Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 3/11/12 at 14:11 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 17 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑๗

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดยพระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )



คาถาเงินล้าน


(ตั้ง นะโม ๓ จบ)

นาสังสิโม
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม
มิเตพาหุหะติ
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
สัมปะติจฉามิ
เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ

------------------------------------
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


คำปรารภเล่มที่ ๑๗


เล่มนี้ คุณชาลินี (ปาน) เนียมสกุล ก็ให้ทุน ๒๘,๐๐๐ บาท เหมือนกัน และมีอีกหลายท่านช่วยกันมาตามกำลังศรัทธา เล่มนี้เป็นตอนหาทางตัดกิเลสในวัด เพราะที่วัดมันมีกิเลสมากกว่าในป่า กิเลสจากนอกวัดนั้นไม่หนักใจ ที่หนักใจก็คือ กิเลสในวัด คือ เจ้าพวกกิเลสเหลือง เวลานี้ก็มีดื่นดาษ ที่เป็นทาสตัณหาคือ คำสรรเสริญเยินยอ และหลงในทรัพย์สิน

ทั้ง ๆ ที่คัดค้านคำสอนพระพุทธเจ้า ก็มีคนบูชา ที่พูดนี้ไม่ได้ตำหนิ แต่ขอพูดตามความเป็นจริง ในที่สุด หลวงพ่อปานก็พยายามฝึกให้เป็นพิเศษ และนำไปฝาก หลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อเนียม สำหรับ ๒ หลวงพ่อนี้ เวลานี้ทราบข่าวว่า คนสนใจน้อย จนกระทั่งคนที่อาศัยบารมีท่าน ยังไม่เชื่อความสามารถของท่าน เรื่องนี้เป็นปกติธรรมดา อย่าตำหนิท่านเหล่านั้น เพราะท่านเกิดไม่ทัน

จะเกณฑ์ให้ท่านเชื่อโดยที่ท่านยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติตาม และปฏิบัติถึงขั้นนั้น ๆ ไม่ได้ ถ้าขืนเชื่อแต่คำบอกเล่า ถือว่าน้อมใจเชื่อโดยที่มิได้มีการพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติตามและปฏิบัติจนถึงอย่างนั้น ท่านเรียกว่า น้อมใจเชื่อ นี่ที่พูดอย่างนี้พูดให้ไพเราะหน่อย ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน เขาคงจะพูดว่า อ้ายควาย เชื่อโดยที่ไม่เคยพบมาเอง เหมือนเขาพูดให้ฟังว่า

ที่อเมริกามีตึกสูงเกินกว่าร้อยชั้น เวลาขึ้นลิฟท์ไม่ถึง ๑๐ นาที ก็ถึงชั้นยอดแล้วการพูดอย่างนี้ ผู้เขียนไปพบมาเองแล้วเชื่อ แต่ท่านที่ยังไม่เห็นมาเองอาจจะค้าน ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เป็นอันว่า อ่านเล่นก็แล้วกัน อย่าถือเอาเป็นตำรา แต่หมาคงอดเห่าไม่ได้เล่มที่ ๑๘ จะวิจารณ์เรื่องที่ นอสตราดามุส แกพยากรณ์ไว้๔๐๐ ปีเศษ รู้สึกว่าเก่งมาก แต่ผู้เขียนจะไม่วิจารณ์ทั้งหมด

คงวิจารณ์เพียงแค่เมืองไทยว่า ถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้น เราควรจะทำอย่างไร ผู้เขียนคิดว่า เอาวิธีการสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสมัยมี ผ.ก.ค. ทั่วเมืองมาใช้คงปลอดภัยแน่ แต่อย่าลืม ระวังอาบังไว้ ไม่ใช่ให้คิดว่าอาบังจะเป็นศัตรู แต่ต้องการให้รู้ว่า บัง อาจจะเข้าใจคำสั่งผิดก็ได้

พระราชพรหมยาน
๓๐ กันยายน ๒๕๓๓


เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๗

1.
ตอนที่ ๑ พุทธพยากรณ์
2. ตอนที่ ๒ เรียนกรรมฐานกับ หลวงพ่อโหน่ง .
3. ตอนที่ ๓ เรียนกรรมฐานกับ หลวงพ่อโหน่ง (๒)
4. ตอนที่ ๔ เรียนกรรมฐานกับ หลวงพ่อโหน่ง (๓)
5. ตอนที่ ๕ เรียนกรรมฐานกับ หลวงพ่อเนียม
6. ตอนที่ ๖ เรียนกรรมฐานกับ หลวงพ่อเนียม (๒)
7. ตอนที่ ๗ หลวงพ่อปานนำออกธุดงค์ .
8. ตอนที่ ๘ ปักกลดที่เขาชอนเดื่อ


1

พุทธพยากรณ์


ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับวันนี้ ตรงกับ วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ รู้สึกว่าเสียงจะเบาไปมาก ทั้งนี้เพราะว่า เวลานี้กำลังปวดเท้ามาก ร่างกายก็รู้สึกว่าไม่ดี ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็มาคุยกัน วันนี้จะขอคุยเรื่อง พุทธพยากรณ์ คำว่า พุทธพยากรณ์ ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ก่อนนิพพาน พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๘

เพราะว่าในระหว่างนั้น ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๑ อาตมาได้รับพระราชดำรัสจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่พระราชวังสวนจิตรลดา ว่า ขอให้ตั้ง ศูนย์สงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ก็ทำตามรับสั่งของท่านเรื่อยมาก็มีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ต่างก็สละทรัพย์สินเป็นเงินบ้าง เป็นวัตถุบ้าง เป็นอาหารบ้าง เป็นผ้าผ่อนท่อนสไบบ้าง เป็นข้าวบ้าง

ก็ช่วยกันจำนวนมาก เป็นการบรรเทาทุกข์เฉพาะเวลาแก่ท่านทั้งหลายที่กำลังตกอับ เวลานั้นฝนแล้งมาก ข้าวปลาไม่ได้กันหลังจากนั้นมา ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ก็เริ่มป่วย มีอาการไข้เพราะการเข้าป่า ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน เขาเรียกว่า ไข้ป่า ไข้ป่ากินมาแล้วทางท้องก็กำเริบ มันไม่ถ่าย ใช้ยาแบบไหนก็ไม่ไหว ใช้หมอรักษาแบบไหนก็ไม่ลด มันเอาหนัก สภาพที่เรียกว่า เอากันขั้นตาย

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘เวลานั้นอาการเครียดมา วันหนึ่งออกไปจากร่างกาย ไปยืนดูประสาทการไหลวนไปมาของเลือดเป็นอย่างไรบ้าง มันไหลได้น้อย ช้าเต็มที เท่าที่สังเกตว่า คนที่เขาจะตายจริง ๆ เลือดไหลเร็วกว่านั้น และก็ประสาทบางส่วน เลือดเกือบจะไม่ไหล มีอาการซึม ๆ ก็คิดว่า อาการอย่างนี้ไม่ใช่อาการของคนอยู่ เป็นอาการของคนตาย

จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้าว่า ในเมื่อร่างกายมันเป็นอย่างนี้ มันทนไม่ไหว ขอลาตาย คือ ลาจากร่างกายนี้ ไปอยู่ในสถานที่ที่ควรจะไป แต่ทว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรท่านตรัสว่า เอาไว้ก่อน ยังจะไปก่อนไม่ได้ ฉันต้องการจะใช้ร่างกายของเธอทำงานต่อไป ขออยู่ช่วยงานกันก่อน

ก็ถามท่านว่า จะอยู่ช่วยงานอย่างไร นี่มันไปไม่ไหวแล้ว ท่านก็บอกว่า ฉันจะเอาไว้ให้ได้ หลังจากนั้นท่านก็บอกยา ยาก็เป็นยาแพทย์แผนปัจจุบัน บอกยาขนานนั้นบ้างบอกยาขนานนี้บ้าง นายแพทย์ก็ช่วยกัน ในระหว่างนั้น นายแพทย์ประสิทธิ์ฟู่ตระกูล กำลังทำการรักษาอยู่ ท่านก็ช่วยทุกอย่าง เมื่อมีอาการหนักขึ้นมาเมื่อไร

ก็ปรากฏว่านายแพทย์ประสิทธิ์ มาทันทีทันใดหลังจากนั้นก็มีแพทย์มาช่วยกันหลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ แพทย์ก็ช่วยกันมาก เช่น นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์ แพทย์หญิงแสงโสม ปิรยะวราภรณ์นายแพทย์ชนะ สิริยานนท์ นายแพทย์มนตรี อมรพิเชษฐ์กุล นายแพทย์วัฒนะ ฐิตะดิลก แพทย์หญิงพงศ์ภารดี (ปุ๊ก) เจาฑะเกษตรินทร์

นายแพทย์นพพร แพทย์หญิงเตือนใจ กลั่นสุภา นี่ฝ่ายฟัน และนายแพทย์พิเชษฐ์ จันทร์อิสสระ กับภรรยา ท่านเป็นแพทย์เหมือนกัน ที่อยุธยา ต่างคนต่างก็ช่วยกันอย่างหนักท่านบอกยาอะไรมา หมอก็หาตามนั้นมาให้ อาการโรคอย่างไหน หมอก็หามาให้ การที่มีแพทย์รักษามาก ๆ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ไม่ใช่ว่าจะจ่ายเงินมาก นายแพทย์เป็นคนจ่ายทั้งหมด

ที่พูดมานี้ทั้งหมด แพทย์เป็นคนจ่าย และไม่จ่ายเฉพาะค่ายาค่ารถ จ่ายสตางค์ให้กินให้ใช้ด้วย มันก็ดีขึ้นมาไม่ได้ มันมีแต่จะตกอับไปทุกที ลดตัวลงไปทุกที อาการหนักขึ้นมาทุกที แต่ทว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายเวลาที่พบหน้ากัน มีหลายคนบอกว่า ไม่เห็นมีอาการป่วย นี่ก็ขอพูดตรง ๆ ว่า เป็นลีลาของพระถ้าจะถามกันอีกที ก็บอกกันว่า

พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วนิพพานมีสภาพสูญ ไม่มีอะไรทั้งหมดจะพบพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ในตอนนี้ก็ไม่ขอตอบ ไม่ขอเถียงใคร เพราะถ้าเถียงกันทั้ง ๒ ฝ่าย ก็จะกลายเป็นคนบ้าทั้ง ๒ ฝ่าย ตอนนี้อาตมาขอบ้าคนเดียว บ้าฝ่ายเดียวบ้าพบพระพุทธเจ้าได้ก็แล้วกัน ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ฉันจะเอาไว้ให้ได้ ท่านก็หาแพทย์มา

แพทย์ต่าง ๆ มาตามความต้องการของท่านและก็ตรงกับจุดของโรคที่เป็น แพทย์ก็เก่งจริง ๆ หายาได้ตรงกับโรค แต่โรคก็ได้แต่ทรงตัว นาน ๆ ไปก็ทรุดนิดหนึ่ง ดีไม่ดีก็ทรงตัวต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ เดือนธันวาคม เวลานั้นอาตมาไม่สบายมาก อาการเครียดจัด ดูเหมือนว่าท่าทางจะไม่ไหว ร่างกายนอนอยู่ที่เตียง แต่ว่าจิตใจไปนอนที่นิพพาน นี่พูดกันตรง ๆ นะ

ใครไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ถ้าอยากเชื่อก็เชื่อ พูดกันอย่างพระ และในที่สุดก็ตัดสินใจว่า วันนี้เราจะไม่กลับ เวลานั้นเวลาประมาณ ตีสองเศษ ๆ เรียกใครเขาก็ไม่ไหว อาการทางร่างกาย ท้องก็อืดขึ้นมา มันอืดขึ้นจุกหน้าอกไม่มีอาการเสียด แต่มีอาการเพลียมาก ก็คิดว่า ปล่อยให้ร่างกายมันตายไปเถิด ขออยู่ที่นี่ดีกว่า เวลานั้นก็พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านบอกว่า อย่าเพิ่งตัดสินใจแบบนั้น การตัดสินใจแบบนั้นไม่ถูกเพราะฉันต้องการร่างกายของเธอทำงานต่อไป (วันนี้เสียงแห้งมาก โยม) ก็ถามท่านว่า จะทำงานไหวหรือ ท่านบอกว่าต้องไหว บอกว่า อาการนี่มันจะตายอยู่แล้วนะครับ

ท่านบอกว่า ตั้งแต่เดือนธันวาฯ นี้เป็นต้นไป อีก ๒ ธันวาฯ คือถึงธันวาฯ ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ร่างกายของเธอจะดีเป็นปกติ จากนี้ไปถึงเดือนมีนาคม ร่างกายจะดีขึ้น ถึงเดือนเมษายนจะดีขึ้น เดือนพฤษภาคมจะดีขึ้น แต่ว่ากรรมบางอย่างที่เป็นอกุศลที่ทำไว้มันก็จะริดรอนในระหว่างเป็นธรรมดา

และก็ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ท่านก็มาบอกยา ให้หมอไปหา ก็หมอจรูญ กับหมอชนะ เป็นคนไปหา หมอจรูญ หมอชนะ กับหมอมนตรีด้วยละมั้ง ไปช่วยหายาที่ท่านบอก ก็ได้มาแค่ ๒ หลอด บอกอาการที่เป็นอยู่นี่ อาการไข้มันไม่ได้คลายตัว มันเกาะกินอยู่ข้างในให้ใช้ยานั้นมาฉีดทำลายเชื้อไข้ เชื้อไข้มันกินมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๕ หมอไปหายามาได้แล้ว

ต่อมาก็หาเพิ่มมาอีก ก็ฉีด ฉีดจนอาการนั้นคลายตัวแต่มันก็ยังไม่ดีขึ้นนัก ต่อมาท่านก็บอกยาอีกขนานหนึ่ง ความจริงเวลานอนธรรมดามันจะไม่หลับ ต้องใช้ยาช่วยให้หลับ อาการไม่หลับนี่ ความจริงถ้าไม่มีงานประจำ ไม่ใช่ของแปลก เราก็อยู่ด้วยธรรมปีติ สบาย ๆจะเป็นไรไปทีนี้เวลาเช้าจะต้องมีงาน เวลาบ่ายจะต้องพบกับแขก งานมันก็หนักเกินตัว ก็ต้องใช้ยาช่วยให้หลับ

ไม่อย่างนั้นร่างกายจะแย่ พอได้ยาประสาทขนานนี้มา รู้สึกว่าประสาทในร่างกายดีขึ้นมาก ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเห็นว่าประสาทในร่างกายใกล้จะสมบูรณ์ แต่ทว่าอาการรวนเรทางร่างกายยังมีอยู่มาก อุจจาระถ่ายมันก็ไม่ค่อยจะออกก็ต้องใช้การสวนกัน ใช้วิธีสวนกันมานี่ตั้ง ๓ ปี บางทีสวนทุกอาทิตย์ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า มันจะไหวไหม

แต่ต่อมาก็ถามท่านบอกว่า ยาขนานนี้เป็นยาถึงที่สุดแล้วหรือยัง ท่านบอกว่า ยัง จะต้องมียาสมุนไพรอีกชุดหนึ่ง จึงจะหาย ก็พอดีเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๓ ๒ - ๓ วันนี้เอง ก็พบท่านเจ้าของยามีลูกสาวแนะนำว่า แม่ของเธอเป็นโรคอาการคล้ายคลึงแบบนี้อาการแย่เต็มที แม่ของเธอหายด้วยยาหมอนี้ แต่ว่าลูกสาวคนนี้ก็ดี หมอก็ดี

ไม่ต้องการให้ประกาศตัว เขาไม่ต้องการให้ประกาศว่า เธอคือใคร หมอคือใคร นี่ก็แปลกเหมือนกัน ระหว่างนี้ก็ใช้ยาแพทย์แผนปัจจุบันที่ท่านบอก ที่หมอสั่งไว้ก็ดีแล้วยาสมุนไพร ยาสมุนไพรนี่ใช้มา ๓ - ๔ วัน รู้สึกว่าอาการดีขึ้นมา ค่อย ๆ ดีขึ้นท่านก็บอกว่า ร่างกายอย่างนี้จะถือว่า ดี ไม่ได้ ยังต้องบังคับการขับถ่ายอยู่ ยังกินไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ การจะหลับก็ต้องใช้ยา

หมอบอกว่า ยาที่ให้มานี่ เป็นยาปรับปรุงร่างกายเสีย ๗๐ เปอร์เซ็นต์แล้วเป็นยารักษา ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะร่างกายเรรวนมาก ประสาทเรรวนมาก ต่อไปเมื่อประสาทไม่เรรวนแล้วก็จะให้ยารักษาโดยตรง เมื่อรักษาหายดีแล้วให้ยาบำรุง เห็นว่าถ้าเป็นอย่างนี้จริงก็คงจะหายกันธันวาคม ๒๕๓๓ ตามพุทธพยากรณ์ นี่เป็นอันว่า พระพุทธพยากรณ์ที่ทรงพยากรณ์ไว้ตรงทุกอย่าง

บรรดาท่านพุทธบริษัททีนี้หากมีคนเขาเถียงว่า พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว พบได้อย่างไร ตอนนี้ก็ขอตอบว่า มีพระมาก พระสมัยก่อนซึ่งไม่นานนักอย่างหลวงพ่อโหน่งก็ดี หลวงพ่อเนียมก็ดี หลวงพ่อปานก็ดี หลวงพ่อจงก็ดี ที่อาตมาอยู่ใกล้ หรือว่า พระครูอุดมสมาจารย์ (พระครูสังข์)วัดน้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็ดี

นี่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ท่านใช้คำว่า พระ ท่านจะทำทุกอย่างต่อเมื่อพระสั่งหรือพระยินยอมให้ทำ เมื่อถามท่านแล้ว ท่านก็บอกว่า พระ คือพระพุทธเจ้า ทีนี้สำหรับพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว นักวิชาการต่าง ๆเขาเถียงว่า นิพพานมีสภาพสูญ อาตมาก็ไม่ขอเถียงกับพวกนักวิชาการขอพูดเฉพาะบุคคลผู้ปฏิบัติที่ได้ผลเท่านั้น

นักปฏิบัติที่ปฏิบัติได้ผลตรงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ๆเอากันตั้งแต่หลักสูตร วิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ สามส่วนนี้ ถ้าทั้ง ๓ ส่วนนี้ละก็ เขาจะยืนยันว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ และถึงแม้ว่า ท่านสุกขวิปัสสโก ท่านจะไม่เห็นนิพพานท่านก็ยืนยันว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ แต่ท่านอาจจะไม่เถียงกับใครเขา

โดยเฉพาะพระวิชชาสามก็ดี อภิญญาหกก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดีถ้าอย่างนี้ไปพูดกับท่าน ถ้าพูดอย่างอวดรู้ท่านก็คงจะไม่ตอบ ท่านคงจะนิ่งทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านทราบว่า คนที่พูดนี่มันบ้า ทั้งหูหนวก และทั้งตาบอดด้วย ทั้งนี้เพราะอะไร คำว่า หูหนวก หมายความว่า ฟังเสียงที่เป็นทิพย์ไม่ได้ยิน ตาบอด ไม่เห็นสภาพที่เป็นทิพย์ ท่านก็บอกว่า นิพพานปราศจากขันธ์ ๕ อันนี้ก็ยอมรับ

ทีนี้เรามาคุยกันอีกที พวกที่บอกว่า นิพพานสูญ เขายืนยันว่า นรกมีจริงไหมสวรรค์มีจริงไหม พรหมโลกมีจริงไหม ถ้าเขาบอกว่า มี ก็ถามเขาดูทีหรือว่า นรกมีขันธ์ ๕ ไหม เปรตมีขันธ์ ๕ ไหม อสุรกายมีขันธ์ ๕ไหม เทวดา นางฟ้า พรหมมีขันธ์ ๕ ไหม ถ้าใครคนไหนตอบว่า มีก็ทราบว่า คนนั้นบ้า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านทั้งหมดพวกนี้ ท่านไม่มีขันธ์๕ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคเทวดามีร่างกายเป็นทิพย์ ภาคนรกเป็นร่างกายของบาป ไม่มีขันธ์ ๕ เช่นเดียวกัน

ในเมื่อเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ท่านไม่มีขันธ์ ๕ แต่ว่าคนที่มีตาทิพย์สามารถมองเห็นได้ คนที่มีหูทิพย์สามารถฟังเสียงท่านได้ ตามปกติแล้ว คนที่มีความเป็นทิพย์ของจิตเขาสามารถจะคุยกับเทวดากับพรหม กับนางฟ้าได้ ทีนี้เรามาพูดกันถึงนิพพาน นิพพานก็ไม่มีขันธ์ ๕ เขาบอกว่า นิพพานไม่มีเมืองก็อย่าไปเถียงเขาเลย การเถียงคนบ้า ท่านจะบ้าไปตามเขาด้วย

ในเมื่อคนบ้าพูดอะไรมา เป็นที่ไม่ถูกไม่ต้องตามทำนองคลองธรรม ก็ต้องนิ่งเสีย ถ้าท่านไปเถียงเข้า แสดงว่า ท่านยอมรับความเป็นบ้าของเขา ท่านก็บ้าด้วยทีนี้ในเมื่อเทวดากับพรหม ท่านมีความเป็นทิพย์ มีวิมานเป็นที่อยู่ได้ แล้วก็นิพพานมีความเป็นทิพย์สูงสุดกว่า สะอาดกว่าเทวดา หรือพรหม เทวดากับพรหมมีจิตสะอาดนิดหน่อย คือว่า มี หิริ และโอตตัปปะ

อาจจะทำบาปมาก ๆ แต่ว่าเวลาใกล้จะตาย จิตใจนึกถึงบุญ ถ้านึกถึงบุญมีกำลังใจอ่อนหน่อยหนึ่งก็สามารถเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้ ถ้านึกถึงบุญมีกำลังใจเข้มข้น มีความเข้มแข็ง ที่เรียกกันว่า ฌานก็สามารถไปเป็นพรหมได้ ทีนี้ถ้าคนที่ถึงนิพพาน มีจิตสะอาดที่สุด ทำไมจะไปนิพพานไม่ได้ในเมื่อเทวดา กับพรหม ซึ่งมีบุญญาธิการน้อยกว่านิพพาน มีวิมานที่เป็นทิพย์อยู่ได้

คนที่จะไปนิพพานมีความสะอาดของจิตมาก มีบุญญาธิการมากทำไมจะมีวิมานอยู่ไม่ได้ เวลานี้แม้แต่เด็ก ๆ เล็ก ๆก็รู้จักนิพพาน คนแก่ที่ยากจนเข็ญใจก็รู้จักนิพพาน คนหนุ่มคนสาวก็รู้จักนิพพาน เขารู้จักกันเยอะ แล้วพวกที่สอนคนให้ไปสวรรค์ ไปพรหมโลกสามารถจะไปนิพพานได้ไหม รู้จักนิพพานไหม ถ้าไม่รู้จักนิพพานก็พึงทราบเถิดว่า

สภาวะของท่าน หรือการปฏิบัติของท่าน ความรู้สึกของท่าน ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า คือว่า ไม่ปฏิบัติตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนจริง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะติดตำรา ตำรานี่เขาเขียนถูก แต่กำลังใจของท่านมีความเข้าใจไม่ถูกที่บอกว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง มักจะอ้างกันว่า นิพพานมีสภาพสูญ ถ้าอ้างอย่างนี้ก็แสดงว่า ไม่มีความรู้เลย

คำว่า สูญ เขาแปลว่า ว่าง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง คือว่า ธรรมว่างอย่างยิ่ง ไม่ใช่ สภาวะว่างอย่างยิ่ง คำว่า ว่าง ก็หมาย ถึงกิเลส คือ ความชั่ว ความชั่วในใจนิดหนึ่ง ที่เป็นความชั่วทางความรักก็ดี ความโลภก็ดี ความหลงก็ดีความติดในร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ติดในวัตถุก็ดี ติดในภพในชาติก็ดี ไม่มีกับบุคคลผู้นั้น

ถ้าอาการอย่างนี้มีอยู่กับบุคคลผู้ใดบุคคลนั้นสามารถเข้าถึงนิพพานได้ ถ้าสวรรค์ ก็แค่มีจิตเป็นบุญนิดหน่อยไปสวรรค์ได้ พรหมโลก มีจิตเป็นฌานนิดเดียว ก็ไปพรหมโลกได้ก็รวมความว่า พุทธพยากรณ์ ท่านจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของท่านวันนี้มาพูดกันให้ฟังที่ท่านพยากรณ์บอกว่า จะต้องมียาสมุนไพรอีกขนานหนึ่ง เข้ามาช่วยกับยาที่หมอจัดหาให้ และร่างกายจะดีขึ้น

ความจริงพอกินเข้าไปประมาณ ๓ วัน มันก็เริ่มดีขึ้น จนกระทั่งวันนี้ก็รู้สึกว่า ร่างกายดีขึ้นมาก แต่ว่าเสียงมันแห้ง เป็นของธรรมดา ทั้งนี้เพราะว่า ก่อนที่จะมาพูดนี่ไปขี้มาแล้ว คอมันก็แห้ง เสียงมันก็แห้ง แต่ก็จำเป็นต้องพูด ถ้าไม่พูดเกรงว่าหลายวันจะลืมไป เผอิญเมื่อคืนนี้โทรศัพท์กับคนที่เขาติดต่อหมอ เขาบอกว่า ห้ามออกชื่อเขา เขาไม่อยากจะปรากฏชื่อในการช่วยเหลือ ก็น่าแปลก

เพราะหมอเองก็ไม่อยากจะปรากฏชื่อ และหมอกำลังคิดจะเตรียมยา จะจัดยามาอีก หมอจะมาตรวจให้อีก เป็นอันว่า ทั้งหมอ แพทย์แผนโบราณกับแพทย์แผนปัจจุบันช่วยกัน ก็มีผลด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย แพทย์แผนปัจจุบันประคับประคองมาหลายปี จนกระทั่งประสาทเริ่มมีกำลังขึ้นเวลานี้ แพทย์แผนโบราณมาช่วยอีกชั้นหนึ่ง

ก็อาศัยยาทั้ง ๒ ประเภทนี้ร่วมกัน ร่างกายค่อย ๆ ดีขึ้น ค่อย ๆ มีกำลังขึ้นฉะนั้นการพุทธพยากรณ์ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก่อนจะจบเหลือเวลาประมาณสัก ๔ นาที ก็ขอยืนยันว่า เรื่องของพระนิพพานมีสภาพไม่สูญ ใครเขาจะว่าสูญที่ไหน ก็เชิญเขาสูญไปตามชอบใจของเขา แต่อาตมาขอยืนยันว่า พระนิพพานมีสภาพไม่สูญ ถ้าถามว่าใครบอก ก็ต้องตอบว่า

๑. หลวงพ่อปาน เป็นองค์บอก
๒. หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (หลวงพ่อสด) เป็นองค์บอก
๓. หลวงพ่อเนียม วัดน้อย เป็นองค์บอก
๔. หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน เป็นองค์บอก
๕. หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เป็นองค์บอก
๖. พระครูอุดมสมาจารย์ (พระครูสังข์) วัดน้ำเต้า เป็นองค์บอก


แล้วก็ในเมื่อท่านบอก ท่านไม่บอกเฉย ๆ ท่านสอนให้ ลีลาการสอนของท่าน ก็สอนตามแนวของท่าน ซึ่งมันไม่ลำบากเลย ใช้ลีลาการปฏิบัติง่าย ๆ ทำแบบเบา ๆ ใช้กำลังใจไม่แน่นนัก ใช้กำลังใจพอดีพอควรที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ในที่สุดพวกเราก็สามารถ คำว่า เราขออภัยนะ คณะของอาตมา ๒ - ๓ องค์ ก็สามารถไปนิพพานได้ และก็เวลานี้ก็อาศัยนิพพานเป็นที่พึ่ง

ก่อนจะหลับ หัวถึงหมอนทำกรรมฐานนี่นั่งไม่ไหวแล้ว มันแย่เต็มที ลุกก็ไม่ค่อยจะขึ้น พอนั่งก็ลุกไม่ค่อยจะไหวพอหัวถึงหมอนปั๊บจับอานาปานสติ กับคำภาวนาตามความต้องการคำภาวนานี่เอาแน่นอนไม่ได้ ตามใจชอบ เวลานั้นจิตชอบอะไร ทำตามนั้นหลังจากนั้นก็ออกจากร่างกาย ก็สนทนาปราศรัยกับ ท่านท้าวมหาราชบ้าง ท่านอินทกะบ้าง เทวดาอื่นบ้าง

ลุงทั้งสองบ้างตามสมควรบางทีท่านทั้งหมดท่านก็แนะนำต่าง ๆ หลังจานั้นก็ไป พระจุฬามณีเจดียสถาน ไปไหว้พระที่นั่น ออกจากที่นั่นก็ไปหาโยมที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ แล้วก็ไปหาท่านผู้มีคุณทั้งหมด ที่ระหว่าง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กับพระจุฬามณีฯ นมัสการกับท่าน คุยกับท่านเป็นที่สมควรหลังจากนั้นก็ไปที่อยู่ที่นิพพาน ไปเสวยความสุขที่นั่น ไปที่นั่นมีอารมณ์โปร่ง มีจิตเป็นสุข

นี่เราพูดกันอย่างคนใกล้จะตาย ท่านฟังเสียงก็คงจะทราบว่า อาตมานี่ใกล้ตายเต็มทีแล้ว เสียงก็แห้ง คอก็แหบ แต่ก็พยายามพูดทั้งนี้ก็พูดเพื่อความเป็นจริง เวลานี้อายุก็ ๗๐ ปีกว่าแล้ว มันใกล้จะตาย มันควรจะตายนานแล้ว แต่ว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วท่านบอกว่า ยังไม่ควรตาย และท่านก็สามารถเอาไว้ได้ อย่างนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง

บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงต้องเชื่อว่า พระพุทธเจ้า ตรัสอะไรแล้ว จริงทุกอย่าง เวลานี้พอลงคำว่า จริงทุกอย่าง เวลาบอกหมดเวลาก็ปรากฏเมื่อสัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/11/12 at 15:12 [ QUOTE ]


2

เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ ท่านที่เคยฟัง เคยอ่านติดต่อกันจะมีความเข้าใจ ทราบว่าการพูดบันทึกนี่ ไม่ได้พูดบันทึกติดต่อกัน ทั้งนี้เพราะอาการป่วยเครียดมาก สำหรับวันที่พูดนี้ คือมันเป็นมาหลายวันแล้ว เป็นโรคประเภท ไม่อยากจะกินข้าว เห็นข้าวเข้าก็เบื่อ อาการแบบนี้ ถ้าขืนเป็นต่อไปอีก ก็คิดว่าไม่ช้าคงตาย

ทีนี้ก็มาคุยกันถึงว่า วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ ไปที่บ้านของ โยมสันต์ ภู่กร และโยมเกศริน ภู่กร ที่จังหวัดพิษณุโลก เพราะว่าได้ไปเป็นปีที่สอง ทั้งนี้ก็เพราะว่า คณะโยมสันต์ ภู่กรก็ดี คณะโยมเกศริน ภู่กร ก็ตาม ท่านทั้งหมดนี้ ปรากฏว่า เป็นนักบุญจริง ๆ เคยเจริญกรรมฐาน ติดต่อกับอาตมาตั้งแต่สมัย พ.ศ. ๒๕๑๑ – ๒๕๑๒ ในตอนนั้นศึกษากรรมฐานไม่เห็นตัวกัน

ทั้งนี้ก็เพราะว่าอาตมาไปออกอากาศที่ สถานีวิทยุกองบิน ๔ ไปออกอากาศเรื่องมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านมีความสงสัยข้อไหน ท่านก็เขียนจดหมายถามมา เมื่อเขียนจดหมายตอบไปท่านก็ปฏิบัติตาม แล้วก็เป็นบุคคลกลุ่มใหญ่ ก็ถือว่าเป็นคณะบุญเป็นพิเศษ คือว่า ยากที่จะหาบุคคลประเภทนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ และท่านมีความปรารถนาว่า ๑ ปี ขอให้ไปบ้านท่าน ๑ ครั้ง

จึงมีกำหนดว่าเดือนมิถุนายน ถ้าเป็นวันอาทิตย์จะไปบ้านของท่าน ทีนี้ พ.ศ. นี้ ลงหมายกำหนดการว่า จะไปเดือนมิถุนายน แต่ก็ลืมลงวันที่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าป่วยมาก ก็ขอสรุปว่า ไปแล้วก็แล้วกัน วันนี้ไปแล้ว วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ คณะที่ไปทั้งหมดรวมกันประมาณ ๔๐ คน ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ทางบ้านโยมสันต์จัดเป็นระเบียบอย่างดีที่สุด

ยากที่จะพึงเห็นประเภทนี้ สำหรับการทำบุญของท่านในวันนี้ ก็ขออนุโมทนาไว้ในที่นี้ คือ
๑. การถวายผ้าป่า ได้ ๗,๘๐๑.๐๐ บาท
๒. ผาติกรรมสังฆทาน ได้ ๑๐๔,๔๕๐.๐๐ บาท
๓. แก้กรรมหมู ได้ ๕,๐๑๐.๐๐ บาท
๔. ทำบุญทั่วไป ได้ ๑๙,๐๖๐.๐๐ บาท
๕. สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ๓๕,๔๑๐.๐๐ บาท

๖. เงินสงฆ์ หมายถึงว่า ถวายแก่สงฆ์ทั่วไป ๕,๒๑๐.๐๐ บาท
๗. เงินมูลนิธิฯ ๑,๐๐๐.๐๐ บาท
๘. ถวายส่วนองค์โดยเฉพาะ (ประกาศชื่อ) ๓,๔๖๐.๐๐ บาท
๙. เงินใส่ย่าม (เงินใส่ย่ามนี่เป็นเงินสงฆ์) ๔๑๐.๐๐ บาท
๑๐. ถวายเป็นส่วนองค์ (ไม่มีชื่อ) ๖,๕๒๒.๕๐ บาท

รวมแล้วเป็นเงินทั้งหมดที่รับจากบ้านโยมสันต์ ภู่กร จังหวัดพิษณุโลก วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ จำนวน ๑๘๘,๓๓๓.๕๐บาท (หนึ่งแสนแปดหมื่นแปดพันสามร้อยสามสิบสามบาทห้าสิบสตางค์)ก็ขออนุโมทนากับโยมสันต์ และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ที่ร่วมบำเพ็ญกุศลร่วมกันทั้งหมด ขอทุกท่านจงมีแต่ความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล

และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัย ทั้ง ๔ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ ต่อนี้ไปก็ขอมาเล่าเรื่องส่วนตัว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะหาว่าโอ้ หรือจะหาว่าอวด จะหาว่าเบ่ง จะหาว่าอะไรก็ตาม แต่ความจริงเรื่องส่วนตัวนี่ คนภายนอกรู้ได้ยาก เห็นว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่ตาย ๆ ไปแล้ว

นักเขียนที่เขียนประวัติของท่าน ก็ไม่ค่อยจะรู้ความจริงนัก เป็นอันว่า อาตมาก็ใกล้จะตายแล้ว ก็ขอทำประวัติไว้ ประวัติจริง ๆ ถ้าพูดกันไป มันยาวมาก ก็ขอย่อ ๆ เอาพอได้ความเป็นอันว่า หลังจากไปวัดหลวงพ่อโหน่งกับหลวงพ่อปานแล้วต่อมาตอนเดือนสาม ปลายเดือนข้างแรม การเกี่ยวข้าวของชาวบ้านรู้สึกว่าน้อยลงไป ข้าวเหลือน้อย บางรายก็เกี่ยวหมดแล้ว

บางรายก็เหลือบ้างเล็กน้อย การออกธุดงค์เวลานั้น ไม่เหยียบข้าวไม่เหยียบปลาชาวบ้านเขา ก็พอไปได้ หลวงพ่อปานจึงมีบัญชาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเธอก็จงไปหา หลวงพ่อโหน่ง ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่งอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าพระแต่ละองค์มีความสามารถไม่เสมอกัน อย่างท่าน ท่านบอก มีความสามารถไปทางหนึ่ง หลวงพ่อโหน่งมีความสามารถไปทางหนึ่ง

แต่ว่าหลวงพ่อโหน่งนี่มีความสำคัญมากที่สุด ยากที่จะหาพระเหมือนได้ นั่นก็คือว่า ติดต่อกับพระได้โดยตรง คำว่า ติดต่อกับพระหมายความว่า ติดต่อกับพระพุทธเจ้าก็ได้ ติดต่อกับพระอรหันต์ก็ได้ นี่ท่านผู้ฟังฟังตอนนี้คงจะมีบุญหลายคน มีบาปหลายคน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ที่บอกว่า ติดต่อกับพระพุทธเจ้าได้ ติดต่อพระอรหันต์ได้

หลายท่านคิดว่า นิพพานมีสภาพสูญ ในเมื่อสูญไปแล้วจะพบกันได้อย่างไร นี่นักตำรา แต่ว่านักปฏิบัติที่เขาได้ตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป เขาบอกว่า ไม่ใช่ของเกินวิสัย มันเป็นของทำได้แน่นอน เพราะว่านิพพานนั้นสูญจริง สูญแต่กิเลส สูญแต่ความชั่ว แต่ว่าตัวจริง ๆ คือ กำลังจิตไม่สูญไปด้วย มีความเป็นทิพย์ เขาเรียกว่า ทิพย์พิเศษไม่มีการเคลื่อนไหวไปทางไหนอีก

คำว่า ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่ได้หมายความว่า ไปนั่งปุ๊บเหมือนตุ๊กตา ไม่ใช่อย่างนั้น คือ หมายความว่า ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กรรมชั่วที่จะสนองให้มีความทุกข์นั้นไม่มีก็เป็นอันว่า หลวงพ่อปานก็มีพระบัญชาบอกว่า วันมะรืนนี้คุณทั้ง ๓ องค์ ไปหาหลวงพ่อโหน่ง ก็ถามท่านบอกว่า หลวงพ่อขอรับไปวันนั้นไปด้วยกันมาก ผมก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้หลวงพ่อโหน่ง นั่งอยู่ไกล ๆ ท่านจะจำได้หรือครับ

หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ฉันติดต่อกันแล้วว่าวันมะรืนนี้จะให้เธอไป ๓ องค์ ท่านบอกว่า ท่านจัดห้องไว้ให้แล้วสำหรับเจริญกรรมฐาน สำหรับพัก เป็นอันว่า ในเมื่อท่านผู้ใหญ่สั่งก็ต้องทำ และก็ทำด้วยความเต็มใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการเจริญกรรมฐานเป็นหน้าที่ของพระ พระจริง ๆ ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ต้องมีคุณสมบัติ ๓ อย่างครบถ้วน

๑. อธิศีลสิกขา รักษาสิกขาบท คือ ศีล มากกว่าฆราวาสและก็รักษาให้ครบถ้วน
๒. อธิจิตสิกขา คือรักษาสมาธิให้มีการทรงตัวเป็นฌานอยู่เสมอเป็นการป้องกันนิวรณ์เข้ามารบกวน
๓. อธิปัญญาสิกขา นั่นหมายถึงว่า ใช้ปัญญาตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน แต่ว่าจะตัดได้หมด หรือไม่หมด ก็เป็นเรื่องของจิตใจในเวลานั้น

ก็ไม่ใช่ว่าจะบังคับกันว่าต้องตัดหมด ถ้าตัดหมดได้ก็ดี เพราะการบวชเวลานั้นถือภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า นิพพานัสสะสัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตะวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อปลายพรรษา คิดว่าจะอยู่ หรือจะสึก เมื่อตัดสินใจว่า ไม่สึก คือตอนที่ปรึกษากัน ๓ องค์ว่า

ถ้าเราอยู่ต่อไป ถ้าเราไปสึกระหว่างกลาง นายจ้างที่เขาเคยจ้างเราเขาก็ไม่จ้างเพราะคนเขาเต็ม ถ้าเราจะสึกเวลานี้ เราก็มีงานทำ เพราะลาเขามาเฉพาะเวลา แต่หากว่าไม่สึกเวลานี้ ไปสึกระหว่างกลาง เราก็แย่ ถ้าบวชตลอดไปได้ก็ดีเป็นอันว่า นั่งคุยกันห่างจากหลวงพ่อปานประมาณครึ่งกิโล อีกสักประเดี๋ยวเดียว พอพูดจบปรากฏว่า หลวงพ่อปานปรากฏขึ้นหน้าบันได

ไม่ได้ขึ้นไป ท่านเอาไม้ตีบันได ปัง ๆ ๆ ๆ ๓ ที ท่านถามว่า พ่อ ๓ คนนี่จะสึกไปเป็นขี้ข้าเขาอีกหรือ อยู่อย่างนี้ไม่ดีหรือ อยู่อย่างนี้เป็นอิสระถ้าสึกไปต้องเป็นขี้ข้าเมีย เป็นขี้ข้าลูก เป็นขี้ข้าคนหลายคน ก็กราบท่านเรียนถามว่า พวกผมจะอยู่ตลอดกาลตลอดสมัยได้ไหม ท่านบอกว่า ได้แน่นอน ก็ตัดสินใจว่าอยู่รวมความว่าเมื่อตัดสินใจว่าอยู่ ก็ตั้งใจเจริญกรรมฐานหนักขึ้นเพราะการอยู่ต้องใช้กรรมฐานเป็นพี่เลี้ยง

เพราะถ้าไม่มีกรรมฐาน จิตใจมันก็วอกแวก อารมณ์ไม่เป็นสุข ถ้าจะถามเรื่องกามารมณ์บรรดาท่านพุทธบริษัท ในเมื่อยังไม่เป็นพระอนาคามีเพียงใด กามารมณ์มันต้องมีถ้าถามว่า เคยรักผู้หญิงอยากจะแต่งงานกันไหม ต้องขอตอบว่า เคยเห็นผู้หญิงลักษณะดีดี มารยาทดีดี คิดว่า คน ๆ นี้เป็นคนดี อย่างนี้มีอยู่ แต่ว่าคิดว่า จะแต่งงานจริง ๆ ไม่มี เพราะความรู้สึกมันมีอย่างนั้น

ก็ขอเล่าลัดตัดใจความ ประเดี๋ยวมันจะไปไกลในเมื่อถึงวันมะรืนตามที่หลวงพ่อปานสั่ง คือสั่งวันนี้ วันนี้ก็เตรียมของ เตรียมกลด เตรียมมุ้ง เตรียมกาน้ำ เตรียมแก้วน้ำ เตรียมย่าม เตรียมผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ ผ้าอาบ อังสะ พอถึงกำหนดวัน ฉันข้าวเช้าแล้วก็ไปลาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานบอก เออ…ไปได้ เดินทางอย่างนี้นะ เดินทางตัดเข้าเขตบางซ้าย ไปข้ามฟากที่บางซ้ายนอกแล้วก็เดินไปถึงองครักษ์ ข้ามฟากที่องครักษ์ เดินทางตัดไปทางบางใหญ่ข้ามฟากที่บางใหญ่

แล้วเดินทางตัดตรงไป ตอนบ่าย ๆ ก็ถึง เวลานั้นป่ายังมีมากก็ไปตามสบาย ๆ ในที่สุดก็ไปถึงวัดคลองมะดัน เวลาประมาณ ๓ โมงเย็นเศษ ๆ อากาศก็ยังร้อน ก็มีความรู้สึกว่า ถ้าหากว่าเราจะเข้าไปหาหลวงพ่อเวลานี้ ท่านอาจจะมีแขกก็เป็นการไม่สมควร จึงเอากลดวาง แล้วก็นั่งที่โคนต้นพุทรา หลังกุฏิของท่าน พอนั่งเรียบร้อยท่านก็เปิดหน้าต่างออกมา

ท่านถามว่า มานั่งอยู่ทำไมพ่อคุณ คอยมาตั้งแต่เช้าแล้ว เข้ามาที่นี่ได้เลย ญาติโยมพุทธบริษัทฟังแล้วก็คิดบ้างไหมว่า หน้าต่างของท่านปิด เราไปกันเงียบ ๆ ต้นพุทราห่างจากกุฏิของท่านประมาณ ๒๐ วา นั่งอยู่ที่นั่น พอนั่งเรียบร้อยท่านก็เปิดหน้าต่างออกมา แล้วก็เรียกบอก คอยตั้งแต่เช้าแล้วนี่เป็นอันว่าหลวงพ่อโหน่ง กับหลวงพ่อปาน ติดต่อกันแล้ว เขาเรียกกันว่า ทางใน

คำว่า ทางใน นี่ก็คือ อภิญญา ก็แสดงว่า พระทั้ง ๒ องค์นี่ เป็นผู้ทรงอภิญญาทั้ง ๒ ท่าน เมื่อเข้าไปก็นมัสการท่านกราบท่านแล้วท่านบอกว่า เดินมาเหนื่อยคุณเอ๊ย อย่าเพิ่งคุยอะไรกันเลย เดินมาตั้งแต่เช้าไม่ได้พักกัน ฉันข้าวเวลาเดียว เข้าไปพักที่พักก่อนเถอะ ฉันจัดไว้แล้ว แล้วท่านก็นำไป นำเข้าห้อง ๓ ห้องติด ๆ กัน เป็นเรือนไทย สมัยนั้นมี ๓ ห้อง แล้วท่านก็กลับ

ท่านบอกว่า ถ้าอยากจะพบฉัน ก็พบในเวลากลางคืนนะ เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม พบได้เลยพักเสียก่อน อาบน้ำอาบท่าพักผ่อนให้สบาย ก็กราบท่าน ท่านก็กลับ เราก็อาบน้ำอาบท่า นอนพักตามสบายถึงเวลา ๒ ทุ่ม ก็ไปหาท่าน ท่านก็บอกว่า เอ้า…พวกเธอ ๓องค์ หลับตา ใช้กำลังฌานตามลำดับที่ได้มา ทีนี้คณะอาตมาก็พากันหลับตา ใช้กำลังฌานตามลำดับ

พอถึงที่สุดของฌาน ทั้งหมดก็ลืมตาขึ้นทั้ง ๓ องค์ ก็เป็นการบังเอิญ ลืมตาพร้อมกัน เพราะได้เท่ากันท่านก็ลืมตา ท่านก็หลับตาเหมือนกันท่านก็บอกว่า ในเมื่ออาจารย์ปานสอนขนาดนี้แล้ว จะเรียนอะไรกับฉัน เราเรียนกันโดยมากเขาไม่ทำกันถึงนี่หรอกนะ ที่เขามาเรียนกับฉันน่ะ แค่เขาภาวนาว่า พุทโธ ธัมโมสังโฆ ได้ รู้ลมหายใจเข้าออกได้

เขาก็เลิกกันแล้วนี่พวกเธอทำขนาดนี้ยังไม่เลิกอีกหรือ ก็ถามว่า หลวงพ่อขอรับทำขนาดนี้ มันจ กิจพระพุทธศาสนาหรือยัง ท่านก็ถามว่า เธอมีความรู้สึกว่า เธอจบกิจพระพุทธศาสนาหรือยังก็กราบเรียนท่านบอกว่า ยังไม่จบขอรับ ท่านก็บอกว่า ในเมื่อเธอมีความรู้สึกว่า ยังไม่จบมันก็ต้องไม่จบ ถ้าจบก็ต้องมีญาณเป็นเครื่องรู้ว่า เวลานี้เราจบแล้ว

ท่านก็ถามอาตมาว่า คุณปรารถนาพุทธภูมิใช่ไหม
ก็กราบเรียนว่า ใช่
ท่านหันไปถามอีก ๒ องค์ว่า ทั้ง ๒ องค์ปรารถนาสาวกภูมิใช่ไหม
ทั้ง ๒ องค์ก็บอกว่า ใช่

ท่านก็บอกทั้ง ๒ องค์บอกว่า เออ…สังโยชน์ ๓ นี่เธอตัดได้แล้วนะ นั่นแสดงว่าทั้ง ๒ องค์ เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันหรือสกิทาคามี ท่านบอกว่า สังโยชน์ ๓ นี่ไม่ต้องห่วงพยายามก้าวเข้าไปหาสังโยชน์ ๔-๕ แล้วก็ ๖,๗,๘,๙,๑๐ เลยก็แล้วกันแต่ค่อย ๆ ทำ แต่ว่าวิชานี้หลวงพ่อปานก็สอนมาแล้วใช่ไหม
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่

ท่านก็หันมาถามว่า เธอทำไมถึงปรารถนาพุทธภูมิ
ก็เลยบอกท่านบอกว่า หลวงพ่อปานท่านชวนปรารถนาพุทธภูมิ ผมเองก็ไม่อยากปรารถนาพุทธภูมิ ผมมีความต้องการจะเป็นสาวกภูมิมากกว่า
ท่านก็เลยบอกว่า ตั้งแต่สมัยชาติก่อน ๆมา เธอปรารถนาพุทธภูมิไว้ เวลานี้กำลังพุทธภูมิก็มีความเข้มข้นมากใกล้จะจบอยู่แล้ว ก็ควรจะทำให้จบ

ก็ถามว่า พุทธภูมิของผมนี่ จะจบหรือไม่จบขอรับ จะต้องเกิดอีกกี่ชาติ
ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปรู้กันปลายมือนะ ถึงเวลาปลายมือ พระจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ถ้าเธอจะลาพุทธภูมิ ถ้าพระอนุญาตเธอก็ออกได้ เป็นสาวกภูมิได้ ในเมื่อเป็นสาวกภูมิ เธอก็สามารถจะตัดสังโยชน์ได้เหมือนเพื่อน ถ้าพระไม่อนุญาต เธอก็ไม่มีโอกาส

ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า พระ คือใครขอรับ
ท่านก็บอกว่า พระที่สูงสุดของพวกเรามีองค์เดียว คือพระพุทธเจ้า แล้วพระที่รองลงมาคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลายนั่นคือ พระ
ก็ถามว่า หลวงพ่อ เวลาที่หลวงพ่อปฏิบัติแล้วถามพระน่ะ ถามพระองค์ไหน

ท่านบอกว่า ฉันถามพระพุทธเจ้าองค์เดียว โดยตรงเฉพาะงานธรรมะ ถ้างานอย่างอื่นอาจจะถามพระสาวกบ้าง ถามเทวดาบ้าง ถามพรหมบ้าง
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า การเรียนถามนี่กระผมไม่ทราบขอรับ อยากศึกษา
ท่านก็เลยบอกว่า ฉันเองฉันก็ตั้งใจจะสอนเธอในด้านนี้เหมือนกัน เพราะการถามพระได้ก็ดี ถามพระอริยสงฆ์ได้ก็ตาม ถามเทวดา ถามพรหมได้ก็ตาม ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านจะแนะนำทางตรงของเรา เราบกพร่องตรงไหน ท่านจะเตือนตรงนั้น

ก็กราบเรียนถามท่านบอกว่า ถ้าจะถามพระจะทำอย่างไรขอรับ
ท่านก็บอกว่า พยายามทำจิตให้บริสุทธ์ไว้ ถ้าเวลานั้นจิตใจนิวรณ์ไม่กวนใจก็ดี สังโยชน์ทั้งหลายไม่กวนก็ดี เวลานั้นอารมณ์ใจเป็นทิพย์เต็มที่ ถ้าต้องการเห็นพระ จะพบพระ จะเป็นพระองค์ไหนก็ได้ หรือว่าจะเป็นเทวดา หรือพรหม นางฟ้าองค์ไหนก็ได้ เราจะพบท่าน แล้วก็คุยกับท่านได้ ท่านแนะนำอะไร ปฏิบัติตามนั้น อย่าฝืนต่อไป

ก็กราบเรียนถามว่า เวลาที่หลวงพ่อเทศน์ตอนเช้า ๆ โปรดโยม นี่หลวงพ่อปานบอกว่า ตอนเช้าเมื่อฉันข้าวเสร็จแล้ว หลวงพ่อเทศน์โปรดโยมทุกวัน วันละ ๑ กัณฑ์ อย่างนี้หลวงพ่อใช้ตำราอะไรขอรับ
ท่านก็บอกว่า ฉันไม่ได้เรียนนักธรรม แม้แต่นักธรรมตรีก็ไม่ได้เรียนในโรงเรียน ฉันดูวินัยมุข ฉันก็ดูหนังสือ ตามแบบฉบับที่เขาเรียนกันแล้วก็อาศัยพระ ทุกอย่างฉันถามพระหมด ถ้าพระให้เทศน์ ฉันก็เทศน์ ถ้าพระไม่ให้เทศน์ ฉันก็ไม่เทศน์

กราบเรียนถามท่านว่า ถ้าเวลาพระให้เทศน์พระท่านสอนหรือขอรับ
ท่านบอกว่า พระท่านสอน แต่สอนทางใจ ไม่ได้สอนทางวาจา คือพระท่านดลใจให้เราพูด เวลานั้นไม่ต้องใช้อารมณ์คิด เมื่อมีความรู้สึกอย่างไร พูดตามนั้น นั่นเป็นลีลาของพระที่ท่านสอน ฉะนั้นวิชานี้ฉันจะสอนพวกเธอ

ก็กราบเรียนถามท่านว่า แล้วก็ฌานสมาบัติที่พวกผมได้กัน มันจะเสื่อมไหม
ท่านบอกว่า ถ้าเธอเกาะพระ ไม่มีอะไรจะเสื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ๒ องค์นี่ คำว่าเสื่อมไม่มี หมายถึงเพื่อน เพราะเขาตัดสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว เธอยังเป็นพุทธภูมิ พุทธภูมิยังมีกิเลสเต็มกำลังพยายามระงับนิวรณ์ให้มาก

ท่านก็เลยถามว่า การอยู่ที่วัดบางนมโคเธออยู่ในป่าช้าใช่ไหม ทั้ง ๓ องค์
ก็กราบเรียนว่า ใช่
แล้วเวลานี้ตามปกติก็หากินกับเทวดา กับนางฟ้าใช่ไหม
ก็กราบเรียนว่า ใช่

การหากินกับเทวดา กับนางฟ้านี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการแก้สงสัย บางทีท่านจะไปถามชาวบางนมโค ขอรับรองว่า ๑๐๐เปอร์เซ็นต์ ไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องของอาตมาเขาจะเข้าใจไม่ได้ แม้แต่พระก็ไม่มีความเข้าใจ ที่มีความเข้าใจได้องค์เดียวก็คือหลวงพ่อปาน เพราะว่าเวลาเช้าอาตมาก็ไปบิณฑบาตกับพระ ไปบิณฑบาตกลับมา

แล้วก็บอกว่า ผมฉันเวลาเดียวขอรับ ฉะนั้นจะต้องไม่ฉันพร้อมกัน และก็ไม่แบ่งอาหารเอามา ก็กลับเข้าป่าช้าเมื่อล้างบาตรเช็ดบาตรเสร็จ แห้งดีแล้ว ก็เอาบาตรไปแขวนที่ต้นไม้ ก็ยืนภาวนาว่า พุทโธ อยู่ประเดี๋ยวเดียว ก็ปรากฏว่าเทวดา กับนางฟ้า ท่านก็ใส่บาตรให้ มีดอกไม้สวย ๆ ๑ ดอก เพียงเท่านี้เราก็ได้ข้าวกินอิ่ม และก็มีความสุข ก็ทำอย่างนี้จริง ๆ ประมาณ ๑๐ ปี

ถ้าจะถามว่า มีพระอะไรรู้เรื่องบ้าง ก็ขอตอบว่า สงวนเป็นความลับ ไม่บอกใครเลย นอกจากหลวงพ่อปาน ถ้าถามว่า ทำไมจึงสงวน ก็ต้องตอบว่า การเจริญกรรมฐานบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราไปกล่าววาจาโอ้อวด พระพุทธเจ้าถือว่าเป็น อุปกิเลส เพราะว่าการแสดงตัวว่า เราเองเป็นผู้เจริญกรรมฐาน ห่มผ้าสีกรัก ทำท่าหลับตา ทำท่าสงบเสงี่ยมเกินไปอย่างนี้เป็นการโอ้อวด

แสดงออกว่า ฉันเจริญกรรมฐาน พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า เป็นอุปกิเลส ทำไม่ได้ ต้องทำตัวให้เหมือนเขา ฉะนั้นยามปกติทั้งหมด จะทำตัวเหมือนกับชาวบ้าน เหมือนกับพระธรรมดา ๆทั้งหมด จะคุยสนุกสนานเฮฮาตามเรื่องตามราวไป ไม่ขัดจังหวะกัน แต่ว่าถึงเวลาของเรา เราก็ทำของเราหลังจากนั้น หลวงพ่อโหน่งก็พยายามสอน เมื่อถึงเวลาที่พระท่านมา

ท่านก็บอกว่า เวลานี้พระมาแล้ว ทุกองค์จงกำหนดใจดูพระว่ารูปร่างเป็นอย่างไร ก็บอกรูปร่างกับท่านว่า สีสันวรรณนะเป็นอย่างไรท่านก็ตอบว่า ถูก แล้วก็บอกว่า เวลานี้ฉันจะเทศน์ละนะ ดูพระท่านจะแสดงอย่างไร ก็เห็นว่าพระท่านลอยอยู่เฉย ๆ แต่ว่ามีแสง ๆ หนึ่ง พุ่งลงมาที่จิตหลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อโหน่งท่านก็เทศน์เทศน์ไป ๆ ๆ พอจบลีลาการเทศน์

แสงนั้นก็ลอยกลับขึ้นไปหาพระ นี่เป็นอันว่า พระท่านสงเคราะห์หรือพระท่านบอก ก็คือใช้แสง หรือฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ประการ สีใดสีหนึ่ง เข้ามาช่วยกำลังใจ ให้หลวงพ่อโหน่งพูดตามความต้องการของท่าน

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็รู้สึกว่า ไม่สบายมาก ข้าวก็ฉันไม่ได้ พบเม็ดข้าวก็เบื่อ แรงก็น้อย ก็หมดเวลาแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/12/12 at 15:13 [ QUOTE ]


3

เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง (๒)


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๓ ก็เป็นอันว่าหลาย ๆ วันจะบันทึกครั้งหนึ่ง ความจริงอาการป่วย วันนี้ ก็ยังมีมาก มันนอนไม่ค่อยจะหลับ ร่างกายเวลานี้ ถ้านั่งกับพื้นลุกเองไม่ไหว ต้องให้พระช่วยยกขึ้น ถ้านั่งเก้าอี้ก็พอไหว การฉันข้าวก็ฉันไม่ได้ มันเบื่อเม็ดข้าว อาการอย่างนี้ก็แสดงอาการ ความตายเข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่เป็นไร

บรรดาท่านพุทธบริษัท ความตายเป็นของเที่ยง ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส อันนี้เราลืมกันไม่ได้เมื่อวานนี้ คือเมื่อ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๓ คุณไพโรจน์กับคุณสมคิด จากอเมริกา ได้นำของที่ชอบใจมาให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณไพโรจน์ กับคุณสมคิด ซื้อของมาหลายอย่าง ของที่คุณไพโรจน์รักมากก็คือ หุ่นยนต์

ซึ่งใช้ทำงานได้ต่าง ๆ หยิบโน่นหยิบนี่ แต่เวลานี้ยังออกจากศุลกากรไม่ได้ เพราะว่าศุลกากรตั้งกำหนดเก็บภาษี ๘๐,๐๐๐บาท ก็ยังไม่มีใครหาสตางค์ได้ ก็รอไปก่อน แต่ว่าของที่มาถึงแล้ว เป็นของที่ชอบใจมาก คือ หมอสุภรณ์ อเมริกาเหมือนกัน ได้ส่งกล้องส่องทางไกลเอามาให้ กล้องส่องทางไกลมีประโยชน์มากทั้งนี้เพราะว่า ตาไม่ดี เวลานี้การก่อสร้างก็มีมาก

อะไรที่อยู่ไกล ๆ ก็มองไม่เห็น ต้องเดินเข้าไปใกล้ เมื่อมีกล้องส่องทางไกลแล้วก็สามารถจะเห็นไกล ๆ ได้ โดยไม่ต้องเดินเข้าไปหรือใครเขาเดินมา ถ้าจำหน้าไม่ได้ไกล ๆ ก็ใช้กล้องส่อง มีประโยชน์มาก ความจริงอานิสงส์กล้องส่องนี้น่าจะได้ผลเป็น ทิพพจักขุญาณ รวมความว่า ระหว่างนี้เป็นคนมีโชค แต่เรื่องที่เราจะคุยกันวันนี้ก็ขอคุยเรื่อง วัดคลองมะดัน กันก่อน

ไปวัดคลองมะดันครั้งที่ ๒ คือวัดหลวงพ่อโหน่ง ไปศึกษาวิชาการที่นั่น เมื่อไปถึงท่าน ท่านให้นั่งหลับตา เราหลับตา ท่านก็หลับ ท่านสั่งให้เข้าสมาธิตั้งแต่ต้นยันปลายพวกเราก็หลับตากันเมื่อเราลืมตาขึ้น ท่านก็ลืมตา
ท่านก็ถามว่า อาจารย์ปานสอนขนาดนี้แล้ว คุณต้องการอะไรอีก
จึงได้ถามท่านบอกว่า การทำได้แค่นี้ถึงที่สุดความรู้ในพุทธศาสนาแล้วหรือยัง

ท่านก็ตอบว่า ยังไกลมาก
ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องศึกษาต่อ ถ้าจะไม่จบ ก็ให้มันใกล้เข้าไปค่อย ๆ ทำตามกำลังที่จะพึงทำได้
ท่านก็พอใจ ท่านถามว่า สิ่งที่ต้องการจริง ๆ คืออะไร

ก็เลยกราบเรียนท่านตรง ๆ บอกว่า ตามที่หลวงพ่อปานบอกว่าหลวงพ่อจะทำอะไร ต้องถามพระก่อน เมื่อพระอนุญาตให้ทำ ก็ทำพระแนะนำทางไหน ทำตามนั้น ถ้าพระสั่งว่า สิ่งนี้ไม่ควรทำ หลวงพ่อจะไม่ทำ ผมอยากจะศึกษาวิชานี้ขอรับ
ท่านก็บอกว่า เธอต้องการในสิ่งที่ง่ายเกินไปเสียแล้ว

ก็กราบเรียนถามท่านว่า ทำไมจึงง่าย
ท่านก็บอกว่า ตามธรรมดานี่ เธอเจริญกรรมฐานใช้อารมณ์ พุทธานุสสติใช่ไหม
ก็กราบเรียนว่า ใช่
ท่านถามว่า เคยเห็นภาพพระพุทธรูปไหม
ก็ตอบว่า เคยเห็น

ท่านถามว่า เคยเห็นภาพพระใหญ่แล้วครั้งหนึ่งใช่ไหม
ก็ตอบว่า ใช่
แล้วทุกวันนี้ เวลานี้ก็เห็นพระพุทธเจ้าทุกวันใช่ไหม
ก็ตอบว่า ใช่

การเห็นพระ เธอทำไมจึงไม่ถามท่าน ถามในสิ่งที่ควร ท่านจะบอก ถ้าสิ่งใดที่ไม่ควร เราก็อย่าถาม ถ้าถาม ท่านไม่บอก
ก็กราบเรียนบอกว่า ตามตำราไม่มีขอรับ
ท่านก็เลยบอกว่าจริงตำราเขาไม่มี แต่ว่าเราทำกันได้ ตำราท่านคงจะไม่เขียน เพราะเขียนแล้วก็เกรงว่า คนจะคิดว่า เป็นสิ่งเกินวิสัย เพราะเขาเข้าใจว่า

พระนิพพานมีสภาพสูญ เมื่อสูญแล้วก็ไม่มีอะไรหมด และคนเขียนตำราในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่สูญจากนิพพาน คำว่า สูญจากนิพพานก็เพราะว่า เขาถือว่านิพพานสูญ เขาก็เลยไปนิพพานกันไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเข้าใจว่า นิพพานสูญเสียอย่างเดียว ทุกสิ่งก็เจ๊งเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเธอเห็นพระท่าน ถ้าเธอต้องการจะถามอะไร แต่สิ่งที่จะถามต้องเป็นประโยชน์นะ ต้องเป็นคุณ ต้องเป็นประโยชน์ มีเหตุ มีผลพอ

ก็กราบเรียนท่านบอกว่า จะยอมรับปฏิบัติตามนั้นขอรับ
ท่านถามว่า จะอยู่พักสักกี่คืน
ตอนนี้ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ไม่แน่นอนนักครับ ก็คิดว่า อย่างน้อยก็ ๗ วัน หรือ ๑๕ วัน
ท่านก็บอกว่า ตามใจ ๗ วันก็ได้ ๑๕ วันก็ได้ พอใจเมื่อไรก็บอกฉันกลับได้

หลังจากนั้นท่านก็แนะนำกรรมฐาน การแนะนำกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่ต่างกับหลวงพ่อปานเลย เหมือนกันทุกอย่าง เว้นไว้แต่ถ้อยคำที่พูดบางคำ จะต่างกันนิดหน่อย แต่ใจความเหมือนกันหมด แนะนำสั้น ๆ ทีนี้ถ้าจะไม่พูดเสียเลย คนก็จะสงสัย ท่านแนะนำก็คือ

๑. จงละนิวรณ์ ๕ ประการ นิวรณ์ ๕ ประการนี่ ขออย่าได้ยึดถือมัน เราหลีกมันไม่ได้ มันกวนใจเราเสมอ เป็นของธรรมดา ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็ต้องระงับมันได้ชั่วเวลาระยะหนึ่ง ขณะที่เธอทำสมาธิ นิวรณ์มันไม่กวน กำลังใจดีพอแล้ว
ประการที่ ๒ ศีลบริสุทธิ์

ประการที่ ๓ รักษาไตรสรณาคมน์ให้ดี ด้วยความเคารพ
ประการที่ ๔ กายคตาสติ ต้องมีความรู้สึกว่า ร่างกายของเราดูตามความเป็นจริงว่า ในร่างกาย ตรงไหนมันดีบ้าง จะดูผิวหนังนึกถึงไส้ ถึงปอด ถึงตับ ถึงไต อุจจาระ ปัสสาวะ ที่มันอยู่ข้างในว่า อะไรมันดีบ้าง ดูคนอื่น ก็ดูเหมือนกับดูตัวเรา เห็นผิวพรรณปั๊บก็ดูข้างในว่า ตับไต ไส้ปอด อยู่ตรงไหนบ้าง

มีน้ำเหลือง น้ำหนอง มีอุจจาระปัสสาวะและอีกประการหนึ่ง สิ่งที่เราต้องทำกันจริง ๆ เอาแน่นอน ละไม่ได้จริง ๆ นั่นคือ บารมี ๑๐ บารมี ๑๐ ประการนี้ต้องท่องจำให้ได้เขียนเอาไว้ข้างที่นอน เหมือนหลวงพ่อปานเปี๊ยบเลย เขียนไว้ข้างที่นอนพอตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่า วันนี้ บารมี ๑๐ จะไม่เคลื่อนไปจากเราประการที่สอง สังโยชน์ ๑๐

สังโยชน์ ๑๐ ประการนี่ ท่านหันหน้ามาทางอาตมา ท่านบอกว่าถึงแม้ว่าเธอจะปรารถนาพุทธภูมิ เธอก็จงอย่าลืมว่า คำว่า พุทธภูมิ หมายถึงว่า เรียนวิชาครู การที่จะเป็นครูเขา ถ้าเราไม่มีความเข้าใจ เราจะสอนเขาได้อย่างไร มันต้องฝึกสังโยชน์ ๑๐ ด้วย ค่อย ๆ ทำ ทำสังโยชน์ ๓ ก่อน ให้ได้แน่นอน เมื่อได้สังโยชน์ ๓ แล้วค่อย ๆ คลำสังโยชน์ ๕ ไปอีก ๒ แล้วต่อ ๆ ไปคลำไปถึง ๑๐

ก็ถามท่านบอกว่า ถ้าคลำไปถึง ๑๐ ไม่ได้เป็นพระอรหันต์หรือขอรับ เพราะผมปรารถนาพุทธภูมิ ท่านบอกว่า เธอต้องทำ จะเป็นหรือไม่เป็น ต้องทำ ทำให้ช่ำชองแล้วตัดให้ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ดี เธอมีความจำเป็นจะต้องใช้ เพราะถ้าเราไม่ตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังโยชน์ ๓ ประการตัดไม่ได้ เราไม่สามารถจะพ้นอบายภูมิได้ อย่างน้อย ๆ การปรารถนาพุทธภูมิไม่ควรจะลงนรก

ความจริงที่ท่านพูดนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราฟังกันจริง ๆ ท่านสอนให้เป็นพระอรหันต์นั่นเองแต่ท่านผู้ฟังจงอย่าคิดว่า คนพูดเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ยังเวลานี้ยังเป็นพระกังหันอยู่ มันปวดหน้าปวดหลัง ปวดหน้าหันไปข้างหน้า ปวดหลังหันไปข้างหลัง ปวดเท้าก้มไปที่เท้า ปวดแขนหันไปที่แขน แล้วกินข้าวไม่ได้ มันหิวโหยก็หันไปที่ท้อง ใครเขามาก็ต้องจ้องนาน ๆ

หันไปที่หน้าเขา เพราะมันมองหน้าไม่ถนัด ตาก็ไม่ดี แรงก็ไม่ดีลุกก็ไม่ขึ้น เวลาจะลุกพระก็ต้องยกร่างกายขึ้น ถ้านั่งกับพื้น ถ้านั่งกับเก้าอี้ ลุกง่าย แต่มันก็จะล้ม เวลานี้ขอบรรดาพุทธบริษัททุกคนโปรดทราบว่า ร่างกายแย่ถึงขนาดนี้แล้ว ต่อไปไม่ช้าคิดว่า จะต้องอยู่เฉพาะที่วัด จะไปไหนก็ไม่ได้ถ้าใครต้องการจะพบ ก็มาพบ แต่ว่ารอให้มันหนักกว่านี้สักหน่อยก่อนมันยังพอไปได้ก็ไป

แต่การไปไหนก็ห่วงญาติโยมที่มาที่วัด เพราะญาติโยมที่มาที่วัด ก็มากันไกล ๆ จากจังหวัดเชียงรายก็มี สุไหงโกลกก็มีนราธิวาส นครราชสีมา นครสวรรค์ ชัยภูมิ มากันบ่อย ๆ มากันเป็นประจำวัน ถ้าไปไหนเสียแล้ว เขามาไม่พบ กำลังใจก็เสียก็เป็นอันว่า ท่านสอน และแนะนำให้ปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วก็กราบท่าน ท่านก็บอกว่า ต่อนี้ไปปฏิบัติตามความพอใจนะ เอาตรงไหนก่อนก็ได้ ดีทั้งหมด ก็กราบท่าน กลับเข้าที่พัก ก็นั่งคุยกัน

คุยกันถึงการที่ท่านแนะนำ บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็บอกว่า อันดับแรก เราต้องถามพระให้ได้ เพราะว่าการถามพระนี่ พระทุกองค์ที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนกันหมด อย่างหลวงพ่อปานมีอะไรสำคัญที่เกิดขึ้น ท่านบอกว่าพระบอกท่าน อย่าง พระครูอุดมสมาจารย์ เป็นพระกรรมฐานที่มีความสำคัญ ถ้ามีอะไรท่านก็บอกว่า พระบอกว่าอย่างนี้

อย่างหลวงพ่อจงก็บอกว่า พระบอกว่าอย่างนี้ ถ้าพวกเราไม่สามารถจะถามพระได้แล้วก็ไม่สามารถจะให้พระบอกได้ กรรมฐานเบื้องต้น เราก็ยังใช้ไม่ได้ก็รวมความว่าเรายังไม่ได้กรรมฐานเบื้องต้นทีนี้ก็มีปัญหาว่า การถามพระ จะพูดกันรู้เรื่องไหม เห็นหลวงพ่อโหน่ง ท่านกำลังนั่งว่าง ๆ ก็เข้าไปกราบใหม่

ถามว่า หลวงพ่อขอรับการถามพระนี่ ผมสงสัยว่า กำลังใจของพวกผมยังไม่แน่นอนนัก ถามนี่ ถามด้วยวาจา หรือถามด้วยกำลังใจ
ท่านบอกว่า ถ้ากำลังใจเวลานั้น สมาธิวิปัสสนาญาณเข้มแข็ง ก็ถามด้วยกำลังใจนั่นแหละ แต่มันจะมีคล้าย ๆ เสียง มันจะมีความรู้สึกเหมือนกับเสียงออกมาแล้ว ก็รับฟังตามนั้น ถามตามนั้น ถ้ากำลังใจเวลานั้นอ่อนไปหน่อยหนึ่ง มันจะเกิดความรู้สึก

เจอะพระเข้าปั๊บ นึกถามท่าน ความรู้สึกเกิดขึ้น ให้เชื่อความรู้สึกครั้งแรกทันทีนี่อย่างอ่อน แล้วก็ต้องสังเกตตัวเองด้วยว่า การรับฟังมาแล้วนั่น ผิดหรือถูก ผลจะมีตามนั้นไหม อันนี้ต้องสังเกตให้ได้ จำให้ได้อย่าถามแล้วก็เชื่อเลย ถามแล้วต้องสังเกตว่า วันพรุ่งนี้จะมีอะไรบ้าง อย่างนี้ต้องถามบ่อย ๆ จะมีคนมาหา หรือจะมีภารกิจ หรือจะมีอะไรสำคัญเอาจุดใดจุดหนึ่งอย่างเดียว อย่าไปถามเรื่องลาภสักการะ เพียงเท่านี้ถ้ามันตรงทุกวัน ก็ใช้ได้ อย่างอื่นก็ตรงหมด

เข้าใจแล้วก็กราบลาท่านมาต่อมาถึงเวลากลางคืน ท่านก็เข้าไปเจริญกรรมฐานในโบสถ์พวกอาตมาเองก็ไปที่กอไผ่ มีกอไผ่อยู่กลุ่มหนึ่ง ไปนั่งที่กอไผ่ เอาผ้าอาบปู แล้วก็เอาย่ามทำหมอน นอนที่นั่นสบาย ๆ ทำกรรมฐานแบบเป็นสุข อันดับแรก ก็จับ พุทธานุสสติ กับอานาปานสติ ก่อน การจับพุทธานุสสติ

บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า พุทธานุสสติ หมายถึงว่านึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ อันนี้ก็ขอบอกกันไว้ก่อนเลยว่า การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์นี่ ทำเป็นปกติ ทุกวัน และทุกเวลาแม้จะนั่งคุยกับเพื่อน ก็นึกถึงภาพพระพุทธเจ้า เห็นภาพพระพุทธเจ้าในอกบ้าง ถ้าคุยกับใครนี่ จะนึกเห็นภาพพระพุทธเจ้าในอกกับในสมอง

แต่ว่าในอกเห็นภาพเป็น ๒ องค์คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในสมองจะเห็นภาพพระพุทธเจ้า๒ องค์ คือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร กับสมเด็จพระพุทธกัสสป ตามความรู้สึกของจิตมันเห็นตามนั้นนะ ถ้าถามว่า เห็นกี่วัน ก็ต้องขอตอบว่า เห็นมาตลอด ทั้งเวลานี้ก็ยังเห็นอยู่เหมือนกัน แล้วก็เวลาเดินไปไหนมาไหนก็ตาม

เรื่องภาพพระพุทธเจ้านี่ จะไม่ห่างกันเด็ดขาด จะเห็นทั้งข้างใน และเห็นทั้งข้างนอก แต่ว่าการจะถามท่านนี่ ถามไม่เป็นวันนั้นก็ไปลองกัน วิธีลองทำอย่างไร ทำกรรมฐานตั้งแต่เริ่มต้นจับอานาปานสติ ให้ทรงตัวแล้วก็ใช้ พุทธานุสสติ คือ ภาวนาว่าพุทโธ จนกระทั่งจิตเป็นฌานเต็มกำลัง ฌาน ๑, ฌาน ๒, ฌาน ๓,ฌาน ๔, ฌาน ๕, ฌาน ๖, ฌาน ๗, ฌาน ๘, พอถึงฌาน ๘

แล้วก็ลองถอยหลังมาฌาน ๗, ฌาน ๖, ฌาน ๕, มาหยุดอยู่ฌาน ๔ พอถึงฌาน ๔ ก็หย่อนอารมณ์มานิดหนึ่ง ถึง อุปจารสมาธิคำว่า อุปจารสมาธิ ก็เหมือนกับที่เขาฝึกมโนมยิทธินี่แหละถ้าคนสมัยนี้ที่เขาได้มโนมยิทธิ เขาทำตามที่พูดมานี่ เขาจะดีกว่าอาตมามาก เพราะเวลานั้นอาตมามีความรู้ยังไม่เท่ากับพวกที่ฝึกมโนมยิทธิในเวลาปัจจุบัน เวลาปัจจุบันนี้ ลูกศิษย์ที่ได้มโนมยิทธินี่เก่งกว่าเยอะ

เห็นภาพพระชัดเจนแจ่มใส ไปนิพพานก็ได้ เขาเก่งกว่าแต่การเก่งว่า ทะนงว่าเก่งกว่า ไม่ช้าก็เจ๊ง แต่ว่าคนใดไม่ทะนง ใช้ให้ถูก ก็ใช้ได้ก็รวมความว่า หลังจากนั้นแล้ว เมื่อเอาจิตลดลงมาถึงอุปจารสมาธิ กำลังฌาน ๔ คุมจิต มีอารมณ์ทรงตัว นิวรณ์ไม่กวนใจ ก็กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้า เห็นท่านนั่งงามสง่าอยู่ข้างหน้าสวยงามมาก แล้วก็แย้มพระโอษฐ์

ท่านถามว่า อยากจะคุยกับพระใช่ไหม
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า อยากจะคุยกับพระขอรับ
ท่านบอก ได้เลย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป มีอะไร ถามฉันได้ แต่ว่าจงทิ้งอุปาทาน นะ คำว่า อุปาทาน คือ อารมณ์จิตที่คิดไว้ก่อนว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างโน้น ระวังและประการที่สอง การที่จะพบพระพุทธเจ้าได้จริง ๆ ต้องใช้กำลังวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มข้น

มีความเบื่อหน่ายในร่างกายจริง ๆเห็นทุกข์ในร่างกายจริง ๆ แล้วก็มีความต้องการละร่างกายจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นจะพบพระพุทธเจ้าอย่างดี คำว่า อย่างดี ก็หมายความว่าของแท้ ถ้าหากว่ายังมีอุปาทานครอบงำอยู่ ระวัง กิเลสมาร จะเข้าครอบงำ มารจะแปลงตัวเป็นพระพุทธเจ้า มีสภาพแจ่มใส แล้วก็จะพูดคล่องกว่าพระพุทธเจ้า เขาจะบอกทุกอย่าง แต่มันไม่ถูก มันถูกบ้างไม่ถูกบ้าง จงจำอารมณ์ไว้ว่า อารมณ์วันไหนมีสภาพอย่างไร

ถามแล้วก็รับคำตอบ ตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง วันต่อไป ถ้าอารมณ์ไม่ดีถึงขนาดนั้น จงอย่าเชื่อ จงอย่าถาม จะถามต่อเมื่ออารมณ์ดีถึงที่สุดก่อน ก็เป็นอันว่า เป็นการฝึกการถามพระ ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านคงคิดว่า ถามอะไรในวันนั้น
ก็ถามท่านบอกว่า วันนี้หลวงพ่อโหน่งสอนแปลก ในเมื่อข้าพระพุทธเจ้าเองปรารถนาพุทธภูมิ แต่ว่าท่านสอนให้ปฏิบัติในสังโยชน์ ๑๐ ประการ ตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้ได้

พระท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอกว่า มีความจำเป็น ถ้าเราไม่ทรงบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วน ไม่สามารถชำระสังโยชน์ ๑๐ ประการให้สะอาดจากใจ ความปรารถนาใดใดในเรื่องนิพพาน ของเราจะไม่มี
ก็ถามท่านบอกว่า ตามธรรมดา คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ ก็ยังจะไม่เป็นพระอริยเจ้าใช่ไหม
ท่านบอกว่า ใช่

ก็ถามท่านบอกว่าถ้าบังเอิญตัดสังโยชน์ขาด เป็นพระอริยะเจ้าไป จะไม่ผิดสัจจะหรือ
ท่านบอก ก็ไม่มีอะไรผิด การเป็นพระพุทธเจ้าก็ไปนิพพาน การเป็นพระอริยสาวก ก็ไปนิพพานขอให้สรุปตัวเองว่า เราต้องการนิพพานดีกว่า ถ้าเราเป็นพระพุทธเจ้าได้ เราก็จะสอนคนให้ไปนิพพาน และวิชาที่จะสอนคนให้ไปนิพพานคือ บารมี ๑๐ กับสังโยชน์ ๑๐

ปฏิบัติในบารมี ๑๐ ให้ได้ครบถ้วน ละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้ครบถ้วน อันนี้เราต้องรู้ไปก่อน นั่นหมายความว่า จิตเราสามารถจะระงับสังโยชน์ได้ แต่มันไม่เด็ดขาด นั่นคือพุทธภูมิ ถ้าตัดได้เด็ดขาด ก็เป็นพระอริยเจ้า เรียกว่า บรรลุความเป็นพระอริยเจ้ากัน

ฟังท่าน ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม ๆ ท่านก็บอกว่า เธอจงสนใจในสังโยชน์ ๑๐ และสนใจในบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วน เพราะว่าสัญญาใดที่มีมาในกาลก่อนที่จะเกิด สัญญานั้นยังไม่ขาดสัญญา ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามสัญญา

ก็ถามท่านบอกว่า สัญญามีอะไรขอรับ
ท่านบอกว่า มันไม่ใช่จะรู้เวลานี้ เวลานี้ไม่ใช่เป็นเวลารู้สัญญาเป็นการรู้ การฝึกปฏิบัติให้มันถูกต้อง ปฏิบัติให้มันตรงตามความเป็นจริง
หลังจากนั้น ท่านก็บอกว่า ต่อนี้ไปจงตั้งใจรักษาสัจจะ คือ๑. บารมี ๑๐ จะปฏิบัติให้ครบถ้วนจริง ๆประการที่ ๒. จะค่อย ๆ ตัดสังโยชน์ สังโยชน์ ๓ ข้อ จะให้มีการทรงตัว ตัดให้ได้ทรงตัว

ต่อไปก็สังโยชน์ ๕ ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัวสังโยชน์ ๑๐ ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัว
ก็ถามว่า จะตัดให้ได้ทรงตัวจะใช้เวลานานไหมขอรับ
ท่านบอกว่า ก็ต้องใช้กำลังกันเป็นเวลา ๑๐ ปี ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ไม่ใช่ปีหน้า ไม่ใช่ปีโน้น สำหรับเธอ ตัวเธอนี่จริง ๆ จะต้องใช้เวลาเกิน ๒๐ ปี

เวลานั้นก็บวชเข้ามา ๒ พรรษาแล้ว จะเข้าพรรษาที่ ๒ เป็นพรรษาที่ ๑ คือ ออกจากพรรษาที่ ๑ แล้ว ถึงเดือน ๓ ยังไม่เข้าพรรษาที่ ๒ แต่ต้องว่าไปอีก ๒๐ ปี
ถามท่านบอกว่า เมื่อเวลานานแบบนั้นไม่ต้องการได้ไหม เอาเฉพาะด้านพุทธภูมิ
ท่านบอกนี่แหละเป็นหลักการของพุทธภูมิ พุทธภูมิก็ต้องมีบารมี ๑๐ ครบถ้วน และก็มีจิตละเอียดในสังโยชน์ ๓ ประการ , ๕ ประการ , ๑๐ ประการ จะต้องเข้าใจในสังโยชน์ทุกประการ จึงจะเป็นไปได้

หลังจากนั้นท่านก็ลากลับ หายไปเลย เมื่อพระพุทธเจ้าที่ท่านลอยมาหายไป ท่านสวยมาก ท่านมาใหญ่เท่าเดิม หน้าตักประมาณ ๘ ศอกเศษ ๆ สวยมาก พูดจาไพเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใส ที่ใครเขาว่าพระพุทธเจ้าไม่ยิ้มนี่ ไม่จริงหรอก ทรงแย้มพระโอษฐ์ สวยมาก หลังจากพระพุทธเจ้าไปแล้ว จิตก็ชุ่มชื่น ไม่อยากหลับ จิตใจชุ่มชื่นที่ได้คุยกับพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก

หมายความว่า ครั้งก่อน ๆ อาจจะพูดบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่หลักวิชาการก็ทำกรรมฐานอันดับแรก พอทำไป ๆ ตั้งใจ พอจิตทรงตัว มั่นคงในสมาธิทุกชั้นเมื่อลดกำลังสมาธิลงมา บรรดาท่านพุทธบริษัท พอลดลงมาหน่อย สัญญานบอกหมดเวลาเกิดเสียแล้ว ขอลาก่อน ต้องหยุด เพราะเทปมันหมด เทปหน้าฟังกันใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


 ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/12/12 at 15:45 [ QUOTE ]


4

เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง (๓)



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้คงเป็น วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๓ ตามเดิม มาคุยกันต่อไปหลังจากที่จิตตกลงนิดหนึ่งกำลังสมาธิลดลงมาถึงอุปจารสมาธิ ความรู้สึกมันก็เกิดขึ้นทันทีตามกำลังของปัญญาของสมาธิ ที่ท่านบอกว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิ ปัญญาก็เกิด ปัญญาตัวเกิดตัวแรกก็คือ ปัญญาจับกายคตาสติกรรมฐาน เพราะว่ากรรมฐาน ๔๐ นี่ ปฏิบัติกันไม่ได้แน่นอนนะญาติโยม สุดแล้วแต่ว่าอันไหนขึ้นมา จับอันนั้น

ต้องศึกษากันครบ ๔๐ มีประโยชน์มากอันดับแรก จิตจะล่วงเข้าไปถึงตับไต ไส้ ปอด ตั้งแต่หัว ถึงเท้า ถ้าหนังมันลอกไปแล้ว จะมีความรู้สึกอย่างไร มีแต่เนื้อ เลือดไหลซิบ ๆ คำว่า สวย ของคน หมดกันตรงนี้ แล้วก็ต่อมา ถ้าลอกเนื้อออกจะมีความรู้สึกอย่างไร เหลือแต่โครงกระดูก แต่ข้างในยังมีตับ ไต ไส้ปอด อยู่ ถ้าตับ ไต ไส้ ปอด หมดแล้ว จะเหลือแต่กระดูก ก็พิจารณากันไม่ยาก

ทุกอย่างเมื่อเห็นแล้วก็มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายทั้งหมดนี้มันเป็นธาตุ ๔ แบ่งเป็นอาการ ๓๒ และมันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก อย่างนี้เป็น กายคตาสติ แล้วในที่สุดมันก็สลายตัว เป็น อนัตตา อันนี้เป็นวิปัสสนา จิตมันก็เห็นชัดด้วยกำลังของฌาน มีอารมณ์ผ่องใส สดชื่นมีความดีใจว่า เวลานี้เราเพิ่งรู้จักของจริง เรามุ่งเฉพาะ สมถภาวนามานาน ทำกันถึงฌาน ๘ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔

นี่เรายังไม่มีดีอะไรเลย ยังวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แค่รูปฌาน และอรูปฌาน ก็ไปหลงคำยอของคนอื่น ที่พระอื่นเขาทำมาก่อน เขาบอกว่า เก่งแล้วดีแล้ว ๆ นี่เรามันโง่จะไปโทษท่านไม่ได้ เพราะเรามันโง่เองในเมื่อมาพบกับของจริงเข้าอย่างนี้ จิตใจก็ชุ่มชื่น คิดว่า ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความเลวอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องการมีต่อไป ทีหลังอารมณ์นี้มันก็จับอารมณ์ใจ เห็นใครเข้าปั๊บ

เห็นผิวนอกก็เห็นข้างในหมด มันมีความรู้สึกเหมือนกันหมด เห็นข้างในแล้ว ในที่สุดก็มีความรู้สึกว่า ทุกคนต้องตายหมด คืนนั้นทั้งคืน เกือบไม่หลับ มันมีธรรมปีติ แต่ว่าในตอนเช้ามืด ประมาณสักตี ๓ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงบอก คุณเสียงที่พูดนี่เคยเป็นแม่คุณนะ จำวัดเสีย เช้าจะงง อย่าทรมานมากเกินไป การเพลิดเพลินเกินไปเป็นการทรมานกาย จะขัดต่อคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผลที่จะพึงได้ มันก็จะไม่ได้ ก็ถามว่า ทำไมจึงจะหลับ เวลานี้จิตมันฟูเหลือเกิน ท่านก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น แม่จะทำให้หลับ เอนกายลง ก็เอนกายลง ไม่เห็นตัว พอเอนกายลง ท่านบอก จับอานาปานสติ ก็ทิ้งภาพกายคตาสติ จับอานาปานสติ นึกถึงพุทธานุสสติพอนึก พุท หายใจเข้า โธ ออก แค่นั้นเองหลับ เมื่อหลับแล้วก็พ้นไปพอตอนเช้า ฉันเช้าเสร็จ ก็มาคุยกันหน่อยหนึ่ง ฉันเช้าที่ไหน

ขอตอบว่า ฉันเช้าในป่า เวลานั้นมันยังเป็นป่าเยอะ ดินแดนเมืองสุพรรณป่าเยอะแยะ เป็นป่ามาก มีทุ่งน้อย ก็เอาบาตรแขวนกับต้นไม้ จับพุทธานุสสติกรรมฐาน เห็นภาพพระพุทธเจ้า เห็นท่านยิ้ม ท่านถามว่ามีอะไรจะคุยไหม ความจริงเห็นภาพอย่างนี้ เห็นทุกวัน แต่คุยไม่เป็นความโง่ของคนมันเป็นอย่างนี้ คนที่เขามาคุยกับอาตมาบ้าง มาศึกษากรรมฐานบ้าง เขาคงคิดว่า คงฉลาดมาก

แต่ความจริงโง่บัดซบ โง่แสนโง่ พบพระพุทธเจ้ามานาน พูดไม่ได้ ถามไม่ได้ ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้มีความรู้สึกอย่างไรก็เลยกราบเรียน ท่านบอกว่า มีธรรมปีติสูงมาก ท่านบอกว่า ระวังนะปีติ ถ้ามากเกินไป มรรคผลจะไม่เกิด เพราะอารมณ์ปีติฟู ปีติ ถ้าน้อยเกินไป มรรคผลก็จะไม่เกิด ต้องมีกำลังใจแค่พอดี ๆ จึงกราบเรียนถามท่านว่า คำว่า พอดี แค่ไหน

ท่านบอกว่า แค่อารมณ์จิตเป็นสุข อย่าให้ฟูเกินไป อย่างเมื่อคืนนี้ฟูเกินไปไม่อยากจะเลิก อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องถอยหลัง ก็รับปากจากท่านที่ท่านสอน เมื่อท่านพูดจบ ก็มีเสียงบอกว่า บาตรมีอาหารครบแล้วครับ เป็นเสียงผู้ชาย แต่ไม่เห็นตัว ก็ลืมตาขึ้นมา บาตรมีอาหารครบ มีดอกไม้สวย ๆ ๑ ดอก ต่างองค์ต่างก็ฉันข้าวกัน เมื่อฉันข้าวเสร็จ ก็เดินจงกรม

เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป ตามสบาย ๆ ให้ร่างกายหายเครียด ร่างกายคลายเครียดแล้วก็นั่ง นั่งไปนั่งมา หลังจากเที่ยง ถึงเวลาที่หลวงพ่อโหน่งออกมารับแขกเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาพอสมควร เวลาประมาณบ่าย ๓ โมง ก็เข้าไปกราบท่าน ในเมื่อเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้พบพระแล้วใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า เรื่องพบพระนี่พบทุกวัน ตั้งแต่เจริญกรรมฐานมา

วันแรกก็พบพระเรื่อย แต่ว่าไม่เข้าใจเรื่องการถามพระ ท่านบอกว่า นี่มันเป็นหน้าที่ของอาจารย์ปานท่าน อาจารย์ปานท่าน ที่ท่านไม่บอกเธอ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าหน้าที่การบอกเธอคือ ฉัน เราเคยทำบุญร่วมกันมา แต่หน้าที่ของใคร ก็หน้าที่ของใครหลังจากนี้มีความพอใจหรือยังว่า การถามพระได้บอกว่า พอใจแล้วครับ

ท่านก็เลยบอกว่า การปฏิบัติกรรมฐานต้องถามพระทุกขั้นทุกตอนนะ อะไรที่ได้มา เขาเรียกกันว่าอะไรอย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือยัง ถูกหรือผิด ถ้าผิดพลาด จะทำอย่างไรในการแก้ไข ให้ถามพระโดยตรง อย่าถามใคร แต่ว่าอย่างอาจารย์ปานหรืออย่างอาจารย์จงนี่ถามได้ ไม่ผิด แต่คนอื่นอย่าเพิ่งไปถามเข้า เพราะว่าหลวงพ่อเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ใครเขาได้ชั้นไหน

ถ้าบังเอิญไปพบกับคนที่เขาได้จริง ๆ มันไม่ผิดถ้าไปพบกับคนที่ไม่ได้จริง ๆ เขาจะแนะนำว่า อย่างนี้ใช้ไม่ได้เผื่อการเห็นภาพพระเป็นจิตเลื่อนลอย การเห็นนิพพานมีจริงเป็นของเลื่อนลอย อย่างนี้เธอก็จะผิดทาง ก็รับปากท่าน ท่านบอกว่า ต้องทำทุกวัน ถึงแม้ว่าฌานสมาบัติที่เธอได้ก็เหมือนกัน เมื่อทำอารมณ์ถึงที่สุดแล้ว หลังจากนั้น วิปัสสนาญาณมันจะเข้า ปัญญามันเกิดเอง

คำว่า วิปัสสนาญาณ คือ ปัญญา ที่รู้แจ้งเห็นจริง มีความเข้าใจตามความเป็นจริง อย่างเมื่อคืนนี้ที่เธอเห็น กายคตาสติ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายน่าเกลียด ลอกหนัง ลอกเนื้อ เอาตับ ไต ไส้พุงออก อย่างนั้นเป็น กายคตาสติ และอสุภกรรมฐาน แล้วเธอก็นึกถึงความตายหรือการสลายตัวซึ่งเป็น อนัตตา นี่เป็นอันว่า

ไม่ได้บอกท่าน ท่านรู้ ท่านบอกว่า นี่แหละเป็นตัวปัญญาที่เกิดจากสมาธิ เมื่อสมาธิมันตั้งมั่นดีแล้ว ขณะที่สมาธิตั้งมั่นมันจะไม่คิดอะไร มันจะมีสภาพดิ่งของมันทรงตัว ก็ปล่อยไป อย่าฝืนฉะนั้น คนที่เคยมาถามบ่อย ๆ ว่า จิตดิ่ง ทำอย่างไร ๆ ฟังไว้ด้วยนะปล่อยให้ดิ่งไปตามนั้น สักครู่หนึ่งจิตมันจะลดตัวเอง กำลังสมาธิจะลดตัว ในเมื่อสมาธิลดตัวมาถึงอุปจารสมาธิ

อารมณ์ก็จะเกิด ความรู้สึกจะเกิด ความรู้สึกตัวนี้เป็นตัววิปัสสนาญาณ เป็นตัวปัญญา จะเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้ามันจะเกิดมุมไหนก็จับเฉพาะมุมนั้นนะ มันดีทุกมุมรวมความว่า การฝึกกับหลวงพ่อโหน่ง ฝึกจนคล่อง อยู่ที่นั่นใช้เวลา ๑๕ วัน ก็ไปลาท่านกลับ ท่านถามว่า แล้วจะมาอีกไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า สุดแล้วแต่หลวงพ่อปาน

ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เธอก็ยังไม่ได้มาอีกนาน ถ้าจะมาก็จวนฉันจะตายนั่นแหละใกล้ ๆ เวลาที่ฉันจะตาย เธอจะได้มากับหลวงพ่อปานอีกครั้งหนึ่ง
ก็กราบเรียนท่านว่า ท่านจะตายก่อนหลวงพ่อปานหรือขอรับ
ท่านบอกว่า ใช่ พระท่านบอกว่า ฉันจะตายก่อนหลวงพ่อปาน แต่ไม่เป็นไร มีอะไรมาถามกันได้เลยนะเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน การเดินไปเดินมาเป็นของยาก เราไปพบกันที่ต่อหน้าพระก็แล้วกัน

ถ้าเธอเห็นพระเมื่อไรนึกถึงฉันเมื่อนั้น ฉันจะพบกับเธอทันทีที่ข้างหน้าพระ เธอมีอะไรถามฉันได้ ถ้าฉันไม่เข้าใจพระท่านจะตอบแทน แหม…เป็นโชคหนัก แต่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังแล้วก็คิดดูให้ดีนะว่า การศึกษากันทั้งหมดนี่ ไม่พูดกันถึง เรื่องฤทธิ์เลย เรื่องการเหาะเหินเดินอากาศนี่ ไม่ได้มีการศึกษากัน ทีนี้ก็มีคนหลายคนคุยว่า อาตมาเก่ง เก่งกว่าความเป็นจริงเยอะ ที่เขาคุยกันนะ แต่ความจริงเรื่องฤทธิ์นี่ไม่ได้คิดว่าจะเหาะ คิดว่า ทำอย่างไรจะคุยกับพระได้ คุยกับพระถูก

ทีนี้มาก็ขอเล่าเรื่องหลวงพ่อโหน่งสักเรื่องหนึ่ง คือ หลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟัง นี่หลวงพ่อปานท่านพูดเองนะว่า สมัยหนึ่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดมหาธาตุฯ หลวงพ่อเฮง เวลานั้นท่านเป็นพระราชาคณะ ยังไม่ได้เป็นสมเด็จฯ ท่านจะไปฝังลูกนิมิตที่วัดปาดคลองสองพี่น้อง วัดนี่จำไม่ได้แน่นอน ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑลแล้ว ในงานนั้นเขาก็ต้องนิมนต์หลวงพ่อโหน่งมาด้วยเป็นของธรรมดา ถึงเวลากลางคืน

ตอนที่เขาจะทำนิมิตกัน พระทุกองค์มาหมด แต่ว่าขาดหลวงพ่อโหน่งองค์เดียว เป็นอันว่า หลวงพ่อโหน่งไม่มา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดมหาธาตุฯ ( หลวงพ่อเฮง ) ท่านก็บอกกับพระทั้งหลายว่า ถ้าหลวงพ่อโหน่งไม่มา เรายังทำกันไม่ได้เพราะว่าหลวงพ่อโหน่งเป็นพระที่มีความสำคัญมาก การที่เราทำ มันอาจจะผิดวิธีการก็ได้ ตามตำรานี่ ตำราเขาเขียนถูก แต่ความรู้สึกของเราอาจจะผิด

แต่ความจริง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เฮง)นี่ใคร ๆ ก็ยอมรับนับถือว่าเป็นนักตำราจริง ๆ มีการแตกฉานในพระไตรปิฎกจริง ๆ ทุกคนก็ต้องคอย ในเมื่อหัวหน้าบอกให้คอย ก็ต้องคอยคอยจนกระทั่งยันเช้า หลวงพ่อโหน่งยังไม่มา ก็ไม่มีใครทำกันพอตอนสายประมาณ ๓ โมงเช้า หลวงพ่อโหน่งมา ในเมื่อหลวงพ่อโหน่งมา หลวงพ่อเฮงท่านก็เรียนถามหลวงพ่อโหน่ง

ท่านเห็นหลวงพ่อโหน่ง ท่านเข้าไปกราบหลวงพ่อโหน่งนะ ท่านไม่ได้คิดว่าท่านเป็นเจ้าคณะมณฑล อันนี้ต้องคิดให้ดี พระชั้นดีนะ หลวงพ่อเฮงนี่ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ไม่ใช่ดีแต่ตำรา ด้านจิตใจสมาธิก็ดีมาก ท่านเข้าไปกราบหลวงพ่อโหน่ง ในฐานะที่เป็นอาวุโสกว่าท่าน ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้ ทำไมไม่มาครับหลวงพ่อ พวกผมคอยกันจนสว่าง

ท่านก็เลยบอก พิธีกรรมที่ทำนี่ที่กำหนดว่าจะทำ พระท่านบอกว่า ผิด ทำไม่ได้ ท่านไม่ให้ผมมา ให้มาตอนสายผมก็เลยมาตามคำสั่งของท่าน
หลวงพ่อเฮงก็ถามว่า (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นะ) พระสั่งว่าอย่างไรขอรับ
ท่านก็บอกว่า พระสั่งว่าต้องทำแบบนี้ แล้วสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เฮง) ก็ให้พระจดทันที (เลขานุการจด) ช่วยกันจดพิธีกรรมต่าง ๆ

เมื่อจดเสร็จ สั่งทำตามพิธีกรรมนั้นทันทีทันใด ท่านบอกว่า อย่างนี้ถูกแน่นอนนี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ความจริงพระสมัยนั้นท่านดีจริง ๆ พระดีมีมาก แต่ขึ้นชื่อว่า ของธรรมดาในโลก บรรดาท่านพุทธบริษัท มันเป็นของคู่กัน เมื่อมีความดีแล้วก็ต้องมีความชั่ว มีความชั่วแล้วก็มีความดี มีคนรู้จริง ก็ต้องมีคนรู้ไม่จริง คนรู้ไม่จริงมี ก็ต้องมีคนรู้จริง

คนรู้อย่างประเภทหยิ่งยะโสโง่แกมหยิ่ง ประเภทนี้ก็ต้องมีประจำโลกเหมือนกัน ก็เป็นของธรรมดา ๆ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ คนในโลกก็ไม่มี ไปนิพพานกันหมด ก็รวมความว่า หลังจากนั้นก็ลาหลวงพ่อโหน่งกลับ เมื่อลาหลวงพ่อโหน่งกลับวัด มาถึงที่วัดก็มาเจอะของดีอีก เราจะเรียกกันว่าอย่างไรดี ก็เจอะพระชั้นดี ลูกศิษย์หลวงพ่อปานน่ะ

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าไปที่ไหนมีคนยกย่องสรรเสริญ เคารพนับถือ บูชาสักการะเลี้ยงดูอย่างดีมาก แต่ว่าที่ดีจริง ๆ มีปริมาณน้อยเหลือเกินเพราะอะไร เพราะว่าวิชาที่หลวงพ่อปานสอนน่ะ ไม่เอาหรอก อย่างสมถวิปัสสนานี่ อาตมาจำได้ ในสมัยนั้น ก็มีพระสำรวย คือ พระครูธรรมโสภิต วัดสร้อยทอง เวลานี้องค์หนึ่ง ที่สนใจกรรมฐานจริง ๆ

แล้วก็ หลวงพ่อเล็ก เกสโร อาจารย์ฉัตร ๓ องค์นี่เอาจริง นอกนั้นก็เป็นลิงหลอกเจ้า คำว่า ลิงหลอกเจ้า นี่หมายความว่า ไม่เอาเลยเรียนนักธรรมบาลีก็ไม่อยากจะเรียน แต่การงานชอบทำ เพราะไม่ต้องเรียน อย่างนี้เราจะพบดีกันที่ไหนในเมื่อเข้าไปวัดก็เจอะของดีเข้าซิ บรรดาพระพวกนี้แหละเอ้า..อรหันต์มาแล้วโว้ย คนเก่งมาแล้ววะ เอ้า…พวกเราใครอยากจะดูอะไร

ใครอยากจะดูแสดงฤทธิ์ ต้องยิ้ม เขาว่าอย่างไรเราก็ยิ้ม ที่ยิ้มเพราะอะไร ยิ้มเพราะว่า เราดีใจว่า เรารู้แล้วว่าพวกนี้เขาจะไปไหน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกำลังใจเราคุมพระ จิตใจเห็นพระตลอดเวลาพอเขาพูดปั๊บ เห็นภาพในอดีตของเขาลงไปนอนจมในอเวจีมหานรก ไฟลุกพึ่บ ๆ ๆ มีหอกร้อย หอกเสียบ ดิ้นรนไม่ไหว เราก็ยิ้ม เราคิดว่า นี่เราจะไปเถียงกับสัตว์ในอเวจีอย่างไร

ถ้าเถียงกับเขา ดีไม่ดี เราก็ลงอเวจีไปด้วย คนถ้าด่ากันฝ่ายเดียว ฝ่ายหนึ่งด่า อีกฝ่ายหนึ่งไม่ด่า ถ้าขึ้นสถานีตำรวจ ฝ่ายที่ไม่ด่าไม่ต้องเสียเงินค่าปรับ ถ้าด่าด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ถูกปรับทั้ง ๒ ฝ่าย นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเขาเลว ถ้าเราไปเลวตามเขา ไปโกรธเขา เราก็เลวเราก็ต้องไปนรกกับเขาด้วย เราก็ยิ้ม พอพวกเรายิ้มมันก็บอกว่า นั่นแน่…เห็นไหม คนธรรมดา ถ้าพูดอย่างนี้ เขาต้องเถียง

ไอ้นี่มันบ้า ๆบวม ๆ ใครเขาพูดอย่างไร ก็เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว อย่างนี้เขาเรียกว่าบ้ายิ้ม เขายังเอาอีกต่อมาเมื่อเดินเข้าไป เห็นหลวงพ่อปานกำลังรับแขก ก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรทั้งหมด เพราะท่านกำลังคุยกับแขก เรากราบท่าน ท่านก็ยกมือรับไหว้ เราก็ยังไม่เข้ากุฏิก่อน เข้าไม่ได้ ในเมื่อท่านยังไม่พูด ยังไม่สั่ง ในเมื่อท่านคุยกับแขกจบเรื่อง

ท่านก็ถามว่า วิชาคุยกับพระได้มาแล้วใช่ไหม บรรดาพวกแขกเขาก็ตะลึงเขามองดู เขาถามว่า คุยกับพระอย่างไรขอรับ หลวงพ่อปานท่านบอกคำว่า คุยกับพระ ก็คือ พูดกับพระพุทธเจ้า การที่พบพระพุทธเจ้าได้ก็ดี พบเทวดาหรือพรหม นางฟ้าได้ก็ดี เป็นของดีแต่ก็ยังไม่ดีจริง ถ้าจิตเราเลว ทีนี้การพบพระได้ เราจะถามได้ว่า กรรมฐานที่เราทำหรือข้อวัตรปฏิบัติที่เราทำ มันดี หรือไม่ดี มันถูกหรือมันผิด ถ้าสิ่งใดที่มันยังพร่องอยู่

สมมติว่าเวลานี้บารมีเรายังพร่องเรายังมีบารมีขั้นสวรรค์ชั้นกามาวจร เราอยากจะเป็นพรหม เราจะทำอย่างไร ท่านจะบอกให้สั้น ๆ ง่าย ๆ แล้วก็ปฏิบัติตามท่าน เพียงแค่นี้ประเดี๋ยว ๒ - ๓ วันก็ได้ ถ้าเราต้องการจะไปนิพพาน จะทำอย่างไรท่านก็จะบอกให้แบบสั้น ๆ เฉพาะที่พร่อง เพราะบุญบารมีทุกคนทำมาแล้วอย่างไหนมันเต็มแล้ว ท่านก็บอก ไม่ต้องทำ

อันนั้นมันเต็มแล้วรักษาไว้ ไม่ต้องทำใหม่ ทำสิ่งที่มันบกพร่องให้มันเต็มอย่างในสมัยพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เวลานั้นสมเด็จพระบรมครูเทศน์ไม่ยาก เทศน์คนฟังง่าย ๆ อย่างเทศน์ให้ เปสการี ฟังว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ขอเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต คิดว่าความตายจะมีกับเราวันนี้ไว้เสมอและทุกคนให้นึกถึงพระไตรสรณาคมน์ รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ อันนี้แถม เพียงเท่านี้เธอก็เป็นพระโสดาบัน

เพราะอะไร เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเขาพร้อมแล้ว มันขาดเท่านั้น ทีนี้ถ้าเราเจริญกรรมฐาน พบกับพระได้ คุยกับพระได้ เขาถือว่าเป็นการเจริญกรรมฐานที่ได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ ผลที่จะพึงได้จริง ๆ ถ้าบุคคลใดได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์บุคคลนั้นมีหวังไปนิพพานในชาตินี้ ถ้ากรรมอย่างอื่น กรรมชั่วไม่มาริดรอน ไม่มาตัดทอนเขา เขาสามารถจะไปนิพพานได้

ก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งถามว่า พระทั้ง ๓ องค์นี่ พบพระได้แล้วหรือยัง ท่านก็บอกว่า ฉันสอนให้เขาพบพระได้ตั้งแต่วันแรกบวช เขาก็พบ แต่ว่าเขาคุยกับพระไม่ได้ เพราะเขามีความไม่เข้าใจ ถ้าฉันจะบอกเขา ฉันก็บอกได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน มันเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อโหน่งที่จะต้องบอก เพราะทั้ง ๓ องค์นี่เขาเคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมา

ร่วมกับฉันเขาก็ร่วม ร่วมกับหลวงพ่อโหน่งเขาก็ร่วม แต่หน้าที่ในการบอกจะต้องเป็นหลวงพ่อโหน่ง ฉันก็ให้เขาไปหาหลวงพ่อโหน่ง เขาก็ไปหาหลวงพ่อโหน่ง เขาก็เรียนมาแล้ว
ท่านก็หันมาถามว่า เวลานี้คล่องตัวแล้วใช่ไหม ก็ตอบท่านว่าคล่องแล้วครับ ญาติโยมทั้งหลายก็ถามว่า การคุยกับพระทำอย่างไรขอรับ ก็บอกว่า โยมถามหลวงพ่อปานก็แล้วกัน อาตมาเป็นลูกศิษย์เพิ่งจะได้เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ยังเป็นคนที่ไม่ถึงความดี อย่าเพิ่งถามกันเลย

หลวงพ่อปานก็บอกว่า จริง อย่าไปยุ่งกับพระท่าน เอ้า…คุณทั้ง๓ องค์ กลับไปกุฏิได้นะ ตามสบาย ตอนเช้าจะไปบิณฑบาตก็ได้ ไม่ไปบิณฑบาตก็ได้ แต่การบิณฑบาตกับต้นไม้ของเธอให้ทำตามปกติและธุดงค์ ๑๓ ให้เลือกปฏิบัติตามชอบใจนะ

เวลานี้หมดเวลาแล้ว ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ขอลาก่อนขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/12/12 at 14:21 [ QUOTE ]


5

เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม


วันนี้ตรงกับ วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๓ ก็ขอคุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท กับเพื่อนภิกษุสามเณร นำความหลังมาคุยกัน หลังจากกลับมาจากวัดหลวงพ่อโหน่งแล้ว ก็อยู่วัดไม่นานนัก ถ้าจะถามถึงวิธีปฏิบัติ ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบ การปฏิบัติ ปฏิบัติกันแบบสบาย ๆ แต่สิ่งที่มีความสำคัญอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า

พระพุทธรูปหรือว่ารูปพระพุทธเจ้าอย่าให้ห่างจากใจ เราจะคุยกับใครก็ตามจะทำอะไรก็ตาม เว้นไว้แต่ว่าเอาใจไปเรียนหนังสือ ไปดูหนังสือ ฟังสวดมนต์ ถึงแม้ว่าฟังสวดมนต์ ก็อย่าเอาใจห่างจากพระพุทธรูป หรือว่ารูปพระพุทธเจ้าก็รวมความว่า จับรูปพระเป็นอนุสติ นี่เป็นอันดับแรก และต่อมาการเจริญวิปัสสนาญาณ การเจริญวิปัสสนาญาณนี่ไม่ได้ทำจริงจังคำว่า

ไม่ทำจริงจัง ก็หมายความว่า ไม่ใช่ไปนั่งเครียด ใช้อารมณ์ธรรมดา ๆ ตามที่ท่านสอนมา เรานั่งอยู่ที่ไหน ก็เห็นทุกข์ที่นั่นตามอริยสัจ การนั่งก็เป็นทุกข์ การนอนก็เป็นทุกข์ การยืนก็เป็นทุกข์ การเดินก็เป็นทุกข์ ค่อย ๆ เห็นทุกข์ อย่าเห็นแรงนัก และเวลาเห็นคนก็จงอย่าดูเฉพาะผิวภายนอกของคน หรือดูผิวภายนอกก็อย่าดูเฉพาะที่สะอาด แต่เนื้อแท้จริง ๆ

ร่างกายของคนเต็มไปด้วยความปกสรกโสโครก ค่อย ๆ เห็นแต่บางทีมันก็ย่องไปเห็นคนสวยเหมือนกัน สาว ๆ บางทีก็เห็นสวย แต่ถ้าดูนาน ๆ ชักเริ่มไม่สวย ทั้งนี้ก็เพราะว่า จิตมันชิน นึกเห็นโน่นนึกเห็นนี่ นึกเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามสภาพความเป็นจริง ก็เลยคิดว่าไม่สวย ถ้าจะถามว่า อย่างนี้หลวงพ่อปานชมว่าดีหรือยัง ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงว่า

หลวงพ่อปานยังชมว่า ยังใช้ไม่ได้ ต่อมาไม่ช้าไม่นานเท่าไรนัก ท่านก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปเธอจงไป วัดน้อยที่จังหวัดสุพรรณบุรี ในเขตของอำเภอบางปลาม้า วัดน้อยนี่อยู่ในเขตอำเภอบางปลาม้า ใกล้อำเภอท่าพี่เลี้ยง อำเภอท่าพี่เลี้ยง ก็คืออำเภอเมือง ใกล้จะสุดเขตอำเภอบางปลาม้า หลวงพ่อเนียมอยู่ในฐานะอาจารย์ของหลวงพ่อปาน

การไปสมัยนั้น จะไปเรือจ้าง จะไปเรือเมล์ มันหายากเหลือเกิน ทางที่ดีจริง ๆ ก็ต้องไปธุดงค์ การไปธุดงค์ก็ไม่หนัก เพราะธุดงค์จนชิน ข้ามฟากจากวัดบางนมโคเดินตัดตรงมาตลาดบ้านแพน เดินตัดตรงไปประตูน้ำเจ้าเจ็ด หลังจากนั้นก็ตัดตรงไปอำเภอบางปลาม้า ใช้เวลาพักเวลากลางวันประมาณ ๒ วัน ก็ถึงวัดหลวงพ่อเนียม เรื่องความเป็นมาของหลวงพ่อเนียม

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอ่านเอาตามหนังสือหลวงพ่อปานก็แล้วกัน แต่ว่าจะพูดถึงวิธีสอนของท่านสักนิดหนึ่ง เพราะในสมัยนั้นไม่ได้พูดถึงวิธีสอนมากมายนัก วิธีสอนของท่านก็คือว่า เมื่อวันที่สามผ่านไปแล้ว พอวันที่สี่ก็ปรากฏว่าท่านให้ไปหาในโบสถ์ ทีนี้ในช่วงนั้น หลวงพ่อเนียมจริง ๆอายุเห็นจะใกล้ ๘๐ ปี เรื่องอายุนี่ก็ไม่แน่นอน ไม่ขอยืนยัน ท่านแก่มากท่านนุ่งผ้าอาบผืนเดียว

เอาผ้าอาบอีกหนึ่งผืนมาคล้องคอ ไปทางไหนก็มีไม้เท้าคือ ไม้อันหนึ่ง ไม้เท้าก็ไม่เป็นรูปไม้เท้า แต่ว่าคืนวันนั้นที่ไปหาหลวงพ่อเนียม ท่านนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูป ห่มผ้าเรียบร้อยทรวดทรงสวยสดงดงาม ผิวเหลืองอร่าม สวย หน้าตาอิ่มเอิบ ท่านมีความหนุ่ม คล้ายกับคนอายุประมาณ ๒๘ ปี หรือ ๓๐ ปีที่มีเนื้อเต็ม พอเข้าไปแล้วก็สงสัย เอ๊ะ…จะใช่หรือไม่ใช่ ความจริงคนแก่ กับคนหนุ่มนี่มันต่างกันมาก

ในเมื่อสงสัยท่านก็กวักมือเรียกบอกว่า เข้ามาเถอะ เป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอม เรื่องขันธ์ ๕ อย่าไปสนใจมัน ขันธ์ ๕ คือร่างกายมีสภาพไม่แน่นอน ดีไม่ดีประเดี๋ยวมันก็แก่ ประเดี๋ยวมันก็หนุ่ม ประเดี๋ยวมันก็ดำ ประเดี๋ยวมันก็ขาว ช่างมัน อย่าไปสนใจกับขันธ์ ๕ พอจะเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ชี้มือบอก ไปกราบพระประธานก่อน เมื่อกราบพระประธานด้วยความเคารพ

ขณะที่กราบพระประธาน บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตตั้งใจกราบด้วยความเคารพเมื่อจิตตั้งใจกราบด้วยความเคารพ อารมณ์ของจิตก็ทรงตัวตามปกติที่เคยปฏิบัติมา อารมณ์ใจมันเริ่มเป็นทิพย์ ก็หันมาหาหลวงพ่อเนียม ก็ปรากฏว่า หลวงพ่อเนียมเป็นพระซ้อนพระ คือ พระที่สวยจริง ๆไม่ใช่หลวงพ่อเนียม เป็นพระที่นั่งคุมหลวงพ่อเนียมอีกทีหนึ่ง แล้วก็กราบท่าน

พระที่คุมหลวงพ่อเนียมจะเป็นใครก็ช่างเถอะ ขอทิ้งไว้เป็นปริศนาดีกว่า เพราะว่าทุกคนเวลานี้ก็เจริญกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิในด้านมโนมยิทธิกันมา ถ้าใช้กำลังใจนิดเดียวก็จะทราบพอกราบท่าน ๓ วาระ ก็เงยขึ้นมา

ท่านก็บอกว่า การเจริญพระกรรมฐานของพวกเธอทั้งหมดที่ทำมาแล้ว ไม่ผิด ถูกทุกอย่าง แต่ทว่าบางอย่างก็มีกำลังอ่อนไป บางอย่างมีกำลังพอดี บางอย่างก็เครียดเกินไป ขอให้พยายามตั้งกำลังใจให้ทรงตัว ให้พอดี ๆ อย่าใช้อารมณ์เครียด การเจริญกรรมฐาน จงอย่าถือเอาเวลานั่งสมาธิเป็นสำคัญ ถ้ายังใช้เวลานั่งสมาธิเป็นสำคัญ ก็ยังถือว่า ยังไกลต่อมรรคผลมาก

เพราะขึ้นชื่อว่าความจริง วิปัสสนาญาณ นี่เขาแปลว่า ความจริง ที่แปลว่า รู้แจ้ง เห็นจริง ท่านบอกว่า ขึ้นชื่อว่า ความจริง มันมีอยู่กับเราทุกขณะ ทุกขณะที่เรายังมีลมหายใจเข้าออก เราต้องรู้จักความจริง อย่าถอยหลังไปหาความจริงที่แล้วมา หรือว่าอย่าคิดข้างหน้า ไปหาความจริงที่ยังไม่ถึง

ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะงง คำว่า ถอยหลังไปหาความจริงที่แล้วมา หมายถึงว่า มองดูความเป็นหนุ่มเป็นสาวว่าสมัยก่อนเขามีความเป็นหนุ่มเป็นสาว รูปร่างเป็นอย่างนั้น ๆ ๆ แต่เวลานี้มันเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ อันนี้ก็ไม่ถูก ต้องใช้เวลานี้ และบางคนเขายังแก่ไม่มาก ก็ยังไม่ต้องไปคิดถึงความแก่ข้างหน้า คิดแต่เพียงว่า

ในขณะนี้เขาจะทรงตัวแบบไหนก็ตาม เขาก็มีทุกข์ ทุกข์เพราะความหิว เพราะความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การปวดอุจจาระ ปัสสาวะ การประกอบกิจการงาน การป่วยไข้ไม่สบาย ความปรารถนาไม่สมหวัง และความตายจะเข้ามาถึง ทุกอย่างมันทุกข์ ต่อมาท่านก็สอนด้วยวิธีลัด

ท่านบอกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งฌานโลกีย์ พวกเธอทั้งหมดมีการคล่องตัวมาก การคล่องตัวในฌานโลกีย์ อย่าทะนงตัวว่าเป็นคนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฌานโลกีย์มีสภาพไม่แน่นอน ประเดี๋ยวก็ขึ้น ประเดี๋ยวก็ลง เดี๋ยวถอยหน้า เดี๋ยวก็ถอยหลัง ถ้าเวลาร่างกายทรุดตัวลง ฌานโลกีย์จะเสื่อม หรือมิฉะนั้นบางทีอารมณ์เผลอ นิวรณ์เข้ากวนใจเมื่อไร อารมณ์ก็เสื่อมเมื่อนั้น

คำว่านิวรณ์ คือ
๑. ความรักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อยสัมผัสระหว่างเพศ
ข้อที่ ๒ อารมณ์ไม่พอใจ
ข้อที่ ๓ ความง่วง
ข้อที่ ๔ อารมณ์ฟุ้งซ่านมากเกินไป
ข้อที่ ๕ สงสัยในผลของการปฏิบัติ


นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเข้าเกาะใจ ฌานก็เสื่อม จงอย่าสนใจในด้านของนิวรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอองค์นี้ ท่านหันมาทางอาตมา เธอปรารถนาพุทธภูมิก็จริงแหล่ แต่ทว่าคำว่า พุทธภูมิ หมายถึงว่า การศึกษาวิชาเป็นครู การจะเอาแต่ฌานโลกีย์อย่างเดียวนี่มันไม่ได้ ต้องใช้กำลังด้านวิปัสสนาญาณเข้าช่วยให้หนัก ถ้าครูโง่ ก็ไม่มีใครเขามาเป็นลูกศิษย์

นั่นก็หมายความว่า การทรงฌานโลกีย์นี่ยังมีความโง่อยู่มาก ฌาน ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ เธอสามารถจะทำเมื่อไรก็ได้ แต่ว่าถ้าจะถามเธอว่า เวลานี้สังโยชน์ ๓ เธอละได้ไหม เธอก็ตอบว่า ไม่ได้ สังโยชน์ ๕ เธอละได้ไหม เธอก็ตอบว่าไม่ได้ สังโยชน์ ๑๐ ละ ได้ไหม เธอก็ตอบว่า ไม่ได้ ฉะนั้นการทรงฌานโลกีย์ ในเมื่อยังไม่สามารถทำลายสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้จะถือว่าฉลาดไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นคนโง่

นี่ขอบรรดาผู้ฟัง ผู้อ่านรับทราบไว้ด้วยนะ ต่อมาท่านก็แนะนำเรื่องการศึกษาสังโยชน์ ๑๐ ประการว่า การศึกษาสังโยชน์ ๑๐ ประการนี่ความจริงไม่ใช่ของหนัก เป็นของเบา เราต้องทำแบบเบา ๆ อย่างสมัยพระพุทธเจ้า ท่านเทศน์ให้คนฟัง คนที่เขาฟังเขามีความฉลาด เขาฟังแล้วเขาก็คิดตาม ในเมื่อคิดตาม จิตก็มีผลตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

แต่ว่าคนสมัยนี้ พระสมัยนี้หายาก ที่ฟังแล้วคิดตามนี่หายาก มีแต่จำอย่างเดียว ดีไม่ดีก็จำไม่ได้เสียอีกด้วย วิธีคิดตามก็มีง่าย ๆ เป็นของไม่ยาก เมื่อท่านพูดถึงสังโยชน์ ๓ ประการเราก็ต้องจำว่า สังโยชน์ คือ กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดใจ พูดง่าย ๆ ก็คือ ความชั่ว ที่เข้ามาดึงใจไม่ให้เข้าไปถึงความดี อันดับแรกมี ๓อย่าง คือ

๑. สักกายทิฏฐิ
๒. วิจิกิจฉา
๓. สีลัพพตปรามาส

สำหรับในตอนต้น เราจะตัดสังโยชน์ ๓ ก็จงอย่าละเมอเพ้อฝันไปนำเอาอารมณ์พระอรหันต์มาใช้ ที่ทำกันไม่ได้จริง ๆ น่ะเพ้อไป แต่ความจริงสังโยชน์ ๓ ของพระโสดาบัน กับสกิทาคามีเป็นของง่าย นั่นคือ ๑.นึกถึงความตาย
ท่านก็หันมาถามว่า พวกเธอทั้งหลายเคยนึกถึงความตายไหม ทุกองค์ก็ตอบว่า นึกทุกวันพระเจ้าข้า นึกทุกวันแต่ความจริงเรื่องความตายนี่ต้องนึก

ถ้าไม่นึกถึงความตายฌานมันเสื่อมอารมณ์จิตมันกำเริบ ต้องเอาความตายเข้าคุม และยอมรับความจริงว่า มันตายจริง
ท่านถามว่า ประการที่ ๒ เธอมีความสงสัยในพระไตรสรณาคมน์ไหม คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก็ตอบท่านว่า ไม่สงสัย

ประการที่ ๓ เธอมั่นใจในศีลไหม ว่าเธอเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็กราบเรียนท่านบอกว่าข้อนี้ไม่มั่นใจ เพราะศีลละเอียดมาก ศีลของพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านอภิสมาจาร อภิสมาจารนี่ละเมิดเรื่อย ๆ ท่านบอกว่า อภิสมาจารนี่ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องของจริยาเล็กน้อย ก็ไม่น่าจะสนใจนัก ตั้งใจระวังก็เหมือนกัน

ระวังสิกขาบทที่มีความสำคัญยิ่งกว่านั้น อย่าง ปาราชิก สังฆาทิเสส นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ปาจิตตีย์ เป็นต้น นอกจากนั้นเป็นส่วนปฏิบัติ เป็นเรื่องของจริยา อาจจะมีการละเมิดบ้างไม่สำคัญ เลยกราบเรียนท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่หนักใจ

ท่านบอกว่า ไม่หนักใจจงอย่าคิดว่า ได้นะ จงคิดว่า อันดับแรกก่อนที่เราจะหลับ หรือก่อนที่เราจะนอน ก่อนที่จะทำอะไร เมื่อลืมตาขึ้นมาก่อน ก็ดูกำลังใจว่า กำลังใจเวลานี้ของเรา ต้องการสงัด หรือต้องการคิด การปฏิบัติทางจิต อย่าฝืนกำลังใจ ถ้าลืมตามีความรู้สึกขึ้นมาว่า กำลังใจต้องการความคิด ก็ให้มันคิด

เพราะกรรมฐานสอนไว้แล้วตั้ง ๔๐ อย่าง มีอารมณ์คิด ๒๙ อย่าง มีอารมณ์ทรงตัว ๑๑อย่าง ชอบใจกองไหน ทำกองนั้น เวลาที่จะคิดก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องคิดเฉพาะกองนั้น เฉพาะกองนี้ จะเป็นกองใดกองหนึ่งก็ได้อย่างอสุภกรรมฐานก็ได้ มรณัสสติกรรมฐานก็ได้ กายคตาสติกรรมฐานก็ได้ หรืออะไรก็ได้ตามชอบใจ คิดให้มันถูกว่า

เวลานี้เราคิดนอกเหนือกำลังของกิเลส ฉะนั้นการศึกษาเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งก็ถูก แต่ก็แพ้ความดีง่ายต้องศึกษาให้รอบตัวในกรรมฐาน ๔๐ ใช้ได้ให้คล่องทุกอย่าง
ท่านถามว่า ในกรรมฐาน ๔๐ เธอหนักใจกองไหนบ้าง
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า กรรมฐาน ๔๐ ไม่มีอะไรหนักใจเลย เวลานี้ตามความเข้าใจของตัวเองคิดว่า คล่องทุกอย่าง

ท่านตอบว่า ใช่ เธอมีความคล่องจริง แต่อย่าลืมนะว่า เธอยังไม่สามารถทำลายนิวรณ์ได้ นิวรณ์นี่เป็นตัวชั่วร้ายมากเป็นกิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง จะต้องพยายามทำลายนิวรณ์ให้ได้ด้วยสังโยชน์
ก็ถามท่านว่า ปรารถนาพุทธภูมิต้องตัดสังโยชน์ด้วยหรือ

ท่านบอกว่า มันก็ไม่มีความจำเป็นว่าปรารถนาพุทธภูมิ หรือไม่ปรารถนาพุทธภูมิก็ตาม ต้องตัดสังโยชน์ให้ได้ ถ้าตัดสังโยชน์ ๓ ข้อไม่ได้ เราก็ต้องเป็นเหยื่อของอบายภูมิ เรายังมีโอกาสลงนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน มันจะดีหรือ
ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่ดี

ท่านเลยบอกว่า ในเมื่อมันไม่ดี ก็จงเลิกเสีย เลิกคิดว่า พุทธภูมิไม่ควรจะปฏิบัติในสังโยชน์ ต้องมีความเข้าใจว่า พุทธภูมิต้องคล่องทุกอย่าง ตั้งแต่อานาปานสติถึงสังโยชน์ ๑๐ ต้องมีการคล่องตัว และก็มีอารมณ์ทรงตัว
ก็ยอมรับว่า จะปฏิบัติตามนั้น

ต่อมาท่านก็บอกว่า ทีนี้กำลังใจที่จะเข้าถึงสังโยชน์ ๓ ได้ดี ท่านบอกให้พิจารณาตามนี้ ให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ๑. เราไม่ประมาทในความตาย ข้อนี้พวกเธอทั้ง ๓ องค์สบายมาก ข้อที่ ๒ มีความเคารพในพระไตรสรณาคมน์ ข้อนี้พวกเธอก็สบายมาก เวลานี้เธอสามารถติดต่อกับพระได้แล้วใช่ไหม

ก็กราบเรียนท่านว่า ใช่ ถามอะไรพระท่านบอก
ตรงตามความเป็นจริงไหม
ก็ตอบว่า ตรงทุกอย่าง
ท่านบอกว่า อย่าลืมนะ อย่าใช้กำลังใจให้มันพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเธอสามารถตัดสังโยชน์ได้ ความละเอียดของจิตจะดีกว่านั้น

การพบกับพระ สมาคมกับพระ เห็นพระ จะชัดเจนกว่านั้น ความแม่นยำ ความรู้จากพระบอก จะดีกว่านั้น และอีกประการหนึ่ง การตัดสังโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นึกถึงความตาย เคารพพระไตรสรณาคมน์ ตั้งใจรักษาศีล เท่านี้ยังไม่พอ จะ ต้องมีอารมณ์ต้องการพระนิพพานอีก ที่เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์

ก็กราบเรียนถามท่านว่า เขาบอกว่านิพพานสูญ
ท่านบอกว่า อย่าคิดตามเขา เวลานี้เธอมีหน้าที่ฟังฉันพูด เธอยังไม่มีหน้าที่ถาม ถ้านิพพานสูญ จะเอาความสุขจากนิพพานมาจากไหน ตามพระบาลีมีอยู่ว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คำว่า สุข ต้องมีอารมณ์รับสัมผัส ต้องมีการสัมผัส ถ้าไม่สัมผัส จะไม่มีความเป็นสุขหรือเป็นทุกข์

อย่างคนนอนหลับเราจะเรียกว่า สุขก็ไม่ได้ จะเรียกว่า ทุกข์ก็ไม่ได้ เพราะมันไม่รู้เรื่อง เหมือนกับเขาที่พูดว่า นิพพานสูญ แต่ความจริงนิพพานที่พูด ไม่ใช่นิพพานตัวนั้น เป็นนิพพานตัวแท้ที่มีความสุข นั่นก็หมายความว่า นิพพานยังมีสภาพเป็นทิพย์ ทิพย์ยิ่งกว่าพรหมความเป็นทิพย์อันดับแรกก็คือ เทวดา หรือนางฟ้า สวรรค์ ทิพย์ที่ ๒ ก็คือ พรหม ทิพย์ที่ ๓ ก็คือ นิพพาน ทิพย์สูงสุด

เวลานั้นเราต้องใช้ อุปสมานุสสติกรรมฐานเข้าควบคุมใจ คือ ต้องการนิพพาน เมื่อจิตต้องการนิพพาน จิตมันก็คุมตัว วันหนึ่งเราจะต้องเป็นคนทรงฌานโลกีย์ให้ครบถ้วน
ประการที่ ๒ ไม่ลืมความตาย
ประการที่ ๓ เคารพพระไตรสรณาคมน์
ประการที่ ๔ มีศีลบริสุทธิ์

ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะเข้าถึงก้าวแรกคือการเข้าสู่พระนิพพาน เริ่มเข้าถึงกระแสพระนิพพาน แต่ยังไม่ถึงนิพพาน ถ้าเรียกเหมือนชาวบ้านก็เหมือนเขาเรียกว่า เข้ารั้วนิพพาน อีกประการหนึ่ง การสังเกตจิต จะสังเกตว่า จิตเราจะมีความเยือกเย็นลง คำด่า คำนินทา จะรู้สึกเฉย ๆ จะไม่กระทบกระเทือนจิตใจมากนัก คำว่า กระทบกระเทือนจิตใจ ก็ต้องมี เป็นของธรรมดา

แต่ว่ามันเบากว่าเดิม มันช้ากว่าเดิม ไม่ใช่มีอารมณ์ไม่โกรธ อารมณ์โกรธมี แต่เรียกว่า โกรธเบากว่า โกรธเล็กกว่า โกรธช้ากว่า อารมณ์รักยังมี ในเมื่อยังมีอารมณ์รัก อารมณ์โกรธ อารมณ์หลง จิตก็ยังเลว แต่เราเลวอยู่ในขอบเขต ในรั้วพระนิพพาน ดีกว่าเลวภายนอก แต่ว่าเรื่องฌานโลกีย์จงอย่าทิ้ง ให้ใช้เป็นกำลังป้องกันความเสื่อมของจิตใจ

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพบพระพุทธเจ้า พบพระปัจเจกพุทธเจ้า พบพระอรหันต์ พบเทวดา หรือพรหมที่ท่านมีความฉลาด ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มีเยอะ ถามท่าน ปรึกษาหารือกับท่าน มีอะไรสงสัย ถามท่าน ผลที่จะพึงได้ให้ถามตรงพระพุทธเจ้าว่า อย่างนี้เขาเรียกอะไร เขาเรียกว่า พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี หรืออนาคามี หรืออรหันต์ หรือยังไม่ได้อะไรเลย

อย่างเธอนี่ ท่านหันมาหาอาตมา อย่างเธอนี่เขายังถือว่า ยังไม่ได้อะไรเลย แม้จะทรงสมาบัติ ๘ สมาบัติ ๘ มันเป็นของเด็กเล่น เผลอหน่อยเดียว นิวรณ์เกาะใจนิดเดียว สมาบัติก็เจ๊ง พัง เป็นของเปราะง่าย แตกง่าย ฉะนั้นจงอย่าหลงสมาบัติ ๘ ว่าเป็นของดี และจงอย่าคิดว่า สมาบัติ ๘ เป็นของเลว ให้คิดว่า สมาบัติ ๘ คือเครื่องป้องกันอันตราย หรือกำลังเป็นกำลังที่จะเข้าห้ำหั่นศัตรู

แต่ก็ยังไม่มีอาวุธ อาวุธของเรา คือปัญญา คือ วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณก็อย่าว่าเพ่นพ่านไป ให้จับสังโยชน์เป็นสำคัญ การเจริญเพ่นพ่านเปะปะไป มันไร้ประโยชน์จริง ๆ บางคนที่บอกว่าเจริญกรรมฐานมาตั้ง ๑๐ ปี ไม่มีผล ก็เพราะว่าเขาไม่รู้จักสังโยชน์ ๓ และท่านก็หันไปหาอีก ๒ องค์ว่า ๒ องค์นี่ดี เริ่มดีแล้วนะ ดีหน่อย ๆ คือ สามารถตัดสังโยชน์ ๓ ได้

แต่ว่าเรื่องของฤทธิ์ จงอย่าใช้ ในเมื่อไม่จำเป็น เธอ ๒ องค์นี่ซนมาก ชอบเล่นโน้น ชอบเล่นนี่ ชอบเล่นฤทธิ์เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ให้ใช้เฉพาะเวลาที่มีความจำเป็น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สมมติว่า ถ้าเราหิวข้าว เราขอข้าวเทวดากินได้ อันนี้ต้องถือเป็นหลักใหญ่ ถ้าวันไหนขอข้าวกินไม่ได้ ถือว่าเราเลว

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท พูดมากไปก็ไม่ได้ สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


 ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/1/13 at 13:32 [ QUOTE ]


6

เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม (๒)



วันนี้เป็น วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๓ ขอต่อเรื่องของหลวงพ่อเนียมต่อไปว่า การละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นมีอารมณ์ตามนี้ คือ จิตมีความสุข เพราะคิดว่า เราตายเมื่อไรก็ตาม เราจะไม่ไปอบายภูมิ ประการที่ ๒ จิตมีอารมณ์รักพระนิพพานมาก ตอนนี้ยังเป็นสังโยชน์ ๓ อย่างหยาบ ต่อมาเมื่อจิตมีความละเอียด จิตมีอารมณ์ทรงตัวกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ

คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่ลักไม่ขโมยของใคร ไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร ไม่ดื่มสุราเมรัย ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล และจิตใจไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม จิตไม่คิดจ้องล้างจองผลาญ คือ ตัดพยาบาทจิตมีความเห็นตรงเฉพาะนิพพานอย่างยิ่ง อย่างนี้เป็นอย่างกลาง ที่เรียกว่า พระโสดาบันอย่างกลาง

ถ้าอย่างละเอียด จิตจะมีอารมณ์สงบสงัดมาก มีอารมณ์ทรงตัวนิ่มนวล ทุกอย่างไม่ต้องระวังต่อไป ละสังโยชน์ ๓ จะเข้าถึงสกิทาคามี พอเข้าถึงสกิทาคามี ความอ่อนตัวของความรักระหว่างเพศ อ่อนตัวของความโลภ อ่อนตัวของความโกรธ อ่อนตัวของความหลงจะมีขึ้น มันมีบ้างแต่มีความอ่อนตัวมาก มีกำลังเล็กน้อยไม่หนักหนาไม่รุนแรง

และในขั้นสุดท้ายปลายของสกิทาคามี จิตจะไม่มีความรู้สึกในระหว่างเพศเลย จิตจะไม่มีความรู้สึกในความโกรธ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าอารมณ์ละเอียดมาก แต่ว่าบางท่านอาจจะมีความรู้สึกว่า เวลานี้เราเป็นพระอนาคามี อันนี้ไม่ใช่ ต้องสังเกตว่านาน ๆ ในอารมณ์สงัดเรียบร้อยจะมีความรักโผล่เข้ามานิดหนึ่ง หรือมีอารมณ์ไม่พอใจโผล่เข้ามานิดหนึ่ง

แล้วก็ถูกตีกลับไป อย่างนี้เป็น พระสกิทาคามีละเอียด ต่อมาเราก็ต้องศึกษาเป็นพระอนาคามี พระอนาคามี การศึกษาทุกอย่าง เราจะทิ้งฌานไม่ได้เด็ดขาด คำว่า ฌาน ๑,๒,๓,๔,๕,๖,๗,๘ ว่าให้มันตรงตัว ให้มันทรงจริง ๆ ต้องการเมื่อไร ต้องได้เมื่อนั้น และไม่ต้องไปนั่งหลับตาทรงฌาน การนั่งหลับตาทรงฌานนี่ไม่ใช่ของจริง

การทรงฌานจริง ๆ คือ ไม่มีการหลับตา ใช้กำลังใจได้ทันทีทันใด ใช้กำลังฌานช่วยระงับ เป็นกำลังป้องกัน ใช้มีดดาบฟัน นั่นคือวิปัสสนาญาณ ฟันต่อไป คือ กามฉันทะ มันก็ฟันง่ายเสียแล้วนี่ ความรู้สึกในกามฉันทะ มันจะไม่มีอยู่แล้ว เมื่อคิดถึงความจริง ใช้กำลังพรหมวิหาร คือ เมตตา หรือกสิณ ๔ คือ กสิณสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เป็นพื้นฐาน

และหลังจากนั้นก็จับ อสุภกรรมฐาน ขึ้นมา เห็นว่าร่างกายของคน และสัตว์มันสกปรก ในที่สุดก็จับสักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิตัวนี้ตัวสำคัญมาก ก็คิดว่า ร่างกายจริง ๆ ไม่ใช่ของใครมันเป็นของโลก ชาวโลก มันเป็นธาตุ ๔ ที่ประกอบเข้ามาด้วยกัน เป็นร่างกายขึ้นมา มันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ความโกรธก็เช่นเดียวกัน ใช้พรหมวิหาร ๔ เข้าตัด

และใช้สักกายทิฏฐิเข้าห้ำหั่น ในที่สุดเราก็จะเห็นว่า ร่างกายของคนไม่เป็นที่ปรารถนา ความโมโหโทโส ความโกรธ ความเป็นมา ไม่เป็นที่ปรารถนาของคน เราไม่มีความต้องการอย่างนั้น อารมณ์ก็ทรงตัว จิตจะมีความเยือกเย็นมากขึ้น ขึ้นชื่อว่า ความรักนิดหนึ่ง ในวัตถุก็ดี ในคนก็ดี ในสัตว์ทั้งหลายก็ตาม คำว่า รักด้วยกิเลส ไม่มี

แต่รักด้วยเมตตามีกำลังสูง มีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทุตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา วางเฉย ตัวนี้มีกำลังแก่กล้า ในเมื่อมีกำลังแก่กล้า ความรักในระหว่างเพศไม่มี ความโกรธไม่มี เราก็เป็น อนาคามี มันก็เป็นของไม่ยาก ต่อไปก็ก้าวเข้าไปสู่ความเป็นอรหันต์ ตอนนี้ไม่มีอะไรหนัก การเข้าในเขตความเป็นอรหันต์นี่ไม่มีอะไรหนัก

เพราะเป็นการใช้ปัญญาอย่างเดียว หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า ใช้ความฉลาด การเป็นอรหันต์ ให้ตัดรูปราคะ คือ ตัดรูปฌาน คำว่า ตัด ไม่ได้หมายความว่า โยนทิ้งไม่ใช้ ใช้รูปฌาน และอรูปฌาน เป็นปกติ คือ รูปราคะ อรูปราคะ เราใช้ใช้ทุกวัน ทุกเวลา จะเป็นฌานขั้นไหนก็ตาม ฌานขั้น ๑ ขั้น ๒ ขั้น ๓ ขั้น ๔ ขั้น ๕ ขั้น ๖ ขั้น ๗ ขั้น ๘ เราชอบใจฌานขั้นไหน

เหมาะแก่กาลสมัยเวลานั่งคุยกันอยู่นี่ อย่างน้อยที่สุดให้ทรงฌานที่ ๒ และก็ใช้วิปัสสนาญาณดูไปด้วย ฟังคำพูดของคน ดูรูปร่างของคน ดูภายนอกไม่พอ ต้องดูภายใน ภายนอกก็แก่ทุกวันสกปรก ภายในก็สกปรก ก็รวมความว่า รูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี เรายึดไว้เป็นกำลัง แต่ไม่หลงอยู่แค่นั้น ถ้าหลงในรูปฌาน หรืออรูปฌานทั้ง ๒ อย่างก็ถือว่าหลงความโง่

คนโง่เท่านั้นที่คิดว่ารูปฌาน และอรูปฌานเป็นของดี ต่อมาก็ ตัดมานะ การถือตัวถือตน นี่เป็นของไม่ยาก เราจะถือตัวถือตนเพื่ออะไร ในเมื่อร่างกายของเรามันก็เลว มันเป็นธาตุ ๔ ที่เข้าประชุมกัน มีอาการ ๓๒ เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เราหันไปดูร่างกายที่เป็นทิพย์ ร่างกายเทวดา ร่างกายนางฟ้า ร่างกายพรหม ร่างกายพระอรหันต์ และพระพุทธเจ้า ที่ท่านนิพพานแล้ว

ดีกว่าร่างกายนี้ แล้วก็จงดูร่างกายภายในของเรา กายภายนอกมันสกปรก กายภายในเราผ่องใสไหม ต้องดูร่างกายภายในให้ผ่องใสคล้าย พระอริยเจ้าไว้เสมอ ๆ อย่างนี้ เธอปรารถนาพุทธภูมิ ต้องทำตามนี้นะ ดูพระอริยเจ้าที่ท่านนิพพานไปแล้ว หรือพระอริยเจ้าที่ตายไปแล้ว พระอริยเจ้าเบื้องต่ำ อย่างพระโสดาบัน ท่านตายไปแล้ว รูปร่างหน้าตาท่านสวยสดงดงามขนาดไหน

ดูร่างกายของเรา สวยเหมือนท่านไหม ร่างกายภายใน และพระสกิทาคามี อนาคามีก็เหมือนกัน เหมือนท่านไหม ถ้าไม่เหมือนท่านยังใช้ไม่ได้ ยังเลวมาก ต่อไปก็ให้ดูร่างกายพระอรหันต์ ร่างกายพระอรหันต์ท่านสวยขนาดไหน ร่างกายของเราสวยถึงขนาดนั้นแล้วหรือยัง ร่างกายภายใน ถ้ายัง ก็ถือว่า เรายังเลวมาก เราไม่เอาร่างกายของเราเข้าไปเปรียบกับพระพุทธเจ้า

เพราะเวลานี้เราไม่ใช่พระพุทธเจ้า ต้องทำอย่างนี้เป็นปกติ ในเมื่ออารมณ์จิตเป็นอย่างนี้ อารมณ์มานะทิฏฐิ การถือเนื้อถือตัวมันจะมาจากไหน เราคิดว่า เราดีกว่าเขา มันมีอะไรดี ร่างกายเน่า ร่างกายแก่ ร่างกายสกปรก ก็ไม่ใช่ของดี ร่างกายต้องตาย เราคิดว่า เราเลวกว่าเขา เราจะเลวอย่างไร มันเลวไม่ได้ เพราะว่ามันเท่าเขา มันเน่า มันเปื่อยเหมือนกัน เราคิดว่า เราเสมอเขา

มันก็เสมอไม่ได้ เพราะร่างกายของคนย่อมคล้ายคลึงกัน แต่ว่าจิตใจของคนไม่เท่ากัน จิตใจของเขาอาจจะเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ก็ได้ ต้องดูภายใน คือ จิตใจหรือร่างกายภายใน ก็รวมความว่า ตัดอารมณ์ความรู้สึก ๓ อย่างว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา ตัดโยนทิ้งไป

เราไม่สนใจเขา เราสนใจแต่ตัวเราอย่างเดียว ชำระกายภายในให้สะอาดให้สวยที่สุด เท่าพระอรหันต์ ท่านบอกว่า ถ้าจิตเข้าถึงตอนนี้ อารมณ์จะมีแต่ความเป็นสุข จะเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เป็นของธรรมดาไปหมด คนที่เขาแสดงความรักในเรา ก็จงทราบว่า ไม่ช้าเขาก็เกลียดเรา เพราะมันเป็นของธรรมดาของชาวโลก ถ้าใครเขารักในเรา เราก็จงอย่าดีใจ

ใครเขาเกลียดเรา เราก็อย่าเสียใจ เขาสรรเสริญเรา เราก็อย่าดีใจ เขานินทาเรา เราก็อย่าสะเทือนใจ ทำอารมณ์ใจเป็นสุข ท่านบอกว่า ในเมื่อถึงตอนนี้แล้วไม่ต้องไปคุมอารมณ์ใจ อารมณ์ใจมันจะเป็นของมันเอง และต่อมาความเป็นทิพย์ของจิต นี่เธอไปเรียนกับท่านโหน่งมาแล้วใช่ไหม ก็บอกว่า ใช่ขอรับ เรียนกับท่านโหน่งมาแล้วเป็นของดีมาก

ท่านปานก็ดี ท่านโหน่งก็ดี เป็นพระดีมาก ท่านจงอีกองค์หนึ่ง เป็นพระดีมาก ถอดแบบฉบับเขาไว้ ทั้งหมดนี้มีอารมณ์จิตเป็นทิพย์ผ่องใสมาก และการปรึกษาหารือกับพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์องค์ไหนก็ตาม พรหม เทวดา นางฟ้าก็ได้ ที่ท่านมีความดี มีความรู้ยิ่งไปกว่าเรา เราศึกษากับท่าน ท่านบอกอะไร เราเชื่อ

แต่จงจำไว้ว่า เทวดา นางฟ้า พรหมก็ตาม และรูปพระที่เราเห็นก็ตาม เขาจะต้องสอนตามพระไตรปิฎก ถ้าสอนผิดจากพระไตรปิฎก นั่นไม่ใช่ เป็นมาร ต้องระวังมารให้มาก คำว่า มาร แปลว่า ผู้ฆ่า เขามาทำลายความดี มารนี่รบกวนไม่ว่าใคร แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้า มารก็เคยเข้าไปรบกวนอยู่เสมอ ๆ ก็รวมความว่า ทุกองค์ที่มาศึกษาที่นี่

ความจริงความรู้จริง ๆ นี่ท่านปานสอนหมดแล้ว ท่านปานสอนไม่มีอะไรเหลือ แต่ว่าที่ท่านปาน ให้กลับมาหาฉัน ท่านปานต้องการให้ซ้อมจากฉันอีกทีหนึ่ง เพื่อความมั่นใจของเธอ ท่านปานนี่เป็นครูที่มีความฉลาดมาก ไม่ทะนงตนว่าเป็นคนดี หรือไม่ทะนงตนว่าเป็นคนรู้แต่ผู้เดียว และพวกคณะเธอทั้ง ๓ องค์ ก็เป็นลูกศิษย์ที่มีความสำคัญ เพราะเชื่อครูทุกอย่าง

ครูจะสอนแบบไหนก็เชื่อ ให้ทำอะไรก็เชื่อ ให้ไปอยู่ในป่า ไปอยู่ในป่าศรีประจันต์สนุก ไหม ก็ตอบว่าสนุกขอรับ ท่านเลยบอกว่า คนที่มาคุยกับเธอทุกคนที่ป่าศรีประจันต์ เทวดา กับนางฟ้าทั้งนั้นใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ และต่อมาภายหลัง บางทีเราเที่ยวเพลินเกินไป กลับมาสว่าง เทวดานางฟ้ามาใส่บาตรให้ใช่ไหม ก็ตอบท่านว่า ใช่ ท่านบอกว่า ลีลานี้จงอย่าทิ้ง

ท่านปานสอนดีแล้ว แต่ที่ฉันนี่ สอนเฉพาะสังโยชน์ ๑๐ ท่านโหน่งสอนทุกอย่าง ให้รู้จักเทวดา รู้จักพระ ดีทั้งหมด จำเอาไว้ และก็ปฏิบัติให้ดี ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ ภายในไม่ช้าพวกเธอก็พ้นทุกข์แล้วก็จะรู้อะไรทุกอย่างได้ แต่ความรู้ของพระ จงระมัดระวังให้มาก ถ้าคนเขามาถาม ดูสีหน้าคน ดูใจเขา ถ้าถามเพื่อลองใจลองภูมิ อย่างนี้ก็ใช้แบบฉันธรรมดา ๆ ก็แล้วกัน

ฉันก็ทำตนเองเหมือนคนบ้า ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนบ้าในโลกนี้มีมาก คนบ้ามันมาหาฉัน ฉันก็ต้องบ้าตอบ ถ้าคนดีมาหาฉัน ฉันก็ดีตอบ อย่างพวกเธอนี่ อาจารย์เธอดี และเธอก็ดี ตามอาจารย์ ฉันก็ดีตอบ วิชาอย่างนี้ฉันไม่เคยสอนใครมาก่อน นอกจากท่านปาน กับท่านโหน่งเคยสอนมาก่อนก็แค่ พุทโธ ธัมโม สังโฆก็ดีถมเถไปเพราะเขาถือว่า เท่านั้นดี

แต่คนที่ต้องการที่สุดของความดีมีน้อยเหลือเกิน หลังจากนี้ไป พวกเธอจงไปพัก และรักษากำลังใจให้ดี จงอยู่ ที่นี่ ๑๕ วัน ในเวลา ๑๕ วันนี่ถ้าสงสัยอะไร ถามฉันได้ หรือว่าถ้าเธอคิดว่า เธอไม่สงสัย ถ้าเธอมีกำลังใจคิดพลาดไป ฉันจะบอกให้ ก็รวมความว่า กราบท่านแล้วก็ออกมา ออกมาคุยกันว่า เอ๊ะ…องค์เมื่อกี้นี้ไม่ใช่หลวงพ่อเนียมนี่นะ เราเห็นหลวงพ่อเนียมนั่งเฉย ๆ

องค์นั้นมาคุมรูปร่างหลวงพ่อเนียม และก็พูดไพเราะมาก ผิวเหลืองคล้ายจีวรสดสวยหน้าตาดีมาก ตาก็ใส ริมฝีปากก็แดง เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่เราเห็นทั้ง ๓ องค์ก็ตอบว่า เหมือนกัน ก็เลยคุยกันบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็พบพระซ้อนพระอีกแล้ว เราไปหาหลวงพ่อโหน่ง ก็พบพระซ้อนพระ เรามาหาหลวงพ่อเนียม เราก็พบพระซ้อนพระ

และคนอย่างพวกเราจะมีวาสนาบารมี เป็นพระซ้อนพระกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ คุยกันแล้วก็มาที่พักเมื่อมาที่พักก็อาศัยธรรมปีติ ปีติมันมาก ความสดชื่นมันมาก ก็นั่งใคร่ครวญกรรมฐาน คุยกัน คุยกันถึงความเป็นมาของธรรมะที่หลวงพ่อเนียมสอนถึงสังโยชน์ ๑๐ แล้ว ก็คุยกันอยู่ประมาณตี ๒ เสียงหลวงพ่อเนียมร้องตะโกนมาบอก เอ้อ…ทั้ง ๓ องค์คุยกันถูกแล้วนะ

คิดอย่างนี้ถูก วิปัสสนาญาณไม่ใช่เฉพาะเอาไปนั่งคิดคนเดียว ต้องคุยกันตามนี้ เวลาที่เราคุยกันเวลานั้นจิตว่างจากกิเลส เมื่อจิตว่างจากกิเลส อารมณ์ก็มีความสุข แต่ว่าเวลานี้มันตี ๒ แล้วนี่คุณ จิตใจมันจะเพลียเกินไป พักผ่อนเสียนะ เวลาพักผ่อนจิตจับอานาปานสติกรรมฐาน จับพระองค์ที่เธอเห็น แต่ความจริงท่านร้องตะโกน ท่านพูดเสียงดัง ๆ มาจากกุฏิของท่านนะ

พระที่เธอทั้ง ๓ องค์เห็นนั้นไม่ใช่ฉัน คือ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสวมกายฉัน และก็ใช้เสียงฉันพูด แต่เสียงก็ไม่เหมือนเสียงฉัน พวกเราก็ดีใจ ก็ต้องเชื่ออาจารย์ต่างคนต่างก็ลุกแยกกันไป พอศีรษะถึงหมอน เริ่มตะแคงขวา จับอานาปานสติ เสียงท่านบอกว่าอย่างนั้นถูกแล้ว จิตจับพระเป็นอารมณ์ จิตก็จับถึงพระพุทธเจ้าองค์นั้น ประเดี๋ยวเดียวก็หลับ

พอตี ๔ ก็ตื่น ตื่นขึ้นมาก็เจริญกรรมฐาน ทั้งกำลังนอน พอรู้สึกตัวพับ จิตก็จับอานาปานสติ ใช้กำลังฌานให้มีการทรงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องฤทธิ์ ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา เราไม่เรียนกันเรื่องฤทธิ์ เพราะว่าพระพุทธเจ้าห้าม แต่ว่าตอนเช้าพวกเราก็ไปบิณฑบาต ไปในป่าช้า หลวงพ่อเนียมสั่งตามนั้น เพราะทำเป็นปกติ พอไปถึงป่าช้า เราก็เอาบาตรแขวนกับต้นไม้

ยืนหลับตาจับอานาปานสติกับพุทธานุสสติ ประเดี๋ยวเดียวก็มีเสียงบอกว่า ไม่ต้องหลับตาหรอก ลืมตาก็ได้ ชินกัน แล้วนี่นะ ก็ลืมตาขึ้นมา เห็นภูมิเทวดาที่รักษาวัดอยู่ ท่านก็บอกว่าเวลานี้เทวดา กับนางฟ้าเขามาพร้อมแล้ว ท่านเปิดบาตร เขาจะใส่บาตร ทุกคนท่านก็ใส่บาตร แต่ว่าท่านมาในรูปร่างของชาวบ้านธรรมดา ๆ แต่ว่าข้าวที่นำมากิน นั่นคือข้าวสีเหลือง

ไม่มีกับเป็นของธรรมดา ปฏิบัติอย่างนี้ทุกวันเมื่อฉันข้าวไปแล้วก็ไปนั่งคิดว่า ท่านทุกคนที่ใส่บาตรเรา เดิมท่านก็เป็นมนุษย์อย่างเรา เวลานี้ท่านตายจากความเป็นคนไปแล้ว เราก็ต้องตายเหมือนกัน แต่ว่าท่านตายแล้ว ท่านเป็นเทวดา เราตายแล้ว เราจะไปไหน ถ้าอย่างเลว เราก็อยากเป็นเทวดา เพราะเราไม่ลงนรก อย่างกลางเราก็อยากเป็นพรหม อย่างดีที่สุด

เราก็อยากเป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน พอนึกอย่างนี้เท่านั้น ได้ยินเสียงหลวงพ่อเนียมบอกว่า ถูกแล้ว ๆ ต้องเป็นอย่างนั้น อันดับแรกต้องจับความเป็นเทวดาให้ได้ก่อน แต่ว่าเวลานี้เธอกินข้าวของเทวดา เธอต้องเป็นเทวดาได้แน่ เพราะเทวดายอมรับ อย่าทิ้งความดีนี้เสีย และประการที่ ๒ ตั้งใจว่า ถ้าหากว่าเลยจากเทวดาเราจะไปเป็นพรหม ต้องจับกำลังพรหมให้ได้ด้วยการทรงฌานทั้ง ๘ อย่าง

อย่างใดอย่างหนึ่งให้ทรงตัวเวลาก่อนตาย ไม่ต้องทั้ง ๘ ฌาน เวลาเข้าไม่ต้องเข้าเรียงลำดับ จับเอาตามจุดที่เราต้องการทันทีทันใด แต่การใช้ฌานเรียงลำดับ ต้องใช้เป็นปกติ เป็นการฝึกเข้าไว้ ฌาน ๑,๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ ต้องฝึกให้คล่อง จนกระทั่งไม่มีอารมณ์ขัดข้อง หลังจากนั้น จับวิปัสสนาญาณ คือ สังโยชน์ ๑๐ อย่าไปจับส่งเดช มันจะป้วนเปี้ยนไป

การจับส่งเดชป้วนเปี้ยนเป็นของไม่ดี จับให้ทรงตัว หลังจากนั้นแล้วก็ปล่อยใจตามสบาย ๆ ขณะที่ปล่อยใจตามปกติ ก็ดูใจ เวลาไหนใจเราผิดจากสังโยชน์ ๑๐ บ้าง ถ้าคลาดจากสังโยชน์ ๑๐ ข้อไหน ต้องถือว่าเวลานั้นเราเลว จงตำหนิตัวเองว่า เราเลว ในสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการ ต้องไม่มีในเรา ความจริงมันมี เราต้องทำให้มันไม่มี มันจะมี เราก็ฝืนไม่ให้มันมี มันก็ต้องสู้กันแบบนี้

ไม่ช้าเราก็ชนะ ในที่สุดในเมื่ออยู่ครบถึง ๑๕ วัน ท่านก็บอกว่า ๒ องค์นี่สามารถตัดสังโยชน์ ๕ ได้แล้วนะ แต่ว่าสำหรับเธอ หันมาที่อาตมา กำลังก็เทียบเคียงสังโยชน์ ๕ เพราะเราปรารถนาพุทธภูมิ ต่อไปก็เร่งรัดสังโยชน์อีก ๕ ให้จิตมันละเอียดจริง ๆ ในเมื่อถึงวาระท่านให้กลับ ก็ลาท่านกลับ กราบด้วยความเคารพ

และกราบเรียนท่านว่า กระผมจะมีโอกาสจะมาหาหลวงพ่ออีกไหมขอรับ
ท่านบอก เธอไม่มีโอกาสมาพบฉันอีก เพราะไม่ช้าฉันก็ตายแล้ว ร่างกายคือขันธ์ ๕ มันตาย แต่ว่าฉันจะไปอยู่บ้านฉัน แล้วท่านก็ชี้ให้ดู บอกว่า หลังนี้บ้านฉัน ฉันเตรียมไว้นานแล้ว พวกเธอเคยเห็นบ้านเธอไหม

ก็บอกท่านว่า ไม่เคยสังเกต
ท่านบอก ต้องสังเกตต้องเตรียม เราจะไปอยู่ที่ไหน ต้องเตรียมที่นั่น เวลานี้เธอต้องการอะไร
ก็บอกท่านบอกว่า ต้องการนิพพาน

ท่านหันมาถามอาตมาบอกว่า เธอไม่ต้องการพุทธภูมิหรือ
บอก พุทธภูมิก็เอา นิพพานก็เอาถ้ายังไปนิพพานไม่ได้ ก็ไปพุทธภูมิ ไปพุทธภูมิได้ ก็ไม่เอานิพพาน
ท่านบอกว่า ทำไมเป็นคน ๒ ใจ
ก็เลยบอกท่านว่า หลวงพ่อปานชวนไว้

ท่านก็เลยบอกว่า ท่านปานจะชวนหรือไม่ชวนก็ตาม เธอก็ต้องทำหน้าที่พุทธภูมิไปจนกว่าจะตาย ต่อไปเบื้องหน้าเธอจะมีภาระหนักเรื่องการสอนพระกรรมฐาน พยายามศึกษาให้ละเอียด พยายามหาแนวทางสอนให้ง่ายที่สุด เพราะว่ามนุษย์ที่ติดตามเธอมาเกิดมีมาก เธอยังเป็นหนี้เขา ถึงอย่างไรก็ดี บ้านหลังนี้

ท่านชี้เลย บ้านหลังนี้ ที่มีบ้าน ๓ หลัง และมีหอระฆังอยู่ข้าง ๆ มีรั้วเป็นเพชร เป็นสีคล้ายเพชรประดับทอง มีสระโบกขรณี มีแท่นแก้ว และมีต้นไม้แก้วมีบริเวณกว้างเป็นบ้าน ๓ หลัง บ้านสำหรับเธอ เพราะในฐานะที่เธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน แต่ว่าพุทธภูมิของเธอต้องลา
ถามว่า จะลาเมื่อไร

ท่านบอก ลาอายุประมาณ ๔๐ ปีเศษ ๆ นิดหน่อย
ถามว่า ทำไมต้องลา
ท่านบอกว่า เป็นไปตามสัญญา สัญญาเดิมมีอย่างไรต้องปฏิบัติตามนั้น ก่อนที่จะมาเกิด มาเกิดเพราะอะไรสัญญากันไว้ ตอนที่เธอลาพุทธภูมิ เธอจะสังเกตได้ว่า กรรมฐานจะแพร่หลายมาก จะมีคนเจริญกรรมฐานมาก และการสอนกรรมฐานของคนบางคน

บางทีเพียงแค่เห็นภาพเล็กภาพน้อย ก็บอกว่า สำเร็จแล้วอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ ก็มีหลายท่านที่สอนถูก และก็มีหลายท่านที่สอนไม่ถูกคนที่มาเรียนกับเธอ ก็เป็นคนของเธอไม่ใช่คนคนอื่น เธอก็แนะนำชำระหนี้เขาไป อายุประมาณ ๗๐ กว่า ๆ ๘๐ กว่า ๆ ๙๐ กว่า ๆ ๑๐๐ กว่า ๆ อีตอนกว่า ๆ นี่สำคัญ มันจะตายกัน กว่า ๗๐ มันก็ยังไม่ตาย จะตายกว่า ก็ตาย ๗๐ กว่า พอถึง ๘๐

มันก็ไม่ตาย ก็ตาย ๘๐กว่า ถ้ากว่า ๘๐ ไม่ตาย ๙๐ ยังไม่ตาย เพราะมันตายเกิน ๙๐ ๙๐กว่าไม่ตายก็ถึง ๑๐๐ ถึง ๑๐๐ ยังไม่ตาย ต้องตายกว่า ๑๐๐ ก็เลย บอกท่านว่า ถ้าจะไม่ไหวขอเวลาสัก ๒ ปีพอไหม บอกว่า เรื่องเวลานี่มันเป็นสัญญาเดิม ไม่ใช่เรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของเธอ เธออย่าสนใจกับร่างกาย มันจะตายเมื่อไรก็ช่างมันเถอะ เราทำถึงที่สุดของกำลังใจก็แล้วกัน

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน พอถึงตอนนี้เวลาหมดก็ขอลาท่านก่อน และลาหลวงพ่อเนียมกลับวัดพอดี ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน

สวัสดี


 ll กลับสู่สารบัญ


7

หลวงพ่อปานนำออกธุดงค์



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ เป็นวันที่๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ สำหรับวันนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องที่ไปเรียนกับหลวงพ่อเนียม วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี ในเมื่อหลวงพ่อเนียมแนะนำเรื่องสังโยชน์ ๑๐ และก็แนะนำวิธีปฏิบัติว่า จงอย่าทำให้เครียด การทำให้ใช้ปัญญาให้มาก แต่ก็อย่าใช้มากเกินไป ศีล สมาธิ ปัญญาต้องสม่ำเสมอกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งระมัดระวังนิวรณ์ ๕ ประการ ถ้าจิตเรายังหลงนิวรณ์ ๕ ประการ ตัวใดตัวหนึ่งอยู่ ก็ยังชื่อว่า เราเป็นคนโง่แล้วประการที่ ๒ ถ้าจิตยังติดในฌาน อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ก็ถือว่า เราเป็นคนโง่ ประการที่ ๓ ถ้าจิตยังข้องอยู่ในสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ยังถือว่า เราเป็นคนโง่ จงอย่าคิดว่า เราเป็นคนฉลาด

ท่านสอนแบบนี้แล้ว ท่านก็ยังแนะนำว่าต่อไปนี้จงปฏิบัติ วิธีปฏิบัติไม่ใช่นั่งหลับตาเฉย ๆ จะคุยกับคน จะคุยกับพระ จะทำธุระต่าง ๆ ให้ใช้กิจการนั้นเป็นวิปัสสนาญาณตลอดเวลา ศีลคุมไว้ สมาธิทรงตัว สมาธิ คือ ตั้งใจทำงาน ปัญญา คือ พิจารณาสภาวะต่าง ๆ เช่นคน เราจะต้องเห็นว่า คนมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายในที่สุด หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้

วัตถุก็มีสภาพเช่นเดียวกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเราเองก็มีสภาพอย่างนั้น สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ นั่นคือ นิพพาน นิพพานเขาไปกันอย่างไร คนที่จะไปนิพพานได้ ต้องเป็นคนดี ดีที่ไม่มีความเลว คือว่าไม่ติดในนิวรณ์ ๕ ไม่ติดอยู่ในฌาน อย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่หลงใหลใฝ่ฝันในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรูป พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเราจริง ๆ

ก็คือ ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ที่เนื้อแท้จริง ๆ ที่ติดหนักก็คือ รูป ตัดรูปได้อย่างเดียว ตัดได้ทั้งหมด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในรูป เมื่อท่านแนะนำอย่างนี้แล้ว ท่านก็ส่งกลับ เมื่อกลับมาแล้ว ก็มาพบหลวงพ่อปาน เข้ามาในวัด มาหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ซักถามว่า หลวงพ่อเนียมสอนอะไรมาบ้าง ก็กราบเรียนให้ท่านทราบ ตามที่กล่าวมาแล้ว

หลวงพ่อปานก็บอกว่า หลังจากนี้ไป เดือนหน้าฉันจะพาเธอออกธุดงค์ แต่การไปธุดงค์คราวนี้ เราจะไปไม่เกิน ๑ เดือน พวกเธอจงซักซ้อมธุดงค์ไว้ อันดับแรก ซักซ้อมเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา จงอย่าลืม และก็ ประการที่ ๒ ซักซ้อมในการหากินกับเทวดากับนางฟ้า ประการที่ ๓ ซักซ้อมญาณ ๘ ประการ พอท่านบอก ญาณ ๘ ประการ เท่านี้ก็งง

ก็ถามว่า หลวงพ่อ ขอรับ ญาณ ๘ ประการเป็นอย่างไร ท่านบอกว่า ญาณ ๘ ประการ พวกเธอทำได้แล้ว แต่เธอไม่รู้จักชื่อ เพราะฉันไม่เคยสอนไว้ก่อน แต่ วันนี้ฉันจะบอกให้ ญาณ ๘ ประการ ก็คือ
๑. ทิพจักขุญาณ ที่เราสามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ รู้ได้ด้วยญาณ ญาณคือ ความรู้ทางใจ

๒. จุตูปปาตญาณ ที่เราเห็นคนแล้ว เห็นคนก็ดีเห็นสัตว์ก็ดี เมื่อทราบว่าก่อนจะเกิดเขามาจากไหน มาจากสัตว์นรก หรือมาจากเปรต มาจากอสุรกาย มาจากสัตว์เดรัจฉาน มาจากคน มาจากเทวดา หรือมาจากพรหม เมื่อทราบข่าวคนตาย เราจะรู้ได้ทันทีว่า คนตายไปอยู่ที่ไหน มีความสุขหรือมีความทุกข์

๓. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ พยายามถอยหลังระลึกชาติให้ได้ให้คล่อง
๔. เจโตปริยญาณ การรู้จักกำลังใจของคน ความรู้สึกของคน ความสะอาด หรือความสกปรกของจิตของคน
๕. อตีตังสญาณ เหตุการณ์ในอดีต รู้ที่มาของประวัติศาสตร์ ต่าง ๆ ก่อนหน้านั้นมีอะไรมาบ้าง

๖. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ข้างหน้า ประเภทหมอดู แต่ก็รู้ตามความเป็นจริง
๗. ปัจจุปปันนังสญาณ คือ ญาณปัจจุบัน รู้ว่าเวลานี้ ใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ มีความสุข หรือมีความทุกข์
๘. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฎของกรรมว่า คนเราที่มีความสุข และมีความทุกข์ เพราะกรรมอะไรเป็นเหตุ กรรมที่ทำไว้ เป็นกรรมชาตินี้ หรือกรรมชาติก่อน ๆ

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี เราจงอย่าให้ท่านเป็นผู้มาหาเสมอไป ต้องฝึกใช้กำลังใจไปหาท่าน วันทั้งวันให้คุยกับเทวดา นางฟ้า หรือพรหม หรือพระอริยเจ้าที่ท่านนิพพานไปแล้ว หรือเทวดา นางฟ้า พรหม ที่ท่านเป็นพระอริยะก็มาก คุยกับ ครูบาอาจารย์ที่ท่านตายไปแล้ว หรือว่าย่องไปดูในสถานที่ใดที่หนึ่ง ที่ยังมีชีวิตอยู่

ที่เรามีความพอใจ หรือมีความไม่พอใจ คำว่า ไม่พอใจ ก็หมายความว่า ปฏิปทานั้นมันไม่ดี เป็นโทษ ที่พอใจ ก็หมายถึงว่า ท่านมีปฏิปทาดี มีประโยชน์ ในเมื่อหลวงพ่อปานท่านแนะนำแบบนี้แล้ว พวกเราทั้ง ๓ องค์ ก็เข้าป่าช้าตามเดิม ซักซ้อมกันทั้งวัน ทั้งคืน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ต้องทำเบา ๆ ทำแบบสบาย ๆ แบบหลวงพ่อเนียม

บางเวลาเราก็ใช้ ทิพจักขุญาณ แต่ก่อนจะใช้ทิพจักขุญาณก็ต้องพิสูจน์ศีล ระงับนิวรณ์ ๕ แผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง ทำให้จิตเป็นสุข เรื่องพรหมวิหาร ๔ นี่ทิ้งไม่ได้ ต้องมีประจำใจ เมื่อพรหมวิหาร ๔ ประจำใจ อารมณ์ก็เป็นสุข จิตก็มีสภาพแจ่มใส อย่างนี้ทิพจักขุญาณแจ่มใสทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคิดว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย

แต่เราจะตายอย่างคนไม่ขาดทุน คือ ไม่ยอมไปนรก อย่างเลวไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างนิยมที่สุดก็คือ ไปนิพพาน เราจะไปได้ หรือ ไม่ได้ เราจับนิพพานเป็นกำลัง นอกจากนั้น ก็จับภาพพระพุทธเจ้าจะไม่ขอพูดว่า พระพุทธรูป จับภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น และต่อแต่นั้นไป ถ้าต้องการรู้อะไร ก็ถามท่านอันนี้เป็นลีลาที่หลวงพ่อปานบอก

หลวงพ่อปานบอกว่า การรู้เองจริง ๆ มันมีอุปาทานกิน ถ้าสิ่งที่สูง เป็นธรรมะที่สูง ควรถามตรงพระพุทธเจ้า ถ้าต่ำลงมา เป็นโลกีย์วิสัยอยู่บ้าง ก็ถามเทวดา หรือพรหม เฉพาะองค์ที่ท่านสงเคราะห์ อย่าถามพร่ำเพรื่อ เจอะใครก็ถามเจอะใครก็ถาม อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องดู องค์ไหนท่านสงเคราะห์เราหวังเมตตาเราจริง ๆ เราถามเฉพาะองค์นั้น

ถ้าองค์อื่นมาพูดเป็นอย่างอื่น เราไม่เชื่อ ถ้าอย่างนี้จะรู้จริงเสมอเมื่อซักซ้อมกันอยู่ประมาณสัก ครึ่งเดือนเศษ หลวงพ่อปานก็สั่งจัดแจงการเดินธุดงค์ การเดินธุดงค์ไม่มีอะไร มีจีวรสีกรัก ๑ ตัวตามปกติอยู่วัดห่มผ้าสีเหลือง แล้วก็มีสังฆาฏิสีกรัก มีอังสะสีกรัก มีสบงสีกรัก รัดประคดสีกรัก รัดประคดอกสีกรัก บาตร ๑ ลูก กาน้ำ ๑ ลูก แล้วก็ย่าม

คำว่า ย่าม ในย่ามจะมีสิ่งที่เป็นอาวุธไม่ได้ จะมีเงินมีทองไม่ได้ แม้แต่ทองปิดพระก็มีไปไม่ได้ เพราะว่าถือว่าเป็นอนามาสเมื่อเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ หลวงพ่อปานก็พาเดินออกจากวัด
ท่านบอกว่า ฉันจะนำเธอไปธุดงค์เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ฉันก็แก่มากแล้ว แต่ว่าการที่เธอฝึกธุดงค์ก็ทำถูกบ้างผิดบ้าง แต่ก็ใช้ได้ แต่การไปกับฉัน ให้ฟังคำสั่งฉันโดยเฉพาะ

ท่านก็สั่งบอกว่า ก่อนจะออกเดินทางให้เตรียมกำลังใจไว้ว่า เราจะเป็นคนมีศีล ๒. เราจะไม่เป็นทาสของนิวรณ์ ประการที่ ๓. เราจะมีพรหมวิหาร ๔ ต้องประจำใจ ประการที่ ๔. เราจะไม่ติดในโลกีย์วิสัย มนุษยโลก พรหมโลก เทวโลก เราต้องการนิพพาน และหลังจากนั้นขณะเดินทางออกไป ใครจะภาวนาอย่างไรก็ได้ จะพิจารณาก็ได้

สุดแล้วแต่กำลังใจ จงอย่าทำใจคิดห่วงหน้าห่วงหลัง การห่วงหน้าห่วงหลังไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่ได้อยู่ที่นั่น เราห่วง เฉพาะเราตัวเดียว ร่างกายไม่น่าห่วง ห่วงแต่เพียงว่า เมื่อตายแล้วมันจะไปไหนกันแน่จะไปสวรรค์ หรือนรก ถ้าเราภาวนาอยู่ก็ดี พิจารณาก็ตาม ถ้าเราตาย จะไปตามกฎของกรรมที่เราพึงทำได้

ในเมื่อท่านสอนแล้ว ตอนเช้าฉันข้าวเช้าแล้ว ออกเดินทางไปทางสีกุก พอไปถึงสีกุก เห็นค่ายพม่า สมัยมาตีอยุธยา ตอนนั้นก็ไม่ได้บังคับจิต จิตก็มีความรู้สึกเห็นภาพพม่า เห็นภาพกองทัพพม่ามีกำลังมากมาย ความเป็นอยู่ก็เป็นไปด้วยความลำบาก นอนกับดิน กินกับทราย และพม่าก็เป็นชาติที่ใจร้ายข่มเหงคนไทยหลังจากนั้นก็เดินต่อไปข้ามจากสีกุก

เข้าเขตอำเภอบางบาลเมื่อออกจากบางบาลก็เดินตรงไปอยุธยา จากอยุธยาก็เข้าอำเภอบ้านหมอ พอเข้าถึงอำเภอบ้านหมอ ก็หมดเวลาพอดี ไม่ใช่หมดเวลาพูด คือหมดเวลาเดิน เวลานั้นประมาณบ่ายสัก ๕ โมงเศษ หลวงพ่อปานก็สั่งปักกลด การปักกลด เขามีคาถาปัดกลด ว่าคาถา คาถาก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากแสดงความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ กับชุมนุมเทวดา

ที่เรียกว่า บวงสรวงบ้าง ชุมนุมเทวดาบ้างเวลาปักกลดผูกสายอัพโภกาสก็มีคาถาว่า คาถาก็ไม่เห็นมีอะไร พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา คือ ใจนึกถึงพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระธรรม ใจนึกถึงพระอริยสงฆ์ ใจนึกถึงเทวดา และเจ้าที่ ไปที่ไหนต้องเคารพเจ้าที่เมื่อปักกลดกันเสร็จ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า การนึกมีความรู้สึกอย่างนั้นถูกต้อง และต่อมาท่านก็แนะนำว่า

ต้องทำพิธีบวงสรวงก็มานั่งประชุมกัน ท่านก็กล่าววาจาบวงสรวง ตามที่ปฏิบัติในปกติหลังจากนั้นก็ขอความคุ้มครอง ตั้งแต่พระพุทธเจ้า ลงมาถึงเจ้าที่ท่านบอกว่า เราไปที่ไหนก็ตาม ต้องเคารพเจ้าที่ เพราะเจ้าที่มีความสำคัญมาก จะป้องกันอันตรายได้ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ปรากฏว่า จะอาบน้ำ ก็มีชาวบ้านเขาเห็นพระเข้า ก็พากันตักน้ำมาคนละหาบ

เอาน้ำมาถวายพระให้พระสรง พระอาบ แต่ความจริงลืมบอกไปว่า ไปคราวนั้น มีผ้าอาบน้ำไปด้วย คือ เป็นสีกรักเหมือนกันโตเท่าสบงเมื่ออาบน้ำเสร็จ ทรงสบงจีวรดีเรียบร้อยแล้ว ก็กลับเข้ามานั่งที่ ก็มีชาวบ้านเขาเข้าไปคุยกับหลวงพ่อปาน ก่อนที่จะเข้าที่

หลวงพ่อปานบอกว่า พวกเธอ ฉันให้นำสมุดมา จงเขียนมาว่า ขณะที่ผ่านมาจากวัด จนกระทั่งถึงที่นี่ เธอพบอะไรในอดีตบ้าง นั่นหมายถึง อตีตังสญาณ ก็เขียนตามที่พบตามที่เห็น การเดินไปบรรดาท่านพุทธบริษัทการเดินไปคราวนั้น เดินธุดงค์จริง ๆ ๔ องค์ แต่ว่าการเดินไปจริง ๆมีเทวดามากมายหลายท่าน ท่านก็เดินไปด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านจะอยู่ไม่ห่าง ท่านจะบอกความเป็นมาของสถานที่ทั้งหมดว่า ที่ตรงนี้มีอะไรอยู่บ้างอย่างพอถึงสีกุก ท่านบอกว่า ตรงนี้เป็นค่ายของพม่า พม่าใช้กำลังเท่าไรมาตั้งที่นี่ เพื่อตีกรุงศรีอยุธยา การตีอยุธยาแตกครั้งใหญ่คราวนั้น และใครเป็นแม่ทัพนายกอง และท่านก็ทำภาพให้ดูลีลาการรบการรบเขาทำอย่างไร

แบ่งเป็นหมวด เป็นหมู่ เป็นกอง มีลีลาหลายอย่าง เวลานั้นอยุธยาของเราเสียท่าเขา มีหน้าที่อยู่ในบ้าน คอยให้เขาเข้ามาตีบ้าน บางครั้งก็ยกทหารออกมาตีกับเขาบ้าง บางครั้งบางคราวแต่ในที่สุดอยุธยาก็พัง ถูกไฟเผา พระเจ้าตากสินตีฝ่าข้าศึกออกไป เห็นภาพทั้งหมด เทวดาท่านแสดงเราก็เขียน จากอยุธยามา เห็นอะไรบ้าง พบอะไรบ้าง เขียนทุกอย่างตามที่มีความรู้สึก

ตามความรู้สึกด้วย ตามที่เทวดาชั้นจาตุมหาราชบอกให้ฟังด้วย และนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยันถึงอดีตต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันตั้งแต่สมัย พระพุทธกัสสป พระกกุสันโธ พระโกนาคม เป็นต้นและบางกรณี บางสถานที่ ก็บอกไปถึงสมัยโน้น สมัยพระพุทธเจ้าทรงนามว่า พระพุทธทีปังกร มีพระเท่าไร มีปริมาณอย่างไร

พระปฏิบัติกันแบบไหน ท่านทำภาพให้ดูหมด เมื่อเขียนตามที่เห็นสมควรแล้ว ตามที่ท่านบอก ก็หยุดการเขียน ตอนเช้าก็มาอ่านให้หลวงพ่อปานฟัง ท่านยอมรับว่า อย่างนี้ใช้ได้หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวเราจะถอนกลดไป ฉันข้าวเช้าแล้วเราจะเดินทางต่อ ท่านก็นำเดินทางต่อ เวลานั้นป่ามีมาก นามีน้อย เดินจากบ้านหมอ ไม่ช้าก็เข้าเขตพระพุทธบาท

เข้ามาปักกลดที่พระพุทธบาท ค้างที่พระพุทธบาท ๒ คืน แต่ว่าที่พระพุทธบาทนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้ง ๆ ที่มีเทวดาอารักขาอยู่มาก เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี อารักขาอยู่มาก ยังมีเทวดาจรเข้ามาอีก เทวดาจรเข้ามา ก็น่ากลัวจะเป็นพวกเดียวกับเทวดาที่อารักขา ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็คงจะเข้ามาไม่ได้ เพราะเทวดาชั้นจาตุมหาราชนี่เขาถือว่า มีความดุร้ายมาก เข้มแข็งมาก แต่ก็ยังมีเทวดาแปลกเข้ามา สำหรับเพื่อน ๆเขาจะมีอะไรบ้างก็ไม่ขอเล่าสู่กันฟัง

ขอเล่าเฉพาะส่วนตัวเองขณะที่เจริญสมาธิอยู่ในกลด อุชุง กายัง ปะณิธายะ ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก แผ่เมตตาไปทั่วจักรวาล จิตตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ และก็ใช้กำลังวิปัสสนาญาณ คือพิจารณาร่างกายว่า มันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอย่างไร ๆ เราก็ต้องตาย จะตายที่ไหน มันก็ตายเหมือนกัน ตายที่ตรงนี้ก็ช่าง เราต้องการไปนิพพาน

แล้วก็นั่งไล่เบี้ย ฌาน ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖,๗, ๘ แล้วก็ถอยหลังมาตั้งอยู่ที่ ฌาน ๔ ลดกำลังใจมาถึงอุปจารสมาธิตั้งอยู่ในกำลังของวิปัสสนาญาณเวลานั้นก็ปรากฏพอดี พอเริ่มจับกำลังวิปัสสนาญาณได้ประเดี๋ยวเดียว ก็มีสาวสวย ๒ คน เดินผ่านเข้ามาในกลด เปิดมุ้งเข้ามานั่งข้างหน้า ก็นึกในใจว่า สายอัพโภกาสกันทั้งผี กันทุกอย่าง นี่เข้ามาได้อย่าง

เธอก็ถามว่า ท่านจะไปไหน
ก็บอกว่า จะไปธุดงค์ เวลานี้อยู่ในเขตธุดงค์ ก็ถามว่า เธอมาได้อย่างไร
เธอก็บอกว่า ฉันจะไปทางไหน ฉันไปได้ทุกทางไม่มีอะไรขีดคั่น
ก็ถามเธอบอกว่า เธอเป็นนางฟ้าใช่ไหม

เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่
ถามว่า เป็นมนุษย์หรือ
เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่
ถามว่า เป็นผีหรือ

เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่
ถามว่า พวกเธอเป็นพวกอนัตตาใช่ไหม
เธอตอบว่า ใช่
และถามว่า มาทำไม

เธอก็บอกว่า ผู้หญิงก็อยากจะพบผู้ชายท่านเป็นผู้ชาย ไม่อยากพบผู้หญิงบ้างหรือ
ก็บอกว่า ตามปกติแล้ว ไม่อยากพบใครทั้งหมด ผู้หญิงก็ไม่อยากพบ ผู้ชายก็ไม่อยากพบ ส่วนที่อยากพบอย่างเดียว คือ พระนิพพาน เธอทั้ง ๒ คน หันไปยิ้มเข้าหากัน

แล้วก็พูดบอกว่า เราผิดหวัง นี่ความจริงเราเป็นสาวใหญ่มานานแล้ว หาสามีไม่ได้ คิดว่า พระท่านอยากจะมีเมียบ้าง ก็มาหาท่านท่านไม่ต้องการเสียแล้ว เราไปดีกว่า แล้วก็ลากลับในเมื่อเธอไปแล้ว ก็มาคิดในใจว่า ทั้ง ๒ คนนี่ ต้องเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก ไม่ใช่นางฟ้า นางฟ้าเขาจะไม่ยุ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องเป็นเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้า

เมื่อมีความสงสัยอย่างนี้ จึงถามท่านคณะท่านท้าวมหาราช ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ใช่ ๒ ท่านที่มาเมื่อกี้นี้ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่นางฟ้า ไม่ใช่คน เป็นพรหม ท่านแปลงกายเป็นผู้หญิงเข้ามา หวังจะทดลองใจท่านว่า มีความพอใจไหม ท่านท้าวเวสสุวัณท่านก็บอกว่า ท่านทำกำลังใจถูกแล้ว ถ้ารักษากำลังใจอย่างนี้ ทุกอย่างที่ท่านต้องการไม่พลาดแน่

หลังจากนั้นท่านก็บอกว่าต่อแต่นี้ไปไม่มีอะไรอีก นิมนต์ตามสบายก็นั่งเจริญกรรมฐานบ้าง เมื่อเมื่อยก็นอน เมื่อยลงไปก็นอนมองดูเวลา หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูประมาณตี ๒ เมื่อถึงเวลาตี ๒ เห็นว่าควรพักผ่อน ก็นอน อารมณ์จับนิพพานเป็นอารมณ์ ที่เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน นอกจากนั้นก็ จิตจับภาพพระ คือ ภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น

เห็นท่านมีสภาพแจ่มใส ท่านยิ้มแย้ม ก็มีความดีใจ มีปีติเกิดขึ้น ในที่สุดก็หลับ พอเวลา ๖ โมงเช้า ได้ยินเสียงปลุกว่าท่าน เวลานี้ ๖ โมงเช้าแล้ว นิมนต์ลุกได้ ประเดี๋ยวจะต้องไปบิณฑบาตพอตื่นขึ้นมาแล้ว ก็เอาน้ำในกามาล้างหน้าพอล้างหน้าเสร็จ ก็ปรากฏว่า มีคน ไม่ได้ไปบิณฑบาต มีคนใส่บาตร คือเป็นแบบชาวบ้านธรรมดา ๆ ชาวบ้านธรรมดาก็มี

ชาวบ้านผิดธรรมดาก็มี ชาวบ้านที่ผิดธรรมดาก็คือว่าแต่งเนื้อแต่งตัว ร่างกายเหมือนชาวบ้านธรรมดา แต่ว่านัยน์ตาไม่กระพริบ ชาวบ้านประเภทนี้มีข้าว แต่ไม่มีกับ มีข้าวกับดอกไม้ ชาวบ้านธรรมดาก็มีต้ม มีแกงเอามาใส่พอฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อปานนำให้พร ให้พรเสร็จ ทุกคนเขาก็ลากลับ หลวงพ่อปานก็เล่าความเป็นมาของพระพุทธบาท

คือ ประวัติพระพุทธบาทตั้งแต่ต้น ตั้งแต่องค์สมเด็จพระทศพลมาโปรดพราหมณ์ที่นั่น และหลังจากนั้นมามีอะไรบ้าง ท่านก็เล่าสู่กันฟัง หลังจากนั้นก็ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท ท่านก็ยืนยันว่า รอยพระพุทธบาทนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทจริง ๆ แท้ ๆ ไม่มีใครทำขึ้น ไม่ใช่ของปลอม แล้วหลังจากกราบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็สั่งให้ทุกองค์นั่งทำสมาธิ

พอเริ่มทำสมาธิบรรดาท่านพุทธบริษัท จับลมหายใจเข้า ไม่ทันจะหายใจออก เห็นภาพพระพุทธเจ้าประทับยืนยิ้มอยู่ข้างหน้า และก็ทรงมีวาจาตรัสว่า เธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ร่างกายนี้ไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว มันก็ตาย เมื่อร่างกายนี้ตาย เราก็ต้องทิ้งร่างกาย ร่างกายก็เป็นของไร้ประโยชน์ จงหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้อย่างนั้น เมื่อท่านตรัสเพียงเท่านี้ ท่านก็หายไป

พวกเราก็เอาจิตจับพระนิพพาน เวลานั้นจริง ๆ และความจริง เรื่องรู้จักนิพพานจริง ๆ ยังไม่มี ก็นึกในใจขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า ถ้าพระนิพพานมีที่ไหน ขอไปที่นั่น เพียงเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไปปรากฏกายที่นิพพานทันที นิพพานมีความสวยสดงดงามมาก มีสภาพแจ่มใส มีอาการสงบสงัด เป็นเมืองแก้ว ที่เขาบอก เมืองแก้วกล่าวแล้ว คือ พระนิพพาน มีบ้านมีเมือง ไม่ใช่มีสภาพว่างอย่างหนังสือว่า

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/1/13 at 17:03 [ QUOTE ]


8

ปักกลดที่เขาชอนเดื่อ



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ เป็นวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ ก็ขอคุยกันที่พระพุทธบาท เรื่องใดที่คุยกันมาแล้ว ก็จะไม่คุยซ้ำกับในหนังสือหลวงพ่อปาน เมื่อพักอยู่ที่พระพุทธบาทแล้ว หลวงพ่อปานก็นำมาเที่ยวที่ เขาวงพระจันทร์ ย้ายกลดมาที่เขาวงพระจันทร์ ขึ้นไปปักกลดกันอยู่บนยอดเขา เวลานั้น บันไดก็ไม่มี ต้องเดินแบกกลดบุกป่าขึ้นไปบนยอดเขา ไปตามทางที่เขามีอยู่บ้าง ไม่ใช่ทางบ้าง ไต่เขาขึ้นไปพอถึงยอดเขาก็ปักกลด การปักกลดก็ทำตามปกติ

หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ที่เขาวงพระจันทร์นี้ มีพระบรมสารีริกธาตุ วันนี้ถ้าพวกเธอปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นที่พอใจของพระพุทธเจ้า พวกเธอจะเห็นพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าองค์ไหนปฏิบัติไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ควร จะมองไม่เห็น
เวลานั้นเมื่อถึงเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้ห่วงเรื่องการกินข้าวกินปลากับใคร เพราะถือว่าเรากินกับเทวดาได้ บนยอดเขาใครจะไปใส่เวลานั้นบ้านอยู่บนยอดเขาไม่มี เชิงเขาก็ไม่มี อยู่ไกล

พอขึ้นไปปักกลดเสร็จ มีบ่อน้ำอยู่ ไปอาบน้ำอาบท่า เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งพิงโคนต้นไม้ ซึ่งมันร่มดี และก็เย็นสบาย ๆ นั่งหลับตาเจริญภาวนานึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าลืมว่าการธุดงค์จิต จะต้องวางนิวรณ์ทั้งหมด มันมี แต่ว่าจงทำเหมือนคนไม่มีนิวรณ์นั่นคือ ไม่นึกถึงมัน ไม่สนใจในมัน และประการที่ ๒ การไล่เบี้ยฌาน เข้าฌาน ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ ๘, ๗, ๖, ๕, ไล่มา ไล่ไปไล่มา ไล่มาไล่ไป ให้มันคล่อง

มันเพลินในฌาน หลังจากนั้นก็ใช้ทิพจักขุญาณ บางจุดใช้ทิพจักขุญาณบ้าง จุตูปปาตญาณบ้าง ญาณ ๘ ประการ ใช้ให้มันคล่อง ให้มันเพลินอยู่ในญาณ เพลินอยู่ในญาณ ไม่ใช่ไปชมต้นไม้ต้นไร่ พอถึงที่สบายใจ ลืมตาขึ้นมา เห็นใบไม้มีสภาพไม่เสมอกัน ใบไม้หล่นมา ก็คิดในใจว่า ใบไม้นี่ เมื่อก่อนจะเกิด มันก็ผลิเป็นตุ่มเล็ก ๆ เหมือนกับคน เหมือนกับเด็ก ที่เราเกิดมาเป็นเด็ก ต่อมาก็ค่อย ๆโตขึ้นมาเต็มที่

เป็นหนุ่มเป็นสาว ใบก็เขียว ต่อไปใบก็เริ่มเหี่ยว และก็แห้ง เหมือนกับคนแก่ในที่สุดหลุด ก็คือตาย เหมือนกับคนตายเปรียบเทียบกับร่างกายของเรา อันนี้เป็น วิปัสสนาญาณใช้กับต้นไม้ ใช้กับบ่อน้ำ ใช้กับอะไรทุกอย่าง มองเห็นทุกอย่างเป็นวิปัสสนาญาณ จิตก็เป็นสมาธิ สมาธิไม่ใช่ไปนั่งเข้าฌานกันอยู่ตลอดเวลา สมาธิต้องทรงตัว วิปัสสนาญาณต้องทรงตัว พรหมวิหาร ๔ ต้องทรงตัว ต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการ ทรงตัว จิตมีการคล่องในสังโยชน์ทั้ง ๑๐ประการ

คำว่า คล่อง คือว่า มีความเข้าใจในสังโยชน์ทั้งหมด ๑๐ประการทั้งหมด ถึงแม้ว่าเราจะยังตัดไม่ได้ แต่ก็ต้องคล่อง คำว่า คล่อง ก็หมายความว่า สักกายทิฏฐิ อย่างต่ำคือ นึกว่าตาย อย่างกลางคือ นึกว่าร่างกายมันจะต้องตาย และก็สกปรก มีชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความสกปรก อย่างสูงสุด คือ ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา โดยมากก็จะใช้ข้อสุดท้ายกับข้อที่ ๒

ต่อจากนั้นไปก็ ความมั่นใจในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ และก็ระงับอารมณ์ของกามคุณ ระงับอารมณ์ของโทสะ เล่นฌานให้คล่อง แต่ไม่ติดในฌาน ไม่มีการถือตัวว่า คนกับคน คนเหมือนคน คนเท่าคน เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน จิตไม่ฟุ้งซ่าน คือจิตหวังคิดว่า เวลานี้เราตาย เราไปนิพพานกันแน่ เราไม่ต้องการมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เราต้องการเฉพาะนิพพานจุดเดียว

นี่คุยให้ฟังเพียงคร่าว ๆ แล้วก็เดินไปเดินมา หลวงพ่อปานท่านก็ปล่อยตามอัธยาศัย พอเดินเข้าไปในป่า มันเป็นป่ารกชัฏ ตอนนี้ก็ไปเจอะพระองค์หนึ่ง เวลานั้นเวลาประมาณบ่ายสัก ๒ โมง ท่านกำลังนั่งฉันข้าวอยู่องค์เดียว และกับข้าวมีมากเหลือเกิน มีแกงเป็ด มีแกงไก่ มีแกงหมู โอ๊ย. จิปาถะ กินสัก ๑๐ คนก็ไม่หมด ท่านนั่งฉันตุ้ย ๆ ๆ อายุมากแล้ว อายุประมาณสัก ๔๐ เศษ ๆ อ้วน ๆ ผิวดำ ๆ

พอเข้าไปใกล้ท่าน ก็ยกมือไหว้ท่านถามว่า หลวงพ่อขอรับ เพิ่งฉันเช้าหรือขอรับท่านบอก เออ… ข้ากินแต่เช้าว่ะ มันยังไม่อิ่ม ข้าก็กินเรื่อยไปก็ถือว่าข้ากินข้าวเช้า ก็ถามว่า หลวงพ่ออยู่วัดไหนขอรับ ท่านบอกว่า เดิมทีเดียวท่านอยู่ที่จังหวัดอยุธยา แต่ว่าเวลานี้ไม่ได้อยู่ที่นั่นเสียแล้ว ออกมาจากวัด หาวัดอยู่ไม่ได้ ข้าก็อยู่ตามป่าตามดง ถามว่า หลวงพ่อขอรับ กับข้าวประเภทนี้หลวงพ่อไปนำมาจากไหนมีหมู เห็ด เป็ด ไก่ มากมาย ท่านก็บอก เอ็งก็ดูเอาซิ

คำว่า เอ็งก็ดูเอาซิ นั่นหมายความว่า ต้องใช้ทิพจักขุญาณ ก็เลยใช้กำลังใจเป็นทิพจักขุญาณ พอใช้กำลังใจเป็นทิพจักขุณาณเท่านั้นแหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท หลวงพ่อองค์นั้นกลายเป็น พรหม เป็นพรหมชั้นสูงมาก เป็นพรหมขั้น พระอรหัตมรรค เป็นพรหมชั้นที่ ๑๖ และกับข้าวทุกอย่างนี่ ไม่มีอะไรเป็นของจริง ไอ้หมู เห็ด เป็ด ไก่ ใบไม้ทั้งนั้น พอเห็นภาพอย่างนั้น ก็ถามท่านบอกว่า ขอประทานอภัยครับหลวงพ่อเป็นพรหมใช่ไหม ท่านบอก เออ . ใช่

ถามว่า หลวงพ่อมาเพื่ออะไร
ท่านก็บอกว่า ก็มาเยี่ยมพวกเอ็ง ข้าเห็นว่าพวกเอ็งยังไม่ว่าง ข้าก็เลยมานั่งกินข้าวที่นี่
ก็เลยบอกว่า กับข้าวแบบนี้ ชาวบ้านเขาไม่กินกันหรอกขอรับ เพราะว่าเป็นใบไม้บ้าง เป็นท่อนไม้บ้าง
ท่านบอก เออ…มันก็ไม่เป็นอาบัติ

ถามว่า พรหมยังต้องกินข้าวหรือ
ท่านบอก ไม่กิน แต่ท่านก็ยังไม่แสดงอาการกายเป็นพรหม
ถามว่า ท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๑๖ ใช่ไหม
ท่านบอกว่า ใช่ ตามความรู้สึกเวลานั้นว่า ท่านเป็นพระอรหัตมรรค

ก็ถามว่า ท่านเป็นพระอรหันต์หรือยังครับ
ท่านบอก ยังแค่มรรคอยู่ ยังไม่ใช่ผล
ถามว่า ท่านตายจากคนไปกี่ปี
ท่านบอกว่า ประมาณ ๔๐๐ ปีเศษ ๆ

และถามท่านบอกว่า การที่มาเยี่ยม มีความประสงค์อะไร
ท่านก็ตอบบอกว่า มาสงเคราะห์พวกเธอ พวกเธอมาดี มาหวังดี และเดินไป ทุกท่านที่ไหน ก็ใช้กำลังวิปัสสนาญาณด้วย มีสมาธิด้วย มีศีลด้วย มีพรหมวิหาร ๔ ด้วย กำลังใจตัดสังโยชน์ด้วย อย่างนี้ดีมาก
ถามท่านว่า อย่างพวกผมนี่ จะไปนิพพานชาตินี้ได้ไหม

ท่านก็ตอบว่า การถามแบบนั้น เป็นการถามของคนโง่ คนฉลาดจะไม่ถามกัน เพราะว่า การจะไปนิพพาน หรือไม่ไปนิพพาน ไม่ใช่คำพยากรณ์ของใคร มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติถูกเท่านั้น
เลยถามท่านบอกว่า เวลาที่ปฏิบัติเวลานี้ ถูกหรือยัง
ท่านบอกว่า ถูกแล้วแต่ความเข้มข้นในร่างกาย น้อยไปหน่อย ความเข้มข้นของจิตใจ น้อยไปหน่อย

ถามว่า ขี้เกียจเกินไปใช่ไหม
ท่านบอกว่า ไม่ใช่ การขยันเกินไปเป็นของไม่ดี จิตต้องปล่อยไปตามอารมณ์มันบ้าง อย่าบังคับอย่างเดียว อย่าบังคับให้อยู่เฉพาะกำลังฌาน อย่าบังคับให้อยู่เฉพาะกำลังวิปัสสนาญาณ บางครั้งก็ดูต้นไม้ ดูใบไม้ ดูดอกไม้ ที่มันแกว่งไปแกว่งมาตามกระแสลม สร้างความเพลิดเพลินตามปกติเสียบ้าง จิตจะได้ไม่เครียด หลังจากนั้นแล้วก็จับสิ่งที่เราเห็น เป็นวิปัสสนาญาณ

ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ที่นี่มันเป็นป่า ไปเที่ยวบ้านฉันไหม
ก็บอกว่า ไป
พอบอกไป ท่านบอก เอ้า…ไปกันได้แล้ว๓ องค์ ก็เลยไปกันทันที การไปก็ไม่มีอะไรมาก ไปด้วยอานุภาพของท่าน พอท่านบอก ไปได้ละ ก็ถึงเลย ไม่เห็นอะไรข้าง ๆ เลย พอไปถึงเข้า ท่านสวยสดงดงาม

ท่านก็บอกว่า เดิมฉันอยู่ที่จังหวัดอยุธยา ตายมา ๔๐๐ ปีเศษ ฉันชื่อ สิงห์ เวลานี้เป็น พระอนาคามี ท่านก็ชี้มาที่อาตมา ท่านบอกว่า ฉันเคยเป็นพ่อเธอมาหลายชาติ เมื่อเธอปฏิบัติอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจของฉัน เธอจะไม่กลับถอยหลังอีก คำว่า ถอยหลังไปเกิดเป็นมนุษย์ จะไม่กลับไปอีก ขอให้ตั้งใจตรงเฉพาะนิพพานเข้าไว้และท่านก็พาชม สหัมบดีพรหม ในเขตสหัมบดีพรหมทั้งหมด กว้างใหญ่ไพศาลมาก น่าอยู่ น่าเลื่อมใส

ท่านถามว่า ชอบใจไหม
ก็บอกว่า ดินแดนของพรหมนี่ชอบใจแต่ว่าก็ไม่เคยคิดจะอยู่พรหม อยากจะไปนิพพาน
ท่านก็ให้แหงนหน้าขึ้นไปดู เห็นนิพพานอยู่สภาพใกล้นิดเดียว ท่านก็พาไปที่นิพพาน
ท่านบอก นี่วิมานของเธอ วิมานใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ เพราะการก่อสร้างของเธอทุกชาติ เธอสั่งสมบารมีมามาก เธอเคยพบพระพุทธเจ้ามาหลายองค์ จำวิมานของเธอไว้ เวลาที่ใช้กำลังฌานสมาบัติ ก่อนจะใช้กำลังฌานสมาบัติ ใช้พรหมวิหาร ๔ ก่อนและใช้กำลังวิปัสสนาญาณให้ถึงที่สุด

คือไม่ต้องการภพทั้ง ๓มนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก ต้องการนิพพาน ให้ใจมันแน่วแน่และตรงดิ่งมาที่นี่ทันที มานั่ง มานอนเล่น ให้มันสบายเสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยไปเที่ยวที่อื่นจะไปที่ไหนก็ได้ ก่อนจะหลับ มาหลับที่นิพพาน อธิษฐานเวลาตื่นเข้าไว้ว่า เวลาเท่านั้นเท่านี้ เราจะลงมาจงทำอย่างนี้ทุกวัน อารมณ์จะชิน เมื่ออารมณ์ชินแบบนี้ สังขารุเปกขาญาณมันจะเกิดขึ้น เป็นวิธีง่าย ๆ และเวลาตายจริง ๆ มันก็จะตรงมาที่นี่

ก็เลยบอกท่านบอกว่า เวลานี้ผมปรารถนาพุทธภูมิ
ท่านบอกว่า ไม่มีความหมาย เวลานี้เธอจงทำตามแบบพุทธภูมิไปเถอะ แต่เมื่ออายุ ๔๐ ปีเศษ ต้องลาพุทธภูมิ เพราะเวลานั้นจะเกิดมีการผันผวนในด้านพระศาสนาเกิดขึ้นมามาก แต่ก็ไม่ใช่มีใครเขาทำผิด ทุกสำนักทำถูกหมด แต่ถูกเล็ก หรือถูกใหญ่ ถูกหมด หรือไม่หมดเท่านั้น ถูกครบ หรือไม่ครบ ทุกสำนักเขาก็ทำถูก อย่าไปว่าเขาทำผิด เพียงแค่ใจเขานึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ถือว่า ทำถูกแล้ว แต่กำลังยังอ่อนเกินไป เขาต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

และคนของเธอ เมื่อสมัยที่เธอเกิดในสมัยก่อน ๆ เธอเคยเป็นกษัตริย์บ้าง เป็นแม่ทัพบ้าง เป็นรองแม่ทัพบ้าง เป็นพ่อเมืองบ้าง อย่างนี้คนที่เขาช่วยเธอมีมาก เพราะเธอปรารถนาพุทธภูมิ พุทธภูมินี่เธอปรารถนามานานแล้ว แต่ว่าชาตินี้ต้องลาพุทธภูมิช่วยพระศาสนา ช่วยเฉพาะในกลุ่มของเรา ไม่ใช่คนอื่น คนอื่นจะสอนเขาไม่ได้ เขาจะไม่จำ ในเมื่อเขาไม่จำ ก็ไม่เกิดประโยชน์ คนอื่นช่างเขา เขาจำ หรือไม่จำก็ช่าง เอาแต่คนของเรา และเธอก็จะสามารถขนคนพวกนั้นมานิพพานได้ ไม่น้อยกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เหลือจากนั้นอีกเล็กน้อย เขาจะอยู่บนสวรรค์บ้าง ไปพรหมโลกบ้าง และต่อไปเขาก็จะไปนิพพาน

เมื่อคุยกับท่านเสร็จ ท่านก็พาเที่ยวบริเวณของนิพพาน ท่านก็ชี้วิมานของแต่ละบุคคล องค์นั้นวิมานอยู่ตรงนี้ องค์นี้วิมานอยู่ตรงนี้วิมานมีแล้วทั้งหมด ก็รวมความว่า เวลานั้นก็เลยรู้สึกตัวว่า เอ๊ะ เรามีวิมานที่นิพพาน แต่ว่าการเป็นพระพุทธเจ้าก็มานิพพาน ปรารถนาพุทธภูมิก็มานิพพาน ปรารถนาสาวกภูมิก็มานิพพาน ในฐานะที่หลวงพ่อปานท่านแนะนำ ท่านชวนให้ปรารถนาพุทธภูมิ ก็ขอปฏิบัติตามสายพุทธภูมิก่อน

แต่ว่าที่หลวงพ่อเนียมสั่งว่า สังโยชน์ ๑๐ ประการ ต้องคล่องตัว ก็ต้องทำด้วยเหมือนกันก็เป็นอันว่า หลวงพ่อเนียมก็ดี หลวงพ่อโหน่งก็ดี หลวงพ่อปานก็ดี ท่านรู้ดีว่ามีความจำเป็นเรื่องการกำจัดสังโยชน์ ๑๐ ประการและการกำจัด นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะตัดได้ขาด มีความจำเป็นต้องยับยั้งอารมณ์ของสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา ต้องยับยั้งทิ้งไว้เสีย คิดว่า มันเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เข้ามาผสมกัน มีอาการ ๓๒ ไม่ช้ามันก็ตาย เราไม่เป็นอรหันต์ก็ช่าง

เรายอมเคารพนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ยับยั้งในกามารมณ์ ยับยั้งในความโกรธ ไม่หลงในรูปฌาน และอรูปฌาน ไม่ถือตัวถือตนแม้แต่กับหมาเราก็เล่นได้ หมาเล่นกับเรา เราก็เล่นกับหมาหมาตะกายหลังตะกายหน้า ก็ปล่อยตามใจหมา เราไม่ถือตัว ไม่ถือตน และอารมณ์เราก็ไม่ฟุ้งซ่าน หวังนิพพานไปที่เดียว และเราก็ไม่เห็นว่า พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลกดี เราเห็นนิพพานดี เอากันแค่เป็นประเพณีนิยม หรือประจำใจ จะเป็นอรหันต์หรือไม่ ไม่สำคัญหลังจากนั้น

เมื่อท่านพาเสร็จจบ ท่านก็บอกว่า เวลานี้มันสว่างแล้ว ขึ้นไปตั้งแต่บ่าย ๓ โมงเย็น ไปพักเดี๋ยวท่านบอกว่า สว่างแล้ว เดี๋ยวหลวงพ่อปานจะคอย แต่ว่าหลวงพ่อปานท่านรู้นะว่า มากับฉัน ไม่ใช่ท่านไม่รู้ ก็กลับลงมาที่เดิม พอเข้ากลด ก็เสียงหลวงพ่อปานเคาะกระดิ่งเล็ก ๆ เป็นสัญญาณบอกให้ออกมาบิณฑบาต ก็ห่มสบงทรงจีวร นุ่งสบงทรงจีวรตามปกติ ออกบิณฑบาต พอถือบาตรออกจากกลด ก็ปรากฏว่ามีคน ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่คนแก่มาก นั่งเป็น ๒ แถวเรียงรายกัน

ก็เดินบิณฑบาตตรงกลาง แต่ข้าวที่เอามาเหมือนกันหมด คือ ข้าวสีเหลืองน้อย ๆ มีดอกไม้คนละดอกใส่บาตร ก็เป็นอันว่า วันนั้นกินข้าวเทวดา กับนางฟ้า พอท่านใส่บาตรกันเสร็จ หลวงพ่อปานก็ให้พรว่า เอวัง โหตุ เป็นพรของพระสมัยโบราณที่ท่านให้กัน ทุกท่านก็กราบ ท่านหัวหน้าท่านบอกว่า ผมดีใจมากที่พวกท่านมาโปรด เพราะกำลังต่อนี้ไป แสงสว่างร่างกายผมจะมีมากขึ้น และอีกองค์หนึ่งที่รองจากหัวหน้า ท่านบอกว่า ทั้ง ๓ องค์นี่เพิ่งกลับจากนิพพานใช่ไหม

ก็ตอบว่า ใช่ ท่านบอก ก็ดีแล้ว เพราะที่เป็นอย่างนี้ดี ผมจึงมาใส่บาตร ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ผมก็ไม่มาใส่บาตร ท่านต้องเอาบาตรไปแขวนกับต้นไม้ ต้องอาศัยรุกขเทวดา แต่ว่าจริยาของท่านแบบนี้ ท่านไม่ต้องเอาบาตรไปแขวนกับต้นไม้ จะไปอยู่ที่ไหนก็ตามจะมีเทวดา กับนางฟ้ามาใส่บาตรเสมอ ถามท่านว่า ทั้งหมดท่านเป็นเทวดาบ้าง เป็นนางฟ้าบ้าง หรือพรหมบ้าง ทำไมถึงไม่มาในรูปของเทวดา นางฟ้า หรือพรหม

ท่านบอกมาในรูปเดิมนี้ดีกว่า เมื่อก่อนผมจะตายจากความเป็นคน ผมรูปร่างขนาดไหน อายุเท่าไร แก่ขนาดไหน หนุ่มขนาดไหน ผมมาตามนั้นดีกว่า มีความสบายใจกว่า ดีกว่าที่ให้ท่านเห็นว่า ศักด์ศรีของผมมันสูงและการแสดงตนเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ศักด์ศรีสูงมากรูปร่างก็สวยเกินไป ไม่ดี หลังจากนั้น ท่านก็ลากลับหลังจากนั้น หลวงพ่อปานก็บอกว่า เรายังจะไม่ไปกัน เราจะค้างที่นี่อีก ๑ เดือน พอตกเวลากลางคืน หลวงพ่อปานก็เรียกเข้าประชุม เวลาประชุมก็ไม่มีการอธิบายอะไร

บอก ทุกคนเริ่มเจริญภาวนา จับพุทธานุสสติเป็นอารมณ์โดยเฉพาะ ไม่เอาอย่างอื่น พอเริ่มทำเท่านั้นแหละ ปรากฏว่า พระบรมสารีริกธาตุ องค์โตกว่าบาตรตั้งเยอะ เป็นดาวสว่างจัด ขึ้นมาจากเขาวงพระจันทร์ ขึ้นมาจริง ๆ เวลานั้น ๗ ดวง แสงสว่างมาก ท่านก็ลอยนิ่ง สูงขึ้นไปประมาณสัก ๒ - ๓เท่ายอดไม้ แสงสว่างจัด ในที่สุดก็กลับลงมา กลับลงมาก็หายเข้าที่เดิม หลวงพ่อปานก็ลืมตา

ท่านบอกว่า ทุกองค์เห็นพระบรมสารีริกธาตุไหม ก็ตอบท่านว่า เห็น ท่านถามว่ากี่องค์ บอกว่า ๗ องค์ หลวงพ่อปานบอก ใช่ ใช้ได้ ๆ ครบ สมาธิดี วิปัสสนาญาณดีหลังจากนั้น ตอนเช้าหลวงพ่อปานก็ชวนกันถอนกลด เดินทางต่อไป มันเป็นในป่า ท่านก็ไม่ได้บอกว่า ในป่า มันป่าอะไร ไม่ได้ถามท่าน ไม่มีความจำเป็น มันจะเป็นป่าอะไรก็ช่าง เราก็เดินกันเรื่อย ๆ มา เวลาเดินมา เทวดาชั้นจาตุมหาราชท่านก็เดินมาด้วย พวกดาวดึงส์ก็มากันมาก

ท่านก็ชี้ชมสถานที่ต่าง ๆ ในอดีต ชมอดีต ไอ้ชมคนอื่นไม่สำคัญเท่าชมตัวเองเวลานั้นท่านเป็นไอ้นั่น เวลานี้ท่านเป็นไอ้นี่ ท่านมารบกับเขาตรงนี้ มาฆ่าตรงนี้ มาถูกฆ่าตายตรงนี้บ้าง มาฆ่าเขาตายตรงนี้บ้างว่ากันเรื่อยไป ว่าอดีตเป็นชั้น ๆ เป็นสมัย ๆ หลายสมัย พอไปถึงใกล้เขาใหญ่ มาทราบตอนหลังนี้เขาเรียกว่า ชอนเดื่อ เขาชอนเดื่อ แต่ความจริงถ้าเดินธรรมดา ๆ จากพระพุทธบาท มาชอนเดื่อนี่ ถ้าจะใช้เวลา ๑ วันนี่ น่ากลัวจะแย่เหมือนกัน ท่านเดินแบบสบาย ๆ สะดวก ๆรู้สึกว่า ไม่เหนื่อย

เป็นกำลังของหลวงพ่อปานบ้าง เทวดาท่านช่วยบ้างพอถึงเขาชอนเดื่อ ท่านก็ปักกลดหน้าเขาชอนเดื่อ เวลานั้นก็ปรากฏว่า มีพระองค์หนึ่งอยู่ที่เขาชอนเดื่อ พระองค์นั้นท่านก็ออกมารับรอง ท่านรู้จักกับหลวงพ่อปานดีมาก เมื่อปักกลดเสร็จ พวกเราจะพัก เห็นท่านเข้า ก็เข้าไปกราบท่าน ท่านเป็นพระมีอาวุโสแล้ว อายุประมาณ ๓๐ เศษ เกือบจะ ๔๐ พวกเราเพิ่ง ๒๐ กว่า ๆ นิดเดียว ท่านเห็นเข้าท่านก็ชมว่า พระ ๓ องค์นี้ดี เก่งมาก แต่ว่าก็ยังเก่งแค่หากินกับเทวดา นี่ท่านรู้ด้วย

หลวงพ่อปานก็ถามว่า ท่านหากินกับเทวดาหรือท่านหุงข้าวกิน
ท่านบอก ผมไม่หุงข้าวกินด้วย ไม่หากินกับเทวดาด้วย ผมอยู่ด้วยกำลังของปีติ คำว่า ปีติ คือ ความอิ่มใจ
หลวงพ่อปานถามว่า น้ำต้องฉันไหม
ท่านบอก น้ำต้องฉันแต่ข้าวไม่ต้องฉัน ร่างกายท่านสมบูรณ์มาก ผิวเหลืองสวย หน้าตาดี

หลวงพ่อปานถามว่า ท่านนิยมอะไร ศัพท์อย่างนี้พวกเราไม่เข้าใจกัน
ท่านบอกว่า เวลานี้ท่านกำลังอยู่ในขั้นฌานโลกีย์ แต่ว่าทรงอภิญญา ๕สามารถจะทำอะไรก็ได้ตามชอบใจ แต่ว่าสิ่งที่ไม่ทำอย่างเดียว ก็คืออาหาร ไม่ทำอาหารมาเพื่อกิน อยู่ด้วยธรรมปีติ พวกเราฟังแล้วก็ชื่นอกชื่นใจมาก ก็คิดในใจว่า คนที่อยู่ในธรรมปีตินี่ อย่างน้อยต้องเป็นพระอรหันต์ แต่ความจริงไม่ใช่ แค่ฌานโลกีย์ แค่อภิญญาโลกีย์ก็สามารถทำได้แล้ว

ต่อมาท่านก็คุยกับหลวงพ่อปาน ตามเรื่องตามราวของคนแก่อายุไล่เลี่ยกัน หลวงพ่อปาน ๔๐ ปีเศษ ท่านก็ ๓๐ เกือบจะ ๔๐อยู่แล้ว อายุใกล้กันมาก พวกเราก็มีหน้าที่นั่งฟัง แต่ที่ท่านคุยกันพวกเราไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ท่านคุยเรื่อง ไอ้นั่นมีที่นั่น ไอ้นี่มีนี่โอ้โฮ…ท่านชี้ไปในหุบในเขา มีเหว มีทองคำ มีอะไรต่ออะไร มีผีมีสาง ท่านชี้ไปที่ไหนเราก็พลอยเห็นด้วย ท่านเก่งจริง ๆ

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เวลาเหลือไม่ถึงครึ่งนาที จะคุยไปยิ่งกว่านี้ มันก็เวลาไม่พอ ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top