Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 24/9/12 at 13:41 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 16 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑๖

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดยพระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๖

1.
ตอนที่ ๑ พระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์
2. ตอนที่ ๒ พระสอนในป่า
3. ตอนที่ ๓ วินิจฉัย ๒ กษัตริย์
4. ตอนที่ ๔ ศึกษาตามคำสอนของพระ
5. ตอนที่ ๕ เตรียมตัวกลับวัด
6. ตอนที่ ๖ อุปสรรคในวัด
7. ตอนที่ ๗ เรียนนักธรรม .
8. ตอนที่ ๘ ไปนมัสการหลวงพ่อโหน่ง



คำปรารภ เล่มที่ ๑๖



หนังสืออ่านเล่นเล่มที่ ๑๖ นี้ คงเป็นหนังสืออ่านเล่นตามปกติเพราะไม่ใช่ตำรา เป็นเรื่องคุยกันเล่น ๆ จะถือเอาเป็นสาระทุกประการนั้นไม่ได้ เว้นไว้แต่ท่านที่มีประสบการณ์เช่นเดียวกันมาก่อน อย่างนั้น ท่านจะถือเป็นตำราหรือทบทวนความจำก็ได้ รวมความว่า ท่านที่คิดว่าเป็นอวดอุตตริฯ นั้นพักเสียก่อน เรื่องการคัดค้านพระพุทธเจ้าพักเสียก่อน ฯลฯ

ขอทุกท่านจงถือว่า อ่านเล่น ๆ ไม่ใช่ตำรา เล่มที่ ๑๖ นี้ เป็นการหวนกลับเข้าวัด กลับเข้ามาหาดงกิเลส พบความวุ่นวายของนักบวชนอกตำรา คือ บวชตามตำรา แต่ปฏิบัติตรงกันข้ามกับตำรา มันวุ่นวายจริงจริง ผู้เขียน และเพื่อนกลายเป็นคนบ้าไป เธอหาว่าอวดอุตตริมนุษยธรรม แต่หลวงพ่อปานท่านสรรเสริญ ท่านช่วยแนะนำทุกอย่าง ท่านเตือนเสมอว่าอย่าบ้าตามพวกสัตว์นรก

ท่านผู้อ่าน จงอย่าคิดว่าหัวหน้าวัดใดดี แล้วลูกน้องจะดีตามเหมือนท่านทุกองค์ ถ้าคิดอย่างนั้นผิดถนัด พวกที่กล่าวหาว่าบ้านั้น เธอมีกรรมฐานพิเศษ คือ กามกรรมฐาน อยากทุกอย่าง แม้จนกระทั่ง
อยากเป็นผัวสาวที่ใส่บาตร พวกอุบาทว์แบบนี้มีทุกสำนัก เวลาออกไปภายนอกวัด คนยอมรับนับถือว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน แต่ในนั้นสิ เป็นเปรตที่หลวงพ่อปานเลี้ยงไว้

เป็นอันว่ากลับมาวัดพบความวุ่นวาย ต้องตั้งต้นกำลังใจกันใหม่ มีหลวงพ่อปานเป็นผู้แนะนำ คำแนะนำ ก็คือฝึกใจสู้กับเสียง ถือว่าเรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราก็เป็นเรื่องของเรา การติการชมท่านแนะนำตามที่พระพุทธเจ้าสอน คือไม่สนใจทั้งสองอย่าง ในที่สุดนี้ขอหยุดพูดเพียงนี้ เพราะพูดมากมันพูดไม่ใคร่จบ เป็นอันว่า

ตั้งแต่เล่มนี้เป็นต้นไป ท่านจะรู้ว่า เมื่อขณะฝึกนั้นมันยากลำบากกว่าท่านที่ฝึกกรรมฐานปัจจุบันมาก ขอท่านผู้อ่านทุกท่าน จงปลอดภัยจากอันตรายตะวันออกกลาง แต่อย่าอยู่ใกล้อาบังนัก และขอทุกท่านจงรวย มีเงินทันใช้กับราคาของที่จะขึ้นแบบเครื่องบินไอพ่นหรือจรวดมันจะขึ้นเท่าไรก็ตาม ขอทุกท่านจงรวยเกินกว่านั้น

หนังสือเล่มนี้และหลายเล่มมาแล้ว ชาลินี (ปาน) เนียมสกุล ให้ทุนพิมพ์เล่มละ ๒๘,๐๐๐ บาท (สองหมื่นแปดพันบาท) และมีหลายท่านที่ไม่ออกนามช่วยมาก็ไม่น้อย ขอทุกท่านจงรวยและมีปัญญาแก้ปัญหาชีวิตเป็นเลิศ

พระราชพรหมยาน
๒๘ กันยายน ๒๕๓๓


1

พระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์



ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ เป็นวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ถ้ามีการขลุกขลักอยู่บ้างก็ต้องขออภัย ทั้งนี้เพราะว่า กำลังป่วยมาก โรคที่เพิ่มขึ้นจากโรคท้องก็คือ เก๊าต์ โรคเก๊าต์ นี่ความจริงก็ไม่น่าหนักใจ เบามากแล้ว แต่ทว่าโรคที่น่าหนักใจมากที่สุด คือ โรคหัวใจ มีน้ำในหัวใจ ขณะที่หมอเช็ค หมอบอกมีน้ำในหัวใจ มันเหนื่อยมาก

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย โรคน้ำในหัวใจนี่ มันมีมาตั้งแต่ เดือนมีนาคม ๒๕๓๓ เมื่อไปกรุงเทพฯ ตอนต้นพฤษภาคม นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์ และแพทย์หญิงแสงโสม ปิรยะวราภรณ์ ภรรยา นายแพทย์มนตรี อมรพิเชษฐ์กุล นายแพทย์วัฒนะ ฐิตะดิลก และนายแพทย์ชนะ สิริยานนท์ รวมกันวินิจฉัยความจริงโรคนี้อาการเป็นมาตั้งแต่เดือนมีนาคม

อาตมาสงสัยมานาน แต่ทว่าเป็นเรื่องแปลก ที่เครื่องตรวจโรคไม่พบ ต่อมาเมื่อ หมอมนตรี (หมอที่พูดเมื่อกี้ทั้งหมดนี่ พอไปถึงเขามาคอยกัน เพื่อจะให้น้ำเกลือบ้าง เช็คโรคบ้าง) ก็เป็นอันว่า หมอมนตรีพบน้ำในหัวใจ จึงปรึกษาหารือกันระหว่าง ๕ หมอ คือ หมอจรูญ หมอแสงโสม หมอมนตรีหมอวัฒนะ ๕ หมอ หรือ ๔ หมอ ๔ ซินะ หมอชนะนั่งอยู่ใกล้ ๆ อาตมาทั้งหมดเมื่อปรึกษากันแล้วเห็นว่า สภาพของหัวใจล้มเหลว หัวใจล้มเหลวก็คือว่า มันจะตาย แต่คนที่เขามาหานี่ เขาไม่รู้ว่ามันจะตายหรอก

มันทำท่าจะตายเกือบทุกคืน แต่ว่าทุกคนไม่ทราบเห็นว่ายิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะเอิ๊กอ๊าก พูดมีอารมณ์ขัน ทำให้หัวเราะ ลูกหลานทุกคนก็ดีใจว่า หลวงพ่อไม่เป็นไร แต่ความจริงหลวงพ่อกำลังจะตาย วันนี้ก็เหมือนกัน หน้าอกมันคับ รู้สึกว่าช่วงตรงหัวใจไม่ดี นอน ๆ อยู่ก็รำคาญ คิดว่า เวลานี้มันว่าง ๆ ก็ลุกมาพูดกันสักหน่อยก่อนจะตาย ตายหรือไม่ตายก็ช่างหัวมัน ตายเมื่อไรก็ไปนิพพานเมื่อนั้น

ไปหรือไม่ไป ก็ช่างอีกเป็นไรจะว่าอะไรกันเป็นอันว่า เมื่อคุยกันถึงตรงนี้แล้วก็ต่อไปเลย ต่อไปว่า เรื่องการป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องวิตกกังวลหมอทุกคนช่วยกันรักษา เมื่อหมอ๔ - ๕ คนปรึกษาเรื่องยาแล้ว ก็มาถามว่า เห็นสมควรไหม ก็พอดีท่านโกมารภัจ ท่านมาลอยอยู่ข้างหน้า ท่านบอก ยาที่หมอตัดสินใจนี่ถูกต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็หมอให้ยานี่ภายใน ๓ วัน หลังวันที่ ๓ แล้วให้ผลมาก ก็เริ่มให้ผล

แต่ว่าเสียงแห้ง เพราะเป็นยาดูดน้ำจากหัวใจ เวลานี้ที่พูดอยู่ หมอสุวิทย์ โรงพยาบาลแม่และเด็กฯ กำลังรับภาระดูแลอยู่ ก็เป็นอันว่า เรื่องจะตาย ๆ นี่ เลยไปเสียเถิด มันรำคาญ ทีนี้ก็มานั่งคุยกัน เรื่องป่าศรีประจันต์น่ะ ยังไม่กลับนะ ก็รวมความว่า เวลานี้ยังนอนอยู่ที่ป่าศรีประจันต์ตามประวัติก็แล้วกัน แต่ตัวจริงอยู่ที่วัดท่าซุง เวลานี้ ๖ โมงครึ่ง ๖ โมงเย็น ตอนเย็นมันไม่ไหว ก็นอนฟุบไป ลุกขึ้นมาได้ ก็มาพูด

คนแก่นี่พูดให้ชาวบ้านรำคาญเล่นโก้ ๆ จะเป็นไรไป มานั่งนึกถึงว่า ระหว่างนี้ก็รับปากกับญาติโยมพุทธบริษัทว่า จะปูพื้นกระเบื้องเคลือบ ศาลา ๑๒ ไร่ ให้เต็มก่อนสิงหาคม แต่เต็มน่ะ มันเต็มแน่ ในร่วมในอาจจะเต็ม ร่วมนอกอาจจะไม่เต็ม ร่วมในก็ใช้ กระเบื้องประมาณ ๖,๖๐๐ ตารางเมตร ๖,๖๐๐ กล่องก็แล้วกัน ถ้าร่วมนอกก็ใช้ประมาณ ๔,๐๐๐ กล่อง แล้วก็ไปตั้งราคาไว้ประมาณ ๓ ล้าน มันเจ็งบ๊งไปแล้ว ไม่พอหรอก ค่าปูน ค่าแรงงาน ค่าปูนก็แพง

แล้วก็ยิ่งกว่านั้นก็ เทพื้น ๒๕ ไร่ แล้วเวลานี้ก็กำลังเทพื้นที่รับแขก เทพื้นคอนกรีตนะ รถจะได้ไปมาสะดวก เวลามีน้ำมีฝน จะได้ไม่มีหล่ม หลังจากนั้นก็จะให้เทพื้นที่ หลวงพ่อ ๓๐ ศอก มีนามว่า หลวงพ่อมหาลาภไหลมาเทมา องค์นี้มีลาภมาก พระที่มีลาภมากที่วัดนี้มีหลายองค์ อย่างหลวงพ่อไหลมาเทมานี่ ใครบูชาดี ๆ มีลาภเยอะ หลวงพ่อ ๘ ศอกที่ศาลา ๑๒ ไร่ ก็มีลาภเยอะ หลวงพ่อที่ ๔ ไร่ ก็มีลาภเยอะ

หลวงพ่อที่ ๒ ไร่ ก็มีลาภเยอะ หลวงพ่อในวิหาร ๑๐๐ เมตร หลวงพ่อพระพุทธชินราชกับหลวงพ่อพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีลาภเยอะ เอ้า.ใครอยากได้ลาภก็ไปขอท่าน หลวงพ่อ ๔ องค์ ก็แก้บนกันทุกวัน เฮ้อ.ไม่รู้ว่าบนอะไรกันบ้าง บางคนก็ไปบนขอลูกกับพระ พุทโธ่เอ๊ย พระเองก็ไม่เคยจะมีลูกเองสักที แต่ก็ไม่เป็นไร เขาขอเขาก็ได้กัน เอ้า ก็ตามใจไม่เป็นไรขอได้ก็ขอไป เมื่อได้แล้วก็เอาไปเลี้ยงก็แล้วกันแต่จะให้พระไปช่วยทำลูกไม่ได้นะ

พระก็ขอต่ออีกทีนะ พระทำลูกไม่เป็น ในวินัยพระพุทธเจ้าไม่ได้มีพุทธบัญญัติไว้ว่า ให้พระทำลูก แต่ถ้าใครเขามาขอลูก พระก็ถาม เทวดา ถามนางฟ้าเรื่อย ๆ ไป ว่า ใครจะมาเกิดบ้าง แต่ถ้าบังเอิญใครโชคดี เปรตมาเกิดแทน ก็ซวยเต็มทีเหมือนกัน ปล่อยไปตามเรื่องตามราว อยากมีลูกนี่ ก็ขอกันให้ถูกก็แล้วกัน ทีนี้ก็มานั่งคุยกันถึง ๒ กษัตริย์ ก็ให้ คุณสามารถ รับอาสาปั้นรูปพระเจ้าอยู่หัว

๑. สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
๒. รัชกาลที่ ๕
๓. รัชกาลที่ ๖
๔. รูป ร.๙
๕. พระเจ้าตากสินฯ ตอนเป็นกษัตริย์
๖. พระเจ้าตากสินฯ ตอนผนวช


ถ้าถามว่า ปั้นไว้ทำไม เวลาปั้นทำไมถึงไม่บอกใคร ความจริงเวลาปั้นน่ะบอกนะ บอกช่าง ถ้าไม่บอกเขาไม่ปั้นหรอก แล้วช่างก็ไม่หาที่ไหน เอา พระสามารถ ที่วัดนี้ แกก็เรียนอะไรไม่จบสักอย่างเรียน
วิชาการช่าง พวกปั้นมา อ้าว ก็เรียนไม่ทันจบเสียอีก ก็ไม่เป็นไร ไอ้ใครที่มันจะปั้นให้เหมือนคนตายแล้วน่ะ มันไม่มีหรอก เอากันแค่ดูรู้เรื่องก็แล้วกัน ใครอยากจะติ ก็เชิญติตามชอบใจ ใครอยากจะชม ก็เชิญชมตามชอบใจ ไม่ใช่ของแปลก

นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คนไม่ถูกนินทาเลย ไม่มีในโลก และการปั้นก็ไม่ได้เรี่ยไร ไม่ได้บอกบุญใคร อยากจะปั้นก็ปั้นขึ้นมาเฉย ๆ หมดเรื่องหมดราว สำคัญรูปพระเจ้าตากสินฯ น่ะซี ไม่มีตัวอย่าง ไม่มีแบบ ท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์) เคยเอารูปถ่ายมาให้ดูที เป็นรูปเขียนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ว่าจำได้ไหม

เขาบอกว่า รูปพระเจ้าตากสินฯ ก็ โอ้โฮ หน้ายาวสัก ๕กิโลเมตร พระเจ้าตากสินฯ ท่านหน้าอยู่ในเกณฑ์สี่เหลี่ยม แต่ไม่สี่เหลี่ยมนักหรอกแต่ตอนแก่นี่เข้าไปลักษณะสี่เหลี่ยม คล้าย ๆ หน้าคุณอะไรล่ะพระเอกหนังน่ะ ที่เป็นพระพุทธยอดฟ้า ฯ เรื่องสงครามเก้าทัพ (สมบัติเมทะนี) หน้าในลักษณะคล้าย ๆ แบบนั้น แต่หน้ามีเนื้อมากกว่านั้นทีนี้รูปที่เขามาให้ดู เขาบอกว่า มาจากอิตาลี โอ้โฮ ยาวเหยียด หลายกิโลเมตร ไม่ใช่ ไม่ถูก นี่ถ้าถามว่า ทำไมจึงจะรู้ จะถูก จะเหมือนก็ต้องบอกว่า

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทุกรูปที่ปั้นมาแล้วเหมือนหมดอย่างรูปพระเจ้าตากสินฯ ที่เมืองตาก ก็เหมือนพระเจ้าตากสินฯ ที่เมืองตาก พระเจ้าตากสินฯ ที่พระราชวังเดิม ก็เหมือนพระเจ้าตากสินฯ ที่พระราชวังเดิม พระเจ้าตากสินฯ ที่วงเวียนใหญ่ ก็เหมือนพระเจ้าตากสินที่วงเวียนใหญ่ พระเจ้าตากสินฯ ที่จันทบุรี ก็เหมือนพระเจ้าตากสินฯที่จันทบุรี ที่นี้ที่ปั้นที่วัดท่าซุงล่ะ ก็เหมือนพระเจ้าตากสินฯ ที่วัดท่าซุงอย่าเอาไปเปรียบเทียบกันนะ ของใครของมัน

ทีนี้ถ้าจะถามว่า ที่วัดท่าซุงเอาแบบมาจากไหน ก็ขอตอบว่าเอาแบบมาจากผีพระเจ้าตากสินฯ ถ้าถามว่า ผีพระเจ้าตากสินฯ มาเมื่อไร จะบอกให้ฟังก็ได้ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ จำเดือนไม่ได้ เวลานั้นป่วยไปนอนที่กรมแพทย์ทหารเรือ ห้องพิเศษ ตึกพิเศษ แล้วพอไปนอนอยู่ที่นั่น พอตกกลางคืน เวลาประมาณ ๔ ทุ่ม ก็จะนอน เมื่อขณะที่จะนอนก็ไปใส่กลอนประตู แล้วก็ใส่กลอนหน้าต่าง จ่าพยาบาลที่นั่น เวลานั้นมีนายทหารบ้าง มีจ่าบ้าง เป็นลูกศิษย์ลูกหา มีอยู่หลายคน เอาหลอดไฟ ๑๐๐ แรงเทียนมาใส่ให้

สว่างจ้า ก็เลยขึ้นเตียงกำลังจะเอื้อมมือไปปิดสวิทช์ก็พอดีปรากฏว่า คน ๆ หนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง เอาละนิมิตนี้บรรดาท่านทั้งหลาย ฟังแล้วก็จำให้ดีนะว่า หลอดไฟ ๑๐๐ แรงเทียนมันสว่างขนาดไหน แล้วก็มาในขณะที่หลอดไฟ ๑๐๐ แรงเทียนยังไม่ดับถ้าจะถามว่า เข้าฌานชั้นไหน ก็บอกว่า เข้าฌานชั้นที่ ๕๐๐ มันจะเข้าฌาน เข้าเชิญอะไร ท่านแสดงให้เห็นน่ะ แสดงองค์ให้เห็น แต่ว่าเวลาแสดงองค์ให้เห็น ก็เป็นคนล่ำ ๆ ท่าทางแข็งแรงปราดเปรียว เป็นคนมีเนื้อเต็ม แต่นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาวแค่เข่า เหนือเข่านิดหนึ่ง แล้วก็ใส่เสื้อแขนสั้นเหนือศอกหน่อย

มายืนอยู่แต่ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ก็เพราะว่า ไปนอนที่นั่นเวลาป่วย ก็มีความรู้สึกว่า บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย เพราะเป็นการตกใจง่าย กำลังใจของคนป่วย ความเข้มแข็งน้อย ก็ไม่รู้จะนึกถึงใคร นึกว่าในที่นี่เป็นเขตพระราชฐานของพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ขอพึ่งบารมีพระเจ้าตากสินมหาราชให้คุ้มครอง พอท่านผู้นั้นมายืนปุ๊บก็มองเห็นนะ ไม่ต้องหลับตากันแล้ว ไม่ต้องเข้าฌานกันแล้วบรรดานักเจริญกรรมฐานทั้งหลาย

นักตาทิพย์ทั้งหลายโปรดทราบ ฌาน เชิญอะไรกันแน่ ในเมื่อผีจะแสดงตัวให้ปรากฏแต่ความกลัวไม่มีเพราะชิน เรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวชพรรษาที่ ๑ก็เลยถามว่า ท่านเป็นใคร ท่านผู้นั้นก็ถามว่า เมื่อกี้นี้ท่านนึกถึงใครก็ตอบท่านบอกว่า นึกถึงพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านก็บอกว่า ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช ก็เลยมองไปมองมา พระเจ้าตากสินมหาราชนุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาว เป็นคนผิวขาวหน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิด ๆ แต่มีเนื้อเต็ม มองดูท่าน

ถามว่า มองอะไร ก็เลยบอกว่า ก็มองดูลักษณะพระเจ้าตากสินฯ น่ะซีท่านถามว่า เชื่อหรือยังว่าพระเจ้าตากสินฯ บอก ยังไม่เชื่อ ที่มองนี่ มองเพราะไม่เชื่อ ท่านถามว่า ไม่เชื่อตรงไหน บอก ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อ เพราะกางเกงกับเสื้อนี่ มันเป็นเครื่องแบบของกุ๊ยข้างถนนเขานุ่งกัน พระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้ ท่านถามว่า กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้วนะ

ก็บอกว่าจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อเป็นกษัตริย์ เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฏก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์ นี่เข้าเครื่องทรงแบบกุ๊ย แบบนี้ไม่เชื่อหรอก บอก เอ้า ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้ พอพูดจบเครื่องทรงก็เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า เชื่อหรือยัง บอก ตอนนี้เชื่อแล้วต่อมาก็ชวนคุยกัน คุยกันตั้งแต่สี่ทุ่มเศษ ๆ ถึงตีห้าครึ่ง ลองนับดู กี่ชั่วโมง จำภาพได้ชัด พอท่านจะกลับ ท่านบอก เออ นี่มันจะ๖ โมงแล้วครับ ประเดี๋ยวเขาจะมาเรียกท่านนะ

เดี๋ยวพวกจ่าพยาบาลจะมาเรียก ๖ โมงเขาจะมาเรียกแล้ว ผมจะลากลับละ ก็บอกว่าประเดี๋ยวก่อน ประเดี๋ยวค่อยกลับ ก่อนจะกลับน่ะ ขอหวยสัก ๒ ตัวได้ไหม ท่านบอกว่า ไอ้สมัยเราน่ะ สมัยเราสมัยโน้นมันมีแต่หวยจับยี่กีนะไอ้หวยแบบเลขท้าย ๓ ตัว แบบนี้มันไม่มี แต่หวยนี่ผมไม่รู้หรอก แต่เวลานี้ผมก็มีสตางค์ติดกระเป๋ามาเพียงแค่ ๒๕ สตางค์ ท่านก็โยนป๊องไปใต้เตียง เห็นเลข ๒๕ ใสแจ๋วถ้าจะถามว่า

คุยเรื่องอะไรตั้งแต่ สี่ทุ่ม ถึงตีห้าครึ่ง ก็ต้องตอบว่า คุยเรื่องอดีต เรื่องความเป็นมาของพระเจ้าตากสินฯ ตั้งแต่เป็น เด็กชายสิน ตี๋สิน น่ะ ตั้งแต่เป็น ตี๋สิน ตั้งแต่เด็ก ๆ ไว้หางเปีย ที่ นายบุนนาค เอาหางเปียผูกกับต้นกล้วย แล้วก็ตี๋สินตื่นขึ้นมาหางเปียติดต้นกล้วย ก็โมโห รู้ว่านายบุนนาคเป็นคนผูก เล่าเรื่องเรื่อยมา จนกระทั่งถึงขั้น วางแผนให้รัชกาลที่ ๑ เป็นพระมหากษัตริย์

แล้วพระองค์เองก็สั่งให้รัชกาลที่ ๑ ยกทัพไปปราบเขมรเวลานั้นเขมรแข็งเมือง ให้เอาลูกชายของพระองค์ไปด้วยว่า ถ้าตีเขมรได้ ไม่ต้องให้ลูกชายกลับมา ให้ครองที่เขมร อยู่ทางนี้จะบวชจะแกล้งทำเป็นคนบ้าจะได้พ้นจากความเป็นกษัตริย์ เมื่อกลับมาแล้วก็ขอให้รัชกาลที่ ๑ เป็นกษัตริย์ แล้วก็สั่งไว้ด้วยว่า เงินหนี้สินที่กู้เจ้าสัวเขามาน่ะ อีกไม่นานนี่เขาจะมาเอาเงินต้นเขา เอาทั้งต้นทั้งดอก ฉันก็ไม่มีมันต้องรบราฆ่าฟันกัน

แล้วก็หาให้เขาไม่ได้ความจริงก็ไม่ตั้งใจจะโกง แต่ก็ไม่อยากจะให้ แล้วท่านก็วางแผนบอกว่า เงินสำหรับเบี้ยหวัด เงินปีของข้าราชการ ที่ยังเป็นหนี้ข้าราชการอยู่ ฉันเก็บไว้แล้วตรงนั้นนะ แล้วก็เงินสำหรับใช้สอยต่าง ๆ ฉันเก็บไว้ตรงนี้ แล้วเงินสำหรับที่เธอจะเป็นกษัตริย์ บอกรัชกาลที่ ๑ เวลานั้นยังเป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ฉันเตรียมไว้ตรงนั้นเตรียมไว้พร้อมแล้ว เมื่อกลับมาก็เป็นกษัตริย์ เถลิงราชย์ก็แล้วกัน กลับมาจากเขมรก็เป็นอันว่าเล่าย่อ ๆ

ให้ฟังตามนี้นะ แล้วแผนทุกอย่างเป็นไปตามนั้น แต่ว่า พระยาสวรรค์ ไม่ดี ให้ไปทวงหนี้ ไปเก็บภาษีที่อยุธยากลับไปรวมพวกอยุธยากลับมา หวังจะยึดกรุงธนบุรี จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินเอง พระยาสวรรค์น่ะลืมตัว อย่าลืมว่า ทหารรักษาพระองค์น่ะมีฝีมือมาก แค่พระยาสวรรค์เท่านั้นไม่พอฟันหัวหรอก หัวไม่พอจะฆ่าก็รวมความว่า เมื่อคุยกันไปคุยกันมาเสร็จ ท่านโยนสตางค์ ๒๕สตางค์ลงไปแล้ว ท่านก็ลากลับแล้วก็หายไป

ภาพนั้นจำได้ แล้วต่อมาก็พบกันอีกหลายครั้งในลักษณะเดิม แล้วก็เวลาปั้นรูปท่านท่านก็มาติเองให้พระสามารถปั้น ปั้นทีแรกเป็นเด็กอายุสัก ๑๕ - ๑๖ ปี บอก ใช้ไม่ได้เจ้าของมาติเอง หลังจากนั้น ท่านก็ให้ปั้นใหม่ ท่านก็มาติตรงนั้น ติตรงนี้แต่ว่าไม่ยักเอาหน้าสมัยแก่ ตอนที่บวชน่ะ เป็นสมัยแก่ ไม่เอาเอาแต่ตอนที่ เป็นหน้าระยะที่ตีฟันฝ่าข้าศึกออกจากอยุธยา เพราะหน้าตอนนี้เป็นหน้าที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็น หน้าตาย การใช้กำลังมีกำลังทหารแค่ ๕๐๐ คน กับลูกหาบ

แล้วถ้าพม่าเข้าล้อมหน้า แล้วก็ล้อมหลัง ก็หมายถึงว่า ตายกันหมด ในเมื่อผ่านไปได้ แล้วก็ถือว่าเป็นบุญ ต้องเอาหน้านี้ เป็นหน้าที่มีความสำคัญมาก การที่นำกำลังทหารเข้ามาตี ในสมัยที่รวบรวมกำลังแล้วมันไม่หนัก ถ้าเราสู้ไม่ได้ เราก็ถอย เรียกว่า หนีความตายได้ก็เป็นอันว่า หน้าที่วัดท่าซุง ก็เป็นหน้าสมัยที่พระเจ้าตากสินฯ ตีข้าศึกออกจากอยุธยา ถ้าถามว่าเหมือนไหม ก็ตอบว่า จะให้เหมือนเปี๊ยบ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ทว่าเวลาปั้น เจ้าของจะมาติเอง เจ้าของมาแก้ตรงนั้นออกนิด เอาตรงนี้ออกหน่อยหนึ่ง

เขาทำผมเป็นผมหลักแจว ท่านก็บอกว่า ใช้ไม่ได้สมัยนั้นผมหลักแจวน่ะ ผมสั้นท่านชอบ แต่เป็นการตัดเกรียนขึ้น เกรียนจากต้นแล้วขึ้นไปบานตรงปลายนิดหน่อย อย่างนั้นมันถึงจะถูก รวมความว่า หน้าของพระเจ้าตากสินฯกำลังปั้น แล้วก็จะปั้นเป็น ๒ สมัย คือว่า สมัยที่ท่านเป็นกษัตริย์ และสมัยที่ท่านเป็นพระ เพราะพระเจ้าตากสินฯ นี่ ผู้พูดขอยืนยันว่า

พระเจ้าตากสินฯ ไม่ได้ถูกรัชกาลที่ ๑ ฆ่าความจริงจะฆ่ากันได้อย่างไร ด้วยเหตุด้วยผล เพียงพระเจ้าตากสินฯ ทำบทบาท แกล้งทำเหมือนว่าเป็นบ้า ประกาศตนว่า เวลานี้ฉันเป็นพระโสดาบันแล้ว บังคับให้พระที่มีความผิดในทางวินัยมาไหว้ แต่ความจริงพระที่มีความผิดนี่นำเข้ามาในวังจริง แต่ไม่ใช่พระ เอาไอ้พวกนักโทษมาห่มผ้าเหลืองเข้า ทำไปให้ไหว้ ในเมื่อไม่ไหว้มีความผิด ก็เฆี่ยนเฆี่ยนนักโทษ ไม่ใช่เฆี่ยนพระ เอาพระจริง ๆ แอบเสีย

ก็ทำเป็นเหมือนว่า ตนเองเป็นคนบ้า เขาจะได้ไม่ให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าหนีหนี้ อีกไม่ช้าไม่นานนัก เจ้าสัว เขาจะมาเก็บเงิน ทั้งต้นและทั้งดอก (เมื่อกี้หมามันเห่าเข้าไมโครโฟนบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ มันเห่าดังด้วย มาพูดตอนนี้หมามันได้ยินเสียงเข้า มันก็นึกว่าเสียงคนภายนอก มันก็เลยเห่า ก็ช่างมันเสียงคนกับเสียงหมาผสมกันเพราะดี)ก็เป็นอันว่า หลังจากที่ ร.๑ กับ กรมพระราชวังบวรฯ ยกทัพไปที่เขมร และไม่ช้าไม่นานนักปรากฏว่า

เขาบอกว่า พระยาสวรรค์กบฏ พระยาอภัย หลายชาย ร. ๑ ยกทัพมาจากนครราชสีมามาจับพระยาสวรรค์ได้ฆ่า เขาก็แจ้งไปบอกว่า ในเมืองกรุงธนบุรีปั่นป่วนมากขอให้ยกทัพกลับ ร.๑ กับกรมพระราชวังบวรฯ ก็ยกทัพกลับมาถึงวัดสระเกศ เขาก็เชิญให้เป็นกษัตริย์ แต่ก็ต้องเป็นการล้างกษัตริย์กัน (เป็นการล้างหนี้นี่) ถ้าเปลี่ยนมือจากความเป็นกษัตริย์ เจ้าสัวก็ไม่รู้จะทวงใคร ไม่ใช่สืบสันตติวงศ์ เป็นการ ปราบดาภิเษก แบบหลอกหลอนความจริงเป็น

ราชาภิเษก ไม่ใช่ปราบดาภิเษกแต่ว่าประวัติศาสตร์เขาบอก ปราบดาภิเษก คำว่าปราบดาภิเษก ก็หมายความว่า ฆ่าองค์เก่าแล้วก็ขึ้นครองราชย์ ถ้าราชาภิเษกก็หมายความว่า องค์เก่าตาย หรือสละราชสมบัติ องค์ใหม่ขึ้นมาเป็นราชาภิเษก ศัพท์นี้มันถูกหรือมันผิดก็ไม่รู้ ก็ช่างมันเถอะ ก็พูดมันส่งเดชไปก็แล้วกัน ห้ามวินิจฉัย ฟังไปหลังจากนั้น เมื่อข่าวว่า พระเจ้าตากสินฯ ถูกฆ่าตาย รัชกาลที่ ๑ ขึ้นเถลิงราชสมบัติ ต่อมา พระยาพิชัยฯ ก็ยกทัพมาจากเมืองพิชัยมายับยั้งทัพที่บางกะปิ

รัชกาลที่ ๑ กับกรมพระยาราชวังบวรฯ กับพระยาอะไรอีกคน จำไม่ได้ ก็ไปด้วยกัน ๓ คน ไปถามพระยาพิชัยฯว่า มึงยกทัพมาทำไมวะ พระยาพิชัยฯ ก็ลงมาจากคอช้าง พระยาพิชัยฯ ก็บอกว่าก็มึงฆ่าท่านใหญ่ มึงครองสมบัติ กูก็อยากได้สมบัติบ้าง กูก็จะรบแย่งสมบัติ ร.๑ ก็บอกว่า ใครบอกมึงวะว่า ท่านใหญ่ตาย ถูกกูฆ่า ท่านใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ มึงไม่เชื่อ มึงเข้าไปดูกับกูพระยาพิชัยฯ ก็เข้าไปพบพระเจ้าตากสินฯ พระเจ้าตากสินฯท่านก็เลิกบ้า ในเมื่ออยู่ตามลำพังเพื่อน ๆ เก่า

ท่านก็คุยความจริงให้ฟังเมื่อคุยความจริงให้ฟัง พระยาพิชัยฯ ก็ยกทัพกลับ ต่อมา ร.๑ ก็เรียกพระยาพิชัยฯมา ให้รับราชการร่วมกัน ละครบทนี้มันแสดงไม่ยากพระยาพิชัยฯ ก็ประกาศว่า ไม่ยอมเป็น ข้าสองเจ้า บ่าวสองนายความจริงก็เพื่อนกัน เขาก็สั่งฆ่าพระยาพิชัยฯ แต่พระยาพิชัยฯ ไม่ตายหรอก นักโทษประหารชีวิตตายแทน พระยาพิชัยฯ ก็เปลี่ยนเป็นชื่ออื่นเมื่อจัดงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ก็นำพระเจ้าตากสินฯ ออกไปส่งออกทางปากท่อ พระเจ้าตากสินฯ นั่งคานหาม ต้องออกกลางคืนกลางวันกลัวเขาจะรู้ ท่านเป็นพระ ไปส่งไว้ที่นครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมี ๒ คน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จะได้บำรุงพ่อ คนน้องชายก็ให้ทุนเป็นพ่อค้าสำเภา เป็นการหาทรัพย์สินเข้าเมือง นี่ความจริงเรื่องจริง ๆ มันเป็นอย่างนี้ จึงได้ต้องปั้นรูป ๒ รูปคือ รูปที่เป็นกษัตริย์รูปหนึ่ง และรูปที่เป็นพระรูปหนึ่ง

ทีนี้ถ้าใครจะบอกว่า แหกคอก หน้าตาไม่เหมือนพระเจ้าตากสินฯ จริง ก็ต้องขอตอบว่า รูปที่ปั้นนี่รูปร่างเหมือนพระเจ้าตากสินฯ ของวัดท่าซุง ถ้าจะไม่เหมือนใครก็ตามใจเถอะและประการที่สอง เวลาที่เขาปั้นด้วยดินเหนียว เป็นแบบก็เชิญพระเจ้าตากสินฯ ที่เป็นผีแล้ว ผีสูงพระเจ้าตากสินฯ นี่ต้องบูชาสูงสุดนะ เป็นพระสงฆ์ที่มีความสำคัญสูงสุดในพุทธศาสนา ท่านก็มาติเอาตรงนั้นออก เอาตรงนี้เข้า ก็ถามบอกว่า

นี่หน้ามันแบนน้อยไปนะตอนแก่แบนกว่านี้ ท่านบอกไม่ได้ ตอนนั้นมันตอนแก่ ตอนจะบวชตอนเป็นกษัตริย์ เอาหน้าตอนสำคัญ คือ ตอนที่ตีฝ่าทัพพม่าออกไปจากอยุธยา เอาหน้าตอนนี้ทำหน้าคนหนุ่มอายุประมาณ ๓๐ ปีเศษ ๆเอาละ บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/10/12 at 16:00 [ QUOTE ]


2

พระสอนในป่า



ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ตอนนี้ก็เป็น ตอนที่ ๒ ของวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๓ เมื่อตอนที่ ๑ มาจบลงตอนที่ พระเจ้าตากสินฯ บวช แล้วรัชกาลที่ ๑ กับคณะ รวมกันแล้วจริง ๆ ก็ประมาณสัก ๒๐๐ คน ใช้คานหามหามออกทางปากท่อ ไปกลางคืนเอาไปที่นครศรีธรรมราช แล้วก็ตั้งลูกชายเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ลูกชายคนโต ลูกชายคนรอง ก็เป็นพ่อค้าสำเภา หมดภาระ

ทีนี้ก็กลับมาถึงด้านกรุงเทพฯ ด้านกรุงเทพฯ ต่อมาข่าวการมาของ เจ้าสัว เจ้าสัวแกมาอย่างนี้มาเรือ ๗ ลำ เอาหีบใหญ่ใส่เงินมา ๗ หีบ ลำละหีบ ขนาดใหญ่มากกะว่า เงินเก่าถ้าได้ แล้วได้ดอกเบี้ยด้วย ก็ให้กู้ต่อไป เพราะบ้านเมืองเจริญขึ้น สงบขึ้น ก็ต้องใช้เงินมาก แล้วก็เอาเงินใหม่ให้กู้ด้วย คือ กู้ทั้งเงินเก่าเงินใหม่ การที่พระเจ้าตากสินฯ ถูกประหารชีวิตตามข่าวโกหกนั้น แกไม่รู้

เขาต้องประกาศว่า พระเจ้าตากสินฯ ถูกรัชกาลที่ ๑ประหารชีวิต เป็นเรื่องธรรมดาของการเมือง ท่านทำเพื่อประเทศชาติ ต่อมาก็ปรากฏว่า เมื่อเรือแล่นเข้ามาถึง สัตหีบ แถวนั้น ในทะเลไกลไปแถว ๆ เกาะล้าน เลยเกาะล้านไปสักหน่อย ก็ปรากฏว่ามีลมสลาตัน ลมนั้นปลิวเอาดาบ เอาหอกมาด้วย เข้าผลักไสบรรดาเรือของเจ้าสัว คนในเรือล้มตายกันเป็นแถว

หีบทั้งหมด หีบเงิน ก็ถูกลำเลียงขึ้นบก แล้วก็จมเรือ สิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการก็อยู่ในเรือ อันนี้ก็เป็นเรื่องนิทานเล่าสู่กันฟัง ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก ประวัติศาสตร์อย่าเขียนตามนี้นะ เขียนตามนี้เดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่จริงรวมความว่า เจ้าสัว นอกจากตัวเขาจะเป็นเจ้าสัวให้กู้ เจ้าหน้าที่ของเขาที่กรุงเทพฯ ก็มีอยู่ก็คอยเวลา ทางราชการเราก็ถามว่า เจ้าสัวมาหรือยังเงินพร้อมจะจ่ายแล้ว จ่ายคนอื่นก็ไม่ได้

ต้องจ่ายกับเจ้าสัวตามสัญญา เจ้าหน้าที่ทางนี้ของเขาก็ไม่เห็นเจ้าสัวมาสักที ก็หมดเรื่องหมดราวไป เงินก็เลยไม่ต้องชำระหนี้กันทีนี้ถ้าจะถามว่า ปั้นรูปรัชกาลที่ ๑, ที่ ๕, ที่ ๖ แล้วก็รูป ร.๙ รูปพระเจ้าตากสินฯ ปั้นไว้ทำไม แต่ความจริงก็น่าจะปั้นทั้ง ๑๐ รัชกาล แต่มันไม่ไหว ที่ไม่มี แต่ที่มีความสำคัญก็คือ ๑. วันจักรี เด็กนักเรียนที่นี่มี บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีที่มี ความเคารพในรัชกาลที่ ๑

แล้วก็เคารพในพระราชวงศ์จักรี จะได้มนัสการ ถวายบังคมกัน จะจัดการทำบุญวันจักรีเกิดขึ้น คือว่า ถ้าไหว้เฉย ๆ ผลมันก็มีเหมือนกัน แต่ว่าอย่างนั้น ๆ แหละ ถ้าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านจะมีประโยชน์ใหญ่ ประการที่ ๒ วันปิยะมหาราช ถ้าวันปิยะมหาราชถึงเข้ามา ก็ทำบุญเหมือนกัน ประการที่ ๓ วันลูกเสือ คือ รัชกาลที่ ๖ เอานักเรียนมา ทำความเคารพ แล้วก็ทำบุญเลี้ยงพระกัน ไม่ต้องมาก อุทิศส่วนกุศล

ถวายท่านมาถึง วันรัชกาลที่ ๙ วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ วันที่ ๕ ธันวาคม ที่เราไม่ได้ไปกรุงเทพฯ กัน เราก็ทำบุญกันที่นี่ ประดับประดา ไฟ ทุกรัชกาลประดับไฟหมด ทีนี้ วันพระเจ้าตากสินฯ วันที่ ๒๘ ธันวาคม เราก็ไหว้ ไหว้พระเจ้าตากสินฯ ที่เป็นกษัตริย์ด้วยไหว้พระเจ้าตากสิน ที่เป็นพระด้วย อันนี้เป็นการยืนยันว่า พระเจ้าตากสินฯ ก่อนจะสวรรคต เป็นพระแล้ว ก็ไม่ได้ถูกฆ่าตาย

สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำของท่านยังอยู่ ใครอยากจะไปดู ก็ไปดู กุฏิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฏิที่ท่านอยู่จริง ๆ ดีกว่านั้น เขาทำมีความผาสุกกว่านั้น เวลาท่านออกจากถ้ำ ท่านก็มีที่พัก มีห้องพัก ห้องร้อน ห้องเย็นของท่านตามสบาย ๆ แต่ความจริงไม่ได้สั่งลูกชายเป็นคนสร้าง ท่านอยู่ด้วยความสงบคนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ

ความหลง แล้วก็คนแก่ด้วย ก็หมดความรัก ฉะนั้นการปฏิบัติ ธรรมของท่าน ก็เป็นด้วยความเคร่งครัด คือ ไม่ได้เคร่งเครียด คำว่าเคร่งครัด คือ ปฏิบัติตรงไปตรงมาในมัชฌิมาปฏิปทาแต่ทว่าพระเจ้าตากสินฯ เป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็น พระโพธิสัตว์ แล้วต่อมาภายหลัง ตามภาพนิมิต ระยะเวลาใกล้ ๆ ประมาณมกราคม ๒๕๓๓ เอากันแค่วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓ วันนั้นพบพระเจ้าตากสินฯ อีกครั้งหนึ่ง

คือว่า พ.อ.สถาพร นำดาบเล่มหนึ่งมาจากเมืองตาก เขาบอกว่า ดาบของพระเจ้าตากสินฯ เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์ทหารบก ที่นครปฐม ซึ่งเป็นนายทหารม้า รุ่นพี่ของ พ.อ.สถาพร เมื่อคืนวันที่ ๒๙ เขามาให้ไว้คืนนั้นก็ปรากฏว่า ตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะ ตั้งไว้บนเตียงที่สมควร พอตอนดึกเวลาประมาณสักหกทุ่ม เวลาจะนอนลงก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมาก มาที่ดาบ

ถามว่า มาทำไม ท่านบอกว่า ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็ทำให้มันหน่อย ถามว่า ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง ท่านก็บอกว่าประโยชน์มี ท่านอธิบายให้ฟัง แต่ขอปิด ไม่ใช่ปิด แต่ไม่บอกให้ทราบหลังจากนั้นก็คุยกัน ถามว่า เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยังท่านบอกว่า ยังไม่ได้ลา ก็ถามว่าตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรือ

ท่านบอกว่า เวลานี้ปรากฏว่าพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็ม รอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาจากพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ก็ไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหมล่ะ
ท่านบอกว่า ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปด้วย ไปด้วยกัน ก็ไปด้วยกัน ไปหาพระท่าน

ไปถึงเมื่อกราบท่านแล้วก็ถามว่า เวลานี้ พระสิน เทวดาสิน เวลานี้เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ชักเอือม ๆ อยากจะทราบว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว
พระท่านก็บอกว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๐ หลังพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว ก็เล่นเอาเทวดาสินหน้าเซียว ต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง ๓๐ พระพุทธเจ้า ๓๐ พุทธสมัย ก็เลยถามพระท่านบอกว่า(พระอะไรน่ะห้ามถามนะ ถ้าจะถามว่า ถามพระอะไร ก็บอกว่า พระก็แล้วกัน)

ถ้าเทวดาสินจะลาจากพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน
ท่านบอกว่า เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิ เป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว กำลังเหลือ ก็เหลือแค่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้วถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ
ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด เพียงเท่านี้ เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นเทวดาต่อไป

คำว่าเป็นเทวดาต่อไป ก็หมายถึงว่าเป็น วิสุทธิเทพนี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ รู้ได้อย่างไร ก็บอกว่า ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร ไม่มีความจำเป็นคนที่เห็นผีน่ะ เข้าฌานหรือเปล่าล่ะ เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า มันก็เปล่า สภาพนี่ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอก แต่ว่าผีมาชวนคุย

ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ มันเรื่องง่าย ๆ เรื่องไม่ยาก ๆ เรื่องนี้ก็จบกันไปแล้ว เวลามันเหลือ มันก็จบไม่ได้สิต่อมาก็มาคุยกันถึง ป่าศรีประจันต์ กันใหม่ ฟังป่าศรีประจันต์กันก็น่าจะเบื่อนะ วันนี้ก็จบกันเสียที ป่าศรีประจันต์ ตอนป่าศรีประจันต์นี่ เป็นการซักซ้อมธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ แต่ความจริงเรื่องธุดงค์แบบอุกฤษฏ์นี่ ทางภาคอีสานท่านเก่ง

ลูกศิษย์ หลวงพ่อมั่นท่านเก่ง เอากันจริง ๆ จัง ๆ แต่ว่าทางด้านลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ก็มีบ้าอยู่ ๓ องค์ ทางด้านอุกฤษฏ์ นอกจากนั้นก็เป็นธุดงค์ปกติ แต่ว่าค่อนข้างอุกฤษฏ์ก็มี ท่านก็ดี ๆ กันทั้งนั้นทีนี้ก็มาคุยกันถึง ป่าศรีประจันต์ มาอยู่ที่ภูเขาชั่วคราว ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ เมื่อสิ้นเดือนมกราคมภูเขาชั่วคราวไม่มีแล้ว ภูเขาระยำอะไร มันหายไปเร็วจริง ๆ อยู่ที่ภูเขาชั่วคราวก็มีความสุข

นั่งกินนอนกิน แบบสบาย ๆ ถึงเวลาก็บิณฑบาต เวลาบิณฑบาตทีหลังก็ชักกำเริบ เอาใหม่ประเภทที่แขวนต้นไม้ไม่เอาแล้ว เรามาตั้งใจกัน ๓ คน บอกว่า เราเอากันอย่างนี้นะ เราจะเดินบิณฑบาตกัน จากต้นไม้ต้นนี้ไปถึงต้นไม้ต้นโน้น เป็นการฝึก เราจะไม่หลับตา จะเดินแบบสำรวม แบบพระ ถ้าเดินจากต้นนี้ไปถึงต้นโน้น จากต้นโน้นกลับมาถึงต้นเดิม ถ้าไม่มีใครใส่บาตร เราจะอยู่ด้วย ธรรมปีติ

นั่นก็หมายความว่า คำว่า ปีติ แปลว่า ความอิ่มใจ เราจะอิ่มใจในธรรมถ้าบังเอิญมันจะตายเวลานี้ เราก็พร้อม พร้อมในการตาย เพราะความตาย ขึ้นชื่อว่า เกิด แล้ว มันต้องตาย แต่ว่าเราจะตาย เพราะกำลังบุญกุศล เราจะเสียดายอะไรกับร่างกาย ร่างกายเป็นอนิจจัง มันเป็นของไม่เที่ยง ร่างกายเป็นทุกขัง มันเป็นทุกข์ ร่างกายเป็นอนัตตา มันต้องตายแน่สักวันหนึ่งข้างหน้า เราจะตายอยู่กับธรรม

เมื่อตัดสินใจแบบนั้นแล้ว พอตื่นขึ้นเช้าเริ่มทำสมาธิ อันดับแรกตั้งอารมณ์ พรหมวิหาร ๔ ก่อน ให้ครบถ้วนบริบูรณ์อารมณ์จริง ๆหลังจากนั้นก็จับ อานาปานสติ ควบกับ พุทธานุสสติ จับนิมิตเห็นภาพพระพุทธเจ้าตามที่เคยเห็น อีก ๒ องค์นั่นเขาเก่งกว่า คือว่าเทวดาท่านบอกว่า อีก ๒ องค์นั่น เขาตัดสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว เขาคงจับนิพพานเป็นอารมณ์

สำหรับผู้พูดเวลานั้น อยู่ในเขตพระโพธิสัตว์ ยังปรารถนาพุทธภูมิ ก็จับพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ลุกขึ้นคว้าบาตรสะพายเวลาออกเดินเราก็ไม่ภาวนาว่า พุทโธ ใช้ อิติปิโสฯ ตามเดิม ไม่สนใจใครจะใส่บาตร หรือไม่ใส่บาตร ไม่สนใจฉันจะเดินจากต้นไม้ต้นนี้ไปถึงต้นโน้น ก้าวไปก้าวมาก็รู้สึกถึง อิติปิโสฯ เป็นลำดับ พอเดินไปถึงครึ่งทาง ก็ปรากฏว่าเจอะเทวดา แต่งตัวเป็นเทวดา เจอะนางฟ้า แต่งตัวเป็นนางฟ้า

ถือขันคนละใบ มีดอกไม้คนละ ๓ ดอก ใส่บาตร พอใส่บาตรเสร็จ ท่านยกมือไหว้ ก็ให้พรท่านว่า เอวัง โหตุ กลับมาที่เดิมข้าวก็กินพอดี ๆ ดอกไม้เราก็บูชาพระหลังจากนั้นก็อยู่กันแบบสงบ ก็คุยกันบ้าง อะไรกันบ้าง ตามธรรมดา ๆ แต่ว่าก่อนที่จะกลับ ถึงวันใกล้ที่จะกลับ ก็ปรากฏว่ามีพระ๒ องค์ ก็ไม่ทราบว่ามาจากไหน กำลังนั่ง ๆ คุยกัน ก็ปรากฏปุ๊บปั๊บมานั่งร่วมวงเฉย ๆ ท่านถามว่า คิดจะกลับหรือ

ก็กราบเรียนท่านบอกว่าจะกลับขอรับ ท่านบอกว่าจำทางได้ไหม ก็เลยบอกว่า จำไม่ได้ เพราะเวลามานี่เทวดานำมา จากป่าศรีประจันต์ด้านทิศตะวันออก ใกล้อำเภอผักไห่ มาถึงดอนเจดีย์นี่ มันก็ไกลแสนไกล ท่านเดินประเดี๋ยวเดียวก็ถึงผมจำทางไม่ได้ แต่ว่าผมจะถือเอาทิศตะวันออกเป็นเกณฑ์ เดินไปตามสายทิศตะวันออก มันจะถึงเมื่อไรก็ช่างมันท่านบอกว่า ไม่เป็นไร คนที่เขาพามา เขาก็พากลับเวลานี้

ทั้งผี ทั้งเทวดา มีความชื่นชมในท่านทั้ง ๓ มาก แต่ว่าผมยังเห็นว่า ท่านทั้ง ๓ นี่ยังมีอารมณ์หยาบอยู่ นี่ได้ครูแล้ว ผมคิดว่า จะมาแนะนำท่านสักหน่อยหนึ่ง ท่านจะรับฟังไหม ก็เลยกราบท่านด้วยความเคารพจริง ๆถ้าจะถามว่า จำได้ไหม พระ ๒ องค์นี่พระอะไร ก็บอกว่า ไม่รู้หรอกจำไม่ได้ ไม่ใช่ลีลาหลวงพ่อปาน ไม่ใช่ลีลาหลวงพ่อจง แล้วก็ไม่ใช่ลีลาหลวงพ่อจาด สุ่มเสียงก็ไม่ใช่ นุ่มนวลเหลือเกิน

องค์หนึ่งน่ะสวยงามมาก หนุ่ม ไม่แก่ มองแล้วมีแสงสว่างออกจากกาย อีกองค์หนึ่งก็สวยงามเหมือนกัน แต่ว่าท่าทางผิวจะคล้ำกว่ากันนิดหนึ่ง แต่มีแสงสว่างจากกายเหมือนกันท่านก็สอนบอกว่า การเจริญกรรมฐานของพวกคุณทั้ง ๓ องค์นี่หนักสมถภาวนามากเกินไป ควรจะให้พอดี ๆ กัน สมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา เรื่องศีลไม่กังวล ผมไม่กังวลเรื่องศีล เพราะผมเห็นคุณแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณนี่ปรารถนาพุทธภูมิ แต่มันก็ไปไม่รอดหรอก ในที่สุดคุณก็ต้องลาพุทธภูมิ ถามท่านว่า เป็นเพราะอะไรครับท่านบอกว่า สัญญาน่ะมีอยู่ ก่อนที่คุณจะลงมานี่ คุณมีสัญญานะว่าจะมาช่วยงานกันตามกำลังที่คุณจะช่วยได้ ในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง คือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ว่ามีปริมาณไม่น้อยกว่า ๔ แสนคน เป็นกลุ่มไม่ใหญ่ คุณตั้งใจว่า จะมาช่วยคนกลุ่มนี้ให้พ้นจากอบายภูมิ

ถึงแม้ว่าตัวเองจะป่วยไข้ไม่สบายก็ตาม จะลำบากยากแค้นอย่างไรก็ตาม คุณจะช่วยเขา ทีนี้การช่วยเขาด้วยกำลังพุทธภูมินี่ ไม่สมบูรณ์แบบคำว่า ไม่สมบูรณ์แบบ นั่นก็หมายความว่า เรามีอารมณ์ขาดพระนิพพาน เพราะนิพพานเราคิด แต่เราไม่รู้จักพระนิพพานจริง ถ้าอย่างอีก ๒ องค์นี่ เขารู้จักพระนิพพานจริง เพราะว่าเขาปรารถนาสาวกภูมิทีนี้ทั้ง ๓ องค์เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วิปัสสนาญาณน่ะ

เราเอากันง่าย ๆ อย่าให้มันยาก ถ้ายากตามตำราละ คุณไม่มีทางจะได้อะไรหรอก ตามที่อาจารย์คุณสอนน่ะ ถูกต้อง แต่คุณเองทั้ง ๓ คน ก็ไม่ค่อยจะเอาตามแบบอาจารย์นัก ไม่ติดอารมณ์ตำรามาก ทีนี้คนเขียนตำราน่ะ คุณก็ต้องดูว่าเป็น พุทธพจน์ หรือ อรรถกถาจารย์ หรือว่าฎีกาจารย์ เกจิอาจารย์ ฎีกาจารย์ กับเกจิอาจารย์นี่ คุณถือเอาเป็นเรื่องจริงเรื่องจังไม่ได้ วางเสียหน่อยหนึ่ง ดูไปบ้าง

อันไหน ถ้ามันเป็นประโยชน์จริง ๆ ง่าย ๆ สั้น ๆ ละก็เอา ที่เขาเขียนถูกก็มี เขาเขียนผิดก็มาก แต่ว่าถ้าอรรถกถาจารย์ ก็ต้องดูเหมือนกัน อรรถกถาจารย์ ที่ท่านเขียนองค์นั้นเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ถ้าอรรถกถาจารย์ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เราก็อ่านเราก็ฟัง จับเอาเฉพาะจุดที่มีเหตุมีผลตามพุทธฎีกาจริง ๆ ถ้าอรรถกถาจารย์ ส่วนใดเป็นอรหันต์เขียนไว้ เชื่อได้เลย ก็ถามท่านบอกว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า อรรถกถาจารย์องค์นั้นเป็นอรหันต์

ท่านบอกว่า อรรถกถาจารย์ที่เป็นอรหันต์ต้องไม่ทิ้งอารมณ์พระพุทธเจ้าสอน แนวทางที่พระพุทธเจ้านี่ไม่ทิ้งแล้วสอนง่าย ๆเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลานี้ผมจะบอกคุณว่า เอาบังสุกุลทั้ง๒ อย่าง เป็นพื้นฐานวิปัสสนาญาณ ถาม บังสุกุลอะไรครับ ท่านก็บอก บังสุกุลเป็น กับบังสุกุลตาย เอาบังสุกุลตายก่อนว่า อนิจจาวตสังขารา สังขาร คือ ร่างกาย ไม่เที่ยงหนอ มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น

มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด อุปาทวยธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป มันแก่ทุกวัน นั่งคิดอย่างนี้ อุปปัชชิตวา นิรุชฌติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ตาย ดับไป เตสัง วูปสโม สุโข การไปถึงนิพพาน นั่นคือ สงบกาย การสงบกาย หมายความว่า ไม่มีร่างกายอย่างนี้ เป็นสุข นั่นคือ นิพพาน เอาจิตคิดอย่างนี้ไว้ทุกวัน ลืมตาขึ้นมาปั๊บ บูชาพระเสร็จ คิดอย่างนี้ และให้นึกต่อไปว่า

ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราอาจจะตายได้ทุกขณะที่นั่งคุยเวลานี้ คุณอาจจะตายทันทีทันใดก็ได้ อย่าไปรอความป่วย ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นของไม่แน่นอน มันป่วย หรือไม่ป่วยมันก็ตาย เวลาคุณจะตาย และอีกประการหนึ่งก็ใช้ บังสุกุลเป็นว่า อริรังวตยัง กาโย ปฐวิ อธิเสสสติ ฉุฑโฑ อเปตวิญญาโณนิรัตถังว กลิงครัง ร่างกายนี้อีกไม่ช้าไม่นานนัก ก็จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว

คือ จะหมดวิญญาณ มันก็จะตาย ร่างกายนี้เวลาที่เราอยู่คนนั้นก็บูชา คนนั้นก็รัก คนนี้ก็ชอบถ้าเราตายแล้วจริง ๆ แม้แต่เท้าเขาก็ไม่อยากเขี่ยร่างกายของเราเขาเห็นสภาพร่างกายเป็นของน่าเกลียด เขามีความรังเกียจในร่างกายมันก็สู้ไม้ท่อนที่ไร้ประโยชน์ไม่ได้ ไม้ท่อนดีกว่า จงคิดว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานจุดเดียว ทั้ง ๓ องค์

คิดอย่างนี้เหมือนกันหมดนะ แล้วก็ดูอารมณ์ว่า
๑. สักกายทิฏฐิ เรายังมีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเราไหม
๒. วิจิกิจฉา สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไหม หรือเลิกสงสัยแล้ว ถ้าเห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ใช้ไม่ได้ มีความรู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราไว้เสมอ

ประการที่ ๓ สีลัพพตปรามาส รักษาศีลเคร่งครัดไหม
ประการที่ ๔ กามฉันทะ เห็นว่า ร่างกายของคนเพศตรงข้ามมันสวยไหม แต่ความจริงมันสกปรกแสนสกปรก เราเห็นว่า สวยไหมถ้าเห็นสวย ใช้ไม่ได้ จิตระงับไหม เมื่อเห็นความสวยสดงดงามของผิวพรรณ และความอวบของผิวพรรณ ถ้าจิตไม่สนใจ ใช้ได้แล้วก็ ปฏิฆะ อารมณ์ไม่พอใจ มีไหม

ให้ถือกฎของกรรมว่าคนและสัตว์ทั้งโลกเกิดมาเพื่อหวังความดี ที่ทำดีไม่ได้ ก็เพราะว่ากฎของกรรมที่เป็นอกุศลบังคับและหลังจากนั้น รูปราคะ อรูปราคะ การหลงในรูปฌานและอรูปฌาน มีไหม อย่าหลงมัน รูปฌาน และอรูปฌาน เป็นแต่เพียงสักแต่ว่า เป็นกำลังให้วิปัสสนาญาณเกิดเท่านั้นแล้วก็ มานะ การถือตัวถือตน มีไหม หมากับคนต้องคุยกันได้ คบกันได้ แม้แต่หมาขี้เรื้อน เราก็ต้องคบได้

ไม่ควรจะถือตัว เพราะมีสภาพเหมือนกันอุทธัจจะ จิตเลี่ยงจากนิพพาน มีไหม ถ้ามีใช้ไม่ได้ ให้จับนิพพานโดยตรงอวิชชา ก็มีความรู้สึกว่า ความพอใจในมนุษยโลก เทวโลกพรหมโลก สวย ไม่มีในเรา เราต้องการนิพพานจุดเดียวจำไว้ให้ดีนะคุณนะ ทั้ง ๓ องค์นี่ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของคุณแล้ว ถือบทนี้เป็นสำคัญ วิปัสสนาญาณแค่นี้พอเหลือแหล่ เหลือกิน เหลือใช้ เพียงเท่านี้ท่านจะไปไหน มันก็ไปไม่ได้แล้วนอกจากนิพพานแห่งเดียว ก็ถามว่า เมื่อไรผมจะลาจากพุทธภูมิ

ท่านบอก ถึงเวลาเป็นเอง ถามว่า พระเดชพระคุณทั้งสองเป็นใครขอรับ ท่านบอกว่าผมทั้งสองเป็น อัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็ลาไปเอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาหมดพอดี ไม่เลิกก็ไม่ได้ ขอลาก่อน ขอความสุข สวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


3

วินิจฉัย ๒ กษัตริย์



ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาหยุดเรื่องศรีประจันต์สักครู่หนึ่ง มาช่วยกันวินิจฉัยถึง ๒ พระมหากษัตริย์ คือ
พระเจ้าพรหมมหาราช กับช้างตัวสำคัญ ช้างพลายประกายพรึก และก็
พระเจ้าตากสิน กับรัชกาลที่ ๑ คือ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ประเทศไทยเราถือว่าเป็นประเทศที่มีบุญมาก ซึ่งมีความสำคัญ ในเมื่อความสลายตัวจะเกิดขึ้น ก็มีท่านที่มีบุญเข้ามาช่วย

อย่างสมัยเมื่อก่อนพระเจ้าพรหมมหาราชจะเกิด พระเจ้าพังคราชเสียท่าแก่ ขอมดำ คือ เมืองหริภุญไชย ความจริงตระกูลของไทยเวลานั้นปกครองกันมาเกือบ ๖๐ รัชกาล คือว่า ถ้าใครมีลูกก็เป็นกษัตริย์แทนถ้าไม่มีก็น้องเป็นแทน ว่ากันเรื่อยมาแบบนี้กว่าจะถึงสมัยพระเจ้าพังคราช ก็เกือบจะ ๖๐ รัชกาล การปฏิวัติรัฐประหารการกบฏในบ้านเมืองไม่มี ก็รวมความว่า การสงครามไม่มี แต่ทว่าก็มีเขตบางเขตขอขึ้นอยู่ในขอบขัณฑสีมา

อย่าง ขอมดำคือ เมืองหริภุญไชย เป็นต้น หมายความว่าขอขึ้นด้วย ขออยู่ด้วย แต่ก็อยู่เฉย ๆ อาจจะมีเครื่องบรรณาการบ้าง ตามประเพณีของโบราณนิยม ก็เป็นได้ต่อมาในเมื่อการรบไม่มี ความอ่อนแอของชาติก็ย่อมปรากฏความอ่อนแอทางทหาร เมื่อปรากฏแล้ว ต่อมาภายหลังขอมดำก็คิดกำเริบ เขาคิดว่าไม่ควรที่เขาจะเป็นผู้อาศัยไทยอยู่ เขาคงคิดว่าควรจะเป็นผู้ปกครองไทยเสียเลยทั้งประเทศดีกว่า

เวลานั้นประเทศก็เป็นประเทศเล็ก ๆ ไม่เป็นประเทศใหญ่ เป็นหย่อม ๆ ไทยก็มีมาก แต่อยู่เป็นหย่อม ๆ ไม่รวมเป็นประเทศเดียวกัน ฉะนั้นขอมดำจึงเตรียมรบแข็งเมือง ไม่ส่งเครื่องบรรณาการ ๓ ปี ถือว่า เป็นการรบ ฝ่ายเมืองเชียงแสนซึ่งมีพระเจ้าพังคราชเป็นกษัตริย์ เวลานั้นก็มีอายุน้อย เพียงแค่ ๒๐ปีขึ้นเถลิงราชย์ ยกทัพมารับทัพของขอมที่เมืองพะเยา เมื่อเขาตั้งใจเตรียมตัวมาหลายปี ส่วนตัวเองวางใจก็สู้กันไม่ได้ในที่สุดขอมชนะ ขับคนไทยทั้งหมดในเขตเชียงแสน ให้ไปอยู่เวียงสีคำ

เข้าไปอยู่ในป่าเวียงสีทอง หรือเวียงสีทวง ใกล้แม่น้ำสายต้องขับออกจากบ้านทั้งเจ้า ทั้งไพร่ เรียกว่า ไปกันหมด ต้องทิ้งบ้านทิ้งช่อง ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไปอยู่ป่ากันตามยถากรรม ความมุ่งหมายของขอมจริง ๆ ก็คือ ต้องการให้ไทยหมดไปทั้งชาติ ไม่ต้องการให้มีการรวมตัวกัน คนไทยที่ไปอยู่ที่นั่นทั้งหมดเวลานั้น มีประมาณแสนคน ข้าวปลาธัญญาหารจะขนไปก็ไม่ได้ เอาไปได้บ้างเหมือนกัน

แต่ว่าน้อยเต็มทีเขาบังคับให้รีบไป และไปอยู่รวม ๆ กัน อยู่ตามถ้ำบ้าง ทำกระต๊อบอยู่บ้าง เอาใบไม้มาบังเป็นเพิงอยู่บ้าง มันก็หนาว มันก็เย็น เวลาจะกินก็ต้องหุงข้าวเป็นกระทะใหญ่รวมกันบ้าง ปลูกหัวเผือกหัวมันกินบ้างข้าวหากินน้อยมีความลำบากต่อมาอีกปีหนึ่ง ปรากฏว่าพระเจ้าพังคราชมีลูก มีเป็นลูกชายชื่อ ทุพภิกขะ แปลว่า เกิดในสมัยที่มีความทุกข์เข็ญ หลังจากนั้นก็มีลูกอีกคนหนึ่ง แต่ลูกชายคนนี้ก่อนจะเกิด

พระเจ้าแม่ขณะที่แพ้ท้องฝันอยากจะกินเลือดขอม อยากจะได้ดินกลางใจเมืองของขอมเมืองเชียงแสน เป็นต้น อยากได้ศาสตราวุธ อยากได้ทุกอย่าง โหรพยากรณ์ว่าลูกชายคนนี้เป็นนักรบ พ่อก็ตามใจทุกอย่างหลังจากนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็มีเด็กประมาณ ๒๕๐ คน เกิดพร้อม ๆ กัน ท่านพ่อเวลานั้นก็ลำบากยากแค้น จะถือว่าเป็นกษัตริย์ก็เป็น คนยังเคารพว่าเป็นกษัตริย์ แต่ก็เป็นกษัตริย์แบบชาวบ้าน ชาวบ้านที่ต้องช่วยกันทุกอย่าง ช่วยกันหาทอง ร่อนทอง เป็นการส่งเครื่องบรรณาการกับขอม

ขอมบังคับ ก็รวมความว่า มีความลำบากมากแต่ว่าเด็กคนนี้เมื่อเกิดมาแล้ว ชอบเล่นเรื่องรบอย่างเดียว กับเพื่อน ๆ ด้วยกัน พยายามเล่นเรื่องรบ ตั้งทัพตั้งทา ตีบุกบ้าง ถอยบ้าง เรื่อยไปเรียกว่า ชอบเรื่องรบก็แล้วกัน ไม่ต้องบรรยาย ครั้นต่อมาเมื่ออายุได้๑๒ ปี อ้อ ขอโทษ ลูกคนหลังที่เกิดมา สวยสดงดงามมาก มีผิวพรรณดี พ่อให้มีนามว่า พรหม มีชื่อว่า พรหม เพราะสวยเหมือนพรหมทีนี้มาขอย้อนหลังอีกนิดหนึ่งว่า

เด็กชายพรหมลูกชายของพระเจ้าพังคราชนี่ เกิดมาทำไมย้อนหลังไปถึงสมัย ที่พูดตามหนังสือพงศาวดารเหนือนะ ก็จำไม่ค่อยได้ อ่านมานานแล้ว อย่าไปคิดว่ามีความรู้พิเศษ ตามพงศาวดารเหนือท่านบอกว่า ในเขตของไทยที่ขอมอยู่เขาไม่ยอมให้คนไทยเข้าไปขึ้นชื่อคนไทยเข้าไปในเขตมันก็ไล่ มันไม่ต้องการคนไทย เขาไม่ต้องการคนไทย เขาไม่ต้องการคบคนไทยด้วย

ต้องการย่ำยีคนไทยด้วย ขณะที่มีอำนาจเหนืออยู่อย่างนั้น เขาก็ทำทุกอย่างตามความพอใจของเขา เป็นที่เจ็บใจของไทยมากแต่ว่าเวลานั้นท่านบอกว่า ขณะก่อนหน้าที่เด็กชายพรหมจะเกิดมีสามเณรน้อยองค์หนึ่ง เข้าไปบิณฑบาตในเขตของขอม เจ้าพวกขอมมาเห็นเข้า เณรน้อยเป็นคนไทยก็จับไปให้เจ้านายมันดู ไอ้บ้านเมืองเวลานั้นก็เล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก ดูกันง่าย เจ้านายบอกขึ้นชื่อว่า คนไทยไม่ให้กิน

ให้ขับสามเณรออกมานอกเขตของขอมอยู่เป็นอันว่า เณรออกมานอกเขตของขอม ก็เกิดอาการโกรธจะว่าเสียใจ หรือน้อยใจ ก็ว่าไปตามเรื่องของหนังสือ พูดภาษาไทย ๆ ก็เรียกว่า โกรธ เจ็บใจในขอมที่มันเหยียดหยามคนไทย จึงตั้งจิตอธิษฐานยืนข้างหน้าเขา ตั้งใจคิดว่า เราจะตายวันนี้ และจะเกิดเป็นคนไทยใหม่ขอฆ่าขอมทั้งหมด ขึ้นชื่อว่า ขอม จะไม่มีบนแผ่นดินไทย แต่ว่าเณรองค์นี้ เคยเจริญกรรมฐาน

วิปัสสนาญาณกับอาจารย์ซึ่งมีความสำคัญอยู่ในเขา คือเป็นเณรที่ได้ฌานสมาบัติทีนี้ก็มานั่งนึกว่า ขณะที่เณรคิดจะฆ่าขอม ตั้งใจไว้ก่อนว่า เราจะฆ่าขอม ขอเกิดมาเป็นคนไทย แล้วจะฆ่าขอมทั้งหมด ไม่ต้องการให้ขอมทั้งหมด มีอยู่ในผืนแผ่นดินไทย มันใจร้ายมาก ขาดความเมตตาปรานี ตอนนี้จิตอาจจะเป็นบาป แต่ว่าเวลาภาวนา หลังจากนั้นก็เทินบาตรขึ้นบนหัว อธิษฐานเสร็จ ก็ทิ้งอารมณ์อธิษฐานเสียก่อน

ตั้งใจภาวนานึกถึงพระพุทธเจ้า คำว่า พุทโธ สมมติเอานะว่า พุทโธทีนี้ขณะที่เทินบาตรอยู่อย่างนั้น ก็ทำจิตจับโดยเฉพาะถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ อารมณ์เป็นฌาน ก็ตายจากความเป็นเณร ยืนตาย ภาวนาไป ๆ จิตเป็นฌานสมาบัติ มีอารมณ์ทรงตัวดีมาก ในที่สุดก็ตาย ตาย จิตใจก็ไปเกิดเป็นพรหม อาศัยกำลังใจเดิมที่อธิษฐานไว้ว่าจะมาเกิดเป็นคนไทย ก็พุ่งหลาวมาเกิดเป็นลูกพระเจ้าพังคราช

ทีนี้ท่านบอกว่า ในสมัยนั้นที่พระเจ้าพรหมฯ มาเกิด ก็เป็นเวลาเดียวกันกับอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ท่านก็เป็นคนไทย ก็ตายจากความเป็นคนแก่ตาย นี่ท่านมีฌานสมาบัติตรง ท่านก็ไปเกิดเป็นพรหมเหมือนกันต่อมา เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชเป็นเด็กชายพรหม อายุได้๑๒ ปี จึงบอกกับพระราชบิดาว่า เราจะขึ้นกับขอมทำไม ควรจะตีตัวเป็นอิสระดีกว่า ก็สั่งพ่อ ขอให้ทำเขื่อนทดน้ำ

ขุดบ่อใหญ่ ๆ คิดว่าถ้าเขามาล้อมภายนอกเมื่อไร ข้างในพอกิน เตรียมสรรพาวุธเตรียมทุกอย่างเพื่อการรบครบครันฝึกทหารเป็นอย่างดี ไม่ส่งเครื่องบรรณาธิการหนึ่งปีขอมก็ยังไม่ว่าอะไร ปีที่ ๒ ก็ไม่ส่งเครื่องบรรณาการอีก ขอมก็ไม่ว่าอะไร ทีนี้เขาถือว่า เครื่องบรรณาการ ถ้าไม่ส่ง ๓ ปี เป็นการแข็งเมืองกันแน่ พอมาถึงปีที่ ๓ คืนหนึ่ง เด็กชายพรหมเวลานั้นอายุประมาณ๑๕ ปี หรือ ๑๖ ปี

นอนฝันไปว่า มีเทวดาองค์หนึ่งมาบอกว่า วันพรุ่งนี้จะมีช้างลอยมาตามสายแม่น้ำโขง ๓ เชือก เป็นช้างเผือกทั้งหมดช้างเชือกที่ ๑ ถ้าคล้องได้ จะปราบได้ทั่วจักรวาล คือ โลกนี้ทั้งโลก จะปราบได้ทั้งหมด ถ้าเชือกที่ ๒ จับได้ จะปราบได้ในชมพูทวีป ถ้าจับเชือกที่ ๓ ได้ จะปราบได้ตลอดแหลมทองเด็กชายพรหมเมื่อฝันเห็นเทวดาชัดเจนแล้ว เช้าก็บอกเจ้าพ่อเจ้าพ่อก็ตามใจ ก็พาเพื่อนไป เอาขอสับช้างไป ไปดักจะสับช้างที่ลอยน้ำมา

แต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ คอยอยู่ครู่หนึ่งไม่มีช้างลอยมา มีแต่งูหงอนลอยมาช้า ๆ เด็กชายพรหมเห็นว่าเทวดาบอกว่า จะเป็นช้างแต่เห็นเป็นงูหงอนก็ไม่คล้อง ปล่อยงูหงอนไปหนึ่งตัวอีก สักประเดี๋ยวหนึ่งก็มีงูหงอนอีกตัวหนึ่งลอยมาช้า ๆ เหมือนกัน เด็กชายพรหมก็ไม่คล้อง เพราะไม่ใช่ช้าง เป็นงูพออีกสักครู่หนึ่งก็มีงูหงอนอีกตัวหนึ่งลอยมา เด็กชายพรหมก็คิดว่า ไปสองตัวแล้วเป็นงูหงอน ตัวนี้จะเป็นงูหงอน จะเป็นงู หรือเป็นช้างก็ตาม เอาละ ก็จัดการเอาขอสับคล้องช้างทันที

พองูหงอนถูกขอสับก็กลายเป็นช้างเผือก เป็นช้างขาวพลายประกายพรึกใหญ่โตสง่างามสวยงามมาก เด็กชายพรหมก็ขึ้นคอ ขับไสช้างเดินไป เดินมาให้ช้างขึ้นจากน้ำ ช้างก็ไม่ยอมขึ้น นี่เทวดาท่านก็ลวงเหมือนกันนะ และในที่สุดก็สั่งให้เด็กไปบอกพระเจ้าพ่อทราบ พระเจ้าพ่อก็เรียกโหรมา โหรก็บอกว่า ต้องใช้สะดึงทอง คือเอาทองคำมาทำเป็นแผ่นเอาไปตีล่อ ช้างจึงจะขึ้น ก็สั่งทำสะดึงทองคำเดี๋ยวนั้นไปตีล่อ ช้างจึงขึ้น

เมื่อได้ช้างพลายประกายมาศขาวผ่องมาแล้ว ก็ไปใส่ไว้ในที่เลี้ยงช้าง แยกจากช้างอื่นให้อยู่อย่างดี ก็ถือว่า เป็นการบูชาช้าง ถือว่า ช้างเผือกเป็นช้างมีความสำคัญมากในที่สุด ก็แข็งเมืองเป็นปีที่ ๓ เมื่อแข็งเมืองเป็นปีที่ ๓ แล้วขอมเห็นว่า แข็งเมืองแน่ ไม่ส่งเครื่องบรรณาการ เขาก็สั่งกองทัพให้ออกไปตีไทย จากเชียงแสนไปแม่สายไม่ไกลนัก แต่ทางไทยทราบก็ยกทัพมารับข้าศึกที่ เมืองสันทราย ตำบลสันทราย

เมื่อทัพต่อทัพปะทะกันใกล้เข้ามา บรรดาสัตว์พาหนะทั้งหลายของขอม เห็นช้างพลายประกายพรึกเข้า เกิดกลัววิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ในเมื่อช้างกลัว ม้ากลัวคนอยู่บนหลังช้างหลังม้าจะอยู่ได้อย่างไร ก็ไปกับช้างกับม้า ในเมื่อเห็นเจ้านายขับช้างขับม้าวิ่งหนี พวกไพร่พลทั้งหลายก็เห็นว่า หนีแล้วก็หนีกัน ต่างคนต่างหนี ไม่มีใครคิดสู้ ไทยก็เลยฆ่าฟันคนขอมจนกระทั่งเข้าเมืองเชียงแสนเดิม

และก็ตีเข้าไปในเมืองอีกเมื่อขอมทนไม่ไหว ก็ทะลุออกมา หนีมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงทุ่งยั้ง ๓ วันถึงทุ่งยั้ง พระเจ้าพรหมมหาราชเห็นว่าทหารเหนื่อยมากสั่งยั้งทัพ และพักที่เมืองชุมพล หลังจากนั้นก็ตีเรื่อยมา จนกระทั่งถึงกำแพงเพชร บรรดาเมืองไทยทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงทางที่กองทัพผ่านก็มาสมทบกัน เมืองไทยมีหลายเมือง แต่เป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองเท่ากับอำเภอเวลานี้บ้าง เท่า ๒ อำเภอบ้าง

ทีนี้ในสมัยนั้นก็ปรากฏว่า เขาบอกว่า เมื่อถึงกำแพงเพชร พระอินทร์พิจารณาเห็นว่า ถ้าขืนปล่อยพระเจ้าพรหมฯ ทำตามนี้ พระเจ้าพรหมฯ จะบาปมาก จะฆ่าขอมให้ตายทั้งหมด จึงให้ท่านวิษณุกรรมเทพบุตร มาสร้างกำแพงเพชร กั้นทหารไทยไม่ให้ตามขอมทัน อันนี้แสดงว่าคนเขียนเขียนยาวไปนิดหนึ่ง แต่ความเนื้อแท้จริง ๆ เมื่อมาถึงเมืองศรีสัชนาลัย ก็เป็นเมืองไทยเหมือนกัน ขอมก็มาที่นั่น

ผ่านเขตนั้นไป ศรีสัชนาลัยเป็นเมืองใหญ่ มีกำลังทหารมาก เขาไม่ยอมให้ทัพพระเจ้าพรหมฯ ผ่าน เมื่อผ่านแล้วก็ต้องรบกัน พระเจ้าพรหมฯ ก็ต้องยั้งทัพก็เป็นอันว่า เมื่อทัพปะทะกันเข้า ทางศรีสัชนาลัยก็สู้ไม่นานถอยเข้าเมือง ถอยเข้าเมืองก็นำทหารขึ้นเชิงเทิน เวลานั้นศรีสัชนาลัยเขามีปืนนกสับอยู่ ๒๐๐ กระบอก พระเจ้าพรหมฯ ไม่มี ทหารหัวเมืองรับอาสาเข้าตี ถูกยิงตายไปหลายคน ถ้าจะตีขอมไปก็ตีไม่ได้

เพราะทางนี้ใช้กำลังทัพขนาบ ก็ต้องปราบกันก่อน พระเจ้าพรหมฯ จึงบอกว่าเราอยู่ข้างนอกกำลังมีมากกว่าล้อมไว้ ในเมื่อเขามีปืนเราไม่เข้า เราไม่รบ แต่เราจะล้อมไว้อย่างนี้ จนกว่าข้างในจะอด จะยอมแพ้เอง ความจริงก็มีการได้เปรียบ จึงสั่งทหาร หลายหัวเมืองด้วยกัน เข้ามาสมทบก็เลยสั่งล้อมไว้ เมื่อสั่งล้อมไว้แล้ว ในเมืองนั้นก็มีพระองค์หนึ่ง ท่านเป็นใหญ่ในหมู่พระ พระเวลานั้นเป็นพระเก่งมากคำว่า

เก่ง หมายถึง ได้ฌานสมาบัติบ้าง เป็นพระอริยเจ้าบ้าง ได้วิชชาสามบ้าง ได้อภิญญาหกบ้าง มีเยอะ ท่านทราบว่า พระเจ้าพรหมฯ กับลูกสาวของเจ้าเมืองศรีสัชนาลัย เคยเป็นคู่ครองกันมาในชาติก่อน แต่ที่แยกกันอยู่ไกล เพราะเวลาทำบุญทำทานครั้งหนึ่งขัดคอกัน ทำกันคนละแบบ ก็เลยต้องมาอยู่กันคนละเมือง แต่ว่าถ้าขืนปล่อยไปไม่แก้ไข คนในเมืองศรีสัชนาลัยก็จะอดตาย เปลี้ยเพลียมากออกหากินข้างนอกไม่ได้

ฝ่ายทัพพระเจ้าพรหมฯ ไม่ยอมให้คนข้างในออกแน่ (แกขึ้นเชิงเทิน แต่ฉันตั้งไกลกว่ากระสุนปืนที่แกจะยิงมาถึง)ในที่สุดท่านก็เจรจากับเจ้าเมือง บอกให้ยกลูกสาวให้พระเจ้าพรหมฯ เสีย เรื่องการรบราฆ่าฟันจะเลิกกัน ประชาชนจะได้มีความสุขเจ้าเมืองเห็นชอบด้วย จึงส่งคนมาเจรจาพระเจ้าพรหมฯ เห็นชอบ ในที่สุดก็แต่งงานกัน เมื่อแต่งงานกัน เป็นลูกเขยเจ้าเมือง เป็นผัวลูกสาวเจ้าเมือง

เรื่องทัพรบราฆ่าฟันก็เลิกกันไปเป็นอันว่า เมื่อพระเจ้าพรหมฯ ได้เมียแล้วก็กลับ กว่าจะได้เมียมาล้อมที่นั่น ขอมก็เปิดมาถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว แล้วก็หนีไปทางภูเก็ต ไปไกล ขอมไม่อยู่แล้ว ในเมื่อเลิกทัพจับศึกกลับไป ก็เลี้ยงช้างอย่างดี แต่ปรากฏว่า ช้างไม่อยู่นาน ช้างอยู่ไม่นานนัก มีคนหาหญ้าให้ เอารางทองใส่หญ้าให้ ในที่สุด วันหนึ่งช้างก็ออกจากที่ ผู้ควบคุมก็ติดตามช้าง จะจับช้างเข้ามาเข้าที่

ในเมื่อเดินเข้าไป ช้างก็หนีเรื่อย ๆ ไป ก็ตามเรื่อยไป ในเมื่อไปใกล้ ๆ ช้างก็กลายเป็นงูหงอน เลื้อยหายไป นี่เรื่องราวของเชียงแสน พระเจ้าพรหมราชเป็นอย่างนี้ทีนี้ก็มาดูเรื่องราวของ พระเจ้าตากสินมหาราชกับพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ บ้าง พระเจ้าตากสินมหาราชนี่เก่งกล้า ความจริงก็ไม่ใช่กษัตริย์ เป็นทหาร เมื่อถึงคราวจำเป็นเข้าจริง ๆ ก็นำทหารตีฝ่าข้าศึกออก ด้วยกำลังเล็กน้อย ถ้าคิดกันจริง ๆ แล้ว

ไม่น่าจะสู้ข้าศึกได้แต่ก็ฟันฝ่าไปได้ แล้วก็ไปรวบรวมกำลังพล การหนีไปแบบนั้นเงินทองไม่มีติดตัวกันแน่ แต่ก็ไปอาศัยเมืองชลบุรีบ้าง ระยองบ้าง แต่เมืองจันทบุรีไม่เข้าร่วมด้วย ในที่สุดก็รวบรวมกำลังตีเมืองจันทบุรี ได้เมืองจันทบุรีแล้ว ผลที่สุดก็ต้องคิดดูว่า ความลำบากยากแค้นเป็นอย่างไรเรื่องนี้จะไม่พูดกัน เอาแค่วินิจฉัยเมื่อรวบรวมได้จริง ๆ กำลังไทยทั้งชาติ เวลานั้นเกือบจะทั้งชาติอยุธยามีกำลังทหารมาก

ยังเสียท่าข้าศึก ข้าศึกยังตีเมืองแตก แต่เวลานั้นพระเจ้าตากสินมหาราชมีทหารไม่เท่าไร เล็กน้อย แต่สามารถยกเข้าตีประเทศไทยกลับคืนเป็นเอกราชได้ และหลังจากนั้นต่อมา เมื่อไทยทรงตัวได้ พระเจ้าตากสินฯ ก็ทรงวางนโยบาย จะสละราชสมบัติเฉย ๆก็เกรงว่า ชาติไทยยังเป็นหนี้เขา กษัตริย์องค์ต่อไปต้องใช้หนี้ ไม่ใช่โกงแต่มันไม่มี ก็ต้องคิดว่า การรบแบบนั้น ภาษีอากรมันจะเก็บได้อย่างไรมันเก็บไม่ได้ กู้เขามาแล้ว

ดอกเบี้ยเขาก็จะเอา ต้นเขาจะคืน และท่านก็ไม่มีใช้ไม่มีจ่าย จึงวางแผนให้สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เป็นกษัตริย์ ไม่ใช่สืบสันตติวงศ์ ไม่ใช่ราชาภิเษก เป็นปราบดาภิเษก คำว่าปราบดาภิเษก หมายความว่า ปราบปรามกษัตริย์องค์เก่า และขึ้นเป็นพระราชา นี่เรื่องนี้ก็เป็นนิทานก็เป็นอันว่า พระเจ้าตากสินฯ ก็วางแผน ให้รัชกาลที่ ๑ กับพระราชวังบวรฯ ไปตีเขมร เพราะเขมรแข็งเมือง

ให้เอาลูกชายไปด้วยถ้าตีได้ ให้ลูกชายครองเมืองเขมร กลับมา ขอให้รัชกาลที่ ๑มาปกครองประเทศ พระองค์ก็บวชแกล้งทำเป็นบ้า ในที่สุดพระยาสวรรค์ก็เสียท่า ไปคบกับพวกมายึดอำนาจ พระยาสวรรค์ไม่รู้เรื่องรู้ราว ยึดจริง ๆ หวังจะครองชาติ แต่ความจริงเป็นความโง่ พระยาอภัย หลานรัชกาลที่ ๑ อยู่ที่นครราชสีมา ยกทัพมาจับพระยาสวรรค์ ในที่สุดก็ฆ่าตาย ถือว่าเป็นกบฏ

แล้วต่อมาจึงมีคำสั่งให้รัชกาลที่ ๑ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เวลานั้นยังไม่ใช่กษัตริย์ เป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพกลับจากเขมร และเชิญเถลิงราชสมบัติตามข่าวว่า ฆ่าพระเจ้าตากสินฯ แต่ความจริงไม่ได้ฆ่า เมื่อมาถึง เป็นการรู้เรื่องกัน ตกลงกันก่อนว่าจะให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะพ้นไป ก็ต้องแจ้งข่าวว่า เวลานี้สั่งประหารชีวิตพระเจ้าตากสินฯ แล้วเพราะพระสติไม่ดี ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ต้องชำระหนี้กัน

เป็นการสืบสันตติวงศ์ แต่ความจริงพระเจ้าตากสินฯ บวชด้วยความบริสุทธ์ ที่เขาบอกว่า จับพระเข้ามาเฆี่ยน แต่ความจริงไม่ใช่พระ พระมีความผิดเอาเข้ามาสอบสวนจริง แต่ทว่าจะเฆี่ยนจะตี ก็เอานักโทษโกนหัวเข้ากับผ้าเหลืองนุ่งหน่อย ก็เฆี่ยน ให้ถือว่า พระผิดก็จะลงโทษ แต่คนผิดต้องทำ คนก็เลยเห็นว่าบ้าแต่ในที่สุดรัชกาลที่ ๑ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ในเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นพระ

มีความประสงค์จะไปจำพรรษาที่นครศรีธรรมราช ก็นำขบวนไปส่งกัน ออกเวลากลางคืน ก็เป็นอันว่า พระเจ้าตากสินมหาราชพ้นจากความเป็นกษัตริย์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชย์ เรามาเปรียบเทียบกันกับ พระเจ้าพรหมมหาราชกับช้างพลายประกายพรึก เมื่อเสร็จศึกก็ปรากฏว่า ช้างพลายประกายพรึกออกไปจากสถานที่เลี้ยง คนตามไปก็กลายเป็นงูหงอนเลื้อยหนีไปมา

พระเจ้าตากสินมหาราชก็เช่นเดียวกัน เมื่อทำทุกสิ่งทุกอย่างเกิดความมั่นคงดีแล้ว ก็ทรงสละราชสมบัติด้วยพระปรีชาสามารถ คือ ใช้กำลังปัญญาอย่างยิ่ง และก็มอบหมายการงานให้พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯออกข่าวไปบอกว่า เวลานี้ถูกประหารชีวิตแล้ว ตายไปเสียแล้ว แต่เนื้อแท้จริง ๆ ก็ไปบวชอยู่ที่นครศรีธรรมราช เป็นการสละราชสมบัติเหมือนกับช้างพลายประกายพรึกก็รวมความว่า

ถ้าเราจะนอนฝันกันจริง ๆ ฝันกันเล่นโก้ ๆพวกได้ฌานสมาบัติอย่าคิดตามนะ พวกเขียนประวัติศาสตร์อย่าเขียนตาม ไม่จริง เรื่องฝัน คิดว่า พระเจ้าตากสินฯ ก็คือ อาจารย์ของพระเจ้าพรหมมหาราชสมัยนั้น ทีนี้ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ก็เหมือนกับพระเจ้าพรหมมหาราชสมัยนั้น ถ้าคิดอย่างนี้ใครจะมีความคิดอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ก็เป็นอันว่า นี่เป็นแค่เรื่องวินิจฉัย

หรือเปรียบเทียบ เรื่องอาจจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ ทั้ง๒ อย่าง เพราะไม่มีใครยืนยันรวมความว่า ประเทศไทยของเรานั้น ในเมื่อมีความจำเป็นก็มีคนมีบุญเข้ามาช่วยอยู่เสมอ ก็ถือว่า เป็นบุญของคนไทย เอาเวลานี้สำหรับวันนี้ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๓๓ เวลานี้ประเทศไทยกำลังมีความมั่งคั่ง เงินคงคลังมีมาก ก็ถือว่าชาติไทยเมื่อถึงคราวใกล้จะย่อยยับ เวลานั้นเงินคงคลังขาด เป็นหนี้เขายับเยินเวลานี้

พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ ๒ปี เงินคงคลังเหลือใช้ มีเป็นแสน ๆ ล้าน ก็แสดงว่า เมืองไทยเป็นเมืองมีบุญ พอจะร่อแร่ทีไร ก็มีคนดีเข้ามาทุกที คำว่า คนดี สมัยนั้นใครดีบ้าง อันนี้ไม่ทราบ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ถือว่าทุกท่านที่ร่วมกันบริหารดีก็แล้วกัน เวลาหมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/10/12 at 14:29 [ QUOTE ]


4

ศึกษาตามคำสอนของพระ



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้เป็น วันที่ ๒๔พฤษภาคม ๒๕๓๓ ก็มาคุยกันถึงเรื่องว่า ตอนที่พระทั้ง ๒ องค์ ท่านมาเตือน ท่านบอกว่า ท่านเป็น อัครสาวกซ้ายขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๒ องค์ มีแสงสว่างออกจากกาย แต่ว่าท่านตำหนิว่า คณะที่ไปปฏิบัติทั้ง ๓ องค์ หนักไปทางด้านสมถภาวนามากเกินไป สำหรับวิปัสสนาภาวนานั้นอ่อนไป

และท่านกล่าวบอกว่าครูบาอาจารย์สอนถูก แต่ทว่าลูกศิษย์ปฏิบัติผิด ไม่ครบถ้วนตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ หลังจากนั้นท่านก็หายไปต่อมาก็มานั่งหารือกันถึงคำสอนของหลวงพ่อปาน ก็ปรึกษากันบอกว่า อันดับแรกที่เราเจริญกรรมฐาน โดยเฉพาะวันแรกจริง ๆ หลวงพ่อปานสอนตามนี้ ท่านสอนบอกว่าทุกองค์ให้รู้จัก นิวรณ์ ๕ ประการก่อน ให้ศึกษานิวรณ์ ๕ ประการว่ามีอะไรบ้าง คือ

๑. ความรักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอมรสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
ประการที่ ๒. อารมณ์ไม่พอใจ
ประการที่ ๓. ความง่วง
ประการที่ ๔. อารมณ์ฟุ้งซ่านเกินไป
ประการที่ ๕. สงสัยในผลของการปฏิบัติ

ให้ทุกองค์พยายาม ระงับนิวรณ์ ๕ ประการ ในระหว่างที่เจริญภาวนา แต่ว่าก่อนที่จะภาวนาอะไรทั้งหมด คำภาวนาในตอนต้นจริง ๆท่านให้ใช้คำว่า พุทโธ คือว่า เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ แต่ท่านก็ย้ำอีกทีว่า คำภาวนาทิ้งไว้ก่อน อันดับแรกจับลมหายใจเข้าออกก่อน หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่และ

หลังจากนั้นก่อนภาวนาก็พิจารณาตามนี้ ให้พิจารณาในไตรลักษณญาณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คำว่า อนิจจังหมายความว่า ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นความทุกข์ นัตตา เป็นการสลายตัวในที่สุด คำว่า อนิจจัง ให้ดูร่างกายของเรา ร่างกายของคนอื่น ร่างกายของสัตว์ วัตถุธาตุต่าง ๆ เมื่อเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ มันมีสภาพใหม่ คนมีสภาพเป็นเด็ก หลังจากเด็กเล็ก ก็เป็นเด็กใหญ่ หลังจากเป็นเด็กใหญ่

ก็เป็นหนุ่มเป็นสาว เมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ก็เป็นวัยกลางคน พ้นวัยกลางคนแล้ว ก็เป็นคนแก่ นี่มันเป็นอนิจจังถ้าเรามองดูร่างกายของเราไม่เห็น ก็ดูร่างกายคนอื่น สำหรับร่างกายคนอื่น ตั้งแต่สมัยหนุ่มสมัยสาว เขายังมีความสวยสดงดงามพอเริ่มแต่งงานแล้ว ไม่ช้าไม่นาน ความเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏชัด ในที่สุดวัยกลางคนก็เข้ามาถึง และความแก่ก็เข้ามาถึง ให้ดูสัตว์ ดูบุคคลดูวัตถุ แล้วเปรียบเทียบกับตัวเองว่า

เขากับเรามีสภาพเช่นใด เขามีสภาพเช่นใด เราก็มีสภาพเช่นนั้น เมื่อความเปลี่ยนแปลงมีอย่างนี้จงอย่ายึดถือว่า ร่างกายมันเป็นเรา เป็นของเรา ร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าร่างกายเป็นเราจริง เป็นของเราจริง เราต้องห้ามมันได้ถ้ามันจะแก่ เราก็ห้ามไม่ให้มันแก่ มันจะป่วย เราก็ห้ามไม่ให้มันป่วย มันก็ต้องไม่แก่ มันก็ต้องไม่ป่วย แต่อาศัยที่ร่างกายมันมีอิสระของมัน

ในเมื่อเราจะห้ามมันขนาดไหนก็ตาม จะบำรุงบำเรอขนาดไหนก็ตาม มันต้องแก่ มันต้องป่วย มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ในเมื่อสภาพของร่างกาย มีสภาพเป็นตนของตนเองอย่างนี้ เราคิดว่ามันจะมีการทรงตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอารมณ์เป็นทุกข์ก็เกิด นี่จัดว่าเป็นส่วนช้าสำหรับความทุกข์นั้น มันมีตั้งแต่วันเกิด เมื่อเกิดจากครรภ์มารดา เมื่ออยู่ในครรภ์มารดา

มันมีแต่ความอบอุ่น เมื่อออกจากครรภ์มารดาแล้ว มากระทบอากาศ มันเกิดความหนาวเย็น แสบร่างกายจึงร้องจ้า หลังจากนั้นมาเราก็ต้องอาศัยอาหาร ความหิวมีกับเราทุกวันความหิวเป็นทุกข์ ในเมื่อความหิวเกิดขึ้น เราก็ต้องหาอาหาร ประกอบกิจการงานทุกอย่าง เพื่อให้ทรงชีวิตอยู่ การประกอบกิจการงานทุกอย่าง เป็นอาการของความทุกข์ และในที่สุด ในเมื่อความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

ความทุกข์ก็เกิดท่านสอนถึง อนิจจัง ทุกขัง แต่ในที่สุด อนัตตา ก็ปรากฏเราทุกคน เราต้องตาย เมื่อนึกถึงความตายของเราไม่เห็น เราก็นึกถึงความตายของคนอื่น ที่เขาพูดได้ เขาเดินได้ บางคนก็สั่งสอนเราได้เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ในที่สุดก็ตาย เมื่อตายแล้ว ความหมายมีอะไรบ้าง ร่างกายคนทั้งหลายเมื่อสมัยที่มีชีวิตอยู่ เขามีความรัก เขามีความเคารพ เขามีความสงสาร เขามีความเกื้อกูล

แต่พอตายแล้ว ทุกคนไม่อยากจะแตะต้องร่างกาย รักแสนรักขนาดไหน ก็ไม่อยากจะแตะต้องร่างกาย เขาแสดงความรังเกียจในร่างกายเป็นอันว่า หลวงพ่อปานท่านแนะนำบอกว่า ให้พิจารณาไปอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าทุกคนพิจารณาไปโดยไม่ต้องภาวนาเลยจนกระทั่งหมดเวลา แล้วก็พักผ่อนจะดีมาก แต่ถ้าพิจารณาไปไม่ไหวจิตใจมันฟุ้งซ่าน ก็เริ่มภาวนา จับลมหายใจเข้าออก แล้วก็ภาวนาว่าพุทโธ

แต่ว่าก่อนจะเดินไปไหน ก่อนจะตื่นใหม่ ๆ ให้นึกถึง พุทโธเสียก่อน คือ พระพุทธเจ้า ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าไม่ถนัดไม่ชัด ไม่ทราบว่ารูปร่างท่านเป็นอย่างไร ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งไว้เป็นประจำ การนึกถึงภาพพระอยู่นอกกายอย่างนี้ถือว่าเป็น รูปฌาน เห็นภาพพระอยู่ภายในอก หรือในสมอง เป็นอรูปฌาน ท่านบอกว่า จะแบบไหนก็ใช้ได้ทั้งหมด

ให้จับภาพพระเป็นปกติ เมื่อปรึกษาหารือกันอย่างนี้แล้ว จึงได้พากันพูดขึ้นว่า พวกเราผิด ที่เราทำนี่เราเดินสมถะ ใช้สมถะกันหนักเกินไป มุ่งฌานสมาบัติ แต่ความจริงฌานสมาบัติเป็นของดีแต่ว่า ฌานสมาบัติไม่เป็นกำลังตัดกิเลสไม่ใช่อาวุธ เป็นแต่เพียงกำลังกาย หมายความว่า กำลังดี แต่อาวุธของเราไม่ดี ต่อจากนี้ไป เราจะใช้ทั้งสมถะ และวิปัสสนาสมถะ เราจะทิ้งไม่ได้ นั่นคืออานาปานสติกับคำภาวนาว่า พุทโธ

และเมื่อจิตสบายเราจะใช้วิปัสสนาญาณ แต่ว่าวิปัสสนาญาณที่พระท่านมาสอน ท่านบอกว่าให้ถือ บังสุกุลตาย และบังสุกุลเป็น ถ้าอารมณ์เบา ๆ ให้ถือบังสุกุลตาย คือ อนิจจา วต สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง อุปปาทวยธัมมิโน เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป อุปปัชชติวา นิรุชฌติ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เตสัง วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั่นชื่อว่า ความสุข นั่นหมายถึง นิพพาน

อีกอันหนึ่งท่านใช้ บังสุกุลเป็นว่า อจิรัง วต ยัง กาโย ปฐวิงอธิเสสสติ ฉุฑโฑ อเปตวิญญาโณ นิรัตถัง ว กลิงครัง ร่างกายภายในไม่ช้า วิญญาณก็ไปปราศแล้ว คือหมด จิตดับ วิญญาณไม่เหลือ ในเมื่อวิญญาณไม่เหลือแล้ว ร่างกายนี้ก็ไม่เป็นที่ปรารถนาของคน คนทุกคนเขารังเกียจร่างกาย ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์มันดีกว่าร่างกายของเรา

ก็ตกลงกันบอกว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้ไม่ประมาท เราจะทำให้ครบถ้วน ตามที่หลวงพ่อปานสอน และทำให้ครบถ้วนตามที่พระทั้ง ๒ องค์ท่านสอน ในฐานะที่ท่านบอกว่า ท่านเป็นอัครสาวก ก็หมายถึงว่า พระโมคคัลลาน์ กับพระสารีบุตร จะใช่ท่านหรือไม่ใช่ท่านก็ตาม แต่ว่าท่านสอนถูก สอนตรงตามความเป็นจริงเราต้องเอาตามนั้นก็เป็นอันว่า นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ก็ใช้ทั้งกำลังสมถะ และวิปัสสนากันเรื่อยไป จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ก็ใช้บังสุกุลทั้งสองควบคู่ไปกับอารมณ์ของใจ ถ้าอารมณ์เผือไปนิด กำลังจะส่ายก็ใช้อานาปานสติ กับคำภาวนาว่า พุทโธ ควบคุมใจก่อน เมื่อใจสบายแล้ว ก็ใช้บังสุกุลทั้งสองเข้าควบคุมใจ สิ่งที่พอใจมากนั่นก็คือว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ร่างกายนี้ ไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว คือตายเมื่อตายแล้ว ร่างกายใช้อะไรไม่ได้

ก็นึกถึงร่างกายของคนที่ตาย สภาพความจริงเป็นไปตามพระที่ท่านพูด ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ดีกว่าร่างกายของเรา ท่อนไม้ถึงแม้ว่าไร้ประโยชน์ คนเขายังหยิบ เขายังเก็บ ดีไม่ดีถ้าขวางทาง เขาก็หยิบโยนทิ้ง หรือเก็บไปกองไว้แต่ร่างกายของเรา ในเมื่อมันเน่า อย่าว่าแต่หยิบเลย เข้าใกล้เขายังไม่อยากเข้าใกล้ ก็ทำอย่างนี้กันตลอด บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว ก็อย่าเพิ่งหลงว่า ๓ องค์เป็นผู้วิเศษเสียแล้ว

คือว่ายังมีความเลวอยู่มาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกำลังสมถะก็ดี วิปัสสนาญาณก็ดี ทั้งหมดที่ว่านี้ มันต้องควบคุมอยู่ตลอดเวลาแต่ว่าการอยู่ในป่า เป็นความดีอย่างหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ว่าเป็นความดีก็เพราะว่า มีความกลัว เรื่องกลัวผีเป็นของธรรมดา อย่านึกว่าไม่กลัว ความกลัว ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าถ้าไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าไม่ใช่ม้าอาชาไนยของพระเจ้าจักรพรรดิก็ยังกลัวตายเหมือนกันทุกคน

ฉะนั้นทั้ง ๓ องค์เวลานั้นก็ยังมีความกลัว คนที่ยังมีความกลัว ยังไม่ใช่คนดีถึงขั้นที่จะไปนิพพานกันได้ แต่ว่าอาศัยความกลัวเป็นเครื่องควบคุม ก็เป็นความดีที่กลัวอันดับแรกก็คือว่า กลัวว่าตอนเช้าจะไม่มีข้าวจะกิน ตอนนี้จะต้องคุมอารมณ์ไว้ว่า นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ อย่าเข้ามากวนใจฉันฉันไม่คบเธอ ทั้ง ๆ ที่ควบคุมอยู่อย่างนี้ก็อย่าลืมว่า นิวรณ์มันต้องเข้ามาสิงใจกันแน่ เผลอเมื่อไร มันเข้ามาเมื่อนั้น ทั้ง ๕ ตัว ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง มันเข้ามาแทรกใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ที่มีความฟุ้งซ่านมันก็เข้ามาแทรกใจอยู่เสมอ ๆ ต้องห้ามกัน ในเมื่อความฟุ้งซ่านเข้ามาเราเผลอ เราไม่รู้ตัว ก็ว่าเรื่อยไปตามเรื่องของมัน คิดโน่น คิดนี่ คิดนั่น พอรู้ตัวปั๊บว่า นิวรณ์มันเข้ามาแล้ว ก็เริ่มจับ อานาปานสติอันดับแรก รู้ลมหายใจเข้าออกก่อน ยังไม่ภาวนา เมื่อจับลมหายใจเข้าออกได้ตามความพอใจคือ รู้ลมเข้ารู้ลมออก รู้ลมเข้ายาวหรือสั้น รู้ลมออกยาวหรือสั้นก็ทราบ อย่างนี้ก็เริ่มภาวนาควบคู่กันไป

หลังจากนั้นก็จับอารมณ์วิปัสสนาญาณสลับกันไป ถึงความดีบ้าง ความชั่วบ้างแบบนี้ ฉะนั้นท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว จงอย่าคิดว่า ดี ยัง ยังเลวมาก ดูวันเวลาจะถึงเวลากลับเหลือเวลาอีกประมาณ ๑๕ วัน ถึงเวลา ก็เดินจงกรมบ้าง นั่งตามโคนไม้บ้าง นั่งตามเงื้อมเขาที่มีแดดร่มบ้าง แยกกันไปบ้าง เมื่อถึงเวลาก็มานั่งคุยกันถึงเรื่องสมถวิปัสสนาบ้าง คุยถึงอารมณ์ที่ผ่านมาบ้าง ใครผิดใครถูก ใครผิดใครถูก

ใครมีอารมณ์เป็นอย่างไร ปรึกษากันแบบนั้นต่อมาไม่นานนัก ไม่กี่วัน คิดว่า เรามีกำลัง เกือบจะเหนือนิวรณ์แล้ว คำว่า เกือบจะเหนือ ก็หมายความว่า นิวรณ์กวนใจน้อยเข้า ก็มีเหตุเข้ามาขัดข้องอีกนั่นคือ พอบิณฑบาตเวลาเช้าเสร็จ เริ่มลงมือฉันข้าว แต่ก่อนจะลงมือฉันข้าว ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเห็นว่าพนมมือ การพนมมือ นั่นนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้านึกถึงพระอริยะทั้งหมด มีพระอรหันต์ เป็นต้น

นึกถึงเทวดา นึกถึงนางฟ้า นึกถึงพรหม ที่ท่านมีคุณ และก็นึกในใจนึกถวายทาน บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ที่เรียกว่า ถวายข้าวพระทำอย่างนี้เป็นปกติ ให้จิตเป็นสุข เริ่มทำสมาธิก่อนฉัน และก็ลงมือฉันข้าวแต่ว่าพอไหว้พระเสร็จ หรือว่าถวายข้าวพระเสร็จ หรือว่าบูชาพระรัตนตรัยเสร็จก็ตาม จะเรียกอย่างไรก็ได้ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาใหม่นั่นคือ ปี่พาทย์วงใหญ่ มีนักบรรเลงเป็นคนหนุ่มทั้งหมด

มาตั้งวงใกล้ ๆ ที่ฉันข้าว บรรเลงเพลงไพเราะ บรรเลงเพลงไทย เท่าที่เคยฟัง เพลงนั่นไพเราะจับใจมาก เมื่อฟังเสียงเพลง บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย มันเป็นของใหม่ แต่ความจริงเพลงนี่อยู่ที่วัดน่ะเคยฟัง แต่ว่าการอยู่ในป่า เราทิ้งเสียงเพลงมาแล้ว ในเมื่อเกิดฟังเพลงขึ้น อารมณ์ก็คล้อยไปตามเพลงนี่ก็เป็นนิวรณ์ตัวที่ ๑ รูปสวย เสียงเพราะ ก็เป็นอันว่า เครื่องปี่พาทย์ทั้งวงเขาสวย มีทองประดับแก้วแพรวพราวเป็นระยับ

เห็นรูป รูปสวยติดรูปเข้าไปแล้ว การบรรเลงไพเราะเพราะพริ้ง ติดในเสียงเพราะก็รวมความว่านิวรณ์ทั้ง ๒ ตัวเข้าสิงใจทันที ขณะที่นั่งฉันข้าวอยู่และก็ฟังเพลิน ก็ได้ยินเสียงก้องมาทางอากาศบอกนั่นจงอย่าเผลอ การคิดว่าเครื่องปี่พาทย์สวย คนบรรเลง ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชาย ก็เป็นคนหนุ่มรูปร่างหน้าตาเรียบร้อย ผิวพรรณดี แต่งตัวงาม อย่างนั้นเป็นการติดในรูป ติดทั้งเสียง ติดทั้งรูป นี่เป็นนิวรณ์

นิวรณ์ แปลว่า ธรรมชาติกั้นความดี หรือว่าเป็นกิเลสหยาบที่ทำให้ปัญญาถอยหลัง ถ้าเราติดรูป ติดเสียง เวลานี้เราเป็นคนไร้ปัญญา เสียงก้องมาในอากาศ เสียงนั้นจำได้ว่า เป็นเสียงของพระ ๒องค์ที่มาบอกท่านบอกว่า เวลานี้ฉันข้าวเข้าไป หูฟังเสียงเพลง อย่าทิ้งเสียงเพลง แต่จิตใจจับภาพคน จับภาพเครื่องประดับ เครื่องปี่พาทย์ จงคิดตัดอารมณ์เป็นวิปัสสนาญาณว่า ปี่พาทย์นี่ต้องเคาะมันจึงดัง ถ้าเขาเลิกเคาะเมื่อไร มันก็สิ้นเสียงดังเมื่อนั้น มันก็เหมือนกับชีวิตของเรา

ถ้ายังมีลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่ มันก็ยังมีชีวิต ถ้าลมหายใจเข้า เข้าแล้วไม่ออก หรือออกแล้วไม่เข้า มันก็ตาย จงจับเสียงปี่พาทย์ เป็นวิปัสสนาญาณ เป็น มรณานุสสติกรรมฐาน เสียง เขาเคาะเป๊งลงไปมันก็มีเสียง ถ้าเขาไม่เคาะใหม่ เสียงก็ไม่มี ถ้าเราหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก ร่างกายก็หมดไปสำหรับรูปทั้งหมดเวลานี้ เครื่องปี่พาทย์ทั้งหมดใหม่ ใหม่เอี่ยมสวยสดงดงาม แต่ว่าถ้าตั้งอยู่นาน ๆ ไม่ช้ามันก็เริ่มเก่า

นั่นเป็นอนิจจังเป็นความเสื่อม คนที่บรรเลงก็เหมือนกัน เวลานี้เขาหนุ่มไม่ช้าเขาก็แก่แต่ว่าคนที่บรรเลงทั้งหมดนี่ไม่ใช่คน เป็นเทวดา อีกสักประเดี๋ยวหนึ่งอนัตตามันก็จะปรากฏ นั่นคือเมื่อเราฉันอิ่ม เขาก็จะเลิกบรรเลง ถ้าเลิกบรรเลงเสียงไม่มี ก็เหมือนกับชีวิตของเรามันต้องตายในที่สุด เป็นอนัตตา ประเดี๋ยวภาพทั้งสองอย่าง ทั้งคน และเครื่องบรรเลงก็จะหายไป ก็มีสภาพเป็นอนัตตาเช่นเดียวกันจับภาพนี้เป็นวิปัสสนาญาณ

ก็นึกตามท่าน เขาบรรเลงเพลงไพเราะ ก็คิดว่าเพลงไพเราะอย่างนี้ คนที่ฟังเพลงอย่างนี้ ฟังมาเยอะแยะแล้ว ตายไปไม่รู้เท่าไร เราก็ต้องตายเช่นเดียวกัน และคนที่บรรเลงหนุ่ม ๆ อย่างนี้ ไม่ช้าก็เป็นคนแก่ สมัยที่เราก่อนบวช เราก็เคยฝึกปี่พาทย์ ครูของเราสมัยก่อนท่านเป็นคนหนุ่ม แต่ว่าเวลาที่ฝึกให้ ท่านเป็นคนแก่ และบรรดาพวกรุ่นพี่ทั้งหลาย ฝึกปี่พาทย์มาตั้งแต่เด็ก ๆตั้งแต่สมัยเด็ก

ขณะที่เข้าไปศึกษา รุ่นพี่สอนให้ รุ่นพี่ก็เริ่มแก่แล้ว เราก็มีสภาพเช่นนั้นเหมือนกันรวมความว่า พยายามทำอย่างนั้น ให้จิตไม่ติดในเสียง ฟังเสียงให้เป็นวิปัสสนาญาณ ดูรูปเป็นวิปัสสนาญาณ ก็พอดีอิ่มข้าว เมื่ออิ่มข้าวเสียงก็หายไป ภาพคนก็หายไป ก็คิดว่า เวลานี้เขาทั้งหลายเป็นอนัตตาไปแล้ว ไม่ช้าเราก็เป็นอนัตตาเช่นเดียวกัน แล้วก็นึกในใจว่าบรรดาเทวดาทั้งหลายทั้งหมดที่มาบรรเลง

ในสมัยก่อนท่านก็เป็นมนุษย์เวลานี้สภาพความเป็นมนุษย์ของท่านหมดแล้ว ท่านตายจากความเป็นคน มีความดีจึงเป็นเทวดา เพราะอาศัย หิริ และโอตตัปปะ หิริความละอายกับใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว กลัวผลของความชั่ว อายความชั่ว เราก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราควรจะเป็นคนมีหิริและโอตตัปปะ หิริ กลัวว่าเราจะไม่ได้ภาวนา กลัวว่าเราจะไม่ได้รู้ลมหายใจเข้าออก

กลัวว่าเราจะทิ้งอารมณ์วิปัสสนาญาณจะหลงในรูป หลงในเสียง ก็พยายามตั้งใจฟัง ตั้งใจทำ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจทำ มันก็เผลอ ไป ๆ มา ๆ มันก็เผลอ นึกโน่น นึกนี่มาอีก นอกลู่นอกทางนี่บรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง เมื่อฟังตรงนี้แล้ว ก็อย่าเพิ่งชมว่า คนพูดนี่ กับเพื่อนทั้ง ๒ คนดีเหลือเกิน อย่าเพิ่ง ยังมีความเลวอยู่มาก ต่อมาก็เตรียมตัวแบบนั้น ทั้ง ๒ - ๓ วันคิดอย่างนั้น มาอีก๒ - ๓ วันมาใหม่แล้ว

ปี่พาทย์ คราวนี้เป็นวงมโหรี มีทั้งระนาด มีทั้งซอ มีทั้งพิณ มีทั้งจะเข้ อะไรต่ออะไรมีครบ เสียงไพเราะเพราะพริ้งไม่บรรเลงอย่างเดียว ร้องส่งด้วย แต่คณะบรรเลง คณะร้องส่งทั้งหมดไม่มีผู้ชายเลย มีผู้หญิงล้วน แต่งตัวกันแบบชาวบ้านธรรมดา แต่งหน้าตาสวยเพริดพริ้ง ส่วนสัดดีทุกอย่าง เครื่องแต่งกายก็ดี เครื่องประดับก็แพรวพราวเป็นระยับ หลังจากบูชาข้าวพระพุทธก่อนฉันเสร็จ

ภาพก็ปรากฏทันที เริ่มบรรเลง เลยมองหน้ากันทั้ง ๓ องค์ ทั้ง ๓ องค์ก็บอกว่า เราเริ่มชนะผู้ชายแต่ทว่าเวลานี้ผู้หญิงมาแล้ว แต่ความจริง ผู้หญิงนี่ก็เคยเป็นคนมาก่อน เคยเกิดเป็นเด็กเล็ก เคยเกิดเป็นเด็กใหญ่ เคยเป็นสาวตอนเป็นสาวนี่ เธอมีประจำเดือน ประจำเดือนนี่มันก็น่าเกลียด ร่างกายของเธอทุกคนข้างใน มีตับไตไส้ปอด อุจจาระปัสสาวะน่าเกลียดแล้วต่อมาก็เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่

แล้วก็เป็นคนตาย ในสมัยที่เป็นคนแก่ คนก็เริ่มรังเกียจร่างกาย พอเป็นคนตาย ไม่มีใครปรารถนาร่างกายของเธอ แม้แต่เข้าใกล้ เวลานี้เธอเป็นนางฟ้า นางฟ้าไม่ใช่สมบัติของเรา เราเป็นมนุษย์ และเสียงบรรเลงของเธอก็มีสภาพเดิมเมื่อในขณะเสียดสีไป เสียงก็ปรากฏ แต่ว่าถ้าเธอเลิกเสียดสีเมื่อไร เสียงก็หายไปเมื่อนั้น เป็นอนัตตาก็เป็นอันว่า เราก็ไม่ยอมรับเสียงเป็นสรณะ ไม่ยอมรับเสียงเป็นที่พึ่ง เราก็กินข้าวของเราตามปกติ

คิดว่า เธอทั้งหลายเวลานี้มาพิสูจน์นั่นหมายความว่า มาสอบอารมณ์ของนิวรณ์ ๕ ประการว่า เราจะเห็นเธอสวยไหม ความรู้สึกเวลานั้นก็คิดว่า ผิวพรรณของเธอดี รูปร่างดีเครื่องประดับสวย แต่ประเดี๋ยวเดียวก็สลายตัวไป ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเรา ถ้าเราติดเธอ เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเราไม่ติดเธอ เราก็ไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ใจเราก็เริ่มเป็นสุข เมื่อจิตเริ่มเป็นสุข เห็นภาพเธอแล้วก็นึกถึงพระพุทธเจ้าตามที่เคยเห็น ภาพพระพุทธเจ้าปรากฏชัดทรงแย้มพระโอษฐ์ และตรัสว่า ความรู้สึกอย่างนี้ถูกต้องดีแล้ว เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เสียงสัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/10/12 at 15:35 [ QUOTE ]


5

เตรียมตัวกลับวัด



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง วันนี้ วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ฟังเสียงรู้สึกว่าจะแห้งมากไป ทั้งนี้เพราะว่า ในตอนเช้ามี หมอเตือนใจ จะมาทำฟันให้ พอดี เมื่อถึงโรงพยาบาลก็ปรากฏว่า น.พ.สุวิทย์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลรวมเล่ม ๑๖-๑๗-๑๘ หนังสืออ่านเล่น หน้า 54แม่และเด็กฯ ที่วัดท่าซุง เตรียมรถรับไปเพื่อเอ็กซ์เรย์ปอด เพราะไม่แน่ใจว่าปอดจะดี หรือไม่ดี

เมื่อเอ็กซ์เรย์เสร็จ กลับมาหาหมอเตือนใจที่ห้องทันตแพทย์ แต่ความจริงหมอเตือนใจ นี่เป็นหมอของ โรงพยาบาลจิรประวัติ ของทหารบก ที่จังหวัดนครสวรรค์ มาทำฟันให้ ๓๐ ครั้งกว่าแล้ว เรื่องของฟันนี่ยุ่งมาก ไปถึงห้องนั้นก็ปรากฏว่าหมอ เอ็กซ์เรย์อีกครั้งหนึ่ง เอ็กซเรย์ฟันแต่ว่าตอนเช้า ก่อนที่จะออกไปจากสถานที่พัก จะไปด้านล่างไปที่ทำงาน ก็พบ คุณนิรัตน์ เลาหะสุรโยธิน

ก็พูดกันถึงเรื่อง เครื่องตรวจหัวใจ อาตมานี่เวลานี้เป็นโรคหัวใจ สำหรับโรคเก๊าต์ บรรดาญาติโยมทั้งหลาย ที่เมตตาส่งตำรามาก็ดี แนะนำเรื่องยาก็ดี ให้ยาก็ดีเวลานี้โรคเก๊าต์หายแล้ว แต่ว่าโรคกระเพาะยังไม่หาย ยังยุ่งอยู่ แต่มันก็เสริมเข้ามาด้วยโรคหัวใจ คือ มีน้ำในหัวใจ ก็เป็นต้นว่า หมอก็ปรารภว่า ต้องการเครื่องตรวจหัวใจ หมอไม่ได้มารบกวน ในเมื่ออาตมาทราบเข้า ก็สั่งคุณนิรัตน์บอก

ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อเครื่องตรวจหัวใจจะได้สบายใจคุณนิรัตน์ก็บอกว่า เครื่องตรวจหัวใจมี ๒ อย่าง ถ้าอย่างเล็กราคา ๓๕,๐๐๐ บาท แต่ประเภทนี้หมอต้องวินิจฉัยเอง ถ้าเครื่องใหญ่ราคา ๙๕,๐๐๐ บาท อย่างนี้เครื่องจะบอกเองทุกอย่างเป็นอัตโนมัติก็เลยบอกกับคุณนิรัตน์บอกว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็ซื้อเครื่องใหญ่ก็แล้วกันคุณนิรัตน์ก็รายงานบอกว่า สำหรับเครื่องใหญ่ได้ครบแล้วครับ คนนั้นทำบุญบ้าง

คนนี้ทำบุญบ้าง คุณนิรัตน์เองปิดรายการ ถ้าขาดเท่าไรคุณนิรัตน์ปิดรายการ ก็เป็นอันว่าภายในไม่ช้านี้ หวังว่าคงจะได้เครื่องตรวจหัวใจแบบอัตโนมัติ นี่ว่ากันถึงงานปกติและตามปกติ กลับไปถึงที่พัก ที่ทำงาน ก็เซ็นต์หนังสือตามวาระ หลังจากนั้นหมอนวด แล้วก็นอนฝัน เพราะอุทรกำเริบนอนฝัน เพราะอุทรกำเริบนี่เขาไม่ใช้กัน เชื่อไม่ได้ พอถึงเวลา หมอฟันก็รักษาฟันทีนี้เรื่องของร่างกายปล่อยไป

ไม่บอกก็ไม่ได้ จะได้ทราบว่า ผู้พูดนี่ เวลานี้อยู่ในสภาพใกล้ความตายไปเต็มที อายุก็ร่วมเข้า ๗๐ ปีกว่าแล้ว โรคภัยไข้เจ็บก็รบกวนอย่างหนัก ก็จะขอเล่าความเป็นมาตั้งแต่บวชเอาเฉพาะจุดที่มีความสำคัญว่า ทำดีอะไรมาบ้าง ทำชั่วอะไรมาบ้างถ้าถามว่า ทำดีมาก หรือทำชั่วมาก ก็ต้องตอบว่า ทำชั่วมากกว่าทำดีทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า การพลาดพลั้งในการปฏิบัติย่อมมีเสมอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิวรณ์ ๕ ประการ สู้มันไม่ค่อยไหว บางตอนที่ท่านฟังมาแล้วจะคิดว่า เก่งมาก แต่ความจริง อย่าเพิ่งคิดว่า เก่ง นั่นยังเลวมาก เพราะยังเป็นทาสของนิวรณ์อยู่บางโอกาส คือเวลาที่จิตเป็นทาสของนิวรณ์ มากกว่าจิตเป็นเจ้านายนิวรณ์ คือ ชนะนิวรณ์ก็รวมความว่า เมื่อนิวรณ์ก็ทิ้งไปเดี๋ยวจะรำคาญ ก็มาเล่าต่อกันไปว่า เวลาอีกประมาณสัก ๑๕ วัน จะถึงเวลาวันกลับ

ก็ซักซ้อมร่างกายตามคำแนะนำของพระ ถ้าถามว่า ในช่วงนี้เจอะผีเจอะเทวดาไหม ก็ต้องตอบว่า เป็นปกติทุกวัน เรื่องผีเทวดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเทวดานี่พบกันทุกวัน คุยกันทุกวัน เพราะว่าท่านเป็นเพื่อนที่ดีมากยามว่างหลังจากเจริญกรรมฐานแล้ว เวลาที่นั่งพักผ่อนกัน ดีไม่ดีก็มีผู้ชายบ้าง ผู้หญิงบ้าง แต่ว่าท่านก็มาในรูปของชาวบ้าน เท่าที่สังเกตได้ว่า จะเป็นเทวดา หรือเป็นนางฟ้า ก็ต้องสังเกตกันที่ลูกตา

ลูกตาของท่านพวกนี้ไม่กระพริบ ถ้าลูกตาแจ่มใส แสดงว่าเป็น อากาศเทวดาตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป ถ้าเป็นลูกตาแดง ตาสีแดงก็เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชั้นจาตุมหาราชนี่ท่านคุมอยู่เป็นปกติในสถานที่พัก บรรดาท่านผู้ฟัง มันมีความร่มรื่นชื่นใจเหลือเกินไม่อยากจะจากมา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าปราศจากเสียงขัดคอ ไอ้เรื่องคนขัดคอนี่เป็นปกติ ถ้ามาถึงวัดเมื่อไร หรือว่าพบคนเมื่อไร ก็พบคนขัดคอเมื่อนั้น

ฉะนั้นการที่อยู่ที่นั่นไม่มีใครขัดคอ เรา ๓ คนมีอารมณ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประการที่ ๒ ท่านที่มาคุย ท่านก็ไม่คุยเรื่องโลกท่านก็คุยเรื่องว่า คนนั้นตายไปแล้ว ไปอยู่ที่นั่นบ้าง ไปอยู่ที่นี่บ้างทำความดีอย่างนั้น ทำความดีอย่างนี้ ครั้นถามท่านเข้าว่า ท่านทำความดีอะไร จึงเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ท่านก็อธิบายให้ฟัง แล้วท่านก็คุย ท่านบอกว่า ท่านเองท่านก็ทำบาปอกุศลไว้มาก แต่ว่าเวลาจะตาย จิตใจนึกถึงกุศล

โดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านก็เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ครั้นไปถามท่านเข้าว่า ถ้าบุญบารมีของท่านหมดท่านต้องจุติลงมาเกิด ท่านจะไปไหนท่านก็บอกว่า ถ้าผมไม่สร้างความดีต่อไป ในฐานะที่เป็นเทวดาผมก็ต้องลงนรก เพราะผมเห็นสภาวะผมแล้ว ถ้าผมพลาดลงไปเมื่อไรต้องลงนรกขุมนั้นขุมนี้ แล้วท่านก็ชี้ให้ดูขุมนรกที่ท่านจะไป แล้วก็ถามท่านว่า ท่านจะไปไหม ท่านบอก ผมไม่ไป

ถามว่า ทำไมถึงไม่ไปก็บอกว่า ผมรู้แล้ว ถ้าผมหมดบุญจากเทวดา ผมจะไปที่นั่น ผมก็ต่อบุญของผมใหม่ การที่ผมมาช่วยท่านอยู่เวลานี้ ก็ชื่อว่าเป็นการต่อบุญกุศลของผม ก็ชื่อว่าท่านก็ช่วยผม ผมก็ช่วยท่าน ก็ถามว่า เวลาที่ท่านมาใส่บาตร ท่านจะมีอานิสงส์อะไร ท่านก็ชี้ให้ดูวิมานของท่าน วิมานของท่านเดิมมีสภาวะเป็นอย่างนี้ เวลานี้มันแจ่มใสขึ้น แสดงว่า ผมก้าวหนีนรกไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว

ก็เป็นอันว่า เป็นปกติ และก็มีบางท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านผู้นี้คุยเก่ง แต่เวลาคุยของท่านเรียบร้อยบางท่านก็เรียบร้อย บางท่านก็ท่าทางเหมือนนักเลง ก็สุดแล้วแต่วาระแต่ว่าท่านผู้นี้ชอบคุยว่า ขุมทรัพย์มีที่โน่น ขุมทรัพย์มีที่นี่ ถ้าบอกขุมทรัพย์มีที่ไหน พอชี้ไป เหมือนกับไม่มีแผ่นดิน มันจะเห็นทรัพย์ชัดเจนแจ่มใสมาก บางท่านก็ถามว่า ต้องการไหมล่ะครับ ทรัพย์ก้อนใหญ่ทั้งหมดนี้ท่านไม่มีสิทธิ์ แต่ว่าก้อนเล็ก ๆ ขนาดนี้

ถ้าก้อนเล็ก ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท หนักเกิน ๑๐๐ กิโล เอาไหม ถ้าเอาผมจะนำมาถวายก็เลยบอกกับท่านว่า การนำทรัพย์สินมานี่ มันมีประโยชน์หรือมีโทษโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระธุดงค์แค่มีสตางค์อยู่ในย่าม ๑ สตางค์มดก็กินแล้ว มดคันไฟ เรื่องทองไม่มีความหมาย วันนี้ไม่มีความหมายวันหน้าก็ไม่มีความหมาย ไม่ต้องการทอง ต้องการอยากจะเป็นเทวดาอย่างท่านมากกว่า

ท่านก็หัวเราะชอบใจ ท่านก็บอกว่า ถ้าไม่ทิ้งความดีอย่างนี้ก็มีหวังแน่นอน บางท่านก็มาพูดถึงประวัติเดิมว่า เราเคยเป็นเพื่อนกัน ตั้งแต่สมัยนั้น สมัยนี้ คือสมัยเป็นเทวดา และท่านก็ทำรูปร่างให้ดูว่า ท่านเป็นเทวดารูปร่างแบบนี้ ผู้พูดเป็นเทวดารูปร่างแบบนั้นและท่านก็บอกว่า ก่อนที่ท่านจะลงมาเกิดนี้ ท่านอยู่สูงอยู่พรหม แต่ว่าเป็นพรหมชั้นที่ ๔ นี่พวกพรหมลงมาคุย และก็ถามว่าก่อนที่ฉันลงมาเกิดมีสัญญาอะไรไหม

บอกมีสัญญาว่า ตั้งใจจะให้ดีกว่าเดิม เมื่อตายไปแล้วคราวนี้ จะต้องอยู่สูงกว่าเดิม ก็ถามว่า คำว่าสูงกว่าเดิม เป็นพรหมชั้นที่ ๕ ชั้นที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ ใช่ไหม ท่านบอกไม่ใช่ ก็ถามว่า ชั้นไหน ท่านบอก รู้เอาเองเมื่อตาย ก็เป็นอันว่า การอยู่ในป่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีความเหงา ยามว่างก็มีเพื่อนคุยแต่เป็นเพื่อนที่ดีทีนี้ต่อมา วันเวลาใกล้เข้ามาทุกที ปฏิบัติหนัก

คำว่า หนักไม่ได้หมายความว่า ใช้เวลานาน คือการใช้อารมณ์ทรงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยามว่างก็จิตจับภาพพระพุทธเจ้า เท่าที่เคยเห็นไว้เป็นปกติ เห็นท่านลอยอยู่บนศีรษะ เห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมาก และก็เห็นพระในอกเป็นสภาพแก้วใส สวยมาก เห็นพระในสมอง ๓ องค์สวยมาก ที่อก ๒ องค์ ในอกมีพระ ๒ องค์ ที่สมองมีพระ ๓องค์ เป็นแก้วทั้งหมด เห็นภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น ใหญ่ตระหง่าน

หน้าตักเกิน ๘ ศอก เห็นเป็นประจำ ภาพนี้ไม่ยอมให้เลือนไปจากใจถ้าจะทำอะไรก็ดี จะต้องจับภาพนี้ก่อนเป็นปกติ การเดินจงกรมเดินไปเดินมา ก็เห็นภาพพระพุทธเจ้าชัดเจนแจ่มใสมาก จะไม่วางใจทำอย่างนี้เป็นธรรมดา ตรงนี้ท่านผู้ฟัง ฟังแล้วคิดว่า คงจะดีมาก อย่าเพิ่งชมกัน ถ้าจะชม ก็ขอให้ชมกันตอนดี เพราะตอนที่ไม่ดีมันมีอยู่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะใจยังเป็นทาสของนิวรณ์ ต้องระมัดระวังมัน

ถ้าเผลอเมื่อไร่ นิวรณ์ ๕ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งมันเข้าสิงทันที
๑. ความรัก
๒. ความโกรธ
๓. ความง่วง
๔. ความฟุ้งซ่าน
๕. อารมณ์สงสัย


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์สงสัยไม่มีแน่ ตัดทิ้งไปแล้ว ไม่สงสัยทั้งหมดตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพิสูจน์ด้วยอารมณ์ตามปกติ ทีนี้อารมณ์ฟุ้งซ่านบางอย่างมันยังเกิดขึ้นความง่วงนี่ไม่เป็นไร ถ้าง่วงเมื่อไร ก็นอนเมื่อนั้น นอนกับคำภาวนานอนกับการพิจารณา นอนกับภาพพระพุทธเจ้าที่เห็นชัดเจนแจ่มใส ถ้าจะหลับ ก็หลับอยู่กับภาพพระพุทธเจ้าที่เห็นชัดเจนแจ่มใส

ทีนี้ความไม่พอใจ ความไม่พอใจนี่มี ทั้งนี้เพราะอะไร ไม่พอใจใคร ไม่ใช่ใคร ไม่พอใจตัวเอง บางทีแขนขามันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ จะเดินข้างหน้า จะเดินข้างหลัง เดินถนัดบ้าง ไม่ถนัดบ้าง วางอะไรลืมไปบ้างอย่างนี้เป็นต้นความไม่พอใจมันก็เกิด ความไม่พอใจอย่างนี้มันก็เป็นนิวรณ์อารมณ์ความรักในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส บางครั้งมันก็มี ไอ้นี่มันก็เป็นความเลว

รวมความว่า ท่านผู้ฟังฟังผู้พูดแล้วให้ทราบว่า ผู้พูดในสมัยนั้นก็ยังเลว ในสมัยนี้ก็ยังเลว ความเลวยังมีอยู่ ยังขึ้นชื่อว่า ถ้ายังมีขันธ์ ๕ เพียงใด เราก็ไม่พ้นความเลว ต่อมามาเล่ากันต่อไปเมื่อถึงเวลาวันใกล้จะกลับ คิดว่า วันพรุ่งนี้กะเวลา ๓ วัน ถึงวัดบางนมโค มันจะถึงหรือไม่ถึง ถ้าหากเห็นว่าจะไม่ถึง เราก็จะเดินทั้งกลางวันและกลางคืน ตื่นขึ้นมาตอนเช้า บิณฑบาตเสร็จ ก็นึกถึงเทพเจ้าทั้งหมด นางฟ้าทั้งหมด

และก็พระทั้งหมดที่เมตตา ขอลาท่านขอขอบคุณท่าน แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นสิ่งที่น่าแปลกเกินคาดพอนึกถึงท่านพั้บ ปรากฏว่า ทุกองค์ปรากฏชัดหมด มีสภาพเป็นเทวดาแพรวพราวเป็นระยับ ท่านที่เคยใส่บาตรนุ่งผ้าขาด ใส่เสื้อขาดก็หมดไม่ขาดแล้ว เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าทั้งหมดก็กล่าววาจาขอลาท่าน ขอขอบคุณท่าน และก็ขอความเมตตาท่านบอกว่า การเดินกลับก็ดี อยู่ที่วัดก็ตาม

ขอท่านเมตตาต่อไป ท่านทั้งหลายก็ยอมรับ และก็มีท่านหนึ่งถามว่า จำทางได้ไหมก็เรียนให้ท่านทราบบอกว่า จำไม่ได้ เพราะตอนมานี่ลุงวิพาเดินลัดตัดทางมา เร็วเหลือเกิน ตั้งแต่หลังผักไห่ เดินมาที่ศรีประจันต์ ใช้เวลา๑๐ นาที ไม่รู้มาอย่างไร และก็ถามว่า ท่านจะกลับอย่างไร ก็เลยบอกว่า ถ้าเทวดาไม่ช่วย ก็ใช้ทิศตะวันออกเป็นเกณฑ์ จะเดินตามพระอาทิตย์ เดินสวนทางกับพระอาทิตย์

พระอาทิตย์ตะวันออก ออกมาเราก็เดินสวนทางไปอย่างไร ๆ ก็ถึงแม่น้ำเจ้าพระยาแน่ เมื่อถึงแม่น้ำเจ้าพระยาก็ถือว่า การถึงวัดเป็นของง่าย จะจับสายแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสำคัญและก็จะตัดทางตามสมควร ก็มีเทวดาท่านหนึ่งบอกว่า การกลับของท่านจะต้องแวะที่อีก ๒ สถาน คือว่า ที่ใต้อำเภอบางปลาม้าแห่งหนึ่งและก็ที่เหนือวัดบางซ้ายในแห่งหนึ่ง จะต้องปักกลดค้างที่นั่น

ก็เลยบอกท่านบอกว่า จากศรีประจันต์ไปอำเภอบางปลาม้านี่ วันเดียวมันไม่ถึงจะไปอย่างไรท่านก็บอกว่า เรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของลุงวิ ท่านลุงวิแต่งตัวสวยแพรวพราวบอกว่า ไม่เป็นไร ผมพาท่านมาได้ ผมก็พาท่านกลับได้ ไปตามกำหนดที่จะพึงไป ก็ถามท่านบอกว่า จะไปที่นั่น มีเหตุผลอย่างไรท่านก็บอกว่า ในที่ ๒ สถานนี้ เขาจะโกนจุก โกนเปียเด็ก แต่บ้านแถวนั้นเป็นบ้านคนจน จะจัดงานเข้า

มันก็มีการสิ้นเปลือง ถ้าได้พระธุดงค์เขาก็ไม่ต้องลงทุนมาก ขอท่านไปโปรด ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ท่านจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้น วันนี้เวลาตอนเย็นเวลาประมาณบ่าย๓ โมง จะออกเดินทาง คุยกันตอนเช้า ก็ถามท่านบอกว่า การออกเดินทางบ่าย ๓ โมง จะถึงพอดีไหม ท่านบอกว่า นั่นเป็นหน้าที่ของผมต้องถึงพอดีแก่เวลาหลังจากนั้นทุกท่านก็หายไป พวกเราก็นอน ก่อนจะนอนก็เตรียมกลด

เตรียมมุ้ง เตรียมอะไรทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมเสร็จคิดว่า ถ้าจะไปเมื่อไร ครองผ้าปุ๊บ คาดพุงปั๊บ ออกเดินทางได้ทันที เมื่อถึงเวลาประมาณบ่าย ๓ โมง ลุงวิก็มา ทีนี้ลุงวิมาไม่แต่งตัวเหมือนเก่านุ่งกางเกงแพรสีดำ ใส่เสื้อกุยเฮงสีดำ มาถึงก็ชวนเดินทาง ก็เดินทางไปกับท่าน เมื่อเดินทางออกไปสัก ๑๐ นาที หันหลังมา หวังจะดูที่ว่าที่ตรงนี้มันมีความสุข วันหลังเราจะมาที่นี่ ปรากฏว่าภูเขาหายไปหมดแล้ว

ก็ถามลุงวิบอกว่า ภูเขาที่พักเมื่อสักครู่นี้ เวลานี้มันไปไหน ท่านก็บอกว่า ผมบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า เป็นภูเขาชั่วคราว มันไม่ใช่ภูเขาประจำ ก็หมดเรื่องกันไปเดินตามท่านไป ใช้เวลาประมาณสัก ๑๐ นาที ก็พบกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ ยืนอยู่ทางหลังบ้านของเขา คนทั้งหมดประมาณ ๕๐คนเศษ เมื่อเขาเห็นเข้า เขาก็ออกมาต้อนรับ ขอนิมนต์ให้ปักกลดตรงหลังบ้านเขาออกไป เมื่อเลือกชัยภูมิได้ดี ห่างบ้านพอสมควร

ประมาณกิโลเศษ ๆ ก็ปักกลด ลุงวิท่านก็ยังอยู่ที่นั่น เลยถามเขาว่า ที่ญาติโยมยืนอยู่นี่ คอยใครหรือ หรือรู้ว่าอาตมาจะมา ญาติโยมทั้งหลายก็บอกว่าเมื่อ ๓ - ๔ วันนี้มีคนแก่คนหนึ่งเดินทางมาที่นี่ มาจากป่าบอกว่า วันนี้จะมีพระธุดงค์ เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จะเดินทางผ่านมาทางนี้ ขอให้นิมนต์ปักกลดที่นี่ และลูกของใครมีจุกมีเปียพอที่จะตัดได้ ให้มาพร้อมกันตัดจุกที่นี่

จะเป็นมงคลใหญ่ในเมื่อพูดอย่างนั้น ก็เชื่อท่าน คำว่า เป็นมงคลใหญ่ ก็หมายความว่า พระธุดงค์ไม่มีกังวลกับญาติโยม เพียงแค่มีข้าวให้กินก็ใช้ได้สตางค์ไม่ต้องจ่าย เมื่อขณะที่ปักกลดเสร็จ ญาติโยมก็เอาน้ำชาบ้างเอาน้ำมะตูมบ้าง เอามาให้ฉันเวลานั้นก็มีปี่พาทย์วงหนึ่ง พร้อมไปด้วยคณะลิเก หอบเครื่องพะรุงพะรังมา แบกกลองเดินผ่านมาในทุ่ง พอมาถึงที่ตรงนั้น เห็นคนมุงมาก ๆ ก็นั่งพัก

ถามว่าพวกคุณจะไปไหน ก็บอกว่า ผมอยู่ บ้านไปนาใต้ครับ เพราะลิเกวงนี้ เป็นลิเกอ่างทอง ไปแสดงร่วมกันมาที่สระยายโสม กำลังจะเดินทางกลับ เพราะทางสระยายโสม ถ้าใช้เรือไปก็ไม่สะดวก ก็เลยคุยกัน เขาก็เลยตัดสินใจบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเมื่อท่านพักที่นี่ ผมก็ขอค้างคืนที่นี่ด้วยครับ และคุยกันไป ๒ – ๓ คำก็มีคนหนึ่งเตรียมเครื่องโกนจุก เขาถามว่า จะมีการโกนจุก โกนเปียหรือครับ

บอก มีญาติโยม มีเด็กมาประมาณสัก ๑๐ คนเศษ ๆ เขามาตัดจุก ตัดเปีย เขาบอก ถ้าอย่างนั้นผมก็จะเอาปี่พาทย์บรรเลงให้ ไม่ต้องเสียอะไร เอาบุญด้วยครับลิเกก็บอกว่า จะแสดงให้ด้วย ก็เป็นอันว่า มีทั้งปี่พาทย์ มีทั้งลิเก มีเครื่องครบ ชาวบ้านก็ดีแสนดี พอรู้ว่าจะมีปี่พาทย์ มีลิเก ก็สร้างโรงลิเกทันที ไปวิ่งเอาไม้กระทู้มาปักเข้า ไม้ลำมาพาดเข้า ไม้สักมาโปะเข้า ทำพื้นให้เรียบ ปูเสื่อปูสาด

ทำเป็นที่พักคนด้วย ทำเป็นที่แสดงด้วย ก็เป็นอันว่า คืนนั้นครื้นเครงกันทั้งคืน ปี่พาทย์ก็บรรเลง เขาบอกว่า เป็นปี่พาทย์วงบ้านไปนาใต้ แต่ความจริงวงบ้านไปนาใต้ เป็นปี่พาทย์ประจำวัดบางนมโค อาตมารู้จักนักบรรเลงทุกคน แต่นักบรรเลงที่บอกอยู่บ้านไปนาใต้วันนั้น ไม่รู้จักสักคน จะหาใครสักคนที่รู้จักก็ไม่มี นั่นเป็นเรื่องของเขา เป็นอันว่าเขาก็บรรเลงกันไป และมีผู้หญิงคนหนึ่ง

เป็นนักร้องประจำวงปี่พาทย์ ร้องทำขวัญจุกได้ดีมาก ไพเราะเป็นธัมมะธัมโมอย่างดี คนฟังก็เพลิดเพลิน ปี่พาทย์ก็บรรเลงอย่างดีพอตกกลางคืน ชาวบ้านก็ไปหาตะเกียงเจ้าพายุมา ๑๐ ดวงลิเกก็แสดง เมื่อแสดงเสร็จเวลาประมาณ ๖ ทุ่มก็เลิก ก็เลยบอกว่าตั้งแต่นี้ไป ฉันต้องการความสงัด ทุกคนก็นอนกันเงียบ ชาวบ้านก็นอนกลางทุ่ง พอลิเกก็นอน ชาวบ้านเขานอนป้องกันพวกลิเก และพวกปี่พาทย์ เกรงว่าของจะหาย ตะเกียงเจ้าพายุก็จุดสว่างจ้าทั้งคืนพวกเราก็เจริญกรรมฐานกันตามปกติ

รุ่งขึ้นตอนเช้า ตอนนี้ก็ไม่ต้องกินข้าวของเทวดา ก็เป็นอันว่า ฉันข้าวเสร็จ ชาวบ้านกินข้าวเสร็จ กับข้าวก็เหลือเยอะแยะ พวกลิเกปี่พาทย์ก็กินกัน กินเท่าไรมันก็ไม่หมด ชาวบ้านก็ช่วยกินกัน กินเท่าไรมันก็ไม่หมดเมื่อมีการฉันข้าว ปี่พาทย์ก็บรรเลง ต่อไปก็ทำพิธีโกนจุกพอสวดชยันโตพรมน้ำมนต์เสร็จ ปี่พาทย์ก็บรรเลง ลิเกก็แสดง บ่าย ๓โมงเย็น ลุงวิก็บอกว่า เดินทางต่อ ไปทิศเหนือวัดบางซ้ายใน ไปที่ตรงนั้นมีบ้านตั้งเด่น ๆ อยู่ ๓ หลัง

ไปถึงตรงนั้นก็มีคนเขามายืนดักอีกแหละ ขอให้พักตรงนี้จะโกนจุกเด็ก ถามว่าโยมรู้ได้อย่างไร เขาก็บอกว่า มีคนแก่มาบอกล่วงหน้า ๓ วันแล้วว่า พระจะมา ๓ องค์เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ก็ทำในลักษณะเดิม หลังจากนั้นก็กลับวัดพอถึงประตูน้ำเจ้าเจ็ด คณะปี่พาทย์กับคณะลิเกก็ขอลาแยกไปอันนี้แหละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ในช่วงนี้เป็นการฝึกธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ แต่ถ้าถามว่า

เขามีปี่พาทย์ มีลิเก มีอารมณ์เป็นอย่างไร ก็ตอบว่า ใช้อารมณ์เดิม ตามที่พระท่านเตือนว่า นักแสดงก็ดี คนที่มาดูก็ดี ทั้งหมดนี้อายุไม่ถึงร้อยปีก็ตายหมด ตามที่พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรท่านเคยคิด ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกันไม่ถึงร้อยปีเราก็ตาย เสียงลิเกที่ร้อง ถ้ากำลังร้องอยู่ก็มีเสียง หยุดร้องเมื่อไรก็หมดเสียงเหมือนกับชีวิตของเรายังหายใจอยู่ ยังชื่อว่า มีชีวิต ถ้าเลิกหายใจเมื่อไร ชีวิตก็หมดไป

เสียงปี่พาทย์ลาดตะโพนก็เหมือนกัน ถ้ายังบรรเลงอยู่เพียงใด เสียงก็ปรากฏ ถ้าเลิกบรรเลง เสียงก็หายก็เหมือนกับชีวิตของเรา ชีวิตของเรา ในเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ ก็ยังมีชีวิต ลมหายใจหมด ก็หายไป คิดแค่นี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายแล้วก็คิดต่อไปอกว่า อจิรัง วต ยัง กาโยฯ เป็นต้น ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ร่างกายนี้อีกไม่นานนัก ชีวิตก็ไปปราศแล้ว คือ จะหมดชีวิตแล้ว

ร่างกายของเราเมื่อหมดชีวิต มันก็ไร้ประโยชน์ ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ ดีกว่าร่างกาย เพราะไม่มีคนต้องการเอาละ บรรดาพุทธบริษัททุกท่าน พอพูดมาถึงตอนนี้ เวลาก็หมดพอดี ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


6

อุปสรรคในวัด



ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ตอนนี้ก็ยังเป็น วันที่ ๒๕พฤษภาคม ๒๕๓๓ เป็นตอนที่ ๒ เสียงแห้งไปหน่อย เพราะว่าวันนี้ป่วยมาก และก็ต้องล้างท้อง พรนุช คืนคงดี เป็นเจ้าหน้าที่ทำการล้างพระครูปลัดอนันต์ ก็มีหน้าที่ถือหม้อน้ำยืนอยู่ และก็อุ้มลุกขึ้น เวลาจะลุกขึ้นจากที่นอน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าขายันตัวไม่ไหว แต่ที่ต้องทำก็เพราะว่า จะได้ทิ้งประวัติไว้ เพราะความแก่มันมีมากแล้ว

นอกจากแก่ ความตายก็ใกล้เข้ามา เวลานี้โรคหัวใจกำลังเข้ามากวนใจอย่างหนัก และก็โรคเก๊าต์หายไป โรคหัวใจมาใหม่ ความตายจะเข้ามาถึงเมื่อไรก็ไม่แน่ คนเป็นโรคหัวใจตายง่ายก็มาคุยกันว่า ตอนนี้ให้ชื่อว่า อุปสรรคในวัด เพราะว่าคนในวัด บรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟังในนามของลูกศิษย์หลวงพ่อปานนี่ ไปไหนก็มีชื่อเสียง มีคนเคารพนับถือ ยกย่องว่า ท่านเป็นพระดีด้วยกันทุกองค์

แต่ว่าพระในวัดก็มี ๔ ประเภท
๑. อุคฆฏิตัญญู มีปัญญาดีมาก มีปฏิภาณดีมาก สนใจในธรรมะปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ฉลาดมาก
๒. วิปจิตัญญู คนที่มีศรัทธาดี มีบารมีดี แต่ว่ามีปัญญาน้อยไปนิดหนึ่ง
๓. พวกเนยยะนี่รับฟังคำสอนหลวงพ่อปานแล้ว ต้องรับฟังหลาย ๆ หน จึงปฏิบัติได้ครบถ้วน
๔. พวกปทปรมะ พวกประเภทบวชตามประเพณี ท่านพวกนี้ไม่มีอะไรมาก

วิธีปฏิบัติของท่านก็คือ ผัดหน้าแต่งตัว บางครั้งก็หนีไปร้องเพลงเสียบ้าง ทำอะไรทุกอย่างไม่ต่างจากฆราวาสฉะนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ระเบียบนี้ก็เป็นระเบียบของวัดทุกวัด แม้แต่ในปัจจุบัน ในเมื่อผู้ใหญ่ดี ก็จงอย่านึกว่า ลูกน้องดีเหมือนกันทุกท่าน แต่ที่ชั่วก็มี ที่ดีก็มาก รวมความว่า เมื่อเข้าไปถึงวัด การไปธุดงค์ บรรดาท่านพุทธบริษัท แม้แต่มีดพับก็มีเล่มเล็ก ๆ แล้วก็หักปลาย ไม่ให้เป็นอาวุธ

มีดโกนก็นำไปไม่ได้ เพราะมันเป็นอาวุธได้ เป็นอันว่า ไปธุดงค์ตั้งหลายเดือน แต่ทว่าเวลากลับมา ผมก็ยาว ไม่ได้โกน พอเข้ามาในวัด สุนัขที่เคยเลี้ยงไว้ มันก็จำไม่ได้ มันวิ่งเข้ามากระโชกเห่า แต่พอเข้ามาใกล้มันจำกลิ่นได้ มันก็เลิกเห่า มันก็หมอบ มันก็คลาน มันก็ต้อนรับกระโดดต้อนรับครั้นมาถึงในวัด ก็ตรงไปหาหลวงพ่อปาน แขกกำลังมาก ไปถึงก็กราบท่าน

ท่านก็บอกว่า พระ ๓ องค์นี่เขาฝึกธุดงค์ บอกกับญาติโยม ญาติโยมจะแปลกใจว่า พระ ๓ องค์นี่ว่า
๑. ห่มจีวรกรัก
๒. แบกกลด และก็
๓. มีย่าม
๔. มีกาน้ำ
๕ มีบาตร

ผมที่ยาวอย่างนี้เพราะว่า การไปธุดงค์ เอามีดโกนไปไม่ได้ ปลงผมไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไว้ตามสภาพ เมื่อกราบท่านก็รายงานให้ท่านทราบว่า การไปอยู่ในป่ามีความสุขดี ไม่มีอะไรเป็นอันตราย ท่านก็ยิ้มท่านยิ้มแล้วหันไปหาญาติโยมบอกว่า นี่พระของฉันโกหก ทั้ง ๆ ที่ไปธุดงค์มาแล้วนี่ยังโกหก นี่เอาดีกันไม่ได้ พอฟังอย่างนั้นก็ตกใจคิดว่าเอ๊ะ นี่เราโกหกอะไรท่าน

ท่านก็บอกว่า หลังจากที่พวกเธอไปอยู่ที่หลังผักไห่ในเขตศรีประจันต์ วันหนึ่งเธอปวดศีรษะมากใช่ไหม ก็กราบท่านบอกว่า ใช่ แล้วท่านถามว่า แล้วทำไมจึงบอกว่า มีความสุขดี เลยกราบเรียนท่านบอกว่า พระอินทร์ท่านมาช่วยรักษาให้ท่านก็ถามว่าพระอินทร์มารักษาให้ แล้วให้อะไรไว้บ้าง ก็กราบเรียนท่านตรง ๆ บอกว่า ให้วิชากอบโรคทิ้ง

ท่านก็ถามว่า ก่อนที่จะกอบโรคทิ้ง ต้องมีครูไหม ก็ตอบว่า ต้องมีครู มีธูป ๓ ดอก มีเทียนหนักบาท ๑ เล่ม มีดอกไม้ ๓ ดอก และเงิน ๑ สลึง ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นดีแล้ว ท่านก็เลยถามญาติโยมว่า ใครต้องการจะรักษาโรคบ้างนี่ไม่ต้องพักกันแล้วนะ รักษาโรคตำราที่พระอินทร์สอนพระ ใครต้องการไหม ญาติโยมยกมือพรึ่บ

ยกมือพนมนะ มึงต้องการครับ กูต้องการค่ะ ว่ากันเป็นแถว ๆ ในที่สุดหลวงพ่อปานก็ให้แสดง บอก เอาเลยทำการรักษาได้เลยเมื่อญาติโยมทั้งหลายจัดสถานที่เรียบร้อยแล้ว ตามระเบียบแล้วมีของทุกอย่าง ก็เลยทำพิธีกอบให้ท่าน ก็มีคน ๆ หนึ่งบอกว่า ปวดศีรษะมาก พอกอบทิ้ง ๓ ครั้ง ท่านสลัดหัวเป็นการใหญ่ สลัดหัวหาการปวดศีรษะ ก็เป็นอันว่า ไม่ปวดศีรษะ การปวดศีรษะหายไป

วันนั้นก็เลยต้องทำพิธีการกอบกันเป็นการใหญ่ เป็นอันว่า คนที่มีโรควันนั้นประมาณ๑๐๐ คนเศษ มีคนหนึ่งปวดท้องกำลังปวดมาก พอกอบ ๓ ครั้งทิ้งก็หายก็รวมความว่า วันนั้นได้เงินหลายสลึงได้เงิน ๑๐๐ สลึงกว่า ก็นำไปถวายหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านบอกว่า เขาถวายเธอ ก็เลยบอกว่า พระอินทร์ท่านบอกว่า เงินนี่ใช้ไม่ได้ ต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่านผู้มีคุณ ท่านเป็นครู

หลวงพ่อปานก็ยิ้มว่า เออ ทำถูกแล้ว ๆแต่ว่าวิชากอบนี้ จะต้องปฏิบัติตามครูสอนเด็ดขาดนะ เงินสลึง หรือว่าดอกไม้ก็ดี ธูปเทียนก็ดี จะเว้นไม่ได้เด็ดขาด หลังจากนั้นท่านก็สั่งให้ไปพัก เมื่อเข้าที่พัก ก็ปรากฏว่าที่พักเดิมที่พักอยู่ รกรุงรังไปหมด บรรดาพวกพระปทปรมะ ไปนั่งเล่นนอนเล่น ทำสกปรกซะเยอะแยะก็เริ่มวางกลด จะกวาดพื้นที่ ก็พอดีเห็นลุงวิมา ลุงวิก็บอกว่า ไม่ต้องกวาดครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง

พวกท่านเอาผ้าออก เปลื้องจีวรออก ปลงผมกันก็แล้วกัน ต่างคนก็ต่างช่วยกันปลง ผลัดกันปลง เมื่อปลงผมเสร็จ ก็ปรากฏพื้นที่เรียบร้อยดีทุกอย่าง ที่นั่ง ที่นอนเรียบร้อยเตาต้มน้ำต้มท่าเรียบร้อย น้ำก็มีเสร็จเรียบร้อย แต่ลุงวิหายไปแล้วก็เป็นอันว่า มีความสุขแต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัท อุปสรรคใด ๆ ของนักปฏิบัติจะยิ่งไปกว่าอุปสรรคของคนนี่ ไม่มี ฉะนั้นบรรดาพระพวกปทปรมะทั้งหลายเขาเห็นหน้าเข้า

เขาก็เรียกว่า เฮ้ย พระอรหันต์มาแล้วโว้ยพระโสดาบันมาแล้วโว้ย อะไรบ้างก็ตาม ผู้วิเศษมาแล้วโว้ย คือพูดยวนกวนใจทีนี้บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาบอกแล้วว่า พวกเรายังไม่ดียังเป็นทาสของนิวรณ์ นี่นักปฏิบัติทุกคนควรจำไว้นะ คำว่า นิวรณ์แปลว่า กิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง เมื่อเขาพูด บางครั้งบางคราวจิตใจก็ยับยั้ง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าบางคราวก็ชักไม่ชอบใจเหมือนกัน ในเมื่ออาการไม่ชอบใจเกิดขึ้น

จิตก็มัวหมอง ต้องมีการซักซ้อมกันอยู่เรื่อย ๆ และพระบางพวกก็พูดยียวนต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฆราวาสในตำบลบางนมโคเองนะ ไม่ใช่จะมีคนมีความเลื่อมใสหลวงพ่อปานทุกคน ที่เลื่อมใสก็มี ไม่เลื่อมใสก็มี ทั้ง ๆที่ท่านดีขนาดนั้น ที่ไม่มีความเลื่อมใส เขาก็หาว่าอาตมา ๓ คนนี่ บ้ารวมความว่า การพูดคุยกับใคร ต้องถนอมถ้อยคำ เขาถามความเป็นมาว่า วิชากอบ ลองกอบให้ผมซิ

เวลานี้ผมไม่มีสตางค์กอบให้รวยสตางค์ซิ ก็เลยนึกในใจว่า จะพูดให้เขาฟังว่า กอบให้มีสตางค์น่ะ กอบไม่ได้ แต่กอบให้ตายน่ะ กอบได้ พอนึกในใจแค่นี้ก็ได้ยินเสียงบนอากาศบอก อย่าทำนะ ถ้าทำเข้า เขาจะเป็นอย่างนั้นทันที จะมีโทษในฐานฆ่ามนุษย์ ก็เลยยับยั้ง เป็นอันว่า การอยู่ที่วัด บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีความดี นึกอยากจะอยู่ในป่า แต่วิธีที่ปฏิบัติอยู่ในวัด ในเมื่อเข้าถึงวัดแล้วเราก็วางภาระของธุดงค์

แต่ก็ยังกินข้าวเวลาเดียว ตอนเช้าก็ไปบิณฑบาตกับเขา กลับมาก็ยังไม่กินข้าวพร้อมอาหารทั้งหมดที่ได้มา ก็ให้กับส่วนกลางหมด แต่ทว่าหาอาหารที่กินเอง เมื่อเข้ามาอยู่ในป่าช้าก็บิณฑบาตใหม่ เทวดานางฟ้าท่านก็ใส่บาตรให้กินตามเดิม กินอาหารของท่านมีความสุข พระบางองค์ที่มีความฉลาด ก็สงสัยว่า อาหารตอนเช้าท่านได้มา ท่านเอาไว้ส่วนกลางหมด แล้วท่านฉันอะไร

ก็ต้องตอบว่า ผมมีอาหารส่วนหนึ่งสำหรับฉัน ผมมีอยู่แล้ว ไม่เป็นไร แต่ว่าในวัดเวลานั้นจริง ๆ พระที่มีกรรมฐานเก่งมีอยู่ ๒ องค์ นอกจากหลวงพ่อปานแล้วก็มี หลวงพ่อเล็ก รองลงมา แล้วก็มี พระอาจารย์ฉัตร พระอาจารย์ฉัตรนี่เป็นนักปฏิบัติเข้าป่าช้าทุกคืน ความจริงอาจารย์ฉัตรนี่ ท่านไม่ค่อยจะรู้หนังสือ อ่านหนังสือไม่ออกมาก่อน ต้องมาเรียนหนังสือเมื่อขณะบวช

แต่ว่าการปฏิบัตินี่เก่งมากเอาจริงเอาจัง คนเอาจริงเอาจังประเภทนี้ คนเขาก็ไม่ค่อยนิยมเหมือนกันถ้าจะถาม องค์อื่นมีไหมถ้าองค์อื่น ก็ขอตอบว่า เวลาที่หลวงพ่อปานประกาศขึ้นกรรมฐาน สมาทานกรรมฐาน เขาก็สมาทานด้วยแต่ทว่าเลิกมาแล้ว จิตใจของเขาเริ่มทำเป็นสมาธิ นั่นคือ รักผู้หญิงอยากจะรวยบ้าง อยากจะพบคนสวยบ้าง อย่างนี้เป็นต้น คือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

มักจะคุยกันเรื่องรวย อยากจะรวยอย่างนั้น อยากจะรวยอย่างนี้ เป็นโลกียวิสัยฉะนั้น การเข้าไปอยู่ในวัดก็เต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ก็เป็นความดี ที่ว่าเป็นความดี ก็เพราะว่านักมวย ถ้าเป็นแต่เพียงซ้อมมวยอยู่คนเดียวบนยอดเขา ก็อาจจะคิดว่า ตัวเองเก่งเป็นเจ้าโลก เป็นแชมป์โลก ไม่มีใครสามารถจะสู้ได้ เพราะไม่มีใครจะสู้ด้วย แต่ถ้าขึ้นชกจริง ๆ ขึ้นเวทีจริง ๆ อาจจะแพ้ตั้งแต่ยกแรกก็ได้

หรือไม่ทันเต็มยกฉันใด พระธุดงค์ที่อยู่ในป่าก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครขัดคอ ไม่มีคนขัดคอสักคน เพื่อนกัน ๓ คน ก็คุยเหมือนกันหมด คุยกันถึงผลการปฏิบัติแต่ละวัน ๆ ใครพบอะไรบ้าง ใครมีอารมณ์อะไรบ้าง พูดกันโดยเฉพาะนอกจากนั้น เวลาว่างก็มีเทวดา มีนางฟ้า มีพรหม มีพระท่านมาคุย ท่านก็คุยในผลการปฏิบัติ ก็มีแต่อารมณ์ชุ่มชื่น ครั้นมาอยู่กับคนเข้า ก็กระทบกับอารมณ์ต่างๆ ที่เรียกว่า นิวรณ์ ๕ ประการกระทบกันอย่างหนัก

๑. ความสวยของคน คนที่มีเพศตรงกันข้าม รูปร่างหน้าตาดี ๆ ในเมื่อกิเลสมันยังมี ก็อาจจะชอบเขาได้ แต่ว่ากำลังใจ ถ้านึกชอบขึ้นมาเมื่อไร อีกสักประเดี๋ยวหนึ่งเราก็รีบตัดทัน วิธีตัดไม่ยากก็คิดว่า เวลานี้เราเป็นพระ เรายังไม่มีโอกาสจะแต่งงานกับใคร และการที่ไปรักเขา เขาจะรักเราหรือเปล่า ถึงแม้ว่ารัก ก็ไม่เป็นการสมควรเพราะเราเป็นพระ เอาง่าย ๆ แบบนี้ ถ้าเห็นคนที่เขาแก่กว่า

แก่กว่าไม่มากก็คิดว่า นี่เขาเป็นพี่ จะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายก็ตาม แก่กว่ามากแต่อ่อนกว่าพ่อกว่าแม่นึกว่า เขาเป็นน้า หรือเป็นอา คราวพ่อคราวแม่ก็คิดว่า เขาเป็นลุงบ้าง เขาเป็นพ่อบ้าง ถ้าเจอะผู้หญิง หรือผู้ชายก็ตาม ที่อ่อนกว่า ก็คิดว่า เขาเป็นน้อง ต้องใช้อารมณ์แบบนี้อยู่นาน อุปสรรคประเภทนี้มันหนัก

ต้องใช้อารมณ์แบบนี้อยู่ประมาณสักเดือนเศษจิตจึงทรงตัว เริ่มอารมณ์วางเฉยในร่างกายของคนได้บ้างแล้วพอสมควร แต่ว่าไม่ได้เฉยไปทั้งหมด บางทีเผลอแว้บมันก็เอาเหมือนกัน นี่จึงได้พูดให้ท่านทั้งหลายฟังว่า ถ้าได้ยินข่าวใครเขาพูดเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่อ่านมาแล้วว่า มีประสบการณ์แบบนั้นแล้วเป็นผู้วิเศษ อย่าเพิ่งเชื่อ มันยังเลวอยู่

ประการที่ ๒ อารมณ์ที่ไม่พอใจ มันก็ยังมีอยู่บางครั้งบางคราวในเมื่อถูกเหยียดหยามบ้าง ถูกพวกพระเสเพลพูดกระทบกระแทกบ้างบางครั้งก็ไม่พอใจ อันนี้ก็เป็นอารมณ์เลว คือ เป็นนิวรณ์ตัวที่ ๒ สำหรับนิวรณ์ตัวที่ ๓ คือ ความง่วงก็ไม่จำเป็น ง่วงเมื่อไรก็นอนเมื่อนั้น ภาวนาให้มันหลับไป หมดเรื่องหมดราว เราตั้งใจภาวนาแต่มันอยากจะง่วง ก็เลยนอนภาวนาให้มันหลับไป ก็หมดเรื่องกัน

เพราะว่าก่อนจะหลับ จิตถ้าไม่สงบไม่ถึงฌานมันไม่หลับ ถ้าจิตสงบถึงฌานเมื่อไร มันจึงจะหลับ ถ้าหลับได้ในขณะที่ภาวนาอยู่ ก็ถือว่าเป็นการดีต่อมาอีกอันหนึ่ง คือ อารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์คิดไม่พอใจบ้างอารมณ์คิดพอใจบ้าง อยากจะได้อย่างโน้น อยากจะได้อย่างนี้ คำว่าอยากจะได้ ไม่ใช่อยากรวย อยากจะเป็นพระโสดา อยากจะเป็นพระสกิทา อยากจะเป็นพระอนาคา อยากจะเป็นอรหันต์

อย่างนี้เป็นต้นอยากจะสร้างโน่น อยากจะทำนี่ อยากจะทำให้ดีที่สุด ที่หลวงพ่อปานท่านทำอยู่แล้ว อยากจะช่วยให้มันดีขึ้น ให้มันไวขึ้น ไอ้ตัวนี้เป็นอารมณ์ฟุ้งซ่าน เป็น นิวรณ์ตัวที่ ๔ เป็นอารมณ์เลวทีนี้ ความสงสัย อันนี้ไม่ต้องพูดกันเลิก สำหรับนิวรณ์ตัวที่ ๕นี่ตัดได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็รวมความว่า เข้าป่ามาตั้งหลายเดือนชนะความชั่วได้ตัวเดียว คือ ตัวสงสัยและต่อมาการปฏิบัติ การปฏิบัติก็เหมือนธรรมดา ๆ เป็นกันเองทุกอย่าง

แต่ทว่าข้าวกินเวลาเดียว กินข้าวของท่านที่มาใส่บาตรให้เป็นกรณีพิเศษ ถ้าพูดอย่างนี้ ถ้าคนสมัยนั้นเขายังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เชื่อหรอก เพราะว่าพวกเราต้องปกปิด ถ้าไม่ปกปิด พวกนั้นจะบาปมากขึ้น จะหาว่าโกหกมดเท็จด้วยประการต่าง ๆก็รวมความว่าต้องปกปิด ท่านที่รู้จริง ๆ ก็คือ หลวงพ่อปาน แต่งานประจำก็คือว่าอยู่กับหลวงพ่อปาน เวลาหลวงพ่อปานรับแขกก็อยู่ใกล้ ๆ ท่าน

หากว่าท่านต้องการอะไร จะใช้อะไรเราก็ยอมรับ และขณะที่หลวงพ่อปานรับแขก ก็นั่งดูแขกไปด้วย จะเป็นคนหนุ่ม จะเป็นคนสาว จะเป็นคนแก่ คนวัยกลางคน ก็ป่วยเหมือนกันหมด ทุกคนก็ประกาศแต่ทุกขเวทนา บางคนก็มาปรารภเรื่องความเป็นอยู่ ตอนนี้ก็ใช้อารมณ์ของอริยสัจว่า ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่เกิดมาในโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ นี่เป็นความจริง

ในเมื่อมันทุกข์อย่างนี้แล้ว ชาย และหญิงทุกคนจะมีชีวิตอยู่นานไหม แต่ว่าทุกคนที่มานี่แปลก ไม่มีใครคิดถึงความตาย ทุกคนก็พูดอยากจะทำกินอย่างโน้นอยากจะทำกินอย่างนี้ อยากให้หลวงพ่อปานช่วย ให้มันรวยอย่างนั้นให้มันรวยอย่างนี้ ก็คิดในใจว่า พวกนี้เวลาความตายเข้ามาใกล้เต็มที่ทำไมจึงไม่คิด และงานอีกประเภทหนึ่งก็คือว่า หลวงพ่อปานใช้ให้รดน้ำมนต์

เวลาถึงกาลรดน้ำมนต์ ก็ผลัดกันรด เพราะคนมาก ๆ เหนื่อยมากเหมือนกัน คนตักน้ำใส่ตุ่มเขาก็เหนื่อยต้องมีหลายคน เพราะท่าน้ำมันไกล แต่ถึงเวลารดน้ำมนต์ ก็ไม่ต้องว่าคาถาอะไร แต่บางคราวคนที่เขามีอารมณ์เครียดมากจากการป่วย คือ มีทุกขเวทนามากท่านก็เรียก ลิงดำเอ๊ย ไปช่วยกอบโรคเขาทิ้งทีวะ เลยกราบเรียนหลวงพ่อบอกว่า ค่าครูครับ ท่านก็บอก เขามีสตางค์สลึงไหม

ถ้าจนมากไม่มี ฉันจะออกให้ ท่านก็จัดดอกไม้ธูปเทียนให้เสร็จ ถ้าเขามีสตางค์สลึงใส่ เขาก็ใส่ ถ้าเขาไม่มีสตางค์สลึงใส่ หลวงพ่อปานก็ใส่ให้อาตมาก็ไปวางที่หน้าพระพุทธรูป กราบพระ นึกถึงพระอินทร์ท่าน นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระอินทร์ท่าน ก็ไปกอบให้ พอกอบทิ้ง ๓ ครั้งโรคก็หาย อาการที่เป็นหายทันที แต่ว่าจะหายตลอดไป หรือไม่ตลอดไม่ทราบ แต่เวลานั้นหายกันแน่

ทีนี้สำหรับวิชากอบโรคทิ้ง บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาจำเป็นต้องเลิก เพราะทำได้ไม่นานนัก คนที่ทำให้เลิกก็คือ พวกพระที่เป็นปทปรมะ ก็เพื่อน ๆ กันบวชรุ่นราวคราวเดียวกันบ้าง บวชรุ่นพี่บ้างบวชรุ่นร้องบ้าง เธอไม่สบาย ก็วานให้กอบโรค ก็มีหลาย ๆ ท่านที่ปฏิบัติตามระเบียบ ก็มีรุ่นพี่อยู่ ๓ คน ไม่ยอมทำตามระเบียบบอกทำเถอะวะ เราเป็นพระด้วยกัน ไม่เป็นไรน่า อาตมาก็เกรงใจ ก็ไปกอบให้

ท่านก็หาย พอท่านหายปวด ไม่ช้าเราก็ปวดแทน ต้องหาสตางค์มายกครู มาไหว้ครูเป็น ๒ เท่าหาย ไม่ช้าก็มีมาอีก โดนเข้าแบบนั้น ๓ องค์ พอถึง ๓ วาระ ท่านเจ้าของก็มาบอกว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เลิกใช้วิชานี้ เพราะว่าคนเลว ๆ ประเภทนี้มีอยู่ คุณไม่ช้าก็แย่ เพราะถ้าไม่ไหว้ครูอาการประเภทนั้น โรคนั้นจะเข้าตัวคุณ ถ้าบังเอิญเขาเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ที่เป็นโรคที่ร้ายแรง

คุณก็ไม่สามารถรักษาหายได้ จะมีทุกขเวทนาหนัก ความจริงวิชานี้เป็นที่น่าเสียดาย บรรดาท่านผู้ฟัง แต่อาตมาก็ดีใจเหมือนกัน ถ้าวิชานี้ยังมีอยู่ก็คงไม่มีเวลาหยุด ก็ต้องใช้การกอบกันเรื่อยไปและประการที่ ๒ คน ก็คือคน คนที่เคารพในระเบียบวินัยก็มีอยู่ คนที่ไม่เคารพในระเบียบวินัยก็มีอยู่ ในไม่ช้าก็จะไปพบกับคนที่ไม่มีระเบียบวินัย ถ้าไม่ทำให้ เขาก็จะโกรธ ทีนี้ถ้าทำให้ โทษก็เกิดกับเราในที่สุด

ความดีด้านจิตใจก็จะสลายตัว เพราะงานอื่นไม่ต้องทำ เอาแต่งานกอบ แค่งานกอบอย่างเดียว ก็มีสมาธิแค่กอบ ไอ้ตัวกำลังที่จะใช้ในการตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน มันก็จะไม่มีมาก็เป็นอันว่า ถือว่าเป็นความดีส่วนหนึ่ง เป็นการเชื่อได้ว่าเทวดามีความรู้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระอินทร์ท่านรู้จริง ๆ ท่านมีความสามารถจริง ๆ ที่ท่านให้วิชานี้ และทำให้หายไปหลายคน

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสามารถของลุงวิก็เก่งจริง ๆ สามารถปรับพื้นที่ให้เรียบราบได้แบบสบาย ๆ การอยู่ป่าช้าเวลานั้น ก่อนจะไปมันรกรุงรังทางหายาก ลุงวิมาจัดการทำทางให้เรียบร้อยเป็น ๓ สาย เดินไปหากันสบาย ๆ ไม่มีหนาม ไม่มีขวาก ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคทั้งหมด เดินกลางวันก็ได้ เดินกลางคืนก็ได้ ไม่ต้องใช้ไฟฉายก็ได้ และเวลาเดินไปไม่ใช้ไฟฉาย ก็จะมีแสงเรือง ๆ สว่าง ๆ น้อย ๆ

คล้าย ๆ กับแสงพระจันทร์ขึ้นน้อย ๆ พอเห็นทาง ทั้ง ๆ ที่อยู่ในป่าไผ่ อันนี้ก็เป็นความสุขบรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่องอุปสรรคในวัดก็คุยกัน แค่นี้ก็พอแล้วกระมังเวลามันเหลือสัก ๒ - ๓ นาที ก็จะคุยอีกสักนิดหนึ่งเมื่อกลับมาวัด เขาบิณฑบาตเดินกัน ก็เป็นการบังเอิญ มีญาติโยมคนหนึ่ง มาจากกรุงเทพฯ ซื้อเรือยาวให้ลำหนึ่ง บอกว่าสำหรับท่าน๓ องค์นี้ครับ ก็ใช้เรือยาวบิณฑบาต เวลาหน้าแล้งเขาบิณฑบาตเดินเราก็บิณฑบาตเรือ

ไปใกล้ ๆ หัววัดท้ายวัดนิดหน่อย ก็ปรากฏว่ามีญาติโยมพุทธบริษัท เพียงแค่ไม่กี่บ้าน คนใส่บาตรไม่เกิน ๖ บ้าน ไปใกล้ ๆเพราะถ้าขืนไปไกล เดี๋ยวพระที่บิณฑบาตเดินเขากลับมา เขาจะคอยไปแต่เพียงบ้านที่เขาไม่สามารถจะใส่บาตรพระบิณฑบาตเดินได้แต่เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัทอาหารก็เต็มหัวเต็มท้าย ในเมื่อแกงที่หลวงพ่อปานจะต้องแกงทุกวัน ก็ไม่ต้องแกง พอกินพอใช้ ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร

เป็นเพราะบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วย ถ้าถามว่า ไปบิณฑบาต ว่าคาถาอะไร ก็บอกไว้แต่ตอนต้นแล้วว่า อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธฯ ว่าหมดจบ พายเรือไปก็ว่าเรื่อยไป นึกในใจเรื่อยไป เขาใส่บาตรปั๊บ เวลาที่เขาจะใส่บาตรก็นึกในใจว่า ขอท่านผู้มีคุณ จงมีความเป็นอยู่เป็นสุข มีความคล่องตัวในการทรงชีวิต แต่ว่าข่าวนี้ไม่ช้าก็ถึงหลวงพ่อปาน

เมื่อ ๒ เดือนผ่านไปก็ปรากฏ เขามาแจ้งให้หลวงพ่อปานทราบว่า เมื่อก่อนนี้ผมมีการฝืดเคืองมาก หากินไม่สะดวกค้าขายไม่ดี พอพระ๓ องค์นี่ไปบิณฑบาตเข้า ใส่บาตรท่านเข้า หากินคล่อง ซื้อง่ายขายคล่อง มีกำไรดี พอถึงฤดูกาลทำนา ทำนาเวลาฝนแล้ง ต้นข้าวเขาไม่ตาย และเวลาจะเกี่ยวข้าว ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และเขาก็มารายงานหลวงพ่อปานให้ทราบ หลวงพ่อปานก็บอกว่า เออ ดีแล้ว พระ ๓ องค์นี่เขาดีพอใช้ได้

แต่ญาติโยมก็บอกว่า เคยไปถามท่านแล้ว ท่านบอกว่า ท่านไม่ดี ท่านยังเป็นทาสของนิวรณ์อยู่ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า จริง ความไม่ดีของเขาน่ะ มันดีกว่าพวกเราที่ว่าเราดีกันนะ พระอื่นที่ว่าตัวดีน่ะ มันยังดีไม่เท่าเขาเลว เขาบอกว่า เขาเลวนี่เขายังดีกว่ามาก เขารู้จักนิวรณ์ แต่คนอื่นไม่รู้จัก นิวรณ์ คือ ความชั่ว

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เรื่องอุปสรรคในวัดก็ขอยุติเพียงเท่านี้ เพราะหมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน เหนื่อยเหลือเกิน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/10/12 at 18:01 [ QUOTE ]


7

เรียนนักธรรม


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับวันที่บันทึกวันนี้เป็นวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันนี้มีอาการเพลียมาก เพราะว่าเป็นการล้างท้องเป็นวันที่สอง แต่ว่าเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ บรรดาท่านพุทธบริษัทมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เป็นเรื่องธรรมดา ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่ารวมเล่ม ๑๖-๑๗-๑๘ หนังสืออ่านเล่น หน้า 77

อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปาทะวะยะธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมไอุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เตสัง วูปะสะโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั่นชื่อว่าเป็นสุข นั่นคือ นิพพาน หรืออีกนัยหนึ่งที่ท่านบอกว่า อะจิรังวะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณนิรัตถังวะ กะลิงคะรัง

คือ ร่างกายนี้ ไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้วคือ มันตาย เมื่อตายแล้วร่างกายก็ไร้ประโยชน์ เป็นวัตถุธาตุที่ไม่มีใครเขาต้องการ เหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ ก็เป็นอันว่า วันนี้ก็มาปรารภความตายกันก่อน เสียงอาจจะออกไม่ไหว แต่ก็ไม่เป็นไร ก็ทนพูดเพราะว่า ท่าทางความตายมันใกล้เข้ามาทุกที อาการทางจิตใจก็ไม่ดี หมายความว่า โรคทางหัวใจมันก็ไม่ดี ในวันนี้มีญาติโยมพุทธบริษัทมามาก มาจากร้อยเอ็ดบ้างมาจากร้อยเอ็ดนี่มามาก มาจากจังหวัดพิจิตรบ้าง กรุงเทพฯ ก็มาก

กำแพงเพชรก็เยอะ นครสวรรค์ก็เยอะ แต่ว่าทั้งนี้ ก็เว้นไว้แต่คนข้างวัดท่าซุง คือว่า วันนี้ ปาน หรือชาลินี เนียมสกุล เธอเซ็นต์เช็คให้ ๑๐,๐๐๐ บาท ถวายเป็นส่วนตัว แล้วเธอก็บอกว่า เธอจะซื้อเครื่องวัดหัวใจ เครื่องตรวจหัวใจเครื่องเล็กให้อาตมา ๆ ก็เลยบอกว่า จะซื้อเครื่องใหญ่ สั่งเขาแล้ว เครื่องเล็กราคาในประเทศไทย ๓๕,๐๐๐ บาท ถ้าเธอจะเดินทางไปต่างประเทศไปเรื่อย ๆ เธอจะซื้อต่างประเทศอาตมาก็ไม่ทราบ เลยบอกว่า สั่งให้คุณนิรัตน์ ไปตกลงเครื่องใหญ่มาแล้วราคา ๙๕,๐๐๐ บาท

เธอก็ถามว่า ถ้าเซ็นต์เช็คล่วงหน้าได้ไหม เดือนมิถุนายน ก็บอกว่า ได้ เธอก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น เธอขอครึ่งหนึ่งเธอจึงเซ็นต์เช็คมาอีก ๔๗,๕๐๐ บาท กับ คนข้างเคียง ทำบุญร่วมกันมาอีก ๑,๘๗๐ บาท อันนี้ก็เป็นความดีของเธอสำหรับ ชาลินี หรือปาน เนียมสกุล นี่เป็นนักบุญจริง ๆ ทำบุญเก่งมาก ทั้ง ๆ ที่มีรายได้ประจำ ก็คือ เงินเดือน แต่ว่านักที่ได้เงินเดือนนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ส่วนใหญ่แล้วทำบุญไม่ค่อยเก่ง

เฉพาะที่มาที่วัดนะ แต่ที่กรุงเทพฯ เก่ง ที่ซอยสายลมนี่ นักได้เงินเดือนนี่ทำบุญกันเก่งมาก แต่ว่าท่านที่มาที่วัด ส่วนใหญ่จะเป็นบรรดาชาวบ้านธรรมดา ๆ เราบ้าง พ่อค้าบ้าง ทำบุญกันเก่ง แต่นักเงินเดือนจริง ๆ บางทีก็มานั่งดูเฉย ๆ แล้วก็กลับ แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าจิตใจของเธอมีความเคารพในพระพุทธศาสนา ก็เป็นบุญ วันนี้ก็มาคุยกัน เรื่องการอยู่ที่วัดการอยู่ที่วัด ก็คุยกันถึงเรื่อง เรียนหนังสือ กันก่อน

การปฏิบัติกรรมฐานกับเรียนหนังสือ นี่คู่กัน คือว่า ครูที่สอนนักธรรมตรีของอาตมา ชื่อ วาด ต่อมาภายหลังเป็น พระครูปริยัติคุณูปการ เจ้าคณะตำบลบ้านแพนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านกำลังมีชีวิตอยู่ แต่นี่ พ.ศ. ๒๕๓๓ ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่ทราบ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีมาก นานแล้วไม่ได้ไปนมัสการท่าน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะป่วยไปไม่ไหว ยังนึกถึงครูบาอาจารย์อยู่เสมอ ท่านครูองค์นี้มีคติแปลกจากครูองค์อื่น

คือว่า เวลาที่มาสอน ไม่ถือหนังสือมาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมปฏิบัติก็ดี หรือวินัยมุขก็ดี ท่านจำมาทุกถ้อยคำ เวลาก่อนที่จะอธิบายต่าง ๆ ท่านจะพูดตามหนังสือเดี๊ยะ เคยเอาหนังสือไปกางดูแล้ว เหมือนทุกคำพูด เหมือนกับท่องมา แต่ความจริงถามท่าน ท่านบอกไม่ได้ท่อง ท่านอ่านแล้วท่านก็จำทุกถ้อยคำ เมื่อว่าไปตอนหนึ่งแล้ว ท่านก็อธิบายให้เข้าใจทราบ อาตมาเรียนกับท่าน เมื่อเรียนกับท่านแบบนี้ อาตมาเองเป็นคนมีนิสัยลอกแบบในเมื่อเห็นครูบาอาจารย์ท่านทำอย่างนั้นได้

ก็คิดในใจว่า เราก็ควรจะทำบ้าง กลับมาวัด ดูหนังสือจริง ๆ ๓ เที่ยว แต่ดูครั้งละ ๔ ใบดูไปครั้ง ตั้งใจอ่านช้า ๆ จำทุกถ้อยคำ ถึง ๔ ใบแล้วก็วาง ประเดี๋ยวหนึ่งวางนิดหนึ่ง แล้วก็นึกถึงถ้อยคำที่เราจำในหนังสือนั้นจำได้หมด หรือไม่หมด ถ้านึกว่าจำไม่ได้หมด ก็ดูเป็นเที่ยวที่ ๒ เมื่อดูเป็นเที่ยวที่ ๒ แล้วก็รู้สึกว่า จำได้หมดทุกถ้อยคำ แต่ก็เกิดความสงสัย ในบางกรณีไม่เข้าใจในถ้อยคำนั้น ก็กลับดูอีกครั้งหนึ่ง

เป็นครั้งที่ ๓ ต้องแก้ข้อสงสัยให้ได้ถ้าแก้ข้อสงสัยไม่ได้ก็ไม่เลิกก็เป็นอันว่า สามารถจำถ้อยคำทุกถ้อยคำของหนังสือได้เหมือนครู เวลาครูท่านมาสอน เราก็ฟังท่าน เหมือนทุกคำ เวลาเปิดหนังสืออ่านก็เหมือนทุกคำ เป็นอันว่า การดูหนังสือแบบนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ความจริงนักธรรมตรีนี่ อาจารย์วาด หรือพระครูปริยัติคุณูปการ ท่านสอน แต่ว่านักธรรมโท กับนักธรรมเอก อาจารย์เชื้อเป็นผู้สอน

แต่ว่าท่านอาจารย์เชื้อนี่ตายไปนานแล้วทีนี้ก็มาคุยกันถึง เรื่องการสอบ การสอบมันก็ไม่แปลก บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะจำได้ทั้งหลักสูตร แล้วก็จำได้ทั้งถ้อยคำที่ครูอธิบายเวลาครูอธิบายจริง ๆ ก็ ตาดู หูฟัง ใจจำ นึกคิดตามไปเขาเรียก สุ. จิ.ปุ. ลิ เวลาสอบจริง ๆ มันก็ไม่พลาด นี่พูดถึงการศึกษา ที่เป็นอย่างนี้ได้บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็อาศัยสมาธิ สมาธิมีความสำคัญมาก

ในการเรียน ในการรู้ ในการจำ สมาธิ แปลว่า การตั้งใจทำทีนี้ก็มาคุยถึงปฏิปทาที่อยู่ที่วัด หลวงพ่อปานท่านก็คุยแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทฟังว่า พระ ๓ องค์นี่เขาเก่ง เขาฝึกธุดงค์เข้าไปอยู่ในป่า กินข้าวกับเทวดา กับนางฟ้า เขาสามารถทำได้ แล้วก็ความจริงก็เปิดเผยขึ้นมา เพราะว่าเวลาที่อาตมาไปบิณฑบาต ก็ไปบิณฑบาตกับพระธรรมดา ๆ วันปกติ แต่ว่าเวลาที่จะไปบิณฑบาต ตั้งแต่เริ่มห่มผ้าว่า

อิติปิโส ภควาฯ เรื่อย และเวลาไปบิณฑบาตก็ว่าเรื่อยไป จนกว่าจะกลับ เอาอย่างนี้เป็นปกติท่านก็คุยกับบรรดาชาวบ้านให้เขาฟังบอกว่า พระ ๓ นี่เขาไปบิณฑบาตมา แต่เขาไม่กินหรอก เขาถวายพระหมด ก็เป็นสังฆทานไปแต่เขาเอง เขาก็เข้าที่อยู่ของเขา ในป่าช้า เขาก็บิณฑบาตของเขากินตอนเพล เขาทำอย่างนี้เป็นปกติ ก็ถือว่า เขาตั้งใจจริง ญาติโยมที่ได้ฟัง ก็ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างสนใจเป็นกรณีพิเศษ

แล้วท่านก็คุยต่อไปว่า ๓ องค์นี่เขาคุยกับเทวดา คุยกับนางฟ้า คุยกับพรหมเป็นปกติยามปกติอาตมาทั้ง ๓ องค์ อยู่ที่วัดเป็นคนพูดน้อย เพราะไม่ค่อยอยากจะพูดกับบรรดาเพื่อนพระด้วยกัน นอกจากมีธุระจำเป็นจริง ๆก็คุย หรือว่าถ้าใครเขาคุยประเภทมีเหตุมีผลก็คุย ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นคนนิ่ง ที่นิ่งเพราะอะไร เพราะว่าบรรดาเพื่อนทั้งหลายไม่สนใจในความเป็นพระ

พระทั้งหมดจริง ๆ ที่เห็นว่าสนใจในความเป็นพระอยู่ก็
๑. หลวงพ่อปาน
๒. หลวงพ่อเล็ก
๓. พระอาจารย์ฉัตร
๓ องค์นี่ สนใจในความเป็นพระจริง ๆ นอกจากนั้นก็สนใจในความเป็นพระประมาณ ๑๐ เปอร์เซ็นต์บ้าง ๕ เปอร์เซ็นต์บ้าง ๑เปอร์เซ็นต์บ้าง ๐ เปอร์เซ็นต์บ้าง

จริยาของท่านมุ่งอย่างเดียว คือ โลกียวิสัย ชอบคุยกันเฉพาะเรื่องทางโลก ชอบคุยเรื่องความรัก นี่พระหนุ่มชอบคุยเรื่องความรัก และคุยเรื่องความโลภ คุยเรื่องความโกรธ คืออารมณ์ไม่พอใจ คุยเรื่องความหลงในชีวิต คิดว่าจะร่ำรวยเพราะเรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ในที่สุด ที่สึกไป เห็นเจ๊งทุกราย ไม่มีใครตั้งตัวได้ฉะนั้นจึงคุยกันไม่ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาก็นึกว่าอาตมาทั้ง ๓ คน บ้า ๆ บวม ๆ

ในเมื่อเขาเห็นว่าเราเป็นคนบ้า เป็นคนบวม เราก็ไม่สนใจ เราก็บ้าตามเรื่องของเรา เข้าที่พักสบาย ๆมีอารมณ์สงัด บางเวลาก็คุยกัน ๓ องค์ บางเวลาก็แยกกันคุย แยกกันคุยกับเทวดาบ้าง พรหมบ้าง นางฟ้าบ้าง ภุมเทวดาที่เป็นท่านเจ้าที่บ้าง ท่านท้าวมหาราชบ้าง ใครต่อใครตามเรื่องตามราว บางคราวเราก็ย่องไปเที่ยวนรกบ้าง ย่องไปเที่ยวสวรรค์บ้าง ตามความพอใจ เพราะว่าชอบใจในปฏิปทาของ พระโมคคัลลาน์ และพระมาลัย

ทีนี้การย่องไปเที่ยวนรกสวรรค์ มันก็ไม่พ้นสายตาหลวงพ่อปานพอตอนเช้า เวลาที่มานมัสการท่าน ท่านมักจะถามว่า เมื่อคืนนี้ไปที่นั่นมาใช่ไหม ไปที่นี่มาใช่ไหม เป็นอันว่า หลวงพ่อปานท่านรู้ทุกขณะก็ถามว่า หลวงพ่อทราบได้อย่างไร ท่านก็บอกว่า ฉันก็ไม่ได้สนใจเธอฉันก็สนใจในเรื่องของฉัน ท่านว่า เทวดาเขาบอก คือว่าท่านเจ้าที่เทวดาที่อารักขาวัด มีทั้งภุมเทวดา มีทั้งอากาศเทวดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทวดาชั้นจาตุมหาราชมีมาก เทวดาชั้นสูงก็มีเยอะ เขาก็รายงานให้ท่านทราบว่า ๓ องค์ ไปพบคนนั้นบ้าง ไปพบคนนี้บ้าง

ทีนี้การไปพบของพวกเรา บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่พบเฉย ๆ ชอบถามประวัติความเป็นมาของเขา เรื่องนี้เป็นเหตุอีกอันหนึ่งที่หลวงพ่อปานท่านก็ชอบคุยกับแขกที่มารักษาโรค แขกที่มาคุยบ้างบอกว่า ๓ องค์นี่เขาชอบปฏิบัติตามแบบปฏิปทาของพระโมคคัลลาน์กับพระมาลัย ชอบถามโน่น ถามนี่ บรรดาญาติโยมทั้งหลายก็อยากจะถามว่า พ่อฉันตายแล้วไปไหน แม่ฉันตายแล้วไปไหน แต่เมื่อเขาถามอย่างนี้ ก็ไม่ตอบ

หลวงพ่อปานก็บอกว่า ถ้ารู้ก็ตอบเขาเถอะ ก็บอกว่า ผมยังดีไม่พอ ผมยังมีความเลวอยู่มาก ผมยังตอบเวลานี้ไม่ได้ ถ้าจะให้ตอบ ผิด หรือถูก ไม่รับทราบ ไม่ยืนยัน แต่ก็ขอบรรดาญาติโยมทุกท่านที่ต้องการรู้ ไปจุดธูปเทียนนมัสการพระรัตนตรัยก่อนและก็เขียนคำถามมาได้อย่างมากคนละ ๓ ข้อ แล้วจะมารับได้ในวันรุ่งขึ้น หรือวันต่อไป หลวงพ่อปานบอก เออ. ก็ดีเป็นอันว่า เมื่อเขาเขียนมา เราก็ต้องถามว่า รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ผิวพรรณเป็นอย่างไร ต้องซักกันก่อน

แต่ความจริง ถ้าจะบอกเวลานั้นก็บอกได้ แต่มันก็ไม่แน่นอนนักเพราะว่าจับได้ว่า บางคนคนยังไม่ตายก็ย่องมาถามว่า เวลานี้เขาตายแล้วไปไหน ตอนนี้นิวรณ์มันก็เกิดบรรดาท่านพุทธบริษัท นี่มันยังเลวอยู่นะ เขาถามว่า ญาติของผมที่ตายแล้ว รูปร่างเป็นอย่างนี้ ชื่อนี้ เวลานี้อยู่ที่ไหน ก็มองหน้าหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ยิ้ม ในเมื่อท่านยิ้มแสดงว่า ท่านไม่ขัดคอก็เลยบอกว่า โยม ถ้าโยมมีนิสัยโกหกแบบนี้ อย่าพูดกับอาตมาต่อไปนะ

เพราะอาตมานี่เพิ่งบวชน้อยพรรษา กิเลสในความเป็นฆราวาสยังมีมากในสมัยเมื่อเป็นฆราวาสนั่น ถ้าไม่ชอบใจใคร มักจะเตะทันทีแต่เวลานี้เกรงใจผ้าเหลืองนะโยมนะ ถ้าไม่เกรงใจ ประเดี๋ยวเตะแล้วถ้าโดนเข้ารูปนี้ หลวงพ่อปานท่านก็หัวเราะ กั๊ก ๆ ๆ ๆ บอก เออ. ไอ้ลิงดำมันพูดตรงไปตรงมาดี หลวงพ่อชอบ ท่านก็เลยไปสวดอีตาคนนั้นว่าทำไมจะต้องมาลองพระแบบนี้ ว่า แกนี่เลวขนาดนี้เชียวหรือ

นี่ต่อหน้าคนประมาณ ๒๐๐ - ๓๐๐ คน แกยังโกหกพระ ไอ้คนที่แกถาม มันยังเลี้ยงควายอยู่ เวลานี้ที่แกถามนี่ มันเลี้ยงควายอยู่ มันตายที่ไหน เล่นเอาตานั่นแกกราบ แกก็จำใจกราบขอขมาโทษ ก็บอกว่า โยม การกราบของโยมนี่ไม่ใช่ศรัทธาแท้นะ มันเป็นการจำใจกราบ อาตมาไม่รับหรอก ไอ้กราบเลว ๆ แบบนี้ เห็นไหม ญาติโยมพุทธบริษัท ความเลวยังมีอยู่มาก อารมณ์ไม่พอใจในที่สุดก็ต้องหันไปภาพพระพุทธเจ้า เมื่อจับภาพพระพุทธเจ้าท่านมีสภาพแจ่มใสดี จิตใจก็ชุ่มชื่น เห็นท่านยิ้ม ก็ชุ่มชื่น

ก็เลยคัดเอาแต่เพียงว่า รายชื่อที่เขาเขียนมา ตรงไปตรงมา แล้วก็แบ่งกัน ๓ เมื่อถึงเวลากลางคืน เวลาที่เจริญกรรมฐาน เราก็ทำตามเรื่องตามราวของเราให้มันเสร็จ ไม่ไปห่วงงานของเขา เขาจะให้มาขนาดไหน นี่มันเรื่องของเขา เราจะรู้ หรือไม่รู้ พบ หรือไม่พบ ไม่มีความจำเป็น เพราะไม่ได้บวชมาเป็นทาสคนประเภทนี้ แต่ว่าพอถึงวาระจะเลิกจริง ๆ ก็ลองคิดดูว่า คนนี้ เวลานี้อยู่ที่ไหน ก็ปรากฏว่าภาพคนนั้นปรากฏขึ้นมาข้างหน้า

ก็ถามความเป็นมาของเขาว่า เขาเมื่อสมัยที่มีชีวิตอยู่ มีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง ที่ลูกหลานมีความเบื่อหรือว่าเวลาเมื่อป่วย ก่อนจะตายมีอาการอย่างไรที่ลูกหลานเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จำได้ชัด ๆเมื่อเขาบอกแล้วก็ถามว่า เวลานี้อยู่ที่ไหน เขาก็บอกที่อยู่ของเขา ถ้าหากว่าเขาอยู่ในนรก เขาจะบอกว่า เขาทำกรรมประเภทนั้นประเภทนี้ ที่ลูกหลานเห็นชัด และกรรมประเภทนี้เป็นเหตุให้เขาลงนรกขุมนั้น ขุมนี้ แล้วก็ดูนรก เขามีทุกขเวทนาขนาดไหน

ถ้าเขาเป็นเทวดาเขาเป็นนางฟ้า เขาจะบอกว่า ก่อนจะตายเขานึกถึงบุญอย่างนี้ บุญประเภทนี้ บางคนลูกหลานรู้ บางคนลูกหลานไม่รู้ แต่เขาก็เลยบอกว่าบุญที่ลูกหลานรู้เป็นอย่างนี้ เขาเคยทำอย่างนี้ แต่ว่าเวลาจะตายจริง ๆส่วนใหญ่คนที่ไปสวรรค์มักจะใช้ คำภาวนาว่า พุทโธ บางรายปากก็ขยับไม่ได้ มือขยับไม่ได้ แต่ใจยังนึก พุทโธ อยู่ แล้วเขาก็ตายไปเขาก็ไปสวรรค์กันเมื่อทราบเหตุทราบผลดีแล้ว ก็จดบันทึกตามที่เขาบอกมา ตอนเช้าก่อนที่จะไปบอกบรรดาเจ้าของปัญหาผู้ถาม

ก็ต้องไปอ่านรายงานให้หลวงพ่อปานทราบก่อนว่า แบบนี้ถูกต้องไหมครับ บางรายหลวงพ่อปาน ท่านก็ตอบว่า ถูกต้องแล้ว บางรายท่านก็บอก เดี๋ยวก่อนเรียกเขามาก่อน ท่านเรียกเขามาแล้ว ท่านก็สอบถามตามความเป็นจริง แล้วท่านก็ยืนยันว่า ถูกต้อง ให้เขาได้ อาการอย่างนี้ก็ทำเฉพาะกิจ ไม่มากไม่มายนัก มีบางรายที่เขาเชื่อ เขาก็ถาม ที่เขาไม่เชื่อเขาก็ไม่ถาม แต่ว่าถ้าไปถามหลวงพ่อปานเข้า

หลวงพ่อปานท่านบอก ท่านไม่มีเวลาจะบอก แต่เวลาที่อาตมา หรืออีก ๒ องค์ เขียนไปให้เขา ท่านบอกท่านยืนยันตรงตามความเป็นจริง นี่ความจริงเขามี หลวงพ่อปานเชื่อทีนี้มันก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่น่ารำคาญ นั่นก็คือว่า ชาวบ้านบางคนใช้วิธี โตแล้วเรียนลัด อยากจะรู้อะไร อยากจะทำบุญที่บ้าน อยากจะรู้ว่าคนที่ตายไปแล้วจะไปทางไหนบ้าง อะไรก็ตามเถิด แกก็ไม่มานิมนต์ แกจุดธูปนิมนต์ที่บ้าน

การจุดธูปนิมนต์ที่บ้านนี่ บรรดาท่านผู้ฟัง อาตมาเอง หรืออีก ๒ องค์ ไม่รู้นะว่า เขาจุดธูป อย่าไปนึกว่า มีตาเป็นทิพย์ เห็นเขาจุดธูป เห็นเขานิมนต์ ไม่ใช่อย่างนั้น มันมีความรู้สึกอยากจะไปที่นั่น เมื่อความรู้สึกเกิดขึ้น ก็ข่มอารมณ์ได้เพียงแค่ ๒วัน วันที่ ๓ ข่มอารมณ์ไม่ไหว ก็ต้องลาหลวงพ่อปาน บอกว่า หลวงพ่อขอรับ ผมอยากจะไปที่นั่น ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร มันจึงอยากจะไป ไอ้บ้านนั้นผมก็ไม่เคยไป เคยแต่เห็นเขามาที่นี่

ถ้าไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรบ้าง หลวงพ่อปานท่านหัวเราะ กั๊ก ๆ ๆ ๆ ๆ บอก เออ.ลูกศิษย์ของข้า ให้มันฉลาดอย่างนี้สิ คำว่า ฉลาด นี่หมายถึง โง่นะญาติโยมนะ ท่านก็บอกว่า ไอ้บ้านนั้นมันจุดธูปเรียกแกมาเป็นวันที่ ๓ แล้วข้ารู้ ข้าไม่บอกแก ข้าก็อยากรู้ว่า แกจะรู้ หรือไม่รู้ ก็เลยกราบเรียนกับท่านว่า ผมไม่รู้ แต่มันอยากไป ท่านก็บอก ไปเถอะ มันมีประโยชน์ในที่สุดก็ไป ถ้าอยากไปองค์เดียว ก็ไปองค์เดียว บางทีก็อยากไปพร้อมกัน ๓ องค์ก็มี

พอไปถึงที่นั่นเข้าก็ปรากฏว่า ที่บ้านนั้นเขาทำบุญบ้างบางทีเขาก็มีการจัดการเลี้ยงพระเล็กน้อยตามธรรมเนียม เป็นธรรมดา ๆหลังจากนั้นเขาก็ถามความเป็นมาของคนตาย ก็ให้ทำปฏิบัติตามนั้นตามเดิม จุดธูปบูชาพระก่อน เขียนมา แล้ววันรุ่งขึ้นถึงได้คุยกันทีนี้การที่ไปนอนที่ไหน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มันมีเรื่องสำคัญมาตั้งแต่อายุ ๗ ปี เมื่ออายุ ๗ ปี มันปรากฏการณ์อย่างนี้มาแล้ว

คือว่า บ้านไหนก็ตาม ถ้าไปนอนคืนแรก จะทราบได้ทันทีว่าบ้านนั้นมีคนตายแล้วกี่คน และคนตายประเภทนั้นเป็นอะไรกับคนที่อยู่ที่บ้าน และเวลาที่เขาตายไปแล้วเขามีความสุข หรือมีความทุกข์ เพราะกฎของกรรมอะไร ที่รู้อย่างนี้ไม่ใช่นั่งกรรมฐาน เป็นแต่เพียงว่า ก่อนจะนอนก็บูชาพระเล็กน้อย เป็นเด็ก ๆ นะ ก็ว่าแค่ อิติปิโส ภควาอรหัง สัมมาสัมพุทโธ จบ แม่สอน แล้วก็ภาวนาว่า พุทโธ แล้วก็นอน พอนอนลงไปแล้ว ก่อนจะหลับ บรรดาคนที่ตายทั้งหลายเหล่านั้นแหละ มานั่งคุยด้วย

เขามาในภาพเดิมของเขา แล้วเขาก็ทำให้ไม่กลัว แล้วก็คุยกัน ในเมื่อคุยกัน ก็ถามว่า เขาเป็นอะไรกับคนที่บ้านเขาบอก เป็นญาติ เขาเป็นเจ้าของ ก็ต้องถามความเป็นมาบอกว่าคุณ ที่บอกอย่างนี้ฉันเชื่อ แต่ว่าคนอื่นเขาอาจจะไม่เชื่อ ต้องบอกก่อนว่า มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ บางคนก็บอกว่า สร้อยเส้นหนึ่ง หนัก ๒ บาทบ้าง ๓ บาทบ้าง ผมวางไว้ที่ตรงโน้น วางไว้บนขื่อแล้วเอากระดานทับไว้ แล้วเอาของอื่นเทินไว้ ลูกหลานมันไม่รู้ ช่วยบอกมันด้วย

บางคนก็บอกอาการอย่างอื่น ซึ่งเป็นความจริงพอตอนเช้าขึ้นมาก็ถามเจ้าของบ้าน บอกว่า คนที่บ้านนี้ ตายมาแล้วเท่านี้คนใช่ไหม เขาก็ตอบว่า ใช่ ชื่อนั้น ชื่อนี้ใช่ไหม เขาก็ตอบว่า ใช่ แล้วก็ของสิ่งนั้นที่คนนั้นยังไม่ได้บอกให้ ทราบไหมว่าอยู่ที่ไหนเขาบอก เขาไม่ทราบ ก็ชี้บอกเขาว่า เมื่อคืนนี้มาบอกว่า อยู่ตรงนี้ลองดูซิว่ามี หรือไม่มี ก็ทุกรายมีจริง ๆ นี่สมัยเด็ก ๆ นะ พอสมัยเป็นพระ ไปถึงนอนปั๊บก็มารูปนั้น รายงานในสภาพต่าง ๆ ว่า ฉันตายไปแล้ว ฉันแค่นึกถึงการทุบหัวปลาตัวเดียว ฉันก็ลงนรก

บางคนก็บอกว่าฉันสุ่มปลา ฉันทอดแห ผมสุ่มปลา ผมทอดแห แต่ว่าเวลาจะตายจริง ๆ ผมนึกเคารพพระพุทธรูปที่มีที่บ้านของผม นึกถึงพระท่าน ตายแล้วก็ไปสวรรค์ นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ปฏิปทาเดิมเป็นอย่างนี้ แล้วก็ต้องเดินทางกันเรื่อย ๆ การเดินทางแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะมีกำไร มันก็ขาดทุนเรื่อย ๆ เหมือนกัน เขาให้หรือไม่ให้ เป็นเรื่องของเขาบางบ้านก็ให้สตางค์มาก

บางบ้านก็ให้สตางค์น้อย บางบ้านไม่ให้สตางค์เลย แต่งานเป็นหน้าที่ของเรา ก็ถือว่า เป็นหน้าที่ของเรา และเรื่องคนตายไปไหน คนชอบถามจริง ๆ และก็มีข้อแม้อยู่ตามเดิมว่า ต้องตั้งใจบูชา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความเคารพเวลาเขาจุดธูปบูชา บางคนมักแกล้งจุดธูปเฉย ๆ แล้วก็ทำปากหมุบหมิบ ๆก็เลยบอกว่า คุณโยม หรือลุง ทำให้ไม่ได้หรอก คนที่ไม่มีความเคารพพระพุทธเจ้าจริง อย่างนี้ไม่ทำให้

แกบอกว่า ผมบูชาแล้วก็เลยบอกว่า นั่นสักแต่ว่าทำท่าเท่านั้น แล้วลุงไม่ต้องทำอีกนะ อย่างไรก็ไม่ทำให้ คนประเภทนี้ คนที่ดูถูกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า คบกันไม่ได้อาตมายอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเหมือนพ่อ ท่านเป็นพ่อที่มีพระคุณมากถ้าโดนเข้าฉากนี้ ก็หลาย ๆ คน ดีไปหลายคนก็รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท การกลับมาอยู่วัดก็เป็นคนบ้า เป็นพระบ้าของคนในวัด แล้วก็เป็นพระบ้าของบรรดาทายก ที่เขาเรียกว่า กรรมการวัด

ไอ้พวกทายกมันกินเหล้าบ้าง อะไรบ้าง เราก็ทราบว่า พวกทายกก็ไม่ค่อยชอบใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สตางค์เวลามีงานที ทายกเก็บสตางค์ในที่ต่าง ๆ เขาทำบุญ บางครั้งแกหยิบมาไม่หมด ก็บอกว่า โยม เงินมันขาดเท่านั้นเท่านี้ มีครั้งหนึ่ง ทายกไม่มีเจตนาจะโกง แต่เงินมันไปติดที่ปลายลิ้นชัก แบงค์ ๕ บาท มันยู่ยี่มาก ติดที่มุมลิ้นชัก แกกวาด ๆ ไป แกนึกว่าหมดแล้ว มารายงานแล้วก็นับให้ทราบ ก็เลยบอกว่า โยม เงินขาด ๕ บาทจ้ะ เงินจริง ๆต้องเท่านี้ แกบอก หมดแล้วขอรับ บอกว่า ขอให้โยมกลับไปดูใหม่

ผลที่สุด แกไปดึงลิ้นชักมา มันไปติดที่มุมลิ้นชัก แกเลยยกมาทั้งลิ้นชัก ให้หลวงพ่อปานดู หลวงพ่อปานก็หัวเราะชอบใจ ท่านบอกไอ้เงินรั่วไหลของวัดนี่ฉันรู้มานานแล้วนะ แต่ว่าฉันมันโตเกินไปไม่น่าจะพูดทีนี้ต่อนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของเจ้า ๓ ตัวนี่ ไอ้ลิง ๓ ตัว ไอ้ลิงดำ ไอ้ลิงขาวไอ้ลิงเล็ก มันพูดได้ในฐานะที่มันเป็นเด็กกว่าพวกแก ทีหลังต่อไปจงอย่าถือเอาเงินของสงฆ์ เป็นของส่วนตัว

จะไปซื้อกาแฟ ซื้อเหล้าไม่ได้เพราะเงินส่วนกลาง เงินลงทุนจ่ายเขามีอยู่แล้ว เงินรับ ต้องเป็นเงินรับ จะเอาเงินรับไปจ่ายไม่ได้เด็ดขาด ถ้าต้องการอะไรมาบอกฉันเอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน วันนี้สัญญานบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ๒ ทุ่มพอดี มันเหนื่อยเหลือเกิน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


8

ไปนมัสการหลวงพ่อโหน่ง


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม๒๕๓๓ สำหรับเหตุการณ์วันนี้ก็มี ก็ลืมถือเอามา มี คุณนิรัตน์ เป็นหัวหน้าได้บอกบุญกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ซื้อเครื่องตรวจหัวใจ เรื่องนี้ขอทิ้งไว้ก่อน เพราะว่าลืมถือตำรามา ถ้าขืนพูดไปมันก็จะผิด ก็เป็นอันว่า มาคุยเรื่องที่ค้างกันก่อนในวันก่อนมาพูดทิ้งไว้ถึงเรื่องภายในวัด ทีนี้เรื่องภายในวัดความจริงก็มีมาก

การปฏิบัติตนในวัดเป็นแบบธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ คือว่า ไม่ใช่ใช้เวลาไปนั่งสมาธิให้ใครเห็น การทำสมาธิก็เป็นเวลา แต่การใช้อารมณ์วิปัสสนา ใช้เป็นปกติ แต่คำว่า ปกติ จะถือว่า เป็นผู้ชนะกิเลส ไม่ได้ คือบางครั้งจิตมันก็เห็นความสวยเป็นของดี บางครั้งจิตมันก็เห็นความโกรธเป็นของดี นี่ใช้ไม่ได้ ก็เป็นอันว่า การปฏิบัติในวัดถือว่าเป็นสภาพปกติธรรมดา ๆ ไม่ผิดแผก

กลับมาในวัดก็ห่มผ้าสีเหลืองตามเดิม ไม่ห่มผ้าสีกรัก เพราะผ้าสีกรักจริง ๆ เขานิยมกันเฉพาะออกธุดงค์ เพราะเวลาไปธุดงค์ห่มผ้าสีเหลือง ถ้าผ้าสีเหลืองตกมันก็เป็นสีขาว และต่อมามันก็จะเป็นสีฝุ่น เพราะฝุ่นจับ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ต้องใช้ผ้าสีกรักแต่ว่าเวลานี้รู้สึกจะเปลี่ยนตาลปัตรไป เวลาที่พูดนี่นะ โดยมากเห็นพระท่านนิยมห่มผ้าสีกรัก ก็เลยกลายเป็นคิดว่า พระทุกองค์เจริญสมถวิปัสสนา

แต่ว่าเนื้อแท้จริง ๆ มันไม่ใช่ รวมความว่า ไม่ถือว่าใครผิด ไม่ถือว่าใครถูก ถ้าจะว่าคนห่มผ้าสีเหลืองผิด คนห่มผ้าสีกรักก็ผิดถ้าจะว่าคนห่มผ้าสีเหลืองถูก คนห่มผ้าสีกรักก็ถูก ก็ให้มันเหมือนกันเสียก็หมดเรื่อง ทำใจให้เหมือนกัน สีไม่เป็นเรื่องสำคัญ สีผ้าไม่สำคัญเท่าสีใจ ถ้าสีใจของใครใสเป็นเพชรนั่นแหละดีที่สุด เป็นเพชรน้ำหนึ่งที่ไม่มีรอยขีด ไม่มีรอยข่วน ไม่มีตำหนิติเตียน ไม่มีอะไรทั้งหมด

สีใจนี่สำคัญทีนี้ต่อไปก็จะขอคุยกันว่า พระที่มีสีใจสะอาดมีท่านหนึ่งคือ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน เวลานี้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดอะไร ก็ไม่ทราบ สมัยนั้นเรียก วัดคลองมะดัน อยู่ปลายเขตอำเภอสองพี่น้องขึ้นไปใกล้สระยายโสม หลวงพ่อปานท่านเวลาออกพรรษาไปแล้ว รับกฐินแล้วท่านก็ชวนพระ และญาติโยมพุทธบริษัทจากกรุงเทพฯ มีเรือยนต์ นายละไม เป็นเรือลาก

เดินทางเข้าผ่านประตูน้ำบางยี่หน ออกจากประตูน้ำบางยี่หนแล้ว ก็วิ่งไปทางบางใหญ่ เลยบางใหญ่ไปแล้วเรือก็วิ่งลัดทุ่งคราวนี้ไม่เข้าประตูน้ำสองพี่น้อง วิ่งลัดไปในทุ่งจำทางไม่ได้หรอก ไปเที่ยวเดียว แต่ว่าทางเรือเขาก็เก่ง เขาพาไปถึงวัดคลองมะดันก็เป็นตอนเย็นเมื่อถึงเวลาตอนเย็นก็ปรากฏว่า หลวงพ่อโหน่งท่านเดินลงมารับหลวงพ่อปานที่หน้าสะพาน ต่างองค์ต่างนมัสการ ต่างองค์ต่างไหว้ต่างองค์ต่างกราบกัน

รู้สึกว่า ท่านดีกันเหลือเกิน พวกเราก็กราบ ญาติโยมทุกคนไปก็กราบ แล้วท่านก็พาไปพักที่หอสวดมนต์ของท่าน ซึ่งใหญ่พอสมควร ขณะที่นั่งพักอยู่ หลวงพ่อปานก็โอภาปราศรัยคุยกันตามธรรมดา ๆ บรรดาญาติโยมท่านก็ทักคนโน้นบ้าง ทักคนนี้บ้างตามสมควรเมื่อได้เวลาผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วโมง หลวงพ่อปานก็ขอฝากบอกว่า ผมขอฝากพระ ๓ องค์นี่ด้วยครับ ถ้ามีอะไรจะต้องตักเตือนโปรดตักเตือนด้วย ถ้าเห็นว่ามีอะไรบกพร่อง ก็สอนได้เลยครับ

ผมขอถวายเป็นลูกศิษย์ พวกคณะเราทั้ง ๓ คน ก็เข้าไปกราบท่าน หลวงพ่อโหน่งท่านมองหน้า แล้วท่านก็บอกว่า จะให้สอนอะไร เลยกราบเรียนท่านบอกว่า สุดแล้วแต่หลวงพ่อจะเห็นสมควรครับ ท่านถามว่าบกพร่องตรงไหน ก็กราบเรียนตรง ๆ บอกว่า กิเลสทั้งหมด บกพร่องทั้งหมดครับท่านยิ้ม ท่านบอก ไม่จริงหรอก ก็มีคุณ ๓ องค์นี่เท่านี้แหละ ที่มารายงานตัวผมว่า คุณเลว มีนักปฏิบัติมากมายเยอะแยะที่เขาฝึกจากผมบ้าง เขาฝึกจากอาจารย์ปานบ้าง เขาฝึกจากคนอื่นบ้าง

เขามาถึง เขาก็บอกว่า เขาเป็นคนดีหมด ตั้งแต่ผมเกิดมานี่ เพิ่งเห็นลูกศิษย์อาจารย์ปาน ๓ องค์นี่เท่านั้นแหละ ว่าเป็นคนเลว แล้วหลวงพ่อปานก็ถามว่า แล้วพวกเธอเลวหรือไม่เลวล่ะ หลวงพ่อเนียม ก็บอกว่าเดี๋ยวซักซ้อมกันก่อนสิ ได้ยินว่า เลวหรือไม่เลว คำว่า เลว อาจจะมีคำว่า ดี อาจจะมีความชั่ว อาจจะมีความดีอาจจะปรากฏ แต่เจ้าตัวเองยังไม่ทราบคำว่า ดี หรือไม่ทราบคำว่า เลว ที่แท้จริงอาจจะมีความสงสัยอยู่บ้าง

หรืออาจจะรู้แต่ว่าแกล้งบอกว่า เลวก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า ขึ้นชื่อว่าความดีจริง ๆ ยังมีไม่ถึงขอรับ ท่านถามว่า ความดีจริง ๆ มีไม่ถึง เธอมีความหมายว่าอย่างไร ก็กราบเรียนท่านบอกว่า อจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง ข้อนี้ยังไม่ครบถ้วนขอรับ ท่านหัวเราะใหญ่ ชอบใจ เออ...นี่เป็นคาถาที่พระท่านสอนที่ใกล้ ๆ กับดอนเจดีย์ใช่ไหม พวกเราฟังกันแล้วก็มองหน้ากัน

ท่านบอกไม่ต้องมองหน้ากัน มีพระ ๒ องค์ใช่ไหมล่ะ ก่อนที่จะกลับน่ะ ท่านไปสอนว่า อจิรัง วะตะยัง กาโยฯ กับ อะนิจจา วะตะ สังขาราฯ ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ ท่านก็บอกว่า พระท่านเพิ่งบอกฉันเดี๋ยวนี้เอง ท่านบอกว่า ท่านสอนว่า อจิรัง วะตะยัง กาโยฯ กับ อะนิจจา วะตะ สังขาราฯ แต่ว่าพวกเธอทั้ง ๓ คน ก็ยังบกพร่องอยู่มาก อันนี้ถูกต้อง เธอคิดถูก แต่ทว่าคิดไกลเกินไป เอาอย่างนี้ดีกว่า ลองถามกันจริง ๆ เถอะที่ชาวบ้านเขาว่า ดี หรือไม่ดี ทิ้งเขา ปล่อยของเขา เวลานี้เธอเจอะพระไหม

ก็ตอบท่านบอกว่า เจอะพระทุกเวลาขอรับ ถ้ามีอะไรขัดข้องถามพระได้ไหม บอก ถามได้ขอรับ แล้วพระตอบให้ฟังรู้เรื่องไหมก็บอกว่า รู้เรื่องขอรับ พระแนะนำอย่างไร แนะนำแล้วทำตามหรือเปล่าบอก ทำตามขอรับ ท่านถามว่า ถ้าอย่างนี้ทำไมจึงถือว่า เลว ก็กราบเรียนท่านบอกว่า มันยังดีไม่พอ เท่าที่พระท่านสอนนี่ขอรับ ท่านสอนทำอย่างนี้ก็ทำ แต่ผลทางด้านจิตใจมันดีไม่พอ ท่านก็ยอมรับว่าจริงท่านก็หันไปหาสององค์ว่า สององค์นี่เดินทางกันคนละทางกับองค์นี้ใช่ไหม

สององค์มองหน้ากันแล้วก็นิ่ง ท่านบอกว่า เธอสององค์ปรารถนาสาวกภูมิใช่ไหม สององค์ก็ตอบว่า ใช่ ท่านถามว่าเวลานี้สังโยชน์ ๓ มีการคล่องตัวไหม ทั้งสององค์ตอบว่า ไม่มีอุปสรรคขอรับท่านก็เลยหันมาทางผู้พูดว่า เธอปรารถนาพุทธภูมิ ก็ทำอารมณ์เปรียบเทียบเข้าไปก็แล้วกัน ท่านก็เลยบอกว่าการพบพระก็ดี พบเทวดา พบพรหมก็ดี พบได้เสมอใช่ไหม หลวงพ่อปานก็บอกว่า เขาชอบปฏิปทาของพระโมคคัลลาน์ กับพระมาลัยขอรับ ปกติเขาชอบเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้วตอนเช้าก็มาซักซ้อมกับผมว่า ถูกต้องไหม

หลวงพ่อโหน่งก็บอกว่า เอ้อ.. นี่ดีมาก ๆ อย่างนี้ดีมาก อย่าเชื่อตัวเอง ต้องมีการซักซ้อม หาเหตุหาผล เพราะการเชื่อตัวเองเกินไปมันจะเป็น อุปาทานก็รวมความว่า คุยกับหลวงพ่อโหน่งถึงตอนนี้ ท่านก็บอกว่า เอาละ ที่เข้าใจว่าตัวเองยังไม่ดีน่ะ ถูกต้อง แต่ฉันก็คิดว่า ยังดีกว่าคนที่เขาว่าดี ตั้งเยอะแยะ ตั้งหลายคน เพราะคนหลายคนที่เขามาหาฉัน เพียงเขามาภาวนาว่า พุทโธ ได้นิดหน่อย เขาบอก เขาดีแล้ว

บางคนก็นึกถึงวิปัสสนาญาณตัวเล็กน้อย อนิจจัง ทุกขังอนัตตา เขาบอกเขาดีแล้ว แต่ความจริง นั่นเขาก็ดีการภาวนา นึกว่า พุทโธ ถ้าเขายึดไว้ได้ อย่างต่ำเขาก็ไปสวรรค์ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นวิสัยแห่ง อรหัตมรรคอรหัตผล ได้ คือ เป็นพื้นฐานขึ้นไป แต่มันยังไม่ถึง ก็เป็นอันว่า คุยกับหลวงพ่อโหน่ง แล้วหลวงพ่อปานก็ฝากท่านว่า ในกาลต่อไป ถ้าผมไม่มีโอกาส ไม่พามาหา แต่ก็จะส่งมาฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อขอรับ

หลวงพ่อโหน่งก็บอกว่า เอ้า เต็มใจมาเมื่อไรได้เลย แล้วฉันจะสอนให้ตามที่ต้องการนะ การบรรลุมรรคบรรลุผล ใครสัญญากันไม่ได้ ทีนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโหน่ง ความจริง หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ก็เขียนไว้แล้ว แต่เล่มนี้ควรจะพูดไว้สักหน่อยหนึ่ง ความเป็นมาจริง ๆ ของหลวงพ่อโหน่ง เป็นพระที่ไม่เคยศึกษาธรรมวินัยมาก่อน ฟังแล้วก็อย่าตกใจว่า ไม่รู้อะไรเลยนะ

เดี๋ยว…อย่าเพิ่งคิด เมื่อท่านบวชยังไม่ได้พรรษาแรก เพิ่งบวช หลวงน้าของท่านอยู่ที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน ท่านเล่าให้ฟังนะถ้าจำไม่ผิด ถ้าไม่ใช่ วัดโพธิ์ ก็เป็นวัดเลียบ สองวัดนี่แหละ ไม่แน่ใจเสียแล้ว และหลวงน้าของท่านได้ เปรียญ ๙ ประโยค เป็นเจ้าคุณด้วยเมื่อท่านบวชพระเสร็จ อยู่ไม่กี่วัน ท่านก็เข้าไปหาหลวงน้าท่านที่กรุงเทพฯ หวังจะเรียนหนังสือ หลวงน้าเห็นพระหลานชายมาก็ดีใจมาก จัดห้องจัดหับให้อยู่

ต่อมาวันรุ่งขึ้น ท่านมีโอกาสก็ถามหลวงน้าว่า หลวงน้าขอรับ หลวงน้าเป็นเปรียญ ๙ ประโยค แล้วก็เป็นเจ้าคุณด้วย ตัดกิเลสหมดไหมครับ หลวงน้าฟังแล้วก็ชอบใจ ท่านไม่ตอบ ท่านบอกโหน่ง ลองเข้าไปดูข้างในห้องฉันซิ หลวงพ่อโหน่งก็เข้าไปดูคิดว่าจะมีตำรา แต่ไม่มีหรอก มีโต๊ะหมู่ทองบ้าง โต๊ะหมู่มุกบ้าง งาช้างบ้าง เครื่องประดับประดาสวยสดงดงามมาก แล้วท่านก็ออกมาบอกไม่เห็นมีอะไรครับ

เห็นมีโต๊ะหมู่ทองบ้าง โต๊ะมุกบ้าง งาช้างบ้าง เครื่องประดับต่าง ๆ บ้าง แพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงาม หลวงน้าก็เลยบอกว่า โหน่ง ที่ฉันให้เข้าไปดู ฉันจะได้บอกให้ทราบว่า ถ้าฉันหมดกิเลส ของทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มี ถ้ามันมีมันก็ต้องไม่ใช่ของฉัน เป็นของสงฆ์ แต่นี่ฉันยังถือว่า ของทั้งหลายเหล่านี้เป็นของฉัน แสดงว่าฉันได้เปรียญ ๙ ก็จริง และเป็นเจ้าคุณก็จริง แต่ว่าฉันไม่ได้เป็นพระอรหันต์ กิเลสไม่ได้หมด

หลวงพ่อโหน่งก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้น หลวงน้าขอรับในเมื่อเรียนถึงเป็นเปรียญ ๙ ประโยคแล้วและเป็นเจ้าคุณแล้ว กิเลสไม่หมด ผมก็ไม่เรียนแล้วครับ ผมขอลากลับบ้าน วันรุ่งขึ้นท่านก็เดินทางกลับ นี่ตามประวัติท่านเล่าให้ฟังย่อ ๆ นะแล้วท่านก็ชี้ไปที่พระอุโบสถ ท่านบอกว่า ที่ตรงนี้มันเป็นดงไผ่แต่เป็นที่โปร่งหน่อยหนึ่ง ฉันก็มานั่งกรรมฐานตรงนี้ ถึงเวลากลางวันฉันก็อยู่ร่วมกับพระธรรมดา ๆ

ถึงเวลากลางคืน ฉันก็มานั่งกรรมฐานที่นี่ที่วัดนี้มีการเจริญกรรมฐาน ฉันคนเดียว แล้วผลที่ได้รับจากบรรดาเพื่อนทั้งหลายก็คือว่า ฉันบ้า แต่ว่ากรรมฐานที่ฉันเรียนนี่ ฉันไปเรียนกับหลวงพ่อเนียม วัดน้อย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ฉันไปเรียนกับหลวงพ่อเนียม หลวงพ่อเนียมยืนยันบอกว่า การปฏิบัติกรรมฐานกับท่านถึงที่สุดแน่ ฉันก็มาเลือกชัยภูมิ เห็นที่ตรงนี้ เวลาหน้าแล้งจัด ดินที่อื่นแตกเป็นระแหง แต่ที่นี่ชุ่ม มีความชื้น แล้วนั่งก็เย็น

ฉันเลยถือเป็นที่นั่งเจริญกรรมฐานเวลานั้นฉันบวชเข้าพรรษาที่ ๒ อยู่ในพรรษาที่ ๒ แต่ยังไม่ครบพรรษาที่ ๒ ฉันนั่งกรรมฐานไป ตอนกลาง ๆ พรรษาจิตก็เริ่มเป็นสุขขึ้นมาทีละน้อย ๆ ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อเนียมสอน ก็หมายความว่า ก่อนที่จะภาวนา อันดับแรก ก็นึกถึงวิปัสสนาอย่างอ่อน คือ อนิจจัง ทุกขังอนัตตา ก่อน เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต ของร่างกาย ขอทรัพย์สิน แล้วก็ต่อจากนั้นไป

ก็กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก แล้วภาวนาผลที่ได้ก็คือ อารมณ์เป็นสุข มีจิตสว่างบ้าง มีแสงสว่างบ้าง มืดบ้างตามเรื่องตามราวตามธรรมดา แต่ว่าสิ่งที่ต้องการจริง ๆ ก็คือ มีอารมณ์เป็นสุขมาคืนวันหนึ่ง ตอนกลาง ๆ พรรษา วันนั้นฝนไม่ตก ฉันนั่งกรรมฐานไป เวลาประมาณสัก ๒ ทุ่มเศษ เพราะว่าทุ่มกว่า ๆ มืด ฉันก็เริ่มทำแล้ว ปรากฏว่า มีพระสวย มีพระสงฆ์ รูปร่างหน้าตาสวยทรวดทรงดี

ผิวเหลือง เนื้อกับจีวร เหลืองคล้ายคลึงกัน แต่จีวรเหลืองมากกว่า เนื้อเหลืองน้อยกว่านิดหน่อย มีรัศมีออกจากกาย มาบอกกว่า โหน่ง เธอจงสร้างพระอุโบสถตรงนี้นะ เวลานั้นวัดนั้นยังไม่มีพระอุโบสถท่านก็กราบเรียนพระว่า กระผมเป็นพระหนุ่มขอรับ บวชยังไม่เต็ม ๒ พรรษา เกรงว่าญาติโยมจะไม่เชื่อ และประการที่สอง การติดต่อหาซื้อของ ติดต่อหาช่างก็แสนยาก เพราะไม่เคยปฏิบัติมาก่อน

ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น จะเป็นวันพระ ให้ประกาศกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่มาทำบุญบอกว่า อยากจะสร้างโบสถ์ที่ตรงนั้น แล้วก็จะมีคนช่วยตัดไม้ไม้นั่งร้าน ไม้ในป่า มีคนช่วยตัดมา จะมีคนหาทราย มีช่างทำอิฐ แต่ละคนจะต่างคนต่างอาสาทำจนครบ หลวงพ่อโหน่งท่านก็ประกาศแบบนั้นจริง ๆ วันพระ เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไป

ท่านบอกว่า ท่านก็เป็นลูกคนจน ไม่ใช่ว่าพ่อแม่เป็นคนมั่งมี เป็นที่เคารพนับถือ หรือเป็นเจ้าบุญนายคุณใคร แต่ว่าพอประกาศไปเท่านั้น คนนั้นก็รับอาสา คนนี้ก็รับอาสา คนนั้นจะตัดไม้ คนนี้จะขุดดิน คนนี้จะทำอิฐ หาทราย หาแกลบ ต่างคนต่างทำกันจนเสร็จ เมื่อทำอิฐทำทรายเสร็จดี เรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างคนต่างช่วยกัน ใครที่เป็นช่างก็ช่วยแนะนำ สร้างพระอุโบสถเสร็จไป ๑ หลัง ใช้เวลาเพียง ๑ ปีเศษ ๆ พระอุโบสถเสร็จ

ในเมื่อพระอุโบสถเสร็จแล้ว ก็ปรากฏว่า พระประธานยังไม่มีท่านก็คิดว่า จะปั้นพระประธาน แต่ไม่ทราบว่าจะหาช่างที่ไหน ก็ทิ้งไว้ก่อน มีพระพุทธรูปองค์ย่อม ๆ ก็ไปตั้งเป็นประธานเข้าไว้ ก็ปรากฏว่าเวลานั่งกรรมฐานตอนกลางคืน ก็มีพระองค์เดิม ท่านบอกว่า โหน่งช่างที่จะปั้นพระประธานมีอยู่นะ อยู่ที่จังหวัดอยุธยา อาตมาก็ลืมตำบลเสียแล้ว ที่บ้านประดู่ทรงธรรม หรืออย่างไรไม่ทราบ นึกชื่อไม่ออกอาจจะเป็นว่า เป็นหมู่บ้านประดู่ทรงธรรม

สมมติเอาก็แล้วกันนะ ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยด้วย นึกไม่ออก ถ้าจะให้ถูกจริง ๆ ต้องอ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ตอนนั้นยังนึกออก ตอนนี้ไม่สบาย ให้ไปปักกลดที่นั่น ตอนเช้าจะมีคนมาก่อนคนอื่นทั้งหมด ถือขันข้าวมา ๑ ขัน นุ่งขาวห่มขาวผมขาว นั่งจะไม่คุยกับใคร นั่งเรียบร้อย ใส่บาตรแล้วก็นั่งเฉย ๆ คนนี้แหละเป็นช่างปั้นพระประธาน ให้คุณโหน่งติดต่อกับเขา แล้วเขาก็จะรับเอง ให้ไปในลักษณะธุดงค์

ตอนเช้าหลวงพ่อโหน่งท่านเชื่ออยู่แล้วนี่ ท่านก็เอา ตกลง เตรียมตัวออกธุดงค์ เดินตัดทุ่งไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงวัดประดู่ทรงธรรม ก็ปักกลดที่นั่น ถึงตอนเช้าก็มีคนนั้นจริง ๆ รูปร่างหน้าตาทรวดทรงดี ผมขาวผิวเนื้อขาวนุ่งขาวห่มขาวเสร็จ มีขันข้าว มีแต่ข้าว แต่ว่าไม่มีกับ เดินมาเป็นคนแรก มาใส่บาตรพระธุดงค์ แล้วต่อมาญาติโยมทั้งหลายก็มาเมื่อหลวงพ่อโหน่งฉันเสร็จ

ท่านก็หันไปถามว่า โยม คุณโยมเป็นช่างปั้นพระใช่ไหม โยมนั้นก็ตอบว่า ใช่ ท่านก็บอกว่า อาตมาอยากจะปั้นพระประธานในพระอุโบสถ เพิ่งสร้างพระอุโบสถเสร็จยังไม่มีพระประธาน โยมก็รับปากว่า ผมจะทำให้ ทำถวายขอรับ เต็มใจทำถวาย เมื่อคุยกันมาคุยกันไป ก็ลืมบอกตำบลที่อยู่ เป็นที่ถูกใจกันทุกคน หลวงพ่อโหน่งก็ลากลับ ถอนกลดเดินทางกลับ เมื่อเดินทางมาระหว่างทาง ก็นึกขึ้นมาในใจว่า

เอ๊.. เราก็ลืมบอกตำบลที่อยู่ให้โยมไปแล้ว โยมท่านจะมาถูก หรือไม่ถูกก็ไม่ทราบและเวลาที่นึกได้ก็ใกล้วัดเต็มทีแล้ว เข้าวัดก่อน พอเข้าวัดปรากฏว่าตอนเช้า ช่างมาถึงวัดพอดี มาพร้อมกับลูกน้อง รับอาสาทำพระประธาน ไม่กี่วันนัก ทำพระประธานเสร็จ พระประธานสวยสดงดงามเรียบร้อย ทรวดทรงดีมากแต่ปรากฏว่า พอทำพระประธานเสร็จ ช่างกับลูกน้องก็เดินทางกลับ โดยไม่บอกให้ใครทราบ

หลวงพ่อโหน่งก็ไม่ทราบ พระเณรก็ไม่ทราบ หลวงพ่อโหน่งก็ไม่แน่ใจว่า ช่างเขามีลูกน้อง มันต้องใช้เงินใช้ทอง ก็ใช้วิธีการเดินธุดงค์ไปที่เดิม พอไปถึง ชาวบ้านก็มาทำบุญก็ถามถึงคน ๆ นั้น ชาวบ้านบอกว่า คน ๆ นั้น ไม่ใช่คนแถวนี้ครับ วันนั้นผมเห็นเหมือนกัน ผมไม่รู้จัก ไม่ทราบว่าคนที่ไหน ก็รวมความว่าหลวงพ่อโหน่งท่านก็บอกว่า ช่างที่มาทำผมก็เพิ่งรู้ทีหลังว่า นั่นคือ ท่านวิษณุกรรมเทพบุตร

เป็นคำสั่งของพระอินทร์ท่าน ทีนี้สำหรับประวัติหลวงพ่อโหน่งมีอยู่ว่า ท่านไม่เคยเรียน แม้แต่นักธรรมตรี ตั้งใจเจริญกรรมฐานอย่างเดียว แต่ว่าเวลาเช้าบิณฑบาตกลับมาแล้ว ท่านก็แบ่งข้าวให้กับโยม ท่านเอาโยมท่านมาเลี้ยงที่วัด เมื่อโยมรับประทานเสร็จ ท่านฉันเสร็จ ท่านก็เทศน์ให้โยมฟัง ๑ กัณฑ์ การเทศน์นี่ไม่ต้องอ่านหนังสือ ก็ไปถามหลวงพ่อโหน่งว่าเวลาเทศน์ หลวงพ่อเทศน์เรื่องอะไรบ้างครับ

ท่านก็บอกว่าสุดแล้วแต่พระท่านให้เทศน์ พระให้เทศน์เรื่องอะไร ก็เทศน์อย่างนั้น ท่านดลใจเอง ไม่ต้องนึก ปากก็ว่าไปตามความรู้สึกของใจ ถ้าเวลาใครไปนิมนต์หลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อโหน่ง ท่านบอกว่า จะถามพระก่อน พระจะให้ไป หรือไม่ให้ไป ถ้าพระให้ไป ก็จะไป พระไม่ให้ไป ก็ไม่ไปรวมความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำขึ้น อาศัยพระอย่างเดียวท่านต้องถามพระก่อน ถ้าพระไม่อนุมัติ ท่านจะไม่ทำเด็ดขาด

ก็เลยถามว่าหลวงพ่อขอรับ คำว่า พระ หมายถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ท่านมองหน้า แล้วท่านก็บอกว่า นี่เฉพาะที่คุณนั่งอยู่เวลานี้ไม่มีใครนะ ถ้ามีคนอื่นฉันจะไม่ตอบ และเวลานี้ก็มีแต่ ท่านอาจารย์ปาน กับเธอทั้ง ๓ องค์ พอพูดกันรู้เรื่อง ฉันก็ยอมรับว่า คำว่าพระ ก็คือ พระพุทธเจ้า ทุกอย่างที่ฉันจะทำ ฉันทำตามพระพุทธเจ้าสั่งทุกอย่าง นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท

เหลือเวลา ๒ นาที ก็ขอบอกสักนิดได้ไหมว่า มีคนเขามาขอประวัติของวัด เขาจะไปโชว์ เขาจะไปอวดที่ไหนก็ไม่ทราบ ทำแล้วเขาส่งหนังสือกลับมาบอกว่า ให้บอกมาว่าหาเงินมาจากไหน สร้างวัดใหญ่โต ก็ขอบอกว่า วิชานี้ได้มาจากหลวงพ่อโหน่ง กับหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานให้มาก่อน หลวงพ่อโหน่งแนะนำทีหลัง นั่นคือ ขอพระ ความจริงไม่ได้ขอ ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระ

พระท่านแนะนำว่าให้ทำอะไร ก็ทำตามนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสตางค์ก็ทำ เพราะท่านยืนยันว่าท่านจะหาสตางค์ให้ ในที่สุดก็มีคนมาทำบุญจนครบ ไม่ใช่ใครเขามาช่วยเหลือ ไม่ใช่ใครที่ไหนก็เป็นอันว่า ท่านทั้งหลายที่มีความสงสัยว่า วัดท่าซุงโตขึ้นได้อย่างไร ก็ขอตอบท่านทั้งหลายว่า วัดท่าซุงทำตามคำสั่งของพระ แม้แต่แบบแผนต่าง ๆ ก็ไม่มี นักจิตรกรต่าง ๆ เขาเรียกอะไรล่ะ วิศวะหรืออะไรล่ะ

ช่างเขียนน่ะ ช่างออกแปลนน่ะ พูดไม่ค่อยถูก ก็ไม่มีใครมาเขียนให้ แค่บอก ๆ กัน แล้วทำไปเท่านั้นเองเอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาหมดพอดี ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี

จบเล่มที่ ๑๖


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top