Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 21/5/13 at 17:31 [ QUOTE ]

ฤาษีทัศนาจร (เล่ม ๔) โดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


ฤาษีทัศนาจร เล่มที่ ๔



( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )




คำปรารภ

หนังสือออกมาได้ เพราะคณะท่านสาธุชนต้องการพิมพ์เป็นอนุสรณ์ต้นปี ๒๕๑๘ หนังสือนี้จะเป็นที่ถูกใจหรือบาดใจใคร เจ้าของเรื่องไม่สนใจ เพราะตามใจคนมากเท่าไรก็ไม่พ้นคนนินทา เรื่องตามใจคนจึงไม่มีในหนังสือนี้ และในอารมณ์ของเจ้าของเรื่อง

รูปหน้าปก ให้ออกแบบตามความโง่ในสมัยที่ท่องสวรรค์ดาวดึงส์ครั้งแรก ตามความต้องการของครูบาอาจารย์ ผู้อ่านๆแล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อ เจ้าของเรื่องก็ไม่สนใจ ใครอยากรู้จริง ขอให้พยายามปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ครบถ้วน.

ฤาษีลิงดำ

๑๘ ธ.ค. ๑๗

(สมัยนั้นโรงพิมพ์ "สารธรรม" ช่วงหนึ่งทำกันที่ "บ้านสายลม" โดยทีมงานสมัครเล่น ใครว่างก็ไปช่วยกัน)



สารบัญ

1.
ตอนที่ ๑
2. ตอนที่ ๒
3. ตอนที่ ๓
4. ตอนที่ ๔
5. ตอนที่ ๕
6. ตอนที่ ๖
7. ภาคผนวก
8. ตอนที่ ๗



1

ฤาษีทัศนาจร ๔



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย อาทิตย์นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทจะได้รับฟังเรื่องพิเศษ เพราะในตอนต้นได้ออกอากาศเรื่องพระสูตรมาแล้ว แต่ความจริงเรื่องนี้มันก็ยังไม่แล้ว แต่ทว่าเวลานี้ เป็นเวลาที่ใกล้จะถึงงานครบรอบร้อยปี หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งคณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมใจกันสร้างวัดถวายขึ้น ๑ วัด เพื่อเป็นที่ระลึกถึงความดีของพระคุณเจ้า คือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นบูรพาจารย์ของอาตมา

สำหรับวัดนี้ ที่สร้างขึ้น ท่านที่เป็นหัวหน้าชักชวนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็คือท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมทหารสื่อสาร ท.อ. และคุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ผู้เป็นภรรยา ทั้งสองท่านนี้ถือว่าเป็นต้นศรัทธา เริ่มบูรณปฏิสังขรณ์วัดท่าซุงมา นับตั้งแต่วัดท่าซุงยังมีสภาพเหมือนวัดร้าง คือ มีกุฏิรกรุงรังใกล้จะพังแหล่อยู่ ๓ หลัง แล้วมีศาลาที่มีสภาพที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่ใช้แล้ว โย้เย้ โย้ไปข้างหน้าหลังหนึ่ง โย้ไปข้างหลังอีกหลังหนึ่ง

แล้วพื้นก็เต็มไปด้วยความผุพัง หอสวดมนต์เก่าใช้อะไรไม่ได้ พระอุโบสถแตกร้าว พระวิหารพัง หอสวดมนต์เก่าซึ่งท่านเจ้าอาวาสตั้งเสามาแล้ว ๑๐ ปี ปรากฏว่าเป็นเสาปูน แต่เสาก็คงเป็นเสาอยู่อย่างนั้น ทีนี้สำหรับในกาลต่อมา อาตมาได้รับอาราธนาจากพระครูสังฆารักษ์ (อรุณ อรุโณ) เจ้าอาวาสให้มาช่วยบูรณปฏิสังขรณ์ ได้เดินทางมาเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๑๑ นับตั้งแต่บัดนั้นมาก็บูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา แล้วก็ยังช่วยทางวัดยางทำท่อน้ำ คือปั๊มน้ำถวาย

เพราะเห็นว่าพระหาบน้ำไม่สบาย เวลาจะบริโภคน้ำ พระก็ต้องหาบน้ำขึ้นมา จึงสร้างสูบโยกถวายพร้อมด้วยท่อประปา มีคุณนนทา อนันตวงศ์ แห่งจังหวัดอุทัยธานีเป็นผู้ออกสตางค์ถวาย และช่วยในการสร้างช่อฟ้าพระอุโบสถ นอกจากนั้นก็ไปสร้างที่วัดสามจีน คือวัดเสริมศรีสุขสวัสดิ์ โดยอาศัยคำขอร้องของนายช่างสำรวย สุดสะอาดหรือที่เรียกกันว่านายช่างโต๋ว เห็นว่าสถานที่นั้นมีแต่กุฏิเล็กๆ รกรุงรัง

พระที่มาอาศัยก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้ เป็นพระที่มาจากที่อื่น เมื่อมาถึงแล้วก็มักจะแสดงคุณธรรมพิเศษความพิเศษของท่าน เรียกว่าพิเศษกันจริงๆ อวดฤทธิ์อวดเดชกันอยู่พักหนึ่งแล้วก็ไป เป็นการหลอกลวงชาวบ้านให้เกิดศรัทธา แล้วทำลายศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความนับถือในพระพุทธศาสนา พร้อมกันนั้นก็ก่อสร้างวัดท่าซุงตลอดมา จึงกลายเป็นวัดที่มีหลักฐานพอสมควรที่บรรดาพุทธบริษัทได้เห็น

ครั้นต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ ก็มาดำริกันว่าควรจะสร้างอนุสรณ์สำหรับหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ซึ่งเป็นบูรพาจารย์ เพราะว่าจะครบรอบร้อยปี พ.ศ.๒๕๑๘ ดำริปรึกษากันว่าควรจะสร้างที่ไหน ก็เห็นว่าที่ตรงข้ามกับวัดท่าซุงคือมีถนนคั่น ที่ตรงนั้นเป็นเขตชิดวัด ควรจะสร้างศูนย์ปฏิบัติพระกรรมฐานขึ้น เพราะว่าหลวงพ่อปานนิยมในการปฏิบัติเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ลูกศิษย์ของหลวงพ่อปานเองก็ได้ดิบได้ดีไปมาก

ในฐานะที่พระคุณท่านหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคมีปฏิปทาหลายประการ อันเป็นเหตุยังศรัทธาปสาทะ ความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาให้เกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท แล้วท่านเอง ท่านก็เป็นนักสังคมสงเคราะห์ คือว่าสงเคราะห์บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งชาวโลกและชาวธรรม แล้วมีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาและบุคคลผู้มีคุณเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ท่านปฏิบัติตามแนวปฏิปทาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

คือพระพุทธเจ้าทรงมีปฏิปทาปฏิบัติอยู่ ๓ ประการ คือ
๑. โลกัตถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก
๒. ญาตัตถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่พระญาติ
๓. ธรรมมัตถจริยา ทรงประพฤติในด้านของธรรม
คือพระพุทธเจ้าไม่ได้มัวเมาอยู่ในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายพบพระ ไม่ว่าพระองค์นั้นจะเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ก็ดูปฏิปทาเอา ถ้ามัวเมาอยู่ในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ ไม่มีความเคารพในพระธรรมวินัย ทำตัวเยี่ยงฆราวาส ท่านผู้นั้นไม่ใช่พระในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าถือว่าเป็นเดียรถีย์

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจำให้ดี หลวงพ่อปานมีประโยชน์ มีประโยชน์แก่ญาติ มีความกตัญญูรู้คุณพระพุทธเจ้า ทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสอนให้ท่านพุทธบริษัทชายหญิงมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จนกระทั่งบุคคลผู้มีความเลื่อมใสรักษาศีล ๒ ประการได้อย่างมั่นคง นั่นก็คือไม่ดื่มสุราเมรัย และไม่ทำอทินนาทาน ไม่ลักไม่ขโมยของใคร หลวงพ่อปานไม่เคยเรี่ยไรใคร

มีแต่คนทั้งหลายที่มีความเลื่อมใสไปบำเพ็ญกุศลกับท่าน แล้วหลวงพ่อปานก็มีประโยชน์กับบรรดาท่านพุทธบริษัทหลายด้านด้วยกัน คือ ๑.สงเคราะห์ในความเป็นอยู่ ถ้าคนทั้งหลาย ใครเขามีความอดอยาก อย่างชาวจังหวัดสุพรรณบุรีมีอยู่ครั้งหนึ่ง ความจริงเหตุนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ทว่าอาตมาจะขอนำมาเพียงสักครั้งหนึ่ง คราวนั้นจังหวัดสุพรรณบุรี เขตอำเภอสามชุกและเดิมบาง อดอยากกันมากถึงกับต้องกินขุยไผ่

หลวงพ่อปานก็จัดการทอดกฐิน วัดทั้งหลายที่ตกค้างในสถานที่นั้น แล้วนำข้าวปลาอาหารผ้าผ่อนท่อนสไบ ได้บอกบุญกับบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายให้นำข้าวไปแจก นำอาหารไปแจก นำเสื้อผ้าไปแจก ปรากฏว่าได้ข้าวสารไปหลายสิบเกวียน อาหารพวกปลาน้ำจืดบ้าง ปลาน้ำเค็มบ้าง กะปิน้ำปลาบ้าง มีเสื้อผ้ามากมายด้วยกันนี่ด้านหนึ่งที่หลวงพ่อปานสงเคราะห์เป็นโลกัตถจริยา

สำหรับญาตัตถจริยา หลวงพ่อปานถือว่าคนที่เกิดมาในโลกเป็นญาติทั้งหมด จึงได้สงเคราะห์ด้วยการรักษาโลก ด้วยการสอนธรรมบ้าง แนะนำในการบำเพ็ญกุศลบ้าง สำหรับธรรมมัตถจริยา ก็สอนในด้านสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งบรรดาลูกศิษย์ของท่านหลายท่านด้วยกันมีความดีเกินกว่าที่อาตมาทรงอยู่ นี่หลวงพ่อปานมีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมครูมาก

เมื่อถึงเวลาครบรอบร้อยปีของหลวงพ่อปาน คือ วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ ความจริงนับตามจันทรคติ หรือสุริยคติก็ไม่ทราบ ไม่ค่อยรู้เรื่องกับเขา ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ คณะศิษยานุศิษย์มีท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ กับคุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา สามีภรรยาทั้งสอง พร้อมไปด้วยบรรดาท่านพุทธบริษัทส่วนมาก มากด้วยกัน จนกระทั่งนับจะไม่ไหวอยู่แล้ว ที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว

จึงได้หารือกันว่าควรจะสร้างสถานที่สักแห่งหนึ่งเป็นอนุสรณ์บูชาคุณความดีของหลวงพ่อปาน ก็พอดีคุณหญิงเยาวมาลย์กับ ดร.เดือน บุนนาค ได้นำพระประธานมาถวายเข้าไว้ แต่ยังไม่มีพระอุโบสถ จึงกำหนดซื้อที่กันใหม่ ที่ ๑๒ ไร่ ตั้งใจว่าจะสร้างพระอุโบสถ เมื่อดำริในการสร้าง อาตมาก็นึกเดาเอาในใจว่า ในฐานะที่เรามีบริษัทใหญ่ มีบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนา

ท่านทั้งหลายพวกนี้ ท่านมีความเคารพอย่างจริงใจ คิดว่าโบสถ์หลังนี้เมื่อสร้างขึ้นแล้ว วัตถุภายในที่เป็นเครื่องประดับไปประกอบเป็นพุทธบุชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จะมีราคาเป็นเรือนแสน แต่ว่าถ้าสร้างแต่โบสถ์เข้าไว้ ที่วัดท่าซุงนี้เคยมีคนมางัดโบสถ์เอาของไปประมาณ ๖ – ๗ ครั้ง นี่ก็เป็นที่น่าสลดใจ เพราะท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปกครองพระไม่ได้สนใจ ของเสียหายในวาระแรกก็ควรจะกำหนดทางป้องกัน

แต่นี่ท่านไม่ได้ทำกันแบบนั้น ท่านปล่อยให้ถูกงัดได้ถึง ๖ – ๗ ครั้ง จึงมาคิดในใจว่า ถ้าสร้างแต่โบสถ์ไว้อันตรายมันจะมี เพราะทรัพย์สินที่จะมีปรากฏในพระอุโบสถนี้จะมีราคาเป็นเรือนแสน นี่เดาเอา ก็เลยคิดต่อไปว่า ถ้าจะสร้างพระอุโบสถก็ต้องสร้างกุฏิด้วย ล้อมพระอุโบสถเข้าไว้ ทำกำแพงล้อมรอบ ให้เป็นขอบเขต เพื่อเป็นการช่วยกันรักษาวัตถุของสงฆ์ สมบัติของสงฆ์ที่มีอยู่ในพระอุโบสถ

จึงได้กำหนดลงมือกันตั้งแต่วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๗ แล้วก็กำหนดการแล้วเสร็จไม่เกินเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ใช้เวลา ๒๔ เดือน อาคารที่ทำการก่อสร้างที่เกิดขึ้นมาแล้วเวลานี้ใกล้จะครบถ้วน คือพระอุโบสถจะยกช่อฟ้าได้วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ แล้วก็สำหรับวันเกิดหลวงพ่อปาน วันเกิดและวันมรณภาพตรงกัน ได้แก่ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ตรงกับวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ งานนี้จะมีพระสุปฏิปันโนมามาก ได้อาราธนาไว้แล้ว

เดิมว่าจะอาราธนา ๙ รูปด้วยกัน เวลานี้รวมได้แล้ว ๑๑ รูป ทั้งนี้ ก็เพราะว่าท่านขออภัยไว้ ถ้ามีอาการป่วยไข้ไม่สบายก็มาไม่ได้ ถ้าไม่มีการป่วยไข้ไม่สบายท่านก็มาได้ อันนี้ก็น่าเห็นใจบรรดาท่านพุทธบริษัท การที่จะรวบรวมพระสุปฏิปันโน คือปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามระบอบพระธรรมวินัยโดยตรง อันนี้เป็นของหายาก แล้วทำยังไงจะได้พระทั้งหลายเหล่านี้มาในงาน เพื่อเป็นมิ่งขวัญของบรรดาท่านพุทธบริษัท

อาตมาเองก็ต้องออกเดินทาง จึงนำคณะไปทางสายเหนือ เพราะทราบว่ามีอยู่สายนั้น ความจริง ทางสายอีสานก็มี แต่ไม่ได้รับอนุมัติจากครูบาอาจารย์ เพราะว่าไกลเกินไป แล้วอีกประการหนึ่ง การไปการมาก็ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายเหนือจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง อันนี้มีอยู่มากท่านด้วยกัน ก็ไปสืบแสวงหาได้ไว้ประมาณ ๑๑ องค์ ทั้งจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดชัยนาทด้วย

ความจริงยังมีมากกว่านี้ แต่ทว่า ที่เอามาเท่านี้ก็เพราะว่า ถ้าพบกันสนทนากัน ท่านยอมรับในการมาเพราะเป็นเวลาเข้าพรรษา พระผู้ทรงความดีประเภทนี้ ท่านไม่ค่อยจะสัตตาหะนัก ถ้ากิจนั้นไม่เป็นการสมควร แต่ว่ากิจนี้ถือว่าเป็นกิจใหญ่ในพระศาสนา การมาเพื่อเป็นการเจริญศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่ออาตมาไปนิมนต์ ท่านก็มา ตามปกติ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระที่ทรงความดี ท่านมักจะเย็บปากของท่านเสีย

ท่านไม่พูดความดีให้ปรากฏแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าท่านเกรงว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่มีความเข้าใจว่าพระอริยเจ้าเวลานี้ไม่มีแล้วในเขตของประเทศไทย หรือว่าไม่มีแล้วในเขตของพระพุทธศาสนา หากว่าท่านแสดงตัวให้ปรากฏ องค์สมเด็จพระสัมมสัมพุทธเจ้าก็จะปรับเป็นโทษ เพราะว่าเป็นการไม่สมควร แต่ว่าจะทำยังไงล่ะ!

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จึงจะทำพระพวกนี้ให้เผยเปิดปากออกมา รับว่าปฏิปทาของท่านอยู่ระดับไหน อย่างนี้ ถ้าเราจะทำไปแบบปกติไปถามว่า พระคุณเจ้าขอรับ เวลานี้พระคุณเจ้าได้ฌานสมาบัติชั้นไหน พระคุณเจ้าได้อริยมรรค อริยผลชั้นไหน ถ้าถามแบบโง่ๆ แบบนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย โอกาสไม่มีแน่ แต่ทว่าอาตมามีกุญแจสำหรับไขปากพระ กุญแจไขปากพระนี่บอกบรรดาท่านพุทธบริษัทไม่ได้ เพราะกุญแจนี้มันเป็นกุญแจกล

ตามธรรมดาคนที่เขาเป็นคนครบถ้วนน่ะ เขาไม่ใช้กัน ต้องเป็นคนแบบอาตมานี่ คืออาตมานี้เป็นคนกึ่งลิงกึ่งคน หมายความว่ากึ่งมนุษย์กึ่งเดรัจฉาน จึงได้ให้สมญาตัวเองว่า ฤาษีลิงดำ ความจริงคำว่าฤาษีลิงดำนี่มีคนเขาสงสัย ท่านกำนันเยี่ยมแห่งจังหวัดนครสวรรค์ เห็นจะเป็นเขตวัดดอนมะฝ่อ ไม่ทราบว่าตำบลอะไร ท่านผู้นี้เป็นช่างที่มีความสำคัญมาก อาตมาไว้วางใจในการก่อสร้าง ได้มาช่วยในการสร้างพระอุโบสถวิหารการเปรียญมากมาย

มีคนสงสัยว่า ทำไมที่วัดนี้จึงยกป้ายว่า อาศรมฤาษีลิงดำ ชาวบ้านก็สงสัย เพื่อป้องกันความสงสัยของท่านพุทธบริษัท (ขออธิบายว่า) นามนี้ปรากฏขึ้นมาเพราะว่า หลวงพ่อปานท่านเรียกอาตมาว่าไอ้ลิงดำ เพราะตัวมันดำ แล้วก็มีเพื่อนอีก ๒ คน คือไอ้ลิงขาว กับไอ้ลิงเล็ก เป็นอันว่าอาตมานี่กลายเป็นสัตว์เดียรัจฉาน นับตั้งแต่วันอุปสมบทเป็นต้นมา ชาวบ้านเขาบวชกันแล้วเป็นพระ แต่อาตมาบวชแล้วเป็นเดรัจฉาน

ความจริงมันก็โก้ดี อาตมาเห็นว่านามที่หลวงพ่อปานเรียกนี้เป็นมงคลนาม จึงได้ใช้ตลอดมา “ฤาษีลิงดำ”ที่ใช้คำว่าฤาษี ก็เพราะว่าปฏิปทาของอาตมาเองไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านเขา ถ้าไปใช้คำว่าพระ บรรดาพระที่มีปฏิปทาไม่เหมือนท่านจะหาว่าอาตมาเป็นพระที่เลวทราม เลยตัดคำว่าพระข้างหน้าออกเสีย ใส่คำว่า “ฤาษี” จะได้ไม่เป็นเหตุทำลายศักดิ์ศรีของบรรดาภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

ทีนี้มาว่ากันถึงกุญแจกล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ที่เราจะไปไขปากพระกัน เพราะว่าบรรดาพระที่ทรงความดีทั้งหลาย ท่านเอาตะปูตอกปากของท่านเสียหมด ท่านไม่ยอมพูด ความจริงท่านก็พูดไม่ได้ ถ้าพูดแล้วก็เป็นการผิดพระวินัย การได้เอง พูดเอง เป็นการอวดอุตริมนุสธรรม เขาว่ากันยังงั้น ถ้าหากความคิดประเภทนี้มีขึ้นในใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ขอให้กลับไปอ่านพระวินัยเสียใหม่

คำว่าอวดอุตริมนุสธรรมนี้ ท่านลงท้ายว่าไม่มีในตน คนที่ไม่มีความดี ไม่ได้ฌานสมาบัติ ไม่ได้อริยมรรค อริยผล ไปอวดเข้า องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาทรงปรับเป็นโทษ คือขาดจากความเป็นภิกษุ ที่เรียกว่าอาบัติปาราชิก จะบวชใหม่ต่อใหม่มันก็ไม่ติด ทีนี้จะทำยังไง วิธีไขปากพระ อาตมาก็เดินทางไปในภาคเหนือตามพระพุทธบัญชา ท่านทั้งหลายอาจจะสงสัยว่าพระพุทธเจ้าท่านมาสั่งเมื่อไร

อาตมาก็จะขอบอกว่า สั่งไว้ตั้งแต่เมื่ออาตมาบวช หรือว่าสั่งไว้ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา วิธีสั่งของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีอะไรมาก คือสั่งให้เราสร้างปฏิปทาของเราให้เข้าไปใกล้เคียงพอที่จะรู้กันได้ เมื่อพอจะรู้กันได้แล้วมันก็มีกุญแจกลเกิดขึ้นเอง กุญแจนี้เป็นกุญแจทิศ เมื่อถึงเวลาคิดว่าในงานวันครบรอบร้อยปีหลวงพ่อปานก็ดี วันยกช่อฟ้าก็ดี วันฝังลูกนิมิตก็ดีจะต้องอาราธนาพระผู้ทรงความดีประเภทนี้มาชุมนุมกัน

เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทให้ได้ และหลังจากนั้นไปก็ขอพรจากท่านทั้งหลาย ว่าปีหนึ่งก็ขอให้มาชุมนุมกันครั้งหนึ่ง อาจจะขยายมากออกไปเกินกว่า ๑๑ องค์ก็ได้ ความจริง ขอโทษ เวลานี้นิมนต์ไว้ได้แล้ว ๑๒ องค์ แต่เวลามาจริงจะครบหรือไม่ครบก็ไม่ทราบ เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็แก่เหลาเหย่ไปตามๆ กัน ร่างกายก็แก่ แล้วก็กำลังวังชาก็น้อย ความป่วยไข้ก็มาก แต่ว่าในฐานะเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมมีความอดทนเป็นของธรรมดา

สิ่งใดถ้าทำเข้าไปแล้ว ถ้าปรากฏว่า จะเป็นประโยชน์แก่ท่านพุทธบริษัท ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะปฏิบัติแม้ตัวจะตายก็ยอม เมื่ออาตมาทราบปฏิปทาของท่าน ก็ออกเดินทางไปสายเหนือเอากุญแจไปไขปากพระตามลำดับ ไขไปไขมา ไขมาไขไป สายเหนือไขได้ ๘ ปาก ๘ หรือ ๙ ๙ ปาก ไม่ใช่ ๘ วิธีไขนี่เขาไขกันยังไง ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาตมาจะไม่อธิบาย บางองค์ก็ไขง่าย บางองค์ก็ไขยาก แต่ว่าจะไขง่ายหรือไขยากก็ตามที

สูตรแห่งการไขมันมี พอเอาลูกกุญแจไปแตะพั๊บ ไม่ทันจะใส่ช่องกุญแจ แล้วไม่ทันจะลงมือไข ประตูปากของท่านก็เปิดทันที แต่ว่าทั้งนี้จะต้องรู้จากลีลาซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ไปถามกันตรงๆ ว่า พระคุณท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าขอรับ ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วพระสุปฏิปันโนที่มานี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้ ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องพูดความจริงกัน ความชั่วน่ะ เราพูดกันมากได้ ความดีทำไมเราจะพูดไม่ได้

ก็ขอเรียนให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทราบว่า พระที่จะมาในงานนี้ เป็นพระระดับดีที่ไม่ยอมเกิดอีกแล้ว หมายความว่าเข้าถึงความสุขสูงสุด จบกิจของพระพุทธศาสนา เป็นทองคำ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์บริสุทธิ์แท้ ถ้าเป็นทองคำ ถ้าเป็นเพชรก็เป็นเพชรน้ำหนึ่งจริงๆ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ในงาน ๒ งานนี้ คืองานครบรอบร้อยปีหลวงพ่อปาน วันที่ ๖ สิงหาคม

กับวันที่ ๑๐ สิงหาคม เป็นวันยกช่อฟ้าพระอุโบสถ ก็ได้อาราธนาพระคุณเจ้ามาในงานนี้ สำหรับวันที่ ๖ สิงหาคม คงจะยังมาไม่ครบถ้วน เพราะท่านชรามาก เอามาแต่เฉพาะท่านที่มีร่างกายแข็งแรงเท่านั้น สำหรับท่านที่มีร่างกายไม่แข็งแรง ก็ขออาราธนามาตั้งแต่วันที่ ๙ สิงหาคม อยู่วันที่ ๑๐ สิงหาคม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันที่ ๑๐ สิงหาคม ทางเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้าภาพทั้งหลาย

อาตมาถือว่าคนทุกคนที่เสียสละทรัพย์เข้ามาสร้างร่วมกัน จะมากก็ตาม น้อยก็ตาม ทุกคนเป็นเจ้าภาพร่วมกันหมด โดยส่วนที่ท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ใกล้ชิด และพระบรมวงศานุวงศ์ ได้ทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมายกช่อฟ้า เวลานี้พระองค์ทรงรับด้วยวาจาว่าจะมา คือมีกระแสพระราชดำรัสด้วยพระวาจา ยังไม่มีลายลักษณ์อักษรยืนยันว่าจะมาพร้อมทั้งองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ

เพราะบอกรับกับคุณหญิงสุวรรณภาว่าใกล้กับวันประสูติของพระองค์ วันที่ ๑๒ สิงหาคม เรายกช่อฟ้าวันที่ ๑๐ สิงหาคม ท่านก็บอกว่าอยากจะมาร่วมบำเพ็ญกุศล แต่ทั้งนี้ ถ้าหากว่าไม่มีกิจอื่นสำคัญ เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ย่อมมีภาระสำคัญอยู่มาก หากว่าไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค บรรดาท่านพุทธบริษัท วันนั้นท่านจะเสด็จมายกช่อฟ้า จำคำนี้ของอาตมาไว้นะว่าถ้าไม่มีอุปสรรคสำคัญท่านจะเสด็จ

หากว่ามีเอกสารยืนยันมาเมื่อไหร่ จะแจ้งให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบ คือว่าจะแจ้งไว้ที่สถานีวิยุ ๐๔ นี่ ให้ประกาศให้ท่านพุทธบริษัททราบ แต่ว่าพระสุปฏิปันโนนั้นมาแน่ บรรดาท่านพุทธบริษัทหวังการสงเคราะห์ วิธีการไขปากพระ เป็นวิธีที่ไม่ยากนะ แต่ว่ายากสำหรับท่านพุทธบริษัทที่ยังไม่เข้าใจวิธีไขปากพระ นี่เวลานี้ก็เหลือเวลาอีก ๓ นาที อาตมาก็ขอชวนเชิญญาติโยมบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า

วันที่ ๖ สิงหาคมเป็นวันครบรอบร้อยปีของหลวงพ่อปาน วันนั้นอาตมาอาราธนาบรรดาพระสุปฏิปันโนบางท่านมาร่วมในคณะ และบรรดาท่านพุทธบริษัทจะเห็นกะเหรี่ยงโสดาบัน ซึ่งมาจากอำเภอลี้ จังหวัดลำปาง เป็นชาวเขามาร่วมในงานนี้ประมาณ ๒ คันรถบัส แล้วก็ยังอาราธนาพระคุณเจ้าพระราชาคณะที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ คือพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ยังไม่ทราบว่าจะได้กี่องค์ นิมนต์ไว้ประมาณ ๒๐ องค์

แล้วก็พระสงฆ์ผู้ทรงอันดับ พระอันดับก็จะมีมาเกิน ๑๐๐ รูป ในงานนี้ขอเชิญบรรดาท่านพุทธบริษัทมาในงาน บางทีถ้าไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคก็จะมีงานฟ้อนกะเหรี่ยง คำว่าฟ้อนกะเหรี่ยงก็คือการรำดาบแล้วก็ฟันดาบ เป็นชาวกะเหรี่ยงแท้ไม่ใช่กะเหรี่ยงปลอมมาจากกรมศิลปากร เอากะเหรี่ยงจากในดอยเข้ามาฟ้อนรำดาบให้ท่านดู ท่านจะได้ดูลีลาในการรำดาบว่า นักรบเก่าของเราเขาทำกันอย่างไร

พวกนี้ยังรักษาวิธีการคือวิชาการนั้นไว้ เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาทิตย์นี้เห็นจะหาสาระอะไรไม่ได้มากนัก เวลามันก็หมดเสียแล้ว ก็ขออำลาบรรดาท่านพุทธบริษัทไปก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/5/13 at 17:32 [ QUOTE ]


2
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๑๘ ความจริงทุกๆ อาทิตย์ ลืมบอกวันไปต้องขออภัยต่อบรรดาท่านพุทธบริษัทด้วย อาทิตย์ที่แล้วได้พูดถึงเรื่องไขกุญแจปากพระ เมื่อไขเสร็จทุกองค์เรียบร้อยแล้ว พระทุกองค์ท่านรับและการรับก็ไม่ใช่บอกว่าผมเป็นพระอรหันต์นะขอรับ แล้วก็ผมเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา หรือว่าผมได้ฌานสมาบัติ ไม่ใช่รับแบบนี้ วิธีไขเขาก็ไขเพื่อรู้กันโดยนัย

แบบเดียวกันกับคนกินเหล้าย่อมรู้ลีลาของคนกินเหล้า คนรักษาศีล รู้ลีลาของคนรักษาศีล เมื่อไขปากท่านเสร็จ ตานี้อาตมาเองน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่แล้วว่าอาตมาน่ะ มันครึ่งคน ครึ่งสัตว์เดรัจฉาน เมื่อไขปากท่านยอมรับแล้ว ก็พาบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาไปนมัสการพระคุณเจ้าทุกท่าน เป็นอันว่าปีนี้มีบรรดาท่านพุทธบริษัทมากด้วยกันไปนมัสการ

และถวายจตุปัจจัยแก่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่เรียกว่าเป็นยอดสุปฏิปันโน เอ อาตมาพูดนี่ พูดไม่เกรงใครเขาจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเวลาที่เขาบูชาโลกธรรมกันทำไมเขาจึงบูชาได้ เมื่อจิตใจมัวเมาอยู่ในโลกธรรมแล้ว จะเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าได้ยังไง ความเป็นอริยะจะปรากฏแก่จิตใจได้ยังไง คนเมาจะมีสติสัมปชัญญะได้แบบไหน นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้อาตมาไม่หวาดหวั่นต่อภัยใดๆ ทั้งหมด

เพราะถือว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคตศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า การบวชนี่ไม่ใช่บวชเพื่อขึ้นกับบรรดาอลัชชีทั้งหลาย ขึ้นตรงเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าพระคณะไหนหมู่ไหนไม่สมควรจะร่วมคณะกับท่าน อาตมาก็พร้อมแล้วที่จะประกาศตัวตนเป็นพุทธนิกาย เวลานี้อาตมาเองก็ไม่ถือนิกายใดนิกายหนึ่งเป็นของสำคัญ ถือปฏิปทาเท่านั้นเป็นของสำคัญ จะเป็นธรรมยุติก็ดี มหานิกายก็ดี หรือนิกายใดๆ ก็ตาม

ถ้ามีความดีก็อยู่ อยู่ร่วมกับอาตมาได้ อาตมาจะดำเนินปฏิปทาแบบรวมสหนิกาย ถ้าพระองค์ไหนไม่มีการถือตัวถือตน ไม่บูชากิเลสก็รวมกับอาตมาได้ ถ้ายังถือตัวถือตนยังบูชากิเลสอยู่ก็รวมไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของท่าน ในเมื่อท่านไม่อยากจะรวมอาตมาไม่รวมไม่เห็นจะแปลกอะไร เพราะการบวชเข้ามานี้ไม่มีใครส่งเสียให้กินให้ใช้ นี่หมายถึงพระนิกายต่างๆ อาตมาเลี้ยงตัวเองโดยเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องเลี้ยงตัว

สร้างศรัทธาปสาทะให้เกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้ที่เลี้ยงอาตมาจริงๆ คือบรรดาท่านทั้งหลายนับถือพระพุทธศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ คณะสงฆ์ คำว่าคณะสงฆ์นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาอายท่านเหลือเกิน มีบุคคลบางหมู่บางเหล่าที่แต่งกายอย่างพระนำเอาปฏิปทาที่ไม่ชอบไม่ควรมาใช้ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ใช้นามว่าคณะสงฆ์ มีปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามเข้ามาใช้กัน แต่บางท่านก็เป็นคนกลุ่มใหญ่

บางท่านก็เป็นคนมีศักดิ์ศรีใหญ่ แต่ทั้งนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าคิดว่าท่านที่มียศฐาบรรดาศักดิ์จะเลวเสมอไปทุกท่าน ไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ ถ้าพระราชาท่านถวายด้วยความเลื่อมใส ท่านก็จำจะต้องยอมรับไว้เพื่อเป็นการสนองพระราชศรัทธา แล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อมียศฐาบรรดาศักดิ์ที่พระราชาทรงถวายแล้ว ท่านไม่เมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข พระประเภทนี้บูชาได้

ถ้าจะถามว่ามีที่ไหนอาตมาก็ตอบไม่ได้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมองดูกันเอาเองก็แล้วกัน แล้วอีกมุมหนึ่งก็จงมองไว้ด้วยว่า พระที่มีอำนาจในการปกครอง ถ้าบังเอิญมีพระในขั้นปกครองในระบบที่ท่านปกครองอยู่ปฏิบัติไม่ถูกไม่ต้องตามพระธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน แล้วท่านที่มีอำนาจปกครองนั้นไม่ลงโทษ ไม่จัดการให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยก็จงทราบว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ท่านมีใจไม่ใช่พระเหมือนกัน

เพราะว่าถ้าพระผู้ใหญ่มีใจไม่ใช่พระ คนในปกครองทั้งหมดก็ต้องไม่ใช่พระ ก็หากว่าถ้าผู้ใหญ่ปฏิบัติเลว ไม่เคารพในพระธรรมวินัยแล้วบุคคลผู้ใต้บังคับบัญชาไปเคารพเข้า ก็จะมีความเดือดร้อนเพราะเลวไม่เท่ากัน นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านดูกันไว้ ที่พูดนี้ไม่เกรงใจใคร เรื่องที่จะมานั่งเกรงใจกัน เมื่อไม่อยากเป็นพระก็เชิญสึกออกไปซี จะมาเอาศักดิ์ศรีของพระพุทธศาสนาไปย่ำยีเพราะประโยชน์อะไร

การที่นักบวชทั้งหลายไม่ปฏิบัติตนตามพระธรรมวินัยเป็นการทำลายชาติศาสนาโดยตรง เพราะว่าคนที่เขาไม่นับพระพุทธศาสนาอยู่ก่อนก็จะคิดว่าสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะเลวเหมือนกันหมด ไอ้ความชั่วร้ายทั้งหลายเหล่านี้มันไปกระทบกระเทือนพระพุทธเจ้าเข้าด้วย นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เลือกบูชาพระกันตามชอบใจ หากว่าท่านอยากจะเป็นเปรตก็บูชาเปรต

คือบุคคลที่ไม่เคารพในพระธรรมวินัย หากว่าอยากจะเป็นสัตว์นรกก็บูชาสัตว์นรก คือพวกทำลายพระธรรมวินัย อยากจะไปสวรรค์ อยากจะไปพรหม อยากจะไปนิพพานก็บูชาพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามพระธรรมวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บูชาพระสุปฏิปันโนผู้ทำลายกิเลสได้แล้ว ท่านก็จะถึงพระนิพพานได้ง่าย ความจริงเรื่องของพระนิพพานนี่เป็นเรื่องธรรมดาๆ ไม่มีอะไรเป็นของยากหรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่ามันจะยากหรือไม่ยาก

ก็ขึ้นกับบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีการคบหาสมาคม พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้ในมงคล ๓๘ ว่า อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ท่านกล่าวว่าจงอย่าคบคนพาล ถึงแม้ว่าเราจะไม่พาลด้วยเราก็พลอยเสียไปด้วย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะคนพาลมีสภาพเหมือนสุนัขเน่าหรือของเน่า เราเป็นเสมือนหนึ่งใบบอนหรือว่าใบตอง เราเอาไปห่อของเน่า

แต่ความจริงใบบอนหรือใบตองนั้นไม่เน่า ถึงแม้ว่าเราจะโยนของเน่าออกไปแล้ว แต่กลิ่นเหม็นมันก็ยังติดใบบอนหรือใบตองอยู่ นี่องค์สมเด็จพระบรมครูสอนไว้อย่างนี้ หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทไปบูชาอลัชชีซึ่งตัวเขาเองจะต้องลงสู่อบายภูมิ มีนรกเป็นต้น แล้วท่านจะไปไหนล่ะ ท่านจะไปไหนก็ต้องไปตามกัน เมื่อหัวหน้าเดินหน้าไปแล้วท่านอยู่ข้างหลัง ท่านก็ต้องตามเขาไปด้วย ช่วยกันลงนรกให้นรกมีงานไม่ว่าง

เป็นการสงสารนายนิริยบาลผู้รักษานรก เพราะมิฉะนั้นแล้วแกก็จะไม่มีงานทำ ถ้าหากว่าเราบูชาพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในด้านโลกียวิสัยเพื่อฌานโลกีย์ ท่านก็จะมีเหตุได้ผลเกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา หรือพรหม ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายบูชาพระอริยเจ้า ท่านก็จะเห็นว่าพระนิพพานเป็นของง่ายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถ้ามันเป็นของยากจริงๆ ตามที่ท่านกล่าวไว้ในตำราต่างๆ องค์สมเด็จพระบรมสุคตก็คงจะไม่บอกว่าการไปนิพพานเป็นของง่าย

นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง นิพพานไม่ได้แปลว่าสูญโญ ที่นี้คำว่าสุข ถ้าไม่มีส่วนแห่งการรับสัมผัส ที่เขาบอกว่านิพพานน่ะสูญไม่มีสภาวะใดๆ ท่านทั้งหลายก็ลองคิดดูว่าถ้าสภาวะมันไม่มี เราก็จะรู้ได้ยังไงว่ามันสุขหรือมันทุกข์ อาการที่มันจะสุขหรือมันจะทุกข์นี่ก็ขึ้นอยู่กับอาการรับสัมผัส

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การบูชาพระ อย่าบูชาเฉพาะหน้า อย่าบูชายศฐาบรรดาศักดิ์ อย่าบูชาตำแหน่ง คือควรบูชาปฏิปทาของท่าน ท่านจะมีตำแหน่งหน้าที่นั้นอย่าไปตำหนิท่าน ท่านจะมียศฐาบรรดาศักดิ์ก็อย่าไปตำหนิท่าน ดูปฏิปทาของท่าน ถ้าปฏิปทาการปฏิบัติของท่านดี ใช้ได้ ไม่ต้องไปดูยศฐาบรรดาศักดิ์ ที่นี้สำหรับอาทิตย์ก่อน ได้พูดถึงกุญแจไขปากพระ เมื่อไขเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาตมาก็ยังไม่หยุดเรื่อง

นิสัยลิงมันเป็นยังงั้น นี่ลิงมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่สัตว์เดรัจฉานอย่างลิงนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันซน มันอยู่สุขไม่ได้ แต่อาตมานี่ ไม่ได้เป็นลิง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ บวกหมาเข้าไว้ด้วย เพราะไอ้เพื่อนๆ สองคนที่เข้าไปอยู่ป่า เวลาหลวงพ่อปานพูดอะไร ที่อาตมาสงสัยก็ชอบถาม จนกระทั่งเพื่อนทั้งหลายบอก ไอ้นี่มันปากหมานี่ อาตมาเองก็เลยเป็นลูกอาแจ เป็นทั้งลิงทั้งหมาบวกกัน ถ้าใช้แต่ลิงอย่างเดียว ก็มีหน้าที่ซน กวนพระเท่านั้น

ตานี้เวลาไป ไม่ได้ใช้สมาบัติลิงอย่างเดียวใช้สมาบัติหมา สมาบัตินี่เขาแปลว่าการเข้าถึง การเข้าถึงความเป็นลิงและเป็นหมาร่วมกัน เมื่อไขกุญแจพระเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้ปฏิปทาสมาบัติหมา เห่าหอนรบกวนท่านต่อไป คือกราบเรียนท่านทั้งหลายว่า เวลานี้ประเทศชาติกำลังเร่าร้อน แล้วองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสฝากพระศาสนาไว้กับประเทศไทย เพราะองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา

ถึงแม้ว่าจะประกาศพระศาสนาเริ่มต้นที่ประเทศอินเดียก็ตามที แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงมีญาณพิเศษ สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ไม่ได้ฝากพระศาสนาไว้ที่ประเทศอินเดีย ทรงพยากรณ์ว่าดินแดนแห่งประเทศไทย มีดินแดนโยนก แล้วก็อริฏฐะนคร ได้แก่เชียงแสนและลำพูน แล้วก็มาสายพิษณุโลก สระบุรี องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้กล่าวว่าในสถานที่นี่ จะเป็นสถานที่รักษาพระศาสนาไว้ได้ครบห้าพันปี

อาตมาถือเหตุนี้เป็นสำคัญ จึงได้ใช้สมาบัติหมาเห่าหอนพระทั้งหลายเหล่านั้นต่อไปว่า เวลานี้ขอบเขตที่พระทรงธรรมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝากพระพุทธศาสนา คือฝากฝังไว้ว่า พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ในที่นี้ครบห้าพันปี ขณะนี้กำลังถูกการย่ำยีจากข้าศึกทั้งภายในและภายนอก กำลังจะทำลายทั้งชาติและศาสนาให้พินาศไป สถาบันพระมหากษัตริย์บอกไม่ถูก ถึงกับเขาเขียนจดหมายเข้าไปด่าพระบรมราชินีอย่างหยาบคาย

ซึ่งพระองค์ทรงตรัสมากับคุณหญิงสุวรรณภา สังขดุลย์ เขาด่าแบบชาวบ้านด่ากัน ด่าพระบรมราชินีนาถ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เหมือนกัน เขาก็จดหมายด่าเข้าไป อย่านำคำด่ามากล่าวในที่นี้เลย บรรดาท่านพุทธบริษัท มันหยาบคายมาก เพราะว่าทั้งๆ ที่องค์พระมหากษัตริย์กับพระบรมราชินีนาถ พระบาทท้าวเธอทั้งสองพระองค์มีความจงรักภักดีกับพสกนิกรของพระองค์

ทรงทำความดีทุกอย่างไม่เคยเบียดเบียนราษฎร มีอย่างเดียว ถ้ามีอะไรจะเกิดประโยชน์กับราษฎร พสกนิกรของพระองค์ พระองค์ทำทุกอย่าง เหน็ดเหนื่อยทุกอย่างด้วยประการทั้งปวง เยี่ยมเยียนราษฎรทั้งที่เขาประกาศตนจะเป็นศัตรูกับประเทศชาติ พระบาทท้าวเธอก็ไม่ทรงท้อถอย เยี่ยมเข้าไปถึงแดนกะเหรี่ยง แดนชาวเขา แดนชาวป่า พร้อมไปด้วยสมเด็จพระบรมราชินี และพระราชโอรสพระราชธิดาก็ทำร่วมกัน

อันตรายใหญ่จะเกิดแก่ชีวิตของพระองค์เมื่อไหร่ก็ได้ แต่พระองค์ทั้งหมดก็สละแล้วซึ่งชีวิต เพื่อความสุขของพสกนิกรของพระองค์ สิ่งใดที่ราษฎรเดือดร้อน สมัยก่อนฝนแล้ง เราหาฝนกันไม่ได้ แต่พระองค์ก็สามารถจะเสกฝนให้เกิดขึ้นมาได้ เราใช้คำกันว่าเสก ไอ้เสกนี่เขาแปลว่า ทำ ทำฝนขึ้นมา แล้วก็คิดระบบน้ำมันขึ้นมา อะไรๆ หลายประการในพระราชฐานของพระองค์ พระราชวังดุสิต เวลานี้เต็มไปด้วยโรงงาน เต็มไปด้วยหน่วยเกษตร

เต็มไปด้วยพันธุ์สัตว์ นี่จะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ของเรามีพระอัจฉริยะ มีบารมีมาก พร้อมด้วยทศพิธราชธรรม แต่ถึงกระนั้นก็ดี มีบุคคลบางเหล่าเขาพยายามทำลายพระมหากษัตริย์ จะจัดให้ประเทศเราเป็นระบบอีกระบบหนึ่ง แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัทก็ลองคิดดู นักบริหารที่มีความรักประเทศชาติเป็นชีวิตจิตใจ แต่ว่าขึ้นมาทีไรเขาบอกว่ารักประเทศชาติ ครั้นนั่งนานๆ เข้าแล้ว เขาก็เลยขโมยประเทศชาติเข้าอีก

นักบริหารที่ดีก็มีมาก แต่ที่เสื่อมเสียก็มีเยอะ พระมหากษัตริย์ไม่มีการเปลี่ยนพระองค์ พระองค์ทรงอยู่แต่พระองค์เดียว เคยโกงใครบ้างไหม มีแต่พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์น่ะ คิดของต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่พสกนิกร พระองค์ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนนักการเมืองทั้งหลายที่ไม่มีความสุจริตใจ แต่ว่านักการเมืองนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ดีก็มีมาก ที่ดีเลยไปก็มีเยอะ จะไปโทษว่านักการเมืองพาคนไม่ดีเสมอไปก็ไม่ได้

คนที่มีความรักประเทศชาติ รักบรรดาพวกเราทั้งหลายก็มี เสียสละด้วยประการทั้งปวง แต่บางท่านที่รักเรามากเกินไปก็มี เกรงว่าพวกเรามีทรัพย์สินมากเกินไปจะมีอันตรายจากโจรผู้ร้าย ท่านก็เลยโกงเงินของพวกเรา เราก็เลยนอนสบาย ไม่ต้องระวังขโมย อย่างนี้ก็มี คราวนี้ อาศัยเหตุนี้เป็นสำคัญ สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกย่ำยีอย่างหนัก มาสถาบันของพระพุทธศาสนาถูกกระทืบอย่างหนัก ใครกระทืบ คนภายนอกที่ไม่ใช่พระเขาย่ำยี

เขาเสียดสี เขาบ่อนทำลาย แต่บรรดานักบวชทั้งหลายด้วยกันช่วยกันกระทืบพระธรรมพระวินัยให้พินาศไปอีก ความเสื่อมโทรม ความทุกข์ร้อนทั้งชาติ ศาสนา ปรากฏแล้ว อาตมาจึงได้ยกเหตุผล เรื่องขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ที่ทรงปฏิบัติเป็นประโยชน์กับโลก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ความสุขแต่เฉพาะธรรมอย่างเดียว คือบรรดามวลหมู่มนุษย์มีความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม

จึงได้เรียนบรรดาพระคุณเจ้าผู้ทรงความดีทั้งหลายเหล่านั้นว่า พุทธจริยาแบบนี้ นี่มันถึงเวลาแล้วที่เราควรจะช่วยกัน ความเป็นอยู่ของพวกเรา ที่จะอยู่ขึ้นมาได้ก็ต้องอาศัยบรรดาประชาชนทั้งหลายเลี้ยงดู องค์สมเด็จพระบรมครูเราต้องถวายความกตัญญูกตเวที เพราะเวลานี้ผู้มีพระคุณของเรากำลังได้รับความลำบาก เมื่อชาวบ้านไม่สามารถจะทรงตัวได้ พระจะทรงตัวอยู่ได้ยังไง ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโปรดทราบ

ถ้าพระผู้ทรงความดี พูดกันไม่ยาก เพราะว่าท่านมีดีเต็มตัวแล้ว เมื่ออ้างเหตุผลของสมเด็จพระประทีปแก้วมาอย่างนี้ บางท่านก็ถามว่า เพื่อประสงค์อะไร ก็เลยบอกว่าเวลานี้จำเป็นอยู่แล้วที่จะต้องนำความดีที่เราได้มาจากองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว แสดงให้ปรากฏชัดว่าสาวกขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ที่ไม่สกปรกน่ะมีอยู่ แล้วจงแสดงความดีออกมาเพื่อเป็นการช่วยองค์สมเด็จพระบรมครู

รักษาพระพุทธศาสนาไว้ในประเทศไทยสัก ๕,๐๐๐ ปี และการแสดงแบบนี้ก็ชื่อว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้สงเคราะห์ คือชาวบ้านเขาเลี้ยง เมื่อชาวบ้านได้รับความลำบาก พระจะมานั่งสบายอยู่ได้ยังไง แล้วท่านก็ถามว่า จะให้ทำยังไง อาตมานี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มีน้ำใจทั้งหมาและลิงรวมกัน ก็ขอเกณฑ์บางท่าน เวลานี้ไปเกณฑ์ไว้ได้ ๔ องค์แล้ว ต่อไปก็จะเกณฑ์ต่อไป

แต่ว่าต้องดูหน้ากันก่อนว่าท่านจะยอมหรือไม่ยอม ก่อนที่จะไปก็ต้องทูลถามองค์สมเด็จพระชินวรเสียก่อน วิธีถาม ถามที่ไหน ก็ถามที่ใจซีบรรดาท่านพุทธบริษัท เอาคำสั่งสอนของพระองค์มารวบรวมเข้าไว้ในใจ แล้วใช้คำถามถามขึ้น ก็จะได้รับคำตอบเอง ว่าองค์ไหนท่านจะยอมบ้าง วิธีจะให้ปฏิบัติก็คือให้เข้าสมาบัติระดับสูงเท่าที่ท่านจะพึงทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิโรธสมาบัติ

ถ้าร่างกายของท่านแข็งแรง ก็ขอให้เข้านิโรธสมาบัติ แล้วอาตมาก็ประกาศแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทว่าพระองค์นั้นจะเข้านิโรธสมาบัติแล้วก็ไปทำบุญกัน การทำบุญกับพระที่เข้านิโรธสมาบัติมีอานิสงส์มาก เพราะเวลานั้น ท่านชำระจิตของท่านสะอาดเป็นพิเศษ ความจริงท่านสะอาดอยู่แล้ว แล้วก็พูดกันต่อไป ถ้าพระองค์ไหนมีกำลังกายไม่ดีตามสมควร จะมานั่งอดข้าว ๗ วัน ๑๕ วัน ร่างกายมันจะทนไม่ไหว

ขอให้ใช้ผลสมาบัติให้หนักเป็นกรณีพิเศษ กำหนดไว้กี่วัน ออกเมื่อไหร่จะพาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาไปบูชา นี่ในระหว่างนี้ผ่านไปแล้ว ๑ องค์ พ.ศ. หน้ายังเกณฑ์ไว้อีก ๒ องค์ แล้ว พ.ศ. ต่อไปถ้าท่านทั้งหลายไม่รีบตายเสียก่อนก็จะเกณฑ์กันต่อๆ กันไป หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะถามว่าทำไมอาตมาไม่ทำบ้าง ไม่ใช่จะหลอก มีคนเขาพูดแล้ว ว่าทำไมท่านถึงไม่เข้านิโรธสมาบัติบ้างล่ะ

ไปที่กรุงเทพฯ ที่บ้านท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ มีคนเขาถาม อาตมาก็ตอบว่า อาตมานี่ เข้าเป็นปกติ เข้าอยู่เสมอ สมาบัตินี่เข้า แต่ว่าไม่ใช่นิโรธสมาบัติ มันเป็นพิโรธสมาบัติ แล้วความจริง ถ้าจะเข้าเข้าได้ไหม ตอบไม่ได้หรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้ขอทำหน้าที่อย่างเดียว เพราะว่ายังหนุ่มกว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น ความจริงมันก็ ๖๐ กว่าแล้ว หัวล้านเข้าไปตั้งเยอะ ขอมีหน้าที่อย่างเดียว ยังมีแรงอยู่

ขอมีหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหาร ออกเดินทางเกณฑ์ปีนี้ ความจริงเหนื่อยบอกไม่ถูก เดินเกณฑ์ทหารพระบ้าง ไปเยี่ยมทหารตำรวจชายแดนบ้าง ไปหลายเที่ยว นำของไปแจก นำอาหารการบริโภคไปแจก ก็รบกวนบรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมามันไม่มีสตางค์ ไม่มีทุน ชวนกันไป เป็นกำลังใจของบรรดานักรบทั้งหลาย ถ้าจะถามว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนการรบรึ ก็ขอตอบว่าพระรบไม่ได้ สนับสนุนไม่ได้

แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นพุทธศาสนิกชน เวลาไปก็ไปแบบพระ ไม่ใช่ไปยุให้เขารบ ให้เขาเห็นพระ เขาชื่นใจว่าอ้อ โอ้โฮ นี่ลูกหนี้ของเราก็ยังมานี่ ถ้าจะถามว่าใครเป็นหนี้ ก็ตอบว่า อาตมานี่แหละเป็นหนี้เขา กินข้าวของเขา ที่อยู่อาศัยก็อาศัยเขาช่วยกัน ผ้าผ่อนท่อนสไบที่มีก็เขาให้ ยารักษาโรคมี เขาก็ให้ ถ้าไม่ถือว่าเป็นหนี้จะเป็นอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็ไปเยี่ยมกัน บอกกันไปก็มีบรรดาประชาชนทั้งหลายบอกบุญกันไปมากด้วยกัน รวมทุนกันไป

แม้แต่ พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ต. ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ท่านเป็นผู้จัดการ กับภรรยาของท่าน ตลอดจนท่าน พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร ร.ม.ต.กลาโหมก็ร่วมด้วย ท่านเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้วย ท่านร่วมด้วยทุกอย่าง อาตมาส่งคนไปเกณฑ์ ท่านบอก เอ้า ท่านรัฐมนตรี ไปหากุ้งมา หากุ้งแห้งมาให้ได้ ๖ กระสอบ เอ้า ท่านก็ส่งมา ๖ กระสอบ ไปหาซุปไก่คนอร์มา

ท่านก็หามา ไปหาหมี่มาม่ามา ท่านก็หามา แต่ความจริงท่านผู้นี้ยังไม่เห็นหน้าเลย สั่งผ่านลูกน้องไป ลูกน้องเขาก็จัดหามาให้ บอกว่าหาผ้ามา เป็นของขวัญแก่ทหารตำรวจชายแดน ท่านก็หามาให้ แล้วก็มีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอีกมากมายนับเป็นร้อยๆ หรืออาจจะถึงพันช่วยกัน ร่วมกันด้วยประการทั้งปวง นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท พูดไปพูดมานี่ มันหมดเวลาเสียอีกแล้ว นี่ไขปากพระแล้ว แล้วก็เกณฑ์พระ


เกณฑ์แล้วก็ยังไม่ทันจะจบเรื่องเกณฑ์ เวลามันก็หมดเสียอีกแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาทิตย์นี้ก็ต้องกลับไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าลืม ว่าวันที่ ๖ สิงหาคม จะมีพระสุปฏิปันโนมา ท่านจะพบกะเหรี่ยงชาวป่าอย่างชัด จะมาที่วัดนี้ไม่น้อยกว่า ๒ คันรถบัส แล้วก็จะแสดงลีลาแบบไทยแท้ไทยเดิมให้ท่านได้เห็น กะเหรี่ยงทั้งหลายเหล่านี้ ชาวบ้านแถวนั้นเขาเรียกว่าเป็นกะเหรี่ยงพระโสดาบัน

แล้วที่วัดนี้ก็จะมีงานฟ้อนภูไท แต่ว่าเป็นวันที่ ๙ กับวันที่ ๑๐ สำหรับพวกกะเหรี่ยงนี้ จะมาตั้งแต่วันที่ ๕ เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า วันที่ ๖ สิงหาคม เป็นวันครบรอบร้อยปีของหลวงพ่อปาน แล้วก็วันที่ ๑๐ สิงหาคมเป็นวันยกช่อฟ้า บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและหล่อรูปหลวงพ่อปาน ถ้างานนี้อุปสรรคไม่มี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระบรมราชินีนาถ จะเสด็จ

แต่ว่าพระสุปฏิปันโนน่ะเกิน ๑๐ องค์แน่ ที่นิมนต์ไว้ เอาละบรรดาญาติโยมทั้งหลาย เวลาเลยไปนิด ขออภัยเจ้าหน้าที่สถานีด้วย เมื่อเวลาหมดแล้วอาตมาก็ขอลา ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/5/13 at 20:13 [ QUOTE ]


3
ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้จะถึงกำหนดบำเพ็ญกุศลถวายอนุสรณ์แก่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค คือ ครบรอบ ๑๐๐ ปีของท่าน ซึ่งเป็นวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ แล้วก็วันที่ ๑๐ สิงหาคมเป็นวันยกช่อฟ้าพระอุโบสถ แล้วก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุพระประธาน กับหล่อรูปหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

ในงานนี้จะมีพระสุปฏิปันโนเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส เรียกว่าเป็นพระจริงๆ ในพระพุทธศาสนา ไม่นิยมในโลกธรรม ที่นิมนต์ไว้ทั้งหมดปรากฏว่ามีถึง ๑๒ องค์ แต่ว่าจะมาได้ทั้ง ๑๒ องค์หรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่โอกาส ร่างกายของท่าน ถ้าร่างกายมันทรงไม่ไหว ก็ต้องระงับ สัญญากันไว้อย่างนั้น แต่ว่าถึงจะระงับก็ไม่ระงับหมด ยังไงๆ ก็มาแน่ ไม่น้อยกว่า ๙ องค์ด้วยกัน เป็นอย่างน้อย ถ้ามาครบก็ ๑๒ องค์ ๑ โหล

นี่เราพูดกันตามความเป็นจริง อย่าพูดอารัมภบทกันไปมากเลย บรรดาท่านพุทธบริษัท สองอาทิตย์ไม่ค่อยจะได้เนื้อ เพราะอะไร เพราะว่าฤาษีนี้เป็นฤาษีอัดแจลิงกับหมาบวกกัน ลิงซน หมาเห่า เห่าคนไม่พอไปเห่าพระ นี่ไปสกิดๆ พระท่านอยู่สบายๆ แล้ว ให้ท่านอยู่นิ่งไม่ได้ ให้ท่านต้องออกมาเหน็ดเหนื่อยกับลิง เมื่อท่านออกมากระโดดโลดเต้นกับลิง เจ้าหมาก็ผสม เห่าให้ท่านพูดบ้าง ให้ท่านทำบ้าง ท่านก็ยอมทำ

การยอมทำของท่าน บอกว่าเพื่อเห็นกับบรรดาท่านพุทธบริษัท หรือเป็นการสงเคราะห์บรรดาท่านพุทธบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ทำเพื่อประเทศชาติ เป็นการบูชาองค์สมเด็จบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยกันดึงพระศาสนาให้ทรงตัว เพราะว่าเวลานี้พระพุทธศาสนาง่อนแง่นคลอนแคลนเต็มที เพราะว่าท่านที่มีศักดิ์ศรี ท่านที่มีอำนาจละเลยในพระธรรมวินัย คนที่มีความผิด ท่านไม่ลงโทษกัน

ท่านกลับถือว่าสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่พระธรรมวินัย ที่บัญญัติขึ้นมาใหม่แล้วก็มีความยิ่งใหญ่ คือมีความสำคัญกว่าพระธรรมวินัย อาตมาพูดนี่ไม่เกรงใจใคร เพราะไปพบมาแล้ว พูดกันมาแล้ว อาตมาก็ยืนยันว่าอาตมานี่เคารพเฉพาะพระธรรมวินัยเท่านั้น เรื่องอื่นถ้าเกิดมาขัดกับพระธรรมวินัยก็ไม่ยอมก้มศีรษะให้เหมือนกัน ถ้าท่านทั้งหลายจะคิดว่าไม่กลัวเขาจับสึกหรือ พระอย่างอาตมาสึกมันจะเป็นอันสึกได้ยังไง

ถ้าสมณสัญญาของเราไม่ขาดเสียอย่างเดียว เราก็ไม่สึก เขาไม่ให้รวมหมู่กับเขา บ้านเราก็สร้างไว้แล้ว ที่ญาติโยมท่านพุทธบริษัทช่วยกันสร้างบ้านให้ ศูนย์ปฏิบัติพระกรรมฐานศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จุดนี้สร้างไว้เพื่อพระดีเท่านั้นที่จะมาอยู่ พระที่เป็นสุปฏิปันโนมาอยู่ได้ จะเป็นนิกายไหนก็ได้ เป็นศูนย์รวมนิกาย การให้พระแตกแยกซึ่งกันและกันเป็น ๒ ฝัก ๒ ฝ่าย ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง

ส่วนที่มีความดีมีอยู่ คือธรรมยุตนิกายสร้างขึ้น เกิดขึ้นเป็นดุลถ่วงของมหานิกาย มหานิกายมีอยู่ก็เป็นดุลถ่วงของพระธรรมยุต เหมือนกับรัฐสภาซึ่งมี ๒ พรรค คือพรรคฝ่ายค้านกับพรรคฝ่ายสนับสนุน พรรคฝ่ายค้านจะได้ท้วงติงเอาไว้ ถ้าอีกส่วนหนึ่งทำไม่ถูก นี่คณะธรรมยุตกับมหานิกายก็เหมือนกัน อย่าไปประณามท่านว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายเลว เราถือปฏิปทาส่วนบุคคลเป็นสำคัญ ชื่อของคณะไม่สำคัญ ปฏิปทาของบุคคลนี่สำคัญ

เอ้า เรื่องนี้ขอผ่านไป นี่สมมติว่าใครเขาจะมาจับสึก อาตมาก็ไปอยู่ที่ของตัวเสีย เพราะเขาไม่ได้สร้างให้นี่ ถึงแม้เขาจะบอกว่ารวมแล้วก็รวมไปซี ถ้าหากว่าตัวอยู่ร่วมกันไม่ได้จะเอาที่ไปได้รึ ไม่ให้แน่ ถ้าจะมารับได้ก็ต้องขาวสะอาด อย่ามากันแบบสกปรก เวลานี้ใครสกปรกบ้างก็ดูกันเอา แล้ววันหลังจะแฉโพยให้ฟัง ถ้าไม่ดีขึ้นมา หรือใครมารบกวนขึ้นมาเมื่อไรละก็ จะแฉโพยให้ฟัง จะเขียนหนังสือแจกเล่นโก้ๆ จะเอาปฏิปทาที่แท้จริงมาแฉโพยให้หมด

จะไปคุดกันไว้ทำไมล่ะ เราเป็นพระ ต้องถือสัจจธรรม สัจจธรรมนี่มีความสำคัญมาก ประกาศตนเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วก็มาผลักให้พระพุทธเจ้าลงเหวไปด้วยจะมีดีอะไร นี่มันไม่เป็นเรื่อง ทีนี้ เรามาคุยเรื่องของเราต่อไป เรื่องลิงกับสุนัขบวกกัน การเกณฑ์พระองค์แรกก็คือหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดชัยมงคล หรือว่าวัดวังมุยแห่งจังหวัดลำพูน ก่อนที่จะเกณฑ์ก็มีอยู่ว่า ไปพบท่านวาระแรกที่วัดจามเทวี แล้วก็เลยไปเยี่ยมท่านที่ดอยกิตจิ อำเภอสันทราย

ท่านจะไปสร้างวัดที่นั่น บรรดาญาติโยมท่านพุทธบริษัททั้งหลายก็ถวายเงินเข้า ในการไปตอนนั้นเห็นจะเป็น ๒ หมื่นบาทเศษๆ จำนวนเงินนี้จำไม่ได้แน่นอน เพราะว่าไม่ได้จดเอาไว้ แล้วต่อมาคุณหญิงเยาวมาลย์ (เยาวมาลย์ บุนนาค) ก็ส่งเงินไปอีกหมื่นบาทเป็นการก่อสร้าง แล้วก็มีนายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจส่งไปอีก ๒,๐๐๐ บาท คุณต้อย ลูกคุณหญิงเยาวมาลย์ ๕๐๐ บาท คุณกานดา อมาตยกุล ๒๐๐ บาท แล้วคุณชาลีนี เนียมสกุล ส่งไปอีก ๕๐๐ บาท เป็นระยะต้น

นี่หลังจากไปนมัสการท่านมาแล้ว ในตอนก่อนนั้นถวายท่านไปสัก ๒ หมื่นได้ละมัง หลังจากนั้น ก็ทราบว่าท่านสร้างทางขึ้นดอยตุง ดอยตุงนี่มันอยู่เขตประเทศไทยกับพม่าติดกัน เป็นภูเขาที่สูงสุดในด้านเหนือ แต่ก็คงรองจากดอยอินทนนท์ ไม่สูงเท่าดอยอินทนนท์ แต่ก็น่าดูเหมือนกัน ขึ้นไปบนยอดเขาแล้วมองดูข้างล่างไม่เห็นรถ เพราะหมอกควัน คือเมฆมันบังตา เรียกว่าเป็นภูเขาที่สูงเลยเมฆลอย แต่ว่าไม่เลยเมฆสูงสุดหรอก เมฆที่ลอยต่ำสุด มันเลยขึ้นไปมาก

ระยะทางขึ้นเขาลูกนี้ ๑๗ กิโล พระคุณเจ้ารูปนี้ไปสร้าง ๒ เดือนเสร็จ โดยไม่ต้องใช้สตางค์ด้วย คือชาวเขาชาวป่าชาวดอยขึ้นท่านมาก เขามาทำกัน เขาเอาข้าวเอาปลามากินด้วย ความจริงศรัทธาของชาวเหนือนี่ มีศรัทธาสูงมาก บ้านเราจะดายหญ้าสักนิดหนึ่งก็ต้องเสียสตางค์ บ้านเขาทำทางขึ้น ๑๗ กิโล ไม่ได้ใช้เงินสักบาท จะสร้างวิหารทานอะไรก็ตาม ถ้าเป็นสิ่งที่เขาทำกันได้ก็ไม่ต้องเสียสตางค์ ถ้าเกินวิสัยก็จ้างนายช่างมาบอก เขาก็ทำกัน อย่างนี้น่าจะเป็นแบบฉบับ

ก็เอาคนป่าเข้ามาเทียบกับใจคนเมือง อาตมาสร้างอะไรชิ้นหนึ่งมันเป็นแสนๆ น่ะค่าแรงงาน อย่างเล็กๆ ก็เป็นหมื่นๆ ค่าแรงงาน แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อคนทั้งหลายเขาต้องกินต้องใช้ เขาทำให้เราได้ แต่โดยเฉพาะ มีช่างอยู่ช่างหนึ่ง คือท่านกำนันเยี่ยม แห่งจังหวัดนครสวรรค์ รายการนี้ แรงงานของท่านถูกมาก อย่างพระอุโบสถในระยะแรก ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสวมช่อฟ้า มีช่าง ๒ – ๓ ช่างมารับ ๒ รายแรกรับ ๓ แสน ๕ หมื่นบาท แล้ว

อีกรายหนึ่งมารับ ๓ แสน ๘ หมื่นบาท แต่ว่าท่านกำนันเยี่ยมรับ ๒ แสน ๕ หมื่นบาท ราคาต่ำกว่ากันแสนบาทเศษ นี่ก็ถือว่าท่านทำบุญด้วย ขอบรรดาท่านท่านทั้งหลายช่วยกันอนุโมทนาความดีของท่าน ตานี้ เมื่ออาตมาไปดอยตุงขึ้นไปทำประทักษิณพระธาตุบนนั้น มีพระเจดีย์อยู่ ๒ องค์ มีวิหารอยู่ ๑ องค์ เดินไปเดินมา เดินมาแล้วก็เดินไป เรื่องนี้คุยกันไว้แล้วในเล่มก่อน ก็ปรากฏว่าเห็นภาพพระ แล้วก็ได้ยินเสียง ท่านบอกว่าให้ช่วยสร้างวิหารหลวงสัก ๑ หลัง

ถามว่าราคาเท่าไหร่ ท่านบอกว่าราคาแสนบาท ก็รับปากกับท่าน ว่าจะบอกบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทให้ ก็เลยถามต่อไปว่า บนนี้มีวิหารอยู่แล้ว ๑ หลัง จะสร้างตรงไหน ท่านบอกว่าไม่ใช่ ที่ดอยกิตจิที่หลวงปู่ชุ่มโพธิโก จะสร้าง จึงได้กลับลงมา แล้วย้อนขึ้นไปอีกครั้งหนึ่ง ไปนมัสการท่าน เมื่อไปนมัสการแล้ว
ท่านก็กระซิบว่า จะเข้านิโรธสมาบัติ กระซิบอาตมาคนเดียว
อาตมาก็บอกว่า ดีแล้ว ถ้าไม่ตั้งใจจะพูดให้ฟังผมก็จะเกณฑ์ เมื่อหลวงปู่พูดเสียเองแบบนี้ผมก็ไม่ต้องเกณฑ์ ผมมาคราวนี้ตั้งใจเกณฑ์มาก เกณฑ์แน่นอน

ท่านถามว่า เกณฑ์ทำไม
ก็กราบเรียนถามท่านว่า เวลานี้ประเทศชาติเป็นยังไง เมื่อประเทศชาติสลายตัวแล้วพระจะทรงตัวอยู่ได้ไหม แล้วพวกเราเหล่าพระซึ่งเป็นพุทธบริษัท เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเป็นอยู่ของพวกเราอาศัยชาวบ้านเลี้ยงดู องค์สมเด็จพระบรมครูสอนให้บรรดาพุทธสาวกมีความกตัญญูรู้คุณคน เวลานี้บรรดาประชาชนผู้มีคุณกำลังได้รับความทุกข์อย่างหนัก แล้วเราจะมานั่งนอนอยู่เฉยๆ ไม่ช่วยชาวบ้าน มันจะเป็นความดีได้ยังไง

ท่านก็ยิ้ม แล้วก็บอกว่า ใช่ การเข้านิโรธสมาบัติคราวนี้ ต้องการช่วยสงเคราะห์พุทธบริษัท ต้องการจะช่วยประเทศชาติ เพื่อยังความเยือกเย็นให้ปรากฏ ท่านก็บอกว่า ทุกคนเข้ากันมากๆ ก็ดี
ก็เลยบอกว่า ไม่ต้องห่วง ผมเกณฑ์แน่ แต่ต้องดูหน้ากันก่อน ถ้าท่านทั้งหลายเคยสืบเนื่องกันมาแต่อดีตชาติ ก็จะขอเกณฑ์ท่านพวกนี้ ท่านทั้งหลายที่ไม่เคยสืบเนื่องกันมาก็ไม่เกณฑ์ เพราะเกณฑ์ท่านเข้าเดี๋ยวท่านจะไม่ยอม

หลวงปู่ท่านก็ยิ้ม บอกว่า ใช่
แล้ววิธีเกณฑ์นี่มี ๒ อย่างคือ ๑ เกณฑ์เข้านิโรธสมาบัติ ถ้าองค์ไหนมีร่างกายไม่ดี ก็จะเกณฑ์เข้าผลสมาบัติ แต่ความจริงพระประเภทนี้เรื่องผลสมาบัติมีเป็นปกติธรรมดาอยู่ทุกวัน แต่การเกณฑ์นี่ก็จะขอให้เครียดกว่าปกติ คือประณีตกว่าปกติ มีกำหนด ๗ วันหรือ ๑๕ วัน เมื่อวันออกก็จะพาบรรดาพุทธบริษัทไปนมัสการ เพื่อได้รับความเยือกเย็น

เพราะว่าตามธรรมดา ไฟเป็นของร้อน ถึงแม้ว่าจะกองใหญ่ เคมีสำหรับดับเพลิงถึงแม้จะมีจำนวนน้อย แต่ว่ามีความเย็นสูง สามารถจะดับไฟกองใหญ่ๆ ลงไปได้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด โลกที่เร่าร้อนอยู่เวลานี้ก็เป็นเพราะการบาปอกุศล อกุศลของบรรดาประชาชนที่สร้างไว้ในกาลก่อนให้ผลจึงเกิดความเร่าร้อน แต่ทว่าถ้าสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรผู้มีพระคุณใหญ่ สามารถเข้าผลสมาบัติหรือนิโรธสมาบัติได้ เข้าแล้วบรรดาประชาชนทั้งหลายพากันไปบูชา ไปนมัสการ ก็จะสร้างความเยือกเย็นให้เกิดขึ้นกับตัว

ถ้าความเย็นมีมากๆ ไฟมันก็ดับไปได้เหมือนกัน หลวงปู่ชุ่มท่านมีเจตนา ท่านก็ยอมรับว่า จะเข้านิโรธสมาบัติ แล้วก็จะออกวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๑๘ (นี่มันผ่านมาแล้ว) เมื่อท่านบอกแบบนั้น อาตมาก็พูดตามวิสัยปากไม่ดี ปากสุนัข เอ๊ะ มันเพราะไปละมั้ง เจ้าเพื่อน ๒ คน เขาไม่ได้เรียกปากสุนัข เขาเรียกปากหมา เราใช้ศัพท์ว่าปากหมาดีกว่าเพราะเขาตั้งให้ยังงั้นนี่ ถ้าปากสุนัขนี่เขาไม่ได้ตั้งให้ อะไรก็ตามถ้าได้รับการแต่งตั้งก็รู้สึกว่ามันโก้

ถ้าปากสุนัขนี่ตั้งเอง ไม่โก้ “เจ้าลิงดำ” หลวงพ่อปานท่านตั้งให้ “ไอ้ปากหมา” ไอ้เจ้าเพื่อน ๒ คนมันตั้งให้ เราก็เลยใช้เป็นเครื่องประดับเสียทั้ง ๒ อย่าง ใช้คำว่า เจ้าลิงดำปากหมา นี่โก้ดีเหมือนกัน ครึ้มดี เป็นอันว่าเจ้าปากหมาก็ปูด พูดให้ชาวบ้านฟัง ที่พูดนี่ ไม่มีความประสงค์อะไร คิดว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาคงจะพอใจพระที่จะออกจากนิโรธสมาบัติ แล้วการเข้านิโรธสมาบัติของหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก ก็ไม่ได้เข้าลับลี้ลับหลังคน

การอดข้าวถึง ๗ วัน ทำต่อหน้าคน คือไปปลูกกระโจมเล็กๆ มีคนเฝ้าอยู่ข้างหน้า ห้ามคนอื่นไปรบกวน นี่เขาไม่ได้แกล้งเอาอะไรไปย่องกินลับหลังคนนะ ไม่ใช่ยังงั้น ไม่ใช่ว่าตั้งท่าห่มจีวรสวยๆ มีศักดิ์ศรีใหญ่ๆ มีตำแหน่งดีๆ ข้างหน้าคน แหม เคร่งเหลือเกิน แต่ไอ้งานที่จะพึงทำด้านพระธรรมวินัยไม่เอา พระผิดพระวินัยอย่างหนัก ขนาดที่ทรงความเป็นพระไว้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าขาดจากความเป็นพระแล้ว อย่างนี้ไม่ลงโทษกัน

ทีนี้พระระดับดีไม่ทำกันแบบนั้น ท่านทำตรงไปตรงมา อยากจะรู้ไหมล่ะ ว่าเขาทำตรงแบบไหน อยากจะรู้ก็รู้ไป ไม่รู้ก็แล้วไป เป็นอันว่าอาตมาก็ประกาศแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เข้าไปในกรุงเทพที่ท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ มีคนมารายงานให้ทราบว่าพระที่ประกาศให้ประชาชนรู้ว่าจะเข้านิโรธสมาบัติ เป็นอาบัติปาราชิก คนนี้เก่งพระวินัยมาก ขนาดมีอาบัติปาราชิกปรับพระเข้านิโรธสมาบัติ นี่ไปอ่านวินัยกันเสียให้ดีนะ

คนที่ที่พูดมาน่ะ ศีล ๕ ครบหรือเปล่า สงสัยว่าจะไม่มีศีลเลย ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรในพระศาสนาเสียเลย นิดหนึ่งก็ไม่รู้ พระที่เข้านิโรธสมาบัติเป็นพระระดับไหน รู้หรือเปล่า ไม่รู้! พูดส่งเดชไป เป็นอันว่าใครจะไปก็ไป ไม่ไปอาตมาก็ไป ไปคนเดียวก็ยังได้ แต่เวลาจะไปเข้าจริงๆ แพทย์หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ พันโทหญิงแห่งโรงพยาบาลพระมงกุฎก็ส่งรถโฟล์คสีเหลือง รถประจำตำแหน่งกับเจ้าแอ้ดอีกคัน เขาซื้อไว้ให้เป็นรถประจำตำแหน่ง

เขาซื้อไว้ให้น่ะคือเขาซื้อให้ใช้ ไอ้แบบนี้โก้ดี มีรถประจำตำแหน่งด้วย คือท่านเจ้าภาพซื้อรถให้ใช้ แต่ไม่ได้เอามาเก็บที่วัดหรอก ใครจะซื้อรถมาถวายที่วัดละ ไม่เอาหรอก อย่าง พ.ท.แพทย์หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ น่ะ ซื้อรถไว้ ๒ คัน และอนุญาตให้ใช้ จะไปไหนบอกได้เลย จะเข้าป่าเข้ารกก็เอาไปได้ ไปป่าประจวบ ไปป่าชุมพร ไปป่าเมืองกาญจน์ก็ให้ไป ป่าไหนก็ยอมให้ ให้รถไปให้คนขับไปด้วย จ่ายสตางค์ค่าน้ำมันเสร็จ

ถ้าใครซื้อถวายแบบนี้กี่คันก็รับ แล้วเก็บไว้ที่บ้านของท่าน อย่าเอามาไว้ที่วัด ห้ามเด็ดขาด อย่างนี้มันสบายไม่ต้องซ่อมไม่ต้องแซม แล้วคุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ก็เป็นตั้วโผ นำขบวนไปกี่คันก็ไม่ทราบ ๕ คันละมั้ง ๕ คันรถบัส แล้วมีคณะไหน คณะจังหวัดพิจิตร คณะจังหวัดชลบุรี คณะจังหวัดระยอง คณะจังหวัดสุพรรณบุรี โอ๊ เยอะแยะ รถเก๋งบ้าง รถบัสบ้าง ตั้งขบวนแล้วยาวเกินกว่า ๑๐ กิโล แต่รถมันวิ่งห่างกันกี่วาก็ไม่ทราบ ยาวเหยียด ไปกันซี

วันที่ ๒๐ ออกเดินทาง อาตมาออกทางนี้ใครไปได้ก็ไป ไปยังไงก็ช่าง เรื่องไปไม่ห่วงกัน แต่ก็หนักใจอยู่นิดหนึ่ง เพราะว่าเที่ยวก่อนโน้น ปรากฏว่าคราวหนึ่งไปจังหวัดน่าน ไปเยี่ยมทหารที่จังหวัดน่าน กองพลม้า กลับมาแหนบรถหักที่งาว ต้องไปนอนเสียเวลา ครั้งหนึ่งไปนมัสการพระสุปฏิปันโน กลับมาแยกกันไป อาตมาแยกไปเชียงราย ชาวบ้านบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายที่ไปด้วย กลับแค่เชียงใหม่

กลับมาปรากฏว่ารถคันหนึ่งถูกขว้างกระจกแตก นี่เป็นลีลาของคนร้าย คราวนี้ไม่เอา เวลาจะไปก็ต้องเกณฑ์ป่าวหมู่เทวฤทธิ์ทั่วทิศา ตลอดเมืองแมนแดนนาค ประกาศมาว่าคณะของข้า ไปคราวนี้ขอให้ปลอดภัย ได้นี่มันกลอนของใคร ไม่มีใครเขาแต่งละแบบนี้ ว่ามันส่งเดช ที่พูดนี่ไม่ได้เขียนหนังสือมา มันอีหลอกขล็อกแขล็กก็ขออภัยด้วย เรื่องการจะร่างมาพูดนี่ไม่เคยมีในชีวิต เวลาเทศน์เอาตำราไปอ่าน อ่านมันไม่ทันใจเลยปิดตำราว่ามันเอง

งัดไส้งัดพุงออกมาเทศน์มันถึงจะแน่ นี่ไม่ใช่ทำได้คนเดียว ท่านทำได้ทุกองค์นะ พระนักเทศน์เคยเอาตำราขึ้นไป สำนวนมันไม่อีล่อกคล่อกแคล่ก มันไม่เหมือนกับเราก็เลยปิดตำราว่าต่อไป สบายดี เดินทางขึ้นไปคราวนี้ ในขบวนรถมีใครล่ะ มีบรรดาเจ้าหน้าที่ขับรถ มีพระสมชาย (คนนี้ก็ละเงินเดือน ๗ – ๘ พันมาบวช หวังจะบวชตลอดชีวิต) ยังหนุ่มอยู่เลย มาเป็นพุทธังชีวิตตังแล้ว ถวายชีวิตกับพระพุทธศาสนา น่าเลื่อมใส แล้วก็ช่วยการงานได้ดี

ผู้ที่ร่วมเดินทางไปอีก ก็มี พ.อ.อ.สาย แห่ง บน.๔ ศูนย์สี่ พ.อ.อ.ชลอ เขาไปรถสุรินทร์ แล้วก็มีอีกคนก็ คุณนนทา อนันตวงค์ คุณอ๋อย หรือ เฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา แล้วใครอีกคน? คุณสมจิต เอ๊ะ นามสกุลยังไง แห่งโรงพยาบาลชัยนาท นึกไม่ออกเสียแล้ว เขาซื้อของให้มาเป็นหมื่นๆ สมจิต สาริกานนท์ แหมจะลืมให้ได้ ไปด้วยกัน แล้วคุณจันทรนวล นาคนิยม แห่งชัยนาทไปด้วย วิ่งตะบึงนั่งขึ้นไป

ประมาณบ่ายโมงเศษๆ ถึงจังหวัดลำพูน แวะเข้าลำพูน ไปตรวจดูสถานที่ที่เขาจัดไว้ตามที่ตกลงกัน ร.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา เขานัดบอกให้เอารถไปที่ทางแยก แล้วเขาจะนำรถเล็กมารับ ก็เลยไปตรวจทางก่อน ไปดูทางสายที่ไป เท่ารูหนูเท่านั้นเอง แม้รถโฟล์คไปก็อยู่ในสภาพเต็มทีแล้ว ทางรถที่จะไปเอาหน้ารถเข้าไปแล้วมันกลับตัวไม่ได้ เวลาจะกลับก็มาหาช่องกลับ ก็นึกแล้วว่า อีทางนี้เป็นไปตามระเบียบนั้นไม่ได้ เพราะในฐานะที่เป็นหัวหน้าสาย

คราวก่อนลูกศิษย์กลับ รถถูกขว้างกระจกแตก คราวนี้ถ้าปฏิบัติตาม รถตกน้ำ เพราะว่าข้างถนนน้ำมาแล้ว ตกน้ำ แล้วก็เข้าไปในวัดหลวงปู่ชุ่ม แล้วเข้าไปดูที่ๆ หลวงปู่ชุ่มท่านเข้านิโรธสมาบัติ อยู่ไกลจากทางออกไปประมาณ ๒๐๐ เมตร มีคนยืนยามถือปืนเฝ้าอยู่ หลวงปู่ชุ่มก็นั่งมองเห็นได้ถนัด อันนี้ขโมยกินอะไรไม่ได้ ๗ วัน เป็นนิโรธสมาบัติหรือพิโรธสมาบัติ ก็ตามใจเถอะพ่อคุณ พ่อเทวดาที่บอกว่าพระที่เข้านิโรธสมาบัติแล้วบอกชาวบ้านก่อนแล้ว ก็เป็นอาบัติปาราชิก

ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็เป็น พระมหากัสสป พระสารีบุตร พระอะไรต่ออะไรเป็นหมดแล้ว เพราะอะไรล่ะ เพราะการเข้านิโรธสมาบัติมีระเบียบอยู่ว่าจะต้องแจ้งให้พระสงฆ์ทราบก่อน ถ้าอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าต้องกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ เพราะว่าการเข้านิโรธสมาบัติอย่างน้อยใช้เวลา ๗ วัน อย่างมากใช้เวลา ๑๕ วัน ถ้าร่างกายแข็งแรง เมื่อกราบทูลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทรงทราบแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะได้ไม่เรียกใช้

แล้วบรรดาพระทั้งหลายเมื่อทราบจะได้ไม่รบกวน เวลาใครเขามานิมนต์ จะได้บอกให้เขาทราบว่าเวลานี้พระองค์นั้นกำลังเข้านิโรธสมาบัติ เข้าไปยุ่งไม่ได้ แต่เข้าไปยุ่งหนักเข้าก็ลงนรกกันเท่านั้น นี่เป็นอันว่าเข้าไปตรวจดูพื้นทาง เขาก็รายงานให้ทราบว่ารถเข้าทางนี้ แล้วก็กลับออกทางโน้น ไปดู พ.อ.ชวาลไม่พบ ร.ต.อ.อรรณพก็ไม่เห็น เลยสั่งเจ้าหน้าที่ของวัดไว้ว่า คืนนี้ถ้าพบ พ.อ.ชวาล หรือ ร.ต.อ.อรรณพ ให้ไปพบที่สันกำแพง คือวัดดอนมูล วัดของหลวงพ่อคำแสนเล็ก

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะจะได้ตกลงกันในระหว่างการเดินทาง เพราะดูท่าแล้วมันไม่ดี เมื่อสั่งเสียกันเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางจากวัดดอนมูล ตามเส้นทางที่เขากำหนดไว้ว่ารถจะไม่สวนกัน ตอนนี้มันสนุกดีบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่ามันก็สนุกไม่ไหวนี่ เวลาหมดเสียแล้วซี ๓๐ นาที สำหรับรายการตอนนี้ก็งดไว้เท่านี้ ๓๐ นาที ยังไงๆ ก็อย่าลืมวันที่ ๖ สิงหาคม จะพบกะเหรี่ยงชาวเขา จะมาฟ้อนกะเหรี่ยงให้ดู

จะพบพระสุปฏิปันโน จะพบพระราชาคณะผู้ทรงสมณศักดิ์ จะพบพระสงฆ์องค์เล็กๆ ทั้งพระทั้งเณรตั้ง ๑๐๐ รูปเศษ เป็นเขตแห่งการบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันเกิดและวันมรณภาพของหลวงพ่อปาน เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลามันหมดแล้ว ขอยุติและอำลาท่านพุทธบริษัทกลับก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/6/13 at 14:45 [ QUOTE ]


4
ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ตรงกับวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๑๘ วันเวลาสำคัญใกล้เข้ามาแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าวันที่ ๖ สิงหาคม เป็นวันครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงพ่อปาน วันนั้นเป็นวันสำคัญ จะมีพระสุปฏิปันโนมาด้วย กำหนดเวลาของงานเริ่มต้น ๑๐ นาฬิกา แล้วก็จะเสร็จเรียบร้อยประมาณ ๑๓ นาฬิกา บ่าย ๑ โมง เริ่ม ๔ โมง เสร็จบ่าย ๑ โมง

วันนั้นจะมีมหรสพกะเหรี่ยง จะมีฟ้อนกะเหรี่ยงให้ดู กะเหรี่ยงอย่างแท้ คือไม่ใช่กะเหรี่ยงปลอม เอามาจากศิลปิน ไม่ใช่ยังงั้น นี่มีกะเหรี่ยง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จะมาฟ้อนกะเหรี่ยงให้ดู เขาจะมากันประมาณ ๒ คันรถบัส ท่านจะเห็นว่า บรรดากะเหรี่ยงทั้งหลาย ก็เป็นพุทธบริษัทที่น่ารัก มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ อันนี้ก็เป็นคุณความดีของครูบาวงศ์ ท่านฝึกสอนของท่าน แล้วทุกคนตั้งใจเพื่อพระนิพพาน

กะเหรี่ยงที่ครูบาวงศ์เอามาฝึกสอน มีจำนวนประมาณ ๕ พันคนเศษ แล้วเขารักษาศีล ๕ กันอย่างเคร่งครัด ไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าใครละเมิดศีล ๕ แม้แต่ข้อเดียว หัวหน้าของเขาจะขับออกจากหมู่ทันที จะมารวมอยู่ในหมู่บ้านนั้นไม่ได้ มาชมกะเหรี่ยงกัน แล้วก็ยังมีพระสุปฏิปันโนบางท่านมาร่วมในงาน ยังไม่ครบ แล้วก็มีพระอันดับร้อยรูปเศษ แล้วก็มีพระทรงสมณศักดิ์ไม่รู้กี่รูป ต่างคนก็ต่างนิมนต์กัน มึงนิมนต์กูนิมนต์ไม่รู้ว่ากี่รูป จะเป็นกี่รูปก็ช่าง มาในวันนั้นก็แล้วกัน

เริ่มพิธีสงฆ์เวลา ๑๐ นาฬิกา คือ ๔ โมงเช้า เลิกไม่เกินบ่าย ๑ โมง เสร็จพิธี ไม่ทำมากหรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท เกรงว่าท่านทั้งหลายจะรำคาญ วันที่ ๑๐ สิงหาคม หมายกำหนดการไม่แน่ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๙ แล้วก็ไปเสร็จกันเย็นวันที่ ๑๐ สิงหาคม งานยกช่อฟ้า งานฝังลูกนิมิตจะมีประมาณเดือนเมษายน บอกแล้วนี่ วัดทั้งวัดนี่จะสร้าง ๒๔ เดือน บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่เป็นเจ้าของทุกท่าน ที่ท่านทำบุญเข้ามา มาดูวัด ๒๔ เดือนของท่านว่า เขาทำด้วยไม้รวก หรือไม้ไผ่ หรือไม้โสน หรือว่าเอาศาลพระภูมิมาตั้งแทน ที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่เพื่ออะไร

เพราะว่าในจังหวัดอุทัยนี่ ปรากฏว่าทำอะไรกันนิดกันหน่อยก็ชอบเรี่ยไรกัน ออกรถเรี่ยไรกัน ออกเรือเรี่ยไร เรี่ยไรหน้าวัด กั้นถนนกันบ้าง แต่ความจริงเราเป็นพระ ถ้าทำเสียจริงๆ อย่างเดียว ไม่ต้องไปเรี่ยไรที่ไหน ชาวบ้านเขามาให้เอง การให้ด้วยศรัทธานี่ ดีว่าบังคับศรัทธา แล้วก็ทำได้ดีทุกอย่าง ถ้าเราทำไปด้วยความสุจริตใจ เงินที่เขาถวายมาก็ทำไปทำให้หมด อย่าไปขยักกำไรเข้ามาไว้ และเงินที่บรรดาท่านพุทธบริษัทถวายมาเป็นส่วนตัว

เหลือกินเหลือใช้ตามสมณบริโภค อย่าไปใช้ให้มันเลยเถิดไป เอาเข้าไปสร้างเสียด้วย อย่างนี้ทำอะไรมันก็สำเร็จ เราเป็นผู้บอกให้เขารู้จักเสียสละ แต่เราเป็นฝ่ายสะสมมันจะสำเร็จได้ยังไง ไอ้ที่เรี่ยไรกันเหย็งๆๆ น่ะ สงสัยว่าเงินน่ะมันเข้ากระเป๋าใครไปบ้าง ดีไม่ดีเรี่ยไรกันมาตั้ง ๑๐ ปีกว่า กระเบื้องแผ่นหนึ่งก็ไม่ได้ซื้อเขามา นี่ตัวอย่างมีอยู่แหละนะบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้กำลังมีเรื่องมีราวกันอยู่ การเรี่ยไรแบบนี้มันเป็นของไม่ดี

แต่ว่าท่านผู้นี้มีพวกมากนัก มีฝ่ายสนับสนุนมาก เพราะมีทุนแจก เพราะอะไร เพราะเขาหากินด้วยกัน ช่างเขา เราอย่าไปเอาอย่างเขา เขาผู้นั้นเป็นใครก็ช่างปะไร มีดื่นไป จะไปจำกัดตรงไหนนั้นก็ไม่แน่ ไม่ต้องจำกัดละดื่นไป ดูซิรถเรี่ยไรให้เกลื่อนไปหมด อาตมาทำ ๒๔ เดือนนี้ไม่มีรถไม่มีเรือเรี่ยไรแน่นอน แล้วทำไมถึงทำได้ล่ะบรรดาพุทธบริษัท ที่ทำขึ้นมาแบบนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างของบรรดาพระทั้งหลาย เพราะสร้างมาเยอะแล้ว

ทำได้ นี่ทำให้เป็นตัวอย่าง แต่ไอ้การที่ทำให้เป็นตัวอย่างนี่ละ ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เลยทำให้บรรดาพระกับลูกศิษย์พระทั้งหลายเหล่านั้นเกลียดน้ำหน้าไปตามๆ กัน เวลานี้เขากำลังสาปแช่งบ้าง คิดจะทำร้ายบ้าง จะฟ้องร้องบ้าง ก็ชั่งเขา งานของเขา งานของเราก็ทำไป บอกแล้วนี่ ถ้าพระผู้บัญชาใดๆ ถ้าไม่ตั้งอยู่ในพระวินัยไม่ก้มหัวให้เด็ดขาด เรื่องอะไรถ้าบวชเป็นพระแล้วยังมานั่งหลอกลวงชาวบ้านอยู่

ทำลายความดีของสมเด็จพระบรมครู ทำลายพระพุทธศาสนา ทำลายประเทศชาติ บรรดาพุทธบริษัทเห็นด้วยไหม เห็นชอบกับเขาบ้างหรือเปล่า การกระทำของเขาอย่างนั้น ท่านเห็นว่าดีหรือไม่ดี ถ้าเห็นว่าดีก็สนับสนุนกันไป อาตมาไม่เอาด้วยแน่ นี่มาคุยกันถึงการเข้าไปวัดชัยมงคล วัดดอนมุย การเดินทางมันไม่ค่อยรู้จักทาง อิเหละ เปะปะ หลงทางกันเรื่อย ถามเขาเรื่อยเข้าไป คุณจันทร์นวล นาคนิยม นี่เป็นคนสายเหนือไปด้วย

ถามไปถามมาแกก็บอกเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา คนข้างนอก ข้างๆ ทาง ไปๆ แกก็บอกว่าซื่อเลย ซื่อนี่หมายว่า ตรง ในที่สุดก็เข้าเส้นทางได้ ก็ไปวิ่งสำรวจทางไป ดูแล้วที่ พ.อ.ชวาล กับ รตท.อรรณพ กอวัฒนา บอกว่าให้รถเดินทางสายนั้นเป็นรถบัส รถเก๋ง ก็มี ไปทั้งรถโฟล์คตู้ รถเก๋ง รถบัส รถบัสก็เกือบ ๒๐ คัน รถเก๋งก็อีกนับไม่ไหว รวมแล้วรถที่ไปน่ะหลายสิบคัน ไปดูเส้นทางแค่รถโฟล์คตู้เท่านั้น ไปต้องประคองตัว และน้ำหนักก็น้อยกว่า

ถ้าเอารถบัสเข้าไปก็มีหวัง ถลาลงน้ำ เมื่อไปถึงทางเข้าก็ยังไม่เข้าซิ มันยังไม่ชัดนี่ วิ่งตะบึงเลยไป ไปเจอะคนเข้าก็ถามเขาว่าทางเข้าวัดดอนมุยน่ะมันอยู่ทางไหน เขาบอกว่า เลยมาแล้วขอรับ เอาเข้าอีกแล้ว ทีนี้ก็ซ้อมกลับรถ ซ้อมโดยบังเอิญ แค่รถโฟล์คเท่านั้น กลับไปกลับมาจะลงน้ำให้ได้ นี้ตามหมายกำหนดการนี่ พ.อ.ชวาล กับ ร.ต.ท.อรรณพ แกบอกว่าให้ไปกลับรถที่นั่น รับรองเลยว่ารถบัสกี่คันๆ ก็ลงน้ำหมด

เมื่อเข้าเส้นทางได้ต้องเดินทางไปอย่างประคับประคองเต็มที่ ขณะเดินทางเข้าไป คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา หรือที่ท่านทั้งหลายจำได้ในนามคุณอ๋อย ภรรยาเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ มองไปทางขวามือในทุ่ง เวลานั้นน้ำเจิ่งไปหมดข้างๆ ทาง เพราะน้ำเหนือมาแล้วมองแลไปเห็นลอมฟางมันกลม แกก็เลยปรารภขึ้นว่า แหมบ้านนี้เขาทำห้างเฝ้านากันแปลกๆ ทำกลมๆ ทุกคนในรถมองไป มองไม่เห็นห้างเฝ้านาเห็นเป็นกลมๆ มันเป็นลอมฟาง

คุณจันทร์นวลก็บอกมันไม่ใช่ห้างเฝ้านา เป็นลอมฟาง เขายกกันขึ้นมาสูงเพราะน้ำท่วมพื้น ยกพื้นหนีน้ำ เอาฟางเก็บไว้ให้พอควายกินในเวลาที่น้ำมาก หนึ่งละผ่านไป พอเข้าไปถึงวัดส่งภาษากันล้งเล้งๆ ตามสมควร เวลาจะออกเดินทางกลับ ตาคนหนึ่งแกบอกว่าแกอยู่กรุงเทพฯ แต่ว่าไปได้เมียข้างๆ นั้น แกก็ชี้ทางบอกให้ออกมาอีกทางหนึ่งทางตะวันตก เมื่อไปแล้วถึงสะพานให้เลี้ยวขวาข้ามสะพาน เดินทางไปอีกจะมีแยกให้เลี้ยวซ้าย

คราวนี้จะออกอำเภอสารภี แล้วก็มาตามนั้น แต่ความจริงที่กำหนดไว้น่ะไอ้ทางที่จะเข้าไปแยกที่สะพานน่ะมันมีทางด้านตรงไปอีกทางหนึ่งเป็นทางสั้น แต่ว่าตาคนนั้นแกบอกเป็นทางยาวไป บอกผิดทางไป เขาบอกว่าวิ่งไปเดี๋ยวเดียวก็จะไปบรรจบทางเดิม แต่ที่ไหนได้ล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท กว่าจะบรรจบทางเดิมได้เวลาก็เข้าไปถึงชั่วโมงครึ่ง ตั้งเวลาไว้ดู รถก็วิ่งเร็วไม่ได้ ทางก็แคบ ทางก็เลวแสนเลว ทีนี้จะไปถามใคร วิ่งๆ รถไปก็รู้สึกสงสัยก็ถามชาวบ้านบ้าง ถามเด็กบ้าง

ถามว่าทางนี้ไปไหน พวกก็รายงานว่ายางเนิ้ง บ้างก็บอกว่าไปสารภี ยางเนิ้งสารภี ไอ้ยางเนิ้งนี่เขาจะแปลว่าอำเภอหรือยังไงก็ไม่ทราบ ก็น่ากลัว เพราะว่าลงสารภีนี่ อาตมาก็เลยบอกว่าถ้าถึงสารภีแล้วประเดี๋ยวก็พบกะจ่า ทีนี้คุณอะไรแกไปด้วย คุณสมจิต สาริกานนท์ คุณจันทรนวล แกก็เลยคิดว่า เอ ที่อาตมาบอกว่าถึงสารภีแล้วก็พบกับจ่า สมัยนี้กะจ่ามันหายาก แกก็เลยคิดว่าคงไปพบจ่าตำรวจหรือว่าจ่าทหาร แกก็คิดอยู่ตั้งนาน

ระยะทางพอโผล่ออกมาแล้วเข้าทางยางเนิ้ง พอถึงเส้นทางแล้วแกถึงได้นึกได้ ไอ้กะจ่านี่ ไม่ใช่จ่าตำรวจหรือทหาร เป็นกะจ่าสำหรับตักแกง เวลานี้มันไม่มี นี่ก็สนุกดีเหมือนกัน พอโผล่ยางเนิ้งแล้ว ทีนี้เข้าเส้นทาง อาตมาก็คิดว่าการไปลำพูนนี่ จากลำพูนไปเชียงใหม่มันต้องเลี้ยวซ้าย แต่คุณจันทรนวลนี่แกเป็นคนสายเหนือแกบอกว่าเลี้ยวขวา เอา ไอ้เรานี่มันเป็นคนเมืองใต้ไม่ชำนาญในทาง เมื่อแกบอกว่าเลี้ยวขวา คนรถก็เลี้ยวขวา

ก็มานึกอยู่ในใจ ไอ้เชียงใหม่นี่มันต้องขึ้นเหนือ ไม่ใช่ลงใต้ ทำไมแกจึงบอกว่าเลี้ยวขวา วิ่งไปวิ่งมา ปรากฏว่าพ้นจากยางเนิ้งมาเจอะขี้เหล็กเนิ้งเข้าให้ เพราะว่าเขตของเชียงใหม่ต่อลำพูน ดินแดนของจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าเมืองเก่าปลูกต้นยางสองข้างทาง น่ากลัวเขาเรียกว่ายางเนิ้งอีตอนนี้ละมัง หรือว่ายางเนิ้งเขาแปลว่าอำเภอ แต่เขตของลำพูนเขาปลูกต้นขี้เหล็ก วิ่งมาหน่อยเดียวปรากฏว่ายางเนิ้งหมดไป มีขี้เหล็กเนิ้งคอยอยู่ข้างหน้า

ก็เป็นอันทราบได้ ว่าการเดินทางไปเชียงใหม่ผิดทาง เข้าจังหวัดลำพูนใหม่ เมื่อเดินทางเข้าจังหวัดลำพูนแล้วก็เดินทางต่อไปเชียงใหม่ รถ พ.อ.อ.ประมวลตามหลังไป พอจะเลี้ยวเข้าทางอำเภอสันกำแพง แกวิ่งห่างไปแกเลยวิ่งเลยไปเสียอีก ต้องถอยรถออกมาเรียกกันใหม่จึงวิ่งไปอำเภอสันกำแพง ไปที่วัดหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล เข้าไปในที่นั้น ได้ข่าวว่าหลวงปู่คำแสนไปทำพิธีพุทธาภิเศกที่วัดบรมนิวาส เพิ่งกลับเมื่อตอนเช้า

ตอนเช้ากลับเรือบินมาถึง เข้าไปในที่นั้น ชาวบ้านเขาดีเหลือเกิน บรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้งทางวัดทั้งชาวบ้าน ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีเป็นกรณีพิเศษ ความจริงคนทางเหนือนี่เขายังเก็บความดีไว้ได้เยอะ สถานที่พักก็สะดวกสบาย อาหารการบริโภคเราไม่ได้สั่งไว้ พวกเราคิดว่าเราจะไปซื้อกันเอง ไม่รบกวนท่าน แต่ว่าเจ้าของบ้านท่านไม่ยอมนี่ ท่านจัดไว้ เห็นคนกินข้าวเย็นกันได้ (พระกินไม่ได้) บอกว่าอาหารอร่อยดีมาก สถานที่พักก็สบาย

มีความเย็นสบาย ไม่ต้องกางมุ้ง ยุงไม่กัด (หรือจะไปกัดใครบ้างก็ไม่ทราบ) พออาบน้ำอาบท่าเสร็จอาตมาก็ซ้อมเดิน ความจริงไอ้เรื่องเดินนี่ ปีหนึ่งหาเวลาเดินยากเต็มที บางวันลงจากกุฏิไปพบแขก นั่งคุยกันทั้งวัน เดินขึ้นกุฏิแค่นี้เอง ถ้าอยากจะเดินบ้าง ไปดูงานกำลังก่อสร้าง เดินไปตอนเช้า ต้องออกไปก่อนกินข้าวเช้า กลับเข้ามาแล้วไม่ต้องออกไปอีก เพราะอะไร จะหาว่าแขกมารบกวนละไม่ใช่หรอก แขกไม่เคยมาหา จะมาก็ไทยกับเจ๊กเท่านั้นแหละมา

ไอ้เรามันคนเดียวแกมาแล้วก็ไม่ได้นั่งนาน มาแล้วก็กลับ แต่มันหลายคนด้วยกัน ต่อกันไปต่อกันมาหมด หมดเวลา ขึ้นพัก เวลา ๒ ทุ่มก็ต้องลงสอนพระกรรมฐาน ดูเถอะงานของพระ บรรดาท่านพุทธบริษัทมันยุ่งแบบนี้ ก็เลยชวนหลวงน้า พระครูปัญญาโสภณหรือพระมหาอำพัน แห่งวัดเทพศิรินทร์กับพระสมชาย แล้วใครอีกคนเป็นฆราวาส เดินออกไปวัดที่ท่านอยู่ หลวงพ่อคำแสนนี่มี ๒ วัด

ท่านไปปลูกไว้ในป่าชัฏอีกวัดหนึ่งเป็นกายวิเวกสำหรับพระกรรมฐาน เพราะว่าตามปกติท่านชอบธุดงค์ เวลานี้ ท่านบอกว่าขาหักหมดแล้ว เดินไม่ไหวเพราะความแก่มันกิน พอเดินออกนอกวัดก็พบบรรดาท่านพุทธบริษัทเจ้าหน้าที่โรงงานยาสูบ ไร่ทดลองยาของเกษตรประมาณสัก ๑๐ คนเศษ จอดรถกึกเข้าพอดี พอเดินไปแกรีบวิ่งลงจากรถมายกมือไหว้ ว่าเกือบไม่ทันหลวงพ่อ ถามว่าทำไม ตอบว่าผมอยู่ที่สถานีทดลองยาสูบ

จะมานมัสการหลวงพ่อ บอกว่าดีแล้ว เข้าไปคุยกับเจ้ากรมก่อน เดี๋ยวฉันจะหัดเดินสักพักก่อน มันจะเดินไม่เป็นอยู่แล้ว พอไปถึงหลวงปู่คำแสน ตอนแรกท่านบอกว่า เดี๋ยวก่อน จะไปอาบน้ำสักประเดี๋ยวหนึ่งจะมา อาตมาก็เข้าใจว่าเดี๋ยวหนึ่งคงไม่ได้แน่ เพราะพวกเราชอบไปกวนท่าน ก็เป็นความจริง ปรากฏว่ามีคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค กับคณะย่องไปคุยกับท่าน ท่านจะอาบน้ำได้ยังไง แต่ที่ไปนั่นเขาไปด้วยความเลื่อมใส

สำหรับท่านผู้นี้ ไม่ต้องห่วง เรื่องธรรมะธรรมโมนี่ยกยอดให้เลยเรื่องระเบียบวินัย การรักษาศีลบริสุทธิ์อันนี้ทำได้ดี แนบเนียนมาก แล้วทำได้อย่างจริงใจ เป็นนักศรัทธาที่บอกไม่ถูก แต่ความจริงคณะของอาตมา ถ้าเป็นคณะแท้ๆ ไม่มีใครเขาฝ่าฝืนพระธรรมวินัย เขาตั้งใจทำบุญด้วยกันจริงๆ เมื่อไปคุยกับท่าน ท่านก็ไปไม่ไหว ไม่ใช่คุยแต่คณะนี้คณะเดียว คนอื่นก็ย่องไปบ้าง อาตมาก็เดาถูกว่าหลวงปู่คำแสนอาบน้ำไม่ได้ จึงได้เดินทางไปหาท่าน

มันประมาณ ๒ กิโล ยืดแข้งยืดขาสบายๆ ได้มีโอกาสเดิน พอไปถึงก็ปรากฏว่า คณะของพวกเรากลับแล้ว คือคุณหญิงเยาวมาลย์กลับแล้ว แต่ว่ามีคนอีกหลายคณะกำลังนั่นแน่นขนัดที่ในกุฏิของท่าน ดูเอาเถอะ พระน่ะเป็นยังงี้ จะอาบน้ำสักหน่อยท่านก็อาบไม่ได้ เดินไปถึงแล้ว ทีแรกตั้งใจจะไม่ขึ้น ท่านก็เรียกขึ้นไป ก็เลยยอมขึ้น เมื่อขึ้นแล้วก็คุยกัน ท่านบอกว่าท่านเพิ่งมาจากกรุงเทพฯ เพิ่งกลับมา องค์นี้มีอภิญญาสมาบัติเป็นพิเศษ เก่งมาก

วิธีเหาะของท่านไม่ต้องเข้าฌาน เป็นแต่เพียงเข้าแบ๊งค์ คือธนบัตร เข้าแบ็งค์ปั๊บ เอาแบ๊งค์ไปเข้าตู้ ตู้ที่เขาเก็บเงินค่าโดยสารเครื่องบิน เท่านั้นแหละ ฌานแบ๊งค์ขึ้นปั๊บ เหาะแป๊บคือนั่งบนเครื่องบิน เครื่องบินก็เหาะมา เหาะแบบนี้สบาย ไม่มีคำว่าอวดอุตริมนุสธรรม ท่านคุยว่าเพิ่งเหาะกลับ คุยกันไปคุยกันมา ความจริงสถานที่นี้เคยไปมาครั้งหนึ่ง เดินไปเดินมาไปเห็นทองคำเข้า แต่มันอยู่ลึก ความจริงก็มีไม่มาก

ถ้าจะเทียบเป็นน้ำหนักก็ไม่เกิน ๓๐๐ กิโล มันนิดหน่อย ถ้าจะขุดมาก็น่ากลัวถูกผีตีคอหักตาย พอขึ้นไปท่านก็คุยให้ฟังว่าเมื่อเร็วๆ นี้มียายชีมาองค์หนึ่ง แล้วมีบริษัทของยายชีมาด้วย มาถึงก็ไม่นั่งบนกุฏิ นั่งข้างล่าง มานั่งเข้าสมาธิ ดูทรัพย์สินต่างๆ ในสถานที่นี้จะมีไหม ความจริงพวกเจริญสมาธิ ถ้ามีความโลภแบบนี้แล้วก็เลิกเจริญเสียดีกว่า เราทำกันเพื่อตัดความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่ยังไปแสดงเดชอำนาจดูทรัพย์ใต้ดิน

โธ่เอ๋ย ยังงี้ไม่บวชหรอกชีนะ บวชทำไม บวชเข้าไปแล้วมันโกนหัวคล้ายพระ แล้วเขาก็ประณามว่าสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ เลวแบบนี้เจียวรึ ไปนั่งดูทรัพย์ ไปนั่งดูหวย ไอ้กิเลสในใจน่ะไม่ดู แล้วบวชเข้าไปแล้วบอกว่าจะไปละโลภะ โทสะ โมหะ มันจะละอะไร ดันพอกเข้าไปอีก ทรัพย์เขาอุตส่าห์ฝังไว้ใต้ดินยังไปดู ดูก็รู้เหมือนกันว่ามีทรัพย์ แต่ว่าเป็นจุดเล็ก ไม่ใช่จุดใหญ่ จุดใหญ่อยู่ห่างจากนั้นไปอีกประมาณสัก ๑๐๐ เมตรเห็นจะได้มัง

ประมาณสัก ๑๐๐ เมตร แต่อยู่ลึก บอกไม่ได้หรอก ใครไปขุดเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น ไม่มีประโยชน์ เห็นก็เห็นเป็นกีฬาเล่นสนุกๆ เขาอยากจะให้เห็นก็เห็น อีตรงนั้นก็เห็นเหมือนกัน ยายชีชี้ที่ว่าตรงนั้นมีทรัพย์ แต่ทรัพย์ส่วนเล็ก ท่านบอกว่าท่านเคยพบประวัติ พบที่ไหน? ใครเขาเขียนไว้ล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัทไม่มีใครเขาเขียนไว้ ทำไมรู้ประวัติได้ นี่มันเรื่องของพระ ไอ้เรื่องผีๆ สางๆ เทวดาหรือพรหม หรือนรกสวรรค์นี่เป็นเรื่องธรรมดาๆ

มีความรู้กระจุ๋มกระจิ๋มก็รู้ได้แล้ว มันเรื่องไม่หนัก ท่านบอกว่าเคยมีเศรษฐีใหญ่ แกขี้เหนียวมาก ไม่เคยทำบุญทำทาน เวลาก่อนจะตายเอาทรัพย์ฝังไว้ แกขี้เหนียวนี่ จะใช้แกก็ไม่ใช้ หาเช้ากินเย็น หาเย็นกินเช้าทำพอกิน ทรัพย์สำคัญส่วนใหญ่แกไม่ใช้ ฝังดินไว้ ไอ้แบบนี้ไม่มีเลยดีกว่า มันไม่ห่วง ถ้ามีแล้วไม่ใช้ ไปฝังดินไว้ยังงั้น มีก็นั่งห่วง มันอดห่วงไม่ได้ ท่านบอกว่าเวลานี้ เจ้าของตายแล้วเป็นเปรต ดีไหมล่ะ นี่บรรดาพระทั้งหลายที่มีสตางค์มากๆ

เอาไปฝังไว้ตามธนาคารน่ะ ขุดเอามาใช้เสียบ้างนะขอรับ ฆราวาสฝังทรัพย์ตัวเองไว้ ตายไปเป็นเปรต พระฝังไว้ที่เขายกขึ้นเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ตายแล้วลงอเวจี พยายามขุดๆ มาบ้างนะขอรับ เอามาแบ่งกัน ไม่ต้องแบ่งกับผม ผมไม่อยากได้ของท่าน เอาแบ่งเฉลี่ยความสุข สร้างถาวรวัตถุ ช่วยประเทศชาติ ศาสนา ทำบุญให้เป็นสาธารณประโยชน์

หลวงปู่คำแสนเล่าให้ฟังต่อไปว่า เวลาพอเขาขุดทรัพย์ได้ไปชิ้นเล็กๆ จะเป็นพระชินสักองค์หนึ่ง แต่ความจริงของมีมาก ถ้าจะพูดเป็นกำลังทองจริงๆ เขาบอกอย่ากระซิบไป มันหนักเกินกว่า ๒,๐๐๐ บาท นี่ตาผีเจ้าของเขามาบอกว่าอย่าพูดไปนา นี่ฉันไม่ได้พูดนี่ เล่าให้ชาวบ้านเขาฟัง เพราะว่าเขาไปเอาก็เอาไม่ได้ทอง เงินต่างหาก ของอื่นต่างหาก มีพระเครื่องอยู่กะปุกหนึ่ง พระก็พระทั้งนั้น พระเก่าพระใหม่ก็พระเหมือนกัน หมดเรื่อง

ขอให้เป็นพระที่ทำพระมีศีลก็แล้วกัน ถ้าพระศีลขาดก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร อะไรก็ตาม ถ้าเราหยิบขึ้นมาบูชาถึงสมเด็จพระจอมไตรบูชาแล้วก็ใช้ได้ ท่านบอกว่า พอเขาขุดไปแล้ว กลางคืนท่านเจริญพระกรรมฐาน คืออยู่ในสมาบัติ ที่เรียกว่าผลสมาบัติ ไอ้พวกมาทุบประตูปังๆๆๆ ท่านก็เลยร้องบอกว่า นี่พระจะทำบุญทำทาน ทำจิตเป็นสมาธิ ทำใจสบาย ตัดกิเลส มันก็เลยเงียบ ประเดี๋ยวมันก็ไปเคาะทางฝาด้านหัวนอนอีก ตังๆๆๆ เข้าให้

แล้วก็เลยบอกนี่แกจะมาเคาะทำไม ใครเขาเอาของแกไป แกก็ไปตามเอาซี มาเคาะฉันทำไม มากวนฉันทำไม มันก็เลยหายไป ปรากฏว่า ๒ – ๓ วัน ยายชีก็เลยนำคณะเอาของมาคืนที่เดิม แล้วในขณะนั้นเอง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเห็นจะเป็นคนแถวนั้น แกเล่าให้ฟังเหมือนกัน บอกว่า คนข้างบ้านของแกเคยมาพบขอก็ชิ้นเล็กๆ มีค่าไม่มาก เห็นแล้วก็เอาไปเก็บไว้ที่บ้าน เก็บได้คืนเดียว พอรุ่งขึ้นเช้าต้องเอามาคืน เพราะเจ้าประคุณไปกวนเสียอย่างหนัก

เมื่อคุยกับท่านพอสมควรแล้วก็ขอลากลับมาที่พัก ถึงเวลาตอนเย็นท่านก็มาเยี่ยมเยียนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท แต่ความจริงท่านจะมานานแล้ว ท่านมาได้ค่ำเพราะแขกมาก จะลุกยังไง ปั้ดโท่ ท่านก็นั่งเสกปลุกพระเครื่อง เครื่องรางของขลังอะไรก็ช่างชาวบ้านเขาว่า แต่ท่านผู้นี้ท่านไม่ได้ปลุก ท่านอาราธนาบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านไม่ได้ใช้คาถาปลุก ไม่ต้องไปปลุกท่าน พระพุทธเจ้า ขอบารมีท่านดีกว่า เพราะพระบารมีท่านมีแล้ว

ไอ้พวกเราซี ยังหลับอยู่ ท่านก็กลับมา ท่านเข้ามาเยี่ยม คืนนั้นดูเหมือนหลวงปู่บุดดา แห่งวัดสองพี่น้อง อำเภอสรรค์บุรี นำคณะเข้าไปหา ท่านขึ้นไปด้วยก็คุยกันสนุกสนาน มีบริษัทของท่านคนหนึ่งเป็นสตรี พูดจาเก่ง บอกว่าไปวัดวังมุยมาแล้ว เขาห้ามไม่ให้เข้าไปหาหลวงปู่ชุ่มแกก็จะไป เขาบอกเขาจะยิง แกบอกแกยอมตาย แกก็พยายามเข้าไปไหว้จนใกล้ตัก ความจริงศรัทธาของแกดี แต่ทว่าถ้าทำแบบนี้โดยจริยาไม่ค่อยดีหรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าเป็นการขัดต่อความเป็นจริงสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้ก็ได้แค่นี้ ก็เลยยังไม่ถึงวัดชัยมงคลวาระที่ ๒ เป็นอันว่าก็ต้องจบกันเพราะสัญญาณบอกเวลาหมดแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/6/13 at 21:54 [ QUOTE ]


5
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ก็จะมาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่องท่องเที่ยวจังหวัดลำพูนต่อไป เพราะว่าการไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่หรือว่าจังหวัดลำพูน คราวนี้ไปเพื่อนมัสการพระออกจากนิโรธสมาบัติ ตามที่พูดมาแล้วหลายๆ อาทิตย์ สำหรับวันนี้ก็จะขอเล่าให้ฟังถึงเรื่องการเดินทางระหว่างตอนกลางคืน วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๑๘

ตอนกลางคืน พ.อ.ชวาล กับ ร.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา ได้ไปพบที่วัดดอนมูล แห่งจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอสันกำแพง ในวันนั้นรู้สึกสังหรณ์ใจ ว่าในตอนเช้าฝนอาจจะตก ความจริงแล้วฝนไม่น่าจะตก แต่ว่าฝนก็มีความจำเป็นเหมือนกันว่าจะตก จึงบอกกับ ร.ต.อ.อรรณพ ว่า ถ้าหากว่าพรุ่งนี้ฝนตก ก็จะไม่นำขบวนเข้าไปที่วัดชัยมงคล หรือว่าวัดวังมุย เพราะว่าทางเล็กจัด รถจะพลาด ทาง ร.ต.อ.อรรณพ ก็รับปากว่า

ถ้าหากว่าฝนตกจริงก็จะได้อาราธนาหลวงพ่อชุ่ม โพธิโก ซึ่งออกจากนิโรธสมาบัติมาพบที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน ความจริงวัดชัยมงคล หรือวัดวังมุยอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ แต่ว่าถ้าจะเดินทางให้ใกล้ ก็ต้องเดินทางผ่านจังหวัดลำพูน เพราะว่าเขตของจังหวัดล้ำลงมามาก คือว่าเขตจังหวัดเชียงใหม่ยาวลงมาคร่อมจังหวัดลำพูนอยู่มาก หลายกิโลเมตร เกือบจะคลุมจังหวัดลำพูนไว้หมด ก็ตกลงกันตามนั้น

ถึงเวลาเช้าตรู่ หลวงพ่อคำแสน เจ้าอาวาสวัดดอนมูล อำเภอสันกำแพงก็เลี้ยงข้าวต้มแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ไปพักที่นั่น แล้วท่านก็มาด้วย ระหว่างที่ขบวนเดินทางออกมาจากอำเภอสันกำแพง พอมาถึงวัดเจดีย์หลวง อาตมาก็เข้าไปประกาศกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้ถือรถอาตมาเป็นรถนำให้เป็นขบวนเข้าไป ปรากฏว่าขบวนนี้ยาวเหยียดมาก บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาเองก็ไม่ได้นับ เฉพาะรถส่วนตัวคือรถโฟล์คกับรถเก๋งก็ยาวเหยียดอยู่แล้ว

ต่อมาก็เป็นรถบัสบ้าง รถทัวร์บ้าง สำหรับรถบัสกับรถทัวร์ไม่ได้นับ เข้าใจว่าใกล้จะถึง ๒๐ คัน รถเก๋งกับรถโฟล์คอีกต่างหาก ในขณะที่เดินทางออกจังหวัดเชียงใหม่ ก็ปรากฏว่าในระหว่างทางฝนตกหนัก อาตมาพิจารณาว่าทางแคบที่จะเข้าไปวัดวังมุย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนวันที่ ๒๐ (ที่พูดนี่เดินทางวันที่ ๒๑) ตอนวันที่ ๒๐ นี่ ได้นำรถโฟล์คตู้ของ พ.ท.แพทย์หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ ซึ่งถวายให้ใช้ ได้นำรถโฟล์คเข้าไปตรวจทาง

เห็นว่าเฉพาะรถโฟล์คเอง เวลาเดินทางเข้าไปก็ต้องระมัดระวังมาก เพราะทางแคบ เมื่อเลยทางไปแล้วจะถอยหลังมากลับรถก็แสนจะลำบาก จึงได้พิจารณาเห็นว่า ถ้าปล่อยให้รถเข้าไป ความสังหรณ์ใจ – พูดว่าความสังหรณ์ใจดีกว่า ถ้าจะไปบอกว่าเทวดาบอก ประเดี๋ยวเพื่อนจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมเสียอีก เอาเสียหน่อยดีไหม ไหนๆ เพื่อนก็หาอวดอุตริมนุสธรรมอยู่แล้วนี่ อย่าเอาเลยดีกว่านะ ใช้คำว่าสังหรณ์ใจดีกว่า

สังหรณ์ใจว่ารถบัส ๒ คันจะพลัดถนน จึงได้นำขบวนเข้าวัดจามเทวี พอเข้าถึงวัดจามเทวี ความจริงหมายกำหนดการในที่นั่นไม่มี ฝนก็ตกหนัก เมื่อคนเข้าไปมากปรากฏว่าเมื่ออาตมาเข้าไปถึง พระลูกศิษย์ของหลวงปู่ทิม ความจริงขณะนั้นหลวงปู่ทิมท่านไม่อยู่ เห็นเข้าก็ไม่รอแล้ว พระคุณเจ้าองค์นี้ดีมาก ขอชมเชยไว้ ลืมถามชื่อท่าน เห็นเข้าท่านก็ไม่ฟังแล้ว คว้าเสื่อออกมาองค์เดียว (ท่านเฝ้ากุฏิอยู่องค์เดียว)

คว้าเสื่อได้ท่านก็ลากออกมาๆ ปูกันเป็นการใหญ่ ความจริงพระแบบนี้น่าสรรเสริญมาก อาตมาขอเทิดทูนความดีของพระคุณเจ้ารูปนี้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่รู้จักปฏิสันถาร ตามแนวคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคนเราจะอยู่ได้ด้วยดีต้องอาศัยปฏิสันถารเป็นสำคัญ เมื่อบรรดาประชาชนเข้าไปพักที่นั่น ฝ่ายตำรวจมาถามว่าจะไปวัดวังมุยไหม อาตมาก็บอกว่าไม่ไป ถ้าขืนไปรถจะตกถนน และในฐานะที่อาตมาเป็นหัวหน้าทีม

ถ้าเหตุร้ายเกิดขึ้นแบบนั้นก็จะเกิดความเสียหายขึ้นมามาก เขาจะหาว่าหัวหน้าทีมไม่ระมัดระวัง มีความบกพร่องในฐานะที่เป็นหัวหน้า ฝ่ายทางตำรวจก็ติดต่อไปด้วยวิทยุเพราะว่าร้อยตำรวจเอกอรรณพ กับพันเอกชวาลเป็นผู้สงเคราะห์ ทางโน้นก็จะให้ไป อาตมาก็จะไม่ยอมไป ก็ปรากฏว่าทางวัดวังมุยฝนเขาไม่ค่อยตก นี่เรื่องที่ทะเลาะกันมันมีตรงนี้ ทางเรานี่ฝนตกหนัก ทางนอกออกไปฝนไม่ตก นี่เทวดาเล่นกลเสียแล้ว

ทางโน้นเขาก็บอกว่าเขาพยายามประคับประคองหลวงพ่อมาหลายวัน ถากถางสถานที่เพื่อจะต้อนรับ ถ้าเราไม่ไปเขาก็ไม่ยอมให้หลวงพ่อออกมา พวกเราก็บอกว่าถ้าจะให้รถใหญ่ออกไป เราก็ไม่ออกเหมือนกัน ในที่สุดพระลูกศิษย์ของหลวงพ่อชุ่มก็ออกมาหา บอกว่าขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเข้าไปข้างใน อาตมาก็ถือสัญญา บอกว่า ถ้าจะให้นำรถใหญ่ออกไป จะไม่ยอมออกไปเด็ดขาด แล้วก็จะทำบุญที่วัดจามเทวีนี่

เพราะว่าที่วัดจามเทวีนี่ก็กำลังก่อสร้างพระอุโบสถ บรรดาญาติโยมที่มาคราวนี้ต้องการเอาเงินมาสร้างพระอุโบสถ ถ้าไปที่โน่นไม่ได้ก็จะสร้างที่นี่ ท่านก็บอกว่าไปเถอะ ก็เลยให้สัญญาบอกว่า ถ้านำรถเล็กมารับที่วัด ไม่ให้รถบัสเดินทางไป อันนี้จะไป ถ้ารถบัสเดินทางไปไม่ได้แน่ ถ้าไปก็ไปไม่ได้ เพราะรถในขบวนคันที่ ๒ กับที่ ๓ จะหล่นถนน มันเป็นรถนำหน้า เมื่อรถหล่นถนนไปคันหนึ่งมันไม่หล่นเลย มันคาทาง

แล้วรถอีกหลายสิบคันก็ไปไม่ได้ มันจะเกิดประโยชน์อะไร ความจริงตอนนั้นประกาศแก่บรรดาพุทธบริษัทว่าเราจะไม่ไปวัดวังมุย อันนี้อาตมาก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ถ้าหากว่าเขาไม่มารับ ถ้าฝนตกหนัก แต่ความจริงฝนเขาไม่ตก ก็มีบางท่านบอกว่า ทุกอย่างมันเป็นอนิจจังนะ เวลาที่สั่งให้เดินทางไปวัดวังมุยก็ต้องขออภัยท่านที่ผิดหวังไป ว่าเราจะนั่งกันอยู่ที่วัดจามเทวี เมื่อทางวัดพร้อมที่จะเอารถมารับก็สั่งการเคลื่อนขบวน ให้รถเล็กเดินทางไปก่อน

อาตมาเองไปรั้งท้าย แต่ก็ไม่รั้งนัก ก็ปรากฏว่ารถเล็กที่เขาส่งมารับมันไม่ค่อยจะครบ ไม่ค่อยจะทันใจ ญาติโยมพุทธบริษัทจึงพากันเหมารถ ๒ แถวไปประมาณ ๑๒ คัน ส่วนรถที่เจ้าหน้าที่ส่งมารับนั้นก็ไม่พอแก่ความต้องการของคนที่ไป ยิ่งกว่านั้นรถส่วนตัวไปอีกมากมายก่ายกอง เป็นอันว่าขณะเดินทางไป ถ้านำรถใหญ่ไปก็คงจะงามหน้ามาก เพราะปรากฏว่ารถตำรวจที่นำเข้าไป ดันพลัดตกถนนลงมา แต่ดีนะว่าพลัดเล็ก ไม่ใช่พลัดใหญ่

พอพยุงตัวขึ้นไปได้ แล้วมีคนแจ้งว่ารถเล็ก เป็นรถเก๋งส่วนตัวของพันเอกชวาลก็ลงไปด้วย นี่อาตมาไม่เห็นเป็นแต่เพียงคนอื่นบอกให้ฟัง เป็นอันว่าความสังหรณ์ใจที่ชาวบ้านเขาคุยกันว่า เทวดาบอกให้ทราบว่ารถจะพลัดถนน ๒ คัน เมื่อรถของเราไม่พลัด รถของเจ้าหน้าที่ก็พลัดถ้าเป็นรถของคณะเรา ซึ่งเป็นรถใหญ่พลัดก็เสร็จ ไม่ต้องไปแล้ว อันนี้ก็ต้องขออภัยบรรดาท่านเจ้าหน้าที่และญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ต้องสร้างความยุ่งยากในวันนั้นให้เกิดขึ้น

เพราะความจำเป็นมันบีบบังคับแบบนี้ อาตมาเป็นรถท้ายแถว แต่ไม่ท้ายสุด ก็ปรากฏว่า คณะของคุณหญิงเยาวมาลย์อีกประมาณ ๑๐ คันเศษ ที่รถสองแถวมารับข้างหลัง เมื่อไปถึงเขตที่จะเข้าไปสู่ที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ ก็มีคนมาแจ้งบอกว่า ใครไปนิมนต์หลวงปู่ชุ่มออกจากสถานที่นิโรธสมาบัติ ท่านไม่ยอมพูดด้วย ท่านนั่งหลับตาเฉยเสีย ท่านบอกว่าประเดี๋ยวมหาวีระจะออกมา ท่านว่ายังงั้น ก็มีคนมาแจ้ง

บอกว่าหลวงปู่ชุ่มไม่ยอมออกจากนิโรธสมาบัติ คอยหลวงพ่ออยู่ นี่คุณสุรินทร์เป็นตำรวจ ไม่รู้ว่านามสกุลว่ายังไง ลืม เมื่อเขามาบอก อาตมาก็ลงจากรถ ต้องใช้ไม้เท้าที่คุณพิศัลย์ถวาย เพราะทางมันลื่นนิดหน่อย เดินลงไปปรากฏว่ามีรอยน้ำฝนเหมือนกัน แต่เป็นฝนตกหยิมๆ เพราะปรากฏว่าทางที่ผ่านไปน่ะมันไม่เลอะเทอะ นี่ เรื่องที่ต้องเถียงกันมันอยู่ตรงนี้เอง เพราะสถานที่ภายนอก ที่วัดนี้ฝนตกหยิมๆ น้อยๆ ของเราซิล่อเสียจั้กๆๆ อย่างนี้

จะต้องถือว่าเทวดาเป็นฝ่ายห้ามทัพ ไม่ยอมให้นำรถใหญ่เข้าไป ถ้าไม่โทษเทวดาก็ไม่รู้จะโทษใคร ไอ้ที่โทษนี่เดาๆ ส่งไป ท่านห้ามไว้ด้วยความดี ถ้ารถของเราไปตกถนนก็งามหน้าละ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาเดินเข้าไปในสถานที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ เห็นคณะกะเหรี่ยงแต่งตัวแดงๆ ทีแรกคิดว่าพวกมโหรทึกของพระมหากษัตริย์ เพราะแต่งตัวแดงคล้ายกัน กำลังเตรียมหามแล้วก็มีดนตรีกะเหรี่ยง ฟังเพราะดี

เขาเป่าเขา อาตมาไปปล่อยไก่เข้า คิดว่าจะเป่าแบบเจ๊กขายหมู คือเป่าทางตูด แต่ความจริงไม่ใช่ เขาเป่าข้างๆ แล้วก็มีลิ้นประกอบเป็นเพลง นี่อยากจะเปิดเพลงกะเหรี่ยงให้ฟังนะ บันทึกเสียงมาด้วย แต่ว่ารายการนี้เป็นรายการธรรมะ ขณะที่ไปถึงแล้วก็ไปนมัสการท่าน พอกราบท่านก็ลืมตามาจากนิโรธสมาบัติ ก็อาราธนาบอกขอหลวงปู่ นิมนต์ได้แล้วขอรับ เพราะบรรดาประชาชนมาพร้อมกันแล้ว

ท่านก็ยิ้ม ถามว่าไปเดี๋ยวนี้รึ ก็เลยกราบเรียนท่านว่า ไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ ท่านก็ไม่ได้รอ หยิบสังฆาฏิขึ้นมาพาดได้ หยิบไม้เท้าออกมาก็ออกจากสถานที่ทันที ขึ้นคานหามที่เขาเตรียมไว้ บรรดากะเหรี่ยงทั้งหลายที่ตั้งใจไว้ว่าจะหามหลวงปู่ หามไม่ทัน เพราะว่าพวกกะไทยทั้งหลาย (นี่ขึ้นว่ากะเหรี่ยงนี่ พวกไทยก็เลยใช้คำนำหน้าว่ากะบ้าง) บรรดากะไทยทั้งหลายก็แย่งกันหามเป็นการใหญ่ กะเหรี่ยงเข้าไม่ถึง ในเมื่อกะเหรี่ยงเข้าไม่ถึงแล้วเขาก็เลยเป็นฝ่ายดนตรี ขับประโคมแล้วก็รำแบบกะเหรี่ยง มองดูแล้วก็คิดถึงไทยสมัยโบราณ ท่าทางของเขาดีมาก

เมื่อเข้าไปถึงวัดแล้วก็ขอเล่าลัด ปรากฏว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเข้าไปบำเพ็ญกุศลกันขนาดหนัก แต่เป็นที่น่าเสียใจอยู่นิดหน่อย สลดใจอยู่หน่อย เพราะว่าเวลาที่หลวงปู่เข้าไปในโบสถ์มีคนเข้าไปแน่นอัด การเข้าไปนมัสการถวายของเป็นความดี แต่ที่บอกว่าสลดใจก็เพราะว่า ท่านที่เข้าไปแล้วไม่ยอมถอยออก บางท่านก็เข้าไปตื๊อ ดีไม่ดีก็เข้าไปปลุกบ้าง เสกบ้าง ความจริงพระไม่ได้ฉันข้าวมาตั้ง ๗ วัน ประกาศขอร้องบอกว่าให้ถอยออกไปก่อน ให้คนข้างหลังเข้ามาบ้าง

ท่านก็ทำเฉยกันเสีย บางคนก็ถอดสร้อยออกมา มีพระคล้องคอให้ปลุกเสกอีก ความจริง จริยาแบบนี้นักบุญไม่น่าจะทำ แต่เห็นใจบรรดาท่านพุทธบริษัท ถือว่าการนั้นเป็นการขลัง แต่ว่าโดยมรรยาทแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ควรให้โอกาสแก่บุคคลอื่นเขาบ้าง มันถึงจะควร ที่พูดอย่างนี้ไม่พูดเป็นเชิงตำหนิ แต่ขอติงเข้าไว้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า เราต้องการบุญกัน เวลาที่เราต้องการบุญน่ะ ความจริงจะต้องถวายนมัสการกัน ไม่ใช่ไปใช้พระ

แต่ที่กล่าวนี้ไม่ใช่คนส่วนมาก เป็นคนส่วนน้อย นิดหน่อยเท่านั้น อาตมาคิดว่าท่านที่ทำอย่างนั้น ที่มองหน้าแล้ว ไม่ใช่คณะที่ไปกับพวกเรา เป็นคนถิ่นอื่น สำหรับพวกเราทุกคนดีมาก มีจริยาตั้งใจไปด้วยความเคารพ ไม่มีใครตื๊อแบบนั้น แต่ว่าเป็นที่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่ง วัดดอนมุย หรือว่าวัดชัยมงคลเล็กเกินไปที่จะบรรจุบรรดาพุทธบริษัท หรือให้บรรดาท่านพุทธบริษัทถวายนมัสการได้ง่ายๆ เพราะการเข้าไปนั่งในวิหารเล็กนิดเดียว

มันจะโตขนาดไหนก็เล็ก จะใหญ่ขนาดวิหารวัดสุทัศน์หรือวัดกัลยาณมิตรก็ยังเล็ก ถ้าจะรับคนที่ไป สัก ๑๐ เท่าก็ไม่หมด นี่ท่านที่เข้าไปก่อนท่านไม่ยอมกลับ ไปนั่งหน้าป๋อหลอ เรียกว่านั่งหน้าไม่ยอมถอย ประกาศด้วยเครื่องขยายเสียงก็แล้ว ขอร้องก็แล้ว ท่านไม่ยอมถอย แล้วก็มีพระห้า-หกองค์ ท่านก็ไปนั่งปิดประชาชนเสียอีก ต้องขอร้องบอกว่าพระคุณเจ้านี่เปิดให้ประชาชนเขาเห็นหน้าหลวงพ่อเสียบ้าง พระท่านก็ถอย ก็ดีเหมือนกัน

แต่ก่อนจะชมว่าดีก็ขอติงไว้สักนิดหนึ่ง ว่าจริยาอย่างนั้นมันไม่เหมาะ เพราะการเข้าหาครูบาอาจารย์นี่ เขาห้ามนั่งขวางหน้า ว่าไม่ควรนั่งตรงหน้า และไม่ควรนั่งข้างหลัง ควรนั่งเฉียงๆ หน้าๆ ข้างๆ ละพอดีๆ เพราะเวลาที่ท่านพูดด้วยไม่ต้องหันซ้ายหันขวาให้ลำบาก แล้วไม่เป็นการปิดหน้าเกินไป นี่ความจริงพระวินัยของเรามีแล้ว เอา ขอคุยกันต่อไป วันนั้น อาตมาก็เหน็ดเหนื่อยมาก ที่เหนื่อยมากก็ไม่ใช่อะไร ก็เป็นฝ่ายรับฉากประกาศจากหลวงพ่อ

หลวงพ่อท่านบอกว่าขณะที่เข้านิโรธสมาบัติ มีผู้หญิง ๒ คน ไม่ใช่ผู้หญิงคน เป็นผู้หญิงเทวดา รูปร่างสวย คนหนึ่งถือสมุด อีกคนหนึ่งถือถุงย่าม มาถามว่า มานั่งสมาธิทำไม ท่านก็บอกว่ามานั่งสมาธิเพื่อบุญกุศล แล้วเขาสองคนก็ชวนท่านไป ท่านก็บอกว่าท่านยังไม่ไป ขันธ์ ๕ มันยังไม่ถึงเวลาพัง แล้วเขาก็ไล่เรียงด้วยประการต่างๆ ถึงผลแห่งการเข้านิโรธสมาบัติ ท่านบอกว่าทำเพื่อความเยือกเย็นของบรรดาท่านพุทธบริษัท

เพราะเวลานี้ประเทศชาติกำลังเร่าร้อน เขาก็เลยบอกว่าเวลานี้แผ่นดินมันจะถล่มแล้ว ท่านก็เลยถามว่าตรงไหนถล่ม ถ้าแผ่นดินตรงนี้ถล่ม อาตมาก็จะไปที่มันไม่ถล่ม ถ้ามันถล่มทั้งหมดก็ปล่อยมัน นี่ขอเล่าโดยย่อ เป็นอันว่าวันนั้น เมื่อสองสาวชาวสวรรค์ไม่สามารถจะตกลงกับท่านได้ เขาก็ลาไป เป็นอันว่าเรื่องราวทั้งหลายวันนั้นก็ของดไว้ การนมัสการหลวงปู่ชุ่ม แล้วก็ถวายจตุปัจจัยกันทั้งหมดสามแสนเศษ ท่านก็เลยขอให้ประกาศแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า

สำหรับจตุปัจจัยนี้ จะแบ่งเป็น ๒ อย่างด้วยกัน คือ ๑.นำไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน ๓ หมู่บ้าน เป็นสาธารณประโยชน์ แล้วอีกส่วนหนึ่งจะนำไปสร้างพระอุโบสถบนดอยกิตจิ อาตมาก็ประกาศให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบ ถึงเวลา ๑๑ นาฬิกา ความจริงอาตมามีงานที่จะต้องไป ไปอำเภอลี้ เขาบอกว่าหลวงปู่ทิมไปป่วยอยู่ที่นั่น อยู่กับหลวงปู่วงศ์ หลวงปู่วงศ์นี่เป็นพระพิเศษ คือ ชนะใจกะเหรี่ยงได้ เอากะเหรี่ยงเข้ามาปฏิบัติกันมากมาย กะเหรี่ยงทั้งหมู่บ้าน

ทั้งหมดเป็นกะเหรี่ยงที่มีศีลห้าบริสุทธิ์ เจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานกัน แล้วก็หลวงปู่วงศ์ท่านมีนโยบาย เพราะว่าพวกนี้เลี้ยงหมูไว้ฆ่าไว้แกงกัน เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ไว้กิน ท่านบอกว่าใครจะมาเป็นลูกศิษย์ท่าน จะต้องกินเจสามปี ไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าเลยสามปีไปแล้วกินเนื้อสัตว์ได้ อันนี้เป็นนโยบายสำหรับท่าน ความจริงอาตมาบอกกับคุณชูเกียรติว่าจะไปฉันที่เหมือง ฉันเพล แต่ที่ไหนได้ เพลตึงแล้วยังอยู่ในวิหารกับหลวงปู่ชุ่มอยู่เลย

คุณอ๋อยก็เขียนหนังสือเข้ามาบอกว่าจะขออนุญาตนำรถไปก่อน รถบัส ๒ คัน ขอคำตอบเดี๋ยวนั้น คุณสุรินทร์ ตำรวจ ไม่รู้ยศชั้นไหนมาแจ้งให้ทราบว่าขอคำตอบปัจจุบัน ก็เลยตอบว่า นำไปได้เลย เมื่อเวลาฉันเพลเสร็จ คุณชูเกียรติให้รถนำทางไว้คันหนึ่ง คือเป็นรถแลนด์ โรเวอร์ ออกมาแล้วปรากฏว่ารถประจำตัวของอาตมา คือเจ้าโฟล์ค ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่คนขับไปอยู่เสียที่ไหน มันขวางทางอยู่ คนอื่นเขาก็เลยช่วยขับให้ เจ้านี่มันก็เกิดรวนเกียร์ค้าง

ออกมาแล้วพบแพทย์หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ กับคณะอยู่ด้วย ถามว่าไม่ได้ไปกับเขาหรือ บอกว่ารถบัสเขาไป เขาไม่ได้บอกให้ทราบ ที่รถบัสเขาไปไม่ได้บอกให้ทราบเพราะเขาแน่ใจว่ารถแลนด์โรเวอร์ที่เขาทิ้งไว้ให้นั่นมันพอสำหรับบรรทุกคณะของแพทย์หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ ออกมาแล้วเธอก็รายงานบอกว่าเกียร์ค้าง คุณชวาลก็บอกให้ตำรวจติดต่อช่างที่ลำพูนปรากฏว่าไม่มี คราวนี้พลตำรวจสุรินทร์แห่งโรงพยาบาลตำรวจก็ต้องเอารถลากรถเข้ามาที่จังหวัดเชียงใหม่

วันนั้นหลวงพ่อคำแสนสองแสน คือคำแสนวัดดอนมูลแห่งอำเภอสันกำแพง กับหลวงพ่อคำแสนแห่งวัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง ท่านไปด้วยทั้งสองท่าน ตั้งใจจะไปเยี่ยมหลวงปู่ทิม ที่วัดหลวงปู่วงศ์อำเภอลี้ เมื่อรถมาเสียท่าเสียแบบนั้นทั้งสองท่านก็ไปไม่ได้ ความจริงทั้งสองสามท่านนี่ท่านเป็นลูกศิษย์ครูบาศรีวิชัยเหมือนกัน อาตมาก็เลยมาคุยโอ้อยู่ที่วัดสวนดอก คอยรถจนกว่าจะเสร็จ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่กลุ้มไม่เกลิ้มอะไรทั้งหมด

มันอยากจะเสียก็เสียจะว่ายังไง เมื่อตั้งใจไว้แล้วว่า แพทย์หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ ให้รถไป ให้น้ำมันด้วย ให้คนขับด้วย เวลาเสียหายเราก็ไม่ต้องซ่อม ต้องไม่เสียสตางค์ แต่วันนั้นแพทย์หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ ไม่ได้ไปกับรถใหญ่ ก็เลยกลายเป็นฝ่ายจ่ายสตางค์ เกียร์ค้าง เมื่อช่างเขาดูแล้วก็ปรากฏว่าไม่มีอะไร ถอดออกมาแล้วก็ใส่ใหม่ใช้ได้เลย ถ้าจะถามอาตมาว่าวันนั้น ทำไมรถจึงเกียร์ค้าง

ก็ต้องตอบว่า ลางสังหรณ์มันเกิด ถ้าหากว่าอาตมาไปตอนกลางวัน ก็อาจจะมีรถหลายคันตามไปด้วย แล้วในจำนวนรถที่ไปนี่แหละก็จะกลายเป็นรถพลัดถนนไปคันหรือสองคันอีก เมื่อรถของอาตมาเสียขบวนเสียคันเดียว รถทั้งหลายที่คอยจะไปด้วยก็เลยไปไม่ได้ ต่างคนก็ต่างแยกกันไปตามอัธยาศัย ไปนมัสการพระสุปฏิปันโน อาตมาก็รู้สึกขอบคุณหลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก เมื่อเราไปพักกุฏิท่านตามสมควร ใช้เวลาเล็กน้อยก็เห็นว่าไม่สมควรที่จะรบกวนท่าน

เพราะเราเป็นแขก ถ้าเรานั่งนานก็ไม่ได้พัก จึงได้ชวนพระกับคณะบริษัทมาที่ศาลา ศาลาที่หลวงปู่ครูบาศรีวิชัยสร้างไว้ ใช้เงิน ๘๘,๐๐๐ ใช้เวลาสร้าง ๘ เดือน ถ้าจะสร้างเวลานี้เห็นจะถึง ๘ ล้าน หลีกท่านมา แต่ท่านก็ตามมาคุยด้วยจนเกือบจะค่ำ อันนี้เป็นพระคุณใหญ่ของท่าน พอเวลาประมาณใกล้ ๑๙ นาฬิกา รถก็มารับ เขาทำงานเสร็จ อาตมาก็นั่งรถแลนด์โรเวอร์ที่เขามานำทางไป ไปที่เหมืองของคุณชูเกียรติที่อำเภอลี้

พอไปถึงที่นั่นก็ปรากฏว่าคณะที่ไปก่อนมีความเป็นห่วงเป็นใยกันมาก ท่านเจ้าของเหมืองก็ดีแสนดี ดีเป็นกรณีพิเศษ ขอบอกไว้สักหน่อยก็ได้ว่า ทั้งตาและยายตลอดจนพี่สาวที่เป็นเจ้าของเหมืองเป็นคนที่เข้าถึงพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มีใจมั่นคงในพระรัตนไตร ในไตรสรณาคมน์ พูดกันแค่นี้ก็พอ หรือพูดอีกสักนิดก็ได้ คือจิตใจมีความสว่างพอ สามารถจะเห็นอทิสมานกายได้ เอาเท่านี้พอนะ

เป็นอันว่านอนพักที่นั่น นอนสบาย ตอนเช้าท่านก็ถวายพระแร่ เขาเรียกแร่อะไรก็ไม่รู้ มีสภาพเหมือนแล้ว ถวายมาไว้ประจำอุโบสถที่สร้างใหม่ แต่พระองค์นี้ต้องเก็บให้ดี บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะมีสภาพคล้ายๆ พระแก้วของวัดอนงคาราม เนื้อคล้ายคลึงกัน แร่ประเภทนี้มีความใส อีกองค์หนึ่งมีสีเขียวสวย แต่ท่านไม่ได้ให้มา ความจริงที่พูดนี่ไม่ได้อยากจะไปรบกวนท่านอีก เพราะว่าศรัทธาแค่นี้ก็เหลือแหล่แล้ว

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท อยากจะต่ออีกสักก็ต่อไม่ได้ เวลามันหมดแล้วนี่ สำหรับอาทิตย์นี้ก็ต้องขอลาบรรดาท่านพุทธบริษัทกลับก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/6/13 at 12:56 [ QUOTE ]


6
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ เป็นวันครบรอบ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อปานวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วก็วันนี้เริ่มตั้งแต่เวลา ๑๐ นาฬิกาเป็นต้นไป อาตมาจะบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันครบรอบ ๑๐๐ ปีของหลวงพ่อปาน โดยอาราธนาบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย ๑๐๐ องค์เศษ นี่สำหรับพระอันดับ แล้วก็พระราชาคณะ นี่ความจริงขณะที่บันทึกนี่ เป็นการบันทึกล่วงหน้าเข้าไว้

ไม่ทราบว่ากี่องค์แน่ แต่เกือบจะ ๒๐ องค์ แล้วมีพระสุปฏิปันโนอีก ๓ – ๔ องค์สำหรับวันนี้แล้วพระสุปฏิปันโนที่จะมาครบกัน ประมาณ ๑๐ องค์เศษๆ แล้วก็วันที่ ๙ สิงหาคมจึงจะเริ่มงานอีกตอนหนึ่ง คือเป็นงานยกช่อฟ้าพระอุโบสถ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้วก็หล่อรูปหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ในงานนี้ที่ประกาศไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ แต่การบันทึกนี่บันทึกไว้แต่เดือนมิถุนายน

เป็นแต่พระองค์ทรงรับด้วยพระวาจาว่าจะเสด็จมา แต่ว่าจะเสด็จหรือไม่เสด็จนั้น เจ้าหน้าที่วิทยุกระจายเสียงก็ประกาศไปแล้วให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบ ในงานนี้มีพระสุปฏิปันโนมา วันนี้ก็มี แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวกะเหรี่ยงจากอำเภอลี้มา ๒ คันรถบัส มาร่วมในการบำเพ็ญกุศล ที่เขาลือกันบอกว่ากะเหรี่ยงพวกนี้เป็นกะเหรี่ยงพระโสดาบัน เขาว่าอย่างนั้นเป็นส่วนใหญ่ อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกัน

นี่เป็นแต่ข่าวเล่าลือ ไม่ใช่ว่าอาตมาจะไปทราบจิตใจของใครได้ แล้วบางท่านก็อาจจะถึงก็ได้ เพราะอาจารย์ท่านสอนกัน บางท่านก็อาจจะยังไม่ถึง แต่เข้าในสรณาคมน์ พวกกะเหรี่ยงพวกนี้ เมื่ออยู่ในพวกของเขา ถ้าใครก็ตามละเมิดศีล ๕ สิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งแม้แต่เพียงสิกขาบทเดียว จะรวมกลุ่มกับเขาไม่ได้ทันที เขาจะขับออกจากหมู่คณะไปเลย จะอยู่ในหมู่บ้านนั้นไม่ได้ นี่บรรดาท่านสาธุชนทั้งหลาย น่าโมทนาแก่กะเหรี่ยงซึ่งเป็นชาวป่าชาวเขาไหม

จะขอคุยกันต่อไป เมื่อวันที่ ๒๒ ก็เดินทางออกจากเหมืองของคุณชูเกียรติ คุณชูเกียรติกับคณะของท่านไปด้วย การนอนอยู่ที่นั่นมีความสบายมาก เพราะคณะของเราไปกันมาก ท่านเจ้าของบ้านนอนที่ไหนทราบไหม ปรากฏว่านอนบนโต๊ะทำงานกัน เพราะคณะของเราไปกันมากเกินไป น้ำใจของท่านดีมาก ทั้งท่านเจ้าของบ้าน ทั้งพี่สาว ทั้งภรรยา ทั้งคนงานทั้งหมด ให้ความสุขความสบายเป็นกรณีพิเศษก็ต้องขอขอบคุณท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย

และขอให้ท่านเจ้าของบ้าน คือ เจ้าของเหมือง พร้อมด้วยคณะของท่านทั้งหมดจงเป็นผู้มีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากว่าท่านปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้ได้สมความปรารถนา เรามาเดินทางกันต่อไป เมื่อตอนเช้า ฉันเช้าเสร็จเราก็เดินทางกันเข้าไปยังวัดหลวงพ่อวงศ์ ครูบาวงศ์ เขาเรียกยังงั้น เดินทางเข้าไปถึงระหว่างทาง ทางมันมีน้ำอยู่บ้าง บรรดากะเหรี่ยงทั้งหลายเขาคอยกันตั้งแต่วานนี้แล้ว คือวันที่ ๒๑ วันนี้เป็นวันที่ ๒๒ เป็นวันเดินทางนะ ไม่ใช่เป็นวันที่พูด วันที่พูดนี่เป็นวันที่ ๖ ออกเสียงมาให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท

วันที่ ๖ สิงหาคม เป็นวันที่อาตมาบำเพ็ญกุศล เนื่องในความกตัญญูรู้คุณของครูบาอาจารย์ ร่วมกับบรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่าน เป็นจำนวนมาก ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะมาบำเพ็ญกุศลด้วย ฟังข่าวนี้แล้วยังพอมาทัน เริ่มงาน ๔ โมงเช้าแล้วตอนบ่ายก็เสร็จ งานวันนี้ไม่มีอะไรมาก มีแต่การทำบุญกันอย่างเดียว คือพระสวดมนต์แล้วก็ฉันเพล ฉันเพลเสร็จก็ถวายจตุปัจจัยไทยทาน เสร็จเรียบร้อยเป็นเสร็จพิธี

บางทีก็อาจจะมีพิเศษอีกสักนิดหนึ่ง คือกะเหรี่ยงฟ้อน วันนี้อาจจะมีกะเหรี่ยงฟ้อนก็ได้ มีแน่ วิธีฟ้อนของกะเหรี่ยง บรรดาท่านพุทธบริษัท นึกถึงคนไทยสมัยโบราณที่กำลังรบ ฟ้อนของเขาก็คือการฟันดาบ ร่ายรำดาบ เป็นการปิดป้อง ทั้งแทงทั้งฟันสูงต่ำ แหมน่าดูน่าชมมาก ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทไม่รู้จักกะเหรี่ยงก็เชิญมาชมกะเหรี่ยงกันได้ ว่ากะเหรี่ยงหน้าตาเป็นยังไง เขาแต่งตัวยังไง มีจริยาแบบไหน แล้วอาจจะมีของติดมือมา

อาตมาบอกว่าเอาของพื้นเมืองผลิตเองติดมือมาเพื่อเป็นการจำหน่าย ขายได้เท่าไรก็เอาไป อาตมาไม่หักค่าเปอร์เซ็นต์เข้าไว้ เพราะเขามากันด้วยศรัทธาแท้ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะไปนั่งเอาเปรียบเขาแบบนั้นมันก็ไม่สมควร เมื่อเข้าไปถึงเขต ปรากฏว่ากะเหรี่ยงกำลังโรยลูกรัง พอรถผ่านไป ทุกคนนั่งพับเพียงลงกับพื้น ปูผ้าลงกราบกับพื้น อาตมาเองก็รู้สึกอายกะเหรี่ยงเหมือนกัน อายในจริยาแห่งความดีของกะเหรี่ยงทั้งหลายที่เขาเข้าถึงพระรัตนไตรถึงเพียงนี้

นี่มันเป็นเรื่องแสนยากจริงๆ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ถ้าเราจะปรับปรุงพวกเราก็รู้สึกว่านานสักนิดที่จะมีจิตทำได้อย่างเขา รู้สึกว่าเขาดีมาก อันนี้ก็ต้องขอชมเชยครูบาวงศ์ ท่านเป็นหัวหน้าคณะ พออาตมาเข้าไปถึงวัด ก็ปรากฏว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ขับรถตามไปข้างหลังนั่งรถไป เขาไม่ได้ไหว้แต่รถพระ แม้แต่รถฆราวาสที่เข้าไปเขาก็เอาผ้าปูกับพื้น กราบกับพื้นดินเหมือนกัน จริยาอย่างนี้ซี ท่านพุทธบริษัททุกท่าน นึกถึงเมื่อสมัยอาตมาเด็กๆ

ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญมากถึงขนาดนี้ จิตใจของบรรดาชนชาวไทยเรามีความดีอยู่มาก มีความเคารพในองค์สมเด็จผู้มีพระภาคเจ้า ตอนนั้นก็มีสภาพแบบกะเหรี่ยงแบบนี้ แต่ว่าเวลานี้ความเจริญด้านวัตถุมันเกิดขึ้นมาก จริยา ความเจริญทางจิตใจก็เสื่อมทรามลงไป เป็นที่น่าเสียดายจริยาเดิมของเรา เห็นกะเหรี่ยงเข้าก็รู้สึกนึกถึงคนแก่คนเฒ่าสมัยโบราณ ก็ไม่โบราณจนเกินไป ในสมัยอาตมาเป็นเด็กนี่เอง ยังพบยังเห็นอยู่ เวลานั้นคนที่เข้าถึงศาสนาของสมเด็จพระบรมครูมีมาก

คุยกันต่อไป เมื่อไปถึงแล้วครูบาวงศ์ท่านก็มารับ วัดในป่า บรรดาท่านพุทธบริษัท โบสถ์ใหญ่มหึมา ขนาดโบสถ์อาตมานี่ต้อง ๓ หลัง แล้วก็ศาลาการเปรียญยาว ๑๖๐ เมตร เอา ๒ หารเข้ามาก็ ๘๐ วา ๘๐ วาก็เท่ากับยาว ๔ เส้น แล้วบริเวณวัดก็สวยงาม มีเสาระฟ้า มีบ่อน้ำ อาตมาเห็นเข้าแล้วก็นึกปลื้มใจในปฏิปทาของท่าน ผลงานทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นมาเป็นแรงของกะเหรี่ยงทั้งสิ้น ไม่ต้องจ้างกัน

เว้นไว้แต่งานชิ้นใดที่เป็นงานละเอียดที่กะเหรี่ยงทำไม่ได้ก็จ้างแต่เพียงนายช่างมาเท่านั้น เป็นผู้สั่งงาน ส่วนใดที่กะเหรี่ยงจะทำได้เขาทำเองหมดทุกอย่าง น่าปลื้มใจไหมบรรดาท่านพุทธบริษัท ซึ่งตรงกันข้ามกับแดนของเรา แม้แต่ดายหญ้าก็ต้องใช้เงิน อันนี้อาตมาก็ไม่ได้ประณามว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี เพราะการครองชีพของเราบีบบังคับ วิทยาศาสตร์มันเจริญเกินไป เลยทำให้จิตใจของเราแข็งไปตามวิทยาศาสตร์ เมื่อคุยกันต่อไป ครูบาวงศ์ท่านก็ดีเหลือเกิน

จึงถามว่าครูบาทิมอยู่ที่ไหน ป่วยอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าอยู่ที่กุฏิไกลออกไปโน้น แหม บริเวณของท่านสวยมาก อยากจะพาบรรดาท่านพุทธบริษัทไปเที่ยว ประมาณฤดูหนาวนี้คือเดือนพฤศจิกายน ใครจะไปบ้างไหม อาตมาไปเห็นครูบาวงศ์ท่านดึงกำลังใจ ชนะกำลังใจของกะเหรี่ยงไว้ได้ นี่แสดงว่าทำให้ประเทศไทยเราปลอดภัยไปอีกเยอะ เพราะพวกกะเหรี่ยงมีความเข้มแข็งในการรบ แต่ถ้าครูบาวงศ์ไม่ดึงกำลังใจเขาไว้

อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะดึงกำลังใจกะเหรี่ยงพวกนี้ไป นี่ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีโอกาสช่วยประเทศชาติได้มากแบบนี้ ถ้าเราเต็มใจทำกัน ถ้าไม่เมาในลาภยศสรรเสริญสุขเสียแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ร่วมกันสร้างความสามัคคี มาถึงตอนนี้ก็อยากจะขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลาย ช่วยกันปฏิบัติตามแบบของครูบาวงศ์นี่ได้จะดีมาก ครูบาวงศ์ก็ดี ครูบาชุ่มก็ดี ครูบาทิมก็ดี

ทั้งสามท่านนี้เป็นผู้ชนะใจชาวเขาชาวป่า ดึงเอาชาวเขาชาวป่ามามาก มาเป็นไทยแท้ มาเป็นพุทธศาสนิกชน แล้ววัดนี้ก็ปรากฏว่า สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาล ที่เขาเรียกว่าสมเด็จพระศรีนครินทร์ก็ทำทางเข้าไปให้ นี่เป็นการดึงกำลังใจของชาวเขาชาวป่าให้มาเป็นชาวเรา ดึงชาวเขามาเป็นชาวเรา อาตมาเห็นเข้าก็ดำริในใจ ว่าครูบาวงศ์ก็ดี สมเด็จพระราชชนนีก็ดี ท่านสร้างความดีเพื่อประเทศไทย เพื่อประชาชนชาวไทย

ตัดกำลังที่จะพึงเกิดเหตุร้ายจากกองพลกะเหรี่ยง นี่ถ้าหากว่าเราจะนับจำนวนคนกันละก็ มากกว่า ๑ กองพลเล็ก ไปถึง ๑ กองพลใหญ่ แต่ก็อย่าลืม ความเข้มแข็งของพวกกะเหรี่ยง แค่กองพลเล็กเท่านั้น กำลังของเรา ๑ กองพลใหญ่ก็อาจจะเอาชนะเขาไม่ได้ เพราะความแกร่ง ความเข้มแข็งด้วยการอยู่ในป่า นี่ซี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า เมื่อเข้าไปแล้ว ศรัทธาของอาตมาก็เลยเกิดขึ้นว่า

ครูบาวงศ์ท่านดึงกำลังใจของบรรดากะเหรี่ยงเข้ามาได้ ร่วมด้วยสมเด็จพระราชชนนี พระองค์ก็ทรงทำทางเข้าไป มองเห็นบ่อน้ำบ่อใหญ่ มีกระแสน้ำอยู่ในบ่อลึกมาก โพงขึ้นมากว่าจะได้แต่ละถังก็แสนยาก มองไปดูแล้วพื้นที่ในเขตนั้นมันไกลจากด้านนอก ไม่มีกระแสไฟฟ้า จึงได้ตั้งใจไว้ว่าวันที่ ๑๕ – ๑๖ จะไปทอดกฐินที่วัดจามเทวี อาตมาก็จะซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ๕ หรือ ๖ กิโลวัตไป ๑ เครื่อง พร้อมด้วยอุปกรณ์

แล้วก็เครื่องสูบน้ำพร้อมด้วยเครื่องยนต์ แป๊บน้ำประปาเสร็จ ไปถวายท่านครูบาวงศ์ไว้ที่วัดนั้น เป็นการช่วยดึงกำลังใจของพวกกะเหรี่ยงให้มั่นคงยิ่งขึ้น ให้แน่นแฟ้น เพราะว่าเราจะให้ทั้งบ้านไม่ได้ แต่ว่าให้วัดเป็นศูนย์ใจกลางของพุทธบริษัทชาวกะเหรี่ยง นี่เรามาช่วยกันแบบนี้ดีไหม แล้วก็ไม่ได้คิดจะช่วยจุดนี้จุดเดียว ถ้ามีชาวป่าชาวเขาที่ไหนพอจะทำได้ ก็จะทำแบบนี้เรื่อยๆ ไป ตามกำลังที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะสงเคราะห์

อาตมาน่ะไม่มีเงินกับเขา เวลานี้ทำการก่อสร้างอยู่มันก็ย่ำแย่เต็มที เงินจะซื้อกาแฟก็ไม่มีจะฉัน เพราะเงินที่บรรดาท่านพุทธบริษัทถวายมาเป็นส่วนตัวนั้น ก็เป็นส่วนตัวเสียหมดจริงๆ คือตัววัด ไม่ใช่ตัวอาตมา นอกจากค่ายารักษาโรคบ้าง อะไรบ้างเล็กๆ น้อยๆ ตามความจำเป็น ที่จะจ่ายหนักก็คือค่ากระแสไฟฟ้าเดือนละพันเศษ ค่าอาหารการบริโภคของคนและพระสงฆ์ที่เข้ามา นี่เป็นเรื่องจ่ายหนัก ส่วนตัวของอาตมาเองจริงๆ บางเดือนหนึ่งก็ไม่ถึง ๑๐๐

มันจ่ายนิดหน่อยตามความจำเป็นเท่านั้น คือไม่ได้รัดเข็มขัด ไม่ได้แขม่วท้อง แต่ทว่าประหยัด ถือว่าเรื่องส่วนตัวมีความสำคัญน้อย เรื่องสาธารณประโยชน์มีความสำคัญใหญ่ จึงขอบอกบุญบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายว่า วันที่ ๑๕ กับวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน จะไปถวายกฐินที่วัดจามเทวี ที่หลวงปู่ทิม เพื่อสร้างพระอุโบสถ แล้วก็จะนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องสูบน้ำ พร้อมทั้งอุปกรณ์เสร็จ คิดเบ็ดเสร็จก็ประมาณสัก ๒ หมื่นบาท จะไปถวายหลวงปู่วงศ์ เพื่อเป็นการช่วยกันดึงกำลังใจของชาวเขาเข้าไว้

แล้วเมื่อเข้าไปที่นั่นแล้วก็ปรากฏว่าเห็นสถานที่เขาเป็นที่น่ารื่นรมย์ กุฏิเจริญพระกรรมฐานท่านทำไว้สวยงามมาก เป็นดินแดนที่เหมาะสม มีความเงียบสงัด อาตมามีความตั้งใจว่าจะส่งพระไปฝึกพระกรรมฐานที่นั่น สำหรับพระที่มีความตั้งใจในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ต้องการธุดงค์ มีความประสงค์จะส่งไปที่นั่นไม่ต้องธุดงค์แต่พระอะไรจะไปที่นั่น ต้องฝึกการกินเจไว้ก่อน คือไม่กินเนื้อสัตว์

เพราะพื้นบ้านเขาทั้งหมด เขาไม่ยอมกินของคาวเด็ดขาด นี่เป็นความดีส่วนหนึ่ง คือป้องกันไม่ให้ชาวบ้านทำลายชีวิตสัตว์ จัดเป็นอภัยทาน พระที่มีความสามารถอย่างครูบาวงศ์นี่หายาก บรรดาท่านพุทธบริษัท พออาตมาทราบว่าหลวงปู่ทิมอยู่ที่ไหนก็เดินไปที่นั่น ปรากฏว่าหลวงปู่ทิมนี่เป็นโรคอะไรไม่ทราบ ตั้งครรภ์มาประมาณ ๗ เดือน คือท้องใหญ่น่ะ คล้ายกับคนมีครรภ์ ๗ เดือน พันเอกชวาลไปอ้อนวอนจะให้ท่านเข้าโรงพยาบาล

ท่านไม่ยอมเข้า เมื่ออาตมาไปถึงแล้ว ท่านก็ดีอกดีใจ กะเหรี่ยงที่เฝ้าอยู่บอกว่าทุกวันท่านไม่ยอมพูดกับใคร แต่วันนั้นพออาตมาเข้าไปท่านก็พยายามลุกขึ้นนั่ง ก็บอกว่าหลวงปู่ไม่ต้องนั่งหรอกขอรับ ก็เข้าไปกราบท่าน ท่านไม่ยอม ท่านลุกขึ้นนั่ง ยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาสดชื่นเป็นพิเศษ

จึงได้กราบเรียนว่า หลวงปู่ขอรับ มันถึงเวลาหรือยัง ขันธ์ ๕ มันถึงเวลาพังหรือยัง
ท่านบอกว่า ยัง

เมื่อท่านบอกว่ายัง ก็เลยกราบเรียนท่านว่า เวลานี้ ญาติโยมพุทธบริษัทลูกหลานทั้งหลายที่มาด้วยกันทุกคน มีคนประมาณเกือบ ๒๐๐ คนเศษ ความจริงเขาจะมากันมากกว่านี้ หลวงปู่คำแสนวัดสวนดอก หลวงปู่คำแสนวัดดอนมูลท่านก็จะมาด้วย แต่บังเอิญรถผมเสีย เสียเมื่อวานนี้มาไม่ได้ มาวันนี้คนก็เลยน้อยไป ต้องการอยากจะให้หลวงปู่ไปรับการรักษาในโรงพยาบาล กระผมทราบดีว่าหลวงปู่ไม่สนใจเรื่องขันธ์ ๕ แต่ให้การรักษามันเป็นความดีของบรรดาลูกบรรดาหลาน ก็ขอให้ลูกหลานบูชาความดีของหลวงปู่ด้วยการให้การรักษาพยาบาล ให้ไปโรงพยาบาล

ท่านยอมรับบอกไป เมื่อให้ไปก็ไป แต่ท่านบอกๆ ว่าครูบาวงศ์ท่านกำลังทำพิธีทางจิตอีกกี่วันก็ไม่ทราบ จึงให้คนไปถามครูบาวงศ์ ครูบาวงศ์บอกว่าไม่เป็นไร พรุ่งนี้สายๆ ไปโรงพยาบาลได้ พอเวลาล่วงไปอีกเล็กน้อย พ.อ.ชวาลก็ไปถึง จึงได้บอกว่าเรียบร้อยแล้ว วันนั้นคุณหญิงเยาวมาลย์ได้ถวายทุนเริ่มต้นในการสร้างพระพุทธรูป เพื่อเป็นการถวายบุญกับท่านห้าพันบาท เป็นเงินเริ่มต้น

บรรดาพุทธศาสนิกชนที่ไปด้วยกัน ทั้งๆ ที่ทำบุญกันเกือบจะหมดตัวแล้ว ก็รวมกำลังกันตามศรัทธาได้อีก ๔ พันบาท รวมเป็น ๙ พันบาท อาตมาเองคราวไปที่นั่นมีชาวบ้านพุทธบริษัท แทนที่จะถวายแต่หลวงปู่ชุ่ม เขามาใส่ย่ามอาตมา ไม่ทราบว่าเท่าไหร่ นับไปนับมา เอามานับได้ ๑,๗๔๕ บาท เลยถวายไว้เป็นค่ารักษาโรค แล้วบรรดาพุทธบริษัทที่ไปด้วยกันถวายร่วมเข้าไปอีก รวมประมาณ ๑ หมื่นบาท

ตอนก่อนนับได้ ๙ พันเศษ แล้วถวายกันเข้าไปอีก ไม่ทราบว่าเท่าไหร่ ถึงหมื่นหรือไม่ถึงก็ไม่ทราบหรือจะเกินก็ไม่ทราบเหมือนกัน เป็นอันว่างานชิ้นสำคัญ คือ การที่ต้องการให้ท่านครูบาทิมเข้าโรงพยาบาลสำเร็จเสร็จไป เวลาเขานำจตุปัจจัยไปถวาย ท่านก็ให้ศีลให้พร ให้พรตามแบบฉบับเหมือนกับพระที่ไม่ป่วย นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านที่มีกำลังใจชนะขันธ์๕ แบบนี้น่ะ หากันได้ยาก แล้วก็งานนี้ คือในวันที่ ๖ ถึงวันที่ ๑๐ สิงหาคมนี่

ครูบาทิมก็มา ครูบาวงศ์ก็มา ครูบาวงศ์นำคณะกะเหรี่ยงมาด้วย แล้วครูบาคำแสนวัดสวนดอกก็มา ครูบาคำแสนวัดดอนมูลก็มา หลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้า หลวงพ่อวัดน้ำบ่อหลวงท่านก็มา หลวงปู่สิมแห่งถ้ำผาปล่องเชียงดาว แล้วหลวงปู่ศรีก็มา หลวงปู่บุดดา แห่งอำเภอสรรค์บุรีก็มา แล้วนอกจากนั้นก็ยังมีพระสุปฏิปันโนจากกรุงเทพฯ มาอีก ๒ องค์ แต่ละท่านมาก็จะมีคณะมาด้วย หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความประสงค์จะพบพระสุปฏิปันโนก็เริ่มมาได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

แล้วเฉพาะวันนี้ อาตมาก็ต้องขอร้องท่านพุทธบริษัท วัตถุสำหรับแจกแก่ท่านผู้บำเพ็ญกุศล จะอาราธนาพระคุณเจ้าสุปฏิปันโนทุกท่านช่วยปลุกเสกไว้ก่อน เวลาท่านมาก็จะให้บรรดาพสกนิกรทั้งหลายพากันเข้าไปนั่งข้างหน้าเพื่อจะให้ท่านพรมน้ำมนต์ให้โดยเฉพาะ เรื่องที่จะไปถามอะไรน่ะ ขอโทษยกไว้เสียเถอะ ไม่มีเวลาพูดกัน เอาศีลเอาพรจากน้ำมนต์ของท่าน ส่วนของปลุกเสกจะมีไว้สำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศลแล้ว

การที่จะถอดสร้อยไปให้เสก ถอดพระไปให้เสก ก็ต้องขอโทษ จะมีเจ้าหน้าที่เขาแนะนำ บอกไม่ไหว ทำแบบนั้นไม่สมควร นี่ต้องขอโทษไว้ด้วย ความจริง อันนั้น ที่ไปหาหลวงปู่ชุ่มนั้น (หลวงปู่ชุ่มท่านก็มาเหมือนกัน) ไม่ใช่คณะของพวกเรา เห็นหน้าแล้วจำไม่ได้ อาจเป็นคณะของใครก็ได้ที่ไปทำแบบนั้น เป็นที่เสียกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท ฉะนั้นในฐานะที่พวกเราเข้าถึงความเจริญแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าทำอย่างนั้นเลย

การเข้าหาพระสุปฏิปันโน เราไหว้ด้วยความเคารพ รับน้ำพระพุทธมนต์ของท่าน อย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็นมิ่งขวัญใหญ่อยู่แล้ว ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว อาตมามั่นใจเหลือเกิน ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทไม่ทำอย่างนั้น แล้วในงานนี้ ท่านทั้งหลายจะเห็นชาวไทยเดิม คือชาวกะเหรี่ยง จะมาฟ้อนกะเหรี่ยงให้ดู แล้วก็มีชาวภาคเหนือ ถ้าไม่มีอุปสรรคก็จะมาฟ้อนแบบภูไทให้ดู วิธีการฟ้อนก็ดี หรือการรำกะเหรี่ยงก็ตาม

เขาจะมีดนตรีของเขามาด้วย แล้วบางทีนะ ถ้าไม่มีอุปสรรคก็จะมีดนตรีจากเกษตรมาช่วย เพราะวันที่ ๙ เขาจะมาถึง วันนั้นมันยังไม่ถึง วันที่ ๖ อาตมาก็เลยใช้คำว่า บางทีไว้ก่อน คือมีดนตรีไทยจากกรุงเทพฯ นี่เรามี แล้วก็มีโรงเรียนอะไรอีกโรงเรียนไม่ทราบ ของเด็กๆ จะมา ใช้คำว่าจะมานี่ หมายความว่า ถ้าไม่มีอุปสรรคเขาก็มากัน เราจะได้ดูได้ชมดนตรีหรือได้ฟังดนตรีพื้นเมืองภายใน คือจากกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นมาตรฐาน

คำว่าดนตรีในที่นี้ไม่ใช่ดนตรีสากล ไม่เอา แบบนั้นไม่เอา เอาของไทยๆ แล้วก็ได้ดูของไทยเดิม แล้วก็คนไทยเดิมแท้ๆ คือแคว้นภูไท จากสายเหนือเข้ามา คือจากเชียงใหม่ ไม่ใช่เอานักรำของเราไปแต่งตัวเหมือนกับชาวเหนือ ไม่ใช่ยังงั้น เอาชาวเหนือจริงๆ มารำฟ้อนให้ท่านดู แล้วเอากะเหรี่ยงแท้ๆ มารำฟ้อนให้ท่านดู อันนี้ไม่เก็บสตางค์ ที่นี่ไม่มีการเก็บสตางค์ เอาล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อตกลงกันเป็นการเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับ

เที่ยวนี้มันเป็นเที่ยวหลงนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาเดินทางออกมาจริงๆ ปรากฏว่ารถทัวร์จะขึ้นทางเถิน ซึ่งเป็นทางใกล้ แต่อาตมาพิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้าเป็นรถทัวร์ขึ้นไปก็ไปไม่ไหว รถยาวขึ้นเขา ดีไม่ดีก็ลงเหวไป ก็เลยแจ้งบอกว่า ขอให้รถทุกๆ คันกลับทางลำพูน ทางมันออกมาอีกตั้ง ๒๐๐ กิโล แต่ว่าทางดีกว่า อาตมาเองก็เป็นห่วงรถเล็กอีกคันหนึ่ง คือรถเก๋งของ พ.อ.อ.ประมวล แห่ง บน.๔ ถ้าขึ้นทางเขารถคันนี้ก็จะลงเหวเหมือนกัน

เพราะหน้ามันส่าย ไปไม่ได้ เวลาจะออกเดินทางจริงๆ ก็สั่งโชเฟอร์รถของอาตมาบอกว่า เราไปข้างหลังเขานะ ไปรั้งท้าย ตาโชเฟอร์คงจะฟังไม่ถนัด วิ่งออกหน้าไปเสียเลย รถเก๋งก็วิ่งตามไป รถบัสคันที่แดงที่แดงเช่าไปก็วิ่งตามไป แต่ปรากฏว่ารถทัวร์หายไป พอถึงทางที่จะขึ้นเขา อาตมาก็จอดรถ ให้รถเก๋งจอดอยู่ข้างท้ายรถบัสสีแดง ไปถึงก็บอกว่า รถทัวร์ไปไหน ถามเขาว่ายังงั้น เขาบอกว่ามันตามมาแล้ว แต่มันหายไปไหน อาตมาก็บอกว่า

ถ้ายังงั้นรถสีแดงขึ้นไปได้โดยไม่ต้องคอย ทีแรกจะสั่งให้ไปเป็นขบวน เห็นรถทัวร์หายไปก็บอกว่า ขึ้นไปได้ แต่ความจริง ตามกำลังใจของอาตมาแล้ว ไม่ต้องการให้เดินทางสายนั้น แต่ว่ารถสีแดงปลอดภัยไปได้ อาตมาไปจอดดักอยู่เห็นว่ารถทัวร์หายไปก็ตั้งใจว่า ถ้าแกจะไปก็จะตามหลังไป ถ้าเห็นว่าไม่ปลอดภัยก็จะสั่งกลับ เพราะรถของแกตะกายเขาไม่ไหวแน่ พอเห็นหายไปก็เลยกลับมาดูตามทางเดิม ทราบว่าแกไม่ไปแน่ แกต้องวกกลับ

เพราะคนทุกคนไม่ต้องการให้ไป ถ้าขืนไปทางนั้นก็มีหวังเป็นศพด้วยกันทั้งหมด ก็เป็นอันว่าวิ่งตามกลับมา เขาแจ้งว่ารถทัวร์วิ่งมาทางลำพูนแล้ว ไอ้รถที่อาตมาน้ำมันมันก็จะหมด เลยวิ่งกลับมาที่เหมือง ขอน้ำมันที่เหมืองเติมทั้ง ๒ คัน วิ่งกลับมาวันนั้น กว่าจะเข้าถึงวัดได้ก็ตี ๒ เวลาถึงทางแยกเข้าอุทัย เมื่อแยกเข้าไปแล้วปรากฏว่าถนนเขาทำใหม่อยู่ ๑ ตอนเป็นลูกรัง ฝนตกทางลื่นไปไม่ได้ เห็นชายคนหนึ่งรถแกเข้าไปติด แกไปยืนตีธงอยู่

ก็เลยสั่งกลับ กลับแยกออกมาแล้ว แทนที่จะไปเข้ามโนรมย์ก็เลยไปเข้าทางหางน้ำสาคร ตอนนี้คุณจันทรนวลเอะอะโวยวายใหญ่ ว่าผิดทาง แต่อาตมาเห็นว่าถ้ามาทางหลังมโนรมย์ เข้าทางเดิมอันตรายจะมี จึงสั่งให้รถมาเข้าทางหางน้ำสาคร แล้วก็กลับเข้าวัด เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เที่ยวนี้มันเป็นเที่ยวหลง หลงทางกันตลอดมา สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาเสียแล้วนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าลืมว่าวันนี้ เป็นวันที่ ๖ สิงหาคม

เป็นวันทำบุญ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อปาน มีพระ ๑๐๐ องค์เศษ เริ่มแต่เวลา ๔ โมงเช้าพระสวดมนต์ แล้วก็ถวายเพล มาติกาบังสุกุล ถวายไทยทานเสร็จ เป็นเสร็จพิธี วันที่ ๙ เป็นพิธีเริ่มยกช่อฟ้าพระอุโบสถที่บรรดาโยมพุทธบริษัทเป็นเจ้าของวัดทั้งวัด วัดนี้จะสร้างให้เสร็จภายใน ๒๔ เดือน ขอบรรดาท่านเจ้าของจตุปัจจัยทั้งหลายถือว่าเป็นเจ้าของวัดร่วมกัน มาช่วยกันดูว่าวัด ๒๔ เดือนนี้สร้างด้วยไม้อ้อ หรือไม้โสน หรือไม้ไผ่ หรือว่าไม้รวก

สัญญาณบอกเวลาก็ปรากฏแล้วนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ขอระงับไว้ก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/6/13 at 16:08 [ QUOTE ]


7

ภาคผนวก



ดอยตุง

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ ก็จะขอพูดเรื่องดอยตุง เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททวงมาหลายรายการด้วยกัน เนื่องด้วยว่าการบันทึกเสียงที่ออกเป็นหนังสือแล้ว ปรากฏว่าในบางตอนได้พูดถึงดอยตุงเข้าไว้ ก็มีบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมากท่าน เมื่ออาตมาไปกรุงเทพฯ คราวใดก็ถามว่าเรื่องเกี่ยวกับดอยตุง พูดแล้วหรือยัง พิมพ์แล้วหรือยัง

ในฐานะที่บรรดาท่านพุทธบริษัทอยากทราบ อาตมาก็จะเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง การคุยสู่กันฟังนี้ ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้รับทราบไว้ด้วยว่า เรามาคุยกันเรื่องก่อนเกิด เรื่องที่เราจะมารู้ก่อนเกิดนี้ ความจริงเอาแน่นอนอะไรก็ไม่ได้นัก แต่ทว่าทำไมจึงได้พูดถึง ที่ได้พูดถึงก็เพราะว่าดอยตุงเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่มีประสพการณ์มากับอาตมาเอง

เรื่องนี้มันก็ลำบากเหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าจะบอกกันชัดๆ ด้วยตัวหนังสือบอกว่า นี่ พบอะไรมาบ้างมันก็เป็นการยาก เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ท่านอาจไม่ได้พบมาก็ได้ มีอาการคล้ายกันกับพระพุทธบาท หรือพระฉายที่อาตมาเคยไปกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แล้วพบอะไรมาบ้างก็มาเล่าสู่กันฟัง ความจริงตอนนั้นคิดว่าตนเองจะตาย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เพราะอาการป่วยมันหนัก เข้าใจว่าคราวนี้ อาจต้องโดดหนีไปจากขันธ์ ๕ ก็ได้

อาการแบบนั้นมันเกิดขึ้นคราวไรก็รู้สึกว่าดีใจทุกครั้ง ที่จะได้พ้นภัย คืออันตรายใหญ่ได้แก่ขันธ์ ๕ เสียที แต่ไปๆ มาๆ เมื่อพูดเรื่องสำคัญขึ้นมาแล้ว มันก็ไม่ตายเสียนี่ มันยุ่งใหญ่ เลยกลายเป็นคนกวนใจบรรดาท่านพุทธบริษัทไป เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สำหรับเรื่องดอยตุงนี่ ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังไว้แต่เพียงคร่าวๆ อย่าให้มันละเอียดนักเลย เพราะว่ายังไม่ตาย เวลาตายยังกำหนดแน่นอนไม่ได้ ถ้าหากว่ารู้เวลาตายเมื่อไร

หรือใกล้ที่จะตายก็จะพูดให้หมดเปลือก ตอนนี้พูดแล้วเขานำไปเขียนเป็นหนังสือ เห็นท่าจะไม่เป็นเรื่องแล้ว เป็นอันว่าประวัติดอยตุงนี่จะขอพูดตามพงศาวดารภาคเหนือของเมืองเหนือ ถ้าไม่พูดตามนี้ ก็ไม่รู้จะพูดตามไหน ถ้าจะพูดยิ่งไปกว่านั้น ก็จะเกินวิสัยที่อาตมาจะพูด ไม่ใช่เกินวิสัยที่จะรู้ ดีไม่ดี ก็จะพูดให้ พล.อ.ต. ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ท่านบันทึกไว้ แล้วเวลาถึงคราวตายเมื่อไรพิมพ์ในงานศพ นี่ท่าจะดีแน่

เรื่องหนังสือพิมพ์ในงานศพนี่ แหม คิดมาหลายเรื่องแล้ว แต่ว่าคงทำไว้สักเล่มหนึ่ง ตายแล้วพิมพ์งานศพ ถ้าใครไม่เห็นชอบด้วยอยากจะด่าก็ด่าผี สบายดี ผีไม่ยอมรับรู้ด้วย ไม่อยู่แล้ว เปิดแล้ว ดอยตุงนี่ ตามพงศาวดารเหนือท่านบอกว่าเป็นแดนที่อยู่ของชาวไทย นี่ชักจะยุ่งเหมือนกันท่านพุทธบริษัท เพราะไปอ่านตามประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาติไทย ไม่ทราบว่าใครเขียนไว้ ท่านพูดมาบอกว่าก่อนพุทธกาลประมาณ ๓ พันปีเศษ

ไทยตั้งรกรากอยู่กลางของประเทศจีนท่านว่ายังงั้น แล้วต่อมาก็ถอยร่นย่นลงมา เดินทางเรื่อยมาจนกระทั่งหลังพุทธกาลจึงถึงเขตประเทศไทย ทีนี้สำหรับพงศาวดารเมืองเหนือท่านไม่ยังงั้น ท่านบอกว่า คนไทยตั้งเขตอยู่ในกรุงราชคฤห์ ท่านเรียกว่าไทยเทศ แล้วก็ต่อมาในระหว่างที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ตอนนั้น มีไทยเทศท่านหนึ่งเป็นพระราชา มีลูกหญิงมาก ลูกชายมาก ถ้าจำไม่ผิด คิดว่าเป็นอย่างละ ๓๐ เห็นจะได้

นี่ถ้าจำไม่ผิด ถ้าจำผิดก็แล้วไป นี่พูดตามพงศาวดารภาคเหนือท่าน แล้วก็สมัยนั้นป่ามันมาก คือว่าอาณาจักรต่างๆ ยังตั้งขึ้นน้อย ผืนแผ่นดินยังหาคนครองเต็มไม่ได้ จึงขยายอาณาเขตจากไทยเทศมาเป็นไทยเล็ก หรือว่าไทยแท้ในปัจจุบัน ที่เราเรียกกันว่าไทยแท้นี่ ความจริงมันก็ไม่แท้ เอาอะไรมาแท้กัน ผสมผเสกันป้วนเปี้ยนไปหมด เขาบอกว่าคนไทยเป็นชาวผิวเหลือง บางรายเหลืองปี๋ หรือเหลืองจ๋อง ไอ้เหลืองจ๋องนี่มันขาวจ๋องนะ

ไม่มีใครเขาเรียกว่าเหลืองจ๋อง ถ้าเหลืองจ๋อง ต้องทราบว่าผิวขาว แล้วบางรายก็ขาวปี๋เลย ขาวอย่างอาฟริกา แล้วจะเหลืองไปได้ยังไง ที่ผิวเปลี่ยนแปลงไปก็เพราะว่าคนไทยมาผสมกับไทยๆ เรียกว่าผสมผเสกันแบบไทยๆ พืชพันธ์ต่างๆ โผล่มาแบบไทย เป็นอิสระผสมกับใครก็ได้ ไปๆ มาๆ เวลานี้ชักจะกลายเป็นไถๆ ไปแล้ว ได้ยินข่าวเหลือเกินว่า แหม ไอ้ไถจอบนี่ เขามีขายกันเกลื่อน ไปที่ไหนก็พบคำว่าไถๆ ไถแล้วก็แถมเตารีดด้วย

เป็นอันว่าบรรดาไทยทั้งหลายเทศเหล่านั้น ที่ขยายเขตแดนออกมา คือมีลูกมาก ท่านผู้ต้นตระกูลขยายเขตตั้งประเทศหย่อมๆ แหย่มๆ ออกมาแยะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตโยนกนคร ก็เชียงรายน่ะเอง ก็มีอยู่หย่อมหนึ่ง ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ มีพระราชาผู้ครองมีนามว่าอชาตศัตรู องค์นี้ขอได้โปรดทราบ ว่าไม่ใช่องค์เดียวกับที่กรุงราชคฤห์แล้ว ทำไมท่านไปตั้งชื่อตรงกันก็ไม่ทราบ

สมัยนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องการเดินนี่ คนเก่งมาก เพราะว่าไม่มีรถ มีการไปค้ามาขายติดต่อกันตลอดเวลา ท่านเล่าต่อไปอีกว่า นี่ว่ากันตามพงศาวดารภาคเหนือ หรือเมืองเหนือ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว สาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว มีนามว่าพระมหากัสสปมีพระชนม์มายุได้ ๑๒๐ ปี ตอนนี้ ตามพงศาวดารท่านเขียนไว้ว่า เวลานั้นพระพุทธศาสนาได้ล่วงไปแล้ว ๑๐๐ ปี คือ พ.ศ.๑๐๐ นั่นเอง

พระมหากัสสปบวชเมื่อไหร่นี่ ดูท่านมันจะเฝือๆ เหมือนกัน สำหรับ พ.ศ. นี่ อาตมาไม่รับรอง ถ้าจะรับรองก็แย่เต็มทีแล้ว เพราะว่าสมัยนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงพระชรามาก พระมหากัสสปก็แก่ ตอนที่พระพุทธเจ้าเดินทางมาปาวารเจดีย์ แล้วก็พระมหากัสสปจะแยกออกธุดงค์ระหว่างนั้น ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกพระมหากัสสปให้เข้ามาเฝ้า แล้วก็มีพระพุทธบัญชา

บอกว่า กัสสป ดูก่อนกัสสป เธอก็แก่แล้ว ตถาคตก็แก่แล้ว การออกป่าออกธุดงค์น่ะเป็นของดี แต่ว่าเวลานี้เธอก็อายุมากแล้ว เธอควรจะหยุดเสีย รับไทยทานที่ชาวบ้านเขาถวายเถอะ การอยู่อรัญวาสีเป็นของลำบาก ทั้งนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระมหากรุณาธิคุณเป็นพิเศษ เห็นใจพระมหากัสสป แต่ความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท พระอรหันต์ลำบากยาก เพราะว่าพระอรหันต์ทุกองค์ไม่ทำอะไรเพื่อส่วนตัวแล้ว

เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ เหมือนกับน้ำที่เต็มตุ่มแล้ว เราเทน้ำลงไปใหม่น้ำมันก็จะไม่ลงไปในตุ่ม มันก็จะล้นออกไป ข้อนี้ มีอุปมาฉันใด คำว่าลำบาก คำว่ายาก คำว่าไม่สะดวก ย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ นี่หมายถึงว่ากำลังใจของท่านเอง เมื่อพระมหากัสสปได้ฟังพระดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

จึงกราบทูลสมเด็จพระประทีปแก้วว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระเจ้าข้า การที่ข้าพระพุทธเจ้าออกธุดงค์ มิได้มีความประสงค์เป็นอย่างอื่น ที่ออกธุดงค์ก็เพราะว่า จะได้ทำประวัติเข้าไว้ ว่าในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ยังมีสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูซึ่งมีนามว่ากัสสป เป็นหัวหน้าแห่งการธุดงค์

เรียกว่าพอใจในอรัญวาสีเป็นผู้มักน้อย สันโดษ เหตุนี้จะเกิดประโยชน์แก่บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนา ต่อไปในภายหน้าท่านที่ปรารถนาในด้านอรัญวาสี จะได้นำเอาปฏิปทานี้ไปประพฤติปฏิบัติ เมื่อองค์สมเด็จผู้ทรงสวัสดิโสภาคได้รับทราบ ได้สดับแล้ว

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ยกมือขึ้นโมทนาว่า สาธุ สาธุ สาธุ ดีแล้ว ดีแล้ว ดีแล้ว กัสสป เธอทำดีแล้ว ได้เป็นแบบแผนของบุคคลอื่นต่อภายหลัง เวลานี้สังฆาฏิของเธอมันเก่าเสียแล้วนี่ ของตถาคตยังใหม่อยู่ เธอจงรับสังฆาฏิของตถาคตไป เอาสังฆาฏิของเธอมาให้ตถาคต แลกกัน พระมหากัสสปก็ยอมรับ เพราะรู้สึกซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วในตอนนั้น

หลังจากจากกันไม่นาน พระพุทธเจ้าก็ทรงปรินิพพานภายในระยะปีนั้นเอง บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าจะกล่าวกันไปก็ไม่เกิน ๔ เดือน ตอนนั้นพระพุทธเจ้าหรือตามประวัติ ยืนยันว่าพระมหากัสสปก็แก่ แล้วพระพุทธเจ้าก็แก่ แต่พงศาวดารเหนือนี่ ท่านว่ายังไง ท่านว่าเวลานั้นพระมหากัสสปอายุเท่าไรท่านไม่ทราบ ท่านไม่ได้บอกไว้ แต่ท่านบอกว่า พระมหากัสสปมานิพพานเอาสมัยเมื่อพระพุทธกาลผ่าน ๑๐๐ ไป อันนี้ไม่ถูกแน่

รับรองเลยว่าไม่ถูก แต่ว่าชื่อของพระเจ้าอชาตศัตรูนี่ อาตมาไม่ปฏิเสธ อาจจะฟังกันพลาดๆ มานิดก็ได้ อชาตศัตรู เวลานั้น พระราชาในมคธรัฐมีนามว่าอชาตศัตรู ไปชื่อพ้องกันเข้าบางทีท่านจะจำผิด ถ้าจะให้นามว่าอติชาตศัตรูอย่างนี้น่าจะถูก ใครมาสะกิดข้างหลังว่า อติชาตศัตรู แล้วเขาแปลว่ายังไง อติ ยิ่งใหญ่ โอ๋ นี่เกิดมาปราบปรามศัตรูอย่างหนักแล้ว ปราบหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ว่าท่านก็ปราบศัตรูคือกิเลส

เห็นได้ว่าท่านมีความเคารพในองค์สมเด็จบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างยิ่ง และมีความเคารพในพระพุทธศาสนา เรามาคุยถึงเรื่องดอยตุงต่อไป เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานแล้ว กี่ปีก็ช่าง อย่าไปเอาร้อยปีมาเขียนไว้ จะยุ่งกันใหญ่ ไม่ใช่ร้อยปีแน่ นี่ขอท่านที่เขียนประวัติศาสตร์เมืองเหนือ โปรดทราบไว้ด้วย ว่า พ.ศ. นี้ผิด ถ้าจะคิดว่าให้อาตมาตั้ง พ.ศ. ให้เอง ก็จะอยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน ๑๙ ปี

พุทธศักราชนี่ เกินไปไม่ ถึงหรือไม่ถึงก็ไม่ทราบ แต่ไม่เกินก็แล้วกัน เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรนิพพานไปแล้ว พระมหากัสสปมีอายุครบ ๑๒๐ ปี จึงได้อาราธนาพระบรมสารีริกธาตุมาจากกรุงราชคฤห์มหานคร มีพระรากขวัญเบื้องขวาเบื้องซ้ายอีกหลายองค์ แล้วมีพระธาตุเล็กๆ เรียกว่าไม่จำกัดเขตอีกประมาณ ๕๐๐ องค์ ใช้คำว่าประมาณ อ้าว ใครมากระซิบบอกว่าไม่ใช่

รวมกันทั้งพระบรมสารีริกธาตุที่ไม่จำกัดเขตกับพระธาตุพระรากขวัญเบื้องขวาเบื้องซ้าย ท้ายทอย จอมกระหม่อม รวมหมดทั้งสิ้น ๕๐๐ พอดี อ้าว ใช้ได้ (ได้หรือไม่ได้ บอกมางี้ ก็ว่าไปงี้ละ เกิดไม่ทันนี่ คนเราเกิดไม่ทันเสียอย่างจะไปรับรองอะไร ท่านว่ามา เราก็ว่าไป) แล้วก็นำมาให้พระเจ้าอติชาติศัตรู แน่! ตั้งชื่อเสียใหม่ เขาให้ชื่อว่าพระเจ้าอชาติศัตรู มาสะกิดๆ กันยังไง เดี๋ยวเขาจะด่าเอาหาว่ารู้เรื่องมากเกินไป

ความจริงไม่ได้รู้หรอก เวลาพูดมาสะกิดกันเสียเลย อ้อ เขาบอกมาว่า ไม่สะกิดแกก็ไม่รู้นี่ ไม่รู้ถึงได้สะกิด ถ้ารู้แล้วก็ไม่สะกิด เอ้า ตกลง ว่าไงก็ว่าตามกัน หาพะยานก็ไม่ได้ อ้า เกิดทันเขาหรือ? คนที่มาสะกิด เอ้า ตกลง นี่มีพรายกระซิบ แต่ไม่ใช่ผีกระซิบ เวลาพูดไปพรายกระซิบเขากระซิบๆ เข้ามา ถ้าพูดเสียงดังเสียงเข้าเครื่องบันทึกเสียง เลยใช้ไม่ได้ เขาเลยกระซิบเอา สะกิดข้างอยู่เรื่อย

เวลานั้น เมื่อพระมหากัสสปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาแล้ว จึงได้นำมาให้พระเจ้าอติชาติศัตรู มาฝังไว้ที่โน่น ดอยตุง ดอยตุงนี่ เขาเรียกว่าดอยธง คำว่าตุงนี่ ภาษาเมืองเหนือแปลว่า ธง ใช่ไหมเล่าคนสะกิด? คนสะกิดเขาบอกว่าใช่ เอ้าใช่ก็ใช่กัน ไม่เป็นไร แล้วพระเจ้าอชาตศัตรู อ้า อติชาตศัตรูนะ อดเผลอไม่ได้หรอก ตัวหนังสือมันไม่มี ตัวหนังสือมีแต่พระเจ้าอชาตศัตรู

แต่คนสะกิดเขาบอกอติชาตศัตรู คือชื่อเหมือนกับโน่น พระเจ้าอชาติศัตรูลูกพระเจ้าพิมพิสาร เมืองมครรัฐ มันก็ไม่ได้หรอก จะไปชื่อเหมือนกันยังไง เป็นกษัตริย์เหมือนกัน ก็ทรงจัดขบวนใหญ่เป็นกรณีพิเศษ แล้วก็ไปที่ดอยตุง ความจริง อติชาตศัตรูนั่นท่านปกครองที่เชียงแสนนั่น โยนกนคร นี่ความจริงแสดงว่าคนไทยมาอยู่นี่นานแล้ว คนสะกิดเขาบอกว่าตั้งสองพันปีกว่า สายเหนือก่อนพุทธกาล สายใต้ตั้งแต่เพชรบุรีลงไปเกินกว่า ๓๐๐๐ ปี

เอาเข้าไป เอ้า เรื่องรู้ก่อนเกิดก็ว่าเข้าไปใครจะไปสืบได้คนสมัยนั้น ให้คนสมัยนี้ไปสืบเรื่องราวเก่าๆ กับคนที่ตายไปแล้ว จะไปรู้เรื่องอะไร แต่ดูเหมือนว่าเขาได้เครื่องของเก่าๆ ในเขตประเทศไทย แสดงว่าคนไทยอยู่นี่นานแล้ว ฉะนั้น พงศาวดารที่เขียนไว้ว่าคนไทยมาสู่เขตแดนนี้หลังจากพระพุทธเจ้านิพพานแล้วหลายร้อยปี อันนี้ไม่จริง จะว่าไม่จริงก็ไม่ได้ มันก่อนเกิดว่าไม่ตรงก็แล้วกัน ไม่ตรงกัน ต่างคนต่างเขียน ต่างคนต่างเล่า

เมื่อพระมหากัสสป สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำพระบรมสารีริกธาตุไปแล้ว พระเจ้าอติชาติศัตรูก็นำผอบแก้วผอบทอง ผอบอะไรก็ตาม ดีไม่ดีคนเขียนก็เขียนมากกว่าของจริงก็ได้ มีขบวนใหญ่ (นี่เป็นเรื่องจริง เวลานี้ก็เหมือนกัน ถ้ามีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขบวนก็มักจะใหญ่) นำพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระจอมไตรไป ณ ที่นั้น แล้วพระมหากัสสปก็อธิษฐาน

ขอให้พระบรมสารีริกธาตุนี้จมลงไปในภูเขา ประมาณ ๘ ศอก หรือเท่าไรจำไม่ได้ ไม่ได้เขียนมานี่ ไม่ได้จดแฮะ เออ แต่คนสะกิดเขาบอกว่าถ้าพูดสมัยนี้ก็จมลงไปประมาณ ๔ วา แล้วในระยะนั้นเองก็ปรากฏว่า พระบรมสารีริกธาตุก็แสดงพระปฏิหารย์ ทำบริเวณนั้นให้สว่างไสวเป็นเวลากาลนาน สิ้นเวลาเป็นเดือนเสียกระมัง ถึงไหมล่ะ? ถึง เขาบอกว่าเดือนเศษ นี่พรายกระซิบเขาบอกว่าเป็นเวลาเดือนเศษ

เป็นเหตุให้พระเจ้าอติชาตศัตรูมีความเลื่อมใสยิ่งขึ้น จึงตั้งธงทิวประดับ นับระยะทางไกลที่สุดเป็นระยะทางไกลมาก ไม่ขอบอกหรอก บอกไปก็ยุ่ง ยุ่งเพราะอะไร เพราะว่ามันไม่ถูกแน่นอน ไอ้เขตที่เขาบอกประเดี๋ยวก็นับเป็นโยชน์ นับเป็นวากัน ดีไม่พ่อกะกันเอา คนข้างหลังมาเขียนๆ ต่อกันไป ในที่สุดก็กว้างออกไปทุกที หลังจากนั้นแล้วพระมหากัสสปก็กลับสู่ปิผลิคูหา เป็นที่อยู่ของท่าน ปรินิพพานในที่นั้น

แล้วก็พระเจ้าอติชาตศัตรูไม่ช้าก็ไปบ้านเก่าของท่านเหมือนกัน ท่านตายเวลาเท่าไร พระมหากัสสปนิพพาน เมื่ออายุ ๑๒๐ ปี พระเจ้าอติชาติศัตรูก็มีอายุ ๑๒๐ ปี สวรรคตเหมือนกัน นี่ไม่ถามละพรายกระซิบ ถูกไม่ถูกก็ช่าง เรื่องอายุไม่สำคัญ เป็นอันว่า เรื่องพระธาตุดอยตุงนี่ ครั้งแรกพระมหากัสสปนำพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วต่อมาครั้งที่ ๒ มี ๒ ครั้งเท่านั้นเอง ครั้งที่ ๒ ก็ฝังไว้อีกจุดหนึ่งใกล้ๆ กัน

นี่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระเจ้ามังราย มังรายพระองค์นี้คงไม่ใช่เม็งราย เพราะท่านกล่าวว่าเป็นลูกชายของพระเจ้าอติชาตศัตรู ท่านว่ายังงั้น นี่การพูดตอนนี้คงจะเถียงกับพวกเมืองเหนือแน่นอน พวกเมืองเหนือเขาเคยเถียงมาคราวหนึ่งแล้ว บอกว่าแม่น้ำอิง แม่น้ำพิง เขาบอกไม่ใช่ ก็พูดกันตามพรายกระซิบนี่ ใช่หรือไม่ใช่ก็ช่างปะไร เอาเรื่องราวที่บรรจุพระธรรมธาตุมา

พระเจ้ามังราย ลูกชายของพระเจ้าอติชาตศัตรูก็เถลิงราชสมบัติ เมื่ออายุ ๔๖ ปี หลังจากพ่อสวรรคตแล้ว ต่อมาก็มีพระ เอ เขาไม่ได้บอกว่าพระอรหันต์นี่ มีพระองค์หนึ่งชื่อ มหาวชิรโพธิ พร้อมด้วยฤาษี ๕๐๐ รูป พระมหาวชิรโพธินะ พร้อมด้วยฤาษีอีก ๕๐๐ รูป เอ ทำไมพระมีฤาษีมากนักล่ะ น่าจะมีพระบริวาร พระลูกน้องน่ะ แวดล้อม ๕๐๐ รูป ตอนนั้นพระพุทธศาสนาในเขตนี้รุ่งเรืองมาก นำพระบรมสารีริกธาตุมาอีก ๑๕๐ องค์

โดยไปอาราธนาจากที่บรรจุ ไม่ได้ขุด อาราธนา เชิญพระบรมสารีริกธาตุ อาศัยพระบารมีของสมเด็จพระบรมโลกนาถเป็นสำคัญ กับตัวท่านดีด้วย ท่านสะอาด ท่านก็เลยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุอีก ๑๕๐ องค์มา มอบถวายพระเจ้ามังรายมหาราช เอ๊ะ ต่อท้ายมหาราชเข้าให้แล้ว ไม่กี่นาทีนี่ คนละองค์นะ น่ากลัวจะเป็นคนละองค์ เพราะพระเจ้าเม็งรายมหาราชนี่อีก ๑ องค์ นี่ มังราย ลูกชายพระเจ้าอติชาติศัตรู

โน่นหลังพระพุทธเจ้านิพพานนิดหน่อย พระพุทธศักราชตอนต้น สำหรับพระเจ้าเม็งรายมหาราช นี่เป็นตอนหลัง ตอนพระร่วง ไกลกันมาก จะเป็นเชื้อสายองค์เดียวกันก็ไกลลิบลับ พระเจ้ามังราย เมื่อได้รับทราบว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ ก็อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุด้วยกองเกียรติยศใหญ่พร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งหมด พร้อมด้วยพระมหาวชิรโพธิ ร่วมไปด้วยฤาษีทั้งหมดอีกห้าร้อยเศษ ขอต่อท้ายเศษไปหน่อย นี่ไม่กี่นาทีละ

ต่อท้ายเศษไปแล้ว นี่นานๆ ไปก็ต่อท้ายอีกสูญๆ ก็เป็น ๕๐๐๐ ไป หลายๆ วันก็ต่ออีกสูญเป็น ๕ หมื่น หนักเข้าๆ ก็ต่อไปอีกสูญ เป็นห้าแสน ห้าล้าน ห้าโกฏิ นี่ไทยอดมีหางไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อพระมหาวชิรโพธิกับคณะของท่าน พร้อมด้วยพระเจ้ามังรายกับคณะราชบริพารของท่าน ชาวบ้านทั้งหมด ไปถึงบนยอดดอยตุง พระมหาวชิรโพธิจึงอธิษฐานขออัญเชิญอำนาจพระพุทธบารมีขอพระบรมสารีริกธาตุนี้จมลงไปในนั้นอีก

เป็นที่ใกล้ๆ กันกับที่พระเจ้าอติชาติศัตรูบรรจุไว้ เวลานี้เขาจึงได้ทำสถูปขึ้น ๒ สถูปเป็นเจดีย์ แล้วก็มีกระจกสีทองปิด ราคาแพงมาก แล้วก็มีรั้วรอบขอบชิด แหม สวยงามมาก มีวิหารสวยกำลังน่ารัก แล้วมีพระพุทธรูป ลานบริเวณนั้นกว้างขวางดีจริงๆ เวลาขึ้นไปในที่นั้น ขณะที่ขึ้นไปก็รู้สึกว่าเหนื่อย เพราะระยะทางไกลตั้ง ๑๗ กิโลเมตร ที่ครูบาชุ่ม โพธิโก ท่านไปทำทาง อาศัยชาวป่าชาวเขา ถวายกำลังแรงงานและอาหารเสร็จ

คือมาช่วย เขานำอาหารมาช่วยเสร็จ พอขึ้นไปแล้วมันก็เหนื่อย มันไกล เหนื่อยใจด้วย แต่ไปถึงบนยอดนั้นแล้ว ก็ปรากฏว่าเย็นสบาย หายเหนื่อยทันที จิตใจชุ่มชื่น จะมองดูเหล่าบุรุษสตรีที่ถนน มองไม่เห็นเพราะมีหมอกมันบังตา เป็นอันว่ามีบุญวาสนาบารมีมาก ได้ขึ้นไปอยู่เหนือหมอกหรืออยู่เหนือเมฆ ดีไม่ดีก็เดินชนกันกับเมฆ นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท

ความสำคัญของดอยตุงหรือว่าดอยธงก็อยู่ที่พระบรมสารีริกธาตุ และพระราชศรัทธาของพระเจ้าอติชาตศัตรู ร่วมกับพระมหากัสสปและประชาชนคนทั้งหมดในสมัยนั้น และของพระเจ้ามังราย ร่วมกับพระมหาวชิรโพธิ พวกเราเหล่าพุทธบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาตมา บวชในพระพุทธศาสนานี่ จะบอกว่าเป็นพระก็ไม่น่าเชื่อนัก เขาแปลพระว่าผู้ประเสริฐ นี่บางทีการพูดนี่บางทีก็ไม่ประเสริฐ จนกระทั่งมีคนเขามาถามกันว่า

เอ หลวงพ่อนี่ก็มีโมโหเหมือนกันนะ เวลาพูดท่านโมโห แต่ว่าความจริงท่านมีโมโหหรือเปล่า ตอนนี้จะบอกกับบรรดาท่านพุทธบริษัทยังไงเล่า ท่านทั้งหลาย ยังบอกกันไม่ได้ ถ้าบอก ก็สร้างความสงสัยให้เกิดขึ้น จึงบอกไว้ว่า ขอบอกไว้ว่า ท่านทั้งหลายคิดยังไงก็คิดไปก่อน ถ้าอยากจะรู้กำลังใจจริงๆ ละก็ ขอสาวกของพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อ่านตอนสุดท้ายต่อไปก็แล้วกัน

สำหรับเล่มนี้แหละ ตอนสุดท้ายจะมีมาตอนหนึ่ง จะบอกถึงกำลังใจที่ทำอย่างนั้นให้ทราบ จะบอกว่า ทำไมเวลาที่เขียนหนังสือออก บันทึกเสียงออก หรือพูดทางสถานีวิทยุ ถึงได้เกะกะระรานกับพระมากนัก อันนี้ เหตุผลมันมี เวลานี้ มองดูเวลาก็เห็นท่าจะพอดี ก็ต้องขออำลาบรรดาท่านพุทธบริษัทก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 6/7/13 at 13:52 [ QUOTE ]


8
เปิดอก


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับงวดนี้หรือว่าตอนนี้ ขอให้ชื่อว่า เป็นตอนเปิดอก ทั้งนี้ก็เพราะว่า มีบรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านมาถามถึงความรู้สึกเนื่องในการพูด แล้วก็บันทึกเป็นตัวหนังสือก็ดี ออกอากาศก็ดี เมื่อพูดแล้วดูทีเหมือนว่าแสดงอาการโมโหโทโสมาก ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ชักสงสัย ว่าตามที่แสดงอาการเหมือนคนโมโหนี่ ความจริงโมโหด้วยหรือเปล่า

แหม ท่านพูดน่าคิด เพราะอะไร ท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคสอนเข้าไว้ว่า พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาต้องละความโลภ หรือว่าความรัก รักเนื่องด้วยกามคุณ ความจริงทั้งสองอย่างนี้ท่านจัดเข้าไว้เป็นอันเดียวกัน ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ทีนี้อาการที่พูดออกไปมันมีอาการเหมือนคนโกรธจัด ก็เป็นเหตุให้บรรดาท่านพุทธบริษัทสงสัย ที่ไม่กล้าจะถามก็คงจะมีหลายท่านด้วย

เกรงใจ ไม่ใช่กลัว บางท่านก็เลยเกลียดน้ำหน้าไปเลย เลยไม่อยากถาม ที่ท่านมีความกล้าหน่อย ถือความจริงใจเป็นสำคัญ ก็ย่องเข้าถาม การไปกรุงเทพฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม ก็มีหลายท่านด้วยกัน ที่เป็นนักเขียนบ้าง ไม่ใช่นักเขียนบ้าง คือนักอ่านบ้าง นักฟังบ้าง นักดูบ้าง แล้วก็มาถามว่าโมโหหรือเปล่าเวลาพูด เห็นท่าทางเหมือนโมโห หรือว่าโกรธหรือเปล่า โมโหน่ะ ความจริงมาจากโมหะ แปลว่าหลง หลงหรือโง่นั่นเอง

คนโกรธก็คนโง่ คนโลภก็คนโง่ คนรักในกามคุณก็คนโง่ คิดว่าตัวจะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายก็โง่ โง่เพราะอะไร เพราะว่าของเหล่านี้มันไม่ทรงตัวจริง นี่พระพุทธเจ้าท่านพูดไว้ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงทุกคนได้รับทราบทั้งหมด ทีนี้มาได้ฟังพระในศาสนาพระสมเด็จบรมสุคต พูดท่าทางโมโหโทโสเป็นนักเลงโตด้วยประการทั้งปวงก็ชักสงสัย เมื่อท่านทั้งหลายสงสัย ก็จะเปลื้องความสงสัยให้ว่าที่พูดไปน่ะ ความจริงไม่ได้โมโห หรือไม่ได้โกรธใครทั้งหมด

เป็นแต่เพียงว่าพูดไปเพราะห่วงใยศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และห่วงใยประเทศชาติ ห่วงใยประชาชนทั้งหลายที่อยู่ในชาติไทย แล้วก็ห่วงใยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมไปด้วยพระบรมราชินีนาถ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมไปด้วยพระบรมราชินีนาถก็ดี หรือพระเจ้าลูกเธอพระเจ้าลูกยาเธอก็ตาม ตลอดจนกระทั่งบรรดาประชาชนคนไทยทั้งหมด สาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคตถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ

ทั้งนี้ เพราะอะไร เพราะว่าพระที่จะทรงตัวขึ้นมาได้ พระก็ดี เณรก็ดี ชีวิตทั้งชีวิตนี้ถือว่าเป็นหนี้ประชาชนทั้งหมด ด้วยว่าองค์สมเด็จพระบรมสุคตแนะนำไว้บอกว่า การบวชนี้เราต้องละอาชีพทั้งหมด รับราชการก็ไม่ได้ ค้าขายก็ไม่ได้ ทำไร่ทำนาก็ไม่ได้ จะทำอะไรเป็นอาชีพก็ไม่ได้ทั้งหมด ด้วยว่าการบวชเข้ามานี่ เราถือศัพท์อยู่ศัพท์หนึ่งคือ นิพพานนัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตังวาสาวัง คะเหตวา

นี่เมื่ออาตมาบวชท่านให้ว่ากันแบบนี้ แต่เวลานี้ท่านว่ากันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ว่าหรือไม่ว่าไม่สำคัญ เพราะการบวชเข้ามาในศาสนาขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ต้องการพระนิพพานกัน เนื้อแท้ของการบวชก็ต้องการมาตัดความรักในกามารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง คราวนี้มาเวลานี้เป็นยังไงกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท? สถาบันแห่งพระพุทธศาสนาเป็นจุดยึดใจคนจุดหนึ่ง

จัดว่าเป็นจุดใหญ่เหมือนกันของบรรดาประชาชนชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนากำลังง่อนแง่นคลอนแคลนเต็มที ถ้าสถาบันนี้ถูกทำลายลงไป อารมณ์แห่งการยึดเหนี่ยวของบรรดาประชาชนชาวไทยก็จะน้อยลงไป ทีนี้ทางพุทธศาสนาเราสอนไม่ให้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ให้อยู่อยู่ด้วยความเป็นสุข อยู่ด้วยความสามัคคี รู้จักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน รวมความว่าพระพุทธศาสนาเหมือนน้ำ กิเลสเหมือนไฟ

ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ราคัคคิ ไฟคือราคะ ไฟคือความรัก โทสัคคิ ไฟคือโทโส โมโห โมหัคคิ ไฟคือโมหะ ทั้งสามไฟนี่มันเผาโลกให้ร้อน เวลานี้โลภัคคิ หรือราคัคคิ ไฟคือราคะ อาตมาอยากจะบอกว่าโลภัคคิ ความโลภคือความไม่เต็มของเพื่อนบ้านใกล้เคียงมีขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะประเทศไทยของเรา เป็นหมูสำหรับเสือต้องการจะกินมานานแล้ว แต่ทว่าอาศัยที่เรายอมรับนับถือองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ดี มีจิตใจประกอบไปด้วยความสามัคคีในกันและกันด้วย

ช่วยกันจรรโลงประเทศชาติให้ทรงความเป็นเอกราชไว้ได้ด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ หรือความฉลาดของฝ่ายบริหาร ความสามัคคีของบุคคลที่อยู่ภายในประเทศ ความจริง ความสามัคคีกลมเกลียวกัน ยึดเหนี่ยวน้ำใจซึ่งกันและกัน ก็มีพระพุทธศาสนาเป็นแกนสำคัญแกนหนึ่ง ที่บรรดาประชาชนชาวไทยเอาน้ำใจเข้ามายึดในพระพุทธศาสนาแล้วอยู่ด้วยความเป็นสุข เพราะว่าพระพุทธศาสนาสอนให้พวกเราไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ทำลายซึ่งกันและกัน ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ซึ่งกันและกัน

นี่ซีบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่อาตมาพูดไปตามนั้นก็เพราะเห็นว่าบรรดานักบวชในพระพุทธศาสนาน้อยท่านเต็มที เป็นจุดเล็กๆ ที่มีน้ำใจเหมือนเด็ก สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่พระพุทธศาสนา ทีนี้ก็จะนำกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถ้วนหน้าหมดที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ถ้าเราเลิกคบพระพุทธศาสนาเสียแล้ว กำลังใจก็ไม่มีที่พึ่ง ก็มีอีกสถาบันหนึ่ง คือสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็รู้สึกว่าจะหาเพื่อนยาก

เพราะว่าเพื่อนที่แท้ของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็คือพระพุทธศาสนา แล้วก็ศาสนาอื่นๆ เรียกว่าการทรงความดีนี่เป็นเพื่อนกัน คำว่าเพื่อนกันไม่ใช่ว่าประชาชนหรือว่าพระเป็นเพื่อนกับพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่ นี่เป็นระเบียบปฏิปทา เพราะพระมหากษัตริย์ทุกองค์ต้องทรงทศพิธราชธรรม คือธรรม ๑๐ ประการของพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็ทรงทศพิธราชธรรมครบถ้วนบริบูรณ์เราก็เห็นกันอยู่แล้ว

แต่ทว่ายังถูกจุดบางจุดเข้าโจมตี นี่แสดงว่าสถาบันของพระมหากษัตริย์สั่นคลอนสะท้อนอยู่ตลอดเวลา แล้วมาสถาบันทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธศาสนา เราก็กำลังถูกขุดรากขุดโคนโค่นทิ้งไป เพราะอาศัยที่ท่านนักบวชบางท่านทำความเป็นที่ไม่ถูกใจของบรรดาพุทธบริษัทให้เป็นจุดโจมตีของบุคคลภายนอกด้วย เขาจะช่วยกันรื้อถอนสถาบันของพระพุทธศาสนา ทีนี้การที่อาตมาเอะอะโวยวายไปนั้น ไม่ใช่อะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องการจะงมเข็มในพระมหาสมุทร

เข็มน่ะเล็ก พระมหาสมุทรใหญ่ แต่ว่าอย่างไรก็ดี การที่เราจะงมเข็มในมหาสมุทร ถ้าเราไม่ละความพยายาม เราก็จะพบได้เหมือนกัน แต่การลงไปงมเข็มแบบนั้น มันต้องไปกวาดดิน คุ้ยขี้ดิน เพราะเข็มมันจมดินอยู่ ดินบังเข้าไว้ แล้วเข็มก็เล็ก หายาก ก็เลยทำให้น้ำขุ่น นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาที่เอะอะโวยวายไปก็เพราะต้องการจะงมเข็มทองคำ หรือว่าเข็มตะกั่ว ทั้งสองอย่างนี่ดีด้วยกันทั้งหมด เข็มทองคำเป็นเข็มที่ไม่มีสนิม

และเป็นเข็มที่มีค่าสูงมาก เข็มตะกั่วเป็นเข็มที่มีค่าน้อย แต่ทว่าเป็นเข็มที่หาสนิมไม่ได้เหมือนกัน ก็จัดว่าเป็นเข็มที่อยู่ในประเภทความดีเบื้องต้น ก็รวมความว่า ดีพอใช้ ไม่ใช่เลว ตรงกันข้ามกับเข็มเหล็ก เข็มทองแดงนี่สนิมกินได้ อย่างนี้เราไม่ต้องการ ก็มางมเข็ม ๒ รายการกัน เข็มตะกั่วคือพระที่ทรงคุณธรรมขั้นโลกียฌาน หรือมีจิตน้อมไปในส่วนกุศล เรียกว่าสาธุชนหรือว่ากัลยาณชน มีอารมณ์เป็นกุศล ยังงี้เราก็เรียกว่าเข็มตะกั่ว

ถ้ามีอารมณ์เป็นอริยชน เราก็เรียกว่าเข็มทองคำ เมื่อสรุปแล้วก็เรียกว่าเราต้องการเข็มดีก็แล้วกัน เข็มที่ไม่เป็นสนิม ทีนี้การเอะอะโวยวายต่อไป บรรดาท่านพุทธบริษัทจะไม่ได้ยินอีก จะไม่ได้อ่านอีก เพราะว่าความจริงพบเข็มนี้หลายเล่มแล้ว นี่เปิดอกกันตรงนี้นะ จะถามว่าโกรธหรือไม่โกรธ โมโหโทโสหรือไม่ก็ไม่บอก แต่รู้นิสัยไว้ก็แล้วกัน ว่าก่อนบวช เวลานั้น ถ้าโมโหใครไม่พูด ถ้าเอะอะโวยวายละเปล่า ไม่ได้โมโหเขา

เพราะความจริง เรามีโมโหโทโสเราก็ต้องทำเงียบไว้ ควบคุมกำลังใจทำหน้าให้แช่มชื่น นี่เป็นอาการของคนขี้ขลาด เพราะว่าอะไร เพราะว่าเราคิดจะไปประทุษร้ายเขา ถ้าไปทำหน้าบึ้งขึงจอเขาก็รู้เสียก่อน ทำเขาไม่ได้ ทีนี้พอเกิดโทสะจริงๆ ไม่พอใจจริงๆ นิ่ง ไม่พูด หรือพูดก็พูดดี ยิ้มแย้มแจ่มใส จ้องเวลาที่เขาเผลอ จะทำร้ายให้มันสะดวก ถ้าพูดเอะอะโวยวายนี่ ท่านแม่ไม่ไปตามตัว มีคนมารายงานว่าเจ้าเล็กลูกชายของท่านแม่ เวลานี้ไปเอะอะโวยวายที่นั่นที่นี่

ท่านนอนยิ้ม บอกหมาของฉันเห่าแล้วไม่กัด กลัวมันอย่างเดียว กลัวมันไม่เห่า เห็นมันแฮ่ๆๆ ฟันขาวๆ ก็คือหัวเราะ หัวเราะนี่ ถ้าสุนัขหัวเราะ มันหัวเราะเห็นไรฟัน หรือยิ้มเห็นไรฟันแล้วน่ากลัว คือ มันขู่คำรามกัน สำหรับอาตมาเองก็คือการหัวเราะ หัวเราะผิดปกติ อันนั้นท่านระวังแจ เพราะแน่ใจเหลือเกินว่าเจ้าตัวระยะ (ไม่ใช่ตัวดี) นี่จะก่อเรื่องอีกแล้ว นี่แหละนิสัยเดิม บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าไม่ชอบใจแล้วไม่พูด ไม่ชอบใจแล้วหัวเราะ

ไม่ชอบใจแล้วสรรเสริญ สรรเสริญให้คนที่เราไม่ชอบใจในเขาตายใจ คิดว่าเราพอใจในเขา เขาจะได้ไม่ระวังตัว นี่เป็นจริยาชั่วของอาตมาอย่างหนึ่ง ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่านำเอาไปประพฤติปฏิบัติตาม มันจะลงนรก ปล่อยให้อาตมาเลวไปแต่ผู้เดียว เอาคุยกันต่อไป ไอ้เรื่องงมเข็มในมหาสมุทรนี่ ความจริงอยากจะเปิดเผยแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทมานานแล้ว ว่าพบเข็มที่ไหนบ้าง เวลานี้พบแล้วเยอะ

แต่ทว่าเกรงใจท่านพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ ท่านปลัดกระทรวงกลาโหม ท่านขอร้องไว้ เพราะเกรงว่าพระมีมากด้วยกัน เพราะเกรงว่า ถ้าไปชมพระบางท่าน บางท่านไม่ได้ชม ท่านก็เกรงว่าลูกศิษย์ลูกหาของพระรูปนั้นจะเดือดร้อน สำหรับตัวพระเองท่านไม่เดือดร้อนเพราะใจท่านเป็นพระเสียแล้ว ท่านมีความประเสริฐพอ มีความอดทนพอ แล้วพระจริงๆ ก็ไม่ยุ่งกับโลกธรรม การนินทา การสรรเสริญไม่มีความหมาย

แต่ทว่าท่านปลัดกระทรวงกลาโหมท่านรู้ใจของคนที่ยังกิเลส จึงขอระงับไว้ นี่จะทำยังไงล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท งวดนี้ก็เป็นการเปิดอก แล้วก็จะไม่งมเข็มในทะเลต่อไป นอกจากว่าจะเดินไปชนเข็มเข้าเอง ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าเห็นแลว่าว่าเข็มทองมี เข็มตะกั่วดี ยกยอดว่าเป็นเข็มดีด้วยกันทั้งคู่ คือเป็นเข็มที่ไม่มีสนิม ตะกั่ว ถึงแม้จะมีค่าน้อยก็ยังดี ไม่มีสนิมเกาะสกปรก อาตมาเองก็ต้องขออนุญาตพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหมสักครั้ง

ขอเปิดกล่องเอาเข็มให้ท่านทั้งหลายมองเห็นเข็มสัก ๔ เล่ม เอา ๔ เล่มเท่านั้น ไม่เอามาก ๔ เล่มนี่คุณค่ามันดี คือถ้าจะนับเป็นบาท ก็ได้ ๔ สลึงพอดีครบบาท ถ้าจะนับเป็น ๔ บาทพอดีครบ ๑ ตำลึง ถ้าขาโต๊ะขาเตียงที่เขาตั้งก็พอดี เป็นขาโต๊ะขาเตียงที่มั่นคง ฉะนั้นการที่ท่านขอร้องอาตมานี่ก็ต้องขออภัย เพราะว่า ๔ ท่านนี่ เป็นพระที่มีปฏิปทาดำเนินในสายของสัมมาปฏิบัติ ที่เรียกว่าสัมมาปฏิบัติน่ะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ไอ้คนเราน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่ให้มีการตำหนิติเตียนเลยน่ะไม่ได้ เรามองกันในจุดดีที่เรียกว่าเป็นไปได้ดีกว่า จะไปเอาดีเสียทั้งหมดที่ชอบใจเราน่ะไม่มีในโลก แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ยังถูกการนินทา ถูกการกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง อย่างพระเทวทัตนี่เป็นญาติกันแท้ๆ นี่ไม่น่าจะทำ หรือว่านางมาคันทิยาจ้างคนด่าเล่นโก้ๆ บรรดาพวกเดียรถีย์ทั้งหลายน่าจะเห็นความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรหรือก็เปล่า ก็หาทางกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง

ทีนี้ พระที่อาตมาจะพูดว่าเป็นเข็มดี ถ้าหากไม่ถูกใจบรรดาท่านพุทธบริษัทก็ขออภัยด้วย เข็มดีนี่มีทั้งธรรมยุติและมหานิกาย อยากจะงัดกล่องใหญ่ให้กระจายออกไปก็เกรงใจพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ท่าน เพราะท่านขอซื้อสิทธิเข้าไว้ นี่ก็ละเมิดสิทธิไป ๔ เข็มแล้ว กล่องเดียวไม่เป็นไร เพราะความจริงแล้วมีอยู่หลายร้อยกล่อง ไม่ใช่น้อย พระที่ดีนี่มีเยอะ ที่รู้ว่าดีเป็นยังไง ก็เพราะไอ้การพูดกระแทกแดกดัน เสียดสีซึ่งกันและกันที่อาตมาทำ ทำเพื่อจะดูใจพระฝ่ายบริหารว่าท่านจะเดือดร้อนไหม ถ้าท่านดี ท่านก็ไม่เดือดร้อน

ความจริงพอเข้าไปถึงแล้วท่านยิ้มแฉ่ง เอากะท่านซี นี่ก็ยอมแพ้แหงๆ แล้ว ไม่ต้องห่วง อาตมายอมแพ้ท่าน แพ้เพราะอะไร แพ้เพราะความดีของท่านมี นี่อาตมาต้องการแบบนี้ เมื่อรู้แล้วก็อยากเปิดเผยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเสียทุกองค์เลย แต่ทว่า ที่ท่านพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ขอไว้น่ะสมควรอย่างยิ่ง เพราะว่าจะไปพบทุกองค์ไม่ได้ พระทั้งประเทศไทยนี่ อาตมาจะไปรู้ใจท่านทุกองค์ไม่ได้ ทีนี้ ท่านที่มีความดีอยู่ ถ้าท่านเก็บเงียบ

เราก็รู้ไม่ได้ ถ้าไปขยายเฉพาะบางองค์ เขาจะคิดว่าอีกตั้งหลายองค์ล่ะ อีกตั้งเยอะแยะน่ะ ไม่มีดีเลยรึ นี่ซิมันเป็นยังงี้ซี ท่านพูดถูก เลยขอขยายสัก ๔ เล่ม สัก ๔ เข็ม คือท่านเป็นฝ่ายปกครอง อาตมาเป็นเด็กวัด นั่นก็คือสมเด็จพระวันรัต วัดสังเวช พระคุณเจ้ารูปนี้ขอสรรเสริญท่านด้านความดี นี่ไม่ทรง ... ... อะไรล่ะ เรียกว่าไม่ถือตัวดีกว่า ภาษาชาวบ้าน ไม่ถือเนื้อถือตัว อาตมากับบรรดาท่านพุทธบริษัทไปเฝ้าท่าน ท่านกำลังมีแขก

แทนที่จะคิดว่าไอ้เจ้าเรานี่ เจ้าพวกนี้นี่มันไม่มีมรรยาท แขกเหรื่อมีอยู่ แต่ความจริงเข้าไปไม่ต้องการจะพบทีเดียว เพราะทราบว่าท่านมีแขก จะไปนั่งคอยท่าน ท่านรีบลุกเดินมาพบทันที แล้วโอภาปราศรัยด้วยดี ไม่ถือเนื้อถือตัว ถือเป็นกันเอง ท่านแสดงเหมือนกับพวกเรานี่เป็นลูกเป็นหลานท่าน นี่เพราะอาศัยความเมตตา เป็นจริยาของผู้ใหญ่ คือพรหมวิหาร ๔ ท่านมี น่าเคารพ แล้วก็ท่านเป็นพระที่สายของมหานิกายต้องเข้าถึง

ความจริงอาตมาเป็นพระที่ไม่ถือนิกาย ถือความดีเป็นสำคัญ ฉะนั้น การที่อาตมาเข้าถึงพระธรรมยุติ ก็มีเยอะ ที่ดีแล้วไหว้ดะ ไม่เลือกพรรคไม่เลือกพวก เลือกเหมือนกัน แต่เลือกพวกดี เพราะเราไปไหว้ก็ต้องการความดี นี่ มีอะไรเป็นที่ควรจะบอกให้ทราบ ท่านก็บอกให้ทราบตามความเป็นจริง อย่างนี้คนเคารพ แต่ว่าถ้าจะเอาดีกันทุกอย่างตามใจท่านพุทธบริษัทชายหญิง อันนี้อาตมาไม่รับรอง แม้แต่พระพุทธเจ้าเองยังดีตามที่เราปรารถนาทุกอย่างไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะไม่ถูกใจเรา

องค์ที่ ๒ รองลงมา ความจริงไม่ใช่ที่ ๒ หรอก แต่เป็นอันดับที่ ๒ อาตมาเรียงเอาเองตามยศ ความจริงอาตมาไม่ติดยศ ไม่ใช่สรรเสริญท่านในฐานะที่ท่านมียศ สรรเสริญในด้านความดี ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่เกี่ยว นั่นก็คือพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณธรรมปัญญาบดี วัดสามพระยา ต้องวงเล็บ (ฟื้น ป.๙) ม่ายงั้นจะไปชนกะใครเขาเข้า ต่อไปท่านมรณภาพหรือท่านเลื่อนขึ้นไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายยศใหม่

ตำแหน่งนี้ก็จะไปตกแก่คนอื่น อ่านทีไรก็ธรรมปัญญาบดีทุกทีนี่ ไม่ใช่ ต้องวัดสามพระยา แล้วก็ชื่อฟื้น เปรียญ ๙ ประโยค องค์นี้อาตมาเห็นดีมาตั้งแต่เด็กๆ อาตมาเป็นเด็กๆ เห็นท่านตรงเผงจริงๆ พูดไม่อ้อมไม่ค้อม ไม่เข้ากับใครทั้งหมด ไม่ค้อมไม่คด อะไรดีว่าดี อะไรไม่ดีว่าไม่ดี ทำงานเพื่อพระศาสนามานานแล้ว องค์นี้เอางานแลกเงิน ไม่ใช่แลกมาเพื่อความร่ำรวย คือว่าทรัพย์สินยังไม่มี แต่งานต้องใช้เงิน ท่านไม่คำนึงถึงเรื่องเงิน

คำนึงเฉพาะแต่งานอย่างเดียว นี่หมายความว่าท่านทำงานทันที ไม่รอเงินพอ แล้วในที่สุด เงินท่านก็มาพอ พอใช้ในงาน ด้วยตัวอย่างที่ตั้ง สอส. มาเป็นต้น ท่านประกาศว่าท่านไม่มีเงิน ก็เอางานเรียกเงิน สอส. นี่ มีบางท่านเรียกว่าสำนักอั้งยี่ วัดสามพระยา เขาว่ายังงั้น ไม่ใช่อาตมา มีบางท่านว่า นานแล้ว เขาว่ากันมานาน อาตมาก็เคยเป็นอั้งยี่กะเขาเหมือนกัน นี่ไปรับคำอบรมจากท่านมาหลายวาระ แต่ท่านจำหน้าไม่ได้หรอก

วันนั้นก็เคยไปหาท่าน บอกท่านว่า กระผมเคยมารับการอบรมจากท่านเจ้าคุณอาจารย์ ท่านบอก เรอะ? เอ้อ จำไม่ได้มันมากด้วยกัน นี่ท่านพูดอย่างลูกอย่างหลาน แล้วจริยาของท่านก็รู้สึกว่าตรงไปตรงมาน่าเคารพ นี่เป็นจุดที่ ๒ เอาแค่นี้ เวลามันน้อย จุดที่ ๓ ก็เจ้าคณะตรวจการภาค ๓ คือ เจ้าคุณเทพวราภรณ์ วัดเทพธิดาราม แล้วก็เจ้าคุณราชรัตนโสภณ วัดสังเวช รองเจ้าคณะตรวจการภาค สององค์นี่มีจริยาแปลก

ถ้าจะพูดให้ท่านฟังก็ว่าแปลกมาก ท่านเป็นเจ้าคุณ แหม น่าจะเบ่ง แล้วก็ท่านเป็นเจ้าคณะตรวจการภาคและรองเจ้าคณะตรวจการภาค ฐานะตำแหน่งใหญ่โต ไม่ใช่ตำแหน่งเล็ก แต่ว่าปฏิปทาของท่านซี ตรงกันข้าม ท่านไม่ได้แสดงอาการใหญ่โตไปข่มขู่ใคร แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่อยากแสดงตนว่าเป็นภาคและรองภาค เคยเจอะในที่หลายสถาน วัดที่ท่านปกครองอยู่ ท่านทำยังไงรู้ไหม ท่านได้ยินข่าวว่าไม่ค่อยดีนี่ ท่านย่องๆ กันไปทั้ง ๒ องค์

ไปองค์เดียวบ้างไป ๒ องค์บ้าง ไปดูความจริงให้มันเห็นเอง แล้วดีไม่ดีก็ย่องเข้าไปหาคู่กรณี ขอร้องฝ่ายโน้นขอร้องฝ่ายนี้ ซึ่งปฏิปทาแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกัน ทำเหมือนว่าท่านเป็นผู้ไม่มีอำนาจ แต่ความจริง ท่านพุทธบริษัทอย่าคิดเป็นอย่างอื่น อาศัยความดีของท่าน ถ้าหากจิตของท่านไม่ประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ ถืออำนาจเป็นสำคัญ ท่านไม่ทำแบบนี้ นี่ความดีอย่างนี้มันทำกันได้ยาก แล้วเวลาประชุม

ขณะที่ทำการประชุม ท่านตั้งตัวอยู่ในฐานะเจ้าคณะตรวจการภาคและรองเจ้าคณะตรวจการภาคอย่างเต็มตัว คือ มีวาทะ ไม่ได้ใช้อำนาจเป็นธรรม ใช้ธรรมเป็นอำนาจ การพูดการจาก็ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยู่ตลอดเวลา เรื่องส่วนตัวยกไป ไม่เอากัน อย่างพบกันใหม่ๆ อาตมาไม่รู้จัก ไม่รู้จักว่าใครอาตมาก็คุยตามสบาย พระเหมือนกันหมดเรื่องกันไป ท่านภาคกับรองภาคก็ดีใจหาย

ท่านไม่ได้แสดงอะไรให้ปรากฏ เลยไม่ต้องรู้กันว่าเป็นอะไร นี่วิธีดูพระในเขตของท่าน แบบนี้มันดีจริงๆ จนกระทั่งบางคน คิดว่าเจ้าคณะตรวจการภาคกับรองภาคอ่อนแอมาก แต่ความจริง พระหรือคนประเภทนี้ต้องถือว่าเข้มแข็งมาก ไม่ใช่อ่อนแอ คือแข็งต่ออำนาจที่เมายศฐาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งหน้าที่ ไม่ยอมให้กิเลสส่วนนี้มันมีเหนือกำลังใจ ท่านทรงความเป็นคุณธรรมของผู้ใหญ่ คือ พรหมวิหาร ๔ ได้ครบถ้วน และละอคติทั้ง ๔ ได้ด้วย

นี่สำคัญมาก ยากแบบนี้จะบอกว่าฉันเห็นโฉงเฉงๆ ก็เปล่า ก็ดูกันไอ้จุดที่ดี คนเราจะดูกันน่ะ จะเอาดีเราก็หาจุดดีกัน ก็ได้บอกแล้วนี่ คนเราจะดีถูกใจคนไปทุกอย่างไม่ได้ ที่อาตมาทำให้น้ำขุ่น ก็ต้องการแบบนี้ เมื่อเวลาเลิกการประชุม ท่านก็บอกเลิก ภาคเภิคไม่มีแล้ว รองภาครองเภิคไม่มีหรอก ไปแล้ว เหลือแต่ตัวท่านเอง ๒ องค์ ตำแหน่งไม่มี เลิกประชุม เลิกการงาน ถือเป็นกันเองทุกอย่าง

นี่ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท นี่แหละ ไอ้การที่กวนน้ำให้ขุ่นน่ะ ไม่ใช่อะไรหรอก งมเข็ม แต่ว่าเข็มทั้ง ๔ เล่มนี่อันไหนจะเป็นเข็มทองเข็มตะกั่วไม่สำคัญ ไม่บอกดีกว่า บอกแล้วนี่ ว่าเข็มตะกั่วไม่มีสนิม ถ้าเข็มทองก็ดีชั้นเลิศ เป็นอันว่าเข็มทั้ง ๒ อย่างเราต้องถือว่าประเสริฐทั้งสองประการ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าดีทั้งนั้น ไม่มีสนิมด้วยกัน เป็นอันว่าเข็มตะกั่วดีขั้นต้น เป็นสาธุชนและกัลยาณชน สาธุชนแปลว่าคนดี กัลยาณชนแปลว่าคนงาม

เข็มทองคำหมายถึงพระอริยเจ้า คืออริยชน เป็นผู้บริสุทธิ์ นี่ทั้งสองอย่างนี่ดีเหมือนกัน เราต้องการเข็มประเภทนี้กัน ทีนี้ เวลานี้ ทราบแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าเข็มทองเข็มตะกั่ว จัดว่าเป็นเข็มดีในประเทศไทย มีมาก แต่อาศัยที่ถูกเปือกตมครอบงำเข้าไว้ บังเข้าไว้ ท่านไม่สามารถจะทำตัวให้ทะลุเปือกตมออกมาได้เพราะอะไร เพราะว่ามีแต่กำลังใจ กำลังอำนาจน้อยไป คือไม่อยากจะใช้อำนาจ

ก็เป็นอันว่าอุ่นใจได้แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่สถาบันของพระพุทธศาสนายังจะสามารถทรงต่อไปได้อีก เพราะว่าเข็มดีมีมาก ทีนี้ เมื่อพบเข็มแล้ว แต่ยังพบไม่หมด ต่อไปก็เลิกค้นแล้ว เดินชนเอาก็แล้วกัน บอกให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านทราบเข้าไว้เผื่อจะหาเข็มดีให้พบบ้าง จะได้ทราบว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่ดียังมีอยู่ ที่มีความเคารพในสมเด็จพระบรมครูยังมีมาก

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เรื่องโฉงเฉงโผงเผงเลิกกันไป ต่อนี้ไปท่านจะไม่ได้ฟังอีก จะได้ฟังแต่จริยาที่นิ่มนวลและเป็นความจริงเท่านั้น แล้วบางที ขอโทษเถอะ อย่ามาโทษกันนะว่า ต่อไปนี้ทำไม อ่านไม่เผ็ดร้อนเลย มันเผ็ดมันร้อนมาพอแล้ว ว่าหวานๆ เปรี้ยวๆ เค็มๆ กันดีกว่า

สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท หนังสือนี้ก็จบแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จะมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top