Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 23/1/13 at 14:43 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 18 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑๘

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดยพระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๘

1.
ตอนที่ ๑ พระเจ้าของถ้ำหุงข้าว
2. ตอนที่ ๒ ชมบึงบอระเพ็ด และเรียนระลึกชาติต่าง ๆ .
3. ตอนที่ ๓ เข้าวัง ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๓
4. ตอนที่ ๔ ธุดงค์ไปนครสวรรค์
5. ตอนที่ ๕ พุทธพยากรณ์โลก .
6. ตอนที่ ๖ ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี
7. ตอนที่ ๗ ตอบท่านที่ค้านพระพุทธศาสนา
8. ตอนที่ ๘ ตอบท่านที่ค้านพระพุทธศาสนา (ต่อ)



คำปรารภ เล่มที่ ๑๘



หนังสือเล่มที่ ๑๘ และเล่มก่อน ๆ พูดถึงเรื่องธุดงค์ และเรื่องเกี่ยวเนื่องกับเทวดา หรือพรหม เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นของอัศจรรย์ เป็นปกติธรรมดาของพระธุดงค์ และก็ไม่ใช่จะทำได้แต่ในอดีต ในปัจจุบันนี้ก็มีหลายท่านที่นิยมป่า ยังทำกันอยู่ตามปกติ และหลายท่านมีความสามารถยิ่งกว่าที่พูดมา เรื่องประวัติความเป็นมาของชีวิตที่บวชเป็นพระนำมาเล่าสู่กันฟังพอเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนที่เหลือมีมากกว่านี้มาก

พระราชพรหมยาน
๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔



1
พระเจ้าของถ้ำหุงข้าว

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๓ เป็นระยะเวลาในการเข้าพรรษา ท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่าท่านฟังเสียง จะรู้สึกว่าเสียงไม่ปกติ ก็ขอยอมรับว่า วันนี้เป็นไข้ และไข้หวัดนี่กินมาหลายวันแล้ว แต่บังเอิญวันนี้นอนไม่หลับ ในเมื่อนอนไม่หลับ เห็นว่าเสียงพอไปได้ ก็ลุกขึ้นมาทำงาน ก็ขอรายงานย้อนไปนิดหนึ่งที่เมื่อบรรดาพุทธบริษัทพบ

เมื่อวันที่ ๖ กับ วันที่ ๗กรกฎาคม ๒๕๓๓ เป็นวันเข้าพรรษา ตอนนั้นเท้าปวดมาก เนื่องจากเท้าบวม แต่ว่าพอมาถึงวันที่ ๗ เวลาตอนบ่าย ประมาณบ่ายโมง เท้าแทนที่จะบวมเฉย ๆ มันกลับพองขึ้นมาเป็นน้ำใส ๆ เวลานี้ก็ยังไม่หาย นี่เป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าถามว่า มีหมอรักษาไหม ก็ตอบว่า มี ๑๒ หมอไทย และก็ ๒ หมอเจ๊ก ต่างคนต่างร่วมทำการรักษา ต่อนี้ไปก็จะขอเล่าความเป็นมา

ตอนนี้เป็นเล่มที่ ๑๘ ลืมบอกไป ความเป็นมาของเล่มที่ ๑๘ คือว่า เมื่อถึงเขาชอนเดื่อ ตอนนั้นก็ปรากฏว่า หลวงพ่อปาน ท่านรู้จักกันกับพระที่เขาชอนเดื่อ ความจริงพระที่เขาชอนเดื่อนี่ รู้สึกว่า อายุจะน้อยกว่าหลวงพ่อปานมาก ถ้าจะประมาณอายุจริงๆ ก็ประมาณ ๕๐เศษ ๆ หลวงพ่อปานเวลานั้น ๖๐ เศษ ท่านมีท่าทางกระปรี้กระเปร่าแข็งแรง มีการคล่องตัวมาก

เพราะอยู่เขาเขาชอนเดื่อ นี่มารู้จักเอาสมัยหลัง สมัยที่มาอยู่ชัยนาทแล้ว เมื่อไปพบถ้ำ ๆ นั้นเข้า จึงได้ทราบว่าถ้ำ ๆ นี้เราเคยมา เมื่อสมัยมาธุดงค์แล้วก็เดินไปทั่ว ๆ บริเวณ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนของเก่าหมด ก็แน่ใจว่าเป็นถ้ำ ๆ นี้ แต่ว่าเวลานั้นเป็นป่าชัฏ บรรดาท่านพุทธบริษัท กลางวันก็ดี กลางคืนก็ดี ไม่ได้ยินเสียงสุนัขเห่า สุนัขหอนจากบ้าน ก็แสดงว่าไกลบ้านมาก

พอเข้าไปพัก ท่านก็มีอัธยาศัยดีมาก ท่านจัดสถานที่ให้นอน เป็นหลืบของเขา หลืบของถ้ำ เหมือนกับเป็นห้องนอน นอนกันแบบสบาย ๆ ไม่รวมกัน ไม่ต้องปักกลด แต่ว่าพอตื่นขึ้นเช้า เวลาสาย ๆ นิดหน่อย ท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า จะฉันข้าวไหม หลวงพ่อปานบอกว่า ฉันตามปกติ แต่ความจริงการไปคราวนั้น

บรรดาท่านพุทธบริษัท หลวงพ่อปานก็ดี คณะที่ไปร่วมก็ตาม กินข้าวจากเทวดา กินข้าวจากนางฟ้ากัน แต่ว่าพอตื่นเช้าวันนั้น หลวงพ่อปานไม่สั่ง ไม่สั่งให้ออกบิณฑบาตตามปกติ ก็ถือว่าคำสั่งต้องเป็นคำสั่ง เมื่อไปกับหัวหน้า หรือครูบาอาจารย์ ในเมื่อท่านสั่งอย่างไหน เราทำอย่างนั้น ท่านไม่สั่ง เราไม่ทำ

ก็คิดว่า วันนี้เราจะกินข้าวกันที่ไหน นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ถ้าไม่มีข้าวจะกิน เราก็อยู่ด้วยธรรมปีติ คำว่า ธรรมปีติ หมายความว่า มีความอิ่มใจในธรรม ถ้าจะถามว่า มีความอิ่มใจพอแล้วหรือ ก็ต้องตอบว่า การเดินทางคราวนั้น มีความอิ่มใจพอมากเป็นอย่างยิ่งเพราะว่ามีครูบาอาจารย์ควบคุมไป และประการที่ ๒ รอบ ๆ ข้างมีท่านที่มองไม่เห็นตัวด้วยตาเปล่า คุมไปมาก

ทำให้มีการสดชื่นมาก พอตอนสายมานิดหนึ่ง พอตะวันขึ้น ไม่สายมาก สักโมงเช้าได้ละมั่ง พระ เจ้าของถิ่น ท่านก็ถามว่า จะฉันข้าวไหม หลวงพ่อปานบอกว่า ฉัน ท่านก็เอื้อมมือไปหยิบหม้อดิน ใหม่เอี่ยม แต่ความจริงนั่งอยู่นี่นั่นก็มองไม่เห็นหม้อดิน ไม่ทราบว่าท่านวางไว้ที่ไหน แต่ว่าเวลาเมื่อท่านต้องการ ท่านเอื้อมมือไปหยิบปั๊บ ได้หม้อดินมา ๑ ลูก

เอาน้ำใส่ไปหน่อยหนึ่ง เอาข้าวสารใส่หน่อยหนึ่ง แล้วก็ปิดฝา ท่านถามว่า ฉันแกงบอนไหม หลวงพ่อปานบอกว่า ฉัน ท่านก็เอื้อมไปหยิบเอาบอนมา ตัด ๆ ไม่ต้องปอก ตัด ๆ เหมือนที่เขาแกงกัน แล้วก็ใส่ในหม้อ น้ำใส่หน่อยหนึ่ง แล้วก็เอาฝาปิด หลังจากนั้นท่านก็คุยกัน คุยกันไปสักครู่หนึ่ง ท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า หิวหรือยัง

เห็นจะเป็นเวลาประมาณสัก ๒ โมงเช้า ตอนนี้ก็ซ้ำกับหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ก็ต้องขอเล่าให้ฟังและจะขยายให้ฟังต่อไป เพราะว่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานนั้น พูดรวบรัดมาก เวลานั้นก็ป่วย มันใกล้จะตาย แต่เวลานี้อาการทั้งป่วยทั้งแก่ และใกล้จะตาย ก็ต้องนำเรื่องราวต่าง ๆ ที่คนเขียนภายหลังไม่สามารถจะเขียนได้ เพราะไม่รู้เรื่องความเป็นมาจริง ๆ เอามาเขียนไว้เล่าสู่กันฟังไว้

ก็เป็นอันว่า ในเมื่อหลวงพ่อปานบอกว่า หิวแล้ว ท่านก็เปิดหม้อข้าวขึ้นมา ข้าวสุกเต็มหม้อ มีควันคลุ้ง แสดงว่าข้าวสุก และยังร้อน ๆ มาก เหมือนกับยกลงจากเตาใหม่ ๆ แต่ความจริงก็ตั้งกับพื้นดิน แล้วก็เปิดฝาหม้อแกงขึ้น แกงเต็มหม้อ เอามากิน รสชาติเหมือนแกงบอนธรรมดา ๆ อร่อยมาก นี่ก็เป็นส่วนพิสดารส่วนหนึ่ง ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทท่านผู้ฟัง เข้าใจว่า

คนที่ฟังหลาย ๆ คนอาจจะมีความเห็นไม่เสมอกัน อาตมาก็ไม่ค้านความเห็นของท่านนี่เป็นเรื่องของ อภิญญาในเมื่อกินข้าวเสร็จ ท่านก็คุยกัน แล้วก็หันมาถามว่า คุณ ๒ องค์นี่ สนใจเรื่องฤทธิ์ไหม อีก ๒ องค์ท่านตอบว่า สนใจเรื่องฤทธิ์ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า สององค์นี่เขาชอบเล่นฤทธิ์มาก แต่อีกองค์หนึ่งนี่ไม่ชอบ ชอบรู้เห็นโดยเฉพาะ ไปได้ตามกำลังใจ ที่เรียกว่า มโนมยิทธิ ชอบเล่นทางใจ มากกว่าเล่นทางกาย

ท่านก็เลยหันมาถามอาตมาว่า ทำไมไม่ชอบเล่นทางกายล่ะ เราไปสวรรค์ เราไปนรกด้วยกายตนเองเป็นการดีนะ
ก็ตอบท่านว่า ผมมีความรู้สึกว่ามีการเหมือนกัน การไปด้วยกายก็เป็นของไม่แปลก การไปด้วยใจก็เป็นของไม่แปลก คือ เนื้อแท้ของร่างกายจริง ๆ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เวลาตายจริง ๆ ไม่ได้นำร่างกายไปด้วย ผมเลยไม่สนใจ

ท่านมองหน้านิดหนึ่ง ท่านบอกว่า ความจริงเป็นของไม่เกินความสามารถใช่ไหม
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ไม่แน่ใจครับ มันจะเกินความสามารถ หรือไม่เกินความสามารถ ผมไม่แน่ใจ แต่ว่าผมไม่นิยมใช้มัน ผมใช้เฉพาะใจอย่างเดียว ทางร่างกายเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธเจ้าท่านห้าม ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านห้าม ก็เกรงว่าจะเผลอ ถ้าเผลอเป็นการผิดพุทธบัญญัติ อาจจะมีโทษคำว่า มีโทษ อย่างนั้นก็ไม่ทราบว่า ท่านปรับโทษอะไร

ท่านก็เลยบอกว่า ก็ดีเหมือนกัน ถ้ามีความสันโดษอย่างนั้นก็ดี แต่เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ อยู่ที่นี่ ถ้าอยากจะเที่ยวที่ไหนก็บอกให้ทราบ
ก็ถามท่านว่า ท่านอยู่ที่นี่มานานหลายปีไหม
ท่านบอกว่า อยู่ที่นี่มาเกินสิบปี
ถามท่านว่า ท่านฉันข้าวแบบนี้หรือ

ท่านบอกว่า ปกติท่านไม่ฉันเลยท่านอยู่ด้วย ธรรมปีติก็มีความสนใจมาก
ก็ถามว่า ธรรมปีติ เป็นอย่างไรขอรับ
ท่านบอกว่า มีความอิ่มโดยธรรม
ก็ถามว่า อย่างนี้เขาเรียกว่า เข้านิโรธสมาบัติ ใช่ไหม

ท่านบอกว่า คนละอย่าง ธรรมปีติ กับนิโรธสมาบัติ คนละอย่าง ผมไม่สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้
ก็ถามท่านบอกว่า ในเมื่ออยู่องค์เดียวอย่างนี้ อยู่ป่าอย่างนี้ มีอาการสงัดก็น่าจะเข้านิโรธสมาบัติได้

ท่านบอกว่า นั่นเป็นขั้นตอนของธรรมะ การปฏิบัติเราต้องรู้จริง นิโรธสมาบัติเป็นภาระของพระอรหันต์ท่าน
ก็กราบเรียนถามท่านว่า ท่านยังไม่เป็นพระอรหันต์หรือ มีฤทธิ์ขนาดนี้น่าจะเป็นพระอรหันต์ พระที่ยังไม่เป็นอรหันต์ ก็ยังสามารถมีฤทธิ์ได้อย่างนี้ ผมก็อัศจรรย์ใจ

ท่านก็รับตรง ๆ ว่า ท่านบอกว่า ผมนี่เป็น พระฌานโลกีย์ มีบางครั้งผมมีความรู้สึกว่า ผมเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าผมสามารถระงับความรักในระหว่างเพศ ความโกรธ ความโลภ ความหลงได้ แต่ว่ากำลังใจมันมีอาการหนักหน่วง เวลานี้ไม่สนใจกับอะไรทั้งหมด มีการสนใจอย่างเดียว คือ ฌานสมาบัติ

ที่อยู่ที่นี่ก็มีความสุข เพราะเทวดา นางฟ้าท่านช่วย ท่านสงเคราะห์สถานที่ ที่เตียนได้ทั้งหมด ก็ไม่ใช่มือของผม ผมเองไม่สามารถทำบริเวณข้างถ้ำให้เตียนได้ แม้แต่ในถ้ำก็ใหญ่เหลือเกิน ในถ้ำนั้น ความจริงถ้าจะสร้างกุฏิกันได้สัก ๒ - ๓ หลัง ถ้ำใหญ่มาก ปากถ้ำเล็ก แต่ว่าในถ้ำใหญ่ มีหลืบ มีชั้น มีตอน มีหลายตอนด้วยกัน ที่ราบเรียบขึ้นมาได้ ก็อาศัยเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง ท่านสงเคราะห์แล้ว

ท่านก็คุยต่อไปว่า จากถ้ำนี้ก็มีอีกหลายถ้ำที่อยู่ข้าง ๆ นี้ ที่สถานที่แห่งนี้เดิมทีเดียวเป็นเมืองใหญ่ ใกล้ ๆ ถ้ำนี้ ท่านชี้บริเวณไปข้างหน้า บริเวณเป็นทุ่ง ข้างหน้าเป็นทุ่งใหญ่พอสมควร ท่านบอกว่าที่ตรงนั้นเป็นเมืองใหญ่ในอดีต และถ้ำที่อยู่ใกล้ ๆ กับถ้ำนี้ก็ดี หรือถ้ำนี้ก็ดีเป็นที่เก็บทรัพย์สินของพระราชา มีทองเป็นต้น ที่เก็บไว้ตามถ้ำต่าง ๆใกล้ ๆ นี้ ยังมีมาก

พอตอนสาย ๆ หน่อย ๆ ท่านก็ชวนไปดู ไปถึงถ้ำ ๆ หนึ่ง อยู่ใกล้ชิดกันมาก ไม่ไกลนัก เขาติด ๆ กัน อาจจะเป็นเทือกเขาเดียวกัน แต่เป็นถ้ำคนละถ้ำ พอเข้าไปใกล้ ๆ ก็เสียงอึกทึกโครมคราม ครืนครั่น ๆ ไปข้างใน เสียงดังสนั่นมาก ไม่ใช่ว่าต้องเงี่ยหูฟัง ฟังชัด

เสียงท่านบอกว่า นี่ ! ข้างในน่ะ ไม่ต้องขนของหนี ไม่มีใครเขาเอาอะไรหรอก นี่เจ้าของเดิมเขามาแล้ว จำไม่ได้หรือ จะพาเจ้าของเดิมเขามาดูทรัพย์สมบัติเก่าของเขา ไม่จำเป็นต้องเอาหนี ถึงแม้ว่าจะวางไว้ข้างหน้าถ้ำนี้ก็ไม่มีใครเขาหยิบ เพราะพระธุดงค์ขนาดนี้ เขาไม่หยิบเงิน ไม่หยิบทอง ไม่สนใจในทรัพย์สิน เสียงนั้นก็สงบไป และในที่สุดก็ต้องแหวกเถาวัลย์เข้าไปในถ้ำ

ปากถ้ำน่ะเล็ก คำว่า เล็ก ก็หมายความว่า คนเดินลอดได้ มีความกว้างสัก ๒ วา ไม่ถึง ๒ วาดี แต่เข้าไปข้างในเป็นโพรงใหญ่มาก เป็นถ้ำกว้างมาก เข้าไปดูทรัพย์สินต่าง ๆ วางเรียงราย สวยสดงดงาม ทองแท่งเล็ก ทองแท่งใหญ่ เงินแท่งเล็ก เงินแท่งใหญ่ และเครื่องประดับโดยเฉพาะทองจริง ๆ ถ้าจะเทียบน้ำหนัก ก็ไม่ทราบว่าน้ำหนักเท่าไร เพราะมันวางเป็นกำแพง วางเรียงกันเป็นระเบียบ เป็นกำแพงยาวเหยียด

เครื่องประดับประดา สวยสดงดงาม เครื่องกษัตริย์ก็มี ก็รวมความว่า ไปเจอะทรัพย์สมบัติเก่า ก็ถามท่านว่า ใครครับที่ว่าเคยเป็นเจ้าของ
ท่านหันมาหาอาตมาบอกว่า คุณนั่นแหละเคยเป็นลูกกษัตริย์เมืองนี้
ถามว่า สมัยไหน

ท่านบอก สมัยโพ้นนู้น ตั้งแต่คนไทยยังไม่เข้ามา ไทยชุดใหญ่ยังไม่เข้ามาทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ในระหว่างนั้นเป็นเมืองย่อม ๆ เขตของเมืองก็ไม่กว้างขวางนัก จากนี่ไปทางด้านทิศใต้ ก็เลยเมืองชัยนาท ไปถึงเมืองสวรรค์บุรี เวลานั้น เมืองชัยนาทก็เป็นเมือง ๆ หนึ่ง เมืองสวรรค์บุรีก็เป็นเมือง ๆ หนึ่ง เป็นประเทศ ๆ หนึ่ง

แต่ว่าขึ้นกับเมืองนี้ทางด้านทิศตะวันออกไป ก็เลยลพบุรีไปนิดหน่อย ประมาณพระพุทธบาท ทางด้านทิศเหนือ ก็เลยท่าตะโกไปนิดหน่อย ทางด้านทิศตะวันตก ก็เลยเมืองนครสวรรค์ไปนิดหน่อย เป็นอาณาเขตไม่มาก ก็ถือว่า เป็นเมือง ๆ หนึ่ง เป็นประเทศ ๆ หนึ่ง แต่เป็นประเทศมหาอำนาจ ก็พากันดูทรัพย์สิน

ท่านก็บอกว่า ทรัพย์สินอีกจุดหนึ่งของคุณ ยังมีอีกแห่งหนึ่ง อยู่ที่ถ้ำหลังเมืองชัยนาท แล้วผมจะพาไปดู เมื่อชมที่นั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาปากถ้ำ ความจริงดูหลายถ้ำ ถ้ำเล็ก ๆ ถ้ำใหญ่ มีทรัพย์สินมากมายเหลือเกิน ถ้าพูดอย่างนี้นะ บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าลืมว่าอำนาจของผี สิ่งใดก็ตามที่ผีเฝ้าไว้ ถ้าผียังไม่ยอมให้

ท่านจะไม่พบของนั้น เมื่อเข้าไปในถ้ำนั้น ถ้าผียอมให้เมื่อไร ก็จะพบของนั้น ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่า เวลานี้คนต้องการทรัพย์สินมีมาก บางทีอาจจะลองพิสูจน์ แต่ความจริง ถ้าท่านมั่นใจในตัวเองของท่านว่า ท่านพูดกับผีได้ ก็เชิญไปพิสูจน์ได้ หลังจากนั้น เมื่อออกมาจากถ้ำนั้นแล้ว ชมกันพอดี พอควร ก็ประมาณบ่าย ๑ โมง ท่านก็พาไปหลังจังหวัดชัยนาท

ความจริงถ้าจะเดินกันจริง ๆ ต้องใช้เวลาประมาณ ๑ วัน แต่ว่าท่านพาเดินชมนกชมไม้ไปประเดี๋ยวเดียว ก็ปรากฏว่าถึง ถึงถ้ำนั้น เวลานี้มารู้จักทีหลังเขาเรียกกันว่า เขาพลอง เวลานี้เป็นวัดอยู่ หรือเป็นสำนักสงฆ์อยู่บนยอดเขาพลอง ก็พาไปที่ถ้ำ ๆ หนึ่ง เป็นปากถ้ำเล็ก ๆ และก็มีหินสีขาว ๆ อยู่ก้อน หรือ ๒ ก้อน เป็นสัญลักษณ์ อีกแถบหนึ่งมีหินวางเรียงรายกัน คล้าย ๆ หินเขามาปะใหม่

แต่เกาะกันแน่น ไม่เรียบร้อยเหมือนที่อื่น ท่านบอกว่า ตรงนี้เป็นปากถ้ำ เวลานั้น กษัตริย์เมืองนั้นก็เอาทองมาเก็บที่นี่ ข้างในเป็นถ้ำใหญ่ ก็ถามท่านบอกว่า จะเข้าไปดูได้ไหม ท่านบอก ทางเข้าไปดูมี ไม่ต้องงัดหินเข้าไปหรอก ทางนี้มี ท่านก็เดินนำหน้าเข้าไป ปากถ้ำก็กว้างประมาณสัก ๒ วา เข้าไปก็เล็กเข้าไปทุกที เข้าไปหน่อยหนึ่งพบว่ามีน้ำ พอมีน้ำเข้าไปก็เจอะงูหงอน งูหงอนนอนอยู่ชูหัวขึ้นดู

ท่านก็เรียกว่า ท่านมหานาคา ปรากฏท่านบอกว่า ลูกชายท่านมาแล้ว อยากจะดูทรัพย์สิน ท่านงูมหานาคาก็หายไปทันที อีกประเดี๋ยวเดียวก็ปรากฏเป็นคน เดินออกมาจากข้างใน บอก นิมนต์ครับ ใครจะชมอะไรบ้าง ก็เชิญชมตามสบาย ผมเป็นคนเฝ้า ก็เลยแปลกใจ

ถามว่า มหานาคาคือใครครับ
ท่านบอกว่า มหานาคานี่เป็นเทวดา เป็นเทวดาของทิศตะวันตก ของท้าววิรูปักข์ ท้าวมหานาคา คือ กษัตริย์องค์ก่อน เมื่อก่อนที่จะตาย ก็มีความฝังใจในทรัพย์สินที่ตนเก็บไว้ การเก็บทรัพย์สินนี่ เก็บไกลเมืองออกมา เพื่อเป็นการป้องกัน คิดว่า ถ้าข้าศึกเข้ามายึดเมืองทางโน้น ก็ยังมีทรัพย์สินส่วนนี้ไว้ใช้ต่อไป

เป็นการป้องกัน เขาไม่แน่ใจว่าจะมีข้าศึกมาโจมตีไหม จึงเก็บไว้ที่นี่เพื่อใช้สอยเผื่อว่าต้องถอยทัพหนีออกมาจากเมืองหลวง อาจจะมายับยั้งตั้งฐานที่นี่ก็ได้ จะได้ใช้ทรัพย์สินส่วนนี้ไปพลาง ๆ ก่อน ก็มีมากพอสมควร เมื่อเข้าไปชมก็พบว่า ทองแท่ง ถ้าคิดเป็นตัน มองดูแล้วคิดว่าเลย ๔ ตัน ก็ไม่น้อย เฉพาะทองแท่งใหญ่ ทองแท่งเล็ก ๆ ย่อม ๆ ยังมีอีก สั้น ๆ

ถ้าคิดเฉลี่ยแล้วจริง ๆ ทั้งหมดเกิน ๑๐ ตัน แล้วท่านก็ถามท่านมหานาคา ทีแรกท่านคุยกับนาค แล้วตอนนี้มาคุยกับคน คนรูปร่างหน้าตาดี
ท่านถามว่า มหานาคา ท่านจำลูกชายท่านได้ไหม
ท่านผู้นั้นก็บอกว่า ท่านจำได้ เพราะจำได้จึงมาคอย ปกติไม่ได้อยู่ที่นี่ วันนี้มาคอยอยากจะชี้ให้ดูทรัพย์สินว่า ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อต้องการเมื่อไร มาเอาได้เมื่อนั้น จุดธูปบอกโยมก็แล้วกัน เป็นของไม่ยาก

ในเมื่อท่านอนุญาต ก็ยอมรับว่า ถ้าจำเป็นก็จะมานำไปใช้ แต่ว่าการนำไปใช้ ก็เกรงอันตรายจากโจรผู้ร้าย ท่านก็เลยบอกว่า เรื่องโจรผู้ร้ายเป็นของไม่แปลก ในเมื่อการนำไปจะให้ไปทีละน้อย แล้วก็ป้องกันไม่ให้คนเห็น ไม่ให้คนรู้ ไม่ให้คนทราบ สมมติว่าใส่ถุง หรือใส่ไถ้ไปเขาจะมีความเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่ทอง นี่เป็นเรื่องของการไปธุดงค์คราวนั้น เป็นอานุภาพของพระ เมื่อคุยกับท่านตามสมควร

ก็ถามท่านบอกว่า เวลานี้ท่านต้องเฝ้าทรัพย์อยู่ที่นี่หรือ
ท่านก็บอกว่า ความจริงน่ะ จิตมันห่วง ห่วงกังวลถึงพวกคุณนี่แหละ เกรงว่าจะไม่มีทรัพย์สินเป็นเครื่องกินอยู่กัน ไปเกิดในต่างถิ่นแล้ว ก็ไม่ทราบว่าทรัพย์สินของตนมีอยู่ แต่ว่ากังวลอย่างอื่นนอกจากนี้ก็ไม่มี ตามปกติแล้ว ผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมก็อยู่ที่วิมานของผม เป็นวิมานอยู่ในอำนาจของท้าววิรูปักข์ ทางทิศตะวันตก

ก็เป็นอันว่า คุยกันชั่วคราว ท่านก็ถามว่าต้องการทรัพย์สินไหม ก็เลยบอกท่าน บอกว่า เวลานี้กำลังธุดงค์ เรื่องการต้องการทรัพย์สินไม่มี ต้องการทรัพย์สินเมื่อไร อาบัติก็เกิดเมื่อนั้น นั่นคือ มดแดงจะกัดตาย ท่านก็ชอบใจ แล้วหลวงพ่อปานก็หันไปถามท่านบอกว่า ลูกชายนี่จะมีโอกาสได้ใช้ทรัพย์สินนี้ไหม ท่านก็ยิ้ม

ท่านบอกว่า ถ้าลูกชายผมเชื่อท่าน ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ทรัพย์สินส่วนนี้ หรือส่วนอื่น ส่วนโน้นก็ไม่ได้ใช้ ส่วนนี้ก็ไม่ได้ใช้ ถ้าลูกชายผมไม่เชื่อท่าน ถ้าเขาสึกออกไปเขาก็มีสิทธิ์จะได้ใช้
หลวงพ่อปานก็ถามว่า ถ้าเขาสึกออกไป เขาจะมีความสุข หรือมีความทุกข์

ท่านก็ตอบว่า คนที่สึกมาเป็นฆราวาส คนที่มีความสุขจริง ๆ ไม่มี มีแต่ความทุกข์
หลวงพ่อปานท่านถามว่า อยากจะให้ลูกชายสึก หรือไม่อยากให้ลูกชายสึก

ท่านก็บอกว่า ผมไม่อยากให้ลูกชายสึกครับ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี่มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ผมเป็นมนุษย์มาแล้ว เวลานี้ถึงแม้ว่า ผมจะเป็นเทวดา ก็ยังมีความเหน็ดเหนื่อย ต้องมีภาระ เวลานี้พระทั้งหมดที่มานี่ อย่างต่ำก็เป็น พระทรงฌานโลกีย์ และบางท่านก็ทรงฌานโลกุตตระ คือ เป็นพระอริยเจ้า แต่ผมอยากจะให้ทุกท่านหวังนิพพานมากกว่า

ผมเองก็เช่นเดียวกัน ผมเองเคยฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระภควันต์ คือ พระพุทธเจ้า สมัยที่ท่านยังทรงพระชนม์อยู่ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระบรมครูครั้งเดียว ก็เป็นพระโสดาบัน เวลานี้ผมก็เป็นพระโสดาบัน ผมก็ไม่หวังในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในความเป็นมนุษย์ต่อไป ต้องการนิพพานจุดเดียว เมื่อคุยกันตามสมควรแล้ว

หลวงพ่อปานก็ถามว่า ลูกชายออกเดินทางมาธุดงค์อย่างนี้ จะให้การคุ้มครองไหม
ท่านก็บอกว่า ต้องให้การคุ้มครองสิครับ ความจริงเมื่อก่อนออกจากวัด ผมก็มาด้วย แต่ความจริงไม่ได้พบผมเฉพาะที่นี่ ผมมาด้วย และก็มากันหลายคนมากันมาก ตามที่ทุกท่านเห็นแล้ว

หลวงพ่อปานก็ขอขอบคุณท่าน หลังจากนั้นก็ลาท่านกลับ ท่านบอกว่า ถ้ากลับ ผมจะไปส่ง แล้วท่านก็เดินนำหน้า พอเดินนำหน้าออกมา ปรากฏว่าถึง เขาแหลมหลังตาคลี ท่านก็แวะเข้าไปอีก จุดนั้นท่านบอกว่า ที่เขาแหลมนี่ทรัพย์จุดหนึ่งของเราก็ยังมีอยู่ที่นี่ เพราะเวลานั้นเราเกรงสงครามมันจะเกิดขึ้น ต้องเอาทรัพย์ทองคำมาฝังไว้ในที่ต่าง ๆ กัน

ออกจากเขาแหลมแล้วก็เดินเรื่อย ๆ ไป ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็ถึงถ้ำชอนเดื่อ ก็เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้เราคุยกันไว้เผื่อตาย เป็นวันแรกที่เข้ามาอยู่เขาชอนเดื่อ คือวันรุ่งขึ้น พบกับสิ่งมหัศจรรย์ คือพระไม่ต้องฉันข้าว แล้วก็ได้พบทรัพย์สมบัติเก่า ๆ ที่ผียืนยันว่า เป็นทรัพย์สมบัติของเราเอง ถ้าถามถึงความรู้สึก

ถึงการเห็นทองคำ เห็นเพชรนิลจินดา เห็นของมีคุณค่ามาก มีความรู้สึกอย่างไร ก็ขอตอบตรง ๆ เวลานั้นใจมันจืด ถ้าพูดถึงรสอาหารแล้วใจมันจืดสนิท เพราะจิตใจกำลังทรงอารมณ์อยู่ในเรื่องของธุดงค์ ไม่มีความรู้สึกอยากได้ และก็มีความรู้สึกอยู่ตอนหนึ่งว่า เดิมทีเดียวทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้เป็นของเรา คำว่า ของเรา

เราเคยครอบครองทรัพย์สมบัติส่วนนี้อยู่ หลังจากนั้นเราก็ตาย ตายไปแล้วนานเท่าไรก็ไม่ทราบ เราจึงมาโผล่ขึ้นที่นี่ แล้วเพิ่งมารู้ทีหลังว่า นี่เป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าหากว่าเราจะปกครองทรัพย์นี่ต่อไปอีก เราก็ตายอีก ความแก่ ความป่วย ความตาย เป็นของปกติ ในเมื่อมันจะต้องตายอีก การมีทรัพย์สินก็ไม่เกิดประโยชน์ ความรู้สึกเวลานั้นก็เฉย ๆ

รู้สึกแต่เพียงว่า ก็ดีเหมือนกัน ในสมัยหนึ่ง ในชีวิตของเราที่ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ ก็เคยเป็นลูกของกษัตริย์ และจะได้เป็นกษัตริย์กับเขาหรือเปล่า ก็ไม่ทราบกษัตริย์เมืองเล็ก ๆ ถ้าจะเทียบเวลานี้ก็ประมาณเนื้อที่สัก ๑ จังหวัด แต่ภายในเขตเล็ก ๆ ก็ยังมีเมืองขึ้นอยู่ ๒ - ๓ เมือง ถ้าจะหันไปดูภาพสมัยเก่า เวลาเหลือ ๑ นาที ไปดูภาพสมัยเก่า มันก็เป็นเมืองย่อม ๆ มีคนไม่มาก ไม่มายนัก

แต่ว่าเวลานั้น ทองมาก ที่ทองมีมาก เพราะกษัตริย์เก็บภาษีในการหาทอง และกษัตริย์ก็เกณฑ์ให้ทหาร หรือข้าทาสหญิงชาย เรียกว่า ไพร่น่ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ราษฎรดีกว่า ให้ราษฎรเป็นคนร่อนทอง แล้วก็ปันส่วนกับกษัตริย์ กษัตริย์ได้มาก ราษฎรได้น้อย แต่เขาก็มีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างเขาแลกกันด้วยทอง แหล่งทองมีหลายจุด

อย่างแหล่งทอง ลพบุรี ก็มีแห่งหนึ่ง และแหล่งทองที่ อำเภอท่าตะโกมีอยู่แหล่งหนึ่ง แล้วแหล่งทองที่ อำเภอสวรรค์บุรี ก็มีอีกแหล่งหนึ่ง ขอโทษ เวลามันหมดแล้วนี่นะ สัญญาณบอกหมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้ฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/2/13 at 16:45 [ QUOTE ]


2
ชมบึงบอระเพ็ด และเรียนระลึกชาติต่าง ๆ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็เป็นวันที่ ๑๖กรกฎาคม ๒๕๓๓ ตามเดิมเสียงบังคับไม่ค่อยอยู่ เพราะกำลังเป็นไข้หวัด แต่ไม่เป็นไร ก็ไม่แน่ใจว่า การเป็นไข้หวัดคราวนี้ มันจะตายหรือยังไม่ตาย คุยกันไว้ก่อนหลังจากกลับเข้าถ้ำชอนเดื่อแล้ว วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อปานก็สั่งว่าทุกองค์ปฏิบัติตนตามปกติ เจ้าของถิ่นไม่ต้องหุงข้าว ไม่ต้องเลี้ยงอาหารหลวงพ่อปาน

ท่านก็นั่งบิณฑบาต คำว่า นั่งบิณฑบาต ก็หมายความว่าท่านมานั่งปากถ้ำเอาบาตรวางข้างหน้า ฝาบาตรปิด ท่านก็นั่งหลับตาเฉย ๆ ก็เรียกว่า คณะที่ไปทั้งหมด ก็ถือว่าเป็นคณะเถรส่องบาตร คำว่า คณะเถรส่องบาตร ก็หมายความว่า อาจารย์ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ก็นั่งเรียงจากท่านลงมาแล้วก็เข้าสมาธิตามปกติ ประเดี๋ยวเดียวก็ได้ยินเสียงบอก คุณทั้งหมดลืมตาได้แล้ว ข้าวเกือบจะเต็มบาตรแล้ว

และทั้งหมดคนที่ใส่บาตรกลับหมดแล้ว ก็ลืมตาขึ้นมา ก็ปรากฏว่า พบข้าวในบาตรและมีดอกไม้ ๑ ดอกตามเดิม เราก็ฉันข้าวกันเสร็จ ข้าวคงฉันกันเวลาเดียว ถ้าถามว่าข้าวฉันเหลือไหม ก็ต้องตอบว่า ข้าวนี่ได้เท่าไรฉันหมดเท่านั้น ไม่เหลือ ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า ข้าวเทวดา ข้าวนางฟ้านี่ ให้เท่าไร เป็นการพอดี บางครั้งบางคราวให้แค่ทัพพี ๒ ทัพพี ก็ฉันอิ่มพอดี ให้ครึ่งบาตร ก็ฉันอิ่มพอดี ให้ค่อนบาตร ก็ฉันอิ่มพอดี ฉันหมดพอดี แล้วก็อิ่มไม่รู้สึกอึดอัด มีความสบาย

หลังจากนั้น หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า คุณทั้งสาม ต่อนี้ไปผมให้อิสระคุณ จงออกไปจากภูเขานี้แล้วไปมีกำหนด ๗ วันจึงกลับ ไปตามชอบใจของคุณ คุณจะไปที่ไหนก็ได้ตามชอบใจ เมื่อเป็นวันที่ ๘ ของวันที่สั่ง ให้กลับมาถึงถ้ำนี้ เราจะเดินทางต่อไป ก็กราบลาหลวงพ่อปาน กับเจ้าของถ้ำ ถามท่านว่า ไปทางไหนดีครับ ท่านก็ชี้ไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ท่านบอกว่า ในด้านทิศนั้นมีบึงบอระเพ็ดเป็นบึงใหญ่ มีน้ำใสสะอาด มีผัก หญ้า ปลาเยอะ สัตว์ในป่าที่อาศัยน้ำในบึงบอระเพ็ดมีมาก จะได้ชมสัตว์สวย ๆ แล้วก็มีภูเขาย่อม ๆ อยู่หลายลูก จะอาศัยถ้ำก็ได้ เพราะมีถ้ำย่อม ๆ อยู่ เป็นที่อยู่อย่างมีความสุข ถามท่านว่า ไกลไหม ท่านบอกว่า ถ้าคุณจะไป ผมจะไปส่ง แต่การไปส่งของผม ผมจะไม่เอาตัวไป ผมจะเอาใจไปส่ง และเวลาขากลับ นึกถึงผมก็แล้วกัน ผมจะไปรับ

ก็กราบลาท่าน แบกกลดขึ้นบ่า ออกเดินทางกันทันที เวลานั้นเวลาประมาณ ๔ โมงเช้า ท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าจะร้อนแดดไหม เวลานั้นที่นั่นทั้งหมดเป็นป่าชัฏ เดินไปจริง ๆ ก็ไปถึงบึงบอระเพ็ด ใช้เวลาจริง ๆ ไม่ถึง ๑ ชั่วโมง ถ้าจะเดินกันเวลานี้ ใช้เวลา ๒ วันอาจจะไม่ถึงละมั้ง ทั้ง ๆ ที่ทุ่งเตียนแล้วเมื่อไปถึงบึงบอระเพ็ด แล้วก็ตรวจพื้นที่ว่าเราจะหาถ้ำลูกไหนเป็นที่อยู่กัน ก็ดู ก็ไปได้ชะโงกผา เป็นถ้ำไม่ลึก

จะว่าเป็นถ้ำก็ไม่เชิง เป็นเขาชะโงก เป็นหลุมเข้าไปหน่อยหนึ่ง พอที่จะอาศัย ก็หมายความว่า ถ้าฝนตกก็ไม่เปียก มีพื้นสูงจากพื้นดิน อาศัยกันอยู่คนละที่ เมื่ออยู่ที่ถ้ำนี้ก็มีความสุข แต่เวลาตอนเย็น ๆ ก็ไปเดินเล่นใกล้ ๆ กับบึงบอระเพ็ด กลางคืนบ้าง กลางวันบ้าง ตอนเช้าบ้าง ก็มีสัตว์ต่าง ๆ มาอาศัยน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝูงช้างมาอาบน้ำเล่นบ้าง สัตว์ที่น่ารักจริง ๆ ก็คือฝูงลิงกับกระต่าย

เจ้าลิงนี่จะไปไหน มันก็ตามไปด้วย จำได้อยู่ตัวหนึ่ง เป็นลิงขาวเผือกใหญ่ เป็นหัวหน้า นอกนั้นก็เหมือนลิงธรรมดา ถ้าจะไปจำก็อาจจะจำได้ แต่มันก็เหมือนกัน จะบอกว่าจำได้ก็ไม่แน่นอนนัก จำลิงขาวเผือกใหญ่ ๑ ตัวก็แล้วกันเป็นหัวหน้าฝูง มักจะแสดงอาการ มีความจงรักภักดีเอาผลไม้มาให้บ้าง มาล้อเล่นบ้าง มาล้อเลียนบ้าง เดินเล่นใกล้ ๆ บ้าง

บางทีนั่งเพลิน ๆ ก็มาสะกิดเล่นบ้าง พอลืมตาขึ้นมา เธอก็แหกตาหลอกเสียบ้าง อะไรบ้าง เป็นต้น นี่เรื่องของลิง และอีกชุดหนึ่งก็พวกกระต่ายกับสุนัขจิ้งจอก ตามธรรมดาสุนัขจิ้งจอกนี่จะไม่ค่อยยอมให้คนพบเห็น แต่สุนัขจิ้งจอกฝูงนี้ก็มาอยู่ใกล้ ๆ จะส่งเสียงบอกสัญญาณ ถ้ามีสัตว์ใหญ่จะลงมาที่น้ำ สุนัขจิ้งจอกจะเห่า แล้วก็วิ่งเข้ามาหา

กระต่ายก็เหมือนกัน จะโดดเข้ามาหาถ้ามีสัตว์ใหญ่มา ในเมื่อเจ้า ๒ พวก สุนัขจิ้งจอกก็ดี กระต่ายก็ดี มันกระโดดเข้ามาหา มานั่งใกล้ ๆ แสดงว่ามีสัตว์ใหญ่มาแล้ว แต่ว่าบรรดาสัตว์ใหญ่ทั้งหลาย บรรดาท่านพุทธบริษัท เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร เขามากินน้ำ มาอาบน้ำของเขา เขามาหาความสุข แล้วเขาก็ไปกัน ทีนี้ยามที่อยู่ถึงเวลา ๗ วัน

บรรดาท่านพุทธบริษัท ลืมบอกไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินทางออก หลวงพ่อปานบอกว่า ให้ทบทวนชีวิตในความเป็นมา ตั้งแต่อยุธยา ถึงเขาชอนเดื่อ เราเคยเกิดมาแล้วกี่ครั้งมีอะไรบ้าง ที่สัมผัสมา เกิดมามีชีวิต มีความสุข หรือมีความทุกข์ มีฐานะเป็นอย่างไร ให้ดูเอา คือว่าให้ใช้กำลัง ๓ อย่าง คือ

๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติตัวเอง
๒. อตีตังสญาณ เหตุการณ์ในอดีต
๓. อนาคตังสญาณ เหตุการณ์ข้างหน้า
ใช้ญาณ ๓ ญาณนี้เป็นเครื่องรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ กับอตีตังสญาณ

เมื่อเดินไปเดินมา มีอาการสงบใจสบาย ๆ ก็ใช้ญาณเสียทีหนึ่ง การใช้ญาณความรู้นี่ บรรดาท่านผู้ฟังเคยใช้และพิสูจน์มา มันมีอย่างนี้ ถ้าเราใช้ความรู้ของเรานี่ มันผิดบ้าง ถูกบ้าง บางทีมันก็ถูกแบบเฉียด ๆ บางทีมันก็ถูกตรงเลยทีเดียว ผิดก็ผิดไม่ไกลนัก บางครั้งถ้ามีอารมณ์หลวมตัวมาก นิวรณ์กวนใจ นั่นจะผิดถนัด แต่ว่าถ้ามีที่ถาม มีท่านบอก มีท่านผู้รู้บอก

คำว่า ท่านผู้รู้ นี่ต้องหมายเอามาตั้งแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหม เทวดา จะเป็นท่านผู้ใดก็ตาม ที่ท่านผู้รู้บอกแล้ว จะตรงตามความเป็นจริงเสมอ ฉะนั้นเรื่องนี้หลวงพ่อปานจึงแนะนำบอกว่า จงอย่าเก่งแต่ผู้เดียว จงอย่าทำตนเป็นคนเก่ง ถ้าเราทำตนเป็นคนเก่ง มันจะไม่เก่ง ถ้าเราอาศัยคนอื่น ให้ผู้อื่นเขาเก่งกว่าเรา เราจะมีความสุขมีความสุขด้วย จิตก็เป็นสุข มีความสบายใจ

ความผิดเพี้ยนก็ไม่มีจะได้รับผลตรงตามความเป็นจริง ทั้ง ๓ คนก็นั่งทบทวนกันมาว่า เราเคยเกิดร่วมกันมากี่ชาติ ๆ มีไหม มีชาติไหนบ้างที่เคยเกิดแยกกันอยู่ ก็มีบางชาติเกิดกันคนละเมือง เป็นเจ้าเมืองกันคนละเมืองก็มี บางชาติเกิดเป็นลูกเศรษฐี บางชาติก็เกิดเป็นลูกคนจน แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ถึงกับขอทาน

ถ้าจะนับถอยหลังไปตั้งแต่ เอากันตั้งแต่สมัยเบื้องต้นอยุธยา สุพรรณต่ออยุธยานะ สุพรรณบวกอยุธยานี้ก็เกิดเสียหลายครั้ง จะนับได้ก็สัก ๕ - ๖ ครั้งละมั้ง ถ้าจะบอกสมัยก็ไม่ดีนะ ไม่บอกสมัยกันดีกว่า เอากันแค่ต้นอยุธยา รองลงมาก็เกิด ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย ๆ ไปไหนก็ไม่พ้นอยุธยา เพราะจิตมันมีความผูกพันอยุธยาอยู่

และความเป็นอยู่ของชีวิต ความเป็นอยู่ชีวิตจริง ๆ ก็เป็นการสร้างบาป เกิดไปทุกชาติ สร้างบาปทุกชาติ และก็สร้างบุญทุกชาติ บาปกับบุญนี่ จริง ๆ มันไม่เข้าดุลกัน บาปมันมากกว่าบุญ แต่ว่าเดชะบุญอยู่อย่างหนึ่ง ก่อนที่จะตายทุกครั้งในชีวิต ตลอดชีวิต ตั้งแต่เด็กยันแก่ สร้างทั้งบุญ และก็สร้างทั้งบาป เมื่อยามว่างก็ทำบุญ ยามเกิดศึกสงครามก็ทำบาป

ต้องรบ ก่อนที่จะรบกับข้าศึก ก่อนที่จะเข่นฆ่าข้าศึกก็ต้องฆ่าเพื่อนกันเสียก่อน ฆ่าผู้มีคุณ ผู้มีคุณ ก็คือ วัว ควาย ช้าง ม้า เป็ด ไก่ ช้างไม่ได้ฆ่า ม้าไม่ได้ฆ่า เป็ดไก่ฆ่า ปลาฆ่า เอามาเป็นอาหารของทหาร มันก็ใช้จำนวนไม่น้อยต้องใช้จำนวนมาก แล้วก็ต้องไปรบกับข้าศึก ต้องเข่นฆ่าข้าศึก เมื่อรบกัน ก็ต้องตายด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งฝ่ายเรา และฝ่ายเขา

เมื่อเสร็จสงครามแล้ว ก็มาสร้างบุญกันต่อไป ในขณะที่สร้างบุญก็สร้างบาป เพราะอะไร อะไรบ้างที่จะเป็นความสุขของปวงชนที่เป็นบริวาร ก็จะทำทุกอย่างให้เกิดความสุข แม้แต่บางครั้ง ต้องแนะนำให้เขาทำบาป แต่ขอประทานอภัย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานั้นยังไม่ต้องเลี้ยงปลากัน การเลี้ยงปลาฆ่าสัตว์ มีความจำเป็นน้อย

แต่เรื่องฆ่าสัตว์ มีสัตว์ป่า อย่างต้องการจะกินเก้งบ้าง ต้องการจะกินละมั่งบ้าง ต้องการกินหมูป่าบ้าง เรื่องการกิน ๆ การเลี้ยงคนนี่ บรรดาท่านทั้งหลาย มันก็ต้องฆ่าสัตว์ สัตว์มันตายให้ไม่ทัน อันนี้ก็บาป ยามปกติก็บาป ยามสงครามก็บาป แต่ยามปกติมีทั้งบาป ทั้งบุญ สร้างวัดวาอาราม สถานที่อยู่ เป็นที่บูชาซึ่งกันและกัน

สร้างสถานสถูปเป็นที่พักของบรรดาท่านผู้ทรงคุณธรรม สมัยนั้นยังคงไม่เรียกกันว่าสร้างวัด รวมความว่า ทานก็ให้ ศีลก็รักษา แต่เรื่องปาณาฯ นี่ สงสัยรักษาปาณาฯจริง แต่สั่งเขาฆ่าสัตว์ ทีนี้โทษปาณาฯ มันจะพ้นไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ก็ต้องถือว่าไม่พ้น โทษปาณาติบาตมันก็มาก ทีนี้ถ้าจะมาคุยกันเวลานี้ ที่ป่วยไข้ไม่สบายอยู่นี่ ก็โทษปาณาติบาต

เป็นเหตุการป่วยจริง ๆ นี่เป็นเรื่องปาณาติบาตทุกคน เมื่อต่างคนต่างนึกถึงเรื่องอะไรได้ก็ตาม ใช้วิธีถาม ถามท่านผู้รู้ ก็มีท่านผู้รู้ท่านเดียวที่มาบอก ท่านบอกว่า ถ้าผมบอกคนเดียวแล้ว ไม่จำเป็นต้องถามคนอื่น บอกตรง ๆ ดีไหม ก็พูดกันตรง ๆ มันจะตายหรือ ท่านผู้รู้จริง ๆ ก็คือ พระอินทร์ ท่านมาในรูปของคนธรรมดา ๆ นุ่งขาว ห่มขาว ใช้ผ้าสไบเฉียง

มีสภาพเรียบร้อย ท่านก็ไม่ได้บอกว่า ท่านเป็น พระอินทร์ มารู้ว่าเป็นพระอินทร์จริง ๆ ต่อเมื่อหลวงพ่อปานบอก ท่านบอกว่า สมัยนั้นคุณเกิดเป็นอย่างนั้น ดูภาพตามนี้ ก็ดูเหมือนกับดูโทรทัศน์ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เหมือนดูของจริง บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ การปกครองเป็นอย่างนี้ พ่อคุณชื่อนั้น แม่คุณชื่อนี้ คุณชื่อนั้น เมียชื่อนั้น ลูกชื่อนี้ ว่ากันเรื่อยไปแล้วก็ตาย

ก่อนจะตายก็ทำบุญอยู่ อาศัยที่การทำบุญ จิตใจเวลาจะตาย จิตมันก็นึกถึงบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ที่เกาะจริง ๆ เวลานั้น ตอนต้นโน้นยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าถ้าจะพูดกันไปก็หมายความว่า ก่อนสมัยพุทธกาล ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ก็นึกถึงเทวดาที่เคารพ นึกถึงพรหมที่เคารพ เขาสอนเทวดา กับพรหม มีการให้ทาน มีการรักษาศีลตามสมควร

อาศัยทานบ้าง รักษาศีลบ้าง มีความเคารพในพรหม เทวดาบ้าง เวลาตายแล้วบาปก็ตามไม่ทัน ไปสวรรค์ ไปพรหมทุกที และต่อมาไม่ช้าก็มาเกิดอีก มาเกิดเป็นอย่างนี้ เกิดเป็นอย่างนั้น ท่านก็ชี้ให้ดู ท่านชี้ให้ดูภาพ เมื่อดูแล้ว ท่านอธิบายแล้ว พวกเราทุกคนก็จดบันทึกหัวข้อไว้ เพราะต้องกลับมารายงานหลวงพ่อปาน

รวมความว่า อาศัยการระลึกชาติ แต่ความจริงไม่ได้ระลึกจริง เป็นการถาม ถามท่าน ท่านตอบ พร้อมกับภาพ ภาพไม่ใช่ภาพเขียน ไม่ใช่ภาพในจอโทรทัศน์ ภาพเป็นเมืองเวลานั้นจริง ๆ เลย เป็นบ้านเป็นเมืองชัด เราเป็นอะไรบ้าง ก็เห็นตัวเราทำโน่นทำนี่ ชี้นั่นชี้นี่ เห็นหมดทุกอย่าง เหมือนกับดูโทรทัศน์เหมือนกัน แต่เห็นเป็นของจริง เต็มทุ่งเต็มท่าไปหมด

การยกทัพจับศึกไปตีกับข้าศึก ดีไม่ดี เขาไม่มาตี เราเราก็ไปตีเขา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราระแวง เกรงว่าเขาจะเป็นศัตรูของเรา ถ้าเราไม่ไปตีเขา และเขามีความเข้มแข็งขึ้น เขาก็อาจจะตีเรา เราอาจจะเสียท่า เราก็ไปตีเขาก่อน นี่มันก็เป็นเรื่องของบาป นั่งดูภาพแล้วก็สลดใจ ท่านก็มาแนะนำให้ทั้ง ๗ วัน เวลาที่ท่านมาจริง ๆ ก็เวลาเที่ยง หลังจากเที่ยงแล้วท่านมา

ท่านบอกว่า ก่อนเที่ยงท่านไม่มีเวลาว่าง ขอโทษเถอะ ลืมบอกความจริงไป คือ ท่านผู้บอกนั้น ท่านไม่ได้บอกว่า ท่านเป็นเทวดา ท่านบอกว่า ท่านเป็นคนแถวนี้ท่านอยู่ในป่า แต่ท่านมีความรู้เรื่องเมืองต่าง ๆ ความเป็นมาของพื้นที่ทั้งหมด ท่านรู้หมด ท่านบอกว่า ท่านเป็นผู้มีญาณวิเศษ ทีนี้ก่อนที่จะให้ท่านบอก

ก็พิสูจน์บอกว่า เอ้า...ถ้าอย่างนั้น ให้ฉันมองเห็นวัดฉันเดี๋ยวนี้ เพียงเท่านั้นแหละ เห็นวัดชัด พระอะไร ทำอะไรที่ไหนบ้างเห็นหมด ต้องการเห็นอะไร ๆ เห็นหมดทุกอย่าง นี่เป็นการพิสูจน์กันแล้วท่านมาบอกให้ฟัง เราก็จด จดแล้วก็มีความสลดใจ ท่านก็แนะนำบอกว่า การที่อาจารย์ของคุณแนะนำให้ใช้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณก็ดี อตีตังสญาณก็ดี อนาคตังสญาณก็ดี

ทั้งหมดนี้รู้สึกว่าท่านมีความฉลาดมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ กับอตีตังสญาณ ทั้ง ๒ ประการนี้ เป็นการตัดกิเลสที่มีความสำคัญ ที่เรียกกันว่า สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา ท่านก็ชี้ให้ดูว่า นี่ ชาตินี้ท่านเกิดเป็นอย่างนั้น ชาตินี้เป็นลูกคนจน เห็นไหม

มีความลำบากขนาดนี้ จนแสนจน ไม่ค่อยจะมีกิน แต่ก็คนสมัยนั้น ถึงแม้ว่าจน ก็ไม่ลำบากเหมือนคนสมัยนี้เพราะของหาง่าย เข้าป่าเอาหน่อไม้ เอาเผือก เอามันมา ประเดี๋ยวก็มีกิน ผลไม้ก็มีเยอะแยะ ผักปลาก็เยอะแยะ หาง่าย เวลาหาปลาก็ไม่ต้องมีแห ไม่ต้องมีอวน ไม่ต้องมีเรือตังเก ใช้มือจับ เพราะคนน้อยกว่าปลา ใช้มือจับ ๆ ๆ ๒ - ๓ ครั้งก็พอกิน พอใช้

พอกินแล้วก็นำมากินกัน กินปลาก็กินบาป แต่ว่าทุกครั้งทุกสมัย จิตใจประกอบไปด้วยกุศลทำบุญหนัก การทำบุญหนักตามฐานะ มีการเคร่งครัดในบุญในกุศล นิยมให้ทาน นิยมไหว้เทวดา นิยมไหว้พรหม เวลานั้นยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ต่อมาภายหลัง มาสมัยที่รู้จักพระพุทธเจ้าแล้ว

คำว่า รู้จักพระพุทธเจ้า ก็หมายความว่า ประเทศไทยยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ตอนนี้ก็ยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ท่านก็แสดงภาพให้ดูว่าสร้างวัดที่ไหนบ้าง ทำอะไรบ้าง ที่ลพบุรีนี่ ให้ดูภาพเมืองลพบุรีที่เคยผ่านมา ลพบุรีกับอยุธยา เคยเป็นอะไรบ้าง เคยไปรบทัพจับศึก เคยเป็นแม่ทัพนำกำลังทหารไปรบข้าศึกบ้าง และอาจจะเป็นอะไรบ้างก็ตามเถอะ อย่าบอกเลย

คือว่า เกิดมาหลายครั้ง แต่ละคราวก็เจอะสงครามทุกครั้ง ในเมื่อพระราชาสั่งรบ ก็ต้องไปรบ เต็มใจรบ หรือไม่เต็มใจรบ ก็ต้องไปรบ ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว ก็ถือว่า เต็มใจไปรบ เพราะอะไรเพราะว่ารบเพื่อความเป็นอิสรภาพก็ดี และอีกประการหนึ่งถูกพวกหักหลัง อย่างเมืองที่บอกว่า เป็นเมืองขึ้น ยอมเป็นลูกน้อง แล้วมันก็กลับจะเป็นลูกพี่ แข็งเมืองขึ้นมาอย่างนี้ต้องไปตี มันก็มีความจำเป็น

ดูภาพอย่างนั้นแล้ว ในที่สุดก็ตายเกิดแล้วก็ตายทุกที แต่ก็น่าขอบใจกำลังใจของตัวเองว่า สะสมบาปไว้มหาศาล ยังเป็นหนี้บานเจ้า เวลานี้ บาปดูบาปแล้วกองพะเนินเทินทึก แต่ว่าเวลาจะตายเกาะบุญจุดใดจุดหนึ่ง ที่สั่งสมบุญไว้ก็มาก เกาะบุญขึ้นสวรรค์ไปทุกที เวลานี้บาปถึงได้ตามมาเล่นงาน มันป่วยไม่หยุด นี่กำลังที่พูดนี่ วันนี้ตั้งใจว่าจะนอนให้มันหลับ มันไม่หลับ มองดูเวลา เข็มนาฬิกาอยู่ที่เลข ๒ ใกล้เลข ๓ นั่นก็หมายความว่า ตี ๒ ใกล้ตี ๓

มันไม่หลับ ก็ลุกขึ้นมาพูด พูดอย่างคนง่วงนอนก็รวมความว่า อยู่ที่นั่น ๗ วัน เดินไปเดินมา ป่าในสถานที่นั้นก็เป็นดงรัง เป็นต้นรังสูงสะพรั่ง ป่ารังนี่สวย ไม่มีอะไรเกะกะข้างล่างเหมือนกับเสาตั้งขึ้นไป มีใบอยู่บนยอด มีความสงบสุข บางครั้งก็เดินไปพบฝูงช้าง ช้างก็ใจดี ไปพบฝูงช้างเข้า ช้างหัวหน้าเป็นช้างสีดอ คุกเข่าลงข้างหน้า ยกงวงขึ้น

แสดงความคารวะ ทักทายเหมือนกับไหว้ยกมือไหว้ ช้างลูกน้องต่าง ๆ เขาก็ทำเหมือนกัน ถ้าบางคราวเดินไปไกลเกินไป หิวน้ำ ก็บอกว่า พ่อปู่ ที่ไหนมีหนองน้ำบ้างไหม น้ำใส ๆ กำลังหิวน้ำ น้ำในกระติกหมด ช้างที่เป็นหัวหน้าหันมา คุกเข่าเท้า แล้วก็ลุกขึ้น เดินนำหน้าไปพอถึงที่บ่อน้ำ ก็ใช้งวง ชี้ให้ดู เราไปที่ตรงนั้น

ปรากฏว่าพบหนองน้ำ ก็ได้กินน้ำตามความต้องการ นี่ช้างก็เป็นมิตรที่ดี ทั้งเสือทั้งช้าง ไม่เคยมีสัตว์ประเภทไหนคิดจะทำอันตราย เสือก็เจอะ เขาก็เดินเฉย ๆ เดินเหมือนกับเราเดินหลีกแมวบนบ้าน เสือ กับแมวรูปร่างคล้ายคลึงกัน แต่เสือโตกว่า เราเดินไป เสือเดินมา เสือก็เดินเฉย เราก็เดินเฉย ถ้าถามถึงความรู้สึกเวลานั้น ก็มีความรู้สึกอย่างเดียวว่า

เวลานี้เราพร้อมแล้ว พร้อมที่จะไปนิพพาน จะไปได้ หรือไม่ได้ จิตใจเราพร้อมจะไปนิพพานอย่างเดียว เห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บความตาย จากปุพเพนิวาสานุสสติสญาณก็ดี อตีตังสญาณก็ตาม มันมีความเบื่อในความเกิดเสียจริง ๆ มันเกิด แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ในวาระถึงความเป็นใหญ่เป็นโต

แหม...ท่าทางคึกคักห้าวหาญข้างนอกท่าทางแกร่ง แต่เข้ามาในบ้านบางที จ๋อง หมดเรี่ยวหมดแรงนอนเขลง ใจก็เหนื่อย กายก็เหนื่อย และความป่วยไข้ไม่สบายมันก็ไม่เลือก คนฐานะเช่นใดมันก็เอา และความแก่ก็ไม่เลือกคน ความตายก็ไม่เลือกคน เป็นอันว่า การเห็นสัตว์ คิดว่าสัตว์จะทำร้าย จึงไม่มีความรู้สึกอะไร

ความรู้สึกเวลานั้นคิดว่า ถ้าตายเมื่อไร ขอไปนิพพานจุดเดียว ทั้ง ๆ ที่กำลังปรารถนาพุทธภูมิ ไอ้เรื่องการปรารถนาพุทธภูมินั่นเป็นอารมณ์ แต่อารมณ์ที่แท้จริงของเรา พุทธภูมิก็ต้องการนิพพาน คือคนต้องการเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องการไปนิพพาน แต่ว่าต้องการจะสอนคนอื่นก่อน ทีนี้เรา เอาละ ที่หลวงพ่อปานชวนให้ปรารถนาพุทธภูมิเราก็เอาด้วย

เอาอย่างคนตามท่าน มันก็ไม่แน่นอนนัก จิตใจก็หวังพุทธภูมิ แต่อีกจิตใจหนึ่งว่า ถ้าไปนิพพานได้เมื่อไร ก็ไปเมื่อนั้น เพราะครูที่สอนมา ท่านก็สอน ท่านแนะนำให้หวังนิพพานเป็นที่ไป การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แต่ไม่รู้จักนิพพาน ก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ก็รวมความว่า กำลังใจเป็นปกติ ใจเป็นปกติจริง ๆ เห็นสัตว์ทุกประเภท จิตมันเฉยหมด

ก็เหมือนกับเห็นมิตรที่ดี ถ้าถามว่าใช้คาถาอะไร ก็ตอบว่า คาถาที่ใช้จริง ๆ คืออารมณ์ใจทรงพรหมวิหาร ๔ นี่เว้นไม่ได้ พรหมวิหาร ๔ นี่ต้องทรงทุกลมหายใจเข้าออก ขณะใดที่ตื่นอยู่จิตจะทรงพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา ถ้าถามว่า พรหมวิหาร ๔ กันอะไรได้ไหม ก็ต้องขอตอบว่า พรหมวิหาร ๔ กันอารมณ์กลุ้ม อารมณ์จะไม่กลุ้มเพราะความโกรธ

อารมณ์จะไม่กลุ้มเพราะความอิจฉาริษยาอารมณ์จะไม่กลุ้มเพราะเหตุปกติธรรมดา คือ ร่างกายป่วยไข้ไม่สบายถืออุเบกขาเข้าไว้ อารมณ์จะไม่กลุ้มในเมื่อเจอะสัตว์ร้าย ถ้าคิดว่า สัตว์มันจะกิน ก็เฉย ตามใจมันให้ร่างกายเป็นอาหารมัน แต่บังเอิญสัตว์มันก็ไม่กิน เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่าถึงกำหนด ๗ วัน ก็นึกว่าจะกลับ

พอดีท่านเจ้าของถ้ำจะไปรับ หรือไม่ไปรับก็ตาม แต่ว่าท่านผู้ทรงคุณ นุ่งขาวห่มขาว ท่านถามว่า จะกลับใช่ไหม ก็กราบเรียนว่าถึงเวลาวันที่ ๘ แล้ว ต้องกลับ ฉันเช้าแล้วกลับ ท่านบอก ไม่เป็นไรนิมนต์ฉันเช้าเถอะ ผมจะส่งท่านเวลาที่ท่านฉันข้าว เมื่อขณะพอฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ปรากฏว่า มานั่งอยู่ที่ถ้ำชอนเดื่อ

กำลังฉันข้าวก็คิดว่า อยู่ที่ใกล้ ๆ บึงบอระเพ็ด แต่ว่าพอฉันข้าวเสร็จ ปรากฏว่า นั่งอยู่ที่ปากถ้ำชอนเดื่อ หลวงพ่อปานเห็นท่านก็ยิ้ม ท่านบอก เสียท่าแล้วหรือ บอกใช่ครับ ท่านถามว่า คนนุ่งขาวห่มขาว ที่ไปสอนคุณ คุณทราบไหมว่าใคร ผมไม่รู้ครับ ท่านถามว่า สังเกตลูกตาหรือเปล่า บอกสังเกตครับแต่ไม่มีเวลาสนใจในท่าน

ต้องการอย่างเดียวคือ คำที่ท่านแนะนำ แล้วก็บันทึก ก่อนที่ท่านจะมา ผมก็บันทึกสิ่งที่แล้วมาแล้ว เวลาท่านมาพูดให้ฟัง ท่านแนะนำทั้งศีล ทั้งธรรม และทั้งเรื่องราวในอดีต ก็รับฟังท่านหลวงพ่อปานท่านบอก นั่นคือ พระอินทร์ นะ พระอินทร์คือใคร พวกคุณก็ทราบแล้วใช่ไหมคุณ ก็บอกว่า ทราบ

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องของถ้ำชอนเดื่อยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะ แต่เรื่องของเราจริง ๆ จะหมดกันละ เฉพาะชอนเดื่อ จะเอาเรื่องของเจ้าของถ้ำชอนเดื่อมาเล่าต่อให้มันจบไปเลยจะได้ไม่มายุ่งภายหลังเอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เวลานี้ก็หมดเวลาแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/2/13 at 17:08 [ QUOTE ]


3
เข้าวัง ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๓

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๓ เป็นการบันทึก หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๘ การบันทึกที่ไม่ติดต่อกันก็เพราะว่า อาการป่วยทางร่างกายยังมีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ หรือตอนนี้ จะเว้นเรื่องการธุดงค์ไว้ก่อน เอาเรื่องปัจจุบันมาคุยกันก่อน

คือว่า เมื่อ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๓ เป็นวันเฉลิมฯ ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ วันนั้น ได้มีโอกาสเข้าไปในพระราชฐาน ตามที่พระองค์เคยนิมนต์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๘ และก็มาเว้นอยู่ ๒ - ๓ ปี เพราะป่วยมาก เข้าไม่ได้ ตอนหลังนี่ก็มา ๓ปีติดต่อกัน เข้าไปในวังอยู่เสมอ ทีนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะทราบว่า เวลาที่พระเข้าไปในวังทำอะไรกันบ้าง

และมีอะไรเป็นที่น่าคิดบ้าง แต่ความจริง ถ้าหากว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่เคยเข้าไปในงานเฉลิมฯ ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็จะมีความรู้สึกว่า ไม่มีอะไรมากเป็นของธรรมดา ๆ เพราะว่าทั้งสองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ไม่ทรงถือพระองค์เลย เห็นว่าทุกคนเป็นกันเองเสมอ

แต่ว่าสำหรับพระ อาตมาก็จะเล่าเรื่องของอาตมาให้ฟัง เมื่อถึงวันเฉลิมจริง ๆ เดินทางไปจากวัด ตั้งแต่วันที่ ๑๑สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เพราะร่างกายไม่ดี เมื่อเข้าไปถึง แพทย์หญิงแสงโสม ปิรยะวราภรณ์ เธอก็มาให้น้ำเกลือ และให้ยานอนหลับพอตกกลางคืน ก็คุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่มา

อาศัยที่มีเจตนาเป็นมหากุศล ต่างคนต่างก็ทำบุญกันบ้าง ถวายสังฆทานกันบ้าง พอวันรุ่งขึ้นจะเข้าวัง ก็มาคิดในใจว่า เวลาที่เข้าวังจริง ๆ ตามหมายกำหนดการที่ทางจังหวัดนิมนต์มา ให้เดินทางเข้าถึงวัง เวลา ๑๕นาฬิกา และขึ้นไปที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เวลา ๑๖ นาฬิกา หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถจะเสด็จมา

และก็เวลานั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลา ๑๖ นาฬิกา ถึงเวลา ๑๙ นาฬิกา เป็นเวลาที่อาตมาท้องถ่ายเป็นปกติเวลานั้น แล้วมันก็จะถ่ายหลาย ๆ ครั้ง ตั้งแต่ ๑๖ นาฬิกา ถึง ๑๙ นาฬิกานี่อย่างน้อยท้องจะถ่าย ๓ ครั้ง ถ้าเข้าไปในวัง ต้องถ่ายแบบนั้น ก็เห็นจะลำบากมาก ทั้งนี้เพราะว่า การเข้าออกก็ลำบาก ส้วมก็มีน้อย คนก็มีมากก็ต้องหาทางยับยั้งการขับถ่าย

วันนั้นทั้งวัน ยาที่เนื่องในการขับถ่ายทั้งหมดงด และก็ฉันกาแฟขนาดแก่ ๆ เข้าไปถึง ๓ ถ้วย คือ ก่อนจะเดินทางไปจากบ้านเจ้ากรมเสริม ไปพักที่บ้านเจ้ากรมเสริมซอยสายลมก่อนจะไปจากบ้านเจ้ากรมเสริมก็ฉัน ๑ ถ้วย ก่อนจะเข้าไปในวัง เมื่อรถเข้าไปในวังแล้ว ก็ฉันอีก ๒ ถ้วย กาแฟแก่จัด ก็เลยกลายเป็นคนเมากาแฟไป เดินงงไปงงมา

ความจริงขาไม่ดีมานานแล้ว ทางเข่าไม่ดี มันเดินจะล้ม จะเข้าไปในวัง ถือไม้เท้า เขาก็บอก ไม่ให้ถือ ถ้าถือไม้เท้าเข้าไป ก็อาจจะถือเป็นประเพณีว่า ถือว่าเป็นอาวุธก็ได้ ก็ต้องไม่ถือเมื่อลงจากรถ ก็มีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง หรือกรมการศาสนาก็ไม่ทราบ อาจจะเป็นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง มาถึงก็มารับพัด แล้วก็นำไปตั้งให้

แล้วก็นำไปพักที่เต๊นท์ข้างพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เมื่อเข้าไปถึงแล้วก็ปรากฏว่า มีพระอยู่หลายองค์ เมื่อเดินเข้าไปดู พระที่รู้จักก็ไม่ค่อยจะมี ส่วนใหญ่ก็เป็นพระราชาคณะ เห็นอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิมท่านนั่งอยู่ด้านหลัง คิดว่าจะไปนั่งกับท่าน ก็พอดีผ่าน ท่านเจ้าคุณราชรัตนโมลี วัดแก้วแจ่มฟ้า

หรืออาตมาเรียกว่า หลวงพี่เจ๊ก องค์นี้มีบุญคุณกับอาตมามาก สงเคราะห์ทุกอย่าง มีทุกข์ทุกอย่าง ช่วยเหลือด้วยประการทั้งปวง จะยากจะลำบากเพียงใดก็ตาม ช่วยเหลือตลอดเวลา ท่านเรียกให้นั่ง ก็เลยนั่งคุยกับท่านเป็นที่สนิทสนมกันว่า ท่านเป็นผู้มีคุณด้วย และท่านเองท่านก็วางตัวเสมอกัน ท่านไม่ถือว่าท่านเป็นใคร เมื่อนั่งคุยกันอยู่สักครู่หนึ่ง

ก็มีเจ้าหน้าที่มาถามพระว่า องค์ไหนจะเข้าห้องน้ำบ้าง ท่านเจ้าคุณท่านก็ไปเข้าห้องน้ำ ไปด้วยกันหลายองค์ อาตมาไม่ต้องเข้า เพราะปิดทางระบายไว้แล้ว นั่นคือกาแฟ ไอ้กาแฟนี่ไม่เคยฉัน ตามปกติเขาจะคิดว่า อาตมานี่เคร่งครัดมัธยัสถ์น้ำดื่มต่าง ๆ ก็ไม่ฉัน กาแฟก็ไม่ฉัน หรือโอวัลตินก็ไม่ฉัน ที่ไม่ฉันก็เพราะว่า มันเป็นภัยกับท้อง

ความจริงไม่ไช่เคร่งครัดมัธยัสถ์ เมื่อฉันกาแฟหรือน้ำชาเข้าไปแล้วท้องจะผูก แต่วันนั้นมีความจำเป็นต้องให้ท้องผูกมันก็เมากาแฟ เดิน นั่ง ยืน โงงเงง ๆ ไปต่าง ๆ นา ๆ นี่เวลาคุยเวลานี้ก็กำลังป่วยเหมือนกัน อาการยังไม่ฟื้นเมื่อถึงเวลา สักครู่หนึ่ง ก็มีเจ้าหน้าที่มาเรียก อันดับแรกก็เรียกพระราชพรหมยาน เป็นองค์ที่เข้าเป็นองค์แรก

พอเข้าไปถึงก็ไปนั่งอาสนะข้างหน้า ตอนนั้นก็ไม่ได้สังเกตดูพัดว่า พัดประจำตัวเจ้าหน้าที่เขาวางไว้ถูกต้องหรือไม่ ไม่ทราบ ตามปกติเขาเคยวางไม่ผิด เพราะพัดฝ่ายวิปัสสนาธุระ พัดสีขาว ก็ถือว่าที่นั่งเป็นสำคัญ ไปถึงก็นั่ง ต่อมาที่นั่งในขั้นสอง ก็ เจ้าคุณมหานายก ท่านเจ้าคุณองค์นี้ก็เป็นพระที่มีนิสัยดีมาก มีความโอบอ้อมอารีดีมาก

ท่านเป็นปลัดขวาของสมเด็จพระสังฆราช บ้านเดิมอยู่กำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่ไปรับเลื่อนสมณศักดิ์ร่วม ๆ กัน รู้สึกว่า ท่านคุยเป็นที่ถูกใจ และอัธยาศัยดีเรียบร้อย ท่านก็มีความเมตตาอารีถ้าถามว่า ท่านเป็นธรรมยุต หรือมหานิกาย ก็ต้องตอบว่าท่านเป็นธรรมยุต ถ้าถามว่า อาตมาเป็นมหานิกาย ทำไมเข้ากับธรรมยุตได้ง่าย

อาตมาก็ถือว่า จะเป็นมหานิกายก็ตาม ธรรมยุตก็ตามอาตมาไม่ถือคณะเป็นสำคัญ ถือส่วนบุคคลเป็นสำคัญ เมื่อท่านดี เราก็ดีตอบ และท่านก็ดีจริง ๆ ไม่ใช่ดีน้อย และก็ดีมากด้วย เมตตาปรานีมาก ช่วยประคับประคองเวลาเดินทุกอย่าง เวลาเดินจะล้ม ท่านเดินตามไป ท่านก็ประคองให้ จับแขนพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้ม พระองค์นี้น่าไหว้น่าบูชา

สมศักดิ์ศรีกับความเป็นพระจริง ๆก็เป็นอันว่าคุยกันต่อไป หลังจากนั่งเสร็จ ก็ไม่รู้จะทำอะไร ยังไม่ถึงเวลาสวดมนต์ กาแฟมันก็กวน ทำให้ประสาทมึนงง ก็เลยนั่งหลับตาภาวนาดีกว่า ตอนภาวนาก็คิดว่า เราจะภาวนาบทไหนดี คำภาวนาที่ใช้ได้ทุกบททุกอย่าง อะไรก็ได้จับเข้ามา มันก็เป็นเหตุเป็นผลหมด และก็มีผลเสมอกันหมด เพราะขึ้นอยู่กับกำลังใจ

แต่ทว่าก่อนที่จะภาวนา ก็ได้ยินเสียงพระ คำว่า เสียงพระ บรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นเสียงที่ก้องมาจากอากาศว่า ภาวนาบทนี้ จะเป็นที่ปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกเธอทั้งหลาย ให้ภาวนาบทนี้เรื่อยไปเป็นปกติ ตลอดงาน ก็ใช้คำภาวนาบทนั้น ถ้าถามว่า คำภาวนาบทนั้นว่าอย่างไร ก็ขอไม่ตอบ

เพราะว่าพระบอกเฉพาะองค์ ความจริงก็เป็นบทภาวนาที่มีคนรู้จักกันมาก แต่ก็ขึ้นกับจิตใจ เมื่อจับ อานาปานสติกรรมฐาน กับภาวนา ทำไปเรื่อย ๆ จิตก็เริ่มเป็นสุข ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่งว่า ที่เต๊นท์ที่พักข้างพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ที่นั่นมีทั้งน้ำ มีทั้งหมาก มีทั้งกระโถน พอมาที่นั่งจริง ๆ ปรากฏว่า ปีนี้ไม่มีกระโถน ไม่มีหมาก ทุกปีเคยมี

อันนี้เห็นจะเป็นระเบียบที่มีคำสั่งมาใหม่ คนเป็นเจ้าหน้าที่สั่ง ไม่ใช่พระเจ้าอยู่หัวสั่ง เวลาอยากน้ำก็เลยไม่มีน้ำจะกิน เวลาอยากจะบ้วนน้ำลาย น้ำหมาก ก็ไม่มีจะบ้วน ก็ไม่เป็นไร ก็กลืนขณะที่นั่งภาวนาไป พอจิตเริ่มเป็นสุข ก็ไม่ได้คิด ไม่ได้กำหนดไม่ได้อะไรทั้งหมด ไม่ได้คาด ไม่ได้ฝัน ไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งใจอะไรทั้งหมด

เห็นเทวดาองค์หนึ่งมีสภาพแจ่มใสมาก เห็นชัดเจนมากเหมือนกับเราเห็นเวลากลางวัน อากาศเที่ยง มีรูปร่างผึ่งผาย สง่างามมาก เครื่องทรงเป็นทองคำทั้งหมด และแพรวพราวไปด้วยเพชรก็คิดว่าเป็น พรหม ถ้าดูแล้วสภาวะของท่านคล้ายพรหม ถามว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน ท่านบอกว่า ผมอยู่ ปรนิมมิตวสวัตดี ครับ

ก็ยังไม่แน่ใจ เพราะว่าชั้นปรนิมมิตวสวัตดีนี่ เป็นสวรรค์ แต่ว่าท่านองค์นี้ลักษณะท่าทางของท่านเป็นพรหม ก็ถามท่านอีกว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน ท่านก็ตอบว่า ท่านอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีมองไปข้างหลังเห็น พระสยามเทวาธิราช ไม่รู้จะนับอย่างไรแน่นขนัดไปหมดในอากาศ นี่เป็นเพราะอำนาจบุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระสยามเทวาธิราชเต็มพรึ่บ ก็ถามท่านเทวดาองค์นั้นว่า ท่านมีหน้าที่อย่างไร ท่านก็ถามว่า เวลาที่ท่านนั่งภาวนาท่านนึกว่าอย่างไรก็ตอบว่า การมาคราวนี้ ก่อนจะมามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี มีคนคิดปองร้ายในท่าน ด้วยวิธีการที่แยบยล ที่คนคาดไม่ถึง

ก็อยากจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายเหล่านั้น เพราะพระองค์มีบุญญาธิการมาก และมีพระเมตตา พระกรุณากับบรรดาประชาชนมาก ยากที่จะหาพระมหากษัตริย์ปฏิบัติได้อย่างนี้ ทรงเหน็ดเหนื่อยทุกอย่างเพื่อประชาชนทำทุกอย่างเพื่อความเจริญของประเทศชาติ

ทำทุกอย่างเพื่อคนในชาติปลอดภัย จากภัยสงคราม และทำทุกอย่างเพื่อความสันติสุข เพื่อความสามัคคี เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน เมื่อตอบท่านอย่างนั้น ท่านก็บอกว่าผมก็คนนั้นแหละ ที่มีหน้าที่ป้องกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ถามท่านว่า ท่านป้องกันองค์เดียวหรือ

ท่านก็ตอบว่า เวลาท่านนึก ท่านนึกถึงใคร ก็เลยบอกว่า นึกถึงหัวหน้า ความจริงพระสยามเทวาธิราชนี่ เห็นมาหลายปีแล้ว ก็ไม่ทราบว่า องค์ไหนที่เป็นหัวหน้าควบคุมความเป็นอยู่ ความปลอดภัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านก็บอกว่า ในเมื่อท่านคิดถึงหัวหน้าก็ผมนี่อย่างไรล่ะ หัวหน้าก็มาใกล้ท่าน

ความจริงท่านมานั่งข้างหน้า คุยกันใกล้ชิดมาก ถามย้ำอีกทีว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน ท่านบอกว่า ผมบอกท่านแล้วว่า ผมอยู่ชั้น ปรนิมมิตวสวัตดี เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๖ ก็พอดีเวลานั้น ท่านสหัมบดีพรหม ท่านลงมา นั่งข้างขวาของเทวดาองค์นั้น ข้างซ้ายของอาตมาเมื่อท่านสหัมบดีพรหมลงมา ก็ถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ จะทรงปลอดภัยจากข่าวทั้งหลายไหม

เพราะข่าวทั้งหลายเขามีมาหลายประการ แต่ว่าข่าวที่แนบเนียนที่จะต้องการสังหารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่แนบเนียนจริง ๆ มีอย่างหนึ่ง ท่านไม่ขอพูดในที่นี้ ท่านสหัมบดีพรหมท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร ทั้ง ๒ พระองค์จะปลอดภัย แล้วก็มองไปที่เทวดาองค์นั้น ถามท่านสหัมบดีพรหมว่า ท่านองค์นี้น่ะ เป็นพรหม หรือเป็นเทวดา

ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า องค์นี้เป็นเทวดาไม่ใช่เป็นพรหมก็พอดีพระอินทร์ท่านมาพอดี มานั่งกลาง ท่านบอก องค์นี้ไม่ใช่พรหมเป็นเทวดา เนื้อเหมือนผม ท่านสังเกตเนื้อพรหม กับเนื้อเทวดานี่ไม่เหมือนกัน เนื้อของเทวดาเหมือนกับเนื้อที่มีผิวใสบาง ๆ แต่เนื้อของพรหมเหมือนกับเนื้อแก้ว เมื่อดูแล้วก็เหมือนกันจริง ๆ

เนื้อท่านสหัมบดีพรหมเหมือนแก้ว เนื้อพระอินทร์ กับเนื้อเทวดาองค์นั้น ก็เหมือนเนื้อเทวดา ไม่ใช่หยาบเหมือนเนื้อคน เนื้อสวยสดงดงามก็เป็นอันว่า เข้าใจว่า ท่านเป็นเทวดาชั้นปรนิมฯ จริง แต่ว่าแต่งตัวเครื่องทรงคล้ายกับพรหมมาก เครื่องประดับประดาก็เหมือนพรหม หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย

ในเมื่อทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถจะปลอดภัยจากอันตรายตามข่าวที่เขาพูดกัน ก็มีความดีใจ ก็หันมาถามท่านสหัมบดีพรหมว่า ตามธรรมดา วันงานของสมเด็จพระบรมราชินีนี่ พระติดฝนกันทุกปี พอสวดมนต์ไปได้ครึ่งหนึ่งก็ตาม หรือบางทีก็ตอนให้พร ถวายพระพร ฝนตกหนักขนาดจะออกไม่ไหว

ท่านบอก ปีนี้ไม่เป็นไร ฝนไม่ตก จะตกตอนดึก เพราะเขาขอไว้ ถ้าเขาไม่ขอไว้ ก็ตกเหมือนกัน เพราะฝนตก เพราะอำนาจบุญญาธิการของท่านทั้ง ๒ พระองค์ แล้วเทวดามามาก พรหมมามาก หลังจากนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ถึงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมา อาตมาก็ไม่ได้ลืมตา นั่งภาวนาเรื่อยไป คุยกับเทวดาไปตามเรื่องตามราว

แต่คุยอย่างมีสาระ แต่คุยเรื่องอะไรบ้าง มันจะยาวเกินไป เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบูชาที่ต่าง ๆ เสร็จก็ได้ยินเสียงอาราธนาพระปริตร เป็นอันว่า เวลานี้ถึงเวลาสวดมนต์แล้วก็ลืมตาขึ้นมา เอาสายสิญจน์ส่งให้ท่านเจ้าคุณมหานายก ปลัดขวาขององค์สมเด็จพระสังฆราช ท่านก็ส่งต่อไป นั่งกัน ๓ แถว

อาตมากับท่านเจ้าคุณมหานายกนั่งแถวใน แต่ว่าเหลื่อมออกมา นั่งแถวใน แต่ไม่มีใครบังหน้า เขาตั้งให้เหลื่อมออกมา เมื่อถึงเวลาสวดมนต์ ก็สวดไหวบ้าง ไม่ไหวบ้าง บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะร่างกายมันเหนื่อยเหลือเกิน มันเพลีย และมันเหนื่อยมาก ก็สวดตามที่พึงจะสวดได้ เมื่อสวดมนต์จบ ก็ได้ยินเสียงอาราธนาศีล

สมเด็จพระสังฆราชให้ศีลเสร็จ สมเด็จพระสังฆราชก็แสดงพระธรรมเทศนา สมเด็จพระสังฆราชแสดงพระธรรมเทศนา ใช้เวลาประมาณ ๒๕ นาที จบหลังจากนั้น ก็เป็นเวลาเจริญกรรมฐานของพระทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็เจริญกรรมฐานด้วย อาตมาก็ทำตามปกติ ตอนนี้เห็นพระสยามเทวาธิราชเข้ามาใกล้มาก

ทุกองค์ท่านมองหน้า ท่านก็ยิ้ม จำได้หลายองค์รู้จักกัน นี่ใครจะหาอวดอุตตริมนุสสธรรม ก็เชิญ มันของมีจริง ความจริงเป็นพระไม่น่าจะมีอะไรหนักในเรื่องนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมเป็นของปกติของพระอยู่แล้ว จะมานั่งกล่าวหาว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ก็ไม่หนักใจ เพราะอะไร เพราะทำได้ และทำได้มาตั้งแต่พรรษาแรก ไม่มีอะไรหนักใจ

เมื่อถึงเวลาครึ่งชั่วโมงได้ยินสัญญาณปรากฏเลิกหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ถวายไทยธรรมกับคณะพระในกรุงเทพฯ แถวโน้นอยู่คนละด้าน ด้านอาตมาอยู่ก็ผสมกัน ทั้งพระในกรุงเทพฯ ด้วย พระบ้านนอกด้วย หลายสิบองค์ แต่ชุดนี้ต้องเดินไปรับไทยทานจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

ท่านไปตั้งอยู่ระหว่างพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานกับไพศาลทักษิณ ต้องเดินไป ตอนลุกเดินไป ตอนนี้ท่านมหาดเล็กผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านนี้จำหน้าได้ ทุกเที่ยวต้องพบท่าน แต่บังเอิญไม่รู้จักชื่อ ท่านเห็นว่าเดินโซเซ ท่านก็เลยช่วยประคอง จับแขนไปให้พอถึงใกล้สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ท่านก็ปล่อย พอเข้าไปใกล้ถึงสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

ท่านยกมือไหว้ ท่านก็ยิ้มถามว่า พระคุณเจ้าเจ้าคะ อาการป่วยไข้เป็นอย่างไรบ้าง
ก็ถวายพระพรบอก เวลานี้อาการดีขึ้นมากแล้ว ดีกว่าเก่า และท่านก็ตรัสอะไรอีก ๒ - ๓ คำ อาตมาก็ไม่อยากจะยืนนานนัก ทั้งนี้เพราะว่า มันจะล้ม

ก็ลาท่านกลับออกมาเข้าที่ พอจะเข้าที่ ก็ปรากฏว่า ท่านมหาดเล็กผู้ใหญ่ท่านนั้นท่านก็ประคองมาจนถึงที่นั่ง หลังจากนั้นมา ก็เป็นเวลาถวายพระพร คือ ยถา สัพพีฯ เป็นหน้าที่ของพระผู้ใหญ่ คือ สมเด็จพระสังฆราช และพระทั้งหมดก็รับตอนนี้ต้องใช้พัด พอหยิบพัดขึ้นมา ก็ปรากฏว่า พัดผิดพัด พัดของอาตมานี่เป็นพัดชั้นราช สีขาวแต่ไม่มีดิ้นดำ

พัดดิ้นดำน่ะถูกเปลี่ยนไปแล้ว คือ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ดิ้นดำ แต่พัดที่มาถือวันนั้นเป็นพัดที่เขาปักที่ข้างหลัง เป็นพัดมีดิ้นดำ ก็แปลกใจว่า เอ๊ะ...พัดของเรามันขาวล้วน มันทำไมถึงมีดิ้นดำขึ้นมาได้ ดิ้นด้าน ก็นึกในใจว่าคงจะเปลี่ยนกับใคร คนใดคนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ถือพัด รับพัดมาคงจะปักที่ผิดแต่ก็ไม่เป็นไร ก็คงตามกันได้

ถ้าตามกันไม่ได้ พอถึงเวลาจะเปลี่ยนพัด ก็เอาไปเปลี่ยนเฉย ๆ แบบนั้นแหละ บอกมันเป็นอย่างนี้ถ้าเขาไม่เอา ก็ต้องทำชำระหนี้ ๓๖,๐๐๐ บาท ก็ยังไม่ทราบว่า พัดเล่มนั้นตกอยู่กับพระองค์ไหน เข้าใจว่า ไม่ช้าคงจะกลับมาที่เดิมเพราะพระย่อมเป็นพระ อีกประการหนึ่ง ชั้นราช กับชั้นสามัญไม่เหมือนกัน ตอนนี้หลังจาก ยถา สัพพีฯ เสร็จ ตอนลุกกลับ

ท่านเจ้าคุณมหานายก ท่านดีจริง ๆ ท่านก็ลุกพร้อมกัน จับแขนประคองมาเรื่อย มาจนกระทั่งออกประตู จนกระทั่งถึง ร้อยเอกกิตติเข้าไปรับ เข้าไปรับพัด และประคองแทน ท่านเจ้าคุณมหานายกจึงปล่อย ฉะนั้นบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านเจ้าคุณมหานายก ปลัดขวาของสมเด็จพระสังฆราช หากว่าท่านรู้จัก หรือพบเห็นไหว้ได้เต็มที่

พระองค์นี้เป็นพระที่มีความดี มีความเมตตาปรานี และสงเคราะห์พระแก่ดีมาก ท่านพูดจาปราศรัยก็ดี พบกันแล้ว ๒ คราว เมื่อคราวเลื่อนสมณศักดิ์พร้อมกัน ท่านก็คุยดี ท่านบอกว่า ท่านเป็นคนกำแพงแสน และคราวนี้ก็คุยดี ไม่คุยดีเฉย ๆ ห่วงจะล้มอีกด้วย อย่างนี้หายาก มีแต่ว่าเขาต่างคนต่างไปกัน ไอ้เรามันคนเดินไม่ค่อยไหวนี่

ความแก่คืบคลานเข้ามามาก ก็เดินออกมา เมื่อขณะที่เดินออกมาก็เจอะเจ้าคณะตรวจการภาค พอออกประตู พรนุชก็ไปดักถ่ายภาพที่นั่น พอถึง เจ้าคณะตรวจการภาค ๓ เจ้าคุณเทพโสภณ วัดโพธิ์ ก็ยืนกอดแขนท่าน บอกพรนุชให้ถ่ายอีกครั้งหนึ่ง ท่านเจ้าคณะภาคองค์นี้ก็เป็นพระดีแสนดี เป็นพระเข้าถึงคน

เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน หลังจากนั้นก็ขึ้นรถ แล้วก็เดินทางกลับ การไปวันนั้นก็มี จ่าปัญญา เจ้าของรถเบนซ์ที่ถวายอาตมา กับ บังเอิญ ภรรยา แล้วก็มีลูกสาวอีกคนหนึ่ง ตามไปด้วย เข้าไปในไม่ได้ก็อยู่ด้านนอก ก็เดินเที่ยวชมพระราชฐาน ถ่ายภาพกันบอกว่าฟิล์ม ๒ ม้วนหมดเรียบร้อย เพราะว่าบังเอิญภรรยาจ่าปัญญา เธอแต่งตัวคล้าย ๆ กับชาววัง

ไปที่ไหนก็รู้สึกว่าจะเข้าสะดวกที่นั่น แต่ไปที่แห่งหนึ่ง เธออยากน้ำ ถามเจ้าหน้าที่เขาว่า เขาไปได้ไหม เขาบอก เข้าได้แต่ออกไม่ได้ เธอก็เลยไม่เข้า เลยเดินถ่ายภาพกันไป เป็นอันว่า กลับมาถึงบ้านเจ้ากรมเสริมประมาณ ๒ ทุ่ม ก็ให้ แพทย์หญิงแสงโสม มาให้ยานอนหลับ เวลา ๒ ทุ่มเศษ ๆ เวลา ๔ ทุ่ม ก็ตื่นขึ้น เริ่มถ่าย มันก็ทยอยถ่ายทีละน้อย ๆ หลังจาก ๔ ทุ่มแล้วก็ไม่เคยหลับเลยตลอดคืน

เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่องเข้าวังก็จบแค่นี้ หมดเวลาพอดี ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 19/2/13 at 13:57 [ QUOTE ]


4
ธุดงค์ไปนครสวรรค์


ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้เป็นตอนที่ ๔ ของเล่มที่ ๑๘วันที่บันทึกคงเป็น วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๓ วันนี้ก็มาคุยถึงเรื่องธุดงค์ การไปธุดงค์คราวนี้ ออกจากตาคลี ไปนครสวรรค์ ความจริงการเดินทางเวลานั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท เดินทางแบบสบาย ๆเพราะเป็นป่าใหญ่ ป่าทึบ การเดินทั้งหมด เข้าป่าทั้งหมด เพราะว่าไม่ต้องการพบบ้าน

พอไปถึงเขตนครสวรรค์ ก็ไม่ทราบว่าตำบลอะไร มันเลยเมืองนครสวรรค์ไป ใกล้กำแพงเพชร หลวงพ่อปานก็สั่งปักกลด เมื่อปักกลดเรียบร้อยแล้ว ก็หาน้ำอาบกัน หาบ่อน้ำอาบ หลวงพ่อปานท่านมีความชำนาญมาก ท่านบอกว่า ที่อาบน้ำ บ่อน้ำมีทางโน้น เป็นน้ำใส ท่านเคยมา เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ท่านก็บอกว่า ทุกองค์พักให้หายเหนื่อย เมื่อพักหายเหนื่อยแล้ว ก็เขียนระยะทางที่เราผ่านมา บันทึกภาพ ใช้ อตีตังสญาณ ใครจะพบใคร สมัยไหน ไม่มีความสำคัญ ใครเห็นอะไร พบอะไร เขียนมา แล้วฉันจะพิสูจน์ วันพรุ่งนี้เช้าฉันจะรับมาพิสูจน์ นี่เป็นปกติธรรมดา บรรดาท่านพุทธบริษัท

การเดินทางธุดงค์ ท่านไม่ต้องการให้เดินเฉย ๆ ให้ใช้กำลังฌาน กำลังฌานที่จะพึงได้ เป็นการฝึกกัน ไม่ใช่เป็นผู้ชำนาญ ทุกคนก็ต่างคนต่างเขียน เมื่อเข้ากลดของตัวแล้ว ก็เขียนเท่าที่จำได้ หรือนึกออก แต่ส่วนใหญ่บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เขียนนี่ไม่ได้ใช้กำลังใจของตนเอง ถามเทวดาที่เดินมาด้วย

เพราะการเดินทางมาเทวดาท่านก็มาด้วย เทวดานี่ ความจริงท่านมีเมตตาปรานีจริง ๆ เห็นท่านตลอดเวลาทำให้เราไม่เหงา เดินถึงที่ตรงนั้น ถึงที่ตรงนี้ ท่านก็ชี้ว่าในสมัยนั้นมีอะไร สมัยนี้มีอะไร สถานที่ตรงนี้เขารบราฆ่าฟันกัน ที่นี่มีบ้านเมือง มีใครเป็นบุคคลสำคัญ ท่านก็เล่าให้ฟังเรื่อย เวลาเดินกันมาจริง บรรดาท่านทั้งหลาย จะรู้สึกว่า ทั้ง ๔ องค์นี่เงียบกริบ

ไม่มีใครพูดกัน ที่ไม่มีใครพูดกัน ก็ต่างคนต่างฟังเทวดาท่านเล่าให้ฟัง และบางสมัย เราเองก็เกิดแถวนั้นเหมือนกัน เดินทางผ่านแถวนั้นเหมือนกันและในสมัยนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร ท่านก็ชี้ให้ดูภาพ เหมือนกับเราดูของจริง เมื่อต่างคนต่างเขียนเสร็จ ก็ทำวัตรสวดมนต์กันตามธรรมดา ทำวัตรสวดมนต์ก็ใช้อะไรไม่มาก

ส่วนใหญ่ใช้การเจริญกรรมฐานให้หนัก การเจริญกรรมฐานเป็นของปกติ ถ้าถามว่า ทำอย่างไร ก็ไม่ต้องถาม เพราะกรรมฐานก็มีเป็นประจำอยู่แล้ว อันดับแรก ต้องมีพรหมวิหาร ๔ พรหมวิหาร ๔ นี่ ต้องเป็นฌานสมาบัติและประการ ๒ นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ อย่าให้เข้าประจำใจ ถ้าขืนปล่อยให้นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการเข้าประจำใจ

เช้าจะอดข้าวแล้วก็ประการที่ ๓ เราก็นั่งใคร่ครวญพิจารณาร่างกายตัวเองว่า ร่างกายนี่มันมีสภาพตายในที่สุด เมื่อเราตายแล้ว ร่างกายไม่ได้ไปด้วย จิตใจมันไป ที่เรียกว่า อทิสมานกาย ก็ย่อ ๆ แบบนี้ ตามธรรมดาที่ผ่านมา เพราะว่าเคยกินข้าวจากเทวดาแบบไหน ก็ทำแบบนั้น เพราะกลัวอด ถ้าถามว่า นักพรต คือ นักเจริญกรรมฐาน กลัวอดด้วยหรือ

ก็ต้องตอบว่า กลัวอดแน่ ๆ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าร่างกายมันต้องการอาหารในเมื่อถึงรุ่งเช้า ก็เอารายงานไปส่งหลวงพ่อปาน พอส่งท่านแล้ว ก็ออกเดินบิณฑบาตตามปกติ ไปตามธรรมดา ๆ กำหนดว่า จากต้นไม้ต้นนี้ ถึงต้นไม้ต้นโน้น เราจะรับบิณฑบาต ถ้าไม่มีใครใส่บาตรเดินไปแล้วเดินกลับ เราจะอยู่ด้วยธรรมปีติ ก็เป็นเรื่องธรรมดาจริง ๆ ว่า

ธรรมดาก็มีคนใส่ให้ คนที่ใส่ให้ก็ไม่ใช่รูปร่างเหมือนเทวดา เป็นรูปร่างชาวบ้าน แต่ว่าสังเกตข้าว ข้าวเหมือนกันทุกวัน ข้าวสีเหลืองน้อย ๆ รสหวานหน่อย ๆ มีดอกไม้สวย ๆ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ก็ไม่ควรจะซ้ำซากกัน พอฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อปานก็เรียกประชุม ท่านก็แนะนำด้านวิปัสสนาญาณว่า

สมถภาวนาน่ะใช้กันจนชินได้ดีแล้ว วิปัสสนาญาณอย่าทิ้ง จงอย่าคิดว่า เราจะได้กลับวัด คิดไว้เสมอว่า วันนี้มันอาจจะตายไว้เสมอ ถ้าเราตาย เราจะไปไหน ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของดีมันของเลว มันเป็นเครื่องนำมาแห่งความทุกข์ อย่าไปสนใจให้มากเกินไป ร่างกายจะตายที่ไหน ก็ปล่อยมันตายที่นั่น เราจะไปตามทางของเรา

เราจะไปสวรรค์ หรือไปพรหมโลก หรือจะไปนิพพานก็ตามใจ หลังจากที่ท่านอบรมตามสมควร ท่านพูดดีมาก หลวงพ่อปานพูดเพราะ อธิบายจนเข้าใจแจ่มแจ้งทุกอย่าง ต่างคนก็ต่างพักในกลดเข้ามาในกลดสักครู่หนึ่ง เสียงหลวงพ่อปานก็ร้องบอกว่า เอ้า...ใครอยากจะเดินชมอะไรบ้าง ก็ไปได้ตามอัธยาศัย ทุกองค์ ทั้ง ๓ คนก็ไปกราบท่าน

ขออนุญาตเดินเข้าป่า ตอนเดินเข้าป่านี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เดินเข้าไปสักครู่หนึ่ง ก็พบต้นไม้ใหญ่ ๆ มีต้นยางบ้าง โดยมากเป็นป่าสัก ยางก็มีน้อยกว่าสัก ต้นสักมีมาก เป็นต้น ข้างล่างเตียนโล่งสบาย ๆ เดินไปแบบสบาย ๆ พอไปถึงต้นไม้ ต้นสักต้นหนึ่ง มีแสงแดดส่องลงมาบ้าง ก็มีเสือดำนอนอยู่ ๒ ตัว

ยังนึกในใจว่า เจ้าหมาดำนี่ ทำไมตัวมันใหญ่นัก ตัวมันยาวนัก คล้ายเสือ แต่ความจริงนึกว่า หมา ยังไม่รู้จักคำว่า เสือดำ รู้จักแต่เสือลายพาดกลอนบ้าง เสืออะไรต่ออะไรบ้าง เขาเล่าให้ฟัง ก็ไม่รู้จักจริง คำว่า เสือดำ ไม่มีใครเขาพูดให้ฟัง ก็คิดว่าเป็นสุนัขธรรมดา ๆ หรือเป็นหมาป่าธรรมดา ก็คิดว่า คงไม่เป็นไร

พอเข้ามาใกล้เจ้าเสือดำมองดู มันก็ลุกขึ้นมองเฉย ๆ แล้วก็เดินไปเฉย ๆ ไม่แสดงอาการท่าทางดุร้าย จึงนึกในใจว่า หมา ๒ ตัวนี่ มันเหมือนเสือจริง ๆแต่หน้าตาทำไมเหมือนเสือ แต่พวกเราก็คิดว่าเป็นหมาแล้วก็เดินทางต่อไปอีก คราวนี้ก็ไปพบคน ๆ หนึ่ง นุ่งขาวห่มขาว นั่งภาวนาชักลูกประคำ ก็คิดในใจว่า นี่ฆราวาสเขาก็มาธุดงค์เหมือนกันแล้ว

ท่านผู้นั้นเองก็ไม่มีบาตร ไม่มีอะไรทั้งหมด มีแต่ผ้านุ่งกับผ่าห่ม จึงนึกในใจว่า ท่านดีกว่าเรามาก เข้าไปใกล้ท่าน นึกอยากจะกราบท่าน แต่ก็กราบไม่ได้ เพราะผ้ากาสาวพัสตร์ แต่จิตใจนึกกราบท่านด้วยความเคารพ พอเข้านั่งใกล้ ท่านก็ลืมตาขึ้น ท่านถามว่าพวกท่านมาธุระอะไร ก็เรียนว่า อาตมาเดินเล่น ท่านถามว่า เดินเล่นนี่ จิตคิดอย่างไร

ก็ตอบท่านว่า จิตคิดถึง พุทโธ คือ นึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นภาพพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ท่านก็บอกว่า ดีแล้ว อย่างนั้นก็ดีแล้วเห็นภาพพระพุทธเจ้า แล้วคิดไหมว่า มันอาจจะตาย ก็เลยบอกว่า คิดตั้งแต่เช้า ท่านบอกว่าเรื่องความตายนี่ ควรจะคิดไว้เสมอ ๆ จะได้ มีความมั่นใจในพุทโธ เมื่อท่านจะผ่านมาหาผม ท่านเจอะสุนัข ๒ ตัวไหม

บอกกับท่านว่า เจอะ ท่านถามว่า สีอะไร ก็ตอบว่า สีดำ ท่านถามว่า คุณเข้าใจว่ามันเป็นสุนัขจิ้งจอก หรือเป็นสุนัขป่า หรือว่าเป็นสุนัขอะไร บอกให้ทราบได้ไหม ก็เลยบอกว่า บอกไม่ได้ เพราะไม่เคยรู้จักสุนัขแบบนี้ รูปร่างหน้าตามันคล้ายเสือ ท่านก็เลยบอกว่านั่นแหละ เขาเรียก เสือดำ เจ้าเสือดำนี่ มันดุกว่าเสือลายพาดกลอนมาก

ที่พวกคุณทั้ง ๓ ผ่านมาได้ เพราะอาศัย พรหมวิหาร ๔ และพุทธานุสสติ ฉะนั้นของ ๒ อย่างนี้จงอย่าลืม ถามท่านว่า ท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็ตอบว่า ที่อยู่ในเมืองมนุษย์ของผมไม่มี พอท่านบอกเท่านั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นั่งจ้องหน้าท่าน ท่านบอก เอ้า...ดูนาน ๆ ซิว่า ตามันกระพริบไหม ก็เป็นอันว่า ตาไม่กระพริบ

ท่านถามว่า ในเมื่อท่านเห็นว่าตาผมไม่กระพริบ ท่านเข้าใจว่าผมเป็นอะไร ทีนี้กลิ่นตัวของท่านสิ บรรดาท่านพุทธบริษัท กลิ่นตัวคล้าย ๆ กับธูปหอม ถ้ากลิ่นแบบนี้เป็นกลิ่นของพรหม ถ้ากลิ่นตัวเทวดาแล้วเป็นกลิ่นเหมือนดอกไม้ ดอกไม้สด หรือกระแจะคล้ายคลึงกันทั้ง ๒ อย่าง ก็เลยตอบท่านว่า ท่านคือพรหมใช่ไหม ท่านก็บอกว่า ใช่

ถามว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน
ท่านก็ตอบว่า ผมคือสหัมบดีพรหม ก็ตกใจ นึกอยากจะไหว้ท่าน
ท่านบอกว่า เอาแค่นึกนะ พอนึกอยากจะไหว้ท่าน ท่านบอกเลยว่า เอาแค่นึกนะ อย่าไหว้นะ เพศอย่างนี้ไม่ควรจะยกมือไหว้ฆราวาส

ก็ถามท่านบอกว่า ท่านมานั่งนี่ท่านมีความประสงค์อะไร
ท่านบอกว่า ผมรู้ว่าคุณทั้ง ๓ องค์จะมาที่นี่
ก็ถามว่า แล้วมีอะไรจะบอกไหม

ท่านบอกว่า ผมจะบอกกกับพวกคุณอยู่อย่างเดียวคือ ตั้งใจจะบอกว่า ดินแดนที่คุณเดินผ่านมานี่ คุณเกิดมาแล้วหลายครั้ง หลายชีวิต เอากันตั้งแต่สมัยสุพรรณบุรีก็ได้ สมัยสุโขทัยก็ได้ สมัยเชียงแสนก็ได้ ท่านผ่านมาหลายชีวิต ท่านเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดมาหลายชีวิต แต่ละชีวิตของท่านไม่ได้มีความสุข

ก็ขอภาพ ๆ หนึ่ง เป็นสมัยเชียงแสน สมัยนั้นเป็นภาพที่มีความแร้นแค้นมากที่สุด เพราะพ่อถูกขอมขับเข้าไปอยู่ป่า มีความอดอยากมาก แต่ทว่าอาศัยมานะทิฏฐิ และจิตใจเป็นคนไทย เมื่อโตขึ้นมาก็รวบรวมกำลังไพร่พล ใช้คำว่า ไพร่พล ก็ไม่ถูก รวบรวมกำลังชาวบ้านด้วยกัน เป็นชาวบ้าน ตั้งเป็นกองทัพ พอถูกพวกขอมรุกรานหนัก

ข่มเหงทุกอย่าง ลูกเขาเมียใคร ต้องการเมื่อไร ก็ได้เมื่อนั้น ทรัพย์สินของใครต้องการเมื่อไร ก็ได้เมื่อนั้น ถ้าไม่ให้ก็ทำร้ายร่างกายเสียบ้าง ฆ่าเสียบ้าง ไม่มีความผิดตามกฎหมายขอม เขาถือว่าคนไทย ไม่ต้องการให้มีชีวิตอยู่ เขาต้องการทำลายคนไทยทั้งหมด ก็มีความจำเป็น เมื่อถูกกดหนักก็ต้องเด้งขึ้นต่อสู้แล้วในที่สุด ชีวิตนั้นก็ตาย ไม่ใช่รบกันตาย

รบชนะขอมแล้วอยู่นาน แล้วก็ตาย ต่อมาก็เกิดใหม่อีก ก็เกิดโผล่ขึ้นที่สุโขทัย ขึ้นมาที่สุโขทัย โผล่ขึ้นมาแล้ว ไม่ช้าไม่นานก็ตายอีก คราวนี้ตายเป็นพระ แล้วต่อมาก็โผล่ขึ้นมาอีก โผล่มาในเขตของสุโขทัยเหมือนกัน แล้วก็มาสุพรรณบุรี แล้วก็มาอยุธยา นี่ตามกันมา ตามพวกกันมานะ แล้วในที่สุดก็มาถึงกรุงเทพฯ ในที่สุดก็มาถึงชีวิตสุดท้าย

ตอนนี้รวมความดูแล้ว ดูทุกสมัยที่เกิด ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ มีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน รุกรานแผ่นดินซึ่งกันและกัน แย่งแผ่นดิน แย่งอำนาจ แย่งความเป็นใหญ่ แต่จะใหญ่ขนาดไหน ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกัน คิดแล้วก็สลดใจ
จึงกราบเรียนท่านว่า ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์

ท่านก็เลยบอกว่า เข็ดในการเกิดหรือยัง
ก็ตอบท่านบอกว่า เข็ดในการเกิดแล้ว
ท่านถามว่า เมื่อก่อนบวชเคยคิดอย่างนี้บ้างไหม
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า เมื่อก่อนบวช ชีวิตเมามันมาก มีความประมาทในชีวิตมาก ไม่เคยคิดว่าจะตาย เห็นคนอื่นเขาตาย ก็คิดว่า เขาตาย ไม่ใช่เราตาย

เห็นคนอื่นเขาแก่ ก็คิดว่า เขาแก่ คิดว่าเราไม่แก่ ทั้ง ๆ ที่ตัวเราเคยมีการป่วยไข้ไม่สบาย แต่ก็ไม่เคยคิดถึงความป่วยไข้ไม่สบาย คิดว่าตนเองมีความสุข ทั้ง ๆ ที่มีความเหนื่อยยาก ต้องทำการงานเสี่ยงชีวิต ทุกอย่างมีความเหน็ดเหนื่อย ทุกอย่างมีความทุกข์ ทุกอย่างมีความแร้นแค้น ทุกอย่างมีความขัดข้อง แต่ก็ไม่เคยคิดถึงความทุกข์ เวลานี้รู้จักความทุกข์แล้ว

ท่านก็บอกว่า เป็นความดี คิดอย่างนี้เป็นความดี อาจารย์ของท่านน่ะ ท่านรู้ทุกอย่างนะที่ท่านปล่อยให้ท่านมาเที่ยว เพราะท่านทราบว่าจะมาพบกับผมที่นี่ ผมบอกอาจารย์ของท่านว่า ผมจะมาคอยท่านที่นี่ จะอธิบายให้ฟัง แล้วท่านก็ชี้ให้ดูสภาพชีวิตของคนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ละสมัย ๆ ดูแล้วก็เพลิน

การรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันแต่ละคราว ๆ ต่างคนต่างก็เจ็บ ต่างคนต่างก็ตาย ต่างคนต่างก็มีความทุกข์ ทหารก็แสนจะลำบาก กินข้าวอิ่มบ้าง กินข้าวไม่อิ่มบ้าง บางทีกำลังจะกินข้าว ข้าศึกเข้ามา ก็ต้องรบกับข้าศึก ทั้ง ๆ ที่ท้องไม่อิ่ม แล้วที่พัก ที่หลับ ที่นอน อยู่ในกลางป่า กลางดง ไม่เหมือนบ้าน การรบสมัยนั้นไม่มีพาหนะ มีช้าง ม้า วัว ควาย

ก็อาศัยอะไรได้ยาก นอนกับดิน กินกับทราย การรบแพ้ รบชนะก็ไม่ทราบ พลทหารทั้งหมด แพ้ก็แค่นั้นชนะก็แค่นั้นนั่นก็หมายความว่า ฐานะก็ยากจนตามเดิม ไม่มีอะไรเป็นกรณีพิเศษ เงินเดือนเงินดาวน์ก็ไม่มี เบี้ยเลี้ยงที่เป็นสตางค์ก็ไม่มี มีแต่อาหารกิน แล้วหมอก็มีไป แต่ว่าก็เป็นหมอแผนโบราณ แต่ก็ดีมากแพทย์แผนโบราณ จะว่าไป

เลือดออกนี่เขาชะงัดมาก บางรายเลือดออกมาปั๊บหมอจับปั๊บ เป่าพรวดเดียว แผลหาย เขาเรียกว่า ประสานแผล อันนี้เขาเก่งมาก วิชาเวลานี้ไม่มี บางรายก็ใช้ใบตองปิดเป่า ๓ ทีแผลหาย แต่หมอประเภทนี้ก็มีไม่มากนัก เมื่อทหารถูกฟันเข้ามาแล้วมีการบาดเจ็บมาก กระดูกหัก กระดูกแตก หมอประเภทนี้สามารถต่อกระดูกได้ทันทีทันใด

สามารถประสานแผลได้ทันทีทันใด เมื่อแผลหายแล้ว ทหารลุกขึ้นรบใหม่ต่อไปได้อีก แต่ว่าทหารส่วนใหญ่เวลานั้นก็หนังเหนียว ขนาดแทงด้วยหอกกระเด็นออกมา ไม่มีความรู้สึก วิ่งเข้าไปใหม่ ฟันเจ้าของหอกตาย อย่างนี้ก็มี รวมความว่าท่านทำให้ดู
ท่านบอกว่า คนทุกคนที่ท่านมองเห็นเวลานี้ เขาตายไปหมดแล้ว และในกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ ตัวท่านเองก็มีส่วนอยู่ด้วย

ท่านก็ชี้ให้ดูตัวว่า นั่นคือท่าน คนนี้คือคนนั้น คนนั้นคือคนนี้ เวลานั้นรู้สึกว่ามีความดุดันมากสำหรับกับข้าศึก แต่ถ้ากับคนไทยด้วยกัน ใจดีมากยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเห็นอกเห็นใจกัน ก็สรุปแล้วผลที่สุดก็แก่ตาย มองแล้วก็สลดใจ
ก็ถามท่านบอกว่า อาตมาทั้ง ๓องค์นี่ ตายแล้วจะไปไหน

ท่านก็ตอบว่า ในเมื่อท่านมีอาจารย์ดีขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะไปนรกผมก็ช่วยท่านไม่ได้ แต่จะให้ผมพยากรณ์ ผมพยากรณ์ไม่ได้ ก็สุดแล้วแต่กำลังใจของท่าน เมื่อท่านรักดี ท่านก็ไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ท่านรักชั่ว จะตกนรกก็ได้ เป็นเปรตก็ได้ เป็นอสุรกายก็ได้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ ตามใจท่าน

ถามถึงวิธีการสอนของหลวงพ่อปาน ท่านสอนจบหรือยัง ท่านบอก วิชาความรู้ทุกอย่างที่ท่านเรียนมา จบหมดแล้ว แต่หลวงพ่อปานก็ดี หลวงพ่อเนียมก็ดี หลวงพ่อโหน่งก็ดี ท่านสอนมา แต่ละองค์สอนให้จบหมดแล้ว เว้นไว้แต่ท่านจะทำให้จบ หรือไม่จบเท่านั้นแล้ว

หลังจากนั้น ท่านก็บอกว่า ทรัพย์สินต่าง ๆ เดิม ของท่านทั้งหลาย ฝังแถวนี้ก็มี ท่านต้องการไหม ก็บอกว่า ถ้าต้องการ มันก็เกิด ถ้าไม่ต้องการ มันก็ไม่เกิด ท่านตอบว่า ถูกแล้ว ตัดสินใจถูกทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้น ท่านที่มีอยู่แถวนี้ ท่านก็ชี้ให้ดู นี่ ทองคำนี่เป็นของท่าน ตุ่มเงินนี่เป็นของท่าน

แต่ว่าเจ้าทองคำ กับตุ่มเงินตุ่มนี้ในสมัยนั้น ชีวิตรูปร่างท่านเป็นอย่างนี้ ท่านก็สร้างภาพให้ดู มีบ้านมีเรือน มีข้าทาสหญิงชายรับใช้ มีบุตรธิดา ภรรยาสามี กันเยอะแยะ ในที่สุดก็แก่ตัวไปทุกวัน ๆ ตาย ตายแล้วชีวิตมันก็ไปที่อื่น ทองคำกับเงินก็ไม่มีความหมาย

ท่านบอกว่า ทรัพย์สินทั้งหลายมันมีประโยชน์ เฉพาะสิ่งที่มีชีวิต ในขณะที่มีชีวิตก็มีความจำเป็นต้องใช้มัน แต่ว่าถ้าตายไปแล้วก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ช้าคนอื่นเขาก็มาขุดไป ทองคำมันก็ไม่มาก เงินมันก็ไม่เยอะ ก็ถามท่านบอกว่า ในป่าลึกอย่างนี้ จะมีใครมาขุดหรือท่านบอกว่า ป่านี้ไม่ช้ามันก็เตียน ในชีวิตของคุณนี่แหละ ไม่ช้านานแล้ว

ในที่สุดคุณก็มาเห็นเป็นทุ่งโล่ง เวลานี้เป็นป่าชัฏ เมื่อคุยกับท่านพักหนึ่ง ก็ลาท่านกลับ ก่อนที่ท่านจะกลับ ท่านก็ให้พร ท่านบอกว่า คุณธรรมใดที่ท่านปรารถนา ขอจงได้คุณธรรมนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ ท่านบอกว่า ถ้ามีอะไร ให้นึกถึงผม ผมคือสหัมบดีพรหม แต่ก่อนที่พวกคุณจะกลับไป ผมจะแสดงตนให้ทราบ

หลังจากนั้นท่านก็เป็นพรหมสวยสดงดงามมาก เครื่องประดับประดาเหลืองอร่าม ท่านบอกว่า การเดินทางกลับของคุณไม่ต้องเดินมากหรอก เพียงแค่หันหลังไปหาทางเดินก็ถึงแล้ว พอหันหลังมาจะเข้าทางเดิน ก็ปรากฏว่าถึงกลดพอดี อันนี้เป็นกำลังของพรหมนะไม่ใช่กำลังของผู้พูด เมื่อมาถึงกลดแล้ว หลวงพ่อปานก็เรียกไปถาม

ถามว่า พวกคุณไปที่ไหนมา ก็ตอบว่า ผมบอกตำบลไม่ได้ขอรับ เพียงแต่เดินทางไปในทิศนี้ ไปในดงสัก ต้นไม้สักมาก แล้วก็ไปพบเสือดำ เสือดำนี่ความจริงเข้าใจว่าเป็นหมา แต่เมื่อลุกไปแล้วไม่ใช่หมา หน้าตาคล้ายเสือ แต่มันไม่ดุไม่ดัน ท่านบอกว่า เสือดำ ๒ ตัวนี่ ความจริงไม่ใช่เสือแท้ มันเป็นเสือเทวดา เขาจะลองใจคุณ

เพราะว่าตามธรรมดาแม้จะไม่ใช่เสือดำก็ดี ถ้าเป็นหมาป่า มันก็มีความดุร้าย กำลังใจของคุณจะมีความเข้มแข็งไหม ในเมื่อคุณเดินตรงเข้าไป คุณไม่กลัว เขาก็เลยเดินหนีไป หายไปนั้น เขาเป็นเทวดา แล้วเดินต่อไปอีก ไปเจอะคนนุ่งขาวห่มขาวใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ใช่ แล้วทราบไหมว่าเป็นใคร ก็เลยบอกท่านบอกว่า ท่านเป็นสหัมบดีพรหม

หลวงพ่อปานก็บอกว่า ใช่ สหัมบดีพรหมองค์นี้เป็นพระอรหัตมรรค ใกล้จะนิพพานอยู่แล้ว ท่านสอนอะไรบ้าง ก็บอกกับท่านว่า ท่านสอนทุกอย่างตามที่เล่ามาเหมือนกับดูภาพเดิม หลวงพ่อปานก็บอกว่า นั่นแหละเป็นของจริง ฉันอยากจะให้เธอรู้ความเป็นจริงว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นของธรรมดา และการเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ มันมีสภาพไม่สูญ

ที่ใครเขาว่าสูญเป็นเรื่องของเขา เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงมีความเข้าใจตามพระพุทธเจ้าสอน เชื่อพระพุทธเจ้า อย่าเชื่อคนที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า คนที่หลังหันให้พระพุทธเจ้า ก็ดูตัวอย่างเทวทัต เทวทัตหันหลังให้พระพุทธเจ้า ฌานสมาบัติก็สลายตัว ในที่สุด เทวทัตก็ลงอเวจีมหานรกฉันใด คนทั้งหลายปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน

บางคนห่มผ้ากาสาวพัสตร์ มาในนามของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เมื่อเวลาบวชก็ดี เชื่อพระไตรปิฎก แต่เวลาบวชนานหนักเข้า ๆ มีลาภสักการะมาก มีคนขึ้นมาก มีคนนิยมมาก ก็ชักจะทิ้งพระไตรปิฎก ถือความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ คุณจงอย่าเอาอย่างนั้นนะ เป็นอันว่า วันนี้เราก็นอนกันที่นี่กลางคืนจงอย่าลืมเจริญกรรมฐาน

ก็กราบเรียนท่านบอกว่า กรรมฐานผมไม่ขาดเลยขอรับ ท่านบอกว่า ดี ท่านถามว่า นิวรณ์กวนใจบ้างไหม ก็เลยบอกว่า ตั้งแต่ออกเดินทางมาถึงวันนี้ นิวรณ์ยังไม่เคยกวนใจเลย ท่านบอกว่า ดีมาก ความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท การอยู่ในป่าดีกว่าอยู่ในบ้านในเมืองมาก อยู่ในวัดวาอารามมีนิวรณ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ฟุ้งซ่านจากเสียงของคนอื่น ไม่เป็นของดี

รูปโฉมโนมพรรณของบุคคลทั้งหลาย บางทีจะเตือนใจเราว่า ควรจะสึก ควรจะเป็นคู่ครองของคนนั้น ควรจะเป็นคู่ครองของคนนี้ มันอาจจะมีกับเรา ดีไม่ดีเห็นเขามีทรัพย์สินมาก ๆ ก็อยากจะร่ำรวยเหมือนเขา แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลวงเราให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เป็นของไม่ดี

ก็รวมความว่า การไปนครสวรรค์คราวนี้ เราก็ไปดูหนังเก่ากัน ดูหนังเก่านั่นก็หมายความว่า ท้าวสหัมบดีพรหม ท่านฉายหนังให้ดู เมื่อคุยกับหลวงพ่อปานเสร็จ ก็กราบลาท่าน กลับมาถึงกลด เมื่อถึงเวลาเย็น ก็จะไปอาบน้ำ พอเข้าไปใกล้ที่น้ำ ก็ปรากฏว่า มีกลุ่มช้างกลุ่มหนึ่ง ฝูงใหญ่มาก แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์

พอเห็นเข้า ช้างทุกตัวย่อเข่าทั้งหมด แล้วก็ยกงวงชูขึ้นแสดงความเคารพแล้วหัวหน้าก็ชี้งวงไปที่บ่อน้ำ เหมือนจะบอกว่า บ่อน้ำอยู่ที่นั่น เราก็ไปกันแล้วช้างทั้งหมดนั้นก็มายืนล้อมบ่อ หันหน้าออก เมื่ออาบน้ำเสร็จกลับมาหาหลวงพ่อปาน

หลวงพ่อปานถาม ก็บอกตามความเป็นจริง ท่านบอกว่า ที่นี่เสือดุมาก อันตรายมาก ในเวลาที่คุณจะไปอาบน้ำนั่นมันเวลาที่ใกล้เคียงเสือจะออกเดินทาง ใกล้พลบค่ำเต็มที ฉะนั้นช้างทั้งหมดจึงได้ล้อมบ่อน้ำ หันหน้าออก ถ้าเสือเข้ามา ช้างก็จะจัดการกับเสือ ก็เป็นอันว่า ก็เลยถามว่า ช้างที่เห็นนี่ ช้างจริง ๆ หรือช้างเทวดาขอรับ

ท่านบอกว่า ช้างจริง ๆ แต่ช้างเขามีอารมณ์ใจเป็นทิพย์เราพูดอะไรทุกอย่างนี้ ช้างได้ยินหมด รู้หมด เขาจะอยู่ไกลแสนไกลขนาดไหนเขาก็รู้ เวลานี้เขารู้ว่าเรามีพรหมวิหาร ๔ ตั้งอยู่ในจิตเมตตา อยู่ในความรัก กรุณา ความสงสาร เป็นต้น และประการที่สอง เราเดินธุดง ตั้งใจธุดงค์เป็นการทำความดี ช้างเขารู้

ก็เลยถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น กำลังใจช้างก็ดีกว่าคน ท่านบอกว่าไม่แน่นัก คนที่ดีเขาก็มี คนที่ดีกว่าช้างก็มี คนที่ดีเสมอช้างก็มี คนที่เลวกว่าช้างก็มี แต่ขึ้นชื่อว่า หูทิพย์ ใจทิพย์กันแล้ว ช้างดีกว่าคนมาก

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับตอนนี้ เวลาก็หมดแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/2/13 at 14:56 [ QUOTE ]


5
พุทธพยากรณ์โลก

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็น วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังจะสังเกตได้ว่า การบันทึกเสียงเพื่อให้พระทำเป็นหนังสือไม่ติดต่อกัน ทั้งนี้ก็เพราะว่า ร่างกายไม่สบายเป็นระยะ ระยะไหนป่วยมาก ระยะนั้นก็หยุด วันนี้พอมีแรงขึ้นมาบ้างก็ขอทำต่อเล่มที่ ๑๘ เป็นอันว่าในระหว่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะทราบว่าตะวันออกกลาง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่าวเปอร์เซียกำลังจะเกิดสงครามจากอิรัก กับหลายประเทศร่วมกัน คือ อิรักฝ่ายหนึ่ง กับหลายประเทศฝ่ายหนึ่ง ถ้าจะเปรียบเทียบกันก็คล้าย ๆ กับสงครามโลกครั้งที่๒ คือ เยอรมันกับอิตาลี ญี่ปุ่น ฝ่ายหนึ่ง อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศสอีกหลายประเทศร่วมกัน แต่ทว่าสงครามคราวนี้จะเกิดหรือไม่เกิด อันนี้ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน

เพราะว่าต่างคนต่างก็ตั้งท่า ต่างคนต่างก็เตรียมพร้อมที่จะลงมือซึ่งกันและกัน และคำพยากรณ์ก็จะไม่พยากรณ์ว่า จะมีสงครามหรือไม่แต่ทว่ามีหนังสือเล่มหนึ่ง เขาให้ชื่อว่า นอสตราดามุส เขาพยากรณ์ล่วงหน้าไว้ถึง ๒,๐๐๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้ ค.ศ. ๑๙๙๐ จะเป็นปีเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ แล้วสงครามโลกครั้งที่ ๓ นี่จะเป็นสงครามที่มีความร้ายแรงมาก

แต่ความจริงหนังสือนี่อาตมาก็ไม่ได้อ่านเขาให้มาเหมือนกัน อ่านผ่านไปนิดเดียว แล้วก็เขาบอกว่าประเทศอเมริกาอาจจะถูกระเบิดนิวเคลียร์ แล้วก็จะมีเหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้นรวมความแล้ว เป็นสงครามทำลายศาสนา ในระหว่างศาสนากับศาสนา คือ ศาสนาคริสต์ กับ ศาสนาอิสลาม เขาว่าอย่างนั้นนะตามที่หนังสือว่า หรือตามที่คนบอก

อาตมาก็ไม่ได้อ่านชัด ทีนี้เรื่องของดามุส ดามุสเขาพูดไว้ จะแน่นอนขนาดไหนก็เป็นเรื่องของเขาสำหรับพวกเรา บรรดาท่านพุทธบริษัทในฐานะที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เราก็มาดูคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าบ้างพระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้กับพระอานนท์ว่า

อานันทะ ดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะเกิดการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลงมาจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชน และบุคคลให้พินาศ จะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก แต่ว่า อานันทะ ดูกรอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะถือว่าเป็นการณ์ร้ายแรงนักยังหาได้ไม่ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว

อานันทะ ดูกรอานนท์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ยักษ์นอกพุทธศาสนานั่นหมายถึง คนที่ไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตายกันฝ่ายละมาก ๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่งจึงจะเลิกรากัน

สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันว่า ท่านดามุสคนนี้ก็พยากรณ์ไว้ตรง แต่เขาบอกว่า ค.ศ. ๒๐๐๐ โลกจะสลาย แต่ว่าพระพุทธเจ้าของเราบอกว่า โลกยังไม่สลาย พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ได้ตลอด ๕,๐๐๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงพยากรณ์ไว้ที่พระธาตุดอยกิตติครั้งหนึ่ง

กับทรงพยากรณ์ไว้ที่ดอยโมคคัลลาน์ครั้งหนึ่ง ทรงตรัสว่า ชี้ว่า เขตประเทศนี้ต่อไปจะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถทรงพระพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปี นี่หมายถึงประเทศไทยเป็นอันว่า สงครามที่จะเกิดขึ้น ที่ดามุสบอก ก็หมายถึงสงครามซีกตะวันตก หมายถึง อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศอื่น ๆ กับตะวันออกกลาง

สงครามจริง ๆ ยังคงไม่ถึงประเทศไทยทีนี้เรามาย้อนรอยถอยหลังกันก่อนว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตรัสว่า ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลุกจากอากาศ ก็เป็นความจริง ในขณะนั้นปรากฏว่า ลูกปืนกลจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดเพลิงบ้าง ทิ้งจากอากาศ

ประเทศไทยเราก็พลอยยับเยินไม่น้อยเหมือนกัน เล่นเอาตู้รถไฟต้องไปขี่กันที่บางกอกน้อย ทั้ง ๆ ที่ตู้มันหนัก แต่แรงของระเบิดดันตู้รถไฟจนไปขี่กันตึกบ้านเรือนโรงลำบากมากแต่ว่าสงครามคราวนั้นเป็นเหตุบันดาลอย่างหนึ่ง นั่นคือว่าสร้างความทุกข์ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า สงครามนี่ อาตมา ผู้พูดเองก็ยังรู้สึกหวาดเสียวอยู่ เพราะว่าเคยอยู่ในระหว่างสงคราม

ไม่ได้หมายความว่าเป็นทหารเข้าสงคราม คือ มีชีวิตอยู่ในระหว่างสงครามขณะนั้นอยู่กรุงเทพฯ แสงไฟฟ้าก็ใช้อะไรไม่ได้ ต้องใช้ตะเกียง ตะเกียงน้ำมันก๊าดก็ไม่มีจะใช้ น้ำมันโซล่าก็หาไม่ได้ ต้องใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันมะพร้าวมาทำตะเกียง ของทุกอย่าง ของกินของใช้ต้องปันส่วนเพราะหาไม่ได้ และของหายาก โรงงานต่าง ๆ ก็ถูกระเบิดเสียมาก

ของที่ส่งมาจากต่างประเทศก็ส่งมาไม่ได้ จะได้ก็ของจากญี่ปุ่น เวลานั้นโรงงานของเราก็มีน้อย เวลานี้โรงงานมีมาก แต่ก็ไม่แน่นัก เพราะระเบิดจากอากาศก็ดี จรวดก็ดี หรือว่าระเบิดจากภาคพื้นดินก็ดี อาจจะเกิดกับโรงงานต่าง ๆ ในประเทศไทยได้ ถ้าสงครามเขาเกิดขึ้นหากว่าท่านจะถามว่า ทำไม สงครามเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลางแล้วจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ทำไมไทยจึงต้องหวาดระแวงความจริงไม่ได้พูดให้ระแวง

พูดให้ทราบตามความเป็นจริง หรือตามความรู้สึกนึกคิด ถ้าเรื่องนี้ถ้าผิดก็ต้องขออภัยด้วย เพราะว่าเป็นการคาดคะเนมากกว่าอย่างอื่น คิดว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้น ระหว่างสงครามศาสนา ก็จงอย่าลืมว่า ศาสนาที่อยู่ระหว่างสงครามก็มีอยู่ในประเทศไทยทั้ง ๒ ศาสนา ถ้าเขารบกันแต่เพียงภายนอกก็ดีแต่บังเอิญคนที่นับถือศาสนานั้น ๆ ทั้ง ๒ ศาสนาเกิดทะเลาะวิวาท

รบราฆ่าฟันกันในเขตของเรา เขตของเราก็ต้องยับเยินไป เหมือนกับสนามหญ้ากับสุนัข สุนัขทั้ง ๒ ฝ่ายกัดกัน สนามหญ้าก็แหลก ถ้าบังเอิญเขารบกันก็ไม่เป็นไร ดีไม่ดี เขาจะชวนเรารบ เราจะรบหรือไม่รบ เขาก็จะรบ หรือว่าเราไม่รบ เขาก็ไม่รบ แต่เขายึด เราจะยอมให้เขายึดไหม ในส่วนต่าง ๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศไทยสำหรับความนึกคิดเวลานี้

ไม่ใช่หมอดูนะ ไม่ใช่พยากรณ์ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือหลักอะไรทั้งหมด เป็นแต่การคาดคะเนว่าเหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้น ส่วนหนึ่ง ทางใต้ของประเทศไทยจะเกิดการกลียุค นั่นก็หมายความว่า ความเดือดร้อนจะเกิดขึ้น อาการต่าง ๆที่ปรากฏในปัจจุบันจะฟูขึ้น เพราะรับการสนับสนุนเรื่องการเงิน กำลังอาวุธจากที่อื่น จากนั้นเหล่าทหารตำรวจของเราก็ต้องเคลื่อนกำลังเข้าไปรักษาเขต ทีนี้เขตต่อเขต เขตยันเขต

เขตที่เขาก่อขึ้นเป็นเขตในประเทศไทย และเขตต่อไปข้างหน้าก็เป็นเขตที่เขาพวกเดียวกัน อะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ลองวาดภาพกันดู ถ้ามันเกิดจริง ๆ ตามเขาว่านะ อันนี้ไม่ใช่รับรองว่า มันจะเกิดจริงหรือไม่จริง ถ้าเกิดจริง ส่วนประเทศไทยทุกจุดทุกภาค ก็มีบุคคลที่ถือศาสนาตรงกันข้ามและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลานี้ปรากฏว่า ศาสนาที่คติตรงกันข้ามกับพระพุทธศาสนา ก็มีกำลังสูงขึ้น

ที่เขาโต้กันที่เชียงใหม่ อภิปรายก่อนหน้าที่จะพูดนี้ไม่ถึงเดือน เขาโต้กันถึงหลักสูตรการศึกษาว่า หลักสูตรพระพุทธศาสนาถูกลดลงไป หลักสูตรศาสนาอื่นขึ้นมาแทน อย่างนี้ก็ต้องมีอาการน่าคิดว่า เขาวางแผนล่วงหน้าไว้ไกลมาก หรือว่าเป็นการวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อนโดยเฉพาะระยะใกล้ก็ได้ก็เป็นอันว่า ในเมื่อสงครามใหญ่เกิดขึ้น ทางด้านตะวันออกกลาง

ทีนี้เศษสงครามมันก็อาจจะเข้ามาถึงประเทศไทย ต่อไปก็เป็นการเดาอีก ขอเดานะ ไม่ได้พูดตรง ๆ จะหาว่าดูผิดก็ไม่ได้ เดามันผิดได้ขอเดาว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ความจริงเวลานี้ยังไม่มีใครจะให้เกิด เวลาที่พูดนี่นะ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ แต่กว่าหนังสือนี่จะออก ถึงเดือนมีนาคม ถ้าสงครามเกิด ก็เกิดแล้ว ไม่เกิดก็ไม่เกิดในระหว่างนี้ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างพูด

แสดงเรื่องการเมือง เอาเหตุผลต่าง ๆ มาหักล้างกัน ก็ไม่แน่นักว่ามันจะเกิด ก็อยากจะบนบานศาลกล่าวว่า มันไม่เกิดนั่นแหละเป็นการดี แต่ทว่าพระดำรัสขององค์สมเด็จพระชินสีห์ไม่เคยผิด แต่ว่าท่านไม่ได้บอก พ.ศ.เป็นอันว่า ประเทศไทยก็จะถูกหางหรือท้ายฝน ละอองฝนจากสงคราม ก็เป็นอันว่า เราถูกละอองฝน ดินแดนเราก็จะไม่เสีย แต่ว่าชีวิตคนอาจจะเสียไปบ้าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าห่วงก็คือ ของกินของใช้ราคามันจะแพงมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราต้องใช้น้ำมันโรงงานต่าง ๆ ต้องใช้น้ำมัน ในเมื่อสงครามเกิดขึ้นในเขตของบ่อน้ำมันเราจะมีโอกาสซื้อน้ำมันได้หรือเปล่า ก็ยังไม่แน่ ท่านดามุสท่านบอกว่าอำนาจของฝ่ายน้ำมันมีอำนาจมาก สามารถเอาอาวุธใส่ในท้องปลาไปยิงระเบิดที่ไหนก็ได้ นั่นหมายถึง เรือดำน้ำ

ถ้าเราส่งเรือไปซื้อของในเขตใดเขตหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตของศัตรูของเขา เรือดำน้ำของเขาอาจจะยิงเรือพาณิชย์ของเราก็ได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้คนที่พบระหว่างสงครามจะมีความรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆแต่ว่าขอยืนยัน บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า สิ่งที่เราไม่ต้องกลัวอย่างหนึ่งคือ เขาประกาศบอกว่า การสงคามนี้เขาจะใช้อาวุธเคมีบ้าง จะใช้นิวเคลียร์บ้าง จะใช้นิวตรอนบ้าง

อาวุธทั้งหลายเหล่านี้น่ากลัวจริง ๆ แต่สำหรับความรู้สึกของผู้พูด ไม่มีความรู้สึกกลัวเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ของ ๆ ท่านทุกชิ้นที่ผลิตออกมา ท่านบอกว่า กันรังสีต่าง ๆ ได้ทั้งหมด รังสีต่าง ๆจะไม่สามารถกระทบกาย หรือทรัพย์สินบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่มีของของท่านไว้ ที่ท่านทำให้นะ ก็เป็นอันว่า ท่านยืนยันมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๑ และท่านทำทุกครั้ง

ท่านก็ยืนยันทุกครั้งว่า เกี่ยวกับรังสีต่าง ๆ ไม่ต้องกลัวเลย รังสีจะไม่เข้ามาใกล้บุคคลที่มีของที่ท่านทำให้ ของนั้นอยู่ที่ไหน ก็หากันเอาเองก็แล้วกัน ของนั้นจะขอบอกไว้เป็นนัย ๆ เอาตรง ๆ เลยก็ได้คือพุทธานุสสติ นั่นคือ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และก็ภาวนาไว้ว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธก่อนจะออกจากบ้าน

ตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ บูชาพระก่อน ภาวนาว่า พุทโธก่อน อธิษฐานขอความปลอดภัย ก่อนจะไปก็เสกน้ำลายด้วยกำลังของพุทโธสัก ๓ ครั้ง แล้วก็เดินออกจากบ้านไป หรืออยู่บ้านก็ได้ ภัยอันตรายจะไม่มีแก่ท่าน หรือว่าถ้าทำอย่างนี้ยังไม่เกิดความมั่นใจ ก็เอาของที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทำไว้ ติดไว้กับร่างกาย แต่ต้องอาราธนาทุกวันว่า

นะโม ตัสสะฯ ๓ ครั้ง แล้วก็ว่า พุทโธ เหมือนกัน และก็อธิษฐานให้ปลอดภัย อย่างนี้จะปลอดภัยจากรังสีต่าง ๆ แม้แต่สะเก็ดของระเบิด หรือว่ากระสุนปืนของข้าศึก ก็จะไม่มีอันตรายกับท่าน ถ้าท่านทั้งหลายมีพุทธานุสสติเป็นกำลังใจทีนี้เราก็มาคุยกันต่อไป นี่มันเรื่องคุยกันนะ

ถ้าบังเอิญเวลานี้มี อิรักตั้งท่ายัน อิรัก ปรากฏว่าประกาศว่ามีคน ๑๘ ล้าน แต่ทว่าอิรักอิหร่านนี่รบกันมาประมาณ ๘ ปี พออเมริกากำลังเข้ามา ในอ่าวเปอร์เซีย อิรัก อิหร่านดีกันฉิบ พื้นที่ของอิหร่านที่อิรักยึดได้กี่พันตารางไมล์ก็ตาม คืนให้หมด ปล่อยเชลยให้หมด เวลานี้ศัตรูกับศัตรู อิรักกับอิหร่านเป็นมิตรกัน อิหร่านก็เข้ากับอิรัก

ไม่เห็นด้วยที่อเมริกาจะเอาวัฒนธรรมของเธอมาใช้ในตะวันออกกลาง เขาถือว่า ผิดกฎของพระศาสนา นี่เป็นอันว่า อิรักก็มีเพื่อนเข้าอีกหนึ่งประเทศ คือ อิหร่าน อิหร่านนี่ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน หนักเหมือนกัน แล้วต่อมาอย่าลืมว่าสายเลือดที่ร่วมกันมา เขาอาจจะไม่ทิ้งกัน นั่นคือ ศาสนา คนที่นับถือศาสนาร่วมกันอาจจะร่วมมือกันภายหลัง

อย่างนี้สงครามใหญ่จะเกิดขึ้นซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ของพระท่านในปีที่ญวนแตกอเมริกาหนีกลับบ้าน ปีนั้นก็ถามพระท่านว่า หลังจากนี้จะมีอะไรบ้าง สงครามใหญ่จะเกิดขึ้นไหม ท่านบอกว่า คำว่า สงครามโลก ยังไม่เกิด คำว่า สงครามโลก นั่นหมายถึงว่า ทั้งโลก แบ่งกันเป็น ๒ พวก ร่วมกันทั้งหมด แล้วก็ตีกัน ในระหว่างฝ่ายต่อฝ่าย

คือตีกัน รบกัน อย่างนี้เรียกว่า สงครามโลก แต่สงครามครั้งหลังที่จะเกิด ทางด้านตะวันออกกลาง ท่านบอกตรงว่า จะเกิดที่ด้านตะวันออกกลาง เขายังไม่เรียกว่า สงครามโลก เขาเรียกว่า สงครามใหญ่ สงครามใหญ่คราวนี้จะมีความร้ายแรงไม่น้อย ร้ายแรงกว่าสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้บอกอย่างดามุสว่า

ถึงแม้ว่าอเมริกาอาจจะถูกนิวเคลียร์ ท่านไม่ได้บอกไว้ คือไม่ได้ถามรวมความว่า คำพยากรณ์ของท่านที่พยากรณ์ว่า จะเกิดที่ตะวันออกกลาง ก็ตรงแล้ว เวลานี้ตะวันออกกลางกำลังจะมีสงคราม อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสงครามเศรษฐกิจ เริ่มบีบรัดกันขึ้นมา การถูกบีบนี่บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน สมัยเยอรมันก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี อิตาลีก็ดี

ที่ต้องประกาศเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เพราะว่า การถูกบีบคั้นจากโลกตะวันตก หรือหลาย ๆ ประเทศที่เรียกกันว่า สันนิบาตชาติ ในเวลานั้น ทั้ง ๓ ประเทศลาออกจากสันนิบาตชาติ สันนิบาตชาติต่างคนต่างบีบคั้นต่าง ๆ หาทางกลั่นแกล้ง ถ้าไม่รบก็อดตาย มีความจำเป็นต้องรบ หมายถึงว่า ยอมเสี่ยง ยอมเสี่ยงการเสียอิสรภาพ

การเสียประเทศจะต้องเป็นเมืองขึ้นเขา กับความตายทีนี้การรบ ความตายมันก็เกิด แต่เกิดเฉพาะบุคคลบางกลุ่มที่เป็นทหาร และบุคคลที่อยู่ใกล้จุดยุทธศาสตร์ ที่ถูกระเบิด คนนอกนั้นจะไม่ตาย ถ้าไม่รบ ความอดเกิดขึ้น มันจะตายทั้งประเทศ เขาต้องตัดสินใจรบ เรื่องสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีฉันใด เวลานี้อิรัก กับอิหร่านกำลังจับมือกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนามุสลิม เขาเป็นศาสนาที่มีความรักกันมากอย่างตอนใต้ประเทศไทย คราวนั้นฟังข่าวจากทางโทรทัศน์จากท่านพันเอกณรงค์ กิตติขจร ท่านบอกว่า ใครล่ะ พันเอกกัดดาฟีมั้ง ถ้าพูดชื่อผิดขออภัยด้วย ท่านเคยไปเจรจากันบอกว่า อย่ามายุ่งกับประเทศไทยเลย แต่เขาบอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งด้วย แต่ที่ยุ่งนั้นเป็นเรื่องของศาสนา

ที่จะให้มีการแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นของมุสลิมส่วนหนึ่ง ของไทยส่วนหนึ่ง เขาหวัง ๔ จังหวัด แต่ความจริงถ้าเขายึด ๔ จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก ๘ จังหวัด ถ้า ๘ จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก ๑๖ จังหวัดผลที่สุด เขาก็ต้องการยึดทั้งหมดทั้งประเทศไทย ความพอของคนไม่มีฉันใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าสงครามเกิดขึ้น

ถ้าเราจำเป็นต้องเสียดินแดน เรื่องเสียเฉพาะน่ะ ไม่มีแน่นอน มันต้องเสียกันเรื่อยไป เวลานี้เราก็ไม่มีพอที่จะเสียแล้ว แต่ที่พูดนี่ก็ไม่ได้หมายความว่า สงครามจะเกิดจริง สมมติว่าถ้ามันจะเกิด ทีนี้เรื่องของศาสนาก็จะเกิดขึ้น ที่พูดนี่ไม่ได้ยุให้คน ๒ ศาสนาทะเลาะกันนะ เป็นแต่เพียงว่า ท่านณรงค์ ท่านบอกว่า ท่านไปพูดกับประธานาธิบดีของเขา

ประธานาธิบดีของเขาก็บอกว่า รัฐบาลเขาไม่ได้ยุ่ง เป็นเรื่องของศาสนา ทีนี้ศาสนาจะเอาเงินมาจากไหน ก็ทราบไม่ได้เหมือนกันรวมความว่า หันมาคุยกันในประเทศไทย ถ้าสงครามเกิดขึ้นจริง ๆ เราจะเป็นอย่างไรบ้าง ประการแรก เรายังไม่พูดถึงศาสนาก่อนเอาสงครามทางด้านตะวันออกกลางมาพูดก่อน ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ

เราจะหนักเรื่องน้ำมันนิดหน่อย แต่ว่าน้ำมันในประเทศไทย ถ้าเร่งรัดจริง ๆจะเหลือใช้ เพราะอะไร เพราะว่าน้ำมันในประเทศไทยนี่มีมาก การเจาะ บรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง ที่พูดนี่ก็ขอเดา คิดว่าท่านที่เจาะ เขาคงเจาะยังไม่ถึงเพดานจริง ๆ ของน้ำมัน รวมความว่า ถังน้ำมันถังใหญ่จริง ๆ น่ะ เราจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว

ประเทศจีนเขาก็มีน้ำมัน เขาอยู่สูงกว่าเรา ประเทศพม่าก็มีน้ำมัน อินโดนีเซียก็มีน้ำมัน มาเลเซียก็มีน้ำมัน แล้วก็ไทยล่ะ อยู่กลางทำไมจะไม่มีน้ำมัน ทีนี้เวลานี้การเจาะน้ำมัน การดูดน้ำมัน เขาว่า ได้น้อย แต่ตามความรู้สึกของผู้พูด หรือตามข่าวหนังสือพิมพ์ เขาบอกว่า ความจริงปริมาณน้ำมันที่ได้ มันมากกว่าข่าวที่เขาแจ้งมา

ข้อนี้จะเท็จจริงประการใดก็ไม่ทราบ สุดแล้วแต่หนังสือพิมพ์ แต่เขาบอกว่า เขาแจ้งบอกว่า ได้น้อย ก็ยังมีอีกหลายหลุมที่เจาะพบแล้ว เขาบอกว่าไม่พอกับเชิงพาณิชย์ จึงไม่ยอมดูดขึ้นมา นี่ก็เป็นลีลาของพ่อค้า เป็นของธรรมดา ถ้าได้กำไรน้อย เขาจะไม่เอา หรือจะมาพูดกันอีกทีหนึ่งเวลานี้ทราบว่า คนไทยศึกษาเรื่องวิชาการเจาะน้ำมันมาได้ดีแล้ว

มีความชำนาญพอแล้ว แล้วก็กำลังจะเจาะ ก่อนหนังสือจะออก คงจะเจาะแล้วละมั้ง เจาะก๊าซที่สงขลาใกล้ ๆ กับบ่อเดิม จะเอาก๊าซมารวมกันเข้ากับท่อเดียวกัน ขึ้นมาใช้จะได้มีปริมาณสูง ถ้าบังเอิญรัฐบาลท่าน หรือนายทุนท่านใดท่านหนึ่ง ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาประมูลกับบริษัทต่าง ๆ แต่น้ำมันมันมีมาก ปริมาณของประเทศไทยนี่ถ้าจะลองเจาะอย่างต่างประเทศเขา

เอาที่ใดที่หนึ่งก็ได้ สักที่หนึ่ง ที่พูดนี่เป็นการสมมติกันนะ จะเชื่อก็ไม่สมควรเชื่อ เพราะความรู้สึกมีอยู่ว่าการเจาะที่แล้วมา เขาเจาะกันยังไม่ถึงฝาผนังหรือเพดานของถังน้ำมัน ซึ่งมันเป็นถังใหญ่คลุมจักรวาล มันเป็นทะเลอีกชั้นหนึ่งต่างหาก คือเป็นทะเลน้ำมันจริง ๆ ประเทศไทยตั้งอยู่เหนือทะเลน้ำมัน จีนก็เช่นเดียวกัน แล้วก็พม่าก็เหมือนกัน อินโดนีเซียก็เหมือนกัน มาเลเซียก็เหมือนกัน บูรไนก็เหมือนกัน มันเป็นถัง ถังเดียวกัน

ถ้าบังเอิญเราจะเจาะอย่างอังกฤษ ที่เขาบอกว่า อังกฤษเจาะที่ทะเลเหนือ เจาะลงไปลึกลงไปใต้ดินถึง ๖ กิโลเมตร ก็ได้น้ำมันขึ้นมาอย่างเพียงพอแต่ประเทศไทยเราสำรวจแล้วว่า ที่ใดที่หนึ่งมีน้ำมันพอที่จะเจาะได้ ก็ลองเจาะสัก ๖ กิโลเมตร ถ้าเจาะสัก ๖ กิโลเมตร จะมีผลเป็นประการใด เรื่องนี้ก็ลองถามท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ท่านมีความชำนาญในด้านนี้มาก

ก็เรียกว่า ดร.สรรพศาสตร์ ท่านดร.สรรพศาสตร์ท่านบอกว่า ถ้าเจาะลงไปถึง ๖ กิโลเมตร ในถังน้ำมันที่มีพื้นแผ่นดินหนา หมายความว่า หลังถังน่ะลึกลงไป เจาะลงไปแค่ ๓ กิโลเมตรจะถึงผิวถังน้ำมัน หรือหลังคาน้ำมัน ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ไอ้ท่อที่เจาะลงไปนั้น จะจมไปในตัวน้ำมัน บ่อน้ำมันจริง ๆ ครึ่งกิโลเมตร ถ้าเจาะในที่ตื้น

ที่บางจุดที่อยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ นัก ในที่นี้ถ้าเจาะถึง ๖กิโลเมตร ท่อจะจมลงไปในเขตของน้ำมันประมาณ ๒ กิโลเมตร ถามท่าน ดร.สรรพศาสตร์ ถามว่า ถ้าเราจะดูดใช้อย่างปัจจุบันนี่ ถ้าทำอย่างนั้นจะใช้ได้สักกี่ปี ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอา ๓๐เท่าของปัจจุบันใช้ไป ๕,๐๐๐ ปีน้ำมันยังไม่หมด ปริมาณยังไม่หมด

นี่แหละบรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง ถ้าบังเอิญท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านพยากรณ์ตามความรู้ของท่าน ถ้าตรงตามนี้ประเทศไทยเราก็ไม่จน อย่างอื่นจะไม่มีก็ไม่เป็นไร ไฟของเรามี น้ำมันของเราถูก อุตสาหกรรมของเราลงทุนถูก เพราะน้ำมันถูก เราจะขายต่างชาติได้ดี ระยะนั้นประเทศไทยเราจะรวยเอาละ

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราคุยกันมา วันนี้ก็ป่วย แต่ว่าเกรงว่าเล่มที่ ๑๘ นี่จะไม่ครบ ทำไปแล้วบ้างตามสมควรแต่ไม่แน่ใจว่าจะครบ หรือไม่ครบ ก็ลุกขึ้นมาทำ หันไปดูเวลา เหลือเวลาประมาณนาทีเศษ ๆ ก็ขอเตือนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า

จงอย่าหวั่นไหวต่อสงคราม ขอยืนยันว่า ถึงแม้ว่าสงครามจะเกิดก็จริงแหล่ แต่ทว่าเราจะไม่ตายเพราะสงครามโลก เราจะไม่อดตา ยเพราะสงครามโลก และก็นักเกษตรศาสตร์ก็ดี นักเกษตรศาสตร์นี่จะมีโชคดีมาก คือ จะรวย ข้าวจะแพง พวกที่เลี้ยงสัตว์ก็ดี ราคาจะแพง จะร่ำรวยทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่มีความประมาท

บรรดาท่านพุทธบริษัท ประเทศไทยจะมีแต่ความอุดมสมบูรณ์เวลานี้ก็เหลือเวลา ๒๐ วินาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านและผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/3/13 at 14:55 [ QUOTE ]


6
ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี

ท่านสาธุชนพุทธบริษัท วันนี้ก็ยังเป็น วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ ตามเดิม แต่ว่าพูดเป็นตอนที่ ๒ ตอนนี้ขอพูดถึงตอนที่ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี ถ้าสงครามโลกเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายคิดออกหรือยังว่าสงครามโลกเกิดขึ้น และมันก็ไม่ได้เกิดกับประเทศไทยโดยตรง มันเกิดภายนอกประเทศนอกเขตของไทยเป็นอันว่า ลูกปืนก็ไม่มาถึงประเทศไทย เครื่องบินก็ไม่มาถึงประเทศไทย

แต่ต้องระวังจรวด เรื่องจรวดนี่ต้องระวังกันหน่อย เพราะจรวดมันมาจากใต้น้ำได้ มันยิงทางไกลได้ ถ้ามันจะเกิดขึ้นบ้าง ก็เป็นขนาดย่อม ๆ ตามจุดต่าง ๆ เป็นจุดเล็ก ๆ อาจจะโผล่จุดนี้บ้างจุดนั้นบ้าง เป็นการทำให้รวน กำลังของทหารรวน แล้วจะตั้งกลุ่มขึ้นบางจุด เป็นกลุ่มใหญ่หน่อย ก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ

ก็รวมความว่า สงครามโลกไม่มีเรื่องหนักใจ ในเรื่องการตายของเรา เรื่องรังสีของวิทยาศาสตร์ รังสีต่าง ๆ ไม่ต้องวิตกกังวล ขอยืนยันว่า บุคคลที่นับถือพระพุทธเจ้าจะไม่ตายเพราะรังสีต่าง ๆ ตามที่บอกมาแล้ว ทีนี้ความร่ำรวยอะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ประการแรก ขอบอกว่าเรื่องน้ำมันจะเป็นเหตุให้รวย

เพราะว่าทุกประเทศต้องใช้น้ำมัน และอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า ถ้าสงครามโลกเกิดขึ้นจริง ๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เข้าสงครามโลกโดยตรง แต่ว่าทหารของประเทศบางประเทศจะต้องยกเข้ามาตั้งในจุดใดจุดหนึ่งของประเทศไทย เวลานั้นเราก็ขายน้ำมันให้เขา เราก็รวย ถ้ามีกองทหารอื่นเข้ามา มันจะดีหรือไม่ดี นี่ก็เป็นเรื่องของการเมือง

แต่มีความจำเป็นเกิดขึ้น ก็ต้องยอมรับ ถ้ามีการยอมรับ รายได้ต่าง ๆ ของประชาชนก็เกิดขึ้น ทีนี้รัศมีสงคราม ในเมื่อมันไม่ถึงประเทศไทย เราก็ไม่มีความลำบาก บรรดาท่านที่ทำนาทั้งหลาย ท่านที่มีนา อย่าเพิ่งขายนาในราคาแพงมากนัก คือขายก็ขายเถอะ แต่อย่าขายให้มันหมด ก็มีคนหลายคนมาบอกว่า มีที่ ๒๐ ไร่บ้าง ๓๐ ไร่บ้าง ๕๐ ไร่บ้าง ๑๐๐ ไร่บ้าง

อยากจะขาย ขายได้ไร่ละเป็นล้าน นี่ก็เห็นใจเหมือนกัน ความจริงเงินนับล้านเป็นของหายาก ก็เห็นใจ เขาอาจจะตั้งตัวอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าไม่ลืมตัว แต่ว่าบางท่านที่ไม่มีโอกาสจะขายนาของท่านได้ นาของท่านอยู่ไกลที่เจริญ อยู่ไกลแม่น้ำ ไกลถนน ถ้าเขาจะซื้อ ก็ซื้อราคาถูก ท่านก็ไม่อยากจะขาย ท่านจะขายราคาแพง ในที่สุดท่านก็ไม่มีโอกาสจะขาย

ในเมื่อเวลานี้ไม่มีโอกาสจะขาย ท่านอาจจะเสียดายว่าที่นาของเราไม่ได้ขาย เราไม่รวยแต่ทว่าถ้าสงครามโลกเกิดขึ้นจริง ๆ ท่านจะดีใจ เพราะนาท่านไม่ได้ขาย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะข้าวของท่านที่ออกมาราคามันแพงมันจะขายได้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะแพงกันหมด ดูสงครามโลกครั้งที่๒ ทุกสิ่งทุกอย่างมันหายาก ยิ่งเขายิ่งรบกัน โอกาสที่เขาจะทำมันก็มีน้อย

เขาต้องใช้เวลารบกันมากขึ้น ทีนี้เราก็ขายได้ดี มาส่วนด้านของอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมก็มีมาก แต่ว่าอุตสาหกรรมก็ต้องระวังโรงงาน โรงงานต่าง ๆ ต้องระวังระเบิดภาคพื้นดิน ไม่ใช่ระเบิดจากอากาศ ระเบิดภาคพื้นดินจะอาละวาด ถ้าจะถามว่า หาทางป้องกันอย่างไร นี่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร หรือท่านเจ้าของโรงงาน

ทางด้านพุทธศาสนาก็มี บอกไม่ได้ จะบอกได้อย่างไรว่า เรานับถือพระพุทธเจ้าเท่ากันหรือเปล่า ถ้านับถือเท่ากันก็เอาของที่ท่านให้ไว้ ท่านให้ไว้นั่นก็คือ ความดี ของดีถ้ามีไว้ ในรัศมีนั้นจะไม่มีอันตรายจากภัยระเบิด และภัยโจมตีต่าง ๆ จะไม่เกิดขึ้น เหมือนกับสมัยมี ผ.ก.ค. ในที่ต่าง ๆ เคยถูกโจมตี

และเจ้าของสถานที่นั้น เจ้าหน้าที่ในที่นั้นเกิดมีความเคารพพระพุทธเจ้าขึ้นมา มีของอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงไว้เป็นเขต ในเขตนั้นปรากฏว่า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยถูกโจมตี หรือข้าศึกยิงเข้ามา ก็ไม่เข้าสถานที่ตรงหน้าไม่เข้าฐาน เป็นอันว่าทหารในเขตนั้นก็ปลอดภัย ข้อนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่า

ถ้าเรานับถือพระพุทธศาสนาจริงและยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจริง สิ่งใดที่ท่านให้ไว้ สิ่งนั้นเราเคารพด้วยความจริงใจ แล้วทุกท่านจะปลอดภัยจากสงครามโลกครั้งที่ ๓ ทีนี้ถ้าโรงงานต่าง ๆ มีความเคารพพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจจริง ๆ โรงงานนั้น ๆ จะพ้นอันตรายจากระเบิด และการทำอันตรายต่าง ๆ จากสรรพาวุธ จะไม่เกิดขึ้นกับโรงงานนั้น

โรงงานนั้นในเมื่อผลิตของได้ก็จะขายดี รวย เขารบกัน เขาไม่มีเวลาทำ เรามีเวลาทำ เพราะเราไม่ต้องรบ เขาต้องสูญ ต้องเสียเงินเพื่อการรบ การรบต้องใช้เงินมาก เราไม่ต้องสูญเสียเงินเพราะการรบ เราก็ขายของของเรา ในเมื่อของมันขาด ราคาก็แพง ในเมื่อขายของได้ราคาแพงมาก รัฐบาลก็ได้ภาษีอากรมากขึ้น ประเทศก็รวย คนในประเทศก็รวย

นี่พูดถึงความร่ำรวยที่ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำมันตามจุดต่าง ๆ ที่บริษัทเขาเจาะไว้ เขาบอกว่า มันไม่พอใช้ มันก็จะปรากฏขึ้น เพราะเราไม่มีโอกาสซื้อน้ำมันต่างประเทศ ถ้าน้ำมันต่างประเทศจะซื้อได้ยาก ราคาแพงอันนี้เขาจะดึงขึ้นมาใช้ ราคาเหมือนราคาต่างประเทศ อย่างนี้อุตสาหกรรมของเราก็จะรวยไม่ได้

ถ้าบังเอิญคนไทยอย่างที่ฝาง ใช้หัวเจาะลึก ๆ หัวเจาะยาว ๆ เจาะลงไปลึก ๆ แต่ตามหลักนักวิชาการเขามีอยู่ อาตมาก็ไม่ได้ค้านตามนั้นนะ ลองเจาะดูตามที่ ดร.สรรพศาสตร์ ท่านพูด ดร.สรรพศาสตร์ท่านบอกว่า ที่ใดก็ตาม เจาะลงไป มันจะมีน้ำมัน แต่ว่าผิวดินมันจะลึก จะตื้นกว่ากันนั่นอีกอย่างหนึ่งต่างหาก เท่าที่เขาเจาะเวลานี้ ยังไม่ถึงขุมน้ำมันจริง ๆ มันไปถึงต่อมเล็ก ๆ บนหลังถังของน้ำมัน ยังไม่ถึงขุมน้ำมันแท้

ถ้าใช้หัวเจาะประมาณ ๖ กิโลเมตร อย่างอังกฤษเจาะอย่างนี้ไม่ต้องใช้กี่บ่อแล้วเพียงแค่ ๑๐ บ่อ ดึงกันวันไม่รู้จักเท่าไร เท่าไรก็ไม่รู้จักหมด เราใช้ประมาณ ๓๐ เท่า หรือ ๓๐๐ เท่าของเวลานี้สัก ๑,๐๐๐ ปี มันก็ไม่หมด เพราะมันเป็นทะเลใหญ่ ดร.สรรพศาสตร์ ท่านพูดอย่างนี้นะถ้าบังเอิญคนไทยของเราดึงขึ้นมาได้เอง เราก็กดราคาน้ำมันให้ต่ำลงไป

อย่างแพงที่สุดก็เท่าราคาน้ำมันในปัจจุบัน รักษาราคาน้ำมันไว้ ต่างประเทศเขาต้องซื้อแพง เราถูก อุตสาหกรรมของเราก็มีราคาถูกขายก็ได้กำไร กำไรก็จะมีมาก กำไรจากอุตสาหกรรมด้วย กำไรจากเกษตรกรรมด้วย กำไรจากน้ำมันด้วย และก็จะมีกำไรมากมาย ประเทศไทยก็จะเป็นมหาเศรษฐี ทีนี้ต่อไป มันก็มีเวลาเหลือ

บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มาคุยกันว่า ถ้าสงครามโลกไม่เกิด จะว่าอย่างไร ก็ต้องตอบว่า ถ้าสงครามโลกไม่เกิดก็เป็นของดี แต่ว่าท่านดร.สรรพศาสตร์นี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านบอกเขาไม่เรียกสงครามโลก เขาเรียกสงครามใหญ่ มันเป็นสงครามใหญ่ ไม่ใช่สงครามโลก

ก็เป็นอันว่า ถึงแม้จะเป็นสงครามโลกก็ตาม สงครามใหญ่ก็ตาม ถ้ามันเกิดขึ้นจริง เราก็เอาบทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาใช้กัน อันดับ ๑. ผ้าในสมัยนั้น หาคนนุ่งผ้าดีได้ยาก ส่วนมากก็จะมีคนนุ่งผ้าขาด ๆ เพราะเวลานั้นโรงงานทำผ้าของเรายังมีน้อย แต่เวลานี้โรงงานทำผ้าของเรามีมาก แต่ก็ไม่แน่นอนนัก

บางทีระเบิดเพลิงจะเกิดจากภาคพื้นดินก็ได้ ถ้าระเบิดเพลิงจากภาคพื้นดินเกิดกับโรงงาน โรงานทำผ้าของเราก็จะสลายตัว ผ้าก็จะน้อย อันดับแรก เตรียมผ้าไว้ก่อน อันดับที่ ๒ เตรียมพื้นดินไว้ ถ้ามีอยู่บ้าง ไม่มากไม่มาย ก็อย่าเพิ่งรีบขายเกินไป ถ้าได้กำไรมาก ๆ เป็นล้าน ๆ ก็ไม่ว่าอะไร ขายเถอะ แล้วเก็บเงินไว้ให้ดี อย่าใช้ให้มันหมดตัว

จงคิดว่า ถ้ามันหมดตัวแล้ว เราไม่มีทางจะหาที่ดินมาขายได้ใหม่ ประการที่ ๒ ก็เตรียมเนื้อ เตรียมกายเตรียมใจ เตรียมใจไว้นึกถึงความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า โลกเต็มไปด้วยความทุกข์ โลกไม่มีความสุข โลกเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นอนิจจัง มันก็เป็นความทุกข์ ในที่สุดก็เป็นอนัตตาตายหมด

ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไร ความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าเรายอมรับก็ไม่เป็นไร ถ้าจิตยังไม่ยอมรับ มันก็มีความดิ้นรน มันก็มีความเร่าร้อน ถึงจะดิ้นรน จะเร่าร้อนขนาดไหนก็ตาม เราก็จะหนีไม่พ้น ในเมื่อหนีไม่พ้นเราก็ต้องทนสู้ ทนสู้กับภาวะของสงคราม ทีนี้เราจะสู้กับใคร เราก็สู้กับตัวเราเอง นั่นคือ ต้องใช้น้อย กินน้อย นอนมาก ๆ และตื่นไว ๆ

ใช้กำลังร่างกายทำการงานให้ดี ไอ้พูดอย่างนี้ก็พูดเรื่อยเฉื่อยไปเป็นอันว่า ตามคำพยากรณ์ของ ดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่าประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐี แล้วคนไทยทุกคน จะเป็นมหาเศรษฐีไหม ก็ต้องขอตอบว่า คนไทยทุกคน ไม่เป็นมหาเศรษฐีทุกคน แต่ว่าก็มีคนจำนวนมาก ก็จะเป็นลูกศิษย์ของมหาเศรษฐี

คือ เป็นคนงานของมหาเศรษฐี เราก็จะเป็นเศรษฐีเล็ก ในครอบครัวเล็ก ๆ ได้เหมือนกันสมมติว่า ครอบครัวใดยังไม่เคยมีเงินล้าน ครอบครัวเล็ก ๆ ประเภทนั้นจะมีเงินล้านใช้ ประเภทครอบครัวที่มีเงินแสนใช้ต้องถือว่า เป็นครอบครัวที่ยากจนมาก ถ้าบ้านไหนมีเงินล้านใช้ ถือว่าเป็นบ้านที่พอมี พอกินพอใช้ พอหาได้เลี้ยงตัวรอด

ที่มีเงินเหลือเป็นแสน ก็ถือว่าเลี้ยงตัวรอดเหมือนกัน ที่ได้มาอย่างนี้เพราะว่า เรามีกำไรจากสงคราม แต่เราไม่อยากให้เกิดสงคราม ทีนี้มาพูดอีกทีหนึ่ง ที่ ดามุส ท่านบอกว่า ศาสนาคริสต์จะสลายตัว แต่ศาสนาอิสลามท่านไม่ได้บอกว่า จะสลายตัวหรือเปล่า แต่ว่าพระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้น หลังกึ่งพุทธกาลแล้ว

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน ตอนนี้ ด้านศาสนาของเขาก็จะมีการหย่อนตัวลงไป เพราะความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจ ความเสียหายเกิดขึ้น ตายไปฝ่ายละครึ่ง นี่ไม่ใช่เล็กน้อยนะบรรดาท่านพุทธบริษัท การเชื่อพระเจ้าจะน้อยลง

หรืออาจจะสลายตัวอย่างท่านดามุสบอกก็ได้ ทีนี้มาพูดถึงพุทธศาสนาบ้าง ทางพุทธศาสนา ถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้นจริง ๆ ทางพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองขึ้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองได้ จะมีความอุดมสมบูรณ์ได้ เพราะคนเห็นทุกข์ ในเมื่อคนเห็นทุกข์ ก็ยอมรับนับถือศีลธรรมมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชฝ่ายปฏิบัติ

สำหรับฝ่ายปริยัตินั่นก็อีกฝ่ายหนึ่งต่างหาก คือท่านเรียนแต่ท่านยังไม่ได้ทำ เรียนรู้ จะถือว่าไม่ดีไม่ได้ ท่านก็ดี ท่านมีความรู้ความรู้ในด้านปริยัติก็จะเจริญขึ้น ความสามารถในด้านปฏิบัติก็จะเจริญขึ้น ในช่วงนั้นอาจจะมี พระที่ได้อภิญญา หรือว่านักปฏิบัติที่เป็นฆราวาสที่ได้อภิญญาเกิดขึ้น

ถ้ามีนักอภิญญาเกิดขึ้นนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อันตรายต่าง ๆ จะเกิดขึ้นได้น้อยเต็มที เพราะอาศัยอภิญญาช่วย และนอกจากนั้นความเจริญรุ่งเรืองทางด้านจิตใจของเรา ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก เพราะเราไม่เสียหายมาก เรามีความสุข ในเมื่อเขาเลิกรบกัน เขาก็ขาดเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารการบริโภค เขาก็ขาด เราก็ขาย

เครื่องมือเครื่องใช้เขาขาด โรงงานประเทศไทยของเราเวลานี้มีมาก เราก็ขาย รวมความว่า ทุกอย่างมันก็จะมีแต่ความก้าวหน้า จะมีความร่ำรวย ดูตัวอย่างประเทศเยอรมันกับประเทศญี่ปุ่น เมื่อหลังสงครามโลก ถูกบังคับห้ามไม่ให้มีทหาร พอ ๒ ประเทศนี้ไม่มีทหารขึ้นมา ไม่ต้องเสียเงินค่างบประมาณทหาร เพราะว่างบประมาณทหารต้องเสียมาก

เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ต้องเตรียม เตรียมไว้บางทีไม่ได้ใช้ ล้าสมัยต้องซื้อใหม่ ของเก่าก็เก็บไว้ หรือว่าขายไปทีนี้ในเมื่อไม่ต้องเตรียมการรบ ไม่ต้องเตรียมทหาร งบประมาณก็เหลือใช้ ประเทศก็มีความร่ำรวย ประเทศไทยเราก็ฉันนั้น ในสมัยเมื่อเขารบกัน เราก็พยายามประวิงทุกอย่าง อย่าให้มีการรบ ถ้ามันมีความจำเป็นจริง ๆ ก็จำกัดสถานที่รบ

นั่นหมายความว่า สงครามใหญ่ไม่มีใครเข้ามาในประเทศไทย พวกเขาตีกันทางโน้น เขาไม่ตีมาทางนี้ เขาอาจจะตีไปทางยุโรป ตีไปทางเมริกา เขาไม่ตีมาถึงประเทศไทย แต่ว่าประเทศไทยก็ต้องมีส่วนร่วม ส่วนร่วมในความทุกข์ที่จะเกิดจากสงครามทีนี้ในเมื่อเขาไม่ตีเข้ามาถึง เราก็มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ทั้งนี้ขอทิ้งท้ายไว้นิดว่า ตีเล็กมีนะ ตีใหญ่น่ะไม่มี

มีแต่ตีเล็กก่อกวนสงครามก่อกวนจะมีเป็นของธรรมดา ทั้งนี้ก็ต้องเชื่อความสามารถของรัฐบาลและทหารตำรวจ เราสามารถจะควบคุมความสงบสุขไว้ได้ เหตุต่าง ๆจะเกิดขึ้น จะไม่พ้นวิสัยของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจจะสามารถปราบปรามได้ ถ้าถามว่า เขาใช้รัศมีอาวุธเคมี ใช้รังสีต่าง ๆ ก็ขอตอบว่า เป็นเรื่องเล็ก ๆ พุทธศาสนาป้องกันได้แน่

อันนี้ขอยืนยันจะเป็นนิวตรอน นิวเคลียร์ นิวอะไรก็ถามเถอะ ขอยืนยันว่า พุทธศาสนาป้องกันได้แน่ แต่ว่าทั้งนี้ท่านทั้งหลายต้องไปหา จากพระที่เป็นนักปฏิบัติทางด้านจิตใจ ที่ท่านเข้าถึงฌานโลกีย์ทรงตัว และก็ทรงความเป็นอภิญญาถ้าถามว่า เวลานี้จะหาที่ไหน ก็ต้องขอตอบว่า เวลานี้อย่าเพิ่งหา อาจจะมีอยู่ที่ไหนบ้างก็ได้ แต่ไม่มีใครเขาบอกกัน

ถ้าถึงเวลานั้นจะปรากฏตนเอง ท่านจะแสดงออกมา ให้เห็นถึงความปลอดภัยว่า ท่านสามารถจะป้องกันได้ ถ้าท่านองค์ไหนจะเป็นพระก็ดี จะเป็นฆราวาสก็ดี ไม่ได้หมายความว่าพระเสมอไป ฆราวาสที่มีความสามารถก็มีมากก็สามารถจะป้องกันได้ สามารถจะทำได้ ก็พึ่งท่านนั้น ท่านต้องให้เป็นที่พึ่งแน่นอน ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าหากว่าเราทั้งหลายตายกันหมด

ท่านก็ตายเหมือนกัน ท่านอดตาย เพราะว่าท่านต้องอาศัยพวกเรากิน พวกเราหากินหาใช้เหลือ เราก็ให้ท่านอย่างสมมติว่า ถ้าพระบิณฑบาต เราก็ถวายพระ ถ้าชาวบ้านอด ชาวบ้านตายหมด พระก็ตาย เพราะไม่มีใครจะให้ ข้อนี้ฉันใดเวลานั้นก็ตาม ท่านที่ทรงอภิญญา จะเป็นพระก็ตาม จะเป็นฆราวาสก็ตาม ไม่มีใครปกปิดความสามารถ

สามารถจะป้องกันรังสีต่าง ๆ ได้และป้องกันสรรพาวุธได้ตามกำลัง แต่บุคคลที่ต้องตายไปบ้าง นั่นก็หมายถึงว่า บุคคลที่มีอายุถึงอายุขัย บุคคลที่มีอายุถึงอายุขัยนี่ เราป้องกันไม่ได้ มันมีความจำเป็น คนประเภทนี้ จะรบก็ตาย ไม่รบก็ตายนอนเฉย ๆ ก็ตาย กินข้าวอยู่ก็ตาย นอนหลับก็ตาย คุยกันก็ตายเพราะถึงอายุขัย

เวลานั้นมันต้องตายก็รวมความว่า ประเทศไทยไม่ต้องหนักใจ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้าไว้ ความดีที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ก็มี ๔ อย่าง เอาสักสอง ๔ อย่างให้เป็นการใบ้หวยเลยนะ ๔ ที่หนึ่งก็เอาอย่างง่าย ๆ คือ

สังคหวัตถุ ๔ คือ
๑. ทาน การให้ ให้มีการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันเข้าไว้ สร้างความรักเข้าไว้ อย่าสร้างศัตรู การให้ทานเป็นการทำลายล้างศัตรูไม่ให้เกิดศัตรูขึ้นมา เพราะเราบุคคลผู้รับ ย่อมรักในบุคคลผู้ให้

ประการที่ ๒ ปิยวาจา พูดดี พูดให้คนที่รับฟังมีความสุขจากคำพูดของท่าน เขาก็จะรักเรา ในเมื่อเขารักเรา เราก็มีความสุข ประการที่ ๓ ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน ถ้าเขาเกินวิสัยเราช่วย เขาก็จะเกิดความรัก

ประการที่ ๔ เราไม่ถือตัวไม่ถือตน การไม่ถือตัวไม่ถือตน จัดเป็นปัจจัยให้เกิดความรักอันนี้เป็นความดีที่พระพุทธเจ้าให้ไว้เป็นอันดับแรก รักษากฎ ๔ ประการนี้ได้ บรรดาท่านทั้งหลาย เราจะมีแต่คนรัก เราจะไม่มีคนเกลียด ทีนี้ถ้าจะถามว่า ในเมื่อเขาประกาศสงครามกัน เขาไม่รู้จักกัน เขายิงจรวดมา จะทำอย่างไร มันก็เป็นของไม่ยาก

เขาจะยิงมาหรือไม่ยิงมา เราก็ภาวนา พุทโธไว้ จิตใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าโดยตรง สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทำไว้ ท่านให้ไว้เรานับถือด้วยความจริงใจสิ่งนั้น ท่านทั้งหลาย จะป้องกันอันตรายท่านได้อย่างแน่นอน และประการต่อไปอีก ๔ อย่าง ก็คือ พรหมวิหาร ๔

๑. เมตตา ความรัก สร้างความรัก ทำจิตให้เกิดความรักทั้งคน และสัตว์ทั้งโลก ถือว่าเราเป็นมิตรกัน ประการที่ ๒ มีความสงสาร คอยเกื้อกูลกันไว้เสมอ อย่าเห็นแก่ตัว ประการที่ ๓ ยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี ไม่อิจฉาริษยาใคร ประการที่ ๔ เมื่อบุคคลนั้นถึงอายุขัย ต้องตายเพราะอาวุธต้องตายตามกาลเวลา เราก็วางเฉย

ในเมื่อมีความดีอีก ๔ ประการอย่างนี้แล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะปลอดภัย อย่าลืม สังคหวัตถุ ๔ เป็นความดีเล็กน้อย ความดีขั้นต้น พรหมวิหาร ๔ เป็นความดีสูงสูด คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน เห็นใครได้ดีพลอยยินดีด้วย อุเบกขา วางเฉยเมื่อเหตุร้ายเกิดขึ้น ไม่สามารถจะยับยั้งได้ก็ทำใจวางเฉยไม่ดิ้นรน ยอมรับตามความเป็นจริง

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เวลาเหลือประมาณ ๕ นาที ก็คุยกันไปคุยกันมา ย้อนถึงสงครามโลกครั้งที่ ๒ อีกสักนิดหนึ่งว่า ทำไมถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้น คนไทยจะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น จะชี้ตัวอย่างให้เห็นสักอย่างหนึ่ง เพราะสมัยนั้นผู้พูดอยู่ในกรุงเทพฯ คืนใดถ้ามีปกติเครื่องบินไม่มาทิ้งระเบิด

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอนเช้าไปบิณฑบาต เวลานั้นคนหนีระเบิดมาบ้านนอกกันมาก มาต่างจังหวัดกันมาก คนใส่บาตรมีน้อย พอกินแค่เช้า เพลไม่พอกิน แต่ว่าบังเอิญคืนไหนถ้ามีเครื่องบินมาโจมตีทิ้งระเบิด เวลาเช้าไปบิณฑบาต ปรากฏว่ามีคนใส่บาตรมากเป็นพิเศษ ไปไม่ทันถึงครึ่งทางก็เต็มบาตร ยามปกติไปจนสุดทาง แล้วก็เดินทางกลับ

ยังไม่ถึงครึ่งบาตร แต่คืนไหนมีเครื่องบินมาโจมตี รุ่งเช้ามีคนทำบุญกันมาก จะเห็นว่า คนที่มีความรู้สึกว่า ชีวิตของเราใกล้ความตาย ไม่มีความประมาท คือเขาจะถือว่า เป็นการฉลองชีวิตที่เกิดใหม่จากการโจมตีของข้าศึก ข้าศึกทิ้งระเบิดก็ทิ้ง ยิงกราดด้วยปืนกลก็ยิง แต่เขาก็ปลอดภัย จึงทำบุญกันใหญ่ ข้อนี้ฉันใด

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ในเมื่อสงครามใหญ่มันเกิดขึ้น เป็นสงครามที่น่ากลัวอาวุธในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถือว่าเป็นอาวุธดีแล้วนะ ล้าสมัยไปแล้ว เครื่องบินสมัยนั้น เป็นเครื่องบินที่ดีที่สุด เวลานี้เขาเลิกใช้แล้ว เครื่องบินสมัยใหม่ เขาดีกว่าสมัยนั้นมาก อาวุธที่ใช้ใหม่ ดีกว่าอาวุธสมัยนั้นมากทีนี้ถ้าการสงครามเกิดขึ้น ข่าวคราวก็ย่อมถึงกัน

เวลานี้มีทั้งวิทยุ มีทั้งโทรทัศน์ถ่ายทอดจากดาวเทียม เราสามารถจะเห็นภาพได้ ในเมื่อเห็นการสูญเสีย ความตายเกิดขึ้นความทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศล เวลานั้นบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนก็จะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะกลัวตายสำหรับอีกด้านหนึ่ง ท่านนักปฏิบัติที่เจริญสมาธิจิต ก็จะเร่งรัดตัวเอง ให้ทำสมาธิให้ดีขึ้น

โดยหวังอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้วไม่ขอเกิดใหม่ อย่างเลวที่สุด ตายจากความเป็นคน ไปสวรรค์ก็เอา หรือถ้าดีกว่านั้น ไปเป็นพรหมก็ดี ถ้าดีกว่านั้น ไปนิพพานได้ก็ดี ท่านจะเร่งรัดตัวเอง การเร่งรัดตัวเองประเภทนี้ กำลังใจก็จะมีสมาธิ ในที่สุดอภิญญาก็จะเกิด ในเมื่ออภิญญาเกิด ก็จะใช้ผลของอภิญญาและญาณต่าง ๆ ที่ได้จากสมาธิ และวิปัสสนาญาณ

เอามาช่วยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีความสุขปลอดภัย เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มองดูเวลาก็เหลือเวลานาทีเศษ ๆ ในตอนนี้ก็ขอสรุปว่า ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าลืมองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปว่า เราจะบูชาพระทุกวัน นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนหลับ ตื่นใหม่ ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้า บูชาพระ

บูชาพระถ้าว่าอย่างอื่นไม่ได้ ก็ว่า นโม ตัสสะฯ ๓ หน ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง แล้วว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แค่นี้ก่อนหลับ และตื่นใหม่ ๆ ทุกวัน

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทุกท่านจะปลอดภัย และจะมีความร่ำรวยเวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/4/13 at 14:50 [ QUOTE ]


7
ตอบท่านที่ค้านพระพุทธศาสนา


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๒๓ ธันวา คม ๒๕๓๓ การบันทึกเสียงบรรดาท่านพุทธบริษัท จะเห็นว่าเว้นระยะห่างไกลกันมาก ทั้งนี้เพราะการป่วยไข้ไม่สบาย ความจริงวันนี้ก็ป่วยหมอมาให้น้ำเกลือ แทงถึง ๖ ครั้ง ไม่สามารถจะเอาน้ำเกลือเข้าร่างกายได้ เพราะเส้นตีบ อาการที่เส้นตีบนี่

บรรดาท่านพุทธบริษัท มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย แต่ว่าความตายก็เป็นของธรรมดา ทั้งนี้เพราะอะไร เรื่องความหนักใจในความตายนี่มันไม่มี แล้วทุกคนทราบอยู่แล้วว่า การเกิดมาแล้วมันต้องตาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่ฝึกกรรมฐานไปแล้ว ที่ได้มโนมยิทธิ ทุกคนจะทราบว่า ท่านตายจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านจะอยู่ที่ไหน

ทั้งนี้เพราะกำลังใจที่ท่านปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชชาสาม มี ทิพพจักขุญาณ ทำให้ระลึกชาติได้ คำว่า ทิพพจักขุญาณนี้ จะบอกบุญ บอกกุศลของเราว่า บุญกุศลของเราที่ทำได้ในขณะนี้ ถ้าเราตายไปเวลานี้ เราจะตกนรกขุมไหน เป็นเปรตที่ไหนเป็นอสุรกายที่ไหน เป็นสัตว์เดรัจฉานประเภทไหน หรือว่าเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า เป็นพรหม ไปนิพพาน

อันนี้เรารู้ได้ตามหลักสูตรของวิชชาสามในพระพุทธศาสนา แล้วต่อไปในด้านของอภิญญา มโนมยิทธินี่ฝึกทั้งวิชชาสามและอภิญญา ทางด้านอภิญญาสามารถไปได้ ถ้าเราไปที่สวรรค์ไปพบวิมานของเราที่สวรรค์ เข้าไปสู่ในวิมานนั้นได้ นั่งเล่น นอนเล่น ได้ตามสบาย ๆ แสดงว่า เราตายจากชาตินี้ เราไปสวรรค์ ถ้าวิมานของเราอยู่พรหมโลก เราก็ไปนั่งเล่น นอนเล่นได้

ก็แสดงว่า เราตายจากชาตินี้ไปอยู่พรหมโลก ถ้าวิมานของเราอยู่ที่นิพพาน ก็แสดงว่าเราตายจากชาตินี้ เราไปนิพพานเมื่อพูดถึงนิพพานกัน เราพูดถึง วิชชาสาม อภิญญาหกปฏิสัมภิทาญาณ เวลานี้ก็มีข่าวพิเศษ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๓๓ มีคนถามอาตมาที่ซอยสายลม ท่านเขียนเป็นทำนองว่า มีบุคคลคนหนึ่งลงท้ายในยี่ห้อของตัวเองว่า เปรียญ ๙ ประโยค

บอกว่าการไปเที่ยวสวรรค์ ไปเที่ยวนรก เป็นของไม่จริง เป็นสภาพเลื่อนลอยเป็นการหลอกหลอนซึ่งกันและกัน แต่ตัวของท่านผู้พูดเอง ท่านบอกว่า ท่านไม่มีสัก ๑ ประโยค ท่านเป็นชาวบ้าน แต่ว่าท่านสามารถจะไปท่องเที่ยวได้ ตามที่ท่านต้องการ ท่านมีการคล่องตัวในการฝึกกรรมฐานในเรื่องนี้มาก

ท่านก็เลยนั่งด่าว่า ไอ้คนที่มันเป็นเปรียญ ๙ ประโยค มันเขียนประโยคนี้ มันหาความดีเท่ากับผมคนเดียว ซึ่งไม่มีประโยคประธานเลยก็ไม่ได้ นี่ท่านกล่าวให้ฟังดังนี้ แต่ว่าท่านไม่ได้ถามต่อฉะนั้นจึงขอปรารภให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า เรื่องพระพุทธศาสนานี่ ไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง ผ้าเหลืองนี่เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าเราเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

แต่ถ้าบังเอิญเอาผ้าเหลืองไปห่มตอเข้า เราก็กลายเป็นไหว้ตอไม้ การไหว้ตอไม้นี่มันก็ไม่เกิดประโยชน์แต่ก็ยังดี ตอมันก็ยังเฉย ๆ ถ้าบังเอิญเอาผ้าเหลืองไปห่มเสือเข้า แล้วก็เข้าใจว่า เสือเป็นพระ เราก็ไปกราบไปไหว้ เจ้าเสือมันก็ดีใจว่า มันจะได้กินอาหารที่เป็นรสโอชะ หรือบางทีเอาผ้าเหลืองไปห่มคน แต่ว่า คนที่ห่มผ้าเหลืองนั่นกลายเป็นคนแบบเทวทัต

ตามชาดกท่านกล่าวถึงเรื่อง เทวทัตกินเหี้ย เทวทัตในสมัยนั้นเป็นนักบวช ทำตนเป็นฤาษี นั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่ใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง เผอิญต้นไม้นั้นเป็นต้นไม้ใหญ่ มีโพรงใหญ่ขณะที่นั่งหลับตาอยู่นั้น เวลานั้นก็มีเหี้ยตัวหนึ่ง เหี้ยตัวนั้นคือ พระพุทธเจ้าของเราเอง เป็นพระโพธิสัตว์ เวลาจะออกไปหากิน ก็มาเห็นดาบสเข้า มีความสำรวม นั่งหลับตาปี๋

ก็มาแสดงความเคารพ ไปนั่งข้างหน้าใกล้ตัก ก็ผงกศีรษะ ๓ ครั้ง เป็นการไหว้ แล้วก็เดินทางต่อไปขากลับมาจะเข้าโพรง ก็ผงกศีรษะ ๓ ครั้ง แล้วก็เดินทางต่อไป ต่อมาดาบสเทวทัต เห็นเหี้ยแสดงอาการอย่างนั้นทุกวัน มีอาการเชื่อง ไม่กลัวไม่เกรง แล้วเกิดอารมณ์ขึ้นมาบอกว่า เรากินหัวเผือก หัวมันมาทุกวัน ความเอร็ดอร่อยมันไม่มี

คราวนี้เรากินเนื้อเหี้ย ถ้ามันมีมันมาก มันจะมีความเอร็ดอร่อยดี จึงได้นำเอาท่อนไม้ เข้ามาวางไว้ในจีวร คลุม คิดว่า เจ้าเหี้ยตัวนี้ ถ้าเผอิญมันมาผงกหัวที่ข้างหน้าตักของเราใกล้ ๆ จะเอาไม้ฟาดกบาลให้มันตาย แล้วก็ต้มกิน แกงกิน แต่ว่าบรรดาท่านผู้ฟัง คำว่า พระโพธิสัตว์ เกิดที่ไหน ฉลาดที่นั่น เวลาตอนเช้าก่อนที่จะออกไปหากิน เมื่อออกไปจากโพรงแล้ว

ก็ไปมองดูพระดาบส เห็นดาบสวันนี้ หลับตาไม่สนิท ทำตายิบ ๆ ๆ ๆ คล้าย ๆกับว่า จะสังเกตดูอะไร ทุกวันหลับตาสนิท ท่านก็ไม่ไว้วางใจ เลยถอยหลังเข้าโพรงตามเดิม ต่อมาไม่ช้านัก ท่านก็โผล่ศีรษะมาดูอีก เทวทัตก็พร้อมอยู่แล้วว่า เจ้าเหี้ยตัวนี้ ถ้าโผล่มาจากโพรง โพรงก็อยู่ใกล้ ๆตัวเอง เพราะนั่งใกล้ต้นไม้ ในเมื่อมันไม่ออกมา เราก็ตีกัน

ในเมื่อพระโพธิสัตว์โผล่ออกมาแล้ว เทวทัตก็ขว้างด้วยไม้ทันที ท่านก็หลบเข้าไปในโพรง ทีนี้ท่านโผล่ศีรษะออกมา ท่านกล่าวบอกว่า ท่านดาบส ท่านทรงผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นธงชัยของพระอรหันต์ แต่เนื้อแท้จริง ๆ จิตใจของท่านเลวกว่าเรา ซึ่งเป็นเหี้ยเสียอีกข้อนี้มีอุปมาฉันใด บรรดาท่านผู้ฟัง หรือท่านเจ้าของปัญหาที่ถามมาบอกว่า

มีคนเขียนมาบอกว่า การเที่ยวนรก การเที่ยวสวรรค์เป็นของไม่จริง เป็นเรื่องเบลอไป คำว่า เบลอไป ก็หมายความว่า บางทีก็ฟุ้งไปเฉย ๆ ก็ได้ แต่ตัวท่านเองท่านยืนยันว่า สวรรค์ก็มี นรกก็มี พรหมก็มี นิพพานก็มี ทุกสิ่งทุกอย่างมีหมด ท่านไปพบได้ด้วยตนเอง เพราะท่านฝึกกรรมฐานให้ด้านของวิชชาสาม และอภิญญาหกร่วมกัน ถ้าวิชชาสามนี่ได้แต่เห็น อภิญญาหกนี่ไปได้

เป็นอันว่า ท่านที่พูดให้ฟังดังนั้น ท่านไปอ่านหนังสือของเหล่าเทวทัตเข้าแล้ว เหล่าเทวทัตเวลานี้มีเกลื่อนกลาดในโลก ที่พูดกันอยู่เสมอว่า โลกมีจริง การเกิดมีจริง แต่ตายสูญ เป็นการคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเวลานี้คำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหล่าเราพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสก็ดี เป็นพระ เป็นเณรก็ดี

เขาก็ทำกันได้ เขาก็ไปกันได้ เขาได้ทิพพจักขุญาณบ้าง เขาก็ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ กันบ้าง สามารถเห็นของสิ่งที่ลี้ลับได้ตามชอบใจ ดวงดาวดวงไหนเขาก็ไปกันได้ ฝรั่งยังไปไม่ถึง คนไทยก็ไปถึง โดยไม่ต้องลงทุนลงรอนอะไร สวรรค์เขาก็ไปได้ นรกก็ไปได้ เปรตก็ไปได้อสุรกายก็ไปได้ พรหมก็ไปได้ นิพพานก็ไปได้ ถ้าจิตสะอาด ก็เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท

ท่านเชื่อพระพุทธเจ้า แล้วท่านปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าท่านจะนุ่งกางเกง นุ่งกระโปรงก็ตาม ก็ถือว่าท่านเป็นพุทธศาสนิกชนโดยตรง เป็นคนที่ยอมรับนับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้จริง แต่ว่าสำหรับคนที่ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ มาคัดค้านหลักสูตรของพระพุทธศาสนา หลักสูตรของพระพุทธศาสนาทางด้านปฏิบัติจริง ๆ มี ๔ อย่าง

ความจริงมันเป็นของไม่ยาก ถ้าเราเอากันจริง ๆ แล้ว ก็ใช้ความฉลาด ไม่โง่ตามตำราเกินไปหรือไม่ทำตนเป็นคนส่องบาตร เหมือนเถรส่องบาตร อย่างนี้มันเป็นของไม่ยากการปฏิบัติทุกอย่างต้องใช้ครบ คือ
๑. ศีล
๒. สมาธิ
๓. ปัญญา

ศีล ในปกติ ต้องเป็นคนดีอยู่เสมอ สมาธิ ต้องมีอารมณ์ชนะนิวรณ์อยู่เสมอ ปัญญา เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ร่างกายคือขันธ์ ๕ อยู่เสมอว่า มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง มันแตกสลายไปในที่สุด ถ้าทุกคนมีทั้งศีล สมาธิ ปัญญาอย่างนี้ครบถ้วนบริบูรณ์ เขาก็คงจะไม่พูดมาว่า

การไปเที่ยวสวรรค์ การไปเที่ยวนรก การไปเที่ยวนิพพานนี่เป็นเรื่องเฟ้อ แล้วดีไม่ดีเขาอาจจะพูดยิ่งไปกว่านั้นก็ได้ อาจจะหาว่าหลอกลวงก็ได้ แต่บางท่านบอกว่า มันเป็นอุปาทานบ้าง เป็นภาพที่ดึงขึ้นมาบ้าง นี่มันเป็นเรื่องของคนโง่บัดซบ ทั้งนั้นการเรียนรู้จากหนังสือน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรียนรู้กันได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ที่ท่านผู้ถามมาอ้างว่า คนเขียนลงหนังสือพิมพ์เป็นเปรียญ ๙ ประโยค เปรียญ ๙ ประโยคนี้เขาถือว่าเป็นประโยคสูงสุดในภาษาบาลี ที่พระเรียนกัน ย่อมผ่านตามตำราต่าง ๆ มา เท่าที่เรียนมา แต่ท่านจงอย่าคิดนะ เปรียญ ๙ ประโยค จะมีความรู้ขั้น สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต แม้แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง มีหลาย ๆ ท่านที่ไม่รู้ แม้กระทั่งสุกขวิปัสสโก ทั้งนี้เพราะอะไร

เพราะว่าท่านตั้งใจเรียนมากเกินไป เกาะตำรามากเกินไป ท่านตั้งใจไปเทศน์สอนชาวบ้าน เขียนหนังสือบอกชาวบ้านบอกตามความเข้าใจที่หนังสือเขียน หนังสือน่ะ ท่านเขียนถูก เอาเฉพาะบางเล่มนะ บางเล่มที่ผิด นั่นก็น่ารักเหมือนกัน หนังสือจะเขียนถูกหรือจะเขียนผิด เราจะพิสูจน์กันด้วยอย่างต่ำ หลักวิชชาสาม ใช้หลักวิชชาสาม ถ้าใครเขียนเรื่องพระพุทธศาสนาเข้ามา

ถ้าเราใช้หลักวิชชาสามพิสูจน์ เราจะทราบได้ทันทีว่า ผิด หรือถูกถ้าเรามีกำลังสูงขึ้นไปกว่านั้น ถ้าเราได้อภิญญาหก ก็จะมีการคล่องตัวกว่าวิชชาสามมาก ถ้ายิ่งเราได้ปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิสัมภิทาญาณนี่มีความสำคัญมาก สมัยก่อนเขาจะชำระพระไตรปิฎกกันเขาต้องใช้พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เขาไม่ได้ใช้เปรียญ ๙ประโยค

ทั้งนี้เพราะอะไร พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณนี่ สามารถทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนมาแล้วได้ทั้งหมด ถ้าเกิดการสงสัยขึ้นจริง ๆ ท่านก็ทบทวน ถ้าถามว่า ทบทวนทำไม คือ ถามตรงพระพุทธเจ้า ตอนนี้ก็มานั่งสงสัยกันอีกแล้วซิว่า พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว พบได้อย่างไร ก็ต้องถามว่า นิพพาน หมายความว่าอะไร

เข้าใจคำว่า นิพพาน กันหรือเปล่า อาตมาไม่ได้พูดกับใครนะ พูดกับคน ๆ เดียว นิพพานัง ปรมัง สุญญัง เขาแปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง คำว่า สูญ แปลว่า ว่าง คือ มันว่างจากอารมณ์ชั่วของจิต อย่างอารมณ์ชั่วของจิตที่คิดว่าคนที่ไปเที่ยวสวรรค์ได้ ไปนรกได้ ไปพรหมได้ ไปนิพพานได้ฟุ้งเฟ้อ ดีไม่ดีก็หาว่าสะกดจิต ไอ้อารมณ์อย่างนี้ซิ

บรรดาท่านพุทธบริษัท มันเป็นอารมณ์ของคนเลว ที่หลอกลวงชาวบ้านกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นำเอาคำสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้ามาเปรียบเทียบกับความไม่รู้จริงของตน หรือบางท่านห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ว่าใช้การคัดค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นว่า ตายแล้วมีสภาพสูญถ้าตายแล้วมีสภาพสูญ

ก็ไปนั่งเทศน์เอาเครื่องกัณฑ์เขาทำไม ไปขายหนังสือเอาสตางค์เขาทำไม คนในเมื่อเกิดมาตายแล้วสูญ ก็ไม่ต้องสร้างความดี ใครอยากดีก็ดีไป ใครอยากชั่วก็ชั่วไป นั่นก็หมายความว่า ถ้าอยากดี ถ้าความดีมันปรากฏก็ดี อยากจะชั่ว ชั่วปรากฏก็ช่าง ตายแล้วก็มีสภาพสูญ ไม่ต้องโทษต่อไปอีก ไม่มีความลำบาก ฉะนั้นในเมื่อเห็นว่า เขาตายแล้วมีสภาพสูญ

เราก็ไม่ต้องไปนั่งสั่งสอน ไปบรรยายธรรมะ ไม่ต้องไปบรรยายแบบจำอวด ไม่ต้องบรรยายแบบเป็นศาสดา สอนคนนั้น ติคนนี้ อย่าลืมว่า พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่ติใคร ท่านปฏิบัติตามแบบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินไประหว่างเมืองนาลันทคามกับกรุงราชคฤห์ต่อกัน เวลานั้นมีปริพาชกติดตามไปด้วย

เป็นอันว่าปริพาชกนั่นเดินตามคณะพระไป เพราะว่าได้ข้าวกิน เจ้าพวกนี้เป็นพวกอกตัญญูไม่รู้คุณคน อาศัยกลิ่นผ้าเหลืองมีกินมีใช้ มีคนเคารพนับถือเพราะกลิ่นผ้าเหลืองแต่ว่ามันก็ทำลายหลักวิชาความรู้ของผ้าเหลืองหมด ไอ้ที่เรียนมา มันแค่เรียน เหมือนคนเรียนตำราแกง เอาตำราแกงมาอ่าน อ่านแล้วก็ยังไม่ทันจะแกงกินได้สักอย่าง

ก็บอกว่า แกงอย่างนั้นไม่ดี แกงอย่างนี้ไม่ดี ก็พูดกันถึงเรื่องแกง แต่ไม่เคยแกงกินเลย มันอิ่มได้อย่างไร ข้อนี้ฉันใด ปริพาชกพวกนั้นก็เช่นเดียวกัน ปริพาชกมีหัวหน้าคือ สุปปิยปริพาชก กับนันทมาณพ ลุงกับหลาน เดินไปด้วยกัน เดินตามกันไป เวลาพระพุทธเจ้าพัก ก็พักใกล้ ๆ เวลาบิณฑบาตก็เดินตามหลังพระ ในเมื่อเขาใส่บาตรให้พระ เขาก็ใส่บาตรให้ปริพาชกด้วย

แต่ว่าในคืนวันหนึ่ง ตอนเวลากลางคืนบรรดาปริพาชกน่ะ เวลาเดินไปไม่มีระเบียบเรียบร้อย พระสงฆ์มีความสำรวมดีมาก เพราะมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธาน คืนวันหนึ่งเวลาตอนดึก สุปปิยปริพาชกตื่นขึ้นมาฟังเสียงทางที่พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์พัก พระสงฆ์ตั้ง ๕๐๐ รูป เสียงเงียบสงัด ก็เข้าใจว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์พาพระสงฆ์หนีไป

จึงย่องเข้าไปดู เห็นองค์สมเด็จพระบรมครูเสด็จบรรทมนอน งามสง่าอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัทกลางพระ แล้วพระทุกองค์ก็นอนอย่างมีระเบียบจึงกลับมาหาดูลูกศิษย์ของตน เห็นลูกศิษย์ของตนนอนเกลื่อนกล่น น้ำลายไหลบ้าง เอามือก่ายกันบ้าง ละเมอเพ้อพกบ้าง แต่พระสงฆ์นอนเรียบ นอนด้วยสติสัมปชัญญะ คำว่า สติสัมปชัญญะก็หมายความว่า

ก่อนจะนอนน่ะ พิจารณาก่อน ภาวนาก่อน จิตตั้งใจทรงตัวแบบไหน ร่างกายมันจะทรงตัวแบบนั้น ก็เกิดอารมณ์อิจฉาริษยาขึ้นมา นั่งนินทาพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ จนยันสว่าง สำหรับนันทมาณพ หลานชาย ลุกมา ได้ยินเสียงลุงนินทาพระรัตนตรัย ก็ลุกขึ้นมาสรรเสริญพระรัตนตรัยสว่างเหมือนกัน

เป็นอันว่า ความเห็นของลุงกับหลาน ๒ คนไม่เสมอกัน ถึงเวลาตอนเช้าไอ้การนินทาพระรัตนตรัยนี่ ถึงเวลาไปบิณฑบาต แกก็นินทาด้วย บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายฟังชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ปริพาชกนินทาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เมื่อพระทุกองค์กลับมาจากบิณฑบาตแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว

แล้วกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าเมื่อทรงสดับแล้ว แทนที่จะทรงมีโทสะ หรือจะมีหน้านิ่วคิ้วขมวด กลับทรงตรัสว่า ภิกขเว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นินทา ปสังสา ขึ้นชื่อว่านินทา และสรรเสริญ เป็นของธรรมดาของชาวโลก คนเกิดมาในโลก ที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มี แต่ว่านินทา และสรรเสริญทั้ง ๒ ประการนี้ ขอเธอทั้งหลายจงอย่าถือเอา นั่นก็หมายความว่า

จงอย่ารับเอาทั้งนินทา และสรรเสริญ แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า ถ้าเราเป็นคนดี ถ้าเขาจะนินทาว่าเราเลวแสนเลวขนาดไหนก็ตามที เราก็จะไม่เลวไปตามคำเขาพูด เราก็จะเป็นคนดี ถ้าเราเป็นคนเลว ถ้าเขาสรรเสริญว่าเราเป็นคนดีขนาดไหนก็ตาม เราก็ดีไม่ได้ มันก็เลวอยู่ตลอดทุกวัน ฉะนั้นขอบรรดาพระสงฆ์ทุกท่าน จงอย่าสนใจทั้งคำนินทา และคำสรรเสริญ

จงมีความเข้าใจว่า เราจะไม่ดีเพราะคำสรรเสริญ เราจะไม่ชั่วเพราะคำนินทา คือ เราจะไม่สนใจทั้ง ๒ ถ้อยคำ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเดียว ในที่สุด เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ ก็ทำให้พระที่เป็นปุถุชนที่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผล บรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน

อาตมาฟังมาจากคนนำหนังสือมาให้อ่านบ้าง เขียนจดหมายมาให้อ่านบ้างว่า การเจริญพระกรรมฐานแบบที่ทำกันอยู่นี่ เขาถือว่า เป็นอุปาทานบ้าง เป็นภาพเพ้อฝันบ้าง ทีนี้ในเมื่อเราฟังเรื่อง สุปปิยปริพาชกกับนันทมาณพ กับพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านควรจะทำอย่างไร ก็ขอให้ทำตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำก็แล้วกันว่า เขาจะนินทาว่า เราเพ้อฝัน

แต่เราก็เห็นของเราจริง ๆ เราไปได้จริง ๆ พ่อตาย แม่ตาย เราไปหาท่านได้ ลูกตาย เราไปหาได้ เพื่อนตาย เราไปหาได้ เราคุยกับท่านได้ เรามีความสบายใจ นี่เป็นหลักสูตรของพระพุทธศาสนา อย่าลืมว่า หลักสูตรของพระพุทธศาสนานี่มีอยู่ ๔ ขั้น

๑. สุกขวิปัสสโก สอนให้ทำสมาธิเฉย ๆ ไม่มีความเป็นทิพย์และสามารถเป็นฌานสมาบัติได้ เป็นพระอริยเจ้า ไปนิพพานได้ แต่ท่านพวกนี้มีอาการสงบเสงี่ยม หมายความว่า คำว่า คำค้านพระพุทธศาสนานี่ ไม่มี พระอริยเจ้านี่ไม่ค้านพระพุทธศาสนา

๒. เตวิชโช เตวิชโชนี่ ต้องได้ ทิพพจักขุญาณ ก่อน เห็นผีเห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นของในที่ลี้ลับได้ แล้วก็สามารถระลึกชาติได้

๓. ฉฬภิญโญ สามารถไปในที่ต่าง ๆ ได้ เขาใช้คำว่า มีฤทธิ์อาตมาจะไม่ขอใช้คำว่า มีฤทธิ์ อยากจะไปสวรรค์ ก็ไปได้ อยากจะไปพรหมโลก ก็ไปได้ อยากจะไปพบใครที่ตายแล้ว ก็ไปได้ ถ้าใครเขามีความสุข เขามีความทุกข์ จะปรึกษาหารือว่า ทำบุญอะไรให้ จึงจะมีความสุข หรือถ้าบุญของเราเล็กเกินไป เรามีวิมานอยู่ชั้นต่ำเกินไป ก็ไปหาพระ

พระก็จะแนะนำให้อย่างย่อ ๆ เป็นหัวข้อสั้น ๆ ว่า ทำอย่างนี้บุญของเธอมีขนาดนี้แล้ว ต่ออย่างนี้สักนิด ทำอย่างนี้สักหน่อย วิมานของเธอจะโตขึ้น จะสูงขึ้น จะเลื่อนชั้นขึ้นไป เราก็ฟังคำแนะนำอย่างสั้น ๆ เล็ก ๆ กระจิ๋วหลิว ซึ่งง่าย ๆ มันเป็นของไม่ยาก เอามาปฏิบัติตามเพียงเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็สามารถจะทำได้ แล้ววิมานของเราจะเคลื่อนขึ้นไปได้

ถ้าสมมติว่า ถ้าเรายังไปนิพพานไม่ได้ก็ถามพระท่านว่า การไปนิพพานทำอย่างไร ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่รู้จักขันธ์ ๕ ก็ไปนิพพานได้ทุกคนแล้ว หากว่าเวลาที่เรา ก่อนจะภาวนาหรือพิจารณาก็ตาม เราก็คิดซิว่า ขันธ์ ๕ นี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เพราะมันต้องตาย ขณะที่ทรงอยู่ ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ขึ้นชื่อว่า ขันธ์ ๕ อย่างนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก

เพียงเท่านี้ เวลานั้นจิตใจก็บริสุทธิ์ เมื่อความเป็นทิพย์เกิดขึ้น เราก็สามารถไปเที่ยวนิพพานได้นี่ขอพูดตรงไปตรงมา ตามหลักสูตรพระพุทธศาสนา หรือว่าใครจะเห็นว่าอวดอุตตริมนุสสธรรมก็เชิญ พร้อมรับ แล้วก็สู้ตลอดเวลาถ้าเขาเห็นว่า ของเราไม่ดี เราก็เลิกคบกับเขา นุ่งเขียวห่มเขียวเสียก็ได้

แล้วก็จะแสดงให้ดู คราวนี้ละ พระเหลืองจะลำบากใจไปตาม ๆ กันเอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เวลานี้ก็เหลือเวลาอีก ๓๐ วินาที จะหมดเวลาที่ตั้งไว้แล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/4/13 at 13:48 [ QUOTE ]


8
ตอบท่านที่ค้านพระพุทธศาสนา (ต่อ)


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็ยังเป็น วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๓๓ ความจริงเดือนธันวาคมนี่ เป็นเดือนที่พระพยากรณ์ว่าจะหายจากโรค ท่านพยากรณ์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๑ แต่ความจริงอาการต่าง ๆ ก็ดีขึ้นมาก แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทำไมอาตมาจึงไม่พ้นจากโรค

พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ร่างกายเป็นโรคนิทธัง ร่างกายเป็นรังของโรค แต่ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นมาก ร่างกายทั้งหมด เหลือที่ท้องอย่างเดียว มันไม่ถ่าย มันมีอาการหนักมาก ถ้าท้องไม่ดี ก็ทำให้คอไม่ดีไปด้วย ทีนี้ในเมื่อท้องไม่ดี ก็ถามว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า มันจะหาย แล้วทำไมจึงท้องไม่ดี

แต่ท่านก็บอกแล้วว่า ยาเกี่ยวกับท้องจะต้องใช้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าซอยสายลมครั้งหนึ่ง อาตมาเกือบจะสิ้นชีพทุกครั้ง ฉันข้าวก็ไม่ได้ มันเหนื่อยมาก ตั้ง ๓ - ๔ วัน เดินไปไหนก็ไม่ได้ ต้องนั่งอยู่กับที่ แล้วก็พูดทั้งวัน ทำไมจึงทำอย่างนั้น อยากได้ทรัพย์สินหรือ ก็ขอตอบว่า เรื่องทรัพย์สิน ถ้าทำบุญมาด้วยความเต็มใจ อยากได้

แต่อยากได้เอาไปไหน ถ้าหากว่าท่านอ่าน ธัมมวิโมกข์ท่านจะเห็นว่าอาตมามีรายได้เดือนละเป็นแสน หลาย ๆ แสนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เขาถวายเป็นส่วนตัว บางเดือนก็ถึงล้านหรือล้านเศษ แต่ว่าเงินจำนวนนี้จริง ๆ ไม่ได้นำมาใช้เลย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความจำเป็นต้องใช้ จะเป็นราคาถูกก็ตาม จะเป็นราคาแพงก็ตาม

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็ซื้อมาให้ใช้เสียหมด จึงเอาของเข้าไปรวมไว้ส่วนกลาง แล้วก็สร้างวัด สร้างโรงเรียน บางคนก็มาบอกว่า สร้างไปถึงไหนกัน ใหญ่โตมโหฬาร ศาลา ๒ ไร่ ศาลา ๔ ไร่ ศาลา ๑๒ ไร่ กุฏิบริเวณ ๒๕ ไร่ บริเวณ ๑๐๐ เมตร จิปาถะไปหมด ก็บอกว่าสร้างตามกำลังใจของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาลา ๒ ไร่ เมื่อสร้างขึ้นมาใหม่ ๆ

มีท่านผู้หนึ่ง ท่านบอกว่า ท่านเคยเป็นรัฐมนตรีมา มีหมอคณะหนึ่งพามาหา มาถึง ท่านก็ไม่ได้ถามแล้ว ท่านก็นั่งสวดอาตมาว่า สร้างไปทำไม ศาลาตั้ง ๒ ไร่ ใหญ่โตมโหฬาร จะเอาผู้คนที่ไหนมา ในเมื่อท่านพูด อาตมาก็นิ่งฟัง ให้ท่านพูดจบ ท่านก็พูดมาก ในทำนองที่เรียกว่า ติกันน่ะ ที่พระพุทธเจ้าบอกแล้วนะว่า คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก

เมื่อท่านพูดจบ อาตมาก็เลยพูดบ้างว่า นี่ท่านพูดจบแล้วนะ อาตมาขอพูดบ้าง ขอพูดแบบพระ เพราะท่านเป็นฆราวาส ท่านก็พูดแบบฆราวาส อยากจะถามท่านสักคำว่า ศาลา ๒ ไร่นี่ ที่สร้างขึ้นมาเสร็จแล้วก็เมื่อเดือนพฤศจิกายน ท่านมาเลยเดือนพฤศจิกายน วันทอดกฐินท่านมาหรือเปล่า ท่านบอกว่า ไม่เคยมา วัดนี้ไม่เคยรู้จัก

แล้วก็ถามท่านว่า ทำไมท่านถึงบอกว่า สร้างไว้ทำไม จะเอาผู้คนที่ไหนมา ท่านมีความรู้สึกอย่างไร ท่านก็ตอบว่า มีความรู้สึกว่า มันใหญ่โตเกินไปก็เลยบอกกับท่านว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ทอดกฐิน ศาลา ๒ ไร่ นี่ไม่พอนั่งนะ ชั้นใน ๒ ไร่ ชั้นนอกอีก ๓ ไร่ ก็ไม่พอนั่ง การก่อสร้างก็ไม่ใช่ของดี มันเป็นความลำบาก

อาตมาไม่ได้บวชมาเพื่อการก่อสร้าง แต่ก็มีความจำเป็น ในเมื่อญาติโยมให้สตางค์มา ก็สร้าง และการสร้างนี่ก็เป็นการสร้างด้วยเงินของญาติโยมท่าน มี ท่าน พล.ต.ท.สงวนและโยมบุญช่วย ซึ่งเป็นภรรยา (คุณหญิงบุญช่วย) จิตตาลาน ให้มา ๑ ล้านบาท และคนอื่นอีกบ้าง ผสมกัน จริง ๆ แล้วศาลา ๒ ไร่นี่สร้างราคาล้านบาทเศษ ๆ เท่านั้นเอง

และใช้เวลาทำการก่อสร้าง ๘ เดือนเสร็จ เพื่อให้ทันกับกฐินในปีนั้นการก่อสร้างอย่างนี้ มันก็เป็นของลำบาก พระไม่อยากทำ แต่ในเมื่อญาติโยมให้สตางค์มา ก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำ ก็กลายเป็นคนทุจริต เพราะว่าพระนี่ทุจริตไม่ได้ ไม่มีการบวก ฉะนั้นเงินที่ถวายมาเป็นส่วนตัวทั้งหมด ก็รวมในการก่อสร้างทั้งหมด เพราะกินก็ไม่ต้องซื้อกิน แล้วของที่ต้องใช้

ท่านก็ซื้อมาให้ แล้วก็มีอีกส่วนหนึ่งสร้างโรงเรียน ก็มีคนมาเหมือนกัน บอกว่า อยู่การเคหะแห่งชาติ ถามว่า สร้างทำไมใหญ่โตนัก มีนักเรียนเล็กน้อย จะคุ้มหรือครับ ก็ถามว่า คุณอยู่ที่ไหน บอก อยู่การเคหะแห่งชาติ จบมาจากไหน เธอก็บอกสถานที่จบ ได้ปริญญาอะไร บอกว่า ได้ปริญญาเอก นี่เขาขนาดปริญญาเอกเลยนะ

ก็ถามว่า ท่านทราบหรือเปล่าว่า นับตั้งแต่การสร้างมานี่ มีนักเรียนไม่มาก แต่ทว่าความจริงก็ไม่ต้องการนักเรียนมาก ต้องการนักเรียนเพียงเล็กน้อย คือโรงเรียนนี้มีความต้องการสอนแบบ
๑. ครูทุกคน วัดหาทุนให้หมด วัดจ่ายเอง
๒. การก่อสร้าง วัดจ่ายเอง
๓. นักเรียนที่เข้ามาเรียน แจกเสื้อ แจกกางเกง แจกหนังสือเรียน ค่าเทอมก็ไม่เก็บ


แต่มีความต้องการจริง ๆ ว่า ให้นักเรียนรู้จักคำว่า ดี เป็นอย่างไร ความดีในพระพุทธศาสนาอย่างย่อ ก็คือ
๑. สังคหวัตถุ ๔ มี
๑.๑ ทาน การให้ รู้จักให้ สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
๑.๒ ปิยวาจา พูดดี
๑.๓ อัตถจริยา ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน
๑.๔ สมานัตตตา ไม่ถือตัวไม่ถือตนซึ่งกันและกัน

ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ จะทำให้โลกเป็นสุข และ
๒. นักเรียนทุกคนต้องมี ศีล ๕ กับกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน
๓. นักเรียนที่มาเรียนทั้งหมด จะต้องได้กรรมฐานก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มโนมยิทธิ ที่แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ เด็ก ๆ ที่ก่อนจะเข้าเรียนทั้งหมดต้องได้มโนมยิทธิก่อน แต่ความจริงการให้เธอได้ เธอจะทรงไว้ได้ หรือไม่ได้ ไม่สำคัญ แต่ว่าขณะที่อยู่โรงเรียนต้องทรงได้และทุกคนต้องมีการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามสมควร ต้องการสร้างคน ให้เป็นคนดี จึงไม่รับนักเรียนมาก

ปีหนึ่งจะรับนักเรียนไม่เกิน ๑๐๐ คน ต่อมาก็มีบรรดาประชาชนส่วนใหญ่ ให้เงินมา เพื่อสร้างโรงเรียน เพราะเงินจำนวนใหญ่ที่สร้างโรงเรียน หรือสร้างวัดนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่ได้มาจากมหาเศรษฐี ได้มาจากคนปานกลางกับคนจน มหาเศรษฐีจะมีบ้างก็บางตอน มาตอนท้าย ๆ นี่เท่านั้นแหละ มีบ้างที่ท่านให้เงินถึงล้าน มีอยู่ ๒ - ๓ ราย

นอกนั้นก็มาจากเงิน ๑๐ บาท ส่วนใหญ่จริง ๆ ทำบุญ ๑๐ บาท มาทำบุญกันต่อมา ทุนของนักเรียนมีมากขึ้น ก็ตั้งทุนว่า ถ้าใครจบ ม.๖ แล้ว ก็จะให้ทุนไปศึกษาต่อปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก คือให้ทุนถึงปริญญาเอก จะให้ทุนตั้งแต่ ม.๑ ถึงปริญญาเอก แต่ว่าถ้านักเรียนมาจากที่อื่น จะมาเข้า ม.๒ ม.๓ นี่ไม่รับ ทีนี้เมื่อดูจริยาของนักเรียน

เวลาที่เข้าไปคู่กับโรงเรียนไหน จะเห็นว่านักเรียนของเรามีความเรียบร้อยดีกว่า เวลานี้ก็มีนักเรียนเข้าเรียนทุนปริญญาตรี ได้ทุนปริญญาตรีถึง ๓๔ คน และถ้าใครได้ปริญญาตรี อยากเรียนปริญญาโท ก็จะให้ต่อ เพราะว่ากองทุนเหลือ กองทุนตั้งไว้ ๖๔ ทุน ทุนละ ๗๒,๐๐๐ บาท ต่อ ๔ ปี ก็เรียกกันว่า ให้ทุน ๗๒,๐๐๐ บาทก็แล้วกัน

ถ้าใครจะใช้เกินไปกว่านั้น ก็หาเอาเองบ้าง ขอพ่อขอแม่บ้าง แต่ปรากฏว่าขั้นปริญญาตรีนี่เกินเหลือใช้ ขั้นปริญญาตรีนี่ให้เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ๔ ปี ก็ ๗๒,๐๐๐ บาท ขั้นปริญญาโทจะให้เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ขั้นปริญญาเอกจะให้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ให้เป็นเดือน ๆ ต้องมารับเป็นเดือน ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเรียนพวกนี้ต้องปฏิบัติดี

ตามที่มีความต้องการ ถ้าปฏิบัติดีไม่ครบตามความต้องการแล้ว ก็ไม่ให้ เพราะถ้าทราบว่าไปประพฤติชั่วที่ไหน ก็เลิกให้ ไม่ใช่ให้เป็นก้อนไป ต้องคุมตัวเป็นเดือน ๆ ก็รวมความว่า เงินทั้งหมดนี้เป็นเงินที่ได้มาจากความดีของคนที่มีจิตเป็นกุศล ไม่ใช่คนที่มานั่งคัดค้าน ขั้นปริญญาเอกนี่ยังมีความรู้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มาพูด เพราะอะไร

เพราะก่อนที่จะพูดมันน่าจะถามกันก่อน และท่านอดีตรัฐมนตรีคนนั้นก็เหมือนกัน ขนาดเป็นอดีตรัฐมนตรี ท่านยังไม่ทันจะถามเลย ท่านก็ติแล้ว ติต่อหน้าต่อหน้าคุณหมอหลาย ๆ คน คนที่พามา เมื่ออาตมาตอบ คุณหมอทั้งหลายเหล่านั้นก็นั่งก้มหน้า เขี่ยเสื่อไปตาม ๆ กัน ความจริงถ้าคนดี เราก็ต้องถามกันก่อน

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักสูตรในพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้คนตำหนิคน และหลักวิชาความรู้ต่าง ๆ ถ้าจะทำ เมื่อเรียนมารู้แล้ว ต้องฝึก ไม่ใช่เรียนจบประโยค ๙ มาแล้ว ก็มานั่งอ่านเฉพาะประโยค ๙ การนั่งอ่านแบบนั้นน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่อารมณ์ฟุ้ง มีการทะนงตัวคิดว่า ฉันนี่เด่นแล้ว

เป็นเปรียญ ๙ ประโยค ผีนรกไม่รู้จักเห็นกัน พระนี่เป็นที่พึ่งของประชาชน ที่เขาบอกว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ที่พึ่งของเขาก็คือ ต้องการความสุข เมื่อเขามาหาเรา เราพยายามให้สุขแก่เขาตามสมควรที่เราจะพึงให้ได้

ไม่ใช่ให้เกินพระพุทธเจ้า และให้ถึงที่พระพุทธเจ้าให้ก็ไม่ได้เหมือนกัน ทั้งนี้ เพราะอะไร ก็เพราะว่าเราต้องให้ตามกำลังที่เราจะพึงให้ได้ ทีนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย หากว่าท่านจะถามว่า พระที่ได้ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีไหมเวลานี้ในประเทศไทย ก็ขอตอบว่า มีมาก ไม่ใช่มีน้อย คำว่า มากก็ไม่มีปริมาณเท่าเปรียญ ๙ ประโยค

เอาเป็นว่า มีเกินกว่า ๓๐ องค์ ก็ใช้ได้แล้ว ท่านอยากจะถามว่า ถ้าอย่างนั้น จะไปทำบุญได้ที่ไหนก็ขอตอบว่า เลือกเอาก็แล้วกัน ตามชอบใจของโยม โยมจะชอบนักพูดหรือนักปฏิบัติ ถ้าเวลาที่เราไม่มีจะกิน เขาก็พูดให้ฟังว่า ทำอย่างนั้นทำแบบนั้น ทำแบบนี้ ๆ ทำแบบนั้น เราก็ไม่มีทุนจะทำ อย่างนี้ท่านชอบไหม

กับอีกฝ่ายหนึ่งบอก ถ้าเราไม่มีจะกิน เขาหาให้เรากินได้ เราจะชอบแบบไหน เพราะการหาให้กินได้ ก็หมายความว่า ต้องปฏิบัติตามมันจะมีกินจริง ๆ ถ้าจะถามว่า พระที่ได้ตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป หรือสุกขวิปัสสโกขึ้นไป มีทางแนะนำในการทำมาหากินไหม ก็ขอแนะนำว่า มีแน่ ตัวอย่างในปัจจุบัน ที่เจ้าของเป็นผู้เขียนเอง

นั่นคือ วิถีชีวิตของจ่าปัญญา อ่องคล้าย แห่งจังหวัดปทุมธานี บ้านพุทธประทาน เวลานี้ท่านเจ้าของก็เขียนบันทึก พิมพ์ขาย ท่านลงทุนเอง แต่ว่าเงิน วัดได้ ท่านทำบุญกับวัด ท่านสามารถทำได้ จากฐานะเล็ก ๆ ที่เมื่อก่อนนี้ ต้องเช่าห้องเล็ก ๆ นอนด้วยกัน ๔ คน พ่อแม่ลูก เรียงตัวกันเป็นตับ พอดี ๆ

และก็มีทุนประมาณวันละ ๒๐ บาท (งบประมาณ) ว่าสามีจะใช้เท่าไร ภรรยาจะใช้เท่าไร ลูก ๒ คน จะใช้เท่าไร มาเวลานี้ก่อสร้างบ้าน ราคาประมาณ ๖๐ ล้านบาท ใช้เวลาเพียง ๔ - ๕ ปี นี่ก็จากการแนะนำของพระที่ได้วิชชาสาม และอภิญญาหก ท่านแนะนำเขา เมื่อแนะนำเขาแล้ว เขาก็ปฏิบัติจริง ๆ เอาจริงเอาจังกับวิชานั้น ถ้าหากว่าท่านอยากจะทราบ

ท่านก็ซื้อหนังสือ วิถีชีวิตของจ่าปัญญาฯ ก็แล้วกัน แล้วลองเอาไปปฏิบัติตามบ้าง ไม่ใช่มานั่งอ่านหนังสือ แล้วก็คุย ความจริงเปรียญ ๙ ประโยคนี่ ก็ผ่านมาทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ตั้งแต่อันดับต่ำ ถึงอันดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านผ่านวิสุทธิมรรคมาแล้ว เรื่องสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต นี่ท่านผ่านมาแล้ว

วิชาความรู้ที่ท่านเรียนมี แต่ท่านก็ลืมใช้ ลืมคิด กลับมาพูดว่าคนโน้น ด่าคนนี้ หาว่าฟุ้งเฟ้อไปบ้าง เป็นอุปาทานบ้าง หรือสร้างภาพพิเศษมาบ้าง บางคนก็บอกว่า สะกดจิตบ้างการทำอย่างนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท มันทำสำหรับคนเลวเท่านั้นแหละ คนดีเขาไม่ทำกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการสะกดจิตไปนั่งสะกดจิตเพื่อประโยชน์อะไร

และการฝึกก็ไม่มีค่าจ้างแรงงาน ก็สอนกันตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า อักขาตาโร ตถาคตา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ก็บอกแล้วให้ทำกัน ใครทำได้ก็ได้ ไม่ได้ก็เป็นเรื่องของคนนั้น ไม่ใช่ไปนั่งคุมจิตสะกดกัน ก็มีนักพูดบอก เขาสะกดจิตการพูดประเภทนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เขาเรียกกันว่า พูดแบบนิสัยของสัตว์นรก

เพราะอะไร เพราะมีชีวิตอยู่ก็มีชีวิตอย่างสัตว์นรก ตายไปแล้วก็ลงนรก ถามว่า รู้ได้อย่างไร ก็ต้องตอบว่า รู้ ถ้าไม่รู้จะพูดได้อย่างไร ถ้าหากว่าเขาจะไม่เป็นสัตว์นรกจริง เขาจะต้องใช้ปัญญา เขาจะต้องพิสูจน์ตัวเองว่า เรียนมาแล้วมันต้องปฏิบัติตามความจริง ท่านที่ศึกษามาก ๆ หลาย ๆ ท่านก็ดีมาก มีทั้งวิชาความรู้ด้วย และปฏิบัติตามด้วย

เรียนด้วย ปฏิบัติตามด้วย แล้วก็มีอีกมาก ๆ เหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ใช้พระพุทธศาสนาเป็นบันไดหาวิชาความรู้ แต่ว่าการหาวิชาความรู้น่ะ ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ปฏิบัติดี ไม่ได้ปฏิบัติชอบ บางท่านทำตัวเลวกว่าฆราวาสก็มี แต่ว่าเวลาต่อหน้าโยมพุทธบริษัท ทำท่าหนุมหนิม ต้วมเตี้ยม เคร่งครัดมัธยัสถ์ อย่างนี้ก็มีมาก

ถามอาตมาได้ อาตมาพร้อมจะบอก แต่จะไม่บอกว่าชื่ออะไรให้สังเกตดู เพราะการศึกษาของอาตมาศึกษาทั้งบ้านนอก และในกรุงเทพฯ การที่เรียนจบบ้านนอก เรียนจบแค่นักธรรมเอก แล้วก็ฝึกธุดงค์ ต้องการความจริงตามพระพุทธศาสนา พอเริ่มเข้ามาบวช ก็หวังจะพิสูจน์พระพุทธศาสนา ที่ท่านบอกว่า นรกมีจริง สวรรค์มีจริงอยากจะทราบ

จึงได้บวชในสำนักหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ท่านรับสอนพอวันเริ่มบวช ก็เริ่มปฏิบัติในวันนั้นทันที เข้าป่าช้าเลย ผีก็กลัวแสนกลัว และต่อมาเพียงแค่วันที่ ๓ ก็สามารถอธิษฐานจิต คิดว่าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ขณะที่ท่านเป็นมนุษย์ รูปร่างหน้าตาท่านเป็นอย่างไร อยากจะทราบ ก็นั่งทำสมาธิอยู่โคนต้นไผ่

ก็ปรากฏว่า เห็นรูปองค์สมเด็จพระจอมไตรนั่งแท่นสูง หน้าตักประมาณสัก ๘ศอก สวยงามมาก ผิวเนื้อท่านเหลืองคล้าย ๆ จีวร จีวรเหลืองกว่า เนื้อนิด ๆ รูปร่างสวยมาก ก็มีผู้ชายคนหนึ่งผิวดำ ค่อนข้างผอม ปฏิบัติท่านอยู่ ท่านเรียกว่า มหาพุฒ ท่านให้เห็นทั้งหลับตา และลืมตา และต่อมา ก็ขอพรท่านบอกว่า อยากจะท่องเที่ยวไปในสวรรค์ นรก

ท่านก็บอกว่า เวลานี้ยังท่องเที่ยวไม่ได้ กำลังใจยังไม่พอ ต้องทำอย่างนี้ ๆ ๆ ทำจิตอย่างนี้ให้เข้าใจตามความเป็นจริง คำสอนนี้ต้องเข้าใจ อย่าเชื่อหนังสือมากเกินไป หนังสือนี่เขาเขียนผิดอยู่จุดหนึ่ง คือ คำว่า ทิพพจักขุญาณ คำว่า ทิพพจักขุญาณ แปลว่า มีความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ ไม่ใช่ลูกตาเป็นทิพย์ ถ้าตาเป็นทิพย์เขาเรียก ทิพพเนตร

ต้องมีร่างกายเป็นทิพย์ นี่เรามีร่างกายเป็นเนื้อ แล้วท่านก็แนะนำ แนะนำในวิธีแห่งการปฏิบัติ ท่านถามว่า สามารถจะทำได้ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ถ้าทุกอย่างท่านตรัส จะทำทุกอย่างให้ถึงที่สุดท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นให้ออกธุดงค์ ให้ฝึกธุดงค์กับอาจารย์ คือ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานมีความชำนาญมาก และมีความฉลาดมาก มีความรู้มาก มีความสามารถเป็นพิเศษในเรื่องนี้

ก็กราบเรียนท่านว่า เวลานี้กำลังศึกษาอยู่แล้ว ท่านก็เลยบอกว่าถ้าครูบาอาจารย์แนะนำแบบไหน ให้ทำแบบนั้น ต่อจากนี้ไปให้กราบเรียนอาจารย์ว่า จะทำการฝึกธุดงค์ คำว่า ธุดงค์นี่ ฝึกในวัดเสียก่อน อย่าเพิ่งไปฝึกนอกวัด ทำธุดงค์ ๑๓ ให้ครบถ้วน จนมีความชำนาญดีแล้วการธุดงค์มี ๒ อย่าง คือ อย่างธรรมดา กับอย่างอุกฤษฏ์

อย่างธรรมดาน่ะ เดินไปบิณฑบาตเพื่ออาศัยชาวบ้านกิน อย่างนี้ดีน้อย ถ้าจะให้ดีจริง ๆ ต้องเป็นแบบอุกฤษฏ์ คือเอาอย่างดีมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า อย่างอุกฤษฏ์ ถ้าพลาดเมื่อไร ก็ตายเมื่อนั้นท่านถามว่า เสียดายชีวิตไหม ก็ตอบว่า ถ้าชีวิตจะตายเพราะความดีพร้อมตาย เวลานี้ก็เพิ่งเรียนกรรมฐานมาได้แค่ ๓ วัน

ในวันที่ ๓ ก็ปรากฏว่า มีผีมาขอบุญ ในเมื่อผีมาขอบุญ ก็อุทิศส่วนกุศลให้ เธอก็กลายเป็นเทวดาทันที ท่านก็ยิ้ม ท่านก็ตอบว่า จริง ถูกต้อง ฉันก็ทราบ ฉันเห็นว่าพวกเธอทั้ง ๓ องค์นี่เอาจริง จึงได้มาให้เห็น แล้วหลังจากนั้นก็นั่งอยู่ประมาณสัก ๒ ชั่วโมง และที่เห็นนั่น ไม่ต้องหลับตานะ ลืมตาคุยกับท่าน ชุ่มชื่นใจเหลือเกิน ดีใจมาก ดีใจว่า

ท่านมาสอนให้ และท่านมาให้เห็น ก็จึงนึกในใจว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราต้องเอาจริง ไม่ใช่เกาะเฉพาะตำราเมื่อได้ตำรามาแล้ว ต้องปฏิบัติตามตำราด้วย แล้วปฏิบัติตามความเป็นจริงด้วย คำว่า ตามความเป็นจริง หมายความว่า ตำราบางเล่มก็ใช้ไม่ได้ จะว่าใช้ไม่ได้หมดก็ไม่ได้ บางจุดก็ใช้ได้หมด บางจุดก็ใช้ไม่ค่อยได้ บางทีก็แผลงไป

อย่างคำ ทิพพจักขุญาณ แปลว่า ตาทิพย์ นี่ผิด แล้วก็เป็นหลักสูตรการเรียน ฉะนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัทจึงได้เริ่มต้นปฏิบัติตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ก็รวมความว่า ท่านที่ถามมาในตอนต้นว่า คนที่เขาเคยได้เปรียญ ๙ ประโยค เขาเขียนลงหนังสือพิมพ์ว่า การไปสวรรค์ การไปนรก เป็นการเลอะเทอะ หรือบางท่านบอกว่า ตายแล้วมีสภาพสูญ

อันนี้ไม่ตรงกับคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ตายแล้วมีสภาพไม่สูญเอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้ลืมตั้งเวลามา ก็ไม่ทราบว่า เวลามันไปถึงไหนแล้ว มันจะเลยเวลาไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


จบเล่มที่ ๑๘


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top