Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 26/10/09 at 17:51 [ QUOTE ]

อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ (ตอนที่ 11 เสือหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางเหี้ย)


Update 26 ต.ค. 2552






โปรด "คลิก" อ่าน ตอนที่ 11


•
เสือหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางเหี้ย ll►

• ปราบจอมโจรสลัดน้ำจืด ll►

• จุดจบจอมโจร ll►




ตอนที่ ๑๑

เสือหลวงพ่อปานฯ

แห่งวัดบางเหี้ย จ.สมุทรปราการ

เก็บตก

“ปาน วัดบางเหี้ย นั่งเรือไม่ต้องแจว เรือวิ่งไปเอง” นั้นเป็นเหตุจูงใจให้ผมอยากจะได้พบ ได้เจอะเจอพระเกจิอาจารย์ท่านนี้เป็นอย่างยิ่ง ระยะนั้นเป็นระยะที่เรากำลัง “ตามล่าพระอาจารย์” ว่างั้นเถิด พระอาจารย์องค์ไหนที่ว่าเก่ง ๆ ก็จะพยายามไปหาข้อเท็จจริง ไปพิสูจน์เพื่อที่จะได้ทำตัวเป็นอีกาบอกข่าว ไปกราบเรียนให้หลวงพ่อ ฯ ท่านทราบ เผื่อจะเกี่ยวเนื่องกับท่าน จะได้ชวนหลวงพ่อ ฯ ให้พาไปนมัสการ

........จากการสืบเสาะจากท่านผู้รู้และจากหนังสือหนังหาที่เขาเขียนเล่าเอาไว้ จึงได้ทราบว่า หลวงพ่อปาน ฯ วัดบางเหี้ย เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาก เครื่องรางของขลังของท่านที่โด่งดังเป็นพิเศษก็คือ “เขี้ยวเสือ” ที่ท่านแกะสลักเป็นรูปเสือตัวเล็ก ๆ ว่ากันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง ขนาดตกลงไปในน้ำ ถ้าเอาเหยื่อ เช่น หมู ไปตก เสือที่แกะสลักนั้นก็จะคาบเหยื่อติดขึ้นมาทีเดียว แม่เจ้าโวย...อะไรจะปานนั้น...!!!

........ก็อย่างว่าแหละครับ ในสมัยนั้นผมชอบมากเรื่องฤทธิ์เดช สนุกยังกะเรื่องปลัดขิกของ หลวงพ่ออี๋ ฯ สัตหีบ ที่วิ่งตามเรือแม่ค้าปากจัด หรือเรื่อง ขรัวอีโต้ ฯ ลอยน้ำเลยทีเดียวเชียว แต่จากการสืบเสาะในที่สุดก็ทราบว่า ท่านมรณภาพไปนานแล้ว พอทราบเช่นนี้ความสนใจก็เลยหมดไป แม้แต่วัดบางเหี้ยก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน เขาว่าอยู่แถวปากน้ำ (จ.สมุทรปราการ) แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน เมื่อไม่รู้แม้แต่วัดอยู่ที่ไหน ก็จบกัน ไม่สาวเรื่องและไม่ติดตามกันต่อไปอีก

ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ผมย้ายไปรับราชการที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สมัยนั้นท่าน พล.ต.ต.ธวัชชัย ภัยลี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธร ๑ เป็นสารวัตรใหญ่ ผมเป็นสารวัตรสืบสวนสอบสวน โรงงานและบ้านจัดสรรยังไม่ขึ้นเป็นดอกเห็ดเหมือนทุกวันนี้ การคมนาคมมีทางรถยนต์ คือถนนสายบางนา – ตราด ถนนเทพารักษ์ และถนนภายในตลาดบางพลีใหญ่เท่านั้น

ในส่วนที่ติดกับถนนก็ไม่ใช่ว่าจะจอแจเหมือนทุกวันนี้ เรียกได้เลยว่าเปลี่ยวมาก มีผู้คนอยู่เป็นหย่อม ๆ พ้นจากถนนใหญ่เข้าไปจะมีหมู่บ้านอยู่เป็นระยะห่าง ๆ กัน ราษฎรส่วนใหญ่เป็นชาวนา แต่ละหมู่บ้านไม่มีถนน มีแต่คลองและคันนา ชาวบ้านใช้เรือเป็นพาหนะหลัก ถ้าจำไม่ผิดคลองที่มีชื่อเรียกมีจำนวนถึง ๑๐๖ คลอง

คลองเล็กคลองใหญ่เหล่านี้สามารถลัดเลาะไปได้เป็นใยแมงมุม โดยทิศเหนือไปได้ถึง อ.จรเข้น้อย อ.ลาดกระบัง อ.มีนบุรี ทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปถึงบางปะกง และอ.บ้านโพธิ์ (แปดริ้วหรือฉะเชิงเทรา) ทิศตะวันออก และตะวันตกเฉียงใต้ไปถึง ต.แพรกรักษา และต.บางปิ้ง อ.เมือง สมุทรปราการ

และเป็นธรรมดาอยู่เอง เมื่อมีคนดีก็ต้องมีคนร้าย แต่กลุ่มแก๊งค์คนร้ายที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า ก็ไม่มีแก๊งค์ไหนเกินกลุ่มโจรทางน้ำ ที่ผมขอเรียกว่า “สลัดน้ำจืด” ซึ่งมีอยู่ ๒ – ๓ กลุ่ม และเป็นพันธมิตรกัน พวกนี้นอกจากจะมีความช่ำชองพื้นที่ทางน้ำ ทางเรือแล้ว ยังมีนายทุนระดับเจ้าของโรงสี ตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านบางคนสนับสนุนอีกด้วย ทำให้มีความเข้มแข็งไม่น้อย และยากยิ่งในการปราบปราม

และต่อไปนี้เพื่อให้สามารถติดตามเรื่องได้โดยง่าย ผมจะขออนุญาตสมมติชื่อบุคคลเหล่านี้ให้เสียเลย จะได้ติดตามเรื่องได้โดยไม่สับสน ผมไม่กลัวมันหรอก แต่บางตัวยังไม่ตาย เพียงแต่อยู่ในคุก ดังนั้น ถ้าจะใช้ชื่อจริงก็เกรงว่าพวกมันจะรู้ไต๋ และวิธีการของผมมากกว่า

และเพราะเชื่อว่า ในไม่ช้าก็จะต้องเจอกันอีกจนได้ เนื่องจากอาชีพมันบังคับให้ต้องพบปะกันเสมอ แต่อยู่กันคนละข้างมาโดยตลอด และคิดว่าสำหรับในคราวนี้ ผมก็จะไม่เล่าวิธีการทั้งของคนร้ายและของผมให้ละเอียดนัก ความจริงพิมพ์เอาไว้แล้วครับแต่ในตอนนี้ถือว่าเรื่องของเรื่องมันยังไม่จบเด็ดขาด จึงควรรอเอาไว้ก่อน (ท่านที่อยากรู้จริง ๆ ต้องรอไปงานศพของผม รับรองแจกแน่ เพราะผมได้สั่งการบุตรและภริยาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว)

สลัดน้ำจืดเหล่านี้มีแก๊งค์ใหญ่ ๆ อยู่ ๔ แก๊งค์คือ แก๊งค์ไอ้เขียว ฯ แก๊งค์ไอ้แดง ฯ แก๊งค์ไอ้ขาว ฯ และแก๊งค์ไอ้หนูผี ฯ

ไอ้เขียว ฯ นั้นเดิมเป็นหัวหน้าแก๊งค์ใหญ่ มี ไอ้แดง ฯ เด็กรุ่นหลังเป็นมือขวา ต่อมา ไอ้แดง ฯ แยกตัวออกไปและกลับเป็นกลุ่มแก๊งค์โจรลูกทุ่งที่ดังกว่าครูโจร (ครูโจรนะครับ ไม่ใช่ครูเพลง) ต่อมา ไอ้แดง ฯ ไปฉุดลูกสาวผู้ใหญ่บ้านมาเป็นเมียน้อย ทีนี้เมียของผู้ใหญ่บ้านก็ดันเป็นพี่สาวของ ไอ้หนูผี ฯ รุ่นเก๋าอีกคนหนึ่ง ไอ้แดง ฯ กับ ไอ้หนูผี ฯ ก็ต้องนับญาติกันไปโดยปริยาย

โดย ไอ้หนูผี ฯ รับหน้าเสื่อเป็นสายคอยสืบข่าวและส่งข่าวของทางราชการให้กับ ไอ้แดง ฯ ตลอดจนรับติดต่อกับบรรดานายทุนที่ต้องการจะกำจัดคู่ต่อสู้ที่ขัดแย้งกันในเชิงการค้า เรียกว่า กินหัวคิวจากไอ้แดง ฯ อีกทอดหนึ่ง

ในตอนที่ ไอ้แดง ฯ กำลังดังนั้น ไอ้เขียว ซึ่งเป็นปรมาจารย์วางมือแล้วครับ แต่หูตาของมันยังแพรวพราว ยังมีแหล่งข่าวเป็นตาสับปะรดอยู่ เรียกว่าใครเป็นใคร ไปทำอะไร ที่ไหน ไอ้เขียว ฯ จะต้องรู้เรื่องเป็นอย่างดี เพียงแต่เสือไม่กินเนื้อเสือกันเท่านั้น และ ไอ้แดง ฯ ก็นับว่าเป็นลูกเสือที่ ไอ้เขียว ฯ เคยฟูมฟักมาก่อน

ที่ ไอ้เขียว ฯ ยังมีหูตาอยู่ ภายหลังที่ผมคุ้นเคยกับมันแล้วจึงได้ทราบหลักการของมัน อันที่จริงก็เป็นหลักการเก่าแต่ก็ยังทันสมัยอยู่เสมอ คือ ไอ้เขียว ฯ จะไม่ยอมปล้นหรือฆ่าคนบ้านเดียวกันโดยไม่จำเป็น เรื่องปล้นนั้นยกให้ได้เลยว่ายังไง ๆ ไอ้เขียว ฯ ก็ไม่ทำ แต่เรื่องฆ่าอาจจะมีถ้าคิดตรงกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ในหมู่บ้านหรือละแวกใกล้เคียงบ้านของมัน ชาวบ้านแทบจะเรียกได้ว่ารักมันเสียด้วย ทั้งนี้เพราะถ้าเป็นคนบ้านเดียวกันกับมันแล้วละก็ ไอ้เขียว ฯ จะอ่อนน้อม ยิ้มแย้มโอบอ้อมอารี มีมารยาทดีเสมอกับลูกบ้านของมัน แถมบางครั้งเมื่อปล้นคนบ้านอื่นมาได้มาก ๆ ไอ้เขียว ฯ จะซื้อของติดไม้ติดมือไปแจกชาวบ้านบ้านเดียวกับมันเสมอ ไม่ทราบว่ามันจะเอาอย่างโรบินฮู้ดหรืออย่างไร และไม่ทราบว่าหลักการของโจรผู้ดีเมืองอังกฤษไหงมาตรงกับหลักการของโจรลูกทุ่งอย่างไอ้เขียว ฯ ไปได้ แต่ก็นับว่าเป็นหลักการที่ใช้ได้ผล

อีกแก๊งค์หนึ่ง คือ แก๊งค์ไอ้ขาว สำหรับไอ้ขาว ฯ นั้น ผมค่อนข้างจะรู้จักมันน้อย ทราบแต่ว่ากำลังเป็นดาวรุ่งอยู่เหมือนกัน แต่อยู่ทางบางบ่อ ว่ากันว่าฝีมือของไอ้ขาว ฯ จะสะอาด นิ่มนวล และผู้ดีกว่าแก๊งค์อื่น ๆ

ในช่วงระยะเวลาที่ผมรับราชการอยู่ที่ สภ.อ.บางพลีนั้น มีคดีปล้นและฆ่าโดยสลัดน้ำจืดเกิดขึ้นมาก แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคดีประจำวัน ประจักษ์พยานที่เป็นชาวบ้านส่วนใหญ่ปากปิดสนิท มีไม่กี่คนที่ยอมบอกเล่า แต่ถ้าจะให้สอบสวนกันอย่างเป็นทางการแล้ว เมินเสียเถิด เพราะชาวบ้านไม่เชื่อว่าพวกผมจะให้ความคุ้มครองเขาได้ ซึ่งผมก็เห็นใจเขา และยอมรับว่าตำรวจเราสมัยปัจจุบัน ยังเป็นเดือดเป็นร้อนแทนชาวบ้านน้อยเกินไป ซึ่งเป็นเพราะองค์ประกอบอะไร ๆ หลายอย่าง ซึ่งผมไม่ขอกล่าว ณ ที่นี้

การไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้าน ทำให้ผมสูญเสียเวลาและความเหนื่อยยากไปเปล่า ๆ หลายสิบคดี เรียกว่าเท่าที่พอจะสืบสวนได้ว่าใครเป็นใครแค่นั้นก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว เพราะว่าก่อนหน้านี้ตำรวจไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็ไม่เห็นหนทางที่จะว่ากันตรง ๆ ตามตัวบทกฎหมายอีกต่อไปแล้ว ลืมได้เลย แต่หนทางที่เลือกก็ไม่ใช่ว่าง่าย เพราะเราไม่รู้เขาเลย มีแต่เขาที่รู้เราตลอด ผมให้ลูกน้องไปตามไอ้เขียว ฯ มาพูดคุยเพื่อหว่านล้อมให้มันเป็นพวก มิฉะนั้น ผมจะบีบ แหม...อยากให้เห็นท่าทางของไอ้เขียว ฯ จริง ๆ มันก้มลงกราบ น้ำตาคลอ นัยว่าตื้นตันที่ทางราชการให้ความสำคัญและไว้เนื้อเชื่อใจมัน มันยินดีจะรับใช้ทุกอย่างอย่างสุดหัวใจ

เจ้านายของผมนั้นหลงเลยครับ ขนาดหาปืนให้ไอ้เขียว ฯ เอาไว้ใช้เป็นเขี้ยวเล็บสำหรับในการช่วยเหลือราชการของมัน ไอ้เขียว ฯ จะไปมาหาสู่ไม่เคยขาด มีสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามประสาคนยากคนจน แต่ติดไม้ติดมือมาฝากไม่เคยขาด เมื่อเรือไอ้เขียว ฯ มาจอดที่ท่าน้ำบ้านผม เสียงเรือจะทำให้ผมต้องออกไปดูว่าใครมา พอไอ้เขียว ฯ เห็นผม ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่แต่ไกล ไอ้เขียว ฯ จะทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้นถนนก้มลงกราบแต่ไกลเชียว ช่างนอบน้อมน่ารักเสียไม่มี

แต่เมื่อเชื้อเชิญให้ขึ้นมาพูดคุยกันบนเรือนอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว ไอ้เขียว ฯ ไม่เคยคืบหน้าในเรื่องการหาข่าวเลยครับ มันจะปฏิเสธและเลี่ยงความรับผิดชอบไปได้อย่างสวยสดทุกครั้ง เรียกว่าทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันรู้แต่ไม่ยอมบอก ก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ ต้องทนคบกับมันต่อไปโดยที่มันจะรู้เราตลอด มันรู้พวกโจรด้วยกันโดยตลอด แต่เราไม่เคยรู้อะไรจากมัน

ผมงี๊...อยากจะกระทืบมันให้คาตีน แต่เพราะความที่มันฉลาดพูด มันจึงเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้ง และทำให้ผมเกิดความท้อใจว่า งานปราบโจรครั้งนี้ไม่มีทางสำเร็จ เพราะถ้ามองเผิน ๆ ผมอาจจะดูเหนือกว่ามัน เพราะมันจะต้องพูดจาอ่อนน้อมกับผม เรียกผมว่า เจ้านาย ทุกคำ แต่ภายในผมรู้ดีว่ามันนั่นแหละที่เหนือว่าผม เขาเรียกว่า “เหนือกว่าในเชิงนักเลง”

แม้ผมจะครุ่นคิดหาหนทางที่จะพลิกสถานการณ์ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าเวลาและวารีไม่เคยเปิดโอกาสให้กับผมเลย จนกระทั่งในวันหนึ่ง ผมได้รับการยืนยันว่า ก่อนหน้าที่ผมจะเรียกไอ้เขียว ฯ มาขอความร่วมมือนั้น ไอ้เขียว ฯ รู้ตัวก่อนแล้ว ไม่ทราบว่าข่าวรั่วได้อย่างไร นอกจากที่มันจะรู้ตัวล่วงหน้าแล้ว มันยังทราบประวัติของผมพอสังเขป แถมยังได้เคยมีการวางแผนมาดูตัวผม ในงานของชาวบ้านแห่งหนึ่งที่ผมไปร่วมงานด้วยเป็นการล่วงหน้าอีกด้วย

เรียกว่าไอ้นี่หัวเสธ ฯ หรือหัวหมอไม่เบา เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ทำให้ผมสามารถประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้องขึ้น และท่ามกลางความเวิ้งว้างของความหมดหวังก็ยังเห็นช่องทางเล็ก ๆ คือทำให้พอจะมีแนวทางนิดหน่อย และทำให้ผมประเมินได้ว่า ไอ้เขียว ฯ นั้นแม้จะยังไม่มีความจริงใจให้กับผม แต่ความสนใจที่มันมีต่อผมเป็นพิเศษมากกว่านายตำรวจคนอื่น ๆ เป็นจุดอ่อนของมัน ที่ผมมองว่ามันเกรงบารมีผมอยู่บ้าง

ซึ่งแค่นี้ก็เป็นการเพียงพอสำหรับผมแล้วที่จะดำเนินการตามแผนต่อไป เพราะในเรื่องของใจนักเลงแล้ว ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่เกรงบารมีเราแล้วก็หมดหนทางที่จะซื้อใจกันต่อไป สู้เก็บเสื้อผ้ากลับไปนอนกกลูกกกเมียให้สบายใจดีกว่า สรุปว่าผมมีหนทางที่จะเอาใจซื้อใจไอ้เขียว ฯ ให้มาเป็นพวก แต่การดูใจซื้อใจกันต้องใช้เวลา แบบที่เรียกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่ถ้ามัวรอเวลาและสร้างสถานการณ์ ราษฎรของผมถูกปล้นถูกฆ่าทุกวัน ผมรอไม่ได้ (จึงจำต้องเร่งสถานการณ์เสียเอง) ผมคิดว่างานของผมจะสำเร็จได้ก็โดยทำให้

๑. ไอ้เขียว ฯ บาดหมาง หรือขัดแย้งกับไอ้แดง ฯ
๒. ชาวบ้านเกลียดไอ้แดง ฯ

แต่ทำอย่างไรล่ะครับ ทั้ง ๒ ประเด็นนี้ จึงจะเป็นจริงขึ้นมา ขอเว้นไม่กล่าวถึงวิธีการนะครับ ให้ทราบแต่เพียงหลักการ เอาเป็นว่าในที่สุดชาวบ้านก็เริ่มเกลียด ไอ้แดง ฯ เพราะ ไอ้แดง ฯ ไม่เว้นที่จะปล้นชาวบ้านในละแวกหมู่บ้านของตนเองอีกต่อไป ไอ้เขียว ฯ กับไอ้แดง ฯ ก็ขัดแย้งกันจน ไอ้แดง ฯเข้ามาลอบยิงถูก ไอ้เขียว ฯ ขาเป๋ไปข้างหนึ่งถึงที่บ้าน

ทำให้ ไอ้เขียว ฯ ไม่ต้องใช้เวลาคิดนานอีกต่อไป และไม่มีทางเลือกทางอื่น จำเป็นที่จะต้องเลือกผม (พอขาเป๋ด้วยกันแล้ว เข้ากันได้ดีเชียวครับ) เมื่อชนะใจ ไอ้เขียว ฯ ได้ซิง ๆ ทีนี้ข่าวโจรผมไม่ต้องเคี่ยวเข็ญติดตาม ไอ้เขียว ฯ จะรายงานให้ทราบทุกระยะ ใครเป็นใคร ประวัติอย่างไร ไปปล้นไปฆ่าใครที่ไหน ไม่ต้องถาม ไอ้เขียว ฯ เล่าเอง ก็ ไอ้เขียว ฯ จะไม่รู้ได้อย่างไรในเมื่อมันนั่นแหละที่เป็นหัวหน้าใหญ่



<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/11/09 at 22:24 [ QUOTE ]


Update 21 พ.ย. 2552


ปราบจอมโจรสลัดน้ำจืด



...........เมื่อเหนือกว่าในเรื่องการข่าวและการปกครอง ทีนี้ผมก็สบาย สามารถสอยพวกของ ไอ้แดง ฯ ร่วงผล็อย ๆ เป็นใบไม้ร่วง และ ไอ้แดง ฯ ก็แทบจะหมดอิทธิพลอย่างสิ้นเชิงในเขตการปกครองของผม แต่ขึ้นชื่อว่าไอ้เสือ ฯ ไม่ใช่ม้าหรือหมานี่ครับ ไอ้แดง ฯ กลับไปสร้างอิทธิพลรอบนอกแถว อ. บางบ่อ กับ อ. ลาดกระบัง เรียกว่าฐานในอ่อน แต่ฐานนอกยังแข็งและมีแนวร่วมไม่น้อย

เฉพาะที่ อ. ลาดกระบัง ไอ้แดง ฯ ได้ไอ้ผู้ใหญ่บ้านโจรกับไอ้สารวัตรใหญ่โจรสนับสนุน ที่ อ. บางบ่อ สารวัตรใหญ่เป็นรุ่นพี่ของผม ซึ่งท่านก็เกรงใจทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายโจรแกก็ไม่อยากยุ่ง ฝ่ายปราบโจรแกก็ไม่อยากยุ่ง วางตัวเป็นกลาง ใครให้เงินก็เอา ไม่ขัดใจคนให้ ตำรวจแบบนี้มีเยอะ แต่ก็เรียกว่ายังได้อาศัยมากกว่าที่ กิ่งอ. จระเข้น้อย (ลาดกระบัง)

สำหรับฝ่ายผม เมื่อได้ ไอ้เขียว ฯ มาเป็นพวกทั้งกายและใจแล้วก็เรียกได้ว่าฐานในเราแข็ง เมื่อฐานในแข็งเสียแล้ว เราก็สามารถขยายฐานออกไปรอบนอกด้วยวิธีเดียวกัน อิทธิพลของ ไอ้แดง ฯ กับพวกก็หดสั้นลง ๆ

ในที่สุด ไอ้ขาว ฯ บางบ่อก็เริ่มเดือดร้อน สมองโจรของมันคงจะคิดเช่นเดียวกันกับผม คือ เมื่อก่อนมันได้ ไอ้เขียว ฯ เป็นพันธมิตร มันสามารถอยู่สุขสบาย พอ ไอ้เขียว ฯ กลับกลายมาเป็นพันธมิตรกับผม พวกมันก็เดือดร้อน ยิ่งมีข่าวที่เจตนากระพือออกไปว่า ผมกับ ไอ้เขียว ฯ แน่นแฟ้นกันขนาดกำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน กลุ่ม ไอ้แดง ฯ กับ ไอ้ขาว ฯ รวมทั้ง ไอ้หนูผี ฯ ระส่ำระสายไปเลย

( ไอ้เขียว ฯ มีลูกสาวสวยครับ กำลังรุ่นกะเตาะสิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ ไอ้ผมก็เช้าถึงเย็นถึง เอาลูกเป็ดไปให้ไอ้เขียว ฯ เลี้ยงเป็น Sideline อาหารสัตว์ผมก็ส่งเสียให้ อะไรขาดเหลือผมก็ดูแล ไอ้เขียว ฯ เองผมก็เรียกว่า “พ่อเขียว ฯ” เมียไอ้เขียว ฯ ผมก็เรียก “แม่” ทุกคำ ไอ้เขียว ฯ กับนังเมียพูดยกย่องผมเสมอว่า ผมนั้นน่าจะมีอะไร ๆ ดี ๆ อยู่ในตัว เพราะก่อนหน้านั้น ไอ้เขียว ฯ ชัวร์มากเลยว่า ไอ้แดง ฯ ไม่มีวันที่จะกล้ามาวัดรอยเท้าเสือของมัน

แต่ผมได้ทำนายและท้าพนันกับ ไอ้เขียว ฯ ไปว่า วันหนึ่งและเร็ว ๆ นี้ ไอ้แดง ฯ จะต้องคิดฆ่า ไอ้เขียว ฯ แน่นอน แต่ ไอ้เขียว ฯ จะไม่ตายและอาจจะพิการเหมือนกันผม และก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ซึ่งไม่ทราบว่าอะไรทำให้ผมพูดทำนายไปเช่นนั้น แถมยังแม่นราวกับตาเห็นแน่ะครับ แบบนี้ใครถ้าไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ซึ่ง ไอ้เขียว ฯ ก็เช่นกัน มันต้องยอมซูฮกผม

ยิ่งไปกว่านั้น พอตกเย็นชาวบ้านชาวช่องที่นั่งเรือผ่านบ้านของ ไอ้เขียว ฯ จะเห็น อีนก ลูกสาว ไอ้เขียว ฯ นั่งอยู่ที่หัวบันไดท่าน้ำหน้าบ้านทุกวัน ชะเง้อชะแง้กระสับกระส่ายเหมือนกับจะรอคอยคนรัก เมื่อถูกถาม อีนกก็ว่ามันนั่งคอยผม เมื่อผมไปถึงบ้าน ไอ้เขียว ฯ อีนก ก็จะรื่นเริงเป็นพิเศษหัวร่อต่อกระซิกระริกระรี้ ข่าวนี้จึงเชื่อถือได้ว่า ในไม่ช้า ไอ้เขียว ฯ คงจะได้เป็นพ่อตาของผมแน่ ๆ

แต่ความจริงแล้ว เรื่องนี้มันมีความจริงที่เป็นความลับซ่อนเร้นอยู่ ประเดี๋ยวจึงจะขยายความให้ฟัง ในตอนนี้ติดตามอ่านเรื่องแก๊งโจรสลัดน้ำจืดไปก่อน เรื่อง อีนก ลูกสาวแสนสวยของ ไอ้เขียว ฯ เอาไว้ก่อน เดี๋ยวมาน่า...ไม่ลืมหรอกครับ

ฝ่ายผมซึ่งมี ไอ้เขียว ฯ เป็นพันธมิตร ทำสงครามกับ ไอ้แดง ฯ ซึ่งมี ไอ้ขาว ฯ กับ ไอ้หนูผี ฯ เป็นพันธมิตรอย่างไม่เลิกรา เรียกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน และเหงือกต่อเหงือก มันปล้นฆ่าพวกผม ผมปล้นฆ่าพวกมัน เอ๊ย...ไม่ใช่ ผมตามล่าตามจับพวกมันต่างหาก แหม...พูดเพลินไปหน่อย ผมเป็นตำรวจจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร ยิงกันไปยิงกันมาไล่ล่ากันเหมือนหนังไทย ตำรวจที่เคยซุกหัวเอาแต่นอนหลับทับหน้าที่จนหลังเป็นกระดานก็เริ่มตื่นตัว

มือดี ๆ ทั้งจากโรงพักของผมเองและในละแวกใกล้เคียงมาอยู่กับผมหมด ฐานอำนาจของผมแน่นแฟ้นแข็งเปรี๊ยะ แต่ก็ยังล้มแก๊งโจรไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่วิสามัญไปแล้ว (นับสิบราย) อย่างมากก็เป็นลูกน้องและมือตีนของพวกมันเท่านั้น ตัวหัวหน้ายังไม่ได้แอ้มมัน แต่ก็เรียกว่าเราเริ่มเป็นฝ่ายรุกแล้ว

ในที่สุด ไอ้ขาว ฯ ก็อดรนทนไม่ได้ มันเริ่มต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจังกับผม ในทางบ้านเมืองเริ่มมีการร้องเรียนผมกับพวกว่า ตำรวจปฏิบัติการหฤโหด ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ ไอ้ขาว ฯ ช้ากว่าผมเป็นศตวรรษ เพราะผมได้เข้าพบและรายงานนายระดับสูง ๆ ให้ทราบความเป็นไปเกี่ยวกับแผนการต่าง ๆ ที่จะล้มแก๊งโจรเอาไว้ก่อนแล้ว และได้รายงานให้ท่านทราบความคืบหน้าอย่างลับ ๆ ทุกระยะ

อัยการจังหวัด มารับประทานอาหารที่บ้านของผมทุกอาทิตย์ ผมก็จะสอดแทรกสถานการณ์โจรในพื้นที่ให้ท่านได้รับความจริงอยู่ตลอดเวลา (สมัยนั้นการวิสามัญฆาตกรรมไม่ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้อง แค่พนักงานอัยการมาร่วมในการชันสูตรพลิกศพและเซ็นชื่อให้ก็จบแล้ว)

ในท้องที่อ.บางพลี มีร้านอาหารอร่อย ๆ อยู่หลายร้าน คณะท่านผู้พิพากษา มักจะมารับประทานอาหารกลางวันกันบ่อย ๆ ผมก็จะไปร่วมและดูแลอย่างใกล้ชิด ท่านหัวหน้าศาล จึงได้ทราบเหตุการณ์เป็นอย่างดีจากผมล่วงหน้าเสมอ ว่าอะไรเป็นอะไร

ท่านนายอำเภอ นั้นไม่ต้องพูดถึง ทุกเย็นท่านจะรับประทานอาหารอยู่ที่บ้านของผม และได้รู้เห็นการกระทำของผมทุกขั้นตอน ไม่ต้องเล่าให้เสียเวลาจนท่านไว้วางใจ ได้มอบการปกครองและดูแลกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอ.ส. ให้กับผมอย่างไม่เป็นทางการ

สารวัตรใหญ่ ของผมท่านมีฐานะดี ค่าใช้จ่ายในการปราบโจรท่านเป็นผู้รับภาระทั้งหมด เรื่องรีดไถก็ไม่มีเลย ทำให้ชาวบ้านนิยมนับถือ และเป็นที่เชื่อถือของผู้หลักผู้ใหญ่ พูดคำไหนคำนั้น แบบนี้แล้วอะไรจะเหลือ หนังสือร้องเรียนเป็นบัตรสนเท่ห์จึงมาอยู่ในมือของผมหมด มีเวลาเตรียมการต่อสู้และแก้ไข

และได้มีโอกาสพินิจพิจารณาจนพบว่า หนังสือร้องเรียนเหล่านี้มาจากแหล่งที่เดียวกัน ผู้เขียนมีการศึกษาสูงพอสมควร เขียนมีหลักมีเกณฑ์ แต่ที่น่าสงสัยก็คือ ทำไมจึงรู้เรื่องโจรได้ดีนักราวกับเป็นโจรเสียเอง ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้อีกที่โจรลูกทุ่งจะมีการศึกษาถึงระดับนี้ได้ ซึ่งผมก็เก็บความสงสัยนี้เอาไว้มาโดยตลอด

การตามล้างตามล่าระหว่างผมกับแก๊งโจรดำเนินเรื่อยมา ระยะนั้นเองก็มีเรื่องฮือฮาเกิดขึ้น กล่าวคือ พวกเราตำรวจกระสากลิ่นเสือได้ข่าวว่า ไอ้ขาว ฯ จะข้ามถิ่นเข้ามาปล้นในเขต จึงได้จัดเวรไปดักซุ่ม ฯ ผมไปซุ่มรออยู่เสียหลายวันเสียเลือดให้ยุงกินเป็นขวด ไอ้ขาว ฯ ก็ไม่มาเสียเลือดให้ผม จึงสับเปลี่ยนให้อีกชุดหนึ่งซุ่มต่อไป

พอผมกลับ ไอ้ขาว ฯ ก็เข้าปล้น ก็เหมือนหนังไทยอีกเช่นเคย วิ่งไล่ล่ากันด้วยเรือหางยาว เล่ากันว่า ไอ้ขาว ฯ ยืนซิ่งเรือหางยาวหนีตำรวจราวกับขับรถแข่งฟอร์มูล่าวัน การขับเรือหางยาวนั้น ถ้าขับซิ่งซิกแซกแล้วต้องยืนขับจึงจะคล่องตัว แต่มีจุดอ่อนตรงที่ว่าเป็นเป้าให้ฝ่ายติดตามยิงถูกได้โดยง่าย

ปรากฎว่า ตำรวจยิง ไอ้ขาว ฯ ด้วยเอ็ม ๑๖ เป็นชุด กระสุนถูกเข้าที่กลางหลัง เสื้อที่สวมใส่อยู่ขาดกระจุยกระจาย ไอ้ขาว ฯ หัวทิ่มคาลำเรือที่เสือกหัวเกยอยู่ที่พงอ้อข้างคลอง


<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>



◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 29/11/09 at 20:29 [ QUOTE ]


Update 29 พ.ย. 2552


จุดจบจอมโจร




……ตำรวจพากันร้องไชโยโห่หิ้วลั่นคลองราวกับมีงานบวชนาค แต่แล้วก็ต้องเหวอรับประทาน หลังจากหลงดีใจอยู่ได้ไม่ถึงนาที เพราะปรากฎว่า ไอ้ขาว ฯ ลุกขึ้นมาได้ขับเรือหนีต่อไปอีก ส่วนตำรวจมัวแต่ดีใจจึงดับเครื่องเรือ ซึ่งกว่าจะสตาร์ทเครื่องเรือติด ไอ้ขาว ฯ ก็ไปลิบโลกแล้ว

และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ทำให้ตำรวจตกใจเสียขวัญไม่ยอมตามกันต่อไปอีก นายตำรวจที่ไปด้วยเล่าว่า ได้หยุดเรือดูจุดที่ ไอ้ขาว ฯ ถูกยิง เห็นมีแต่เศษผ้าจากเสื้อลอยน้ำอยู่ ไม่มีร่องรอยโลหิตแม้แต่น้อย ได้เก็บเอาเศษเสื้อมาเป็นประจักษ์พยานด้วย

ข่าว ไอ้ขาว ฯ หนังเหนียวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วราวกับเพลี้ยลงไร่ลงนา ลือไปลือมา ไอ้ขาว ฯ แทบจะเหาะหนีตำรวจไปได้ และเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตำรวจชุดของผมท้อแท้พอควร ผมก็ได้พยายามปลุกปลอบให้ขวัญกำลังใจไปตามเรื่องตามราว โดยได้ทำพิธีตัดไม้ข่มนาม และพิธีโองการแช่งน้ำ โดยเอาน้ำไปเจิมลูกกระสุนปืนแล้วแช่งชักหักกระดูก ขอให้ผู้ที่ประพฤติชั่วแต่มีเครื่องรางของขลังศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองหนังยุ่ย ปรากฎว่าก็ได้ผลครับ…

คือ…ลูกกระสุนปืนของผมหายหมดบ้าน ได้ความว่าลูกน้องมาขโมยไปหมด ก็จะเอาไปใช้ปราบโจรน่ะครับ ความจริงไม่ต้องขโมย ไม่ต้องขอก็จะให้ แต่ไม่ทราบว่าเขาถือเคล็ดอะไรว่าไม่ขลัง ต้องขโมยจึงจะขลัง และก็เป็นเรื่องตลกแต่ไม่ขำและหัวเราะไม่ออกครับ วิธีขโมยก็แปลกคือ ปีนขึ้นมาบนบ้านผมในตอนดึก ครั้นพอผมกระแอมเตือน เขาก็ร้องบอกเสียงดัง ๆ ว่าเขาชื่ออะไร และบอกด้วยว่าเข้ามาขโมยลูกปืนครับ

แล้วก็ไม่ได้เข้ามาขโมยพร้อม ๆ กันนะครับ ผลัดกันเข้ามาเอา ผมเลยไม่ต้องนอนทั้งคืน รายหลัง ๆ ผมจึงเอามาไว้ที่ชานเรือนเลยครับ พอได้ยินเสียงกุกกัก ก็บอกไปดัง ๆ เลยว่า ลูกปืนวางไว้ที่ชานบ้าน ตามสบายนะ เขาก็ไม่ตอบอะไร แต่เสียงหัวเราะกันคิกคัก ๆ เฮ้อ…ชาวเอ๋ย ชาวบ้าน แต่ก็น่ารักดีนะครับ ขโมยแบบนี้ ก็เป็นอันว่าไล่ล่ากันต่อไปแต่ก็ไม่ได้ตัวซักที

แต่แล้วในที่สุด ไอ้ขาว ฯ ก็สิ้นชื่อครับ มาติดสายไฟดักที่หลังบ้าน ไอ้เขียว ฯ มือขวากำสายไฟ มือซ้ายกำเอ็ม ๑๖ อยู่ในมือ เรียกว่า ปลาใหญ่ตายน้ำตื้นครับ ตรงที่ ไอ้ขาว ฯ มาตายน้ำตื้นจริง ๆ ครับ น้ำแค่เอวเท่านั้น ชื้น ๆ เปียก ๆ แบบนั้น โดนสายไฟแรงสูงอะไรจะไปเหลือ

เมื่อได้รับรายงาน ผมก็นำหมอจากโรงพยาบาลไปด้วย เมื่อคณะของผมไปถึง ไอ้ขาว ฯ กำลังจะขาดใจตาย พอผมเห็นหน้า ไอ้ขาว ฯ ก็ตกใจ ปรากฎว่า ไอ้ขาว ฯ เป็นคน ๆ เดียวกับครูขาว ครูชั้นโทโรงเรียนประชาบาลแห่งหนึ่งในเขตอ.บางบ่อ ที่ผมเคยรู้จักมาก่อน

เคยสังเกตว่าเป็นครูที่หัวคิดออกจะทันสมัยเอียงซ้ายนิด ๆ หน้าตาดีเรียกว่ารูปหล่อ ท่าทางดี แต่งเนื้อแต่งตัวทันสมัย ตัดผมเผ้าสะอาดเรียบร้อย ไหงกลายร่างเป็นโจรไปได้

ก่อนสิ้นลมหายใจประงาบ ๆ ไอ้ขาว ฯ ขอขมาผม รับสารภาพอยู่ในอ้อมแขนของผมว่า มันคือ ไอ้เสือขาว ฯ ที่ผมต้องการตัวนั่นเอง ที่มันต้องเป็นโจรนั้นเป็นเรื่องยาว แต่ไม่มีโอกาสเล่าให้ผมฟัง หนังสือร้องเรียนนั้นมันนั่นเองที่เป็นคนรจนาส่งไป ตอนที่มันสารภาพ ทั้งพ่อแม่พี่น้องของมันก็ล้อมรอบอยู่ มันให้ผมถอดสายสร้อยทองคำออกมาจากคอของมัน สายสร้อยนั้นมันให้แม่ แต่เครื่องของขลังมันยกให้ผม มันเล่าว่าเป็นของปู่ให้มัน เป็นของศักดิ์สิทธิ์ ที่มันถูกยิงหลายครั้งแต่ไม่เข้าก็เพราะสิ่งนี้ ของสิ่งนั้นก็คือ “เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางเหี้ย” นั่นเอง

จบเรื่อง ไอ้ขาว ฯ แล้วครับ อะไรนะ…ยังไม่จบ อ๋อ…ยังไม่จบ ยังค้างเรื่อง ลูกสาวไอ้เขียว ฯ ที่คนเขาลือกันว่า เป็นเมียน้อยของผมน่ะหรือครับ ความจริงมีอยู่ว่า…

อีนก ลูกสาว ไอ้เขียว ฯ มันไม่มีอะไรกับผมหรอกครับ มันผูกสมัครรักใคร่อยู่กับ ไอ้พร วัยรุ่นคราวเดียวกัน ลูกน้องอยู่ในบ้าน ไอ้เขียว ฯ นั่นเอง และลักลอบได้เสียกันไปแล้ว มีอยู่วันหนึ่ง ผมบังเอิญไปพบความลับอันนี้เข้าโดยบังเอิญ ที่เพิงเลี้ยงเป็ดชายทุ่งหลังบ้าน ไอ้เขียว ฯ ซึ่งทั้งสองขอร้องให้ผมปกปิดความลับนี้ให้ด้วย ไม่งั้น ไอ้เขียว ฯ เอาตายแน่

เพราะฉะนั้น ที่ อีนก ตั้งตารอคอยผมราวกับเป็นคนรักของมัน เพราะว่าเมื่อผมไปถึงบ้าน ไอ้เขียว ฯ ๆ ก็จะต้องหาข้าว หาปลา สุราอาหาร มาต้อนรับขับสู้ และก็จะต้องใช้ให้สองคนนี้ไปซื้อหา แต่ของที่ผมต้องการและเรียกหาให้ ไอ้เขียว ฯ ใช้คนไปซื้อหาให้นั้น ผมได้ซื้อติดเรือมาก่อนแล้ว และได้แวะเอาซุกไว้ข้าง ๆ เพิงวิมานของ ไอ้พร กับ อีนก ก่อนที่จะเข้าไปในบ้าน

พอผมเรียกจะเอา ไอ้เขียว ฯ ก็ต้องใช้ อีนก กับ ไอ้พร นั่นแหละ ให้เอาเรือไปซื้อ มันสองคนก็มีโอกาสออกไปจู๋จี๋กันที่วิมานเล้าเป็ดนั่นเอง กะเวลาพอสมควรแล้วก็หิ้วของกลับบ้าน ทำทีว่าไปซื้อมาจากตลาด ก็เท่านั้นเอง อีนก จึงระริกนัก เวลาผมไปบ้านพ่อของมัน เรียกว่าคอยเฝ้าเชียวแหละ แต่ไม่ได้รอจะระริกกับผมหรอกครับ มันรอจะระริกกะ ไอ้พร ต่างหาก

ทีนี้จบแน่ละครับ อ้าว ๆ… ยังไม่จบ อ๋อ…ให้ต่ออีกนิดก็ได้ครับ ต่อมาเมื่อได้ “เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางเหี้ย” มาเป็นสมบัติแล้ว ผมก็ออกสืบหาแหล่งที่มา ในที่สุดก็ได้ความว่า เดิมอ.บางบ่อ อยู่ไม่ไกลจากโรงพักบางบ่อหรอกครับ สมัยก่อนต้องนั่งเรือไป สมัยนี้รถยนต์เข้าถึงแล้วและแถวนี้ตัวเหี้ยก็เยอะจริง ๆ สมกับชื่อบางนี้ เพราะเป็นที่ราบลุ่ม เหมาะที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ชนิดนี้จริง ๆ

ต่อมาจึงมีคนหัวใส ซึ่งเดิมประกอบอาชีพเป็นหมองู จับงูขายส่งไต้หวัน ก็ได้เสริมอาชีพจับเหี้ยขายด้วยครับ เพราะหนังของมันราคาสูงมาก นัยว่าร่ำรวยไปเลยทีเดียว และเนื้อเค็มที่ตากแห้งเรียกกันว่า เนื้อแดดเดียวตามร้านอาหารป่าดัง ๆ สมัยนั้น ที่ว่าเป็นเนื้อชั้นดีราคาแพงนั้น ไม่ใช่เนื้อวัวหรอกครับ ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเหี้ยจากบางบ่อนี่เอง

ชื่อบางเหี้ยนี้ฟังไม่เป็นมงคล นายอำเภอท่านหนึ่งจึงคิดเปลี่ยน เผอิญขณะนั้น ชาวบ้านขุดดินขายให้เขาเอาไปถมที่ บ่อดินที่ขุดเอาเนื้อดินไปแล้วจึงนำมาใช้เป็นบ่อเลี้ยงปลา เกิดเป็นตำนานปลาสลิดบางบ่อมาจนทุกวันนี้

เมื่อมีบ่อขุดจำนวนมากมาย นายอำเภอท่านนั้นจึงเอามาตั้งเป็นชื่อใหม่ไปเสียเลย พ้นเคราะห์ไปที ส่วนท้องที่ใกล้เคียงกัน เดิมชื่อเดียวกันแต่อยู่ในเขตอ. ลาดกระบัง กทม. ก็ถูกเรียกใหม่ให้เพี้ยนไปว่า จระเข้น้อย อันว่าจระเข้ตัวเล็ก ๆ หรือจระเข้น้อย ก็คือไอ้ตัวพรรค์อย่างว่านี่แหละครับ ไม่ใช่อื่น และไม่ได้แปลว่า มีจระเข้อยู่ไม่มาก

ส่วนตำบลจระเข้ในเขตอ.บางพลี พอกทม.เขามีจระเข้น้อย บางพลีก็เลยต้องมีจระเข้ใหญ่ เพื่อยืนยันว่าเป็นจระเข้จริง ๆ นะ ไม่ใช่จระเข้แบบที่ลาดกระบัง อะไรทำนองนี้ โรงพักจระเข้ใหญ่เมื่อก่อนเป็นโรงพักเล็กนิดเดียว จะไปก็ต้องไปทางเรือ เดี๋ยวนี้โรงพักใหญ่โต บ้านเมืองก็เจริญขึ้นมากไม่รู้ว่าใครเป็นใครไปแล้ว ใครที่ผ่านไปทางนั้นและแวะเที่ยว จะเอ่ยอ้างว่าเป็นพวกของผมก็ไม่ขัดข้องนะครับ คนเก่า ๆ จะกุลีกุจอต้อนรับทีเดียวเชียว

ที่บางพลีนี้ยังมี หลวงพ่อโต ฯ วัดบางพลีใหญ่ ว่ากันว่าเป็นองค์พี่ของ หลวงพ่อโสธร นะครับ วันดีคืนดี จู่ ๆ ปูนที่ปั้นเป็นรูปองค์หลวงพ่อก็เกิดนิ่มขึ้นมาเสียเฉย ๆ เหมือนกับเนื้อคน คือไม่ใช่นิ่มอย่างเดียว แต่ยืดหยุ่นได้ เขาจึงเรียกชื่อท่าน “หลวงพ่อโต ฯ เนื้อนิ่ม” ถึงปีจะมีงานเทศกาล “โยนบัว” เขาจะเอาหลวงพ่อ ฯ ขึ้นเรือแห่ไปตามคลอง ชาวบ้านจะเตรียมดอกบัวไว้นมัสการ โดยเมื่อเรือที่อัญเชิญหลวงพ่อ ฯ ผ่านไป ก็จะโยนบัวขึ้นไปบนเรือหลวงพ่อสูงเป็นภูเขาเลากา น่าชื่นใจความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไทยเราจริง ๆ

นอกจากนั้น ที่บางพลีก็ยังมี หลวงพ่อเผือก ฯ วัดกิ่งแก้ว ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ดังไม่รู้เรื่อง วัดอยู่ที่ถนนสายที่แยกจากสายบางนา – ตราด บริเวณก.ม. ๑๒ ตัดมาออกอ.ประเวศน์นั่นแหละครับ

อ้อ…สำหรับกลุ่มแก๊งค์สลัดน้ำจืด ต่อมาก็ถูกอัปเปหิเข้าไปอยู่ในคุกในตะรางกันหมด ไอ้แดง ฯ โดนเข้าไปราว ๆ ๑๒๐ ปี ต่อมาทำซ่าแหกคุกออกมาแล้วก็โดนจับอีก ไอ้เขียว ฯ กรรมเก่าสนอง โดนคดีปล้นเก่า ๆ ที่แปดริ้ว ติดคุกราว ๆ ๖๐ ปี ไอ้หนูผี ฯ ก็หมดน้ำยา เหลือแต่ขนมจีนจืดไม่เป็นท่า ส่วนผม ย้ายไปชมแสงสีที่พัทยา ครับ

ความจริงเรื่องราวต่าง ๆ ที่อ.บางพลีที่ผมประสบมายังมีอีกหลายเรื่องที่คิดว่าสนุก แต่กลัวว่าหนังสือเล่มนี้จะพิมพ์ไม่เสร็จทันเวลา เอาไว้รวมเล่มในหนังสือแจกงานศพของผมก็แล้วกัน ที่ว่าสนุกเพราะเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง เช่น เรื่องเสือสะอิ้ง พ่วงรอด มือปืนพันศพจากเพชรบุรี ที่ใช้ผ้าถุงแม่เป็นเครื่องรางของขลัง แต่มาโดนผมพิชิต (จับเป็น) ที่นั่น

มีเรื่องการทดลองเครื่องรางแขกอิสลามกับเครื่องรางของพวกเราชาวพุทธ มีเรื่องบ่อนแตกที่บ่อนไก่ของ พี่มาลัย วัดกิ่งแก้ว ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะเชื่อมโยงเกี่ยวพันไปถึงเรื่องไอ้เสือต้อย บึงกระโดน หรือ ต้อยใหญ่ มือปืนร้อยศพ ที่โดนผมพิชิตอีกเช่นกัน (จับตาย) ตี๋ใหญ่ (คนนี้คนอื่นจับครับ) และคนอื่น ๆ เรื่องอื่น ๆ ซึ่งคงจะต้องรอเอาไว้รวมกันในคราวเดียว ใครอายุมากแล้ว อยู่ไม่ถึงงานของผมก็ขออภัยด้วยนะขอรับพระเดชพระคุณ…



<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>



◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top