"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ (ตอนที่ 4 )
webmaster - 22/7/11 at 16:07

◄ ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 5 ตอนที่ 6 ►


ลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ

จัดพิมพ์โดย..คุณ อินทิรา สังขพิทักษ์ และคุณ มาลิดา ปานทวีเดช

( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )


☺....ทางทีมงานฯ ขอเสนอข้อมูลที่นับวันจะหายาก นั่นก็คือ "จดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ" ที่ท่านได้ตอบกับบุคคลต่างๆ ที่เคารพนับถือท่าน สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่เจริญ จำเป็นต้องอาศัยการโต้ตอบทางจดหมาย นับว่าดีที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งจะเป็นการตอบด้วยตนเองของหลวงพ่อฯ ต้นฉบับจะเป็นการพิมพ์ดีดของท่านเอง สมัยก่อนในห้องส่วนองค์ของท่านที่วัดท่าซุง จะมีเครื่องพิมพ์ดีดวางอยู่ นั่นคือเป็นแหล่งที่มาของหลักฐานต่างๆ เหล่านี้

......ด้วยเหตุนี้ ทางทีมงานฯ ขอขอบคุณและอนุโมทนาในความวิริยะอุตสาหะของ คุณ อินทิรา สังขพิทักษ์ และคุณ มาลิดา ปานทวีเดช ที่ได้ใช้เวลาว่างจากงานประจำ แล้วช่วยพิมพ์ส่งมาให้ลงให้อ่านกันเป็นตอนๆ หวังว่าผู้ชมทางเว็บไซด์วัดท่าซุงทุกท่าน คงจะได้ความรอบรู้และเข้าถึงลีลาการตอบจดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้เป็นอย่างดี


จดหมาย จาก หลวงพ่อ รวบรวมโดย พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ (30 ม.ค. 2535)

หนังสือ “จดหมายจากหลวงพ่อ” นี้ท่านเขียนถึงข้าพเจ้าบ้าง ถึงภรรยาของข้าพเจ้า (คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา หรือคุณอ๋อย) บ้าง ถึงบรรดาศิษย์ทุกคนบ้าง มีข้อความบอกให้ทราบกิจกรรม และอุปสรรคในการสร้างวัดท่าซุง (การสร้างเพิ่มเติมจากของเก่า) เป็นบางตอน บางฉบับก็เป็นคำสอน

นอกจากพิมพ์ขึ้นเพื่อให้เป็นหลักฐานในทางประวัติแล้วยังมีความประสงค์ให้จัดจำหน่ายเป็นรายได้สำหรับทำนุบำรุงวัดจันทาราม (ท่าซุง) ให้ยั่งยืนต่อไปสมกับที่หลวงพ่อได้ลงทุนลงแรงในการสร้างเพื่อส่งเสริม และดำรงพระพุทธศาสนาไว้ ขออนุโมทนากับท่านผู้บริจาคเงินซื้อด้วย
พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์
30 ต.ค. 2535

หมายเหตุ บางคนเคยกล่าวหาว่าหลวงพ่อเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง ค้าไม้เถื่อนบ้าง ข้อความในจดหมายจะแสดงให้เห็นว่าความจริงเป็นอย่างไร



สารบัญ
76.
“จดหมายวันที่ 31 ธันวาคม 2513”
77. “จดหมายวันที่ 21 มกราคม 2514”
78. “จดหมายวันที่ 24 มกราคม 2514 ”
79. “จดหมายวันที่ 18 เมษายน 2514 ”
80. “จดหมายวันที่ 1 พฤษภาคม 2514 ”
81. “จดหมายวันที่ 1 สิงหาคม 2514 ”
82. “จดหมายวันที่ 22 สิงหาคม 2514”
83. “จดหมายวันที่ 12 ตุลาคม 2514”
84. “จดหมายวันที่ 3 พฤศจิกายน 2514”
85. “จดหมายวันที่ 20 พฤศจิกายน 2514”
86. “จดหมายวันที่ 24 พฤศจิกายน 2514”
87. “จดหมายวันที่ 1 ธันวาคม 2514”
88. “จดหมายวันที่ 11 ธันวาคม 2514”
89. “จดหมายวันที่ 15 ธันวาคม 2514”
90. “จดหมายวันที่ 21 ธันวาคม 2514”
91. “จดหมายวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2515”
92. “จดหมายวันที่ 7 มิถุนายน 2515”
93. “จดหมายวันที่ 4 สิงหาคม 2515”
94. “จดหมายวันที่ 16 มีนาคม 2516”
95. “จดหมายวันที่ 16 มีนาคม 2516”
96. “จดหมายวันที่ 21เมษายน 2516”
97. “จดหมายวันที่ 24 เมษายน 2516”


76
31 ธันวาคม 2513

เรื่องพัดยศเป็นคุณ และโทษตามที่ท่านเจ้ากรมเขียนมาจริง ส่วนที่เป็นคุณมีมานาน พอดูสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นสมัยถวายพัดยศโดยพระมหากษัตริย์ถวายด้วยพระราชศรัทธาแท้ ๆ และคุณก็มากเพราะสมัยนั้นมีนักบวชชั้นดีมาก แต่นักบวชชั้นสวะก็คงไม่น้อย

แต่ถึงกระนั้นก็มีคุณมากหลาย ดังเมื่อพระนเรศวรกริ้วนายทหารหาว่าไม่ติดตามไปช่วยจับช้างชนกับพระมหาอุปราช กลับเมืองสั่งฆ่านายทหาร แต่อาศัยพระพิมลธรรมขอพระราชทานชีวิตนายทหารไว้ด้วยอ้างเทวดา และพระบารมีของพระองค์เป็นสำคัญ จนพระองค์ทรงให้อภัย

ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ก็มีคุณอนันต์ แต่เมื่อถึงตอนพัดยศอาละวาดนี่สิ สลดใจทันทีเรื่องนี้พระวินัยท่านห้ามพูด ถ้าพูดท่านหาว่านำเอาเรื่องชั่วช้าเลวทรามบอกแก่อนุปสัมบันท่านปรับเป็นโทษ เลยงดไม่พูดดีกว่า ที่บอกมาว่าถ้าพระมหากษัตริย์ถวายเองก็เห็นชอบด้วย เพราะพระองค์ทรงเห็นแล้วว่าดี ก็ดีเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่แอบ ๆ อิง ๆ กันขอมาแล้วเอาพัดมาเป็นเครื่องหมายสินค้านี่สิน่าตกใจ ที่พูดมานี้หมายถึงพวกนี้ทำให้พวกที่ดีพลอยมัวหมอง

เรื่องระเบียบในงานราชพิธี เห็นชอบด้วยกับท่านเจ้ากรม เพราะมีความจำเป็นอย่างยิ่งเรื่องของพัด มีประวัติมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้านิพพานแล้วไม่นาน พระเจ้าอชาตศัตรูถวายพัดสมัยที่ทำสังคายนาครั้งแรก ไม่ใช่มีไว้บังหน้ากันอายหรือจดคาถาสวดมนต์ได้อ่านตามความมุ่งหมายเดิม แต่ตอนหลัง ๆ นี่ก็เอาเข้าเหมือนกันพระที่สวดพระธรรมไม่ใคร่ได้แกแอบจดเข้าไว้ก็มี แต่เป็นพัดที่ไม่ใช่พัดยศ เป็นพัดรองที่เรียกว่า ตาลปัตร

ยุคหลังสมัยเมาพัด ถ้าท่านเจ้ากรมรู้เรื่องละเอียดจะงงไม่น้อย แต่ขออนุญาตไม่พูด เรื่องคำสั่งสมเด็จ ท่านสงเคราะห์มาตามนั้น ก็บอกว่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านมาสั่งอีกก็ลืมเขียนบอกมา พอดีได้รับจดหมายก็ขอบอกมาเสียเลย

เรื่องของคุณนาย ท่านให้พิจารณาขันธ์ 5 ตามกายคตาสติกรรมฐานเป็นประจำ และพิจารณาตามแบบวิปัสสนา คือเห็นความสลายของขันธ์ 5 เป็นปกติด้วย (ต่อมาถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็ง) เรื่องของท่านเจ้ากรม ท่านย้ำให้ค่อย ๆ ทำตามสั่ง แล้วจะพบของจริงที่คาดไม่ถึง คือพบเองแบบคุณสมาน



77
21 มกราคม 2514

หนังสือของท่านเจ้ากรมเขียนวันที่ 18 ม.ค. ได้รับ และทราบข้อความแล้ววันนี้เอง อ่านแล้วและก็ตรวจแล้ว ได้ความว่าคนพิมพ์เขาคงพิมพ์ไม่ผิด คนที่ผิดคือคนเขียนให้เขาพิมพ์
อัชฌาศัยมี 4 จริง คือ

1. สุกขวิปัสสโก
2. เตวิชโช
3. ฉฬภิญโญ
4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ความจริงคนเขียนหนังสือเล่มนี้ (คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน) เป็นที่น่าจะต้องตำหนิมาก เพราะบกพร่องมาก แต่เขียนขณะที่กำลังป่วย อาการใกล้จะเป็นผีก็เลยเขียนแบบผี ๆ คือถูกบ้างผิดบ้าง เมื่อเขียนและให้เขาพิมพ์แล้วจนบัดนี้อาการผี ๆ ก็ยังไม่หมดเพราะไม่เคยอ่านหนังสือฉบับนี้จบ แม้แต่เพียงหนึ่งในสี่ของข้อความในหนังสือนี้ก็อ่านไม่ถึง ไม่ทราบว่ามีอาถรรพ์อะไร
เมื่อไร ที่เห็นว่ามีเวลาว่าง หยิบขึ้นอ่านก็มีคนมาขัดคอ คือ มีแขกมาหา และถ้าว่างอีกก็เริ่มอ่านอีก อ่านไม่นาน หนังสือเล่มที่อ่านก็เลยมีคนมาขอไปเสีย เป็นอย่างนี้ตลอดกาล เลยอ่านกันไม่จบ เวลาจะอ่านก็มีน้อยเพราะต้องคอยใช้หนี้เก่าที่เคยใช้คนมาในชาติก่อน ๆ เขามาทวงเอาชาตินี้ บางทีเขาอาจจะทวงมาหลายชาติแล้วแต่ทว่าใช้หนี้ไม่หมด เขาเลยมาทวงเอาอีก

ชาตินี้คิดว่าจะเริ่มโกงเจ้าหนี้ เพราะถ้าขืนอยู่ให้ทวง พวกก็จะทวงไปอีกกี่ชาติก็ไม่รู้ ใช้ไม่ไหวแน่เลยทำหนังสือเดินทางออกไปอยู่ประเทศคนโกงหนี้ ขณะนี้เจ้าหนี้กำลังสอบประวัติ ถ้าเขาอนุมัติเมื่อไร ไปแน่เบื่อเจ้าหนี้เหลือเกิน มันทวงแค่ใช้ให้เหนื่อยนั้นพอทน ดีไม่ดีมันย่องเอาอะไรมาไชท้องให้ปวดบ้าง เอามือมาอุดช่องทวารห้ามถ่ายเสียบ้าง มันเกเรพิลึก

บางคราวก็สร้างอารมณ์ให้ปั่นป่วยเล่น เดี๋ยวนี้อารมณ์ให้รักสาวมันทำไม่ได้ทันก็หาทางรบกวนทางร่างกาย เมื่อเจ้าหนี้มันเกเร เราก็เกเรได้ ไปดีกว่า เมื่อได้หนังสือเดินทางเมื่อไร ไปนอนดูเจ้าหนี้มันชะเง้อมองเล่นเย็น ๆ ใจคิดว่าถึงจะอย่างไรก็ตาม จะพยายามหาหนังสือเดินทางให้ได้ จะเสียแป๊ะเจี๊ยะบ้างก็ยอม วันนี้คุยมากไปแล้ว เรื่องนี้ขอเอวังเพียงเท่านี้

ขอให้ท่านเจ้ากรมจงเป็นคนหมดหนี้เมื่ออายุ 62, 63, 64 ไม่เกิน 65 เถิด (ท่านบอกมาทีหลังว่าไม่ใช่เลขหวย)

◄ll กลับสู่สารบัญ


78
24 มกราคม 2514

เมื่อวันที่ 23 ทราบจากคุณนิด (อรอนงค์ อรรถไกวัลวที) ว่า ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกต่าย ความจริงชาวบ้านเขาเรียกว่าท่านตาย แต่อาตมาเรียกว่าท่านต่ายหรือหาที่อยู่ต่อไป
คุณนิดถามว่าทราบว่าท่านตายไหม

ก็บอกว่าไม่ทราบเพราะมาจากกรุงเทพฯ แล้วเจ้าท้องมันทำพิษ ก็ต้องใช้ยาระบาย มันเพลียก็เลยขี้เกียจเที่ยว อาศัยการปลงสังขารรู้สึกว่าสบายดี แต่ก็แปลกใจอยู่หน่อยหนึ่ง คืนที่กลับมาค้างบ้านครูนนทา กำลังปลงสังขารพอสบายก็ปรากฏแสงสว่างเกิดพุ่งมาทางศีรษะ มีแสงสว่างมาก แต่ก็ไม่คิดสงสัย เพราะขณะใดที่มีอารมณ์สบายจะปรากฏว่ามีพระพุทธรัศมีแบบนั้นปรากฏเสมอ แต่ทว่าวันนั้นเป็นแสงสว่างธรรมดาไม่มีแสงอื่นผสม ก็เลยคิดว่าคงเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมาสงเคราะห์ มันเพลียมากก็เลยปล่อยหลับไป ไม่ได้สนใจอะไรอีก

ต่อเมื่อคุณนิดมาบอกว่าท่านเจ้าคุณเทพตาย ก็พอดีวันนั้นเป็นหวัด ฉันยาแก้หวัดเข้าไป ตอนกลางวันนอนหลับพวกแขกที่พูดภาษาอินเดียไม่เป็น เมื่อมาหาเห็นว่าหลับก็พากันกลับ ตอน 15 น. ตื่นขึ้นรู้สึกสบายใจ มีกำลังทางร่างกายดี เก็บงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เสร็จแล้วก็คิดว่าคืนนี้จะออกเที่ยวสักที นานมาแล้วไม่ได้เที่ยว

พอถึงเวลา 19.55 น. ก็เตรียมสมาทานกันตามปกติ เมื่อเสร็จพิธีสมาทานก็ปลงสังขารตามเคย เวลาผ่านไป 30 นาที คือถึง 20.30 น. ได้ยินเสียงนาฬิกาให้สัญญาณ บอกว่าเหลืออีก 30 นาทีจะหมดเวลาแล้ว ก็ออกจากกายพบสมเด็จองค์ปฐมท่านมายืนคุม

ได้กราบทูลถามว่าท่านเทพประสิทธินายกไปไหน
ท่านบอกว่าไปนิพพาน
ถามว่าท่านเป็นพระอรหันต์ระดับไหน
ท่านบอกว่าเป็นพระอรหันต์ระดับวิชชาสามและทรงมโนมยิทธิ แต่ทิพยจักษุญาณสดใสเป็นพิเศษ เลยลาท่านจะไปตามดูเทพประสิทธินายก
ท่านก็บอกว่าไปเถอะ ทางนี้ฉันดูเอง

เมื่อไปถึงดาวดึงส์เข้าพบโยม เห็นบรรดานางสาวสวรรค์เข้าเวรกันมาก ก็ถามท่านว่ามาหาบ่อย ๆ โยมรำคาญไหม
ท่านบอกว่าไม่รำคาญ มาบ่อย ๆ ดีใจจะได้ไม่ต่ำ เวลาตายจะได้ไม่ไปอบายภูมิ เพราะจิตเกาะกุศล มองดูแม่สาว ๆ วันนี้แกไม่สวมชฎา แกปล่อยผมมาปรกหลัง
ถามว่าทำไมไม่สวมชฎา
แกบอกว่าอยู่เวรปกติไม่ต้องสวมชฎา เวลาท่านใหญ่ประชุมเทวดาจึงจะสวมชฎา

แปลกใจที่เทวดาบนสวรรค์มีเวลาถอดและสวมชฎา แต่เทวดาตามฝาผนังโบสถ์สวมชฎาตลอดกาล คุยกับโยมเล็กน้อยแล้วก็ลาท่าน บอกว่าจะไปพระจุฬามณี ความจริงก็มีสถานที่ติดกันนั่นเอง
ท่านบอกว่านิมนต์ตามสบาย จะมาหาท่านเทพฯ ใช่ไหม
ก็ตอบท่านว่าใช่
ท่านบอกว่าท่านเทพฯ กำลังมาที่จุฬามณี

จึงเดินเข้าจุฬามณีทางประตูทิศตะวันตก เมื่อผ่านท่านมเหสักขาที่ยืนเป็นยามเฝ้าประตู ท่านเป็นเทวดาอนาคามี
ท่านมเหสักขาบอกว่า หลวงพ่อครับท่านเทพฯ ที่หลวงพ่อต้องการพบท่านกำลังจะออกมาแล้ว
ก็เลยเดินสวนเข้าไปพอดีพบท่านเทพฯ เดินสวนออกมาพอดี ท่านสว่างมากเหลือเกิน ท่าทางสง่างดงามมาก พอถึงกันท่านก็จับมือถามว่าตามฉันทำไป

ก็ตอบว่าไม่ทราบว่าไปทางไหนก็ลองตามดู
ท่านบอกว่าดี แบบนี้ดี ทำไปเป็นปกติเถอะ มีประโยชน์แก่ตัวเองมาก
ถามท่านว่า ท่านมีทิพยจักษุญาณแจ่มใสมาก ผมทำไม่ได้อย่างท่าน เมื่อท่านตายมาแล้วผมก็หนัก ยิ่งแก่มากผมก็ยิ่งหนัก เพราะคนก็จะรวมตัวเข้ามา ขอให้ผมแจ่มใสอย่างท่านบ้างได้ไหม

ท่านบอกว่ารักษาสมาธิที่ศูนย์ไว้เป็นปกติก็แล้วกัน มันจะคล่องตัวเอง และชำระใจให้สะอาด มันจะสว่างมากเอง แล้วต่างก็ลากันไป ท่านไปที่ของท่าน อาตมาเข้าไปนมัสการพระ
พอเข้าไปพระท่านก็ว่าคุณไม่มานานแล้ว ควรมาเป็นปกติ การปลงสังขารเป็นของดี แต่ญาณเครื่องรู้จะฝืด เวลานี้เรามีศิษย์จำเป็นต้องใช้ญาณ ควรหันกลับเข้าใช้ญาณตามเดิม ความรู้จะได้ว่องไวตามเดิม แล้วท่านก็สอนเยอะ ต่อนั้นไปท่านก็ให้ไปเฝ้าสมเด็จพระสมณโคดมที่นิพพาน

ขึ้นไปเห็นว่าท่านใสสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ เข้าไปถวายนมัสการท่านที่พระบาท ท่านตรัสเตือนเรื่องใช้ญาณอีก ท่านว่าเธอปล่อยมากเกินไป การปลงเป็นสมบัติส่วนตัว การทำญาณให้คล่องเป็นเครื่องมือช่วยศิษย์เธอต้องทำให้คล่องตามเดิม
แล้วท่านมหากัจจายนะอาจารย์สอนญาณเครื่องรู้ก็เข้ามาหาสมเด็จท่านบอกให้ท่านมหากัจจายนะเป็นพี่เลี้ยงเดินนำทางไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป ความจริงไม่ต้องนำก็แวะอยู่แล้ว

ถามท่านสมเด็จพระสมณโคดมว่าทำไมข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องมีท่านมหากัจจายนะเป็นผู้ควบคุม องค์อื่นคุมไม่ได้หรือ

ท่านตรัสว่าเธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน กัจจายนะก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน คุณที่ปรารถนาพุทธภูมิจนเข้าถึงบารมีปลาย เอาพระประเภทสาวกปกติคุมไม่ได้ เพราะจะไม่สามารถทำให้เลื่อมใสได้ ต้องเป็นพวกพุทธภูมิด้วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องพระพุทธเจ้าโดยตรงจึงจะทรมานกันได้

คำว่า ทรมาน หมายถึงว่า ทำให้เชื่อ และเลื่อมใสไม่ใช่ทรมานอย่างฝรั่งเศสขังคุกขี้ไก่ เมื่อไปเฝ้าพระพุทธกัสสป ท่านก็เตือนเรื่องใช้ญาณ และให้หมั่นขึ้นไปเพราะเวลานี้ขาดเฝ้ามานาน การเฝ้าท่านมีประโยชน์จากการได้รับพุทธบัญชาบอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้

แล้วเอามาแนะนำต่อ ๆ ไป ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์มาก แต่ว่าเจ้าแก่มันขี้เกียจ เลยถูกเทศน์ตลอดสาย เมื่อพระองค์ทรงตักเตือนพอสมควรแล้ว ก็ทรงมีพระพุทธบัญชาให้ไปที่อยู่โดยมีพระมหากัจจายนะ พระอาจารย์เป็นผู้ควบคุม

เมื่อจะเข้าประตูเห็นยักษ์ 4 ตน ยืนอยู่ที่ด้านนอกของประตูเป็นปกติ ยักษ์พวกนี้เป็นยักษ์อนาคามีเป็นลูกเป็นหลานเก่าเขาเห็นเขาก็ดีใจ พอเข้าประตูไปด้านในมีพรหม 4 ท่าน เป็นพรหมอนาคามีเหมือนกัน เป็นยามด้านใน เมื่อสนทนาปราศรัยกันตามสมควรแล้วก็เดินเข้าสู่สถานที่ พอไปถึงหอระฆังหน้าที่อาศัย จำได้ว่าเมื่อตายครั้งหลังในชาตินี้ มาตรงนี้ และพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

ท่านเคยตรัสว่าเธอเคยคิดไหมว่าชาตินี้เธอจะมาพระนิพพานได้
ได้กราบทูลว่าไม่เคยคิดว่าจะมาได้
ท่านทรงถามว่าเพราะอะไรจึงคิดอย่างนั้น
ได้กราบทูลท่านว่าวิปัสสนาอ่อนมาก และสนใจน้อย

ท่านถามว่าเธอทราบไหมว่านิพพานอยู่ไหน
กราบทูลท่านว่าไม่ทราบ
ท่านตรัสว่าที่ตรงนี้เขาเรียกอะไร
กราบทูลท่านว่าไม่ทราบ

ท่านถามว่าเทวดา และพรหมทุกชั้นเธอรู้จักหมดไหม
กราบทูลท่านว่ารู้จักหมด
ท่านถามว่าที่ตรงนี้เป็นแดนของเทวดาหรือพรหม
กราบทูลว่าไม่ใช่เทวดา และพรหมทั้งสองอย่าง เพราะพรหมมีชั้นที่ 16 เป็นชั้นสูงสุดก็ผ่านมาแล้ว

ท่านตรัสว่าที่ตรงนี้เขาเรียกกว่า นิพพาน
เมื่อท่านตรัสบอกอย่างนั้นก็เลยตกใจ คิดว่าท่านคงตรัสผิด ดูเถอะเจ้ามนุษย์กิเลสหนา มีกิเลสตัณหาเสี้ยมสอน มันคิดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกเองยังคิดว่าท่านตรัสผิด
จึงกราบทูลท่านว่าตามที่เรียนมานั้นครูบาอาจารย์ท่านสอนว่านิพพานไม่มีรูป ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรปรากฏ
ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า เธอมาถึงนิพพานแล้วยังสงสัย

เป็นอันว่าในที่สุดท่านรับรองว่านิพพานมีสถานที่มีรูปมีความสุข เป็นสถานที่มีอารมณ์ปกติ ไม่มีอารมณ์ ความรัก โลภ โกรธ หลง และอารมณ์ขัดข้องใด ๆ เลยเป็นอารมณ์ว่างสบายด้วยประการทั้งปวง ไม่มีห่วง ไม่มีกังวล ขั้นสุดท้ายท่านก็นิรมิตไม้ขึ้น 10 ท่อน

ท่านบอกว่าคนที่จะมานิพพานได้จะแบกไม้นี้ไหว ถ้าแบกไม่ไหว้ก็จะมานิพพานไม่ได้ แล้วท่านก็เรียกพระที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ที่ตายไปแล้วมา 9 องค์ ปรากฏว่ามีหลวงพ่อปานเป็นองค์ที่ 4 ทุกองค์มาถึงก็แบกไม้ขึ้นบ่าไม่มีท่าทางแสดงว่าหนักเลย เหลืออีกท่อนหนึ่ง

ตรัสว่าท่อนนี้เธอแบก ตอนนั้นกำลังใจไม่มีเลย ใจมันบอกว่าไม่ไหว แต่เกรงพระบารมีก็จำต้องเข้าไปหยิบไม้ท่อนที่เหลือท่อนเดียวนั้น ตั้งท่ายักแย่ยักยันออกแรงเสียสุดแรงเกิด
พอหยิบเข้าจริง ไม้ท่อนนั้นไม่มีน้ำหนักเลย มีความหนักคล้ายเศษกระดาษชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ก็รู้สึกว่าเบา ก็เลยออกเดินตามพระที่แบกก่อนไป พอเดินไปได้หน่อยเดียวท่านก็เรียกให้เอาไม้มาวางที่เดิม และให้กลับมานั่งที่เก่า

ท่านบอกว่าเธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนายังอ่อนกลับไปซ้อมวิปัสสนาให้เข้มข้นเสียก่อน เธอจะมานิพพานได้ในชาตินี้ สถานที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอเกิดมีขึ้นเพราะอาศัยอานิสงส์ที่สร้างวิหารทาน (สร้างที่อยู่อาศัยเป็นสาธารณะประโยชน์)

การป่วยคราวนั้นมีอารมณ์ตัดหมดคิดว่าเราไม่มีทรัพย์สินไม่มีญาติร่างกายไม่ใช่ของเรา ห้ามคนที่มาเยี่ยมพูดถึงทรัพย์สิน และเรื่องอื่นทั้งหมด พูดได้อย่างเดียวธรรมปฏิบัติตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าอารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณ และเป็นอารมณ์ของพระที่เข้าถึงนิพพาน ทำส่งเดชแต่ด้วยใจจริงเข้าทำนองที่ท่านกล่าวว่าบังเอิญขี้ตรงร่องความจริงไม่เห็นร่อง

เมื่อหวนคิดถึงความหลังครั้งกระนั้นขึ้นมาแล้ว ก็เลยไม่นั่งตรงที่พระพุทธเจ้าท่านนั่ง นั่งลงข้างล่าง กราบตรงนั้นสามครั้ง พอเงยหน้าขึ้น เห็นท่านมานั่งที่เดิมอีก
และก็ตรัสว่า วีระ เธอคิดถึงความหลังหรือ
ก็กราบทูลว่าคิดอย่างนั้นพระเจ้าข้า
พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า ดีแล้ว ต่อไปนี้จงซ้อมญาณให้คล่องตามเดิมนะ จะได้เป็นที่อาศัยของศิษย์

พระองค์ทรงชี้ให้ดูสถานที่ว่าหลังนี้เป็นที่อยู่ของเธอ เป็นแก้วมณีโชติ หลังนี้เป็นที่ประชุม หลังนี้เป็นที่พักการประชุมเป็นแก้วมณีโชติเหมือนกัน คงจะสงสัยว่าทำไมจึงเรียกว่าแก้วมณีโชติ เรียกแก้วมณีเฉย ๆ ไม่ได้หรือ มันไม่เหมือนกัน แก้วมณีธรรมดามีสีใส แต่ไม่สว่างมีแต่รัศมีออก เมื่อต้องแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ ส่วนแก้วมณีโชตินั้นมีแสงสว่างออกมาเองเหมือนโคมดวงใหญ่ แต่สวยงดงามมาก

เมื่อท่านทรงตักเตือนหมดเรื่อง ก็กราบทูลถามว่า ท่านเทพประสิทธินายกอยู่ที่ไหน
ท่านก็ทรงชี้ให้ดูทางทิศตะวันออกของที่อยู่ว่า นี่วิมานของเธอ ต่อไปนี้เป็นสระโบกขรณีของเธอ ถัดสระไปเป็นวิมานของนนทาเทวี ห่างจากวิมานนนทาเทวีไปสามคาวุตก็ถึงวิมานของเทพประสิทธินายก

ขณะนี้เธอนั่งอยู่บนที่ของเธอมองตามไปเห็นท่านนั่งสุกปลั่งคล้ายแสงอาทิตย์วิมานเป็นแก้วมณีล้วน ทูลถามท่านว่า สามคาวุตของนิพพาน เทียบระยะความไกลของเมืองมนุษย์ได้เท่าไร
ท่านบอกว่าประมาณแสนโยชน์

พอตรัสเท่านี้ก็ได้ยินเสียงนาฬิกาที่กุฏิให้สัญญาณบอกเวลา 21 น. พระองค์ตรัสว่าได้เวลาแล้วลูกศิษย์จะทรมานตัวเกินไป เธอกลับได้อีก 10 ปี เธอมีสิทธิ์มาที่อยู่ของเธอได้ตามความต้องการ แต่จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ หรืออีกประเดี๋ยวหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต ก่อนเธอจะมา ลูกศิษย์เขาจะทำตนเป็นคนเข้าถึงธรรมได้หลายคน
เมื่อกลับไป พรุ่งนี้เธอเขียนเล่าเรื่องนี้ให้อ๋อย (เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เขาอ่าน อ๋อยเขาเป็นคนมีศรัทธาจริตและพุทธจริต คือมีศรัทธาแต่เชื่อเหตุผล ไม่งมงาย เล่าให้เขาฟัง เขาจะได้เร็วกว่าเดิม แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับ หลวงตาแก่จอมเกเรก็กลับเหมือนกัน

ขอทุกคนที่อ่านจงเป็นคนเห็นถูก อ่านแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ ใคร่ครวญสอบทานเสียก่อน เมื่อควรจึงค่อยเชื่อเมื่อยังหาเหตุผลไม่พบก็เก็บเอาไว้ก่อนต่อเมื่อค้นคว้าถึงระดับแล้วเอามาอ่านใหม่ ตอนนั้นจะตัดสินใจได้ด้วยตนเองแล เทอญ
ไอ้ศัพท์ว่าแล และเทอญเขียนเข้ามาทำไมก็ไม่รู้มันอยากเขียนก็เขียนมาส่งไปอย่างนั้นเอง เอาละเอวังกันเสียที ขอความสุขสวัสดี ไม่มีสวัสดิ์ร้ายจงมีแก่ทุกคนที่อ่านหนังสือนี้เถิด

◄ll กลับสู่สารบัญ



79
18 เมษายน 2514

จดหมายได้รับแล้วตั้งแต่วันที่ 17 เรื่องเจ้าแดงกัด คนโดนกัดไม่มีแผลรู้สึกว่าเก่งมาก เพราะเจ้าแดงมันเกิดรักษาสมบัติยายมันได้ คิดไม่ถึง เพราะมรดกนี้ถูกบรรดาลูกหลานของยายเก็บไว้เสียรุ่นหนึ่ง คือผ่านมา 1 รุ่น ที่หาหมากัดคนไม่ได้ มามีเอาเจ้าแดงตัวเดียว

เจ้าของก็ติดประมาทเป็นเหตุให้คนถูกกัดเสียหลายคน เรื่องที่สงสัยว่ามันมีเปอร์เซ็นต์บ้าหรือเปล่า มันไม่มีเลย เป็นหมาแอบกัดหรือลักกัดปกติ ไม่ต้องเกรงว่าพิษแบบนั้นจะเป็นเหตุ

เรื่องของคุณนิด เมื่อคุณนายมาบอกก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมพวกที่มีอาการอย่างนี้จึงต้องถูกเกณฑ์ให้มาพบกันเสมอ พอพบกันได้ก็มักจะมีอาการปกติ ที่ผิดปกติไปหน่อยก็คือเขามีดีขึ้นมาจากอานุภาพของท่านผู้มีบุญ นั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกได้

ทั้งนี้เพราะเหตุว่า อาตมาเองก็โดนเข้าทำนองนี้ประมาณ 5 ปี มีอานุภาพแปลก ๆ บางคราวก็เรียบร้อย สงบเสงี่ยมบางคราวเอะอะโวยวายเหมือนบ้า ๆ บอ ๆ บางคราวเพียงแค่หยิบทองแดงมาม้วน ไม่ต้องเสกก็ ลองมีด ลองปืน ได้ทันที บอกว่าใครจะเป็นอะไร คนนั้นต้องเป็นตามนั้นไม่เกินสามวัน
ความจริงความรู้หรือความสามารถในตัวเองไม่มี ไม่ทราบว่ามีมาได้อย่างไร กว่าจะรู้ตัวได้ก็อาศัย ท่านแก้วจินดา เป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี มาบอก กว่าจะเชื่อเทวดาได้ก็ลองเทวดาเสียหลายเพลง เมื่อเห็นมีเหตุผลพอก็เลยเชื่อ

พอเชื่อแล้วอาการกลับเปลี่ยนไป การทรงความเป็นผู้วิเศษค่อยสลายตัวไป เกิดพอใจในความสงบเป็นสำคัญเรื่องของมันเป็นอย่างนี้ เมื่อมีคนที่พบอาการอย่างเดียวกันเข้าจึงพอจะลงโรงร่วมกันได้ หรือว่าเขาจัดเหล่าไว้เป็นพิเศษกระมัง เรื่องนี้วันหน้าต้องทูลถามสมเด็จดู ท่านจะทรงโปรดประทานพระพุทธดำรัสว่าอย่างไร ถ้าไม่ลืมจะบอกให้ทราบ

คุณนิด ตามความรู้สึก คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก เพราะท่านที่คุมไม่ใช่อันธพาล มีความประสงค์ดี ให้คุณนิดบวชเสียก็แล้วกับบวชแบบไทย ไม่ใช่แบบฝรั่ง คืออยู่บ้านตามปกติพยายามปลดนิวรณ์ตามโอกาส ไม่ใช่ตลอดวัน เวลาใดว่างเวลานั้นกำหนดไว้ว่าตั้งแต่เวลาเท่านี้ถึงเท่านี้ จะพยายามกำจัดอารมณ์ยุ่งตามแบบฉบับของนิวรณ์ให้ระงับ

ตาสัจจาพรหมแกมาหาขณะเขียน แกบอกว่าเอาวันละ 1 ชั่วโมง ก็พอ ให้ค่อย ๆ คิดปลด ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็จะปลดหมดตัว แกมายืนเทศน์ให้ฟังว่าอย่างนั้น ถามแกว่าจะให้ทำอย่างไรอีก ตานี่แกมีนิสัยคล้ายสัจจะพรหม

แกบอกว่า ขึ้นต้นเท่านี้พอใจแล้วโว้ย ดูเถอะ เพื่อนฉันแต่ละคนเป็นอย่างดี ฉันคนเดียวจะเอาดีอะไรได้ เจ้าเพื่อนมันคอยมาโว้ยอยู่เสมอ เป็นพรหมแล้วยังไม่สำรวม เขียนมาตรงนี้ตาสัจจาแกอ้าปากกว้าง

แกว่า ก็โว้ยแต่ท่านเท่านั้น เราเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ถือกันด้วยหรือ เห็นไหมเรื่องของนิสัย ไม่มีใครทิ้งได้ ตานี่แกเคยเป็นขุนนางระดับเจ้าพระยามาแล้ว หลายสิบวาระเป็นพ่อเมืองก็เป็น แกก็ใช้ของแกแบบนี้เมื่อพบเพื่อน แต่แกเป็นคนเด็ดขาดนะ อย่าขัดใจแก ถ้าเห็นปากเป็นม้าเมื่อไร ยุ่งเมื่อนั้น

ท่านสัจจาสั่งถึงคุณนิด
1. จงพยายามทำใจให้สบายอย่าเห็นสามีหรืองานสังคมว่าเป็นภัย ปฏิบัติตัวตามหน้าที่ แต่จงเห็นอนิจจังไว้เสมอ
2. เมื่ออนิจจังปรากฏ จงเห็นว่าคนที่ยึดสมบัติที่เป็นอนิจจังว่านิจจัง คนนั้นเป็นผู้เข้าถึงทุกข์ มีทุกข์เป็นสมบัติ เมื่อเห็นอนิจจังว่าเป็นอนิจจังแล้ว จงสบายใจว่าเราฉลาดแล้ว ที่เห็นสภาพอนิจจังที่มีความละเอียดยิ่งกว่าอณูต่าง ๆ ได้

เราเป็นสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราเริ่มเข้าสู่จุดของความสุขแล้ว ถ้าเราเห็นทุกข์ และวางทุกข์ได้ ด้วยทุกข์ที่จะมีได้เพราะอาศัยอนิจจังเป็นปัจจัย และตัณหากลับใจคนให้เห็นอนิจจัง เป็นนิจจัง (ความไม่เที่ยงเห็นว่าเที่ยง) (ของพังได้คิดว่าไม่พัง เมื่อความเข้าใจพลาดเกิด คิดว่าไม่พังมันเกิดพัง จิตก็เป็นทุกข์)

3. เมื่อเห็นทุกข์วางทุกข์เสียได้เพราะไม่มีอะไรผิดปกติก็คือทุกอย่างมีสภาพปกติมีการเกิดการสร้าง แล้วก็มีการทำลาย มันทำลายตัวของมันเองบ้าง มีผู้อื่นทำลายมันบ้าง เห็นอาการอย่างนี้เป็นเรื่องปกติ เราอยู่แค่ตาย เราเกิดแค่โง่ ต่อไปเราเลิกโง่ เราก็เลิกเกิด

4. การติดตามสามี ให้คิดว่าเป็นหน้าที่ของคนเกิด เพราะความโง่ เพราะเราแบกโง่ไว้เราจึงต้องเกิด เมื่อก่อนเกิดเราตั้งใจไว้ว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อมารับหน้าที่ ที่เราคิดว่าจะมาทำก็จงอย่าเบื่อหน้าที่ แต่จงเบื่อความโกรธ

คนที่ไม่เกิดต่อไป คือคนที่ไม่กลุ้ม เห็นอะไรก็ตาม เห็นว่าเป็นธรรมดา คิดว่าเมื่อโง่มาเกิด เราก็จะโยนโง่ทิ้งเสียด้วยอำนาจรับรู้รับทราบกฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีอารมณ์เป็นปกติ ทำหน้าที่ไม่บกพร่อง แต่ไม่คิดความเกิดโดยคิดว่าเกิดใหม่มีทุกข์ เลิกเกิดกันดีกว่า

แกบอกว่า วันนี้แกพูดด้วยเท่านี้ ตานี่แปลก พูดไม่ทันสุดเรื่อง พ่อเลิกเฉย ๆ เมื่อว่าแก แกก็บอกว่าเท่านี้มันก็แบบแย่อยู่แล้ว แกย้ำว่าค่อย ๆ ปลดนิวรณ์ไม่ช้าก็จะสบาย เมื่อแกลาไปก็ขอเลิกเขียน ความจริงตาปากกว้างนี่ เมื่อไม่พบกันคิดว่าเป็นใครที่แท้ก็พวกไม่ใคร่เต็มบาทร่วมกันมานั่นเอง แกอ้างว่าแกเป็นปู่คุณนิด แต่ว่าหลายร้อยชาติมาแล้ว



80
1 พฤษภาคม 2514

เรื่องคุณนิดเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกว่าทางของแกกับทางเดินของอาตมาไม่ต่างกันเลยมาแบบเดียวกัน เป็นประเภทอยากเอาจริง อยากพิสูจน์ และชอบเชื่อความสามารถของตนเป็นสำคัญ ชอบผลที่แน่นอน มีความดิ้นรนจนบอกไม่ถูก

เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่ผ่านงานประเภทนี้จริง แต่คนที่ไม่เคยพบเห็นจะเห็นว่าแปลก คนที่ผ่านมาแล้วจะเห็นเป็นเรื่องปกติ ต่อไป ถ้าพบของจริงแล้วก็เลยเสียเวลาที่แสวงหาฤทธิ์ เห็นว่าเป็นเรื่องของการเหนื่อยเปล่า สู้พวกเงียบปลงตกไม่ได้

แต่ทว่าจะเกณฑ์ให้ชอบใจเหมือนกันไม่ได้ ต้องปล่อยให้หมดฤทธิ์ แล้วจะเข้าทางเอง แต่แกก็ดีมาก เป็นคนมีเหตุผลมาก น่ารักทีเดียว คนอย่างนี้วันหน้าดีแน่ พอจับจุดดีได้ก็จะเป็นอาจารย์พรรคพวกได้ทีเดียว จัดว่ามีระดับดี ต้องรอเวลาอีกหน่อย

ทราบจากอาจารย์ยุ้ยว่า คุณนายมายั่วที่ท่าโป๊ะว่าจะสร้างโบสถ์ ก็ต้องรีบสร้างถ้าช้าอีกสามปีคุณเสริมจะสร้าง ดูแกชักจะเร่งรัดตัวเองเพราะเกรงว่าท่านเจ้ากรมจะตัดหน้า เรื่องของศรัทธานี้น่าเลื่อมใส แกจะสร้างหรือไม่ ด้วยอำนาจตั้งใจจริง และแน่ใจว่าจะสร้าง อย่างนี้คนตาทิพย์เขาเห็นวิมานทันทีที่ตัดสินใจเด็ดขาด

แต่ก็มีคนที่ฉลาดกว่าคว้าวิมานหลังงาม ๆ ได้โดยไม่ต้องลงทุนก็มีเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นคนฉวยโอกาส แต่ทว่าเป็นคนฉลาด คิดสงเคราะห์สงฆ์ นั่นคือนักไวยยาวัจมัย ผู้ขวนขวายสงเคราะห์สงฆ์อย่างที่คุณนายทำ คือชักชวนมาเพื่อให้เกิดศรัทธา

เมื่อผู้ถูกชักชวนมีศรัทธาตั้งใจทำจริงจะมีโอกาสทำหรือไม่ก็ตามเขาได้วิมานเพราะการตัดโลภะทันทีที่ตัดสินใจคนชักชวนก็ได้ ไม่ใช่พลอยได้ ได้เพราะอำนาจไวยยาวัจมัย คือขวนขวายสงเคราะห์สงฆ์อานิสงฆ์ไม่หนีกันเลย
การสร้างโบสถ์เป็นปัจจัยในชั้นกามาวจรคือเกิดบนสวรรค์ ไวยยาวัจมัยก็เป็นปัจจัยชั้นกามาวจรเหมือนกัน เป็นอันว่าต่างคนต่างมีวิมานบนสวรรค์เหมือนกัน มาตอนสร้าง ถ้าเจ้าทรัพย์สร้างจริง ผลของการสร้างก็ทวีความงามของวิมาน และเพิ่มทรัพย์สมบัติ คนมีหน้าที่เป็นไวยยาวัจมัยก็เพิ่มภาระในการบำรุงศรัทธา และให้ความสะดวก ก็เพิ่มความสวยของวิมาน และทิพย์สมบัติเหมือนกัน

ไวยยาวัจมัยก็คือคนชักชวนนั่นเอง อย่างที่คุณนายทำนั่นแหละเขาเรียกว่าไวยยาวัจมัย หรือไวยยาวัจกร เป็นอันว่าคุณนายก็ได้ด้วย แต่ไม่เรียกว่าพลอยได้ เพราะมีผลงานกันคนละอย่าง ถ้าจะถามว่าใครเด่นกว่ากัน ก็ต้องตอบว่าเทวดาไม่ต้องหุงข้าวกินเหมือนกันทุกองค์

ช่วยเรียนท่านเจ้ากรมให้ทราบด้วยว่า อำนาจไฟฟ้าที่ท่านเจ้ากรมสงเคราะห์คือให้เงินมาเกินกว่าที่เอาไฟฟ้าเข้าวัด เงินที่เหลือพอเป็นเจ้าของพัดลมทั้ง 6 ตัวได้เลย ส่วนหลอดสายที่เพิ่มใหม่ครูนนทาช่วยบ้าง และขายเครื่องบ้าง พอชำระเรื่องของไฟฟ้า เป็นอันว่าเรื่องนี้ไม่มีหนี้เป็นอันว่ากระแสไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างเป็นของเจ้ากรม

พัดลมทุกตัวที่ติดใหม่เป็นของท่านเจ้ากรม ชื่อที่เขียนไว้เป็นชื่อที่ท่านสงเคราะห์ ขอท่านเจ้ากรมทราบว่าแสงสว่างหรือความเย็นอันเป็นความสุขที่มนุษย์ต้องการ ท่านเป็นเจ้าของแน่นอน ขณะนี้เทวฤทธิ์ (พระอาทิตย์) ทรงโปรดตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 3 น. ต้องเปิดพัดลมตลอดเวลา

ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องนอนแช่ในน้ำ เพราะมันร้อนเหลือเกิน อานิสงส์ที่ท่านเจ้ากรมสงเคราะห์ให้ทุกคนได้อาศัยความสะดวก ขอผลนี้จงบันดาลให้ท่านได้ทิพย์จักขุญาณโดยไวเถิด พระจะได้ไม่ใคร่เหนื่อยเบื่อเต็มทนแล้ว อยากจะปลดตัวเองเสียที

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 30/7/11 at 12:34

81

1 สิงหาคม 2514

ท่านสาธุชน (คนดี) ทั้งหลาย (ขึ้นต้นแบบนี้เพราะส่งถึงหลายสาย)
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ตอน 20 น.เศษ ฉันทำกรรมฐาน คือ คุมคนชอบกรรมฐาน และไม่ใคร่ชอบกรรมฐานแต่ชอบมานั่งร่วม วันนี้ฉันมีร่างกายกะย่องกะแหย่งมาก เพราะเจ้ากระเพาะมันขี้เกียจระบายขี้ แก๊สมันดันหัวใจเสียดตลอดวัน แรงก็ไม่มี ตาพร่าฟาง ร่างกายอิดโรยไม่มีแรง

ตอนกลางวันฉันทนถ่อกายไปตรวจงานก่อสร้างวัด เสริม-ศรี ศุขสวัสดิ์ ที่สองตายายผู้มีศรัทธามั่นคงเป็นประธานการก่อสร้าง ฉันนอนดูงานแล้วฉันก็คิดไปด้วยว่าฉันจะพยายามกำหนดแผนงานเพื่อหยุดไว้เสมอ คือปีนี้ฉันจะให้มีกุฏิ 1 หลัง สองชั้น ๆ ละ 6 ห้อง เป็นตึกตามแบบฉบับของฉัน ฉันมันคนไม่ใคร่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาทำอะไรก็ไม่ใคร่จะเหมือนใครเขา เรียกว่าทำตามคนบวม ๆ เมื่อคนสั่งให้ทำมันบวม อาคารสถานที่ทำขึ้นมันก็พลอยบวมไปด้วย

เมื่อขณะดูงานก็คิดว่ามีกุฏิมีที่เจ้าวัดรับแขก มีส้วม มีศาลาเดินทำบุญ มีศาลาพักแขก เท่านี้เราพอใจเป็นงานเสร็จงวดหนึ่ง จะสร้างหรือไม่สร้างต่อก็ถือว่าพอไปแล้วตอนหนึ่ง เมื่อทำเสร็จก็หาเรื่องชำระหนี้ เมื่อชำระหนี้แล้ว จะทำหรือไม่ทำต่อก็ไม่เป็นไร เพราะอาคารที่จำเป็นระดับแรกเสร็จแล้ว งานทั้งหมดกำหนดเงินไม่ให้เกินแสนมากนัก หรืออยู่ในวงเงินหนึ่งแสนบาท

บรรดาช่างที่มาดูงานเขาคงคิดว่าฉันบ้า เพราะเขาบอกว่าเพียงกุฏิหลังเดียว เขาก็รับไม่ได้ในราคาแสนบาท แถมมีส้วมซึมธรรมดาอีก 4 ห้อง มีศาลาดินยาว 12 วา กว้าง 6 วา อีก 1 หลัง ต้องถมลูกรังประมาณ 366 คิว ความจริงอาจจะกว่า เพราะที่ลุ่มมาก ทำศาลาพักแขกยาว 12 วา กว้าง 2 วา อีกหนึ่งหลังเขาพากันลงหัวว่างานทั้งหมดนี้ แสนห้าหมื่นก็ทำไม่ได้

หลวงพ่อจะทำอย่างไรให้แล้วเสร็จในวงเงินหนึ่งแสนเศษ ตั้งใจจะให้มีเศษไม่เกินสองหมื่นบาทหรือไม่เกินแสนบาทเขาพากันนั่งซุบซิบ ฉันคิดว่าเขาคงพูดกันว่า หลวงตาหัวล้านบ้าแน่ คิดไม่ทันงาน แต่ฉันคิดว่าฉันทำของฉันได้ ฉันมีเงินสดอยู่สองหมื่นบาท เสียค่าแรงงานบ้าง ซื้อของที่สั่งเป็นสินเชื่อบ้าง
มันไม่พอฉันก็ยืมเขาอีกหมื่นบาทเศษ ประมาณหมื่นห้าพันบาท แต่เมื่อทำเสร็จ ฉันจะขายศาลาพักแขกกับส้วมให้ครูนนทา เพราะลงทุนประมาณ 6-7 พันบาท เป็นการบรรเทาหนี้เงินสด นอกนั้นถ้าหาที่ไหนไม่ทัน ฉันจะค่อย ๆ แขม่วท้อง เอาเงินค่าขนมที่ทุกคนสงสารฉันให้ฉันซื้อท็อฟฟี่เอามาผ่อนชำระหนี้ที่เร่งร้อนแล้วอาศัยกฐิน ผ้าป่า มีเทศน์ เพื่อชำระหนี้ที่ไม่ร้อน

ความจริงวัดนี้ก็แปลกมาก เมื่อเริ่มทำมีประมาณ 7 ไร่เศษ เดี๋ยวนี้มีคนบอกให้ที่ดินที่ติดต่อกับวัดออกไปอีกมาก รู้สึกแปลกใจ แต่ฉันก็ดีใจที่ฉันเอา (ของ) พ่อฉันกลับคืนมาได้ พ่อฉันคือพระพุทธเจ้าด้วยที่ ๆ เขาให้ สอบแล้วปรากฏว่าเป็นที่วัดเก่าแน่ เพราะเจ้าของที่บอกว่ามีเจดีย์ และร่องรอยวิหาร

แต่เจ้าที่เอารถไอ้โม่งไถเสียหมด เขายืนยัน ฉันดีใจที่ได้ทดแทนคุณพ่อฉันโดย เรียกสมบัติพ่อ ที่คนอื่นเอาไปกลับมาเป็นของพ่อตามเดิม ทุกคนที่ร่วมเงิน ร่วมแรงร่วมใจ ก็เป็นผู้มีหุ้นเอาที่พ่อฉันกลับคืนมาด้วย ฉันขออนุโมทนา และให้ทุกท่านมีความสุข คำว่า “ไม่มี” จงอย่าปรากฏแก่ท่านตั้งแต่วันนี้จนถึงวันเข้าพระนิพพาน

ขณะนี้ฉันคิดว่าฉันอาจคุมงานสร้างไปไม่ได้ตลอด เพราะดูร่างกายมันอ่อนเปียกเต็มที ฉันเลยปลงสังขารมันเสียเลย เมื่อถึงเวลากลางคืน เริ่มร่วมวงทำกรรมฐานพอออกไปจากตัวไม่ทันจะพ้นตัวเห็นพระท่านมานั่ง 3 องค์ มีรัศมีพวยพุ่งรอบองค์เหมือนกันก็เป็นอันรู้ได้ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าทั้งสามองค์

ความจริงทั้งสามพระองค์นี้ฉันเห็นเป็นปกติองค์หนึ่ง ทรงผ้าสีกลัก (เศร้าหมอง) อีกองค์หนึ่งท่านทรงผ้าสีเหลืองธรรมดา อีกองค์หนึ่งท่านประดับเครื่องนิพพานเต็มยศ ท่านให้ฉันเห็นแบบนี้เป็นปกติ ฉะนั้นใครเขาชวนฉันปฏิบัติแบบอื่นฉันจึงไม่ย่อมร่วม ฉันไปนรก เขาไม่รับสมัคร ไปสวรรค์เขาไม่ให้อยู่ ไปพรหม เขาบอกว่าวิมานที่พรหมไม่มี ฉันเลยกลายเป็นผีสัมภเวสี ระหนระเหเร่ร่อนเลยพรหมไปครั้งหนึ่ง

เมื่อเห็นพระ ท่านก็เรียกเข้าไปหาท่าน เข้าไปกราบท่าน ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่าทำไมพระไม่แต่งแบบเดียวกัน ทั้งนี้เพราะท่านทราบว่าฉันบ้าสามแบบ คือบางครั้งฉันบ้าสีคร่ำ ชอบห่มจีวรกลัก บางคราวฉันบ้าผ้าสีสะอาด (สีจีวรธรรมดา) บางคราวฉันบ้าแสงสีแพรวพราว ท่านรู้อารมณ์บ้าของฉัน ท่านจึงได้ทำให้ครบสามแบบ เพื่อดักอารมณ์บ้าของฉัน

เมื่อเห็นท่านฉันก็เลยบ้าคราวเดียวสามแบบ ฉันเข้าไปกราบท่านทั้งสามองค์ และรักทั้งสามแบบ เมื่อกราบท่านแล้ว
ท่านก็พูดว่า เธอจะไปจุฬามณีหรือ ถ้าไปควรจะเข้าทางประตูขวาเสียบ้าง เธอเข้าแต่ประตูซ้ายด้านเดียว จะได้เห็นประตูขวา ท่านสั่งแล้วก็กราบท่าน ออกจากตัว พอออกมาเห็นหลวงพ่อปานท่านยืนคอยอยู่แล้ว ท่านเรียกให้ตามท่านไป เมื่อเดินขึ้นจุฬามณี (ไปทางลัด) คือตรงขึ้นไป ไม่ได้ไปตามทางแยก 4 แยกตามที่เคยบอกให้ฟัง

ขณะเดินไปจุฬามณีถามหลวงพ่อปานว่า เดือนสิงหาคมโลกจะมีกรรมวิปริต ประเทศไทยจะกระทบกระเทือนมากไหม?
ท่านบอกว่า ประเทศไทยผ่านการวิปริตโลกชั่วขณะเดียวมีระยะไม่นาน คงจะไม่มีอะไรมากนัก ถ้าจะหนักจริง ๆ ก็คงแค่จับกัน คงไม่ถึงกับลงมือยิงกัน แต่อาจแคล้วคลาดไปก็ได้

ท่านถามว่า สนใจมากหรือ
บอกท่านว่า เมื่อมีอารมณ์มากระทบก็เพียงอยากรู้ พอพูดจบ (ขึ้นช้า ๆ) ก็ถึงจุฬามณีพอดี คิดว่าจะแวะไปเยี่ยมโยมก่อน

พอถึงปากทางขึ้นก็พบ พระศรีอาริย์ ท่านมานั่งคอยที่ปากทางอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นท่านเข้าก็กราบท่านด้วยท่านเป็นผู้มีคุณหนักกับชาวโลกด้วยการบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า และจบหลักสูตรแล้วด้วย เพื่อรอการฝึกงาน และบรรจุเท่านั้น

เมื่อเห็นท่านเข้าไปหาท่าน ท่านยิ้ม ท่านพูดคำแรกว่า เธอจงสังเกตให้ดี วันนี้ฉันแต่งตัวนุ่งผ้าพื้นสีเขียวอ่อน แต่สีค่อนข้างเข้ม มีแก้วมณีประดับเต็มผ้า สวมเสื้อมีพื้นขาวมีแก้วมณีประดับเต็มตัว สวมชฎางามระยับ ประดับด้วยแก้วมณี สวยกว่าพระเอกลิเกมาก

เมื่อท่านให้ดูเครื่องแต่งตัวแล้ว ท่านก็เหยียดแขนออกมานอกเสื้อ เห็นเนื้อใสเหมือนแก้วที่ล้างสะอาดแล้ว เนื้อเหมือนพรหม แปลกใจมาก แล้วท่านก็ให้หลวงพ่อปานเหยียดแขนออกมาเนื้อเหมือนกันไม่แตกต่างกันเลย
ท่านบอกว่า พวกพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้วมีเนื้อใสเหมือนกัน

วันนี้ดูพระศรีอาริย์ท่านแปลกกว่าวันอื่น ทำไมถึงกลายเป็นวันอวดสวยอวดงามไปก็ไม่ทราบ เมื่ออวดเครื่องแต่งตัว อวดเนื้อพอควรแล้วก็เริ่มงานพูด ท่านเริ่มเรื่องดังนี้

เมื่อเธอกลับลงไปจงเอาข่าวที่ฉันบอกให้ดูเครื่องประดับ และเนื้อไปบอกบริษัทของเธอด้วย (คำว่าบริษัทในที่นี้ไม่ได้แปลว่าสำนักงานค้าขายหรือส้วมเป็นศัพท์ในพระศาสนา แปลว่าพวกหรือคณะ) บอกเขาถึงอาการที่ฉันบอก บริษัทของเธอส่วนใหญ่เขาต้องการเกิดทันศาสนาฉันเป็นส่วนใหญ่ คนที่มุ่งเอานิพพานในชาตินี้ไม่เกิน 10 คน แปลกนะ ท่านอยู่ถึงบนสวรรค์ท่านทราบ แต่ฉันอยู่ใกล้ยังไม่ทราบดีเท่าท่าน

เธอจงบอกเขาว่า ถ้าต้องการเกิดทันศาสนาฉัน และสำเร็จอรหัตผลในศาสนาฉัน ให้เขาทำตัวดังนี้

1. ตั้งใจรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ ในระยะต้นมันจะมีพลั้งพลาด เมื่อเผลอหรือว่าจำเป็นต้องทำ ทำไปแล้วก็พยายามกำหนดใจว่าจะไม่ทำอีก คิดบ่อย ๆ คุมใจบ่อย ๆ ไม่ช้าก็จะคุมได้เป็นปกติ มีศีล 5 ครบถ้วน
2. จงเป็นคนมีเมตตาเป็นปกติ

3. เจริญกายคตากรรมฐานเป็นปกติ
4. เมื่อทำบุญหรือบูชาพระครั้งใด เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งใจอธิษฐานว่า ด้วยอำนาจบุญบารมีที่บำเพ็ญนี้ ขอให้ข้าได้เกิดทันพระศรีอาริย์ขณะทรงประกาศพระศาสนา และเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาครั้งเดียวขอให้ได้สำเร็จพระอรหันต์ทันที

ท่านว่า ทำอย่างนี้เป็นปกติ เกิดทันแน่ อย่าตั้งใจให้เกิดทันอย่างเดียวจะไม่มีผลควรอธิษฐานหวังมรรคผลพระนิพพานด้วยจะมีคุณกว่า
เมื่อพูดจบท่านบอกว่า พวกที่กำลังฝึกกับท่านที่วัด ส่วนใหญ่เขาหวังเกิดทันศาสนาฉัน เธอลงไปช่วยบอกตามที่ฉันบอกด้วย และเขียนส่งข่าวบรรดาบริษัทของเธอด้วย เลยเขียนบอกมา

เมื่อเจรจากันสิ้นเรื่องนี้ ท่านก็พูดต่อไปว่า บริษัทของท่านส่วนใหญ่มารวมกันที่ดาวดึงส์ ความจริงมาดาวดึงส์นี้ดีมาก เพราะอยู่ในที่ตั้งพระจุฬามณีเห็นพระอริยะเสมอ ไม่ประมาท มีโอกาสได้บำเพ็ญกุศลต่อ และมีโอกาสพบฉันเสมอถ้าเขาชอบศาสนาฉันจริงฉันก็จะได้แนะนำเขาเทวดาชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาธุรกิจ คือส่วนใหญ่ชอบบำเพ็ญบารมีต่อ

เมื่อพูดจบท่านถามว่า จะเข้าพระจุฬามณีไหม
บอกท่านว่า เข้า แต่จะเข้าทางประตูขวา
ท่านบอกว่า ที่ฉันนั่งอยู่นี้ใกล้ประตูขวาแล้ว

เพราะทราบว่าท่านจะเข้าทางประตูขวา เลยมาคอยทางนี้ เมื่อรู้เรื่องกันแล้วหลวงพ่อปานก็นำเข้าทางประตูขวา ประตูนี้มีสีเป็นสีเหลืองอร่ามมีพรหมยืนเป็นพรหมยาม (ไม่ใช่แขกยาม) คุยกับพรหมเล็กน้อยก็ผ่านเข้าประตูไป

พบพระ พระท่านเตือนไม่ให้สนใจอะไร ทุกอย่างทำเพื่อสงเคราะห์ บอกเขาแล้ว นำเขาแล้ว เขาไม่เอาช่างเขา อย่าเอาใจไปผูกพันจะมีอารมณ์ข้องแล้วท่านก็เตือนว่าสามทุ่มกว่าแล้วบริษัทจะเมื่อยเลยลาท่านกลับ เวลาเลยสามทุ่มไปเล็กน้อย เปิดไฟสว่าง เขาเลิกกันแล้วก็นำกรวดน้ำ เล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ฟังเป็นเสร็จพิธี

◄ll กลับสู่สารบัญ


82
22 สิงหาคม 2514

วันนี้ว่างเพราะไม่ได้ไปดูงานที่วัด เสริมศรี ศุขสวัสดิ์ ด้วยเมื่อวันที่ 15 ได้เริ่มแสดงงิ้วตอนโจโฉตีทัพพระราม เรื่องเลยจบเร็วเพราะตามบทประพันธ์ไม่มี ทั้งนี้ก็เพราะพวกชาวบ้านทำงานไม่พอกับค่าของศรัทธาที่ ครูนนทา ให้ซื้ออาหารประจำวัน ครูนนทา ศรัทธากล้ากรุณาจ่ายค่าเลี้ยงดูวันละ 50 บาท เมื่อเงินหมดไปมาเทียบผลงานกับที่จ้างแรงงานได้งานไม่สมดุลย์กันเลยอาละวาดตามธรรมเนียม

ทีนี้มาพูดกันถึงเรื่องของงานที่จะสร้างต่อไป ปีนี้สร้างแบบดำดิน เพราะทำไปเพื่อให้ปรากฏหลักฐานวัตถุก่อสร้าง ราคาไม่ต่ำกว่าทองคำเท่าไรนัก มันแพงก็ต้องเอา เพราะถ้าไม่เอาก็ไม่มีสร้าง ปีต่อไปจะเริ่มตั้งโครงการไว้ก่อน ทั้งนี้เพื่อหาวัตถุก่อสร้างที่มีคุณภาพไม่ต่างกัน และให้ได้ราคาถูก มีตำรวจบ้าง ป่าไม้บ้าง มาเสนอไม้ในราคาถูก รับรองว่าไม่ผิดกฎหมาย

เพราะแกลงทุนซื้อจากเจ้าป่าแล้วเสียภาษีเอาเอง แกบอกว่าอย่างนั้น แกเสนอขายหลายราย แต่ก็ไม่ตกลงกับใคร เป็นไม้แปรรูป เพราะต้องการอย่างนั้นที่ตั้งใจจะซื้อก็ไม้จากสุวิมล (เจ้าของร้านค้าไม้) แกบอกให้พื้นกับตงไว้ ถวาย ไม่ใช่ขาย

พอสร้างอาคารหลังที่สองก็เลยอยากซื้อไม้คาน จันทัน คอสองจากแกเสียเลย คิดว่าราคาจะไม่แพงกว่ารายอื่นหรือว่าแกจะให้หมดก็ไม่ศรัทธา เมื่อแกให้หมดก็เอาชื่อแกใส่ไว้เลย ทำแบบน้ำเต้าล่อ ๆ เป็นการบำรุงศรัทธา และนำศรัทธา

เมื่ออาคารแต่ละหลังเขามีเจ้าของหมด แต่ว่าเจ้าของวัดไม่มีชื่อโดยตรงในอาคารไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ที่ไหนดี พยายามด้อม ๆ มอง ๆ ไปก็พบแหล่งถูกใจ คิดว่าถ้าสร้างเป็นอาคารพักหรือคุมงานสร้างอย่างมากก็ไม่เกินแสนบาทหรือไม่ถึงแสน ที่ตรงที่ชอบใจมากนี้คือในบึงยาวด้านใต้ที่พากันเดินไปดูนั่นเอง

สร้างมันในบึงเลย ทำเป็นศาลากลางน้ำแบบบ้านคุณติ๋ว (วัฒนี คุณะเกษม) มีน้ำล้อมรอบ ต้องเสียค่าแรงงานแพงหน่อยเพราะต้องใช้ปักเสา เสียค่าไม้นั่งร้าน เสียเวลาตอกเสา ทำเป็นอาคารชั้นเดียวใช้รูปทรงอ้วน ๆ คล้ายท่านเจ้ากรม ขั้นแรกทำแบบไม่มีฝาอยู่กลางน้ำ เย็นสบายมีปลาว่ายไปมา

เมื่อเอาอาหารล่อ เจ้ามัจฉาน้อยใหญ่จะฉุยฉายมาหาเหยื่อตามแบบฉบับของปลา มีบัวที่ชาวบ้านชอบใจ เพราะชาววัดที่ไม่อยากขัดใจใครอาคารหลังนี้จะให้ชื่อว่า ศาลากลางน้ำ เสริม ศรี ศุขสวัสดิ์ บนบกขอบบึง จะทำอาคารยาว มีแต่หลังคา พื้นคอนกรีต อาจไม่เสริมเหล็กเพราะกลัวเปลือง

เป็นที่จอดรถ และเป็นสถานนั่งเล่นของคนกลัวน้ำ หรือเบื่อน้ำเมื่อยามมีงานทอดผ้าป่ากฐินจะได้ใช้เป็นที่เลี้ยงอาหาร และนั่งพักผ่อน คณะคนใหญ่โดยตำแหน่งหรือพุงใหญ่ เอามาเลี้ยงในอาคารศาลาเสริมศรีฯ คนเล็กโดยตำแหน่งหรือพุงเล็ก เลี้ยงบนบก แต่ก็ริมน้ำ ตั้งบาร์อาหารที่อาคารยาว

ท่านอาคารยาวมีส้วม (ที่เก็บอาหารเก่า) สัก 8 ห้อง เอาแบบธรรมดา แต่ไม่ใช่แบบไทยแท้ ใช้แบบไทยผสมฝรั่งคือใช้ทั้งส้วมซึม แต่อาคารใช้อาคารหลังเดียวกับอาคารเลี้ยงอาหาร ทำยาวออกไป ฝาใช้แผ่นปูเรียบ ถ้าแบบไทยเขาทำแบบขุดร่องปล่อยเฉย ๆ หรือแบบไทยเดิม ใช้นั่งในที่แจ้งหันหน้าเข้าหากัน ถ่ายพลางคุยพลางตามแบบไทยเดิม คือ ขี้แบบเสรี

อาคารหลังนี้ คิดว่าจะทำอย่างนี้ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าของจะชอบหรือไม่ ถ้าไม่ชอบหรือชอบไม่หมด ตรงไหนไม่ชอบแนะนำด้วย จะได้ไม่ขวางใจ ก่อนเลิกนึกได้ว่าลูกสาวท่านพระร่วงกลับมาจากกรุงฝรั่งหรือยัง ถ้ามาละก็บอกด้วยว่าฉันคิดถึง ดูเหมือนจะมาแล้วกระมังเห็นใครไว ๆ ดูไม่ชัด คล้ายคุณนิด



83
12 ตุลาคม 2514

วันนี้อากาศเริ่มหนาว ที่นี่มีความเย็นพอเลยสบายนิดหน่อย ร่างกายค่อยสบายขึ้นบ้างหลังจากเสียท่าสมเด็จองค์ปฐมครั้งใหญ่ ร่างกายมันจึงค่อยดีขึ้น

ก่อนที่จะบรรยายความตามไท้หรืออะไรก็ตาม ขอพูดเรื่องที่จะเดินทางมาเสียก่อน คอยหาเวลาที่ร่างกายมันจะค่อยปลอดโปร่งขึ้นบ้างมาหลายวัน มันเอาดีไม่ได้ ต่อเมื่อวันที่ 10 นี้ กำลังปลงสังขารคืออาการตายเป็นจุดหมายปลายทาง ร่างกายมันค่อยดีขึ้นบ้าง บางทีมันจะดีเพื่อรับตาย

จึงกำหนดเดินทางมา ถามครูนนทาว่าวันหยุดมีวันไหนบ้าง เพราะเวลาเดินทางแกเป็นโต้โผ แกกำหนดให้เดินทางวันที่ 22 และกลับวันที่ 25 ด้วยวันที่ 23-24 เป็นวันหยุด วันที่ 25 หยุดเหมือนกัน แต่หยุดเพื่อไหว้ท่านจอมราช เลยถือโอกาสเดินทางกลับเป็นอันว่า วันที่ 22 เดินทางมา และพักบ้านครูนนทา 1 วัน วันที่ 23-24 อยู่บ้านท่านเจ้ากรม 25 เดินทางกลับ

เรื่องเดินทางจบ คราวนี้มาพูดกันเรื่องส่วนตัว ขณะนี้บอกศาลาเรื่องงานก่อสร้างที่จำต้องแบกภาระโดยตรงหมด เพราะกำหนดการตายเป็นจุดหมายปลายทาง เมื่อจะตายแล้วจะมานั่งห่วงเรื่องสร้างทำไม แต่ก็สร้างอีก สร้างแบบไม่แบกภาระ

คือสงเคราะห์ด้านการแนะนำให้ทุนหรือวัตถุก่อสร้างตามที่มีผู้ให้ และวัดนั้นต้องมีปัญญาหาทุนผสม หรือทำแล้วเราช่วยสงเคราะห์เพื่อบรรเทาความหนัก ไม่ต้องไปนั่งรับผิดชอบคุมงาน หาเงินใช้หนี้อย่างนี้ทำสบาย

เมื่อกำหนดจุดหมายคือความตายเป็นสรณะ ก็เลยคิดว่าถ้าป่วยหนักหรือตาย คนที่อยู่ใกล้จะหนัก ด้วยคนตายมักจะสร้างความยุ่งให้คนอยู่ เพื่อบรรเทาความหนัก ก็จะเตรียมอุปกรณ์การตายไว้ให้เกือบครบ จึงหารือกับครูนนทาว่าจะสร้างหีบใส่ศพ เอามาตั้งไว้ และทำท่อระบายน้ำเหลืองให้เรียบร้อย เครื่องใช้พยายามสะสมไว้ให้พอสะดวก

ถ้ามีเงิน โดยค่อย ๆ สะสมเมื่อคนให้ปีละเท่าไรก็ตาม เหลือใช้เก็บไว้ และซื้อวัตถุสร้างรวมไว้ เมื่อพอ หรือใกล้พอก็จะรื้ออาคารสื่อสาร ทอ. ทำเป็นตึก 2 ชั้น มีห้องนอน 12 ห้อง ห้องส้วมห้องน้ำ 12 ห้อง แบบบ้านที่ปากช่อง แต่ใช้วัตถุก่อสร้างราคาถูก เพื่อเมื่อป่วยหนักหรือตาย คนที่ไปมาเยี่ยมศพหรือเยี่ยมอาการป่วย จะได้พักสบายคนรับก็ไม่หนักใจ คนไข้ก็ไม่รำคาญ

เดิมคิดจะสร้างหีบทอง พอถึงเวลาเจริญกรรมฐาน รู้สึกว่าวันนี้มีแขกมากเป็นพิเศษ เทวดา และพรหม ตลอดจนพระที่หาที่เกิดไม่ได้มากันเต็มไปหมด
แต่ละท่านถามว่าจะทำตามที่พูดแน่หรือ
บอกว่าทำแน่ เพื่อความสะดวกของท่านผู้มา เมื่อเห็นว่าจะทำแน่ ทุกท่านก็ยกมือสาธุกันเป็นแถว

วันรุ่งขึ้น คณะชัยนาทมาสมทบ คุยกันถึงที่ตั้งหีบศพ บอกเขาว่าจะเอาไว้ชั้นบนต้องรีบทำท่อระบายน้ำเหลือง เพราะถ้าไม่ทำก่อน เมื่อตายจริงไม่มีใครทำแน่ ถ้าจะทำก็จ้างแพง ถ้าทำขณะนี้ พระทำได้ไม่ต้องจ้าง

ครั้นเมื่อถึงเวลาเจริญกรรมฐาน สมเด็จองค์ปฐมมา ถามว่าศพจะเอาไว้ที่ไหน
กราบทูลท่านว่าจะเอาไว้ชั้นบน
ท่านบอกว่าไม่ได้ ต้องเอาไว้ชั้นล่าง เอาไว้ชั้นบนลำบากคนมาไหว้ศพ และลำบากเมื่อย้ายศพ ท่านกำหนดที่ตั้งให้ตั้งตรงเก้าอี้เหลือง

ท่านถามว่าจะสร้างหีบอะไร
กราบทูลท่านว่าสร้างหีบทอง
ท่านว่าไม่ควร แพงเงิน สร้างหีบไม้ และต้องตั้งให้ทันก่อนสิ้น พ.ศ. นี้ 2514 ตอนนี้ชักดีใจ คิดว่าคงได้ตายเร็วแน่
จึงตกลงว่าทำตามท่านสั่ง

เมื่อเสร็จการเจริญกรรมฐานก็คุยกันตามเรื่องที่ท่านบอก เดี๋ยวก่อนลืมไปตอนหนึ่งแล้ว
ท่านถามว่าอาคารสื่อสารจะทำอย่างไร
กราบทูลท่านว่า น้ำที่จะมาข้างหน้าจะสูงกว่าปี 2513 ประมาณ 50 เซนต์ จะยกพื้นให้สูงอีกประมาณ 70 เซนต์ แล้วจะทำเป็นห้องสองแถว แถวละ 4 ห้อง
ท่านบอกว่า ไม่ได้ ต้องทำตามนี้

1. รื้อของเก่า ทำเป็นรูปมีจั่ว 5 จั่ว ด้านข้าง 2 จั่ว ด้านหน้า 3 จั่ว
2. ทำเป็นตัวตึก 2 ชั้น
3. ทำห้องนอน 12 ห้อง มีห้องส้วมห้องน้ำทุกห้อง แต่ใช้วัตถุก่อสร้างราคาถูก

อีกสัก 5-6 ปี ข้าจะพยายามหาเงินให้สร้างสัก 6-7 หมื่น จะค่อย ๆ หาให้เมื่อได้เงินแล้วซื้อของ ทีละเล็กน้อย เมื่อพอแล้วก็สร้าง ไม่เกิน 6 ปี สร้างเสร็จ

เมื่อการคุยกันผ่านไป คืนที่สาม คืนนี้มีแขกมาอีก แขกผี เทวดา และพรหม ยกกองทัพมาประชิดติดกุฏิ ถามว่าทำตามท่านผู้ใหญ่แน่หรือ
บอกเขาว่าเมื่อท่านสั่ง เรื่องหีบศพทำแน่ เพราะมีทุนอยากทำอยู่แล้ว แต่เรื่องสร้างท่าจะรอไม่ไหวคงตายก่อนแน่ เพราะปี 2517 นี้ จะอยู่ถึงหรือไม่ถึงก็ไม่รู้ เกรงว่าจะสิ้นลมปราณเสียก่อน เพราะร่างกายมันทรุดตัวลงทุกวัน เมื่อบอกว่าจะทำแน่เขาก็โมทนาอีก

แต่ท่านมหาชมภู เข้ามาบอกว่าหลวงพี่เสียท่าท่านปฐมครั้งใหญ่
ถามว่าเสียท่าอย่างไร
แกบอกว่า การสร้างหีบใส่ศพเป็นการประวิงเวลาตาย มันเป็นวิธีการต่ออายุอย่างสำคัญที่สุดกว่าวิธีใดๆ
บอกแกว่าฉันไม่ได้คิดต่ออายุ ฉันไม่อยากให้คนอยู่ลำบากเพราะฉัน ฉันทำได้ฉันก็จะทำไว้
แกบอกว่าจะมีเจตนาอย่างไรก็ช่าง เรื่องของเรื่องก็เป็นการเสียท่านปฐม

เป็นอันว่าเสียทีผู้ใหญ่เสียแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรดีใจ เสียใจ เพราะทำกรรมมามาก เมื่อจะต้องอยู่ใช้กรรม ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อพูดกับท่านมหาชมภูเสร็จ สมเด็จท่านก็มา มาย้ำว่า ที่ตั้ง และหีบต้องตั้งก่อนสิ้น พ.ศ. นี้
กราบทูลท่านว่าเงินไม่มี เขาให้ก็เอาไปซื้อยาบ้าง ซื้อปูน ซื้อวัตถุก่อสร้างหมด เหลือไม่ถึงร้อยบาท
ท่านบอกว่าไม่มีเงินซื้อก็ขอยืมหีบที่ซื้อมาเพื่อแจกตามวัดมาตั้งแทนก่อน แล้วข้าจะหาหีบมาไว้ให้ ดูท่านเป็นภาระทุกอย่าง

พอดีวันที่ 11 ยายสุวิมลมา มาบอกว่าจะให้ไม้สำเร็จรูปสร้างกุฏิวัด เสริมศรี ขอแกแต่ คาน ตง จันทัน ด้วยขอมากเกรงจะเกินศรัทธา แกรู้ว่าจะสร้างเสริมอาคารสื่อสารเลยบอกให้ไม้อีกหลายสิบแผ่น และรับจะสร้างหีบไม้สักให้
เดิมแกถามว่าจะเอาหีบไม้อะไร เห็นที่อุทัยเขาทำด้วยไม้มะค่า ราคา 1500 บาท
บอกแกว่าจะเอาหีบไม้มะค่า
แกว่าไม่ดี ก็เลยตามใจแก
แกถามว่ารีบหรือเปล่า
บอกแกว่าไม่รีบ เพราะจะยืมหีบที่ซื้อไว้ตั้งโชว์ก่อน

สงสัยที่แกมา มาถึงกำลังฉันเพล พอมาถึงแกก็บอกว่าด่วน สอบถามแก แกบอกว่าอยู่ ๆ ก็อยากมาเฉย ๆ คงจะไปไล่เขามาแน่ หาทางเอาให้ได้

เป็นอันว่าเรื่องราวชนิดผิดปกติเกิดขึ้น ร่างกายเลยค่อย ๆ ปกติ เรื่องจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่อยากเอาเรื่องแล้ว
คืนต่อมา นายป่าช้า (พระยายม) เขาขึ้นมา เขาบอกว่าบัญชีอันธพาลไม่จดต่อไปเอาเรื่องไม่ได้ ต่อไปห้ามถามเขา เขาว่าเขาฉีกทิ้งหมดแล้ว
เมื่อคืนวันที่ 11 แกมาดักที่ทางไปจุฬามณี แกบอกว่าหนังสือที่จะเขียนให้ชื่อว่า “เมื่อข้าพเจ้าตาย” แล้วเล่าเรื่องตายใหญ่สามวาระให้ละเอียด จะเป็นหนังสือเล่มสุดท้าย ให้พยายามเขียน แกว่าจะมีประโยชน์

ก็เลยจะตัดสินใจเขียนหนาวนี้ เพราะฤดูร้อนเขียนยาก ฤดูหนาวเขียนง่าย คงนานหน่อย เวลาพิมพ์ต้องชำระหนังสือก่อน เพราะเรื่องหนังสือทิ้งความสนใจมานาน เล่มคงไม่เล็กกว่าหนังสือคู่มือกรรมฐาน จะได้ (เขียน) เรื่องหลวงพ่อปานพร้อมกันไป
กรุณาบอกคณะคุณฉลวย (ฉลวย ปินินทรีย์ ศิษย์รุ่นเก่า) พรรษานี้เขียนหนังสือน้อย เพราะไม่ใครมีแรง

◄ll กลับสู่สารบัญ


84
3 พฤศจิกายน 2514

คณะญาติทั้งหลาย
หนังสือฉบับนี้ไม่ลงชื่อถึงใครเฉพาะ ก็เพราะอยากจะคุยกับทุก ๆ คนที่เป็นญาติ ใครบ้างที่เป็นญาติ? ทุกคนที่มาในงานกฐิน ไม่เห็นใครเป็นคนจรแปลกหน้ามาเลย พอเห็นหน้าก็รู้ว่าทุกคนเป็นญาติทั้งหมด เลยเขียนถึงญาติทุกคนที่มาในงานกฐิน

งานกฐินคราวนี้มี เรื่องแปลก 2 เรื่อง คือ เรื่องเงินที่รับ พวกเราแพ้สมเด็จท่านอย่างไม่มีทางจะสู้ ความจริงถ้าเราสู้ท่านได้ เราก็เป็นพระพุทธเจ้าไปนานแล้ว หรือว่าเมื่อเราสู้ท่านไม่ได้ แต่คิดว่าสู้ได้หรือดีกว่าท่าน ก็คงมีหวังลงอเวจีอย่างท่านเทวทัต เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็ไม่คิดอะไรที่เป็นภัยเลยดีกว่ายอมจำนน และยอมรับนับถือท่านเลยจะดีกว่ากระมัง หรือใครจะเห็นอย่างไรจากนี้ก็ตามใจ
เรื่องที่สองก็คือมีชาวบ้านปลอมเข้ามาช่วยนายช่างโต๋ว (ช่างกลที่ช่วยงานวัด ภรรยาชื่อกิมกี มีร้านอาหารในวัดท่าซุง) พวกนี้ไม่กินเปล่า แถมห่อไปบ้านอีกด้วย คนบ้านนี้มีดีพิเศษอย่างนี้เป็นปกติ ทุกปีกันไม่ให้เข้า ปีนี้พวกชาวบ้านยกกลองยาวมาช่วย เลยได้โอกาสพากันกิน และขนออกสบายใจ เลยประกาศห้ามช่วยต่อไปแล้ว

เรื่องใหม่ เมื่อคืนวันที่ 2 กำลังคุมกรรมฐาน เมื่อใจสบาย หายเหนื่อยก็ออกเที่ยวตามปกติ แต่อาการไม่ใคร่ปกติ เพราะยังมีอาการมึนงงทางประสาทด้วยเหนื่อยจัด เลยมีอารมณ์มืด ๆ ทึม ๆ ชอบกล เมื่อไปเฝ้าพระสามท่าน คือ ท่านปัจจุบัน ท่านพระพุทธกัสสป และท่านปฐม ท่านเลยพาไปที่อยู่ ท่านชี้ชวนให้ชมที่อยู่ของตนเอง ให้เห็นว่าสวยสดงดงาม น่ารัก น่าดู ดูไปดูมา

ก็เลยถามท่านว่า เมื่อไรจะอนุญาตให้มาอยู่
ท่านปฐมบอกว่า รอก่อน ช่วยฉันก่อนคนกำลังจะเข้ามาอีก ยังห่วงเด็ก 2 คน ยังเด็กอยู่ ถ้าสงเคราะห์เด็กสองคนก็พอเห็นทางจะให้มาอยู่
ถามว่า สักกี่ปี ท่านว่าคงไม่เกิน 14 ปี ฟังอย่างนั้นเอง เมื่อขันธ์ 5 ใครจะไว้ใจได้ มันจะพังใครจะห้าม เมื่อมันพังแล้วใครจะกล้าจับมันมาปะติดปะต่อกันให้เข้าเป็นรูปได้ ฟังได้ เชื่อท่านได้ แต่เชื่อขันธ์ 5 ไม่ได้ คิดว่าตายทุกวันสบายใจกว่า

เมื่อชี้ชมพอควร ก็เลยถือโอกาสถาม เรื่องผลปีหน้า
ท่านว่า กฐินปีหน้า 2515 มีผลได้สูงกว่าปีนี้
ท่านสั่งให้บอกทุก ๆ คน ว่า จงอย่าคิดว่ามีหนี้

ด้วยขณะนี้ หนี้ร้านค้าไม่มีหนี้ที่อื่นอีก นอกจากร้านค้าเหลือ 27,000 บ. (สองหมื่นเจ็ดพันบาท) ความจริงมันไม่ถ้วน ขาดร้อยบาทเศษ ๆ ตั้งใจจะเติมให้เต็ม นนทาแกเลยเติมเสียเอง
ท่านว่า หนี้เท่านี้จงเลิกวิตกกังวล การวิตกกังวลทำให้สมาธิอ่อนกำลัง เรื่องผ้าป่าก็ไม่จำเป็นต้องคิด
เพราะหนี้เท่านี้ ทอดกฐินเลยหมดไหน ๆ ตกลงกับเจ้าหนี้แล้ว เขาบอกว่ารู้สึกเหมือนหลวงพ่อไม่ได้เป็นลูกหนี้ เขาว่าอย่างนั้น เขามั่นใจว่าต้องได้แน่นอน เลยบอกเขาว่า ต้องรอกฐินปี 2515 เขาบอกว่าสุดแล้วแต่จะสะดวก

ท่านให้บอกว่า ไม่ต้องจัดผ้าป่า ถ้าคิดว่าจะจัดก็ให้จัดแบบสาธุกีฬา คือทำบุญแบบสบาย ได้เท่าไรเอาเท่านั้น ไม่ต้องแจกการ์ดแจกฎีกากันมากมาย บอกกันตามพวกพ้อง ได้เท่าไรก็ช่าง ทำแบบสบายใจ

เรื่องงานก่อสร้างก็เหมือนกัน ท่านให้คิดว่า เสร็จงานแล้ว จะทำต่อไปก็ให้ทำแบบสาธุกีฬามีเท่าไร ทำเท่านั้น ไม่มีก็ไม่ต้องกังวล วัดเสริม ศรีฯ สร้างกุฏิอีกหลัง ท่านให้ถือว่าเสร็จ เรื่องศาลาหรืออุโบสถถือว่าไม่สำคัญมีเจ้ามือก็ทำและร่วมกัน ไม่มีก็เฉย ๆ ไว้ ท่านบอกว่าเรื่องกุฏิก็อีกหลัง เมื่อรับกฐิน 2515 แล้ว ก็เสร็จเรียบร้อย จะกังวลทำไม นอนใจได้ ทำใจให้เหมือนไม่มีอะไร สมาธิจะได้ตั้งมั่น

คุยกันไปคุยกันมา ถามท่านว่า อาคารเสริมศรีที่จะสร้างใหม่ขอลดมุขหลังคาได้ไหม เอาเหมือนวัดเสริมศรี ด้วยเพิ่มมุขเปลืองเงินไม่มีใครไปนอนบนมุข
ท่านนิ่งประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็บอกว่า ตามใจ ทรงย้ำถึงเงื่อนไขว่ามุขลดให้ แต่ลดอย่างอื่นไม่ได้

เมื่อลดมุขจะต้องทำโรงเลี้ยงอาหารให้ใหม่ โรงอาหารเดิมเป็นพุทธสถาน (ศาลาจงกรม) ทำพระท่านยุ่ง ให้เอาไม้ที่จะทำมุข จันทัน อาคารสื่อสาร ทอ. เป็นไม้หนึ่งนิ้วครึ่งคูณสี่ เอาไปทำจันทันโรงอาหารใหม่ สังกะสีเอาไปมุงโรงอาหารใหม่ ซอแต่เสา ลงทุนไม่กี่พันบาท เลยตกลงกับท่าน ลงทุนมีผลดีกว่าลงทุนแล้วไม่ได้ใช้ เสียดายเงินที่ลงทุนซื้อ

ท่านถามว่าอาคารเสริมศรี เรียนท่านว่ารับกฐินคราวนี้มีเงินส่วนตัวที่ใครต่อใครให้ไว้ 1 พันบาท กับอีกสามร้อยกว่า 1300 บาทเศษ จำเศษไม่ได้ นนทาถวายเพื่อรับกฐินอีก 2000 บาท ตัว แกเองจ่ายเท่าไรไม่ทราบ ท่านเจ้ากรมให้เมื่อจะกลับอีก 500 บาท จ.ส.ต.สง่า ถวาย 50 บาท เมื่อวันที่ 2 เอามาตรวจปรากฏว่าเหลือ 260 บาท ปีนี้เฮงไม่ติดลบ ทุกปีติดลบทุกปี

กราบเรียนท่านว่า เงินมี 200 บาทเศษ ๆ จะลงมือได้เมื่อไร
ท่านหัวเราะ ท่านพูดว่า ฉันไม่ได้เอาเงินแกมาสร้าง
ฉันถามว่า จะสร้างเมื่อไร
เลยถามท่านว่า เมื่อไรจะมีทุนสร้าง
ท่านยิ้มแล้วบอกว่า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ปี 2515 ถ้ากฐินได้ถึงสองแสน แกต้องสร้างของข้าให้เสร็จนะ

ถามท่านว่า เงินสองแสนต้องสร้างวัดเสริมศรี 1 หลัง สักแสนบาทพอได้ แต่หลังนี้กำหนดไว้หยุมหยิมเพิ่มเงินอีกเกือบแสนจะสร้างเสร็จได้อย่างไร ต่อไปไม่ยอมเป็นหนี้แล้ว คณะท่านผู้อุปการะย่ำแย่ไปตาม ๆ กันแล้ว
ท่านหัวเราะชอบใจ แล้วก็บอกว่า เออ ตามใจแกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน แกมีเงินถึงสามหมื่นแกต้องเริ่มสร้างนะ เมื่อหมดเงินแค่ไหนหยุดแค่นั้น มีมาอีกสามหมื่นบาท แกทำต่อไป และทำตามกำลังเงินที่มีจนกว่าจะเสร็จทำได้ไหม?

ท่านหันมาถามเข้าอีก เรียนท่านว่า ทำได้
ท่านว่า อย่างนี้สบายใจ แกมีเงินไม่ถึงสามหมื่นแกก็นอนไปก่อนถึงสามหมื่นเมื่อไรก็สร้าง ถ้ามีเงินไม่ถึงสามหมื่น ไม่ต้องทำก่อน
ถามว่า จะเอาเงินที่ไหน
ท่านบอกว่า เป็นเรื่องของข้า แกนอนตามสบายใจแกไปก่อน

เมื่อเลิกกรรมฐานแล้ว นนทาบอกว่า มีคนเขาจะซื้อที่ดินที่ทัพทัน คำว่า ทัพทันเขาเขียนอย่างไรไม่เคยเห็น เลยเขียนแบบนักเรียน ป.1 แบบนี้อ่านง่ายดี มีที่อยู่ 2 ไร่ ถ้าขายได้จะออกทุนให้สามหมื่นเพื่อเริ่มงาน
แกไม่มีเงินสดกับเขา ปกติที่จ่ายก็แคะเงินแพข้ามฟาก เห็นใจในศรัทธาของแก พอนนทาแกบอก

ตอนนอน ท่านมาหา พูดว่า เห็นไหมเล่า ข้าหาปั๊บเดียวเดี๋ยวก็สามหมื่น
บอกท่านว่า ช่วยเขาขายที่หรืออย่างไร
ท่านบอกว่า ช่วย แต่จะขายได้เท่าไร ข้าก็ยังไม่รู้เลย ถ้าขายได้น้อยมันคงให้น้อย ขายได้มาก มันคงให้เต็มสามหมื่น
บอกท่านว่า ที่ทัพทันเป็นบ้านดอนที่ราคาไม่สูง
ท่านว่า จะลองปิดตาคนซื้อดู ถ้าปิดได้เอาเลยสามหมื่นสักหน่อย พอให้เจ้าของมันได้ใช้บ้างเราเอาสามหมื่น

เรื่องอย่างนี้มันก็แปลกดี เป็นอันว่าจดหมายฉบับนี้ไม่มีอะไรมากหรือไม่มีอะไรเป็นประโยชน์กว่าการเล่านิทาน ด้วยเรื่องที่เขียนมา อ่านแล้วเป็นเรื่องของนิทานมากกว่าเรื่องจริง แต่ถ้าหวนคิดถึงเงินคราวผ้าป่า และกฐินคราวนี้ จะว่านิทานไร้ประโยชน์ก็ดูเหมือนจะไม่แน่นักเหมือนกัน เขียนมายาว ขอจบเรื่องไม่เป็นเรื่องไว้เพียงเท่านี้ วันหน้าพอมีแรงอาจจะคุยมาใหม่

ก่อนจบเกือบลืมบอกเงินที่รับทั้งสิ้น ด้วยประสาทยังมึนอยู่ ยอดรับทั้งสิ้น 122,897 บาท หนี้ 149,897 บาท คงมีหนี้อีก 27,000 บาท พนาโชค 17,000 บาท ร้านลิ้มง่วนเชียง 10,000 บาท

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 17/8/11 at 13:45

85

20 พฤศจิกายน 2514

วันนี้มีแรงดี พอที่จะเขียนหนังสือรบกวนชาวบ้านได้ ก็เลยนึกถึงท่านเจ้ากรมก่อนใครอื่น ด้วยตั้งใจจะเขียนมาหลายวันแล้ว ร่างกายมันไม่อำนวยก็เลยพักเขียนเพราะเขียนไม่ไหว พอจะเขียนก็พอดีมีข่าวปฏิวัติ ก็เลยมีเรื่องเขียน เรื่องที่จะเขียนก็คือ

1. เรื่องปฏิวัติ
การปฏิวัติคณะปฏิวัติจะมีความมุ่งหมายประการใดก็ตาม แต่ที่เห็นว่าถูกใจตาสีตาสาตามาตามี และหลวงตาทั้งหลาย คือ งัดเอาผู้แทนออกนอกวงการไปได้ วันนี้ต่างพากันชอบใจมาก ทั้งนี้เพราะพวกผู้แทนที่ไหนไม่ทราบว่าเขาดีหรือเลว แต่แถวหัวเมืองใกล้เคียง ประชาราษฎรต่างพากันเอือมระอาเหลือเกิน

ทั้งนี้เพราะแกเป็นผู้แทนของใครไม่ทราบ แกเล่นมาเก็บภาษีกับคนที่เลือกแกเข้าไปยุบยิบหยุมหยิม มีอำนาจราชศักดิ์ยิ่งกว่าเจ้าเมือง แกย้ายใครต่อใครได้ตามใจชอบ ข้าราชการทุกหน่วยทำงานไม่ถนัด อะไร ๆ ก็ต้องฟังผู้แทน แม้ตำรวจก็ต้องฟังผู้แทนถ้าไม่ถูกใจท่าน ท่านผู้แทนท่านจะสั่งย้ายเอาตามอารมณ์ มีข้าราชการเกือบทุกแผนกมาบ่นให้ฟังเสมอ

อะไรไม่สำคัญเท่าตอนที่แกขึ้นไปบนที่ทำการของรัฐหัวเมือง แกถามว่าเรื่องนี้คุณจะทำให้ผมได้หรือไม่ได้ ถ้าทำได้หรือไม่ได้ก็บอกมา คุณอย่าให้ผมพูดนาน ถ้าผมพูด คุณเสียมาก ข้าราชการก็พากันงง ทำให้ผิดระเบียบไม่ทำก็ถูกย้าย

ฝ่ายชาวประชาหน้าแห้ง ก็แย่ไปตาม ๆ กัน แกเก็บภาษีดะ ถ่านในป่าเขาทำกันตามระเบียบ แกก็เพิ่มภาษีผู้แทนอีกกระสอบละ 3 บาท ไม้ในป่าที่เขาหามาตามกฎหมายแกก็เก็บภาษีตามธรรมเนียม ถ้าไม่ให้ก็เอาตำรวจไปไล่กวด กำลังมีเรื่องกันอยู่ก็มี คณะครูก็กำลังระกำใจ ด้วยท่านเห็นผู้แทนเป็นกรรมการสร้าง รร. โดยผู้ว่าฯ ไม่เกี่ยวด้วย เพราะขืนเกี่ยว ถ้าตรงไปตรงมาจะมีเรื่องขัดใจกัน

เพราะระเบียบต้องโกงไปโกงมาถึงจะถูกใจท่านผู้แทน คณะผู้แทนเลยตั้งกรรมการขึ้นจะมีใครบ้างไม่ทราบ ซื้อที่สร้าง รร. 2 ไร่ ที่เขตอำเภอหนองฉาง ราคา 500,000 บาท (ห้าแสนบาท) กำลังยุ่งกันอยู่ ที่เขตหนองฉางราคาตารางวาละ 100 บาท ก็แพงเกินควรแล้ว นี่แกคิดตารางวาละเท่าไรของแกไม่รู้ พวกคณะศึกษามาบอกให้ทราบต่างก็พากันหน้าเศร้าไปตาม ๆ กัน

พอได้ข่าวคณะปฏิวัติทำงานสำเร็จ ประชาหน้าแห้งต่างพากันหน้าบานชั่วคราว แกเฮโลมาบอกว่าสาธุ พวกผู้แทนพ้นไปได้สบายใจแฮ คณะปฏิวัติคราวนี้มีคะแนนเด่น 1 จุด คือเกณฑ์ผู้แทนของชาวหัวเมืองให้พ้นระบบสรรพากรพิเศษไปได้ เขาดีใจกัน พวกข้าราชการก็ชักจะสดใสขึ้นบ้างนี่เป็นข้อหนึ่งที่คณะปฏิวัติทำถูกใจชาวบ้าน ส่วนต่อไปจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ

2. ชาวบ้านดีใจที่ผลงานของวัด
แม้การควบคุมจะน้อยก็ไม่ต้องจ้างคนมาบังคับกดขี่ตนเอง คือไม่ต้องจ้างผู้แทนมาเก็บภาษีพวกเขา เงินเดือนผู้แทนเดือนละ 8,000 บาท ไม่น้อยเลย เท่าพลเอกเสียกระมัง และเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง เงินยกมือพิเศษ เงินภาษีที่แกเก็บเองปีหนึ่ง

ถ้าจะนำมาบำบัดทุกข์บำรุงสุขก็คงมีผลแก่ประชาชนหน้าแห้งไม่น้อยเลย ลดงบประมาณจ้างคนมาสร้างความยุ่งได้ปีละมาก ๆ ทั้งนี้ ถ้าไม่นำไปทางอื่น การปฏิวัติก็เห็นว่าเป็นผลดีแก่ปวงชนไม่น้อย เรื่องที่คณะปฏิวัติจะดำเนินต่อไปในอนาคตจะเป็นอย่างไร นั่นเป็นเรื่องของคณะปฏิวัติ ตอนนี้ว่ากันที่ชาวบ้านชอบใจก่อน

เรื่องปฏิวัติเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ช้าก็เก่าขอผ่านไป ต่อไปมาว่ากันถึงเรื่องเก่าแต่ยังไม่ได้ทำนั่นคือเรื่องที่คิดว่าจะเขียนหนังสือจนบัดนี้ยังไม่มีโอกาสลงมือเขียน เพราะขันธ์ 5 มัน 5 ขันธ์ จริง ๆ ขันแล้วขันอีกมันก็ไม่ใคร่แน่น ความจริงนับแต่วันที่ท่านสั่งขุดหลุมระบายน้ำเหลือง ดูอะไร ๆ มันกระฉับกระเฉงมาก

ท่านมหาชมภูมายิ้ม บอกว่า หลวงพี่ท้าผมว่าจะให้อยู่ต่อไป แกก็จงทำขันธ์ 5 ฉันให้ดีขึ้น หลวงพี่เห็นหรือยังว่าเขาทำกันได้
ก็เลยบอกว่า ทำได้ก็ทำไป มันไม่พัง ฉันก็ไม่ปลงสังขาร แต่อย่าให้รวนมากนักไม่ได้นะให้ทรงตัว แต่รวนมากเมื่อไรฉันจะปลงสังขารทันที การปลงสังขารเป็นการกำหนดเวลาตาย เรื่องนี้พระไม่ใคร่จะดีพอรู้เรื่อง สำหรับพระที่มีดีมากท่านไม่สนใจ

เรื่องที่เจ้ากรมเขียนมาว่า สมเด็จวันรัต ท่านเพิ่งจะเชื่อเรื่องสมาธิ ท่านเจ้ากรมแปลกใจ แต่อาตมาไม่แปลกใจ เพระชั้นดีหรือพระที่ทรงความดีตามโลกนิยมท่านไม่ใคร่สนใจเรื่องสมถะวิปัสสนากัน ด้วยท่านดีเสียแล้ว ท่านเทศน์เก่ง ท่านมีดีเรื่องอะไรที่ท่านจะต้องแสวงหาดีอีก พวกเราเท่านั้นหมายถึงพวกไม่พบดีก็จำเป็นต้องแสวงหาความดีกันต่อไป เรื่องท่านที่มีดีท่านไม่สนใจเรื่องที่เราเห็นว่าดี เป็นเรื่องปกติของคนที่อยู่ภายใต้กาสาวพัสตร์เป็นของธรรมดา

เมื่อคืนวันที่ 19 นั่งหาพระที่จะนิมนต์มาทำบุญวันเกิด (เรียกว่าประจำปีดีกว่า เพราะทำไม่ตรงวันเกิดสักที) หาเท่าไร ท่านก็ว่าไม่ดี จะเอาที่ไหนท่านก็ไม่ชอบ
ถามท่านว่า ทำไมไม่ชอบ
ท่านบอกว่า ที่ท่านชอบ นิมนต์เขาก็ไม่อยากมา ที่จะมาท่านก็ไม่ชอบ ไล่ไปไล่มา
ถามท่านว่า จะเอายังไงกัน

ท่านเลยบอกว่า เกณฑ์มันมา หมายถึงคณะพุทธมามกะของเรา เมื่อมันมาแล้วให้มันไหว้พระในตัวมัน ให้มันทำใจให้เป็นพระอรหันต์ คือบอกเกณฑ์ว่างของอารมณ์
ท่านบอกว่า ให้มันนึกตามที่แกนึกครั้งแรกแล้วไปถึงนิพพาน ให้มันรวมกันนั่งนึกสัก 1 ชั่วโมง เวลา 1 ชั่วโมง มันรวมจิตแบบนั้นได้สัก 3 นาที ข้าว่ามีผลกว่าที่แกจะเกณฑ์พระนอกมาบูชา

ไอ้พวกนี้มันชอบบูชาพระนอก มันไม่ชอบทำใจมันให้เป็นพระ พระนอกเข้าอุ้มไปนิพพานได้เมื่อไร พระในคืออารมณ์สะอาดเท่านั้น ที่จะพามันไปนิพพาน ถ้ามันไม่มั่นใจ เวลามันมาพร้อมกันแกตั้งปะรำพิธี เอาพระพุทธรูปตั้ง ประดับเครื่องบูชา และไฟฟ้าให้สวย แล้วบรรจงเชิญพระอรหันต์ และพระพุทธเจ้าให้หมด แล้วให้พวกมันเอาอารมณ์จับที่พระ บอกให้คิดตามที่แกคิดแล้วไปถึงนิพพาน เท่านี้ดีเยอะแยะ ไอ้พวกนี้มันชอบติดเนื้อติดหนัง

เลยถามว่า นอกจากนี้จะมีพิธีอะไรอีก เอาพระมาสวด ถวายอาหารหรือทำอะไร
ท่านว่า เรื่องนอกสั่งตามใจแก แต่ที่ข้าสั่งต้องทำ และทำประจำ ใจมันจะพากันเกาะติดพระนิพพานอย่างไม่รู้ตัว แกเริ่มทำ 3 วันไปนิพพานได้ พวกมันทำกันบ้างไม่ทำบ้าง พอจะตายเห็นข้าแป๊บเดียว มันก็เกาะติด ไปได้ทุกคน
ถามท่านว่า หลวงพ่อจะมาให้เขาเห็นก่อนตายหรือ
ท่านบอกว่า เออ ข้าตั้งท่ามานานแล้ว

กระดาษสุด เลิกคุย “ท่าน” ที่กล่าวถึงนี้หมายถึงท่านปฐม


◄ll กลับสู่สารบัญ


86

24 พฤศจิกายน 2514

จดหมายที่ท่านเจ้ากรมส่งมา ลงวันที่ 19 พ.ย. อาตมาได้รับตอนเช้าวันที่ 22 จดหมายคงสวนกัน ตามที่เล่าเรื่องคุณนายฝันเห็นอาตมาแล้วมีลาภ ข่าวนี้ดีใจมาก ด้วยงานชิ้นหนึ่งที่ทำคงเริ่มมีผลแล้ว คืองานเสกกระดูก

ด้วยสมัยที่อยู่ชัยนาท ทำมาแล้ววาระหนึ่ง เคยมีผลแก่คนสงเคราะห์ มาคราวนี้ เมื่อท่านมากำหนดเวลาตายให้คือแจ้งข่าวการตาย ท่านบัญชาให้เสกทั้งกระดูก และเนื้อหนังทั้งหมด ก็เลยทำตามท่าน บางวันมันก็เป็นฌานใหญ่ บางวันก็เป็นฌานเล็ก เพราะเรื่องฌานนี้มันขึ้นกับกาย ไม่เหมือนวิปัสสนา วิปัสสนาขึ้นกับอารมณ์อย่างเดียว ถ้าร่างกายไม่ดี ประสาทไม่ดี ตั้งอารมณ์ฌานสูงมากไม่ได้ มันคอยจะเฝือเลยใช้วิปัสสนาแทน

ถ้ากำลังฌานดี คือร่างกายสบาย ประสาทปกติก็ทำฌานได้ดี เมื่อกำลังฌานดีวิปัสสนาแจ่มใส เคยให้ผลมาก และสะดวก เป็นอันว่าถ้าคุณนายพอมีผล อาตมาจะได้ขยันมาก ๆ เพราะต้องการให้คนที่สงเคราะห์มีความสุขเท่าความลำบากที่สงเคราะห์

เมื่อมาพูดกันถึงเรื่องของโลก ตามที่ท่านเจ้ากรมบอกมา ถ้าเข้าใจว่าพระไม่สนใจทางโลกนั้นท่าจะพลาดไปหน่อย เพราะพระยิ่งคิดละเท่าใดก็ต้องสนใจโลกมากเท่านั้น จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าโลกเป็นสุข แต่ความสนใจของพระเพียงวัดความจริง และหาทางออก

ก่อนวันปฏิบัติไม่กี่ชั่วโมง ตอนบ่ายประมาณ 14 น. คณะครูเขาพากันมาเยี่ยมเขาขอให้โอวาทก็ไม่ทราบจะให้โอวาทเขาว่าอย่างไร นึกไปนึกมาเลยบอกว่า “นิสสัมมะกรณัง เสยโย ขอให้ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ”

อีกข้อหนึ่งบอกเขาว่า “อัตตนา โจทยัตตานัง จงฟ้องตนเอง สอบสวนความผิดของตัวเอง แล้วจะเข้าถึงความดีเอง” ด้วยคนถ้ามองแต่ตัวดีมันจะมีแต่ชั่ว ถ้าจับตัวชั่วได้ ลงโทษชั่วเสียให้เข็ดหลาบ มันก็จะพอดีเอง

เขาถามว่าอย่างที่เลือกผู้แทนผิดจัดเป็นความชั่วได้ไหม
ตอบเขาว่าไม่ชั่ว เพราะเมื่อเขามาหาเรามาหาเราเขาว่าจะทำดี เมื่อเราเลือกเข้าไป เขาทำไม่ดี เป็นความผิดของเขา

เขาเลยพากันบรรยายเรื่องผู้แทนกินเงินโรงเรียน กินอะไรต่ออะไร เมื่อฟังเขาได้ยินเสียงหัวเราะไกล ๆ บอกมาว่า บอกพวกครูเขาเถิด อย่ากังวลเลย ผู้แทนจะหมดอายุไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว และอีกนานจะมีผู้แทน
ก็เลยบอกเขาว่า ฉันฝันไปว่าผู้แทนเขาจะลาออกทั้งหมด ไม่ทันหมดกำหนดเลือก เขาลาเองหรือใครให้ลาฉันไม่ทราบ และอีกนานจะมีผู้แทน
พวกครูเขาว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเขาจะดีใจมาก

เมื่อคณะครูกลับ เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษ ก็มีพวกข้าราชการชั้นโท 4 คนมาหา เขาถามว่าคณะครูเขาบอกว่าผู้แทนจะลาออกหรือครับ
ตอบว่าฉันฝันไปเอง เขาจะลาหรือไม่ลาก็ไม่รู้ เขาพากันบอกว่าอยากให้มันลาเหมือนเกิน เพราะมันยุ่งมาก ข้าราชการ ทำงานไม่สบายใจเลย มันจะเอาตามใจมันทำตามก็ขัดระเบียบ ไม่ทำตามมันก็จะหาเรื่องให้

พอรุ่งเช้าอาตมาไม่ได้ฟังวิทยุ เขาแห่กันมาหา เขาบอกว่าหลวงพ่อฝันแม่น บางคนหาว่ารู้เรื่องมาก่อน
เลยบอกเขาว่า ไม่มีใครรู้มาก่อน ฉันฝันเอง เรื่องของความฝัน บางทีก็ตรง บางทีก็เหลว
เขาถามว่าเมื่อไรจะมีเลือกอีก
ก็เลยบอกเขาว่าฉันยังไม่ได้ฝัน

รู้สึกว่าพวกเขาหวาดผู้แทนกันมาก ความจริงผู้แทนทุกสมัยก็พอหาทำยารักษาโรคได้บ้าง มาสองสมัยนี้ คือสมัยจอมพล ป. กวาดต้น กับสมัยที่ จอมพล ถ. กวาดต้น สองสมัยนี้ระยำมากจริงๆ ที่ดีก็มี แต่ที่เลวมันมากกว่ามาก มันเป็นคอมมูนเสียก็มี อาตมาเห็นว่ามันเป็นตัวคอมมูนจริง ๆ ไม่น้อยกว่า 10 คน และเป็นผู้เดินตามคอมมูนอีกมาก

และกำลังจะเป็นเหยื่อคอมมูนอีกไม่น้อย ถ้าขืนปล่อยไป เมืองเราก็เป็นคอมมูนในไม่ช้า มันเริ่มใส่หนวด ใส่หน้ากากกันแล้ว ที่ไม่เป็นคอมมูนก็กำลังจะไล่ให้ชาวบ้านเป็นคอมมูนด้วยการที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนการกระทำของผู้แทน ผลเสียหายมาตกที่รัฐบาลทั้งมวลรัฐล้างเสียได้เป็นการดี

เรื่องคณะปฏิวัติจะทำดีไม่ดีต่อไปเป็นเรื่องของอนาคต คนเราพยากรณ์ยาก ทุกคนอยากดีด้วยกันหมด เว้นไว้แต่จะจับดีพลาดไปเท่านั้น และที่สำคัญมากก็คือคนที่รับนโยบายปฏิบัติ ถ้าลงกินถนนตั้ง 60 เปอร์เซ็นต์ อย่างเมืองอุทัยก็เหลาเหย่กันเท่านั้นเอง ท่าทางของท่านเป็นนักสงเคราะห์ แต่พอย้ายไปปรากฏว่ามีบัญชีห้อยท้ายของท่านตามหลังไปหลายล้านบาท
ถนนสายเล็ก ๆ หลังวัดท่าซุงยาว 12 กม. ราคา 12 ล้าน ท่านได้ไป 60 เปอร์เซ็นต์ ยังสายยาว ๆ อีก ท่านได้ไปเท่าไม่ทราบ เห็นพวกข้าราชการเขาว่าอย่างนั้น คงจะจริงมั่งไม่จริงมั่ง หรือจริงทั้งหมดก็ได้ เพราะพอท่านมา ปรากฏว่าร้านค้าถูกตรวจบัญชีย้อนหลัง 5 ปีหมด ครูนนทาก็โดนกับเขา

แต่พอเอาจริงเข้าท่านไม่ปรับ ขอมั่งก็แล้วกัน เห็นท่าจะไม่ได้แต่นายห้างควรคนเดียว รายนี้บอกว่าเรื่องให้ กูไม่ให้ กูยอมเสียค่าปรับ เพราะรัฐได้ ที่มันมาขอมันเอาเข้ากระเป๋า กูไม่ให้ แกเลยยอมเสียค่าปรับ นอกนั้นไม่ยอมเสียค่าปรับ เสียน้อยกว่าปรับ แต่ไม่ต้องออกหนังสือรับเงิน เมื่อผู้แทนไป ท่านผู้รับสนองเล่นแบบนี้กันอีก ก็จะเป็นการเรียกร้องคอมมูนเข้าบ้านเหมือนกันโลกปั่นป่วนแบบนี้พระก็สนใจ เพราะอยากจะหนีโลกก็มองดูโลกตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้วก็จะเห็นโลกผิดไป

ทางเบื้องบนเขาว่า ท่านเจ้ากรม มีคนเขาอยากเอาไปไว้ทหารบก แต่ขอท่านว่าประโยชน์น้อย คนนี้โกงไม่เป็น ขอให้มีที่ทำมาหากินทางกองทัพอากาศดีกว่า ท่านว่าจะพยายามฝืนดวงดู ถ้าทำได้ก็จะทำให้ ถ้าทำไม่ได้จะตรึงไว้ก่อน แต่ท่านก็ไม่รับรองนัก แต่ก็ต้องเตรียมตัวเคลื่อนย้ายไว้บ้าง

ท่านว่าระยะใกล้ ๆ นี้มีทางอยู่ แต่ท่านก็ว่าไม่แน่นัก เพียงให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้เท่านั้น เผื่อว่าคำสั่งย้ายไปกินพลโท ที่ไหนจะได้ไม่ตกใจ ท่านว่าไอ้ดำแกมขาวมันจะเอาไปไว้กับมัน ถ้าไม่ดีท่านจะดื้อเอาไว้แต่ผลจะเป็นอย่างไรท่านไม่รับรอง เรื่องลูกชายท่านพุฒิ คงไม่เป็นไร เพราะพ่อเขาใหญ่โต พอเขียนเท่านี้มานั่งแยกเขี้ยวขาว เขาว่าอย่าเบ่งซิ เขาฝืนกฎของกรรมไม่ได้

แต่จะช่วยให้มันเป็นนักปฏิวัติ และเป็นนายกตอนอายุ 47-48 ต่อกัน และจะได้เป็นนายกตลอดกาลว่ามันจะไม่ตายก่อนหรือ เขาบอกว่าบัญชีของเขาไม่มีตาย หรือมันจะเสือกไปตายบัญชีใครก็ไม่รู้ ไอ้ตามันยังไม่ออกจากราชการเขาว่าอย่างนั้นมันจะต้องเดินไปอีกหน่อยจึงจะออกได้ ถ้าเดินไปได้ พุงกะทิมีมันมากกว่านี้หน่อย ว่าแล้วก็ถลกแขนเสื้อกลับ ตานี่แกมีทีเด็ดเหมือนกัน หนังสือเริ่มเขียนแล้ว แต่ท่าจะต้องมาลอกจัดตัวอักษรใหม่ ด้วยมันลืมตัวสะกดการันต์ผิดมาก
(หนังสือที่ว่านี้ คือหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ซึ่งพวกเราขอให้ท่านเขียน เพราะเกรงว่าเราเขียนกันเองก็ไม่เหมือนท่านเขียน ดีไม่ดีคนอ่านหาว่าแต่งโกหกขึ้น ในหนังสือสู่แสงธรรม พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป เขียนไว้ว่า หลวงพ่อไปออกรายการที่สถานีวิทยุมีการเล่าเรื่องประวัติหลวงปู่ปาน ไตรภูมิ มหาสตติปัฏฐาน 4 และอื่น ๆ อีกมากมายมีวงเล็บว่า

ต่อมา พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ได้ขอเทปไปถอดฟัง และจัดพิมพ์เป็นหนังสือดังที่ลูกศิษย์รุ่นหลังได้อ่านกันอยู่ทุกวันนี้ ข้อความนี้ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ เพราะประวัติหลวงปู่ปานนั้นเมื่อขอให้หลวงพ่อเขียน หลวงพ่อก็พิมพ์ส่งให้สัก 2-3 ตอนแล้วเจ็บอก เปลี่ยนเป็นพูดเทปแทน เราลอกออกมาแจกกันพิมพ์โรเนียวอ่านภายในกันเองก่อน

ฉบับโรเนียวนี้คุณอู๊ด วาสนา ยังมีอยู่ ต่อมาคุณอรอนงค์ อรรถไกวัลวที ขออนุญาตหลวงพ่อพิมพ์แจกงานศพคุณพ่อของเธอ มีคนขอมาในภายหลังมากจนต้องพิมพ์โดยคิดค่าพิมพ์ด้วย ส่วนหนังสืออื่น เช่น ไตรภูมิ มหาสติปัฏฐาน 4 และอื่น ๆ นั้น หลวงพ่อสั่งให้พิมพ์ บางเรื่องก็ส่งเทปให้โดยตรง บางเรื่องให้รับเทปจากสถานีวิทยุหลังจากออกอากาศเสร็จแล้ว ไม่ใช่เป็นการขอเทปจากสถานีนั้นมาคัดลอกแล้วพิมพ์โดยพลการ)

◄ll กลับสู่สารบัญ


87
1 ธันวาคม 2514


ขณะนี้อาตมากำลังเขียนหนังสือถึงตอนหลวงพ่อปานออกธุดงค์ ตั้งใจจะเขียนให้จบภายในเดือนธันวาคม ด้วยเขียนมากก็ไม่ได้มันเหนื่อย และเมื่อเขียนแล้วคงต้องชำระตัวหนังสือกันแย่ เขียนไม่มีการร่าง เพราะถ้าขืนร่างไม่จบแน่ ด้วยมีเวลาแก้ เลยเขียนเลย มันจะไปอย่างไรก็ตาม เขียนตามที่ทราบมา

และตามที่นึกออก ตั้งใจว่าเดือนธันวาคมนี้คงไม่มากรุงเทพฯ เมื่อเขียนจบแล้ว กะว่าคงปลายเดือนคงจบ เดือนมกรา 2515 จะมากรุงเทพฯ เอาต้นฉบับมาเลย เผื่อใครเขาจะพิมพ์จะได้จัดการพิมพ์ ถ้าเห็นว่าไม่เป็นเรื่องก็อย่าพิมพ์ เขียนแล้วก็หนักใจ เพราะมันเป็นเรื่องที่พระเขาปฏิเสธว่าไม่มีแล้วทั้งนั้น

การพิมพ์ลงคนอ่านจะหาว่าคนเขียนกับคนลงทุนพิมพ์ต่างคงไม่ใคร่สบายเหมือนกัน แต่เมื่อคิดไปแล้ว เรื่องปาฏิหาริย์ของสำนักต่าง ๆ เขาทำไมทำได้ ของเราเล่าเรื่องประสบมาทำไมจะทำไม่ได้เขียนคราวนี้เลยใช้นามปากกาแทนชื่อจริง (คือนามปากกาฤาษีลิงดำ) เพื่อตัดความรำคาญของคนที่เชื่อ และไม่เชื่อ

เมื่อปฏิวัติแล้วคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เห็นภาพคณะปฏิวัติออกตรวจตรากลางคืน ผู้แทนหายไป ข้าราชการบ้านนอกบอกว่าสบายใจมากไม่มีผู้แทนขู่ วันนี้ขอพักคุยเท่านี้ เพราะรู้สึกเพลีย เพราะเลิกจากการเขียนหนังสือตอนพบวัวเขาอ่อนใหม่ ๆ ขอท่านเจ้ากรมจงมีความสุขโดยธรรมตามปกติเถิด



88
11 ธันวาคม 2514


คงจะได้รับโทรเลขแล้ว เรื่องที่แจ้งมาว่าป่วยนั้น อาการป่วยมันเป็นอาการปกติที่เคยป่วยจนชินกับอาการป่วย แต่ทว่าเวลาป่วยมันเข้าอันดับ คืออันดับที่เคยตายวาระที่สาม คราวที่จรจรัลไปถึงนิพพาน เวลาที่มันเริ่มอาการเป็นเวลาเดียวกัน คือเริ่ม 19 น.-20 น. และเรื่อยไปประมาณ 21 น. จึงจะคลายอาการ

ต้องใช้อารมณ์นิพพานช่วยจึงคลายอาการเครียด อาการเครียดมีมาก แต่ทว่าเวลากลางวันไม่ใคร่มีอะไรผิดปกติ มีแต่วันเริ่มต้น 2-3 วัน ที่มีอาการมึน และปวดทางสมองมาก แต่ก็หายไปแล้ว เหลือแต่อาการทางท้อง มีแก๊สมาก

ในเวลาดังกล่าวแล้ว เรื่องอาการมีอาการคล้ายโรคผีสิง บางคราวที่โรคมันโปรดปรานก็ไม่ให้กินอาหารมาก ด้วยเห็นว่าอาหารแพง แต่บางคราวมันเกิดฮิตขึ้นมา ให้ว่าเสียจนคิดว่าไม่ใช่ตนเองของคนกิน มันกินแหลกลาญเลย

ต่อมาเมื่อวันที่ 9 หลังจากป่วยอย่างชนิดปวดเศียรเวียนเกล้ามาสามสี่วันตอนกลางคืนก็ขึ้นไปเฝ้าสมเด็จ ความจริงยิ่งป่วยก็ปลงมาก เพราะแน่ใจว่าถ้าลมปราณมันขี้เกียจเดินก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ เลยพยายาม หาที่อยู่ตามกำลังอริยทรัพย์จะพึงอำนวย ความจริงป่วยคราวนี้ทำให้หวนคิดถึงคราวที่เคยป่วย และตายแล้วย่องไปนิพพาน เป็นการไปที่มีกฎบังคับไม่ได้ไปเอง ไม่ไปก็ไม่ได้

เมื่อไปก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าจะไปทางไหน เมื่อเลยพรหมชั้นที่ 16 แล้วก็มีสภาพเหมือนคนตาบอด และคนสิ้นแรงใกล้จะสิ้นลมปราณจะหมดกำลังมันโผเผไม่มีแรงไปอย่างคนถูกบังคับ เมื่อไปแล้วก็ไปพบอาคารที่สวยสดงดงามกว่าพรหมชั้นที่ 16 เลยไม่ทราบว่าที่ใด ต่อมาเมื่อพระท่านมายืนยันว่าที่ตรงนี้เขาเรียกว่านิพพานก็เลยสงสัย และคุยกับท่าน ตามที่เคยพูดให้ฟังมาแล้ว

อาการป่วยคราวนี้ อาการอย่างเดียวกับป่วยคราวนั้น เวลาที่โรคอาละวาดก็เวลาเดียวกันไม่ว่าอะไรเหมือนกันหมด มีความร้อนภายในสูงมาก อยากน้ำเป็นกำลัง แต่อาการอย่างนี้ใครจะมองเห็น เพราะปกปิดด้วยกำลังภายใน ไม่ใช่กำลังภายในแบบหนังจีน กำลังภายในที่ว่านี้เป็นกำลังภายในหนังพระ จะเป็นพระไทย พระเจ๊ก พระแขกหรือพระอะไรก็ช่างเถอะใช้กำลังภายในแบบเดียวกัน

แต่วิธีใช้อาจต่างกัน นั่นเป็นเรื่องของคนที่ใช้กำลัง เมื่อเอากำลังภายในช่วย คนก็เลยเห็นว่าอาการป่วยเป็นของเด็กเล่น เมื่อบอกว่าป่วย ไม่เห็นมีอาการงอแงอะไรเลย คุยเสียงดัง ฟังไม่เพราะหู แถมตวาดดีกว่าปกติ ทั้งนี้เพราะทราบว่าป่วย ต้องขยันตวาดหน่อย ด้วยทราบว่าเมื่อตายหาคนช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ตวาดเจ้าพวกพ่อพระแม่พระมาใช้กันเรื่อย และใช้อย่างทาสไม่ใช่ใช้อย่างลูก มาถึงก็ด่วน

วันที่โรคเริ่มอาละวาดวันแรก ทั้งปวดหัว ท้องอืด อารมณ์ทางประสาทเครียดแต่อารมณ์ใจปกติ พวกพ่อแม่ทั้งหลายมีทั้งเดินเท้า และรถยนต์ขณะกำลังฉันเพลมาเรียกกันเสียงขรม และจะขอเข้าพบทันที เลยโปรดเป็นพิเศษ คือตวาดเสียงกระเจิดกระเจิงไป พวกจังไรพวกนี้ยุ่งมาก เมตตามาก กำเริบมาก ยิ่งป่วยก็เลยยิ่งเห็นสาระของโลกไม่มีเลย การสงเคราะห์คนเป็นไปตามอำนาจเมตตา

แต่เมื่อแกเห็นว่าเป็นทาสรับใช้ก็เลยใช้เสียงขณะที่อยู่ชั้นจาตุมหาราชมาใช้ พวกเลยออกกันเป็นแถว คนพวกนี้แปลก เห็นพระเป็นทาสไปก็ได้ บางรายออกปากให้ได้ยินว่าวัดอื่นไม่เห็นต้องมีเวลาพบเลย วัดนี้ระเบียบมากจริง น่ารักไหม เห็นแล้ว ฟังแล้ว อารมณ์เบื่อก็เลยมากขึ้นคิดว่าโลกนี้ไม่มีอะไรควรจะอยู่ ดีใจที่อาการป่วยรุกราน จะได้พ้นกฎของกรรมเร็ว ๆ

เมื่อลมปราณสิ้นเมื่อไร ความสุขใหญ่ก็จะปรากฏ อาการป่วยเหมือนความรู้สึกถูกเข็มฉีดยาแทง มันเจ็บชั่วคราว เมื่อความเจ็บผ่านไป โรคหาย ความสบายทางกายก็ปรากฏอาการป่วยคราวนี้ก็เหมือนกัน คิดว่าทนเวทนาชั่วคราว เมื่อลมปรานสิ้นก็จะพบความสบายที่ไม่ต้องมีทุกข์ เมื่อเห็นว่าอาการป่วยรบกวน แต่ก็เห็นเป็นปกติ เอากำลังกายในช่วย พอพยุงสังขารไปทำงานตามปกติได้

พออดพอทนแต่ตอนที่คนมาเป็นนายใช้ตามความต้องการนี่สิ ตอนนี้ไม่ทน เพราะไม่อยากทน เลยออกโขนตอนยักษ์ตวาดเสียหน่อยเดียว ออกกันอ้าวไปเลย คนไม่มีธรรมที่เป็นกุศลเข้าใจตนว่าเป็นนายพระ แม้ทางราชการที่กินเงินเดือนยังต้องมีเวลาพักเพล พักกลางวัน นี่พระกินข้าวเพล พวกพ่อคุณแม่คุณก็ดันทุรังจะใช้ดะ ควรตามใจไหม นี่เรื่องที่ชวนตายมันมาก อยากเข้าป่าจริง ๆ

มาว่ากันตามเรื่องที่ป่วยดีกว่า เมื่ออาการป่วยมันพองตัว ประสาทหมุนเวียนไม่เอาไหนที่พึ่งทางใจก็คืออารมณ์พระนิพพาน คิดว่าป่วยคราวนี้อาการทุกอย่างเหมือนคราวที่ไปนิพพานก็เลยสบายใจ ไม่ใช่สบายใจเพราะป่วยตามเวลา สบายใจเพราะว่าอาการเท่านี้เราเคยย่องไปนิพพานได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการเตรียมตัวเพื่อนิพพานมาก่อนเลย

ความจริงเตรียมแต่เตรียมอย่างเถรส่องบาตร คือทำตามท่านว่า ไม่รู้ว่าเป็นวิปัสสนา และเมื่อป่วยก็คิดเพียงสามวันว่า เราไม่มีอะไร พี่น้อง พ่อแม่ พวกพ้อง ทรัพย์สินไม่มี เรากำลังจะตาย เราไม่ต้องการอะไรหมด ตัดอาลัยอาวรณ์ทั้งหมดงดรับภาระทุกอย่าง พอสามวันก็ตาย ตายอย่างคนตาย เมื่อตายแล้วไปอย่างไร ย่องไปนิพพานมันย่อยเสียเมื่อไร

เมื่ออาการอย่างนั้นปรากฏแล้วตาย มาคราวนี้อาการอย่างเดียวกันก็เลยใช้อารมณ์อย่างเดียวกัน เพื่อว่าตายจะได้ไปที่เดียวกัน เรียกว่าฝันเอาเองคนเดียว แต่ผลดีจริง ๆ เมื่อใช้อารมณ์เฉพาะ พออาการทางกายหมดความรู้สึก พ่อย่องไปไหว้พระที่จุฬามณีนั่นแน่ ไม่ย่อยเลย ขณะทำใจรักษาอารมณ์เอกัคตารมณ์อย่างเดียว ไม่เอาไหนทั้งหมด ด้วยเตรียมตัวตาย

พอเกิดตาย คือ อารมณ์กำลัง ย่องไปพระจุฬามณี เวลาจะไปก็ไม่บอกล่วงหน้า เพราะตั้งอารมณ์ดับไว้เฉย ๆ มันเคยไปของมันเอง พอเห็นเผลอย่องไปเอง เมื่อไปถึงจุฬามณีเห็นอะไรต่ออะไรมันสวยงามกว่าปกติที่เคยเห็น พอเข้าไปไหว้พระเห็นท่านสวยมากกว่าที่เคยเห็นมา

เลยออกปากถามท่านว่า วันนี้ทำไมหลวงพ่อสวยกว่าทุกคราวที่เคยเห็น (หลวงพ่อในที่นี่หมายเอาสมเด็จองค์ปัจจุบัน)
ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า ฉันสวยอย่างนี้ทุกวัน แต่อารมณ์คุณต่างหากไม่สวย คุณมีกังวล เวลามาหาฉันมักจะมีธุระของคนอื่นติดมา อารมณ์มันไม่สะอาดพอ วันนี้เธอตัดหมด เป็นอารมณ์ที่สะอาดที่สุดที่เห็นฉันสวยที่สุด เธอมายุ่งที่นี่ทำไม ไปหาท่านพุทธกัสสปบิดาเธอ

ท่านไล่ก็เลยออกวิ่งไปหาหลวงพ่อ พอไปหาท่าน พอกราบเสร็จ ท่านก็บอกว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของเธอ เธอจงไปที่อยู่ของเธอ

เป็นอันว่าวันนี้ไปไหนก็ถูกไล่ดะ ไม่มีใครปราณีเลย แต่ท่านพุทธกัสสปท่านห่วงว่าจะไปโต๋เต๋ไม่ถึงที่อยู่ ความจริงที่อยู่กำแพงติดกับของท่าน ท่านเลยเดินนำไป พอเข้าไปที่อยู่ วันนี้เห็นมันสวยกว่าที่เคยเห็นทุกคราวมา ท่านพาไปที่ ๆ เคยยกไม้อธิษฐาน ท่อนไม้นั้นยังปรากฏอยู่

ท่านบอกว่า คราวก่อนที่เธอมา ท่านสมณโคดม ท่านให้เธอยกไม้ท่อนนี้ มันเล็กไป ฉันจะให้เธอยกไม้ท่อนโตกว่านี้ 10 เท่า เธอยกได้ มานิพพานได้แน่

แล้วท่านก็ชี้ไปที่ท่อนไม้ ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน โตขนาดเท่าซุงท่อนใหญ่มหึมา มันเลยหัวไหน ๆ ท่านสั่งให้ยก สมัยที่มาคราวก่อน ท่อนนิดเดียว คิดว่า ยกไม่ไหว คราวนี้ท่อนใหญ่เกือบเท่าช้าง พอเห็นเข้าคิดว่าไม่หนักเลย พอเข้าไปใกล้ เพียงยื่นมือเข้าไปมันก็โดดขึ้นมือ เบาเหมือนเศษกระดาษที่เช็ดปาก

ท่านบอกวางได้แล้วนำเข้าไปที่อยู่ เห็นอะไรมันรกรุงรังไปหมดเป็นระย้าห้อยยั้วเยี้ยเต็มทีเกือบจะเข้าไม่ได้ ถามท่านว่า ทำไมรกอย่างนี้
ท่านบอกว่า เธออยากทำมาก มันก็รกมาก เธออยากให้มันน้อยนึกให้มันน้อย มันก็น้อยเอง

พอนึกว่าห้อยพอสวยมันก็หายไป จัดระเบียบการห้อยใหม่อย่างสวยงาม พอเข้าไปภายใน ไม่ว่าอะไรมันสวยไปหมด พอเดินออกมาข้างนอกจะนั่งที่ไหนไม่รู้ว่าแท่นแก้วสวยงามมากมันมาจากไหน เห็นพื้นเรียบ ๆ คิดว่าจะต้องนั่งพื้น พอนั่งลงไปก็มีแท่นแก้วมารับทันที

ท่านเลยอธิบายให้ฟังว่า ที่นิพพานนี้ดีกว่าพรหมหรือเทวดามาก พรหมหรือเทวดา เมื่อต้องการอะไรยังต้องหา คือต้องนึกถึงนิรมิต และต้องเป็นไปตามวาสนาบารมี ถ้าต้องการเกินบารมีก็ไม่มีอะไรปรากฏ ที่นี่ไม่ต้องนิรมิต เมื่อเราจะทำอะไร สิ่งที่จำเป็นจะปรากฏทันที เพราะบารมีเต็ม คือไม่มีอะไรบกพร่อง ฟังท่านว่าก็สบายใจ

เมื่อตัวสบายก็เลยอดห่วงคนอื่นไม่ได้ เรื่องของมันอดระยำไม่ได้ อันดับแรกถามถึงนนทาก่อน ถามว่า แกจะมาได้ไหม
ท่านบอกว่า ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และแนะอะไรมากจำไม่ได้เห็นจะเป็นตัวตัด
เมื่อถามเรื่องนนทาแล้วก็เลยถาม ถึงพลพรรคในกรุงเทพฯ
ท่านยิ้มแล้วตรัสว่า มีหลายคน

คุยกันชั่วคราวเพราะเวลาน้อย ท่านเลยแนะว่า ใครมันจะเอาดีอะไรก็ปล่อยมัน เธอกลับไปสอนอารมณ์ที่เธอมาที่นี่ได้อย่างเดียววันเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้วใครอยากมาจะได้มาได้อย่าห่วงงานอดิเรก ห่วงพวกต้องการพระนิพพานให้มาก
ถามท่านว่า ยังอยู่เลยไม่ได้หรือ
ท่านบอกว่า ยัง
แหมหลงท่องคาถาเสียเกือบแย่ ให้ชมได้หน่อยเดียวท่านก็ไล่กลับ

ก่อนกลับท่านกำชับว่า จากนี้ไป คือเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2514 ท่านให้พักการใช้กายและสมอง 15 วัน จงพักผ่อนให้มาก ประสาททางกายยังไม่ดี อาการของโรค จงระวังเรื่องอุจจาระคั่งอย่างเดียว อย่างอื่นบำรุงพอควร ถ้าอุจจาระไม่คั่งไม่เป็นไร

เมื่อสั่งแล้วท่านก็ไล่กลับ วันที่สั่งเป็นวันที่ 6 ที่นับแต่วันที่ 10 ว่า 15 วัน ก็เพราะเหลือกำหนดที่ท่านห้ามใช้สมองอีก 15 วัน เมื่อวันที่ 10 อ่านหนังสือพิมพ์ตอนอ่านข่าวไม่มีอะไร พออ่านบทความปวดหัวเกือบแตก เลยเลิก ลงไปดูพระรื้อกุฏิช่วยเขายก ช่วยเขาแบก เลยสบายใจ

วันนี้เขียนจดหมายคิดว่าไม่ไหวต้องขออนุญาตท่านอนุญาตให้เขียนได้ แต่มีกฎในการเขียนไว้ว่าต้องเล่าเรื่องที่ผ่านมาความจริงอยากเล่าให้ฟัง แต่คิดว่าไม่ไหว กำลังประสาทไม่ดีเลย เมื่อเขียนก็เห็นคล่องดี ก็เลยเขียนเสียรำคาญตาไปเลย

ตั้งใจว่าวันที่ 1 มกราคม 2515 จะเดินทางมา ครูนนทาแกจะมาหาลูกด้วยถามนิดดูทีหรือรถว่างไหม เห็นเบ่งจะเอารถมารับ เมื่อไม่ว่างฉันก็มารถส่วนตัวของฉัน ฉันมีหลายยี่ห้อ รถยนต์ก็มี รถไฟก็มี รถสามล้อก็มี เรื่องของคนรวย มีทุกอย่าง เป็นอันว่าไม่ต้องลำบากมารับดีกว่า จะมารถเมล์ ถ้าไม่ป่วยนะ คือไม่ป่วยมากนัก

ถ้าอาการเครียดตามที่มีอยู่นี้ยังมีอยู่มาไม่ได้ ท่านให้พักอีก 15 วัน เข้าใจว่าคงจะดีขึ้นกว่านี้ แต่ก็หวังแน่นอนอะไรไม่ได้ เป็นอันว่าถ้าไม่โทรแจ้งว่าป่วย วันที่ 1 มาแน่ มาพักบ้านนนทา 1 คืนตามปกติ ต่อจากนั้นก็ไปตามที่เคยไปคือที่บ้านท่านเจ้ากรม และบ้านคุณอู๊ด บ้านใครวันไหนตกลงกันที่บ้านนนทา กรุณาบอกฉลวยให้ทราบด้วย

จะนำหนังสือที่เขียนไว้แล้วมาให้ตรวจแก้ตัวหนังสือ ฉันพิมพ์เปะปะตามแบบฉบับของฉัน ตัวสะกดการันต์ก็ผิดมาก ไม่ได้ร่าง นึกเอาแล้วพิมพ์เลย จะพิมพ์ต่อท่านห้าม ท่านให้บันทึกแทน เตรียมบันทึก ท่านว่ายังพักไม่ครบเลยต้องรอต่อไปก่อน จะจบก่อนตายหรือตายก่อนจบก็ตามใจ อ่านแล้ว เห็นควรพิมพ์ก็พิมพ์ ไม่ควรพิมพ์ก็อย่าพิมพ์ เพราะท้อเรื่องขัดคอพระรักลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มาก

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 3/9/11 at 13:09

89

15 ธันวาคม 2514


วันนี้ท่าทางค่อนข้างจะดี ยังไม่ดีมาก เมื่อคุณนายมาพูดถึงวัดเสริมศรี?
คุณนายบอกว่า เท่านั้นก็สวยดี และควรพัก
อาตมาบอกว่า ถ้าได้อีกหลังก็จะดี และคิดว่าจะพัก

ว่านี้มีโอกาสไปเที่ยววัดเสริมศรี เห็นบรรดาหลวงตาทั้งหลายกำลังนั่งทำพระเครื่องเตรียมขายกันเป็นการใหญ่ มีพระสมเด็จ พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระอะไรต่ออะไรอีกหลายแบบแต่ละแบบสวย ๆ ทั้งนั้น ครูนนทาเข้าไปตรวจส้วม ปรากฏว่ามีอยู่ห้องหนึ่งอาหารเก่าเต็มอืดเลย เห็นออกมาหน้ายุ่ง ๆ มาไล่เบี้ยพระ หาว่าไม่รักษาความสะอาด

อาตมาขึ้นไปตรวจชั้นบน เห็นพระทวีแกไปดูมา มาบอกว่าสกปรกมาก ปรากฏว่ามีฝุ่นหลายสมัยติดเกรอะกรังเป็นดวง ๆ แสดงว่าไม่ได้เช็ดถูกันเลย มองไปดูศาลาเล็กรับ แขกเห็นฝุ่นเต็มไม่เห็นไม้พื้น เข้าไปดูภายในกุฏิชั้นล่างปรากฏว่าสีขาวที่พระวัดท่าซุงทาไว้ยังไม่เสร็จ สีมีอยู่ ไม่มีใครทาต่อ

เมื่อกลับออกมาปรึกษากับนายบรรจงน้องภรรยานายช่างโต๋ว ถามถึง เรื่องสำนักเรียนจะเอาสำนักเรียนวัดปากคลองมะขามเฒ่าขยายมาที่นี่
แกตอบว่า ทางพระ และฆราวาสที่นั่นไม่เห็นด้วย

ความจริงตกลงกันแล้ว แกเปลี่ยนใจใหม่เสียกระมัง ทั้งนี้ ถ้าท่านพระครูวัดปากคลองมะขามเฒ่าส่งพระเปรียญมา พระหลวงตาก็อับแสงเมื่อเห็นเขาไม่ปฏิบัติตามที่ตกลงกันก็เลยแจ้งให้ทราบว่าที่วัดนี้ คิดว่าจะสร้างกุฏิให้อีกหลัง เหมือนหลังที่สร้างแล้ว แต่ถ้ายังไม่มีสำนักเรียนบาลี ก็จะยังไม่สร้างต่อไป

เป็นอันว่าปี 2515 กฐินคุณติ๋วที่ทอดวัดเสริมศรีฯ ขอเอามาเป็นกฐินวัดท่าซุงเพื่อสมทบทุนสร้างอาคารใหม่ สำหรับวัดเสริมศรี? ถ้าเขายังดื้ออยู่ตามเดิมก็ควรปล่อยไว้เท่านั้น ถ้าเขาตั้งสำนักเรียนเมื่อไร ค่อยรวบรวมกันใหม่ เพื่อสร้างอาคารอีก 1 หลัง นอกนั้นไม่มีความจำเป็นมากนัก มีก็ทำไม่มีก็พัก จะได้ไม่มีกังวลมาก

ที่รีบบอกมาก่อน ทั้ง ๆ ที่วันที่ 1 ก็จะมา ก็เพื่อทราบความประสงค์ไว้ก่อนเป็นอันว่าอาคารเสริมศรี ของสมเด็จท่านกะสอง พ.ศ. เสร็จ น่ากลัวจะเสร็จตามท่านว่า



90
21 ธันวาคม 2514

จดหมายลงวันที่ 17 ได้รับ และทราบความตลอดแล้ว สาระที่ได้จากจดหมายก็คือ
1. เป็นห่วงหลวงตาแกจะทำปู้ยี่ปู้ยำเรื่องนี้กำลังสั่งทางโรงพิมพ์หนังสือตัวใหญ่เพื่อประกาศพักงานก่อสร้างวัดนี้ชั่วคราว ถ้าใครเอาชื่อออกหากินให้แจ้งตำรวจจับ

2. เรื่องหน่อย (ลูกชายเจ้ากรมเสริม) ไปต่างประเทศวาระที่สอง ไม่ได้นับการเดินทางไปในระยะใกล้ ๆ นี้ วาระที่สองต้องเป็นเวลาที่ทำการทำงานแล้วไปเพื่อเรียนต่อ

3. เรื่องมารับ ถาไม่สะดวกก็ให้มารถประจำทางคงไม่เป็นไร ถ้าสะดวกจึงควรมารับด้วยทราบอยู่ดีแล้วว่าวันที่ 1 ไม่มีใครว่าง จะมาก่อนก็ติดทำบุญบ้านครูนนทา แกทำประจำทุกปี และก็เป็นขาประจำมาหลายปีแล้ว

4. เรื่องก่อสร้าง ตรงกับความฝัน เมื่อสองสามคืนมานี้ ฝันว่ามีท่อนไม้ท่อนหนึ่ง มีไฟติดเล็กน้อย ไม่ไหม้อะไร เห็นเป็นไฟเปลว แต่ก็มีนิดหน่อย มีผู้หญิงหลายคน และอาตมาช่วยกันยกออกไปจากไฟ พอยกออกมาไฟก็ดับ ไม่มีอะไรเสียหายเลย เมื่อตื่นคิดว่าใครหนอจะมีเรื่องร้อนใจต้องเป็นพวกเราแน่ เมื่อมีแล้วก็จะสะดุดใจนิดเดียว แล้วเรื่องก็จะสลายตัวไป เมื่ออ่านจดหมายแล้วแน่ใจว่าเป็นท่านเจ้ากรมคงไม่มีอะไรมากนอกจากสะดุดใจนิดหน่อยเข้าใจว่าจะระงับในไม่ช้า

5. เรื่องตาคุณอ๋อย ให้หมอรักษาตาดูเสียหน่อย บอกให้ท่านแสง ท่านทวด หลวงพ่อโตเป็นหมอ คงหาย ถ้าไม่หายก็จงบีบคอหลวงตาทวดก็แล้วกัน

6. เรื่องหมอน้ำมนต์นิด ความจริงเป็นเรื่องดีที่เอาน้ำมาดู มันได้ 2 กสิณ คือมองให้เห็นก้นขันเป็นอาโลกสิณ ดูน้ำเป็นอาโปกสิณ อาโลกสิณมีผลให้ใจเป็นทิพย์ อาโปกสิณสร้างความเยือกเย็นเป็นสุขแก่ตัวเอง ถ้าต้องการและให้ความเป็นสุขแก่คนอื่น บางรายสร้างความสุขให้คนอื่นเพลินไป ลืมสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขให้แก่ตัวเอง อย่างนี้มีไม่น้อยเพราะเพลินดัง เลยดังเสียจนลืมตัวเอง ทุกคนทำกันบ้างก็ได้ จะได้มีอารมณ์ว่าง

7. พิเศษ เมื่อฟังวิทยุ ความจริงหลาย ๆ เดือนจะฟังสักครั้ง บังเอิญฟัง พบข่าว หลวงพี่จวน ตายก็เลยคิดว่าแกตาย และไม่ตายคนเดียว เราก็จะต้องตายอย่างแกสบายใจ หลวงพี่จวนไปไหนใครถามก็ไม่บอกเพราะไม่รู้จะบอกอย่างไร ตาพุฒิ เขาไม่บอก เขาเพียงแต่ตีใบ้ ใครอยากรู้ก็ถามตาพุฒิเอาเอง

หรือให้นิดถาม ท่านชมภู (ท้าวมหาชมภู) ก็ดีเหมือนกัน เพราะชมภูท่านบอกแต่ก็พูดไม่ได้ เขาปิดปากเป็นอันว่าท่านเป็นสังฆราชในชาตินี้ ตายแล้วท่านก็เป็นสังฆราชต่อไป ท่านมีบุญมาก เมื่อทราบข่าวการตายของท่านก็ไม่ควรตกใจ เสียใจ หรือดีใจ รักษาใจเป็นปกตินั่นแลควร เพราะเรื่องตายเป็นเรื่องธรรมดา เราเกิดมาเพื่อตาย

ที่ทางราชการท่านพยายามเสียใจ ลด (ธง) ลงครึ่งเสานั่น ท่านเสียใจตามระเบียบ ไม่ใช่เสียใจเพราะอาลัย การยืนไว้อาลัยท่านไว้อาลัยตามระเบียบ ไม่ใช่อาลัยเพราะรัก เรื่องของระเบียบก็เป็นเรื่องของระเบียบ ระเบียบไม่ใช่ของจริง เป็นอาการที่ทำตามสั่ง เรื่องของจริงที่เกิดกับใจคนละเรื่องกับระเบียบ

พ่อมียศน้อย ลูกมียศมาก พ่อทำความเคารพลูก ไม่ใช่เห็นว่าลูกเป็นเทวดา พ่อทำตามระเบียบ ลูกก็รับตามระเบียบ เมื่ออยู่ที่ทำงาน ลูกออกคำสั่งให้พ่อปฏิบัติตามระเบียบ พ่อก็รับสนองคำสั่งตามระเบียบ พอมาถึงบ้าน เมื่อลูกทำผิดพ่อดุด่าตามหน้าที่ ลูกรับคำสอนตามฐานะเรื่องมันต่างกันลิบ

ท่านตาย เราเสียใจเราก็เสียคน ท่านตาย เราดีใจ เราก็เสียคน ท่านตายเราร้องไห้ เราก็ไม่เป็นเรื่อง แต่เมื่อทราบว่าท่านตาย เราคิดว่าเราก็จะตายอย่างท่าน อย่างนี้น่ารัก และคิดต่อไปว่า เมื่อเกิดแล้วตาย จะเกิดมาหาหอกอะไรอีก ตามที่ลุงพุฒิแกว่า คำว่าหาหอกเห็นสำนวนตาพุฒิ คนอยู่ใกล้นรก เขาใช้คำศัพท์ว่าหาหอก แกพูดน่าคิด ใครจะว่าเลวหรือหยาบก็ตามใจ

แต่อาตมาว่าแกพูดของแกถูกความเป็นอยู่มีอาการเสียดแทงคล้ายถูกทิ่มแทงอาการป่วย อาการหิว ร้อน หนาว กระหาย อารมณ์ไม่ถูกใจ เป็นต้น มันทิ่มแทงให้ไม่สบายใจตลอดเวลา ดูเสมือนว่า มันร้ายกว่าหอกแทงเสียอีก เมื่อเกิดมาเพื่อให้หอก คืออารมณ์ที่ไม่ถูกแทงใจ แกจึงบอกว่าจะเกิดมาหาหอกอะไรอีก เมื่อทราบว่าการเกิดเป็นสภาพต้องถูกทิ่มแทง เราจะเกิดให้โง่อีกต่อไปเพื่ออะไร เรื่องนี้พักกันดีกว่า

เรื่องหนังสือ ดูสำเนาที่นนทามันผิดเยอะ เพราะมือมันไม่ตามใจ และเมื่อคิดแล้วก็เขียนมันก็เป็นอย่างนั้นตามปกติ การเขียนมันก็ไม่ใคร่เอาถ่านอยู่แล้ว แก้เสียนั่นแหละดีเรื่องที่จะเขียนต่อไปคงเป็นเสียงเพราะเป็นตัวหนังสือไม่ไหว เอาไว้ว่าง ๆ จะบันทึกมาให้แกะการเขียน และการพูดตามคำบอกในบางวาระสำนวนอาจแก้ไขไม่ทัน จะปล่อยตามนั้นหรือแก้ไขบ้างก็สุดแล้วแต่ที่ประชุมจะเห็นสมควร

หนังสือคงมีอีกไม่เกินเท่าที่มีแล้วด้วยไม่อยากพูดยาวด้วยพูดยาวคนไม่อยากอ่าน ต่อไปก็คงจะเข้าหาประวัติ คือ ปฏิปทาบางตอนของหลวงพ่อปานเท่าที่ทราบ จะไม่เอามาบอกกันเลยก็จะไม่ทราบว่าปกติท่านทำอะไรบ้าง แต่ก็คงเอามาละเอียด และหมดเรื่องไม่ได้เพราะรู้ไม่หมด
วันที่ 1 ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ควรมารับ เห็นใจ คือวันที่ 31 ใคร ๆ เขาก็อยู่ดึกด้วยกันทั้งนั้น พอจะนั่งรถเมล์มาได้ และมีเวลาพัก 1 วัน คงไม่เป็นไรมาก

◄ll กลับสู่สารบัญ


91
19 กุมภาพันธ์ 2515


วันนี้ มีเวลาเล็กน้อย จึงรีบเขียนรายงานมา ความจริงอยากเขียนมาหลายวันแล้ว แต่ก็เขียนไม่ได้ เพราะพระเป็นพระป่วย หลังมาจากกรุงเทพฯ แล้วเก่งได้เพียงวันเดียว คือวันที่ 8 ตอนกลางวัน พอค่ำก็เริ่มใจสั่น หมดกำลัง ต้องเดินจงกรมถึง 3 น. จึงนอนหลับ ต่อจากนั้นก็ไม่มีแรงเรื่อยมาจนถึงวันที่ 15-16-17 สามวันนี้ใกล้ผีเต็มที ไม่อยากลุกไม่อยากเดิน แต่ก็ต้องลุกต้องเดินทั้งวัน

สำหรับวันนี้เดินแต่ตอนเช้า สายหน่อยก็ทอดหุ่ย ไม่อยากไปไหน เพลียจริง ๆ อาการเหมือนเมื่อตายครั้งที่สาม เวลานี้บ่าย 14 น. เศษ พอมีแรงบ้างก็พยายามเขียนจดหมายแจ้งข่าวเรื่องตายไม่ต้องห่วง มันอยากตายก็ให้มันตายไป เกรงว่ามันจะไม่ตาย ทั้งนี้ไม่ใช่โรคปกติ เป็นโรคการเมืองของพระทุกครั้งที่คิดว่าร่างกายดี มันเป็นอย่างนี้มาตลอดชีวิตที่ผ่านมา เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ แปลกใจตัวเองว่างานหนัก แต่ก็แข็งแรงผิดปกติ

คิดไว้เหมือนกันว่าถ้าความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นเมื่อไร เป็นต้องถูกซ้อมใหญ่แบบนี้ตลอดเวลา และทำเอาอานทุกคราวจนเห็นเป็นของธรรมดาไปแล้ว อย่ากังวลเลย พอรู้ตัวว่าแย่ เขาก็ปล่อยเอง พวกผีไม่เก่งเท่าคน เราอยากให้หมดลมปราณเมื่อไรเป็นปล่อยทุกที เก่งจริงเชิญเอาลมปราณทิ้งเสียซีจะได้ไปนอนที่นิพพานให้สบายองค์ ก็ไม่จริงอีก

วันนี้ทอดหุ่ย นอนก็ไม่หลับ พอบ่ายหน่อยเริ่มถอยทัพ ทำท่าจะมีแรง เลยลุกขึ้นเขียนจดหมายเล่นโก้ ๆ ผีตนใดจะทำอะไรก็เชิญ ขอโทษเผลอไปแล้วจะพูดธุระให้ฟัง เห็นผีชั้นดีมายืนกันเป็นแถว เลยท้าเล่น โก้ ๆ อย่างนั้นเอง เมื่อใจมันคิดนิ้วมันเขียน เลยกลายเป็นจดหมาย มันไม่ตรงเรื่องเลย ผียังไม่ไปขอเล่าเรื่องธุระก่อนเขียนเสร็จจะทะเลาะกันใหม่

พอดีตาพุฒิมาห้ามทัพ ธุระที่จะเขียน เขาเอาแต่ย่อ ๆ คือ เรื่องคณะนักบุญที่รับบวชพระที่วัดหนองปลาดุก ไอ้งานนี้มันแปลกไม่ทราบมันถือฤกษ์อะไรของมัน มันดันไปตัดนิมิตวันที่ 29 ตัดก่อน 13 น. เสร็จแล้ว เสธทวีถวายไตรนาคเอก แล้วกลับทันที พวกเราก็ต้องมากันวันที่ 26-27-28 เพราะเป็นวัดหยุด เอาวันไหนก็ได้ตามแต่ถนัด

บอกเขาว่ามีคนรับไตรบวช เขาบอกว่าเขาให้ 30 ไตร บอกเขาว่าไม่ขอเอาพันธะมาผูกพัน มีเท่าไรช่วยเท่านั้น จะมาวันไหนแจ้งล่วงหน้าด้วยจะได้นัดพวกนาคที่จะบวชให้คอยรับผ้าไตรหรือเพื่อความสะดวก และตรงความประสงค์ เอาไตรถวายท่านผู้จัดการนั่นแหละ ตรงตามเป้าหมายของงาน เมื่อมาขอให้มาตั้งขบวนที่วัดท่าซุง อาตมาจะคอยอยู่ที่วัดตรงกับวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ แต่เข้าใจว่าคงไม่มีใครมาวันอังคาร

เรื่องเจ้าดำรายงาน
ผลงานของเจ้าดำ มีผลตรงตามรายงานทุกประการ

1. เรื่องภายในวัด พระหนีไปองค์หนึ่งคือพระสนิท พระองค์นี้เป็นเจ๊กฝั่งธน รวย แต่แกบอกว่าเป็นโรคประสาท พวกชัยนาทเอามาฝาก แกเลยเอาโรคประสาทช่วยตัว รู้สึกว่าจะอวดเลวมากไปหน่อย คิดว่ากลับมาจะบอกคืนก็พอดีเมื่อกลับมาปรากฏว่าแกไปแล้ว เรื่องที่ไปนักศึกษาธรรมศาสตร์ (พระสนิท) แกอวดว่าเคยเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ และอวดว่ารวยแกกินอย่างเจ๊ก ผิดระเบียบพระ พระทวีซึ่งไม่รู้หนังสือเลยเตือนแก แกโกรธ เลยยกทัพ (คนเดียว) หนี สบายใจ ไม่ต้องส่งคืนเอง

2. เรื่องไม้ ที่สุวิมลบอกว่าจะให้ เกิดเรื่องใหญ่ระหว่างป่าไม้ทางอุทัยกับกรม เพราะทางกรมเห็นว่าป่าไม้อำเภอทันทัพขยันเกินไป เหน็ดเหนื่อยมาก เลยสั่งปลดเพื่อจะได้มีโอกาสพักผ่อน เรื่องไม้ที่ซื้อกันตามป่า แต่มีตราถูกต้องตามกฎหมาย เลยต้องพักกันไปหมด แกมาหาถามว่า ถ้าใช้ด่วนจะให้ไม้ท่อนของแกเองให้มาเลื่อยเอง บอกแกว่าไม้ท่อนไม่เอา เพราะเบื่อคนบ้านนี้ ถ้าได้ไม้แปรรูปจึงเอา งานที่จะสร้างไม่รีบ หมายถึงอาคารเสริม-ศรี ศุขสวัสดิ์ แกรับว่าถ้าโอกาสอำนวยจะเอามาให้

ขอเล่าย่อเพียง 2 เรื่อง เป็นอันว่าเจ้าดำรายงานไม่ผิด แต่ต้องระวังหน่อยตอนต้น ๆ แกดี พอคนเคารพมากแกมีบทแทรกเสมอ พวกที่รู้จักแกไม่พอแกเล่นงานตามสบายมาหลายแสนรายการแล้ว

เรื่องของเรื่องก็เลยสงสัยเจ้าดำว่าเป็นผีพวกไหน นึกรัก และสงสาร แต่ก็ต้องรักพอเหมาะพอดีแก่ฐานะ ถ้ารักมากไปจะยุ่งถามศิษย์ท่านเวสสุวัณ
ท่านบอกว่าเป็นพวกอสูรกายอ้วน ทั้งนี้อาตมาพบอสุรกายคราวใดพบแต่พวกผอมโซเลยคิดว่าอสุรกายผอมทั้งหมด สมเด็จพระองค์ปฐมท่านก็รับรองตามนั้น

ตำรา บอกไม่ชัด มันยุ่งอย่างนี้เรียนเท่าไรก็ไม่จบ อาชีพเจ้าดำก็คือชอบให้คนบูชาแบบเสียกะแบะกะบานที่เขาปั้นรูปคน สัตว์ มีเครื่องเซ่น ใส่กระจาดวางตามทางสามแพร่ง (โบราณ) เรื่องสมเด็จให้ขออนุมัติจากท่านเจ้ากรม
เมื่อมีโอกาสได้นอน ก็เลยนอนคิดตามแบบพระกระเป๋าขาด คิดว่าเจ้ากรมกับภรรยานี่ทำอะไรบ้าง มีดีแล้วเพียงใด ใคร่ครวญไปตามแบบฉบับของคนแก่ไม่เอาไหน ก็มองเห็นว่าทำทั้งวัด

พอดีสมเด็จเสด็จมา ท่านถามว่าเจ้าสองคนผัวเมีย แกเห็นว่ามันทำอะไรบ้าง
บอกว่าทำหมด เริ่มตั้งแต่หอสวดมนต์มา ไม่มีอะไร ที่ไม่ได้ทำ เพราะมีส่วนเจ้าเข้าเจ้าของทุกชิ้น ที่ทำแล้ว และยังไม่ได้ทำ
ท่านเลยบอกว่าแกให้กุฏิมันหลังเดียวจะถูกหรือวะ หมายถึงอาคารเสริมศรี ที่ยังไม่ได้สร้าง จะใส่ชื่อท่านเจ้ากรม และคุณนาย

ท่านบอกว่ามันเป็นเจ้าของทั้งหมด ยกวัดให้มันเลย พอดีหลวงพ่อใหญ่ หลวงพ่อปาน และพรหม เทวดานับไม่ไหวพากันสนับสนุนว่าควรตามนั้น
เรียนถามท่านว่าจะทำอย่างไร
ท่านบอกว่าเขียนจดหมายขออนุญาตไปว่าจะให้ชื่อเป็นเจ้าของวัดนี้ เขียนป้ายว่าดังนี้

วัดจันทราราม (ท่าซุง)
ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
พล.อ.ต. ม.ร.ว.เสริม และเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์
เป็นหัวหน้าจัดหาเงินปฏิสังขรณ์


ขอแล้วไม่ต้องรออนุมัติ จัดสั่งทำป้ายทันที เขาจะอนุมัติหรือไม่ไม่สำคัญ งานทำไปแล้ว ถ้าไม่ยอมก็ให้รื้อถอนของที่หาเงินสร้างแล้วออกไปนอกวัด เอากับท่าน ที่เขียนมานี้เป็นการขออนุมัติ สั่งทำป้ายแล้วตามท่านสั่ง ถ้าท่านเจ้ากรมไม่เห็นชอบด้วย ก็มายกของที่สร้างไว้ออกไปนอกวัด ตามพระพุทธบัญชาก็แล้วกัน

เรื่องของกำแพงวัด
งานชิ้นนี้อยากทำมานานเพราะไม่มีความสง่าของวัดจะน้อยลงไป อาคารไม่สวยแต่กำแพงดี เป็นจุดสะดุดใจคนไม่น้อย จะทำหรือก็อาคารไม่สมบูรณ์ เงินก็หนักเลยเฉยอยู่

มาเมื่อวันที่ 15 ศึกษาสุวรรณมาหา บอกว่าทางกรมการศาสนาจะให้เงินสามหมื่นบาท แกอยากจะทำป่าช้าให้เตียน
ถามแกว่าการทำป่าช้าให้เตียนใช้เงินหมดสามหมื่นพวกแกก็โกงเงินสงฆ์ ตกนรกตายหมด
แกบอกว่าไม่ใช่ ผมจะขอความเห็นจากหลวงพ่อว่าเงินที่เหลือจะทำอะไร

ด้วยแกอยากจะรักษาพื้นที่ของวัด ทั้งนี้ด้วยที่ดินของวัด เช่น วัดสังกัดฯ หาเงินไปให้บอกให้ทำให้เตียน ปักเขตคันให้แน่นอน ทางวัดไม่ทำ ในที่สุดที่ดินก็ถูกบุกรุกหมดไปหลายไร่ เมื่อแกต้องการอย่างนั้นก็เลยแนะนำให้ทำกำแพงเริ่มตั้งแต่ต่อจากโรงเรียนไปถึงทางเข้าวัดด้านเหนือเอารั้วเก่าไปล้อมที่ทำให้เตียน วัดจะสง่างามดี

แกเห็นชอบด้วย และบอกว่าเมื่อรับเงินแล้ว จะทำตามนั้น สงสัยจะโอนเงินมาให้เสียด้วย จะพากันเดือดร้อน ต้องรับกันคนละห้องสองห้อง ถ้าเงินส่วนนั้นไม่พอ แกบอกว่าทางกรมศาสนาบอกว่าจะให้อีก แกรับปากว่าจะพาอธิบดีคนใหม่มาหาที่วัด แกว่าอย่างนั้น ฟังแกไว้ก่อน

ท่านสมภารวัด (หลวงพ่อใหญ่) มาบอกให้ศาลา แนะให้บอกศึกษาสุวรรณท่านให้ชาวบ้านรื้อศาลา ท่านให้ทำดังนี้

ศาลาใหญ่ รื้อแล้วเอามาปลูกในรั้ว รักษาทรงเดิม เสริมตามที่เห็นสมควร ใช้ที่ได้ 2 ชั้น ให้ชื่อว่า ศาลาเสริม-ศรีปฏิสังขรณ์ เป็นที่พัก ฝึก และเป็นที่อยู่ได้สะดวก
ศาลาเล็กสามมุข ที่คุณเต๊าะอยากจะซ่อม ท่านให้ทำมณฑป
อาคารยาวสะกัดศาลาให้เอามาทำที่อยู่ของพระ สร้างเสริมพอควร
ถ้าได้ตามนี้ ทุ่นเงินอีกมาก อย่างอาคารที่กำลังสร้าง คิดว่าเกินกว่าแสนบาท เพราะเห็นว่าแข็งแรง และดีกว่าบ้านพักตาโป๋มาก หลังนั้นแสนเจ็ดหมื่น คิดว่าของเราทั้งหมด รวมทั้งอาคารพิเศษ ส้วม รั้ว พื้นซีเมนต์ สักแสนสองหมื่นดีถมไป สร้างแล้วไม่แน่ใจจะครบแปดหมื่นหรือไม่ เพราะวัตถุก่อสร้างบางอย่างไม่ทราบราคา

เรื่องเงิน
เมื่อจะกลับบอกท่านเจ้ากรมว่ามาแล้วอยากจะซื้อลูกรังใส่ที่สร้างโบสถ์วัดเสริมศรีไว้ก่อน พอมาถึงวัดก็หงายท้อง เพราะ

1. พอมาถึงก็ต้องจ่ายค่าพิมพ์ผ้ายันต์ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ฎีกามีเทศน์ เอาเข้า 2,300 บาท ค่าปูนซิเมนต์อีก 120 ถุง 2,700 บาท ค่าทราย 850 บาท ยังค่าแรงอีก เล่นเอานอนตาปริบ ๆ ครูนนทาก็ไม่กล้าไถ เพราะแกก็กำลังยุ่ง ที่บอกมาไม่ได้บอกเพื่อเรี่ยไรนะ บอกให้ทราบ บอกคณะที่ถวายเงินด้วยว่า อาตมานอกจากจะเป็นคณะนิกายเซ็นต์แล้วยังมีฐานะเป็นกรมผสมอีกด้วย คือผสมดะ ใครให้เงินมาเพื่ออะไรก็ช่าง ผสมกันเอาเข้าในส่วนก่อสร้างหมด หมดแล้วนอนสบาย

2. ขอท่านเจ้ากรมกรุณาส่งข่าวให้บรรดาสหายทราบวันที่จะมอบผ้าบวชพระเอาวันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ (วันจันทร์เป็นวันมาฆะ) มารวมพลที่วัดท่าซุง หลังรวมพลแล้วก็ค่อย ๆ เคลื่อนพลไปวัดหนองปลาดุก ถวายผ้าเขาแล้วจะกลับก็กลับสบาย

◄ll กลับสู่สารบัญ


92
7 มิถุนายน 2515


ลูกน้องที่ส่งมาคนที่มีภูมิลำเนาเดิมสายใต้เป็นคนมีบารมีเก่าพอสมควรเป็นสายพุทธานุสสติเดิม วันที่เธอมาถึงเป็นวันที่อาการป่วยรอบที่ 4 มาพอดี วันนั้นอาตมาเกือบใช้เสียงไม่ได้วันที่สองเธอมาถึงก็ยังใช้เสียงไม่ได้ เพราะอาการอึดแน่นในท้องมาก พอวันที่สามที่เธอมาถึง คือวันที่ 6 ก็พอจะพูดได้ แต่ไม่ดี มันมีการดันขึ้นของลม พอพูดเจ้าเสมหะมันก็ดันมาจุกที่คอ แต่ทว่าเบากว่าทุกวัน จึงพอใช้กำลังสมาธิ ตรวจแกนิดหน่อย พอจะรู้ว่าแกเป็นสายพุทธานุสสติบอกแกแล้ว

เรื่องอุทุมพริกสูตร พอดีไปพบหนังสือเกสรานุสรณ์ พิมพ์แจกในงานศพหลวงพ่อเล็ก อ่านพบว่าเขียนไว้ครบ ก็เลยไม่ต้องบันทึกหรือเขียน เพราะถ้ารอบันทึกหรือเขียนก็คงต้องคอยอีกนาน ด้วยอาการทางร่างกายระหว่างนี้ไม่อำนวยเลย มันจะตายก็ไม่ตาย จะได้รู้แล้วรู้รอดไป จะทำให้มันตาย พระพุทธเจ้าท่านก็ด่าไว้ เลยจำต้องทนไปอย่างนี้จนกว่ามันจะสิ้นลมปราณของมันเอง

ในหนังสือนี้ ตอนนั้นยังไม่กล้าเขียนหนักหรือเขียนตรง ๆ หนัก เพราะยังเกรงความกระทบกระเทือน เป็นสมัยที่มีปลอกคอเหมือนหมาที่ชาวบ้านเลี้ยง จะด่ามาก็เกรงจะกระเทือนปลอกเป็นสมัยที่มีอำนาจทางปากกา เขียนให้พระออกจากตำแหน่ง ให้พระสึก หรือแต่งตัวก็ทำได้ตามสายน้ำหมึกที่เขียนลงไป และปลอกก็เป็นปลอกทองที่มีค่าพอสมควร

จะว่ามาก เกรงว่าท่านที่ถูกปลอกขี้เขาต่อว่าต่อขานเอาท่านจะไม่สบายใจเลยเขียนไว้แต่พอเห็นปากบ้างเท่านั้น เมื่อขณะเขียนเจ้าสองลิงมันก็เขียนบ้าง และเจ้าสุนทร เสือป่า (อดีต ร.อ.สุนทร…ร.น.) จำนามสกุลมันไม่ได้ เจ้านี่บวชเมื่อ พ.ศ. 2482 บวชพรรษาเดียวหายเข้าป่าไปเลย คิดว่าเสือกินมันเสียแล้ว พอจะเขียนหนังสือเข้ามันก็โผล่หัวมามันเขียนตามที่มันพอใจเลยเอามาลงไว้ในนาม “งูดิน”

เจ้านี่มันน่าดูเหมือนกัน บวชไม่สึก ไม่ทราบว่ามันลาออกจากทหารหรือเปล่า มันลาบวช แต่ยังไม่ได้ลาพระสึก ขณะนี้ยังเป็นหมาป่าเดินดงอยู่ เป็นพระอภิญญา และหายหิวนานแล้ว

เมื่อค้นพบหนังสือนี้ที่เหลืออยู่โดยบังเอิญก็นึกถึงมัน เมื่อคืนวันที่ 6 มันมายืนด่าอยู่พักใหญ่ มันหาว่าขัดคำสั่งหลวงพ่อปานที่ออกจากวัดแล้วเสือกมาสร้างอีก ไอ้เจ้านี่มันเห่าไม่เลือก มันบอกว่าเวลาจะเลิกหายใจใกล้เข้ามาแล้ว ขอให้เร่งรัดจัดสร้างสิ่งที่ถือว่าจำเป็นให้เสร็จเร็ว ๆ ย่องานให้สั้นเข้า ร่นเวลาสร้างให้น้อย จะได้ตายแบบคนว่าง มันสอนของมันถูก แต่อาตมามันเลว อดไม่ได้ ถ้าไม่ได้ทำก็สงสารวัดจะต้องเป็นสมบัติของบ้าน ทำก็ลำบากกาย

เป็นอันว่าปีนี้ทำเกินโควต้ามากเกินไป คิดว่าจะสร้างแต่กุฏิชำระหนี้สงฆ์เลยว่าเอารั้วหอพระเข้า ขาดทุนสามหมื่นบาทเศษหรือเกินกว่านั้นนิดหน่อย คำว่าขาดทุน หมายถึงเงินที่รับถวายมาเพื่อใช้สอย จ่ายแล้ว เงินที่รับ ๆ กันคิดหักแล้ว มันไม่พออีกประมาณสามหมื่นเศษ ขณะนี้งานยังไม่เรียบร้อยดี ไม่ทราบเศษจะถึงหมื่นหรือไม่ นอกจากนั้นก็ยกหอยาวของหลวงพ่อทำพื้นใหม่ คงต้องแถมอีกประมาณสี่หมื่นเศษกระมัง ยังไม่แน่ใจ

เพราะขณะนี้ทราบว่าวัสดุก่อสร้างที่สั่งมา (ยังไม่ครบ) เกินกว่าสามหมื่นแล้ว คิดว่า พ.ศ. 2516 จะเว้นสักปีค่อย ๆ เก็บเงินถวาย เพื่อส่วนตัว ผ่อนชำระหนี้ พอหนี้หมด และมีทุนบ้าง จะรื้ออาคารสื่อสาร และอาคารชั่วคราวทั้งหมดรวมวัตถุก่อสร้างเอามาทำเป็นหลังเดียวให้เป็นอาคารเสริมศรี

และก็ถือว่าเป็นชิ้นสุดท้ายต่อไป ก็เก็บงานที่ยังไม่เรียบร้อย ค่อย ๆ ทำไปตามตัวเงินที่พอมีคิดว่าจะว่างกันเสียที จะได้เอาเวลาทำความดีทางใจ เจ้าเปรตสุนทรมันด่าไม่เลี้ยง และก็เถียงมันไม่ได้ ท่านเจ้ากรมอย่าไปเรียกมันอย่างอาตมาเรียกนะ มันเป็นพระอรหันต์ อาตมาเป็นพระกังหัน พอฟันกับมันได้

เขียนเพลินไป ไม่ได้ดูหัวกระดาษ สุดกระดาษเมื่อไร่ไม่รู้ วันนี้ดูทีพอโปร่ง หลายวันแล้วทำอะไรไม่ไหว โรคคราวนี้
ท่านโยมลงมาบัญชาการเอง สั่งฉันยาเอง ก็ไม่เห็นมียาอะไร ก็ยาที่ใช้ ๆ อยู่นั่นแหละ ท่านสั่งฉันเพิ่มเวลา

ถามท่านว่ามันเป็นคราวนี้ดูทีแปลกกว่าคราวอื่น ๆ เพราะก่อนที่มันจะแสดงบทเกเร มันแสดงบทเมตตาก่อน คืออาการดีแข็งแรงแบบคาดไม่ถึง เวลามันจะแสดง มันก็ไม่โหมโรงให้รู้เรื่องเสียก่อน อึกอักมันก็จัดการขั้นเด็ดขาดเลย มาปุบก็พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง คือเสมหะติดคอแน่นพูดเสียงไม่ออก แม่ศรีมาคุมการกินยา

พอรุ่งอีก 1 วัน ท่านโยมมาบัญชาการเอง ถามท่านว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้
ท่านบอกว่าโรคกรรม ใครจะกำหนดอาการหรือเวลามันได้ยาก เมื่อกฎของกรรมถึง จะกันอย่างไรก็ไม่ได้
ท่านบอกให้ทนเอา จงรู้รสชาติของความเกิดไว้ ไม่ว่าชาติไหน ๆ มันก็เป็นอย่างนี้ การเข้าไปสงบกาย (นิพพาน) เป็นสุขที่ควรต้องการ อันนี้เป็นวาทะของโยม (พระอินทร์)

เมื่อท่านกลับไป ก็เลยตามท่านขึ้นไป ท่านหันมาบอกว่านิมนต์ตรงไปนิพพานที่อยู่
เมื่อไปถึงทางเข้า พบพรหม 4 ท่านยืนยามประตูอยู่ แปลกใจว่านิพพานเป็นดินแดนที่ไม่มีอันตราย ต้องมียามทำไม

พอคิดสงสัยก็พอดีสมเด็จองค์ปัจจุบันท่านปรากฏพระองค์พอดี เมื่อเห็นท่านก็ก้มลงกราบที่พระบาท ท่านตรัสเรียกให้ไปที่หอระฆังหน้าวิมาน ตรัสว่าพรหมที่มาเฝ้าเป็นพรหมอนาคามีทั้งหมด เขามีสิทธิ์มานิพพานได้ แต่ไม่มีสิทธิ์อยู่ประจำ เมื่อเธอเป็นบิดาเขาถือว่าที่อยู่ของบิดา บุตรมีสิทธิ์จะอารักขา เขาก็มาอยู่เป็นพรหมยาม เพื่อให้อารมณ์รักพระนิพพานมากขึ้น เป็นการเร่งรัดอารมณ์ของตนเอง ผลก็คือมานิพพานได้เร็ว

เลยมีความรู้ใหม่ ความจริงพรหมคณะนี้เห็นมานานแล้ว และก็สงสัยมานาน แต่ไม่ได้ถามใคร ป่วยเสียก็ดี อารมณ์ไม่ห่วงนิพพาน ใจมันสบายจริง ๆ เรื่องของใครไม่สนใจ ไปนอนแหงแก๋ที่นิพพานมีความสุขบอกไม่ถูก
เสียงแว่ว ๆ มาว่า พักได้แล้ว อาการทางกายยังไม่ดี ใช้แรงมากมันจะทำพิษเอาอีก อยากจะเขียนต่อแต่ท่านพ่อห้าม ก็ขอหยุดไว้เพียงเท่านี้แล

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 4/10/11 at 10:30



93
4 สิงหาคม 2515


พระที่มอบเงินไว้ ช่างมาทำแล้ว เริ่มลงมือวันนี้ เขาเอาค่าจ้าง (แรงงาน) รวมทั้งค่าปั้น และปิดทองเสร็จองค์ละ 1,300 บาท (หนึ่งพันสามร้อยบาท) ทีแรกคิดว่าจะให้ท่านยืนยามกลางหาว ครูยุ้ยมาติเอา เลยทำกุฏิให้ท่าน เป็นอาคารหลังคาแบบปั้มน้ำมัน มีฉัตรด้านบนรวม 2 องค์ รวมทั้งแท่นอาคาร ฉันกะ คิดว่าอาจถึงสองหมื่นบาท ยังสั่งของไม่ครบ มีคนช่วยแล้วดังนี้

1. ท่านเจ้ากรม 3,000 บาท
2. ครูนนทา 3,000 บาท
3. อาจารย์ยุ้ย 1,007 บาท
4. ชาวสิงห์บุรี 400 บาท

5. ชาวอำเภอสวรรค์บุรี 110 บาท
6. ชาวอำเภอวัดสิงห์ 100 บาท
7. ยายสุวิมล ช่วยเป็นสินเชื่อ 3,000 บาท เก่าแก่ยังไม่จ่าย 11,000 บาท ใหม่ แกจะให้หรือไม่ให้ไม่ทราบ

พระพุทธชินราช

ช่างเขาคิดราคาศอกละ 1,000 บาท รวมทั้งค่าลงรักปิดทองให้ด้วย เท่ากับราคาช่างในกรุงเทพฯ รับศอกละ 1,000 บาท แต่ไม่ปิดทองให้รับปั้นอย่างเดียวเลยตกลงให้ทำต่อจากพระยืนเอาศาลาเป็นวิหาร ตั้งท่านไว้ที่หน้ามุข ไม่ต้องสร้างวิหาร ไม่ต้องจ่ายเงินอีกหลายแสน ถ้าจะให้ศาลาสวย ก็ทำช่อฟ้าหน้าบันเข้า
ก็แลดูสวยระยิบระยับ แพรวพราวไปด้วยแก้วและทองลงทุนอีกประมาณ 5 หมื่นบาท ก็สวยพอดู ไม่ต้องจ่ายเงินแสน สำหรับหลวงพ่อทั้งสี่จะทำศาลาดินราคาประมาณสองหมื่นบาท ถวายท่านให้ช่างตบแต่งใหม่ พระพุทธจะให้ช่างปั้นคร่อมใหม่ ให้สวยพอดูได้

สำหรับเรือนแก้วพระพุทธชินราช จะทำด้วยไม้ให้เป็นภาระของคุณอ้วนกับคุณพูลสุข (พัฒนกำจร) ถ้าแกไม่ทะเลาะกันคงได้เรือนแก้วสวยพอดู เราช่วยเงินค่าลงทุนแกก็แล้วกันเรื่องเรือนแก้ว ช่อฟ้าหน้าบันยกไว้

เรื่องของวัด (รั้ววัด)

มันมีเรื่องแปลกเมื่อวันที่ 1 นั่งอยู่ใต้หอพระหน้าวัดเวลาประมาณ 18-19 น. มีรถสองแถว 3 คัน วิ่งมาจากทางมโนรมย์มาจอดที่หน้าวัดพอดีได้เวลาเปิดไฟฟ้าคนทั้งหมดลงมาเดินตามถนนเสียพูดกันว่าสวยจริง ๆ มีคนแก่สักสามสิบคนนั่งไหว้พระบนหอกันใหญ่ แกเดินไปถึงองค์ไหนก็นั่งไหว้องค์นั้น เสียงพูดกันว่าที่พวกหนองขาหย่างเขาไปหาหลวงพ่อลักษณ์

เขาบอกว่าวัดนี้สวย สวยจริงตามเขาว่า มีสองสามคนเดินมาหาอาตมา อาตมาไปนั่งหัวล้านเหน่งอยู่ที่ฐานหอพระ เวลานั่งตรงนั้นทีไร อดคิดถึงภาพที่ไปนิพพานเมื่อคราวตายวาระที่สามไม่ได้ มันเกิดธรรมปีติอย่างบอกไม่ถูก คนสองสามคนแกเข้ามาหา

ถามว่า หลวงตา หลวงพ่อที่สร้างวัดนี้อยู่ที่ไหน
บอกแกว่า หลวงพ่อท่านอยู่ในวัด ไม่ได้โกหกแกด้วยยังนั่งอยู่ในบริเวณวัด
แกถามว่า หลวงตามากับหลวงพ่อหรือ
ตอบว่า ใช่
แกถามว่า เขาลือกันว่าหลวงพ่อเรียกเงินได้หรือ

บอกแกว่า หลวงพ่อเรียกเงินไม่ได้ มีคนเรียกเงินมาถวาย ไม่ใช่เรียกเอง
แกถามว่า ใคร
ก็เลยชี้ไปที่ป้าย บอกว่า สองคนนี้เขาเป็นคนเรียก ฉันเป็นคนใช้
แกเฮโลกันดูที่ป้าย อ่านชื่อกันใหญ่มีคนแก่ประมาณ 20 คนเศษ ยกมือพนมสาธุกันเป็นแถว แกชมว่าวัดสวย ก็เลยมานั่งคิดว่าความจริงวัดมันยังไม่สวย รั้วและหอพระสร้างไว้เพื่อชวนความเลื่อมใสเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะทำให้สวย แต่เพราะเขาไม่เคยเห็นกันก็เลยว่าสวย ก็ดีใจ

ถามแกว่า แกไปไหนกัน
แกพากันบอกว่า มาชมวัด เขาลือกันว่ากลางวันสวย แต่สวยสู้กลางคืนไม่ได้
และชื่นใจที่เห็นพระมากที่หน้าวัด สมความประสงค์ผู้จัดการ ชอบใจ ใครว่าสวยว่างามแต่ไม่เลื่อมใสในพระพุทธยังไม่ดีใจมีหลายราย พอถึงเขตยกมือพนมตลอดวัน เท่านี้พอใจแล้ว

วัดสวย

เมื่อเขาชมว่าสวย เลยทำเสียให้สวยเลยจะดีไหม ปี 2516 พักงานภายในเสียชั่วคราวมาทำหน้าวัดกันเสียสักปี ทำซุ้มหน้าวัดสักสามซุ้ม ประดับด้วยทอง และแก้ว คิดว่าราคาซุ้มละอาจจะอยู่ประมาณสามหมื่นบาทหรือกว่า ก็คงไม่เกินสี่หมื่น ปิดทองหน้าพระกันเสียสักปีปิดทองก้นพระมาหลายปีแล้ว

ลองปิดทองหน้าพระดูบ้าง ช่อฟ้าหน้าบันศาลายังไม่ต้องทำอย่างอื่นทั้งหมดงดก่อน ทำพระแล้วก็พัก ทำเฉพาะซุ้มจะดีไหม หรือที่ประชุมว่ายังไง ลองหารือกัน เป็นหนี้มาก ๆ ชักเหนื่อยเหมือนกัน ถ้าจะทำก็ต้องหาสมาชิกก่อน เพราะไม่มีอะไรที่จ่ายเป็นสินเชื่อได้เลย

ปีนี้มีบุญมากที่คณะนักบุญให้กินมาก เลยได้ทำบุญมาก เอาเงินค่ายา ค่าอาหารออกสร้างเสีย 35,000 บาท แทนอาทรไปหมื่นบาท รวมสามหมื่นห้าพันบาท อาทรเขาให้ไว้เมื่อจะไปหมื่นบาท เอาของเขามาสร้างเสียหมด เลยต้องออกแทน วันออกพรรษามีสตางค์อยู่ 200 บาท ท่านเจ้ากรมให้มาอีกเลยชักเบ่งได้ ขอให้โมทนาเสียด้วยที่เอาเงินให้กินไปสร้าง
ความหนักใจมีอยู่อย่างหนึ่งสำหรับปีนี้คือหนี้เงินยืมมาซื้อของ ทุกปีเงินจำนวนนี้ไม่เคยเอาเงินกฐินมาใช้ ใช้เงินที่ให้กินชำระหนี้ ปีนี้มันมากจัด รู้สึกหนักใจ ครูนนทาแกก็การเงินไม่ดีมีรายจ่ายมาก ไถไม่ถนัด แกทำบุญแล้วสามหมื่นบาทเศษ จะไถอีกก็เกรงใจ ยืมแกแล้วหมื่นสี่พันเศษ ให้แกยืมคนอื่นมาอีกกี่หมื่นยังไม่ได้ตรวจสอบกัน

เงินยืมนี้ คิดว่าจะทำตามเดิมคือไม่เอาเงินกฐินชำระ จะเอาเงินให้กินให้ใช้ชำระ ค่อยๆ ชำระไปจนกว่าจะหมด เมื่อจะเอาเงินให้กินให้ใช้ชำระก็ต้องงดการจ่ายสำรองในการก่อสร้าง ฉะนั้น งานขั้นต่อไป จึงคิดจะค่อยทำค่อยไปไม่หักโหม เรื่องตึกภายใน เอาไว้พอหาเงินได้ค่อยทำกัน ถ้าเงินกฐินเหลือจะได้เอาเป็นทุนเริ่มสร้างซุ้มหรือช่อฟ้าหน้าบัน เรื่องจะควรประการใด สุดแล้วแต่ที่ประชุมจะเห็นควร

ท่านโอภาสีคือใคร หรือใครเป็นท่านโอภาสี

ต่อไปนี้ ท่านโอภาษาจะท่องเที่ยวสืบเรื่องของท่านโอภาสี ได้เรื่องมาแล้วจะตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ ไม่รับรอง ขืนรับรองใครที่ไหนจะเชื่อ เรื่องที่หาเหตุ หาตัวบุคคลไม่ได้รับรองไปก็เป็นโมฆะ สู้พูดเป็นทำนองนิทานสบายใจดีแล

เมื่อเช้าตรู่วันที่ 10 สิงหาคม ย่องไปนิพพานเล่นโก้ ๆ ใครจะว่าอย่างไรก็ตามใจชาวบ้าน เมื่อไปถึงแล้ว ก็มนัสการพระตามลำดับที่เคยนมัสการเป็นปกติ เมื่อไหว้แล้วก็เรียกค่าจ้างไหว้ คือถามท่านว่า ท่านโอภาสีเป็นใคร
ท่านเรียก พระแก้วองค์หนึ่งมาหา พระองค์นี้ตัวสวยเหมือนแก้วที่ถูกแสงอาทิตย์สาด สวยมาก ท่านชี้ให้ดูแล้วบอกว่า องค์นี้แหละที่ชาวโลกเรียกว่า “โอภาสี” ท่านสวยสมชื่อจริง ๆ

โอภาสี แปลว่า มีแสงสว่างเป็นปกติ ท่านสว่างสมชื่อ เมื่อพบกันแล้วก็เลย ถามชื่อแซ่กันตามธรรมเนียมเจ๊กจะรบกัน (เคยอ่านประวัติเจ๊กรบกัน เห็นเขาถามชื่อแซ่กันก่อนรบเลยเอาอย่างเขา)

ท่านตอบว่า เมื่อเป็นพระคนท่านชื่อ ตะปุตตะภิกขุ เป็นลูกชาวเมืองปาฐา เป็นหัวหน้าคณะพระ 30 รูป ที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าจนพระพุทธเจ้ามีพระพุทธานุญาตให้นางวิสาขาถวายกฐินเป็นรายแรกในศาสนานี้ เมื่อก่อนบวช ท่านพบพระสารีบุตร เลื่อมใสท่านสารีบุตรแล้วบวชกับท่าน แต่อาศัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ มีบารมีขั้นปรมัตถบารมีหลายอันดับพอ ๆ กับโอภาษา
เป็นเหตุให้ท่านพระสารีบุตรไม่สามารถสอนให้บรรลุมรรคผลได้ ท่านพวกสาวกพุทธภูมินี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่กดหัวลง ไม่อย่างนั้นพ่อชูหัวโด่เล่นอย่างนั้นเอง เมื่อออกพรรษา ท่านพระสารีบุตรพามาหาพระพุทธเจ้า ท่านศึกษาไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตตผล (เมื่อพบพระพุทธเจ้าท่านลาออกจากพุทธภูมิ) พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ

เมื่อนิพพานแล้ว เพราะอาศัยที่เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อนก็เลยโปรดคนตามอัชฌาศัย ให้นามตัวเองว่าโอภาสี แปลว่า มีปกติฉายแสงสว่าง แปลมันเฉื่อยไปอย่างนั้นเอง

ถามว่า เมื่อเป็นพุทธสาวก ทำไมทำพิเรน เล่นเผาของ ทำให้ศาสนาเสื่อม คนหลงผิดกันตั้งหลายเมือง
ท่านบอกว่า ท่านมาเฉพาะธรรม เรื่องเผาของเป็นเรื่องของคนอยากดัง เขาเล่นกลกันเอง บางวาระคนที่ทรงก็มีผีอื่นปลอม
ถามว่า ทำไมไม่ห้ามผีอื่น
ท่านตอบว่า ร่างของเขา เจ้าของมีสิทธิ์จะให้ใครทรงก็ได้ ท่านมาเฉพาะธรรมอย่างอื่นไม่เกี่ยว

ถามว่า เรื่องกองทานมาจากใคร
ท่านบอกว่า มาจากพวกอยากดัง
ถามว่า เวลาเขาเชิญมารับ มาหรือเปล่า
ท่านหัวเราะชอบใจ หันไปทูลท่านผู้ใหญ่ว่า โอภาษาไม่รักษาระเบียบ
เลยหนีห้อมาเลย เมื่อมาแล้วก็บันทึกเวลา 4.32 น. เขียนผิดบ้างถูกบ้างช่างมันแล
(ลงชื่อ) โอภาษา บันทึก

◄ll กลับสู่สารบัญ



94
16 มีนาคม 2516


จดหมายของท่านฯ ลงวันที่ 13 ได้รับตอนสายวันนี้ พอดีส่งจดหมายมาตอนเช้าเรื่องป่าเมืองอุทัย และรับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์พอดี ก็เลยตอบวันนี้ แต่ต้องส่งวันที่ 17 เรื่องที่พูดว่าเจ้ากรมให้การบ้านแสลงโรคนั้นพูดส่งเดชไปอย่างนั้นเอง เพราะปากมันเสียมานานแล้ว

(“การบ้าน” ที่ว่านี้คือการเขียนหนังสือประวัติหลวงพ่อปานท่านดีดพิมพ์ดีแล้วเจ็บอกเป็นการ “แสลงโรค” ต่อมาจึงบันทึกเสียงมาให้ถอดเอง) แต่ก็เป็นการพิสูจน์ได้ดีว่าโรคที่เป็น

เมื่อมีงานที่แสลงโรค ยาของเขาได้ผลเพียงใด รู้สึกว่าพอพักแล้ว มีผลดีขึ้นมา เรื่องเกรงว่าจะเป็นโทษ ไม่ต้องเกรง เพราะเรื่องบันทึกของท่านเจ้ากรมผ่านไป ศิษย์ชัยนาทเกิดซื้อเครื่องมาให้บันทึกบ้าง เป็นอันว่ากฎของกรรม (พุทธภูมิ) บังคับ ดีใจเสียอีกที่ได้ทำงานให้สมเด็จเต็มตามความประสงค์ของท่าน ถ้าร่างกายเข้าที่ดี มีเวลาว่าง อาจจะมีอะไรแถมมาให้ลอกอีกชอบใจท่านเจ้ากรมที่ขยันทำบุญประเภทนี้ หาตัวได้ยากเต็มที

เรื่องที่ถามมา เฉพาะเรื่องพระพุทธเจ้าฉันเจ
พออ่านท่านก็มาพอดี ท่านบอกว่า ท่านฉันทั้งเจ และแจ (องค์ปฐม) มีอาหารเจท่านก็เจ มีอาหารแจ ท่านก็แจ ท่านฉันตามสบายของชาวบ้าน ที่ไม่ฉันและห้ามพระฉันเด็ดขาด คือ เนื้อเสือ และเนื้อมนุษย์

ท่านบอกว่า ข้าวมธุปายาสที่เศรษฐีหรือพระราชาชอบถวายท่านมีน้ำนมวัว และนมแพะผสมตั้ง 60 เปอร์เซ็นต์ เรื่องกินไม่ใช่เรื่องมรรคผล ท่านว่าพระต้องทำตนเป็นคนเลี้ยงง่าย แต่อย่าฉันสิ่งที่เป็นภัย โดยเฉพาะพระราชาช้าง (ชอบหลับ) คนนี้สำคัญนัก วันไหนช่างเครื่องทำอาหารไม่มีเนื้อที่ชอบใจถวายพระ ก็ทรงพระมุ่ย

เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าฉันทั้งเจทั้งแจ หมดไปเรื่องละ (พระราชาช้าง คืออดีตของเจ้ากรม เคยเป็นราชาเก่งการรบด้วยช้าง)

เรื่องโคนันทวิศาลนั้นเป็นเรื่องเก่า โคตัวนี้เป็นพระโพธิสัตว์ ตามตำนานท่านใช้คำว่า อตีเตกาเล ในอดีตกาลมีเรื่องเล่ามาอย่างนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพระอานนท์ยกเมฆ พระพุทธเจ้าเองท่านก็ชอบใช้อย่างนี้ เรื่องสัตว์พูดภาษาคนได้นี้เป็นเรื่องธรรมดาของในระยะต้นกัลป์ เพราะร่วมกันเป็นหมื่น ๆ ปี คงจะพอเรียนภาษากันรู้เรื่องได้ ดูแต่นกแก้วนกขุนทองเอามาสอนพักเดียวยังพอขอข้าวกินได้

เรื่องโคนันทวิศาล ท่านบอกว่า จริง ท่านเล่าเพื่อเปรียบเทียบให้คนรู้จักใช้วาจามากกว่าประสงค์อย่างอื่น ไม่มีอะไรสำคัญนัก
เรื่องยาท่านหมอ ท่านบอกว่าให้ไม่ได้ เพราะพระราชาช้างเอาหอกไปแทงตูดช้างขนาดร้อยไปถึงลำไส้ใหญ่ จะแก้แบบให้ยาไม่ถูก ท่านว่าต้องแก้ด้วยอภัยทาน

เรื่องของพระไตรปิฎก บางจุดก็มีการเพี้ยนไปบ้าง ทั้งนี้ไม่ใช่เพี้ยนตอนสังคยานามาเพี้ยนตอนแปล คือ คนแปลเข้าไม่ถึงภาษา และบางตอนแปลแล้วยังไม่พอ แถมเอาความเห็นสอดเข้านิด ๆ หน่อย ๆ นี้ตอนหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งก็คือตอนที่พวกเดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวชตอนนั้นแย่ พวกเอาลัทธิของพวกเขามาผสมเสียจนยุ่งไปหมด เรื่องนี้ยุ่งเหมือนกัน มาตอนหลังนี้มีพระเมาลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุข เอาแต่เด่นทางยศ ตำแหน่งมีความหมายในพระไตรปิฎก และร่วมกันสังคายนา ตอนนี้ก็น่าคิดมาก

เพราะบรรจุสุราเถื่อนลงไปในพระไตรปิฎกมากน้อยเท่าไรก็ไม่ทราบ เป็นอันว่าอ่านพระไตรปิฎกก็จงยึดพระไตรลักษณ์เป็นสำคัญ เท่านี้พอ อ่านไปแก้กลุ้มหรืออ่านเพื่อความรู้ เมื่อถึงเวลาชำระได้ทางใจจะทราบว่าอะไรถูกอะไรผิด อ่านเรื่องเจ๊กยังอ่านได้ อ่านพระไตรปิฎกตอนแรกก็นึกว่าอ่านเรื่องเจ๊กก็แล้วกัน มีเรื่องเกี่ยวแก่กำลังภายในไม่น้อยเลย
เรื่องขุดมหาสมบัติว่ากันไปตามเพลงก็แล้วกัน ได้ไม่ได้ก็คิดว่าไปชมไพรเล่นโก้ ๆ ขอให้พรให้ได้ทรัพย์ตามความประสงค์ ทั้งนี้เพราะเพื่อทำบุญ เข้าใจว่าคงมีผลไม่น้อย คือถ้าได้ทรัพย์ก็ดี ไม่ได้ทรัพย์ก็ได้มีโอกาสชมไพร หมดเรื่องกันไม่มีอะไรที่ไม่ได้ เรื่องโคตรอะไรนั่นเป็นทรัพย์ธรรมชาติ ไม่มีผีหวง ขุดเอามาได้ก็ดี ไม่มีใครห้าม (ต่อมาปรากฏว่าไม่ได้เรื่องอะไร)

เรื่องบ่อ ดีใจที่เขาว่าเท่านั้น คือ 17 บ่อ ของเรามี 12 บ่อ อาจมีใครร่วมใหม่อีกบ้างก็ได้ ถ้าไม่มีใครร่วม เขาหาผสมได้ก็ดีแล้ว ดีใจที่ได้มีโอกาสสงเคราะห์เรื่องน้ำ เพราะน้ำมีสภาพเย็นชุ่มชื่น ทำให้ผู้สัมผัสมีอารมณ์สดชื่น ขาดน้ำอย่างเดียว อาหารเกือบทุกประเภทอาจจะไม่มีผล ดีใจมากที่เขาว่า 17 บ่อพอ (ทางบ้านเมืองขอให้ขุดน้ำให้ชาวบ้านในตำบลที่อัตคัดน้ำ)

เรื่องศพพ่อหมอนิด (อรอนงค์) แกเกิดทำวันที่ 2 ไม่เป็นไร แต่ท่านเจ้ากรมกับคุณนายจะแย่หน่อย กลางวันก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เตรียมของสังฆทานไว้เท่านั้นพอแล้ว เรื่องเทศน์ ดูเวลาตามความเหมาะสม เพราะเทศน์กันทั้งปีอยู่แล้ว เรื่องโบสถ์ทำใจสบาย ๆ มีก็ทำ ไม่มีก็ไม่ทำ ไม่เห็นจะสำคัญอะไรนักที่ทำสังฆกรรมก็มีแล้วสบายใจไว้เถิด

เป็นห่วงอาคารสื่อสารหลังเดียว เกรงว่าจะผุ และไร้ผลในวันหน้า ประโยชน์จะน้อย จะพยายามหาอุปกรณ์สะสมไว้ให้มาก มีทุนจะทำเป็นรูปศาลาทรงไทยเดิม ชั้นบนแบ่งเป็นที่อยู่สองแถบ ชั้นล่างทำเป็นที่อยู่สองแถบ ยามที่ต้องการเป็นห้องโถงชั้นล่าง ถอดออกได้ เท่ากับสร้างตึกสองหลัง ของแพงเกินกว่าเดิมเกิน 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่รีบทำอะไรแล้ว

แพทำหลังเดียว หลังที่สองไม่สร้างเพราะทนราคาของไม่ไหว เพียงหลังเดียว มีพื้นแล้ว ไม้ไผ่ไม่คิดเพราะชาวบ้านให้ คิดเบ็ดเสร็จเฉพาะซื้อของใหม่ และแรงงานเกือบสองหมื่นบาท ไม้โยมชุมเรียงขอมาเพื่อสร้างแพ ถ้าแกให้มาจะรวมไว้สร้างอาคารสื่อสาร คุยมากไปแล้ว ขออนุญาตจบเพียงเท่านี้

◄ll กลับสู่สารบัญ


95
16 มีนาคม 2516


วันนี้มีข่าวพิเศษสำหรับประเทศ จะเป็นข่าวจริงตามที่ทราบมาหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่เรื่องของข่าวมีจริง ตัวบุคคล และวัตถุมีจริง เป็นข่าวที่ผู้ใหญ่ทางจังหวัดไม่เชื่อ อาจจะเป็นข่าวกลซ้อนกลหรือคนไม่เชื่อเองก็ตามแต่เรื่อง เมื่อเห็นว่าเป็นข่าวก็เลยบอกมาแบบข่าว เรื่องมีดังนี้

หลังเมืองอุทัยนี้ ขณะนี้หรือก่อนหน้านี้หลายเดือนมาแล้ว มีเจ้า ฮ. ตัวใหญ่มีความเร็วมาก เสียงเงียบมาลงทางเขาปลาร้า และเอาอะไรบ้างไม่ทราบ ทางหลังเมืองอุทัย มีข้าวสารไม่ปรากฏเจ้าของกองอยู่คราวละหลายสิบกระสอบ มีบ่อยครั้งมีตำรวจชั้นผู้น้อย ยศขนาดคุณจ่าลงมาพบบ่อย ๆ มีคณะครูซึ่งแกมาประชุมแกบอกว่า เคยเห็นบ่อย ๆ คนที่อยู่แถบนั้นก็มาบอกให้ทราบ

ถามว่า ขณะนี้มันมาอีกหรือไม่
ได้รับตอบว่า ปีนี้มาถี่มาก "คือบ่อยกว่าทุกปี
มีตำรวจบางคนบอกว่า รู้จักตัวการคือตัวหัวหน้า ครูใหญ่ รร.หนึ่งบอกว่าเคยรู้จักตัวดี ตำรวจหลายคนก็บอกว่ารู้จักตัวการคือตัวหัวหน้าประมาณ 3-4 คน

นอกจากนี้ขณะนี้มีแม้วสีตุ่น ๆ ยังไม่เขียวหรือแดงอพยพมาทำมาหากินทางหลังเมืองอุทัยประมาณ 500 ครอบครัว นี่เป็นข่าวจากตำรวจเด็ก และมีพวกภาคอิสานที่เคยมาแล้ว เริ่มตั้งแต่ปี 2510-2511 ประมาณ 4-5 ร้อยคน บอกว่าจะมาทำงานป่าไม้ รับจ้างตัดไม้ของเอี๊ยะมุ้ย (เติบศิริ) บอกว่าไม่มีมาทำ แกบอกว่าลูกจ้างแกมีประมาณร้อยคนเศษ ไม่ใช่พวกลาวทั้งหมด มีทั้งไทยกลาง ไทยเหนือ ส่วนใหญ่เป็นไทยกลาง

เรื่องทั้งหมดนี้เป็นข่าวส่วนใหญ่จากครู และตำรวจ สำหรับตำรวจรู้สึกว่ามีความน้อยใจมากที่รายงานผู้กำกับกับผู้ว่าการท่านทั้งสองไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้บอกมาเพื่อทราบเท่านั้นจะเชื่อหรือไม่ก็ลองสืบกันดู พวกสันติบาลกองสองก็เคยน้อยใจมารายหนึ่งแล้ว



96
21 เมษายน 2516


อาตมากลับถึงวัดแล้ว ปรากฏว่าพบกับความเหนื่อยมหาศาล เพราะเข้าเขตสงกรานต์เลยเหนื่อยเสียเกือบขาดใจ อาตมาขอบคุณท่านเจ้ากรม และทุก ๆ คนที่สงเคราะห์ แต่คนที่มีขันธ์ 5 มีทุกข์เสมอ ถ้าเราบรรเทาทุกข์เสียได้ด้วยอำนาจขันติก็พอจะเพลาทุกข์ได้ทำดีเพียงใดทุกข์ก็มีสงเคราะห์เพียงใด ทุกข์ก็มี ดูพระพุทธเจ้าท่านก็แล้วกัน เทวทัตเป็นทั้งลูกของลุง พี่เมีย เป็นสาวก แต่เทวทัตก็ทรยศให้เกิดความยุ่งยาก เราเรียกกันว่าทุกข์ ทุกข์เพราะความยุ่งใจ

อาตมาเมื่อมาถึงที่บ้านนี้ คืนแรกเทวดาที่วัด ที่ต้นโพธิ์ท่านมาบอกว่าที่วัดเขาเปลี่ยนนโยบายโฆษณา เรื่องก็เป็นความจริง
พออาตมาออกจากวัด การโฆษณาของหน่วยสมภารก็ยกเอาวัดที่สร้างแล้วเป็นพยานการเรี่ยไร และประกาศเฉย ๆ ว่า วันเสาร์ห้า หลวงพ่อจะแจกพระ ปรากฏว่ามีผลพอใช้ได้ รถมากันเยอะ

หลายรายบอกว่า พอมาเขาบอกว่าหลวงพ่อไม่อยู่ หนูเลยยกขบวนกลับ บางราย และมากรายที่ไม่เคยมาก็รับของแจกจากหลวงพ่อ สมภาร โฆษกก็ใช้คำว่า "หลวงพ่อ" ยันป้าย เป็นอันว่าข่าวจากเทวดาตรง เมื่อกลับจากประจวบ ท่านเวหน (ขุนไกร) ท่านบอกว่าจะมีคณะสมภารร่วมมือกันแกล้ง แต่ไม่เป็นไร อาตมาฟังแล้วก็นิ่งไว้ ไม่อยากเล่าให้ฟัง เมื่อมาถึงวัด โดนดีเข้าจริง ๆ

งานสงกรานต์

ปกติวันพระ 8 ค่ำ ให้พระไปร่วมลงศาลาที่วัดยาง เมื่อสงกรานต์วันแรกก็ให้ไปตามปกติ เพราะสงกรานต์เขาทำบุญที่วัดยาง (อยู่ติดกับวัดท่าซุง) ตอนเย็นของวันที่ 13 เขาจะมีการสวดมนต์เย็นทุกปี เพราะตั้งกระดูกรวมญาติ งานนี้มีเจ้าภาพ เพราะประชาชนเป็นเจ้าภาพต้องนิมนต์พระ พระถึงจะลงสวดหรือฉันได้ ทุกปีเขานิมนต์พระในสำนักนี้ตลอดมาทุกปี

ปีนี้พวกไม่นิมนต์เสียพอทำกรรมฐานเสร็จ พระบอกให้ทราบก็ตกใจ ถ้าเขาไม่นิมนต์ก็ไปไม่ได้ จะบิณฑบาตก็เห็นจะหาข้าวกินยาก เพราะสงกรานต์เขาทำบุญกัน ส่วนของเราก็บอกว่าไม่ทำ เพราะเพื่อจะรักษาระเบียบเดิมไว้ เมื่อสอบถามพระทุกองค์ ต่างก็บอกว่าไม่มีใครนิมนต์เหมือนทุกปี

จึงต้องเสี่ยงพวงมาลัยดู เช้ามืดเปิดขยายเสียงบอก ว่าจะต้องทำบุญที่ศาลาเพราะมีอุปสรรค ไปวัดยางไม่ได้ พวกเกาะลูกมอญ คณะโยมน้อยก็รวดเร็วทันใจ มากันเป็นแถวเป็นอันว่าไม่อดตาย และประชาชนสายเหนือพร้อมทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านทุกคนที่อยู่ใกล้มาหมด กลายเป็นงานใหญ่พอควร นี่เรื่องของขันธ์ 5 มีทุกข์ แต่ถ้าเรามีขันติไว้บ้าง พอบรรเทาบ้างไม่มากก็น้อย

ความเหนื่อยในงาน ทำให้เพลีย พอหายเพลียก็นึกถึงทางกรุงเทพฯ ดูใจมันสั่นชอบกล คิดว่าคงมีคนเป็นทุกข์ เพราะความไม่สบายใจ ถ้ามีก็หาเหตุให้พบ ก็ยกประโยชน์ให้กรรมเก่าไปเสีย ดูพระพุทธเจ้ากับเทวทัตก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าแสนจะดี แต่เทวทัตไม่มองเห็นความดีทรยศขนาดจ้างคนฆ่าพระพุทธเจ้า

แต่ท่านก็ทรงอธิวาสนขันติ คนเลวแพ้ไปในที่สุด แต่กว่าเขาจะแพ้ ถ้าเราหนักทางยึดหน่อย มันก็หนักไม่น้อย ถ้ายึดมาก หนักมาก ยึดน้อย หนักน้อย ไม่ยึดเลย ไม่มีอะไรหนัก ทราบว่าเวลานี้กำลังหนัก ขอให้ คลายหนักด้วยการโทษกฎของกรรมจะสบายใจขึ้นบ้าง

ที่สุดนี้ ขอทุกคนจงมีความสุข และชนะมารหัวใจด้วยอำนาจขันติเถิด

◄ll กลับสู่สารบัญ


97
24 เมษายน 2516


บันทึกพิเศษ

บันทึกพิเศษนี้ ทำย่อไว้เพื่อทบทวนเมื่อปฏิบัติธรรม เป็นการกันลืม แต่เมื่อทำแล้วก็ลืม ที่เก็บต่อมา เมื่อวันที่ 20 ค้นหนังสือหาความเป็นมาเรื่องนรก สวรรค์ พรหม พบสมุดบันทึกโดยบังเอิญจึงนำมาเรียงไว้ เพื่อให้ลูกหลานได้อ่าน

เมื่ออ่านจงทราบว่าเป็นมุมหนึ่งของการปฏิบัติเท่านั้น จะเอาปฏิปทานี้ไปเป็นเครื่องวัดหรือเป็นแนวปฏิบัติให้เหมือนกันทุกคนไม่ได้ เพราะธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่ละคนย่อมเห็นกันคนละมุม แต่ในที่สุดก็ไปพบกันที่จุดหมายปลายทางตัวอย่างในพระสูตรมีมาก

เหตุที่จะบันทึก

เหตุที่จะบันทึกเรื่องนี้ก็เพราะเมื่อ พ.ศ. 2503 ทราบข่าวจากพระผู้ใหญ่ที่มีอำนาจปกครองส่วนภาคท่านหนึ่งว่า พระเมืองชัยนาททะเลาะกัน ขอให้มาสังเกตการณ์ เมื่อมาแล้วไม่เห็นมีพระทะเลาะกัน มีแต่พระใหญ่ข่มเหงพระเล็ก พระใหญ่เห็นวัดไหนมีศาสนสมบัติมาก จะเข้ายึดเอามาเป็นส่วนตัว

เมื่อเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบลไม่เห็นชอบด้วย ก็สั่งถอดสั่งสึกเอาตามชอบใจ ที่ทำได้เพราะมีท่านที่ใหญ่ช่วยอยู่ทางกรุงเทพฯ เมื่อได้รับทรัพย์สินแล้วเอาไปแบ่งกันกระมัง เรื่องนี้เรื้อรังมาเกิน 10 ปี

เมื่อทราบเรื่องแล้ว ก็หาทางช่วยพระเล็กตามความเป็นธรรม แต่ก็ถูกพระใหญ่โตยับยั้ง ทำได้เพียงหาทางสั่งพัก และให้คณะธรรมธรพิจารณาโทษ แต่การพิจารณาก็ไม่ได้เป็นไปตามพระวินัย เพราะอำนาจท่านผู้ใหญ่ยับยั้ง เมื่อตัดสินให้ท่านแพ้คดี แต่ท่านไม่คืนทรัพย์สินให้ ก็ไม่เห็นใครจะทำอะไรท่านได้ เพราะอะไรไม่บอกดีกว่า

เมื่อเห็นว่าเป็นอย่างนี้ ฤาษีก็ทนไม่ไหว คิดว่าถ้าขืนเกิดต่อไปก็คงจะพบระบบนี้ในชาติอื่นอีกเลย ขอลาพุทธภูมิหวังตัดช่องน้อยเฉพาะตัว ลาเมื่อ พ.ศ. 2505 ทำงานต่อสู้กับอธรรมมาสองปีเต็ม สถานที่พักอาศัยก็อาศัยสำนักวิปัสสนายุบหนอ พองหนอ ของเมืองชัยนาท สำนักนี้ก็ไม่เบาเหมือนกัน ท่านยุบ ๆ พอง ๆ กันจริง ๆ ตลอดจนบริษัทที่เป็นฆราวาสใครไม่ทำตามแก แกหาทางด่าเปรียบเปรยเสมอ

ไม่ทราบว่าสอนกันยังไง ดูแกแล้วก็สลดใจ คิดว่าถ้าสอนกันแบบนี้พระยายมเหนื่อยแน่ ที่เป็นเช่นนี้จะเหมาเอาสำนักใหญ่เป็นไปด้วยไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่สำนักใหญ่ดี แต่สำนักบริวารรอดแบ่งใครไม่ได้ เคยเห็นมากแล้ว รายนี้ก็เหมือนกัน เจ้าสำนักไม่รู้เรื่องเลย อะไรก็ไม่ได้ แต่ก็สอนกันไปตามแบบ แต่ก็คงเลยแบบหรือไม่ถึงแบบจึงได้กลายเป็นสำนักภาวะนินทาว่าร้ายเสียดสีคนที่ไม่ทำเหมือนตน

เมื่อพบแบบนี้เข้าก็ชักเลื่อมใสพระพุทธเจ้ามากขึ้น ด้วยท่านสอนว่าโลกนี้เป็นอนิจจัง หาอะไรเที่ยงไม่ได้ พบพระพระก็ไม่เที่ยง เพราะข่มเหงกัน พบสำนักวิปัสสนาก็ไม่เที่ยง ด้วยยังเสียดสีว่าร้ายคนที่ไม่ทำเหมือนตน รู้สึกว่าทนเกิดต่อไปไม่ไหวแล้ว เลยลาพุทธภูมิ เมื่อลา พระท่านค้าน แต่ก็ตั้งใจแล้วจึงกราบเรียนท่านว่า ถ้าพระในพุทธศาสนาเป็นโจรอย่างนี้ ไม่ขออยู่เห็นพระต่อไป และไม่ขอเกิดพบพระแบบนี้ต่อไป เมื่อไม่เชื่อท่าน พระท่านก็ไม่สามารถยับยั้งได้ อนุญาตให้ลาตามความประสงค์

พบธรรมดา

ปี 2504-2505 พบของดี คือจากสำนักวิปัสสนา ก็พากันว่าด่าเปรียบเปรยทั้งพระทั้งฆราวาส หาว่าโง่เง่าเต่าตุ่น เดี๋ยวนี้เขาทำกรรมฐานตามแบบใหม่กันแล้ว ยังทำตนเป็นเถรส่องบาตรทำตามแบบเก่า ๆ อยู่ เขาจะไล่ตรง ๆ ก็เกรงว่าจะโดนศอกกลับ แกก็เลยด่าหมาด่าแมวเล่นโก้ ๆ ฟังแล้วก็เลยเห็นเป็นธรรมดา เพราะทางนรกบอกว่า บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว

หัวหน้าคณะมีหวังอเวจีแน่ เมื่อทราบว่าแกเป็นสัตว์นรก ต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน เมื่อถูกด่าใครโกรธสัตว์นรกด่า ก็เลวเต็มทนแล้ว เลยเอาอาการที่เลวทรามของคณะสัตว์นรกเป็นเครื่องพิจารณา ความสบายใจก็เกิด มีสุขใจ เพราะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

ต่อมาปี 2505 สมภารวัดพรวนนิมิตให้ไปอยู่เป็นเพื่อน เมื่อไปก็พบดีอีก ท่านสมภารเองเที่ยวบ้านผู้หญิงทั้งกลางวันและกลางคืน ต่อมาก็เกิดทะเลาะกับพระลูกวัด เลยพบธรรมดาคืออนิจจังเข้าอีก เลยเห็นเป็นธรรมดา สบายใจ ต่อมาก็พบอารมณ์พระนิพพาน คือเบื่อโลกเต็มทน และก็เบื่อพระเลวพร้อมกันไป

ปี 2506 กลับมาที่สำนักวิปัสสนาเดิมใหม่ พบอารมณ์เดิมเข้าอีก คิดจะจัดการเสียตามวินัยก็สงสารคณะพรรคเลยปล่อยมา คิดว่าเราเอาอารมณ์ร้ายเป็นเครื่องวัดใจจะดีมาก จะได้ทราบอารมณ์ที่แท้จริง เมื่อตกลงใจแล้วก็นั่งนอนปล่อยให้คณะแกด่าว่าเสียดสีตามสบาย เอาอารมณ์วัดใจตัวเอง เป็นปรอทวัดอารมณ์ดีชั่วของจิต รู้สึกว่ามีผลมาก เรื่องเหตุที่จะบันทึกมีเรื่องที่กล่าวมาแล้ว โดยย่อเห็นเหตุ ต่อนี้ไปขอนำบันทึกมาเขียนไว้ เป็นบันทึกย่อ มีอะไรบ้าง อ่านต่อไป

บันทึกย่อ

เมื่อต่อสู้กับอารมณ์กระทบใจจนชนะบ้าง ไม่ใคร่ชนะบ้าง แต่รู้สึกว่าชนะได้ด้วยคนด่าอาย เรายิ้มได้เต็มภาคภูมิ เมื่อพบหน้าเขาไม่มีอารมณ์มัว แต่คนด่าก้มหน้า ช่างท่าน ท่านอยากเป็นสัตว์นรกก็ตามใจท่าน ความรู้สึกนึกอย่างนั้น เมื่อพบท่าน เราไม่ได้ทำให้ท่านลงนรก เราเตือนท่าน แต่ท่านกลับด่าย้อนมา เราไม่รับ ท่านก็ต้องบรรทุกเต็มอัตรา

เราห้ามความต้องการท่านไม่ได้ สงสารเทวทัตที่มีคนหลายคนไปแย่งที่นอน แต่ก็ช่วยเหลือเทวทัตไม่ได้ แม้แต่ตัวเราเอง เรายังช่วยไม่ได้ จะช่วยเทวทัตไม่ให้ท่านพวกนี้ไปแย่งที่ได้อย่างไร เมื่ออารมณ์รักพระนิพพาน ความสบายก็เกิด

มีคืนหนึ่งไม่ได้บันทึกไว้ว่าวันที่เท่าไร มีพระมาบอกว่า เพื่อทรงอารมณ์พระนิพพานให้มั่นคง จิตจะดำรงอยู่ในพระนิพพานไม่คลาดเคลื่อนเมื่อปลงขันธ์ 5 แล้ว เมื่ออารมณ์จะเฝือ ให้ใช้อารมณ์สมถะภาวนาว่า “นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานะจิตติ นิพพานะจิตตา” ท่านให้ภาวนาไว้ อารมณ์จะหยั่งเข้าสู่พระนิพพานเป็นเอกัคตารมณ์

คือมีอารมณ์ยึดพระนิพพานอย่างเดียว เอกัคคตา แปลว่า เป็นหนึ่ง (ไม่มีสอง) ภาวนาตามท่าน เมื่อปลงขันธ์ 5 จนพอใจ เห็นภาพพระนิพพานใส คล้ายมาลอยอยู่ข้างหน้า อารมณ์สบาย ตอนนี้หนังชักหนา พวกทั้งด่า ทั้งเสียดสี ชักไม่ใครกระเทือน คันก็ไม่ใคร่คัน มันด้านทั้งตัว ไม่ใช่ด้านแต่หน้า
การเจริญกรรมฐานแบบนี้เป็นแบบอัตตาหิ อัตตโนนาโถจริง ๆ ต้องอาศัยตัวเองเป็นสำคัญ ไม่มีที่พึ่งที่ปรึกษา จะอาศัยคณะหนอ ท่านก็ไม่หนอด้วย ถามทีไรถูกด่าทุกที ก็เลยต้องอาศัยภาพนิมิต คำว่า ภาพนิมิต อ่านแล้วระวังอย่าตีความหมายต่ำจะตกนรก เมื่อต้องอาศัยภาพนิมิตก็ต้องใช้กำลังฌานมาก ท่านกรุณาโปรดอีกน่าเสียดายที่ไม่ได้จดวัดเดือนปีไว้

ท่านมาบอกว่า ต่อไปนี้ ถ้าเห็นอะไรไม่ชัดให้ทรงอารมณ์ฌานด้วยคาถานี้ “ประโมทยะ” จะมีภาพชัดเจน เมื่อตรวจสอบผลปฏิบัติแม้แต่ตรวจสอบอารมณ์จิตมีผลจริงตามท่านว่า เห็นจิตสบายเห็นสวรรค์ นรก พรหม นิพพาน ใสแจ๋ว สบายใจมาก เคยคุยกับเทวดา พรหม พระ และทางนรก เล่นเพลินสบายใจกว่าเดิมมาก

งานที่สำคัญก็งานปรึกษาหารือ คณะสำนักยุบด่าพองด่า แต่ละรายตายไป ไปพบที่นรกทุกราย (เฉพาะสำนักที่พักอยู่ที่อื่นไม่เกี่ยวเพราะไม่เคยสมาคมด้วย) เมื่อไปพบที่นรก แกขอขมาโทษ แต่ก็สายเสียแล้ว ทางนรกไม่อภัย เมื่อสร้างอารมณ์เห็นภาพสดใส ต่อไปท่านให้เจริญอริยสัจ

พิจารณาอริยสัจ

ตามที่ท่านสอน ขอกล่าวโดยย่อ ท่านสอนให้รู้ทุกข์ เพียงข้าวที่กินคำเดียว ท่านบอกว่าทุกข์ใหญ่ และระยะยาวมาก ก่อนที่ข้าวสุกจะเข้าปาก มีงานที่จะต้องทุกข์ดังนี้

1. ก่อนข้าวสารจะเป็นข้าวสุก ต้องหาอุปกรณ์คือ เตา หม้อ น้ำ เชื้อเพลิง คนหุง สิ่งเหล่านี้ต้องลงทุนลงแรงหา และจัดทำ อาการที่ทำเป็นอาการของความทุกข์ เพราะต้องทำ เมื่อทำไม่ได้พัก การพักเป็นอาการของความสบาย อาการที่ทำเป็นอาการของความไม่สบาย ท่านว่าเป็นทุกข์

2. ก่อนที่ข้าวเปลือกจะเป็นข้าวสาร ต้องซ้อม ต้องสี ต้องขนข้าวเปลือกไปทำเป็นข้าวสาร เป็นงานที่ต้องทำ เป็นอาการของความทุกข์
3. ก่อนที่จะเป็นข้าวเปลือก ต้องมีนา คือพื้นดินที่จะปลูกข้าว เมื่อมีแล้วก่อนที่ต้นข้าวจะมีขึ้น ต้องหาอุปกรณ์คือควายสำหรับไถนา แอก ไถ คราด และอุปกรณ์อื่น ๆ ตลอดจนพันธุ์ข้าว สิ่งเหล่านี้ต้องหามาด้วยความเหนื่อยยาก เป็นอาการของความทุกข์ เมื่อข้าวมีต้นแล้ว ต้องระวังรักษา ต้องเก็บเกี่ยวกว่าจะได้ข้าวเปลือกมาก็แสนลำบาก

4. ก่อนที่จะมีที่ปลูกข้าว คือที่นา เดิมเป็นป่า ต้องตัดต้นไม้ ขุดตอไม้ ปรับพื้นที่ ยกคันนา การตัดต้นไม้แต่ละต้น ขุดตอแต่ละตอ ปรับพื้นที่ด้วยแรงคน จะได้แต่ละวาต้องเหนื่อยยากเป็นอาการของความทุกข์

รวมความว่า ข้าวคำเดียวกว่าจะได้กินก็ทุกข์เสียมากมาย เมื่อเรากินข้าวก็ชื่อว่าเรากินทุกข์ เมื่อทุกข์เป็นเลือดเนื้อเรา เราจะมีอะไรตรงไหนเป็นสุข เป็นอันว่าร่างกายของเราทั้งร่าง เป็นเรือนร่างที่สร้างมาจากความทุกข์ และยังจะต้องมารับอารมณ์ที่เป็นทุกข์อย่างนี้ทุกวัน

เธอคิดว่าโลกนี้เป็นสุขหรือ
รับท่านว่า เป็นทุกข์พระเจ้าข้า
ท่านสอนว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจงมองทุกอย่างในโลกให้เห็นว่าเป็นทุกข์ตามความเป็นจริง ถ้าเธอยังมองเห็นส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกว่า มีสุขแม้แต่นิดเดียว เธอไม่พ้นอบายภูมิ

คำลงท่าน ฟังแล้วสบายใจ เพราะท่านใช้คำว่า เธอมองเห็นส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกว่าเป็นสุข เธอไม่พ้นอบายภูมิ อันนี้จริง ก็เจ้าประคุณโลกที่เป็นคนเลวนั้นยังเบา และโลกพระเลวนี่สิเอาไหนไม่ได้เลย สอนลูกศิษย์ให้ไปนิพพาน แต่ท่านอาจารย์ช่วยลูกศิษย์ด่าเราทุกวัน โลกมันจะมีความสุขอย่างไร

ถ้ายังเห็นว่าโลกเป็นสุขก็ต้องตั้งกองด่ากันต่อไป เขาด่าเรา เราด่าเขาท่ามันจะสนุกดีเหมือนกัน แต่เกรงใจนายบัญชีคงจะจดแย่เลย ปล่อยให้แกด่าฝ่ายเดียว เรานั่งบ้าง นอนบ้าง ฟังด่า และก็พิจารณาตามคำสอน นาน ๆ เข้าก็ย่องไปนรก ถามเขาว่า ใครได้ปริญญาไหนแล้ว ทางนรกก็แจ้งปริญญาให้ทราบ

ส่วนใหญ่ได้ดุษฎีบัณฑิต (อเวจีมหานรก) ก็เลยไม่กล้าด่าตอบ ไม่กล้าโกรธแก เพราะแม้จะแข่งกับแกขนาดไหนก็คงไล่ไม่ทันแน่แกจบเกมแล้ว เราเพิ่มจะเริ่ม มันจะทันกันได้อย่างไร แกจบแล้ว แกยังเอาปริญญาพิเศษต่อเรื่อย ๆ กว่าเราจะกวดทัน ท่านอาจจะพากันลงโลกันต์ไปแล้ว เรากวดไม่ทันแน่ เลยไม่กวด นอนหัวเราะสบายใจกว่าด่าโต้ตอบกันแก

เมื่อปลงทุกขสัจจะแล้ว ไม่นานนัก อารมณ์ก็จับทุกอย่างเป็นทุกข์ อารมณ์ไม่เคลื่อน ท่านมาสอนเหตุของความทุกข์ คือ ตัณหาสามประการ ได้แก่ อยาก บอกว่าจะอยากอะไรต่อไป อยากเป็นทุกข์ ทุกข์เกิดมีได้ก็เพราะอยาก อยากมาก ทุกข์มาก อยากน้อย ทุกข์น้อย ไม่อยากเลย ไม่มีอะไรจะทุกข์ ไม่มีอะไรยาก

พิจารณาอยู่แล้ว ระยะนี้เป็นระยะ 2505 ไม่ได้จดไว้ว่าเดือนอะไร อริยสัจ ท่านสอนสองอย่างเท่านั้น ท่านบอกว่ามรรค เราทำอยู่แล้ว การปฏิบัตินี้เป็นตัวมรรค นิโรธ อ่านว่านิโรธไม่ถูก ต้องอ่านว่า นิโรธะ แปลว่า ดับ ตัวนี้เป็นตัวผล ก็มองเห็นทุกข์อยู่ทุกวัน ถ้าเราอยากด่าตอบก็เป็นทุกข์ เราไม่อยากด่าตอบคณะภาวะด่าก็เป็นทุกข์ไปฝ่ายเดียว สบายใจ ไม่มีอะไรหนักเลย

พรหมวิหาร 4

เมื่ออริยสัจผ่านไป ให้ทรงพรมวิหาร 4 โดยแจ้งว่า อารมณ์เป็นทิพย์จะผ่องใสยิ่งขึ้น โดยท่านตั้งคำถามว่า การเจริญเมตตาพรหมวิหารนั้นทำอย่างไร
ท่านตอบเองว่า ต้องไม่โกรธ ไม่ผูกโกรธ

ตอนนี้ มีหมายเหตุเขียนไว้เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2506 ว่า กรรมฐานนิมิตกองแรก (คือพรมงกุฏพระเจ้า) ท่านบอกที่วัดดาวดึงส์ วันนั้นมีคนมาหา ถามเขาว่าเอาเทียนมาหรือเปล่า ตาไม่ดี ต้องจุดเทียน เขาบอกว่าเอามา ความจริงจะจุดเทียนบูชาพระ

ตอนกลางคืนท่านบอกว่า ตาไม่ดี เอาคาถาบทนี้ภาวนา มืด ๆ ก็อ่านหนังสือออก คือ ทิพยจักษุญาณแจ่มใส ไม่ใช่ตาเนื้อดี คาถาว่าดังนี้ “อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ (อิเมนาพุทธตังโสอิ) อิโสตังพุทธปิติอิ” ตามบันทึกเขียนไว้ว่า ทำให้ทิพยจักษุญาณแจ่มใส ได้จุตูปปาตญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากรรมมุตาญาณ แจ่มใสกว่าเดิม

เมื่อผ่านพรหมวิหาร 4 แล้ว ท่านให้เร่งรัดอสุภกรรมฐาน และมรณานุสสติกรรมฐานให้บำเพ็ญบารมี 10 ให้ครบ (เต็มกำลังใจว่าทำได้แน่ ไม่ท้อถอย) และมีอริยสัจเป็นแม่บททำให้ทิพยจักษุญาณแจ่มใสชัดเจน

ตามบันทึกมีว่า วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 เจริญกรรมฐาน จิตหยั่งกามาวจร มีดาวดึงส์ พรหม และนิพพาน (ทำตามลำดับต่ำไปหาสูง เพื่อสอนอารมณ์) เมื่อเข้าสู่อารมณ์พระนิพพานเต็มอารมณ์ตามที่มีเกิดเปล่งวาจาว่า เราจะเลี้ยงพระพุทธเจ้าให้อิ่ม เมื่อเปล่งเสียงจบก็มีเสียงตอบมาว่า พระพุทธเจ้าท่านอิ่มแล้ว จงเลี้ยงตัวเธอเองให้อิ่มด้วยอริยผลเถิด

เมื่อสุดเสียงก็เห็นตัว ท่านที่พูดคือท่านมหากัจจายนะ พระอาจารย์สอนอภิญญา และวิปัสสนาประจำตัวนั่นเอง ท่านนอนอยู่ มีพระอื่น ๆ นั่งล้อมอยู่หลายรูป
ตอนรุ่งอรุณ อาราธนาขอพบท่านมหากัจจายนะ ขอความปราณีจากท่านว่าถ้าไม่เกินวิสัย ขอให้ช่วยให้ได้อรหันต์ในชาตินี้ ท่านบอกว่าอีก 10 ปีเศษ จะเห็นหน้าเห็นหลัง (อาจจะตายไปในฐานะไม่อยากกลับ)

ตอนเช้า ฟังเทศน์อาจารย์คณะวิปัสสด่า ท่านอาจารย์เจ้าสำนักเป็นเจ้าคุณมีนามว่า ภาวนาภารามเถระ ท่านเทศน์เราก็ฟัง ท่านเทศน์สอนของท่านดีว่าตามตำราไม่มีผิด เทศน์เพราะ เทศน์ไม่ผิด แต่ทำไมด่าเก่ง เสียดสีเก่งไม่ทราบ ทำให้ลูกแถวทำตามเป็นแถว เลยกลายเป็นมิตรแท้กับนายบัญชีไป ช่างท่าน

ท่านเทศน์เราฟัง คิดว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นคำสอนของตาเถรชอบด่า ฟังด้วย กำหนดจิตตามอารมณ์พระกรรมฐานไปด้วยพบท่านมหากัจจายนะ
ท่านยืนตามคำเดิมว่าอีก 10 ปีเศษ ๆ จะเห็นหน้าเห็นหลัง ฟังท่านไม่ใคร่เข้าใจ

เมื่อฟังเทศน์อยู่ อารมณ์เข้าสู่นิพพาน เห็นสมเด็จท่านมา นมัสการท่าน ท่านบอกว่า อีกสิบปีเศษ ๆ จะได้ไปอยู่ด้วยกัน เป็นอันว่าท่านยืนยันตามที่ท่านมหากัจจายนะบอกไว้
ท่านพูดต่อไปว่า ถ้าทำแบบถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ปี 2507 จะเข้าสู่โคตรภูประมาณ พ.ย. 2507 จะได้โสดาบัน
(ทั้งนี้หมายถึงเอกพิชี) รู้สึกดีใจมาก ทำให้เกิดกำลังใจ บันทึกตอนนี้เขียนไว้วันที่ 7 ก.ค. 2506

บันทึกวันที่ 15 ก.ค. 2506 ตรงกับแรม 9 ค่ำ เดือน 8

วันนี้เจริญกรรมฐานเวลาประมาณ 8.30 น. มีแขกมาคั่นระหว่างทำ เมื่อเสร็จจากการรับแขกแล้วก็เข้าเจริญกรรมฐานต่อ จิตจับอานาปาฯ และปราโมทย์เป็นอารมณ์ เมื่อภาวะจิตเข้าสู่แดนพระนิพพาน พบท่านโมคคัลลาน์ และท่านกัจจายนะ แล้วเข้าไปสู่หน้าห้อง ๆ หนึ่ง มีพระบอกว่าเป็นประทับของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เห็นท่านเสด็จออกรับแล้วทรงนำบาตรลูกหนึ่ง ทรงเทน้ำเก่าในบาตรออกแล้วทรงตักน้ำใหม่ ทำน้ำมนต์ คิดว่าท่านจะรดน้ำมนต์ให้ แต่ความจริงกลายเป็นท่านสอนให้ทำน้ำมนต์โปรดคน น้ำมนต์ที่ทำห้ามเรียกค่าจ้างรางวัล ให้สงเคราะห์ด้วยอำนาจเมตตา แม้แต่ดอกไม้ธูปเทียนก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็น ถ้าเขามีมาหรือหาได้ง่ายก็ให้จัดหามา ถ้าหาได้ยากก็ไม่ต้อง

วิธีทำน้ำมนต์

ให้เอาน้ำใส่ในบาตรแล้วเพ่งจิตลงสู่ก้นบาตร ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ในอดีตทั้งหมด แล้วสวดอิติปิโสทั้งสามห้อง ขณะสวดให้เพ่งจิตลงกันบาตรแล้วอธิษฐานว่าขอกระแสน้ำนี้จงซาบซ่านไปทั่ววรกาย กำจัดโรคาพยาธิของมนุษย์ทั้งหลาย และสัตว์ให้หายโดยฉับพลัน แล้วว่าอิติปิโสต่อไปอีกหลายจบก็ได้ตามความพอใจ เมื่อพอใจแล้วอธิษฐานตามเดิมอีกครั้ง เอามือวนรอบบาตร ว่าอิติปิโสห้องต้น จนครบ 1 ห้อง ห้องสองวนอีก 1 รอบ ห้องสามวนอีก 1 รอบ เป็นเสร็จพิธี

เรื่องคาถาในกรรมฐาน

นักเจริญสมาธิถึงอารมณ์ฌาน และทรงฌานได้ มีประเพณีที่ทราบกันว่าจะต้องเห็น และรับการศึกษาจากท่านที่เป็นอทิสมานกายเสมอ จนมีระเบียบว่า เมื่อก่อนจะทำกรรมฐานต้องเตรียมกระดาษดินสอไว้ เมื่อท่านบอกอะไรจะต้องรีบจดอย่าให้ค้างถึงสว่าง จะลืมคาถาบางตอน ถ้านักทรงฌานไม่พบเรื่องอย่านี้จะเป็นเรื่องทรงฌานที่แปลกมาก อาจจะเป็นฌานเก๊ก็ได้

ถามเรื่องมานิพพาน

กราบทูลถามท่านว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะมานิพพานในชาตินี้ได้หรือไม่
ตรัสว่า อีก 10 ปีเศษเล็กน้อยจะมาอยู่ที่นิพพาน แล้วทรงเอาพระหัตถ์เบื้องขวาลูบหลังสามหน
กราบทูลถามว่า เมื่อไรจะได้พระโสดาบัน
ตรัสว่า ขี้เกียจมาก จะได้พรรษาหน้า ถ้าไม่ขี้เกียจพยากรณ์ไม่ได้ เพราะขึ้นชื่อว่ามรรคผล เป็นเรื่องของคนปฏิบัติ กำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ วันนี้เลิกเวลา 10 น. พอดี สบายใจ

เวลาเย็น เจริญกรรมฐานต่อตามแต่เวลาจะอำนวย เพราะมีเรื่องสอบสวน สอบสวนเป็นงานที่ต้องทำ แต่ก็ไม่ยุ่งกับกรรมฐาน เมื่อว่างก็ทำกรรมฐานทันที งานหลวงไม่ขาด งานราษฎร์ไม่เสีย ถือว่าใช้ได้ เมื่ออารมณ์สมถะดี ตั้งอารมณ์ไว้ในฌาน 4 พอควร ก็เคลื่อนออกไปตามอารมณ์ มีอารมณ์วิปัสสนาพอสมควร ร่างสะอาด ใจสะอาด ไปสู่พระนิพพานตามความพอใจ

เห็นสมเด็จท่านทรงบรรทมตะแคงขวา เข้าไปถวายนมัสการท่าน ท่านทรงให้โอวาทว่า เมื่ออารมณ์ทรงฌานให้ตัดสักกายทิฏฐิเสีย จะได้พระโสดาบัน กลับมาร่ายเวทย์ต่อสู้กับสักกายทิฏฐิพอสมควรแก่เวลาก็เลิก ดูนาฬิกาเป็นเวลา 20 น. พอดี

◄ll กลับสู่สารบัญ