหายาบำรุงเลือดกิน กินหลายขนาน ทั้งยาฝรั่งยาสมุนไพร ยังหาเวลาไปผ่าตัดไม่ได้ มารุนแรงมากอีกปี 2531 และ 2533 ต้องกินยาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปีนี้ 2534 ต้องกินยาวันละไม่น้อยกว่า 70 เม็ด

(หลวงพ่อท่านต้องฉันยาวันละหลายร้อยเม็ด นับว่ายังไม่ลำบากเท่าท่าน) จนเบื่อยา ยิ่งกินยิ่งไม่หาย พอถึงกลางเดือนพฤศจิกายน 2534 นี่ก็ตัดสินใจไม่กินยา เพราะเบื่อแล้ว เป็นไงเป็นกัน ปรากฏว่าเลือดหยุด นานๆ จะมีออกไม่กี่หยด

ก่อนหยุดกินยา เคยใช้น้ำมันชาตรีของหลวงพ่อทั้งกินและใช้เฉพาะที่ (ทากับยาเหน็บ) เพียง 2 – 3 ครั้งเท่านั้น โรคเจ็บคอก็มีเรื้อรังแต่ไม่รุนแรง และโรคความดันเลือดสูงก็ไม่ค่อยสูงควบคุมได้ ผมไม่ได้รับราชการ ทำงานคลินิกส่วนตัวมาตลอด ที่โต๊ะทำงานได้จดข้อความคำสอนของหลวงพ่อท่านไว้อ่านทุกวันดังนี้

1. “เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ที่ไม่อะไรเลย ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่มี ญาติพี่น้อง เพื่อฝูงหลานเหลนก็ไม่มี แม้ร่างกายนี้ก็ไม่มี ที่เป็นของๆ เราจริงๆ เพราะทุกอย่างที่กล่าวมา มีสภาพพังหมด เราทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระคือร่างกายพังแล้ว เราตายแล้ว เราไม่ต้องการไปนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องการเกิดเป็นมนุษย์อีก

เพราะการเกิดมีร่างกายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ไม่ไปสวรรค์ ไม่ไปพรหมโลก เพราะสุขไม่ยั่งยืน เราจะไปพระนิพพานที่เดียว เมื่อความเจ็บป่วยไข้ปรากฏ จงดีใจว่า วาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชิน จะเห็นเหตุผล เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายดี แล้วก็จะเข้าพระนิพพานได้ทันที”

2. “ถ้าเราเป็นคน อยากไปนิพพาน เป็นของไม่ยาก พอภาวนาจบหรือไหว้พระจบ เราก็ตัดสินใจว่า “ขึ้นชื่อว่าโลกมนุษย์ เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไร ขอไปนิพพานจุดเดียว” ทำอย่างนี้ทุกวันมันจะชิน พอมันชินแล้ว ถ้าเวลามันใกล้จะตายจริงๆ

ถ้าป่วยหนัก คำว่าป่วยหนัก มันอาจจะไม่ถึงกับพูดไม่ได้ อาการปวดมันจะมาก พออาการปวดเริ่มมากขึ้น สังขารุเปกขญาณมันจะเกิดขึ้น อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดเป็นกุศลของเรา มันจะเริ่มรวมตัว เวลานั้นมันจะวางเฉยในร่างกายเอง จะวางเฉยในทรัพย์สินทุกอย่าง มันจะไม่ห่วง มันจะมีความรู้สึกว่า การเกิดชาตินี้ขอถือว่าเป็นที่สุดของการเกิด ต่อไปไม่มีอีก

แม่บ้านของผม ได้เคยฝึกมโนมยิทธิที่วัดโพธิ์เมืองปัก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เมื่อปี 2526 กับพระอาจารย์มหาถวัลย์ ธิติโกแล้ว และผมได้ให้มาฝึกเพิ่มเติมที่วัดท่าซุงอีกในปี 2528 ส่วนผมเองรอโอกาสมาหลายปี ในใจก็คิดกังวลว่า หลวงพ่อท่านป่วยตลอดมา จะหนีลูกๆ นิพพานเสียตั้งหลายหน

ปีนี้ (2534) ต้องทำตัวให้มีเวลาว่างให้ได้ จึงได้หยุดงานส่วนตัวชั่วคราว มาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงเมื่ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ และยังได้ชวนเพื่อนที่อยากไปพระนิพพานด้วยมาฝึกด้วยกันมีคุณสุภัค กุลตังวัฒนา (คุณพ่อของแหม่มอ้วน สุริวิภา กุลตังวัดฒนา) จากจังหวัดนครพนม ซึ่งมาเป็นครั้งแรกเหมือนกับผม

อีกท่านหนึ่งคือ พระอาจารย์ชลอ (อินทร) โฆสธัมโม จากวัดจุฬามณี อำเภอเมืองพิษณุโลก รู้จักกับท่านตั้งแต่ยังไม่ได้ ก็ได้กลับวัด มาครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้าแล้ว ก็ได้พบกันวันแรกผมได้ฝึกกับแม่ชีชุลี อาตมะมิศร์ ได้พาผมไปถึงพระนิพพาน และได้ฝึกต่อจนครบ 4 วัน

จึงขอบพระคุณแม่ชีชุลี หลวงพี่อาจินต์ และครูสอนทุกท่านเป็นอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้ด้วย เมื่อกลับไปบ้านแล้วก็พยายามปฏิบัติธรรม เพื่อพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ต่อไป ผมได้มาร่วมงานเป่ายันต์เกราะเพชรกับหลวงพ่อท่าน ที่วัดท่าซุงเกือบทุกปี เมื่อสงกรานต์ปี 2534 นี้ ได้มาร่วมงานสะเดาะเคราะห์เป็นครั้งแรกที่วัดท่าซุง

ได้พบกับ ดร.ปริญญา นุตาลัย ซึ่งทำหน้าที่เป็นโฆษกหรือพิธีกรในวันนั้น จึงได้เข้าไปคุยทักทายด้วย เพราะไม่ได้พบกันมาเกือบ 30 ปี (เป็นเพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกันมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนเตรียมอุดม แต่อยู่คนละห้อง และที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ) นอกจากนี้ผมก็ได้ส่งเงินมาร่วมทำบุญสังฆทานบ้าง วิหารทานบ้าง และเข้ากองทุนธัมมวิโมกข์เป็นธรรมทานบ้าง

บางปีก็ได้ร่วมส่งมาทอดกฐินบ้าง แต่ที่มีความปลื้มใจมากคือ เมื่อ 18 ต.ค.2531 และ 28 พ.ย.2531 หลวงพ่อได้ส่งคำอวยพรใบอนุโมทนาบัตรไปให้ลูกคือ
“ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่เข้ามาถึง ขอลูกรักจงหมดทุกข์ มีความสุขสมบูรณ์และปลอดภัยจากอันตรายทั้งมวล มีความอุดมในทรัพย์สินด้วยประการทั้งปวงเถิด”
พระราชพรหมยาน

และที่ซาบซึ้งใจเป็นที่สุดคือเมื่อได้รับของขวัญจากพ่อ ในหนังสือ “พรหมวิหาร4” จัดพิมพ์โดยคุณทองคำ เมื่อ 18 ก.ค.2533 ดังนี้
ของขวัญจากพ่อ มอบแด่ลูกรักของพ่อทุกๆ คน

“ธรรมใด ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ
เพราะว่าชีวิตของพ่อนี้ พ่อไม่แน่ใจว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ 5 ของพ่อเป็นสำคัญ

ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้น ลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหน ก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”
พระราชพรหมยาน

สุดท้ายนี้ ลูกขอกราบมาแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และท่านแม่ศรีผู้มีพระคุณสูงสุดของลูก ที่ได้พาลูกขึ้นไปถึงพระนิพพาน ชาตินี้เกิดมาไม่สูญเปล่า ได้สำเร็จความหวังที่ตั้งใจไว้ พระคุณนี้ลูกขอจารึกไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ขอกราบอาราธนาบารมี ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์

พระธรรม พระอริยสงฆ์ทุกพระองค์ เทวดาและพรหมทุกพระองค์ ตลอดจนครูบาอาจารย์ทุกพระองค์ มีหลวงปู่ปานวัดบางนมโคเป็นที่สุด จงอภิบาลบำรุงรักษาพระเดชพระคุณ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทุกประการ มีพลานามัยสมบูรณ์ มีอายุยืนยาว เป็นกำลังใจ เป็นร่มโพธิ์แก้ว ร่มไทรทอง สั่งสอนลูกหลาน ให้ไปพระนิพพานมากขึ้น ชั่วกาลนานด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


59

นั่งบังเสา


ศศิธร วรรธนะกุล


...ลูกรู้จักหลวงพ่อ จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน เมื่อป่วยเข้าโรงพยาบาลนอนอ่านจนจบ สมัยที่อยู่ชิคาโก ประมาณปี พ.ศ.2518 หนังสือนี้ได้จาก นารี ณ ตะกั่วทุ่ง แล้วก็แจกอ่านกันต่อๆ กันไป ในหมู่เพื่อนคนไทยด้วยกันในชิคาโก และไปฝึกมโนมยิทธิกับคุณอมร (ปัจจุบันคือพระอมร บวชอยู่ที่วัดท่าซุง) ที่ชิคาโก

...เมื่อปี 2524 มาเมืองไทย ไปฝึกที่วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก นั่งบังเสาอยู่ ไม่ให้หลวงพ่อเห็น กำลังอยู่ไม่เป็นสุข ปวดท้องจะถ่าย นั่งฟังคนข้างๆ (ฝึกมโนมยิทธิ) เขาไปสวรรค์ นิพพาน ฝึกกันได้หมด ส่วนตัวลูกเองฝึกไปไม่ได้

...เช้าขึ้นไปพบหลวงพ่อ ท่านว่า “ไอ้ขี้หมา ปวดท้องขี้ แล้วจะนั่งได้อะไร”
...ก็แปลกใจที่ท่านทราบ ทั้งที่นั่งบังเสาไม่ให้ท่านเห็นแล้ว ต่อมา ก็ทำให้มีคามศรัทธามั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ไปอ่านเจอในหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา มีคนเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ตัวเขาเองฝึกไปไม่ได้ (มโนมยิทธิ) แต่เขาไปสอนคนอื่นได้

ลูกจึงไปสอนเด็กที่บ้านตามแบบที่ครูสอน และเขาก็ฝึกได้ และทำได้จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ คืนวันหนึ่ง นั่งสวดมนต์อยู่ เด็กก็บอกว่า หลวงพ่อมานั่งจีวรเหลืองอยู่ในองค์แก้วที่ตั้งบูชาอยู่และคุยกับท่าน (หลวงพ่อ) ได้ด้วย

ลูกกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว ก็มาทำบุญกับหลวงพ่อสม่ำเสมอ (ที่บ้านซอยสายลม) ลูกก็ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ และไม่ต้องการเกิดอีก ลูกไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว ลูกปรารถนาเพื่อพระนิพพานในชาตินี้เพียงอย่างเดียว

ลูกขอให้หลวงพ่ออยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของพวกลูกๆ หลานๆ ไปนานๆ ด้วยเถิด


ll กลับสู่สารบัญ


60

ฉันสงสารหลวงพ่อ


สมทรง หิรัญเกตุ


...ฉันได้มากราบหลวงพ่อด้วยการชักชวนของน้องสาว เมื่อปี 2524 น้องสาวมาบอกว่า เจ๊ไปทำบุญกับหลวงพ่อมหาวีระที่ซอยสายลมกันไหม หลวงพ่อมาสอนพระกรรมฐานด้วย แต่วันนั้น ฉันไมได้ฝึกพระกรรมฐานเพียงแต่มากราบองค์หลวงพ่อ และทำบุญกับหลวงพ่อด้วยความเคารพและปีติ

...ฉันคิดว่า ฉันได้พบพระที่เป็นพระสุปฏิปันโน หลังจากวันนั้นมา ฉันก็มาทำบุญกับหลวงพ่อทุกๆ เดือนที่หลวงพ่อมาซอยสายลม มีอยู่เดือนหนึ่ง จำไม่ได้ว่าเป็นเดือนอะไร ที่วัดท่าซุงมีงาน น้องสาวมาชวนไปทำบุญที่วัดท่าซุงด้วยการนัดพบที่ตลาดหมอชิต เวลา 10 โมงเช้าถึงบ่าย 2 โมง

...แล้วก็ไม่พบน้อง ก็คิดว่ากลับบ้านดีกว่า เด็กขายตั๋วรถบางปะอิน (ฉันเป็นคนบางปะอิน) บอกว่าน้องสาวและเพื่อนน้องสาวไปอุทัยฯ แล้วให้ตามไป ฉันก็ตามไปทั้งๆ ที่ไม่เคยไปวัดท่าซุงเลย ตลอดทางก็ขอพระบารมีองค์สมเด็จและองค์หลวงพ่อมาตลอดทาง

ด้วยพระบารมีองค์สมเด็จและองค์หลวงพ่อ ทำให้มีคนสงเคราะห์บอกทางมาจนถึงวัดท่าซุง และได้พบน้อง หลังจากได้ฝึกพระกรรมฐานแล้วก็กลับห้องพัก รู้ว่าหลวงพ่อจะเดินมาสงเคราะห์ดูแลพวกลูกๆ ฉันกับน้องและเพื่อนๆ ของน้อง ก็ออกมาคอยกราบหลวงพ่อที่หน้าห้องพัก พอหลวงพ่อเดินมาถึง หลวงพ่อเอาไม้เท้าป๊อกหัวฉันหนึ่งทีแล้วว่า

“มาแล้วหรือลูก” ทำให้ฉันขนลุกด้วยความปีติและคิดว่า ทำไมหลวงพ่อจึงรู้ว่าฉันหลงทางกับน้องแล้วเพิ่งมาถึง ฉันคิดว่านี่แสดงว่าองค์หลวงพ่อท่านรู้ทุกอย่าง ทำให้ฉันยิ่งมีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อมากขึ้น ตั้งแต่วันนั้นมา ฉันก็เที่ยวบอกเพื่อนๆ ว่าฉันได้พบพระที่เก่ง

ท่านสอนให้เราละวางและเห็นทุกข์ ชีวิตนี้เป็นอนิจจัง ให้เราถือศีลภาวนาไปถึงนิพพาน ฉันได้ชวนเพื่อนๆ มาฝึกพระกรรมฐานและทำบุญกับหลวงพ่อที่ซอยสายลมทุกเดือน ที่หลวงพ่อมาสอนพระกรรมฐาน ระยะหลังๆ นี้ฉันเห็นหลวงพ่อไม่ค่อยสบายมาก ยังต้องออกมาสอนลูกๆ ฉันสงสารหลวงพ่อมาก ที่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งโปรดลูกหลานทั้งวัน

ฉันคิดว่าจะต้องทำตัวให้เป็นคนดี ให้สมกับที่หลวงพ่อได้มาสงเคราะห์ สั่งสอนให้เรามีศีล สมาธิ ภาวนาและเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ฉันขอกราบขอขมาองค์สมเด็จและองค์หลวงพ่อ ถ้าหากว่าฉันได้ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ด้วยเจตนา หรือไม่เจตนาก็ดี ขอองค์สมเด็จและองค์หลวงพ่อโปรดยกโทษให้ลูกด้วยเจ้าค่ะ

ll กลับสู่สารบัญ