Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 2/7/08 at 10:49 [ QUOTE ]

อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ (ตอนที่ 2 อะไรทำให้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ )






ตอนที่ ๒

อะไรทำให้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ


อย่างที่เล่ามาแล้วข้างต้น เพื่อนผมเขาจะสร้างพระ โดยจะขอให้หลวงพ่อฯปลุกเสก ซึ่งผมก็ไม่ขัดศรัทธา ระหว่างเดินทางพวกเราปรึกษากันเรื่องทำพระและได้ตกลงกันว่า จะให้ผมเป็นคนพูดขอกับหลวงพ่อฯ ผมก็เออๆ คะๆ ไปตามแกนนึกในใจว่าเขาให้พูดก็จะพูด ได้หรือไม่ได้ผมไม่สนใจมาก คิดแต่เพียงว่าเมื่อไรหนอเราจะได้พบพระดีๆ สอนให้เรารู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร

เออหนอ..ถ้าท่านมีฤทธิ์มีเดช เราก็จะขอให้ท่านช่วยรักษาขาที่พิการของเรา..ก็แค่นั้น เพราะผมนั้นเคยขนข้าวขนของดีๆไปถวายวัดหนึ่ง (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ) มากมายก่ายกอง พยายามดักพบท่านเจ้าสำนักท่านก็ไม่ให้พบ เขียนจดหมายถามท่านระบายความจริงใจว่า ผมอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรจริงๆ ท่านก็ไม่ยอมตอบ ส่งเงินไปก็หลายครั้งก็ไม่ยอมพบไม่ยอมตอบ รับแต่เงิน เสียทั้งของหมดทั้งเงิน แต่ยังเป็น “ควาย” เหมียล..เดิม (ภายหลังมารู้ว่าท่านเข้าใจไปว่าผมเป็นพวกแกล้งถามเพื่อจะลองของ ฮ่วย! ผมไม่รู้จริงๆ)

พวกเราสามคนมาถึงวัดเวลาอะไรจำไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่ใช่เวลารับแขกจึงไปนั่งรออยู่ที่หอกรรมฐานขาว รอเวลาที่หลวงพ่อฯจะลงมารับแขก เผอิญวันนั้นไม่มีแขกพวกเราจึงถือโอกาสงีบหลับตามอัธยาศัย เพราะยังอีกนานโขกว่าจะได้เวลา และทั้งเหนื่อยและหิว แต่ก็ยอมอดข้าวด้วยเกรงว่าจะไม่ได้พบ ครั้นแล้วเราก็ได้พบหลวงพ่อฯ เมื่อผ่านพ้นระบบทักทายและรายงานตัวกันแล้ว พวกเราก็นั่งเลิ่กลั่กไม่ทราบว่าจะสานเรื่องต่อไปประการใดดี ไหนจะดีใจที่ได้พบ ไหนจะงัวเงียเพราะเพิ่งจะตื่น

แต่ทั้งนี้ก่อนหน้าที่เราจะได้พบกับหลวงพ่อฯ ต่างก็อาราธนาบารมีของ “หลวงปู่ปาน” และ “หลวงพ่อแดง” วัดเขาบันไดอิฐแล้วว่า ขอให้การที่คิดเอาไว้สำเร็จ หลวงพ่อฯนั้นครั้นเมื่อเห็นพวกเราเงียบไปและอึกๆอักๆ จู่ๆท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆว่า

“เออ..หลวงพ่อแดงนี่..ท่านเป็นพระดีนะ !”

พวกเราสะดุ้งโหยง เพราะว่าเมื่อเหยียบย่างเข้ามาในวัดท่าซุง ไม่มีใครพูดถึงหลวงพ่อแดงเลยสักคำ เราพูดกันในรถและปรึกษาหารือกันในรถเท่านั้น หลวงพ่อฯ รู้ความประสงค์ของพวกเราได้อย่างไร แล้วท่านก็ยังพูดต่อไปอีกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า

“พวกคุณจะสร้างพระผงกันหรือ..มีเจตนาดีนะ จะสร้างแบบไหน..ฉันอนุญาต ?”

ความรู้สึกของผมในตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนคนเป็นหูหนาตาเร่อรู้สึกตัวชาหน้าชาแบบเห่อๆ บรรยากาศรอบตัวมันหนาวๆร้อนๆวูบๆวาบๆบอกไม่ถูก (ก็คงจะตกใจน่ะซี๊) ปากปิดสนิทแต่ในใจร้องว่า

“อัศจรรย์จริงๆ ท่านรู้ได้ไง! แถมยังรวบรัดตัดบทเข้าเรื่องเข้าราว ไม่ต้องเยิ่นเย้อให้ทันทีเสียด้วย เก่งจริงๆ”

แล้วก็ต่างมองหน้ากัน เข้าใจว่าทุกคนคงมีความรู้สึกแบบเดียวกันและอัศจรรย์ใจว่าหลวงพ่อฯรู้จิตใจพวกเราได้ยังไงแฮะ

“ไปทำตัวอย่างมาให้ดู มีเจตนาดีอย่างนี้ ฉันอนุญาต”

หลวงพ่อฯ พูดย้ำอีก คนหนึ่งในจำนวนพวกเราจึงกราบเรียนรับคำว่าจะรีบไปทำตัวอย่างให้สวยให้ดีมาถวายภายหลัง เพราะเราเพียงแต่เคยปรึกษากันว่าจะสร้างพระผงกันเท่านั้น ครั้นแล้วเพื่อนผมอีกสองคนก็กราบลาจะรีบกลับ เพราะเขาสมประสงค์แล้ว ผมก็จำใจเข้าไปกราบลาด้วย หลวงพ่อฯท่านเอามือตบศีรษะของผมเบาๆ พูดว่า

“เออ..ดีๆ คุณเสียสละเพื่อประเทศชาติ พระท่านสอนว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเป็นธรรมดาที่เราทุกคนจะต้องประสบและมันเป็นทุกข์ ร่างกายของเราก็ดี ทรัพย์สมบัติของเราก็ดี อะไรๆ ต่างๆ ในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์และบังคับไม่ได้ ถ้าไม่ต้องเกิดก็ไม่ต้องทุกข์

ถ้าคุณปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คุณก็จะไม่ต้องเกิดอีกไม่ต้องทุกข์อีก วิธีไม่เกิดมีอยู่หลายวิธี ไปหาหนังสืออ่านเอานะ ค่อยๆศึกษาไปนะ ถ้ามีโอกาสก็มาฝึกกรรมฐานกับฉัน ที่นี่ก็ได้ ที่บ้านสายลมก็ได้”

เจ้าประคุณเอ๋ย.. ผมดีใจจนบอกไม่ถูก แม้ในขณะนั้นผมจะยังเข้าใจคำว่ากรรมฐานน้อยมาก แต่ในใจก็คิดว่า

“เออ..เข้าเค้าๆ แล้ว มีหลัก มีเกณฑ์นี่ ไม่ใช่เอาแต่หลับหูหลับตาเป่าปู้ดๆ แล้วก็ขอตังค์ให้คนทำบุญ”

ที่สำคัญคือท่านตอบตรงกับคำถามที่ผมสงสัยอยากจะรู้ และเป็นคำถามที่ยังอยู่ในใจยังไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย แถมท่านยังพูดต่อไปอีกว่า

“ที่คุณต้องพิการเท่านี้นั้นก็นับว่าดีแล้ว ที่ผ่านๆ มาคุณฆ่าเขามามาก หลวงพ่อปานฯ อาจารย์ฉันท่านเป็นพระหมอ แต่ฉันไม่ได้เรียนและไม่ได้เชี่ยวชาญในทางนี้ แต่เอาเถิดถ้ามีโอกาสฉันจะถามท่านให้ว่า ขาคุณจะรักษาหายไหม?”

เอ้า..เอาเข้าไป ! นี่ผมถามในใจนะครับ ไม่ได้พูดอะไรออกไปซั๊กกะคำ ถ้าหลวงพ่อฯ ใช้วิธีเดาก็นับว่าเดาถูกได้อย่างน่านับถือ จากนั้นพวกเราจึงได้กราบลาพากันกลับทั้งๆ ที่ยังมึนๆ งงๆ อยู่

สรุปว่า ผมเริ่มมีศรัทธาในตัวหลวงพ่อฯ เพราะเชื่อว่าหลวงพ่อฯท่านรู้วาระจิตนั่นเอง จากนั้นเป็นต้นมาผมก็พยายามหาโอกาสมารับการสอน มาฟังการเทศน์ของหลวงพ่อฯบ่อยๆ พยายามทำความเข้าใจจนผมหายสงสัย (จนได้เป็นบางส่วน)

เดี๋ยวครับ..เดี๋ยว.! ขอทำความเข้าใจกับผู้อ่านต่อไปอีก ที่ผมว่าจนผมหายสงสัยนั้น ไม่ได้หมายความว่าผมรู้แจ้งแทงตลอดนะครับ หายสงสัยของผมนั้น อุปมาเหมือนกับผมเป็นกบตัวเล็กๆ (เขียดหรือคางคกก็ได้..เอ้า!) ถูกกะทะเหล็กครอบอยู่แถมบนกะลา..เอ๊ย..กะทะเหล็ก !

ที่ว่านี้ยังมีไดโนเสาร์ตัวมหึมาเหยียบทับอยู่ข้างบน แล้วหลวงพ่อฯได้ช่วยหงายกะลานั้นขึ้น ผมจึงได้มองเห็นท้องฟ้า เห็นดวงดาว แต่แหม! จักรวาลมันกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกินครับหลวงพ่อฯ! หนทางไปยังดวงดาวก็ไกล...แสนไกล ไม่รู้ว่าจะไปถึงได้อย่างไรถ้าไม่มียานวิเศษ หรือเราจะโดนไดโนเสาร์เหยียบแบนเสียก่อนก็ไม่รู้เลยนิ!

สมัยนั้นที่หลวงพ่อฯท่านสอนกรรมฐาน ท่านจะเน้นมากเรื่องอานาปานสติเพื่อโยงจิตให้เป็นสมาธิ คำภาวนาไม่จำกัด แต่นิยมคำว่า “พุทโธ” เพ่งอะไรไม่จำกัดแต่นิยมให้เพ่งพระพุทธรูป สอนเรื่องจิต สอนเรื่องอิริยาบถ สอนให้รู้ว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิในระดับไหนแล้วมีอารมณ์ มีอาการเป็นอย่างไร จะใช้สมาธิทำอะไรได้บ้าง แต่ในตอนท้ายจะสรุปด้วยการพิจารณาทุกครั้ง บางครั้งว่ากรรมฐาน ๔๐ เป็นเดือนๆ ต่อด้วยมหาสติปัฎฐานอีกเป็นเดือนๆ แล้วมาสรุปด้วยอารมณ์ของพระอริยบุคคล วนเวียนอยู่เป็นปีๆไม่มีการเรียนลัด

นี่ผมว่าโดยย่อนะครับ ความจริงท่านแจงละเอียดให้ความรู้ไม่มีปิดบัง ผมอยากรู้อะไรท่านก็ยินดีสอนให้ แล้วในที่สุดผมก็เลือกเอาไม่ต้องเกิดอีก และคำสอนนี้ผมเชื่อว่านั่นคือยานวิเศษที่จะนำเจ้ากบน้อยอย่างผมไปยังดวงดาวที่เฝ้ามองนั่นเอง (แต่จะไปถึงได้จริงหรือไม่จริงนั้นอยู่ที่ตัวของผมเองว่าจะเอาเท้าราอวกาศหรือจะชักใบให้ยานตก เท่านั้นเอง)

และแม้คำสอนของหลวงพ่อฯจะทำให้ผมตาสว่างขึ้น เซ่อซ่าเดินชนกับเทวดาน้อยลงๆ แรกๆก็ยังมีที่แกล้งชนท่าน หรือท่านแกล้งชนผม จนในที่สุดไม่ว่าจะถูกแกล้งหรือไม่ ผมก็ไม่ยอมชนกับท่านและคอยหลบไม่ให้ขวางทางท่านเป็นอันขาด (จะเล่าภายหลังว่าที่ได้เคยลองชนแล้วผลเป็นอย่างไร) ระยะหลังผม (เฉพาะผมนะครับ..ขอย้ำ) ไม่กล้าเที่ยวสวรรค์ไม่กล้าที่จะลอบไปดูวิมานของใครต่อใคร กลัวว่าจะอดริษยาเขาไม่ได้ เพราะผมเป็นคนขี้อิจฉาครับ แถมขี้เบ่งติดจะแสดงอำนาจเผด็จการอีกต่างหาก

ครูบาอาจารย์มี หลวงปู่บุญทืมฯ กับ หลวงปู่คำแสนใหญ่ฯ เป็นต้น ท่านเตือนผมเสมอๆ ว่า อย่าประมาทอย่าหลงระเริงว่ามีวิมานคอยเราอยู่บนสวรรค์ เพราะที่นรกก็มีตะแลงแกงคอยเราอยู่เหมือนกัน เหมือนกับเรามีคฤหาสน์อยู่ริมน้ำปิงที่เชียงใหม่

แต่ระหว่างเดินทางไปยังที่นั้น เราประมาทก็อาจจะไม่ถึงที่หมายคือที่คฤหาสน์นั้น เพราะอาจจะต้องแวะไปติดคุกเสียก่อน พวกเราอย่าประมาทนะครับ นรกคอยพวกเราอยู่ด้วยใจที่จดจ่อ นรกอ้ากรงเล็บอยู่ห่างจากคอหอยของพวกเราที่ประมาทอยู่แค่องคุลีเดียว (อาจจะผ่าแปด) นรกไม่รู้เบื่อที่จะรอคอย พลาดเมื่อไร..ถูกงาบทันที !!!

ตอนที่ 3 หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ » 

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top