Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 6/10/08 at 18:36 [ QUOTE ]

ฤาษีทัศนาจร (เล่ม ๑) โดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


ฤาษีทัศนาจร เล่มที่ ๑



                                                                             สารบัญ

                                                              (เลือก "คลิก" อ่านได้แต่ละตอน)


01.
บทที่ ๑ ปรารภเรื่องการตั้งโรงพิมพ์
02. สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ
03. ท่านจูเฬกสาฏก
04. ท่านจูเฬกสาฏก (ต่อ)
05. ท่านจูเฬกสาฏก (ต่อ)
06. บทที่ ๒ อานุภาพพระรัตนตรัย
07. พบพระพินิจอักษร (ทองดี)
08. รายชื่อผู้ร่วมทัศนาจร
09. ประวัติแม่น้ำปิง (แม่น้ำขุนภู )
10. เหตุเกิดแต่กามราคะ
11. บทที่ ๓ ดอยสุเทพ
12. ประวัติพระธาตุดอยสุเทพ
13. พระรัฐบาล
14. พ่อขุนทั้งสาม
15. ประวัติครูบาเจ้าศรีวิชัย
16. บทที่ ๔ ท่องน้ำตกแม่สา
17. เทวดาชวนขุดทอง
18. วิมานรออยู่
19. บทที่ ๕ เที่ยวเชียงดาว
20. วัดถ้ำเชียงดาว



คำปรารภ

หนังสือออกมาได้ เพราะคณะท่านสาธุชนต้องการพิมพ์เป็นอนุสรณ์ต้นปี ๒๕๑๘ หนังสือนี้จะเป็นที่ถูกใจหรือบาดใจใคร เจ้าของเรื่องไม่สนใจ เพราะตามใจคนมากเท่าไรก็ไม่พ้นคนนินทา เรื่องตามใจคนจึงไม่มีในหนังสือนี้ และในอารมณ์ของเจ้าของเรื่อง

รูปหน้าปก ให้ออกแบบตามความโง่ในสมัยที่ท่องสวรรค์ดาวดึงส์ครั้งแรก ตามความต้องการของครูบาอาจารย์ ผู้อ่านๆแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เจ้าของเรื่องก็ไม่สนใจ ใครอยากรู้จริง ขอให้พยายามปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ครบถ้วน.

ฤาษีลิงดำ

๑๘ ธ.ค. ๑๗

(สมัยนั้นโรงพิมพ์ "สารธรรม" ช่วงหนึ่งทำกันที่ "บ้านสายลม" โดยทีมงานสมัครเล่น ใครว่างก็ไปช่วยกัน)





ลิขสิทธิ์หนังสือทุกเล่มเป็นของ "เว็บวัดท่าซุง"

ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ 2537 และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ 2550

นายศุภเดช สืบตระหง่าน
ทนายความผู้รับมอบอำนาจ





[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/10/08 at 16:34 [ QUOTE ]


(Update 24 ต.ค. 2551)


บทที่ ๑

ปรารภเรื่องการตั้งโรงพิมพ์



"........เวลานี้ ได้ทราบข่าวว่าบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายตั้งใจจะสร้างเป็นโรงพิมพ์ขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าหนังสือที่ออกให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้อ่านกันก็มีหลายวาระที่ไม่ทันความประสงค์ของบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่า หนึ่ง ทุนการพิมพ์ไม่ใคร่จะมี

.........ประการที่สอง โรงพิมพ์ต่างๆไม่ค่อยจะว่าง ฉะนั้น ดร.ปริญญา นุตาลัย อาจารย์ฝ่ายธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงได้ริเริ่มที่จะตั้งโรงพิมพ์ขึ้น เพื่อจัดพิมพ์คำสอนบ้าง แล้วก็สิ่งที่เป็นประโยชน์ เรื่องของพระพุทธศาสนาที่จะให้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้รับทราบ เอามาพิมพ์แจกกัน คือ ในราคาใกล้ราคาทุน ไม่หวังความร่ำรวยในการพิมพ์

.........เมื่ออาตมาเดินทางไปที่จังหวัดเชียงใหม่ คือ คืนวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๗ ไปถึงก็ใกล้เวลา ๒๔ นาฬิกา ขณะนั้น ได้พาบรรดาพุทธบริษัทที่เป็นบริวารลิงทั้งหลายไปด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่าตั้งใจจะไปนมัสการพระที่ได้นามว่า “สุปฏิปันโน” คือ มีความประพฤติดี ประพฤติชอบ ที่ไม่เมาไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รู้ตัวอยู่เสมอว่าจะตาย แล้วก็คิดไว้ว่าถ้าตายแล้ว เราควรจะไปที่ไหน ไม่ได้มีความเมาในชีวิต ไม่ได้มีความเมาในชีวิต ไม่ได้คิดหาความสุขในกามคุณ นี่ความดีของท่านทั้งหลาย เป็นที่เราควรจะบูชา

ในฐานะที่คณะของอาตมา มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทธเจ้าเป็นเหตุ เมื่อทราบว่าสาวกขององค์สมเด็จบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีความดีอยู่ ยังมีมาก จึงได้พาบรรดาพุทธบริษัทไปเพื่อนมัสการ แต่ทว่าท่านผู้อ่านทั้งหลายก็จงอย่าลืมว่า หัวหน้าคณะเป็นลิง และบรรดาพุทธบริษัทที่ตามไปก็คงจะไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน นอกจากกองทัพของพระราม แล้วก็ไม่ใช่มีลิงแท้อย่างเดียว แถมมีนกกระจิบ นกกระจาบ นกกระจอก ทั้งเป็ด ทั้งไก่ ไปด้วยกันพร้อม เป็นอันว่าพ่อทัพเป็นสัตว์เดรัจฉาน บรรดาลูกทัพทั้งหลายเหล่านั้น จะเป็นเทวดาหรือพรหมก็ตามใจ

ทีนี้ การไปของพวกเรา เราไปเพื่อแสวงหาความดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าทราบอยู่ดีว่า ตัวเองน่ะมันดีไม่พอ ที่ว่าดีไม่พอก็เพราะว่า ยังมีความรู้สึกในรสของอาหาร ยังมีความรู้สึกหนาว รู้สึกร้อน รู้สึกหิว รู้สึกกระหาย อาการปวดอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นที่ไม่ชอบใจของพวกเรา และยิ่งไปกว่านั้น พวกเราก็อยู่ใกล้คนดีเกินไป บรรดาพวกคนทั้งหลายก็คือ

ดีในเรื่องพอใจในความมีลาภ พอใจในความมียศ พอใจในสรรเสริญ พอใจในกามสุข เรื่องพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ แต่ว่า ท่านก็นิยมกันว่าดี พวกเราก็เลยต้องเรียกท่านว่า เป็นคนดี เพราะว่าท่านว่าตัวของท่านดี คนเราใครจะดีหรือไม่ดีนี่ ต้องถามตัวของเขาเอง เราจะไปรู้ดีกว่าเขาไม่ได้ แล้วความดีของท่านพวกนั้น เวลาที่พูดนี่เป็นวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๑๗ ดีจนกระทั่งพากันเดินขบวนนำหน้าประชาชนไปทำศึกกับรัฐบาล

แล้วนอกจากนั้น ก็ยังมีท่านผู้ดีส่งเสริมท้ายว่า คนที่อยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นเครื่องหมายของพระพุทธศาสนาเดินขบวน ไม่มีมาตราใดๆจะลงโทษ ควรคิด เพราะความดีของบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิต แต่ทว่าสนใจในปฏิปทาของพระเทวทัต มีมากอย่างนี้ ฉะนั้น "ฤาษีจอมลิง"..ทราบไหม ว่าใครเป็นคนพูด ?

คนพูดนี่ไม่ใช่ใคร คือเจ้าลิงดำนั่นเอง เจ้าลิงดำพาพลพรรคทัศนาจร ทั้งนี้ก็เพราะว่า ตั้งใจจะพักผ่อนอารมณ์ที่หมักหมมไปด้วยความดีของท่านผู้ทรงความเป็นผู้วิเศษ จนกระทั่งลืมพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสนิท ก็เลย จึงได้พากันคิดว่าไปแสวงหาพระที่ทรงสุปฏิปันโนกันดีกว่า

สุปฏิปันโน เขาแปลว่ายังไง "สุปฏิ" แล้วก็ "ปันโน" เขาเรียกว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบไปด้วยคุณธรรมพิเศษ ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงแนะนำ แล้วท่านก็ปฏิบัติตาม อย่างนี้เราเรียกกันว่า "สุปฏิปันโน" เราจะไปทึกทักว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เราก็พูดไม่ได้ แต่ทว่าเรามาดูจริยาของท่านต่อไปว่าท่านองค์ไหนท่านเป็นพระอะไร ก็ฟังเสียงท่านพูด

แต่เอายังงี้ดีกว่า ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องอื่น เราก็มาพูดกันถึงการตั้งโรงพิมพ์เสียก่อน ทั้งนี้ก็ขอท่านบรรดาพุทธศาสนิกชน ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรโปรดทราบ ว่าหนังสือที่ออกจากโรงพิมพ์โรงนี้เป็นเล่มแรก ก็เป็นหนังสือทำนองเดียวกันกับหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ฉะนั้น ใครที่จะนำเรื่องราวต่างๆที่หนักสมองเกินไปมาบรรจุในเล่มนี้ จึงยังไม่ยอมรับ แล้วก็จะถือแบบนี้เป็นแบบฉบับตามที่ท่านบงการมา

คำว่า “ท่าน” เป็นใคร ชาวบ้านไม่ต้องรู้ เพราะว่านี่อย่าลืมว่าลิงพูด ไม่ใช่คนพูด คนที่สั่งการมาถึงลิง ท่านทั้งหลายอาจจะรู้ภาษาไม่ได้ ท่านสั่งการมาบอกว่า หนังสือของฉันจะต้องห่วงใยเด็กให้มากกว่าผู้ใหญ่ การจะนำอะไรออก จะพูดอะไรลงไป ก็ขอให้สนใจกับเด็ก ไม่ต้องสนใจผู้ใหญ่

ทั้งนี้ก็เพราะว่าผู้ใหญ่มีความดี พอมีความรู้ รับผิดชอบพอ ดีไม่ดีเขาก็ดีกว่าคนพูด อย่าไปตั้งหน้าตั้งตาสอนผู้ใหญ่ เราตั้งหน้าตั้งตาคุยกับบรรดาเด็กทั้งหลายดีกว่า เพราะคุยกับเด็กสบายใจกว่าคุยกับผู้ใหญ่ ยังไงๆเขาก็ถือว่าคนที่คุยกับเด็กก็คือเด็กนั่นเอง ไม่ใช่ผู้ใหญ่ ถ้าจะทำอะไรผิดลงไปบ้าง ถ้าเป็นเด็กเล็กเขาก็ไม่ปรับ ถ้าเด็กใหญ่หน่อยเขาก็ปรับครึ่งเดียว มันปรับไม่เท่าผู้ใหญ่

ฉะนั้น ผู้พูด ในฐานะที่เป็นลิง เมื่อเป็นลิงเด็กเข้าด้วยแล้ว ก็เลยหมดราคา เพราะคุกตะรางเขาไม่ได้ตั้งไว้ใส่หมาหรือใส่ลิง รถยนตร์ เรือยนตร์ เขาไม่มีเขียนไว้บอกผู้โดยสารที่เป็นลิงหรือสุนัข เขาเก็บราคาเท่านี้ นี่มันสบายดี

อ้าว...นี่คุยเรื่องอะไรมากไป มาว่ากันถึงเรื่องการตั้งโรงพิมพ์ เมื่อไปถึง ดร.ปริญญา ก็มารายงานว่า อยากจะหาเครื่องพิมพ์มาจัดพิมพ์กันเสียเอง เพราะไปจ้างเขาพิมพ์ราคาก็แพง เวลาก็ไม่ทันการ ถ้าเราทำกันได้ เวลาก็ทัน ราคาก็ถูก บรรดาท่านผู้ตั้งใจอ่านก็ไม่ต้องเสียสตางค์มาก เรื่องนี้เห็นด้วย เพราะว่าเมื่อ ๒-๓ วันนี้ มีพ่อหนุ่มน้อยคนหนึ่ง มาจากจังหวัดอ่างทอง มือถือ หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน มาด้วย

แกมาถึงก็กราบ พอกราบแล้วแกก็บอกว่า หนังสือแบบนี้มีไหมขอรับ ก็ตอบว่ายังมีอยู่ เพราะว่าเพิ่งพิมพ์เสร็จ เลยถามเธอว่า หนังสือเล่มนี้เธอต้องการไปทำไม แกก็รายงานว่า หนังสือเล่มนี้เพื่อนเขาซื้อมาจากจังหวัดสมุทรปราการ ซื้อมาคราวละ ๑๐ เล่มบ้าง ๒๐ เล่มบ้าง เอามาแจกแก่บรรดาเพื่อนๆกัน จะได้อ่านโดยทั่วถึงกัน แต่ถึงกระนั้นก็ดี ยังไม่เป็นที่เต็มความประสงค์ เพราะคนต้องการอ่านมีอีกมาก

ก็เลยถามเธอว่า เพื่อนของเธอน่ะเขาซื้อมาราคาเท่าไร เธอก็ตอบว่า ซื้อมาในราคาเล่มละ ๑๐๐ บาท สบาย.....นี่ทางสำนักจัดการ คือท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. ได้แก่ พล.อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ จัดการช่วยร่วมทุนกันพิมพ์ขึ้น บางครั้งก็จำหน่ายไปในอัตรา เล่มละ ๒๐ บาท บางคราวก็ ๒๕ บาท มาปัจจุบันนี้ ๓๐ บาท เป็นอย่างสูงสุด ไม่มีราคาสูงกว่านี้ ที่จำหน่ายออกตามนี้ก็เพราะว่าจำหน่ายในราคาใกล้ทุน

แต่ทว่าพ่อเจ้าประคุณไปซื้อกันมาเล่มละ ๑๐๐ นี่สิ อย่างนี้ ดร. ปริญญา จึงได้คิดว่าจัดพิมพ์เสียเองดีกว่า จะได้ทันความประสงค์ เวลาที่เขาขายเล่มละ ๑๐๐ น่ะ เขาบอกว่า เวลานี้หนังสือขาดคราว ดีไม่ดีหนังสือไม่ขาดเขาก็บอกว่าขาด เพราะคนปลายทางไม่รู้

เพราะว่าหนังสือทั้งหมดนี้ ไม่ได้วางขายในตลาด มีอยู่ในที่ ๓ แห่ง ที่เป็นต้นก็คือ บ้าน พล.อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ ที่ซอยสายลม อีกจุดหนึ่งก็ที่ วัดจันทาราม (ท่าซุง) หรือที่เรียกกันว่า "ศูนย์ปฏิบัติพระกรรมฐานศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค" หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า "อาศรมฤาษีลิงดำ" ซึ่งตั้งอยู่ที่ วัดท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี

แต่ถ้าจะติดต่อควรใช้ว่า "อาศรมฤาษีลิงดำ" หรือ "ศูนย์ปฏิบัติพระกรรมฐาน" ซึ่งตั้งอยู่ที่วัดท่าซุง อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ถ้าติดต่อตามนี้สะดวกกว่า คือว่าอยู่ใกล้อำเภอมโนรมย์ ทางไปรษณีย์อำเภอมโนรมย์สงเคราะห์ส่งให้ถึงวัด

(หมายเหตุ : ปัจจุบันนี้ วัดท่าซุง อยู่ในเขต อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี)

◄ll กลับสู่ด้านบน

<< โปรดติดตามตอนต่อไป >>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 6/11/08 at 17:41 [ QUOTE ]


(Update 6 พ.ย. 2551)

“สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ”

"..เมื่อดร. ปริญญามาปรารภ ก็เลยบอกว่า ดีนี่..ทำได้มันก็ดี แกก็บอกว่าไม่มีทุน เวลานั้น การเดินทางไปเชียงใหม่ไปกันหลายท่านด้วยกัน ประมาณ ๕๐ คน จึงได้บอกกับ ดร. ปริญญา บอกว่า เอายังงี้ก็แล้วกัน ตอนเช้าก็ลองไปปรารภกับบรรดาท่านพุทธบริษัท

ดร. ปริญญาก็ทำตามนั้น ก็ปรากฎว่าทันทีที่พูด พันโทแพทย์หญิง วีวรรณ คำนวณกิจ รับให้ทุนสำรอง ๒๐๐,๐๐๐ บาท เป็นเงินยืมบ้าง ทำบุญด้วยบ้าง แล้วก็ พันตำรวจเอก (พิเศษ) สมศักดิ์ สืบสงวน รับภาระอีกจุดหนึ่ง แล้วก็มีคนหลายคนด้วยกัน ร่วมกันตามกำลังศรัทธา ตามที่บรรดาท่านผู้อ่าน จะทราบชื่อท่านผู้มีศรัทธาร่วมในการสร้างโรงพิมพ์ครั้งนี้ ตอนท้ายหนังสือเล่มนี้ว่ามีใครบ้าง แล้วก็ใครออกมาเท่าไร

แต่ว่าการตั้ง ซื้อเครื่องต่างๆ ต้องใช้เงินทั้งหมดประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท เป็นอันว่าเงินที่ได้มามันก็ไม่พอ เพราะว่าอุปกรณ์ต่างๆ มันมีเยอะ ค่อยทำค่อยไป เป็นหนี้เขาไปบ้างตามอัธยาศัยของ "คณะลูกศิษย์ฤาษีลิงดำ" เพราะว่าโต้โผเองก็จอมหนี้ เป็นหนี้ปีหนึ่งเป็นล้านๆ สบาย อ้ายเรื่องล้านๆ นี่มันไม่น่าหนักใจ เพราะว่าเทวดาฤาษีลิงดำหัวแกก็ล้านอยู่แล้ว

อันดับแรก แกก็มีทุนอยู่หนึ่งล้านแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ท่านเจ้าพระยาโกษาปาน" หรือ "เจ้าพระยาโกษาป่อง" ซึ่งเป็นน้อง "เจ้าพระยาโกษาเหล็ก" ที่บรรดาเด็กให้สมญาว่า "เจ้าพระยาโกษาป่อง" (อันนี้ไม่ใช่ตัวจริง เขาสมมติขึ้น) นี่ท่านก็มีทุนประจำอยู่หนึ่งล้านเหมือนกัน

แต่สองล้านของฤาษีลิงดำ หรือพระยาโกษาป่องนี่ใช้ไม่หมด เพราะว่าเทิดทูนไว้บนศีรษะ เลยไม่ต้องใช้กัน ถ้าใครจะมาทวงเงินในอัตราหนึ่งล้านบาท ก็บอกว่าเอาเลย พ่อเทวดาอยากได้ดึงเอาไปเลยจากหัว ถ้าดึงเอาไปไม่ได้แสดงว่าคนดึงไร้สมรรถภาพ เป็นอันว่าหนี้สินไม่ต้องเอากัน

นี่เป็นอันว่าเวลานี้ เรื่องของโรงพิมพ์นี่ตั้งขึ้นมาได้แล้วแต่เงินมันไม่พอ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายสนใจ อยากจะบำเพ็ญกุศลด้วย จะช่วยกันคนละ ๕ สตางค์ ๑๐ สตางค์ สลึง สองสลึง ทำได้ตามอัธยาศัย ติดต่อได้ที่พระยาโกษาป่อง น้องชายพระยาโกษาเหล็ก

หือ..อ้าว ! นี่เขาตายไปนานแล้วนี่ไม่ใช่หรอก หรือติดต่อได้ที่ ดร. ปริญญา นุตาลัย แล้วก็น้องสาวคือ คุณชาลินี เนียมสกุล หรือว่า คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยาเจ้ากรมสื่อสาร ท.อ. หรือว่าที่เจ้ากรมสื่อสาร ท.อ. หรือว่าคณะบริษัททั้งหมด มีจุดสำคัญอีกสองจุดก็คือ พ.ท.แพทย์หญิง วีวรรณ คำนวณกิจ แห่งโรงพยาบาลพระมงกุฏ แล้วก็ พ.ต.อ. (พิเศษ) สมศักดิ์ สืบสงวน รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ ติดต่อได้ตามนี้

ทีนี้เรามาคุยถึงอานิสงส์ของการตั้งโรงพิมพ์ โรงพิมพ์นี้ตั้งขึ้นมิใช่ตั้งขึ้นเพื่อหาความร่ำรวย คือช่วยให้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้มีความเข้าใจดีในพระพุทธศาสนาตามความรู้ความสามารถที่จะพึงกระทำกันได้ ก็เป็นอันว่าถ้าจะรวมลงไปตามคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเป็นอานิสงส์ ก็ต้องสรุปลงในคำว่า “ธรรมทาน” ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเป็นพระบาลีว่า

“สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า
“การให้ธรรมเป็นทานย่อมชนะทานทั้งปวง” คือหมายความว่าคนให้ธรรมเป็นทาน

“ธรรม” มาจากตัวหนังสือ สร้างความรู้ให้ปรากฎ อันนี้องค์สมเด็จพระบรมสุคตบอกว่า เป็นการให้ปัญญา ตัวอย่างพระสารีบุตร อัครสาวกฝ่ายขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีพระสาวกองค์ใดมีปัญญาเกินพระสารีบุตร นี่เป็นตัวอย่าง

ฉะนั้น เมื่อบรรดาพุทธบริษัทที่ร่วมใจกันร่วมคิด ร่วมใจกันในการพิมพ์หนังสือ ร่วมทุน ก็ชื่อว่าทุกคนร่วมกันสร้างความดี ช่วยกันให้ปัญญาแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท อานิสงส์ใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวไว้ในเรื่องพระสารีบุตรฉันใด ท่านทั้งหลายที่ร่วมมือร่วมใจ ร่วมแรง ร่วมทุน ย่อมมีผลเช่นเดียวกับพระสารีบุตร

นี่ว่าถึงอานิสงส์ย่อๆ แล้วก็การที่ท่านทั้งหลายทำบุญตามนี้ กระทำแบบ ตุลิตะ ตุลิตัง สีคะ สีคัง รู้ภาษาหรือเปล่า จะไปรู้อะไร ก็เจ้าลิงถุงมันพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ มันภาษาลิงไม่ใช่ภาษาคน เขาเรียกว่า เร็วๆ ไวๆ

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเวลาเช้าของวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน เมื่อ ดร. ปริญญาพูดขึ้น เรื่องนี้ก็สำเร็จทันทีโดยฉับพลัน เวลาผ่านไปไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง เรียกว่าทุกคนรับไว้ด้วยศรัทธาแท้ ตานี้เรียกว่า..ไอ้งานนี้เป็นงานรวดเร็วทันใจ..!"

(หมายเหตุ - การที่หลวงพ่อกล่าวว่า "พระยาโกษาปาน" หรือ "พระยาโกษาป่อง" นั่นหมายถึงท่านพูดล้อเล่นกับ พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ เพราะเหตุว่า "ท่านเจ้ากรมเสริม" เคยเป็นน้องของท่านมาก่อนนั่นเอง)

ll กลับสู่ด้านบน

<< โปรดติดตามตอนต่อไป >>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/11/08 at 10:07 [ QUOTE ]


(Update 7 พ.ย. 2551)

ท่านจูเฬกสาฏก

"...การบำเพ็ญกุศลที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าต้องเร็วๆไวๆ ยกตัวอย่าง ท่านจูเฬกสาฎก ท่านมีความยากจนมาก อยู่ด้วยกันสองคนตายาย มีผ้านุ่งกันคนละผืน แต่ผ้าห่มมันผืนเดียวกัน เวลาผัวออกจากบ้านเมียก็ไปไหนไม่ได้เพราะพราหมณ์ไปไหนต้องห่มผ้า เวลาเมียออกจากบ้านผัวก็ไปไหนไม่ได้ เพราะว่าผ้าห่มมันผืนเดียว ดีเหมือนกัน จะได้ไม่แย่งกันออกจากบ้าน บ้านจะได้มีคนเฝ้า

เมื่อทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งแรกจะไปเทศน์โปรดท่านจูเฬกสาฎก ผู้เป็นสามีจึงได้ถามภรรยาว่า เธอจะไปฟังเทศน์เวลากลางวัน หรือว่าเธอจะไปฟังเทศน์ในเวลากลางคืน ภรรยาก็บอกว่า ฉันจะไปฟังเทศน์ในเวลากลางวัน กลางคืนน่ะขี้เกียจไป ไม่ค่อยจะเห็นอะไร กลัวผีด้วย

(แกกลัวหรือไม่กลัวก็ไม่รู้ เจ้าลิงมันพูดส่งไปยังงั้น มันเดาๆเอาเพราะว่าเจ้าลิงนี่เดิมทีมันรู้จักกลัวผีเป็นกำลัง ก็เลยคิดว่าชาวบ้านเขากลัวด้วย นี่อ้ายคนเราน่ะมันเป็นอย่างนี้นะ ถ้าตัวเองแล้วล่ะก็ จะนึกว่าคนอื่นเขาเลวเสมอด้วยตน ยังเรื่องมีเยอะ จะไต่ไปละ เรื่องมันจะยุ่ง)

เป็นอันว่าตอนกลางคืนท่านจูเฬกสาฎกก็ไปฟังเทศน์ เมื่อเวลาฟังเทศน์ตอนหัวค่ำ มันเกิดศรัทธาขึ้นมา อยากจะถวายผ้าผืนเดียวที่มีอยู่ (ทั้งผัวทั้งเมียมีผืนเดียวใช้สองคน) แก่พระพุทธเจ้า แต่มัจฉริยะความตระหนี่ จะว่าความมัจฉริยะความตระหนี่ มันก็ไม่ถูก เรียกว่าอาศัยความห่วงใยจะดีกว่า แต่พระบาลีท่านบอกว่าความตระหนี่มันเกิด คิดว่าถ้าถวายแก่พระพุทธเจ้าเสียแล้ว พรุ่งนี้ท่านยายที่อยู่ที่บ้านออกจากบ้านไม่ได้ ไม่มีโอกาสมาฟังธรรมก็จะแย่ เลยไม่ให้

พระพุทธเจ้าก็สำคัญเหมือนกัน ดีเหลือใจ เทศน์ไม่ยอมหยุด เทศน์ไปถึงยามที่สอง แกก็ตั้งท่าจะเปลื้องผ้าถวาย ไอ้จิตใจที่ห่วงท่านยายก็เกิดขึ้น เกรงว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มีโอกาสมาฟังเทศน์ เอายับยั้งไว้ พระพุทธเจ้าก็ไม่เลิกเทศน์สำคัญเหมือนกัน เทศน์ต่อไปถึงยามที่สาม ตานี่แกก็คิดจะถวายอีก แต่ถวายไม่ได้เพราะว่าห่วงยาย ถึงยามที่สี่ เวลาใกล้จะสว่าง แกตัดสินใจยายเยย..กูไม่ห่วงมันละ ไม่เอา..นานๆ จะพบพระนี่

ตั้งแต่เกิดมาจะเข้าโลงเข้าหลุมอยู่แล้วนี่ ไม่เคยเห็นพระอะไรเทศน์ดีอย่างนี้เลย แหม..พูดถึงอานิสงส์นี่ฟังแจ๋วเลย ชื่นอกชื่นใจ ไม่ได้ ไม่ได้ ยายมันจะมีมาได้ฟังเทศน์หรือไม่ฟัง มีผ้าหรือไม่มี ช่างหัวมัน ดีไม่ดีพรุ่งนี้กลับไปบ้านถ้ายายไม่มีผ้าห่มจะแก้ผ้าให้แกห่มมา เราอยู่บ้านไม่เป็นไร นุ่งลมห่มฟ้านอนเสียในห้องมันก็ไม่อายใคร หมดเรื่อง

ตัดสินใจเพียงเท่านี้ ท่านตาจูเฬกสาฎกเปลื้องผ้าไปถวายพระพุทธเจ้า อ้ายผ้าของแกมันมีผืนเดียว สองคนร่วมกันใช้มันก็เก่าแสนเก่า วางไปที่เท้าของพระพุทธเจ้า กลับถอยออกมาเปล่งวาจาว่า

"ชิตังเม...ชิตังเม.."

เอาเข้าแล้ว..เจ้าลิงทำพิษแล้ว อ้ายหนู..ลูกหลานทั้งหลายนี่ ฟังตาลิงปู่ลิง ทวดลิง มันพูด ชิตังเม ชิตังเม นี่ ลูกหลานรู้เรื่องไหม ไม่ใช่ "ชิแตงเม ชิแตงเม" นะ "ชิตังเม ชิตังเม" นี่ เขาไม่ได้แปลว่าคนขี้เหนียวสตางค์ "ชิตังเม ชิตังเม"

"ชิตัง" เขาแปลว่า ชนะแล้ว "เม" เขาแปลว่า เรา "ชิตังเม ชิตังเม" แปลว่า "เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว" แกร้องเสียงหลง ประกาศก้องต่อหน้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยบรรดาพุทธบริษัท

เวลานั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์ พระบรมท้าวเธอนำกองทัพไปรบกับข้าศึกที่ยกมารุกรานพระนคร จอมบพิตรอดิศรขับไล่ข้าศึกไปแล้วกลับมา จึงเข้ามาเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วในคืนนั้นด้วยความเคารพ ยังไม่แวะเข้าบ้านก่อน เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับเสียงอีตาพราหมณ์ "ชิตังเม ชิตังเม" ประกาศว่า "เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว"

พระองค์ก็ทรงแปลกพระทัย จึงให้อำมาตย์ผู้ใหญ่เข้าไปถามว่า อีตาเฒ่านั่นแกมันชนะอะไรของแกนะ นี่เราไปรบทัพจับศึกกลับมาแล้ว ยังไม่เข้าพระราชนิเวศน์เขตพระนคร จอมบพิตรอดิศรจึงได้บอกอำมาตย์ผู้ใหญ่ว่า ไปถามอีตาขรัวนั่นซิว่าแกชนะอะไรของแก ท่านนายทหารอำมาตย์ผู้ใหญ่ เป็นนายทหารด้วย เป็นอำมาตย์ด้วย

(สมัยนั้นเขาใช้นายทหารปกครองบ้านเมือง เวลารบเป็นนายทหาร เวลาปกติเป็นข้าราชการพลเรือนแบบประเทศไทยสมัยโบราณ ถึงปัจจุบัน ถ้าลงเอาพลเรือนเฉยๆ เข้ามาปกครองประเทศบ้านเมืองมันไม่เป็นเรื่อง ระเบียบวินัยมันไม่ดี เพราะว่าประเทศของเรานี้ต้องใช้ทหารคุมตลอดเวลา คอยดูต่อไปก็แล้วกัน ข้างหน้าในอนาคตอันใกล้ ถ้าทหารวางมือเมื่อไรประเทศไทยก็สบายเมื่อนั้น เราจะมีทรัพย์สินเสมอกัน คือทุกคนจะได้มีโอกาสทำกำไรให้เจ้านายเอาไปกินไปใช้ให้หมด เหลือเท่าไรตัวอด มีกินหรือไม่มีกินก็ไม่เป็นไร)

นี่แหละบรรดาท่านทั้งหลาย เมื่อนายทหารชั้นผู้ใหญ่เข้าไปใกล้จึงไปถามว่า ลุง..พระราชาทรงให้ถามว่าลุงน่ะชนะอะไร จึงกล่าวออกไปว่า ชิตังเม ชิตังเม แกก็เลยบอกว่า

"นี่คุณ..ฉันน่ะชนะความตระหนี่ขี้เหนียวนา ฉันตั้งใจจะถวายผ้ากับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งแต่หัวค่ำ แต่ว่าเกรงใจยายที่บ้านแกมันไม่มีผ้าจะห่มน่ะซิ เลยให้ไม่ได้ มาตอนสุดท้ายใกล้สว่างนี่ ก็เลยตัดใจ เอาละ..ยายแกจะมีหรือไม่มีก็ตามใจ..ฉันถวาย ฉันจะทำบุญจะเป็นทุนเอาไปสวรรค์ พระพุทธเจ้ากล่าวอย่างนั้น ว่าคนให้ทานมีอานิสงส์มาก เกิดแล้วไม่มีความยากจนเข็ญใจทุกๆชาติจนกว่าจะเข้านิพพาน ถ้าไปอยู่บนสวรรค์ มีวิมานสวยอร่าม มีวิมานทอง วิมานอะไรก็ช่าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีผู้หญิง คือนางฟ้าเยอะแยะ อย่างขี้หมูขี้หมา ๕๐๐ คน แต่คนใดได้บำเพ็ญกุศลกับองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาด้วยความเลื่อมใสจริงๆก็จะมีนางฟ้าที่เป็นผู้หญิงตั้งพันสองพัน หมื่นสองหมื่นคน โอ้โฮ...มันเก๋แบบนี้ ฉันเห็นท่ามันดีนี่ ชาตินี้ฉันมีเมียคนเดียวเลี้ยงไม่ค่อยจะไหว ช่วยกันทำงานเกือบตายมันก็ไม่ค่อยจะพอกิน

แต่ว่าองค์สมเด็จพระมุนินท์บอกว่าเป็นเทวดานี่ไม่ต้องทำมาหากินหรอก สบายทุกอย่าง มีความสุขทุกอย่าง เมียทุกคนไม่ทะเลาะกัน มีมากเท่าไรก็ได้กฎหมายไม่ห้าม นั่น เอ นี่บาลีนี่เขาไม่ได้ว่าอย่างนี้นา ลูกหลานทั้งหลายฟังหลวงตาพูดละฟังให้ดีนา นี่มันว่าเลยบาลีไปเสียแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจโกหกหรอก พูดตามความรู้สึกของตัวเอง

ความจริงเทวดาเขาเป็นยังงั้นจริงๆ เขาไม่หึงเขาไม่หวงกันนะ เขาไม่มีเรื่องยุ่ง เพราะมีความเป็นอยู่อย่างเป็นสุข บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ไม่หนาว ไม่ร้อน ไม่หิว ไม่กระหาย ไม่ป่วยไข้ไม่สบาย ร่างกายไม่ทรุดโทรม แล้วก็มีร่างกายทรงแต่ความสวยสดงดงาม มีความสุขทุกอย่าง จะไปไหนไม่ต้องใช้รถ ไม่ต้องใช้เรือ เหาะไป นึกปั๊บถึงปุ๊บ สบายใจ นี่ เมืองเทวดามันเป็นยังงั้น

แกก็เลยบอกว่า เมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพูดอย่างนี้นี่ ก็ฉันเป็นคนเชื่อพระพุทธเจ้า ฉันก็เชื่อน่ะซิ เมื่อเชื่อแล้วที่ถวายตอนหัวค่ำไม่ได้ก็เพราะว่าจนใจ อียายเฒ่ามันอยู่ที่บ้าน เขาบอกว่าเขาจะมาฟังเทศน์ตอนกลางวัน ทีนี้ได้ฉันมาฟังตอนกลางคืนก็เกรงไปว่า ตอนกลางวันเขามาจะไม่มีผ้าห่ม คิดไปคิดมา คิดมาแล้วตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งใกล้สว่างจึงตัดสินใจได้ ว่ายายจะมีผ้าหรือไม่มีก็ช่าง เราจะถวายผ้าผืนนี้แก่พระพุทธเจ้า ถ้ากลางวันยายอยากจะมาฟังเทศน์ ก็จะแก้ผ้าที่นุ่งนี่แหละให้ยายห่มมา

(เรื่องตอนนี้เลยบาลีไปหน่อย เพราะบาลีไม่ได้พูดอย่างนี้ ไม่พูดถึงตอนแก้ผ้า นึกเอาเอง แต่ความจริงมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น)

และตัวเองได้ฟังเทศน์ชื่นใจแล้ว แต่ก็มีความน่าห่วงยาย ถ้าไม่คิดตามนี้แล้วก็ให้ไม่ได้ ตัดสินใจไม่ได้ แกคงจะคิดตามลิงนะ เอ้อ...ฟัง ลูกหลาน ฟังแล้วเข้าใจไว้ด้วยนะ ว่าปู่ย่าตายายของหลานนะเป็นลิง ปรกติไม่ได้นุ่งผ้า ไอ้เรื่องการแก้ผ้านี้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ เราได้โชว์เชพ โชว์ส่วน โชว์สัดต่างๆ รู้กันชัดว่าใครเป็นยังไงๆ เลือกได้ตามอัชฌาสัย ไม่ต้องไปนั่งสงสัยเสียใจในวันหลัง เพราะสิ่งที่เราต้องการนั้นไม่เป็นไปตามความประสงค์ ไม่เป็นที่พอใจ

เมื่อตาจูเฬกสาฎกพราหมณ์น่ะแกพูดอย่างนี้ เมื่อท่านอำมาตย์ผู้ใหญ่มีความเข้าใจจึงได้ไปกราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์ เมื่อพระบาทท้าวเธอทรงทราบก็ปลาบปลื้มใจ บอกเอ้อ...พราหมณ์นี้จนขนาดนี้เชียวนะยังทำบุญได้ ผ้าผืนเดียวสองคนผัวเมียแบ่งกันใช้ ผลัดกันใช้คนละเวลา เขายังกล้าตัดสินได้ ก็นี่เราเป็นพระราชา นี่มันเรื่องเล็ก ไอ้เรื่องผ้าผ่อนท่อนสไบ ถ้ามันเกินวิสัยให้ได้ตามอัธยาศัย ถ้าไม่มีก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่าท่านเกิดมีความเลื่อมใสในพราหมณ์เป็นกรณีพิเศษที่มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ จึงได้บอกให้อำมาตย์ผู้นั้นไป

“ไปในวังฉัน ไปบอกพระนางมัลลิกาเทวีว่า ฉันต้องการผ้าที่ฉันใช้เองอย่างดีที่สุด ผ้าสาฎก ผ้าสาฎกอย่างดีที่สุดที่ฉันใช้สองผืน ไปเร็วๆ ไปให้มันทันใจฉัน ฉันเป็นคนใจเร็ว”

(ไอ้นี่ความจริงพระเจ้าปเสนทิโกศลท่านเป็นคนใจเร็วหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไอ้คนพูดนี่มันลิง ลิงนี่มันใจเร็ว) ไอ้หมอนั่นก็วิ่งตื๋อ วิ่งหรือไม่วิ่งก็ช่าง พระราชาบอกว่าเร็วก็วิ่งส่ง

(เอ่อ...พ่อหนูลูกหลานทั้งหลายฟังไว้แล้วก็จำ ถ้าผู้ใหญ่สั่งว่าเร็วแล้ว วิ่งตะบันเลย ทำให้ทันใจผู้ใหญ่ เรียกว่าเราทำงานดีด้วย ถูกระเบียบและก็ถูกใจผู้ใหญ่ด้วย ลูกหลานทั้งหลายไม่ต้องห่วง ว่างานของเรามันจะเลวจะด้อย มีความดีน้อยกว่าบุคคลอื่น ไม่ต้องกลัว ทำงานให้มันดีด้วย ทันใจด้วย และก็ถูกใจผู้ใหญ่ด้วย รับรองว่าถ้าปริญญาสามประการนี้ครบถ้วนเมื่อไร ลูกหลานเอ๋ย...ความรุ่งเรืองมันเกิดในชาติปัจจุบันสัมปรายภพ

แต่ระวังให้ดีนะ อย่าไปตามใจผู้ใหญ่ที่มีสันดานเป็นเปรตเข้า แต่ถ้าหากเราพอใจนิสัยเปรตก็ไม่เป็นไร เวลาตายเราก็เป็นเปรตได้เหมือนกัน ถ้าตามใจผู้หลักผู้ใหญ่ที่ท่านเป็นสัตว์นรก เราเองเราตายไปก็เป็นสัตว์นรกได้อย่างท่าน ถ้าตามใจท่านที่เป็นเทวดา ทำถูกใจท่าน เวลาตายเราก็เป็นเทวดาได้ หากว่าตามใจท่านที่เป็นพรหม เวลาเราตายเราก็เป็นพรหมได้ ถ้าตามใจท่านที่ไปพระนิพพาน คือเป็นพระอริยเจ้า พอใจในปฏิปทาของท่าน

อย่างลูกหลานทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกัน อย่างนี้เราก็เป็นพระพุทธ...เอ้ย ไม่ใช่ เราก็ไปนิพพานได้ จะล่อเป็นพระพุทธเจ้าได้ ขืนไปแย่งกันคราวเดียวหลายองค์ ได้ฟัดกันปากแตกไปเท่านั้น พระพุทธเจ้าคราวหนึ่งมีได้องค์เดียวเพราะเป็นอัจฉริยมนุษย์ คือว่าเป็นบุคคลผู้อัศจรรย์)

ll กลับสู่ด้านบน

<< โปรดติดตามตอนต่อไป >>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/11/08 at 16:40 [ QUOTE ]


Update 25 พ.ย. 2551


.....เมื่อบรรดาท่านอำมาตย์ได้ไปถึงพระราชฐาน ได้ผ้ามาสองผืน (บาลีกล่าวว่า ๑ คู่) พระราชาก็เลยบอกว่า เอาไปให้อีตาพราหมณ์นั่น ตามพราหมณ์เอาไปให้แกแล้ว ไอ้ศรัทธาแกเต็มอยู่นี่ แหม..ไอ้ผ้าสาฎกนี่เขาใช้กันแต่พระราชากับมหาเศรษฐี ผ้าอย่างนี้ผืนหนึ่งมันตั้งหลายสิบแสน หลายสิบแสนกหาปณะ เงินไทยเวลานี้เกือบพันล้านแล้ว นี่ผ้าผืนหนึ่งนะ คิดราคาทองคำสมัยนั้นก็เทียบกับอัตราทองคำสมัยนี้ ผืนหนึ่ง ๓๐ ล้านก็ซื้อไม่ได้ ให้ตั้งสองผืนดีใจใหญ่

แต่ว่าเปล่า.. ท่านผู้ฟังและลูกหลานที่รัก ตาพราหมณ์แกดีใจไม่คิดว่าแกจะไปใช้ของแกเองหรอก แกนึกว่าผ้าของเราที่ถวายพระพุทธเจ้าน่ะมันเก่าเกินไป มันไม่เต็มกับความประสงค์ของเรานี่ เราได้ผ้าใหม่ ผ้าราคานับเป็นแสน ๆ กหาปณะ ดีมาก ย่องเข้าไปถวายองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคหมดทั้ง ๒ ผืน

นั่น พระราชาปเสนทิโกศลมองตาป๋อเลย อีคราวนี้นึก เอ๊ะ..อีตานี่แกมันยังไงของมันละหว่า ไอ้นี่ผ้าแกก็เก่า ผ้าห่มก็ไม่มี ผ้านุ่งก็เก่าเต็มที เราให้ คิดว่าจะเป็นผ้าห่มผืนหนึ่ง ผ้านุ่งผืนหนึ่ง หรือดีไม่ดี แกก็แบ่งไปเป็นผ้าห่มกันคนละผืนกับยาย นี่ย่องเข้าไปถวายองค์สมเด็จพระจอมไตรนี่ เอ๊ะ..นี่มันยังไงกันนี่ อีตาหมอนี่ราคามันแค่เราซะแล้ว

คำว่า "แค่เรา" เป็นยังไง เพราะว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ก็มีความเคารพพระพุทธเจ้าเป็นกรณีพิเศษ ถ้าหากว่าขณะใด องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์อยู่ใกล้ จะไปไหนต้องลาก่อน จะกลับมาจากทัพก็ต้องกลับมานมัสการก่อน ยังไม่เข้าเมืองก่อน หรือว่าถ้าผ่านไปก็ต้องเข้ามาลา กลับมาต้องเข้ามาไหว้

(นี่..แบบนี้จำไว้นะ ลูกหลานที่รัก คือว่าเขาเรียกว่า "ไปลา..มาไหว้" นี่เป็นความดีเก่า ๆ ที่เขาตั้ง เขาบอกไว้ โบราณสรรเสริญว่าเป็นความดี ถ้าหากว่าเรายังทำกันอยู่เวลานี้ มันก็ยังดี อย่าคิดว่าหมดดีเสียแล้ว ความดีที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงสั่งสอนไว้ อย่าลบล้างเสียนะลูกหลานที่รัก แล้วต่อไปจะรู้เอง ไอ้ผมยาวโคลงหัวหยอย ๆ เหมือนกับอะไร เหมือนกับกุมฝอยข้างทางสะเบ๊ะ..สะเบ๊ะ..อย่างนี้นะลูกหลาน มันเป็นกิริยาที่ทำให้คนอื่นเขาจะอาเจียร อย่าไปทำ มันไม่มีอะไรจะดี ทำดีไว้ดีกว่า)

เมื่อพระราชาเห็นอีตาพราหมณ์คนนั้นแกศรัทธา จึงบอกให้อำมาตย์กลับไปใหม่ บอกไป

“ไปเอามาอีก ๔ ผืน”

พอให้แก แกก็ดีใหญ่ เอาไปถวายพระพุทธเจ้าเสียอีก ๔ ผืน เอามาอีก ๘ ผืน แกก็ถวายหมด ไปเอามาอีก ๑๖ ผืน แกก็ถวายหมด ไปเอามาอีก ๓๒ ผืน แกก็ถวายหมด แล้วกัน ก็เลยคิดว่า ถ้าให้แต่ผ้าน่ากลัวอีตาพราหมณ์นี่ไม่ได้นุ่ง พ่อถวายหมด เพราะศรัทธามันเต็มเสียแล้ว อารมณ์มันล้น ความดีมันล้นอย่างนั้น

พระราชาจึงเอาใหม่ บอกว่าไม่ได้แล้ว ขืนให้ตาแก่นี่น่ากลัวไม่ได้ใช้ผ้า ดีไม่ดีละ ประเดี๋ยวเหอะแกลุกจะกลับ พ่อแก้ผ้าถวายพระพุทธเจ้าเสียอีก พ่อก็จะเกิดนุ่งลมห่มฟ้า นี่ คนที่มีศรัทธามันเป็นอย่างนั้น เพราะมองเห็นความดีข้างหน้าว่าตายแล้วมันเอาอะไรไปไม่ได้ นี่เราเอาของที่ดีน้อยไปแลกกับของที่ดีมาก คือว่า ผ้าเก่าหรือผ้าใหม่ก็ตามมีสภาพผุพังได้ ไปแลกกับผ้าทิพย์ วิมานทิพย์ ความเป็นอยู่อย่างทิพย์ คือเป็นเทวดาหรือพรหม นี่โดยนิยม

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้จักทำ แต่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใช้จ่าย คือให้ ให้หมดตัว ให้รู้จักการให้ ให้แค่พอดิบพอดี ไม่เบียดเบียนตัวเกินไป ตานี้ถ้าพราหมณ์ที่แกให้ตอนต้นมันเบียดเบียนเหมือนกัน แต่ถ้ามันมากให้ผ้า ๑ ผืน ตานี้ผ้าที่พระราชาให้มันมากกว่าหนึ่งผืน ผ้าที่พระราชาให้มาเท่าไรก็ตามที่มันเป็นผ้าที่เกินกว่าวิสัยแกจะหาได้ ไม่ใช่เบียดเบียนแก แกได้มาเป็นกรณีพิเศษ จึงได้มอบถวายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์หมด สบาย.....อย่างนี้สบายองค์

พระราชายังคิดว่า เอ...ที่ให้ผ้าไม่เป็นเรื่องซะแล้วซี ก็ดี โมทนากับแก เลยสั่งใหม่ บอก

“พราหมณ์..มานี่แน่ะ !”

พราหมณ์ก็เข้าไปถวายบังคม ก็เลยบอกว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปเลิกเป็นคนจนเสียทีนะ พราหมณ์ก็ตกใจว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าเลิกไม่ได้พระพุทธเจ้าค่ะ เพราะข้าวมันไม่ค่อยจะมีกินอยู่แล้ว แล้วเวลานี้ผ้าก็มีอยู่ผืนเดียว ผ้าห่มไม่มี อีตอนเช้า กลางวันวันนี้ ยายจะมาฟังเทศน์ แต่จะมาอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ข้าพระพุทธเจ้าคิดแล้วว่า จะแก้ผ้าให้แกห่มมา”

พระราชาก็บอกว่า

“ไม่ต้อง ๆ ฉันจะช่วยให้เลิกจน ต่อแต่นี้ไปมาอยู่ตรงโน้นนะ เนื้อที่ฉันมีอยู่ ๑,๐๐๐ ไร่ ฉันให้แก แล้วให้วัว ๑๐๐ ตัว ให้ควาย ๑๐๐ ตัว ให้คนสำหรับทำงานเป็นผู้หญิง ๑๐๐ คน ผู้ชาย ๑๐๐ คน”

ไอ้วัวกับควายไม่เป็นไร ตานี้อีตอนให้คนแกบอกว่า

“ไม่ได้พระเจ้าข้า ไม่มีข้าวให้กินแน่”

พระองค์ก็บอก

“ไม่ต้องห่วง ไอ้เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องของฉัน เงินทองฉันให้เต็มที่ ข้าวปลาอาหาร ผ้าผ่อนท่อนสไบให้ครบ เธอไม่ต้องห่วง แล้วต่อแต่นี้ไป ฉันให้บ้านอีก ๑๐๐ บ้าน ๑๐๐ หมู่ เอ๊ย อะไร เรียกว่า ร้อยหลังคาเรือน ร้อยตระกูลน่ะ เรียกว่า ๑๐๐ บ้านก็แล้วกัน ๑๐๐ ครอบครัว

เอ้อ..เอาอย่างงี้ถูก นึกไม่ค่อยออก ๑๐๐ ครอบครัว พวกนี้เขาเสียส่วยสาอากรแก่แผ่นดินเท่าไรก็ตาม ฉันจะสั่งเจ้าหน้าที่ว่า เก็บส่วยจากพวกนี้ไปได้แล้ว เก็บภาษีแล้ว ไม่ต้องส่งฉัน ส่งให้แก่พราหมณ์จะได้เอาไว้ใช้สอย”

แล้วพระองค์ก็ทรงพระราชทานบ้านช่อง บ้านทั้งบ้านนะ ไอ้บ้านก็ต้องมีช่อง ไม่มีช่องมันเข้าไม่ได้หรอก แม้แต่บ้านตามแถวเมืองกำแพงเพชร สุโขทัยอะไร จังหวัดตาก นี่เขาทำไว้ขาย ตีฝาไว้ทึบ ๆ ไม้หนา ๆ ยังต้องทำช่องเล็ก ๆ สำหรับเข้า นี่เขาหลอกตาเจ้าหน้าที่น่ะ ความจริงเจ้าหน้าที่ไม่ใช่เขาจะไม่รู้ เขารู้แต่เขาขี้เกียจจับ ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีทางหากินให้บ้านช่องห้องหอ เงินทองข้าวปลาอาหาร ข้าทาสชาย หญิง เสร็จ

ตามที่กล่าวมา เป็นอันว่าอีตาพราหมณ์จูเลกสาฎกนี่ ไปเรียกแกอีตาพราหมณ์นี่ นี่แกเป็นพระอรหันต์แล้วยังนี่ พ่อจะมาล่อหัวเข้าน่ะนะ ดีไม่ดีจะทำเป็นองค์ตื้อ อีตาสมัยไปหาหลวงพ่อแหวนน่ะ เป็นผีแล้วยังอาละวาดอีก เอ้าจริงๆ ไอ้ที่ว่าจริงๆ เพราะว่าแกเป็นผี แกล่อเราสบาย

หลวงพ่อปานเคยบอกว่า

“เอ้อ..ไอ้ลูกไอ้หลาน เอ็งน่ะ..เอ็งอย่าอวดเก่งกว่าผี อย่าอวดดีกว่าพระนะ”

นี่หลวงลุงตื้อนี่ เป็นทั้งผี เป็นทั้งพระ เป็นผีพระซะด้วย พ่อได้สองทางเลย พอ
หลวงพ่อแหวน เชิญพระอรหันต์ทั้งหลายเท่านั้นน่ะ ปั๊บเข้าข้างหลัง เข้าแล้วกำปั้นเลย ว่าไอ้นี่มันมานั่งอยู่ทำไมของมันนี่ ไอ้ตัวไปทีหลังไปว่าคนชาวบ้านที่เขาไปก่อนนี่มันไม่ถูก ถูกหรือไม่ถูกท่านก็ล่อเข้าแล้ว สู้ท่านไม่ได้ เอ๊ะ..เรื่องมันไปถึงไหนแล้วนะ เดี๋ยว ๆ ยังไม่จบหรอก เลอะเทอะไปยังงี้เดี๋ยวไม่จบหรอก

พราหมณ์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ขอเล่าลัด ๆ ก็เลยหมดเรื่อง เรื่องจนไม่มีกัน มันจะขาดแคลนเท่าไร พระราชาเอื้อเฟื้อ ต่อมาเมื่อพราหมณ์กลับไปแล้ว ด้วยอานิสงส์ปัจจุบัน บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระทรงธรรม์แล้วติดตามไปด้วย เวลาที่พระพุทธเจ้าพักเทศน์

วันนั้นพระพุทธเจ้าตั้งใจโปรดจูเฬกสาฎกพราหมณ์ เห็นว่าเป็นคนแก่มีอุปนิสัยเป็นพระอริยเจ้าได้แหง ๆ ไม่ต้องห่วง ทั้งตาทั้งยาย เดี๋ยวนี้ไปนิพพานลิ่ว ๆ ไปแล้ว ไปนานแล้ว ไปก่อนตาเถรฤาษีลิงดำจะเกิดเป็นคนเสียอีก ถ้าอย่างนั้นไม่ไปมันก็ซวยเต็มทีแล้ว คนมีศรัทธาแบบนั้นแล้วได้ผลปัจจุบันแบบนั้น

ll กลับสู่ด้านบน

<< โปรดติดตามตอนต่อไป >>





Update 6 ธ.ค. 2551


.....เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทุกท่าน เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพักเทศน์ ฉันเข้าเสร็จก็นั่งชุมนุมกันตามประสาคนปากมาก ปากน้อย พูดมาก พูดน้อย พูดบ่อย ๆ พูด พูดนาน ๆ พูด แต่ก็พูด นั่งชุมนุมกันว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ การที่องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ทำให้ จูเลกสาฏก เกิดศรัทธา เพราะว่ามีผ้าอยู่ผืนเดียวนี้ไม่น่าเป็นไปได้เลย

เมื่อบรรดาพระสงฆ์ประชุมกันแบบนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงอยู่ในมหาวิหาร สมเด็จพระพิชิตมารทรงสดับเสียง ได้ยินเสียงด้วยทิพยโสตญาณ หูเป็นทิพย์ จึงได้เสด็จมานั่งประทับอยู่ในที่อันสมควร แล้วก็ถามว่า ภิกขเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร พระทั้งหลายเหล่านั้นก็กราบทูลว่า

ข้าพระพุทธเจ้าปรารภเรื่องจูเฬกสาฏกพราหมณ์ที่ฟังเทศน์จากพระองค์แล้ว หลังจากนั้นมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ถวายผ้าในยามที่ ๔ และพราหมณ์นี้ก็ได้ผลในปัจจุบันทันที คือเป็นคหบดีคนสำคัญ องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่จูเฬกสาฏกพราหมณ์ถวายผ้าแก่เราในยามที่ ๔ นั้น เรียกว่าทำบุญช้าไป หากว่าทำบุญเร็วกว่านั้นนะ ถ้าหากว่ายามต้น จูเลกสาฏกถวายผ้าแก่เรา จูเฬกสาฏกจะได้เป็นเศรษฐีใหญ่เพราะอานิสงส์ตัดสินใจโดยฉับพลัน

ถ้ายามที่ ๒ จูเลกสาฏกถวายผ้ากับเรา จูเฬกสาฏกจะได้ดำรงตำแหน่งเศรษฐีปกติ คือมีทรัพย์ตั้งแต่ ๘๐ โกฏิขึ้นไป

ถ้าว่าในยามที่ ๓ จูเฬกสาฏกมาถวายผ้าแก่เรา จูเฬกสาฏกจะได้เป็นอนุเศรษฐี คือมีเงินตั้งแต่ ๔๐ โกฏิขึ้นไป นี่ตามระดับของเศรษฐีในสมัยนั้น แต่ว่านี่ จูเลกสาฏกตัดสินใจช้าไปเพราะความห่วงใยยายที่บ้าน ฉะนั้นจึงถวายทานแก่เราในยามที่ ๔

ฉะนั้นจูเลกสาฏกจึงได้เป็นแต่เพียงแค่คหบดี แต่ทว่าความดีของจูเฬกสาฏกมิได้มีแต่เพียงแค่นี้ นี่พูดเลยบาลีไปนิดเพราะว่านอกจากจะได้ทรัพย์แล้ว ต่อไปก็จะได้อริยทรัพย์เป็นกรณีพิเศษ

เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสอย่างนี้ พระอรรถกถาจารย์จึงได้กล่าวว่า การบำเพ็ญกุศลนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ต้องเป็น ตุลิต ตุลิตัง สีคะ สีคัง แปลว่า เร็ว ๆ ไว ๆ นี่ถ้าเร็ว ๆ ไว ๆ ละก็ จูเลกสาฏกจะได้เป็นเศรษฐีใหญ่ นี่ทำช้าไปจึงได้เป็นคหบดี ความจริงแค่นี้มันก็น่าปลื้มใจแล้วนะ

แล้วก็ปลื้มใจมากอยู่แล้ว ผ้าผืนเดียวเท่านั้น แหม..ช้าง ๑๐๐ ตัว วัว ๑๐๐ ม้า ๑๐๐ ควาย ๑๐๐ ผู้หญิง ๑๐๐ผู้ชาย ๑๐๐ ได้บ้านได้นาได้ส่วย เก็บส่วยอีก ๑๐๐ หลังคาเรือน แล้วก็การเงินการทองของใช้เท่าไรถ้าไม่มี มีไม่พอ พระราชาพระราชทานเป็นกรณีพิเศษ นี่การบำเพ็ญกุศลเพราะความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคุณประโยชน์อย่างนี้

ตานี้มาว่าถึงพวกเราที่มาร่วมกันสร้างเครื่องพิมพ์นี่ จัดอุปกรณ์การพิมพ์ต่าง ๆ นี่ทำกันแบบชนิดว่า จับเสือมือเปล่า ความจริงเรื่องนี้ ดร.ปริญญา ปรารภมานานแล้ว แต่ทว่าเรื่องการเงินที่บรรดาท่านทั้งหลาย..ลูกหลานที่รัก ถ้าฉันจะออกปาก พวกท่านบางทีงานก็จะแล้วเสร็จไปนานแล้วเพราะว่าเกรงใจ

แต่ไอ้การทำอะไรก็ตาม ในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตร ท่านบอกว่าให้เป็นไปด้วยความจุใจ ไม่ใช่เกรงใจ ถ้าทำกันด้วยความแบบเกรงใจนี่บุญมันน้อยจึงไม่ยอมพูด เมื่อคราวไปคราวนี้ เราตั้งกันไปดี คือ จะตั้งใจกันไปไหว้พระอริยเจ้า นี่พูดกันตรง ๆ เราตั้งใจกันว่าจะไปไหว้พระอริยะ คืออริยะที่จะสร้างตนขึ้นมาเองเป็นพระอริยะเจ้า ไม่ใช่พระอริยเจ้าที่เขาแต่งตั้งกันด้วยสัญญาบัตร หิรัญบัตร สุพรรณบัตร

พระอริยเจ้าประเภทแต่งตั้งนี้ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้บอกว่าตายแล้วไปนิพพานชั้นไหน แต่ถ้าหากพระอริยะเจ้าที่ฝึกฝนกำลังใจ ทำใจให้หมดจากกิเลส เป็นสมุจเฉทปหานก็ดีหรือชั้นพระโสดา สกิทาคา อนาคาก็ดี พระประเภทนี้เราไหว้กันปีละครั้ง ด้วยกำลังใจที่เต็มจริง ๆ บรรดาลูกหลานทั้งชายและหญิง ความสุขมันเกิดมาก ค่าของการไหว้มีผลมาก เพราะเป็นปูชนียบุคคลจริง ๆ เป็น "สุปฏิปันโน" ท่านที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

พระพุทธเจ้าเคยตรัส ตรัสกับใคร ตรัสกับพ่อ "ลิง" ไอ้เจ้าลิงคนนี้ ตรัสกับลิงตัวนี้ บอกว่า ถ้าใครไหว้พระอรหันต์เขาก็มีโอกาสเป็นพระอรหันต์ด้วย ใครไหว้เปรต เขาก็เป็นเปรตด้วย ใครไหว้สัตว์นรก เขาก็เป็นสัตว์นรกด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่าการไหว้แสดงการยอมรับนับถือในพระองค์นั้น ในเมื่อเรายอมรับนับถือแล้ว เราก็ปฏิบัติตาม

เมื่อท่านเป็นพระอริยะเจ้าได้ด้วยปกติปฏิปทาใด เรานับถือท่านนี่ เราก็เชื่อท่าน ก็นำปฏิปทาทั้งหลายเหล่านั้นเอามาใช้บ้าง ผลที่สุด เราไม่คิดจะไปนิพพาน มันก็ถึงนิพพาน เขาว่าเดินถนนสายนี้นี่ก็ถึงเชียงใหม่ได้เราก็ไปสายนั้น เดินมันเรื่อยไป เหนื่อยก็พักหนักก็หยุด มีกำลังก็เดินต่อไปใหม่ เมื่อเดินไม่ถอยหลังมันต้องถึง ไม่ช้าก็เร็ว ถ้ากำลังใจมีมาก ตั้งใจไว้มากก็ถึงเร็ว กำลังใจน้อย ขี้เกียจไป อ้อย ๆ อิ่ง ๆ มันก็ถึงช้า ถึงกระไรก็ดีมันก็ถึง

แต่นี่เราตั้งใจจะไปไหว้พระอริยเจ้ากัน เพียงแค่นึกว่าจะไปไหว้เท่านั้นแหละบรรดาลูกหลานที่รัก เท่านี้บุญใหญ่มันชนใจปั๋งเข้าเต็มอัตราพอดี เพราะว่าคำว่าบุญนี้เกิดจากกำลังใจนี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วะทามิ จึงแปลเป็นใจความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าตั้งใจนี้เป็นตัวบุญ นี้การที่เราไปคราวนี้ เราตั้งใจไปดี เราตั้งใจจะไปไหว้พระอริยะเจ้า (ซึ่งเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์)

ท่านจะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างท่านปะไร เรานึกว่าอย่างงั้นนี่ ถ้าเรานึกว่าได้ไหว้พระอรหันต์ เราก็ได้ไหว้พระอรหันต์จริง ๆ ถ้าพระองค์นั้นไม่เป็นพระอรหันต์ก็ช่างปะไร เพราะใจเรานึกว่าเป็น องค์นั้นไม่เป็น กำลังใจของเรามันก็วิ่งไปชนพระอรหันต์ เลยพระองค์นั้นไป ยังไง ๆ มันก็ต้องเจอะกับพระอรหันต์แน่ นี่ซิกำลังใจมันใหญ่ บุญของท่านมันใหญ่

ในเมื่อ ดร.ปริญญา ตอนเช้ามาพูดเรื่อง "ออฟเซท" อุปกรณ์การพิมพ์ปั๊บเดียวไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมงกิจการต่าง ๆ จึงได้เป็นไปโดยฉับพลัน คนนั้นรับ คนนี้รับ รับอุปการะให้มากไม่ได้ก็ให้น้อยอย่างหมอวีวรรณให้ทุนสำรองมา ๒ แสน อย่างอะไร หมอสมศักดิ์รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจรับให้ทุนอีก ไม่มีก็ไม่เป็นไร กู้เขามาก็ยังได้ ไป ๆ มา ๆ อัตราการใช้จ่ายมันก็ตก ๔ แสนบาท

นี่เป็นอันว่างานเสร็จไป แต่เงินให้เขาไม่หมด ธรรมดาท่านพุทธบริษัทมีความต้องการจะร่วมบำเพ็ญศรัทธา ประกาศศาสนาขององค์สมเด็จพระสุคตกับสำนักฤาษีลิงดำ ก็ร่วมบำเพ็ญกุศลได้ในด้านธรรมทาน ตานี้บรรดาท่านทั้งหลาย ทำแบบนี้เป็น ตุลิตะ ตุลิตัง พูดปั๊บ..ตั้งใจปั๊บ..บอกปุ๊บ !

เป็นอันว่าทำกันทันทีทันใดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เตรียมเงินเตรียมทองไม่ได้เตรียมใจไป พอบอกว่านี่เรื่องใหญ่มันจะเกิดความดีมันจะเกิด เราจะทำของเราเองราคาหนังสือก็ไม่ต้องเล่มละ ๑๐๐ บาท เป็นการขูดเลือดเนื้อบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เขาเอาจากเราไป แล้วไปขายเอากำไรแบบหน้าโลหิตหรือว่าหน้าเลือด อย่างนี้มันเกินพอดี

ถ้าเราทำของเราเองแล้วอย่างนี้ ราคาแทนที่จะแพงขึ้นมันจะกลับถูกลง แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความประสงค์อยากจะอ่านก็หาง่าย ถ้าชอบใจก็อ่านหลาย ๆ เที่ยว ถ้าไม่ชอบใจอ่านเที่ยวเดียวโยนไปก็ไม่น่าเสียดาย เพราะสตางค์มันน้อยนี่ซิท่านทั้งหลาย ผลการตัดสินใจของท่านด้วยกำลังใจที่เต็มไปด้วยอำนาจของการกุศล ตามที่องค์สมเด็จพระทศพลพูดถึงอานิสงส์ที่ "จูเฬกสาฏกพราหมณ์" ได้โดยฉับพลันฉันใด

ถ้าหากว่า "จูเฬกสาฏกพราหมณ์" ตั้งใจถวายองค์สมเด็จพระจอมไตร ตั้งแต่ยามที่ ๑ จะมีผลเลิศฉันใด บรรดาท่านทั้งหลายที่ร่วมใจกันจัดสร้างในคราวนี้ ทำด้วยกำลังจริง เขาเรียกว่าจับเสือมือเปล่า แต่ก็ทำได้ตามความประสงค์ ทุกฝ่ายก็ร่วมใจกันเป็นอย่างดี ถึงแม้จะเป็นหนี้เป็นสินเขาก็ตามที (ถึงสี่แสนบาท) แต่ก็ด้วยอำนาจของความดี จิตที่น้อมไปด้วยกุศลธรรมในฉับพลัน

ผลบุญใดที่ "จูเฬกสาฏก" จะพึงได้ในปัจจุบัน กล่าวคือในทันทีทันใดตามที่พระพุทธเจ้ากล่าว ผลบุญอันนี้แหละบรรดาท่านทั้งหลายจะได้กับท่านในชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งชายหญิงไม่ได้ทำแต่เพียงเท่านี้ ความดีสร้างกว่านี้มาก มีผลใดที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าเป็นบุญใหญ่ ได้แก่ พระนิพพาน ต้องถึงแก่พวกท่านแน่ ๆ

เป็นอันว่า ความดีในการสร้างโรงพิมพ์ในคราวนี้ ในฐานะที่อาตมาเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะและพระสังฆรัตนะ ทั้งสามประการ ประกอบไปด้วยบุญญาธิการที่ท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้วนี้

จะส่งผลให้ทุกท่านมีความสุขในชาติปัจจุบัน ขึ้นชื่อว่าความขัดข้องหรือความไม่มี จงอย่ามีแก่พวกท่าน เมื่อสิ้นลมปราณเพียงใด ก็ขอบุญทั้งหลายจงส่งผลให้ท่านทั้งหลายเข้าถึงพระอมตะมหานิพพานในชาตินี้ด้วยเถิด สวัสดี.

ll กลับสู่ด้านบน

<< โปรดติดตามตอนต่อไป >>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/2/09 at 15:20 [ QUOTE ]


(Update 5 ก.พ. 2552)


บทที่ ๒

อานุภาพพระรัตนตรัย


เมื่อก่อนที่จะเดินทาง เพราะการเดินทางไปเชียงใหม่เป็นความคิดของคุณอ๋อย หรือว่าคุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา กับคุณปาน หรือชาลินี แท็กซี่ผู้หญิงที่ท่านพ่อเขาตั้งชื่อไว้อย่างนั้น.. ดำริว่าจะใช้รถทัวร์หนึ่งคัน และก็แพทย์หญิง คือ พ.ท.หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ ให้รถโฟล์คหนึ่งคันเป็นพาหนะ เพื่อว่าอาตมาจะได้ท่องเที่ยวไปในเชียงใหม่ สำหรับรถทัวร์นั้น เมื่อถึงเชียงใหม่แล้วก็จอด จอดแล้วก็เช่ารถอื่นเพื่อเดินทางต่อไป

การต้อนรับทางโน้นเป็นเรื่องของ ดร. ปริญญา นุตาลัย และบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ร่วมใจกันหลายท่านด้วยกัน ทีนี้การที่จะไปเขาคิดกันว่าทุกคนต้องออกเงินกันคนละ ๕๐๐ บาท คิดค่าอาหารและพาหนะที่ร่วมทางกันไป ๓๐๐ บาท อีก ๒๐๐ บาทเอาไว้สร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาที่ "อาศรมของฤาษีลิงดำ" ดีเหมือนกัน

เมื่อเขาตกลงกันแบบนั้นแล้ว อาตมาในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมแต่ทว่าพยายามกินเลือดกินเนื้อของลูกน้องทีม ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าไม่มีสตางค์ เวลาไปค่ารถเขาก็ออกให้ เวลาจะกินอะไรเขาก็จัดอาหารให้ มันสบายทุกอย่าง นี่เป็นลิงเสียอย่างเดียวดีกว่าคนมาก พระประเภทคน ๆ ท่านมียศฐาบรรดาศักดิ์มีอะไร มีนิตยภัต มีคนนิยมมาก มีทรัพย์สินมาก

แต่พระหรือลิงพระ พระหรือไม่ใช่พระก็ไม่รู้ น่ากลัวไม่ใช่พระหรอก สัตว์เดรัจฉานที่เขาไม่ให้บวชพระ เมื่อบวชพระแล้วเขาไม่เรียกว่าพระก็เลยเป็นฤาษีไป ฤาษีไม่มีอาบัติ บวชพระไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สบายใจไม่มีอาบัติ อยากจะเดินขบวนเมื่อไรก็เดินได้ ฉะนั้นในฐานะที่เป็นฤาษีลิงหรือว่าลิงฤาษี ในตอนนี้ก็ควรจะให้หัวข้ออีกสักนิดเป็นเครื่องสะกิดใจว่าลิงดำหรือฤาษีลิงดำนำบรรดาบริษัทเดินขบวน

แต่ความจริงเวลานี้พระเดินขบวนก็ไม่มีความผิด อย่างคนที่เขามีความรู้หรือมีความเป็นใหญ่เกี่ยวเนื่องกับพระศาสนา เขาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หรือว่าท่านที่บอกว่าเป็นพระบางท่านให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ บอกว่าไม่มีปราการในการลงโทษพระเดินขบวน แต่ว่าพระที่น่าเคารพอีกท่านหนึ่งก็คือ สมเด็จพระสังฆราช แล้วก็สมเด็จพระธีรญาณอะไรก็ไม่รู้ พวกสมเด็จ ๆ พวกเจ้าคุณนี่ไม่อยากจะจำชื่อนักเพราะขี้เกียจ ชื่อท่านเปลี่ยนกันบ่อย ๆ

เป็นอันว่า "หลวงพ่อธี" วัดจักรวรรดิ์ก็แล้วกัน ท่านบอกว่าไม่ได้มันผิดพระวินัย องค์นี้ดี สององค์นี่ขอไหว้ด้วยความเต็มใจ ที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่พยายามเหยียบย่ำพระธรรมคำสั่งสอน คือทั้งพระธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้เขาเรียกว่า "ฮ่อจั๋ย" ดีจริง ๆ ควรจะเคารพ เรื่องนี้ยกไว้ไหว้

แล้วพระองค์นี้ พระสององค์นี่ไหว้ไว้ก่อน ขอไหว้ไว้ก่อนจริง ๆ ด้วยความจริงใจ คือ ๑ ท่านสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน, ๒ เจ้าคุณสมเด็จธี ชื่อจริง ๆ ท่านชื่อ "สุธี" หรือไงก็ไม่รู้ องค์นี้ชอบใจ สององค์นี้ชอบใจมาก ไหว้ไว้ก่อนเป็นพระอริยะหรือไม่เป็นก็ช่าง แต่มีความดีควรไหว้ พูดตรงไปตรงมาตามพระธรรมวินัย นี่ชอบใจก็ไหว้ ไม่ชอบใจก็ไม่ไหว้ มันมือของเรา พระอีเหละเผละผละบวชเข้ามารกพระพุทธศาสนา นี่ไหว้ให้มันเปลืองมือ

เวลานี้ไม่เอากับใครไม่เข้านิกายไหนหมดแล้ว..เลิก นิกายไหนดีเข้า นิกายไหนไม่ดีไม่เข้า แต่คนดีไหว้ คนไหนไม่ดีไม่ไหว้ จะอยู่นิกายไหนก็ช่างไม่สำคัญ ถ้าท่านผู้ใดเข้านิกายพระพุทธเจ้า คือเรียกกันว่าพระพุทธเจ้าแล้วไหว้ ถ้าแยกนิกายกันไปแล้วไม่เคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตรจะเป็นอะไรก็ช่าง มันไอ้แค่เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน ไม่ไหว้และก็ไม่ยอมรับนับถือในบทบัญญัติใด ๆ ที่อ้างตั้งขึ้นมาหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตั้ง

ถ้าหากเขาตั้งกันขึ้นมาไม่ขัดธรรมไม่ขัดวินัยแล้วเขาปฏิบัติไปตามความเป็นจริงก็เคารพ ยอมเคารพกับเขาด้วยในบทบัญญัตินั้น แต่ว่าเขาตั้งกันขึ้นมาแล้ว แล้วเขาไม่ยอมทำ ตั้งมาแล้วไม่ยอมปฏิบัติตาม ให้คนอื่นปฏิบัติตามแต่พวกเขาไม่ปฏิบัติตาม เราก็ไม่ปฏิบัติมั่ง

อย่าง "อาศรมฤาษีลิงดำ" นี่ชาวบ้านช่วยกันสร้างเป็นเงินจำนวนกว่าจะเสร็จหกล้านบาทเศษเสียด้วย และกำลังจะขยายอาศรมไปอีกจุดหนึ่งก็ตั้งงบประมาณไว้ในขณะนั้น ตั้งมันส่งเดชไปอย่างนั้น จะทำเป็นอนุสรณ์ของท่านทองดี พระราชวงศ์จักรี และก็พระเจ้าตากสิน ทำกำแพงเป็นแบบเมืองเก่ามีป้อมปราการ มีพระ มีพระรูปด้วย หากเขาอนุญาตให้ปั้น

ถ้าไม่อนุญาตให้ปั้นเราก็ทำของเราส่งเดชขึ้นมามันก็หมดเรื่องหมดราว ทำให้เป็นอนุสรณ์แก่บรรดาท่านพุทธบริษัทและประชาชนชาวไทยจะเขียนประวัติชาติไทยไว้ที่กำแพงตั้งแต่ต้นยันรัตนโกสินทร์ มีป้อมมีเชิงเทิน ทำมันส่งเดช มีพระพุทธรูป และก็มีอาคารสำหรับการศึกษามีสวนสาธารณะ มีที่รื่นรมย์ ลิงเอาเงินมาจากไหน มันจะเอามาจากไหนเล่า เจ้าลิงมันไม่มีเงิน ลิงมันก็เที่ยวบอกชาวบ้านเขาซิ ชาวบ้านเขาเอาด้วย ลิงมันก็เอา มันก็ทำ

เวลานี้สั่งซื้อที่เขาแล้วประมาณเกือบ ๒๐ ไร่ ไร่ละประมาณหมื่นบาท ยังไม่มีสตางค์เลย ใครรำคาญเกรงว่าเจ้าลิงมันจะไม่มีสตางค์ให้เขาล่ะก้อ ช่วยออกสตางค์มาให้ก็ดี และภายในระยะไม่กี่ปีนักจะเห็นว่าสถานที่นี้เป็นที่น่ารื่นรมย์อันหนึ่ง ซึ่งเราทำแล้วไม่เกี่ยวกับวงราชการ เพราะวงราชการเข้ามายุ่งเมื่อไร มันเป็นนุงตะระนังเมื่อนั้น เห็นเขาสร้างโรงเรียนกัน สร้างถนนกันมันรำคาญลูกตา นี่เราก็จะสร้างของเราขึ้นมาบ้าง

เรื่องจะสร้างสถานที่นี้มันมาจากไหน จะคุยให้ฟัง คือก่อนที่จะออกเดินทางไปเชียงใหม่ ก็มีความหนักใจอยู่เรื่องหนึ่งคือ ดร.ปริญญารับอาสาปั้นรูปหลวงพ่อปานรูปใหญ่ แล้วก็รูปเจ้าลิงถุง ที่ให้นามว่าไอ้เม่ง คือรูปหลวงพ่อปานกับรูปไอ้เม่งเอาไว้หน้าพระอุโบสถที่อาศรมลิงดำ

"อาศรมฤาษีลิงดำ" อาศรมนี้นะ บอกกันไว้ตรง ๆ ว่าเจ้าภาพก็ดี คนที่บริจาคทรัพย์ก็ดี เขานับถือพระพุทธศาสนา เขาสร้างเข้าไว้ก็ตั้งใจจะให้พระดี ๆ มาอาศัยอยู่สำหรับไหว้สักการะบูชา ไม่ใช่อาราธนาเปรตมาอยู่หรือว่าสัตว์นรกมาอยู่ ฉะนั้น ท่านที่จะมาอยู่ที่นี้ต้องไม่เมาด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นี่เขาสร้างขึ้นเป็นที่สาธารณะ คือไม่ใช่ที่สาธารณะของรัฐบาล เขาซื้อที่ของเขาขึ้นมา แล้วก็ปรึกษาหารือกันแล้ว ว่าถ้าทางคณะสงฆ์คณะใดคณะหนึ่งปฏิบัติไม่ดีไม่ชอบไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัยก็ไม่ยกให้

สร้างไว้เป็นที่มาของสงฆ์จากจตุรทิศ แล้วก็ปีหนึ่ง ๆ ก็จะรวบรวมสังสรรพระอริยเจ้าที่เราเข้าใจกันว่าเป็นยังงั้น เข้าใจว่าเป็นพระอริยเจ้า ท่านจะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างท่าน เราคิดว่าท่านเป็น อย่างน้อยที่สุดปีหนึ่งก็จะอาราธนามารวมสักครั้งหนึ่ง หรือสองครั้ง สามครั้ง ห้าครั้งตามศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท เราไหว้กันให้มันสบายใจ เรื่องพระมียศฐาบรรดาศักดิ์แล้วก็เมายศนี่ ไม่มีใครเขาปรารภแล้ว เขาเบื่อเต็มกลอง

แต่พระที่มียศแล้วไม่เมายศ วางยศเสียได้ก็น่าเลื่อมใส น่ากราบไหว้น่าบูชา เป็นต้นว่า สถานที่นี้ เมื่อสร้างขึ้นมาบรรดาพระที่มีหน้าที่ในการปกครองแอนตี้ด้วยประการทั้งปวง บอกว่าจะไม่ยอมรับร่วมเขตบ้าง อะไรบ้าง ไอ้นี่มันผิดพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ ผิดกฎองค์การมหาเถรสมาคม ผิดพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใครเขาจะไปง้อ รับหรือไม่รับก็ตามใจซี่พ่อคุณ เมื่อรับไม่ดีเขายังไม่ให้เลย แล้วยิ่งตั้งท่าว่าจะไม่รับก็ยิ่งไปกันใหญ่

ไม่มีใครเขาอยากให้แล้วก็จะมาห้ามมาปรามใช้บทบัญญัติใด ๆ ในพื้นที่ของส่วนบุคคล นี่อย่าลืมนะว่าพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ก็ดี กฎมหาเถรสมาคมก็ดี บังคับชาวบ้านเขาไม่ได้ ที่ของเขา เราเองเป็นผู้ต้องเจริญศรัทธา เราต้องให้ความสะดวกในการบำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัท แต่เรายังพากันคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จผู้ทรงสวัสดิโสภาค นี่มันหมายความว่ายังไง

คนที่ค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าไม่ถือว่าเป็นพระแล้ว มีใครบ้างไหมที่มีน้ำใจและมีปฏิปทาแบบนี้ ออกอากาศออกข่าวกันออกขยายเสียงกันน่ะ งามหน้านักรึที่บวชเข้ามาแล้วไม่ดูพระธรรมวินัย ไม่ปฏิบัติไปตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้า แล้วก็จะมาอ้างตนว่าเป็นพระ ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงชาวบ้านผู้มีศรัทธา

อย่างนี้ถ้าบรรดาเจ้าคณะทั้งหลายผู้มีอำนาจในการปกครองไม่จัดการให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย เรื่องใหญ่มันจะเกิดคราวนี้เกิดขนาดหนัก เกิดแบบนี้ไม่เลี้ยงกันแน่ แล้วคอยดูปราการต่อไปว่าเขาจะเอากันยังไง แล้วจะได้รู้จักตัวกันเสียที ว่าไอ้เรื่องการที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย มานั่งหลอกหลอนชาวบ้าน ประกาศตนว่าเป็นพระนั่งหลับตาเป็นนักวิปัสสนากันบ้างอะไรบ้าง

แต่ทว่าระเบียบวินัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่ปฏิบัติ ยังมีอาการอิจฉาริษยาบุคคลผู้สร้างความดี เบียดเบียน พยายามกีดกันความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทเสียสละไปด้วยศรัทธาแท้ ทำศรัทธาไทยของบรรดาท่านพุทธบริษัทให้สลายตัว เป็นการช่วยกันทำลายพุทธศาสนา ดูทีรึว่าเขาจะเทิดทูนกันขนาดไหน

บรรดาท่านทั้งหลายที่ออกเงินสร้างไม่ต้องวิตกกังวล พระดีมีถมไป นี่เรากำลังจะเดินไปไหว้พระดี จะพาไปดูพระดี พระผี ๆ ประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องไหว้ ไม่จำเป็นต้องง้อ ที่พูดนี่ไม่กลัว หลักฐานมันพอมีทั้งเอกสาร พยานบุคคล พอเยอะแยะ เขาน่าจะทำกันเรียบร้อยมานานแล้ว แต่ปล่อยมาได้ตั้ง ๙ ปี ๑๐ ปี นี่แสดงว่าไอ้ความไม่ดีนี่มันทำกันเป็นทีม และเรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ ชาวบ้านที่ร้องเรียนไปตามลำดับชั้น แต่ไม่มีใครจะทำกัน กลับหาทางช่วยเหลือกันด้วยประการทั้งปวง จะไหว้จะบูชากันได้ยังไง

ll กลับสู่ด้านบน

<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/2/09 at 15:56 [ QUOTE ]


(Update 10 ก.พ. 2552)


ในตอนนี้ ผู้จัดทำ "เว็บวัดท่าซุง" อยากจะตั้งข้อสังเกตสักเล็กน้อยว่า สมัยนั้นทางจังหวัดอุทัยธานียังไม่ได้ตั้งคำขวัญว่าเป็น เมืองพระปฐมชนกจักรี เพิ่งจะมาตั้งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ทั้งๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เป็นผู้บอกเล่าเรื่องนี้มาก่อนตั้งหลายสิบปีแล้ว และบอกตำแหน่งที่ประสูติอย่างละเอียด แต่ทางการไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย ลองมาอ่านรายละเอียดของท่านกันต่อไป...



อุทัยธานี - สิงห์บุรี - อ่างทอง - กรุงเทพฯ

.........บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายดูกันไป บรรดาท่านทั้งหลายที่พยายามกีดกัน ไม่ต้องห่วงหรอก “กัมมัง สัตเต วิภัชชะติ" กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์” ไม่ต้องห่วงหรอกว่าท่านจะนอนสบายกันต่อไปน่ะคอยดูปราการใหญ่มันจะเกิด ความบรรลัยมันจะเกิดกันใหญ่ล่ะ

ขณะนี้ลัทธิอื่นเข้ามาย่ำยีพระพุทธศาสนา แต่คนที่นุ่งผ้าเหลืองกลับร่วมมือกันย่ำยีพระพุทธศาสนาเสียอีก อย่างนี้ก็ต้องถือว่าเป็นโจรธรรมดา ถ้าทำกันไม่ได้ก็ต้องให้บุคคลที่ปราบโจรแบบโจรธรรมดาเข้าปรามปรามอย่างนี้ ถึงจะพอสมควรกับน้ำหนักความดีของพวกท่าน

ท่านที่ดีมี ถ้ารู้ตัวว่าดีก็พยายามกำจัดบุคคลผู้มีความชั่ว ทำความมัวหมอง ทำลายพระพุทธศาสนาให้พ้นจากพระพุทธศาสนาไป มิฉะนั้นพวกท่านทั้งหลายด้วยก็จะพลอยช่วยกันให้เขาคิดว่าท่านชั่วไปด้วย ที่พูดนี้ไม่ได้กลัวใคร เพราะเรื่องมันจริง เรื่องจริงไปนั่งกลัวแล้วพระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ไม่ได้ ประเทศไทยจะไม่ทรงตัว

เวลานี้สถาบันกษัตริย์กับพระพุทธศาสนายังทรงตัวอยู่ได้ เรื่องอื่นเละไปแล้ว แล้วเขากำลังจะเข้ามาทำลายสถาบันกษัตริย์และพระพุทธศาสนา ถ้าคนในขอบเขตพระมหากษัตริย์และพระพุทธศาสนาช่วยเขาทำลาย นี่จะยังบูชาเพื่อประโยชน์อะไร นี่เราพูดกันตามความเป็นจริง

ถ้าหากพูดกันต่อไป ถือเอาอำนาจของพระพุทธานุภาพหรืออานุภาพของพระรัตนตรัย ก็มานั่งนึกในใจว่า เออ..ดร.ปริญญา เป็นนายหน้าสร้างรูปหลวงพ่อปาน ราคาก็ตั้งหลายหมื่นบาทและก็สร้างรูป “เจ้าเม่ง” อีกรูปหนึ่ง คิดแล้วมันก็ตกเงินก็ตกแสนบาท แต่ว่าค่าหุ่น นี่ทุนของเธอก็ไม่มี เงินเดือนพันบาทกว่า ๆ หรือสองพันบาทก็ไม่รู้ ไม่ได้ถาม มันก็ไม่พอจะใช้จะจ่าย

มานึกในใจ..บูชาพระรัตนตรัยยกมือขึ้นไหว้ด้วยความเคารพ ว่าถ้าไปกรุงเทพฯ คราวนี้ได้เงินเท่าไหร่ ระยะเวลา ๒ วัน คือ วันที่ ๑๓ วันที่ ๑๔ วันที่ ๑๕ เดินทางไปเชียงใหม่ได้เงินเท่าไรเทกระเป๋าทั้งหมด จะไปให้ช่วยเขาในการปั้นรูป ปั้นหุ่น ไอ้เรื่องการปั้นหุ่นนี่ ราคามันแพง มันเป็นอย่างนั้น รู้อยู่..ก็นึกไว้ในใจแล้วก็เริ่มจะเดินทางไป

พบพระพินิจอักษร (ทองดี)

เดี๋ยวก่อน..ยังไม่เดิน ใครจะว่ายังไง เดินไปยังไง มันยังไม่ถึงเวลาจะไป ก่อนที่จะเดินทาง ๒ วัน เห็นภาพผู้ชายปรากฏเวลานอน พอใจสบายก็ปรากฏขึ้นที่ข้างเตียง เป็นผู้ชายเนื้อเต็ม ผิวขาว หน้าตาดี ถือหนังสือเล่มใหญ่ ก็จึงได้ถามว่าท่านเป็นใคร มาด้วยกันเยอะท่าน ให้นามว่า ผมคือ "ทองดี" ขอรับ ถามว่ามาทำไม ท่านก็เลยบอกว่า อยากจะให้ท่านสงเคราะห์หาสถานที่ เพื่อจะสร้างอะไรสักอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ของคนรุ่นเก่า และเพื่อเป็นที่รู้ของคนรุ่นใหม่

ถามว่า "ทองดี" เป็นใคร บอกว่า "ทองดี" ก็คือ "พ่อทองด้วง" จึงได้ถามถึงสถานที่เกิดและสถานที่อยู่ในขั้นปลาย ก็ชี้ไปฝั่งตรงข้าม แสดงถึงภาพอาคารต่าง ๆ ให้ปรากฏ และฝั่งด้านนี้ ฝั่งด้านอาศรม แสดงว่าสมัยนั้นคนดีมาอยู่กันที่นี่คับคั่ง

หลังจาก พระนารายณ์มหาราช ทรงสวรรคตแล้ว มีการตั้งโรงเรียนสอน ก. ข ก. กา จนกระทั่งถึงวิชาการปกครองบ้านเมือง การคลัง การเกษตร วิชาการรบ โรงเรียนนี่ต้องถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยพิเศษ ตัวท่านเองมีความรู้ในทางนี้มาก เวลามาจึงถือตำรามาเล่มหนึ่ง แสดงให้ปรากฏว่าเป็นเจ้าตำรา

ก็เลยถามท่านว่า จะให้สร้างน่ะ จะเอาสตางค์ที่ไหน ท่านบอกว่า ไม่เป็นหรอกขอรับ ขอให้ท่านไปพูดเถอะ จะมีคนเขาช่วย เพราะเรื่องนี้มันเนื่องด้วยพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ ก็เลยรับปากท่าน ได้ถามประวัติความเป็นมาหลายอย่างแต่พูดให้ฟังไม่ได้ มันจะเกินพอดีไป ดีไม่ดีคนฟังจะนั่งด่าในใจว่า เจ้าฤาษีหัวล้านนี่ชักโม้หนักไปเสียแล้ว..ไม่เป็นเรื่อง

เมื่อถึงเวลาที่จะเดินทาง ชาลินี (ปาน) ก็เอารถมารับ เวลานั้นเดินทางร่วมกันก็คือ ชาลินี (ปาน) อ๋อย เฉิดศรี นี่คนเดียวกัน นนทา อนันตวงษ์ คุณดำรง นุตาลัย แล้วก็ แน่งน้อย แล้วก็คนพูด "ฤาษีหัวล้าน" เดินทางกันไป ออกจากสถานอาศรมก็ไปแวะที่ วัดพระนอนจักรสีห์ วัดนี้เจ้าอาวาสดีแฮะ แล้วเจ้าอาวาสดี เป็นนักสังคม โอภาปราศรัยดี เขาสร้างสถานที่น่าเลื่อมใส

ประวัติพระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี

........ไปนั่งไหว้พระ แล้วก็ไปนั่งดูประวัติหน้าพระ เอาเรื่องเอาราวกันไม่ได้ เห็นเทวดาทั้งหลายบ้าง พรหมทั้งหลายบ้าง มากันเยอะแยะ บอกว่าเป็นผู้ร่วมสร้าง เป็นเทวดา เป็นพรหมกันทั้งนั้น แต่ว่าคนอื่นเขาเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง นี่มันฤาษีตาลิง เห็นอะไรก็ได้ ใครจะว่ายังไง มันเห็นจริง ๆ นี่ ฟังดูแล้วก็ปลื้มใจ เอ..นี่เขามีความสุขความสบายเป็นพิเศษ ก็เลยถามว่า

.......นี่..ลูกหลานฉันนี่ สร้างความดีกันมาเยอะ สร้างวัดทั้งวัด เจริญสมถกรรมฐานทั้งวิปัสสนากรรมฐาน สงเคราะห์ประชาชนคนยากจนเข็ญใจ ทำกันด้วยความเต็มใจ เมืองของลูกหลานของฉันบนสวรรค์ บนพรหมมีบ้างไหม ก็มีพรหมผู้ใหญ่ (บอกว่าเป็นหัวหน้าในการก่อสร้าง) บอกว่ามีขอรับ เอ้า..ถามบอกว่ามี ลองแสดงให้ปรากฏ แกก็เลยบอกว่า ตามผมไป ก็เลยตามแกไป

เวลามันไม่นานนัก โอ๊ะ..มันก็ไม่ยากเห็นแพรวพราวตั้งกันเป็นแถวไปหมด อีตานี่แปลก..ไม่ต้องถามชื่อคนก็รู้จักได้ นี่แปลก..เทวดาหรือพรหมนี่แปลกจริง ๆ แล้วก็ถามประวัติของพระนอนจักรสีห์ ที่เขาบอกว่าลูกชายฆ่าพ่อที่เป็นราชสีห์ มันเป็นความจริงไหม แกก็บอกว่า ไอ้คนกับสัตว์เดรัจฉานมันเป็นผัวเป็นเมียกันไม่ได้หรอก แต่คนจะมีผัวลิง ผัวค่าง เห็นจะพอไปกันไหว จะมีผัวเป็นราชสีห์ที่เป็นสัตว์สี่เท้า ท่ามันจะไปไม่รอดเสียแล้วเรื่องนี้ พูดแล้วท่านก็หัวเราะ

ก็เลยถามว่า พระองค์นี้ก่อสร้างขึ้นในสมัยไหน เป็นคนไทยสร้าง หรือเป็นใครสร้าง ท่านก็เลยบอกว่า เรื่องของพระพุทธศาสนาที่เข้ามาหลังพุทธกาลน่ะ เข้ามาตั้งรกตั้งราก ตั้งบ้าน ตั้งเมือง ที่ขยายมาจากเขตประเทศจีน และเมื่อก่อนนี้ก็อยู่กันเป็นหย่อมเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ รวมรวมกันอยู่กับผู้คนเผ่าอื่น จะเรียกว่าคนไทยเป็นผู้สร้างก็ยังได้

ก็เลยถามว่าสร้างในสมัยไหน ท่านก็เลยบอกว่า สร้างในสมัยที่ เมืองปรันทะปะ ยังมีกำลังอยู่ รู้จักไหมว่า "เมืองปรันทะปะ" คือเมืองอะไร ก็ได้แก่ เขตบุคคลที่มีอำนาจอยู่ในเมืองสระบุรี เมืองสระบุรีนี้ เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าเรียกชื่อว่า “เมืองปรันทะปะ”

นี่ท่านบอกว่าสร้างในสมัยนั้น หลังจากองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดานิพพานไปแล้วตามสมควร แล้วคนกลุ่มนั้นตั้งใจสร้างกันขึ้น คนกลุ่มที่สร้างก็คือ เทวดาหรือพรหมที่มาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ ที่ย่องนิพพานไปแล้วก็มี นั่น.. ฉะนั้นเรื่องวัดพระนอนจักรสีห์ที่ว่า พระลูกฆ่าราชสีห์ที่เป็นพ่อตายน่ากลัวจะโกหก..ไม่จริง

ออกจากที่นั้นแล้วก็ไปที่ วัดไชโย (หรือวัดป่าโมก) ไปนมัสการพระใหญ่ พอเดินเข้าไปก็เจอะสหายที่รัก นั่นคือ สุนัขตัวใหญ่ แกนอนอยู่ พอเห็นหน้า แกก็ลุกจากที่นอน เดินยิ้มเข้ามาหา เป็นการปฏิสันถารอย่างดี

แต่ไปดูวัดไชโยกับวัดพระนอนจักรสีห์นี่ เจ้าของที่มีปฏิปทาต่างกัน เห็นว่าความเฉลียวฉลาด การคล่องตัวสู้วัดพระนอนจักรสีห์ไม่ได้ เขาทำสถานที่ดีกว่า การต้อนรับดีกว่า การให้ความสะดวกสบายดีกว่า ความจริงระยะทางก็อยู่ไม่ไกลกันก็น่าจะทำคล้าย ๆ กัน จะได้มีคุณมีประโยชน์

เมื่อเข้าไปไหว้พระพุทธรูปใหญ่วัดไชโยก็เจอะครูบาอาจารย์ พระก็มี เทวดาก็มี พรหมก็มี ที่เดินทางร่วมกันไป ออกมาพูดเรื่องราวหลายประการ เรื่องการก่อสร้างสถานที่ใหม่ที่ท่านทองดีขอร้อง ก็เรียนท่านว่าจะทำได้อย่างไรในเมื่อทุนรอนมันไม่มี

ท่านบอกว่า ถ้าเจตนาของเธอดี ไม่ตั้งใจคดโกงเขามาเหมือนสมัยก่อน ไม่ใช่ว่าสมัยก่อนไปคดโกงเขาหรอกนะ ปางก่อน ๆ ที่ทำมาได้ก็มีใจไม่คดโกงไม่หวังความร่ำรวยในทรัพย์สิน ถ้าเธอจิตใจของเธอยังมีอารมณ์แบบนี้อยู่ การสร้างสถานที่นี้ก็เป็นของไม่ยาก

จึงถามว่าเรื่องที่ท่านบอกว่า กลับไปนี้เรื่องที่สำเร็จ พูดปั๊บได้ปุ๊บ ราคาไม่แพงนัก คิดเฉลี่ยแล้วซื้อที่ด้วย ปรับปรุงที่ด้วย ในอัตราไร่ละหมื่นได้ทันที ถามว่าสตางค์จะเอาที่ไหน ท่านก็บอกว่าพูดไปก็แล้วกัน สตางค์มันมาเอง ท่านจะช่วย เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา

พอออกจากวัดไชโยก็เลยไปจังหวัดอ่างทอง เป็นเวลาได้เวลาอาหารกลางวัน เข้าไปในตลาดอ่างทองก็ปรากฏว่า ไปหม่ำบะหมี่น้ำ ลองกินดูเพราะท้องมันไม่ดีมานาน สมัยก่อนกินบะหมี่เข้าไปทีไร ไอ้ความจัญไรมันเกิดเมื่อนั้น มันปวดท้องขึ้นมาทันที ก็เลยลองเล่นก๋วยเตี๋ยว ลองเล่นบะหมี่ดู เพราะตอนนี้เรื่องรสอาหารไม่แปลก มีรสแบบไหนก็กินมันไปส่งเดช กินเพื่อตาย ไม่ได้กินเพื่ออยู่ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู

ออกจากอ่างทองเดินทางเข้ากรุงเทพฯ วันนั้นเวลาเข้าถึงตลาดอ่างทองปรากฏว่าฝนตกมาก ดูน้ำไหลเชี่ยวจัด พอเข้ากรุงเทพฯ เขาก็พาไปแวะที่ปากเกร็ด บ้านนาวาอากาศโทโกศล มณีจักร นั่นเขาถวายสังฆทานกัน ก็เลยรับแทนพระ ไม่มีพระไปนี่ มีแต่ฤาษี แต่ว่ามีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปเป็นประธาน มีรูปหลวงพ่อปานเป็นพระอันดับ ฤาษีเป็นคนรับ

รับเสร็จเขาก็ทำบุญสุนทาน ได้สตางค์มาบ้างเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ยัดใส่กระเป๋าเข้าไป มาถึงกรุงเทพฯ คนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ไม่รู้ว่าได้สตางค์เท่าไร ยัดใส่กระเป๋าลงไป ยังไม่ได้นับ ปรากฏว่ามาถึงเวลาเดินทางไปเชียงใหม่ ได้ตั้งใจให้ปฏิญาณไว้กับพระว่า ได้เงินเท่าไรจะไปช่วยเขาปั้นหุ่น ได้เท่าไรจะไม่ขยักไว้สักหนึ่งสตางค์

ก็ปรากฏว่า ตอนเช้าเอาเงินให้เขานับได้ ๗,๒๐๐ บาท แหม..คาดไม่ถึง.. เวลาสองวันเศษ ๆ ท่านช่วยได้ถึง ๗,๒๐๐ บาท แต่นี้อำนาจคำปฏิญาณและรักษาสัจจะ ไม่ใช่จะมานั่งรวยกันแบบนี้ทุกครั้งทุกคราว ไม่ใช่ ตั้งใจบอกท่านไว้อย่างนั้น ว่าได้เท่าไรก็ตามเทกระเป๋าหมด แล้วปรากฏว่าได้ตั้งเจ็ดพันให้เขา

ถามว่าเสียดายไหม ก็ต้องตอบว่าไม่เสียดายเพราะว่าเต็มใจ เพราะพร้อมอยู่แล้ว เพราะทราบอยู่แล้วว่าการปั้นหุ่นนี้เป็นของแพงมาก ทีนี้ในเมื่อมอบหมายการเงินเขาเรียบร้อยแล้วมันก็สบายใจ ทั้งเงินเท่ากับเงินใหม่ก็คงได้เงินไว้เนื่องในการปั้นหุ่นประมาณหมื่นบาทเศษ เท่านี้ก็เป็นที่พอใจ

ll กลับสู่ด้านบน




กรุงเทพฯ - เชียงใหม่

เมื่อจัดแจงการมอบหมายเงินกันเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เตรียมการเดินทาง จะไปที่ไหนล่ะ จะไปที่ดอยสุเทพและภูพิงค์ราชนิเวศน์ ออกจากที่นี่ก็จะไปที่น้ำตกแม่สาแล้วก็จะไปถึงถ้ำเชียงดาว

ก่อนจะออกเดินทางไปพระธาตุไปไหว้พระธาตุ เอ.. ดอยสุเทพ ช่างนึกยากเหลือเกิน วันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร สมองมันนึกอะไรไม่ออกก็จะขอเอานามของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ร่วมเดินทาง หรือว่าจะเรียกเดินทางขบวนของฤาษีทัศนาจรที่ร่วมการทัศนาจรมาอ่านให้ท่านพุทธบริษัทฟัง คือเขาเขียนให้มีดังนี้คือ

๑. ท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์
๒. คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา
๓. คุณชาลินี (ปาน) เนียมสกุล
๔. นายแพทย์ ชุติ เนียมสกุล
๕. คุณดำรง นุตาลัย
๖. คุณบูรณะ นุตาลัย
๗. คุณอภิชัย นุตาลัย
๘. คุณมีชัย
๙. พันโทแพทย์หญิง วีวรรณ คำนวณกิจ
๑๐. พันเอกแพทย์หญิง วัฒนา เอ้ ใช่หรือไม่ใช่ เอ้า คุณวัฒนาก็แล้วกัน (คุณป้าหญิงวัฒนา)

๑๑. คุณสมสมัย อ้อ..สมสะหมู..ซิ ไม่ใช่สมสมัย "คุณหญิงสมสมัย" ที่เราเรียกว่า "สมสะหมู"
๑๒. คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค
๑๓. คุณกานดา อมาตยกุล
๑๔. คุณเย็นใจ
๑๕. คุณเพ็ญศรี วัสนชิน
๑๖. คุณรังสิต (อู๊ด) วัสนชิน
๑๗. คุณสมจิต
๑๘. คุณจันทร์นวล นาคนิยม
๑๙. คุณนนทา อนันตวงษ์
๒๐. อาจารย์สบสุข ประกอบไวทยกิจ

๒๑. คุณนวลน้อย โลห์พันธ์ศรี
๒๒. ม.ร.ว.ตรัยเทพ เทวกุล
๒๓. พล.ต.ต.จรัส วงศาโรจน์
๒๔. คุณสุมิตร (เล็ก) เศรษฐเสรี
๒๕. คุณสุพรรณี หังสสุต
๒๖. คุณสิริ วัฒนาขจร
๒๗. คุณละม่อม
๒๘. คุณกัณหา
๒๙. คุณบวรศรี
๓๐. ลูกสาวคุณบวรศรี เอ๊ะ..ลูกสาวลูกชายก็ไม่รู้ เขาเขียนว่าลูก

๓๑. แพทย์หญิงสลวย เตระยานนท์
๓๒. คุณศรีพันธ์ อ้อ..พันตรีศรีพันธ์ นี่เขาว่าที่พันโท
๓๓. คุณจิตรา
๓๔. เรือเอกภุชงค์
๓๕. คุณกมลชัย นี่เป็นนายตำรวจ
๓๖. พ.ต.อ.(พิเศษ) สมศักดิ์ สืบสงวน
๓๗. คุณสมนึก
๓๘. คุณเผื่อน
๓๙. คุณคำนวณ
๔๐. คุณไก่

๔๑. คุณอ้อน
๔๒. คุณแป้น
๔๓. คุณนิด
๔๔. น้องหมอวีวรรณ นี่นึกชื่อไม่ออก
๔๕. ช่างอ๋อ ตำรวจของหมอวีวรรณ นี่นะ
๔๖. คุณเจริญ
๔๗. คุณแอ๋ว
๔๘. ตำรวจตระเวนชายแดน ร้อยตำรวจโท อรรณพ กอวัฒนา
๔๙. คุณภาณี วรทรัพย์ อ้อ..แล้วก็..
๕๐. คุณประชา รายการที่ ๕๐ กับ ๕๑ นี่ไม่ได้ไป แต่ว่าเอาเงินทำบุญไปด้วย ให้เงินทำบุญไป คุณอรุณ อ้าว..คุณอรุณนี่ก็ไม่ได้ไป แต่ถวายเงินไปช่วยในการเดินทาง

แล้วก็อะไรล่ะ พันเอกชวาล นี่ไปพบที่เชียงใหม่ แล้วก็ ดร.วันชัย นี่ก็ที่เชียงใหม่ แล้วก็อาจารย์สุดจิตที่เชียงใหม่ แล้วก็อาจารย์ ดร.ปริญญา นุตาลัย พร้อมด้วยคณะอีกเยอะแยะ เขาจัดอาหารช่วยการบริโภค

ตานี้ว่ากันถึงชื่อบรรดาคณะพรรคที่เดินทางกันแล้ว บอกไว้ทั้งนี้ก็เพื่อว่าจะได้รู้ว่าการไปครานั้นมีใครไปกันบ้าง สำหรับชื่อเสียงทั้งหลายนี่ ถ้าบังเอิญอ่านไม่ครบ นามสกุลไม่มีเพราะเขาไม่ได้เขียนมาให้ ใครเป็นผู้เขียนชื่อนามสกุลเขาละก็ เขียนมาให้เต็มด้วยนะ ถ้ามันพลาดพลั้งไปบ้างก็ช่วยกันแก้ไข

ทีนี้ตอนจากนั้นแล้ว มาตอนเช้าพอบริโภคอาหารกันเสร็จ ขบวนทัศนาจรของฤาษีลิงดำ แหมอยากจะเรียกว่า "ฤาษีจัญไร" จริง ๆ มันเที่ยวพาชาวบ้านชาวเมืองเขาเดินทางไปได้รับความลำบาก แต่ความจริงก็ตั้งใจไปนมัสการความดีของสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านี่ก็น่าจะไป

นี่เราพูดถึงกันว่านักบุญนะ ถ้านักบาปไปด้วยรำคาญใจด้วยแย่ บังเอิญไปด้วยนักบุญ ออกเดินทางไปจะถึงพระธาตุ พระธาตุที่ช่างนึกชื่อยากจริง ๆ ดอยสุเทพเป็นอย่างไร ถึงนึกชื่อไม่ค่อยออกก็ไม่รู้ หรือว่าบุญวาสนาบารมีพระธาตุสูงไป คนพูดบุญบารมีวาสนาจะไม่ถึง นึกไม่ค่อยออก มันช่างสร้างความยุ่งเสียจริง ๆ

ll กลับสู่ด้านบน




ประวัติแม่น้ำปิง (แม่น้ำขุนภู )

........ตานี้เมื่อออกจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การเดินทางไปเจอะเอาแม่น้ำ ๆ หนึ่งที่เราเรียกกันว่า แม่น้ำปิง พอถึงแม่น้ำปิง ตอนนี้เองก็นึกถึงเรื่องราวของคนโบราณที่เขาเขียนเป็นประวัติศาสตร์และตำนาน ในที่บางแห่งเขาบอกว่าเป็นประวัติศาสตร์ และให้ดูประวัติศาสตร์ในเรื่องของ "พระยางำเมือง"

.......งำนี่ ง. สระอำ ไม่ใช่ "งาม" เรื่องพระยางำเมืองนี่มีเรื่องเกี่ยวข้องกันกับแม่น้ำปิง ความจริงก็นึกอยู่ในใจเหมือนกันว่าไอ้แม่น้ำนี่ทำไมถึงเป็นแม่น้ำปิง มันยังจะใส่เป็น "แม่น้ำปิ้ง..แม่น้ำเปิ้ง" ก็ยังดีกว่า คือถ้ามีปลาก็ได้ปลาขึ้นมาแล้วเอามาปิ้งข้างชายแม่น้ำ นี่มันเข้าท่าเข้าทาง ไปชื่อกันว่าแม่น้ำปิงเฉย ๆ ไม่รู้มันจะแปลว่ายังไง จะพิงก็พิง จะอิงก็อิง จะไปปิง ๆ อิง ๆ กันนี่มันยุ่ง

แต่ว่าตามประวัติศาสตร์หรือว่านิยาย ไม่ใช่ตำนานสิ ตำนานหรือว่าตำเร็วหรือว่านาน ๆ ตำ เขาเล่ากันมาเขาว่าอย่างนี้ แม่น้ำปิงนี่บังเอิญเดิมทีเดียวมันไม่ใช่ชื่อแม่น้ำปิงแม่น้ำเปิงอะไรหรอก แต่ความจริงนี่ชื่อของแม่น้ำนี่ ธรรมชาติเขาก็ไม่ได้ตั้ง นี่ชาวบ้านชาวเมืองมันเสือกมาตั้งชื่อให้เรียกว่าอย่างนั้นเรียกว่าอย่างนี้ จะเรียกผิดหรือว่าเรียกถูก แม่น้ำแกก็ไม่ได้ค้าน นี่มันเป็นเรื่องของเราเอง จะผิดจะถูกมันก็เราเท่านั้น เดิมทีเดียวเขาเรียกกันว่า แม่น้ำขุนภู

"จำให้ดีนะว่า "แม่น้ำปิง" นี่เดิมทีเดียวเขาเรียกกันว่า "แม่น้ำขุนภู" จะถูกมันก็เราเท่านั้น เดิมทีเดียวเขาเรียกกันว่า "แม่น้ำขุนภู" เหตุที่ชื่อว่าแม่น้ำปิงก็เพราะว่า มีเรื่องระหว่างพ่อขุนงำเมืองกับพระร่วง

พระร่วงองค์นี้ก็ไม่รู้ว่าพระร่วงองค์ไหน คงไม่ใช่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ต้องเป็นรุ่นหลัง อาจจะเป็นอะไร พ่อขุนรามคำแหงก็ได้ หรือจะเป็นใครก็ไม่ทราบ แกยกเอาพระร่วงขึ้นมาเฉย ๆ ตระกูลนี้เขาเรียกกันว่าพระร่วง

ความจริงแม่น้ำขุนพูนี้ต่อมาชาวบ้านเรียกกันว่าแม่น้ำอิง ไม่ใช่แม่น้ำปิง คืออิงกันเข้าไว้ เอาหลังต่อหลังเข้ามาอิงกัน ในเรื่องราวที่เขาเล่ากันมา ใครเล่าก็ไม่รู้ แล้วไปได้ยินจากใครเล่า เขาพูดมาอีกก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วอย่ามาถามหาว่าใครเขาพูดให้ฟัง ไม่รู้น่ะ บอกว่าไม่รู้นี่ เขาเล่าให้ฟังว่าอย่างนี้

คือว่าครั้งหนึ่งพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย เขาบอกให้ไปดูประวัติของพระร่วง เขาเขียนไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ไม่เคยซื้อหนังสือมาอ่าน เมื่อได้เสด็จมาถึงเมืองพะเยาก็เพื่อจะเยี่ยมพระสหาย คือ พระยางำเมืองผู้ครองเมืองพะเยา นี่เขาบอกให้ไปดูประวัติเรื่องพระยางำเมืองอีก แล้วก็เขียนกันไว้ที่ไหนล่ะพ่อเทวดา บอกให้ไปดูแล้วไม่เอาตำรามาให้แล้วดันมาบอกกันว่าอย่างงั้น ยังจะใช้ได้รึ..?

เอา..เล่าต่อไปอีกว่า แล้วก็อะไรเกี่ยวกับเรื่องดำเศียรเกล้าในแม่น้ำที่เมืองพะเยา เขาว่าอย่างงั้น ดำเศียรเกล้าก็ลงน้ำ ดำน้ำว่ายน้ำกันไปมามันก็ไอ้เรื่องธรรมดา ๆ แต่ทำเป็นพิธีกรรมกันเข้าก็รู้สึกเป็นของอัศจรรย์ อย่างพวกแขกที่เขาไปลอยบาปกันในแม่น้ำนั่น ลงน้ำได้ก็ดำหัวดำเกล้าผุดว่ายล้างตัวกันเข้าเรียกกันว่าลอยบาปทิ้งไป

นี่ก็เหมือนกันทำพิธีดำเศียรดำเกล้ากันในแม่น้ำ เออ ในแม่น้ำที่เมืองพะเยา เขาถือกันว่าเป็นสิ่งที่พระร่วงเจ้าเคยทำมาเสมอ คงจะถือกันว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่าสงสัยว่าเมืองนั้นมีสาว ๆ สวยมากกว่า ไอ้เรื่องของการศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำนี่ ถ้าเราจะถือว่าแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ น้ำที่ไหนมันก็ศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันมาจากแหล่งเดียวกัน คือว่ามาจากน้ำฝนแล้วก็ไหลกันมาในแม่น้ำ แต่เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของเมืองพะเยานี้

สงสัยว่าพระร่วงเจ้าจะเห็นว่า สาวชาวเมืองพะเยานี่สวยเลยถือว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ พระร่วงเจ้าได้ไปทำเสมอ ตานี้ไอ้หนทางที่จะเสด็จพระราชดำเนินก็กลายเป็นร่องลึก เรียกกันว่าร่องอะไร "แม่ร่องช้าง" กันมาจนทุกวันนี้ มันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ทางไปคงจะไม่ได้ไปคนเดียว พระเจ้าแผ่นดินน่ะไปเป็นขบวน

วันนั้นเดินเสียจนเป็นร่องเลย ทำแผ่นดินเขาสึกไปตั้งเยอะ เขาเรียกกันว่า "แม่ร่องช้าง" นะทุกวันนี้ เขาว่าอย่างงั้น แต่แล้วในการเสด็จมาครั้งนี้ คือเสด็จมาหลายคราวแล้ว อีกครั้งที่จะเปลี่ยนชื่อแม่น้ำจาก "แม่น้ำขุนภู" ว่าเป็น "แม่น้ำอิง" มันก็มีเรื่องสิ...!

ll กลับสู่ด้านบน

<< โปรดติดตามตอนต่อไป >>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/2/09 at 14:56 [ QUOTE ]


(Update 17 ก.พ. 2552)


เหตุเกิดแต่กามราคะ


.....ในการเสด็จมาครั้งหลังที่แม่น้ำจะเปลี่ยนชื่อใหม่ได้เกิดเหตุขึ้น ท่านบอกว่า เมื่อพระร่วงได้เสด็จมาที่เมืองพะเยาบ่อย ๆ เข้า ก็ได้ทอดพระเนตรเห็น พระนางอั้วเชียงแสน ว่าแล้วไอ้ความศักดิ์สิทธิ์นี่ไม่ใช่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์หรอก มันเกี่ยวกับอะไร แม่น้ำคือใจ ได้แก่ ราคะ กามโอฆะ แม่น้ำคือกาม ไอ้แม่น้ำคือ "กาม" นี่มันศักดิ์สิทธิ์

ได้ทอดพระเนตรเห็น "พระนางอั้วเชียงแสน" ซึ่งเป็นมเหสีของ พระยางำเมือง มีความงามมากจนถึงกับจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในตัวนาง เอาเข้าแล้ว ๆ นี่เรื่องธรรมดา ๆ ที่ พระรัฐบาล ท่านบอกว่า "โลกพร่องอยู่เป็นนิจ เป็นทาสของตัณหา" เห็นมั้ยล่ะ..เอาเข้าแล้วสิ

ตานี้เรื่องนี้ท่านจะมีวงเล็บไว้ด้วยว่า หรืออาจจะเป็นเหตุนี้อีกเหตุหนึ่ง อีกแห่งหนึ่ง อย่างหนึ่ง ก็น่าจะให้พระร่วงเสด็จมาเมืองพะเยาบ่อย ๆ นี่ไม่ต้องมาวงเล็บ หรือไม่ต้องมาว่า หรือเหตุอาจจะหรอก เรื่องมันจริงก็บอกมาแล้วแต่ตอนต้น ไอ้แม่น้ำน่ะไม่สำคัญ แม่น้ำกระแสน้ำที่ไหลที่เรียกกันว่า "อุทกะ" หรือ "อุทกัง" ไม่สำคัญ

สำคัญแม่น้ำคือ "กาม" กามโอฆะ แม่น้ำคือกามความใคร่ มีความสำคัญมีความศักดิ์สิทธิ์ แล้วท่านบอกต่อไป บอกว่า พระนางอั้วเชียงแสนก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่พระร่วงเจ้าเช่นเดียวกัน อย่างนี้มันก็ยุ่งน่ะสิ

คราวนี้ความรักน่ะความจริงมันไม่มีขอบเขต ผู้ชายที่มีภรรยาแล้วก็รักผู้หญิงอื่นได้ ผู้หญิงที่มีสามีแล้วก็รักชายอื่นได้ ไอ้เรื่องความรักนี่มันเรื่องของใจ มันไม่ใช่เรื่องของกายอย่างเดียว อาศัยใจเป็นสำคัญ นี่พระรัฐบาลท่านพูดแล้วว่าโลกพร่องอยู่เป็นนิจ เป็นทาสของตัณหา

นี่เพราะความพร่องของใจ พระนางอั้วเชียงแสนก็มีสามีแล้วคือพระยางำเมือง พระร่วงเองก็มีภรรยาแล้วอาจจะเยอะแยะก็ได้ แต่ความพอมันไม่ปรากฏ แต่ไอ้ความรักไม่ใช่ว่าจะไปรักสาวกำดัดเสมอไปก็หาไม่ นี่ผัวเขามีดนโด่อยู่ แล้วฝ่ายหญิงก็รู้แล้วว่าเขามีเมีย ไอ้จิตมันอยากจะรักซะอย่างใครมันจะมาขัดคอ นี่ความจริงของโลกมันเป็นอย่างนี้

พระพุทธเจ้าบอกให้หาขอบเขตของความรักกันใจเข้าไว้ อารมณ์ของใจนี่อารมณ์ชั่วมันเข้ามาสิงง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิเลสเป็นความรัก ก็ความโลภนี่มันเป็นกิเลสด้านความชุ่มชื่น สร้างความสบายใจ สร้างความสุขใจให้เกิด แต่เนื้อแท้ของมันจริง ๆ ก็คือไฟเป็นเครื่องเผาผลาญ แต่มันเผาไม่ค่อยร้อน มันเผาเข้าคราวไร มันชุ่มชื่นมากกว่าความร้อน

นี่เรื่องมันเป็นอย่างงี้ มันถึงได้สนุกกันใหญ่ แม่น้ำมันถึงได้เปลี่ยนชื่อไป จากแม่น้ำขุนภูมากลายเป็นแม่น้ำอิง แต่นี่ที่เรียกกันว่าแม่น้ำปิงนี่ ชื่อมันเพี้ยนมา มันเช่นเดียวกับไอ้ "สามเพิง" น่ะ สำเพ็งน่ะ..สำเพิง

เดิมทีเดียวมันเป็นคลองสามแยกเรียกว่า “สามแพร่ง” นี่ต่อมา พ่อเจ๊กแกมาอยู่นี่ ลิ้นแกมันแข็ง แกเลยเรียกว่า สำเพ่งน่ะ "สำเพ่ง" พ่อไทยลิ้นอ่อนหน่อยเลยตัด "สามเพ็ง" เขาไปเลยนี่ ส่วนแม่น้ำอิงก็เหมือนกัน เดิมทีเดียวเขาเรียกกันว่าแม่น้ำอิง แล้วต่อมามันก็เลยกลายเป็นแม่น้ำปิงไปเอาเรื่องกันไม่ได้

ทีนี้เล่าเรื่องกันต่อไปตามที่ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อปรากฏว่าทั้งสองคนมีจิตใจตรงกันเช่นนั้น นั่นรักกันซะแล้วนี่ มันทนไหวที่ไหนกัน แลกันไป แลกันมา ลันดูแก แลดูกัน ดูไม่พอ เมื่อผัวเขาเผลอก็ย่อง ๆ เข้าไปคุยเสียบ้าง จับโน่นคลำนี่ อีตอนนี้ไฟฟ้ามันก็ช็อต เมื่อไฟฟ้าช็อตกำลังร่างกายมันก็อ่อนไป อ่อนปวกเปียกด้วยประการทั้งปวง ในที่สุดก็ได้ร่วมรัก ร่วมหอลงโรงกัน นี่เรียกว่าลักลอบ ได้ลอบรัก ได้สมรสสมรักซึ่งกันและกัน ขโมยเขา นี่ขโมยเมียเขา ขโมยผัวเขา ยุ่งหยิงตุ๋งติ๋งกันไปตามเรื่อง

ความลับไม่มีในโลก


ตานี้ไอ้ความลับมันไม่มีในโลกนี่ พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างงั้น “นัตถิ โลเก ระโห นามะ...ความลับไม่มีในโลก” พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างงี้ จะไปลัก จะไปลอบ จะไปแอบกันที่ไหนก็ตาม จะไปหมกที่ไหนก็ตาม

ในที่สุดพระยางำเมืองก็ทรงทราบเรื่องเข้าจนได้ ที่จริงให้คนไปดักจับพระร่วง จับตรงไหนล่ะ ถ้าอยู่ดี ๆ ไปจับเข้าสิจะได้รบกันใหญ่ ทหงทหารเขาก็มีไป พระร่วงเขาก็เป็นคนมีฝีมือ ก็ต้องจับกันอีตอนที่อยู่กันระหว่างสองต่อสอง ระหว่างพระร่วงกับเมียของท่าน เมียของพ่อขุนงำเมือง พระนางอั้วเชียงแสน สนุกกันเพลินไป เผลอ เขาดักอยู่ไม่รู้เขาจับได้

เมื่อจับเอาไว้แล้วพระยางำเมืองก็คิดว่า เอ๊ะ..ไอ้เพื่อนนี่มันทรยศ จะต้องฆ่าเสียเถอะ ทีแรกคิดอย่างนั้น แต่ว่าการไปของพระร่วงไม่ใช่การไปเฉย ๆ พระร่วงนี่เป็นนักวิชาการ ไปสอนวิชาการ กับคาถาอาคมต่าง ๆ ให้แก่พระยางำเมือง ตลอดจนกระทั่งวิธีการปกครอง วิชาการปกครอง เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์และวิชาการทหาร เรื่องวิชาอาคมต่าง ๆ พระร่วงเก่ง ความจริงการที่พระร่วงชนะใจพระนางอั้วเชียงแสนได้ก็น่ากลัวเป็นคาถาอาคม หรือจะลองคาถาให้ลูกศิษย์ดูก็ได้ว่า ไอ้คนที่มีผัวแล้วน่ะจะจัดการเสียเมื่อไรก็ยังได้ น่ากลัวจะลองคาถาให้ดูนะ

ตานี้พระยางำเมืองคราวแรกคิดจะฆ่าเสีย แต่แล้วก็มาคิดว่า เอ๊ นี่มันไม่เป็นเรื่อง ถ้าฆ่าพระเจ้าแผ่นดินเขาเข้านี่ เมืองสุโขทัยนี่เขาไม่ใช่ย่อย ดีไม่ดีจะเกิดรบกันใหญ่ก็ได้ ความเป็นไทยระหว่างไทยจะแตกคอกันเสียเปล่า ๆ เพราะเมียคนเดียว จึงได้ยับยั้งไว้ไม่ฆ่า

คิดขึ้นมาได้ว่ามีเพื่อนอีกคนหนึ่ง โน่น..เขาอยู่ที่ไหนล่ะ เชียงราย จึงจะต้องไปหาคนนั้นมา เอามาตัดสินชำระความกัน เพราะว่าการจะปลงพระชนม์พระสหายกับพระมเหสีนั้นย่อมกระทำได้โดยพระราชอำนาจ แต่ว่าบุคคลทั้งสองกระทำผิด และความผิดนั้นจับได้ในเมืองของพระองค์เองด้วย จะฆ่าเสียเมื่อไรก็ได้

แต่ทว่าเมื่อฆ่าก็คงจะมีเวรกัน ไอ้เวรน่ะ..ไม่ใช่เวรสำหรับคนที่จะถูกฆ่า พวกที่เขายังไม่ได้ถูกฆ่าน่ะมีแน่เรื่องการฆ่ากษัตริย์ ไม่ต้องเป็นห่วง มันจะรบกันหนัก ที่นี้พระยางำเมืองท่านคิดรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่ได้มีสันดานชั่วเหมือนคนดีสมัยปัจจุบัน คิดแต่จะเป็นขี้ข้าชาวบ้านเท่านั้นมันก็พอ

รักยาวให้บั่น..รักสั้นให้ต่อ


ที่นี้ท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น เข้าทำนองว่า รักยาวให้บั่น..รักสั้นให้ต่อ ถ้ามันไม่พอก็ตัด ตัวท้ายนี่แถมเข้ามาเองไม่ใช่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาค ทั้งพระมเหสีนี่ก็ไปคิดอีกที นี่ก็แม่เมียเราก็ไปตกลงกับเขา ไม่ใช่เขามาปลุกปล้ำทำอนาจารมาข่มขืนให้อย่างนั้น จะไปฆ่าผู้ชายคนเดียวก็ไม่ถูก จะฆ่าผู้หญิงคนเดียวก็ไม่ถูก เป็นอันว่ายังไม่ฆ่าก่อน จึงคิดหาทางอื่นที่ดีไปกว่านั้น

จึงนึกได้ว่านี่แน่ะ พระเจ้าเม็งราย (นี่ท่านบอกว่าให้ไปดูประวัติพระเจ้าเม็งรายอีก ก็ใครเขาเขียนไว้ที่ไหนก็ไม่นำมาให้เสียด้วย มาบอกกันแบบนี้มันก็แย่) ต้องการให้พระเจ้าเม็งรายมาตัดสินความ จึงได้ส่งเครื่องบรรณาการไปหาพระเจ้าเม็งราย พระสหายอีกองค์หนึ่ง ว่า ๓ คนนี่เป็นเพื่อนกัน

แต่ว่าพระเจ้าเม็งรายนี้เป็นผู้ประกอบไปด้วยบุญญาธิการ มีพระปรีชาสามารถอาจจะพิจารณาและตัดสินความเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง และก็ควรจะเป็นไปตามความนิ่มนวลไม่ใช่มาตัดสินกันซะเอง คือว่าปลูกศาลเตี้ยชำระความ มันใช้ไม่ได้

ทีนี้จึงแต่งเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าเม็งรายและก็ให้อัญเชิญเสด็จมาที่เมืองพะเยา เมื่อพระเจ้าเม็งรายได้รับทราบเรื่องจึงเสด็จมา เมื่อเสด็จมาแล้วพระยางำเมืองก็ออกไปเฝ้า เล่าเรื่องความจริงให้ทรงทราบว่าเรื่องราวมันเป็นยังงี้ บอกเมียข้าพเจ้าก็ไปยุ่งกับพระร่วงเข้า พระร่วงก็มายุ่งกับเมียข้าพเจ้าเข้า มันจะว่ากันยังไง

พระปรีชาแห่งพระยาเม็งราย


พระยาเม็งรายเมื่อพิจารณาแล้วก็คิดว่า เอ๊ะ..ไอ้เรื่องนี้ถ้าปล่อยมันฆ่าเฆ่อกันเข้า มันจะฆ่ากันใหญ่ เพราะว่าพระร่วงไม่ใช่คนคนเดียว พอมาเขาก็มีทหารมามากและทหารของพระร่วงก็ไม่ใช่มีเฉพาะแต่ส่วนที่มาเท่านั้น ที่บ้านเมืองของพระร่วงก็มีตั้งเยอะแยะ

บอกว่าฆ่าไม่ได้ ทำยังงั้นไม่ได้ มันจะทำลายความเป็นมิตรระหว่างความเป็นไทยซึ่งกันและกัน ดีไม่ดี เมื่อเราเป็นคนไทยเกิดแตกแยกกันแล้วแบบนี้ ชาติอื่นเขาก็จะย่ำยี จะเข้ามาขยี้ย่ำยีพวกไทยด้วยกัน ในที่สุดเราก็จะกลับเป็นทาสของขอมใหม่ นี่เราเพิ่งจะพ้นเป็นอิสรภาพจากความเป็นทาสมาไม่เท่าไหร่อย่าทำลายกันเองเลย

เรื่องเมียกับเรื่องเพื่อนที่ผิดไปบ้างนี่เป็นของธรรมดา ไอ้คนเรานี่ มันใกล้กัน น้ำตาลใกล้มด มันก็อดไม่ได้ ถ้าเมียของเราไม่ตกลงใจกับพระร่วง พระร่วงก็ไปทำอะไรไม่ได้ ตานี้มันก็มีอยู่ว่าถ้าเป็นบุพเพสันนิวาส ชาติก่อนเขาเคยร่วมรักกันมา เคยร่วมบุญบารมีกันมาบ้างเพียงชั่วชณะหนึ่ง ตานี้ไอ้บุญญาธิการเดิมที่เคยมีความสัมพันธ์กัน

เมื่อเจอะกันมาแล้ว ไอ้ความรู้สึกมันก็เกิดรักขึ้นมาได้ นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้ แต่ทว่ามันเป็นบุญชั่วขณะ สำหรับพระองค์เองนี่ต้องเป็นบุพเพสันนิวาสขนาดที่เรียกกันว่าครองตัวกันมา ร่วมบุญกันมาอย่างขนาดหนัก ทีนี้พระนางอั้วเชียงแสนจึงได้ตกมาเป็นอัครมเหสีของพระองค์ ดังนั้น ขอพระองค์คิดใหม่ เราอย่าทำลายความเป็นไทยและจงอย่าทำลายความเป็นมิตร มาคิดปลูกฝังรักกันไว้ดีกว่า ดีกว่าทำลายกัน

ทีนี้ทำลายบุคคลคนเดียวมันจะหมายถึงว่าประเทศชาติหรือคณะไทยทั้งหมดมันจะถูกทำลายไปด้วยเพราะความแตกสามัคคี นี่ท่านว่าอย่างนี้ พระยางำเมืองก็ตกลงถามว่าจะทำอย่างไร ก็เลยบอกไปเบิกตัวพระร่วงมา ก็ไปเบิกตัวพระร่วงมาและนำพระนางอั้วเชียงแสนมาด้วย

ทั้ง ๒ คนก็รับสารภาพว่ามันทนอำนาจของความรักไม่ไหว มันมองกันไปมองกันมา มองกันมามองกันไป กระแสไฟต่อไฟมันมาปนกันตามสายตา ผลที่สุดกระแสไฟมันก็ดูดเอาใจไปเจอะกันเข้า พอใจเจอะกันเข้า กายมันก็เข้าไปถึงกัน มันก็เกิดรบกันใหญ่ซิคราวนี้ สงครามใหญ่มันก็เกิด มันเป็นการบังเอิญ

ความจริงพระนางอั้วเชียงแสนก็บอกว่าไม่ได้เคยจะคิดทรยศต่อพระยางำเมืองแต่ประการใด แต่ทว่าไอ้ใจมันเป็นยังงั้นนี่มันทนไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่าใจนี่น่ะสำคัญ ถ้าใจมันจะไปไหนซะอย่างเดียวกายก็ต้องไปด้วย พระยาเม็งรายจึงบอกว่า ไอ้เรื่องนี้มันก็เป็นของธรรมดา

และพระร่วงก็เป็นคนดีมีวิชาและก็ให้ความดีสอนวิชาการต่าง ๆ แก่พระยางำเมือง ควรจะให้อภัยเสีย จึงได้สั่งให้พระร่วงเจ้าให้ขออภัย แล้วก็ปรับเป็นสินไหมตามราคาที่เขาพูด สมัยนั้นราคามันเท่าไร ความจริงมันก็ไม่น่าไปคิดนี่ มันตั้งเยอะแยะน่ะ หือราคาเท่าไหร่ ราคาเขาบอกว่าเยอะมาก ความจริงมันก็ไม่จำเป็น ไอ้เรื่องสตังสตางค์นี่มันก็เรื่องเล็ก ราชานี่..จะเอาสักเท่าไรก็ได้ เค้าเรียกว่าไม่เอามากเกินไป คือให้เป็นสินไหมไปนะ

เมื่อตกลงกันได้แล้วก็ให้พระร่วงขอขมาโทษ เมื่อขอขมาโทษเสร็จ ราคาเท่าไร อ๋อ..พระยางำเมืองให้พระร่วงเสียเป็นสินไหมแก่พระยางำเมือง เงินเก้าแสนเก้าหมื่นเบี้ย ปัทโธ่เอ๊ยก็ไปนับเบี้ยนี่ นับบาทมันก็ยังดี เก้าแสนเก้าหมื่นเบี้ย นี่ก็ไปเก็บเบี้ยมาจากไหนก็ได้ บางทีเค้าก็ใช้เป็นทองคำแทน แล้วให้ขมาโทษ ขมากันแล้วต่างคนต่างก็ให้อภัย



เหตุแห่งการเปลี่ยนชื่อแม่น้ำจาก “ขุนภู” เป็น “อิง”


ทีนี้ต่อมาพระยาเม็งรายก็บอกว่า เรามาให้สัตย์ปฏิญาณกันใหม่ อย่าแตกสามัคคีกันเลย ก็เลยให้เจ้าที่ไปทำร้านกลางแม่น้ำ "แม่น้ำขุนภู" ทำเป็นแคร่แท่นเข้าแล้วก็ไปนั่งให้สัตย์ปฏิญาณ ให้สัตย์สาบานซึ่งกันและกัน เมื่อสาบานซึ่งกันและกันว่าจะไม่มีการแตกสามัคคีกันจะมีความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวซึ่งกันและกัน แล้วก็ต่างคนต่างก็กรีด เอามีดมากรีดเลือดจากนิ้วใส่ลงไปในแก้วเหล้าเขย่า ๆ กับเหล้าให้เลือดมันเข้ากันแล้วก็แบ่งกันดื่ม

ขณะที่จะดื่มนั้นก็ใช้เอาหลังเข้ามาพิงกันหันหน้าออกคนละทาง (หน้าควรจะเอาหน้าเข้าชนกัน ดันเอาหลังชนกัน) หันหน้าไปคนละทางแล้วก็ดื่มเหล้าเป็นการให้สัตย์ปฏิญาณช่วยกันมีความสามัคคีไม่เป็นภัยกันต่อไปในภายหน้า คราวนี้แม่น้ำนี้จึงได้กลายชื่อมาจากแม่น้ำขุนภูเป็นแม่น้ำ อิง อ. สระอิ ง. สะกด แล้วต่อมามันก็ไม่เห็น "อิง" มันกลายเป็น "แม่น้ำปิง" ไป

นี่แหละท่านทั้งหลาย นี่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังคือเรื่องราวมันก็น่าคิดว่า ทำไมแม่น้ำจึงชื่อแม่น้ำอิง แล้วคิดกันไปอีกที ก่อนนี้สามพระยานั้นเป็นคนดีของไทย เวลานี้ท่านไปไหน ท่านมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ประเทศไทยเราตั้งได้เพราะสามท่าน มีความสำคัญในเบี้องต้นเหมือนกัน เป็นผู้มีพระคุณ แต่ว่าเวลานี้ทุกท่านหมดแล้ว ชื่อก็เกือบจะจำไม่ได้

เป็นอันว่าสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาว่าโลกนี้เป็น "อนิจจัง" หาความเที่ยงไม่ได้ เป็น "อนัตตา" สลายไปในที่สุด เมื่อเราทราบว่าท่านมีความสำคัญแต่ท่านก็ตาย พวกเราทั้งหลายที่เดินทางมาในเวลานี้ จงนึกถึงท่านว่าไม่ช้าเราก็ตายเหมือนกัน แต่ว่าเวลาตายแล้วเกิดมันก็มีทุกข์ เราตายแล้วเกิดอย่างมีสุขดีกว่า นั่นคือถึง "พระนิพพาน" แล้วการถึงพระนิพพานจะทำอย่างไร เราเดินทางกันต่อไป ประเดี๋ยวเราก็จะพบพระนิพพาน

เอาล่ะ สำหรับเรื่องราวของแม่น้ำอิง แม่น้ำปิง หรือว่า "แม่น้ำขุนภู" ที่มาเล่าสู่กันฟังก็เพราะว่าทางมันผ่านนี่มันเลย เมื่อทราบถึงประวัติใครเขาพูดให้ฟังก็ไม่รู้ ก็รู้ว่าเขาอ้างไปอ่านไอ้โน่นไปอ่านไอ้นี่ ก็ตำรามันมีที่ไหนล่ะนั่งมาในรถนี่พ่อเจ้าประคุณ ทีหลังบอกก็บอกไม่ต้องอ้างตำรากัน

ก็เป็นอันว่าเรื่องราวของแม่น้ำอิง บรรดาชายและหญิงเมื่อเดินทางร่วมกันก็ทราบประวัติแล้ว และจงอย่าลืมคิดด้วยนะว่า คนสำคัญที่ไปเป็นตัวพระเอกนางเอกของเรื่องแม่น้ำอิง แม่น้ำปิงหรือ "แม่น้ำขุนภู" นี่ต่างคนต่างตายกันไปหมดแล้ว หาตัวไม่ได้ ภายในไม่ช้าเราก็จะตายเหมือนกัน เรื่องนี้ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ สวัสดี.

ll กลับสู่ด้านบน

<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/3/09 at 14:30 [ QUOTE ]


(Update 10 มี.ค. 2552)


บทที่ ๓

ดอยสุเทพ




ภาพอดีต : ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย (ยืน) ถ่ายภาพขณะสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ
มีท่านครูบาอภิชัยขาวปี (ชุดขาวถือตาลปัตร) นั่งรวมอยู่ด้วย


คุณความดีครูบาเจ้าศรีวิชัย

เมื่อเดินทางเข้าไปถึงดอยสุเทพ ก่อนที่จะขึ้นดอยสุเทพ สิ่งที่เราประสบนั้นก็คือ รูปหล่อของท่านครูบาศรีวิชัย เมื่อสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ พระคุณเจ้านี้เป็นพระที่ฤาษีลิงดำหรือบรรดาคณะลิงทั้งหลายมีความเคารพเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบรรดาลิงทั้งหลายมีความเคารพในครูบาอาจารย์ คือหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

หลวงพ่อปานเคยปรารภบอกว่า ครูบาศรีวิชัยเป็นพระทองคำ นี่คำว่า “พระทองคำ” ของท่านก็หมายความว่า เป็นพระดีจริง ๆ ทองคำเป็นของมีค่ามาก ยากที่เราจะพึงหาได้ ทีนี้เมื่อครูบาอาจารย์บอกว่าดี ลูกศิษย์ก็ว่าดี เพราะว่าอาจารย์ที่เราเคารพกันว่าท่านดี คือยอมรับนับถือว่าท่านเป็นอาจารย์

ทีนี้ประวัติความเป็นมาของครูบาศรีวิชัยไม่ต่างกับหลวงพ่อปานเท่าใดนัก เป็นพระนักก่อสร้าง เป็นพระนักการสงเคราะห์ ทำความดีทุกอย่าง ทางขึ้นดอยสุเทพ เวลานั้นรัฐบาลไม่สามารถจะทำขึ้นไปได้ แต่ว่าท่านครูบาศรีวิชัยทำได้ นี่มันอัศจรรย์ไหม? มันเป็นเรื่องที่น่าจะคิดว่า พระที่ไม่มีสตางค์ในกระเป๋าเลย สามารถทำทางขึ้นบนดอยสุเทพได้ ไอ้การขุดหินนี่มันยากแสนยาก มันลำบากแสนลำบาก ก็อาศัยบารมีความดีของท่าน

แล้วท่านครูบาศรีวิชัยนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสร้างทางขึ้นดอยสุเทพเท่านั้น สร้างอาคารสถานที่ต่าง ๆ เวลานี้นับแล้วราคาหลังหนึ่ง ๆ ต้องคิดเงินเป็นล้าน ท่านสร้างเติมไปหมด จริยาอาการต่าง ๆ ซึ่งท่านปฏิบัติ ทำเพื่อการสงเคราะห์ ไม่หวังความดี ไม่หวังการชมเชย มีปฏิปทาคล้ายคลึงหรือว่าจะเหมือนกับหลวงพ่อปานไม่ได้ผิดเพี้ยน

มารผจญ


ไอ้การกระทำทุกอย่างไม่เคยมีเงินในมือ ถือว่าเป็นการจับเสือมือเปล่า อาศัยความดีของครูบาศรีวิชัย เป็นเหตุให้พระอะไร ขอโทษไม่ใช่พระ คือนักบวชจัญไรที่มากไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มีความเคารพในโลกธรรม ๘ ประการ แต่ความจริงนักบวชพวกนี้ ถือความจัญไรดีกว่าของดี ทำลายคำสั่งสอนของสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียหมด ไม่ยอมเคารพในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ถือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นสรณะ

ถ้ามียศมากเท่าไรยิ่งเก๋ ได้ลาภมากเท่าไรยิ่งเก๋ ดีแต่ว่าโกนหัวชาวบ้านเขา แต่หัวของตัวปล่อยให้รก ทำตัวเหมือนพระอรหันต์ แต่ว่าจิตใจนั้นไม่แตกต่างกับเทวทัต สมัยที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์แล้วตั้งใจจะกินเหี้ย

อันนี้ต้องไปดูเรื่องราวพระเทวทัตเป็นฤาษีต้องการกินเหี้ย ในที่สุดเหี้ยก็นั่งว่าพระเทวทัตว่า "ท่านทรงผ้ากาสาวพัสตร์เป็นธงชัยของพระพุทธศาสนา เราเข้าใจว่าท่านบริสุทธิ์ แต่เนื้อแท้คือจิตใจเลวกว่าเราซึ่งมีร่างกายเป็นเหี้ยเสียอีก เราเป็นเหี้ยนั้นก็ไม่ทำลายชีวิตสัตว์เป็น แต่ว่าเราเพียงแต่กินสัตว์ตายเป็นอาหาร" นี่เป็นอันว่าเทวทัตบวชเป็นพระแล้วก็มีความดีสู้เหี้ยไม่ได้

ทีนี้ครูบาศรีวิชัยก็เหมือนกัน ท่านสร้างความดีล้ำหน้าเขาสมัยนั้น ในที่สุดก็ถูกนักบวชจัญไรพากันหาเรื่องให้แก่ท่าน จนกระทั่งท่านเกือบจะถูกสึก เขานำตัวเข้ามาในกรุงเทพ ฯ ในที่สุดก็ไม่ได้สึกเพราะว่าพระในกรุงเทพ ฯ พระใหญ่ในสมัยนั้นคงจะมีน้ำใจเป็นพระ ไม่ใช่มีน้ำใจเป็นสัตว์เดียรัจฉานอย่างนักบวชที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา เป็นผู้มีตำแหน่งมีหน้าที่ต่าง ๆ แต่ไม่ได้มีความดีอย่างพระ

นี่พวกท่านทั้งหลายที่เดินทางร่วมมาจำไว้ให้ดี แล้วเข้าไปไหว้ภาพพระศรีวิชัย คุณครูบาศรีวิชัย อย่าเอาใจไปติดที่รูปปั้นจะไม่มีประโยชน์ เขาทำให้เป็นนิมิตแห่งความดีเท่านั้น

เมื่อเราไหว้ท่านแล้วก็ดึงเอาความดีของท่านครูบาศรีวิชัยเอาไว้ด้วย แล้วมาดึงเข้าไว้แล้วก็ปฏิบัติตามท่าน พระครูบาศรีวิชัยท่านดีขนาดไหน ต่อไปเราก็จะดีเหมือนท่าน เพราะเรื่องของความดีนี่คนที่ดีถึงที่สุดไปแล้วก็หยุดอยู่ เรากำลังตามหาความดีแล้วก็ค้นคว้าต่อไป เดินตามไปในที่สุดก็ทันกัน จะหนีกันไปไหนได้ ในที่สุดก็ไปยืนแหงแก๋กันแค่พระนิพพานก็หมด

ปฏิปทาพระโพธิสัตว์

นี่พระครูบาศรีวิชัยเป็นสาวกของสมเด็จพระบรมสุคต เป็นมิ่งขวัญของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มาด้วยกันควรจะยอมรับนับถือปฏิบัติตามความดีของท่าน ทีนี้ทุกคนจำได้แล้วนะ หาประวัติพระครูบาศรีวิชัย ถ้าหาไม่ได้ก็เอาอย่างงี๊

ท่านทำทุกอย่างเพื่อสาธารณะประโยชน์ ท่านพยายามตัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้สิ้นไป แล้วก็ตั้งใจสงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลาย พระที่มีความดี บรรดาท่านทั้งหลาย จะไปอยู่ในป่าในดงที่ไหน มันก็เป็นบ้านเป็นเมืองมีความสวยสดงดงาม เพราะอะไร เพราะว่าท่านเป็นพระรวย ท่านไม่ใช่พระจน

เห็นเงินของชาวบ้านเป็นของมีค่า ได้มาแล้วก็ต้องทำสิ่งให้เป็นประโยชน์และไม่ยอมให้เงินเป็นโทษสำหรับตน เอาเงินเหล่านั้นไปสร้างในส่วนที่เป็นกุศล เป็นประโยชน์ ทั้งตนท่านด้วย ท่านก็ได้บุญ เจ้าของเงินก็มีบุญ ความสุขมันก็เกิดขึ้น ตัวอย่าง ทางขึ้นดอยสุเทพ ถ้าครูบาศรีวิชัยไม่ทำไว้ เราก็ต้องไต่เขาขึ้นไป สถานที่ก่อสร้างต่าง ๆ ที่ครูบาศรีวิชัยทำไว้ก็มากมายก่ายกองด้วยกัน

เป็นอันว่า คุณค่าความดีของครูบาศรีวิชัยเราพรรณากันไม่ไหว ถ้ามาถามว่าครูบาศรีวิชัยนี่เป็นพระอันดับไหน ก็จะต้องตอบประเภทเดา ๆ ว่า ครูบาศรีวิชัยนี่มีปฏิปทาแบบโพธิสัตว์ แต่ว่าท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่นั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันเพราะว่าคนพูดนี่ อย่าลืมนะ เป็นลิง ไม่ใช่พระพุทธเจ้า

เอ้า…พวกเราเข้าไปไหว้รูปท่าน แต่อย่าเอาใจไปติดในรูปนะ ติดความดีของท่าน พยายามถอดถอนความดีของท่านที่มีอยู่ นำมาประพฤติปฏิบัติตามท่าน ค่อย ๆ ทำไป วันละเล็กละน้อย ในที่สุดก็จะพบความดีเหมือนท่าน

แล้วก็มอง ๆ ดูที่ดอยสุเทพ ว่าพระธาตุที่ดอยสุเทพน่ะ ปรากฏขึ้นมายังไง หันเข้าไปดูประวัติ ใครเขาเล่าให้ฟังก็ไม่รู้ จริงหรือไม่จริงก็เป็นเรื่องของคนที่เล่าให้ฟัง แกโกหกมา ลิงก็โกหกไป ถ้าแกพูดจริงมา ลิงก็พูดจริงไป เรื่องราวมันเป็นอย่างงี้นะ จะเล่าให้ฟังตามที่เขาพูดมา

ll กลับสู่ด้านบน

<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/3/09 at 14:47 [ QUOTE ]


(Update 13 มี.ค. 2552)




(ภาพจากคุณ SKPG www.weekendhoppy.com)


ประวัติการสร้างพระธาตุดอยสุเทพ

เขาว่ามีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระนามว่า เอ๊อ…ไม่ใช่พระราชาก็ไม่รู้ ไม่ช้าก็เป็นพระราชา เป็นลูกของพระราชา ก็เหมือนกัน เป็นพระราชาเล็ก มีนามว่า พระเจ้ากือนา เป็นโอรสของ พระเจ้าผายู หรือ พระเจ้าตายู เอาเข้าแล้ว…ผาก็ผาซี..พ่อคุณ..! ตาก็ตาซี เอ้า…ทั้งผาทั้งตานี่ จะเอายังไงกันแน่ล่ะ พูดให้มันลงตัวไม่ได้รึ..?

อ๋อ…ลงไม่ได้ เขาบอกว่าลงไม่ได้ ชาวบ้านมันชอบเรียกกันอย่างงั้นนี่ บางทีก็เรียกว่า "ผายู" บ้าง บางทีก็เรียกว่า "ตายู" บ้าง เอายังงี้ดีกว่า เอาไม้เอกใส่เสียตัวดีไหม ชื่อว่า "พระเจ้าตายู่" เพราะว่ายิ่งแก่เข้ามาสายตามันยิ่งสั้นเข้ามา มันยู่เข้ามา มันไม่แหลมไม่คม

อย่าไปดัดแปลงเขาเลยนะ มันจะเสียประวัติ..ยุ่งแล้ว นี่…เวลาจะพูดอะไรให้ลิงฟังละ พูดให้มันลงตัวซี ไอ้เจ้าลิงมันมีสภาพไม่หยุดรู้ไหม มันขยับเขยื้อนเรื่อย ประเดี๋ยวประวัติเขาก็เสียหมด ไม่ต้องมาหัวเราะ มาหัวเราะเยาะหน้าลิง ชะๆๆๆ ไม่รู้จักลิง เดี๋ยวพ่อจะแผลงฤทธิ์ซะนี่ ฮึ...อย่านะ บอกว่าอย่าแผลงฤทธิ์เอา เดี๋ยวเอามือจี้ท้องให้วิ่งเข้าส้วม เขาว่ายังงั้น

เอ้า…ว่ากันไปว่าพระเจ้าตายู่ เอ๊ย…พระเจ้าตายู หรือ "พระเจ้าผายู" แล้วก็มี พระนางจิตราราชเทวี ซึ่งเป็นพระราชมารดาของพระเจ้ากือนา เอ๊อ…ขอโทษ เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าวัวเถลิง เอาเข้าแล้ว โอ้โฮ…เจ้านครเชียงของ นี่มันไปยังไงกันนี่ เล่าให้ฟังแล้วเล่าให้มันรู้เรื่องนา ชาวบ้านเขาไม่รู้เรื่อง เขาจะมาด่าลิงเอา ไอ้แกน่ะ ไม่มีใครเขาเห็นตัวหรอก..เอาใหม่ ขึ้นต้นใหม่

พระเจ้ากือนา เป็นโอรสของพระเจ้าผายู หรือ พระเจ้าตายู แล้วก็ พระนางจิตราราชเทวี ซึ่งเป็นราชธิดาของจ้าววัวเถลิง เจ้านครเชียงของเวลานั้น นคร คือ เมืองหลวงแต่ละเมืองน่ะ มันเล็ก ๆ จัง ประเทศเล็ก ๆ พระองค์ทรงมีพระอนุชาร่วมพระอุทร คือร่วมท้องกับแม่น่ะ อีกองค์หนึ่งคือ "ท้าวมหาพรหม" หรือ เจ้ามหาพรหม ไม่ใช่พระเจ้าพรหมมหาราชนะ คนละคน

พระเจ้ากือนานั้นประสูติเมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๓ เมื่อทรงพระเยาว์ทรงพระนามว่า "พ่อท้าวพันตู" อ๋อ…ลงตู ๆ ตู้ ๆ เหมือนกันนี่นะ ต่อมาเจริญวัยแล้ว มีพระนามว่า "พ่อท้าวเวสภู" ฮึ…พระราชบิดาพระราชทานที่เดิม ที่ดินพันนาให้หนึ่งตื้อ ไม่รู้แล้วไอ้ตื้อ ๆ ต้า ๆ นี่ ไม่รู้มันเท่าไร มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ที่เขาเขียนว่า "พระเจ้าเก้าตื้อ" นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ใครอยากจะรู้ก็ไปถามชาวเชียงใหม่เขาดู ขี้เกียจถามอีตาคนนั้น แกไม่บอก จึงมีพระนามเปลี่ยนไปอีกว่า "พ่อท้าวตื๊อนา" ฮื่อ…อ้อ…ตื๊อนา

แล้วเมื่อพระเจ้าผายูพระราชบิดาเสด็จมาประทับอยู่ที่นครเชียงใหม่ พอพ่อท้าวตื๊อนา หรือพ่อท้าวกือนาเจริญพระชันษายิ่งขึ้น ก็โปรดให้ไปครองเมืองชัยบุรีเชียงแสน ครั้นพระเจ้าผายูสวรรคตเมื่อพ.ศ. ๑๘๙๙ พ่อท้าวกือนาก็เสวยราชย์ มีพระนามว่า พระเจ้ากือนา ขณะนั้นมีพระชันษาได้ ๑๖ ปี แหม…เถลิงราชย์พร้อม ๆ กับ ร.๕ บุญมาก มีพระมเหสีชื่อว่า สุนทราราชเทวี แหม…ก็ "สุนทร" นั่นแหละ "สุนทร" แปลว่า "พูดดีราชเทวี"

เมื่อพระเจ้ากือนาเสวยราชย์แล้ว ก็โปรดให้พระอนุชา คือ พ่อท้าวหรือพระเจ้ามหาพรหมไปครองเมืองเชียงรายในสมัยของพระองค์นั่นเอง ได้ทรงกระทำสัมพันธไมตรีกับ พระเจ้าเลอไทย กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยเป็นอันดี อ๋อ…นี่แสดงว่ายุคหลังของสุโขทัยนี่เอง แล้วก็ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีพระราชประสงค์จะได้พระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีมาอยู่ในเมืองเชียงใหม่

เรื่องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์

คำว่า "อรัญวาสี" นี่แปลว่า มีปกติชอบอยู่ป่า เอาพระป่า คือพระป่านี่ เขาบอกว่าดีกว่าพระเมือง เพราะคาวโลกีย์มันน้อย แกไม่ค่อยมีอะไร พระเมืองนี่มีคาวโลกีย์มาก บวชไปบวชมา บวชมาบวชไป เลยบวชหาศักดิ์ศรี หายศถาบรรดาศักดิ์ บวชหาเงินหาทอง เวลาบวชอยู่ไม่หยิบสตางค์ ต่อหน้าคนไม่หยิบ แต่แหม…เวลาตายแล้วมีเงินเป็นสิบ ๆ ล้าน มีพินัยกรรม

นี่เขาเคร่งกันมาก นี่ท่านประเสริฐศรีจะว่าอย่างไรนี่ พวกที่เคร่งมาก ๆ ไม่หยิบสตางค์นี่ เวลาตายเข้าแล้วมีเงินเป็นสิบ ๆ ล้าน นี่จะว่าอย่างไร สู้พระหยิบสตางค์ไม่ได้ละ มันใช้ได้ เลยเอาเงินของชาวบ้านไปสร้างให้มันเป็นประโยชน์ อย่างท่านครูบาศรีวิชัย นี่ท่านหยิบสตางค์ แต่ใช้สตางค์ให้เป็นประโยชน์ ไม่ให้เกิดโทษสำหรับท่านและบุคคลอื่น ทำให้เจ้าของเขาได้บุญ ๒ ชั้น ๓ ชั้นดีกว่า ดีกว่าตั้งหน้าตั้งตาไปโกหกชาวบ้านว่า ฉันไม่หยิบสตางค์ ฉันเป็นคนเคร่ง

ไอ้สิกขาบทเกี่ยวกับหยิบสตางค์นี่มันปรับเท่ากัน รับเองก็ดี ให้บุคคลรับแทนก็ดี หรือว่าใครให้ใครเก็บไว้เพื่อตนก็ดี รู้อยู่ว่านั่นเงินของเรา เป็นอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ เสมอกัน ไม่ได้ลดตัวลง

แล้วมันเป็นอย่างนี้จะไปโกหกเขาทำไม เราไม่หยิบเงิน แต่เรารู้ว่าเงินของเรามี มันก็กลายเป็นมีโทษ ๒ ชั้น คือมีโทษในทางรับเงินเป็นอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ แล้วก็มีโทษในทางโกหกชาวบ้านว่าฉันไม่รับเงิน จิตใจมันก็ประกอบด้วยกิเลส อย่างนี้หาความดีอะไรได้ มีแต่อารมณ์เศร้าหมอง ใครไหว้พระเศร้าหมอง คนนั้นก็ได้ความเศร้าหมองไป ใครไหว้พระผ่องใส ก็ได้ความผ่องใสไป

อภิสมาจาร : พระสาวกละนิสัยเดิมไม่ได้

นี่มีคนเขาพูดมานะ เขาบอกว่าไม่อยากจะมาไหว้หรอก เจ้าลิงนี่มันไม่ค่อยจะสำรวม นี่ก็จงคิดไว้ซีว่า เจ้าลิงมันมีความสำรวมที่ไหนล่ะ มันโกหกชาวบ้านเขาไม่ได้นี่ ไม่มีท่าทางจะโกหก โกหกมันก็โกหกไม่ไหว จะไปทำท่าเคร่งขรึม วางท่าคล้าย ๆ กับพระพุทธรูป แต่ว่าจิตใจดิ้นรนไปตามอำนาจของกิเลส อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงประนามว่าเป็นมายา เจ้าเล่ห์

ลิงไม่มีเจ้าเล่ห์หรอก แล้วก็ไม่ได้มาบวชให้ใครมาไหว้นะ ใครจะมาก็มา ไม่มาก็แล้วไป ถ้าจะมาก็สืบประวัติเสียก่อน แล้วก็ดูชื่อเสียก่อนว่าลิง ไม่ใช่พระพุทธรูป จะมาก็มากันตามนั้นนะ ดูประวัติเสียก่อน

เช่นเดียวกับพราหมณ์เคยถามพระพุทธเจ้าว่า การบวชมานี่ต้องการให้คนสักการะบูชา กราบไหว้ไหม พระพุทธเจ้าบอกว่า เราไม่ได้ตั้งใจให้ใครมาไหว้หรอก เราบวชเพื่อความดับไม่มีเชื้อ เราบวชเพื่อพระนิพพาน ใครจะเคารพนับถือ จะไหว้ จะบูชา หรือไม่ไหว้ ไม่บูชา เราไม่สนใจ

ทีนี้..ลิงนี่ประกาศตนเป็นสาวกพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เอาอย่างตามนั้น ทำท่าเป็นลิงมันเรื่อยไป ให้ใจมันสบายก็แล้วกัน ทีนี้ใคร ถ้าถือตัวว่าเป็นผู้ดี หรือเป็นขุนนางแปดสาแหรก ถ้าอยากจะมาก็โปรดทราบไว้ก่อนนะ ที่นี่ไม่มีท่าทางแบบนั้น จะมาทำท่านั่งเป๋ง เรียบร้อย แลดูลักษณะเป็นพระพุทธรูป แต่ใจเกลือกกลั้วไปด้วยกิเลส ที่นี่ไม่มี ที่นี่ทำตามอัธยาสัย

เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ทรงสงเคราะห์ด้านจริยาเข้าไว้ คือส่วนอธิสมาจาร ท่านบอกแล้วว่า สาวกทุกองค์ไม่สามารถจะละนิสัยเดิมได้ เคยเป็นลิงมาก็ต้องแสดงท่าลิงไป อย่างพระสารีบุตร เวลาเดินทางไป พระลุยน้ำข้ามคลองรางเล็ก ๆ บ้าง ค่อย ๆ ก้าวบ้าง แต่พระสารีบุตรขัดเขมรกระโดดแผล่บ นี่เป็นอัครสาวก

พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่าอะไร พระสงสัยไปถามเข้า ท่านก็บอกว่า สารีบุตรเขาเคยเป็นลิงมา เขาละนิสัยเดิมไม่ได้ คนที่ละนิสัยเดิมได้ มีแต่พุทธลีลา ก็คือพระพุทธเจ้า ฉะนั้น ในเมื่อเราเป็นลิง เราก็แสดงท่าลิงของเราตามปกติ สบายใจ จะไปหลอกชาวบ้านว่า นี่ ฉันเป็นพุทธรูปด้วยเรื่องอะไร แต่จิตใจเป็นลงนี่ซี เลวมาก อ้าว…แล้วเรื่องนี้มันก็ไม่จบน่ะสิ เล่าเรื่องนี้ต่อไป อีตาคนนั้นก็นั่งนิ่ง ไม่เตือนเสียด้วย เตือนหน่อยสิ พูดเลอะเทอะไปก็เตือนหน่อย

พระสุมนเถระอัญเชิญเสด็จพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย

จึงมีพระประสงค์จะได้พระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี คือ พระนิยมป่ามาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ ครั้นได้ทรงทราบว่า พระสุมนเถระ แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งเป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี เพราะได้ศึกษาพระธรรมจากสำนักครูหลายสำนัก ครั้งสุดท้ายยังเคยได้ไปศึกษาพระธรรมกับท่านมหาสามีอุทุมพร ซึ่งขณะนั้นกลับจากลังกาทวีปมาอยู่ ณ รมณประเทศ * คือที่ "เมาะตะมะ" อีกด้วย

(หมายเหตุ : * อ่าน "ระมะณะประเทศ" หมายถึงประเทศมอญ สมัยนั้นอยู่แถวเมาตะมะ - ผู้จัดทำเว็บ)

พระเจ้ากือนามีพระประสงค์จะได้ จึงมีพระราชสาส์นไปยังพระเจ้าเลอไทย ขออนุญาตให้พระสุมนเถระมาเผยแพร่พระธรรมในเมืองเชียงใหม่ นี่เห็นไหม เมืองอินเดีย เมืองลังกา กับเมืองไทยนี่ เขามาเขาไปกันได้สบายระหว่างพระสงฆ์ธรรมดา ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยเสด็จมาประเทศไทยนี่ มันชักจะยุ่ง ๆ นะ ฟังกันไว้ให้ดี มันชักจะยุ่ง ๆ ฟังกันไป

พระเจ้าเลอไทยทรงอนุมัติ พระสุมนเถระจึงได้เดินทางไปสู่เชียงใหม่ แล้วก็นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาถวายพระเจ้ากือนาด้วย พระเจ้ากือนาทรงทราบชัดจึงได้จัดขบวนไปรับ แล้วก็ตั้งโรงพิธี ตลอดจนกระทั่งสรงน้ำพระบรมธาตุ เพื่อจะให้เป็นสิริมงคลแก่เมืองเชียงใหม่ด้วย

ในขณะที่ทรงสรงน้ำพระบรมธาตุนั่นเอง ก็ปรากฏว่ามีพระบรมสารีริกธาตุอีกองค์หนึ่ง แสดงปาฏิหาริย์แยกออกมาให้ปรากฏเป็น ๒ องค์ นี่ความจริงเดิมทีเดียวได้ไปองค์เดียว พอสรงน้ำแล้วก็กลายเป็น ๒ องค์ ก็เกิดเป็นความดีใจ ทรงปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่งและเกิดศรัทธาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จึงได้มีพระราชดำริที่จะหาสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุนั้น ให้เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป

ในที่สุด ทรงใช้วิธีเสี่ยงสัตยาธิษฐาน นี่…สมัยก่อนเขาเอากันอย่างงั้น จะเลือกพระเจ้าแผ่นดินก็เสี่ยง วิธีเสี่ยงสัตยาธิษฐานก็คือ โปรด ฯ ให้นำพระบรมสารีริกธาตุขึ้นไปไว้บนช้างต้น ไม่ใช่ช้างต้นไม้นะ "ช้างทรง" แล้วก็ตั้งพระราชหฤทัยว่า ถ้าช้างต้นไปอยู่ที่ใด คือว่าเดินไป ไปหยุดตรงไหน ก็จะสร้างพระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมธาตุตรงนั้น

ก็ปรากฏว่าช้างต้นเชือกนั้นได้ขึ้นไปบนยอดดอยสุเทพ แล้วก็ล้มกลิ้งสิ้นใจตายตรงนั้น เอาละซิ…บาปหรือเปล่าก็ไม่รู้ พระเจ้ากือนาจึงได้โปรด ฯ ให้ทำเจดีย์บนยอดดอยสุเทพ คือ พระธาตุดอยสุเทพ ก็เลยบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ตรงนั้น เมื่อเดือน ๖ ท่านว่ายังงั้นนะ เดือน ๖ เหนือละมั้ง เดือน ๖ พ.ศ. ๑๙๒๖ เอาอะไรแน่ล่ะพ่อคุณ..?

เขาว่าบางแห่งบอกว่า ๑๙๒๙ บางแห่งว่า ๑๙๒๖ (แล้วอะไรมันถูกบอกมาซิ ๒๙ ถูกหรือ) เอา...ตกลง นี่คนเขาบอกว่า พ.ศ.๑๙๒๙ น่ะ (๒๖ ไม่ถูก) ปัจจุบันนี้ พระธาตุดอยสุเทพก็มีรถยนต์ขึ้นได้ ประวัติพระธาตุดอยสุเทพน่ะเป็นอย่างนี้ เล่ากันมาสู่กันฟัง

ความจริงประวัติของพระธาตุดอยสุเทพนี่ เวลานี้ไม่มีแต่เพียงดอยอย่างเดียว แล้วก็ ครูบาศรีวิชัย ไปสร้างสถานที่ไว้สง่างามเป็นวัดเป็นวา มีค่าเวลานี้ ๑๐๐ ล้านก็สร้างไม่ได้ ทางขึ้นไปเวลานี้เขาก็สร้างเสริม เวลาที่สร้างทางขึ้นไปน่ะ เขาลือกัน เขาบอกกันว่า ท่านครูบาศรีวิชัยท่านไปนั่งหนักที่นั่น ชาวบ้านชาวเมืองชาวป่าชาวเขาชาวอะไรทั้งหมดมาช่วยกันทำด้วยความเต็มใจ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา

ครูบาศรีวิชัยนั่งหนัก


"........แต่ว่าเมื่อทำมาทำไป ทำไปทำมา ไอ้เงินในการก่อสร้างมันต้องจ่าย ค่าแรงงานชาวบ้านไม่ต้องจ่าย แต่วัตถุที่ใช้ทำทางต้องจ่าย เมื่อนำวัตถุมาแล้ว ปรากฏว่าเงินชำระไม่พอ ท่านก็เลยนั่งหนัก คำว่า “นั่งหนัก” ของเมืองเหนือก็หมายความว่า “นั่งไม่ลุก” ถ้าหนี้มันไม่หมดเพียงใดก็ไม่ลุกเมื่อนั้น ในที่สุดชาวบ้านเขารำคาญขึ้นมา เขาก็เอาเงินไปใช้หนี้ให้ ตูดก็เลยเบา ลุกขึ้นมาได้

.........เมื่อนั่งรถขึ้นไปบนดอยสุเทพ ก็แบ่งกันเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งขึ้นมานมัสการพระธาตุดอยสุเทพ อีกพวกหนึ่งไปที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ ซึ่งมีเขตไม่ไกลกัน สำหรับภูพิงค์ราชนิเวศน์นี้ ถ้าหากใครอยากจะทราบประวัติละก็ไปถาม ร.๙ ท่านก็แล้วกัน อาตมาอธิบายให้ฟังไม่ได้

.........แต่สิ่งที่ชอบใจที่สุดที่ขึ้นไปดอยสุเทพก็ดี ที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ก็ดี นั่นก็คือชาวเขา เผ่าอะไรก็ไม่ทราบ เด็ก ๆ แต่งตัวเสียสวย กระโดดกะย็อกกะแย็ก ๆ แล้วเอาตุ๊กตาชาวเขาบ้าง อะไรต่ออะไรมาขายกันบ้าง พวกเราขึ้นไปก็ชอบไปถ่ายรูปกัน ดีเหมือนกัน รู้สึกว่าสนุกสนานดี เป็นที่น่าปลื้มใจ

แต่สิ่งที่ติดใจชอบใจผู้พูดมีอยู่อย่างหนึ่ง ตั้งใจว่าจะซื้อมาแต่ไม่มีโอกาสซื้อ นั่นก็คือบ้องกัญชา เห็นอีตาชาวเขาแกถือบ้องกัญชาใหญ่ แกบอกราคา ๓๐ บาท คิดว่าจะซื้อมา เวลาขากลับมันรีบเกินไป เลยไม่มีโอกาสซื้อ เป็นอันว่าอดได้ของดีมา ถ้าได้บ้องกัญชามานี่จะดีมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกัญชานี่น่ะเป็นวัตถุที่ไม่มีเวรไม่มีภัย คนสูบกัญชาคนไหนก็คนนั้นแหละ เป็นคนใจดีเสมอ ไม่ตีกันกับคนกินเหล้า เพราะเคยคบมาแล้ว

เอาละ…เรื่องราวของดอยสุเทพ ความจริงเราก็ควรจะระงับไว้เพียงนี้ ที่นำมาไหว้ดอยสุเทพนี่ก็เพราะว่า มีพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีความดีเป็นเครื่องเปรียบเทียบก็คือ พระสุมนเถระ นั่นท่านเป็นพระอรหันต์

และคนที่ทำต่อกันมา สืบเนื่องมาก็คือ ครูบาศรีวิชัย ท่านทั้งหลายมาไหว้จงอย่ามาเที่ยว มาแล้วก็เกี่ยวหรือคล้องเอาของดี กล่าวคือ ความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย แล้วเอาความดีของพระสุมนเถระ และครูบาศรีวิชัยกลับไปบ้านเราด้วย เราจะได้ได้กำไร มิฉะนั้นพวกเราที่มากันแล้ว เดินมาแล้วก็เดินไป เดินไปแล้วก็เดินมา แค่นี้ไม่พอกับคุณค่าของเงินทองที่เราเสียไป

เอาละ…เรื่องราวของดอยสุเทพก็เป็นอันว่ายับยั้งกันไว้แค่นี้ ถ้ามีอะไรจะพิจารณาก็เอาไว้ว่ากันในขั้นต่อไป สำหรับในตอนนี้ เราเที่ยวกันไปเที่ยวกันมา ตั้งใจจะไปกินเพลกันที่น้ำตกแม่สา เวลามันก็กระชั้น ก็จำเป็นที่จะต้องเดินทางกลับ เวลาเดินทางกลับลงคราวนี้ก้รู้สึกว่าดี พลพรรคของเรารวมตัวกันได้เป็นอย่างดีมากตามกันไม่ยากนัก

เอาละ…เรื่องราวของดอยสุเทพและประวัติของครูบาศรีวิชัย ก็คุยให้กันฟังตามที่อีตาอะไรแกคุยต่อมา ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ถ้าเรื่องตอนนี้ปรากฏว่าเป็นเรื่องโกหก ก็ขอให้เป็นเรื่องของอีตาคนนั้นที่แกเล่าให้ฟัง แกโกหกมาอาตมาก็โกหกไป ถ้าหากแกพูดจริงมาก็แสดงว่า อาตมาพูดจริงไป

เอาละ…บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับตอนของดอยสุเทพเราก็ยุติกันไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อไปนี้เราก็จะได้เดินทางกันต่อไปถึงไหนล่ะ ไปน้ำตกแม่สาใช่ไหม ใช่หรือไม่ใช่เดี๋ยวดูตำรากันก่อน สำหรับตอนนี้ขอยุติกันไว้แต่เพียงเท่านี้ สวัสดี…



บทผนวก

ประวัติโดยย่อ "ครูบาศรีวิชัย" (นักบุญแห่งล้านนาไทย)


ชาตะ 11 มิถุนายน 2421 ณ ต.บ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน บิดาท่านเป็นชาวกะเหรี่ยง ซึ่งทำงานรับใช้เจ้าเมืองลำพูน ทำหน้าที่เป็นคนเลี้ยงช้าง และหาช้างป่ามาฝึกเพื่อใช้งานลากซูงให้กับบริษัทต่างประเทศ ซึ่งได้สัมปทานตัดไม้สักในขณะนั้น

เมื่อเยาว์ บิดา มารดา และญาติ ขนานนามให้ท่าน 2 นามคือ "ฟ้าร้อง" เนื่องจากขณะที่ท่านเกิด มีฝนตกหนัก และฟ้าคะนอง "อินทเฟือน" นอกจากฝนตกฟ้าคะนองแล้ว ยังเกิดแผ่นดินไหวอีกด้วย

อายุ 18 ปี บรรพชาเป็นสามเณร และอุปสมบทเมื่อครบ 20 ปี ณ บ้านเกิดของท่าน นามว่า " ศิริวิชโย "ชาวบ้านเรียกว่า " พระศรีวิชัย "

เมื่อบวชแล้ว ท่านได้ศึกษาและสนใจทางสมถะและวิปัสสนาเป็นพิเศษ ประพฤติหนักทางมักน้อย สันโดษโดยเคร่งครัด ไม่มีการสะสมสิ่งใดจากปัจจัยไทยทาน เป็นที่สรรเสริญแก่สาธุชนทั้งหลาย มีคนนิยมทำบุญถวายทานกับท่านมากมาย ภิกษุสามเณรต่างก็พากันมาขอเป็นสานุศิษย์ กุลบุตรหลายคนมาขอบรรพชาและอุปสมบทอยู่ในสำนักของท่านมากขึ้น

ช่วงที่ครูบาศรีวิชัยเป็นที่เลื่องลือแก่คนทั่วไป ตกอยู่ในรัชสมัยของ ร.5 ก่อนที่ดินแดนล้านนาจะลดฐานะเป็นจังหวัด สำนักวัดต่างๆจะขึ้นกับวัดที่เป็น "หัวหมวด" ซึ่งเป็นสายปกครองที่ดูแลกันเองในระดับตำบล สูงขึ้นไปกว่านั้นก็ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กันมากนัก

พระเณรที่อยู่ในท้องถิ่นจึงมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ จึงทำให้ความเป็นเอกภาพระหว่างหมู่พระสงฆ์จัดอยู่ระดับตำบลหรือเมืองเท่านั้น ข้อจำกัดอีกประการหนึ่ง คือการคมนาคมที่ยังไม่ค่อยสะดวกเหมือนในปัจจุบัน ทำให้ความเข้าใจระหว่างคนต่างถิ่น ต่างกลุ่ม หรือต่างภาษาถูกจำกัด

เมื่อสภาพสังคมยังไม่เจริญ ประชาชนส่วนมากไม่ได้รับการศึกษา จึงทำให้ครูบาศรีวิชัยได้รับการเชิดชูให้เป็นผู้วิเศษได้ง่าย พร้อมทั้งหตุการณ์บ้านเมืองยุคที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากการล่าอาณานิคมระหว่าง อังกฤษและฝรั่งเศสกับประเทศต่างในเอเชีย ทำให้ ร.5 ทรงเร่งพัฒนาบ้านเมืองอย่างหนัก มีการนำเอาระบบบริหารบ้านเมืองแบบตะวันตกมาใช้ มีการสร้างทางรถไฟเพื่อการคมนาคมที่รวดเร็ว มีการปฏิรูปการปกครองสงฆ์

เจ้าหน้าที่ที่ถูกมอบอำนาจให้ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินก็ยังขาดแคลนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงมักเชื่อมโยงเอาเหตุการณ์ต่างๆที่ผิด ไปจากที่ตนรู้ที่ตนเข้าใจ ไปเป็นเรื่องราวของความกระด้างกระเดื่อง แตกแยก หรือความไม่เข้าใจระหว่างพระด้วยกันหรือเพราะความอิจฉาแล้วขอยืมมือฝ่ายบ้านเมืองมาจัดการ

ครูบาศรีวิชัยได้ถูกเพ่งเล็งจากผู้ที่ไม่เข้าใจและจากทางราชการ จากเหตุการณ์ดังกล่าว จนต้องถูกเชิญมาสอบสวนยังส่วนกลางที่กรุงเทพ (ขณะนั้นชียงใหม่ ถือว่าอยู่ในสถานะเป็นมณฑลพายัพ) แต่ด้วยความดีงาม และบริสุทธิ์ใจของท่านเองเอง ก็สามารถพ้นข้อกล่าวหา

ครูบาศรีวิชัยได้ก่อสร้าง บูรณะปฏิสังขรณ์ปูชนียวัตถุ และพุทธศาสนสถานในล้านนาเป็นจำนวนมาก (ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ พะเยา เชียงราย) พร้อมด้วยแรงศรัทธาจากมวลชนทั่วสารทิศ อนุสรณ์สำคัญอย่างหนึ่งคือ การสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ซึ่งยากลำบากเหลือวิสัยที่จะกระทำได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ใช้งบประมาณของรัฐเลยในสมัยนั้น

ครูบาศรีวิชัย มรณะเมื่อ 21 กุมภาพัน์ 2481 อายุได้ 60 ปี 8 เดือน ณ วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน

ที่มา - : www.lerchor.com

◄ll กลับสู่ด้านบน

<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/4/09 at 13:51 [ QUOTE ]


Update 25 เม.ย. 2552


พระรัฐบาล


........สิ่งที่ได้จากการท่องเที่ยวคราวนี้ คือนับตั้งแต่ แม่น้ำปิง แล้วก็ ดอยสุเทพ แล้วก็ ภูพิงราชนิเวศน์ ที่พวกเราจะได้และเป็นคติเตือนใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท นั่นก็คือ

๑. เรื่องของแม่น้ำปิงหรือแม่น้ำอิง เรื่องนี้เกิดจากความไม่พอ หรือว่าความไม่อิ่มของคนในโลก ที่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่า พระรัฐบาล ท่านเป็นลูกของมหาเศรษฐี แล้วก็ได้พยายามดื้อแพ่งกับบิดามารดาทั้งสองท่าน ตั้งใจจะบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อบิดามารดาไม่ยอมอนุญาต ท่านก็ถือว่ายอมตายเสียดีกว่า ถือว่าถ้าเราไม่ได้บวชเราก็ยอมตาย ไม่กินข้าวไม่กินปลา ไม่ลุกจากที่นอนไปไหน

พ่อแม่พี่น้องญาติทั้งหลายจะอ้อนวอนสักเท่าไรก็ดี ท่านรัฐบาล บุตรชายคนดีก็ไม่ยอมลุกขึ้นมาจากที่ ต่อมาบิดามารดาได้นำเอาเพื่อนมาปลอบ เพื่อนจะปลอบโยนเท่าไรก็ตามที ท่านรัฐบาล ลูกชายเศรษฐีก็ไม่ยอมเชื่อฟัง แล้วก็บอกว่า ถ้าเราไม่ได้บวชเราจะยอมตายเสียดีกว่า ครั้นเมื่อต่อมา บรรดาเพื่อนทั้งหลายเห็นว่าจะเอาไว้ไม่ได้ จึงได้แนะนำแก่บิดามารดาของท่าน พระรัฐบาล ว่าปล่อยให้บวชดีกว่า เพราะการบวชเป็นของยาก

พระที่บวชในพระพุทธศาสนาย่อมมีความปรารถนาไม่สมหวัง คือ อยากได้ร้อนก็กลายเป็นได้เย็น อยากได้เย็นกลายเป็นได้ร้อน อยากได้ของอ่อนก็เป็นของแข็ง อยากได้ของแข็งก็กลายเป็นของอ่อน รวมความว่าความเป็นอยู่ของพระเต็มไปด้วยความลำบาก ชีวิตต้องอาศัยบุคคลอื่นเป็นสำคัญ

ควรที่บิดาและมารดาทั้งสองท่านจะยอมให้ รัฐบาล บวชในพระพุทธศาสนา และในฐานะที่ท่านเป็นลูกมหาเศรษฐี ได้รับการตามใจจากท่านเป็นอย่างดี แล้วก็ปรารถนาอะไรก็ได้สมหวัง เมื่อโดนเข้าแบบนั้นไม่นานนักก็จะต้องสึกออกมาครองฆราวาสวิสัย ท่านมหาเศรษฐีรวมทั้งตาทั้งยายเห็นใจว่า ควรจะให้เป็นไปตามนั้น จึงได้อนุญาตให้บวช

เมื่อได้รับคำสั่งให้บวชท่านก็ดีใจ ลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาเสร็จ ก็เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อไปเฝ้าแล้วกราบทูลสมเด็จพระประทีปแก้วว่า เวลานี้บิดามารดาอนุญาตให้บวชแล้ว สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้บวชให้

แล้วต่อมาท่านตามองค์สมเด็จพระจอมไตรไปในระหว่างทาง ชั่วพรรษาเดียวก็ปรากฏว่า ท่านได้พระอรหันต์มาแล้ว แต่การที่ได้พระอรหันต์มานี่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าได้มาตั้งแต่สมัยไหน บวชกี่วันแล้วจึงได้ เป็นอันว่าผ่านพรรษาไปแล้วท่านกลับมาบ้าน ก็ปรากฏว่าท่านเป็นพระอรหัตผล เป็นอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา

เมื่อมาถึงบ้านแล้ว บิดามารดานำเงินทองของใช้ ทรัพย์สินทั้งหลายมากองให้ดู ว่าควรจะสึกมาปกครองของทั้งหมดนี้ เพราะเป็นสมบัติของเจ้า ท่านก็แนะนำบอกให้เอาทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไปทิ้งทะเลเสีย เพราะว่าคนทุกคนเกิดมาครองสมบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติชุดนี้เป็นมหาเศรษฐีมาหลายสิบชั่วคน แล้วคนที่ปกครองทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีใครทรงชีวิตอยู่ สู้ปฏิบัติตามกระแสพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมครูไม่ได้

สนทนาธรรมกับพระเจ้าโกรัพยะ

เมื่อท่านบิดามารดาได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ เลยเก็บของ แล้วหลังจากนั้นท่านก็เข้าไปในพระราชฐาน คือพระราชอุทยานของ พระเจ้าโกรัพยะ เพราะในฐานะที่เป็นลูกเศรษฐี เคยรู้จักกันเมื่อเข้าเฝ้าพร้อมกับบิดา เศรษฐีสมัยนั้นเขาถือว่าต้องเข้าเฝ้าเหมือนกับขุนนางผู้ใหญ่

เมื่อไปพักอยู่ในพระราชอุทยานของ พระเจ้าโกรัพยะ วันหนึ่ง พระเจ้าโกรัพยะ เสด็จไปพบเข้า จึงได้สนทนาปราศรัยกัน ท่านถามว่า ท่านรัฐบาล ท่านเป็นเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ใหญ่ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ต้องการอะไรก็ได้สมหวัง แล้วท่านสละทรัพย์ที่มีค่านี้เข้าไปบวชทำไม เพราะความเป็นอยู่ของพระไม่ต่างอะไรกับขอทาน

ท่านพระรัฐบาล ก็ตอบว่า ที่อาตมาบวชนี้ก็เพราะอาศัยว่า เห็นว่าโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ เป็นทาสของตัณหา มันหาที่สุดไม่ได้

พระเจ้าโกรัพยะ จึงถามว่า เรื่องราวมันเป็นยังไง ไหนลองเล่าให้ฟังซิว่าโลกพร่องเป็นนิจ เป็นทาสของตัณหาเป็นยังไง

ท่านพระรัฐบาล จึงได้ถามว่า เวลานี้พระองค์เป็นพระราชาปกครองประเทศนี้ ถ้าบังเอิญมีข่าวว่าประเทศโน้น อยู่ทิศไม่ไกลนัก อาณาเขตติดต่อกันกับของพระองค์ เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ แต่อ่อนแอด้วยการปกครองหรือว่าการรักษาประเทศ หากว่าพระองค์จะยกกองทัพไปเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็สามารถจะยึดได้โดยสบาย โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อประการใด อย่างนี้พระองค์จะเอาไหม

พระเจ้าโกรัพยะ ก็บอกว่า เอา อย่างนี้ต้องเอาแน่ พระรัฐบาล จึงได้ถามต่อไปว่า ถ้ามีข่าวเขามาบอกว่ามีอีกหลาย ๆ ประเทศ ถ้าทำแบบนี้ละก็ พระองค์ยึดได้แบบสบาย ๆ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ พระองค์จะเอาไหม

พระเจ้าโกรัพยะ ก็เลยบอกว่า...เอา พระรัฐบาล จึงได้บอกว่า นี่แหละที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า "โลกพร่องอยู่เป็นนิจ" มันหาความเต็มไม่ได้ ไอ้คำว่า "เต็ม" นี่หมายถึง "เต็มกำลังใจ" ทรัพย์สินทั้งหลายมีแล้วเท่าไร มันก็ไม่รู้จักพอ ก็เช่นเดียวกับพระองค์ เวลานี้เป็นพระราชาครองเมืองนี้มีความสุขพอสมควร ถ้าเขาบอกว่าเมืองอื่นมีความอ่อนแอ แต่ว่ามีความอุดมสมบูรณ์มาก ยึดได้โดยไม่ยาก พระองค์ก็ต้องการ แล้วก็ถ้าทุก ๆ เมืองในโลกเป็นอย่างนั้น พระองค์ก็จะยึดหมด

นี่ตรงตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมสุคตว่า โลกมันพร่องอยู่เป็นนิจ หาความเต็มไม่ได้ คือความพอของใจของคนในโลกนี้มันไม่มี แล้วก็เป็นทาสของตัณหา ตัณหาได้แก่ความทะยานอยาก เมื่ออารมณ์มันพร่อง ถ้าจะมีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งพอจะเกิดกับตนได้โดยไม่ยากนัก ความอยากก็ต้องมี ความต้องการเกิดขึ้น อยากจะเอาสิ่งนั้นมาเป็นสมบัติของตนให้ได้

ตานี้...ไอ้เรื่องของคนที่ปกครองทรัพย์สินทั้งหลาย อย่างพระราชฐานของพระองค์ก็ดี พระราชทรัพย์ทั้งหมดนี้ ก็ปรากฏว่ามีพระราชาปกครองมามาก บางรายก็จำชื่อกันไม่ได้แล้ว นับเป็นตระกูลสืบต่อกันมา แต่ทว่าพระราชาทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะทรงชีวิตอยู่ได้ เวลานี้ต่างคนต่างตายจากหายไปจากทรัพย์สมบัติ

แม้แต่พระองค์ก็เหมือนกัน ไม่ช้าก็จะต้องทิ้งทรัพย์สมบัติจำนวนนี้ไว้ให้คนอื่นปกครองต่อไป อาตมาเชื่อคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาอย่างนี้ จึงได้เห็นว่าโลกียทรัพย์ไม่มีประโยชน์ สู้โลกุตรทรัพย์ไม่ได้ โลกุตรทรัพย์เป็นทรัพย์ที่ไม่มีการถอนตัว มีอยู่เท่าไหนก็ทรงเท่านั้น ให้แต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ ตัดอำนาจกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมเสียได้หมด นี่สาวกของสมเด็จพระบรมสุคตพูดอย่างนี้กับ พระเจ้าโกรัพยะ

ll กลับสู่ด้านบน

<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/5/09 at 01:54 [ QUOTE ]


Update 31 พ.ค. 2552


พ่อขุนทั้งสาม


…..ตานี้ เรามาถึงแม่น้ำอิงหรือแม่น้ำปิง เราก็พบ..พบเรื่องความไม่พอของพ่อขุนทั้งสอง อันนี้ ความจริงมันก็เป็นเรื่องของพ่อขุนของเราเอง พ่อขุนพระร่วง กับมเหสีของ พระยางำเมือง

นี่ความจริงคนทั้งสองต่างคนต่างมีสามี ต่างคนต่างมีภรรยากันแล้ว แต่ไอ้ใจมันเข้าไปตรงกัน ความพอมันก็เกิดไม่มี ยุ่งเหยิงกันขึ้นอย่างนี้ เกือบจะถึงกับเพื่อนฆ่ากันตาย เรียกว่าเพื่อนต่อเพื่อนเกือบจะเป็นศัตรูกัน เกือบจะฆ่ากันตาย ถ้าใครตายสักรายหนึ่ง สมมติว่า พระร่วงตาย คราวนี้สงครามใหญ่มันก็จะเกิด

เพราะอะไร ชาวเมืองสุโขทัยจะถือว่าทำลายชีวิตพระราชาของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไปของพระร่วงก็ไปสอนวิชาต่าง ๆ ให้กับพระยางำเมือง ทีนี้เขาจะหาว่า พระยางำเมืองแกล้งฆ่าพระร่วง หวังจะยึดทรัพย์สมบัติ จะยึดประเทศชาติ กล่าวคือกรุงสุโขทัย เป็นสมบัติของตัว ทีนี้เรื่องมันก็จะยุ่งกันใหญ่

เหตุร้ายที่ปรากฏมาได้ก็เพราะอาศัยอะไรเป็นปัจจัย นี่เราจะเห็นได้ว่า คำที่ พระรัฐบาล กล่าวว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิจ เป็นทาสแห่งตัณหา มันหาความพอไม่ได้ ทีนี้ต่างคนต่างพอเสียแล้ว คิดว่าเราก็มีเมียแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็คิดว่าเรามีผัวแล้ว ไอ้เรื่องการสัมผัสซึ่งกันและกันมันก็มีผลเท่านั้น

ชั่วขณะเดียว เมื่อยับยั้งชั่งใจเสียได้ อย่างนี้เรื่องใหญ่มันก็ไม่เกิด นี่อาศัยว่าพระยางำเมือง เป็นคนมีปัญญา เห็นการณ์ไกล จึงได้นำเอา เจ้าพ่อขุนเม็งราย เข้ามาช่วย พ่อขุนเม็งราย ก็แสนที่จะเป็นท้าวมาลีวราชว่าความได้เป็นอย่างดี สามารถประสานความสามัคคีไว้ได้ อย่างนี้ก็น่าเลื่อมใสในความคิดของพระยางำเมือง และ พ่อขุนเม็งราย

แต่ว่าบรรดาท่านทั้งหลาย ชื่อของบุคคลทั้งหลายที่พูดมานี้ ท่านพบไหมเวลานี้ ท่านเคยเห็นร่างกายของบุคลทั้ง ๓ และบุคคลทั้ง ๔ นี่ไหม ที่ว่าเป็นคนสำคัญในสมัยนั้น จัดว่าสำคัญในตัวเรื่อง ทีนี้ดีไม่ดี ถ้าที่เขาว่าพระร่วงนี่ เราก็ร่วงไปตาม ๆ กัน ก็เลยไม่ทราบพระร่วงองค์นี้นั้น คือพระร่วงองค์ไหน

นี่ เอาเข้าแล้ว ทีนี้บางทีก็ลืมชื่อพระราชาทั้งสองพระองค์ คือพระยางำเมืองกับพ่อขุนเม็งราย นี่ก็อาจจะเป็นไปได้นี่เป็นเพราะอะไร ก็เพราะว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ว่าความตายเป็นของเที่ยง ความรักระหว่างหนุ่มสาวทั้งสอง คือหนุ่มเมียเผลอกับสาวผัวเผลอ รักระรื่นชื่นใจกันได้ชั่วขณะหนึ่ง ต่างคนต่างก็ตายจากกันไป แล้วก็สมบัติของโลกนี้มันมีอะไรจีรังยั่งยืน นี่มันก็น่าจะเป็นครูสำหรับพวกเรา

นี่กำลังเดินเข้ามาพบประวัติศาสตร์ของแม่น้ำปิง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราก็ทราบอยู่แล้วว่า แม่น้ำปิงมีความหมายอย่างไร มีชื่อยังงี้ขึ้นมาได้ เพราะอะไรเป็นปัจจัย แล้วท่านทั้งหลายต่างคนก็ต่างตาย แล้วก็เราล่ะ เราจะอยู่ยิ่งไปกว่าท่านได้หรือเปล่า ท่านตาย เราไม่ตายยังงั้นหรือ

นี่ชื่อว่าเราได้ครูใหญ่ ขึ้นชื่อว่าความไม่พอ การตะเกียกตะกายอยากได้ทรัพย์สินมาโดยไม่ชอบธรรม เราไม่ควรปฏิบัติ ถึงแม้ว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคจะไม่ทรงกล่าวติเตียนก็ตาม ความจริงพระพุทธเจ้าแนะนำไม่ให้ทำ แต่ไม่เคยติใคร ใครอยากจะทำก็ทำ ก็ตามใจ นี่ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา รู้นิสัยคนของบุคคลที่มีกิเลส คนที่มีกิเลสย่อมขาดเหตุขาดผล ขาดความพอ

นี่สมมติว่า ถ้าเรารู้ตัวของเราว่า เราจะต้องตายเช่นเดียวกับพ่อขุนเม็งราย พระยางำเมือง และพระร่วงเจ้าของเรา เราเองก้ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรประกอบสัมมาอาชีวะ เพื่อยังความเป็นอยู่ในการทรงตัวให้เป็นสุข แต่ก็ต้องคิดไว้เสมอว่า ทรัพย์สินทั้งหลายที่มีอยู่ สามี ภรรยา บุตร ธิดา ตลอดจนข้าทาสหญิงชาย พวกพ้อง พี่น้อง พ่อแม่ ปูย่า ตายาย ทั้งหมด คนทั้งหมดนี้ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากเราไป ทั้งหมดไม่มีใครจะสามารถทรงตัวอยู่ได้

นี่การเห็นแม่น้ำปิง นึกถึงอารมณ์ของความจริงในคติของพระพุทธศาสนา มันก็จะได้ประโยชน์ นี่เราก็มานั่งคิดต่อไปว่า การที่เราจะป่วยไข้ไม่สบายความตายปรากฏ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจปรากฏ มีอะไรเป็นเหตุ มองไปให้ดีจะทราบว่า องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ท่านบอกว่า เพราะอาศัยความเกิดเป็นเหตุ ถ้าเราไม่เกิดเสียอย่างเดียว ตายมันก็ไม่มี การพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ไม่มี การระทมด้วยอำนาจของทุกข์ใด ๆ สักนิดหนึ่งมันก็ไม่ปรากฏ

ทีนี้ การที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตสอนให้บรรดาท่านพุทธบริษัท รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล เจริญสมถะภาวนา วิปัสนาภาวนา ก็มีความประสงค์อยู่อย่างเดียว คือ ความดับไม่มีเชื้อจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ความจริงเท่านี้พอแล้วใช่ไหม




ประวัติครูบาเจ้าศรีวิชัย

บรรดาท่านพุทธบริษัท ทีนี้เราเดินทางกันต่อไป ขึ้นไปถึงดอยสุเทพ เห็นรูปของครูบาศรีวิชัย สมัยนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมาก พระภาคเหนือไม่มีใครเกินท่าน ขึ้นชื่อว่าสมรรถภาพแห่งการสร้างสรรค์ความเจริญ ไม่มีใครยิ่งไปกว่าพระครูบาศรีวิชัย แต่ว่าครูบาศรีวิชัย จะวิเศษขนาดไหน จะทรงคุณธรรมมากขนาดไหนก็ตามที

เวลานี้ปรากฏว่า เราเข้าไปหาพระคุณเจ้า ถ้าเราไหว้ พระคุณเจ้าก็ไม่รับไหว้ เรานั่งอยู่ข้างหน้า พระคุณเจ้ามองตาไปทางไหนก็ไปทางนั้น ไม่เหลียวมาดูเรา เราจะเดินไปข้างหลังก็ไม่ว่าอะไร ไม่เหลียวไปดู ยืนแข็งทื่อเป็นไม้ท่อน ทั้งนี้ก็เพราะอะไร เพราะว่าเขาปั้นรูปท่านไว้ สภาวะที่จะมีการเคลื่อนไหวได้ ไม่มีสำหรับครูบาศรีวิชัย

แล้วเป็นยังไงล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่ท่านเป็นผู้วิเศษ แต่เวลานี้ชีวิตก็ต้องสิ้นไป ท่านมีความดีขนาดนั้น ท่านยังตาย แล้วก็เราจะไม่ตายหรือยังไง แล้วก็ความตายสำหรับท่านกับเราน่ะก็ขอให้มันเหมือนกัน อย่าได้ต่างกัน คือท่านตายอย่างคนที่ไร้กิเลสสภาวะ จัดว่าเป็นพระเต็มตัว จิตประกอบไปด้วยความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทรงพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา

จิตของครูบาศรีวิชัยปราศจากนิวรณ์ ๕ ประการ จัดว่าเป็นจิตประกอบไปด้วยความเลิศ ทรงความประเสริฐยิ่งไปกว่านั้น ครูบาศรีวิชัยก็ยังมีวิปัสนาญาณเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจ ยอมรับนับถือกฏของธรรมดาตามอำนาจของความจริง ไม่มีความสะดุ้งสะเทือน ไม่มีความหวาดหวั่นในเหตุการณ์ที่จะพึงเข้ามากระทบ ความดีของพระคุณเจ้าครูบาศรีวิชัยเป็นความดีใหญ่มหาศาล ยากที่พระในปัจจุบันจะเจริญรอยตามได้ เพราะในสมัยนั้นไม่มีวิทยุ ไม่มีหนังสือพิมพ์เป็นเครื่องช่วยออกข่าว แต่ทว่าพระคุณเจ้าจะทำอะไรใหญ่ทุกชิ้น และก็สำเร็จได้ด้วยง่ายดาย ทั้งนี้เพราะอำนาจของความดี

นี่..คนที่ทรงความดีเปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมี คือมีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์ กิเลสสภาวะทั้งหลายเกือบจะสลายตัวหมด หรือหมดไปแล้วก็ไม่ทราบ ไม่อยากจะเดา แต่ถึงกระนั้น พระคุณเจ้าก็ยังถูกการกลั่นแกล้งจากนักบวชที่มีใจอธรรม บวชเข้ามาก็เพื่อทำลายพระพุทธศาสนา กล่าวหาโทษพระคุณเจ้าครูบาศรีวิชัยด้วยประการทั้งปวง จัดว่าเลวแสนเลวจนเขาเลี้ยงกันไม่ได้ หาเรื่องราวให้จับครูบาศรีวิชัยสึก

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท มาพบหน้าครูบาศรีวิชัยแล้ว เราก็จะได้เหตุทั้ง ๒ ประการเข้าไปควบกัน ว่าความดีของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่มีความเคารพในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายเหล่านี้เมื่อมีความดีในใจพอ มีความบริสุทธิ์ใจมาก การก่อสร้างวัตถุต่าง ๆ ก็ไม่มีอะไรจะยาก มันง่ายทั้งหมด อยูในป่า ก็ทำป่าให้เป็นเมืองขึ้นมาได้โดยไม่ต้องมีอาการดิ้นรน

ทั้งนี้ก็เพราะว่าบรรดาประชาชนย่อมทราบชัดในความดี ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าท่านดีขนาดไหนก็ตาม แต่ก็สีกระแสความดีมันเข้าไปกระทบใจ ดึงกำลังศรัทธาปสาทะให้เกิดความเชื่อ ความเลื่อมใส ซึ่งตรงกันข้ามกับนักบวชจัญไร เรี่ยรายมาเท่าไรก็ตาม ไม่สร้าง ไม่ทำ มีแต่ความทรุดโทรม ปล่อยของเก่าให้พินาศไป ดีไม่ดี หาเงินมาได้แล้ว บอกบุญเรี่ยไรเข้ามา ก็มาตั้งหน้าเอาเงินฝากธนาคารให้กู้บ้าง หวังดอกเบี้ยเพื่อเป็นประโยชน์ของตน

นี่นักบวชที่มีน้ำใจเป็นอกุศลเขาเป็นอย่างนี้ นักบวชประเภทนี้อยู่ที่ไหน ก็มีแต่ความโทรม มีแต่ความเสื่อม ถึงแม้ว่าจะโฆษณาแบบไหน มันก็ทนไม่ไหวละ บรรดาท่านพุทธบริษัท

อันนี้เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทอ่านแล้วก็จงคิดไว้ด้วยว่า ครูบาศรีวิชัยจัดว่าเป็นพ่อ พ่อของคนหลายจังหวัด ทุกคนเคารพเหมือนพ่อหรือว่ายิ่งกว่าพ่อ มีความดีเสมอเท่าเทียมกัน สำหรับบุคคลผู้ไปหาทั้งหมด แต่ก็ยังปรากฏว่ามีนักบวชที่เอาผ้ากาสาวพัสตร์เข้ามาห่อหุ้มกาย คิดทำร้ายท่าน ถึงกับสั่งจับสึกออกจากความเป็นพระ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้สึก เพราะว่าไม่มีใครกล้าไปสึกท่าน ท่านไม่ได้ต่อต้านด้วยกำลังแบบนักเลง ท่านก็อยู่ของท่านเฉย ๆ ผลที่สุดก็ทำท่านไม่ได้

ตานี้ ครูบาศรีวิชัยเป็นพระอุปัชฌาย์บวชพระสมัยก่อน พอ ๑๐ พรรษาก็เป็นอุปัชฌาย์ได้ตามพระวินัย มาสมัยใหม่นี่ เขาถือว่าวินัยใช้ไม่ได้ ต้องมีการแต่งตั้ง นี่สิ บรรดาท่านพุทธบริษัท ผลร้ายมันจะเกิดแก่พระศาสนา พระอุปัชฌาย์แต่งตั้งนั้นเท่าที่เคยเห็นมา บางท่านก็ดีแสนดี แต่บางทีก็ระยำบอกไม่ถูก ตัวเองถ้าเป็นอาบัติตั้งแต่สังฆาทิเสสแล้ว เผลอเป็นปาราชิกในด้านทรัพย์สินเข้าสักหน่อย สังฆกรรมที่บวชพระองค์นั้นมันก็กลายเป็นเถรไป

ที่มีนักหนังสือพิมพ์ นักการเมืองคนหนึ่งเขาแก้ เขาบอกว่า อุปัชฌาย์เป็นปาราชิกองค์เดียวหรือเป็นสังฆาทิเสสองค์เดียว ก็สงฆ์อื่นมีตั้งเยอะแยะ สังฆกรรมจะเสียได้อย่างไร ไอ้การพูดแบบนี้ละก็มันพูดเลยพอดีไป ก็พูดได้ และพูดแบบชนิดที่เรียกว่าไม่รับผิดชอบในพระพุทธศาสนา ความจริงเขาเอง เขาก็เป็นคนนอกศาสนาอยู่แล้ว

ตัวอย่างในสมัยสมเด็จองค์พระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังอยู่ สมัยนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูก็จะต้องสวดปาฏิโมกข์อยู่เองเป็นปกติ สวดเอง คำว่าสวดไม่ใช่ว่า สุนาตุเม ภันเต สังโฆ อะไรอย่างพวกเราว่าปรื๋อ ไม่ใช่ยังงั้น แค่เราไปแนะนำสิกขาบทต่าง ๆ ว่าอย่างนี้ควรทำ อย่างนี้ไม่ควรทำ เอาเพียงเท่านี้

ตานี้ในเมื่อมีวันหนึ่ง พระสงฆ์ประชุมกันครบจะทำสังฆกรรม คือ ลงอุโบสถปาฏิโมกข์ ถึงเวลาแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่เสด็จมา เมื่อคอยนานหนักเข้า พระสารีบุตรจึงไปกราบทูลว่า เวลานี้พระประชุมพร้อมแล้วและนานแล้วพระเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า

“สารีบุตร เราไปไม่ได้ดอก สังฆกรรมวันนี้เสีย เพราะในที่ประชุมมีพระที่เป็นอาบัติสังฆาทิเสสอยู่องค์หนึ่ง พระที่ต้องอาบัติตั้งแต่สังฆาทิเสสขึ้นไปนี่ ถ้าประชุมในสังฆกรรมใด ๆ ก็ตาม สังฆกรรมนั้นไม่เป็นสังฆกรรม”

พระสารีบุตรจึงมาประกาศว่า พระอะไรที่เป็นอาบัติสังฆาทิเสสให้ลุกจากที่ทันที ออกจากที่ประชุม องค์นั้นแกเป็นพระหน้าบาง ขี้อาย ก็เลยไม่กล้าลุก ในที่สุดพระโมคคัลลาน์ก็ต้องฉุดกระชากลากไป ความจริงท่านรู้ ถ้าหากว่าไม่เป็นบัญชาขององค์บรมครูนั่น ทำไม่ได้ เพราะว่าผู้ใหญ่ยังมีอยู่ เมื่อพระโมคคัลลาน์ลากพระองค์นั้นไปจากที่ประชุมแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จแล้วก็สวดพระปาฏิโมกข์

นี่แหละท่านทั้งหลาย ถ้าบรรดาอุปัชฌาย์ทั้งหลาย พระเลว ๆ ตั้งแต่สังฆาทิเสสขึ้นไป ลูกหลานของท่านทั้งหลายที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาที่คนนอกรีตนอกรอยเขาบอกว่า อุปัชฌาย์เป็นอาบัติสังฆาทิเสสหรือปาราชิกองค์เดียว นอกนั้นสงฆ์อีกเป็นสิบ ๆ ก็ยังคงเป็นพระได้ อันนี้มันไม่จริง เราเชื่อพระพุทธเจ้ากันดีกว่าไปเชื่อคนเลว ว่าคนที่พูดนั้นถึงแม้จะเป็นนักการเมือง นักกวนเมือง นักอะไรก็ช่าง เขาเองศีล ๕ มันยังไม่ครบ แล้วจะมายุ่งอะไรกับศีล ๒๒๗ มันก็เรียกว่าเข้าถึงกันไม่ได้ แค่ศีล ๕ เท่านั้นไซร้เขายังปฏิบัติไม่ได้ แล้วเขาจะมาล่วงรู้เรื่องจริง ๆ ของศีล ๒๒๗ ได้ยังไง

นี่ละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระอุปัชฌาย์ที่เขาแต่งตั้งกับอุปัชฌาย์ผู้ทรงความดี ท่านว่าอย่างไหนดีกว่ากัน ความจริงเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องของพระธรรมวินัย ไม่ใช่ว่าจะยกบทบัญญัติใด ๆ ขึ้นมาลบล้างความดีของพระพุทธศาสนา ระเบียบที่ร่างไว้นั่นแหละมันดี แต่ไอ้การปฏิบัติที่บรรดาท่านพุทธบริษัทคอยจะหลีกดีกันอยู่เสมอ ที่เขาเรียกกันว่า อุปัชฌาย์เป็ดอุปัชฌาย์ไก่ก็มีไข่เข้าไปเลี้ยงกันได้

นี่ความได้จากสิ่งที่เราผ่านมามันเป็นยังงี้ แต่ความดีของครูบาศรีวิชัย ทำดีเท่าไรก็ตามมันก็มีโทษมีทุกข์ มีคนเขากลั่นแกล้ง ถ้าเหตุอย่างนี้เกิดแก่บรรดาท่านทั้งหลายที่มาด้วยกันและได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ก็จงคิดว่าครูบาศรีวิชัยมีความดียิ่งกว่าเรา ท่านก็ยังถูกโทษทำลายเหล่านี้ คนเลวทั้งหลายกลั่นแกล้งเอาได้ฉันใด เรานี้ก็เป็นคนที่มีกิเลสหนา มีความดีไม่เท่าท่าน จะให้ความเดือดร้อนทั้งหลายเหล่านั้นไม่ปรากฏกับเราเห็นจะไม่ได้แน่

เป็นอันว่าถ้าอะไรก็ตามมันเป็นความเดือดร้อนเกิดขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องของธรรมดา แม้แต่ครูบาศรีวิชัยท่านตายไปแล้ว เรื่องเกิดขึ้นกับท่านได้ เวลานี้ท่านก็ตาย คนที่กลั่นแกล้งท่านก็ตาย เราก็จะต้องตายเหมือนกัน แต่ว่าการตายของเรานี้นั้นควรจะเลือกตายแบบครูบาศรีวิชัย อย่าเลือกตายอย่างนักบวชจัญไรที่กลั่นแกล้งท่านให้มีความทุกข์ เพราะว่าเวลานี้ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปมีความสุขในอเวจีมหานรกสบายไปตาม ๆ กัน

เอาละ ท่านผู้ฟังทุกท่านเรื่องราวที่เราได้จากสถานที่ คือ แม่น้ำปิงกับดอยสุเทพ ถ้าจะกล่าวกันไปเท่าไรมันก็ไม่จบ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ตอนหน้าฟังเรื่องเดินทางต่อไป สู่อะไร…น้ำตกแม่สายหรือว่าน้ำตกแม่สากันใหม่ สำหรับตอนนี้ ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี…

◄ll กลับสู่ด้านบน

<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/9/09 at 23:48 [ QUOTE ]


(Update 20 ก.ย. 2552)


บทที่ ๔


ท่องน้ำตกแม่สา



แผ่นดินสะเทือนที่น้ำตกแม่สา





…เมื่อออกจากภูพิงค์ราชนิเวศน์ แล้วก็ดอยสุเทพแล้ว คณะบรรดากองทัพลิงทั้งหลายก็พากันเดินไปที่น้ำตกแม่สา สำหรับที่น้ำตกแม่สานี้ ความจริงก็ไม่มีอะไรสำคัญ ถ้าจะพูดกันไปมันก็เสียเวลาเปล่า แต่ทว่าสิ่งที่มีความสำคัญบ้างเล็กน้อย ที่จะพูดให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้รับทราบ ก็มีอยู่คือ เมื่อถึงน้ำตกแม่สาแล้ว คณะเราก็ไปพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวณชายแดน มี ร.ต.ท. อรรณพ เป็นหัวหน้า ไปคอยดักพบที่นั่น เมื่อไปถึงที่น้ำตกแม่สา ก็ปรากฏว่าเป็นเวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกาพอดี บรรดาคณะที่ไปทั้งหมดก็จัดแจงเรื่องสำคัญที่สุด คือ กองเสบียง ตอนนี้ก็จัดแจงเลี้ยงอาหารกัน


ความจริงเรื่องของน้ำตก ถ้าเราจะถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ มันก็เป็นของไม่แปลก เวลานี้ถ้าใครอยากจะชวนไปเที่ยวน้ำตก ก็จะบอกว่าเบื่อเหลือเกิน เพราะไม่มีความหมาย แต่ทว่าเรื่องของคนที่มีบุญ หรือว่าเรื่องของคนที่สนใจในบุญ ถ้าไปที่ไหนก็พบบุญ แต่คนที่สนใจบาป ไปที่ไหนมันก็พบบาป


รวมความว่าคนดี ไปที่ไหนก็พบแต่ความดี แต่คนชั่ว ไปที่ไหนก็พบแต่ความชั่ว การที่มาน้ำตกแม่สานี่ก็เหมือนกัน อันดับแรกที่เข้าไปถึง สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ ปิยสหาย นั่นก็คือ สุนัขใหญ่ ๒ ตัว เมื่อเดินเข้าไปถึงแล้ว เจ้าเพื่อนรักก็เข้ามาหาทันที ทำลีลาเหมือนกับว่ารู้จักกันมานานนักหนาแล้ว


เมื่อบรรดาเจ้าหน้าที่ คือ คณะที่ไปนำอาหารมาให้ หัวหน้าลิงผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ก็เริ่มกินข้าว อาหารที่เขานำมาให้กิน ความจริงคนเดียว หรือว่าลิงตัวเดียวกินนะมันไม่ไหวแน่ ถ้าจะยกทัพลิงมาร่วมกันอีกสัก ๒๐ ตัว มันก็กินไม่หมด นี่อาหารที่เขามาให้ เขามาให้ด้วยศรัทธา ก็กินตามอัธยาศัยเท่าที่ท้องจะบรรจุได้


แต่ลิงประเภทนี้เป็นลิงฤาษี แก้มไม่สามารถจะบรรจุอาหารตุนเข้าไว้ได้ ไม่เหมือนลิงธรรมดา ถ้าจะพูดกันไปอีกที ก็มีวาสนาบารมีไม่เท่าลิงธรรมดานั่นเอง เพราะว่าลิงธรรมดาไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดพระวินัยในพระพุทธศาสนา ไม่ผิดระเบียบประเพณีของคน ลิงจะขี้ที่ไหน จะกินที่ไหน จะนอนที่ไหน จะแก้ผ้าเดินที่ไหน จะสมสู่คู่กันในฐานะสามีภรรยาที่ไหนก็ทำได้


แต่ว่าลิงจัญไรหัวหน้าทัพ หัวหน้ากอง หรือหัวหน้าหน่วยที่ไปนี่ ทำอย่างนั้นไม่ได้ เป็นอันว่าลิงตัวนี้มีศักดิ์ศรีไม่เท่าลิงธรรมดา ไม่มีอิสรภาพ ไม่มีอำนาจเหนือกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นไร ในฐานะที่เกิดมาเป็นลิงที่มีวาสนาบารมีน้อย มันก็เป็นอย่างนั้น จะไปแข่งขันกับลิงที่มีบารมีใหญ่ มันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่ควรคิด


อย่างนี้เรียกว่าควรจะคิดว่าเป็นเรื่องของอจินไตย ตามที่สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า อะไรถ้ามันเกินวิสัยที่เราจะพึงทำได้ สิ่งเหล่านั้นไม่ควรคิด ถ้าขืนคิดแล้วก็กวนประสาทเปล่า ๆ จะไปหนักใจหมอประสาทหรือว่าหมอโรคจิต


ทีนี้มาว่ากันถึงปกติ เมื่อบริโภคอาหาร ท่านปิยสหายทั้งสอง คือ สุนัขตัวใหญ่ นี่ผู้อ่านคงจะสงสัยว่า เอ...ไอ้เจ้าฤาษีตัวนี้นี่ หรือว่าจะเรียกฤาษีตนนี้ หรือว่าจะเรียกฤาษีองค์นี้ก็ดี (เพราะว่าเห็นหมาเข้าเมื่อไร มันปรากฎว่าเห็นหมาเป็นเพื่อนไปเสียทุกที ก็แสดงว่าเจ้าฤาษีตัวนี้ ใช้คำว่าตัวมันก็ถูก ก็หมาเขาเรียกว่า หมาตัวนั้น หมาตัวนี้ แต่ว่าเจ้าฤาษีตัวนี้มันเป็นเพื่อนกับหมา ความจริงลิงกับหมานี่เป็นมิตรกัน ถือว่าเป็นสัตว์หน้าขน คนจัญไรเหมือนกัน ชาวบ้านเขาเห็นว่าศักดิ์ศรีต่ำ แต่ทว่าฤาษีตัวนี้เห็นว่าหมาเป็นมิตรที่ดี)


ในเมื่อเจ้าหมาสองตัว มันเห็นเพื่อนของมันเข้าไปก็ตั้งใจวิ่งรี่เข้ามาหา เมื่อมาหาแล้วเราก็ต้องแบ่งกันซิ เพื่อนกันนี่นะ ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกัน เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน รู้จักหิว รู้จักหนาว รู้จักร้อน รู้จักสบาย – ไม่สบาย เหมือนกัน มีสภาวะเหมือนกัน เมื่อเจ้าลิงกิน หมามันก็อยากจะกินบ้าง แต่ว่าหมาสองตัวนี่น่ารัก มีระเบียบวินัยดี พอส่งอาหารให้ชิ้นหนึ่ง มันก็คาบไปกินอย่างเรียบร้อย นอนกินแบบสบาย หมดแล้วก็มายืนมองดูใหม่ ส่งให้ใหม่ ก็กลับไปนอนกินใหม่ อันนี้น่ารักจริง ๆ


เมื่อบริโภคอาหารเสร็จ หลังจากนั้น พลพรรคบริโภคอาหารแล้ว ก็มานั่งสนทนากันตามสมควร เวลานั้นปรากฎว่ามีเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. คือ ท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ ซึ่งคุยอยู่กับ รังสิต (อู๊ด) แล้วก็หลายคนด้วยกันมาชุมนุมกัน ต่างคนต่างนั่งกันตามอัธยาศัยที่น้ำตกแม่สา มีร้านอาหารขาย มีห้องส้วม ห้องน้ำดี บางคนกินแล้วก็เอาของเก่าไปทิ้งเสีย ของใหม่เก็บไว้ บางท่านยังไม่ทันจะบรรจุของใหม่ ก็เอาของเก่าไปทิ้ง เพราะในสถานที่นี้ เขามีที่ทิ้งของเก่าน่าไปเที่ยว


แต่ความจริงไม่ได้มานั่งโฆษณาให้น้ำตกแม่สา เพราะไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย การเข้าไปที่นั้นเขาก็ไม่ได้เก็บสตางค์ ยังมองไม่เห็นประโยชน์ที่รัฐบาลลงทุนในสถานที่นั้น แต่ก็ประโยชน์ที่จะพึงได้ ก็คือ รัฐบาลต้องการให้สร้างความชื่นใจ สร้างความสบายใจแก่บรรดาปวงชนชาวไทยและชาวเทศ


ขณะที่นั่งคุยกันไป ก็ปรากฎว่าแผ่นดินสะเทือนเหมือนกับรถสิบล้อวิ่งมา แต่ทว่าสะเทือนถี่กว่า เวลาที่สะเทือนนี่ เวลาประมาณ ๑ นาที ลิงมีความรู้สึกตัวดี แต่ทว่าไม่พูด เกรงว่าจะมีความรู้สึกแต่คนเดียว ความจริงอาการสะเทือนนั้นมิใช่สะเทือนเล็กน้อย คล้าย ๆ กับนั่งบนพื้นที่มันสั่นจนรู้สึกตัวได้ชัด และพอในระยะเวลาไม่ช้า ก็ปรากฎว่าบรรดาบริษัททั้งหลายที่ไปด้วยกัน ต่างคนก็เอะอะโวยวายบอกว่า ใครรู้บ้างว่าแผ่นดินสะเทือน เป็นอันว่าคนทุกคนที่นั่งอยู่รู้หมด เว้นไว้แต่คนที่กำลังเดินไปเดินมา เพราะร่างกายมันไหว ก็ไม่ทราบชัดว่าแผ่นดินสะเทือน….

ll กลับสู่ด้านบน


<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/10/09 at 15:26 [ QUOTE ]


(Update 1 ต.ค. 2552)



เทวดาชวนขุดทอง





…เมื่อแผ่นดินสะเทือน แผ่นดินสั่นเกิดขึ้น ดร.ปริญญา ก็บอกว่าเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติบ้าง แต่ทว่าเจ้าลิงนี่สิ ฤาษีลิงดำหัวหน้าทัศนาจรมันไม่ว่าอย่างนั้น พอแผ่นดินสะเทือน ก็กำหนดจิตคิดว่านี่มันเรื่องอะไร พอมีความดำริเท่านั้น ก็ปรากฎว่า บรรดาปิยสหาย คราวนี้ไม่ใช่หมาแล้ว กลายเป็นผี มีศีกดิ์ศรีใหญ่ แต่งตัวสีแดงพรืดไปหมด ประมาณ ๗๐ - ๘๐ คน แล้วก็ประมาณสีเขียวสีดำอีกหลายร้อยคน เห็นบริเวณนั้นเกลื่อนกล่นไปหมด จึงถามว่า

“นี่…พ่อเทวดา แกมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ และทำไมแผ่นดินมันถึงสะเทือน”

เขาก็ชี้ไปที่ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง คราวนี้ การไปคราวนี้ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง น้องชาย เจ้าพระยาโกษาปาน ท่านไปด้วย (ความจริงชื่อนี้สมมติขึ้นมา อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ๆ…ล้อกัน และ เจ้าพระยาโกษาป่อง เป็นใครก็อย่าคิด อย่าถาม ถามก็ไม่บอก)

แกก็เลยบอกว่า “เจ้าพระยาโกษาป่อง มันคิดจะขุดทรัพย์ มันคิดว่าที่นี่มีทรัพย์มาก มันอยากจะได้ทรัพย์ใต้แผ่นดิน ในเมื่อมันคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้มันรู้ว่ามีจริง”

ก็เลยถามเขาว่ามีมากไหม เขาบอกว่า เฉพาะทองคำประมาณ ๑๕ ตัน เห็นจะได้ แล้วยังมีแก้วที่มีค่ามาก ทีนี้ถามเขาว่า “มันอยู่ลึกไหมวะ จะขุดได้ไหม?” แกก็เลยบอกขุดไม่ยากหรอก มันไม่ลึกเท่าไหร่ ประมาณ ๑ กิโลเท่านั้นก็ถึง ก็เสร็จ ก็เลยบอกว่า

“นี่…แกไม่น่าจะบอกอย่างนี้นี่ เป็นของที่เกินวิสัยที่คนจะขุดได้ ทำไมถึงบอกอย่างนั้น”

เขาก็หัวเราะ ยังได้ถามว่าทรัพยากรทั้งหลายเหล่านี้ จะปรากฎเป็นผลดีแก่ประเทศชาติในสมัยไหน เขาก็เลยบอกว่า “อานุภาพของทรัพยากรทั้งหลาย จะปรากฎขึ้นในตอนกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยนั้นจะปรากฎว่า ประเทศจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมมูลบริบูรณ์ จะกลายเป็นประเทศมหาเศรษฐีเขตหนึ่ง อย่าว่าแต่เฉพาะในเอเซียเลย แม้แต่ยุโรปก็ต้องเอาใจ”

ทั้งนี้เพราะอะไร “เพราะว่าอำนาจบุญบารมีของกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ คือกษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เป็นผู้มีบุญบารมีใหญ่ ปูพื้นฐานเอาไว้ แล้วก็พระโอรสาธิราชที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ก็เป็นพระราชาที่มีบุญบารมีใหญ่ ที่คนทั้งหลายคิดว่า จะทำลายประเทศไทยให้เป็นคอมมิวนิสต์ มีจิตหยาบปรารถนาจะให้คนไทยทั้งชาติที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาเป็นทาสของบุคคลกลุ่มเดียว ไม่มีความหมาย เพราะความหวังตั้งใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ เขาจะพาตัวเขาพินาศไปเอง เพราะอำนาจบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีสมรรถภาพเป็นพิเศษ”


เขาว่าอย่างนั้น ก็เลยบอกว่า “โมทนาด้วยน่ะ แล้วก็ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นเทวดา ก็ต้องช่วยกันนะ” เขาก็เลยบอกว่าช่วยกัน ก็เลยถามต่อไปว่า การที่ทำแผ่นดินสะเทือนนี่น่ะ เป็นปัจจัยเพราะ เจ้าพระยาโกษาป่อง แกมีความละโมบโลภมาก อยากจะได้ในทรัพย์ในแผ่นดินนั้นใช่ไหม ก็มีท่านหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ ไอ้เจ้าพระยาโกษาป่องนี่มันเพื่อนกัน เคยเป็นเพื่อนร่วมกันมา แต่ว่าตอนนี้ตามันยังไม่ดี แต่ทว่านิสัยเขาก็ดี ก็คือว่า ชอบสร้างตัวเป็นคนสุจริต ไม่ทุจริตโกงเงินโกงทองของรัฐบาล รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แล้วก็มีจิตประกอบไปด้วยกุศล อย่างนี้จึงแสดงอาการให้ปรากฎ

และอีกประการหนึ่ง คนที่มาทั้งหมดนี่ เป็นอันว่า ๙๙.๙๙ % จัดว่าเป็นคนที่มีบุญใหญ่ มีศักดิ์ศรีใหญ่ ก็เลยถามว่า คนที่มีบุญใหญ่ มีศักดิ์ศรีใหญ่น่ะ มันใหญ่กันตรงไหน เขาก็บอกว่า ใหญ่ตรงที่มีความดีน่ะซิ เพราะการมาคราวนี้นี่ ตั้งใจจะมานมัสการพระดี ที่เรียกกันว่า สุปฏิปันโน และพระทั้งหลายเหล่านั้น คณะเขาเอง เขาก็มีความเคารพ ก็เลยถามว่า

“เออ…ดีแล้ว เมื่อพูดถึงพระทั้งหลายเหล่านั้น เราอยากจะถามว่า มีพระองค์ไหนเป็นพระอรหันต์ มีบ้างหรือไม่”

เขาก็ยกมือขึ้นแตะปาก บอกว่ามี แต่ว่าพูดไม่ได้ ก็เลยบอกว่า ปากของแกมีนี่ ทำไมแกพูดไม่ได้ แกก็เลยชี้มือมาที่ปากของคนพูด…ของลิงน่ะ ชี้มือมาที่ปากของจอมลิง เขาบอกว่า “แกก็รู้นี่” อ้าว…นั่น เทวดานี่ใช้วาจาหยาบเหมือนกัน บอกแกก็รู้นี่ แกทำไมจะมาถามข้าล่ะ ก็เลยถามเขาว่า “นี่…แกมาเรียกฉันว่า แกข้านี่มันเรื่องอะไร”

ตาเทวดาคนนี้แกเป็นเทวดาใหญ่ ประดับกายไปด้วยเพชรนิลจินดาแพรวพราวเต็มไปทั้งตัว แกก็เลยบอกว่า “นี่…จำกันไม่ได้ นี่เรามันเพื่อนกันนี่” (เอาแล้ว…นี่เป็นเพื่อนกับหมาไม่พอ ดันมาเป็นเพื่อนกับผีเข้าอีก) ก็เลยบอกว่า “นี่…อย่าพูดไปซีน่ะ รู้แล้วอย่าพูดไปนะ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ใช่ไม๊ รู้รึเปล่า” เขาบอกเขารู้ เขาก็เลยบอกว่า “ก็ไอ้ท่านล่ะ ท่านรู้แล้วท่านพูดไปทำไม”

บอกว่า “ข้าพูดกับแก แกมันเป็นผีนะ แล้วแกจะเสือกจับใครเขาพูดเรื่องราวของข้าไม่ได้นะ ข้ามันเป็นลิงจัญไรอยู่แล้ว ให้เขาทราบแต่เพียงว่า ในฐานะลิงจัญไรเท่านั้นก็พอ” เขาว่า “เวลานี้พระเจ้าที่เขาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่มีใครเขาอยากคบข้านักหรอก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าข้าปฏิบัติตนไม่เหมือนเขา บางสำนักเขาตั้งเป็นสำนักวิปัสสนา หัวขาวตาขาวเป็นน้ำข้าว มีตำแหน่งหน้าที่เป็นพระราชาคณะ มีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมพระ เขาหาว่าข้าเลวกว่าหมาเสียอีก”

ตาพวกนั้นหัวเราะชอบใจใหญ่ ก็เลยบอกว่า “ท่านไม่ต้องบอกหรอก ผมรู้ ดูบัญชีผมซี่” แล้วก็เกิดเปิดบัญชีให้ดู ถามว่า “ไอ้นี้บัญชีทองหรือยังไง หรือว่าบัญชีเพชรที่มันฝังอยู่ใต้ดิน จะได้รวบรวมกำลังบรรดาท่านที่มาด้วยกันหาทุนหารอนมาขุดให้มันรวย”

เขาก็หัวเราะชอบใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า “ไอ้ฤาษี อย่างท่านนี่มันชอบโกหกแม้กระทั่งผี ก็ทรัพย์สินส่วนตัวของท่านมีนี่ ที่ท่านบิดาบอกให้ ทำไมไม่ไปขุดเล่า” ก็เลยบอกเขาว่า “ข้าจะไปขุดทำไม เวลานี้ข้าสบายนี่ นี่ข้ามานี่ ข้าก็ไม่ได้เสียสตางค์ค่ารถนะ แล้วก็ไอ้ค่าอาหารการบริโภค ข้าก็ไม่เสีย บรรดาคนดีเขามีจิตเป็นกุศล เขาสงเคราะห์เจ้าฤาษีลิงดำตัวจน ๆ เขาหาให้กิน เขาหาให้ใช้ เขาจัดพาหนะให้ แล้วข้าจะไปขุดทำไม ขุดมาเมื่อไรข้าก็ตายเมื่อนั้น”…

ll กลับสู่ด้านบน


<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/10/09 at 18:54 [ QUOTE ]


(Update 11 ต.ค. 2552)



วิมานรออยู่





……..ʻʻแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นลิง ข้าก็ยังมีความเคารพต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้ารู้สึกว่าบรรดาบรรดาเทวดาทั้งหลาย ไม่ใช่เทวดาอย่างพวกแกน่ะ เทวดามีเนื้อมีหนังนี่ บางทีเขาคิดว่าเราดีกว่าพระพุทธเจ้า ข้ากลัวเทวดาพวกนั้นเขา เทวดาพวกนั้นเขายังชอบในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ข้าไม่เอาด้วยหรอก ข้าเป็นลิง ขุดขึ้นมาเมื่อไร ทองคำที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัว ข้าก็ตายเมื่อนั้น มันไม่มีประโยชน์ คนร้ายมันก็จะลงโทษตีเอาตาย ทองเราก็ไม่ได้ ชีวิตก็จะเสียไป”

“ไอ้เรื่องความตายนี่เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทว่าถ้าเราตายเพราะทรัพย์สินก็น่าเสียดายในชีวิต แต่ถ้าหากเราจะตาย เพราะการประกอบกิจความดีในพระพุทธศาสนา นี่ก็ยินดีในการตาย” เทวดาทั้งหลายเขาก็ชอบใจ ก็เลยถามว่า

“เออนี่...ถามจริง ๆ เถอะ คนที่มาทุกคนนี่นะ บัญชีเขาจดไว้ว่ายังไง ?”

เขาก็เลยชี้ขึ้นไปดูข้างบน เขาว่า “ดูโน่นซิ วิมานแพรวพราวไปตาม ๆ กัน” ถามว่า “วิมานทั้งหลายเหล่านี้มันสวยเป็นกรณีพิเศษ ฉันสงสัยจริง ๆ นะว่าวิมานหลังเหล่านี้ มันเป็นวิมานของพระอริยเจ้า แต่ว่ารัศมียังมัวอยู่ แต่ทำไมท่านจึงบอกว่าเป็นวิมานของคน ๙๙.๙๙% ของคนที่ร่วมงานกันมา ร่วมเดินทางมา” ท่านก็เลยบอกว่า “การมาคราวนี้ เจตนาเดิมก็มีว่า ตั้งใจจะมาเคารพพระอริยเจ้าใช่ไหม” ก็เลยบอกว่าใช่

เขาถามว่า “รู้จักพระอริยเจ้าแล้วรึ” ก็เลยบอกว่า “ไม่รู้ซิถึงได้ถามแก” เขาก็เลยชี้หน้าบอก “นี่...ฤาษีลิงดำนี่ มันมีสันดานเป็นลิงอยู่ตลอดเวลา โกหกแม้กระทั่งเทวดา” ก็เลยบอกว่า “เทวดามีอารมณ์เป็นทิพย์ มีเจโตปริยญาณ ก็เสือกมาถามทำไมล่ะ รู้แล้วทำเป็นไม่รู้ ก็เสือกทำไม่ดีเอง แล้วมาโทษคนอื่นเขา ไอ้เรานี่มันเป็นเจ้าของที่ ก็ควรจะพูดตรงไปตรงมา”

คุยแล้วก็หัวเราะชอบใจเพราะเป็นเพื่อนเก่า เขาก็เลยบอกว่า “พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ เจตนาหํ ภิกขเว ปุญญํ วทามิ นี่ผีเขาก็รู้ภาษาบาลีเหมือนกัน เขาบอกว่า เจตนาเป็นตัวบุญ การที่บรรดาคนทั้งหลายเหล่านี้ตั้งใจมานมัสการพระอริยเจ้าที่มีเนื้อมีหนัง ที่ใครเขาว่า พระอริยเจ้าไม่มี (แต่ความจริงในเขตประเทศไทยนี้ นับตั้งแต่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโปรด เขตเมืองไทยไม่เคยว่างจากพระอริยเจ้า)

แล้วก็การที่เขาพากันมาไหว้พระอริยเจ้า คนบูชาพระอริยะ เขาก็ต้องเป็นอริยะด้วย คนบูชาเปรตเขาก็ต้องเป็นเปรตด้วย คนบูชาสัตว์นรก เขาก็ต้องเป็นสัตว์นรกด้วย คนบูชาสัตว์เดรัจฉาน เขาก็ต้องเป็นสัตว์เดรัจฉานด้วย

เอ๊ะ...ชักสงสัย นี่ เทวดานี่รวนชวนตีกันเสียแล้ว ก็เลยถามว่า “นี่...แกแกล้งด่าฉันหรือไร ไอ้ฉันนี่ เวลานี้กำลังบูชาสัตว์เดรัจฉานนา ฉันเห็นหมาเห็นแมว เห็นสัตว์ต่าง ๆ มันมีความทุกข์ ฉันคิดว่ามันเป็นเพื่อนของฉัน และฉันก็พยายามให้ความอุปการะมันทุกอย่าง อย่างนี้แกก็คิดว่า ฉันจะต้องตายแล้วกลับไปเป็นสัตว์เดรัจฉานอีกหรือยังไง นี่ฉันคิดว่า ฉันจะเป็นสัตว์เดรัจฉานได้เพียงชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”

ท่านหัวหน้าใหญ่ก็บอกว่า “อย่างท่านนี่มันไม่ได้เป็นอีกแล้ว สัตว์เดรัจฉานน่ะ แม้แต่คนก็ไม่ได้เป็นอีก” ชักหนักใจ ก็เลยถามว่า สัตว์เดรัจฉานไม่ได้เป็น คนไม่ได้เป็น ก็คงจะไปเป็นสัตว์นรก

แกก็เลยบอกว่า “นรกเขาก็รังเกียจท่านเสียแล้วนะ เขาไม่ชอบใจท่าน เดี๋ยวนี้ชาวนรกเกลียดท่านมาก เขาไม่อยากให้โผล่หน้าไปนรกหรอก มันลำบากใจเขา ลงไปทีไรก็ลงไปชวนชาวบ้านเขาทุกที” ก็เลยถามว่า “อย่างนั้นฉันจะเป็นอะไร” เขาก็เลยบอกว่า “เวลานี้ท่านถูกสาปแช่งเสียแล้ว เทวดาก็ดี พรหมก็ดี พระอริยเจ้าก็ดี แม้แต่พระยายมและบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายก็ดี เขาพากันแช่งชักหักกระดูกท่านว่า ไอ้เจ้าจัญไรคนนี้หรือลิงจัญไรตัวนี้นี่ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตายแล้วอย่าให้ผุดให้เกิด”

ก็เลยสาธุในใจ จะยกมือขึ้นไหว้ก็แหม...อายชาวบ้านเขา นี่เป็นอันว่า การเที่ยวแม่สายนี้ ถ้าเราจะตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรื่อง ฉันคุยกับเทวดามันจะยาวจัด ก็ขอระงับไว้เพียงนี้ก็แล้วกัน

ก่อนจะไปก็ขอย้ำกับเขาอีกสักครั้งหนึ่ง ว่ายังไง ๆ ก็นะ ประเทศไทยเราขออย่าให้ตกเป็นทาส ในฐานะที่ท่านทั้งหลายมีบุญญาธิการ สามารถจะดลบันดาลความสุขและความทุกข์ให้ได้ ตามกฎของกรรม ถ้าหากว่ามันไม่เป็นการเกินวิสัยจริง ๆ ละก็ ช่วยรักษาบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงความดี ที่เต็มไปด้วยทศพิธราชธรรม มีพระมหากรุณาธิคุณกับปวงชนชาวไทย

และเวลานี้ปรากฎว่า เหล่าร้ายทั้งหลายที่มีน้ำใจเป็นทาส ถ้าลิงดึงพระมหากษัตริย์ลงไปย่ำยี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่อาศัยสีของพระศาสนาเป็นที่พึ่งก็กำลังจะทำลายพระพุทธศาสนา โดยเอาเท้าขยี้พระธรรมวินัย แล้วก็สร้างบทบัญญัติขึ้นมาใหม่ แล้วก็ไม่ปฏิบัติกัน

ตัวอย่างในเขตที่ฉันอยู่ เวลานี้พระที่มีความเคารพในศาสนาของสมเด็จพระบรมครูนะ ไม่มีใครเคารพนับถือ ไม่มีใครเขาคบหาสมาคมด้วย ก็ช่วยกันโกงพระพุทธศาสนาด้วยประการทั้งปวง แต่พวกเราก็หน้าด้านพอที่จะทนอยู่ได้ ไปสร้างสรรค์ทั้งหลายให้เป็นตัวอย่าง ให้ถือว่านักบวชทั้งหลายจะต้องเป็นผู้เสียสละ เป็นตัวนำชาวบ้าน ไม่ใช่ให้ชาวบ้านเขาเสียสละ อย่ามัวสะสม แต่การกระทำอย่างนั้น ปรากฎว่าไม่ดี ไม่เป็นที่ถูกใจของเขา

เวลานี้ พวกท่านทั้งหลายกำลังแอนตี้ด้วยประการทั้งปวง นี่ก็รู้สึกเป็นห่วงพระพุทธศาสนา เขาก็เลยบอกว่า “ไม่เป็นไร เรื่องพระไม่เป็นไร พระเปรตช่วยไม่ได้ ถ้าพระละช่วยได้ เวลานี้ประชาชนชาวไทยมีใจกอรปไปด้วยกุศลมาก ที่เลวก็มาก ที่ดีก็มาก เราต้องแบ่งพวกกัน ถ้าพวกเขามาจากอบายภูมิ ก็ไม่มีใครเขาบูชาความดี (นั่นคือ บูชาความเป็นไทย) ก็ตั้งใจเป็นทาส ถ้าพวกไหนมาจากเทวดาหรือพรหม พวกนั้นตั้งใจเคารพในความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พระธรรม” ขององค์สมเด็จพระชินสีห์สอนไว้ตั้งใจปฏิบัติ”

เช่นเดียวกับคณะของท่านที่มาทั้งหมดนี้ นับว่าเป็นคนดี บอกเขาด้วยนะว่า การมาคราวนี้ ความเป็นอริยะจะเข้าถึงจิตใจของเขา ขอให้ทุกคนอย่าประมาทว่าวิมานน่ะมีแล้ว สถานที่เขาจัดให้แล้ว ถ้ามีความเคารพในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว (แล้วก็มีจำนวนมาก เปอร์เซ็นต์สูงเสียด้วย) ดีไม่ดีก็ย่องตายแล้วจะไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิดต่อไป มีอยู่ในจำนวนบุคคลที่มา

เมื่อคุยกันถึงตอนนี้ ก็รู้สึกดีใจว่า คณะที่มานี่มาไม่เสียสตางค์เปล่า ไอ้เวลามันก็เหลือน้อยนี่ บรรดาท่านทั้งหลาย ก็เลยลาเทวดาพวกนั้นไปแล้วก็บอกว่า “นี่...ฉันจะไปเยี่ยมพระนะ ไปด้วยกันไหม” เขาบอกว่าไป แต่ก็ต้องแบ่งกันไป ไปหมดไมได้เพราะต้องรักษาเขตนี้

พอถึงเวลา จึงได้ลาเทวดาทั้งหลาย เมื่อลาแล้วก็ไปประกาศให้พลพรรคทั้งหลายขึ้นรถ ต่อแต่นี้ไปเขาจะเดินทางไปไหนกันล่ะ ไป “ถ้ำเชียงดาว” สิ ถ้ำเชียงดาวที่เขาลือกันนักลือกันหนาว่า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีสิ่งต่าง ๆ สถิตย์อยู่ ณ สถานที่นั้น เป็นที่น่าเคารพ น่ากราบไหว้ น่าบูชา

เอาล่ะ...ท่านทั้งหลายโดยทั่วหน้าที่มาพร้อมกันในขณะนี้ เวลานี้เราขึ้นรถกันได้แล้ว ไอ้การที่จะเหาะไปในอากาศน่ะไม่สมควร เหาะไม่ได้ ไม่ได้นำเครื่องบินมา เราขึ้นรถกันไปดีกว่า เมื่อเสร็จจากการคุย เสร็จจากการสั่ง (นี่สัญญาณบอกเวลา ๓๐ นาทีปรากฎ) บรรดาคนทั้งหลายก็พากันขึ้นรถ ตรงมุ่งหน้าปรารถนาจะไปเที่ยวที่ "ถ้ำเชียงดาว" กันต่อไป สวัสดี...

◄ll กลับสู่ด้านบน


<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/12/09 at 21:46 [ QUOTE ]


(Update 12 ธ.ค. 2552)


บทที่ ๕


เที่ยวเชียงดาว



ถ้ำเชียงดาว






….…ถ้ำเชียงดาวนี่ อยู่ในเขตของอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นดินแดนที่บรรดาประชาชนทั้งหลายได้เล่าลือกันมานาน ว่าถ้ำเชียงดาวเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และก่อนจะเดินทางไป รถขบวนใหญ่เขาไปก่อน แต่โฟล์คตู้สีเหลืองที่ พ.ท.แพทย์หญิง วีวรรณ คำนวณกิจ ซื้อไว้ใช้เป็นส่วนตัว แล้วก็มอบให้แก่เจ้าลิงหัวหน้าหมู่ใช้ตามอัธยาศัย เป็นไปด้วยกัน ๒ คัน คือ เจ้าแอ๊ดคันหนึ่ง เจ้าโอ๊คคันหนึ่ง เจ้าแอ๊ดนี่มันชื่ออะไรก็ไม่ทราบ ใช้ชื่อกันว่าเจ้าแอ๊ด


มันเป็นรถ ๘ สูบ กินน้ำมัน ๔ กิโลลิตร และก็โฟล์คตู้อีก ๑ คัน ๒ คันนี้นี่เขาใช้สีเหลือง สัญลักษณ์ของพระในพระพุทธศาสนา เป็นเครื่องหมายของผ้ากาสาวพัสตร์


พ.ท.แพทย์หญิง วีวรรณ คำนวณกิจนี่ความจริงไม่อยากจะพูด แต่เรื่องของฤาษีนี่มันจะพูดยังไงก็พูดได้ เดิมทีเดียวก็ไม่เคยสนใจกับแพทย์หญิงคนนี้ เธอจะดียังไงก็เป็นเรื่องของเธอ แต่ว่าพอมาพบหน้ากันเข้าก็พบว่า เธอกลายเป็นมหาอุบาสิกาที่สำคัญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า นางวิสาขามหาอุบาสิกา เท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะที่ไปและบรรดาคณะพุทธบริษัทที่มาพบหน้ากัน ในยามที่มาเที่ยวหรือยามปกติส่วนใหญ่ มองหน้าแล้วรู้สึกว่า เป็นคนเก่าหมด ไม่ใช่คนใหม่ เห็นแล้วก็รู้สึกว่าเป็นคนกันเอง ๆ ทั้งนั้น ไม่มีความรู้สึกว่าใครเป็นคนแปลกหน้า


นี่จะรู้ได้ก็อาศัย ท่านบิดา เป็นผู้บอกว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ เคยสืบเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตชาติ โดยมากก็เป็นญาติ เป็นพี่บ้าง เป็นน้องบ้าง เป็นพวกพ้องกันมาบ้าง หรือว่าหนักอกหนักใจร่วมสร้างความดี ร่วมสร้างความชั่วมาด้วยกันทั้งนั้น มาพบหน้ากันเข้าเมื่อไร จึงกลายเป็นคนเสมือนหนึ่งว่าเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติสนิทกัน


ฉะนั้น คนทุกคนที่มาพบกันก็รู้สึกมีศรัทธา เหมือน นางวิสาขามหาอุบาสิกา (หรือ อนาถบิณฑกะเศรษฐี ถ้าเป็นฝ่ายชาย) รู้สึกว่าถ้าลิงใจดี ประกอบไปด้วยศรัทธาปสาทะดีเป็นอย่างยิ่ง นี่มันเลยคิดว่า คนทั้งหลายเรานี่ นี่เขาเป็นอย่างไร ทำไมจึงว่าเป็นอย่างนี้ สนิทสนมเหมือนญาติก็มีหลายท่านเหมือนกัน ที่เป็นคนต่างฝ่ายพูดกันไม่รู้เรื่อง เขามาประเดี๋ยวหนึ่งเขาก็หลีกไป ทั้งนี้ไม่ใช่อะไร


เพราะว่าไม่ใช่เครือกัน นี่ความสัมพันธ์ในอดีตย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ถึงปัจจุบัน ที่องค์สมเด็จพระภควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเทศน์ในเรื่องชาดก เล่าเรื่องราวในชาดกเสร็จ องค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ตรัสว่า คนนั้นสมัยนั้นมาเกิดในชาตินี้ มาเกิดเป็นคนนี้ คนโน้นชาติโน้น เวลานี้เกิดมาชาตินี้ คนนั้นคนสำคัญ อหังเอวะ คือ ตถาคตเอง แล้วก็บริษัททั้งหลายมาเกิดเป็นพุทธบริษัทสมัยนี้


นี่องค์สมเด็จพระชินสีห์แสดงว่า คนที่จะมาพบกัน พูดกันรู้เรื่องนี่ ต้องพบกันมาเป็นอสงไขย ๆ กัป ร่วมเรียงเคียงหมอน นี่อย่าถือว่าเป็นคู่สามีภรรยากันนะ ว่าร่วมสุขร่วมทุกข์ ร่วมประกอบกิจการงานกันมาตลอดเวลา มาคราวนี้ก็เหมือนกัน


ก่อนที่จะออกเดินทาง ท่านพ่อ มาบอกว่า แพทย์หญิง วีวรรณ คำนวณกิจ นี่มันน้องสาวนะ แล้วก็มีอีกหลายคนที่เป็นน้อง มีหลายคนเป็นหลาน มีหลายคนเป็นญาติ มีหลายคนที่เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย รวมความว่าคนที่สนิทสนมกันทั้งหมดไม่ใช่ใคร เป็นคนร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมสุขร่วมทุกข์กันมานั่นเอง


และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกาลใดที่ท่านเกิด ตัวท่านเองมักจะเป็นพี่ชายใหญ่ และก็เลี้ยงน้องทุกคนด้วยความหวังดี มีเมตตาในการสงเคราะห์ และน้องของท่านทุกคน ท่านจะอุ้มเข้าเอว น้องก็ไม่ยอม ไม่ว่าน้องผู้หญิงผู้ชาย จะอุ้มประคองไว้ที่อก น้องก็ไม่ชอบใจ น้องจะต้องขึ้นบ่า และก็น้องจะต้องขึ้นคอ และในที่สุด น้องอันเป็นที่รักก็จะต้องใช้หัวของพี่เป็นกลอง เอามือจับผมบ้าง แล้วก็เอามือสองมือกำปั้นใช้เป็นกำหมัดตีหัวพี่เล่นเป็นกลองบ้าง เจ้าพี่ก็เลยเต้นเป็นจังหวะให้น้องสนุก นี่เป็นที่รื่นเริงของพี่ เป็นที่ชอบใจเห็นว่าน้องสบายใจ


ท่านก็เลยบอกว่า บรรดาน้อง ๆ ทั้งหลายที่ปรากฎเกิดขึ้นมาในชาตินี้ ที่พบกันจึงเป็นน้องที่น่ารัก พูดง่ายเข้าใจง่าย มีความเข้าใจกันดี เพราะว่าความสัมพันธ์ดีเกิดมา และอาศัยความเมตตาปราณีเคยสงเคราะห์ ตอนนี้เจ้ารถสองคันที่เขาสร้างไว้ เขาบอกเพื่อให้ท่านไว้ใช้นี่ ถ้าไม่สั่งใช้เขาก็ต่อว่าเอง แต่ความจริงจะสั่งใช้บ่อย ๆ ก็เกรงใจ เพราะ
๑. รถจะต้องสึกหรอ
๒. ค่าใช้จ่ายในรถ
๓. คนขับรถ


มันมีความลำบากใจ แต่ว่าเขาก็ต่อว่าเอา ว่าทำไมไม่เรียกใช้รถสักที นี่ ท่านพ่อ มาบอกว่า เป็นความดีของน้อง น้องเขาปรารถนาจะสงเคราะห์ แล้วก็ใช้เขาบ้างซิตามสมควร ก็เลยบอกว่าใช้ ทำไมจะไม่ใช้ แต่ว่าเรียกใช้บ่อย ๆ ก็สงสารน้องน่ะซิ แล้วก็มีน้องอีกหลายน้องด้วยกันเยอะแยะ เพราะมันหลายชาติ หลายสมัย ไม่ใช่เกิดคราวเดียวแล้วจะมีน้องหลาย ๆ คน


เพราะว่า ท่านพ่อ ชอบมีชายามาก และบรรดาลูก ๆ เต้า ๆ นั้น หลานเขาก็มีมาก ก็เป็นอันเข้าใจถึงอดีตชาติ ที่รู้ได้ก็เพราะโยมมาบอก ท่านพ่อ มาบอกนะไม่ใช่รู้เอง ไม่ใช่ว่าตัวเอง คือเรียกว่า ฤาษีสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีญาณเป็นเครื่องรู้ ไม่เหมือนพระที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูรู้ได้ทุกอย่าง นี่ต้องอาศัยพ่ออาศัยแม่เก่า ๆ ท่านมาบอกจึงได้ทราบ

ครั้นดีไม่ดี เทวดาที่เป็นมิตรเป็นสหาย ที่ท่านมีความประสงค์จะสงเคราะห์มาบอกก็รู้ ไอ้การที่ท่านบอกนี่ ท่านบอกผิดหรือบอกถูกก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของคนพูด เอาละเรื่องนี้ขอยับยั้งไว้ ก็มาพูดถึงถ้ำเชียงดาว








ถ้ำเชียงดาวนี่เคยมีพระปิยสหายสองท่าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ท่านเคยมาชวนไปเชิญวิญญาณพระอรหันต์ ว่าท่านเคยมาเที่ยวที่ถ้ำเชียงดาว แล้วก็คนในแถวนี้เลื่อมใสในท่าน ท่านก็เลยบอกว่าจะพากันมาเชิญวิญญาณพระอรหันต์ แต่คราวนั้นไม่ว่างเสีย ไม่ได้รับอาราธนาจากท่าน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเกิดสงสัยขึ้นมา ถึงว่างก็คงไม่มา เรื่องของพระอรหันต์นี่ ไม่ต้องไปนั่งเชิญท่านหรอก


ถ้าท่านมีจริง และก็เรานึกถึงท่านจริง นึกเมื่อไหร่พระอรหันต์ก็ถึงเมื่อนั้น จะไปเชิญกันทำไม สู้เราเชิญใจของเราดีกว่า เชิญใจของเราให้เข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ หรือว่าเชิญใจของเราให้มีความเคารพแก่พระอรหันต์ นั่นแหละเป็นการสมควร การที่จะเชิญวิญญาณพระอรหันต์มาน่ะ นั่นเป็นของแปลก แปลกเกินกว่าที่ครูบาอาจารย์สอน เลยไม่รับ


ก่อนจะไปถ้ำเชียงดาว ดร.ปริญญา นุตาลัย ที่อยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็พาไปแวะรับประทานอาหารในมหาวิทยาลัยก่อน ตอนนี้เข้าไปในห้องอาหาร ก็อยากจะถ่ายของเก่าทิ้ง อ้อ...ขอโทษนะ ไอ้เรื่องห้องอาหารเขาจะรับก่อนไปน้ำตกแม่สานะ ลืมไป เอ้า...แวะสักนิดก็ดี พอเขาเข้าไปรับในห้องอาหารแล้ว มันก็ต้องการจะเข้าห้องน้ำห้องส้วม พอเขาไปถึงห้องน้ำห้องส้วม มันก็มีประตูอีกประตูหนึ่งทางด้านหลังของห้องส้วม เมื่อทำธุรกิจเสร็จก็คิดว่าประตูนี้มันเป็นประตูออก ก็เลยเปิดเข้าไป


ที่ไหนได้ล่ะ ไปเจอสาวน้อยกำลังอ่านหนังสืออยู่ เห็นแล้วก็รีบปิดประตู อายเธอเกือบแย่ ว่าเจ้าลิงแก่นี่มันเซ่อซ่าอะไรอย่างงี้ ไอ้นั่นมันห้องนอนของเขา กลับคิดไปว่ากลายเป็นห้องที่เขาจะให้ออกอีกทางหนึ่ง นี่ไอ้ความโง่อย่างนี้น่ะ บรรดาท่านทั้งหลายที่ติดตามลิงมาหรือที่อ่านหนังสือฉบับนี้ ได้โปรดทราบว่า อย่าสร้างความระยำอย่างเจ้าลิงจัญไรตัวนี้เลย มันได้อาหารแล้วเขาไปแม่สาเลย เดินทางไปเชียงดาวเลยดีกว่า...


◄ll กลับสู่ด้านบน


<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 14/2/10 at 15:38 [ QUOTE ]


(Update 14 ก.พ. 2553)



วัดถ้ำเชียงดาว





.................ไปถึงถ้ำเชียงดาว มีวัด เขาเรียกว่าวัดอะไรก็ไม่รู้ ก็เรียกมันว่า “วัดเชียงดาว” เลยดีกว่า มีร้านอาหาร วัดนี้ก็รู้สึกว่าสร้างอาคารสวยสดงดงามดี เป็นของมีค่ามาก พอลงจากรถก็พบปิยสหายตัวสำคัญ นั่นก็คือ สุนัขแม่ลูกอ่อน เธอวิ่งเข้ามาหาทันที เลยสั่งให้ รังสิต (อู๊ด) รังสิตน่ะ เขาเรียกกันว่า “อู๊ด” ไปหาซื้อขนมเอามาแจกเพื่อนรัก เธอลูกอ่อนนี่ เข้าใจว่าขาดอาหารมาก คงจะไม่มีใครสงเคราะห์ตามสมควร เธอกินอย่างชนิดที่เรียกว่าลืมหายใจ

สักประเดี๋ยวหนึ่งก็ปรากฎว่า มีสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งเป็นตัวผู้มาหา เจ้านี่ได้กินขนมรู้สึกว่าได้กินไม่มากนัก กินแล้วก็ถอยไป แสดงว่าความหิวมีน้อย แล้วสำหรับสุนัขตัวเมียน่ะเธอมีลูกอ่อน ลูกต้องดูดเลือดในอกของเธอ เธอต้องการอาหารมาก จึงได้ซื้ออาหารเลี้ยง ๒ วาระด้วยกัน

ทีนี้การเดินเข้าไปในถ้ำเชียงดาวไม่เห็นมีอะไร มีแต่ถ้ำ ก็สร้างรูปพระไว้บ้าง พระนั่งบ้างพระนอนบ้าง งแต่สิ่งที่สลดใจที่สุด ก็มีรูป ๆ หนึ่ง คล้าย ๆ กับรูปพระ เพราะต่อตอนกันเข้าไว้ แล้วก็นอนกันไว้ที่ข้างทางคนเดินไปเดินมา มันวางไว้เสมอกับพื้นแผ่นดินของทางเขาขุดหลุมลงไป จึงได้มาคิดในใจ เพราะ เอ...ทำไมเขาถึงได้ทำอย่างนี้ ถ้าเขาจะคิดว่าเป็นรูปของคนธรรมดาตาย เขาคงจะเขียนป้ายเข้าไว้ แต่คนทั้งหลายเข้าใจว่า นั่นเป็นรูปพระ ตรงนี้สิบรรดาท่านทั้งหลาย สลดใจยิ่ง

แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชาย-หญิง ตลอดจนเจ้าลิงตัวสำคัญที่มาคราวนี้นั้น ก็ตั้งใจจะมานมัสการพระรัตนตรัยหรือว่าพระชั้นดี แต่ว่าเมื่อเห็นภาพอย่างนี้เข้าแล้วก็ตกใจอย่างยิ่ง มีการทำอย่างนี้น่ะท่านพุทธบริษัท เป็นที่ไม่สบอารมณ์ของลิง ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ถ้าบังเอิญท่านเจ้าของถ้ำคิดว่าจะทำไว้ เพราะแสดงว่า ไอ้คนที่มันตายไปแล้วน่ะมีสภาพเหมือนกับหินที่วางไว้ อย่างนี้ก็ควรจะเขียนหนังสือเข้าไว้ด้วย และก็ช่วยวางศพให้มันสูงสักหน่อย

เมื่อคนตายนี่ความจริงเป็นครูของคนเป็น ถ้าเราเข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูตัวอย่าง หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ผู้เป็นบุรพาจารย์ ใครเขาจะตายมาสักกี่คนก็ตาม เขาเอาศพมาตั้งที่ศาลา ก็จะเอาดอกไม้ ธูป เทียน เข้าไปไหว้ศพ และตอนนี้แหละที่เจ้าลิงดำตัวสำคัญไปไหว้ผีเข้าตั้งสิบศพกว่า จนมาถึงศพ ยายฟู จึงได้ถามหลวงพ่อ ฯ ว่า

“ยายฟูสมัยเมื่อมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อท่านเรียก อีฟู...อีฟู...แต่พอยายฟูตาย กลับกลายเป็นว่าหลวงพ่อ ฯ มาไหว้ศพยายฟู”

ตอนนี้เอง ท่านจึงบอกว่า “ท่านไม่ได้ไหว้ศพ แต่ไหว้สัจธรรม คือ คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสบอกว่า คนตาย คนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เสมอกันเป็นสัจธรรม การไหว้นี้มาไหว้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มาไหว้ศพ”

นี่ท่านเป็นนักปราชญ์นี่ เล่นเป็นนักปราชญ์คนเดียวไอ้ลิงดำมันก็แย่ เราไปนั่งไหว้ศพเสียเกือบตาย หลวงพ่อ ฯ ไหว้ธรรมะ มันจะไปชนกันได้ที่ไหน ร่างกายคนที่ตายแล้วมันเป็นธรรมะ เป็นมรณานุสติกรรมฐานในด้านสมถะภาวนา เพราะคนเกิดมาแล้วมันต้องตาย แล้วก็เป็นอสุภกรรมฐานในด้านสมถะภาวนา เพราะร่างกายของทุกคนมันเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม แล้วก็เป็นกายคตานุสติกรรมฐาน เห็นว่าชีวิตของคน ร่างกายของคนไม่ใช่แท่งทึบ มันเป็นท่อนเป็นตอน เป็นส่วนเป็นสัด ที่เรียกกันว่าอาการ ๓๒

ทีนี้การเห็นคนตายก็ชื่อว่าเป็นการเห็นธรรมะ เห็นกฎของความเป็นจริงในด้านสมถะภาวนา ทีนี้เราจะมองกันด้านวิปัสนาภาวนา เราก็จะเห็นชัดว่า การที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงร่างกายเป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง ไม่จริง ถ้ามันเที่ยงแล้วมันก็ต้องไม่ตาย ทุกข์ ในขณะที่ทรงกายอยู่ ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ นี่เราต้องบริหารร่างกาย เลี้ยงดูร่างกายอยู่ตลอดเวลา แต่ร่างกายเขาไม่เคยตามใจเรา ในที่สุดร่างกายก็พัง

การที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสักกายะทิฏฐิในวิปัสนาญาณ คือ สังโยชน์ข้อต้น ที่องค์สมเด็จพระทศพลว่า

“อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา”

นี่ถ้าเราพิจารณาศพแล้ว เราจะพบความจริง

เอาละ…บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง การพูดเรื่องนี้จะเป็นการกระทบกระเทือนท่านเจ้าของ
ถ้ำมากเกินไป และท่านผู้ปกครองท่านก็เป็นพระ เราเดินเข้าไปแล้ว เราก็ไม่เห็นมีอะไรเป็นสาระ นอกจากไปดูถ้ำ ดูหิน ดูดินที่เต็มไปด้วยความสกปรก แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าจิตเราเข้าถึงธรรม เราจะได้รู้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความสกปรก หาความบริสุทธิ์ผุดผ่อง หาความสะอาดไม่ได้ จัดว่าเป็นอสุภสัญญา

หลังจากนั้น ออกมาแล้วก็ได้รับทราบประวัติของถ้ำเชียงดาว นี่ที่บรรดาเพื่อนไปชวนว่าไปเชิญญวิญญาณพระอรหันต์นี่ เห็นว่าจะเป็นการสมควรอย่างยิ่ง พอมาถึงถ้ำเชียงดาวแล้วเป็นการไม่สมควร เปิดดประวัติดู ประวัติความเป็นมาเป็นยังไงไม่จำเป็นจะต้องรู้ ไม่มีความสำคัญ แต่ว่าสิ่งที่ไปสะดุดใจสำคัญก็คือ เห็นท่านผู้หนึ่ง เขาถ่ายภาพไว้ มีหนวดเครารุงรังมาก มีผมยาว เขาบอกว่าท่านผู้นี้เป็นท่านฤาษี หลวงพ่อเสือดาว หรือว่า ฤาษีเสือดาว

นี่เราเป็นฤาษีลิง ก็กลับมาเจอะเอาฤาษีเสือเข้าอีก ถ้าจะว่ากันไปก็ไม่ต่างอะไรกัน ก็สัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน ท่านเป็นเสือ ท่านก็เป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ว่าเดินดิน โดดบนยอดไม้ไม่ได้เหมือนเรา เราเก่งกว่า เราเป็นสิ่งที่เดินที่พื้นก็เป็นลิงได้ โดดบนยอดไม้ก็ได้ เสือสู้ลิงไม่ได้

เป็นอันว่าที่สู้ไม่ได้ก็เพราะฐานะความระยำของลิงระยำกว่าเสือ เจ้าลิงนี่ใคร ๆ ก็รู้ว่าจริยามันเป็นอย่างไร ฉะนั้น ท่านทั้งหลายที่จะมาสำนักของเจ้าลิงดำ ที่เขาเขียนไว้ข้างหน้าว่า อาศรมฤาษีลิงดำ ละก็โปรดทราบ ถ้าอยากจะได้จริยาเรียบร้อย มีความสำรวมหนักอย่างกับสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ท่านนั่งหลับตาปี๋ละก็ อย่ามาเลยนะ บอกให้ทราบว่าอย่ามาเลย ที่นี่มันเป็นสำนักลิง

ถ้าจะเอาธรรมะ เอาความจริงก็เชิญมา ถ้าจะมาเอาจริยาอย่างนี้ เรียกว่าหลับตาอย่างเทวทัตกินเหี้ยละก็ อย่ามาเลย ที่นี่ไม่มีมายา คือว่าไม่มีการหลอกลวง การแสดงอาการเป็นเจ้าเล่ห์ ถ้ามาต้องการธรรมะ พบธรรมะแน่ ถ้าต้องการมาเบ่ง พบเบ่งแน่ ถ้ามาแบบหยิ่ง ๆ ก็พบหยิ่งแน่ เรารับสนองคนตามอัธยาศัยของท่าน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเราเป็นลิง ลิงไม่เอาใจคน

ลิงชอบปฏิปทาปฏิบัติตามคน คนเรียบร้อยลิงก็พยายามเรียบร้อย คนพูดดีลิงก็พยายามพูดดี คนพูดชั่วลิงก็พยายามพูดชั่ว คนเบ่งลิงก็พยายามเบ่ง คนหยิ่งลิงก็พยายามหยิ่ง และคนพูดไม่เป็นเรื่องลิงก็พูดไม่เป็นเรื่อง เพราะลิงมันเอาอย่างคน คิดว่าคนเขาทำดี แล้วอย่างนี้อย่ามานั่งโทษลิงนะ

ก็มีท่านผู้ดีทั้งหลายที่จะมาหาความเป็นผู้ดี บอกว่าเจ้าลิงนี่มันไม่สำรวม ไม่อยากจะมาพบ ดีแล้วอย่ามาเลย ถ้าต้องการสำรวมเป็นกรณีพิเศษอย่ามานะ ที่นี่ไม่มีมายาสำหรับการหลอกลวง ดูตัวอย่าง พระสารีบุตร ซิ มีกำเนิดมาจากลิง ถึงเวลาลำรางต่าง ๆ ขัดเขมรโดดแผล็บไม่เรียบร้อยเหมือนพระอื่น นี่ลิงก็เหมือนกัน เจ้าลิงนี่เป็นพืชพันธุ์อันเดียวกับกับ พระสารีบุตร นี่

ฉะนั้น ในสำนักของลิงจึงเต็มไปด้วยฝูงลิง เสียงเจี๊ยวจ๊าวตึงตังโครมครามไปตามอัธยาศัย ลิงไม่เคยว่าใคร ก็อาการกายกิริยาภายนอกเป็นอย่างไร ลิงไม่เคยสนใจ สนใจอย่างเดียวใจของคนเท่านั้น จริยาเดิมวาสนาเดิมคนทุกคนละไม่ได้ มีองค์เดียวที่ละจริยาเดิมได้ก็คือ พระพุทธเจ้า นอกนั้นไม่มีใครละจริยาเดิมได้ ในเมื่อเขาละจริยาเดิมไม่ได้ จะมาเข็นให้เขาละ มันจะเกิดประโยชน์อะไร

กายเรียบร้อยแต่ว่าใจสกปรกไม่เกิดประโยชน์ แต่ว่าคนที่เขาต้องการแบบนั้นมี มีอยู่เยอะ ไปเหอะไปแถวนั้นก็แล้วกัน ไปแถวที่เขาเรียบร้อยกัน ถ้าต้องการความเรียบร้อย ถ้าว่าต้องการธรรมะละก็มาหาลิงนะ ต้องการความเรียบร้อยก็ไปหาคนที่เขาเรียบร้อย บอกให้ทราบไว้ก่อนนะ

แล้วมาพูดถึงฤาษีผมยาว ฤาษีหนวดยาว แต่ความจริงถ้าท่านเป็นฤาษีแบบนักพรตจริง ๆ ก็ไม่น่าสะดุดใจ แต่ถ้าบังเอิญท่านเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หนักใจนะ เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ผมนี่ถ้าเอาไว้ถึง ๒ เดือนต้องโกน หรือว่ายังไม่ถึง ๒ เดือน ถ้าผมยาวถึง ๒ นิ้วต้องโกน ท่านว่าอย่างนั้น

ถ้าหากว่าอยู่ในที่ที่มันหามีดโกนไม่ได้ แต่ว่า ท่านฤาษีเสือดาว องค์นั้น ท่านอยู่ในสถานที่ที่สามารถสั่งมีดโกนได้เป็นพัน ๆ เล่ม แล้วคนที่จะโกนให้ก็มี แต่บังเอิญท่านไม่ต้องการโกนเอง เพราะสถานที่จะโกนได้อย่างนี้ เป็นการขัดต่อพระวินัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่ง ถึงแม้ว่าจะมีสัจจะแบบไหนก็ตามที เรื่องวินัยนี้ขัดกันไม่ได้ ถ้าขัดต่อพระวินัย พระวินัยนี่เป็นจริยาความดีขนาดหยาบในพระพุทธศาสนา ถ้าเราฝ่าฝืนพระวินัยแล้ว ธรรมะส่วนใหญ่ที่จัดว่าเป็นความดีถึงความเป็นพระอริยเจ้ามันเข้าไม่ถึง นี่ไม่ใช่นินทาท่านนะ แต่ว่าสงสัย

เราเที่ยวกันที่ถ้ำเชียงดาวแล้วไม่เห็นมันมีอะไร เมื่อได้เวลาสมควรก็พาบริษัททั้งหลายกลับ เดินทางงต่อไปยังถ้ำผาปล่อง แต่ว่าชาวเหนือเรียกว่าถ้ำผาป่อง ก็อยู่ในเขตของอำเภอเชียงดาวนั่นเอง งรยะทางไกลกันไม่นานนัก ไม่รู้ว่ากี่กิโล เมื่อระยะทางผ่านมา เขาบอกว่าที่ตรงนี้ นี่แหละท่านผู้อ่าน นี่เจ้าของเจ้าตัวท่านเอง ท่านไม่ได้ประกาศนะ ว่าท่านเป็นอะไร ท่านเจ้าของสำนักมีนามว่า หลวงพ่อสิม

หลวงพ่อสิม องค์นี้ เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๖ ฤาษีลิงดำหรือที่ใช้นามว่าเจ้าลิงจัญไร เดินทางไปเชียงใหม่ต้องการจะไปดอยอินทนนท์ ไปพักอยู่ที่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าในการเดินทาง

วันนั้นเมื่อเข้าไปในห้องพัก ดร.ปริญญา นุตาลัย ถามว่า หลวงพ่อสิม นี่เป็นพระระดับไหน เวลานั้นเขายังไม่ได้นำรูปมาให้ดู และยังถาม หลวงพ่อสิม นี่เป็นพระอ้วน ๆ มีเนื้อเต็ม ผิวเนื้อค่อนข้างขาวและเป็นคนผิวขาวใช่ไหม คำว่าขาวนี้ไม่ต้องขาวเหมือนผ้าขาว แต่มีสีขาวก็ใช้ได้ ไม่ดำเหมือนลิงดำ ดร.ปริญญา ฯ ก็บอกว่าใช่ ก็เลยบอกว่า พระองค์นี้ดีนะ ไหว้ได้ พยายามไปไหว้ให้ได้นะ พระประเภทนี้ลิงเคารพ เป็นคนดี

และเมื่อพูดจบในตอนนั้นก็ปรากฎว่า ดร.ปริญญา ฯ จึงได้นำรูป หลวงพ่อสิม มาให้ดู ความรู้สึกในตอนนั้นก็รู้สึกว่าพระองค์นี้ จัดว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูที่ควรไหว้สักการะบูชา ทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นหน้า ก็ยังตั้งใจบูชาความดีของท่าน

ฉะนั้น ในเวลานี้จึงได้พาบริษัทลิงทั้งหลาย นกกระจาบบ้าง นกกระจอกบ้าง นกกระจิบบ้าง นกตะกรุมบ้าง พากันไปนมัสการ หลวงพ่อสิม ที่ถ้ำผาปล่อง หรือว่าถ้ำผาป่อง ชาวเหนือเขาเรียกว่าป่อง
แต่ความจริงผานี้มันเป็นปล่องทะลุผาไปด้านโน้น ภาษาภาคกลางเราเรียกกันว่าถ้ำผาปล่อง เดินทางไปกี่กิโลลก็ไม่ทราบ ไม่ได้นับ โดยรถโฟล์คตู้ของน้องหญิง แพทย์หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ นี่เป็นน้องหนึ่งในหลาย ๆ สิบน้องที่ร่วมเดินทางกันไป

การเดินทางไปไม่ช้าไม่นานเท่าใดก็ปรากฎว่าถึงเขตของถ้ำผาปล่อง เวลานี้สัญญาณบอก ๓๐ นาทีก็มาถึงแล้ว เทปมันจะหมดหน้า ก็ขอตัดตอน ตอนนี้ได้ตอนจุดนี้เพียงเท่านี้ก่อน และก็ฟังต่อไป อ่านต่อไปในหมวดต่อไปที่เรียกว่า “ถ้ำผาปล่อง”…

◄ll กลับสู่ด้านบน

<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top