Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 14/3/10 at 09:04 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 1 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑

โดย ส. สังข์สุวรรณ


ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระวัดท่าซุง
(ลิขสิทธิ์เป็นของ "สำนักพิมพ์เวฬุวัน" วัดท่าซุง)




เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑

01. คำนำ | 02. เริ่มเรื่อง..หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑ | 03. พบพระอรหันต์วัดท่าซุง | 04. เรื่องพิเศษวันนี้ | 05. เหตุที่ป่วย | 06. วันไหว้สาร์ทจีน | 07. เข้าเขตพระยายม | 08. พยานบาป - พยานบุญ | 09. สถานที่สอบสวน | 10. นิมิตก่อนตาย | 11. บันทึก วันที่ ๒๙-๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๑ | 12. พระศรีอาริย์มาช่วย | 13. ผีมาแล้ว | 14. แขกเมืองบน | 15. คนตายใกล้สมเด็จ ฯ | 16. คำพยากรณ์ที่จดไว้ | 17. ทัวธ์ธรรมทาน | 18. พระไป สาวมา | 19. พระที่ต้องเดินทางไปชำระหนี้ | 20. ระเบียบทัวร์ธรรมทาน | 21. ผีมาต่อว่า | 22. ยักษ์มาถึงที่นอน | 23. บันทึกพยากรณ์พิเศษ | 24. บัญชีพระยายม | 25. ผีหลอก | 26. สอบสวนพระโพธิสัตว์ | 27. หญิงชาวสวนไปสวรรค์

(Update 11-06-53)





1

คำนำ


หนังสืออ่านเล่นที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ เดิมทีเดียวไม่ได้คิดว่าจะพิมพ์ออกเผยแพร่ จดไว้เพื่อพิสูจน์คำพยากรณ์จากนิมิต และเพื่อทราบอาการป่วยเป็นระยะ ๆ เพราะป่วยเสียเป็นอาชีพ ป่วยทุกวันตั้งแต่เดือน มิถุนายน ๒๕๒๕ มาจนบัดนี้ มันไม่หายไปแต่ว่ามันเพิ่มมากขึ้น เมื่อเห็นความตายอยู่แค่ปลายจมูก มันหยุดหายใจเมื่อไรก็ต้องตายทันที เพื่อความไม่ประมาทจึงได้บันทึกอาการไว้แต่ละวันเริ่มเมื่อเดือน สิงหาคม ๒๕๓๑

ต่อมาเมื่อมีนิมิตบางอย่างที่น่ารู้ก็พยายามติดตามนิมิตนั้นเพื่อรู้ต่อไป จึงต้องจด เพราะไม่จดก็จะเป็นการเกินจำคือจำไม่ได้ จดเอาไว้ทบทวนดูว่านิมิตที่เกิดขึ้นนั้นตรงตามความเป็นจริงหรือคลาดเคลื่อน เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่นิมิตที่เกิดขึ้นตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง ถ้ามีกำหนดจะไม่พลาดจากกำหนดเวลาเลย เมื่อวันที่ ๒, ๓, ๔, ๕ กันยายน ๒๕๓๑ ไปที่ซอยสายลม เอาเรื่องของนิมิต บางเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง เห็นเป็นที่ชอบใจของผู้ฟัง

มีผู้แนะนำว่าควรจะจัดการพิมพ์ขึ้น แต่คงแจกไม่ไหวเอาเป็นขายพอไม่ขาดทุนก็แล้วกัน เล่มละเท่าไรกำหนดราคายากเพราะกระดาษราคาแพงขึ้นมาก เป็นอันว่าขอขายถอนทุนได้เป็นพอ ส่วนกำไรก็เอาตรงที่ท่านทั้งหลายชอบใจ เป็นพอดีกับความต้องการ

หนังสือนี้มีหลายวันไม่เป็นชิ้นเป็นอันนัก ท่านผู้อ่านรำคาญก็โยนทิ้งไปก็แล้วกัน เพราะจะถือเป็นสาระแก่นสารแก่ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ ถ้าบังเอิญเป็นที่พอใจ จะเขียนพิมพ์ต่อไปและดัดแปลงข้อความให้ควรแก่การอ่าน ถ้าไม่เป็นที่ชอบใจก็เลิกพิมพ์ แต่ถ้ามีแรงบ้างก็จะบันทึกไว้ เมื่อตายจะได้ทราบว่าคนแก่ทำอะไรไว้บ้าง และมีทุกขเวทนาขนาดไหน.

ส. สังข์สุวรรณ

หมายเหตุ : อักษร ส. เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ เอามาเพียงตัวหน้าตัวเดียว สังข์สุวรรณ เป็นนามสกุล สังขะ แปลว่า ขุด สุวรรณ แปลว่า ทอง เป็นอันว่าตระกูลนี้ต้องเหนื่อยตลอดกาลที่ต้องขุดทอง อาการที่ขุดมันเหนื่อย แต่จะได้ทองหรือไม่นั้น ในนามสกุลท่านไม่ได้บอกไว้

ส. สังข์สุวรรณ

๑๐ กันยายน ๒๕๓๑




2

เริ่มเรื่อง..หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑


วันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑


เวลาเย็นเกือบ ๑๘.๐๐ น. ป่วยมากมีอาการปวดและอืดอาเจียนเป็นเสมหะ ตอนนี้มีพระเนื้อเต็มร่างสูงท่านหนึ่ง มานั่งด้านมือขวา ท่านเอามือมาลูบที่อกไปมา ๒ - ๓ ครั้ง แล้วท่านก็พูดว่า “ร่างกายอย่ามีอันตรายนะ”

ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ท่านเวสสุวัณมาบอกว่า “มีคนคิดปล้นวัด” จึงถามพระท่านว่า “ท่านชื่ออะไร” ท่านบอกว่า “ผมชื่อจันทร์” เจ้าของชื่อวัดจันทาราม (ท่าซุง) นั่นเอง ท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๓ ของวัดนี้

ตอนหัวค่ำท้องผูก มีอารมณ์จิตซ่านคิดนอกลู่นอกทาง (คิดงานสร้างมากไปหน่อย ไม่ได้นึกถึงวิปัสสนาญาณ) เสียงหญิงไพเราะใส ถามขึ้นว่า “ป่วยหรือเจ้าคะ” เสียงนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะพอได้ยินเสียงทักท้วงแบบนั้นจิตรวมตัวทันที ขอขอบคุณท่านเจ้าของเสียงที่เตือน (เสียงของใคร? เสียงนั้นคือเสียงอดีตภรรยาที่มีความดีเหมือนแม่)

วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

เวลาใกล้ ๑๙.๐๐ น. นอนภาวนาบนเตียงด้วยคาถาภาวนาบทสุดท้ายที่ฝึกกรรมฐาน เป็นบทภาวนาที่ช่วยให้ทิพจักขุญาณแจ่มใสเห็นริมฝีปากและหนวดเรียวเล็กงอนสวยงามมาก จึงถามว่า “หนวดใคร” ท่านเจ้าของหนวดปรากฏทั้งองค์พูดว่า “หนวดเวสสุวัณครับ”

ถามท่านว่า “มีธุระอะไรหรือ”
ท่านบอกว่า มีข่าวร้ายจะบอก มีคนมันคิดปล้นวัด (ถามท่านถึงกลุ่มคนที่คิดร้าย)
ท่านบอกว่า “ชุดเก่าไปหาคนภายนอกมาปล้น แต่ทว่ามันทำไม่ได้ เพราะ พระและ เทวดา พรหม ท่านช่วยป้องกัน”

คุยกันสักประเดี๋ยวหนึ่งก็มีชายสูงโปร่งสูงมากประมาณ ๔ วามนุษย์ เดินมาทางทิศตะวันตกของกุฏิ มาถึงที่นอนซึ่งกำลังคุยกับท่านเวสสุวัณ ถามว่า “ท่านคือใคร”

ท่านตอบว่า “ผมคือธตรฐครับ” ท่านจ้าวจอมทัพคนธรรพ์ พูดแล้วก็หัวเราะ

หลังจากนั้นมีกลุ่มเทวดามาชุมนุมกันมาก ท่านเมตตาเป็นพิเศษ ท่านปรารภถึงพวกที่คิดจะปล้นว่า ถ้าปล้นก็จะตายเพราะมือตำรวจ

วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

ตอนก่อนเพลที่ตึกอินทราพงษ์ เมื่อว่างก็ภาวนาเพื่อความสบาย นึกถึงถ้อยคำที่เตือนว่า “ป่วยหรือเจ้าคะก็ทราบว่าเสียงนี้เป็นเสียงของ พรรณวดี ขอบใจเธอที่เมตตาคอยดูแลตักเตือน ต่อจากนั้นก็มีกลิ่นหอมตลบเต็มห้อง เจ้าของเสียงก็มา ท่านแม่ก็มาและมากันหมด นับจำนวนไม่ได้ ขอบใจทุกท่านที่เมตตา แล้วก็คุยกันว่า ฉันมีสรณะ (ที่พึ่ง) ห้าคือ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง มาตาปิตรัง และ ภริยัง สรณังคัจฉามิ ต่างคนต่างหัวเราะแล้วก็ระงับการคุยกัน

วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

วันนี้ภาวนาตามปกติไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลางคืนมีเพราะวันนี้ป่วยมาก กลางวันคุมอารมณ์จะไม่ไหว ท้องอืดเวียนศีรษะมากต้องล้างท้อง พรนุช คืนคงดี เป็นคนคุมยาและสวนอุจจาระ พระอนันต์ ก็ถือหม้อยาสวนล้างเสร็จแล้วนอน ยาถ่ายแรงแต่โล่ง พอเวลา ๒๑ น. รู้สึกพอมีแรงประสาทคลายเครียด ก็เริ่มภาวนาเต็มกำลังแล้วขึ้นไปนิพพานไปนมัสการพระ

พระท่านก็บอกว่า “อย่าวิตกเลย” ท่านเตือนว่าลงไปเถอะร่างกายเพลียมากจะได้หลับ ลงมาแวะที่พรหมชั้น ๑๖ นมัสการท่านพ่อ มีพรหมยืนอยู่หลายองค์ท่านพ่อบอกว่า “โรคจะหายแล้วลูกลงไปพักผ่อนเถอะ” ลาท่านแล้วมาแวะดาวดึงส์นมัสการท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านก็เตือนให้กลับตอนนี้หยุดชั่วคราว

ที่ต้องหยุดชั่วคราวก็เพราะขณะเขียนเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. เศษ เกิดลมขึ้นอย่างแรง ตาลาย หูอื้อ ร้อนไปทั้งตัวถึงหัวด้วย มือสั่น นั่งไม่อยู่ ต้องหยุดแล้วฉันยา นอนจับอานาปาฯ อาการค่อย ๆ คลายแล้วก็หลับไป ตื่นเวลา ๒๔.๐๐ น. เศษ

ก่อนหลับรวบรวมกำลังใจมุ่งไปนิพพาน ก่อนไปนิพพานออกไปนอกร่างกาย มองดูร่างกายไม่มีความหมายมันสกปรกทรุดโทรม เหม็นน้ำเลือด น้ำหนอง ท่อนไม้ยังดีกว่ามาก คิดว่าร่างกายเลวแบบนี้ไม่ขอมีอีกและอยากละจากร่างกายนี้ไปเร็ว ๆ มันมีแต่ทุกข์ทรมานแสนสาหัสทุกวัน พอขยับจะไป เทวดาท่านห้าม ท่านบอกว่า

“ยังไม่ถึงเวลาไป”
ได้บอกท่านว่า “จะไปนมัสการพระ” บางองค์ท่านห้าม

แต่เมื่อจะไปจริง ๆ ใครก็ห้ามไม่ได้ พอไปถึงพระท่านก็ยับยั้งว่า “ยังไม่ควรไป เพราะงานที่จะให้ทำมีมาก” ได้กราบเรียนท่านว่า “ร่างกายมีทุกขเวทนาสาหัสอย่างนี้ ขอไปก่อนกำหนด” ท่านบอกว่า “ให้กลับเถอะเดี๋ยวอาการจะคลาย”

เมื่อกลับมาและไหว้ ท่านสหัมบดีพรหม (พ่อ) และพรหมหลายองค์ที่ท่านอยู่ร่วมกัน เสร็จแล้วลงมาดาวดึงส์ไหว้ท่านพ่อ ท่านแม่แล้วลงมาที่ร่างกาย เห็นเทวดาและพรหมท่านมามาก จึงขอร้อง ท่านลุงพุฒ (พี่) และท่านลุงใหญ่ (ลุง) ขอให้ท่านเมตตามาอธิบาย ท่านนำบัญชีมาให้ดู ท่านบอกว่า

“อาการวันนี้ประเดี๋ยวก็หาย และต่อไปจะค่อย ๆ หาย จนถึงหายขาด” ท่านกางบัญชีออกมา ท่านบอกว่า “ตัวหนังสือสีแดงยาวหลายหน้าสมุดนี้ เป็นการบอกอาการป่วยของคุณ ต่อไปไม่นานนักจะถึงที่สุดของหนังสือสีแดง มีหนังสือสีน้ำเงินแทนไม่ยาวนัก จากนั้นมีหนังสือสีทองตลอดไป” ท่านลุงบอกว่า

๑. หนังสือสีแดง บอกอาการป่วยไม่นานนักก็หมดแล้ว
๒. หนังสือสีน้ำเงิน บอกอาการปกติปลอดโรค
๓. หนังสือสีทอง บอกอาการโชคดีงานธรรมะมีผลดีมาก

เมื่อท่านอธิบายเสร็จ ท่านสหัมบดีพรหม กับ พระอินทร์ ท่านบอกให้ใช้ "อานาปา" พอใช้ "อานาปา" อาการคลายตัวลงแล้วหลับตื่นเวลา ๒๔.๐๐ น.เศษ ร่างกายโปร่งสบาย ไปส้วมกลับมาแล้วใช้ อานาปา ร่วม พุทโธ หลับไปใหม่ ตื่นตี ๓.๓๐ น. ใช้ "อานาปา" กับ "พุทโธ" หลับต่อไปตื่นเอา ๖.๐๐ น.

วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

เมื่อตื่นรู้สึกสบาย พอใกล้เวลา ๖.๐๐ น.ครึ่ง ปวดศีรษะฉันยาแก้ไข้แก้ปวดอาการก็ไม่ดีขึ้น วันที่ ๑๖-๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๑ ล้างท้อง แม้แต่น้ำยาที่สวนเข้าไปก็ไม่อยากจะออกมา จึงเห็นว่าร่างกายแบบนี้ควรทิ้งไปได้แล้ว จึงขึ้นไปลาพระท่าน ท่านยับยั้งบอกว่าจะหายดีแล้วภายในไม่ช้านี้



3

พบพระอรหันต์วัดท่าซุง

ตอนสายนอนภาวนา เห็นพระมายืนห่าง ๆ ๒ องค์ ผิวคลํ้าทั้งคู่ คิดว่าผี จึงทำเฉย ๆ ต่อมาคิดว่าผีพระจะมาทำไม จึงถามท่าน ท่านบอกว่า “ผมไม่ใช่ผี ผมเป็นพระ” ถามท่านว่า

“ท่านอยู่ไหน” ท่านบอกว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์ก่อนตาย” ถามท่านว่า “ท่านเป็นพระสมัยไหน” ท่านบอกว่า “สมัย หลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้” เมื่อถามถึงหลวงพ่อทั้งสอง ท่านทั้งสองก็ปรากฏองค์ หลวงพ่อเล่งท่านพูดว่า

“คุณอย่าหนักใจคนแถวนี้เลยว่ามันขโมยของวัด เพราะมันขโมยมาเป็นปกติอยู่แล้ว สมัยผมมันก็ขโมยไม่เลือก”

ถามพระหนุ่มสององค์ว่า สมัยหลวงพ่อทั้งสองมีพระอรหันต์ทำไมวัดไม่เจริญ เพราะพระอรหันต์มีที่วัดไหน วัดนั้นจะเจริญถึงที่สุดเป็นกฎธรรมดา ท่านทั้งสองบอกว่า

“วัดเจริญครับ มีกุฏิ ๘ หลังเรียงกับหอสวดมนต์ และมีกุฏิ ๙ ห้องอยู่หนึ่งหลัง ศาลา อุโบสถ วิหาร สมัยนั้นเจริญ แต่เมื่อสิ้นพระอรหันต์แล้ว พวกเจ้าอาวาส ทายก ชาวบ้าน ช่วยกันขายหมด”

วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

วันนี้อาการไม่ดีมาก อยู่กับตายใกล้กันมาก อาการใกล้ตายมากกว่า ท้องอืดเสียทั้งวัน ตอนลงรับแขก ทายก วัดเขาไพร จังหวัดระยอง ขอให้ไปช่วยวางศิลาฤกษ์อุโบสถ ทายกชุดนี้ขนน้ำปลา กะปิ ทุเรียน เงาะ มาถวายประจำปีละมาก ๆ เห็นว่าท่านดีจึงรับปากว่าจะช่วย แต่มีข้อแม้ว่าถ้าป่วยไม่ไปกำหนดให้วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๓๒ เป็นวันวางศิลาฤกษ์

กลางคืนร่างกายอืดเสียดมากขึ้น เห็นท่าจะอยู่ไม่ไหวจึงออกจากกายเพื่อไปเมืองใหม่หรือเมืองแก้ว เทวดาท่านห้ามอีกแต่เมื่อจะไปก็ไปได้ พอไปถึงพระท่านห้าม จึงกราบเรียนท่านว่า “ทำงานสาธารณะแต่ตัวเองมีทุกข์หนักอย่างนี้ ขอลาก่อนกำหนด ตัดสินใจแน่ว่าไม่กลับละดูร่างกายมันคล้ายกองคูต (อุจจาระ) นอนอยู่แสนจะรังเกียจ

พระท่านบอกว่า “ไม่เป็นไรประเดี๋ยวก็หาย ฉันให้ซื้อรถเพื่อออกสงเคราะห์ คือสร้างความเข้าใจในธรรมแก่สาธุชนที่มาหาไม่ได้ เมื่อรถเสร็จโรคก็หายเด็ดขาด ขณะนี้มันจะค่อย ๆ ลดตัวลงเรื่อย ๆ ท่านขอให้กลับจึงกลับมาเรียกหาลุงทั้งสอง

ท่านมากางบัญชีออกอ่าน ท่านบอกว่า อีกนานตาย” แต่เราจะประมาทไม่ได้ เพราะโทษปาณาติบาตในชาติก่อน ๆ ทำไว้มาก จึงอยากจะตายเสียให้พ้นทรมาน ลุงท่านเมตตากางบัญชีให้ดู กราฟของร่างกายเป็นเส้นสีแดงคดในที่บางแห่ง มีขอดใหญ่และค่อย ๆ เล็กลงตามลำดับท่านบอกว่า “อาการวันนี้หนักที่สุด” พรุ่งนี้เบาลงและเบาลงตามลำดับ ไม่นานนักก็ปกติ

วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

วันนี้อาการลดลงมากตามที่ท่านลุงบอก เวลาที่เขียนนี้ใกล้ ๒๒.๐๐ น. มีอาการเสียดที่อกเพราะแก๊ส แต่น้อยกว่าวันที่ ๑๘ มาก จริงตามที่ท่านลุงท่านบอกไว้ พระท่านบอกว่า “ยาขนานนี้ใช้ระบายถูกกับโรค ให้ใช้ไปจนกว่าจะหายขาด”

วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

วันนี้เมื่อตอนสาย ๘.๔๒ น. เห็นนิมิตเพราะคิดถึงหนังสือโลกทิพย์ที่ลงประวัติพระสงฆ์ คิดว่าเวลานี้พระที่จบประถมบริบูรณ์ ป.๔ มีเท่าไร
ทันใดนั้นท่านผู้ใหญ่สุดในบ้านก็มา ท่านบอกว่า “ผมจะบอกให้” พอท่านเริ่มบอกพระผู้ใหญ่สุดท่านมา ท่านบอกว่า “ฉันบอกเอง” แล้วท่านก็บอกดังนี้

วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๑
พระที่จบ ป. ๔ มี ๔ องค์
พระที่จบ ป. ๓ กำลังเรียน ป. ๔ มี ๑๗ องค์
พระจบ ป. ๓ ยังไม่เข้าเรียน ป. ๔ มี ๑๓ องค์
ป. ๒ ที่เป็นพระจบ ๑ องค์
ที่เป็นฆราวาสจบ ๓๒ องค์
ป. ๑ พระ ๑๓ องค์ ฆราวาส ๑๓๗ องค์
อีก ๑๐ ปี พระจบ ป. ๔ อีก ๗ องค์ นอกนั้นจบเมื่อใกล้ตาย ฆราวาสจะจบ ป. ๔ เมื่อใกล้ตายจากนี้ไปอีก ๕๐ ปี อีกนับแสนองค์

อาการของโรควันนี้ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๑ ดีขึ้นตามที่พระและสองลุงท่านบอกไว้ ถ่ายง่ายอาการทางเสมหะเบา แต่ความร้อนภายในยังเบาเล็กน้อย

วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

วันนี้อาการทางร่างกาย แก๊สขึ้นแรงมาก เวลาที่แก๊สขึ้นเป็นประจำก็คือ ๑๕.๐๐ น. จึงต้องเลิกรับแขกเวลา ๑๕.๐๐ น. เมื่อถึงเวลาแก๊สขึ้น ไม่รอ ร้ายแรงมาก ศีรษะปวดมาก ยืนโงนเงนเกือบทรงตัวไม่อยู่ เสมหะไหลขึ้นคอ

เมื่อเยี่ยมสุนัขเสร็จ ฉันยาเสร็จ ฉันยาน้ำผึ้งร่วมน้ำมะนาวและดีปลีผสมเกลือ ช่วยละลายเสมหะออกมานอนพักแบบนอนคอยตาย ได้อาศัยยาถ่ายกระษัยเส้นช่วยลดแก๊สลง เวลา ๑๘.๓๐ น. ก็พอลุกจากที่นอนได้ แต่แรงน้อย เขียนบันทึกไม่ไหวต้องมาเขียนวันนี้ คือ ๒๒ ส.ค. ๓๑

เมื่ออาการหนักจิตก็จับพระนิพพาน และกายคตานุสสติ สักกายทิฏฐิ อารมณ์สบาย เมื่อพบพระ พระท่านบอกว่า “อาการวันนี้เป็นอาการที่ร้ายแรงที่สุด แต่ยังไม่ควรทิ้งมาให้กลับไปก่อน” พรุ่งนี้วันที่ ๒๒ ส.ค. ๓๑ อาการต่าง ๆ จะลดลงแต่ยังไม่หาย แล้วท่านบอกว่า

“พี่ทั้งสองมาอยู่ข้างหลัง” พอเหลียวหลังไปเห็นท่านทั้งสองสว่างมาก ท่านทั้งสองยิ้มแล้วบอกว่า
“เรื่องปัญญาช่วยมาเรื่อย ๆ แต่เรื่องกำลัง กำลังจะมอบให้เมื่อออกพรรษาแล้วไม่นาน”

ท่านถามว่า “จะเอาอย่างไหน ?”
ในที่สุดท่านก็บอกว่า “เอาทุกอย่างก็แล้วกัน”

วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

พอรุ่งขึ้นวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๑ ร่างกายเพลียผิดปกติมันเหนื่อยมาก พระท่านบอกว่า น้ำในกายแห้งมาก ท่านให้ดื่มน้ำเกลือแร่ ๒ แก้วในตอนเช้า ตอนบ่ายให้ดื่มอีก ๒ แก้ว ท่านบอกว่าจะบรรเทาความร้อนดื่มมากกว่านี้ไม่ดี ให้ค่อย ๆ ดื่มตามควร

ความจริงก็เป็นไปตามนั้น เวลา ๑๕.๐๐ น. เป็นเวลาแก๊สขึ้น วันนี้เบาบางมาก ปวดศีรษะน้อยงงน้อยตามท่านตรัสทุกประการ แต่ก็มีการละลายเสมหะด้วยยา ๒ ขนานตามที่บอกแล้ว เสมหะละลายคราวเดียวสำรอกออกมาแล้วพัก.

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/3/10 at 14:25 [ QUOTE ]


4

เรื่องพิเศษวันนี้

ตอนก่อนเพล ทำสมาธิตึงไปหน่อย เลยไปไหนไม่ได้ เวลา ๙.๐๐ น. ลดกำลังลง เคลื่อนไหวสบาย เรื่องแปลกทางร่างกาย เพลียประสาทพร่า มองเวลา ๙.๐๐ น. เป็น ๑๑.๐๐ น. ออกไปจะฉันเพล แต่ไม่เห็นใครจัดอาหารไว้ นนทา บอกว่า กำลังจะไปดูอาหารในครัว เห็นนาฬิกา ๙.๐๐ น. เลยกลับมานอนใหม่

เมื่อเอนกายลงพร้อมกับอานาปานุสสติ รวมสมาธิเบา ๆ จิตจะเคลื่อนออกจากกาย เมื่อออกไปได้ ตั้งใจจะไปหาพระ พบลุงพุฒ กับ ท้าวเวสสุวัณ และเทวดาอื่น ๆ มากท่าน ท่านยืนอยู่ข้าง ๆ ร่างกาย ท่านถามว่า “จะไปไหน” บอกท่านว่า “จะไปหาพระ” ท่านบอกว่า “คุยกันก่อน” หยุดคุยกับท่านและเทวดาอื่น ๆ ในที่สุดก็กล่าวคำขอบคุณท่านที่ท่านยับยั้งไว้ และข้อความบางข้อที่เขียนบอกให้รู้ และขอให้ท่านช่วยยับยั้งเรื่องที่ไม่ควรท่านรับช่วย

พระยายมตัวแทน

เมื่อถามท่านว่า ท่านมาอย่างนี้งานของท่านไม่ขาดหรือ ท่านเลยชวนไปสำนักของท่าน ไปยืนดูท่านสอบสวน ท่านสุภาพและเมตตาเด็ก ไม่มีอะไรน่ากลัวเหมือนข่าวลือ

มีภาพเด็กหญิงอายุ ๑๐ ปี ท่านเรียกมาสอบสวนท่านจับหัวลูบไปลูบมา ทำตนเหมือนญาติผู้ใหญ่จนเด็กนั้นสบายใจแล้ว ท่านจึงถามถึงบุญที่ทำ เด็กคนนี้ดีมาก บอกว่าบูชาพระเสมอ เมื่อเธอพูดภาพเมื่อเป็นมนุษย์กำลังบูชาพระก็เกิดขึ้น โตเท่าตัวภาพชัดเจนมากและบอกว่า แม่ให้ใส่บาตรพระแทนในตอนเช้า ภาพนั้นก็เกิดขึ้นในที่สุดท่านลุงก็บอกว่า ไปดาวดึงส์นะลูก มีเทวดานำเธอไปเข้าวิมานที่ดาวดึงส์ ภาพชัดเจนมาก

ต่อมาท่านลุงออกมาจากที่ทำงาน ท่านชี้ให้ดูที่ทำงาน ปรากฏว่า เป็นภาพท่านกำลังสอบสวนอยู่ ถามท่านว่า “เป็นเพราะอะไร” ท่านบอกว่า “ความเป็นทิพย์นึกให้มีรูปแทนก็มีและทำงานได้เหมือนกัน”

เมื่อถามท่านว่า “เหนื่อยมากไหม?” ท่านตอบว่า “ความเป็นทิพย์ไม่มีอะไรเหนื่อย เพราะไม่มีธาตุ ๔ ไม่มีอะไรหนัก จึงไม่เหนื่อย” ท่านพูดต่อไปว่า ผมห่วงคุณ ผมมาร่วมกับ ท้าวเวสสุวัณ เสมอ คุณไม่ต้องกลัวผมขาดงานเพราะผมมีตัวทิพย์แทนตัว” คุยกันพักหนึ่งก็ลาท่านไปหาพระ ตอนนี้ไม่มีอะไรคุยเพราะไหว้ท่านแล้วก็กลับเพราะว่าเพลพอดี

ร่างกายที่นิพพานสวยจริง ๆ เห็นแล้วไม่อยากได้ร่างกายมนุษย์หรือเทวดาอีกเลย ชอบนิพพานแต่พระท่านบอกว่า ทำงานสงเคราะห์ไปก่อน เมื่อเสร็จงานก็มานิพพานได้ จบวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๑

วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

วันนี้มีเรื่องไม่มาก เมื่อเวลาบ่าย ๑๓.๐๐ น. นอนภาวนาอยู่แล้วออกจากตัวไปไหว้พระ แต่พอออกจากตัวเห็นท้าวมหาราช มีท้าวเวสสุวัณเป็นผู้แทนพูด พอพบหน้ากันท่านก็พูดว่า วันนี้มีแขกน้อยแต่ได้เงินเป็นพัน ถามท่านว่า หมายความว่าอย่างไร เพราะการรับแขกไม่เคยคิดถึงเรื่องเงิน รับเพื่อสนองศรัทธาของท่านที่มา ท่านพูดว่า เมื่อวานนี้ได้ ๔๓๓ บาท ประเดี๋ยวจะหาว่าเทวดาไม่ช่วย วันนี้จะช่วยให้ได้เป็นพัน

ทั้งนี้ต้องถือว่า ถ้าได้เงินถึงพันบาท ต้องถือว่าพยากรณ์ถูกนะ ท่านพูดจบท่านก็พากันหัวเราะ ก็เลยสนุกไปกับท่าน นอนหรืออยู่คนเดียวสงัดดี จะรวบรวมกำลังใจเมื่อไรก็ได้ ถ้าอยากแก้เหงาก็คุยกับ เทวดา พรหม หรือ ท่านวิสุทธิเทพ พระที่นิพพาน

หลังจากที่หัวเราะกันสนุก มีเทวดามาร่วมวงอยู่มาก แต่ไม่มีนางฟ้า สงสัยว่าเธอจะรังเกียจพระ ต่อมาท่านลุงทั้งสองมาถึงวงคุยท่านบอกว่า อาการป่วยของคุณดูตามบัญชีแล้ววันนี้ เบากว่าวานนี้มากแล้วท่านก็กางบัญชีให้ดู ท่านบอกว่า อาการขยุกขยิกของร่างกายเหมือนเส้นสีแดงนี้ แต่ไม่ช้าก็หายสนิท

ท่านบอกว่า รถที่ซื้อใหม่เป็นรถเงินรถทองนะ ไปที่ไหนคนที่นั่นมีลาภ เมื่อคุยกันพอสมควรก็ชวนท่านไปหาโยมที่ดาวดึงส์ไปถึงโยมท่านก็ยืนยันอาการของโรคว่าทุเลาขึ้นทุกวัน บางวันจะสะดุดแรงหน่อย เมื่อไปสหัมบดีพรหม ท่านบอกให้มาที่ประชุมใหญ่คือ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ที่นั่นรวมกันหมดต่างก็ยืนยันอาการป่วยเหมือนกัน

หลวงพ่อปาน ท่านห่วงตามไปถึงที่พระ พระท่านก็พยากรณ์เหมือนกัน ท่านบอกว่า ตอนบ่าย คุณกินยายับยั้งหรือไม่ก็ตาม อาการปวดหัวเบามาก เพราะหลายวันมาแล้วต้องกินยาแก้ปวดหัว วันละ ๒-๓ ครั้ง วันนี้ตอนกลางวันไม่ต้องกินเลยมากินครั้งเดียวตอนเข้าที่พัก เวลา ๑๖.๓๐ น.

วันนี้ เมื่อถึงเวลา ๑๓.๓๐ น. ลงรับแขก มีโยมบุญมี เอาเงินมาถวายเจาะจงเป็นส่วนตัว ๑,๐๐๐ บาท โยมเยี่ยม ถวายเจาะจงเป็นส่วนตัว ๕๐๐ บาท นอกนั้นที่เหลือญาติโยมใส่บาตร เป็นอันว่าท่านท้าวมหาราชมีท้าวเวสสุวัณเป็นองค์แทน พยากรณ์ตรงเป๋ง..!



5

เหตุที่ป่วย

อาการป่วยเรื้อรังเนื่องมาจากไข้มาลาเรีย เมื่อขึ้นดอยตุง มิถุนายน ๒๕๒๕ ลงมาก็เป็นไข้ และเจ้ามาลาเรียนี้มันคุดอยู่ภายในจนอาการโรคแปลก และรักษาแบบไหนอาการก็ไม่ยอมลดตัว ยาทุกขนานมีผลตอนแรก ๆ ต่อมาก็สู้เจ้ามาลาเรียที่คุดอยู่ไม่ได้ ต่อมาเมื่อเดือน กรกฎาคม ๒๕๓๑ ท่านโกมารภัจจ์ ท่านชูยาให้ดู เป็นยาฉีดน้ำยาสีชา ท่านบอกว่า อยากตัดรากของโรคให้ใช้ยานี้ฉีด ๒ เดือน ๓ หลอด โรคจะหายขาด

จึงบอก หมอจรูญ, หมอมนตรี, หมอชนะ ทั้งสามหมอก็พากันไปหายา ยาที่มีหลอดสีชา น้ำยาสีชา อาจจะเป็นยาอะไรก็ได้เลยเดากันไม่ถูก ต่อมาเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๓๑ พระท่านบอกว่า เป็นยาควินนินเข้มข้นจะผสมกับอะไรก็ช่าง ให้ผสมควินนินเข้มข้นก็แล้วกัน และให้ใช้ยากระตุ้นหัวใจเล็กน้อย ยาขนานนี้ถูกกับโรค

ยาระบายประจำ ท่านบอกว่า ยาไทยให้ใช้ประจำจนกว่าจะถ่ายเองเป็นปกติ เมื่อได้ยาครบถ้วนแล้ว หมอจรูญ ได้ให้ยาสังหารมาลาเรียเป็นยารับประทานอีก ทำให้ดีขึ้นเป็นลำดับ คิดว่าเจ้าโรคผีมาลาเรียสิงนี้คงจะหายขาดตามที่ท่านพยากรณ์ไว้

เมื่อหายแล้วก็เดินทางแจกธรรมะในสถานที่สมควร เดือนละเที่ยวเลือกที่ไปเฉพาะที่เอาจริง ปฏิบัติจริง ไม่ไปเพื่องานประจำของที่ใด ก่อนหลับเห็นชายนุ่งผ้าแดงมากคน เดินเข้ามาทางประตูตึกเสือ ถามได้ความว่าเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยและเป็นคณะเพชรฆาต

เช้ามืดเวลา ๓.๓๐ น. ไปหาพระชมสถานที่อยู่เห็นสวยงามสว่างไสวมาก ลงมาหา ท่านสหัมบดีพรหม ท่านให้ประชุมใหญ่ในสถานที่เคยประชุมท่านบอกว่าพร้อมเพรียงกันดี

วันนี้อาการทางร่างกายตอนเช้าดีขึ้น ๐๔.๐๐ น. ไปเดินจงกรม ท่านย่า กับ แม่ศรี มาเดินด้วย ท่านบอกว่า อาการของโรคจะบรรเทาลงมาก

ท่านบอกว่า สุนัขที่ตายหรือป่วยเธอมารับทุกขเวทนาแทนพ่อ ถามท่านว่า
เธอตายแล้วจะไปไหน พระท่านมาบอกว่า พวกนี้บารมีเต็มต่อไปเขาไปนิพพานหมด

วันที่ ๒๔ - ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๑ ร่างกายค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าก็มีอาการรวนเรของร่างกายสลับบ้างแต่ไม่รุนแรงนัก

วันที่ ๒๕ สิงหาคม ทางร่างกายไม่ดีเพราะโผเผมาก ไม่มีแรงเดินคล้ายตัวจะปลิว อยากจะล้ม วันที่ ๒๖ ส.ค. จึงให้อี๊ดมาให้น้ำเกลือ ๑,๕๐๐ ซี.ซี. เลยเมาน้ำเกลืออีก ตอนเย็นท้องถ่ายเลยโปร่ง แต่ปวดมวนท้องมาก ถามพระฯ และลุงฯ ว่า ต้องล้างท้องไหม ท่านบอกว่าไม่ต้องล้าง ตอนดึกอาการโปร่งขึ้นเลยนั่งจัดรูปภาพวัดเพื่อพิมพ์หนังสือ

ตอนเช้ามืดใกล้สว่างเห็นหญิงคนหนึ่ง มีเนื้อเต็ม (อ้วน) ผิวขาวเธอนั่งแล้วยิ้ม สงสัยไม่ทราบว่าใคร ต่อมาเห็นหญิงหลายสิบคนนั่งเรียงแถวเรียงหนึ่ง จึงถามลุงว่า หญิงพวกนี้เป็นใคร ลุงบอกว่า เป็นชุดเมียของคุณในอดีต เวลานี้เขาอยู่สวรรค์บ้าง อยู่สูงสุดบ้าง เขาห่วงคุณมาดูแลช่วยรักษาคุณ เขามากันเป็นปกติทุกวันคุณไม่สนใจเขาเอง



6

วันไหว้สาร์ทจีน ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๑

วันนี้ เวลา ๑๐.๓๐ น. ทำกรรมฐานเรื่อยมาแต่ตอนเช้า เพราะว่างงาน เวลาเช้า ๑๐.๓๐ น. คิดจะไปไหว้พระฯ จึงออกจากร่างกายพบ ท่านย่า (แม่) และ ท่านพรรณวดีฯ ท่านมาหาถามท่านถึงอาการโรค ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่มันจะมีอาการทรุดบ้างบางวันแต่ไม่มากนัก คุยกับท่านเล็กน้อย

ท่านลุงพุฒ มาท่านนุ่งโสร่งมีผ้าขาวม้าคาดพุง ท่านบอกว่า เวลาพอมีไปสำนักงานผมก่อนดีกว่า จึงหันไปชวนท่าน ๔ มหาราชและเทวดาบริวารของท่าน ท่านบอกว่า ผมไปด้วยครับ จากนั้นลุงนำหน้าพวกเราเดินตาม ออกเดินทางไม่ได้กี่ก้าวพบยักษ์สูงใหญ่ตนหนึ่งยืนอยู่ข้างทาง เอามือกั้นทางแล้วพูดว่า

ท่านจงอย่าไปเลย วันนี้ตำแหน่งจักรพรรดิจะมาสู่ท่านแล้ว เมื่อใคร่ครวญดูก็ทราบว่ายักษ์ตนนี้เป็นยักษ์ปลอม จึงบอกว่าเอาหัวยักษ์ออกเถอะ ท่านถอดหัวยักษ์ออกกลายเป็น ท่านสหัมบดีพรหม ไป ท่านบอกว่าไปด้วยกัน เมื่อถามถึง ท่านมาลัย (พระยามาราธิราช) ท่านสหัมบดีพรหมบอกว่า อยู่ข้างหลัง จึงเห็นองค์ท่านต่างก็ร่วมกันเดินตามลุงฯไป



7

เข้าเขตพระยายมฯ

เมื่อเข้าเขตสำนักงานของลุง เห็นคนยืนเป็นกลุ่ม ๆ รูปไม่สวยผิวดำหน้าไม่สบาย มีด้วยกันสิบเอ็ดหมู่ แต่ละหมู่มีจำนวนมากนับเป็นพัน ๆ หมู่หนึ่ง ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่รูปร่างใหญ่กว่าพวกนั้นมาก สูงกว่าเยอะยืนถืออาวุธคุมอยู่หมู่ละ ๑ คน

จึงเฉียดเข้าไปดูถามลุงท่านว่า พวกนี้เป็นใคร..?

ท่านบอกว่า พวกนี้รอการสอบสวน ถ้านึกถึงบุญได้ก็ไปสวรรค์ นึกถึงบุญไม่ได้ก็ไปนรก ท่านบอกว่า แต่ละกลุ่มมีบาปไม่เหมือนกัน มีกรรมบถสิบเป็นหลัก

๑. หมวดนี้หนักในทางละเมิดศีลข้อที่หนึ่ง ฆ่าสัตว์
๒. กลุ่มที่ ๒ หนักในทางลักทรัพย์
๓. กลุ่มที่ ๓ หนักในทางเจ้าชู้
๔. กลุ่มที่ ๔ หนักในทางดื่มสุรา เมรัย
๕. กลุ่มที่ ๕ หนักในทางมุสาวาท
๖. กลุ่มที่ ๖ หนักในทางกล่าวคำหยาบ
๗. กลุ่มที่ ๗ หนักในทางนินทา
๘. กลุ่มที่ ๘ หนักในทางขาดสติพูด พูดไร้ประโยชน์
๙. กลุ่มที่ ๙ หนักในทางคิดอยากได้ทรัพย์คนอื่น (อยากโกง)
๑๐. กลุ่มที่ ๑๐ หนักในทางอยากทำร้ายผู้อื่น
๑๑. กลุ่มที่ ๑๑ ไม่เชื่อพระธรรมวินัย ไร้เหตุผล

พวกนี้ มีหวังลงนรก ยากที่จะเป็นอิสระ เพราะพยานมาคอยพร้อมแล้ว..!

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/4/10 at 08:53 [ QUOTE ]



8
พยานบาป

ท่านลุงชวนเดินต่อไป ผ่านอาคารสอบสวนไปทางทิศตะวันออก มองเห็นไก่ เป็ด หมู วัว ควายและสัตว์ต่าง ๆ ที่มนุษย์กินอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ถามไก่ว่า มีเท่าไร..ไก่บอกว่า นับแสน ถามเป็ด..เป็ดก็บอกว่านับแสนเหมือนกัน หมู วัว ควายก็เป็นแสนเหมือนกัน

ถามพวกเธอว่า มารวมกันทำไมมากมายอย่างนี้ พวกเธอบอกว่ามาเป็นพยานให้ พระยายม เมื่อท่านเรียกผู้ฆ่าสัตว์มาสอบสวน เธอจะเข้าไปรายงานก่อนว่าคนนี้ ฆ่า เชือด จับให้เชือด หรือ สั่งให้ฆ่า เป็นต้น

เป็นอันว่าวันนี้ วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๑ เป็นวันสาร์ทจีนของเจ๊กพอดี เลยทำให้คิดว่า สาร์ทจีนทั่วโลกต้องฆ่าสัตว์นับล้าน

พยานบุญ

เมื่อเดินเลยไปอีกก็มีคน สัตว์ อีกจำนวนมากแต่ไม่มากเท่าพยานบาป เมื่อถามเธอเธอบอกว่ามาเป็นพยานบุญที่เขาช่วยเหลือไว้ เมื่อพระยายมถามถึงบุญที่เขาทำ ถ้าเขานึกไม่ออก เธอจะเข้าไปรายงานพระยายมว่าเขาเคยช่วยชีวิตไว้

เมื่อพระยายมรับฟังแล้ว จะให้เขาไปสวรรค์ก่อน ชมมาถึงแค่นี้ก็ใกล้เวลาจะเพลจึงกลับ แต่ก่อนถอนสมาธิมีเสียงบอกว่า วันนี้มีคนถวายเงินหมื่นนะ แล้วก็ถอนสมาธิ เมื่อลงรับแขกก็มีชายหนุ่มถวายเงินหมื่นบาททันที คำพยากรณ์ของท่านไม่เคยพลาด

เวลาเช้ามืดของวันนี้ตื่นนอนสายไปหน่อย เพราะยาที่ฉันเข้าไปถ่ายรุนแรงมาก คิดว่าหมดวาระจึงถามพระท่านว่า งดยาระบายได้หรือยัง ท่าน บอกว่า ยัง เพราะมีอุจจาระจับแข็งในช่วงบนของช่องท้องมาก ต้องระบายต่อไปอีก

ถ้าหยุดระบาย ของเก่ายังเหลือใหม่ก็ก่อตัวขึ้น โรคจะมากอีก ขอให้อดทนไล่ไปให้หมด จะได้หายขาด ตอนสาย ท่านย่า มา แม่ศรี มา ถามท่านว่า หยุดยาระบายได้หรือยัง แม่จิต มาบอกว่า ยัง เพราะส่วนบนของช่องท้องยังค้างมาก ขอให้ใช้ยาระบายต่อไป

๒๗ สิงหาคม ๒๕๓๑

วันนี้ตอนใกล้ค่ำนอนพักเพราะท้องปั่นป่วน วันนี้วันสังฆกรรมแต่ลงสังฆกรรมไม่ได้ ด้วยก่อนเวลาลงสังฆกรรมปวดหัวมาก ต้องกินยาแก้ปวดหัวในขณะที่รับแขก เมื่อนอนพักคนเดียวอารมณ์สบายมากคิดว่า เราจะรักษาอารมณ์สมาธิให้ทรงตัว จึงเริ่มภาวนาคาถาบทสุดท้ายเมื่อศึกษา จับอานาปานุสสติช่วยจิตสงัดอารมณ์สบาย ตั้งใจจะรักษาไว้สักครึ่งชั่วโมง

แต่เวลาผ่านไปประมาณ ๓ นาทีเห็นท่านย่า และบรรดาแม่ทั้งหลายมามาก จึงละ "อานาปา" คุยกับท่านประเดี๋ยวหนึ่งพระท่านก็มา ท่านชวนว่าไปสำนักพระยายมกันเถอะพร้อมใจกันไป พระท่านนำ

เมื่อถึงสำนักพระยายม เห็นคนคอยการสอบสวนมากมาย มองไปข้างหน้าเห็นพยานบาปและพยานบุญรออยู่มากมาย พระท่านบอกให้ยืนด้านหลังพระยายม ชมบริเวณ เป็นบริเวณที่สวยงามมากโปร่งเย็นตาทุกคนในที่นั้นแต่งตัวเรียบร้อยไม่มีใครน่ากลัวเลย สายตาและวาจาเป็นมิตรของผู้ถูกสอบสวน




9
สถานที่สอบสวน

มีโต๊ะ ๓ ตัว พระยายม อยู่กลาง สองข้างด้านหน้า มี ๒ โต๊ะ ด้านซ้ายของพระยายม มีโต๊ะของนายบัญชี (ท่านลุงใหญ่) ท่านนั่งคนเดียว แต่มีเจ้าหน้าที่ ที่นั่งกับพื้นด้านหลังท่านมีหลายคน มีบัญชีเล่มใหญ่ เมื่อถามเอาความจริงว่า

ในเมื่อมีอารมณ์เป็นทิพย์ต้องจดบัญชีหรือ?
ท่านตอบว่า ไม่ต้องจดแต่มีไว้แสดงให้เห็นเป็นสมุดบัญชีสำหรับคนมาชมเท่านั้น เมื่อเวลาแสดงกฎของกรรมต้องแสดงบัญชี มิฉะนั้นจะไม่มีใครเชื่อ นายบัญชีมีหน้าที่รู้กฎของกรรม การเกิด และการไปรับของเทวดาที่ไปรับคนมาสอบสวน (คนตาย)

โต๊ะด้านขวามือของพระยายม มีเจ้าหน้าที่ ๑ คน มีหน้าที่รายงานเรื่องบาป บุญ ของผู้มารับการสอบสวนหรือกำลังสอบสวนยังไม่ถูกล่ามโซ่ เมื่อผู้มารับการสอบสวน ท่านผู้นี้จะรายงานเรื่องบาปที่ทำมา เมื่อท่านรายงานจบพระยายมจะถามผู้ถูกสอบสวนว่า เธอทำตามนั้นจริงหรือ เมื่อผู้ถูกสอบสวนไม่ค้านก็เป็นอันว่าเธอยอมรับตามนั้น

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็รายงานผู้ที่ถูกสอบสวนการทำบุญ เมื่อถูกสอบสวนยอมรับว่าทำบุญตามนั้น พระยายมก็จะบอกให้ไปรับผลของความดีคือสวรรค์ก่อน เรื่องการถูกลงโทษเอาไว้ภายหลัง ที่โต๊ะ พระยายม ด้านหลังท่านมีคน ๔ - ๕ คนเป็นเทวดาที่เรียกว่าเทวทูต มีหน้าที่นำผู้มีบุญไปสวรรค์ โดยพระยายมจะบอกว่าไปสวรรค์ชั้นไหนตามกำลังของบุญ

บุคคลตัวอย่าง

มีสาวอายุ ๑๘ ปี อยู่จังหวัดอุบลฯ ตายเมื่อปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๓๑ นี้เอง เธอมีรูปร่างค่อนข้างโปร่งผิวคลํ้า มีไฝหรือขี้แมลงวันที่โคนขา ทราบจากการสอบถามเธอเมื่อเสร็จจากการสอบสวนแล้ว

เมื่อเธอถูกนำตัวเข้าไปเพื่อสอบสวน ผู้รายงานที่โต๊ะขวาได้รายงานบาปของเธอว่า เธอสุ่มปลา จับกบ จับเขียด ปลาไหล ตีงู เพื่อนำมาเป็นอาหาร เธอยอมรับหมด เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศบาปของเธอ รูปการกระทำเป็นภาพปรากฏเหมือนดูภาพยนตร์ เธอหน้าซีด

ต่อมาเจ้าหน้าที่ประกาศเรื่องทำบุญว่า เธอเคยใส่บาตรแทนแม่และแม่ใช้ให้ใส่บาตร เธอเคยบูชาพระ เธอเคยไปทำบุญที่วัด เธอเคยถวายสังฆทาน เธอยอมรับว่าทำจริง เจ้าหน้าที่กล่าวต่อไปว่าเธอเคยขโมยไก่ชาวบ้าน เธอค้าน บอกว่าไก่เขาจะฆ่าในวันรุ่งขึ้น เธอขโมยไปปล่อยวัดเพื่อให้ไก่พ้นจากการถูกฆ่า

เมื่อเธอพูดจบก็มีไก่ตัวเมียมีขนลายเดินเข้ามาสู่ที่ประชุม ไก่ยืนยันว่าเธอเองคือไก่ที่ถูกขโมย เพราะบ้านนั้นเขาเชือดไก่ขาย วันรุ่งขึ้นเธอจะถูกฆ่าเกิดความไม่สบายใจ เดินมาข้างกรงขังเวลากลางคืน พอดีสาวคนนี้เดินมาไก่จึงยืนดูเธอ

เธอได้จับไก่ขึ้นมาแล้วพาไปปล่อยที่วัดใกล้บ้านที่เธอเคยไปทำบุญ เวลานี้ยังมีชีวิตอยู่ มาถึงตรงนี้เกิดสงสัยว่า เมื่อไก่ยังไม่ตาย ไก่มาสำนักพระยายมได้อย่างไร ?

พระยายมท่านบอกว่า ด้วยบุญของเมตตาบารมีของเธอบันดาลให้เกิดภาพไก่มารายงาน เมื่อท่านพูดถึงอำนาจบุญก็หมดสงสัย เมื่อการสอบสวนเสร็จ พระยายมท่านบอกว่า ความดีของเธอมีมากที่ทำบาปเพราะความยากจนบังคับก็เห็นใจ

ท่านจึงถามว่า หนู...บุญอะไรที่เธอมั่นใจ และจำฝังติดใจ เธอบอกว่า ถวายสังฆทานค่ะ เมื่อ ๓ ปีที่ผ่านมาได้ไป วัดท่าซุง กับแม่ ไปเพื่อรับยันต์เกราะเพชร แม่ได้ถวายสังฆทาน เธอเกาะถังใส่สังฆทานและพระพุทธรูป ประเคนหลวงพ่อองค์นี้ เธอชี้มาทางผู้เขียน ภาพนี้เธอจำติดตาและติดใจตลอดเวลา

และเมื่อเป่ายันต์ ท่านให้ภาวนา พุทโธ เพื่อรักษายันต์ไว้ป้องกันอันตราย เธอก็ภาวนาเสมอ แต่ทว่า เวลาสุ่มปลาวันไหนภาวนาว่า พุทโธ ไปด้วย วันนั้นไม่ได้ปลา เวลาจะสุ่มปลาต้องละพุทโธชั่วคราว

เมื่อพระยายมท่านฟังแล้วท่านบอกว่า เอ็งไปรับผลบุญก่อนไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านบอกว่า วิมานมีคอยเอ็งอยู่แล้ว แล้วท่านก็สั่งเทวทูตว่า จงพาแม่หนูคนนี้ไปวิมานของเธอ มีเทวดาท่านหนึ่งพาเธอไปวิมาน คณะของเราตามเธอไปด้วย

วิมานของเธอเป็นวิมานอันดับสูงสุดของวิมานทองคำ ทองสุกอร่ามมากเครื่องประดับวิมานสวยมาก เครื่องประดับกายก็สวยแต่ผ้าที่นุ่งสีเขียว ถามเธอว่าเพราะอะไรจึงมีผ้านุ่งสีเขียว เธอบอกว่าเมื่อเป็นมนุษย์ชอบสีเขียว (น้ำเงิน)




10
นิมิตก่อนตาย

ถามเธอว่า ความดีที่เป็นบุญเธอมีมากขนาดนี้น่าจะไปสวรรค์เลย ไม่น่าจะต้องเข้าข่ายสอบสวน เธอตอบว่า เธอป่วยเป็นโรคปวดท้อง มันปวดเสียดมาก จะนึกถึงบุญและภาวนาไม่ไหว แม่บอกให้นึกถึงพระก็นึกไม่ไหว มันปวดเสียดมากจริง ๆ

ขณะที่ป่วยหนักใกล้ตายเห็นภาพงูลายสอที่เคยตีเอามาให้พ่อเลื้อยมา หลังจากนั้นอารมณ์ก็มืดนึกถึงบุญไม่ออก อารมณ์มืดไปครู่หนึ่ง มารู้สึกตัวเมื่อเห็นคน ๔ คนนุ่งกางเกงแดงไปรับ เขาบอกว่า ไปเถอะถึงเวลาแล้วก็เดินมากับเขา เขาพาไปรวมกับพวกรอการสอบสวน พอดีเมื่อคณะไปถึงก็ถึงวาระที่เธอต้องเข้ารับการสอบสวนพอดี

เวลานี้เธอเป็นสุขแล้วเป็นห่วงพ่อกับแม่ เธอบอกว่า เธอกำลังเตรียมตัวไปหาพ่อกับแม่ ถามเธอถึงฐานะเมื่อเป็นมนุษย์ เธอบอกว่าฐานะยากจน ที่ต้องทำบาปเพราะความจำเป็นไม่ทำก็ไม่มีกับข้าว ใจจริงแล้วไม่อยากทำบาป ชอบทำบุญมากกว่า รวมความว่า เธอมีสุขแล้ว เหลือแต่พวกเราเถอะจะไปทางไหนกันแน่

หัวค่ำ วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๓๑ ชมข่าวโทรทัศน์ทราบว่า สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์ ก็เลยคิดถึงตัวเองว่า พระสังฆราช ท่านเป็นผู้ใหญ่ บุญใหญ่ บุญใหญ่บารมีใหญ่ขนาดนี้ท่านยังสิ้นพระชนม์ เราก็กำลังรอความตายอยู่จึงเห็นว่า ร่างกายทรัพย์สมบัติทั้งหลายไม่มีความหมาย ความตายเป็นสมบัติที่เราต้องการ

หมายความว่าเรากำลังเดินเข้าไปหาความตายทุกวินาที วันเวลาล่วงไปเท่าไรเราก็ใกล้ความตายเข้าไปเท่านั้น คิดว่าสมเด็จฯท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างนั้น ท่านคงไปอย่างน้อยก็พรหมชั้นที่ ๑๒ กระมัง ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่รู้ พูดตามความรู้สึกในจริยาวัตรของท่าน หันมามองดูตัวเองชักจะหนักใจเพราะตัวเองไม่ดีเหมือนท่าน ตายแล้วเราจะไปทางไหน หันมาหันไปไม่รู้จะทำอะไรดีเลยตัดสินใจซ้อมตายดีกว่า

เริ่มจับอานาปา เมื่อเวลา ๒๐.๐๐ น. นอนทำ ค่อย ๆ สังเกตลมหายใจเข้าออกเห็นว่าค่อย ๆ เบาลง ๆ เบาลง ๆ ตามลำดับ ในที่สุดลมก็ละเอียดมาก ใจสงบ แล้วตัวอีกตัวหนึ่งมันก็ออกไปจากตัวที่นอนตัวใหม่นี้สวยมาก เบา ไม่มีนํ้าหนัก สว่างและแพรวพราวเหมือนแก้ว ก็ทราบว่าตัวนี้คือเราเอง ตัวที่นอนคือเรือนร่างที่อาศัยมันแสนจะสกปรกโสโครกน่าเกลียด

เมื่อมองแล้วไม่คิดอยากจะอยู่กับมันต่อไป มันมีแต่ทุกข์ พอคิดเท่านี้ท่านแม่ก็มาพร้อมกับคณะของลูก ท่านมาเตือนว่ายังไม่ถึงเวลาไปช่วยงานของพระท่านก่อน อาการป่วยจะค่อย ๆ คลายหายไปตามกำหนดเวลาที่พระท่านบอก เวลานั้นพอดีท่านลุงท่านมาจากสำนักของท่าน ท่านชวนไปชมงานของท่าน

พอดีพระท่านมา ท่านผกาพรหม และ ท่านชมภู ก็มาเลยชวนกันไปสำนักของท่านลุง ท่านลุงเตือนว่า คุณอย่าเพ่อไปเพราะงานที่พระท่านจะมอบหมายให้ทำมีมาก ทำเพื่อความเข้าใจของพุทธศาสนิกชน เมื่อไปถึงสำนักของท่านลุงแล้ว เจ้าหน้าที่จัดการต้อนรับดีมาก ชมงานของท่านลุงตอนแรก ๆ ไม่ชอบใจเลยเพราะแถวยาวเหยียดนั้นไปนรกหมด



บุคคลตัวอย่าง

ต่อมา เมื่อมีชายคนหนึ่งร่างกายใหญ่โต ผิวคลํ้า อายุประมาณ ๗๐ ปีเดินเข้าที่สอบสวน ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ผู้ประกาศความประพฤติว่า นายกิ่ง (ชื่อสมมุติ) เธอเป็นทายกวัดเป็นคนเคร่งครัดในระเบียบ ผู้พบเห็นศรัทธาเธอมาก แต่เบื้องหลังแกบังคับพระให้อยู่ในอำนาจ (คนนี้ตายเมื่อ วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๑) ชอบเอาของสงฆ์เข้าบ้านและมีอะไรอีกมาก

เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศจบ ท่านลุงท่านก็ถามนายกิ่งว่า “กิ่ง เธอทำอย่างนั้นหรือเปล่า” นายกิ่งตอบว่า ตามที่เจ้าหน้าที่พูดนั้นเป็นความจริงทุกอย่าง ท่านลุงจึงบอกว่า กิ่งเธอทำกรรมหนักมากของสงฆ์มีอันตรายใหญ่เธอเอาของสงฆ์ไปใช้มีเวลาถึง ๓๑ ปี โทษนี้ต้องลงอเวจีมหานรกและต้องลงนรกอีกหลายขุม กิ่งฟังแล้วก้มหน้าน้ำตาไหล

เมื่อนายกิ่งนิ่งเจ้าหน้าที่ก็ประกาศต่อไปว่า ส่วนที่เป็นกุศลนายกิ่งรักษาศีลห้าบริสุทธิ์ทุกสิกขาบทมีเรื่องเดียวที่เสียคือบังคับพระให้อยู่ในอำนาจ แล้วนำของสงฆ์ไป ทำไปเป็นครั้งคราว ประกาศที่สองนายกิ่งชอบบูชาพระและสวดมนต์ ตั้งใจบูชาและสวดด้วยความเคารพเป็นปกติ บทที่ชอบสวดที่สุดคือธรรมจักร เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศจบท่านลุงก็ถามนายกิ่งว่า ที่เขาพูดนั้นจริงหรือ นายกิ่งยอมรับว่าจริง

เจ้าหน้าที่ประกาศต่อไปว่า การให้ทานเป็นปกตินายกิ่งชอบใส่บาตรเป็นประจำทุกวัน และเคยถวายสังฆทานมีผ้าไตรของใช้ อาหารแห้ง พระพุทธรูป ถวาย ๑ ครั้งในชีวิต ท่านลุงถามว่า เธอทำอย่างนั้นจริงหรือเปล่า นายกิ่งยอมรับว่าทำจริง ท่านลุงถามว่า บุญที่ทำทุกอย่างเธอมั่นใจบุญอะไรมากที่สุด นายกิ่งตอบว่า มั่นใจบูชาพระและสวดมนต์ที่ติดตาติดใจมากที่สุดคือถวายสังฆทาน ท่านลุงพูดว่า การทำบุญอย่างนี้น่าจะไปสวรรค์โดยตรง ไม่น่าจะต้องถูกจับมาสอบสวน

ท่านว่าก่อนที่เขาจะนำมาเธอไม่ได้นึกถึงบุญเลยหรือ นายกิ่งตอบว่า เมื่อป่วยใหม่ ๆ นึกถึงสวดมนต์และถวายสังฆทาน แต่เมื่อใกล้จะตาย (ตายด้วยโรคลมขึ้นแน่นจุกหน้าอก) มีเสียงเหมือนใครเอาของหนักมาขว้างที่ฝาบ้านดังปังถนัด จึงตกใจลืมบุญทั้งหมด ใจว้าวุ่นกลุ้มพร้อมทั้งอาการจุกเสียดเกิดขึ้นอย่างหนัก อารมณ์มืดชั่วครู่ ก็เห็น ๔ ท่านมาบอกว่า ฉันมารับขอให้ตามมา แล้วก็ตามท่านมา มายืนคอยอยู่นาน จนกว่าจะถึงเวลาสอบสวน

ท่านลุงฟังแล้วท่านก็บอกว่า เออดีแล้วยังนึกถึงบุญกุศลได้ เอ็งไปรับผลความดีก่อน เรื่องอเวจีเอาไว้ภายหลัง ไปเป็นเทวดาแล้วพยายามสร้างความดี อย่าให้พลัดลงมาได้นะ อานิสงส์สวดมนต์ทำให้เอ็งไปเป็นเทวดาชั้นยามา อานิสงส์สังฆทานเป็นเหตุให้มีวิมานและเครื่องประดับทิพย์

การถวายพระพุทธรูปร่วมสังฆทานเป็นเหตุให้เป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก เอ็งไปได้แล้วฉันช่วยได้แค่นี้นะ ถ้าพลัดลงมาอีกเอ็งต้องไปอเวจีแน่ แล้วท่านลุงก็ให้เทวดานำนายกิ่งออกเดินทางไปชั้นยามา ร่างกายเธอสวยมาก วิมานก็สวย พวกเราก็ลากลับแล้วก็สะดุ้งตื่นพอดีจบเรื่องนายกิ่ง.

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/4/10 at 08:14 [ QUOTE ]


11

บันทึก วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑

ขอนำเรื่องของวันที่ ๒๘ และ ๒๙ มารวมกัน เพราะทั้งสองวันนี้ไม่ใคร่มีเรื่องอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มาเล่าสู่กันฟังเพราะว่าเมื่อวันที่ ๒๙ หมอจำนูน ร่วมกับคณะเอาครอบฟันมาใส่ให้ฟันมันเกิดภายหลังเรา แต่เป็นอนัตตาก่อนร่างกาย เมื่อยังไม่ได้ใส่ครอบฟันกินอะไรไม่ได้เลย พอกินปั๊บ..มันยัดช่องว่างปุ๊บ..ปวดแป๊บทันที ทรมานด้วยอาการเป็นทุกข์

เพราะความเป็นอนัตตาของฟันมาสองอาทิตย์ ต้องกินขนมจีนแทนอาหารอื่นเพราะขนมจีนเคี้ยวง่าย เมื่อหมอจำนูนมาใส่ครอบฟันให้เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ เริ่มกินอาหารได้ เลยฉลองครอบฟันเสียอิ่มแปล้ไปเลย เอาละฟุ้งเรื่องฟันมาพอสมควร พอที ขืนฟุ้งมากผู้อ่านจะรำคาญ วันนี้มาคุยกันเรื่องอะไรดี จะเล่านิทานก็นึกไม่ออก เล่าเรื่องประสบการณ์ดีกว่า..

เป็นอันว่าวันที่ ๒๙ สิงหาคมว่างเล็กน้อยพอควร เวลา ๑๘.๐๐ น. เศษอยู่คนเดียว กำลังนั่งรำพึงถึงร่างกายว่า สมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิตรท่านมรณภาพแล้ว ประวัติของท่านดีมาก เป็นพระที่ควรแก่การบูชา เลยนึกถึงตัวเองก็รู้สึกว่าใกล้ตายเต็มที ดูนั่นดูนี่มันก็มีแต่เสื่อมมันจะพังเมื่อไรก็ให้มันพัง นั่งนึกเพลินไป

ขณะที่เพลินอยู่มีชายสองคนอายุมากแล้ว ท่านบอกว่า "ท่านเมืองยม" มายืนใกล้ ๆ ท่านชวนไปดูงานที่บ้านท่าน บอกท่านว่า เวลานี้จะค่ำแล้วและใคร ๆ ก็ไม่ทราบว่าไปไหน ถ้าเขาขึ้นมาไม่พบจะเกิดโกลาหลกันใหญ่ท่านทั้งสองบอกว่า เรื่องใกล้ค่ำไม่เป็นไร ผมเอารถมารับ ถ้าเกรงว่าใครไม่รู้ว่าไปไหน ผมจะให้คนของผมคอยอยู่บอกความจริง

เมื่อเห็นว่าท่านพูดดี ไม่มีอาวุธก็เลยไปกับท่านทั้งสอง ท่านพาไปขึ้นรถที่หน้าที่พัก รถของท่านจอดที่ตรงนั้น รถใหญ่มากนั่งได้ นอนได้ เดินเล่นได้ ขณะเดินถ้าเดินยังไม่หยุดก็ยังไม่ถึงท้ายรถ รถของท่านดูเหมือนยืดได้ ท่านขับรถพาวิ่งมาทางตะวันออกเฉียงใต้ ประเดี๋ยวเดียวก็ถึงสำนักงานของท่าน

พอมองไปเห็นสำนักงานก็ทราบว่า ที่นี่ สำนักงานของพระยายม คิดในใจว่าเราเข้าเกณฑ์สอบสวนแล้วหรือ ดีใจว่าคราวนี้พ้นทุกข์จากร่างกายที่แสนทุกข์เสียที เมื่อรถจอดทั้งสองท่านก็บอกให้ลงจากรถเดินตามท่านไป

เมื่อเข้าไปในสถานที่ก็พบญาติที่รู้จักมาคอยอยู่ก่อนมากมาย ชั้นแดนดินมีหัวหน้าชั้น ๔ ท่าน คือท่านท้าวธตรฐ ท่านท้าววิรุฬหก ท่านท้าววิรูปักข์ ท่านเวสสุวัณ พร้อมด้วย "อินทกะ" มากมาย ท่านทั้งหมดยิ้มและโบกมือให้ นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายชั้นและมากท่านมารออยู่ที่นี่

ท่านชมภู และ ท่านผกาพรหม เข้ามาหา ท่านบอกว่ายังไม่ตายนะ พี่ท่านไปรับมาดูการสอบสวน ท่านต้องการให้พบคนที่ทำบาปและบุญคล้ายคลึงกัน สองท่านที่ไปรับคือท่านลุง และท่านพี่

เมื่อท่านผกาพรหมพูดจบ ท่านลุงและท่านพี่ก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่เปลี่ยนรูปใหม่ จากนุ่งโสร่ง เมื่อไปรับเปลี่ยนเป็นนุ่งผ้าพื้น จากรูปอ้วนดำใหญ่กลายเป็นคนสวย ท่านเดินเข้ามาหาแล้วบอกให้นั่งบนแท่นสำหรับนั่ง แล้วท่านก็ถามว่า เมื่อผมไปรับแปลกใจไหม

ได้บอกท่านว่า ไม่แปลกใจและไม่ตกใจ เพราะห้องพักอยู่ชั้น ๓ กว่าจะขึ้นไปพบได้ต้องผ่านประตู ๓ ประตู ทุกประตูปิดและใส่กลอน มนุษย์ธรรมดาเข้าไปไม่ได้ ผีภายนอกก็เข้าไม่ได้เว้นไว้แต่ผีผู้มีพระคุณเท่านั้นจึงเข้าได้

ท่านถามว่า อย่างผมนี่เรียกว่าผีหรือ ได้บอกท่านว่า อย่างนี้เขาเรียกว่า "ผีหน้านรก" คืออยู่หน้าเขตของนรกไม่มีภัยแก่ใครทั้งหมด และอุตส่าห์สร้างความมุสาเอารถเข้าไปจอดในรั้วแคบ ๆ ซึ่งปกติแล้วรถจอดไม่ได้ และเข้าไม่ได้เพราะมีกำแพงกั้น ทั้งสองท่านฟังแล้วท่านก็ยิ้ม

ท่านบอกว่า ดีแล้วที่จำได้ ที่ไปพามาก็เพราะอยากให้เห็นคนมาที่นี่แล้วไปสวรรค์ จะได้ทราบว่า พระยายมไม่น่ากลัว ท่านบอกว่าให้คอยดู จึงนั่งดูการสอบสวน งานสอบสวนไม่ได้หยุด พระยายม ๑ ไม่อยู่ พระยายม ๒ ก็สอบสวนแทน (รูปนิมิตแทนตัว)

เห็นผู้ถูกสอบสวนเสร็จแล้วถูกนายนิริยบาลนำไปนรกมากมายผ่านไปประมาณ ๒๐ คนเศษ ได้ยินเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกหญิงคนหนึ่งไม่ขอออกชื่อเพราะชื่ออาจจะเหมือนใครเข้า จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น หญิงคนนี้ตายเมื่อตอนกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๑ อยู่ทางตะวันออกของประเทศไทย อายุ ๕๓ ปี

เมื่อเธอเข้ามาที่เจ้าหน้าที่ เธอมีเครื่องแต่งกายเหมือนที่บวชในเมืองไทย เมื่อเธอมายืนแล้วเจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่า เมื่อเธออายุ ๑๒ ปี เธอฆ่าไก่เพื่อแกงขายเอาเงินมาใช้ใช่ไหม เธอตอบว่าใช่ เจ้าหน้าที่ไม่พูดเรื่องมากมายเพราะคนนี้จนบาป เสียงเจ้าหน้าที่บอกว่าบาป นอกจากนี้ของเธอไม่มี การเดิน หรือ นั่ง นอน ทับสัตว์ตายเพราะไม่รู้ไม่ถือว่าเป็นบาป

แล้วเจ้าหน้าที่ก็พูดถึงบุญ เธอเคยเอาเงินที่รับจ้างได้ผสมกับเงินนายจ้างที่ใช้เธอไปซื้อของเพื่อทำบุญมีไหม เธอตอบว่ามีเป็นปกติ ก่อนนอนเธอบูชาพระ สวดมนต์ เป็นปกติใช่ไหม เธอตอบว่าใช่เจ้าค่ะ

เจ้าหน้าที่ถามว่า เธอไม่ประสงค์แต่งงาน เพราะเห็นว่าเป็นทุกข์ใช่ไหม เธอตอบว่า ใช่เจ้าค่ะ
เจ้าหน้าที่ถามว่า เธอถวายสังฆทานกี่ครั้งในชีวิต เธอตอบว่า ๑๗ ครั้งเจ้าค่ะ

เจ้าหน้าที่ถามว่า เคยภาวนาใช่ไหม เธอตอบว่า ตั้งแต่อายุ ๑๙ ปีเป็นต้นมา ภาวนาก่อนหลับเป็นปกติเจ้าค่ะ เสียงเจ้าหน้าที่บอกว่าหมดภาระของฉันต่อนี้ไปเป็นหน้าที่ของท่านพระยายม

เธอเข้ามาใกล้โต๊ะหรือแท่นของพระยายม นั่งลงกราบแล้วก็ยืนขึ้นตามระเบียบ เธอเป็นคนเรียบร้อยสงบเสงี่ยมน่ารักมาก พระยายมถามเธอว่า เธอฆ่าไก่เพื่อแกงขายใช่ไหม เธอตอบว่า ใช่เจ้าค่ะ

ท่านบอกว่า บาปของเธอแม้มีครั้งเดียว ก็หนักมาก พยานเขามาคอยเธอนานแล้ว ท่านพูดจบไก่ก็โผล่ออกมาไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนมาก่อน ไก่รายงานว่าจับเธอแล้วหลับตาเอาหัวไก่ตีกับเสาจนไก่ตาย ใจร้ายมาก

พระยายมท่านถามว่า จริงไหม เธอตอบว่าจริง ที่ทำอย่างนั้นก็เพราะความจนไม่มีเงินพ่อแม่ตาย มีคนจะซื้อแกงไก่ เขาชี้มาว่าถ้าแกงไก่ตัวนี้เขาให้เงินมาก เพราะความจนไม่มีเงินใช้จึงทำ หลังจากนั้นแล้วก็พยายามทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ไก่ เพื่อให้อโหสิกรรมทำอย่างนี้ทุกวันที่บูชาพระ และนั่งทางธรรม เวลาที่ผ่านมา ๓๐ ปีเศษ ไก่ได้รับหรือเปล่าจ๊ะ ไก่ตอบว่าได้รับและอโหสิกรรมให้แล้ว

พระยายมท่านถามว่า เมื่ออโหสิกรรมให้แล้ว เธอบอกว่าเขาทำร้ายเธอทำไม ไก่ตอบว่าประสงค์จะประกาศการอโหสิกรรมให้เธอทราบ เมื่อก่อนหน้าจะตายขณะที่เธอภาวนาอยู่ จึงแกล้งส่งเสียงดังเหมือนไก่ร้องให้เธอได้ยิน

เมื่อเธอได้ยินเสียงไก่เธอก็ตกใจ จังหวะภาวนาก็หยุดเวลานั้นเธอก็จากร่าง ซึ่งถ้าปล่อยให้ภาวนาตามปกติเธอจะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที โอกาสที่จะประกาศอโหสิกรรมก็จะไม่มี ไก่พูดแล้วก็หายไป เมื่อไก่ไปแล้ว ท่านก็บอกว่า วันนี้ผมให้คุณชมเรื่องเดียวนะครับ เพราะเมืองมนุษย์ใกล้สว่างแล้วเชิญกลับเอง รถสำหรับไปส่งไม่มี มีแต่รถที่ไปรับ

พอท่านพระยายมพูดจบ เสียงฮาดังสนั่น ต่างคนต่างกลับขณะที่เดินกลับรู้สึกเหนื่อย ได้ยินเสียงครืนครันที่ประตู ลืมตาขึ้นมาเห็นเด็กมาขนกระเป๋าเอกสารเพื่อไปทำงาน เธอถามว่า วันนี้คุณตาทำไมนอนตื่นสาย ก็บอกเธอว่า ตานั่งตรงนี้ตั้งแต่ ๑๘.๐๐ น. ยังไม่ได้นอนเลยเวลาเท่าไรแล้ว เด็กบอกว่า ๘ โมง แล้วค่ะ ตกใจคิดว่าวันนี้ฝันเรื่องราวใหญ่โตมาก โบราณท่านว่า กินมากขี้มาก พูดมากโกหกมาก นอนมากฝันมาก

ข้อท้ายคงไม่ถูกเพราะฉันไม่ได้นอนเลย นั่งตรงนี้ตั้งแต่ ๑๘.๐๐ น. มารู้สึกตัวตื่น ๘.๐๐ น.ของวันใหม่ ไม่ได้นอนสักนิดฝันใหญ่ใช้ไม่ได้ไม่ตรงตำราโบราณวันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ ขณะที่บันทึกนี้จบตอน ๒๓.๐๐ น. ขอลานอนนะเจ้าข้า...!



บันทึก วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

วันนี้ วันที่ ๓๐ ส.ค. ๓๑ เรื่องของวันที่ ๓๐ นี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ร่างกายก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ วันนี้ไม่มีอาเจียนตอน ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. ปลอดไปหนึ่งวันละนับตั้งแต่อาเจียนมาเป็นปี เรื่องอาเจียนเวลาเย็นหรือตอนค่ำนี้ไม่มีใครเห็น มี พระอนันต์ และ พรนุช ซึ่งมีหน้าที่จัดยาแก้โรคให้กินตามหมอสั่ง พระอนันต์ มีหน้าที่คุมกลัวล้ม และถือหม้อน้ำล้างท้อง นอกจากนี้คิดว่าคนที่เข้าใจตามความเป็นจริงนั้นหายาก เป็นอันว่าเรื่องร่างกายขอผ่านไป

วันนี้อยากจะคุยเรื่อง พระปัจเจกพุทธเจ้า สักหน่อย เพราะเมื่อตอนสายของวันที่ ๒๘ ส.ค. ๓๑ เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. นอนภาวนาตามปกติ หมายความว่า เวลาไหนไม่ภาวนาเวลานั้นร่างกายผิดปกติมาก ภาวนาไปโดยไม่คิดคำนึกถึงเรื่องอะไร ต้องการให้จิตเป็นสุขเพราะมีอารมณ์ว่างจากนิวรณ์

ว่าเพลงภาวนาไปได้สักนาทีเศษ ๆ จิตก็สงบอารมณ์เรียบร้อยมีความสุข เมื่อจิตสงบนิวรณ์ห่างไปอารมณ์ใจก็เริ่มเป็นทิพย์ ก็เกิดภาพพระขึ้นสององค์สว่างไสวมากสวยมาก เห็นท่านยิ้มน้อย ๆ ที่เรียกว่าแย้ม จะใช้คำว่าแย้มก็กลัวว่าเด็กไม่เข้าใจ เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออ่านเล่นไม่ใช่ตำรา

เมื่อท่านยิ้มก็กราบท่านทั้งสององค์ องค์ที่สองท่านพูดว่าทำรูปพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้ให้สาธุชนบูชาซิ เขาบูชาโดยไม่เห็นรูปมานานแล้ว ถ้ามีรูปด้วยจิตเขาจะรวยทรัพย์ก็ได้รวยบุญก็ได้ หรือรวยทั้งทรัพย์ทั้งบุญก็ได้ สุดแล้วแต่คนบูชา พอท่านบอกว่ารวยก็ชื่นใจเพราะคนทุกคนอยากรวย

จึงถามท่านว่า จะให้ทำรูปร่างอย่างไร ท่านบอกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รูปที่นิพพานแล้วเหมือนกัน แต่เวลาปั้นให้ทำเกศต่างกันนิดหน่อยตามนี้ แล้วท่านก็ทำให้ดูแบบที่ท่านบอกให้เรียกไม่ถูกอยากเห็นก็เดือนมีนาคม ๒๕๓๒ วันที่ ๑๑-๑๒ มี.ค. ไปดูที่วัดท่าซุงก็แล้วกันคงปั้นเสร็จ

ท่านสั่งว่า ก่อนช่างลงมือปั้นให้ชุมนุมเทวดาก่อนตามแบบของหลวงพ่อปาน แล้วท่านบอกว่า ฉันจะช่วยบรรจุกำลังให้เต็มอัตรา ส่วนพระองค์ที่หนึ่งท่านก็บอกว่าพระพุทธชินราช ในวิหารฉันจะช่วยบรรจุกำลังให้เต็มอัตราเหมือนกัน นิมิตวันนี้ดีมากเป็นเรื่องเป็นราวดี นิมิตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองไม่เหมือนฤทธิ์ ฤทธิ์สร้างขึ้นได้แต่นิมิตสร้างไม่ได้ เพราะไม่ใช่ฤทธิ์

ต่อมาวันที่ ๒๙ ส.ค. จึงไปที่วิหารบอกให้ช่างปั้นทำตามนิมิตและกำหนดสถานที่ให้ คิดว่าจะปั้นหน้าตัก ๔ ศอกหลังคาจะต่ำไปหรือไม่ก็ไม่ทราบ ถ้าหลังคาต่ำไป ๔ ศอกไม่ได้ก็เอา ๓ แค่สามศอก ตามแต่สถานที่จะอำนวย พอมาถึงวันที่ ๓๐ ส.ค.ตอนใกล้ค่ำนิมิตเก่าเกิดอีก

คราวนี้ท่านบอกให้ปั้นขนาดหน้าตัก ๓๐ นิ้ว สององค์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่งองค์และพระปัจเจกพุทธเจ้าหนึ่งองค์ ทำไว้เพื่อให้คนที่ประสงค์จะปิดทอง จะได้ปิดได้ตามความพอใจ และท่านบอกว่า ทองที่เขาทำบุญมาคราวก่อนยังมี สร้อยทองคำที่เขาทำบุญมาหลังงานหล่อรูปยังมีอยู่ให้รวบรวมหล่อรูปพระปัจเจกพุทธเจ้าให้หมดเจ้าของทรัพย์สินจะได้มีลาภ ถามท่านว่า จะจัดงานเมื่อไร

ท่านบอกว่า วันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๔ ตรงกับวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๓ เป็นวันเริ่มงาน วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๓ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ (เป็นวันเสาร์และอาทิตย์) เป็นวันเททอง ใครมีปฏิทินร้อยปีที่ตรง ๆ โปรดตรวจสอบด้วย ขึ้นแรม วันที่ ในปี พ.ศ.๒๕๓๓ ตรงตามนี้ไหม

คนเขียนไม่มีปฏิทินร้อยปีเลยเขียนตามท่านบอกถ้าผิดก็แก้กันใหม่ท่านกำหนดให้หล่อรูปพระปัจเจกพุทธเจ้าตามนี้ ถ้าไม่ผิดจากปฏิทินขอเชิญมาร่วมงานด้วยกันทุกคนนะงานปั้นพระและหล่อพระไม่มีตัวแทนรับเงิน ถ้าทำบุญขอให้ทำโดยตรงก็แล้วกัน พระปัจเจกพุทธเจ้าที่หล่อ เมื่อหล่อแล้วจะเอาไว้ที่ มณฑปท่านปู่ท่านย่า หน้าวิหารร้อยเมตร
วันนี้งงเพราะดึกมาก ขอลานอนก่อนนะ...



บันทึก วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๑

วันที่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๑ คุยกันด้วยเรื่องที่พบวันนี้ วันนี้เป็นวันจ่ายสิ้นเดือน เดือนหนึ่งจ่ายเงินสองครั้ง คือกลางเดือนและสิ้นเดือน การจ่ายไม่มีเงินสด โอนจากธนาคารสะดวกดีมากไม่มีอะไรเป็นกังวล แต่ก็ต้องตื่นเต้นนิดหนึ่งที่ร้านค้าร้านหนึ่งโทรศัพท์มาถามว่าวันนี้วัดไม่โอนเงินให้หรือปกติร้านนี้โอนสิ้นเดือน แต่วันนี้ไม่โอนให้เพราะเงินในธนาคารหมด

เมื่อเขาถามมาก็บอกว่าเงินหมดรอให้มีเสียก่อนเงินของเขาห้าหมื่นเศษ เวลาผ่านไปประมาณ ๑๐ นาทีเศษ ๆ มีโยมหญิงอายุมากแล้วนุ่งผ้าโจงกระเบน มาขอพบก่อนเวลารับแขก ท่านมาคนเดียวท่าทางรีบร้อนมาก เป็นคนค่อนข้างผอมผิวเนื้อดำแดงอายุประมาณ ๖๐ ปีเศษ เมื่อเห็นว่าเป็นคนแก่มาคนเดียวมีท่าทางรีบร้อนก็อนุญาตให้พบได้

เมื่อเข้ามาพบได้ถามท่านว่า คุณโยมมาจากไหนท่านตอบยาวมากฟังไม่รู้เรื่องครั้นถามว่า คุณโยมมีธุระอะไรโยมเหลียวหน้าเหลียวหลังท่าทางระแวง จึงบอกว่าคุณโยมไม่ต้องกังวลในห้องนี้คนอื่นเข้ามาไม่ได้ พูดได้ตามสบาย คุณโยมถามว่า วันนี้จ่ายเงินค่าวัตถุก่อสร้างและเรื่องอาหารของใช้ในวัดขาดเท่าไรจ๊ะ ได้บอกโยมว่า ขาดไปเกือบหมื่น

โยมนิ่งเฉยมองหน้าเล็กน้อย แล้วโยมก็ขยายชายพกหยิบเงินออกมา เป็นธนบัตรใบละ ๕๐๐ ครบ ๖๐,๐๐๐ บาท เมื่อถามว่า คุณโยมทำบุญอะไร คุณโยมบอกว่า ทำบุญที่ขาดชำระหนี้เขาไม่หมดโปรดชำระให้ครบเถอะจ๊ะ โยมคุยอีก ๒-๓ คำก็ลากลับ

จึงเปิดประตูให้ออกหันมาบอกพระว่าโยมจะกลับบ้านให้ไปบอก กำนันสมนึก ให้เอารถไปส่งโยมที่ท่ารถ เมื่อสั่งเสร็จหันมาจะบอกโยมให้รอรถ ปรากฏว่าโยมหายไปให้คนค้นหาก็ไม่พบจึงโทรศัพท์ให้ธนาคารมารับเงิน แล้วโอนให้ร้านค้าครบจำนวนหนี้เหลือนิดหน่อย

เรื่องอย่างนี้เป็นของไม่แปลกเพราะมีเป็นปกติ สิ้นเดือนนี้รายจ่ายเรื่องของเด็กนักเรียน ค่าอาหารและอย่างอื่นรวม ๕ หมื่นเศษ ครูอีก ๔ หมื่นเศษ วัด ๒ ล้านเศษ มันก็น่าจะไม่พอจ่าย สำหรับเรื่องของวัดจ่ายตอนกลางเดือนไปแล้ว ๗ แสนเศษ คงมีคนคิดว่ารวยนะ ขอให้เป็นไปตามที่ท่านคิดเถอะ

และขอให้คนคิดรวยด้วยแต่ละเดือนก่อนถึงวันกลางเดือนและสิ้นเดือนหายใจไม่ใคร่ปกติ เพราะเกรงเงินจะไม่พอจ่าย เรื่องกินเองไม่หนักใจมีน้ำปลา น้ำพริก เท่านั้นพอใจแล้ว แต่ก็มีญาติโยม เอาอาหารมาเลี้ยงพระเสมอ ทุ่นค่าใช้จ่ายไปเยอะ ขอบคุณที่เมตตาพระ...

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/4/10 at 05:00 [ QUOTE ]


12

พระศรีอาริย์มาช่วย

วันนี้โชคดีตอน ๑๐ น. เศษ โยมเอาเงินมาช่วยชำระหนี้ตอนบ่าย ๑๓.๓๐ น. พระศรีอาริย์มาช่วยรักษาโรค โชคดีจริง ๆ เมื่อลงไปรับแขก พบแขกพิเศษแต่งตัวสวยมีบริวาร ๔-๕ คน นุ่งขาวห่มขาวมีผ้าสะไบสีทอง เป็นสาว ๔ คน เป็นชายหนุ่มน้อย ๑ คน

พอพบกัน..คือพอพระนั่งบนที่นั่ง คณะพระศรีอาริย์ ท่านมาคอยอยู่แล้ว ท่านไม่พูดพล่ามทำเพลง ท่านเริ่มโองการทันที เสียงไพเราะและดังมาก ท่านพูดภาษาเทวดาเล่นเอาเทวดาฟังไม่รู้เรื่อง เลยปล่อยให้ท่านบรรยายไปตามความรู้ของท่าน พอเข้าใจว่าท่านบรรยายการถอนโรคในสำนวนท่านบอกว่า

"หลวงพ่อปานท่านขอร้องให้มาช่วยรักษาตามความสามารถของท่าน ท่านบอกว่าคนไข้ ๒ คน ท่านช่วยได้ ๑ คน อีกหนึ่งคนต้องปล่อยไปตามกฎของกรรม.."

ท่านบรรยายจบหญิงสาวและชายหนุ่มน้อยก็ร่วมกันสวด สวดทำนองไพเราะมาก มีสามทำนอง สวดอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงจึงขอให้ท่านหยุด เพราะคนมาคอยหลายร้อยคนแล้ว ถ้าจะถามว่าพระศรีอาริย์จริงหรือไม่ ก็ขอตอบว่า

เจ้าตัวท่านบอกว่าเป็นพระศรีอาริย์ เป็นการเข้าทรง ถ้าถามว่า เชื่อไหม ก็ขอตอบว่า เมื่อเห็นว่าไม่เป็นพิษเป็นภัยก็ไม่ขัดคอใคร ถ้าเป็นพิษเป็นภัยหรือเกินจำเป็น ก็เอาเหมือนกันถ้าเขาไม่ฟังก็แรง

นอกจากโยมผู้เมตตา พระศรีอาริย์สงเคราะห์แล้ว ก็มีนักปราชญ์นอกคอกถามปัญหาหลายคน คนหนึ่งถามว่า “ท่านมีความเห็นอย่างไรที่สร้างวัดใหญ่โตอย่างที่เป็นอยู่นี่” ตอบเธอไปว่า “วัดนี้สร้างตามใจผู้มีศรัทธาในเมื่อท่านให้เงินมา ก็ทำตามที่ท่านประสงค์”

คนที่สองถามว่า “ท่านมีเทคนิคอย่างไร จึงมีคนเขาอุดหนุนมากอย่างนี้”
ตอบเธอว่า “ฉันไม่มีเทคนิค มีแต่ความรู้สึกว่าเป็นพระเท่านั้น จริยาทุกอย่างทำตามที่พระท่านสอน”

คนที่สามถามว่า “พระที่ท่านปลุกเสก การปลุกเสกเป็นอวิชชาใช่ไหม”
ตอบเธอในทำนองอนุโยคว่า “เธอรักษาศีลห้าครบแล้วหรือ?”

เธอตอบว่า “ไม่ครบ” จึงบอกเธอว่า “เมื่อตนเองยังมีศีลห้าไม่ครบ จะรู้เรื่องอวิชชาได้อย่างไร พระที่ท่านทำการปลุกเสก ท่านใช้ฌาน ๔ บ้าง สมาบัติแปดบ้างบางท่านใช้ผลสมาบัติ”

ถามเธอว่า “สมาบัติที่ว่ามานี้เป็นวิชชาหรืออวิชชา” เธอไม่รู้เรื่องเลย น่าสงสารคนโง่ขนาดนี้ยังมีในเขตพระพุทธศาสนา

คนที่สี่ถามว่า “ที่บอกว่าคนรักษาศีลห้ายังหยาบอยู่มาก พระโสดาบันก็มีศีลห้าใช่ไหมครับ?”

ตอบเธอในทำนองอนุโยคว่า “พระโสดาบันมีกี่ขั้น?”
เธอตอบว่า “เธอไม่รู้” จึงบอกให้เธอไปดูตำราเสียใหม่

เธออยากรู้จึงบอกให้ทราบว่า พระโสดาบันมี ๓ ขั้น คือสัตตักขัตตุง บารมีอ่อนมาก บำเพ็ญอีก ๗ ชาติไปนิพพาน โกลังโกละ บารมีอย่างกลาง บำเพ็ญบารมี ๓ ชาติไปนิพพาน และเอกพิชี บำเพ็ญบารมีอีกชาติเดียวไปนิพพาน ทุกขั้นต้องมีศีลห้าร่วมกรรมบถสิบ

วันนี้ดึกมากแล้วขอลานอน...


วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๑

วันนี้วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๑ เรื่องของวันนี้มีไม่มากเพราะมีแขกมาพบจริง ๆ เพียงสองคน ไม่เหมือนวันที่ ๓๑ ส.ค. ๓๑ มีแขกมาเกินสองร้อยคน วันนี้มีเรื่องจะรายงานให้ทราบก็คือ อาการทางร่างกายพอจะดีขึ้นบ้างไม่อาเจียนตอนเย็นเป็นวันที่สามแล้ว

แต่ก็หนักใจนิดหนึ่งที่วันนี้กำลังเตรียมกระเป๋าเพื่อเดินทางไปสอนพระกรรมฐานที่ซอยสายลม กรุงเทพฯ การไปสอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ถ้าจะพูดกันเรื่องทางร่างกายแล้ว ก็ต้องพูดว่า ไปเพิ่มอาการให้ใกล้ตายมากขึ้น เพราะกว่าจะเลิกสอนมาใช้เวลาทำงาน ๔ วัน เพิ่มโรคไป ๔ เท่าที่อยู่ หลายครั้งที่คิดว่าอาจจะตายขณะสอน

คราวนี้ก็เหมือนกันอาการทางเสมหะเบาลง แต่ที่ขณะเขียนอยู่นี่ปวดท้องมาก รอเวลามาจนดึกมันก็ไม่หายปวด เลยเขียนหนังสือแบ่งความกังวล แทนที่จะให้กังวลเรื่องหนังสือเสียทางหนึ่ง จะได้คลายความรู้สึกปวดท้อง เรื่องการป่วยเป็นของธรรมดา มันต้องป่วยและไม่ช้ามันก็คงตาย มันตายเมื่อไรเราสุขเมื่อนั้น เมื่อมันยังไม่ตายก็รับทุกขเวทนาไปพราง ๆ ก่อน จนกว่ามันจะตาย เรื่องร่างกายหยุดเพียงเท่านี้นะ

มาคุยกันเรื่องรับแขกดีกว่า วันนี้ อาจารย์สุรพล กับ เพื่อนมาขอแตรวงไปบรรเลงในงานวันการศึกษานอกโรงเรียน ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนแห่งนี้ดีมาก มีระเบียบการถูกใจมาก เจ้าหน้าที่อันมีผู้อำนวยการเป็นประธานคล่องตัวดีมาก โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ที่ตั้งขึ้นเองจ่ายเงินเอง แต่เป็นเงินของท่านผู้เมตตาให้มา ขึ้นอยู่กับการศึกษานอกโรงเรียนแห่งนี้

ท่านช่วยทุกอย่างนักเรียนจะเรียนชั้น ม.๔ ทางการศึกษาธิการจังหวัดเขาไม่อนุญาต แต่ทางกรมการศึกษานอกโรงเรียนเขาอนุญาตให้และประสานงานดีมาก ให้ความสงเคราะห์อนุเคราะห์ทุกอย่างรวดเร็วทันใจแป๊ะแป๊ะเลยชอบใจ เราขอไปท่านให้มา ท่านขอมาเราก็ให้ไป อย่างนี้แป๊ะชอบใจ

ในเมื่อท่านมาหาแตรวงให้ไปบรรเลงฟรี นักเรียนชายหญิงโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาบรรเลง เราก็ให้ท่าน แต่แป๊ะก็ตั้งราคาไว้คือว่าเมื่อเสร็จจากการบรรเลง ขอให้เลี้ยงข้าวต้มเครื่องแก่นักเรียนที่บรรเลง คราวนี้ถ้าท่านเลี้ยงคราวต่อไปขอได้อีกเพราะแป๊ะชอบ คราวนี้ถ้าไม่เลี้ยงคราวต่อไปไม่ให้อีก เพราะแป๊ะไม่ชอบใจ

เมื่อตกลงกันแล้วก็คุยกัน ในฐานะที่ท่านเป็นจานสังกะสี จานประเภทนี้แตกยาก ไม่เหมือนจานกระเบื้องถามท่านถึงเรื่องไทยสมัยเก่าคือไทยมะลิวัลย์ ท่านบอกว่า ท่านไม่รู้เลยท่านอาจจะอมภูมิก็ได้หรือโนภูมิก็ได้เหมือนกัน ในเมื่อแป๊ะเป็นคนถาม ท่านบอกไม่รู้ แป๊ะก็เลยโม้ตามวิสัยเจ๊กขี้คุย คุยสั้น ๆ ว่า

ไทยมะลิวัลย์เข้ามาหยุดอยู่ที่อินเดีย หลังจากไทยอาหม ยกเข้ามาอยู่ในอินเดีย ๑๐๐ ปี หลังจากนั้นแป๊ะก็ฟุ้งเรื่องไทยมะลิวัลย์ปลอมที่มีในเมืองไทย ได้เวลาสมควรท่านก็ลากลับ เมื่อท่านกลับแป๊ะก็ไปอาบน้ำ กินยาแล้วนอนปวดท้องมาจนถึงเวลา ๒๔ น. เห็นว่ามันไม่หยุดปวด แป๊ะเลยหยิบปากกามาโม้ต่อไป แต่เรื่องไทยมะลิวัลย์นี้ไม่คุยต่อ เพราะเป็นเรื่องสะเทือนใจชนชาติบางชาติ ของดไว้เพียงเท่านี้

หลังจากนี้จะคุยเรื่องอะไรดี เรื่องโม้ของวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๑ ควรจะหมดแล้ว กลับไปเอาเรื่องวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๓๑ มาคุยอีกสักนิดจะได้หายปวดท้อง เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๓๑ มีญาติโยมมาจากจังหวัดตากพวกหนึ่ง อีกพวกหนึ่งมาจากบางปู จ.สมุทรปราการ พวกบางปูคุยเรียบร้อย แต่ญาติโยม จ.ตาก คนหนึ่งเป็นหญิงอายุประมาณ ๔๐ ปีเศษ ท่าทางออกในทางโยคีมากสักหน่อย ท่านพูดตอนหนึ่งว่า หลวงพ่อเจ้าคะ นำนั่งสมาธิสักนาทีสองนาทีได้ไหม?

พอพูดถึงตรงนี้เกิดภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้น ต้องละปากกาชั่วครู่วิ่งเข้าส้วมเพราะปวดท้องขี้ เห็นจะเป็นเพราะพูดเรื่องของม่วยก็ได้แต่ก็มีผล เมื่อขี้ออกมาแล้วอาการปวดท้องบรรเทาลงมาก

พูดเรื่องของม่วยต่อไป เมื่อม่วยขอให้นำนั่งกรรมฐานท่าทางของม่วยมีทีท่าเคร่งครัด พูดไม่ยิ้ม อาการแบบนี้เห็นพังมามากแล้ว เพราะเครียดมากเกินไป เข้าเขตอับในทางปฏิบัติ จึงบอกเธอว่า

การทำสมาธิเดี๋ยวเดียวไม่มีประโยชน์ เวลานี้เป็นเวลารับแขก คนอื่นยังคอยอยู่อีกหลายสิบคน ถ้าจะปฏิบัติกรรมฐานให้ไปที่ห้องปฏิบัติกรรมฐาน เพราะเขากำลังทำกันอยู่ ม่วยถามว่า จะมาวันไหนได้ จึงบอกเธอว่า ที่วัดนี้ฝึกกรรมฐานทุกวันตลอดปี เธอก็เฉยไป

ต่อมา น้อย กูรมะโรหิต เธอเดินขึ้นมา น้อย คนนี้มีเมตตากรุณาเป็นเบื้องหน้า มีพรหมวิหารสี่ครบสงเคราะห์สัตว์ โดยเฉพาะหมาในวัดเธอซื้อยามารักษาเป็นเวลาแรมปีแล้ว หายามาให้กิน ฉีดยาให้ หาอาหารให้ เธอเพียบพร้อมด้วยพรหมวิหารสี่ เธอเล่าถึงอาการป่วยของสัตว์ แป๊ะก็เลยบอกว่า หมาของแป๊ะมีเกือบร้อยตัว ต้องให้ จำปี และ จ.ส.ต.พเยาว์ ขับรถพาไปหาหมอรักษากันทั้งปี

ม่วยเธอฟังแล้วเธอถามแป๊ะว่า “เลี้ยงไว้ทำไมตั้งเกือบร้อยตัว” แป๊ะเลยตอบว่า “ปัญหานี้ไม่ควรตอบ” ชักสงสัยเหมือนกันว่า ตอนแรกเธอชวนนั่งกรรมฐาน ตอนหลังเธอบอกว่าเลี้ยงหมามากไม่ดี คนที่เจริญพระกรรมฐานนั้น ถ้าขาดพรหมวิหารสี่แล้ว ทำไปยันตายก็ไม่มีผล

หยุดเพียงนี้นะพูดมากเกินไป ถ้าบังเอิญม่วยอ่านหนังสือนี้เข้า ม่วยจะด่าแป๊ะเอา แต่เมื่อม่วยด่าแป๊ะไม่ได้ยิน แป๊ะเลยไม่เดือดร้อน ม่วยเองจะเร่าร้อนแย่ เพราะทราบว่าไม่มีผล

หมดเรื่องแล้วนี่จะคุยอะไรกันอีก เวลานี้ก็ดึกสงัดคนอื่นเขานอนกันหมดแล้ว หลับหรือไม่หลับก็ไม่ทราบเวลานี้มีเพื่อนคุ้มผีก็คือวิทยุของตำรวจที่เขาเปิดรับไว้ ยังพูดเสียงแจ้ว ๆ ตำรวจเองนอนฟังหรือหลับฟังก็ไม่ทราบ ห้องใกล้กันได้ยินเสียงเลยพอเอาเสียงเป็นเพื่อนกันกลัวผีไปได้



13

ผีมาแล้ว

เมื่อพูดถึงผีก็พอดีผีโผล่หน้ามาพอดีมีหลายผี หนึ่งผีพระยายม สองผีหลักเมืองกรุงเทพฯ ผีอื่นก็มีแต่ท่านยืนเฉย เสียงผีหลักเมืองกรุงเทพฯบอกว่า “ต่อไปอย่าเรียกผีนะ” ก็แกเป็นผีจะให้แป๊ะเรียกอะไร (แป๊ะรำพึง) ท่านผีหลักเมืองให้เรียก "พ่อปู่"

แป๊ะหนักใจเพราะถ้าเป็นแค่พ่อพออาศัยได้ แต่ถ้าเป็นปู่แก่เหลาแหย่อย่างนั้นจะอาศัยอะไรได้ ผีกรุงเทพฯ เลยยอมจำนน ท่านพูดว่า ที่มานี่ไม่ได้มาหลอก มาเยี่ยมและจะบอกว่าลาภใหญ่จะเกิดขึ้นมาแล้ว ธันวาคม ๒๕๓๑ ลูกหลานจะเริ่มเป็นสุข เพราะลมหนาวจะมา ความร้อนจะคลายตัว น้ำฝนจะหายชื้น

พิโธ่เอ๋ย... อุตส่าห์เป็นผีพยากรณ์ส่งเดชอย่างนี้ใคร ๆ ก็รู้ ท่านคุยโวต่อไปว่า นอกจากที่บอกมาแล้ว ระวังทุกคนที่เล่นลาภลอยไว้ลาภจะลอยมาหา ฟังแล้วอ่านแล้วก็เฉยไว้ก่อน ไม่เห็นน้ำอย่าตัดกระบอก ไม่เห็นกระรอกอย่าโก่งหน้าไม้ จะเหนื่อยเปล่า ท่านผีกรุงเทพฯกลับไปแล้ว

ต่อมาก็เป็นผีเมืองยม วันนี้ท่านไม่ชวนเที่ยว ท่านเห็นว่าเหนื่อยมากท่านบอกว่าร่างกายจะค่อยดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องกังวลมาก สิ่งที่ปรารถนาสมหวังทุกอย่าง แต่ห้ามหวังมีเมีย ความจริงเรื่องมีเมียนี้ไม่น่าเตือนเพราะแป๊ะตัดได้เด็ดขาดแล้ว เพราะเพียงแต่จะยืนหรือเดินแป๊ะก็ไม่ไหวแล้ว เป็นอันตัดได้แน่เพราะไม่มีแรงสู้เมีย

ท่านถามว่า พ.ศ. ๒๕๓๒ สร้าง "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ปั้น พ.ศ. ๒๕๓๓ หล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าโลหะ เอาแน่หรือ บอกท่านว่า ถ้ายังไม่ตายก่อนทำแน่ เรื่องทุนไม่สำคัญไม่มีเงินก็เป็นหนี้เขาก่อน ท่านก็เลยพูดว่าที่หลักเมืองเขาพูดนั้นจริงนะ ท่านทิ้งท้ายเท่านี้แล้วท่านก็หายไป..!

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/5/10 at 09:47 [ QUOTE ]



14

แขกเมืองบน

แขกเมืองบนคือแขกเมืองนางฟ้า เรื่องที่พูดนี้ ท่านผู้อ่านอย่าลืมว่า เป็นหนังสืออ่านเล่น ห้ามคิดว่าเป็นตำรา หรือเรื่องจริง ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องจริงอยู่ด้วยก็ไม่ควรเชื่อ อ่านส่งเดชไปก็แล้วกัน เมื่อรำคาญไม่ถูกใจก็โยนทิ้งไป อยากอ่านใหม่ก็ซื้อมาใหม่..หมดเรื่องไป !

แขกเมืองบนท่านแรกที่สุดเป็นแขกคนแก่ ท่านเรียกแป๊ะว่า.."ลูก" ท่านบอกว่า ดึกแล้วลูกพักผ่อนเสียเถอะ แม่จะบอกให้ ไปซอยสายลมคราวนี้ร่างกายพอทนไหว สอน "กสิณ" นั้นดีคนสนใจกันมาก ผลที่จะได้รับ ทำให้นักบุญเข้าใจเรื่องทรงอารมณ์สมาธิ

แต่เรื่องรถที่ปรับปรุง ๒ คัน สร้างใหม่หนึ่งคัน ทั้งหมดนี้เป็นรถที่จะใช้ในงานบุญแม่ขอร่วมด้วย แม่จะช่วยหาเงินถ้าลูกหลานที่ช่วยขัดข้อง ตั้งแต่ธันวาคม ๒๕๓๑ ไปแล้ว แม่จะช่วยทุกคนให้เบาใจ เดือนธันวาคม ๒๕๓๑ นี้ ท่านยืนยันกันสามท่านแล้ว เป็นอันว่าท่านเตือนให้พักก็ขอพักเพียงเท่านี้ สมองเริ่มฝืนประสาทเริ่มเครียด ขอลานอนละนะเวลา ๐๑.๓๐ น. สวัสดี

วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๑

วันนี้ วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๓๑ เริ่มงานการบันทึก เวลา ๒๒.๒๗ น. วันนี้อาการทางร่างกายไม่ดีเอามาก ๆ เพราะร่างกายมันขี้เนื่องจากกินยาระบายและมีอาการปั่นป่วนมาก ขณะขี้นี้ก็กำลังปั่นป่วนอย่างแรง ถ้าจะถามว่าเมื่อมันปั่นป่วนทำไมจึงเสือกมาเขียน ก็ต้องขอตอบว่า

ที่ต้องเสือกมาเขียนก็เพราะต้องการเสือกให้อาการมันปั่นป่วนมันบรรเทาลง จิตจะได้แบ่งความรู้สึก คือส่วนหนึ่งรับความรู้สึกปั่นป่วน อีกส่วนหนึ่งแบ่งมาคิดงานที่เขียน มันก็พอจะบรรเทาอาการปั่นป่วนลงไปได้บ้าง ตามความรู้สึกของคนบ้า ๆ บอ ๆ อย่างคนเขียน เขียนมานิดเดียวเริ่มบ้าออกนอกทางแล้ว ขอวกเข้าเรื่องที่ต้องการจะเขียนต่อไป

การเขียนเว้นมาหลายวันก็เพราะว่า เมื่อวันที่ ๒ ถึงวันที่ ๖ กันยายนนี้ ไปซอยสายลมเพื่อสอนกรรมฐานตามปกติ เมื่อก่อนจะไปเพียงหนึ่งวัน อาการทางกายมันรวน (ป่วย) กระทันหันแก้ไขไม่ได้ อาการทางกายแย่มาก แต่ก็ไปเพราะเป็นงานฝ่ายธรรมะ เป็นตายอย่างไรก็ทำ เมื่อไปถึงบ้านท่าน พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ พบ หมอมนตรี อมรพิเชษฐกูล คอยอยู่แล้ว

ต่อมา หมอจรูญ ก็มาคุณหมอวัฒนะ เอาน้ำเกลือมาให้ คนที่มาสุดท้ายเฉพาะที่ทำการรักษาก็หมอแสงโสม ภรรยา หมอจรูญ วันนี้ขาด หมอชนะ (ญี่ปุ่น) ไปคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าหวยกินเดินไม่ไหวหรืออย่างไร

หมอคนนี้ไม่ชอบเล่นหวย แต่ชอบเอาเลขหวยที่ฟังมานำไปให้คนอื่นเล่น อานิสงส์ที่ได้รับคือไม่เคยถูกหวยอย่างจริงจัง แต่คนรับเลขจากหมอไปรวยมาก คุณหมอญี่ปุ่นก็รวยแค่ ๑๐ บาท เท่านี้ต้องถือว่าเป็นคนเฮงมากแล้ว

ขอย้ายมาพูดเรื่องการงาน เมื่อเห็นว่า หมอวัฒนะ ท่านเป็นหมอรวมรักษาสมเด็จพระสังฆราช จึงถามว่า ทำไมรักษาให้สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ คุณหมอตอบน่ารักว่า ท่านบ่นว่าเบื่อเหลือเกินครับ

เป็นอันว่า ตอบกันคนละฝั่งมหาสุมทรอย่างนี้ไม่ชนกันแน่ เรื่องเบื่อเป็นนิพพิทาญาณของคนมีฌานสมาบัติ แต่ทว่าสมเด็จฯท่านเบื่อตอนป่วยหนัก อย่างนี้อาจจะเป็นการเบื่อของวิปัสสนาญาณก็ได้ ใครจะรู้ใจของท่านแน่นอน อาการป่วยเป็นเหตุให้ใจว่างจาก...

๑. ความรักในระหว่างเพศ เพราะทุกขเวทนารบกวน
๒. ความอยากร่ำรวย เพราะทุกขเวทนารบกวน
๓. ความอยากจะฆ่าใคร เพราะไม่มีแรง และทุกขเวทนารบกวน
๔. สักกายทิฏฐิ หมดความรู้สึกว่าร่างกายมีดีเป็นสมบัติของเรา เพราะมันกำลังจะตายและมีทุกขเวทนาอย่างสาหัส

เมื่อทุกขเวทนาทำให้เว้นจากอารมณ์ ๔ อย่างตามที่กล่าวมา ถ้าเป็นคนมีธรรมะก็มีหวังหมดสิทธิ์ในการเวียนว่ายตายเกิด เว้นไว้แต่คนไร้ธรรมะเท่านั้น ที่ยังหมกมุ่นกับความเกิดต่อไป สำหรับสมเด็จฯ ท่านมีเมตตาสูงและเป็นพระทรงธรรมะ ท่านจะไปทางไหนเป็นเรื่องของท่าน



15

คนตายใกล้สมเด็จฯ

วันนี้ตอนก่อนกินข้าวกลางวัน นอนภาวนาตามประสาคนบ้าๆ บวมๆ เห็นท่านชาย ๒ คนท่านเดินตรงมาหาจึงละภาวนาคุยกับท่าน เพราะถ้าไม่คุยด้วยจะเป็นการเสียมารยาทของเจ้าของบ้าน เมื่อคุยกันไปหน่อยหนึ่งลืมบอกไปว่า ชายสองคนนี้เป็นญาติผู้ใหญ่ของผู้เขียน คนหนึ่งเป็นพี่อีกคนหนึ่งเป็นลุง

ท่านลุงเป็นคนชอบอ่านหนังสือ มาทีไรเป็นต้องถือหนังสือเล่มใหญ่มาด้วยทุกคราว หนังสือของท่านเล่มนี้มีความรู้ร้อยแปดพันเก้า จะอ่านอะไรก็ได้ ที่ดีมากก็เป็นตำราหมอดู ดูได้แม้กระทั่งคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว ใช้เวลาที่ถามเป็นเกณฑ์การพยากรณ์ เมื่อทั้งสองท่านซึ่งทรงฉลองโสร่งทั้งคู่ (นุ่งโสร่ง) คุยพอเห็นว่าทั้งสองคลายเหนื่อย ก็ถามท่านถึงคนที่ตายก่อนสมเด็จพระสังฆราชหนึ่งวัน

ท่านก็เปิดบัญชีแม้บ..อ่านทันทีว่า ไปอเวจีแล้ว ในหนังสือก็ปรากฏมีรูปคนยืนถ่างขา ในลักษณะของสัตว์ที่เสวยทุกข์ในอเวจี เมื่อถามถึงกฎของกรรม ท่านบอกว่าตำราบอกอย่างนี้ ท่านกางหนังสือออกแล้วอ่านดังนี้

๑. กรรมหลอกลวงหลายกรณี
๒. ปรามาสพระรัตนตรัย
๓. ขุดของสงฆ์เอามาขาย

แม้จะเคยมีฌานสมาบัติในระยะแรกและระยะกลาง แต่ตอนท้ายฌานและญาณสลายเพราะความเป็นมิจฉาทิฏฐิ เอาละว่ากันพอย่อ ๆ เท่านี้นะ พวกได้ฌานสมาบัติควรระมัดระวังอย่าทำตัวเหลวไหล เป็นอันว่าเรื่องนอกคอกไม่เกี่ยวแก่ตนงดไว้เพียงเท่านี้ก่อน มาคุยกันเรื่องวันนี้ก่อนดีกว่า

จึงถามท่านถึงเรื่องทางร่างกาย ท่านกางตำราออกแล้วท่านอ่านตำราทำนาย ถามเมื่อไรเปิดตำราเมื่อนั้น คงจะเป็นตำราคล้าย "ยามสามตา" แต่เป็นหนังสือ ท่านกางหนังสือออกแล้วท่านก็บอกว่า วันนี้ที่มาก็คิดจะมาบอกข่าวคุณ ถามท่านว่า “จะบอกข่าวอะไร” ท่านบอกว่า

“หลังจากนี้ไป วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ แล้วเรื่อยไป ๗๕ วัน คุณจะมีโชคดีทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อเลย ๗๕ วัน หลังจากวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ ไปแล้ว การสอนธรรมจะมีผลดีมาก เพราะคนเข้าใจและสนใจมากกว่าเวลานี้มาก จะมีคนจากที่ไกลมาเรียนธรรมปฏิบัติมากทุกวัน งานออกไปสงเคราะห์นอกสถานที่เดือนละครั้งก็มีผลดีมาก คนเข้าใจธรรมะมาก แล้วท่านก็วกมาเข้าใกล้

ท่านบอกว่า “เวลานี้ชะตาของคุณอยู่ในช่วงหนังสือสีน้ำเงิน เป็นระยะเวลาที่ปรับปรุงร่างกาย ต่อไปเดือนตุลาคม ๒๕๓๑ นี้ เริ่มเข้าเขตตัวหนังสือสีทองแต่เป็นตัวหนังสือปกติ เมื่อถึงเดือนธันวาคม ๒๕๓๑ เดือนนั้นจะเป็นทองจุดหรือก้อนใหญ่ (หมายถึงลักษณะของตัวหนังสือ) จุดนั้นจะทำให้ชื่นใจมาก และต่อมาเป็นทองเรียบ พอเข้าถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ จะรุ่งตามที่กล่าวไว้แล้ว

ที่ว่ามาแล้วนี้ตามตำราของท่าน ท่านพูดแล้วท่านก็กางหนังสือให้ดู เมื่อฟังแล้วก็หวลนึกถึงคำพยากรณ์คืออ่านตามตำราของท่าน ท่านให้อ่านเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๑ มีข้อความดังนี้



16

คำพยากรณ์ที่จดไว้

แรม ๙ ค่ำเดือน ๙ หมายถึงวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๓๑ โรคที่เป็นอยู่จะเริ่มหาย (อาการเครียดหนักจะหายไป) ร่างกายเข้าตัวหนังสือสีน้ำเงินเป็นจริงตามนั้น อาการใหญ่ของโรคหายไปอาศัยหมอ ๗ หมอ ช่วยกันรักษาและได้ยาที่ท่านโกมารภัจจ์ท่านแนะนำไว้

อาการหนักหายในวันนั้นจริง ๆ เหลือแต่อาการประกอบและบำรุงร่างกายให้ปกติ เพราะมันป่วยมา ๖ ปี คงไม่มีใครเข้าใจเรื่องป่วย เมื่อถึงเดือน ๑๐ แรม ๑๕ ค่ำ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๑ ชะตาจะเข้าเขตตัวหนังสือสีทอง รอไปก่อนจนกว่าจะถึงวันนั้น แต่ทว่าตอนสายท่านมายืนยันของท่านอีกครั้งหนึ่ง คิดว่าของท่านจะไม่พลาดหรือพลาดก็ไม่ผิด ถึงแม้จะผิดก็ไม่ได้เสียเงินค่าหมอดูคงไม่ขาดทุน แต่เสียเวลาจำนิดหน่อย

มาถึงตอนนี้ท่านทั้งสองท่านลากลับ จะเดินไปส่งท่านที่ประตูท่านบอกว่า คุณนอนไปพลาง ๆ เถอะ ผมสองคนมีคนมาด้วยสองสามคน เธอคอยอยู่ข้างนอก และท่านบอกว่า ท่านมีรถมาไม่มีอะไรลำบากจึงขออภัยท่าน เพราะท่านมาคุยไม่ได้เลี้ยงน้ำประปาท่าน ท่านบอกว่าไม่เป็นไร ท่านสั่งว่ามีธุระอะไรละก็ให้เด็ก ๆ ของผมที่เฝ้าท่านอยู่ที่นี่ให้เข้าไปบอกผมนะผมจะมา และจะมาดูหมอให้ ท่านว่าแล้วท่านก็ลากลับไป

เมื่อท่านทั้งสองไปแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าเราอยู่คนเดียวประตูใส่กลอน ท่านทั้งสองเข้ามาได้อย่างไร ออกไปถามคนข้างนอกว่าเห็นคนแก่สองคนอ้วนและผิวดำนุ่งโสร่งไปทางไหน ทุกคนบอกว่าไม่มีคนแบบที่พูดมานั้นเลย อนิจจาเอ๋ย...ผีหลอกเสียแล้ว..จบกัน..!



วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๑

วันนี้วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๑ เป็นวันสิ้นเดือน ๙วันที่พระท่านลงทำสังฆกรรม ผู้เขียนเองก็เกือบสิ้นเหมือนกัน แต่ไม่ใช่สิ้นเดือน เปลี่ยนเป็นการสิ้นชีพ เพราะเมื่อคืนวันที่ ๙ เดินไปเดินมา ๑๔ รอบ เดินไปไหนท่านทราบไหม เดินไปส้วม แบ่งการเดินเป็นสองระยะ คือ ระยะแรกก่อนหลับ เดินไปเดินมา ๑๒ เที่ยว และหลังจากตื่นแล้วซ้อมเดินอีก ๒ เที่ยว รวมแล้ว คืนวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๓๑ เดินเพื่ออุจจาระกิจ ๑๔ เที่ยว

เมื่อสว่างต้องไปที่ทำงาน งานที่ทำวันนี้ ตอนเช้านิทรางาน คือนอนแหงแก๋แต่ทว่ามันไม่หลับ หมดแรงหมดกำลังตอนบ่ายต้องรับแขกแต่พูดภาษาแขกไม่เป็น วันนี้แขกมากและมาจากที่ไกล ๆ คือ พวกแรกมาจากหนองแขม ธนบุรี เดิมคณะนี้มามากท่านมาด้วยศรัทธาแท้ ทำบุญแล้วคือ ถวายสังฆทานเสร็จแล้วกลับ ให้เงินไว้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ๒ องค์ นอกนั้นทำบุญตามอัธยาศัย

อีกพวกหนึ่งมาจากเพชรบูรณ์ คณะนี้มาไม่มากนัก เมื่อถวายสังฆทานเสร็จแล้วก็ถามปัญหาว่า การถวายสังฆทานวันนี้ต้องอุทิศให้สามีที่เอารถไปชนกันตาย ไม่ทราบว่าใครชนใครหรือใครเป็นผู้ถูกชน ภรรยาผู้ตายไม่ได้อธิบาย เธอบอกว่า มีคนเขามาบอกว่าสามีไปอยู่ไม่เป็นสุข เธออยากให้สามีอยู่เป็นสุข ก็แนะนำให้เธออุทิศส่วนกุศลโดยไม่แบ่งให้คนอื่น ให้เฉพาะสามีเธอคนเดียว

หลังจากนั้นเธอก็ปฏิบัติตามคำแนะนำ เธอแสนดีจริง ๆ ผีจะได้หรือไม่ได้ไม่ทราบแน่นัก คิดว่าคงได้ เมื่อถามเธอว่า การถวายสังฆทานถวายที่ไหนก็ได้ มีผลเสมอกัน ทำไมต้องเดินทางมาถึงนี่ เธอตอบว่ามีคนเขาบอกว่า สังฆทานที่วัดนี้มีของครบจึงมาที่นี่ เธอต้องมาจากเพชรบูรณ์ ไกลจริง ๆ เธออุตส่าห์มา เธอรักและหวังดีต่อสามีเธอมากจริง ๆ หญิงอย่างนี้หาไม่ง่ายนัก

นอกจากคณะเพชรบูรณ์แล้ว ก็มีคณะเชียงใหม่มาอีกหนึ่งคันรถโดยสารขนาดใหญ่ คณะกรุงเทพฯ และระยอง วันนี้มากันมากหน่อย บางวันก็โหลงเหลงเหมือนกัน

กลับมาคุยเรื่องของวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๑ ใหม่ ตอนเช้ามันเพลียมากก็นอนภาวนาและพิจารณาด้วยคิดว่า คราวนี้แป๊ะเห็นจะแย่เสียแล้ว มันจะตายก็เชิญตายตามสบาย นอนบังสุกุลตนเองรู้สึกอารมณ์สบาย คิดว่าร่างกายเมื่อมันหมดลมหายใจเข้าออก มันไม่มีอะไรเป็นของเรา ถ้าตายไปแล้วเราจะสบายกว่านี้มาก

เพราะทุกอย่างครบถ้วนแล้ว จะเอาทานเราก็เพียบพร้อม ทานทุกแบบมีหมด จะเอาศีลก็มีทั้งดีทั้งรุ่งริ่ง เลือกเอาตามสบาย เอาภาวนาก็สบายมาก เพราะกำลังภาวนาอยู่ เมื่อคิดว่าอาจจะตายในระยะเวลา ๙-๑๐ น. เพราะมันร่อแร่มาก ใจก็เหลือบไปเห็นพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่มาก แต่ทว่ามือท่านเคลื่อนไหวได้เหมือนคนธรรมดา ปากท่านพูดได้

ท่านยกมือขวาแล้วไปเห็นพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่มาก แต่ทว่ามือท่านเคลื่อนไหวได้เหมือนคนธรรมดา ปากท่านพูดได้ ท่านยกมือขวาแล้วมีเสียงออกมาว่า “เธอยังไม่ตาย งานของฉันยังไม่ครบ แล้วก็พูดต่อไปอีกว่า..?”

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

.


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/5/10 at 07:28 [ QUOTE ]



17

ทัวร์ธรรมทาน

การที่ให้ออกเยี่ยมสำนักต่าง ๆ ของศิษย์ ให้ถือระเบียบตามนี้ คือ
๑. ขอให้เจ้าของสถานที่จะเป็นวัดหรือบ้านก็ตาม งดการบอกบุญเรี่ยไรทั้งหมด อย่ารบกวนทุกท่านที่มาสนทนาธรรม และไม่จัดงานเพื่อหาเงินขณะที่ไปเยี่ยม ทุนเพื่อการเดินทางไปและกลับตั้งทุนไว้เที่ยวละ ๓๐,๐๐๐ บาท (สามหมื่นบาท) เพราะต้องนำคณะเด็กและผู้ใหญ่ร่วมไปด้วย เพื่อเที่ยวหรือไปช่วยกันก็ตาม แม้แต่อาหารก็ให้เตรียมไปบริโภคเอง

การเดินทางเพื่อเยี่ยมนี้จะมีเดือนหนึ่งไม่เกินหนึ่งครั้ง และสถานที่เดียว ขอให้ไปแนะนำธรรมปฏิบัติแบบง่าย ๆ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติ ถ้าบังเอิญมีคนทำบุญ ถ้าเขาทำบุญจำกัด เช่น สร้างวัดท่าซุง หรือสร้างพระพุทธรูปที่วัดท่าซุง อย่างนี้ให้ไปปฏิบัติตามศรัทธา นำมาเพื่อวัดท่าซุง ถ้าเขาสังฆทานหรือทำบุญไม่จำกัด ให้มอบไว้ที่วัดหรือสถานที่นั้น

๒. สถานที่ใดถ้ามีเจ้าของสถานที่ หรือสำนักมานิมนต์ ผู้นิมนต์ต้องเป็นใหญ่ในสถานที่แห่งนั้นจึงรับได้ ถ้าใช้ที่วัดเป็นที่ต้อนรับให้เจ้าของวัดมารับรองด้วย ถ้าเจ้าของวัดไม่มาร่วมรับรองห้ามไปสถานที่นั้น ๆ

๓. ให้บอกผู้นิมนต์ว่า เมื่อไปสถานที่ใดก็ตาม สถานที่นั้นต้องใช้เดินทางไม่เกิน ๓ ชั่วโมง และกลับหลังจาก ๑๔.๓๐ น. ไม่เกิน ๑๕ น. ที่ต้องให้กลับตามเวลานั้นก็เพราะว่า มีเวลาเป็นปีมาแล้วที่อาการของโรคประจำกายเริ่มอาการขึ้นตั้งแต่ ๑๕ นาฬิกาตรง เป็นอย่างนี้มาสิ้นเวลาแรมปีแล้ว จึงต้องเลิกรับแขกเวลา ๑๕ นาฬิกาตรง

๔. สถานที่ที่จะไปเพื่อธรรมทาน ต้องเป็นสถานที่ที่ไม่ทอดทิ้ง เมื่อยามป่วยไข้ที่แล้วมา จะไม่รับทั่วไป

เรื่องที่ท่านแนะนำคือเรื่องที่ว่า ถ้าอาศัยสถานที่วัดรับรอง เจ้าอาวาสต้องเห็นชอบด้วยนั้น เรื่องนี้เคยโดนมาแล้ว ด้วยคิดว่าเจ้าอาวาสวัดนั้นเขาเคยประกาศว่าเขาเป็นลูกศิษย์ ก็ยกขบวนไป ญาติโยมไปกันมาก พอไปถึงมีคนมารับเพียงทายกสองคน เจ้าอาวาสแกไม่พูดด้วย แถมให้มีศิษย์ที่เป็นพระนั่งด่าอยู่ที่กุฏิ พอญาติโยมบางคนไปถึงที่นั่นแกก็ด่าฝากมาว่า เสือกไปทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้นิมนต์ที่ไปก็เพื่อให้คนรู้จักวัดนั้นว่าเคยอยู่และเรียนมาจากที่นั่น

แต่พ่อเทวดาทำพิษ แต่ไม่ได้คิดโกรธ เมื่อเลิกจะกลับก็เอาเงินทั้งหมด ถวายเจ้าอาวาสเป็นเงินของวัดไว้สองแสน ให้เป็นมูลนิธิของโรงเรียน ๕ หมื่นบาท ต่อมาอีกหลายปีเจ้าอาวาสเธอมานิมนต์ไปนั่งปลุกเสกพระเลยไปไม่ได้ เกรงโรคโทสะจะเกิดแก่ศิษย์

เป็นอันว่าท่านอธิบายแล้วภาพของท่านก็หายไป อย่างนี้เขาเรียก นิมิต ไม่ใช่ตาทิพย์ช่วยกันจำไว้ด้วย จะได้ไม่โจทก์ผิดโจทก์ถูก..!



18

พระไป สาวมา

เมื่อภาพพระหายไปก็มีภาพสาวสองสาวปรากฏขึ้นข้างหน้า เธอรูปร่างเพรียวบางโปร่ง เครื่องแต่งกายเธอสวยมีสร้อยข้อมือคนละหลายเส้น เมื่อถามว่าเธอเป็นใคร เธอนิ่งไม่ตอบ แต่กลับมีภาพหญิงผิวขาวเนื้อเต็มไม่ใช่อ้วน แต่งตัวสวย ปรากฏขึ้นที่ข้างหลังสองสาวนั้น

หญิงคนนั้นตอบแทนสองสาวว่า สองคนนี้คือลูกสาวของท่าน ดูซิไหมล่ะคนแท้ ๆ กลับมีลูกเป็นผีได้ ถามว่าสองสาวนี้เกิดเป็นลูกตั้งแต่เมื่อไร เธอตอบว่า เมื่อวานซืนนี้เอง หมายถึงเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๓๑ ถามเธอว่า ลูกสองคนนี้มีอานุภาพทางไหน เธอตอบว่า มีอานุภาพทางลาภมาก เธอทราบว่า พ่อหนักใจเรื่องงานก่อสร้างเธอจะมาช่วย

เมื่อถามว่า เวลานี้เธออยู่ที่ไหน ผู้ตอบบอกว่า เธออยู่ดาวดึงส์ ถามว่าที่เธออานุภาพในลาภมาก เธอทำบุญอะไรไว้ ผู้ตอบตอบว่า เธอชอบให้ทาน ที่มีรูปสวยน้อยไปนิดหนึ่งก็เพราะเวลาให้ทานติดทางโลกมากเกินไป ชอบแต่โลกีย์สงเคราะห์ คือให้ทานส่วนบุคคลมากกว่าถวายเป็นของสงฆ์หรือสังฆทาน

ที่ทำให้มีอานุภาพในทานเพราะ เคยถวายสังฆทานครบถ้วนเพียง ๓ ครั้ง (สังฆทานครบคือ พระพุทธรูป ผ้าไตร อาหาร ตามที่ผีชอบขอ) เมื่อถามว่า บ้านเธอก่อนตายอยู่ไหน ผู้ตอบ ตอบว่า ไปสอบถามดูว่า หญิงใดที่เคยถวายสังฆทานแบบนี้แล้วตายเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๓๑ พูดทำนองนี้แล้วก็หายไป

เป็นอันว่า วันนี้ไม่ฝันแต่ทว่าเป็นนิมิตของที่เกือบจะสิ้นหวังในชีวิต จบกันทีนะ เหนื่อยจริง ๆ ถ้าพอมีกินมีใช้เห็นจะต้องเลิกขุดทองเสียที เพราะขุดมานานแล้วไม่ได้พัก เหนื่อยมากเหลือเกิน ต่อไปขอเปลี่ยนเป็นขุดธรรมแทนทอง.. สวัสดี

เขียนวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๑



19

พระที่ต้องเดินทางไปชำระหนี้

พระที่ต้องเดินทางไปชำระหนี้ คือ พระครูศรีรัตนานุรักษ์ หรือ หลวงพ่อลักษณ์ วัดศรีรัตนาราม ต.หนองม่วง จ.ลพบุรี หลวงพ่อลักษณ์ เป็นพระดีมีเมตตาสูง เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ขณะที่อาตมาป่วยหนัก หลวงพ่อลักษณ์เมตตามาเยี่ยมเสมอ แต่ละคราวที่มาอย่างน้อยก็มีข้าวสารมา ๑ กระสอบ กับข้าวและของอื่นอีกมาก

และเมื่อเวลาวัดมีงานสำคัญ เช่น งานเป่ายันต์เกราะเพชร หรือ งานทำบุญประจำปี หลวงพ่อลักษณ์ร่วมด้วยคณะศิษย์ ขนข้าวสาร อาหาร และของใช้ในงาน น้ำแข็งเต็มคันรถ ๑๐ ล้อ ตลอดจนนำคนมาช่วยในงานเป็นปกติทุกงาน

ในวันปกติไม่มีงานก็นำแก้วนํ้ามาถวายหลายคราว คราวละหลายร้อยลูก นำผ้าไตร ข้าวสาร เป็นต้น มาถวาย และเมื่อเห็นว่าพรมปูพื้นศาลาที่พระทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็น มีเล็กน้อยไม่เต็มพื้นที่ หลวงพ่อลักษณ์ก็จัดนำมาถวายเพื่อปูจนเต็มพื้นที่

มีศิษย์ติดตามหลวงพ่อลักษณ์ท่านบอกว่า วัดหลวงพ่อลักษณ์ก็ยังสร้างไม่เสร็จ เพราะไม่ใคร่จะมีเงินสร้าง แต่ท่านนำศิษย์ของท่านมาทำบุญทุกคราว ๆ ละหลายหมื่นบาทหลายครั้ง น่าจะกันเงินไว้ทำวัดของท่านเอง

เมื่อท่านดีอย่างนี้จึงคิดจะชำระหนี้ความดีของท่าน หนี้ที่ว่านี้เป็นหนี้คือความดีของท่าน ถ้าจะเอาแต่ดีที่ปาก โดยออกปากว่าขอบใจ มันก็ไม่เป็นการสมควร ท่านดีทั้งใจและวัตถุ จึงคิดว่าเราก็ควรสนองตอบแทนท่านทั้งใจและวัตถุ สำหรับใจนั้นก็มีพร้อม แต่วัตถุก็เป็นหนี้แอ้เหมือนกัน จึงตัดสินใจเอาอย่างนี้ มีใจเป็นกำลังนำ นำคนและวัตถุไปสนองความดีของท่าน

๑. นำคนและพระไปวัดของท่าน ให้ท่านจัดงานทำบุญอายุครบ ๗๐ ปี ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ ๙ เมษายน ๒๕๓๒

๒. งานนี้คิดว่า โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย คือ การสนองคุณกันเป็นธรรม ส่วนโลกก็จะนำวงโยธวาทิตวงใหญ่ โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ไปช่วยบรรเลงในงาน ผู้บรรเลงคือ นักเรียนของโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา

วงโยธวาทิตนี้ขอให้พระครูศรีฯ หรือหลวงพ่อลักษณ์ จัดเก้าอี้ไว้ ไม่น้อยกว่า ๖๐ ตัว เพื่อนักบรรเลงนั่งและจะนำนักเรียนไปหมดโรงเรียน ขอให้นักเรียนถวายเงินทำบุญกับหลวงพ่อลักษณ์ คนละ ๑๐๐ บาท ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนองคุณที่พระครูศรีฯ หรือหลวงพ่อลักษณ์ ได้เคยมีเมตตาจิตสงเคราะห์นักเรียนชุดนี้ มาหลายคราว

รถที่จะนำคณะไป

เรื่องรถนี้ต้องเช่าเขาแน่ ถ้ารถของวัดพร้อมก็จะนำไปทั้งสามคัน แต่รวมแล้วรถจะต้องมีไปไม่น้อยกว่า ๗ คัน บรรทุกนักเรียนที่ไปร่วมงาน ๔ คัน บรรทุกคณะโยธวาทิตและเครื่องบรรเลง รวมทั้งพระ ๑ คัน บรรทุกท่านที่มีศรัทธาและพระ อีก ๑ คัน อาตมากับพวกติดตามพยาบาล ๑ คัน คณะทำความสะอาด ดายหญ้าวัด ลอกสระ ถ้าจะร่วมไปด้วยให้แจ้งล่วงหน้า จะกันที่ไว้ให้ คนที่ไม่ได้ช่วยงานวัด จะมีรถนั่งหรือไม่ ไม่ทราบเหมือนกัน เอาแต่พลพรรคที่เหน็ดเหนื่อย เพื่อวัดจริงเท่านั้นร่วมกันไป

เชิญไปร่วมกันทำบุญ

ญาติโยมหรือลูกหลานทั้งหลาย ที่มีโอกาสพอที่จะช่วยหลวงพ่อชำระหนี้ ที่เจ้าหนี้ไม่เคยทวงได้ ขอเชิญร่วมกันไปเพื่อทำบุญด้วยกันตามกำลังที่จะพึงทำได้

วัดศรีรัตนารามอยู่ที่ไหน

ขอแนะนำไว้คร่าว ๆ ดังนี้ ท่านที่ไปจากกรุงเทพฯ หรือทางอื่นที่ผ่านหรือใกล้สระบุรี ขอให้เข้าไปทางจังหวัดสระบุรี ไปที่อำเภอโคกสำโรง เดินทางจากอำเภอโคกสำโรง ประมาณ ๑๐ นาทีเศษ ก็ถึง วัดศรีรัตนาราม หนองม่วง ถ้ามาจากทางเหนือขอให้ไปทางเก่า เพื่อเข้ากรุงเทพฯ ผ่านอำเภอตาคลี เมื่อถึงตลาดหนองม่วงแล้วเป็นอันว่าถึง

กำหนดงานมีดังนี้

วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๓๒ เริ่มงานตั้งแต่ตอนเช้า
เวลา ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ หลังจากนั้นถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์และสามเณร เลี้ยงอาหารท่านที่ไปในงาน

ขณะที่ท่านไปถึงในงาน ตั้งแต่เวลา ๙.๐๐ น. เป็นต้นไปทุกท่านที่ประสงค์จะทำบุญ ทำได้ตลอดเวลาและถ้าคณะศิษย์ของหลวงพ่อลักษณ์ และท่านที่ไปทุกท่านประสงค์จะสรงน้ำหลวงพ่อลักษณ์ ก็สรงท่านโดยรดที่มือได้ตลอดเวลา

อาตมาและคณะจะเดินทางออกจากวัด ไปในงานนี้ เวลา ๘.๐๐ น. ถึงวัดหลวงพ่อลักษณ์คาดว่าคงไม่เกิน เวลา ๙.๐๐ น. เป็นอย่างช้า ทั้งนี้ถ้าไม่มีอุปสรรคระหว่างทาง เมื่อถึงเวลา ๑๔.๓๐ น. อาตมาก็ต้องพาคณะกลับ เพราะมาถึงวัดต้องให้เด็กนักเรียนกินข้าวแล้วกลับบ้าน เพราะหลายคนที่อยู่บ้านไกล

เป็นอันว่างานนี้อาตมาขอร้องให้พระครูลักษณ์จัดขึ้น โดยกำหนดให้ท่านจัด อาตมาเป็นคนสั่งให้จัดงานนี้ หากว่ามีท่านที่มีจิตศรัทธาทำบุญบ้าง ก็จะได้นำไปชำระหนี้ที่ผูกพันอยู่ตามที่จะพึงได้ ท่านที่ทำบุญกับหลวงพ่อลักษณ์ในวันนั้นก็เหมือนทำบุญให้อาตมาด้วย คิดว่าช่วยกันชำระหนี้ความดีให้ท่าน.

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

.


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/5/10 at 05:51 [ QUOTE ]


20

ระเบียบทัวร์ธรรมทาน

การที่จะไปแนะนำธรรมปฏิบัติ เยี่ยมศิษย์และเยี่ยมญาติโยมในสถานที่ท่านไม่เคยทอดทิ้งอาตมาเมื่อยามป่วยหนัก ขอปฏิบัติตามระเบียบต่อไปนี้

๑. เจ้าของสถานที่จะไม่กะเกณฑ์บอกบุญ หรือเรี่ยไรแก่ท่านที่มาสนทนาธรรม ให้เป็นที่น่ารำคาญใจแก่ผู้ใฝ่ธรรม ถ้าท่านเจ้าของสถานที่นิมนต์ไปเพื่อหวังผลในลาภสักการะ จะไม่ไปตามที่นิมนต์นั้น

๒. ถ้าบังเอิญท่านที่มามีกำลังใจใคร่ทำบุญเอง ผลของสังฆทานให้ไว้แก่เจ้าของสถานที่ ท่านจะนำไปทำอะไร ให้แจ้งให้ท่านเจ้าของทานทราบด้วย แต่ถ้าเจ้าของทานมีความประสงค์จะสร้างพระหรือวิหารทานที่วัดท่าซุง จะต้องนำไปสร้างให้ท่านตามความประสงค์ของท่าน

๓. เงินถวายเป็นส่วนตัวจะมอบไว้แก่สถานที่นั้น เพื่อบำรุงสถานที่หรือบูรณะปฏิสังขรณ์ในที่นั้น ๆ

๔. ถ้าฆราวาสเป็นผู้นิมนต์ แต่ต้องใช้สถานที่วัดรับรอง ขอให้เจ้าอาวาสวัดเห็นชอบด้วยและต้องไปรับรองด้วยตนเอง การที่เจ้าอาวาสไม่ไปรับรองกับทายกหรือผู้นิมนต์ เข็ดมาแล้ว เธอแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ตอนให้เงินเอาทั้งหมด แถมจะพยายามโกงเงินที่ให้เป็นมูลนิธิของโรงเรียนอีกด้วย (เงินให้วัดสองแสนบาท ให้โรงเรียนห้าหมื่นบาท) เธอจะยึดหมด ร้อนถึงครูโรงเรียนนั้นต้องมาขอให้อาตมายืนยันไปใหม่ นี่เจอมาแล้วนะ

๕. สถานที่ที่จะไป ต้องใช้เวลาเดินทางไม่เกิน ๓ ชั่วโมง และจะกลับเวลา ๑๔.๓๐ น.

๖. ถ้ามีคนติดตามไปมากไม่ต้องเลี้ยงผู้ติดตาม จะหาอาหารเลี้ยงกันเอง

(พระสุธรรมยานเถระ)

๑๐ กันยายน ๒๕๓๑


วันนี้ความจริงแล้วร่างกายแย่มาก ใช้ยาถ่าย ถ่ายไปแล้ว ๑๐ ครั้ง (วิ่งเข้าส้วม ๑๐ ครั้ง) ตาลาย มองไม่ใคร่เห็นเส้นหมึก แต่เกรงว่างานจะค้าง ก็เลยลุกโงเงขึ้นมาเคาะเครื่องพิมพ์ดีด มันผิดแพรวพราวเป็นระยับดีเหลือเกินถ้าไม่เขียน เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๓๑ หลวงพ่อลักษณ์ท่านไปวัดท่าซุงไปเยี่ยม เอาข้าวสารไป อาหารคนป่วยมีปลาแห้งเป็นต้นไปถวาย เป็นกิจประจำของท่าน ท่านลงทุนให้ไป

ถามทางบัญชีเขาแจ้งว่า ของของท่านรวมทั้งเงินที่นำญาติโยมไปทำบุญด้วย มีจำนวนหลายแสนบาทแล้ว คราวนี้จะชำระหนี้ท่านได้สัก ๑๐ เปอร์เซ็นต์หรือไม่ก็ไม่ทราบ ต้องสุดแล้วแต่จะพึงมีพึงได้ เรื่องนี้ขอผ่านไปกระดาษเหลืออีกนิดหนึ่ง มาคุยกันเล่นตามแต่จะนึกออกดีกว่า..!



21

ผีมาต่อว่า

วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๑ นี้ เวลาประมาณ ๑๐ น. นอนเล่น ภาวนาเล่น พิจารณาเล่น ทุกอย่างทำเล่น ๆ หมด เพราะอารมณ์ไม่เครียด เมื่อจิตเข้าถึงอุปจาระสมาธิ ก็เห็นเล็บสีแดงตามที่ผู้หญิงชอบทากัน เห็นผิวมือสีขาวแขนขาวตัวขาว คือค่อย ๆ ขาวมาทีละน้อย เมื่อเห็นครบตัวก็ทราบว่าเป็นใคร เธอก็พูดว่า เวลานี้ท่านย่ามีธุระมาไม่ได้ให้เธอมาแทน ท่านย่าสั่งมาว่า ยาระบายวันนี้ให้ใช้ครบตามที่สั่งไว้อีกวันหนึ่ง วันพรุ่งนี้ค่อยลองลดลงเหลือ ๓ เม็ด แต่ยานํ้ายังไม่งด

ต่อมาพบพระองค์ที่หนึ่งและองค์ที่สอง องค์ที่สองท่านบอกว่างานของเธอไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดและอุปกรณ์ทุกอย่างครบตามที่บอกไว้ คล่องตัวหมด องค์ที่หนึ่งท่านรับรองตามนี้ด้วย

เมื่อพระหายไปสองผีเมื่อวานนี้ก็มาตามรูปเดิม เมื่อเห็นก็จำได้แต่ไม่ทันพูดอะไร ท่านก็เอ่ยปากถามว่า เมื่อวานนี้คุณว่าผมเป็นผีหรือ ดีละวันนี้ผีจะหลอกอีก แต่เวลานี้อยู่หลอกนานไม่ได้ ขอหลอกแต่เพียงว่า ที่ว่าผมหลอกเมื่อวานนี้ รับรองว่าต้องเป็นตามนั้นทุกอย่าง ท่านบอกว่า หลอกเสร็จแล้วต้องกลับเพราะหมดเวลา ที่บ้านมีธุระเยอะ..สวัสดีจ้า..!

วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๑

วันนี้วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๑ เมื่อวานนี้วันที่ ๑๐ บอกว่า หนังสือเล่มนี้จบ ที่ต้องจบเพราะคนเขียนทำท่าจะจบ ด้วยเขียนมาก ๆ นอนดึก ๆ ก็ชักจะอานเหมือนกัน แต่ทว่าวันนี้ย่องมาเขียนอีก ก็เพราะอยากจะบอกเรื่องการป่วยไข้ไม่สบายที่ผิดปกติมันเรื้อรังมาถึง ๖ ปี ให้ทราบและมีเหตุการณ์ผ่านมาอย่างไร จะได้ทราบกันไว้บ้างเล็กน้อย

อาการป่วยจริงมันผิดปกติ เดิมทีเดียวมันก็ป่วยเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ทว่าป่วยประเภทไปไหนมาไหนได้ทำอะไรก็ได้ อย่างนี้ถือว่าป่วยเป็นปกติ ทำงานตามปกติ เดินทางเป็นปกติ ขณะที่ป่วยเป็นปกตินั้น เดิมทีเดียวก็รักษาตัวเอง มาอาศัยแพทย์แผนปัจจุบันเอาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ มี พล.อ.ต.นายแพทย์โกศล มณีจักร์ รักษาเป็นคนแรก ท่านช่วยมาด้วยดี ยาฟรี หมอฟรี ไม่ต้องเสียเงินมาโดยตลอด ต่อมาก็มีหมออีกหลายหมอช่วยกันสงเคราะห์

ตอนเข้าสู่แดนทุรกันดาร มี พล.ต.ท. นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ติดตามรักษา ที่วัด ในเมืองและในป่า ขณะที่ออกแจกของใช้ของกินแก่ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร เริ่มต้นตั้งแต่ยากิน ยาฉีดจนถึงขั้นที่หิ้วน้ำเกลือตามรักษาทุกสถานที่ไป เช้าให้น้ำเกลือ สายออกแจกของต่อมาในระยะค่อนตอนปลายมี นายแพทย์ประสิทธิ์ ฟูตระกูล เมตตารักษาทั้งในและต่างประเทศ และออกเดินทางไปรักษายังต่างประเทศด้วย

อาการของโรคตอนที่หมอประสิทธิ์รักษานี้ มีอาการแปลกเกิดขึ้นมาใหม่คือปัสสาวะไม่ออก ต้องสวนกัน เจ้าอาการนี้แปลก การที่ปัสสาวะไม่ออกส่วนใหญ่เป็นเรื่องของลูกหมากอักเสบ แต่ที่เป็นมันไม่ใช่ เป็นเพราะท้องผูก กระเพาะอุจจาระมันไปเบียดทางเดินปัสสาวะ พอจับทางได้ เมื่อปัสสาวะไม่สะดวกก็ถ่ายยาหรือล้างท้องมันก็หายไป โรคจังไรทำให้หมองง

แพทย์ที่รักษาต่อมาก็มีหลายท่านด้วยกัน มีคณะหมอดุษฎี วรทรัพย์ เป็นต้น จำชื่อไม่ได้ ต่อมาเจ้าอุจจาระมันแข็งมาก สะสมตัวเองอยู่ในท้อง ล้างหรือถ่ายยาก็ไม่ยอมออก บุณฑริกา กับ คุณทรงฤทธิ์ ช่วยกันทำการล้างหลายครั้งมันก็เฉยไม่ยอมออกมา ตอนนี้บอกเหตุการณ์ที่จะเดินทางไปเมืองผีแล้ว

ในที่สุด "ท่านย่า" มาบอกให้ล้างท้องวันละครั้ง ให้ทำการล้างอย่างนั้นติดต่อกันเป็นเวลา ๘ วัน ใคร ๆ ก็ร้องว่าตายแล้วลำไส้จะพังบ้าง เพลียตายบ้าง แต่เปล่า เจ้าลำไส้ไม่รู้เรื่องเลย มันละลายออกมาน้อยมาก ยังไม่ถึงกระเพาะประสาทลำไส้เลย

เหตุที่ต้องป่วย

เพราะเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๒๕ นำคณะไปดอยตุงไปเอาไข้จับสั่นลงมา หลังจากนั้นทำการรักษาแล้วคิดว่าเชื้อไข้หมด มันเกิดไม่หมดขึ้นมา เพราะหมอสมัยนี้กลัวยาควินนิน ใช้ยาอื่นแทน เจ้าไข้จับสั่นนี้มันเป็นไข้โบราณใช้ยาที่ค้นพบใหม่ ๆ มันไม่กลัว มันก็เลยอาศัยเม็ดเลือดทั้งกินทั้งนอนสบาย ขอบอกเหตุที่เกิดโรคเพียงเท่านี้ ในเมื่อไม่กำจัดมันมัวไปไล่โรคอื่น พ่อเทวดาไข้จับสั่นก็นอนกินอ้วนแบบเป็นสุข

ต่อมามี นายแพทย์จรูญ พ.ญ.แสงโสม ปิรยะวราภรณ์ น.พ.มนตรี อมรพิเชษฐ์กูล น.พ.ชนะ สิริยานนท์ น.พ.วัฒนะ ฐิตะดิลก พ.ญ.พงษ์ภรดี เจาฑะเกษตริน ท.พ.สุชาย สุนทราภา น.พ.วิบูลย์ ช่วยกันปลุกปลํ้ารักษา ห้านายแพทย์และรวมนางแพทย์อีกหนึ่ง ช่วยรักษาประจำตลอดมา เหมือนเป็นเจ้าของไข้ การรักษาของแพทย์ทั้งหมด ไม่มีใครเอาเงินค่ารักษา ค่ายาคนไข้ก็ไม่ต้องเสีย แต่ทว่าหมอต้องจ่ายค่ารักษา คือเอาเงินให้คนไข้ซื้อของกินของใช้ด้วย ใครอยากป่วยแบบนี้บ้างก็ได้ แต่ทว่าลูกช้างเข็ดขี้แล้วเจ้าข้า

ต่อมา พรนุช คืนคงดี รับภาระล้างท้อง พระอนันต์ เป็นเจ้าหน้าที่ถือโถน้ำยาล้างท้อง พรนุช รับภาระจัดยาถวายให้ตามที่แพทย์สั่ง ทำกันมาแบบนี้เป็นปี ๆ แล้ว พ.ญ.แสงโสม ตามไปรักษาในต่างประเทศด้วย เกือบจะเอาศพฝากไว้ที่อเมริกาแล้ว ป่วยหนักมากที่ชิคาโก้บรรเทาบ้างที่เดนเวอร์ อุจจาระพังที่แอลเอ และจะมาตายที่ประเทศไทย

ตอนนั้นสนุกสนานมาก พระยายมท่านคงเตรียมการต้อนรับแล้ว แต่ทว่าบังเอิญพระฯท่านไม่ยอมให้ตาย อุตส่าห์กระดิกกระเดี้ยมาได้จนถึงทุกวันนี้ การรักษาทุกรูปทุกแบบ ยาไทย ยาจีน ยาฝรั่ง ทั้งอัดทั้งฉีด ถ่ายยาล้างท้องทุกวิถีทาง มันไม่บรรเทา

ในที่สุด "ท่านย่า" มาแนะนำให้ใช้ยาดำผสมน้ำล้างท้อง ในขั้นแรกพอไปได้ แต่ต่อมามันไม่ละลายขี้อีกแล้ว ขี้มันแข็งเหลือเกิน ท่านย่าให้ใช้ดีจรเข้ช่วยมันดีแต่ไม่ชนะโรคถ่ายออกมาไม่หยุด ในที่สุด ท่านโกมารภัจจ์ มาตีบอกใบ้บอกยา

สมเด็จฯ ท่านอธิบายและให้ใช้ยาฉีดขนานนี้เพียง ๓ หลอด ภายใน ๒ เดือน หมอจรูญ หมอชนะ กับ หมอมนตรี ไปหาซื้อยาเกือบไม่ได้ แต่ก็ได้มา ยาขนานนี้ได้ผลทำให้เขียนหนังสือได้ ถึงแม้จะดีไม่มากก็ยังดี...สาธุ

ขอบอกย่อ ๆ เพียงเท่านี้นะ เพราะถ้าเขียนครบต้องใช้หนังสือเกิน ๒๐๐ หน้าจึงจะครบ คิดว่า ๒๐๐ หน้าคงครบไม่ละเอียดด้วยซ้ำไป พักเรื่องป่วยกันเพียงเท่านี้ ที่พูดให้ฟังเพื่อจะได้ทราบว่า เรื่องที่จะอ่านต่อไปนั้นพบเรื่องป่วยทุกวัน ท่านอาจจะรำคาญว่าเสือกป่วยไปทำไม ทำไมไม่แบ่งให้คนอื่นเขาไปบ้าง ก็ขอตอบว่า เป็นกฎของกรรม กระดาษเหลือเวลาพอมี ขออนุญาตเล่าเรื่องอีกสักนิดจะได้พอดีแก่หน้ากระดาษหรือพอดีแก่เวลา



22

ยักษ์มาถึงที่นอน

เมื่อคืนวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๑ เสร็จจากภาระกิจทุกอย่างแล้ว มองดูนาฬิกาเห็นบอกเวลา ๒๔.๐๐ น. เศษ จึงเริ่มงานประจำนั่นคือนอน ก่อนนอนกินยาช่วยหลับที่คณะของ หมอจรูญ ให้ไว้ เมื่อนอนลงไปแล้ว ลูกตถาคตคนนี้ดีมากไม่ปล่อยให้จิตว่าง

พอนอนก็เริ่มสาธยายภาวนา ตั้งท่านอนเต็มที่ พอเริ่มภาวนามีชายหนึ่งปรากฏขึ้นข้างที่นอนด้านทางขวามือ รูปร่างใหญ่โตพอสมควร เมื่อชายคนนั้นยืนขึ้นแล้ว เขี้ยวค่อย ๆ ยาวออกทีละน้อย แต่ทว่ายาวไวมาก เพียงไม่ถึงอึดใจเขี้ยวก็ยาวโง้งเช้งวับไปเลย เมื่อมองดูก็ทราบว่าไม่ใช่ยักษ์อาชีพ แบบนี้ต้องเป็นยักษ์สมัครเล่น

เมื่อเห็นว่าเขี้ยวยาวเต็มที่ไม่เลื้อยต่อไปอีกแล้ว จึงถามว่า ยักษ์ตนนี้คือใคร เสียงบอกว่ายักษ์ตนนี้คือ เวสสุวรรณ ถามท่านว่า มาทำไม ท่านบอกว่า มาอยู่เป็นเพื่อนตลอดวันแล้ว จึงบอกว่า ขอขอบคุณท่านผู้มีคุณ ท่านบอกว่า เราเป็นเพื่อนกัน ต้องบอกว่าขอบใจเพื่อน จึงเถียงท่านว่า จะว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ถูก เพราะท่านเป็นพี่ภรรยาในชาติอดีต ต้องพูดว่า ขอบคุณท่านพี่ ท่านพูดว่า ยังไม่ถูก ชาตินั้นน้องสาวท่านก็เป็นภรรยาผม เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่างคนต่างเป็นพี่ภรรยา ต่างคนต่างเป็นน้องเขย เรามีตำแหน่งเสมอกันถือว่าเป็นเพื่อนกันดีกว่า

จึงถามความเป็นมาว่า ทำไมย่องมาใส่เขี้ยวโง้งอย่างนี้ ขณะที่ท่านพูดเขี้ยวหายไปหมดแล้ว ท่านพูดว่า เมื่อตอนเย็นท่านขึ้นไปดูรูปหุ่นบนชั้นบนใช่ไหม หมายถึงอยู่ที่ชั้นสี่ มีคนเอาหุ่นยักษ์สมัยพันปีมาแล้วให้ไว้หกหุ่น เมื่อตอบท่านว่า ใช่ ท่านถามว่า เขี้ยวผมเมื่อสักครู่นี้กับเขี้ยวยักษ์ที่ท่านไปดูเหมือนกันไหม ก็ตอบท่านว่า เหมือนกันเปี้ยบเลย..!

ท่านบอกว่า เพราะท่านไปดูยักษ์มา คนชอบพูดว่าเวสสุวรรณเป็นยักษ์ เขียนรูปเวสสุวรรณมีเขี้ยว ผมก็เลยออกแบบเขี้ยวยักษ์ตนนั้นมาให้ท่านดูแล้วท่านก็พูดว่า บอกลูกบอกหลานด้วยว่า ถ้าเห็นภาพอะไรใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ขอให้บอกภาพนั้นว่า ขอดูภาพที่เป็นจริงยามปกติของท่าน ทุกคนจะรู้จักของจริง ไม่ใช่คิดไว้ว่า คนนั้น สิ่งนี้ รูปร่างอย่างนี้ เขาจะมาตามรูปนั้น ในที่สุดก็หลงผิด ขอให้ถามเหมือนท่าน ถามผมอย่างนี้จะรู้จักของจริง

บอกข่าวนิดหนึ่งว่า วันนี้แขกมามาก ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีคนใหม่ ท่านพาคณะมาเยี่ยมด้วย พระมหาถวัลย์ วัดโพธิ์ เมืองปัก อ.ปักธงไชย จ.นครราชสีมา พาคณะเอาเงินมาถวายสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นเงินแสนสองหมื่นบาทเศษ

ญาติโยมนอกจากนี้ ที่มาจากที่อื่นถวายไว้สองหมื่นบาทเศษ วันที่ ๑๕ กันยายน ต้องชำระหนี้เขาหลายแสนบาท คิดว่าคงบรรเทาไปได้บ้าง แต่เงินสร้างพระ ท่านสร้างทั้งปั้นและหล่อ ต้องฝากธนาคารไว้สร้างเฉพาะพระให้ท่าน สาธุ หมดกระดาษพอดี..จบทีนะจ๊ะ..!

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 26/5/10 at 06:19 [ QUOTE ]


23

บันทึกพยากรณ์พิเศษ

พยากรณ์ที่ "ตึกอินทราพงษ์" เวลาประมาณ ๑๐ น. เศษ ในภาพนั้นมีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ในภาพพระนิพพาน เมื่อท่านนั่งในอากาศเคียงกัน ดูแล้วไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะสวยสดงดงามเหมือนกัน ต่อมาพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านบอกฉัน

"..ฉันคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า ขอพยากรณ์ว่า นับตั้งแต่วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๓๑ เป็นต้นไป ถึงแม้ว่าชะตาชีวิตของเธอในบัญชีพระยายม จะยังอยู่ในระหว่างตัวหนังสือสีน้ำเงิน ซึ่งแสดงว่าร่างกายเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ โรคเริ่มถอยลง ต้องรอการบำรุงรักษาร่างกายที่ทรุดโทรมมาถึง ๖ ปี

ในช่วง ๖ ปีนี้สภาพควรตายปาณาติบาตที่ทำมา แต่บุญของเธอก็ทำไว้มหาศาล ทั้งสองอย่างจึงต้องยื้อแย่งกัน แต่ในที่สุดบุญก็ชนะ บาปเริ่มอ่อนกำลังลง ต่อนี้ไปจะดีขึ้นตามลำดับ จนถึงดีที่สุดร่างกายจะสมบูรณ์และบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะ และ ธรรมะที่อบรมไปจะมีผลมากขึ้นมหาศาล นับตั้งแต่วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๑ เป็นต้นไป ลาภจะมีมากกว่าที่เป็นมา.."

วันที่บันทึกนี้เป็นวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๑ ทั้งนี้เป็นผลของคำพยากรณ์ ผลของคำพยากรณ์ใน ๔ วัน มีผลดังนี้

๘ ก.ย. ๓๑ มีคนมาหาไม่กี่คน คนทำบุญไว้ ๑,๒๐๐ บาท แต่ตอนเย็นไปสรงน้ำ พระอนันต์ นำเงินค่าเทปคำสอนที่ซอยสายลมไปถวายหนึ่งหมื่นเศษ

๙ ก.ย. ๓๑ มีคน ๒ - ๓ คนเกือบไม่มีใครเลย เงินทำบุญวันนี้ได้ ๑๒๐ บาท แต่ วิวัฒน์-วิชัย โกศล เอาเงินมาถวายสามหมื่นบาท

๑๐ ก.ย. ๓๑ มีคนมาหลายคนหน่อย คนทั่วไปถวายหลายพันบาท พวกหนองแขมถวายหนึ่งแสนเศษ

๑๑ ก.ย. ๓๑ คนทั่วไปถวายสองหมื่นเศษ คณะมหาถวัลย์ วัดโพธิ์เมืองปัก จ.นครราชสีมา ถวายสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า หนึ่งแสนสองหมื่นบาทเศษ

เป็นอันว่า คำพยากรณ์ของพระปัจเจกพุทธเจ้าตรงเผง ไม่พลาดเลย และท่านตรัสว่า ตามผลนี้เป็นผลลัพธ์แบบธรรมดา พิเศษจากนี้มีอีก จะทราบได้ตามบัญชีพระยายม



24

บัญชีพระยายม

ท่านลุงทั้งสองมาหา ท่านกางบัญชีขึ้นให้ดูปรากฏลาภดังนี้ ระยะนี้อยู่ในเขตอักษรสีน้ำเงินถือว่าทุกอย่างเป็นไปแบบธรรมดา เมื่อถึงเดือน ๑๐ แรม ๑๕ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๑ ตั้งแต่นั้นไปลาภสักการะจะดีขึ้นมาก เมื่อถึงเดือน ธันวาคม ๒๕๓๑ ในเดือนนั้นลาภจะมีมากเป็นพิเศษ หลังธันวาคม ๓๑ ลาภจะมีแบบเรียบ ๆ เรื่อยไป

วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ เรื่อยไปเป็นเวลา ๗๕ วัน จะมีลาภมากเป็นพิเศษดีทั้งทางโลกและทางธรรม ของที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ก็ได้มา ไม่เคยคิดว่าจะมีก็มีขึ้นมา การไปเยี่ยมเพื่อแนะนำในทางปฏิบัติธรรม คนจะเข้าใจในธรรมดีมาก รถที่ต่อขึ้นมาเพื่อสอนธรรมเป็นรถที่นำลาภไปให้สถานที่นั้น ๆ การมีลาภของเธอเป็นต้นเหตุให้ลูกหลานที่สงเคราะห์เธอทำบุญร่วมกับเธอ ต่างคนต่างก็มีลาภรวยขึ้นตามฐานะ

คำพยากรณ์แรกที่เป็นหลัก

แรม ๙ ค่ำ เดือน ๙ โรคจะหายเครียดเข้าเขตบัญชีสีปกติ คือสีน้ำเงิน
เดือน ๑๐ แรม ๑๕ ค่ำ เป็นต้นไปเข้าเขตตัวหนังสือสีทอง

๑๗ กันยายน ๒๕๓๑

ส. สังข์สุวรรณ บันทึก


วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๑

วันนี้อาการทางร่างกายไม่ดีมาก เพราะเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๑ ลองลดยาถ่ายรัตนไตรไปหนึ่งแก้ว เคยกินสองแก้ว ๆ ละ ๓๐ ซี.ซี. เมื่อวันที่ ๑๑ กิน ๑ แก้วท้องเลยถ่ายไม่หมด พะอืดพะอมมึนศีรษะ เดินทำท่าเหมือนจะล้ม ต้องถูกทรมานจากเจ้าขี้ในท้องทั้งวัน วันนี้ ๑๒ ก.ย. เลยต้องกินตามเดิม พอกินตามเดิมสักครู่เดียวอาการมึนงงค่อยคลายตัวนอนสักครู่หนึ่ง ก็ลุกขึ้นมาเขียนหนังสือนี้ มองดูเวลาเห็นเวลา ๑๘.๑๐ น. พอดี

เรื่องของร่างกายเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยงขนาดนี้ เกิดแล้วมีทุกข์ ทุกข์ทรมานนาน พอสิ้นอายุก็ตาย ตายแล้วไปไหน เขาเอาไปฝังบ้าง เผาบ้าง โยนทิ้งไปบ้าง เราเอากลับคืนมาได้หรือเปล่า เปล่าทั้งเพ ป่วยการเกิดต่อไปและไม่อยากอยู่นาน เพราะมันทรมานสิ้นดีพอกันทีเรื่องของอนิจจัง

ต่อไปนี้มาคุยกันถึงเรื่องนิจจัง อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง นิจจัง แปลว่า เที่ยง เรื่องของนิจจังก็คือเกิดแล้วเสื่อม เมื่อเสื่อมก็มีทุกข์ แล้วก็ตาย อะไรทำให้ทุกข์ นั่นคือ อารมณ์หลง หลงสรรเสริญ หลงนินทา

วันนี้ตอนเช้าพบของดีมีคนโทรศัพท์มาบอกว่า อยากจะคุยกับ "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" เสียงเธอพูดทางโทรศัพท์เสียงแข็งกร้าวมากฟังแล้วเหมือนเสียงของเมียที่กำลังโกรธเพราะหึงผัว เสียงไม่เพราะวาจาไม่น่าฟัง เสียงอย่างนี้ไม่มีใครอยากพูดด้วย เมื่อได้ยินแล้วก็รอฟังต่อไป เสียงพระที่รับสายบอกว่า หลวงพ่อท่านหลับ

ความจริงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านอยู่ในห้อง ใส่กลอนนอนองค์เดียว เมื่อไม่ถึงเวลาท่านออก ใครก็พบท่านไม่ได้ นอนคิดอยู่ว่า ถ้าพระไปเคาะประตูเรียกท่าน ท่านจะออกมา "โฮกปิ๊บ" หรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่เอาคำว่า "โฮกปิ๊บ" ไม่ใช่เสียงลิง มันเป็นเสียงเสือ ถ้าลิงต้องใช้เสียง "เจี๊ยกคร่อกๆ เจี๊ยกคร่อกๆ" และจะแสดงท่าเกาข้างเกาหัวนั่งลิ้นยาว ตาปลิ้น (แลบลิ้นแหกตาหลอกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ)

เป็นอันแม่คนนั้นคนโทรศัพท์มาเป็นหญิง แกโมโห พระมีชัย ที่ตอบเธอไปว่าหลวงพ่อหลับ เธอกระแทกเสียงตามมาว่า จะตื่นเมื่อไร เมื่อไรจะได้พูดกัน แล้วเธอก็วางหูโทรศัพท์กระแทกดังฟังถนัด

เรื่องนี้เป็นนิจจัง..เป็นความจริงของชาวโลก คนที่ไม่รู้จักกันเลย อยู่ไกลกันยังโกรธกันได้ เมื่อเธอวางหูแล้ว เห็นหลวงพ่อท่านยังไม่ออกจากห้อง เพราะเพิ่งจะ ๙.๐๐ น. จึงนอนจับอานาปาพร้อมกับภาวนาคาถาบทสุดท้ายเมื่อฝึก พอเริ่มจับทั้งสองอย่าง จิตก็สงบนึกถึงลุงท่าน อยากทราบว่ายายคนนี้เป็นใคร โทรมาเพื่ออะไร ทำไมต้องเจาะจงพูดกับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ท่านลุงมาทั้งสองลุง ท่านลุงพุฒบอกว่า แม่คนนี้พี่แกเป็นโรคประสาทที่เราช่วยไม่ได้ เพราะแกใกล้ล้มละลาย ช่วยแกไม่ได้เลย เป็นคนมีนิสัยแข็งกร้าวมาก ชอบใช้อำนาจจนคนเขาเกลียด คราวนี้ได้รับผลกรรมที่ทำไว้ จะต้องล้มละลายจึงเกิดอาการกลุ้ม เกินวิสัยที่เราจะช่วย ท่านบอกแล้วท่านก็กลับ จึงหันไปหาพระ พระท่านบอกว่า เธอเป็นโรคประสาทจากเหตุที่เราช่วยไม่ได้ เป็นอันว่าหมดเรื่องกันไปนะ..อีหนู..!

ขอคุยกันต่อไป เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ออกไปกินตามปกติ เห็นอาหารมากเต็มโต๊ะ นึกในใจว่า ถ้าซื้อเขา อาหารเท่านี้กี่ร้อยบาท มองดูแล้วคิดว่า ๕๐๐ บาท ซื้ออาหารได้ไม่เท่านี้ อาหารวันนี้มีทุกรูปแบบ เป็ด หมู กุ้ง ปลา ผักสด ผักดอง มีครบ น้ำพริก ๒ ถ้วย น้ำปลา ๒ ถ้วย หลนปลาเจ่า ๑ ถ้วย กินเสียอิ่ม พวกสุพรรณฯ มาเลี้ยง และ ขาหมู เข้าใจว่าคนกรุงเทพฯ เห็นแต่งตัวสวย ๆ เอามาเต็มขาเลย ท่านเอามาถวายพระทั้งวัด พระคือฉัน ก็เลยได้กินกับเขาด้วย

เมื่อถึงเวลารับแขก โทรถามพระเจ้าหน้าที่รับแขก ท่านบอกว่ามีแขกมาคอยแล้ว จึงลงไปรับแขกเวลา ๑๓.๓๐ น. เมื่อลงไปเห็นท่านสาธุชนถวายสังฆทานกันเยอะ ก็ดีใจเพราะอานิสงส์สังฆทานใหญ่มาก คือ

๑. อาหาร เป็นเหตุให้มีร่างกายเป็นทิพย์
๒. ผ้าไตร หรือ ผ้าเหลือง เป็นเหตุให้มีเครื่องแต่งกายสวย
๓. พระพุทธรูป เป็นเหตุให้มีแสงสว่างจากร่างกาย ร่างกายเมื่อเป็นคนผ่องใสมาก เป็นนางฟ้า เทวดา พรหม มีแสงสว่างจากร่างกายมาก

เมื่อท่านถวายเสร็จ คุณประเสริฐ เหลืองโพยมนิมิต หัวหน้าคณะสังฆทานสุพรรณบุรีมาด้วยกัน ๙ คน บ้านคณะนี้อยู่ในเขตอำเภอสองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี คุณประเสริฐเอาเงินที่เหลือจากค่าอาหาร ๘๕๐ บาทมาถวาย ท่านจ่ายให้ทางโรงครัวทำอาหาร ๓,๐๐๐ บาท เหลือ ๘๕๐ บาท ลืมจดชื่อคณะของท่านไว้ทุกคน คราวต่อไปขอชื่อไว้ทุกคนด้วย เป็นอันว่าวันนี้รับเงินที่ถวายแล้ว ๘๕๐ บาท ถวายส่วนกลางอีก ๕๓๗ บาท รวมรับวันนี้ทั้งหมด ๑,๓๘๗ บาท



25

ผีหลอก

เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘-๒๕๒๙ เรื่องผีและไสยศาสตร์มีมาที่วัดท่าซุงมาก เพราะหัวหน้าผู้ใช้วิชานี้ สามารถเข้ามาอิงแอบที่วัดนี้ ด้วยทำตนเป็นสาธุชน ก็พยายามสนับสนุนเพื่อให้กลับตนเป็นคนดี แต่ทว่าไม่มีใครทำตะกั่วให้เป็นทองคำฉันใด ฉันก็ไม่สามารถทำคนเลวให้เป็นคนดีได้ ในที่สุดเขาก็ร่วมมือกับคนภายนอกทำร้ายฉัน วิธีทำร้ายก็คือ..

เมื่อฉันป่วยเขาพยายามมาเยี่ยมและเอาผีมาด้วย หวังให้ยึดครอบงำฉัน เมื่อไม่สำเร็จก็เอาผีบังคับหมาให้หมาของฉันคอยขวางหน้าขัดขาให้ฉันล้ม ถ้าฉันล้มเมื่อไรตอนนั้นผีจะเข้าคุมฉัน เป็นอันว่าฉันต้องตาย และเขาก็ร่วมกันวางแผนกับเพื่อนของเขา จะเข้ามาควบคุมทรัพย์ของวัดที่ท่านสาธุชนทำบุญมา ในที่สุดเขาจะหาทางเอาทรัพย์ที่พอจะเป็นเงินได้หมดแล้ว เขาก็จะยึดวัดเป็นกองบัญชาการของเขา เขาเป็นใครไม่ควรรู้

วันหนึ่งฉันนอนป่วยอยู่ที่สวนทองหลางที่ "อาศรมแม่ใหญ่" เห็นผีมายืนอยู่ด้านทิศเหนือ ตรงวิหารร้อยเมตรเวลานี้ ขณะนั้นยังไม่ได้ซื้อเป็นที่ของวัด มายืนเรียงรายกันประมาณ ๑๐ คนเศษ เธอเข้าเขตวัดไม่ได้ ฉันเห็นแล้วคิดในใจว่า ผีประเภทนี้ถ้าถอยหลังไป ๔๐ ปีเศษฉันจับมัดเฆี่ยน แล้วมัดไว้เลย

แต่ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านพ่อ ท่านแนะนำว่าผีพวกนี้มีทุกข์คนเขาใช้คาถาบังคับมา เธอไม่ได้เต็มใจทำอย่าลงโทษเธอเลย ขอให้ช่วยเธอปลอดภัยดีกว่า จึงหวังช่วยเธอ คณะท่านมหาราชปล่อยเธอปลอดจากคาถา ให้เป็นอิสระไม่ต้องอยู่ในอำนาจเขาอีก พวกเธอดีใจมาก เข้ามากราบขอส่วนบุญ ก็อุทิศให้เธอ เธอบอกความจริงหมด ใครใช้มามีความประสงค์อะไร

เรื่องไปลงเอยเอาว่าเขาหาว่าฉันขัดขวางเขาในการยึดประเทศไทย เพราะมีศิษย์มาก ทำให้เขาสร้างความแตกแยกในหมู่คนไทยมาก ถ้าไม่เข้าใจเขาว่าทำไมจึงต้องคิดอย่างนั้น การใช้ผีมาเพื่อทำร้ายคนในวัดนี้และคณะ เขาใช้เกิน ๒๐ ครั้ง เมื่อไม่สำเร็จเขาก็ใช้ไสยศาสตร์ทำตะปูมา และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย จนถึงเผารูปหุ่นในสวนทองหลาง มะพร้าวตายไปหนึ่งต้น ผลงานของเขาก็ไม่สำเร็จวิชาอย่างนี้ ถ้าเราไม่กลัวและไม่ลืมพุทโธ ไม่มีใครเป็นอันตราย

วันนี้ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๑ เขียนมาแล้วรู้สึกว่า จะขาดต้มยำไป เลยชืด ๆ ไม่เปรี้ยวไม่เค็ม เพราะขาดเรื่องของนิมิต ในเมื่อไม่มีอะไรปรากฏก็ไม่มีอะไรบันทึก แต่บังเอิญมีตอนเช้าตรู่ ๔.๐๐ น. เศษ ออกไปเดินเล่น (จงกรม) หลังจากเดินเล่นแล้วเข้าที่นอนเวลา ๕.๔๐ น. แต่ไม่ได้นอนหลับ เก็บเครื่องนอนแล้วก็ไปล้างหน้า กินยาธาตุ

เห็นว่าพอมีเวลา เพราะเป็นนาฬิกาบอก ๖.๐๐ น. จึงเอนกายลงนอน จับ "อานาปา" พอจับปับจิตก็ใสปุบ จึงขยับออกจากที่นอน นั่งสูงกว่าที่นอนนิดหนึ่ง ใช้ภาพละเอียดปล่อยภาพหยาบไว้ที่เดิม เอาภาพละเอียดออกไปใช้ไปเห็นเทวดาและนางฟ้าที่ท่านช่วยอารักขา มีมากมายจึงยกมือพนมแล้วกล่าววาจาขอบคุณท่าน ที่ทุกท่านเมตตาให้การสงเคราะห์อารักขา ตามที่โบราณท่านพูดว่ามีเทวดารักษาตัวนี้มีจริง

เวลานั้นกายละเอียดมีเครื่องแบบ ท่านท้าวมหาราชท่านอยู่ใกล้ที่สุด มีท่านเวสสุวรรณเป็นหัวหน้า ปกติท่านแต่งกายเหมือนมนุษย์ธรรมดา เมื่อท่านเห็นกายละเอียดมีเครื่องแบบทุกท่านเลยมีเครื่องแบบหมดทุกท่านสวยงามมาก เห็นท่านย่าและแม่ของลูกทุกคนและลูกอีกมากมาย ต่างคนต่างนั่งติด ๆ กันไปมากเหลือเกิน เมื่อกล่าววาจาขอบคุณทุก ๆ ท่านแล้ว ถามท่านเวสสุวรรณว่า วันรุ่งขึ้นมีศัตรูไหม ? ท่านตอบว่า ไม่ซิ..!

ถามท่านว่า ในวัดนี้จะมีพระหรือคนภายใน ภายนอกทำให้เดือดร้อนไหม ท่านบอกว่า ไม่มี แต่พวกที่โลภในลาภยังมีใจไม่ปกติ อย่าปล่อยให้เหลิงจะมีภัยได้ พยายามหาทางระงับ ถ้ามีจังหวะให้เตือนให้ทราบ เพราะบางคนมีความโลภเป็นปกติ บางคนมีอารมณ์หวั่นไหวเป็นปกติ จงระงับด้วยเมตตา แต่ถ้าดื้อก็กำจัดออกไปเสีย ท่านบอกให้ ก็รับฟังและคอยดูกันต่อไป

คิดว่าคงไม่มีใครเลวอีกบางคนทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ คิดว่าคงกลับตัวกลับใจได้แล้วทั้งหมด ถ้าไม่กลับตัวกลับใจก็คงอยากกลับบ้านเดิม ท่านบอกต่อไปว่า มีนักบวชภายนอกมันคอยจับผิดเพราะริษยา แต่ไม่เป็นไร เราถือว่าเราทำถูกตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ก็หมดเรื่องกัน ถูกเรายอมรับ ผิดเราปฏิเสธ หมายถึงเขาทำถูกมา แต่ถ้าเขาทำผิดมาเราก็ไม่ยอมเลวไปด้วย พวกเลว ๆ พอหาได้กระมัง

ต่อมาท่านย่าเตือนเรื่องการใช้ยา เพราะลดยาระบายจึงรู้สึกไม่สบายอีก ท่านให้ใช้ยาตามเดิมไปก่อน เมื่อยังดีไม่พอไม่ควรลดยา ให้สังเกตอาการของโรคและร่างกายไว้ด้วย เมื่อถามท่านเวสสุวรรณและท่านย่าบอกว่า วันที่ ๑๓ นี้มีแขกมากไหม ท่านบอกว่ามีไม่กี่คน เมื่อคุยกันจบกำลังจะชวนกันไปไหว้พ่อและไหว้พระก็พอดีสองลุงมาถึง

ท่านชวนว่า ไปบ้านผมเถอะวันนี้มีการสอบสวนคนจะบรรลุพระโพธิญาณ คิดในใจว่า พระโพธิสัตว์ย่องลงนรกอีกแล้วหรือ เห็นนาฬิกา ๖.๑๐ น. เลยชวนท่านลุงทั้งสองที่นุ่งโสร่งเก่าแบบภาคภูมิชวนท่านว่า งานดูการสอบสวนเอาไว้ก่อน ไปไหว้พระกันก่อน ลุงตกลงไปด้วย ตอนนี้โสร่งหายมีเครื่องแบบเก๋ไม่น้อย แต่งตัวเหมือนท้าวมหาราช

เมื่อไปถึงดาวดึงส์เข้าไหว้ท่านพ่อ ท่านพ่อท่านบอกว่าไปที่ประชุมใหญ่กันเถอะ ท่านสหัมบดีพรหม คอยอยู่แล้ว ไปที่ตรงนั้นพร้อมกันหมดทั้งพรหม เทวดาพระโพธิสัตว์เข้าไปไหว้ท่านทุกองค์ ท่านสหัมบดีพรหมกล่าวคำขอบใจ เทวดา นางฟ้า ที่ช่วยอารักขาและตรัสแนะนำเล็กน้อย เพราะเวลามีน้อย จึงเข้าไปหา พระศรีอาริย์ และ หลวงพ่อปาน

หลวงพ่อปานท่านเตือนเรื่องการกินยา ท่านบอกว่า อย่างเพิ่งลดยาเลย ลองลดได้แต่ถ้ามีปฏิกิริยาผิดปกติให้ใช้เท่าเดิมทันที หลังจากนั้นก็ชวนกันทั้งหมดไปไหว้พระ พระท่านขอบใจเทวดาและพรหมที่ช่วยอารักขาลูก ท่านแนะนำพอสมควรแล้วก็พาลากลับ เมื่อกลับมาถึงที่อยู่ ก็ประชุมกันเพื่อไปบ้านลุง เป็นอันว่าไปด้วยกันหมด พระท่านมาท่านบอกว่า ฉันไปด้วย เพราะคนนี้เป็นพระโพธิสัตว์บารมีต้น ความรอบคอบยังน้อยแต่มีความเข้มแข็งดี

ลุงจึงนำหน้าไปบ้านท่าน ภาพต่าง ๆ เป็นไปตามเดิม มีคนยืนเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ตามที่เขียนมาแล้วในตอนต้น จะได้รู้ละเอียดขืนเขียนอีกก็เมื่อยมือ สร้างความรำคาญให้แก่ผู้ที่อ่านมาแล้ว พวกจะลงนรกสอบสวนง่าย ถามอะไรก็พูดไม่ได้ ถามเรื่องบาปก็นิ่ง ถามเรื่องบุญก็นิ่ง พวกนี้เขาจูงไปนรกต่อหน้านับร้อย ต่อมาได้ยินเสียงลุงพูดว่า เอาพระโพธิสัตว์เข้ามา ผิวคลํ้าร่างกายใหญ่หน้าผากกว้างรูปร่างสมส่วน

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/6/10 at 05:57 [ QUOTE ]


26

สอบสวนพระโพธิสัตว์

เมื่อเจ้าหน้าที่พาเข้ามาแล้ว พนักงานสอบสวนถามถึงบาปท่านผู้นี้ตอบได้ฉาดฉานชัดถ้อยชัดคำ

๑. เมื่อเขาถามถึงปาณาติบาต ท่านรับว่า ได้เคย ตกปลา ดักลอบ ดักไซ ดักลัน ทอดแห ลงข่าย เชือดไก่หนึ่งตัว เป็ด ๑ ตัว
๒. เขาถามถึงอทินนาทาน ท่านตอบว่าไม่ได้ทำ
๓. เขาถามถึงกาเมสุมิจฉาจาร ท่านตอบว่า มี ๓ คน เพราะเขาเหงา เขามาหาท่านเพื่อให้บรรเทาความเหงา ท่านก็สงเคราะห์ไปสามคน ๆ ละหลายรอบ
๔. ถามถึงมุสาวาท ท่านบอกว่า โกหกแน่เพราะชอบสาวโสดวัยรุ่น ต้องโกหกจึงจะมีผล
๕. ถามถึงสุรา ท่านบอกว่ากิน

รวมความกลัวบาปทุกประเภทที่ทำมา ทำมาถึงอายุ ๔๐ ปีจึงหยุด เพราะสลดใจ จึงเริ่มทำบุญ ท่านบอกว่า เมื่อเริ่มทำบุญก็เลิกบาปทั้งหมด บูชาพระ เจริญภาวนา รักษาศีลห้าและกรรมบถ ๑๐ ถวายสังฆทานเป็นปกติ เมื่อ ๔ ปีที่แล้วมา ได้ไปเจริญสมาธิที่วัดท่าซุง ตั้งใจระงับใจทุกอย่างจากบาป ได้ถวายสังฆทาน ๕ ครั้งอุทิศส่วนกุศลให้สัตว์ที่ฆ่าขอให้อโหสิกรรมตามที่ท่านแนะนำ

เขาถามว่าปรารถนาพุทธภูมิเมื่อไร ท่านบอกว่า เมื่อเจริญกรรมฐานพอไปสวรรค์ได้เป็นต้นไป เห็นพระพุทธเจ้าแล้วอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง จึงปรารถนาพุทธภูมิ

เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนเสร็จลุงเรียกมาพบ ท่านขอให้ยืนยันเรื่องบาปและบุญ ท่านผู้นี้พูดได้คล่องและชัดเจนมาก ลุงเรียกเป็ดมาเป็นพยาน เป็ดยืนยันว่าคนนี้จับเชือดคอแกงกินกับเหล้า เพื่อเลี้ยงเพื่อนลุงเรียกไก่ตัวแรกเข้ามาเป็นไก่ตัวผู้เธอยืนยันเหมือนเป็ดไก่ตัวที่สองเข้ามา เธอบอกว่าเธอมีลูก ลูกเธอมีขนเต็ม คนนี้เชือดเธอแกงเลี้ยงเพื่อนกินเหล้า ไก่อีกสองตัวให้การเหมือนกัน มีปลาเข้ามาเยอะ ลุงบอกว่าพอแล้ว

ท่านถามเขาว่า เธอใจดุร้ายรักเพื่อนมากกว่าตัวเธอ เวลานี้เธอจะต้องลงนรก เพื่อนไม่ยอมมาลงด้วย ท่านผู้นั้นน้ำตาร่วงก้มหน้า และพูดเบา ๆ ว่า ผมทำบุญอุทิศให้สัตว์ทั้งหมด ขอให้อโหสิกรรมและขอให้ท่านเป็นพยานให้ผมแล้วนี่ครับ ลุงถามสัตว์พวกนั้นว่า อโหสิกรรมให้เขาหรือเปล่า เธอบอกว่าอโหสิกรรมแล้ว

ลุงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องลงนรกไปสวรรค์ได้ตามบุญ เธอจะไปชั้นดุสิตเพราะเป็นพระโพธิสัตว์หรือจะไปชั้นดาวดึงส์ เธอตอบว่าชั้นดุสิตยังเข้าไม่ได้เพราะกำลังบารมียังอ่อน ขอไปดาวดึงส์ตามกำลังของบุญ ต่อมาลุงให้ออกมาคุยกัน ท่านแนะนำพอสมควรแล้วก็ปล่อยให้ไปดาวดึงส์ พอดีถึงเวลาเด็กขึ้นมารับเลยต้องพักเท่านี้

ชายคนนี้ตายเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๑ บ้านอยู่ทางทิศเหนือไม่ไกลภูเขานัก ฐานะพอทำพอกิน แต่กำลังใจเรื่องบุญความเด็ดเดี่ยวมีมาก

จบเรื่องวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๑

วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๑

วันนี้กินข้าวกับผักบุ้งดอง ความจริงกินอย่างนี้มาหลายวันแล้ว ผสมปูเค็มจิ้มน้ำพริกแซ่บอีหลีดีมาก เพราะกินผักบุ้งอย่างนี้ไม่ได้มา ๕ ปีเศษ เมื่อกินได้เลยเอร็ดอร่อย คิดตามประสาคนอยากกิน เรื่องอาการป่วยบรรเทาขึ้นบ้าง แต่ต้องเพิ่มยาตามที่ท่านสั่งพระท่านสั่งว่ากินยาเต็มกำลังอีก ๗ วัน ก็ต้องกินตามท่านสั่ง เพราะหมอที่รักษาร่างกายให้ฟื้นมาได้ก็อาศัยพระท่านแนะนำด้วย รักษาตามหลักวิชาของหมอด้วย ร่วมกันทั้งสองอย่าง ร่างกายพอจะดีขึ้นบ้าง

เมื่อวานนี้บอกไว้ว่า ปีนี้ ๒๕๓๑ ต้องหาเงินค่าไฟฟ้าและอาหารวันละ ๔,๐๐๐ บาท ถ้าหาได้ไม่ครบก็ต้องเป็นหนี้เพื่อใช้ในงานส่วนนี้ ส่วนค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมีมากกว่านี้มาก กรรมแท้ ๆ ที่เกิดมาเพื่อทำงาน คนอื่นเขาทำงานเขามีค่าจ้างมีเงินเดือน แต่ฉันมีหน้าที่ทำให้คนอื่นกินคนอื่นใช้ แต่ว่าฉันหวังผลตอบแทนค่าเหนื่อยคือนิพพาน เมื่อหวังนิพพานเป็นค่าเหนื่อย เลยเห็นว่าเหนื่อยยังน้อยไป ต้องเหนื่อยต่อไปอีกจนกว่าจะครบราคาค่าพาหนะไปนิพพาน

วันนี้โชคดี รับธนาณัติจากในประเทศ ๑๐๓,๓๐๐ บาท ต่างประเทศ ๔,๓๕๐ บาท เป็นเงินก่อสร้างและสังฆทานที่ให้มา สังฆทานใช้ในเรื่องอาหารและไฟฟ้าได้ ก่อสร้างต้องเก็บไว้ก่อสร้างใช้อย่างอื่นไม่ได้ เป็นอันว่าวันนี้หายใจโล่งไปหลายวันเพราะทุนสำรองใช้จ่ายพอมีบ้างแล้ว ให้พนักงานการเงินร่วมกับตำรวจและธนาคารไปรับพร้อมกัน พอรับได้เข้าธนาคารเลย เรื่องการเงินงดเท่านี้เพราะสบายใจ เอาไว้ดูเงินประจำวันอีกตอนหนึ่ง

หมายเหตุ: เงินธนาณัตินี้ ไม่ใช่เงินส่งมาวันเดียว เมื่อรับหลาย ๆ วันก็รวมไปฝากธนาคารครั้งหนึ่ง วันนี้มีเงินถวายเมื่อรับแขก ๙๒๘ บาท ตอนเกือบ ๑๖.๐๐ น. อาจารย์บุปผาชาติ (โอ๋) พงษ์ประดิษฐ์ นำเงินมาถวายเพื่อสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐,๐๐๐ บาท เงินที่ถวายวันนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินสร้างพระ วิหารทาน เงินถวายเพื่อสังฆทานไม่มากนัก เงินถวายส่วนตัวเล็กน้อย ปกติก็ถวายเป็นของสงฆ์หมดเพื่ออานิสงส์ใหญ่ของท่านเจ้าของเงิน

รวมเงินที่รับวันนี้

๑. ธนาณัติในประเทศ ๑๐๓,๓๐๐ บาท
๒. ธนาณัติจากอเมริกา ๔,๓๕๐ บาท
๓. รับเมื่อลงรับแขก ๙๒๘ บาท
๔. บุปผาชาติสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐,๐๐๐ บาท

รวมทั้งสิ้น ๑๑๘,๕๗๘ บาท


ทั้งหมดนี้พอวันที่ ๑๕ ก็จ่ายเรียบร้อย เพราะจ่ายค่าแรงงานและวัตถุก่อสร้างตอนกลางเดือน และปลายเดือนจ่ายอีกครั้งหนึ่ง ปลายเดือนจ่ายสรุปในเดือนซึ่งจ่ายมากกว่ากลางเดือนหลายเท่า

เวลากลางคืน ของวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๑ วันนี้ร่างกายไม่ดี มีเวลาว่างกลางคืนหนึ่งชั่วโมง หลังจากจงกรมมาแล้ว ก็หาทางท่องเที่ยวแก้รำคาญ เมื่อเตรียมตัวไม่รู้ว่าจะไปไหนดี หันรีหันขวางอยู่ก็ปรากฏว่ามีพระสององค์ องค์หนึ่งมีปัญญามาก อีกองค์หนึ่งมีฤทธิ์มาก เห็นท่านลอยเคว้งคว้าง..!

ในพระไตรปิฎกก็มีวิมานวัตถุอยู่แล้ว ไปสำนักพระยายมดีกว่า ดูของใหม่ ๆ จึงกราบเรียนท่านว่า วันนี้ลุงไม่มารับ ท่านบอกว่า เมื่อไม่มารับ เราก็ไปเองเพราะถ้าเรื่องไม่สำคัญและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ท่านก็ไม่มารับ เราไปเองไปเลือกเอาเรื่องที่เราเห็นชอบมาเขียนบันทึกเพื่อละดีกว่า

เมื่อท่านแนะนำอย่างนั้นก็เห็นชอบตามที่ท่านแนะนำ ท่านนำหน้าไป วันนี้ไปสามด้วยกันคือท่านทั้งสองและฉัน เมื่อไปถึงมีเทวดาทรงชุดสีแดงมีเพชรประดับออกมาต้อนรับ ลุงทั้ง ๒ กำลังมีงานได้ดูผู้ถูกสอบสวนแล้วไปนรกมากมาย น่าสงสารแต่เกินวิสัยที่จะช่วย ต่อมามีหญิงคนหนึ่งแก่มากอ้วน ผิวเนื้อค่อนข้างขาว เจ้าหน้าที่นำมาหาเจ้าหน้าที่สอบสวน



27

หญิงชาวสวนไปสวรรค์

เมื่อเข้ามาระยะแรก คุณยายงก ๆ เงิ่น ๆ มาก เพราะทั้งกลัวทั้งหิว พวกที่คอยสอบสวนนี้ บอกว่าหิวมาก หมดแรงขัดขืนหรือต่อสู้ไม่มีอาหาร แม้แต่น้ำก็ไม่มี มีทุกขเวทนามาก เมื่อเจ้าหน้าที่ถามถึงบาปมีดังนี้

ฆ่าสัตว์ไม่เลือก ฆ่าปลา เป็ด ไก่ แมลงเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน ใจร้ายขาดความเมตตา คุณยายฟังแล้วก็น้ำตาไหล ตอบเจ้าหน้าที่ว่า ทำไปเพราะจนเจ้าค่ะ ฆ่าไก่แกงขายเพราะอยากได้เงินมาใช้เป็ดก็เช่นกัน แต่ฆ่าเป็ดและไก่อย่างละตัวเท่านั้น ส่วนแมลงนั้นมากเพราะทำสวน แมลงทำลายผักที่ปลูกจึงจำเป็นต้องฆ่า ท่านเจ้าหน้าที่สอบสวนยิ้มแล้วตอบว่า น่าเห็นใจนะยาย

ต่อไปก็อทินนาทาน คุณยายตอบว่าไม่มีเลย ท่านเจ้าหน้าที่ก็ยอมรับ

เรื่องกาเม คุณยายบอกว่าไม่เคยแย่งผัวใคร มีแต่เมื่อตอนเป็นสาวผัวคนอื่นย่องมาหาถึงที่นอนไม่กล้าร้องเพราะอาย ไม่กล้าลุกหนีเพราะง่วงนอน เขาทำคนเดียวแล้วก็ไปอย่างนั้นบาปด้วยหรือเจ้าค่ะ คำตอบของคุณยายเล่นเอาเจ้าหน้าที่ทั้งหมดหัวเราะชอบใจไปตาม ๆ กัน

ท่านเจ้าหน้าที่บอกว่าอย่างนี้ไม่บาปเพราะเขามาหาเอง เหมือนของถวายพระ พระไม่ได้ไปขโมยใคร ท่านพูดแล้วก็หัวเราะ ท่านเจ้าหน้าที่ถามว่า มีผัวคนอื่นย่องมาหาทั้งหมด ๓ รายใช่ไหม คุณยายบอกว่าใช่ แต่คุณยายไม่คิดเอาเขาเป็นผัว มาก็รับไปก็แล้วกันไป ท่านเจ้าหน้าที่บอกว่าอย่างนี้หมดภาระไม่มีบาป

มาข้อมุสาวาทท่านบอกว่า เวลาเธอขายผักเธอโกหกเก่งของราคาถูกเธอบอกราคาแพงอย่างนี้ต้องบาปเพราะมุสาวาท คุณยายตอบว่า ฉันบอกว่าแพงเฉย ๆ ไม่ได้บอกราคา เขาซื้อฉัน ๆ ก็ขาย ไม่ซื้อฉันก็ไม่ขาย บาปด้วยหรือค่ะ ท่านพนักงานสอบสวนรับว่า ไม่บาป

มาข้อสุราท่านบอกว่า เธอไม่ดื่มสุราแต่เธอขายสุราเธอทำหรือเปล่า คุณยายบอกว่าทำแต่เห็นพระท่านบอกว่าดื่มจึงบาป ในศีลไม่ได้บอกว่าขาย เลยขายเพราะคิดว่าไม่บาป ท่านผู้สอบสวนยอมรับว่าไม่บาป

ต่อมาก็สอบสวนเรื่องบุญ ท่านเจ้าหน้าที่พูดเรื่องบุญที่ทำคือชอบใส่บาตรพระ ถึงไม่ทำทุกวันแต่ก็ทำเสมอ ตั้งใจจริงใช่ไหม คุณยายตอบว่า ใช่เจ้าค่ะ ท่านถามต่อไปว่า เธอใส่บาตรกลางคืนด้วยใช่ไหม คุณยายบอกว่าเอาสตางค์ใส่บาตรกลางคืนเจ้าค่ะ ท่านถามว่าชอบบูชาพระทุกวันใช่ไหม คุณยายตอบว่า ใช่เจ้าค่ะ

ท่านถามว่าชอบถวายข้าวพระพุทธรูปประจำทุกวันใช่ไหม คุณยายตอบว่าใช่เจ้าค่ะ ท่านถามว่า ชอบฟังเทศน์ ใช่ไหม คุณยายตอบว่าชอบเจ้าค่ะ ท่านถามว่า ถวายสังฆทาน ๑๐ ครั้งใช่ไหม คุณยายตอบว่า ใช่เจ้าค่ะ ท่านถามว่า เมื่อนอนชอบภาวนาใช่ไหม คุณยายตอบว่า ใช่เจ้าค่ะ

ท่านถามว่า เคยสร้างศาลา โบสถ์ กุฏิพระ โรงพยาบาลใช่ไหม คุณยายตอบว่าสร้างหลังละ ๑๐๐ บาท เจ้าค่ะ สร้างโบสถ์ ๗ หลัง ๗๐๐ บาท ศาลา ๗ หลัง ๗๐๐ บาท กุฏิ ๗ หลัง ๗๐๐ บาท โรงพยาบาลหนึ่งหลัง ๑๐๐ บาท และเคยให้ทานกับคนและสัตว์

ท่านพนักงานสอบสวนฟังแล้วก็ยิ้มแล้วท่านก็สั่งว่า ยายไปหาพระยายมซิ คุณยายก็เข้าไปหาลุง แล้วลุงก็ถามว่า บุญทุกอย่างทำครบตามนั้นหรือคุณยายบอกว่าครบ ท่านบอกว่า บาปพอประมาณแต่บุญมหาศาลน่าจะไปสวรรค์เลยทำไมต้องมาที่นี่

คุณยายบอกว่าเมื่อป่วยเป็นโรคลมขึ้นนึกถึงพระ ภาวนาพออารมณ์สบาย มีคนไปเคาะฝาบ้านและเรียกชื่อตกใจ..พระหาย..! เห็นคน ๔ คนพอดี แกชี้ไปที่ ๔ คนนุ่งแดง แล้วเขาก็พามา

ทั้งนี้ เพราะไก่เป็ดที่คุณยายฆ่าเป็นโจทก์ แต่บุญที่ทำสูงมากพอ ลุงให้ไปสวรรค์ก่อน ท่านลุงบอกว่า บุญของเธอมหาศาลทุกอย่างมีกำลังสูงมาก ขอไปดาวดึงส์ตามบุญก็แล้วกัน คุณยายคนนี้มีบุญมากมีวิมานแก้ว ๗ ประการสวยมาก ตัวก็สวยมากไม่เบ๊อะบ๊ะเหมือนตัวมนุษย์ คุณยายคนนี้ตายเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๑

วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๑

วันนี้ขอบันทึกเรื่องของคืนวันที่ ๑๓ ตอนใกล้หลับก่อน เมื่อเอนกายลงนอนก็เริ่มภาวนากันจิตหลง เพราะถ้าไม่ภาวนาหรือพิจารณา จิตไม่เป็นสุขเพราะไม่มีขอบเขตบังคับ จึงจับคาถาบทสุดท้ายเมื่อฝึกมาภาวนา ภาวนาไปได้ประมาณครึ่งนาที ก็เห็นภาพพระห่มจีวรสีกลัก ๓ องค์ นั่งอยู่ข้างหน้า จึงปลดอารมณ์ทิ้ง ด้วยคิดว่าอาจจะเป็นอารมณ์เฝือ เมื่อกลับมาคิดตามความเป็นจริงว่า เราภาวนาเราไม่ได้คิดอะไร ภาพนั้นอาจจะเป็นความจริง จึงทรงอารมณ์ใหม่

เมื่อเริ่มทรงอารมณ์ ก็เห็นพระห่มจีวรสีกลักประมาณ ๓๐ องค์ เดินมาหยุดอยู่ข้างหน้า คิดจะถามว่า ท่านเป็นใคร แต่ไม่ทันถามองค์ที่เดินหน้าดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า ท่านก็บอกชื่อท่านก่อนถามว่า

ผมชื่อ บิณโฑภารทวาชะ ผมมากับพระอรหันต์ทั้งหมด ๓๐ องค์เศษ (เป็นพระอรหันต์สมัยเดียวกับท่าน) ท่านบอกว่า ผมจะมาช่วยทุกอย่างตามที่พระพุทธเจ้าสั่งให้คุณทำ จึงนมัสการท่านด้วยความเคารพ แล้วท่านก็ค่อย ๆ หายไป คืนวันที่ ๑๓ ตอนดึกมีแถมท้ายเท่านี้ ต่อไปก็เป็นเรื่องของวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๑

วันที่ ๑๔ ตอนเช้าตื่นนอนพร้อมกับอาการมึนงง ถ้าถามว่าเป็นเพราะอะไร ก็ต้องตอบว่าเพราะมันป่วย แต่เรื่องป่วยช่างมันเถอะ เรามาคุยกันดีกว่า วันนี้ตอนเช้านอนแหง๋แก๋ลุกไม่ไหวเพราะงงมาก เมื่อถึงเวลารับแขกเวลา ๑๓.๐๐ น. ก็ลงรับแขกตามปกติ วันนี้มีแขกมาไม่มาก ตามคำบอกเล่าของท้าวเวสสุวรรณ ท่านมาบอกว่ามีแขกไม่กี่คนมาจากอยุธยา ราชบุรี สุพรรณบุรี พระเจดีย์กลางน้ำ สมุทรปราการ และมี พล.ต.ท.น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน ที่มาอยู่จำพรรษาเดือนละ ๑๕ วัน ท่านนั่งอยู่ด้วย พระครูลักษณ์ พาคณะมาจากลพบุรี คุยกันเรื่องวิปัสสนาญาณพอสมควรแก่เวลาก็หมดเวลารับแขก

เมื่อมาถึงที่นอนการเงินของวัดก็ขอรายงานเรื่องเงิน เธอบอกว่าพระมีชัยให้เงินค่าบูชาครู ๑,๐๐๐ บาท คุณสุกิจ-สุพย์ ดิลกโกมล ให้ ๕,๐๐๐ บาท และคนอื่นไม่มีชื่อ ๑,๒๕๐ บาท รวมเงินวันนี้ ๗,๒๕๐ บาท (เจ็ดพันสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน) เงินบูชาครูเป็นเงินบังคับใช้อย่างอื่นไม่ได้ ต้องใช้ในเรื่อง สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน สร้างพระพุทธรูป เงินนอกนั้นที่ไม่กำหนดมา ขอจัดเข้า สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน สร้างพระพุทธรูป ทั้งหมด ส่วนตัวไม่ต้องห่วงกินกับสังฆทาน คือครัวทำอาหารรวมเท่านี้พอกินแล้ว ขอโมทนาทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลมาแล้ว

แต่ทว่าวันนี้ทางการเงินของวัดแจ้งมาว่า ค่าแรงงานและวัตถุก่อสร้างที่ต้องจ่ายนอกเหนือจากวันละ ๔,๐๐๐ บาทนั้น เขาแจ้งมาให้ชำระเขาในวันพรุ่งนี้ คือวันที่ ๑๕ ก.ย. จำนวนเงิน ๓๗๖,๕๐๕ บาท (สามแสนเจ็ดหมื่นห้าร้อยบาทถ้วน) ตอนปลายเดือนจ่ายล้านบาท คอยอ่านเล่ม ๒ ว่าปลายเดือนจะจ่ายเท่าไร ยิ่งใกล้เสร็จเงินยิ่งจ่ายมากชักท้อเสียแล้ว ต่อไปคุยกันเรื่องกฎของกรรมดีกว่า ว่ากันตามพระไตรปิฎก แต่ใช้สำนวนเป็นหนังสืออ่านเล่น พูดเลยเถิดไปบ้างขออภัยด้วย..!

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/6/10 at 16:44 [ QUOTE ]


28

เรื่องนางฟ้าขี้เหนียว

วันนี้ขอเหาะตาม พระอนุรุทธท่านไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าถามว่าได้อภิญญาหรือ ก็ต้องขอตอบว่าได้อภิญญาธรรมดา ถ้าจะถามว่าอภิญญาเป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่า เหาะต่ำ คือลุกจากที่นอนไปหยิบหนังสือพระไตรปิฎก หากจะถามว่าเล่มไหน ก็ขอตอบว่าเล่ม ๒๖ หน้า ๖๑ คงจะหมดสงสัยแล้วสินะ ถ้ายังไม่หมดสงสัยก็โง่ดักดานต่อไปก็แล้วกัน

เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่ง พระอนุรุทธ ท่านเข้าฌานเหาะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ต่อมาอีก ๒๕๓๑ ปี ฉันก็เลยเหาะตามท่านไป (ตามพระไตรปิฎก) เมื่อท่านไปพบวิมานหลังหนึ่งสวยสดงดงามมากและเจ้าของวิมานก็สวยเช้งวับเลย ตามพระไตรปิฎกท่านพรรณนาไว้อย่างนี้ว่า

ดูก่อน นางเทพธิดาเธอมีรูปสวยมาก ผิวพรรณก็ผ่องใสคล้ายเงินผสมแก้ว จะขยับเขยื้อนก็แพรวพราวไปทั้งร่าง แสงสว่างที่ออกจากกายก็สว่างไสวไปทั่วทิศ สว่างเหนือหรือมากกว่าดาวประกายพรึกเป็นไหน ๆ เมื่อเธอฟ้อนอยู่ หรือการขับร้องเสียงที่เป็นทิพย์ก็ไพเราะมาก ช่างชื่นใจในน้ำเสียงของเธอเหลือเกิน กลิ่นที่เป็นทิพย์ก็หอมหวลยวนใจ เสียงเครื่องประดับเวลากระทบกันก็ไพเราะมาก ฯลฯ

ขอพรรณนาเท่านี้ก็แล้วกัน เพราะท่านชมไว้มากเหลือเกิน ท่านลงท้ายว่า ดูก่อนแม่เทพธิดา เมื่อเป็นมนุษย์ทำบุญอะไรไว้ จึงสวยและไพเราะจับใจอย่างนี้

นางเทพธิดาตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อเป็นมนุษย์ฉันเป็นเพื่อนกับ นางวิสาขามหาอุบาสิกา นางวิสาขาทำบุญไว้มากมายมหาศาล แต่ดิฉันบ๋อต๋อไม่ได้ทำเลย อยู่เฉย ๆ ก็ได้บุญ คอยเก็บบุญคือโมทนาอย่างเดียวก็พอ นี่แหละจึงเขียนว่านางฟ้าขี้เหนียว ไม่ทำบุญด้วยตนเอง เอาแต่โมทนาอย่างเดียว ถ้านักบุญอย่างนี้มีมาก ๆ พระเถนเณรชีก็อดหัวโตไปตาม ๆ กัน ฟังเรื่องของเธอต่อไปตามบาลี

เธอบอกว่า นางวิสาขามหาอุบาสิกา ได้สร้างวิหารถวายสงฆ์ ถ้าเห็นวิหารนั้นมีใจเลื่อมใสก็เลยโมทนาวิมานที่สวยสดงดงามที่พระคุณเจ้าเห็นอยู่นี้ เป็นผลบุญที่ฉันโมทนาที่นางวิสาขาสร้างถวายสงฆ์ วิมานนี้เป็นวิมานอัศจรรย์ สวยสดงดงามมาก โดยรอบ ๑๖ โยชน์ เลื่อนลอยไปในอากาศได้ตามที่ฉันต้องการ ดิฉันมีปราสาทเป็นที่อยู่อาศัยที่บุญอนุโมทนาจัดให้เป็นส่วน ๆ งามรุ่งโรจน์ตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ

มุมหนึ่งของวิมานมีสระโบกขรณีเป็นที่อาศัยของปลาสวย ๆ ทุกประเภท มีนํ้าใสสะอาดมีทางลาดเพื่อเดินเล่นด้วยทรายทองคำมีบัวสวย ๆ ทุกชนิด เกสรบัวหอมฟุ้งไปทั่วทิศ บุญที่อนุโมทนาทำให้มีต้นไม้รอบวิมานหลายชนิด เช่น มะพร้าว ไม้หว้า ขนุน ต้นตาล เป็นต้น มีเสียงดนตรีบรรเลงมิได้ขาด มีนางเทพอัปสรที่เป็นบริวารมากมาย เธอคุยฟุ้งตามความเป็นจริงพรรณนาไม่ไหว

สรุปแล้ว ผลที่เธอได้เพราะอาศัยที่เธอเป็นมนุษย์ขี้เหนียวเอาแต่โมทนาบุญอย่างเดียว เป็นอันว่าคนฉลาดจะไม่มีโอกาสปราศจากบุญได้เลย ในเมื่อเราไม่มีทุนทำเอง เราก็โมทนาด้วยจิตบริสุทธิ์ ส่วนที่ทำเองก็ทำแล้วและโมทนาต่อด้วยหรือโมทนาแล้วทำเองด้วย จะช่วยให้มีความสุขมากกว่านี้

ท่านพระอนุรุทธท่านถามโฉมงามที่มีนามว่ามนุษย์ขี้เหนียวต่อไปว่า เวลานี้นางวิสาขามหาอุบาสิกา ผู้ถวายวิหารทาน ไปอยู่ที่ไหน
นางฟ้าเธอตอบว่า นางวิสาขามหาอุบาสิกา เธอมีทั้งทาน มีทั้งศีล จิตเจริญด้วยภาวนา เป็นมหาอุบาสิกาผู้ประเสริฐ เวลานี้ไปเกิดที่ชั้นนิมมานรดี เป็นชายาของท่านสุนิมมาตวดี เมื่อเธอตอบแล้วก็บรรเลงธรรมปฏิบัติเสีย ๒ หน้ากระดาษพิมพ์ เกรงว่าท่านผู้อ่านจะหลับหรือจับหนังสือโยนทิ้ง เลยขอนิ่ง ตอนนี้จบเอาดื้อ ๆ ตรงนี้ก็แล้วกัน



29

พระจนไปสวรรค์

มาตอนนี้ขอเหาะตามท่านมหาโมคคัลลาน์บ้าง คืนหนึ่งท่านไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านเห็นเทพบุตรคนหนึ่งมีนางเทพอัปสรเป็นบริวารห้อมล้อมมากมาย วิมานก็สวยสดงดงาม สวยกว่าวิมานของนางเทพธิดามนุษย์ขี้เหนียวมาก รัศมีกายก็สว่างมากมายยิ่งนัก หาเทวดาที่สว่างเท่านั้นยาก จึงขนานนามท่านผู้นี้ว่า อเณกวรรณเทพบุตร เมื่อพบแล้วท่านถามว่า เมื่อเป็นมนุษย์ทำบุญอะไรไว้จึงมีบุญญาธิการขนาดนี้

ท่านเทพบุตรตอบว่า เมื่อเป็นมนุษย์ผมเป็นสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สุเมธ ผมเป็นปุถุชนยังไม่ได้ตรัสรู้มรรคผลบวชอยู่ ๗ พรรษา เมื่อพระศาสดานิพพานแล้ว ได้ไหว้พระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุเป็นปกติ มีความเลื่อมใสพระบรมธาตุของพระองค์เท่ากับพระพุทธเจ้า ไม่มีการให้ทานเพราะจน ไม่มีอะไรจะให้ แต่ชักชวนคนอื่นให้ทานและชักชวนให้คนอื่นบูชาพระบรมธาตุ

โดยแนะนำว่าได้ยินหรือรู้มาว่า คนที่บูชาพระบรมธาตุตายแล้วไปสวรรค์ การทำบุญเพียงเท่านี้เป็นเหตุให้ผมได้อานิสงส์ตามที่พระคุณเจ้าเห็นอยู่นี้ครับ ไม่มีคำอธิบาย เพราะพระสูตรอธิบายหมดแล้ว วันนี้ขอปิดฉากเพียงเท่านี้ บันทึกพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน เป็นอันจบหนังสือเล่มนี้..สวัสดี

วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๑

วันนี้วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๑ ก่อนบันทึกเรื่องอื่นขอบันทึกกิจประจำก่อนคือนอน หมายถึงตอนนอนลงเห็นนาฬิกาบอกเวลา ๒๔.๐๐ น.เศษคิดว่าดึกแล้ว พักงานบันทึกและงานอื่นที่คนแก่ต้องทำเอง คนอื่นทำแทนไม่ได้ พอเอนกายลงดึงผ้าห่มปิดอก ยกผ้าคลุมหัวกันหัวเย็นเกินไปตั้งใจจับอานาปา ไม่คิดอยากรู้อยากเห็นอะไร เพราะต้องการหลับ

แต่พอดึงลมหายใจเข้าไม่ทันจะดันให้ลมหายใจออก เห็นพระสององค์ ท่านมานั่งด้านซ้ายมือคือ ท่านพระสารีบุตร กับ ท่านโมคคัลลาน์ แล้วเห็นทางขวามืออีกสองท่านคือ ท่านพระมหากัจจายนะ กับ ท่านพระอนุรุทธ มองตรงหน้าเห็น พระอานนท์ กับ พระมหากัสสป ด้านขวามืออีกครั้งหนึ่งเห็น ท่านบิณโฑภารทวาชะ อยู่ใกล้

ท่านบิณโฑภารทวาชะท่านเอามือลูบที่อกแล้วท่านก็พูดว่า ร่างกายดีแล้วไม่เป็นไรนะ ผลที่ท่านลูบคืนนั้นท้องผูกอยู่แล้วเป็นเหตุให้ขี้พังออกมาดีกว่ายาถ่ายเยอะร่างกายเลยโปร่งรู้สึกสบาย ต่อจากนั้นเห็นพระพุทธเจ้าท่านลอยอยู่ข้างหน้า จึงออกไปนมัสการท่าน

ท่านแนะนำเล็กน้อยแล้วท่านบอกให้วางอารมณ์ปกติเพื่อหลับ หลังจากนั้นก็หลับไปเลย ตื่นเมื่อเวลา ๓.๐๐ น.พอดี ทำกรรมฐานต่อแล้วหลับไปอีกตื่น ๕.๓๐ น.เศษ หมดเวลานอน เมื่อตื่นขึ้นและสว่างแล้วก็ถือว่าหมดภารกิจของวันที่ ๑๔ เพราะเริ่มวันที่ ๑๕ แล้ว มาคุยกันถึงเรื่องที่จะบันทึก วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๑ ต่อไป

เช้าวันที่ ๑๕ กินข้าวไม่ใคร่ลง ท้องมันฝืดเพราะยังปั่นป่วนอยากถ่ายอยู่ เห็นจะเป็นด้วยอานุภาพของพระทุกท่านที่พูดมาแล้ว ตอนสายโทรศัพท์โอนเงินชำระหนี้สามแสนบาทเศษ ให้แก่ช่างและร้านค้าที่วัดไม่เก็บเงินสดไว้ เพราะต้องชำระหนี้เดือนละสองครั้งคือกลางเดือนและปลายเดือน ตอนปลายเดือนจ่ายอย่างย่อก็สามล้านเศษขึ้นไป เงินถึงได้ไม่มีใช้กับเขา แต่คนห่วยก็คิดว่าเราร่ำรวยมหาศาล ก่อนพูดไม่ดูงานที่กำลังทำ ช่างเถอะคนห่วยอย่างนี้ คิดต่อไปก็เสียเวลานอน นอนเฉย ๆ สบายกว่า

ตอนเพลมีคณะดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี นำอาหารมาเลี้ยงพระคณะนี้มี คุณเฉลิม คงทอง บ้านแพงพวย อ.ดำเนินสะดวกเป็นผู้นำมา คณะนี้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กรวมกันแล้ว ๔๘ คน วันนี้หลังจากรับแขกแล้ว เจ้าหน้าที่การเงินแจ้งให้ทราบว่า มีผู้ทำบุญตามอัธยาศัย ๒,๖๗๒ บาท (สองพันหกร้อยเจ็ดสิบสองบาทถ้วน) จ่ายสามแสนเศษรับสองพันเศษ

อย่าลืมว่า "รายจ่ายค่าไฟฟ้าและอาหาร" ไม่เกี่ยวกับการก่อสร้างและกิจการอื่น จำต้องจ่ายประจำวันละ ๔,๐๐๐ บาท (สี่พันบาทถ้วน) ที่บอกมานี้บอกมาเพื่อรู้เท่านั้นไม่ได้หวังทวงใคร เพราะแม้แต่คนภายในเองก็ไม่ทราบว่าจ่ายวันละเท่าไร แต่ต่อไปเมื่อฉันตายแล้ววัดต้องลดงานหลายอย่างเพื่ออยู่รอด



30

อานิสงส์สังฆทาน

เท่าที่พูดตอนนี้เพื่อให้ทราบถึงอานิสงส์ เพราะท่านที่มาในวันนี้หลายสายเช่นคณะดำเนินสะดวก เพชรบุรี สระบุรี กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี มากันมาก ทุกคนก็ทำบุญบ้าง ไม่มีทรัพย์หรือมีมาน้อยจะทำบุญก็ไม่มีค่ารถกลับบ้านก็ไม่ได้ทำ แต่ก็เต็มใจโมทนาที่ทุกท่านทำบุญกัน

ทั้งหมดนี้อานิสงส์มหาศาล โมทนาบุญมีอานิสงส์อย่างไร บอกมาแล้วเรื่องนางฟ้าขี้เหนียวอ่านผ่านมาแล้ว คราวนี้มาพูดกันถึงการถวายสังฆทาน ที่คณะ คุณเฉลิม คงทอง ถวายอาหารพระก็ดี ทุกท่านถวายเงินและของใช้ก็ดี พระท่านถือเป็นสังฆทานและวิหารทานด้วย ส่วนที่เป็นวิหารทานท่านจะได้อานิสงส์ไม่แพ้นางฟ้าขี้เหนียวและอาจจะดีกว่า เพราะท่านถวายเอง

ส่วน "นางฟ้าขี้เหนียว" เอาแต่โมทนาขี้เหนียวไม่ยอมจ่ายทรัพย์เลย และปัจจัยของท่านนอกจากวัดจะจัดเข้าในทานสองอย่างแล้ว ยังนำไปสร้างพระพุทธรูปและร่วมในธรรมทานด้วย สร้างพระพุทธรูปเป็นเหตุให้มีรูปสวยแสงสว่างมาก อย่างอเณกวรรณเทพบุตร ธรรมทานเป็นเหตุให้เกิดปัญญา อย่างท่านพระสารีบุตรเป็นตัวอย่าง บุคคลตัวอย่างในการถวายสังฆทานก็มีเรื่องดังนี้

บุคคลตัวอย่าง

ตามพระไตรปิฎกในวิมานวัตถุมีอยู่เรื่องหนึ่ง ท่านบอกว่ามีสาวสองพี่น้อง คนพี่ชื่อภัททา คนน้องชื่อสุภัททา สมัยที่เป็นมนุษย์พี่น้องสองคนนี้มีสามีคนเดียวกันสะดวกดีมาก เจ้าบ่าวฉลาดด้วย ภารกิจที่แม่บ้านต้องทำนั้นมาก ถ้ามีภรรยาคนเดียวถ้าเธอไม่อยู่หรือป่วยทำงานไม่ไหว พ่อบ้านก็ต้องแบกภาระทางบ้านอีก ซึ่งภาระที่หาเงินมาก็หนักอยู่แล้ว

เมื่อมาแถมงานทางบ้านเข้าอีกลมจะเสียบ่อย ๆ ได้ มีภรรยาสำรองไว้ช่วยกันแบบนี้ดี ถ้าใครทำงานไม่ได้ อีกคนที่ปกติก็ทำแทนได้สบายใจมาก ที่พูดมานี้ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องขอบรรดาแม่บ้านทั้งหลายให้อภัยด้วย เพราะเป็นคนไม่เคยแต่งงานไม่รู้เรื่องของการครองเรือนจริง อาจจะผิดโหลงโจ้งไปเลยก็ได้ เขียนแล้วอ่านเองรู้สึกว่าแม่บ้าน ๙๙.๙๙ % คงไม่เห็นชอบด้วย ถ้าไม่เห็นชอบด้วยก็ขอถอนคำพูด แต่ไม่ลบตัวหนังสือ คงให้อภัยนะจ๊ะ

เล่าเรื่องของท่านทั้งสองต่อไปกันดีกว่า ไม่น่าจะเขียนออกนอกทางให้ถูกด่าเลย แต่ก็ดีด่ามาก ๆ โรคทางท้องจะได้หายเป็นปกติเป็นอันว่าท่านทั้งสอง เมื่อมีชีวิตอยู่ชอบให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์แต่การให้ทานต่างกันนิดหนึ่ง ท่านภัททาผู้พี่ชอบให้ทานส่วนบุคคล เป็นอันว่าชอบให้ทานที่ใหญ่ ๆ ยศใหญ่ ตำแหน่งใหญ่ ชื่อเสียงใหญ่

ส่วน "ท่านสุภัททาผู้น้อง" อันดับแรกก็ให้ทานดะเหมือนกัน ชอบใหญ่ ๆ เหมือนกัน ต่อมาได้พบพระเรวัตตะเข้า ท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อท่านสุภัททาจะถวายทานแก่ท่าน ท่านแนะนำว่า โยมถวายเป็นสังฆทานดีกว่า อานิสงส์มากกว่าถวายทานส่วนบุคคล ทานส่วนบุคคลนั้น แม้ผู้รับจะเป็นพระอรหันต์ แต่อานิสงส์น้อยกว่าสังฆทานมาก เมื่อท่านสุภัททาทราบอย่างนั้นก็ขอถวายเป็นสังฆทาน แล้วก็ถวายเป็นสังฆทานตลอดมา คนนี้ต้องเรียกว่า "นางฟ้าสังฆทาน"

ทั้งสองท่านรักษาอุโบสถทุกวันพระ ๘ และ ๑๕ ค่ำ ฟังธรรมเป็นปกติ แต่พอตายจากความเป็นคน ท่านภัททาผู้พี่ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานสวยเครื่องประดับก็สวย รูปร่างผิวพรรณก็สวย ขอกล่าวแต่โดยย่อเพราะถ้าพรรณนาให้ครบความงามละก็อีกหลายสิบหน้ากระดาษจึงจะครบ

เป็นอันว่าท่านภัททาไปเป็นนางฟ้าที่ดาวดึงส์จะเปรียบกับเมืองมนุษย์ก็เหมือนคนชิงตำแหน่งนางสาวไทย และมีโอกาสเป็นนางงามประจำชาติไทยแน่ แต่ท่านสุภัททายิ่งกว่านั้น ถ้าจะแข่งขันความสวยกันต้องเปรียบเหมือนผู้ชนะความงามเลิศที่สุดในโลกเพราะว่าท่านสุภัททาไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ชั้นเดียวกับนางวิสาขา เรื่องมีอยู่ว่า..

วันหนึ่ง ท่านสุภัททาคิดถึงพี่สาว คือท่านภัททา อยากจะทราบว่าเกิดอยู่ที่ใด จึงใช้ใจที่เป็นทิพย์ ตรวจดู ก็รู้ว่าพี่สาวอยู่ดาวดึงส์จึงมาหาพี่สาว พี่สาวจำไม่ได้เพราะสวยมาก แสงสว่างก็สว่างไสวมากเหลือเกิน จึงถามว่าเธอเป็นใคร น้องสาวก็ตอบว่าฉันคือสุภัททาน้องของพี่ พี่สาวจึงถามว่า เวลานี้เธออยู่ที่ไหนจึงสวยกว่าฉันมาก แสงสว่างก็ดูสว่างกว่าฉันมาก เธอทำบุญอะไรจึงมีอานิสงส์มากถึงเพียงนี้

ท่านสุภัททาก็บอกว่า ฉันรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระ ฟังเทศน์ท่านพระเรวัตตะ ท่านแนะนำให้ถวายสังฆทาน คือเมื่อฉันจะถวายทานแก่ท่าน ท่านแนะนำว่า สังฆทานมีอานิสงส์มากกว่าถวายทานส่วนบุคคล ฉันก็เลยถวายสังฆทานเรื่อย ๆ มีมากถวายมาก มีน้อยถวายน้อย แต่ถวายเป็นส่วนของสังฆทานก็แล้วกัน ฟังเทศน์เสมอ ฟังแล้วพยายามปฏิบัติตาม ตามที่จะพึงทำได้ ตายแล้วจึงไปสู่สวรรค์ชั้นนี้

เมื่อทั้งสองท่านคุยกันพอสมควรแก่เวลาแล้ว ท่านสุภัททาก็ลาพี่สาวกลับ ขณะที่สองท่านยืนคุยกัน พระอินทร์ท่านเห็น ท่านจึงถามท่านภัททาว่าเมื่อกี้เธอคุยกับใครคนนี้สวยมาก เครื่องประดับก็สวยมาก รัศมีกายก็สว่างมาก กลบแสงสว่างของเทวดานางฟ้าชั้นดาวดึงส์ทั้งหมด ท่านสุภัททาจึงรายงานให้พระอินทร์ท่านทราบว่าคนนั้นเป็นน้องสาวชื่อสุภัททา เกิดที่ชั้นนิมมานรดี เมื่อเป็นมนุษย์รักษาอุโบสถทุกวันพระ ฟังเทศน์เป็นปกติ ถวายสังฆทานเป็นปกติเธอจึงมีอานุภาพมาก สวยมาก สว่างมาก ตามที่เห็นแล้ว

เป็นอันว่าเรื่อง "สุภัททาเทพธิดา" จบลงเพียงเท่านี้ และหนังสือเล่มนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ เพราะถ้าหนังสือไม่จบ คนเขียนหนังสือจะจบคือยิ่งเขียนยิ่งบันทึกตายิ่งสั้นลงมาทุกที จนเขียนไม่เห็นเส้นหมึก อาการอย่างนี้มันเป็นอาการจบ ในเมื่อก่อนที่ร่างกายจะจบ เลยจบเรื่องเขียนเล่มหนึ่งไว้เพียงเท่านี้ ถ้ายังอยู่ต่อไป ร่างกายยังไม่จบมีแรงบ้างจะเขียนเล่มสองต่อไป บันทึกนั้นบันทึกแน่ แต่จะเขียนไหวหรือไม่ไหวยังไม่รู้..!



31

บอกให้รู้

วัดท่าซุง ท่านเห็นว่าสร้างมากมาย มีหลายคนถามว่า สร้างทำไม ขอตอบตามสบายว่า สร้างไว้เพื่อให้ทราบว่า สมัยหนึ่งมีตาแก่บ้า ๆ บวม ๆ คนหนึ่ง แกมาที่นี่โดยที่แกไม่มีทุนทรัพย์สินมาเลย มีแต่อริยทรัพย์ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ในพระไตรปิฎก

แกแกะเอาอริยทรัพย์มาใช้ได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจุ๋มกระจิ๋มไม่มากมายเลย เพียงแค่สุกขวิปัสสโกแบบอีลู่ถูกัง เตวิชโชแบบได้มั่งไม่ได้มั่ง และฉฬภิญโญแบบสะเปะสะปะ ปฏิสัมภิทาญาณแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สรุปแล้วเป็นอันว่าไม่มีอะไรเป็นล่ำเป็นสันเลย แต่เมื่อเอาของพระพุทธเจ้ามาใช้จริงเข้า ก็มีผลตามที่ปรากฏแล้ว ถ้าท่านที่ทำได้ผลดีคงมีผลปรากฏได้มากกว่านี้

อาคารที่เห็นอยู่นั้นเป็นที่สำหรับเพื่อพระจริง ประมาณ ๑๐ % นอกนั้นเป็นห้องที่มีเจ้าของ เดิมทีท่านจะสร้างกันแบบกุฏิกรรมฐาน เห็นว่าดีไม่พอและกุฏิก็ใช้ประโยชน์ได้น้อย เคยสร้างมาแล้วมากในที่สุดก็พัง ใช้การไม่ได้ ราคาก็ไม่ต่างกับห้องที่เป็นตึกเพราะไม้แพงกว่าปูนมาก จึงแนะนำให้ท่านที่จะสร้างกุฏิ มาสร้างห้องแทนมีความมั่นคงไม่สลายตัวเร็ว

บางท่านก็สร้างเพื่อให้คนมาเจริญกรรมฐานพัก ส่วนใหญ่ท่านสร้างไว้เพื่อท่านและคณะของท่านเมื่อถึงวาระพักผ่อน ท่านก็มาพักและเจริญกรรมฐานไปในตัวเสร็จพักร้อนทางกายและพักร้อนทางใจด้วยพร้อมกัน เมื่อท่านมาไม่ได้ก็ให้ญาติของท่านมาพัก

พูดตรง ๆ แล้ว ห้องประเภทนี้ ถ้าพระดีก็ไม่อาจที่จะยึดเป็นของวัดได้ ต่อเมื่อเจ้าของท่านเลิกใช้เมื่อไรท่านให้วัดวัดจึงจะมีสิทธิ์สมบูรณ์ ท่านที่ประสงค์จะคิดทำอย่างอื่นทราบตามนี้ด้วย พระไม่ควรทำจิตทรามทำลายศรัทธาของท่านพุทธบริษัท ความจริงแล้วท่านสร้างไว้ในวัดรื้อถอนไปไม่ได้ มันก็เป็นของวัดอยู่แล้วจงช่วยกันระวังรักษาอารมณ์ใจให้ถูกต้อง จึงจะสมควรแก่สมณวิสัย สำหรับที่ว่างพอเป็นที่อาศัยของท่านที่ไม่มีห้องพักนั้นทำไว้พร้อมแล้ว..สวัสดีนะจ๊ะ..!



ห้อยท้ายไว้สักนิด

ท่านที่กำลังมีครรภ์ ถ้าอยากให้ลูกของท่านที่อยู่ในครรภ์ ถ้าเป็นหญิงต้องการจะให้สวยขนาดไหนเหมือนใคร เอารูปของคนนั้นมาห้อยไว้ให้เห็นง่าย ๆ ตั้งใจจำรูปนั้นเวลาทำบุญให้ทาน อธิษฐานขอให้ลูกถ้าเป็นหญิงขอให้สวยอย่างนี้ ถ้าเป็นชายจะให้เหมือนใครเอารูปชายคนนั้นมาแขวนให้มองเห็นชัด อธิษฐานเหมือนกัน

ถ้าจะเอารูปชายอื่นมาแขวนเพื่อดู ควรตกลงกับพ่อบ้านก่อนถ้าเกิดเข้าใจผิดกันขึ้นมาจะยุ่ง จะกล่าวหาว่าเพราะเชื่อหนังสือนี้จึงยุ่ง ทางที่ดีถ้าอยากให้ลูกชายสวย ควรเอาพระพุทธรูปที่มีรูปลักษณะสวยที่สุดเท่าที่เห็นมาเอามาดูบูชาไว้ประจำวันและอธิษฐานให้ลูกชายสวยอย่างนี้ ทำเหมือนรูปหญิง เท่านี้ลูกที่คลอดออกมา จะมีรูปลักษณะดีเหมือนรูปที่ดู อย่าลืมทำบุญให้ทาน รักษาศีล หรือกรรมบถสิบด้วยนะ ลูกเกิดมาแล้วพ่อแม่จะสบายใจ

ถ้าอยากให้ตนเองถ้าจะไปเกิดชาติใหม่ สวยตามที่ต้องการก็ดูตัวอย่างพระสูตรที่อ่านผ่านมาแล้ว...
๑. ศีล ทำให้เป็นคนสวย
๒. ทาน ทำให้เป็นเหตุแห่งความรํ่ารวย
๓. ภาวนา หรือถวายหนังสือธรรมแก่พระ หรือแจกให้แก่คนที่ต้องการจะบันดาลให้มีปัญญามาก.


*** จบเล่ม ๑ ***



◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามเล่มต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top