Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 2/7/08 at 10:45 [ QUOTE ]

อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ (ตอนที่ 1 พบหลวงพ่อ)






ตอนที่ ๑

"หลวงพ่อ"


เมื่อประมาณปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๓ ผมได้รับข่าวจากตำรวจที่ดูแลรักษาความปลอดภัยวัดท่าซุง จดหมายมาบอกเล่าเก้าสิบว่า “ หลวงพ่อ” (พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน) รับนิมนต์ที่จะไปประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปพระประธานที่ “วัดเขาไผ่” จังหวัดระยอง และในระยะนั้นจะจำวัดอยู่ที่บ้าน “พี่สมบูรณ์” จังหวัดจันทบุรี บอกมาด้วยว่า หลวงพ่อฯอยากให้ผมไปพบ แต่ไม่ยักกะบอกว่าเรื่องอะไร

ผมก็เลยต้องเดาว่าหลวงพ่อฯคงอยากไปเยี่ยมทหารและตำรวจที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ทั้งนี้เพราะเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงพ่อฯได้เดินทางไปประกอบพิธีให้ทหารเรือที่อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด ซึ่งในขณะนั้นผมรับราชการอยู่ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด จึงได้มีโอกาสไปดูแลให้ความสะดวกเล็กๆน้อยๆ และในโอกาสนั้นเอง หลวงพ่อฯได้ปรารภกับผมว่าปีหน้า ถ้ามีโอกาสท่านอยากจะมาอำเภอคลองใหญ่ (ตอนปรารภนั้นปลายปี ๒๕๓๒) และผมก็เดาถูกนิดหน่อย

เพราะมาทราบภายหลังว่าหลวงพ่อฯ มีรายการไปบวงสรวงที่บ่อพลอยของลูกศิษย์ที่อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด แต่ไม่ได้ไปเยี่ยมทหาร เพราะกว่าผมจะเดินทางไปพบก็เป็วันสุดท้ายของกำหนดการแล้ว และภายหลังได้ทราบจากหลวงพ่อฯว่าท่านมีเจตนาจะเลยไปเยี่ยมทหารและตำรวจจริงๆ แต่เมื่อผมไปถึงนั้นเลยเวลาแล้ว ทั้งที่ในขณะนั้นผมเองก็ได้ย้ายมารับราชการที่อำเภอบางคล้าด้วย จึงไม่เป็นการสะดวกและได้งดรายการเยี่ยมทหาร-ตำรวจไปแล้ว

ที่ผมเดาได้ถูกนั้นเพราะหลวงพ่อฯนั้นไม่เคยทอดทิ้งทหารและตำรวจ โดยเฉพาะพวกที่ไปปฏิบัติหน้าที่ตามชายแดน หลวงพ่อฯได้กรุณาอนุเคราะห์และเอื้อเฟื้อมาโดยตลอด ไม่ว่าดินแดนนั้นจะอยู่ห่างไกลเท่าไร ทุรกันดารเพียงไหนหรืออันตรายปานใด หลวงพ่อฯได้เคยพากเพียรดั้นด้นไปเยี่ยมเยียนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ระหว่างที่เดินทางไปสงเคราะห์ก็มิใช่จะสะดวกสบาย พูดอย่างภาษาชาวบ้านว่าต้องกินอยู่หลับนอนเหมือนกับพวกเขาที่เราไปสงเคราะห์ หลายครั้งที่หลวงพ่อฯ “ต้องกินข้าวลิง”

เพราะระหว่างเดินทางอยู่นั้นไม่มีร้านรวงหรือบ้านเรือนให้นิมนต์ฉันได้ สองข้างทางเป็นป่าทึบ และนอกจากนั้นก็ยังเป็นพื้นที่สู้รบอีกด้วย เวลาก็ใกล้จะเลยเพลแล้ว ลูกศิษย์ที่ไปด้วยจำต้องถวายกล้วยและผลไม้อื่นๆบ้างเป็นภัตตาหารมื้อเพล เพราะไม่มีอย่างอื่นจะถวายให้ท่านได้ ฆราวาสไม่เดือดร้อนเพราะจะกินเมื่อไรก็กินได้ แต่พระไม่ได้นี่ครับต้องฉันไม่เกินเวลา แล้วพวกเรารู้ไหม คำน้อยสักคำหนึ่งหลวงพ่อฯไม่เคยบ่น ท่านกลับคุยจ้อ พออกพอใจท่าทางยิ่งแช่มชื่นอะไรจะปานนั้น ท่านพูดว่า

“ไอ้เป๋เอ๊ย..ไม่เป็นไรนะ เอ็งรู้ไหมข้าฯ อดข้าวสบายมาก การที่ข้าฯ ต้องอดข้าวแลกกับการได้มาสงเคราะห์ลูกๆ ของข้าฯ ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละอยู่ที่ชายแดน คนเหล่านี้ยอมสละชีวิต เลือดเนื้อ อวัยวะ ความสุขส่วนตัวเพื่อปกปักรักษาชาติ รักษาในหลวงของเราและพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เขาเหล่านั้นต้องอดยิ่งกว่าเรา ถึงแม้ว่าข้าฯจะต้องอดข้าวตลอดชีวิต เพื่อให้ได้มาสงเคราะห์และให้กำลังใจพวกเขา ข้าฯก็จะทำ”

หลวงพ่อฯ ท่านยอมอดข้าว เพื่อให้ได้สงเคราะห์พวกเรา แต่พวกเราล่ะครับเอาอย่างหลวงพ่อฯของเราบ้างหรือเปล่า เอาแค่เวลารับประทานอาหารก็พอ บ่นบ้างหรือเปล่าว่าอาหารไม่อร่อย อาหารไม่ถูกปาก รับประทานอาหาร ๑ มื้อ แต่บ่นเสีย ๗ กระบุงหรือเปล่า เวลาจัดเลี้ยงคนมากๆ น่าสงสารน่างเห็นใจแม่ครัวนะครับ คนช่วยทำมีน้อยและมีคนละ ๒ มือ แพ้ปากคนติทุกทีไป

ซึ่งถ้าพวกแม่ครัวเขามีอิทธิฤทธิ์เสกเป่าเนรมิตได้ ผมว่าแม่ครัวจะต้องเสกเป่าให้พวกเราทันทีไม่มีบิดพริ้ว อย่าไปตามใจปากมากมายนักเลยครับ ไม่ว่าอะไรด็ตามจะสวยจะงามขนาดไหน พอผ่านปากผ่านลำไส้ของเราไปแล้ว ถ้าต้องได้เห็นอีกเป็นต้องร้อง ยี้...กันทุกคน

มีเรื่องตลกเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินจะเล่าให้ฟังเผื่อจะเป็นข้อคิด ครั้งหนึ่งสมัยที่ผมบวชเรียนอยู่กับหลวงพ่อฯ ผมได้รับความกรุณาจากหลวงพ่อฯให้ร่วมโต๊ะฉันกับท่านทุกมื้อ จึงได้มีลูกศิษย์คณะหนึ่งอยากได้บุญมาก มาแอบกระซิบถามว่าหลวงพ่อฯชอบฉันอะไร แต่เวลาฉันทุกมื้อท่านจะเตือนเสมอให้พิจารณา “อาหาเรปฏิกูลสัญญา”

และปกติท่านจะฉันเร็วพอสมควร เมื่ออาหารเข้าปากท่านก็เคี้ยวๆ ส่งและก็กลืนๆ ส่ง ไม่เห็นว่าท่านชอบหรือติดใจอะไรเป็นพิเศษ บ่อยรั้งที่เห็นท่านฉันมื้อละ ๒ - ๓ คำก็อิ่ม ส่วนใหญาท่านจะตามใจโยม ฉันให้กำลังใจคนที่ทำมาถวายฯเท่านั้น ผมคิดว่าถ้าร่างกายของท่านนี้ ไม่ต้องการอาหารเพื่อยังชีวิตเอาไว้ หลวงพ่อฯ ท่านคงจะไม่เสียเวลาฉัน

แต่ผมก็ยังอุตส่าห์สังเกตว่าถ้ามีต้มยำกุ้ง หลวงพ่อฯ จะฉันได้มากขึ้นอีกนิดหนึ่ง จึงได้บอกศิษย์คณะนั้นไปว่าให้ถวายต้มยำกุ้ง ครั้นพอได้เวลาฉันเมื่อหลวงพ่อฯ ท่านเห็นต้มยำกุ้ง ท่านกลับไม่แตะต้องเลย ผมก็คิดของผมเองในใจด้วยกลัวหน้าจะแตกว่า

“หลวงพ่อฯครับ ฉันต้มยำกุ้งเสียหน่อยเถิดครับ โยมที่ทำมาถวายเขาจะเสียใจ”

ทันใดนั้นจู่ๆ หลวงพ่อฯก็พูดขึ้นมาดังๆ โดยไม่มองหน้าผมเลยว่า

“เอ้า..เป๋! คุณฉันศพกุ้งเสียหน่อยสิ”

ผมงี๊สะดุ้งเฮือก เจอดีเข้าจังเบอร์แล้วไหมล่ะ มื้อนั้นผมมองกับข้าวบนโต๊ะฉันเห็นเป็นศพอะไรต่อมิอะไรยั้วเยี้ยไปหมด ฉันข้าวไม่ได้ กัดฟันฉันข้าวคลุกน้ำศพปลา (น้ำปลา) ไปได้ ๒-๓ คำก็อิ่ม นับเป็นการสาธิต “อาหาเรปฏิกูลสัญญาภาคปฏิบัติ” ที่ชัดเจนและเจ็บปวดที่สุด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถ้าใครมาถามผมว่าหลวงพ่อฯท่านชอบฉันอะไร ผมก็จะหัวเราะกั๊กๆ แล้วทำเป็นหูทวนลมเดินหนีไปทุกครั้ง

ผมไปพบหลวงพ่อฯที่จันทบุรีช้าไป จนหลวงพ่อฯไม่อาจจะไปสงเคราะห์ทหารและตำรวจที่อำเภอคลองใหญ่ได้ ผมก็เลยถือโอกาสนิมนต์อาราธนาหลวงพ่อฯมาเยี่ยมอำเภอบางคล้าซึ่งผมเป็นสารวัตรใหญ่อยู่ เพราะเห็นว่าเป็นเส้นทางผ่านตอนขากลับ และอยากให้คณะศิษย์ของหลวงพ่อฯ ได้มีโอกาสมานมัสการหลวงพ่อ “พระพุทธโสธร” ว่าอย่างนั้นเถิด หลวงพ่อฯก็รับนิมนต์ คงจะเพื่อสงเคราะห์คณะศิษย์ให้ได้มีโอกาสนมัสการหลวงพ่อพระพุทธโสธร อย่างที่ผมเดาเอาไว้นั่นเอง

เมื่อ ๑๗ ปีมาแล้ว หลวงพ่อฯเคยพาคณะศิษย์มานมัสการหลวงพ่อพระพุทธโสธร หลวงพ่อฯท่านว่า เทพ (หมายถึงเทวดาหรือพรหม) องค์ที่ดูแลหลวงพ่อพระพุทธโสธร ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้ เป็นเทพที่มีบุญบารมีทางโชคลาภสูงมาก แล้วในวันที่หลวงพ่อฯ มาโรงพักบางคล้า หลวงพ่อฯก็เอ่ยชื่อท่านองค์นี้อีก ผมฟังไม่ถนัด เดาๆ เอาว่าน่าจะเป็นท่าน “สหัมบดีพรหม” แน่ๆ

และก็จากการที่หลวงพ่อฯ มาเยี่ยมผมที่โรงพักบางคล้านี่เอง ผมจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านพระปลัดวิรัชฯ ท่านพระปลัดวิรัชฯท่านได้ขอให้ผมเขียนเรื่องอะไรก็ได้ ที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อของพวกเรา ผมจึงแบ่งรับแบ่งสู้ (แต่ออกจะไม่รับไม่สู้ แค่รับว่าจะพยายามลองดูเสียละมากกว่า) และในที่สุดก็จึงได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา

โดยผมใคร่จะขอกราบเรียนเสียก่อนว่าสันดานของผมนั้น เป็นคนพูดจาโผงผางตรงไปตรงมา บางครั้งสรรพนามที่ใช้เขียนเรื่องนี้ ก็เป็นสรรพนามที่ในตอนนั้น ผู้คนในเรื่องที่เล่านี้เขาพูดจากันอย่างนั้นจริงๆ ผมจึงเขียนไปอย่างนั้น หาได้มีเจตนาจะให้ระคายหู ระคายตาหรือลบหลู่ดูหมิ่นท่านผู้ใด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบุคคลในเรื่องที่ผมเล่าเขาตะโกนว่า

“เฮ้ย ถ้าพวกมึงถอย กูจะตัดหัวพวกมึงเจ็ดชั่วโคตร” อย่างนี้แล้วจะให้ผมละเลียดเขียนเสียใหม่ว่า

“อุ๊ย..ถ้าพวกท่านถอย ผมก็จะตัดศีรษะพวกท่านเจ็ดลำดับสายโลหิต นะเคอะ!”

อ่านแล้วน่าคลื่นไส้ตายโหงนะครับ และอีกอย่างหนึ่งเมื่อจะให้เขียนกันจริงๆ ผมก็จะขอเขียนเรื่องจริงๆ ที่ดูแล้วเข้าท่า เรื่องออดอ้อนพร่ำพรรณนาสุดรักสุดเคารพสุดบูชาสุดประมาณ เห็นทีจะยอมแพ้ไม่ขอเขียนดีกว่า และเรื่องที่จะเขียนก็จะไม่เขียนว่าหลวงพ่อฯ สอนว่าอย่างไร เพราะคำสอนที่พิมพ์อออกมาก็มีมากมายเหลือคณานับไปหาอ่านเอาเองดีกว่าครับ และจะไม่ผิดพลาดด้วยเพราะเป็นคำสอนโดยตรงจากหลวงพ่อฯ

ผมจะเขียนว่าเพราะอะไร และเหตุใดจึงมาพบหลวงพ่อฯ จากที่ได้มาพบและติดตามท่านระยะหนึ่ง ได้ประสบพบเห็นเหตุการณ์อะไร ที่คิดว่าสนุกไม่ซีเครียด และที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อฯ และขอทำความเข้าใจว่า เมื่อผมจั่วหัวเรื่องถึงหลวงพ่อฯ หรือหลวงปู่องค์ไหนหรือบุคคลท่านอื่นใด

ก็หมายความว่าผมจะเล่าเรื่องของหลวงพ่อฯ หลวงปู่องค์นั้น หรือบุคคลท่านนั้นๆ เฉพาะเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อฯ และเฉพาะที่ผมได้รู้ได้เห็นได้สัมผัสมาในเวลาและโอกาสนั้น หรือในการถัดต่อมาที่หลวงพ่อฯ ได้กรุณาอธิบายขยายความให้ชัดเจนและถูกต้องยิ่งขึ้น คนอื่นเห็นอย่างไรก็ให้เขาเล่าเองบ้างเถิดนะขอรับ..ครับกระผม...




แถวหลัง : หลวงน้ามหาอำพัน, หลวงพ่อ, คุณรังสิต (อู๊ด), คุณประพัฒน์ ทีปะนาถ พระอรรณพ
แถวหน้า : คุณสุรินทร์ (สามีคุณเรณู), คุณยาย.., คุณอัญชัญ (ชอ), คุณเรณู และแม่คือ เจ๊กิมกี,
คุณเกษม สุวินทวงศ์, จ่าสาย และอีกคนหนึ่งไม่ทราบชื่อ ถ่ายที่ทางขึ้นวัดถ้ำผาปล่อง

พบหลวงพ่อ


ผมถือกำเนิดมาในตระกูลพ่อค้าใหญ่ ผู้คนในตระกูลของผมส่วนใหญ่ไม่มีใครนับถือพระนับถือเจ้าอย่างจริงจังอะไร คุณก๋งของผมเป็นพ่อค้าข้าวมีโรงสีหลายโรง สมัยก่อนแถวถนนสาธรยันถนนตกข้ามเจ้าพระยาไปจนถึงบางค้อไม่มีใครไม่รู้จัก “เจ้าสัวกอเป็งเชียง” หรือ “เจ้าสัวเจียร” ร่ำลือกันว่า ร่ำรวยกว่าใครๆในย่านนี้ บ้านที่พักอาศัยเรียกว่า “บ้านสามภูมิ” ประกอบด้วยบ้านของ ๓ ตระกูลใหญ่มี “กอวัฒนา”“พยัคฆาภรณ์” และ “ทวีสิน” มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ใครจะจัดงานแต่งงานลูกหลานมักจะมาขอยืมสถานที่เพื่อจัดงานพิธีและงานเลี้ยง เดือนๆ หนึ่งมีงานหลายงาน ผมละชอบนักเชียวเพราะว่าเป็นลาภปากมีงานทีไรอิ่มสบายทุกที บางทีล่อหมูหันซะก่อนแขกเจ้าภาพเสียอีก

เขาเล่ากันว่าสมัยหนึ่งที่รัฐบาลไทยห้ามส่งข้าวออกนอกประเทศ คุณก๋งของผมตกงานไม่มีอะไรจะทำ จึงได้ประชดจัดตั้งสมาคมขึ้นมา ไม่ใช่สมาคมอั้งยี่กรรไกรขาเดี่ยวอะไรหรอกครับ แต่เป็นสมาคมที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่เลี้ยงดูปูเสื่อกันทั้งวันทั้งคืน ไม่ใช่เลี้ยงข้าวเหนียวส้มตำนะครับ แต่เลี้ยงแบบอาหารฮ่องเต้ตลอดวันตลอดคืน มีนักร้องนักดนตรีจีนมาขับกล่อมผลัดเปลี่ยนกันไปตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่จะบรรเลงกันแบบ Non-Stop หรือ Medley หรือเปล่าผมเกิดไม่ทัน เล่าลือกันว่าเจ้าสัวเจียรฯทิปนักร้องครั้งละ ๑ บาทเชียวครับ

สมัยนั้นเงินบาทเทียบค่าเวลานี้ก็คงจะราวๆ ๑,๐๐๐ บาทเห็นจะได้ โชคดีที่รัฐบาลห้ามเพียง ๓ เดือนก็อนุญาตให้ส่งข้าวออกได้ ไม่งั้นนักร้องรวยกว่านี้และคงจะได้เป็นเจ้าสัวแทนคุณก๋ง ส่วนคุณก๋งของผมนั้นดีไม่ดีอาจจะต้องกลายเป็นจั๊บกังหาบข้าวส่งให้นักร้องก็ได้ ถ้าหากไม่ยุบสมาคมตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินต่อไป ผู้คนเก่าๆแถวนั้นจึงเรียกสมาคมนี้ว่า “สมาคมสามเดือน” อยู่แถวๆ ตรอกพญาพิพัฒน์ฯ ถนนสาธรเหนือนั่นแหละคุณ

น่าเสียดายที่ในปัจจุบันบ้านกอวัฒนานั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ได้กลายเป็นทรัพย์สมบัติของคนนอกสกุลไปเกือบหมดสิ้นแล้ว ทรัพย์สมบัติของคุณก๋งและคุณย่าก็เหือดแห้งไปพร้อมกับน้ำในคลองสาธรนั่นแหละ เพราะไม่มีน้ำใจไม่มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและไม่รู้รักสามัคคีซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดใจ แม้ว่าใดๆในโลกล้วนอนิจจัง แต่ก็ไม่น่าจะรวดเร็วปานฉะนี้ และทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าสกุลใดก็มักจะต้องประสบชะตากรรมแบบนี้หากไม่มีความสามัคคีเอื้ออารีกัน

สำหรับในส่วนของคุณก๋งนั้น ถึงจะไม่นับถือพระนับถือเจ้า คุณก๋งของผมก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าที่ซื่อตรงที่สุด แม้ท่านจะเสียชีวิตไปนาน แล้วก็ยังมีผู้คนพูดถึงกันโดยยกย่องชมเชยในเรื่องที่กล่าวมานี้ ปัจจุบันลูกหลานก็ยังได้รับการนับหน้าถือตาเพราะได้อาศัยชื่อเสียงของคุณก๋ง ทั้งๆที่ตัวเองน่ะไม่ได้ความ และเช่นเดียวกัน คุณย่าของผมคือคุณย่าเหรียญฯ ก็เป็นภรรยาที่สุดประเสริฐของคุณก๋ง ทุกคนในบ้านพร้อมใจพากันเรียกท่านว่า “คุณแม่ใหญ่” ไม่ว่าเด็กเล็กเด็กใหญ่หรือผู้ใหญ่เองก็ตามทีเถิด ถ้าทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นต้องโดนไม้เรียวของคุณย่าใหญ่กำหราบอยู่หมัดทุกคนไป

ความจริงแค่ท่านเหลือบตามองหรือเห็นท่านแต่ไกลหรือเพียงได้ยินเสียงท่านกระแอมกระไอก็หยุดกัดกันแล้ว คุณก๋งของผมมีบุตรธิดารวมกัน ๓๔ คน แต่มีบุตรกับคุณย่าของผมเพียงคนเดียว แต่บุตรและธิดาของคุณก๋งคนอื่นๆก็ได้รับความเมตตารักใคร่จากคุณย่าของผมเสมอบุตรในไส้ของท่านเอง

แม้ภรรยาน้อยของคุณก๋งทุกคนก็พร้อมใจกันเรียกคุณย่าของผมว่า “คุณแม่ใหญ่” ทั้งๆ ที่ท่านตัวเล็กนิดเดียวไม่ว่าต่อหน้าและลับหลัง แต่พอสิ้นคุณย่าใหญ่ไปอีกคนก็เหมือนกับสิ้นชาติ (กอ) ไปเลยละครับ เละตุ้มเป๊ะ อยากรู้ว่าเละอย่างไรไปสืบเอาเองเถิดครับ ถ้าขืนให้ผมเล่าผมเองนั่นแหละที่จะต้องเละเพราะโดนรุมตะลุ่มตุ้มเป๊ะไปเสียก่อน

ผมเองนั้นเมื่อสมัยเด็ก เขาลงในทะเบียนว่านับถือพุทธ ผมก็นับถือสักแต่เพียงกราบไหว้ เขาให้ไหว้ผมก็ไหว้ แต่ผมไม่เคยเข้าใจว่าหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร ยิ่งต้องไปเรียนโรงเรียนฝรั่งก็โรงเรียนอัสสัมชัญนั่นแหละครับ ยิ่งไม่มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ (ก็โรงเรียนแคทอลิคนี่พี่) แม้ต่อมาจะผ่านโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมก็ไม่รู้เรื่องศาสนาพุทธเอาจริงๆ ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร

สมัยเป็นเด็กมัธยมก็ดอดไปเรียนที่โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่วัดมหาธาตุ (ด้วยความที่อยากจะเป็นพุทธ) ก็ไม่รู้ไม่ได้เข้าใจอะไร ได้ทุนไปเรียนเมืองนอก ก่อนไปก็พยายามศึกษาก็ไม่รู้อีก ฝรั่งถามทีไรก็จนมุมมันทุกที กลับมาออกไปรบทางชายแดนก็ห้อยพระห้อยเจ้าไปตามเรื่อง พอไปเจอพวกนิยมของขลังคุยกันแต่เรื่องอยู่ยงคงกระพันก็เลยเลิกห้อยพระไปเลยเพราะหมดความเชื่อถือ เนื่องจากพวกเขาคุยอวดกันว่าพระเครื่องของพวกเขาคุ้มครองพวกเขาได้ตลอดกาล

ผมนึกค้านว่าถ้าไอ้โจรห้าร้อยระยำอัปรีย์มันห้อยพระเครื่องดีๆเกิดปะทะกัน ผมใส่มันเข้าไปเปรี้ยง ! ไม่เข้า ! เพราะมันมีพระดี แต่พอมันใส่ผมตูม ! ผมตาย ! เพราะผมไม่มีพระดีๆจะใส่ เอ ! พระท่านน่าจะคุ้มครองคนดีมากกว่านะ อย่ากระนั้นเลยห้อยไปก็หนักเปล่าๆ ผมจึงออกรบโดยไม่เคยห้อยพระเครื่องและผมก็แคล้วคลาดมาโดยตลอด เพราะผมเอาพระไว้ที่ใจ ในหมวด ต.ช.ด.ที่ผมบังคับบัญชาอยู่ตอนออกรบ มีกำลังตำรวจ ๑ หมวด แต่ห้อยพระไป ๑ กองพล เวลาออกลาดตระเวนเสียงพระเครื่องที่ห้อยอยู่กระทบกันดังดีพิลึก

จนกระทั่งต่อมาผมถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะปากไม่ดีไปด่ามารดาฝ่ายตรงข้ามเข้าหนังยุ่ยทันตาเห็น ต้องนอนขี้เยี่ยวอยู่บนเตียง ๙๖ วัน หัดเดินอยู่อีก ๒ ปี ช่วงระยะเวลานั้นเอง ผมจึงได้มีโอกาสหวนกลับมาศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนาอีก ตื่นตั้งแต่ตี ๔ เปิดวิทยุฟังธรรมะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องพระอภิธรรมและพระปริยัติธรรม ฟังไปจดไปนะครับ จดไม่ทันเอาเทปมาอัด ยิ่งกว่า สุ จิ ปุ ลิ เสียอีก ซื้อตำรับตำรามาเต็มบ้านเต็มช่อง ไม่รู้เรื่องอีกเช่นเคย เลิกครับเลิก เพราะผมไม่ได้ตั้งใจจะสอบปริยัติหรือสอบเปรียญเพื่อเป็นมหา อยากรู้เท่านั้นว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร

ท่านที่สอนก็กระไรเลยจะตอบสั้นๆ พอสังเขป พอให้เป็นแนวทางหน่อยก็ไม่ได้ อาจารย์บางท่านก็ประชดใส่หน้าผมมาเลยว่า ให้ไปหาอ่านเอาจากพระไตรปิฎกท่านว่าไว้แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ผมก็เลยท้อใจ คราวนี้หันมาสนใจพระเกจิอาจารย์ เขาว่ามีพระอาจารย์ที่ไหนดี ก็....เฮโลสาระพาตามไปนมัสการ กลับบ้านก็ได้มาแต่พระเครื่องแหละครับ แต่ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรเหมือนเดิม จนกระทั่งในวันหนึ่งเพื่อนต่างวัยมีอาวุโสสูงกว่าผม เขาเอา หนังสือประวัติหลวงพ่อปานฯ วัดบางนมโค บันทึกโดย “ฤาษีลิงดำ” มาให้อ่าน ก็เลยสนใจเพราะหนังสือสนุกมาก

แต่ผมกับเพื่อนสนใจกันคนละอย่าง เพื่อนผมเขาสนใจจะทำพระเครื่องไปให้ท่านปลุกเสก ส่วนผมสนใจว่าท่านฤาษีลิงดำท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานฯ ซึ่งเป็นพระหมอ บางทีอาจจะช่วยรักษาขาที่พิการของผมได้ เอาละครับมีประโยชน์ร่วมกัน ได้พากันสืบเสาะออกตามหาหลวงพ่อฯ ซึ่งเสียเวลาเสียเงินค่าเดินทางกันไปไม่ใช่น้อยกว่าจะทราบว่าอยู่ที่ วัดท่าซุง ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี จึงได้หาโอกาสพามานมัสการหลวงพ่อฯ ด้วยกัน.

ตอนที่ 2 อะไรทำให้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ » 

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top