Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 6/7/08 at 07:43 [ QUOTE ]

การถอดจิตไปดวงดาวต่างๆ (ตอนที่ 9 จุไรท่องเที่ยวดาวจามร)


« ตอนที่ 8 จุไรท่องเที่ยวดาวพระศุกร์

จุไรท่องเที่ยวดาวจามร


โดย ส.ธ.

ลูกหลานรักทั้งหลาย ตอนนี้เรื่อง จุไร ยังไม่จบ เพราะว่าวันนี้เป็นวันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันอาทิตย์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๓๐ เป็นวันหยุดทั้งฝ่ายฆราวาสและฝ่ายพระ นั่นหมายความว่า วันพระวันนี้หยุดเที่ยวเพราะเป็นวันสังฆกรรมลงอุโบสถ ฆราวาสก็หยุดทำบาปสร้างความดีคือบุญ

ในเมื่อจุไรออกจากโลกพระศุกร์ ก็คิดในใจว่าจะไปโลกไหนดี หรือกลับโลกชมพูดี ครั้นมองหาทางโลกชมพูที่ศาลาก็เห็นว่า คุณย่า คุณยาย คุณปู่ คุณตา และคุณแม่ ทุกคนกำลังนั่งเจริญกรรมฐาน

บางท่านก็นั่งตรงเจริญกรรมฐานบ้าง บางท่านก็นอนภาวนาบ้าง บางท่านก็นั่งโยกไปโยกมาบ้าง บางท่านก็กรนภาวนาบ้างบางท่านก็ละเมอภาวนาบ้าง ก็มีความรู้สึกว่ายังไม่ดึก เพราะจุไรขึ้นมาโลกพระศุกร์ตั้งแต่เวลาหลังจาก ๖ โมงเย็นกว่า ๆ มองไปก็ยังไม่ดึก ไฟฟ้าก็ยังสว่าง

คุณแม่ก็ยังนั่งคุยกับรูปร่างของจุไรอยู่ หน้าพระพุทธรูป จุไรก็ไปนั่งกรรมฐาน ควบกับคุณแม่ใกล้ ๆ นั้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะถือว่าคุณแม่เป็นครู ถ้ามีอะไรข้องใจก็ถามคุณแม่ได้ คุณแม่ก็ดีแสนดีลูกต้องการรู้อะไรแม่บอกได้ทุกอย่าง

ก็รวมความว่าเมื่อมองเห็นคุณแม่ยังไม่เลิกจาการเจริญกรรมฐาน ก็เข้าใจว่า ยังไม่ดึก ถ้ายังไม่กลับลงไปจะเที่ยวดาวดวงอื่นต่อไปก็คงจะไม่เป็นไร เธอก็มองขึ้นไปวันนี้เวลานี้อยู่ที่ดาวพระศุกร์ เราจะไปดาวพระเสาร์ดีไหม ก็คิดว่าไปดาวพระเสาร์ก็ต้องย้อนกลับไปอีก ย้อนกลับไปใกล้กับดวงดาวพุธ แล้วขึ้นไปทางด้านเหนือ เฉียงไปด้านเหนือจึงเจอะดาวเสาร์

นี่ถ้าเราไปดาวเสาร์ก็จะมีอีกหลายดาวที่ใกล้ ๆ กันน่าจะไป แต่ดาวที่มีความข้องใจอยู่ดาวหนึ่งนั่นคือดาวดวงเล็ก ๆ ถ้าแหงนจากดาวพระศุกร์ คือถ้าอยู่ที่โลกชมพู มองไปที่ดาวพระศุกร์ และเหนือขึ้นไปจากดาวพระศุกร์จะเห็นดวงดาวเล็ก ๆ ดวงหนึ่งริบหรี่ ๆ ไม่โตนัก ดวงดาวลูกนั้น มองจากดาวพระศุกร์ก็ใสสว่างมากเป็นพิเศษ

เธอก็สังเกตเห็นในอารมณ์ใจมันเป็นสุขว่า ดวงดาวนี้น่าจะมีสิ่งมีชีวิต เพราะใช้กำลังตาเป็นทิพย์หรือใจเป็นทิพย์ เห็นว่าสิ่งที่มีชีวิตมีอยู่มาก และดาวดวงนี้ไกลจากดวงอาทิตย์มากกว่าดาวพระศุกร์ แต่ก็ยังอยู่ในเขตของดาวอาทิตย์ จิตก็คิดว่าถ้าเราไม่กลับไปเวลานี้ ถ้าจะไปดาวดวงนั้นคุณแม่คงไม่ว่าอะไร คงไม่ดึกนัก ที่เราจะกลับไปโลกมนุษย์หรือโลกชมพู

เมื่อตัดสินใจแบบนี้แล้ว จึงนึกถึงบารมีของสมเด็จพระประทีปแก้ว คือพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย เทวดาและพรหมทั้งหลาย ตลอดจนท่านผู้มีคุณคิดว่าดวงดาวดวงนั้นอยู่ที่ไหนขอบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตร เป็นต้น ได้โปรดดลบันดาลให้ลูกได้มีโอกาสไปที่ดวงดาวดวงนั้นด้วยเถิด

พอตัดสินใจเพียงเท่านั้นเธอก็ลอยเข้าไปใกล้ดวงดาวดวงนั้นทันที ด้วยกำลังของกระแสจิต ลูกรักหรือลูกหลานทุกคนจงจำไว้ว่า จิตมีสภาพไม่ช้า ถ้าคิดจะไปที่ไหนคิดเมื่อไหร่ถึงเมื่อนั้น

คราวนี้เธอก็ลอยมาอยู่ใกล้ดวงดาวที่มองเห็นเล็ก ๆ แต่เข้ามาใกล้จริง ๆ ดวงดาวดวงนี้ก็ไม่เล็ก จะว่าเล็กกว่าดาวพระศุกร์ก็เล็กกว่านิดหน่อยเท่า ๆ กับมองไปอีกทีดวงดาวดวงนี้ไม่มีหัวโล้นเหมือนดาวพระศุกร์ รอบ ๆ ดาวมีพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีมหาสมุทรกว้างขวางมาก มีเกาะแก่ง ความหนาวก็ไม่มาก ความร้อนก็ไม่มาก ด้านใดที่ถูกพระอาทิตย์ก็มีความร้อนพอสมควร ไม่เหมือนกับตะวันออกกลางของโลกชมพู ด้านใดที่มีความหนาวก็ไม่หนาวเยือกจนกระทั่งเป็นน้ำแข็ง

รวมความว่าดวงดาวนี้แปลกกว่าดวงอื่น แต่ก็มีการหมุนตัวคล้าย ๆ กับโลกชมพู เธอมองไปมองมาก็มีความรู้สึกแปลกใจ ว่า ดาวดวงนี้ใหญ่แต่สภาพการณ์ต่าง ๆ มีความเป็นอยู่ดีมาก ก็อยากจะดูรอบ ๆ ว่าดาวดวงนี้มีอะไรบ้าง

ดูไปอันดับแรก เข้าไปเจอะมหาสมุทรใหญ่ น้ำบางจุดเป็นน้ำสีเขียว บางจุดเป็นน้ำสีใสธรรมดา บางจุดน้ำสีแดงเป็นสีส้ม เธอก็แปลกใจคิดในใจว่ามหาสมุทรนี้คงมีแร่ธาตุที่ทำให้น้ำต่างสีแตกต่างกัน แต่ว่านั่นเป็นเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เด็กชั้นประถมปีที่ ๑ อย่างเธอจะข้าไปรู้เรื่องวิทยาศาสตร์

เธอไม่สนใจวิชาการวิทยาศาสตร์ ถ้าขืนเธอสนใจก็สนใจไม่ได้เพราะไม่มีความรู้ มีความรู้มีความสามารถอย่างเดียว คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่แม่สอน และเป็นความรู้ที่ไม่มากพอช่วยตัวเองได้บ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง เธอก็มองไปในโลกนี้ดูสิ่งที่มีความสำคัญ

อันดับแรก ธรรมดาผู้หญิง ๆ แม้จะเป็นตัวเล็กก็ตาม ตัวใหญ่ก็ตาม สิ่งที่สะดุดใจมากที่สุดก็คือ เครื่องประดับ เธอมองลงไปใกล้ ๆ เข้าไปใกล้พื้นดิน รวมความว่าสูงจากพื้นดินไม่เกิน หมื่นฟิต ลอยดูรอบ ๆ เพื่อความสะดวก เธอก็เห็นชัดว่า ในลานนั่งเล่น ในสวนสาธารณะต่าง ๆ ก็ดี ข้างถนนก็ดี หน้าบริเวณบ้านก็ดี รู้สึกว่าม้านั่งของเขามีพนักพิง บางตัวพนักพิงบ้าง บางตัวม้านั่งไม่มีพนักพิงบ้าง บางตัวก็เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมบ้าง บางตัวก็เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าบ้าง

ก็รวมความว่าดูไปรอบ ๆ เห็นเขตประเทศมี ประเทศนี้มีทหาร ประเทศนี้มีตำรวจ ประเทศนี้มีการยืนยาม ประเทศนี้มีการรักษาการณ์ มองดูแล้วประเทศนี้มีกองทัพ ประเทศนี้มีศาลาว่าการต่าง ๆ เธอก็แน่ใจว่าประเทศนี้ต้องมีเครื่องมือรบ ต้องการรู้จักเบียดเบียนซึ่งกันและกันพอสมควร ที่ว่าพอสมควรก็เพราะว่ากองทหารดูไม่โตนัก กำลังกองทัพที่ตั้งต่างๆ ไม่โต

ถ้าจะเทียบกับประเทศไทยจุดใหญ่ ๆ ก็ขนาดกรม ไม่ใช่ขนาดกองทัพ ทหารยาในที่ต่าง ๆ ก็มีเฉพาะจุดที่มีความสำคัญมีทรัพย์สินมาก ๆ ตำรวจก็มีไม่มาก มองลงไปในเขตตำบลหนึ่ง หรือสองตำบลน่าจะมีตำรวจไม่เกิน ๓ คน นั่งอยู่เป็นจุด ๆ บางรายก็เดินไปเดินมา อาวุธติดการของตำรวจเห็นมีกระบองบ้าง (กระบองสั้น ๆ ติดเอว)

บางรายก็มีเป็นดาบปลายปืน แต่ปืนจริง ๆ ตำรวจไม่เห็นมี ถ้าคิดไปอีกที โลกนี้ถ้าหากว่าจะมีการทะเลาะวิวาทกันก็คงไม่รุนแรง ถ้าไม่เช่นนั้นตำรวจต้องใช้ปืน อย่างโลกมนุษย์ตำรวจมีปืนยังไม่ไหว ดีไม่ดีผู้ร้ายมีปืนสำคัญกว่า รวมความว่า ตำรวจมีปืนเฉพาะทางราชการจัดให้ ผู้ร้ายจัดหาอาวุธได้ตามใจชอบของตัว

ก็รวมความว่า โลกมนุษย์นี่มีความร่ายกาจกว่าโลกนี้มาก ความจริงโลกนี้ก็เป็นโลกมนุษย์เหมือนกัน เธอก็ดูต่อไปถึงถนนหนทาง ถนนหนทางสวยเหมือนกับโลกพระศุกร์ มีการติดต่อกันระหว่างประเทศ แต่เขตของประเทศมีด่าน แต่ด่านของเขาดีรู้สึกไม่เคร่งเครียดนัก เข้าไปแล้วก็มีการแจ้งแก่เจ้าหน้าที่มานับคนแล้วก็มีคนส่งบัตรให้ เจ้าหน้าที่รับบัตรเอาไปบันทึกแล้วก็ส่งกลับ การบันทึกของเขาก็ไม่ได้เขียน ถ้ามองไปอีกทีก็คล้าย ๆ สนามบินในประเทศของอเมริกา เขาแหย่แกร้กเข้าทางนี้โผล่ทางโน้นก็ใช้ได้เลย เข้าใจว่าโลกนี้วิทยาศาสตร์ต้องเจริญมาก

เธอก็มองดูต่อไปว่า โลกนี้ตอนปลายสุดจะความหมายอย่างไร หนาวมากไหม ดูไปแล้วจริง ๆ สัตว์ขนไม่ยาวเหมือนโลกพระศุกร์ คล้าย ๆ กับโลกมนุษย์ แต่จุดที่เป็นน้ำแข็งปลายโลกไม่มี โลกทั้งโลก ไม่มีแหล่งที่เป็นน้ำแข็งเลย โลกนี้ถ้าจะกินน้ำแข็ง ต้องกินน้ำแข็งจากโรง จะไปทุบน้ำแข็งจากมหาสมุทรมากินไม่ได้ แต่โลกมนุษย์ของเรามีน้ำแข็งที่มหาสมุทร ปลายโลกด้านเหนือ ก็ไม่ทราบว่ามีใครเขาไปทุบมากินหรือเปล่า

ในเมื่อเธอเที่ยวไปตลอด สิ่งที่แปลกใจคือความแพรวพราวของม้าหิน เป็นที่สะดุดใจมาก จึงได้ลงไปที่พื้นดินแห่งหนึ่ง ในที่แห่งนี้รู้สึกว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญมาก มีโรงงานเยอะ และก็มีคนในโรงงานสำคัญ มีบุคคลขวักไขว่ คำว่า “ขวักไขว่” แต่ก็ไม่เกลื่อนกลาดเท่าประเทศไทย มากกว่าทุกจุด

แต่จุดนี้ก็ไม่ค่อยแออัดอย่างประเทศไทย ไม่เหมือนในกรุงเทพ ฯ มีเส้นทางก็โปร่ง แบบสบาย ๆ ไปดูเครื่องแต่งกายของคน ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายจะหาแหวนทองคำประดับสักวงหนึ่งก็ไม่มี จะมีสร้อยสักเส้นหนึ่งก็ไม่มี เพชรนิลจินดาไม่มีติดตัว

เธอก็เลยสงสัยในใจว่า ประเทศนี้คงมีนักจี้นักปล้นมาก คนจึงไม่กล้าเอาเครื่องเพชรหรือทองคำมาติดตัว เพราะดีไม่ดีก็จะถูกจี้ถูกปล้น ถูกฆ่าตายก็ได้ แต่คิดไปแล้วก็แปลกใจอีกอย่างหนึ่งที่ตำรวจนาน ๆ จะเห็นสักคน คิดว่า ถ้ามีนักจี้นักปล้นมาก ก็ต้องเห็นตำรวจมาก ๆ นี่ก็ไม่มี

ในที่สุดเธอแปลกใจอย่างนี้ก็ลงไปที่พื้นดิน ไปที่ม้าที่เห็นแพรวพราวเป็นระยับ ม้านั่งทุกตัว แพรวพราวเหมือนกัน โต๊ะอาหารทุกตัวแพรวพราวเหมือนกัน ตั้งแต่ที่ตั้งจากพื้นดินมาก็มีแต่แพรวพราวเป็นแก้ว ก็คิดในใจว่า เขาคงจะเอาแก้วมาทำโต๊ะ เอาแก้วมาทำม้านั่งหรือเอาแก้วมาประดับหิน ไปดูแล้วจริงๆ ปัดโธ่เอ๋ย..ใจหายวาบ..

ที่ใจหายไม่ใช่อะไร ถ้าเป็นประเทศไทย กลัวกันตายไม่กล้าวางไว้นั่นคือ “เพชร” เขาเอาเพชรมาติดม้าหิน เอาเพชรมาติดโต๊ะ มันเพชรจริง ๆ มองดูแล้วแพรวพราว มองดูอีกทีว่าเพชรอย่างดี หรือว่าเพชรรัสเซีย เพราะว่า ในประเทศไทยก็ดี ประเทศอื่น ๆ ก็ดี เขาบอกว่า “เวลานี้เพชรรัสเซียสวยกว่าเพชรธรรมดา”

มองลงไปแล้วรู้สึกว่าใสกว่าเพชรรัสเซีย มีน้ำลึกกว่ามีประกายสูงขึ้น มองเข้าไปลึก ๆ เหมือนกับแสงรุ้ง ก็เข้าแน่ใจว่าไม่ใช่เพชรรัสเซียแน่ นึกในใจว่าเราจะปรึกษาใครนะ เวลานี้ถ้าแม่มาด้วยจะได้ปรึกษาแม่ ๆ จะได้บอกว่ามันเป็นเพชรจริงหรือเพชรปลอม

พอนึกว่าถ้าแม่มาด้วยจะได้ปรึกษา เพียงเท่านั้นปรากฏว่า ได้ยินเสียงของคุณแม่บอกว่า จุไรลูกรัก แม่มาแล้วจ้ะ” ได้ยินเสียงมองเห็นแม่ก็ตกใจ ถามว่า “ คุณแม่มาเมื่อไหร่เจ้าคะ” คุณแม่ก็ตอบว่า “แม่มาพร้อม ๆ กับลูก ที่ลูกไปเที่ยวดาวพระศุกร์แม่ก็ไปด้วย แม่อยู่ข้างหลัง ดาวนี้ลูกรู้จักไหมว่าเป็นดาวอะไร ?” จุไร ก็บอกว่า “ไม่รู้จัก” คุณแม่ก็บอกว่า “อันนี้เขาเรียกว่า ดาวจามร”

จุไรก็ถามว่า “จามรแปลว่าอะไร?” คุณแม่ก็ตอบว่า “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน จำชื่อไว้ก็แล้วกัน ว่าเขาเรียกว่า ดาวจามร” (ศัพท์ว่าจามรนี่ไม่แน่ว่าจะเป็นภาษาลีหรือภาษาไทยก็ไม่ใช่ อาจจะเป็นภาษาของเขา แต่ถ้านักวิทยาศาสตร์เขามาเขาจะเปลี่ยนชื่อใหม่ตามใจนักวิทยาศาสตร์ เราเข้าใจว่าโลกจามรก็แล้วกัน)

จุไร ถามคุณแม่ว่า “ความร้อนก็ดี ความหนาวก็ดี ไม่เหมือนกับโลกอื่น” คุณแม่ก็บอกว่า ดาวดาวงนี้อยู่ใกล้พระอาทิตย์มาก แต่ว่าอยู่ในเขตส่องแสงของพระอาทิตย์ ฉะนั้นความร้อนจึงไม่มาก ความหมุนเร็วกว่าโลกชมพูของเรา ฉะนั้น ความเย็นก็ไม่มากเกินไป เหมือนกัน” จุไรจึงถามคุณแม่ว่า “แก้วที่ประดับโต๊ะ เขาใช้แก้วหรือใช้เพชร ถ้าเป็นเพชรจะเป็นเพชรรัสเซียหรือเป็นเพชรแท้”

คุณแม่ก็บอกว่า “ลูกควรใช้กำลังใจคราวหลังจงจำไว้ว่า ถ้าเห็นอะไรสงสัยให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทันที ถ้าถามสิ่งทั้งหลายเหล่านี้คืออะไรท่านจะบอก”

จุไรก็อดใจนิดหนึ่ง นึกถึงพระพุทธเจ้า ก็เกิดความรู้สึกว่า แก้วก็ดี หรือเพชรก็ตาม ที่เห็นนี่เป็นเพชรจริง ๆ เป็นเพชรน้ำหนึ่งยิ่งกว่าเพชรในโลกมนุษย์มาก มีความใส มีประกายสวยกว่ากันมาก มีรุ้งจัดสีสวยแพรวพราว แต่ว่าทำไมคนโลกนี้จึงเอาเพชรมาประดับหิน เอามารองนั่งบ้าง เอามารองอาหารกินบ้าง (น่าแปลก)

คุณแม่บอกก็บอกว่า “โลกนี้เขามีความศิวิไลซ์มาก เห็นว่าเพชรเป็นของไม่มีค่า แต่สิ่งที่มีค่าเหมือนกันทุกโลกนั่นก็คือ ทองคำ ทองคำเขาต้องการ แต่ชาวโลกนี้เขาไม่ต้องการประดับด้วยทองคำ เพียงว่าเอาทองคำไปใช้แลกกับของ”

คุณแม่ก็พาจุไรเดินมา คือเดินเหนือผิวดินลอย ๆ มา (ถ้าเดินจริง ๆ มันช้า) มาถึงจุด ๆ หนึ่ง จุดนั้นมีต้นไม้ต้นหนึ่งมีใบคล้าย ๆ ใบโพธิ์ แต่หนังสือที่เขาเขียนไว้เขาเขียนว่า“ต้นจิก”(“จิก” จ.สระ อิ ก.) แต่ดูใบแล้วไม่เหมือนต้นจิกในโลกชมพู เป็นจิกของเขาก็แล้วกัน ต้นใหญ่มีเปลือกขาวคล้าย ต้นโพธิ์ ตอนกลางมีช่วงเปราขึ้นไปประมาณ ๕ สาย เป็นเปราใหญ่ มีใบที่ยอด กลาง ๆ ไม่ค่อยมีใบ มีสาขาแตกไสวออก ๗ ด้าน มีใบหนามาก มองแล้วคล้ายฉัตร

เธอก็มีความรู้สึกในใจว่าต้นไม้นี้สวยเขาเรียกว่า “ต้นจิก” ที่นั่นก็มีม้าหิน เธอกับแม่ก็นั่งลงไปที่ม้าหิน ข้างหน้าของเธอเป็นโรงงานที่มีความสำคัญ เขาเขียนว่า “โรงงานปรมาณู” เป็นโรงงานวิทยาศาสตร์ ในขณะนั้นเธอก็มองดูหญิงและชายที่เดินออกมาจากโรงงานบ้าง มาจากที่ทำการต่าง ๆ บ้าง ก็มีความรู้สึกว่า คนทุกคนไม่มีแม้แต่แหวนเครื่องประดับเหมือนกันหมด ตามที่เห็นก่อนไม่ผิด

แต่ว่าสิ่งที่มีติดตัวก็คือนาฬิกา บางคนก็ใช้นาฬิกาข้อมือ บางคนก็ใช้นาฬิกาติดอกเสื้อบาง ๆ คงไม่ใช่นาฬิกาไขลาน บางคล้าย กระดาษ แต่มีเลขบอกชั่วโมง นาที และวินาทีเสร็จ (ของเขาแปลก) ที่ติดข้อมือ ก็บางๆ สายก็เล็ก ๆ ไม่ใหญ่เหมือนของเรา แต่ว่าหน้าปัดแพรวพราวเป็นประกายไฟฟ้า เลขที่ขึ้นก็แพรวพราวสวยมาก

ก็รวมความว่า วิทยาศาสตร์ที่นี่เขามีความเจริญมาก มองดูแล้วคุณแม่ก็บอกว่า “อยากดูอะไรข้างในไหม?” จุไรก็บอกว่า อยากจะเข้าไปเห็น ก็เข้าไปในเขตนั้น ไปดูอุปกรณ์วิทยาศาสตร์เครื่องใช้วิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ของเขาทำสวยสดงดงามมาก

รวมความว่า เครื่องจักรกลต่าง ๆ มีผิดแผกแตกต่างกับโลกเราเยอะ เขาศิวิไลซ์มากมาย ไปดูรถที่เขาขึ้นกัน เห็นรถไม่มีสายไฟฟ้าโยง แต่ก็ไม่มีเครื่องมาก รถคันใหญ่ ๆ มีเครื่องอุปกรณ์ปุกลุกนิดเดียว ขับเคลื่อนได้รวดเร็ว

เธอก็แปลกใจ จึงถามคุณแม่ว่า “นี่เขาทำด้วยอะไร” คุณแม่ก็บอกว่า “เครื่องยนต์ต่าง ๆ เขาใช้รังสีขับเคลื่อน เขาไม่ใช้จักรกลขับเคลื่อนอย่างของเรา”

คุณแม่พาไปดูยายพาหนะอันหนึ่งกลุ่มยานพาหนะเป็นลานกว้างมากเป็นพิเศษ ยานพาหนะมีหลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งมีสภาพเหมือนจานซ้อนจาน จานข้างบนมีสภาพหมุนได้คล้ายปีกหมุนมีหรืบลม และก็มีท่อเบื้องหลัง มีท่อดูดเบื้องหน้า มีท่อพ่นออกเบื้องหลัง เธอมองแล้วก็แปลกใจ ถามคุณแม่ว่า “ นี่เขาเรียกว่าอะไร ? ”

คุณแม่บอกว่า “นี่เขาเรียกว่า จานบิน” แล้วไปดูยานพาหนะอันหนึ่งมีรูปร่างคล้ายเรือในทะเล แต่ว่าด้านล่างมีที่ว่างคล้ายกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ ไม่มีล้อ ลงปั๊บอยู่ปุ๊บตรงนั้นเลยไม่ต้องวิ่งไป

เธอก็ถามคุณแม่ว่า “นี่อะไร?” คุณแม่ก็บอกว่า “นี่เป็นยานอวกาศเหมือนกัน แต่รูปร่างใหญ่มากมีที่หลับที่นอนสบาย บางรูปก็มีสภาพคล้ายเครื่องบินแต่ก็ไม่มีใบพัด จะว่ามีไอพ่นอย่างเครื่องเจ๊ทของเราก็ไม่เหมือนกัน สภาพต่าง ๆ ของเขาเล็กหมด เครื่องเครา แต่ตัวใหญ่ แต่ละเครื่องไปดูมีความสุข มีความสบายมาก”

เมื่อเข้าไปในที่นั่นก็เข้าไปดูจานบิน ๆ ก็มีที่นั่ง มีที่หลับ ที่นอน ที่กิน ที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะครบถ้วนบริบูรณ์ ที่ไหนนั่งได้ นอนได้ เดินเล่นได้อย่างสบายๆ กว้างขวางมาก

รวมความว่าโลกนี้มีความศิวิไลซ์มาก ขณะที่เดินท่องเที่ยวไปในยานต่างๆ ชมความงามของยาน ชมอุปกรณ์เครื่องใช้ก็เจอชายคนหนึ่ง ชายคนนี้ท่าทีเป็นนักวิทยาศาสตร์ มีอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ติดมือมา แล้วก็มีลูกน้องหิ้วของกระเป๋าเล็กๆ ซึ่งเป็นระบบตรวจต่างๆ เดินตามมาด้วยเมื่อเขามาเจอะสองแม่ลูกเขาก็ตกใจ

เขาก็ถามว่า “เธอเข้ามาได้อย่างไร? ในที่นี้มีประตูก็ปิดลงกลอนใส่กุญแจแน่นหนามาก แม้แต่หนูก็เข้ามาไม่ได้ เธอเป็นคนเข้ามาได้อย่างไร?”

ทั้งสองแม่ลูกก็ตอบว่า “ฉันเป็นชาวโลกชมพู สิ่งต่างๆ ที่ปิดบังไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์กับชาวโลกชมพู ชาวโลกชมพูถ้าอยากจะเข้าไปที่ไหนไปได้ทุกแห่ง”

เขาก็บอกว่า “ที่นี่มีรังสีมาก ดูแต่ฉันซิ ฉันมาที่นี่ยังต้องมีก้อนประเภทนี้ติดตัวมา” (เขามีแท่งเหล็กแร่แท่งหนึ่ง โตประมาณกว้าง ๑ นิ้วฟุต ยาว ๒ นิ้วฟุต เขาห้อยคอติดมาทั้งสองคนมีสภาพเหมือนกัน)

เขาบอกว่า “แร่ประเภทนี้เป็นแร่ที่นักวิทยาศาสตร์ผสมแล้ว ถ้ารังสีเข้ามาถึงตัวแร่นี้จะผลักออกไป ไม่ใช่ดูดเข้ามาจะไม่มีอันตรายแก่ชีวิต แต่เธอสองคนเข้ามาที่นี่ไม่มีแร่ ทำไมจึงไม่มีอันตราย”

คุณแม่ของ จุไร ก็ตอบว่า “ฉันกับลูกเป็นชาวพุทธศาสนา ในเมื่อเคารพพระพุทธเจ้าแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำอันตรายไม่ได้”

เขาถามว่า “พวกเธอมาได้อย่างไร? และโลกที่เธออยู่ๆ ที่ไหน”

ทั้งแม่และลูกก็ชี้ให้ดู ในตอนนั้นโลกของเราเกือบจะมองไม่เห็นริบหรี่มากเหลือเกินเล็กมาก มีแสงสว่างน้อยกว่าโลกเล็กๆ ที่เรายืนอยู่เวลานี้ เรามองไปเวลานี้จากโลกเราเห็นโลกนี้เล็กริบหรี่ถ้ามองจากโลกนั้นมาดูโลกมนุษย์กลับริบหรี่มากกว่านั้น

ทั้งสองก็ตอบว่า “เหาะมา”

เขาก็ถามว่า “การเหาะใช้ระบบวิทยาศาสตร์แบบไหนจึงมาด้วยตัวเปล่าๆ”
ทั้งสองแม่ลูกก็บอกว่า “ไม่ใช่ เป็นหลักพุทธศาสนาไม่ใช่วิทยาศาสตร์เป็นหลักสูตรพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอน” (พอฟังคำว่าพระพุทธเจ้าเขาก็แปลกใจ)

คุณแม่ก็ถามว่า “ยานพาหนะมีอาวุธไหม”

เขาก็ตอบว่า “มี” (เวลามันเหลือนาทีกว่าๆ ลูกรัก ขอรัดความ) ก็ไปดูอาวุธ อาวุธของเขาแปลกใช้รังสีใช้แสงพ่นไปเหล็กก้อนใหญ่ๆ ถูกแป๊บเดียวละลายทันที

เขาบอกว่า “อาวุธประเภทนี้มีไว้ป้องกันโลกสูตูตะวันออก เพราะว่ามีความเป็นอันธพาลมาก ชอบรังแกมนุษย์ ชอบรังแกสัตว์ ชอบรังแกยานพาหนะในโลกชมพู ฉันก็เคยไปเที่ยวโลกชมพู” (เขาชี้มาที่โลกชมพู)

เขาบอกว่า “จากที่นั่นมาโลกชมพู เขาใช้เวลา ๑๐ ชั่วโมงประเทศไทย” (เขารู้เวลาของไทย รู้เวลาในโลกนี้) เขาบอก “ใช้เวลา ๑๐ ชั่วโมงมาถึง มา ๑๐ ชั่วโมง กลับ ๑๐ ชั่วโมง”

เป็นอันว่าลูกหลานที่รักทุกคน..เวลามันหมด ก็ของดไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอสรุปว่าแม่และลูกทั้งสอง ต่างคนต่างก็พากันกลับโลกชมพู ก็เป็นอันว่าหมดเวลาพอดี ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ลูกรักหลานรักทุกคน สวัสดี...

ตอนที่ 10 จุไรท่องเที่ยวดาวเสาร์และดาวสูตู » 

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top