Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 14/10/09 at 09:07 [ QUOTE ]

เมื่อพระไปพบพระยายม บันทึกโดย พระนิกร ปุญญลาโภ


สารบัญ (เลือก "คลิก" อ่านได้แต่ละตอน)

01.
คำนำ
02. ประวัติอดีตในชีวิตฆราวาส
03. หนีจากพี่
04. สาเหตุของก่อนกินยาตาย
05.
จดหมาย..ขอลาแม่ชั่วชีวิต
06. สิ่งที่พบเมื่อตายแล้ว
07. ต่อไปนี้..ท่านจะได้บวชแล้ว
08. สนทนากับพระยายมราช
09. พี่ชายสอบถามพระยายมราช
10. ข้อสรุปหลังความตาย




สภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ จัดพิมพ์และเผยแพร่

คำนำ


...ในการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 12 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเดือน ธันวาคม 2513 สภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติได้ร่วมกับยุวพุทธิกสมาคม พระนครศรีอยุธยา จัดรายการอภิปรายเอง “วิญญาณ” ในคืนวันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2513 ท่านนิกร ปุญฺญลาโภภิกขุ แห่งจิตตภาวันวิทยาลัย ได้รับนิมนต์มาร่วมอภิปรายด้วย

ข้าพเจ้าได้ฟังท่านนิกร เล่าถึงประสบการณ์ในชีวิตของท่านถึงสาเหตุที่ทำให้ท่านกินยาเพื่อทำลายชีวิตของตนเอง ถึงประสบการณ์ของท่านเมื่อเป็นวิญญาณล่องลอยไปขึ้นสวรรค์ และเมืองนรกด้วยความสนใจอย่างยิ่ง เรื่องของท่านมีทั้งความเศร้า ความตื่นเต้น และในบางครั้งก็แทรกไว้ด้วยความตลกขบขัน เป็นเรื่องที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเทวโลกและยมโลก ซึ่งชาวพุทธอีกหลายคนไม่เชื่อว่าจะมีจริงๆ โดยเชื่อแต่เพียงว่า “สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ”

สำหรับข้าพเจ้าเอง แม้จะเป็นผู้เชื่อในเรื่องสังสารวัฏฏ การเวียนว่ายตายเกิด และเชื่อในเรื่องบุญและบาปอยู่แล้ว การฟังเรื่องของท่านนิกร ก็ทำให้ข้าพเจ้าได้รับประโยชน์และความสุขใจมาก เป็นการย้ำความเชื่อมั่นของข้าพเจ้าในเรื่องกฎแห่งกรรมและในเรื่องบุญและบาป ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า

คนที่ประกอบกรรมชั่ว อาจจะหนีเงื้อมมือของตำรวจและกฎหมายในโลกนี้ไปได้ แต่เขาจะไม่สามารถหลีกหนีผลของกรรมที่ตนทำไว้ไปได้เลย กรรมที่ตนทำไว้จะต้องให้ผลสนองอย่างแน่นอนไม่เร็วก็ช้า ไม่ในชาตินี้ก็ในชาติหน้า สมตามพุทธภาษิตที่ว่า


“บาปกรรมที่ทำแล้วย่อมไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนนมสดที่รีดในวันนั้น บาปย่อมตามเผาคนเขลา ดุจขี้เถ้าปิดไว้”

... เมื่อข้าพเจ้าได้รับประโยชน์และความสุขใจจากเรื่องของท่านนิกร ก็อยากจะให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และความสุขใจบ้าง ข้าพเจ้าได้ติดต่อกับท่านนิกรขอเรื่องของท่านมาพิมพ์เผยแพร่ ท่านนิกรได้เขียนจดหมายบอกข้าพเจ้าว่า คุณครูยุ้ย สุทธิอัมพร แห่ง ร.ร.ศึกษาวิทยา ซึ่งได้นำนักเรียนของชุมนุมยุวพุทธ ร.ร. ศึกษาวิทยา ไปร่วมการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 22 ได้มีจดหมายของเรื่องจากท่านมาก่อน และท่านได้เรียบเรียงส่งเรื่องของท่านไปให้แล้ว

จึงขอให้ข้าพเจ้าติดต่อกับคุณครูยุ้ย ไม่น่านนัก คุณครูยุ้ยก็ได้มาติดต่อกับข้าพเจ้าที่กรมการสนเทศ นำต้นฉบับเรื่องของท่านนิกรมาให้ข้าพเจ้าดู และบอกว่า จะขอนำไปลงในหนังสือศึกษาวิทยานุสรณ์ก่อน เรื่องของท่านนิกรที่นำลงพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้ จึงพิมพ์จากหนังสือศึกษาวิทยานุสรณ์อีกต่อหนึ่ง

ต่อมาข้าพเจ้าได้มีโอกาสอ่านต้นฉบับเรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าตายแล้วเกิดเกิดใหม่” ของ พลตรีสมาน วีระไวทยะ ประจำสำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม พลตรีสมาน ซึ่งข้าพเจ้ายกย่องให้เป็น “พี่หมาน” ได้มอบต้นฉบับเรื่องนี้พร้อมกับเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องให้ข้าพเจ้าอ่าน ในโอกาสที่ได้รู้จักกันที่วิทยาลัย ป้องกันราชอาณาจักร

ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ของพลตรีสมานด้วยความสนใจยิ่ง ถึงกับนำติดตัวไปอ่านด้วยเมื่อไปร่วมการประชุมระหว่างประเทศที่กรุงเจนีวา เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๑๔ ข้าพเจ้าเห็นว่าประสบการณ์ของพลตรีสมาน ที่ตายแล้วไปพบกับพระยายามราช หรือท้าวธัมมิกราชา เป็นเรื่องที่แปลก เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นเรื่องที่ให้ทั้งความรู้และธรรมะไปด้วยในตัว

ข้าเพเจ้าได้นำเรื่องที่อ่านไปเล่าให้ญาติพี่น้องและมิตรสหายบางคนฟัง ต่างก็สนใจใคร่ขออ่านบ้าง ข้าพเจ้าจึงได้ขออนุญาตนำเรื่องนี้มาพิมพ์เผยแพร่ พลตรีสมานได้อนุญาตให้ด้วยความยินดีและเต็มใจ โดยไม่หวั่นเกรงต่อคำวิพากย์วิจารณ์ของพวกวัตถุนิยมหรือผู้ที่ไม่เชื่อในเรื่องบุญ บาป หรือวิญญาณ

พลตรีสมาน บอกว่าถ้าเรื่องของท่านทำให้คนอ่านมีความเกรงกลัวต่อบาป ประกอบแต่กุศลกรรม และทำให้ได้รับความรู้ทางธรรมะเพิ่มขึ้น ท่านก็มีความพอใจ เพราะท่านยึดมั่นในพุทธภาษิตที่ว่า “สญฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ – การให้ธรรมชนะการให้ทั้งปวง”

ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า สังคมของมนุษย์ต้องประสบกับการต่อสู้ระหว่างธรรมและอธรรมตลอดมา แม้แต่ในจิตใจของตนเอง ธรรมและอธรรมก็กำลังต่อสู้กันอยู่ มีบุคคลเป็นจำนวนไม่น้อย ที่จิตใจของเขาได้ถูกฝ่ายอธรรมเข้ายึดครอง ทั้งนี้เพราะกำลังแห่งธรรมะที่ได้สร้างสมเอาไว้ทั้งในชาติก่อนและชาตินี้มีเพียงเล็กน้อย หรืออาจจะเป็นเพราะถูกโมหะ-ความหลงทำให้ลืมตัวไปชั่วขณะ อย่างเช่นเรื่องของท่านนิกรที่ถูกมาร ชักจูงให้ลุ่มหลงในสุราและการพนันไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้าที่จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้นเผยแพร่ ก็เพื่อให้หนังสือเล่มนี้ได้มีส่วนช่วยเสริมสร้างกำลังแห่งธรรมะ ในจิตใจของท่านให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าคิดว่า คนที่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เชื่อในเรื่องบุญเรื่องบาป ย่อมจะทำกรรมชั่วได้ยากกว่าคนที่ไม่มีความเชื่อในเรื่องนี้ หนังสือเล่มนี้จึงพิมพ์ขึ้น เพื่อผู้ที่สนใจในเรื่องกฎแห่งกรรม และเรื่องบุญและบาป สำหรับผู้ที่ไม่สนใจเรื่องนี้

หรือผู้ที่คิดว่าคนเราเกิดมาเพียงชีวิตนี้ชีวิตเดียว ควรจะหาความสุขจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไว้ และควรจะแสวงหาทรัพย์สมบัติ อำนาจวาสนา มาให้มาก ไม่ว่าจะด้วยการประกอบกรรมชั่วหรือไม่ ข้าพเจ้าขออธิษฐานอย่าให้เขาได้หยิบหนังสือนี้อ่านเลย เพราะหนังสือเล่มนี้คงจะไม่มีประโยชน์อะไรแก่เขา เหมือนกับพลอยที่ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ไก่ ในนิทานอีสปฉะนั้น

สมพร เพทสิทธา

ประธานคณะกรรมการอำนวยการ

สภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ

๒๕ เมษายน ๒๕๑๙




ทางวัดท่าซุงได้นำเรื่องนี้มาเล่าที่ "ลานธรรม" งานธุดงค์ปี 2549

เมื่อพระไปพบพระยายม บรรยายโดย พระนิกร ปุญญลาโภ
บันทึกเสียงที่ลานธรรม ณ วัดท่าซุง โดย พระชัยวัฒน์ อชิโต ฟังเสียงได้
"คลิกที่นี่"

ท่านสามารถอ่านรายละเอียดได้ "คลิกที่นี่"

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 14/10/09 at 09:13 [ QUOTE ]



ประวัติอดีตในชีวิตฆราวาส


เจริญสุข...แด่ท่านสาธุชนและพุทธบริษัททั้งหลาย อันดับต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะได้เล่าเรื่องประสบเหตุการณ์ ครั้งสำคัญในชีวิตที่ได้ประสบมา ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับนรกสวรรค์และยมบาลขึ้นมาเยี่ยมในเมืองมนุษย์โลก

แต่ก่อนที่ท่านทั้งหลายจะได้รับทราบในเรื่องนี้แล้ว จะเชื่อหรือไม่นั้น ข้าพเจ้ามิได้บังคับ แต่ใคร่จะขอให้ท่านทั้งหลาย จงใช้ปัญญาพิจารณาวิจารณ์ดูว่า พอจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะธรรมดา ปัญญาชนไม่เชื่ออะไรอย่างงมงาย และไม่ปฏิเสธอะไรว่า ไม่จริง ไม่มี โดยไร้เหตุผลเช่นกัน

และข้าพเจ้าจำเป็นต้องพาท่านทั้งหลาย ไปสู่อดีตในชีวิตฆราวาสของข้าพเจ้าเสียก่อน เพื่อจะได้เป็นเครื่องประกอบเหตุการณ์ ที่ข้าพเจ้าจะเล่าในตอนหลัง เพราะการประสบครั้งนี้เป็นการประสบทางวิญญาณ ที่ข้าพเจ้าได้กินยานอนหลับเข้าไป 20 เม็ด กินยานอนหลับเพราะเหตุไร มีความคับแค้นอย่างไรจึงตัดสินใจลาตาย ขอเชิญติดตามเหตุการณ์ตอนต้นได้ ณ บัดนี้ :-

ทางใต้ลงไปของประเทศไทย จะมีจังหวัดเล็ก ๆ อยู่จังหวัดหนึ่งชื่อว่า พังงา ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาอันใหญ่น้อย และป่าไม้ที่เขียวชอุ่ม เป็นภาคพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ผู้คนพื้นเมืองโดยมากทำสวน เหมืองแร่ และทำท่าเป็นอาชีพ ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 11-12 กม. จะมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขา เป็นหมู่ที่ 1ตำบลปากกอ อำเภอเมือง จังหวัดพังงา และที่บ้านเลขที่ 53 ของหมู่บ้านนี้เอง

วันนั้นเป็นวันที่ 13 ตรงกับวันพฤหัสฯ พ.ศ. 2487 ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าได้อุบัติขึ้นในโลกนี้ ที่บ้านมีอยู่ด้วยกัน 8 คน คือเป็นพี่สาว 3 คน เป็นพี่ชาย 2 คน แต่ พี่ทั้ง 5 เป็นคนละบิดากับข้าพเจ้า นางซ้วน นายทอง นามสกุลไทยรักษ์นี้ คือมารดาและบิดาของข้าพเจ้า เมื่อชีวิตของข้าพเจ้าผ่านไปได้พอสมควร บิดามารดารวมตั้งชื่อให้ว่า นิกร นามสกุล ไทยรักษ์

ชีวิตของข้าพเจ้าได้รับความอบอุ่นอยู่กับผู้บิดาไม่นาน อ ายุของข้าพเจ้าได้เพียง 6 ขวบ บิดาท่านก็มาจากไปโดยไม่มีวันจะได้กลับ ทิ้งให้ข้าพเจ้าอยู่ด้วยความอาลัยตลอดมา ส่วนผู้เป็นแม่เล่าเมื่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวมาจากไป ต้องทำงานหนักเอาเบาสู้เพื่อเลี้ยงชีวิตของลูกทั้ง 6 ชีวิต

ชีวิตของข้าพเจ้าเมื่อบิดามาจากไป เสมือนร่มโพธิ์ที่เคยให้ความร่มเย็นมาหักขาดสะบั้นลง ต้องถูกรังแกจากพี่ ๆ อยู่เสมอ เมื่ออายุข้าพเจ้าครบ 8 ขวบ แม่ก็ได้พาไปฝากโรงเรียนและศึกษาเล่าเรียนจนจบประถม 4 และด้วยความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ พร้อมด้วยความเมตตาสงสารของพี่สาวคนหนึ่ง ได้ช่วยให้ข้าพเจ้าได้ไปศึกษาที่ในเมือง ข้าพเจ้าเรียนไปได้ 2 ปี

เหตุการณ์อันน่าสลดใจก็ได้เกิดขึ้นที่บ้านของข้าพเจ้า แม่ต้องร้องไห้ พี่สาวที่เคย อุปการะช่วยเหลือต้องหมดเนื้อประดาตัวในที่สุด แม่ พี่ ข้าพเจ้า ทั้ง 3 ชีวิต ต้องนั่งร้องไห้ เพราะพวกใจดำอำมหิต ได้เอาไฟไปเผาบ้านเสียจนพินาศ ไม่มีอะไรเหลือ และข้าพเจ้าก็ต้องออกจากโรงเรียน เพราะขาดผู้ที่จะอุปการะช่วยเหลือ แม้แต่ผ้านุ่งห่มตำรับตำราก็ถูกไฟเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน

พี่ทั้ง 5 พี่คนโตเป็นชาย เมื่อโตแล้วก็ออกไปทำงานนอกบ้านนานๆ จึงจะกลับบ้าน บางครั้งก็เป็นปีจึงกลับ พี่คนที่ 2 เป็นชาย ด้วยความมุ่งมานะ และความพยายามเรียนจนจบมัธยม และในที่สุด ได้ไปรับราชการเป็นครูอยู่ที่อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา พี่สาวคนที่ 3 เมื่ออายุพอสมควร ก็แต่งงานมีครอบครัวไป พี่สาวคนที่ 4 เมื่อตอนยังเล็ก ได้มีคนมาขอพาไปเลี้ยง เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของแม่

เพราะฉะนั้น เวลานี้จึงเหลืออยู่ที่บ้านเพียง 3 คน คือ แม่ พี่สาวคนที่ 5 และข้าพเจ้า โดยเฉพาะพี่ชายคนโต แกเป็นคนดุร้ายไม่เคยเกรงกลัวใคร หากใครมาข่มเหงรังแกหรือพูดไม่ถูกใจ แกจะชกให้บ้าง โดยที่พวกตรงกันข้าม ไม่สามารถจะทำอะไรแกได้ ด้วยความซุกซนและดุร้ายของพี่ชายคนโตนี้เอง ทำให้พวกตรงกันข้ามผูกความคับแค้นพยาบาทมากขึ้นแต่ก็ทำอะไรแกไม่ได้ ในที่สุด จึงได้มาเผาบ้านทิ้งเป็นการแก้แค้น โดยที่ทำให้แม่ พี่ และข้าพเจ้า 3 ชีวิต ซึ่งไม่เคยก่อกรรมทำเวรกับใคร แต่กลับมาเป็นผู้รับบาป

พี่ชายคนโต เมื่อรู้เรื่องไฟไหม้บ้านก็รีบกลับมา และพร้อมกันนั้น ก็ได้กลับไปหาพรรคพวกมาสร้างบ้านขึ้นใหม่ พอเป็นที่พักกายได้เรียบร้อยแล้ว แม่ก็พยายามอ้อนวอนตักเตือนพร่ำสอนให้พี่ชายเลิกประพฤติตัวอย่างเก่า ทำตนให้เป็นคนดีตามที่ชาติศาสนาและบ้านเมืองเขาต้องการ ไม่ให้คิดอาฆาตผูกพยาบาทจองล้างจองผลาญกับใคร และขอร้องให้บวชสัก 1พรรษา ในที่สุดพี่ชายก็ยอมรับคำกับแม่ เเล้วบวชให้ตามสัญญา

แม่ พี่ และข้าพเจ้า ต่างก็ช่วยกันทำมาหากินด้วยการทำสวนบ้าง ปลูกผัก ทำขนมขายบ้าง เพื่อจะได้ประทังชีวิตไปแต่ละวัน วันและเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้อายุของข้าพเจ้าย่างเข้า 15 ปีแล้ว ชีวิตของข้าพเจ้ามีความสุขอยู่กับแม่และพี่ที่บ้านได้ไม่นาน พี่ชายคนโตเมื่อลาสิกขาจากพระแล้ว ก็ไปสร้างสวนแห่งหนึ่งที่ อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ซึ่งอยู่ในป่าดงพงดิบเต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ เป็นเวลาเดือนๆ จึงได้เห็นหน้ามนุษย์ผ่านเข้าไปสักครั้ง (เดี๋ยวนี้มีบ้านคนอยู่ 2-3 หลังแล้ว)

อยู่มาวันหนึ่ง แกได้กลับมาบ้านบอกกับแม่ พี่ และข้าพเจ้าว่าจะพาข้าพเจ้าไปอยู่ที่สวนเพื่อจะได้ช่วยกันทำงาน มารดาและพี่ ก็มิได้ว่าอะไร ส่วนข้าพเจ้าแม้จะไม่เต็มใจไป แต่ก็ไม่สามารถจะขัดขืนความต้องการ ของพี่ชายได้

ความเป็นห่วงแม่ ก็เป็นห่วง ความกลัวพี่ชายก็แสนจะกลัว เพราะเคยโดนแต่ละทีแทบจะขาดใจ ในที่สุดก็ไปเก็บผ้าเก็บผ่อน เสร็จแล้ว ก็เข้าไปกราบลาแม่และพี่ที่เคยอยู่ร่วมกัน จำใจจากไปอยู่กับพี่ชายที่ในสวน อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ด้วยความอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างยิ่ง

((( โปรดติดตามตอนต่อไป ตอน ... หนีจากพี่ )))

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 19/10/09 at 08:43 [ QUOTE ]



หนีจากพี่


...1 ปีผ่านไป ด้วยความทุกข์ทรมาน แม้นจะเหนื่อยแสนเหนื่อย หรือจะหนักแสนหนักก็ต้องจำใจทน บางครั้งเมื่อกลับมาจากทำงาน หิวจนแสบไส้ แต่ก็ไม่มีอะไรจะกิน เมื่อกลับทำงานแล้ว ไหนจะต้องหุงหาอาหาร ตักน้ำผ่าฟืน ต้องทำสารพัดอย่าง แต่พี่ชายจะเห็นใจบ้างหรือ เปล่าเลย ถ้าไม่ดีก็โดนดุ ทำช้าไปก็โดนด่า มือแต่ละข้างต้องฟกช้ำพุพอง เต็มไปด้วยน้ำเหลือง เพราะต้องสัมผัสอยู่กับด้ามมีด และด้ามขวานแทบตลอดทั้งวัน

แม้เราจะอยู่กันร่วมปี แต่บางครั้ง วันวันไม่เคยพูดกันเลย บางครั้งเมื่อข้าพเจ้าไปถึงที่ทำงานแล้ว หวนคิดไปถึงบิดามารดาน้ำตาก็ไหลมาโดยไม่รู้สึกตัว หากอยู่กับท่านไหนเลยจะต้องระกำลำบากอย่างนี้ บางครั้งถึงแม้จะต้องทำงานหนักแสนเหนื่อย แต่ก็ยังมีความสุขใจ แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ มีพี่ก็เหมือนไม่มี

มิหนำซ้ำ ต้องได้รับแต่ความระกำช้ำใจ ข้าพเจ้ายิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ คับที่ พออยู่ได้ แต่คับใจเหลือจะทน ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตัดสินใจว่าจะต้องหนีจากพี่ชายเสียให้พ้น เพราะยิ่งอยู่ไป ยิ่งมองหน้ากันไม่ได้ ครั้นจะกลับไปบ้าน หรือก็ไม่มีทางจะพ้นไปได้ คิดว่าขอตายเอาดาบหน้าดีกว่า

เมื่อได้โอกาส ข้าพเจ้าก็จากไปด้วยการเดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ขออาศัยรถบรรทุกไปบ้าง โดยที่ไม่มีเงินติดตัวเลย แม้แต่สักสตางค์แดงเดียว บางวันก็ต้องอดข้าว บางวันก็ได้อาศัยข้าววัด ถึงแม้จะอดอยากยากแค้นเพียงไรก็ช่าง แต่ขอให้พ้นไปจากพี่ชาย

10 วันผ่านไป ที่ข้าพเจ้าต้องหนีกระเซอะกระเซิง จนถึงจังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยความหิว ผสมด้วยความอ่อนเพลีย ในที่สุดหมดแรงที่จะเดินต่อ เลยนั่งพิงต้นยางพาราใกล้ทางเดินนั่นเอง ข้าพเจ้าหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่มารู้เอาเมื่อเจ้าของสวนยาง มากรีดยาง เขาเห็นมีคนนอนหลับอยู่ เลยเรียกให้ลุกขึ้น แล้วถามความเป็นมา

ข้าพเจ้าก็เล่าให้ฟังจนตลอด และแล้วเจ้าของสวนยางคือ นางพิมเป็นภรรยา ของนายเมียน อยู่ที่บ้านคลองจัง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ได้พาข้าพเจ้าไปเลี้ยงไว้ โดยให้ช่วยเลี้ยงน้องบ้าง และช่วยเก็บน้ำยางบ้าง แม้บางครั้งจะต้องทำงานหนักบ้าง ข้าพเจ้าก็สบายใจ

เพราะคุณพี่ทั้งสอง ไม่ค่อยจะดุด่าว่ากล่าวนัก และข้าพเจ้าก็มีความรักเคารพแกเสมือนพี่ที่แท้จริง แกก็เมตตาสงสารข้าพเจ้าไม่น้อยไปกว่าน้อง เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของข้าพเจ้าเป็นอันสงบอยู่พักหนึ่ง

พี่ชายเมื่อรู้ว่าข้าพเจ้าหนีไป ก็ให้มีความโกรธมาก แล้วกลับไปที่บ้านป่ากอ จังหวัดพังงา เมื่อไปถามและรู้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้กลับบ้านแล้ว ก็เที่ยวสืบเสาะตามหาอยู่พักหนึ่ง เมื่อไม่อาจจะรู้ได้ว่าข้าพเจ้าไปอยู่ทางไหน ทุกคนก็ตกลงใจกันว่า ช่างมันเถอะเป็นผู้ชายไม่ต้องห่วงหรอก ในเมื่อรู้แน่ว่ามันไม่ตาย โตขึ้นสักวันหนึ่งฉันจะกลับมาเอง เสร็จแล้วทุกคนก็กลับไปทำงานของตนตามเดิม

จริงเหมือนว่า 1 ปีเศษ ผ่านไปที่ข้าพเจ้าต้องจากทุก ๆ คนไป เรื่องความกลัวพี่ชายและเรื่องต่าง ๆ ทำให้เลือนลางและเบาบางลงไปบ้าง แต่กลับมีสิ่งอื่นมาแทนที่ 15 ปีที่ข้าพเจ้ามีความสุขอยู่กับผู้บังเกิดเกล้า แต่เวลานี้เกือบจะ 2 ปีเข้าไปแล้ว ที่ไม่ได้พบแม่เลย และอยู่ไกลเสียจนสุดที่จะตะโกนกู่เรียกหาได้ ยิ่งนึกมาก็ยิ่งมีความ คิดถึงมาก

ในที่สุดก็เข้าไปหาคุณพี่ทั้งสอง แล้วแจ้งความประสงค์ให้ทราบ แม้ว่าคุณพี่ทั้งสองจะไม่ยอมยินดีให้ข้าพเจ้าไป แต่ก็ไม่อาจจะหวงห้ามข้าพเจ้าได้ เสร็จแล้วก็เอาเงินให้เป็นค่าพาหนะและใช้สอยพอสมควร ข้าพเจ้ากราบลาแล้วจากคุณพี่ทั้งสองไปนั่งรถมาเพียงครึ่งวันก็ถึงจังหวัดพังงา เมื่อลงจากรถแล้ว ก็ต้องเดินเข้าไปประมาณ 4-5 กม. จึงจะถึงบ้าน

ขณะนี้เย็นมากแล้ว หมู่วิหคนกกาต่างก็พากันบิน กลับสู่รวงรัง เด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกำลังต้อนฝูงควายเข้าไปสู่คอก ข้าพเจ้าเดินไปด้วยหัวใจกระวนกระวาย ใครจะอยู่บ้างที่บ้าน แม่จะเกลียดเอาไหมที่เราหนี เมื่อข้าพเจ้าเข้าใกล้จะถึงบ้าน แม่เหลือบมาเห็นแต่ไกล แล้วอุทานออกมาว่า “ลูก... ลูกมาแล้ว”

ในที่สุด แม่ พี่ และข้าพเจ้า แสนจะปลื้มปิติจนน้ำตาแทบจะไหล ที่ได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง หลังที่จากกันไปเป็นเวลาเกือบ 2 ปี เดี๋ยวนี้อายุของข้าพเจ้าย่างเข้าไป 19 ปีแล้ว แม่เคยพูดบ่อยครั้งว่า ยังอีกปีเดียวก็จะครบบวช แม่อยากจะเห็นลูกชายทุก ๆ คนได้ห่มผ้าเหลือง และพี่ของลูกทั้ง 2 ก็ได้บวชหมดแล้ว เหลือแต่ลูกคนเดียว ลูกอย่าเพิ่งไปมีอะไรและอย่าจากแม่ไปไหนอีกนะ จงบวชให้แม่สักหนึ่งพรรษาก่อน

เมื่อแม่ได้บวชลูกทุกคน เวลาตายแม่ก็จะได้นอนตาหลับ ข้าพเจ้าก็รับคำว่า ลูกจะทำงานอยู่กับแม่ ต่อแต่นี้ จะไม่จากแม่ไปไหน เมื่อลูกอายุครบ 20 ปีเมื่อไหร่ จะบวชให้แม่ทันทีและเรื่องที่ลูกจะไปมีผู้หญิงอะไรนั้น ขอให้แม่อย่าได้เป็นห่วงเลย ตราบใดที่ชีวิตของลูกยังมีความลำบากยากจน หรือไม่ สามารถจะรับเลี้ยงให้ผู้อื่นมีความสุขได้แล้ว ลูกจะไม่ไปทำให้ผู้อื่นต้องมารับทุกข์ทรมานกับลูกอย่างเด็ดขาด

นี้คือ ครั้งหนึ่งหลังจากได้กลับมาอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอน และได้นั่งคุยตามประสาลูก ๆ แม่ ๆ แต่ท่านทั้งหลาย จงติดตามชีวิตอันแสนจะระทมขมขื่นของข้าพเจ้าต่อไปเถิด ว่าเด็กน้อยผู้น่าสงสาร คนนั้นจะได้บวชหรือเปล่า แนวทางชีวิตของเขาตั้งแต่วินาทีนี้ไป จะต้องประสบกับชะตากรรมอย่างไรบ้าง อะไรเป็นผู้ทำอนาคตอันแจ่มใสของเขาให้พังพินาศ หากท่านติดตามไปด้วยดี บางทีอาจจะนำมาเป็นข้อคิดคติเตือนใจแก่ตนเองและลูกหลานได้บ้างพอสมควร

พี่ชายคนที่ 2 ที่ไปรับราชการเป็นครู อยู่ที่อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา เป็นเวลา 6 ปีเศษแล้ว เวลานี้สามารถเก็บเงินเอาไว้ได้จำนวนหนึ่ง และคิดจะเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์ขึ้นในตลาดนี้ เพราะเวลานี้ เมื่อโรงเรียนปิด หรือวันเสาร์-อาทิตย์ก็ทำตู้โต๊ะขายได้กำไรดี

ในที่สุด ก็มาที่บ้านบอกความจำนงให้แม่ พี่ และข้าพเจ้าฟัง เป็นอันว่าข้าพเจ้าต้องจากบ้านจากแม่และพี่ไปอยู่ที่อำเภอท้ายเหมืองอีกครั้ง ครั้งแรก ๆ ก็มีการฝึกหัดทำตู้โต๊ะไปตามที่ทำได้ และมีลูกจ้างอยู่คนหนึ่ง ชั่วระยะปีเดียว ข้าพเจ้าก็สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนพี่ชายเมื่อเห็นว่าการค้าขายได้กำไรดีกว่า ก็ลาออกจากราชการ มาร่วมทำด้วยกันแล้วตั้งอัตราเงินเดือนให้ข้าพเจ้าตามสมควร

เวลาผ่านไป 3 ปีเศษ เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าโตเป็นหนุ่มแล้วสิ่งที่เพื่อน ๆ ชายเขามี ข้าพเจ้าก็มีทุกอย่าง เพราะข้าพเจ้าอุตส่าห์ทำงานโดยไม่เกียจคร้าน แต่พอเริ่มเข้าปลายปีนี้เอง ข้าพเจ้ารู้จักเพื่อนๆ ขึ้นเยอะ บุหรี่ข้าพเจ้าไม่สูบ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มหัดสูบ สุราที่ข้าพเจ้าเคยเกลียดเคยกลัว แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้สึกชักจะชอบ การพนันที่ข้าพเจ้าเล่นไม่เป็น แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าชำนาญ

เมื่อก่อนไปไหนกับเพื่อน ๆ หรือเจอกัน เพื่อนมักจะเรียกอ้ายกะเทยบ้าง อ้ายหน้าตัวเมียบ้าง แต่เดี๋ยวนี้เมื่อออกจากร้านไปเจอเพื่อน ๆ เมื่อไหร่ เพื่อนก็จะทักว่า เฮ้ย ! วันนี้เราไปก๊งกันที่ไหนดีวะ ! เอากรุงทองมาเผากันบ้าง เหล่านี้เป็นต้น

ข้าพเจ้าประพฤติชั่วช้าสารเลวหลงเห่อเหิมไปตามอารมณ์ ยอมเป็นทาสของสุราและการพนัน โดยมิได้คำนึงถึงความหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามาสู่ชีวิต ข้าพเจ้าหลงผิดคิดชั่ว เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แม่ผู้บังเกิดเกล้าที่ข้าพเจ้าเคยรัก พี่สาวที่เคยอุปการะอุดหนุนข้าพเจ้า ลืมหมด เพราะถูกผีสุราและการพนันเข้าครอบงำ

ข้าพเจ้ากลับไปบ้าน แม่ขอร้องอ้อนวอนให้บวชสักหนึ่งพรรษา แต่ข้าพเจ้ากลับคอยปฏิเสธ ข้าพเจ้าเกลียดการบวช ข้าพเจ้าเบื่อ เรื่องการทำบุญทำทานรักษาศีล ข้าพเจ้ากลับเห็นศาสนาเป็นเรื่องสมมุติ เป็นของทำเล่น เห็นพระสงฆ์เป็นเครื่องถ่วงความเจริญ แม่พยายามซี้แจงบาปบุญคุณโทษ

ข้าพเจ้าหลบ ไปเสียบ้าง ไปเปิดวิทยุให้ดังกลบเสียบ้าง ข้าพเจ้าผิดคิดประพฤติชั่วบัดซบ ก็เพราะโดนคราบปีศาจอสุรกายจากเมืองนรกเข้าลงสู่ในจิตใจ ทำให้ข้าพเจ้าเห็นผิดเป็นชอบ เพียงชั่วระยะไม่นาน กรรมอันน่าบัดซบที่ข้าพเจ้าได้ก่อไว้ เริ่มลุกลามเผาไหม้ให้ข้าพเจ้ามีอันเป็นไป

ในตอนเย็นวันหนึ่ง พี่ชายได้เรียกข้าพเจ้าไปพบ ในห้องเพราะทนดูการประพฤติของข้าพเจ้าไม่ไหว ต่อจากนั้น มีการดุด่าอย่างหนัก จนข้าพเจ้าสำนึกในความผิด และรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า เรานี้มันชั่วช้าสารเลวเสียเหลือเกิน ประพฤติไปในทางแต่ฉิบหาย

เมื่อรู้สึกเช่นนั้น ก็ทำให้เสียใจเป็นอันมาก แล้วตัดสินใจไปเอามีดอันคมกริบ แล้วเชือดลงบนข้อมือ 4 แผล แทบจะถึงกระดูกแล้วก้มลงสาบานต่อหน้าพี่ชาย ว่าน้องเคยประพฤติผิดประพฤติชั่ว แต่ต่อจากวินาทีนี้เป็นต้นไป

เรื่องการประพฤติชั่วต่าง ๆ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา และเล่นการพนัน เป็นต้น น้องจะไม่ประพฤติอย่างเด็ดขาด หากว่าน้องประพฤติหรือไปทำอย่างนั้นเข้าอีก ขอให้ชีวิตของน้องมีอันเป็นไปด้วยรอยคมที่ปรากฏอยู่นี้ด้วยเถิด (แผลเป็น ยังมีอยู่)

<ต่อจากนั้นข้าพเจ้าคิดว่าเรานี้มันชั่วช้าสารเลวเหลือเกิน ไม่ควรจะอยู่ร่วมกับพี่ชายต่อไป จะขอไปตามยถากรรมของเราดีกว่า เสร็จแล้วเข้าไปกราบลาพี่ชาย และเก็บผ้านุ่งผ้าห่มเครื่องมือเครื่องใช้ที่เคยทำมาหากิน แล้วจากพี่ชายไปของานก่อสร้างทำอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ในวันต่อมา

((( โปรดติดตามตอนต่อไป ตอน ... สาเหตุของก่อนกินยาตาย )))

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/10/09 at 08:53 [ QUOTE ]



สาเหตุของก่อนกินยาตาย


...เพียง 3 เดือนผ่านไป เกณฑ์ชะตาชีวิตของข้าพเจ้า ก็เริ่มพบกับความวิปโยค และความปวดร้าวขมขื่น ที่ชีวิตนี้ไม่อาจลืมได้ลง ตามธรรมดาเมื่อเสร็จจากงานแล้ว ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะไปไหน แต่วันนั้นรู้สึกว่าอยากจะออกไปเดินเล่นในตลาด และหาอะไรกินเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะตลาด ก็ไม่ไกลเท่าไร และนึกว่านาน ๆ ออกไปตลาดสักครั้ง ก็สนุกดีเหมือนกัน

ข้าพเจ้าเดินไปซื้อผลไม้บ้างกลับมาเอาเมื่อ 2 ทุ่มกว่า ๆ เมื่อมาถึงที่พัก ใจของข้าพเจ้าต้องเต้นแรง เมื่อปรากฏหีบใส่ผ้ากุญแจเดาะเปิดอ้า เสื้อกางเกง 3-4 ชุด และแม้แต่ผ้าเช็ดหน้าก็ยังหายหมด ไม่มีอะไรเหลือ ข้าพเจ้าต้องนั่งลงด้วยความอ่อนใจ แต่ในที่สุดก็นึกว่ามันเป็นกรรมของเราเอง มิได้ไปบ่นหากับใคร เพราะไปถามใคร เพื่อนก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็น

เสร็จแล้วก็ก้มหน้าอาบเหงื่อต่างน้ำทำงาน แม้แดดจะร้อนฝนจะตก ก็มิเคยปริปากบ่น คิดว่าชาตินี้เราเกิดมามีกรรม 10 กว่าวัน ผ่านไปโดยที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแล้วในวันที่ 13 นั่นเอง เมื่อหลังจากเลิกงานเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ แล้ว อาบน้ำกินข้าวเสร็จแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกมึนศีรษะ และรูสึกง่วงนอนผิดปกติ แล้วเข้าไปนอนก่อนเพื่อนๆ

ข้าพเจ้าหลับไปตั้งแต่กี่ทุ่มไม่รู้ แต่มาตื่นเอาเมื่อแสงแดดสว่างจ้าไปหมด แล้วรีบลุกล้างหน้าล้างตาหาอาหารรองท้อง พอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะได้รีบไปทำงาน ครั้นพอเหลียวไปดูที่เก็บเครื่องมือ ริมฝาผนังข้างห้องนอน เอ๊ะ ! เมื่อวานเราลืมเก็บเครื่องมือไว้หรือ

เมื่อทบทวนความจำอีกครั้ง ก็จำได้ว่าเราเก็บมาเรียบร้อยแล้ว แล้วถ้าอย่างนั้นหายไปไหน แม้แต่หีบใส่ก็ไม่มี เที่ยวเดินถามเพื่อนจนทั่ว แต่ก็ไม่มีใครทราบ อนิจจาเครื่องมือหายไปอีกแล้วหรือนี่ โธ่...เราจะเอาอะไร มาทำงานละคราวนี้

เหงื่อข้าพเจ้าออกโทรมกาย เมื่อรู้แน่ว่ามันหาย เสื้อผ้ากางเกงเพิ่งหายไปไม่เท่าไหร่ แต่นี่เครื่องมือที่เคยทำมาหากินต้องมาหายไปเสียอีก น้ำตาของข้าพเจ้าแทบจะร่วง และเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็รู้ไปถึงพวกพี่ ๆ บางคน หาว่าข้าพเจ้ามีนิสัยเดิมเกิดขึ้นอีก ใครจะไปเอาของอย่างนั้น นอกจากมันพาไปขายเล่นการพนัน

ในที่สุดข้าพเจ้าต้องขอยืมของเพื่อน ๆ ทำ คนที่เขามีจิตใจเมตตาสงสารบ้างก็ให้ แต่บางคนกลับแสดงความไม่พอใจ บางครั้งโดนเพื่อนด่าเพื่อนว่า แต่ก็ต้องจำใจทน ให้เพื่อนว่า ด้านชีวิตของข้าพเจ้า มีสมบัติติดตัวที่พอจะพึ่งได้อยู่เพียงอย่างเดียวคือ รถมอเตอร์ไซค์ ที่พอจะได้ขี่ไปทำงานบางแห่ง แต่กรรมของข้าพเจ้าหาได้สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ไม่

เพียง 10 กว่าวันผ่านไป วันนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่า ตอนเช้าตรู่ มีเพื่อนคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคยได้ซื้อข้าวให้เขากิน เคยหางานให้เขาทำ ยามเมื่อเขาตกงาน ข้าพเจ้าเคยหาเงินให้เขาใช้ แต่ผลที่ได้รับตอบแทนจากเพื่อนคนนั้น เขาได้หอบผ้าพะรุงพะรังมาหาข้าพเจ้าแต่เช้ามืด แล้วบอกกับข้าพเจ้าว่า ยืมมอเตอรซค์สักทีเถอะ เอาผ้านี้ไปซักในตลาด

ข้าพเจ้าก็หยิบกุญแจ และมอบให้เขาไป โดยที่ข้าพเจ้ามิได้นึกระแวงหรือสงสัยเลยว่า เพื่อนนี้ จะมีใจเนรคุณกับข้าพเจ้าได้ จาก1 เป็น 2 เป็น 3 นี่ก็เกือบ 4 โมงเช้าเข้าไปแล้ว แต่ยังไม่เห็นเพื่อนกลับมาเลย จนในที่สุด อีกไม่ช้า มีคนอยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น คนหนึ่งเดินผ่านมา แล้วบอกกับข้าพเจ้าว่า เห็นเพื่อนของคุณคนนั้นไม่รู้ไปไหน มีกระเป๋าสะพายอยู่ข้างหลัง แล้วขี่มอเตอรไซค์ ของคุณไปเร็วจี๋

เสมือนท่อนเหล็กขนาดใหญ่ฟาดลงศีรษะหน้ามืดใจสั่น เมื่อได้ยินคำบอกเล่าดังนั้น เมื่อหายจากความมึนงง ก็รีบไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ และคิดจะติดตาม แต่เวลานี้ เงิน...เงินไม่มีเลย ตัดสินใจถอดนาฬิกาข้อมือและแหวนรวมราคาประมาณ 600 กว่าบาท ขายได้ เงินมาเพียง 200 บาท แล้วว่าจ้างรถรับจ้างออกตาม แต่มันสายเสียแล้ว

ในที่สุด กลับมาที่พักพร้อมกับความหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง จะมองไปทางไหนพบแต่ความว่างเปล่า จิตใจของข้าพเจ้า แทบจะกลายเป็นบ้าเที่ยวเดินใจลอย ผมเผ้ารุงรังตาหมองคล้ำ พบแต่ความเศร้าหมอง ตี 2 ตี 3 เพื่อนเขา กำลังหลับกันอย่างสนิท แต่ข้าพเจ้ายังเที่ยวเดินอยู่บนถนน และข้อดีในระหว่างนั้น ได้มีพวกโจรผู้ร้ายขึ้นปล้นบ้านแถวนั้น กวาดเอาทรัพย์สินของชาวบ้านไปหลายร้อย

พอรุ่งขึ้น บางคนมีความสงสัยและตั้งข้อพิสูจน์ว่า ข้าพเจ้านี้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ด้วย เพราะตอนดึกได้มีคนไปพบข้าพเจ้า เดินใกล้ ๆ แถวนั้น เวลาล่วงไปได้ 3 วัน หลังจากรถมอเตอร์ไซค์หาย พวกพี่น้องทางบ้านรู้กันหมด พี่บางคนหาว่า ข้าพเจ้านี้ สาบานโกหกขี้เท็จตอแหลทั้งนั้น นิสัยเดิมมันจะทิ้งได้เสียเมื่อไหร่ คนสันดานเลวระยำบัดซบ มันคงจะติดตัวไปจนตาย

ครั้งแรก ๆ มันก็ขายผ้าเสื้อกางเกง พาไปกินเหล้าพาไปเล่นการพนันก่อน อีกหน่อยก็ขายเครื่องมือ พอหนักเข้ารถอเตอร์ไซค์ราคาเป็นพัน มันก็ขาย สมบัติเท่าปีกลิ้นก็ไม่เหลือ เมื่อมันหมดทุกสิ่งทุกอย่างเข้า ลักปล้นขโมยมันก็เอา เพราะจิตใจมันแสนเลวระยำ นี่คือคำครหานินทาจากญาติพี่น้อง

และตอนบ่ายของวันนั้นเอง พี่ชายคนโตที่ไปทำสวนอยู่ทางอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เมื่อคราวก่อน พอรู้เข้าอย่างนี้ ก็ให้มีความโกรธเป็นยิ่งนัก จึงรีบไปหาข้าพเจ้าที่จังหวัดกระบี่ ตามหาอยู่พักหนึ่งก็เจอข้าพเจ้า พอพบหน้าพี่ชายเข้าเท่านั้น หัวใจแทบจะหยุดเต้น หน้าซีดหมดแรงคล้ายจะเป็นลม

เมื่อ พบข้าพเจ้าแล้ว พี่ชายก็เข้าไปด่าว่า และจะฆ่าข้าพเจ้าเสียให้ตาย แม้ข้าพเจ้าจะบอกแกสักเท่าไหร่ ว่าน้องนี้ไมได้ชั่ว เขาใส่ร้ายน้อง น้องไม่ได้เอาไปขาย เพื่อนขโมยของจริง ๆ เมื่อก่อนน้องเคยประพฤติไม่ดี แต่นี่น้องไม่ได้ทำอย่างนั้น ขอให้พี่จงเห็นใจและเชื่อน้องสักครั้งเถอะ อย่าดุด่าว่าอ้ายโกหก อ้ายชาติชั่ว ทำผิดมึงไม่ยอมรับผิด น่าจะตายเสียดีกว่าอยู่ คนอย่างมึง เพียงเท่านี้เอง

น้ำตา... น้ำตาของข้าพเจ้า ต้องไหลพราก ข้าพเจ้าร้องไห้โฮอยู่ข้างถนน โดยหมดความละอายอะไรทั้งสิ้น โอ้...ชีวิตของข้าพเจ้า ทำไมจึงมีกรรมแสนสาหัสอย่างนี้ ทำไมข้าพเจ้าไม่ตายเสียตั้งแต่เล็ก ๆ จะให้ชีวิตของข้าพเจ้า อยู่รับความทุกข์ทรมานไปทำไม ในเมื่อข้าพเจ้าทำผิดประพฤติไม่ดีจริงดังว่า ก็พอประทัง แต่นี่ข้าผิดอย่างไร ข้าชั่วแบบไหน ถ้าไม่รู้ ถ้าไม่เห็น ข้าพเจ้าหมดปัญญาที่จะบอกให้พี่และใครๆ เชื่อได้

ในที่สุด พี่ชายก็ได้บังคับให้กลับไปบ้านที่จังหวัดพังงา เมื่อไปถึงบ้านแทนที่จะได้พบจะได้เห็นพี่น้องเพื่อนฝูงต้อนรับยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเมื่อก่อน เปล่าเลยมีแต่กลับตรงกันข้าม ใคร ๆ ก็ไม่อยากจะมองหน้า มีแต่ความขยะแขยงเกลียดชัง ยามเมื่อเรามั่งมีเงิน พี่น้องรักใคร่ เพื่อนฝูงมากมาย จะมองไปทางไหนพบแต่ความเพลิดเพลิน

ยามเมื่อเราอับจน พี่น้องก็ห่างเหินเพื่อนรักกลับชัง จะเหลียวมองไปทางไหน แว่วแต่เสียงครหานินทา ทำถูกก็ว่าผิด พูดดีก็ว่าร้าย อยากจะไปบอกกับพี่ว่าน้องนี้ไม่ได้ผิด น้องนี้ไม่ได้ชั่ว แต่ไม่มีใครเขาต้องการจะฟังเขากลับปิดประตูไล่ไสส่ง ไม่มีใครอยากให้เข้าบ้าน

เมื่อหวนกลับไปหาแม่ เพียงแค่เห็นข้าพเจ้าเท่านั้น แม่ต้องร้องไห้ ชีวิตของข้าพเจ้ามันหมดล้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ทั้งทางวัตถุและจิตใจ เหลือแต่เพียงน้ำตาเท่านั้น ที่ยังคอยมาปลอบประโลมใจ และมาเป็นเพื่อนในยามเศร้า ในชีวิตของข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยพบกับความสุขอันแท้จริง ในบางครั้ง แม้จะมีบ้าง แต่เป็นความสุขที่หลอกลวง ความสุขที่เจือปนด้วยยาพิษ

ข้าพเจ้าเคยมีบิดาอันรักยิ่งเสมือนแก้วตา แต่เพียง 6 ปีเท่านั้น ท่านก็มาจากไปโดยไม่มีวันกลับ เคยมีพี่หญิงพี่ชายเหมือนเพื่อน แต่แล้วเหมือนไม่มี เคยมีเพื่อนรักยิ่งแต่เพื่อนรักกลับเนรคุณ ในชาติปางก่อนข้าพเจ้าสร้างกรรมทำอะไรเอาไว้มากมายนักหรือ ชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานและเฝ้ากินแต่น้ำตาอยู่ร่ำไป

เมื่อพี่ ๆ มาพร้อมกันแล้ว พี่ชายคนโตได้พูดขึ้นว่า ต่อจากนี้ไปชีวิตของข้าพเจ้า (นิกร) แกจะจัดการเอง หากขืนปล่อยเอาไว้อย่างนี้ คงจะนำความเสื่อมเสียมาสู่ญาติพี่น้องและตระกูล จะพามันไปดัดสันดาน ที่ในป่าเสียบ้าง จะได้หายจากความเลวระยำสักที พี่ ๆ ทุกคนมีความยินดีและลงความเห็นด้วย ในการที่พี่ชายคนโต พาไปทำอย่างนั้น

ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของข้าพเจ้าเวลานี้ ใครเล่าจะรู้ใครเล่าจะเห็น นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทวดาฟ้าดินเท่านั้น ที่พอจะรับรู้ได้บ้าง แต่ใครล่ะ ที่จะมาช่วยข้าพเจ้าได้ ขณะที่ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่นั้น หัวอกแทบจะพังทลายด้วยความอัดอั้นตันใจ หมดหนทางที่จะโต้เถียง และหลักฐานพยานมาอ้างให้เขาเชื่อฟังและเข้าใจได้ มีแต่น้ำตาที่หลั่งไหลนองหน้า

ถ้าเราผิดจริงชั่วจริง จะไม่เสียใจเลย แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น กลับถูกเขาใส่ร้าย ใครเล่าจะไม่เสียใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่ความทุกข์ เสมือนตกนรกทั้งเป็น ทรัพย์สมบัติทั้งหมดสิ้นทุกอย่าง พี่น้องขับไล่ไม่คบหน้า ซ้ำถูกกล่าวหาใส่ร้าย และถูกพี่พาไปทรมาน จะมองไปทางไหนมืดมิดหนทางชีวิตมืดมน จะอยู่ไปทำไมเล่าชีวิตนี้

ในเมื่อมามีแต่ความเศร้าตรม จะขอตายไปเสียให้พ้นยังดีกว่า ถึงขืนอยู่ก็หาความสุขไม่ได้แล้วในชีวิตนี้ ในทันทีนั้นข้าพเจ้าได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า ขอลาจากโลกนี้ไป แต่มีปัญหาอยู่ว่าการตายนี้ เราจะตายแบบไหนดี คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่า “กินยานอนหลับ” สิตายสงบดี โดยมิต้องทำความวุ่นวายให้กับใคร

และเวลานี้ เงินข้าพเจ้ายังเหลืออยู่ 300 บาท เพราะเมื่อวันกลับมาบ้านออกจากงาน เงินที่เหลืออยู่เขาก็คิดให้ คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับทั้งคืน พอรุ่งเช้าก็รีบออกไปตลาดหาซื้อยานอนหลับได้ทั้งหมด 15 เม็ด ทางร้านเขาบอกว่าหมดแล้ว มีเพียงแค่นี้ ข้าพเจ้ายังไม่สมกับความเสียใจ

จึง ซื้อยาแอสโปรเพิ่มขึ้นอีก 10 เม็ด รวมเป็น 25 เม็ด ทีนี้คิดว่าคงจะตายสมความตั้งใจเราล่ะ แต่ส่วนเงินที่เหลือนี้ เราจะเก็บไว้ทำไม เมื่อเราตายไปแล้ว ก็ไม่สามารถจะเอาไปได้เราเอาไปซื้อของฝากพี่ ฝากแม่ และซื้อของไปทำบุญให้หมดเถอะ

วันนั้น ข้าพเจ้านึกอยากจะทำบุญทำทาน ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยจะสนใจในเรื่องทำบุญทำทาน ก่อนๆ ถ้าจะไปวัดกับเขาบ้าง ก็ไปอย่างว่านั่นแหละ คือไปเที่ยวแบบคนหนุ่ม ๆ บางคน ไม่ได้ตั้งใจรับศีลฟังเทศน์กะเขาหรอก แต่ไปเพื่อจะมองหาผู้หญิงสวย ๆ ใครมาบ้าง คงจะได้บาปมากกว่าบุญ แ ต่พอใกล้จะตายเข้าสินึกจะทำบุญ

เมื่อตอนยังสบาย ไม่เจ็บไม่ไข้ไม่เคยนึก มัวแต่หลงเพลิดเพลินหาความสุขสบายแต่ในทางกามารมณ์ ไม่คิดว่าสักวัน จะต้องตายพบพระ พบเจ้า ไม่อยากจะเข้าใกล้ เมื่อใกล้จะตายจึงคิดหาพระแต่พระองค์ไหนจะช่วยข้าพเจ้าได้ ในเมื่อยามสบายข้าพเจ้าไม่เคยได้ไปทำบุญกับพระ แม้แต่สวดนะโมก็ยังว่าไม่ค่อยถูก

เมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงบ้าน ก็นำของที่ซื้อมาทั้งหมด พาไปให้พี่ แม้ว่าเขาจะไม่ยินดีต้อนรับ แต่ข้าพเจ้าก็เอาไปไว้แล้วบอกว่า พี่นี่ของน้องซื้อมาฝาก จงรับไปเถิด แล้วจากไปแล้วเอาไปให้แม่และพาขึ้นไปถวายพระที่วัด ของที่ซื้อมาทุกอย่าง เช่น ร่ม รองเท้า ผ้าถุง ปิ่นโต น้ำปลา กะปิ ธูป เทียนใบชา จนกระทั่งปลาสดและเนื้อหมู เมื่อแบ่งไปให้กันทั่วหมด ทุกคนพากันประหลาดใจ ที่ข้าพเจ้ามีใจบุญเป็นพิเศษในวันนั้น

แต่ทุกคนหาได้เฉลียวใจไม่ว่า ข้าพเจ้าเตรียมตัวจะจากเขาไปเสียแล้ว วันนั้นเป็นวันเสาร์ เดือนมีนาคม พ.ศ 2510 เวลาประมาณ 18.00 น. หรือ 6 โมงเย็น ข้าพเจ้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะขอลาตาย แล้วไปหยิบเอายาทั้งหมด พร้อมด้วยน้ำหนึ่งแก้ว แล้วรีบออกไปหลังบ้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมาแล้ว ข้าพเจ้าก็รีบกินทันที เม็ดที่ 1ลงไป และเม็ดที่ 2-3 ติดตามไปตามลำดับ

น้ำตาของข้าพเจ้าไหลพราก แทบจะเป็นสายเลือดแต่กัดฟันกินต่อไป กินไปพลางร้องไห้พลาง จนยานอนหลับ 15 เม็ดหมดไป ยังเหลือยาแอสโปร 10 เม็ด ข้าพเจ้าอุตส่าห์กินเข้าไปจนหมด 5 เม็ด ยังเหลืออีก 5 เม็ด ไม่สามารถจะกลืนลงไปได้ เพราะมันรู้สึกคล้าย ๆ จะอาเจียนออกมาให้ได้ และข้าพเจ้าคิดว่ายา 20 เม็ดนี้มันคงสามารถนำดวงวิญญาณออกไปจากร่างได้แล้วล่ะ เพราะเคยปรากฏว่าเขากินเพียง 12 เม็ด ยังถึงแก่ความตาย

เมื่อกินยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในที่สุด นึกอยากจะเข้าไปกราบเท้าแม่ เพื่ออำลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะตาย เพราะชีวิตของข้าพเจ้า ในเวลานี้ มีแต่แม่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะเห็นใจข้าพเจ้าอยู่บ้าง แม้ว่าลูกนี้จะสิ้นเนื้อประดาตัว ชั่วช้าสารเลวไม่มีใครคบหน้า ทุกคนพากันขยะแขยง แต่แม่....

แม่ไม่เคยจะรังเกียจลูก ยามเมื่อลูกทุกข์ แม่พลอยเป็นทุกข์ไปกับลูกด้วย ยามเมื่อลูกสุข แม่ก็พลอยยิ้มแย้มแจ่มใส ยามเมื่อลูกเจ็บไข้แม่เฝ้ารักษาพยาบาล พระคุณความดีของแม่มีต่อลูกมากเหลือเกิน สุดที่ลูกจะนำมากล่าวพรรณนาให้จบได้

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าเอาผ้าเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วเดินออกไป แต่ในเมื่อเข้าไปใกล้ กลับมีความคิดใหม่ขึ้นมาทันทีว่า หากเราไปบอกกับแม่อย่างนี้ ไหนเลยแม่จะปล่อยให้ลูกนี้ตายไปต่อหน้าต่อตา แม่คงจะต้องช่วยเราเป็นแน่ ในที่สุดข้าพเจ้ากลับเข้าไปในห้อง แล้วไปหยิบกระดาษมาเขียนจดหมายไว้หนึ่งฉบับ ในจดหมายนั้นมีใจความว่า ที่ห้องนอนของลูกในวันสุดท้าย กราบเท้าลามายังคุณแม่ผู้บังเกิดเกล้า

แม่จ๋า ชาตินี้ลูกขอลาแม่ไปก่อน แม่คงไม่รู้หรอกว่า ขณะนี้ลูกคนหนึ่งของแม่ ต้องทนทุกข์ทรมานดวงใจแทบจะขาด อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ ลูกจะต้องจากแม่ไปแล้ว ไปอย่างไม่มีวันจะได้กลับมาหาแม่อีก ลูกอยากจะเข้าไปหาแม่แล้วกราบอำลาแทบเท้าของแม่ และลูกอยากจะเห็นหน้าแม่ก่อนที่ลูกจะสิ้นใจตาย แต่ลูกทำอย่างนั้นไม่ได้

แม่จ๋า... ชาตินี้บุญลูกน้อยเหลือเกิน ที่จะได้เห็นหน้าแม่ต่อไป ลูกขอกราบลาแม่จนแทบเท้าแนบมากับจดหมายฉบับนี้ด้วย ชาตินี้ลูกมิทันได้ตอบแทนบุญคุณของแม่ ลูกขอตั้งสัตย์อธิษฐานไว้ว่า หากลูกไปเกิดชาติหนึ่งชาติใด ก็ขอให้เป็นลูกของแม่ผู้มีพระคุณ และขอให้ได้รับใช้อยู่กับแม่ผู้มีพระคุณทุกๆ ชาติไปด้วยเถิด ขอให้คุณแม่ และคุณพี่ที่อยู่หลัง จงมีแต่ความสุขตลอดไป ส่วนลูกนั้น สุดแล้วแต่บุญและกรรมจะนำพา ลูกอยากจะเขียนให้แม่อีกมากมาย แต่เวลานี้ มือของลูกสั่น ดวงตาฝ้าฟางเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา สุดที่จะเขียนต่อไปได้อีกจึงขอลาแม่แต่เพียงเท่านี้

((( โปรดติดตามตอนต่อไป ตอน ... ขอลาแม่ชั่วชีวิต จากลูกผู้อาภัพ นิกร ไทยรักษ์ )))

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/11/09 at 09:55 [ QUOTE ]



จดหมาย..ขอลาแม่ชั่วชีวิต


จากลูกผู้อาภัพ นิกร ไทยรักษ์


เมื่อเขียนจดหมายแล้ว ก็เก็บจดหมาย พร้อมด้วยกล่องยานอนหลับใส่ไว้ในเสื้อยืดชั้นใน คิดว่าเมื่อข้าพเจ้าตายแล้ว ตอนที่เขาเอาศพไปอาบน้ำ เขาคงจะเห็น และรู้เองว่าข้าพเจ้าตายเพราะเหตุไร ตามธรรมดา แต่ก่อนมาไม่เคยไหว้พระที่บ้านเลย แต่วันนี้ ข้าพเจ้าไปหาดอกไม้ธูปเทียน แล้วไหว้พระ เมื่อแม่เห็นอย่างนั้นก็แปลกใจ แต่ไม่ได้ไต่ถามประการใด

ตอนนี้ ยาที่กินเข้าไปเริ่มแสดงอาการออกบ้าง ข้าพเจ้ารู้สึกภายในจิตใจสั่น สติฟั่นเฟือนจำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ไหว้พระก็ไม่ค่อยถูก ตั้งนะโม 3 จบ ผิดบ้างถูกบ้าง เป็นอันว่าเสร็จพิธี เมื่อไหว้พระแล้ว ก็เอาดอกไม้ที่หาเอาไว้แล้ว 3 ดอก ผูกติดร่วมกันทั้งธูปเทียน แล้วเอามือถือไว้ เพราะเคยเห็นคนใกล้จะตาย หรือคนเจ็บหนักๆ เขาทำกันอย่างนั้น

ตอนเอายาไปกินประมาณ 18 นาฬิกา เมื่อเสร็จทุกอย่างแล้ว เข้าไปนอนประมาณ 20 นาฬิกา ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนได้ระลึกขึ้นว่า ขอเดชะ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดา และคุณครูบาอาจารย์ ตลอดทั้งผู้เป็นใหญ่ มีพระอินทร์ พระพรหม พระยายม พระกาฬอีกทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอีกทั้งผู้ที่เคยมีพระคุณทั้งหลาย

เมื่อข้าพเจ้าสิ้นชีวิตไปแล้ว ขอพระคุณของท่านจงมาช่วยนำดวงวิญญาณของข้าพเจ้าไปสู่สุคติด้วยเถิด ชาตินี้ ข้าพเจ้ามีกรรม ขอเดชะบารมีของท่านทั้งหลาย ที่พรรณนามานี้ จงรับรู้ความดี ที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมอบรมไว้ในชาตินี้แล้ว จงมาเป็นกุศลผลบุญให้ข้าพเจ้าได้ไปเกิดในที่อันพึงปรารถนาที่ชอบดังที่ได้พรรณนามานี้

เมื่ออธิษฐานเสร็จ ก็ก้มตัวลงนอน และคิดว่า ต่อไปนี้ ไม่มีอะไรที่จะช่วยเราได้แล้ว นอกจากพระ เมื่อคิดได้ดังนี้ แล้วก็ภาวนาขึ้นว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ อย่างนี้ตลอดไป ดอกไม้ธูปเทียนก็ตั้งไว้บนอก ถือแบบประนมมือไหว้พระ แล้วก็ค่อยๆ ลืมตัว และหลับไปในที่สุด

นี้แหละท่านทั้งหลาย ในโลกมนุษย์เรานี้ จะเอาอะไรแน่นอนกันได้ วันนี้เรามีความสุขสมหวังสดชื่นรื่นรมย์ แต่วันพรุ่งนี้ใครเล่าจะเห็น บางทีเราอาจจะต้องร้องไห้ หรือบางทีเราอาจจะต้องจากโลกนี้ไปก็ได้ เพราะชีวิตมนุษย์เราทุก ๆ คนย่อมเป็นไปตามกรรม ที่เราเคยสร้างเอาไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ ทั้งที่เป็นกรรมดีและชั่ว เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว เราก็ต้องได้รับผลอย่างแน่นอน แล้วแต่วิบากกรรมนั้น จะตามมาทันเข้าเมื่อไร

ดูแต่แนวทางชีวิตของข้าพเจ้าเถิด ไม่เคยนึกว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่แล้วก็เป็นเอาจนได้ ชาติปางก่อน ข้าพเจ้าคงจะสร้างกรรมชั่วเอาไว้มาก เมื่อเกิดมาชาตินี้ จึงต้องชดใช้กรรมเวรอันนั้นอย่างปวดแสบ

เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย เมื่อเรามีโชควาสนาได้ ชีวิตเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราไม่ควรจะประมาท จงรีบทำความดี มีการรักษาศีลให้ทาน ฟังธรรมเสียแต่วันนี้เถิด ใครเล่าจะรู้ว่า ความตายมาในวันพรุ่งนี้แล้ว ชีวิตทุก ๆ ชีวิต เมื่อเกิดขึ้นมาในโลกนี้แล้ว ไม่มีใครที่จะอายุยืนค้ำฟ้า จะต้องตายลงด้วยกันทุกคน ต่างแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้น จะยากดีมีจน หรือร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี

เมื่อถึงคราวสิ้นชีวิต พระยามัจจุราชไม่เคยจะเมตตาปรานีใคร และไม่เคยจะเลือกชั้นวรรณะ ต่อให้มีเงินทองกองล้นฟ้า ก็ไม่สามารถจะป้องกันชีวิตไว้ได้ ยามเมื่อเราตายไปแล้ว แม้แต่โลหิต ก็ไม่มีติดตัว นอกจากกรรมดีและกรรมชั่วเท่านั้น ที่จะเป็นเงาติดตามตัวเราไป

เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย เราจงหันหน้า เข้ามาน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาประดับจิตใจ และเป็นที่พึ่งกันเถิด เพราะสิ่งอื่น ๆ ในโลกนี้ ไม่ใช่สรณะเป็นที่พึ่งอันประเสริฐเลย

ในเมื่อเรามีคุณธรรมความดีประจำใจแล้ว เราจะไปกลัวอะไรกับความตาย พระยามัจจุราชไม่สามารถจะย่ำยีจิตใจเราได้ แม้จะทำไปได้ก็แต่เพียงร่างกายเท่านั้น และด้วยอำนาจความดีเท่านั้น ที่จะทำให้เรามีความสุขได้ในโลกนี้ และในโลกหน้า

ท่านทั้งหลายเพราะเหตุไรที่ข้าพเจ้าไม่ตาย ข้าพเจ้ามีฤทธิ์หรือ เปล่าเลย ข้าพเจ้ายังเป็นปุถุชนสามัญที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลสอาสวะ แต่ที่ไม่ตายนั้นก็เพราะอำนาจบารมีของคำว่า "พุทโธ” ได้แสดงอภินิหารช่วยชีวิตของข้าพเจ้ารอดมาได้อย่างมหัศจรรย์ จะช่วยแบบไหนและดวงวิญญาณของข้าพเจ้าไปประสบอะไร ขอเชิญติดตามในตอนประสบเหตุการณ์ทางวิญญาณต่อไป

((( โปรดติดตามตอนต่อไป ตอน ... สิ่งที่พบเมื่อตายแล้ว )))

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/11/09 at 08:35 [ QUOTE ]



สิ่งที่พบเมื่อตายแล้ว


...หลังจากข้าพเจ้าได้หลับไปสักครู่ใหญ่ๆ ก็มารู้จักตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ข้าพเจ้าจะสิ้นลมหายใจ (ธรรมดาผู้ที่ใกล้จะตาย จะต้องสะท้อนขึ้นหายใจอีกอย่างน้อย 3-4 ครั้ง) เวลานั้นประมาณ 21 นาฬิกา ภายในหัวอกเสมือนว่า เอาหินขนาดใหญ่มาตั้งทับไว้ รู้สึกว่าหนักไปทั้งตัว กรามสองข้างขบกันแน่น น้ำลายสองข้างปากไหลเป็นฟอง และเหงื่อแตกไหลโทรมไปทั้งตัว ที่จมูกเหมือนมีใครเอามืออันแข็งมาบีบ แต่คำว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ ยังจำไม่ลืม

ข้าพเจ้าพยายามจะหายใจอย่างแรง แต่ไม่สามารถจะทำได้ ฝืนหายใจได้เพียง 3 ครั้งนี้ แล้วก็หยุดไปทันที คล้าย ๆ กับว่าเราหลับไปอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าหากว่าเราหลับจริง ๆ แล้วฝัน ร่างของเราเอง ที่นอนอยู่ เราเองมองไม่เห็น แต่ทว่า ข้าพเจ้าเองพอสิ้นลมหายใจ ประมาณสัก 2 นาที ก็เป็นวิญญาณมายืนอยู่ทันที ตอนที่วิญญาณออกจากร่าง ไม่ทราบว่าออกตอนไหน และออกมาอย่างไร คล้าย ๆ กับว่านอนหลับแล้วฝันไปอย่างนั้น

สภาพของวิญญาณที่ออกจากร่าง มายืนอยู่นั้น ตามเนื้อตัวแตกต่างจากร่างจริงมาก เสื้อผ้ากางเกงไม่มีจะนุ่ง จะใส่เลย มีแต่ผ้าพันเอวประมาณสักหนึ่งคืบ สกปรกเต็มที ดูร่างกายล่อนจ้อน ผมเผ้ารุงรัง แต่ในมือของวิญญาณนั้น ยังถือดอกไม้ธูปเทียนอยู่ เหมือนกับที่ร่าง ปากก็ยังภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่ไม่ขาด ระยะก่อนที่จะกินยา ยังเป็นห่วงแม่ เป็นห่วงพี่ แต่พอเป็นวิญญาณไม่เป็นห่วงอะไรเลย

วิญญาณของข้าพเจ้า ยืนดูร่างอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง และความรู้สึกในวิญญาณว่า ที่นี้เราอยู่ไม่ได้แล้ว เราจะต้องออกไปหาที่อยู่ใหม่ แล้วจึงเดินออกไป พอมาถึงประตู ตามธรรมดา เมื่อเวลาเข้านอน เขาปิดประตูเรียบร้อย และคืนนั้นเดือนมืด เพราะเป็นคืนข้างแรม แต่ในวิญญาณรู้ดีกว่าไม่มืด และไม่กว้างเท่าไร

แต่พอถึงประตู ก็ไม่ต้องเอามือไปเปิด แต่รู้สึกว่า ออกไปอยู่ด้านนอกแล้ว พอเดินพ้นจากห้องมาถึงหน้าบ้าน ก็หันหน้าเดินไปทางทิศใต้ แรกออกจากบ้าน จำได้ทุกอย่างว่า ตรงนั้นเป็นสวนของคนนั้น ตรงโน้นเป็นสวนของคนโน้น และพอนานไปก็จำไม่ได้ คล้ายกับว่าเป็นที่ที่ไม่เคยมาก่อน

และอาการของวิญญาณที่เดินไปนั้น ดูเหมือนว่าเท้าทั้งสองไม่ถึงพื้นดิน แต่ไม่ใช่เหาะเหินเดินอากาศ เป็นอย่างไรบอกไม่ค่อยถูก คำว่า พุทโธ ก็ยังภาวนาเรื่อยไป โดยที่ไม่ลืมเลย ในที่สุดจำได้ว่ามายืนอยู่ในป่าไม้แห่งหนึ่ง

ในป่าไม้นี้ รู้สึกว่าร่มเย็นสบาย เดินสะดวกเพราะ ไม่รก เดินพักหนึ่ง ก็มาถึงที่เตียน พบสระบัวที่สวยงามที่สุด มีทั้งดอกตูมและดอกบาน สวยสล้างไปด้วยสีสันวรรณะแปลก ๆ มีทั้งสีขาวอมชมพู สลับกัน อยู่อย่างสวยงามยิ่ง กลางสระนี้ เป็นภูเขาแล้วอยู่ลูกหนึ่งไม่ใหญ่โตเท่าไรนัก

ในขณะที่วิญญาณของข้าพเจ้ากำลังเพลิดเพลินอยู่กับสระประหลาดนั้น มีจระเข้ทองตัวหนึ่งออกมาจากถ้ำในภูเขานั้น บนหลังจระเข้ทองนั้น มีผู้หญิงยืนอยู่คนหนึ่ง รูปร่างสะคราญตา และมีเครื่องประดับร่างกายอันสวยงามแพรวพราวไปทั้งตัว มีผมผูกเป็นมวยยาวถึงสะเอว มือจับอยู่ที่มวยผมนั้น คล้ายกับนางธรณีบีบมวยผม

จระเข้ทองตัวนั้น ว่ายน้ำรี่ตรงมาหน้าวิญญาณของข้าพเจ้า ห่างจากข้าพเจ้าประมาณสัก 8 ศอก แล้วก็หยุดนิ่งอยูกับที่ ไม่ได้แสดงอาการแต่อย่างใด ผู้หญิงนั้นก็มิได้พูดจาว่ากระไร สักครู่หนึ่งจระเข้ตัวนั้น ก็ว่ายน้ำกลับเข้าสู่ถ้ำ พร้อมทั้งนางธรณีที่อยู่บนหลัง

ต่อจากนั้น วิญญาณก็เดินทางต่อไปสักครู่หนึ่ง ก็เข้าป่าอีกแห่งหนึ่งไม่สู้ใหญ่นัก เมื่อพ้นจากป่านั้นแล้ว ก็พบถนนสายหนึ่ง แล้วก็เดินไปตามถนนสายนั้น อีกไม่ไกลนัก ก็ถึงตลาดแห่งหนึ่ง ในตลาดนี้มีคนมากมายขายของนานาชนิด แต่ทว่ารถเรือไม่มีเลย คนโดยมากจะแต่งตัวคล้ายแขกมีผ้าโพกศีรษะ ผู้หญิงก็มีผ้าคลุมและผ้าห่ม

ตอนนี้วิญญาณของข้าพเจ้า รู้สึกละอายเป็นอย่างมากที่ต้องเปลือยเปล่า ในเมื่อเขาเหล่านั้นประดับประดาด้วยอาภรณ์อันสวยงาม จึงเดินก้มหน้าไม่พูดจาและมองใคร พอใกล้จะพ้นตลาดนั้นก็พบแม่ค้าแก่ ๆ นั่งอยู่ 2-3 คน ขายอะไรดูไม่ถนัด วิญญาณข้าพเจ้าจึงถามขึ้นว่า “แม่ค้าครับทำไมผมนุ่งกางเกงมาอย่างนี้” แม้ว่าคนหนึ่งตอบว่า "คุณไมต้องแปลกใจเลย ถึงจะนุ่งห่มมาให้ดีอย่างไร เมื่อมาสู่ที่นี้ เอามาไม่ได้ดอก บางคนที่เคยเดินผ่านไป ไม่มีอะไรติดตัวเลยก็มี”

และแกยังพูดเสริมขึ้นอีกว่า “ถ้าหากว่าอยากจะได้แต่งดี ๆ งาม ๆ แล้ว ก็จงทำบุญทำทานกับผ้าบ้างสิ” วิญญาณของข้าพเจ้าก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่า เป็นความจริงเมื่อข้าพเจ้าอยู่เมืองมนุษย์ ไม่เคยทำบุญทำทานด้วยผ้าเลย เมื่อก่อนที่เราจะมานี้ ได้ทำเอาไว้นิดหนึ่งก็ทำด้วยจิตใจอันเศร้าหมองจึงได้มาอย่างนี้

เมื่อหายสงสัยแล้ว ก็เดินทางต่อไป อีกไม่นานนัก ก็เข้าป่าอีกในป่า รู้สึกว่าสวยงามกว่าป่าที่ผ่านมาแล้ว มีนกนานาชนิด พร้อมด้วยลิงค่างบ่างชะนีห้อยโหนโยนตัวตามประสาสัตว์ ภายใต้โคนไม้ มีสระน้ำอยู่อีกสระหนึ่ง ไม่ใหญ่เท่าไรนัก มีหนุ่มสาวอาบน้ำอยู่หลายคู่ บางคู่ก็นั่งเรือเล่น บางคู่นั่งชิงช้าสรวลเสเฮฮาไปตามจังหวะ บางคู่ก็ว่ายน้ำอย่างสบายอารมณ์ ผู้คนเหล่านั้น ดูแล้วคล้าย ๆ พวกอินเดีย รอบ ๆ ขอบสระมีดอกไม้นานาชนิด บานอยู่สะพรั่ง ส่งกลิ่นขจรหอมหวนไปทั่วบริเวณ พ้นจากสระนั้นไปมีสวนดอกไม้ดูสวยงามไม่มีที่จะเปรียบ

วิญญาณของข้าพเจ้ายืนดูอยู่นานพอสมควร ก็เดินต่อไปจนถึงป่าไม้ใหญ่ๆ อีกแห่งหนึ่ง ในป่านี้รู้สึกรกสักหน่อย แต่ไม่ถึงกับเดินลำบาก และในป่านี้มีสัตว์ร้ายหลายชนิด แต่พอเห็นวิญญาณของข้าพเจ้าก็พากันหนีไปหมด เพราะว่าวิญญาณของข้าพเจ้า ภาวนาด้วยคำว่า พุทโธ อยู่ตลอดเวลา ไม่เคยลืมเลย

เดินไปอีกไม่นาน ก็มีกวางตัวหนึ่ง วิ่งตัดหน้า ในวิญญาณของข้าพเจ้าไป พอกวางนั้นพ้นไปสักประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ก็มีพรานป่าคนหนึ่งถือธนูหน้าไม้ไล่ตามมา พอเหลือบเห็นวิญญาณของข้าพเจ้าเท่านั้น ทำท่าจะยิงพร้อมด้วยขู่สำทับด้วยเสียงอันดังว่า อย่าหนี อย่าหนี ให้เราจับเสียดี ๆ ถ้าขืนหนีเราจะยิงทันที

ข้าพเจ้าในสภาพวิญญาณต้องหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ด้วยความกลัว นายพรานก็ตรงรี่เข้ามาหาวิญญาณ แล้วจับรวบมือทั้งสองข้าง และทันใดนั้น ก็โบยตีด้วยไม้ขนาดข้อมือลงบนหลังวิญญาณข้าพเจ้า 3-4 ครั้ง เมื่อนายพรานเห็นว่าวิญญาณของข้าพเจ้าหนีไปไหนไม่ได้แล้ว ก็หยุดตี แล้วไปหาเชือกมาเส้นหนึ่ง โตขนาดนิ้วก้อยผูกที่คอของวิญญาณ เสร็จแล้วลากพาไปไหนไม่ทราบ

ตอนนี้ข้าพเจ้าในสภาพของวิญญาณรู้สึกกลัวตายขึ้นมาอีก ทั้ง ๆ ที่เป็นวิญญาณอยู่แล้ว ความรู้สึกในวิญญาณ เช่น ความเจ็บปวดละอายกลัวอะไรเหล่านี้มีอยู่พร้อม เหมือนเป็นมนุษย์เราดี ๆ นี่แหละ จึงพยายามดิ้นรนหาทางเอาตัวรอด ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่า ไม่มีที่พึ่งอันใดที่ดีไปกว่าพระพุทธเจ้า และคำว่าพุทโธ

จึงภาวนาขึ้นดัง ๆ ว่า พุทโธ พุทโธ ๆ ๆ ขอบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด นายพรานมาตีข้าพเจ้าเปล่า ๆ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำผิดคิดร้ายต่อเขาเลย ข้าพเจ้าเจ็บปวดเหลือกำลัง ข้าพเจ้าหมดที่พึ่งแล้ว ขอเดชะบารมีของพระองค์เจ้าจงมาช่วยด้วยเถิด พุทโธ ๆ ๆ

วิญญาณข้าพเจ้าภาวนาและระลึกอยู่อย่างนี้ไม่นาน ก็ปรากฏว่ามีภาพของพระพุทธองค์เสด็จลอยมาทันที ภาพนั้นลอยอยู่ในอากาศ และเสด็จประทับยืนอยู่บนดอกบัวพระหัตถ์เบื้องขวาทรงยกขึ้น พระหัตถ์เบื้องซ้ายปล่อยลงมาเฉย ๆ มีแสงรัศมีออกจากพระวรกายสว่างจ้า แล้วลอยไปขวางหน้านายพรานไว้

เมื่อนายพรานเห็นดังนั้น ก็รีบปล่อยวิญญาณของข้าพเจ้าทันที แล้ววิ่งหนีเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว วิญญาณข้าพเจ้าเมื่อได้เห็นพุทธปาฏิหาริย์ ปานฉะนี้ก็ยกมือประนมไหว้ และระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างไม่ลืม และแล้วภาพของพุทธองค์ก็ลอยหายไปจนลับตา

เมื่อนายพรานไปแล้ว วิญญาณข้าพเจ้าก็แก้เชือกที่ผูกคอออก แล้วพยายามจะเดินต่อไป (ความรู้สึกในวิญญาณตั้งแต่ออกจากบ้าน หวังจะไปหาที่อยู่ใหม่) แต่เดินไปได้สองสามก้าวก็ต้องนั่งลงพัก ด้วยความเจ็บปวดที่ถูกนายพรานตี วิญญาณข้าพเจ้านั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ตาก็มองเหม่อไปรอบ ๆ อย่างคนที่สิ้นคิด

เพราะจะมองไปทางไหนก็ไม่มีที่จะพออยู่ได้ ในทันใดนั้นเอง ในดวงตาของวิญญาณก็ได้เหลือบเห็นอะไรอย่างหนึ่ง มีแสงเขียวเหมือนสายรุ้งรัศมีสีโชติช่วงกำลังลอยอยู่ในอากาศอันสูงแล้วค่อย ๆ ลอยต่ำลงมา ๆ จนถึงที่วิญญาณของข้าพเจ้านั่งอยู่

พอมาถึง จึงมองได้ถนัดตาว่าเป็นเรือยาวประมาณวากว่า ๆ รอบลำเรือประดับด้วยเพชรนิลจินดา มีแสงทอตาเป็นประกายพรายแพรวแสนสวยสุดดุจเทพเจ้าเสกสรรยากที่จะอธิบายได้ ทางท้ายเรือมีคนนั่งอยู่คนหนึ่งแต่งตัวคล้าย ๆ ภาพของพันท้ายนรสิงห์ พอเรือนั้นหยุดนิ่ง คนที่นั่งอยู่นั้นได้พูดขึ้นว่า “ เทวดาเชิญคุณให้ขึ้นไปเที่ยวบนสวรรค์ เราเอาเรือมารับแล้ว”

เมื่อวิญญาณข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น ก็แสนจะดีใจ รีบลุกขึ้นนั่งบนเรือทันที พอขึ้นไปนั่งแล้ว ความเจ็บปวดที่ถูกนายพรานตีหายไปหมดเหมือนปลิดทิ้ง รู้สึกกว่ามีความสุขอย่างที่สุด นี่เพียงได้นั่งเรือเท่านั้น หากเราได้อยู่บนสวรรค์จริง ๆ จะมีความสุขสักเพียงแค่ไหน

เมื่อนั่งเรือเรียบร้อยแล้ว เรือนั้นก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปทีละนิด ๆ จนพ้นยอดไม้ แล้วก็ผ่านมาในอากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า แล้วผ่านเข้ามาในหมู่เมฆหมอกสีขาว นวลชวนให้มองอย่างสุขใจ แล้วค่อย ๆ ลอยขึ้นไป จนพ้นเมฆหมอกนั้น พอพ้นเมฆหมอกขึ้นไปข้างบนเท่านั้น จ ะมองไปทางซ้ายทางขวาข้างหน้าข้างหลังจะพบแต่ปราสาท มีแสงเป็นประกายพรายแพรวเดียรดาษเกลื่อนกลาดไปทั่ววิมาน เมฆหมอกบาง ๆ ที่ล่องลอยอยู่นั้น มีสีขาวนวลดุจสำลี

วิญญาณข้าพเจ้าเกิดความพิศวงหลงใหล และเพลิดเพลินใจอย่างสุดซึ้ง ยากที่จะหาแดนใดมาเปรียบได้ วิญญาณข้าพเจ้านึกอยู่ในใจว่า ดินแดนอันสวยงามอย่างที่สุดในเมืองมนุษย์ ถ้าจะเพิ่มความสวยงามขึ้นอีก ให้วิจิตรพิสดารสักร้อยเท่าพันเท่า ก็ยังหาเปรียบปานกับวิมานที่วิญญาณข้าพเจ้าไปประสบการณ์มายังไม่ได้

เมื่อเรือที่วิญญาณข้าพเจ้านั่งมาถึงจุดหมายปลายทางคือ ปราสาทหลังที่สวยที่สุดในจำนวนปราสาทในแดนวิมานแล้ว วิญญาณข้าพเจ้าก็ทราบได้ทันทีว่า เป็นปราสาทของเทวดาเทวดาที่เห็นนั้นนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง ห้องที่เทวดาประทับอยู่นั้น ยื่นออกมาข้างนอก มีกระจกสามด้าน ด้านหลังเป็นฝาผนัง องค์ของเทวดานั้น ตั้งแต่คอถึงศีรษะมีรัศมีบาง ๆ พุ่งออกมาประมาณคืบกว่า และเครื่องแต่งตัวสวยงามมาก

เมื่อเทวดาเห็นเรือมาลอยอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ดึงเชือกเคาะระฆังสามครั้ง ระฆังนั้น เป็นระฆังทองโตขนาดปี๊บน้ำมันก๊าดใบใหญ่ พอสิ้นเสียงระฆังเหล่านางสาวชาวสวรรค์อันแสนสวยประมาณร้อยกว่านางออกจากปราสาทต่าง ๆ ลอยมา ทั้งนั้นคล้าย ๆ กับว่าเดินในอากาศ นางฟ้าแต่ละนางวิญญาณของข้าพเจ้ามองเห็นเสมือนเดินบนพื้น แต่พื้นนั้นมองไม่เห็นเพราะมีคล้าย ๆ สำลีมาลอยอยู่ข้างบนเต็มไปหมด และใต้นั้นไม่ทราบว่าจะเป็นพื้นหรือเป็นอากาศ แต่เรือที่ลอยขึ้นมาเมื่อเดี๋ยวนั้นไม่เห็นมีอะไร

นางฟ้าเหล่านั้น วิญญาณข้าพเจ้ามองไปไม่เห็นว่าจะใส่เสื้อ แต่มีผ้าคาดอกปิดถัน แล้วพาไปผูกไว้ที่ข้างหลัง และมีผ้าบาง ๆ สีสวยสดเป็นประกายพาดเฉียงบ่า ส่วนผ้านุ่งนั้น ไม่ทราบว่าทำด้วยอะไร ดูแล้วแวววาวงามระยับไปทั้งผืน รูปร่างหน้าตาเนื้อหนังก็สุดสวย จนข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะบรรยายได้ถูก ยิ่งกว่าภาพอันวิจิตรศิลป์ ที่จิตรกรเอกเขาได้วาดไว้ ด้วยฝีมืออันเลิศ เนื้อหนังเปล่งปลั่งดังดอกปทุมชาติสีชมพูอ่อน เมื่อมาพร้อมกันแล้ว ก็กระทำอภิวันทนาการ แล้วร่ายรำทำเพลงแบบนาฏศิลป์ไทย ดูนุ่มนวลอ่อนช้อยน่าชมยิ่งนัก

ส่วนเรือที่วิญญาณข้าพเจ้านั่งอยู่นั้น นายทหารก็จัดการวาดหางเรือลอยไปรอบ ๆ บางครั้ง ก็ลอยเข้าไปใกล้เหล่านางฟ้าที่กำลังร่ายรำ ระยะห่างจากวิญญาณของข้าพเจ้าราว ๆ แค่ศอกแค่คืบก็มี

ตอนนั้น วิญญาณข้าพเจ้าอายจนบอกไม่ถูก เมื่อมองดูนางฟ้าแล้วกลับมองดูตัวเองที่นั่งอยู่ในเรือ มีแต่ผ้าขี้ริ้วพันกายอยู่ผืนเดียว ข้าพเจ้าในสภาพของวิญญาณ รู้สึกว่าความสุขอันใดในเมืองมนุษย์ที่ใครๆ ได้ประสบพบมาจะมีความสุขเท่าที่วิญญาณข้าพเจ้ากำลังประสบอยู่นี้ หาไม่ได้

ขณะที่นั่งมองอยู่นั้น ในจิตใจรู้จักว่า อยากจะลงจากเรือไปเดินร่ายรำกับเหล่านางฟ้า แต่กลัวตกสวรรค์ อยากจะชวนนางฟ้ามาพูดมาคุยด้วย แต่ไม่กล้าเผยอปากสักที เพราะบุญญาธิการแห่งดวงวิญญาณข้าพเจ้ามีน้อย จึงได้แต่นั่งมองดูอยู่ในเรือ ไม่สามารถจะลงเดินในดินแดนแห่งสวรรค์อันแสนสุขนี้ได้ และชักชวนเหล่านางฟ้ามาคุยให้เหมือนใจนึกได้

เมื่อหันหน้าไปมองดูเทวดา ท่านก็เอกเขนกอมยิ้มพริ้มพรายอย่างสบายอารมณ์ เหล่านางฟ้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส อย่างชม้อยชม้ายชายเนตร สังเกตองค์เทวดาอย่างผาสุกใจดุจ เดียวกัน

ถ้าจะคำนวณเวลาที่วิญญาณข้าพเจ้าชมการร่ายรำของเหล่านางเทพอัปสรสวรรค์เหล่านั้นแล้ว ประมาณสักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ต่อจากนั้นนางฟ้าก็ค่อย ๆ ทยอยกันกลับ หลังไปยังปราสาทของตนทีละนางสองนาง จนหมดสิ้น โดยมิได้เหลียวมามองวิญญาณข้าพเจ้าสักนางเดียว วิญญาณข้าพเจ้ามองตามไปจนสุดสายตาอย่างอาลัยยิ่ง

เมื่อเหล่านางฟ้ากลับสู่สถานพิมานทิพย์ของแต่ละนางแล้ว เรือที่วิญญาณข้าพเจ้านั่งอยู่นั้น ก็ลอยตรงมาอยู่หน้าพระพักตรงของเทวดาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเทวดาเห็นดังนั้น ก็สั่งคนที่นั่งอยู่ตอนท้ายว่า พาเขาไปส่งได้แล้ว เมื่อวิญญาณข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น สุดแสนเสียดายไม่อยากจะกลับ แต่นึกในใจว่าวาสนาเรายังน้อย เพียงแต่ได้เห็นเท่านั้นก็เป็นบุญตาแล้ว

วิญญาณข้าพเจ้านั่งถอนใจใหญ่ และดูโน่นดูนี่ไปรอบๆ เพื่อจดจำไว้เป็นขวัญตาขวัญใจ ประเดี๋ยวหนึ่งเรือนั้นก็ค่อย ๆ ลอยต่ำลงมา ๆ จนถึงยอดต้นไม้ต้นเดิม แล้วหยุดนิ่งอยู่ที่โคนต้นไม้นั้น เมื่อวิญญาณข้าพเจ้าลงมาจากเรือแล้ว เรือลำนั้นก็ลอยกลับขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า วิญญาณข้าพเจ้ามองตามจนสุดสายตาด้วยความอาลัยดังดวงใจจะขาดดิ้น

เมื่อเรือจากไปจนลับตาแล้ว วิญญาณข้าพเจ้า ก็ออกเดินทางแสวงหาที่อยู่ต่อไป คราวนี้รู้สึกว่าเดินสบายไม่เจ็บปวดตรงไหนเลย ไม่นานนัก ก็เดินไปเจอเอาวัดแห่งหนึ่ง ไม่สู้จะรกนัก ไม่มีพระสงฆ์หรือผู้ใดอยู่เลย นอกจากพระพุทธรูปโต ๆ ขนาดช้าง และมีภาพแกะสลักอย่างสวยงาม

เมื่อเดินชมจนทั่วบริเวณนั้นแล้ว ก็ออกจากวัดนั้นเดินทางต่อไป อีกไม่นานก็มาถึงป่าไม้อีกแห่งหนึ่ง ในป่านี้แปลกกว่าที่อื่น เพราะมีแต่ต้นโพธิเงินโพธิทองเท่านั้น คือบางต้นก็มีสีแดง ๆ และขาว ๆลำต้นโต ๆ แผ่สาขาร่มเย็นสบาย ภายใต้โคนต้นก็สะอาดเหมือนมีใครมาเก็บกวาด เมื่อพ้นจากป่าโพธิ ไปอีกหน่อย ก็มีวัดอีกวัดหนึ่ง มีโรงธรรมวิหารศาลาประดับตกแต่งอย่างสวยงาม รอบ ๆ วัดนี้มีต้นไม้เขียวไปทั่ว

พอวิญญาณข้าพเจ้าเดินมาใกล้วิหาร เห็นพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง เดินออกมาจากป่าไม้หลังวิหารนั้นประมาณ 500 รูปเศษ เมื่อวิญญาณข้าพเจ้าเห็นดังนั้น ก็พลันยกมือขึ้นไหว้และนั่งลงกราบที่พื้น 3 ครั้ง พระภิกษุรูปหนึ่ง ที่เดินนำหน้าพระภิกษุทั้งหลาย ตรงเข้ามาพยุงที่แขนวิญญาณของข้าพเจ้าให้ลุกขึ้นยืน แล้วนำเข้าไปในวิหาร จัดการจุดธูปเทียนบูชาพระ เมื่อเสร็จแล้วพระที่อยู่ข้างหลัง ก็ออกไปทีละองค์จนหมด เหลืออยู่แต่วิญญาณข้าพเจ้า และพระรูปที่นำเข้ามา แล้วพระภิกษุรูปนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า

((( โปรดติดตามตอนต่อไป ตอน..ต่อไปนี้ ท่านจะได้บวชแล้ว )))

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/11/09 at 08:25 [ QUOTE ]



ต่อไปนี้..ท่านจะได้บวชแล้ว


...ต่อไปนี้ ท่านจะได้บวชแล้ว และจะหมดเคราะห์หมดโศกเสียที จะได้บวชภายในไม่กี่วันนี้แหละ” พอพูดจบ ก็เดินออกจากวิหารนั้น เข้าไปในป่าหลังวิหารเช่นเดิม ส่วนวิญญาณข้าพเจ้าก็เดินออก ภายในป่านี้ วิญญาณข้าพเจ้าเดินอยู่นาน แต่ร่มเย็นสบายดี เมื่อจวนจะพ้นป่าไม้นี้ วิญญาณข้าพเจ้า มองเห็นเป็นกลุ่มควันไฟลอยขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าเต็มไปหมด

วิญญาณข้าพเจ้า รีบเดินไปดู เพื่อจะได้รู้ว่ามันเป็นควันอะไรกัน พอเข้าไปใกล้ก็แลเห็นเป็นเหวลึก ภายในเหวนั้น มองเห็นเป็นกองไฟอยู่หลายแห่งใกล้ๆ กองไฟนั้น มองเห็นสิ่งมีชีวิตเดินอยู่เป็นฝูงๆ คล้ายๆ ฝูงวัวฝูงควาย แต่ตัวเล็กกว่า มองดูไม่ถนัด

เพราะวิญญาณข้าพเจ้าอยู่สูงและเป็นหมอกเป็นควัน วิญญาณข้าพเจ้า มีความสงสัยเป็นอย่างมากว่า มันเป็นอะไรกันแน่ จึงค่อย ๆ เดินลงไปในเหวนั้น คล้าย ๆ กับเดินลงจากควันสูง ๆ พอลงไปถึงก็เห็นว่าเป็นที่ราบมีอาณาเขตกว้างขวางคล้ายทะเลทราย

สิ่งแรกที่วิญญาณข้าพเจ้ามองเห็นคือ เป็นฝูงมาแต่ไกล กำลังจะเดินผ่านมาทางที่วิญญาณข้าพเจ้ายืนอยู่ พอมาใกล้ จึงรู้และเห็นได้ถนัดว่า มีรูปร่างอย่างมนุษย์ หน้าตาน่าเกลียดอย่างที่สุด ศีรษะโล้นร่างกายซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีจำนวนเป็นพันๆ หมื่นๆ เมื่อพวกนี้เดินเลยไปแล้ว ก็มีผู้คุมเดินตามหลังมาสองคน ถือสมุดบัญชีเปิดดูอยู่ตลอดเวลาเมื่อผู้คุมเดินมาใกล้วิญญาณข้าพเจ้ากำลังสงสัยอยู่แล้ว จึงได้ถามไปว่า

“ท่านครับ พวกนี้คือพวกอะไร กระผมอยู่ในเมืองมนุษย์ ก็ไม่เคยเห็น และที่เดินมาก็ไม่เคยเห็น ขอท่านจงบอกให้ทีเถอะ”

ผู้คุมตอบว่า

ที่นี่คือ พวกพระที่บวช ตัวอยู่ในเมืองมนุษย์ จิตใจไม่อยู่ในศีลในธรรม ฉ้อโกงหลอกลวงชาวบ้านเอาทรัพย์เงินทองมาสร้างประโยชน์ส่วนตัว ทะเลาะวิวาทชกต่อยในหมู่สงฆ์ด้วยกัน และคอยรังควานหาเรื่องกับเพื่อนอยู่เสมอ เมื่อสิ้นชีวิตจากเมืองมนุษย์แล้ว ก็มาตกนรกทรมานอยู่ที่นี่จนกว่าจะสิ้นเวรที่ได้กระทำไว้”

เมื่อพวกนี้พ้นไปแล้ว ก็มีอีกพวกหนึ่งเดินตามหลังกันมา ร่างกายเหมือนมนุษย์ ซูบผอมผมเผ้ารุงรัง มีเลือดย้อยลามไหลไปทั้งตัว บางคนตีนด้วนมือด้วน หน้าฉีกขาดมองเห็นกระดูก น่าเกลียดน่ากลัวมาก มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย มีนายนิรยบาลถือหอกถือดาบ ตีฟันแทงมาไม่หยุด ต่างก็ล้มลุกคลุกคลาน มองดูแล้วน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก และมีผู้คุมเดินถือบัญชีตามหลังมาสองคน พอผู้คุมมาใกล้วิญญาณข้าพเจ้าจึง ถามว่า

“ท่านครับ พวกนี้สร้างกรรมอะไรไว้"

ผู้คุมตอบว่า

“นี้คือ พวกที่อยู่ในเมืองมนุษย์ ได้ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ทารุณโหดร้ายต่อผู้มีพระคุณ ฆ่าพระสงฆ์ทำลายศาสนา ขณะนี้ทุก ๆ คนพวกเรากำลังนำเข้าไปในเครื่องทรมาน"

ต่อจากนั้น ก็ยังมีอีกพวกหนึ่งร่างกายเหมือนมนุษย์ ส่วนหน้าตาดูไม่ได้ และบอกไม่ถูกว่าเหมือนกับอะไร น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่าซากศพในโลงเสียอีก ตามเนื้อตัวพุพองเปื่อยเน่าเลือดไหลแดงฉานไปทั่วทั้งตัว นายนิรยบาลถือไม้กระบองใหญ่ขนาดแขน ตีคนละทีสองทีไม่หยุดยั้ง ต่างก็ร้องไห้ส่งเสียงครวญครางอย่างน่าสมเพชเวทนา มีผู้คุมถือบัญชีเดินตามหลังมา 2 คน วิญญาณข้าพเจ้าก็ถามว่า พวกนี้ทำชั่วอย่างใดไว้

ผู้คุมตอบว่า

"นี่คือพวกฉกชิงวิ่งราว ปล้นจี้ ขโมยข้าวของเงินทองผู้อื่นและทำร้ายเจ้าทรัพย์ ฉ้อโกงเขากิน ไม่ได้บวชเรียนในพุทธศาสนา เมื่อสิ้นชีวิตจากเมืองมนุษย์ จึงมาทรมานใช้กรรมอยู่ ที่นี่ ”

เมื่อพวกนี้พ้นไปแล้ว ก็ยังมีอีกพวกหนึ่งร่างกายเหมือนมนุษย์ ส่วนหน้าตาเป็นสัตว์ คือจากคอขึ้นไปเป็นสัตว์ เป็นวัวบ้าง เป็นควายบ้าง หมู หมา ม้า เป็ด ไก่ บางตัวดูไม่ออกว่าเป็นสัตว์อะไร เลือดไหลแดงไปทั้งตัว นายนิรยบาลใช้แส้ และไม้เรียวฟาดไปไม่หยุด มีผู้คุมถือบัญชีเดินตามหลังมาสองคน วิญญาณข้าพเจ้าก็ถามไปว่า

“ท่านครับ พวกนี้ทำกรรมอะไรไว้”

ผู้คุมตอบว่า

"นี่คือพวกที่ฆ่าสัตว์มีพระคุณ เช่น ฆ่าวัว ฆ่าควายช้าง ม้า และผู้ที่ทรมานสัตว์ เช่น ชนวัว ชนควาย ชนไก่กัดปลา และทรมานโดยวิธีต่างๆ อย่างโหดร้ายทารุณใจบาปหยาบช้า ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ขาดความเมตตาปรานีแล้วแต่ใครจะทำกับสัตว์อะไร เมื่อสิ้นชีวิตจากเมืองมนุษย์ก็มาตกนรกที่นี่ จะมีหน้าตาเหมือนสัตว์เหล่านั้น”

ต่อแต่นั้นก็ยังมีพวกหนึ่ง เป็นผู้หญิงทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาดำเกรียมไปทั้งตัว เหมือนถูกเผาไฟทั้งเป็น ผมยาวถึงสะเอว รูปร่างเหมือนมนุษย์แต่หน้าตาน่าเกลียดมาก เล็บยาว ปากฉีกขาด บางคนก็ข่วนขบกัดตบตีกันอย่างวุ่นวายไม่อยู่นิ่ง นายนิรยบาลถือเหล็กแดง ยาวประมาณสองศอก ถ้าหากว่าใครเดินเฉย ๆ ไม่ตบตีขวนกับเพื่อนก็ใช้เหล็กแดงแทงเข้าไปทันที แล้วไล่ให้ไปตบตีตบต่อยกับเพื่อน แล้วมีผู้คุมเดินตามหลังมาสองคน พอมาใกล้วิญญาณข้าพเจ้าก็ถามขึ้นว่า

“ท่านครับ พวกนี้ทำกรรมอย่างไรไว้”

ผู้คุมตอบว่า

“หญิงพวกนี้ เมื่ออยู่ในเมืองมนุษย์ เป็นคนที่คบชู้นอกใจสามี ทำเสน่ห์ยาแฝดให้ผัวรักผัวหลง ริษยาอาฆาตเบียดเบียนเพื่อนบ้าน หาเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนบ้านอยู่เสมอ ไม่ทำบุญทำทาน ไม่เข้าวัดไหว้พระ เมื่อสิ้นชีวิตจากโลกมนุษย์แล้ว ก็มาตกนรกอย่างนี้ และผลกรรมที่จิตใจชั่วช้าอธรรม จึงทำให้เนื้อตัวไหม้เกรียมอย่างที่เห็นอยู่นี้

และทุกพวกมีจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นทั้งนั้น นอกจากนี้แล้ว ยังมีผู้ที่เดินตามหลังมาอีกหลายพวก แต่ในวิญญาณข้าพเจ้ารู้สึกว่า ถ้าเรามัวยืนดูอยู่อย่างนี้ เมื่อไรจะได้มีที่อยู่เพราะความตั้งใจในวิญญาณ ตั้งแต่แรกออกมาจากบ้าน หวังจะไปหาที่อยู่ใหม่ เมื่อคิดดังนั้น จึงเดินต่อไปโดยที่มิได้เหลียวไปถามอีก

ระยะที่เดินผ่านไปนั้น มองเห็นเป็นกองไฟอยู่หลายแห่ง แต่มิได้เดินเข้าไป และพวกที่อยู่ใน ๆ เข้าไปก็ยังอีกมากมาย วิญญาณข้าพเจ้าเดินไปได้สักพักใหญ่ ก็มองเห็นเป็นทางขึ้นไปสู่ข้างบน คล้าย ๆ กับเป็นทางขึ้นจากเหว และรีบเดินขึ้นไปทันที เมื่อพ้นจากขุมนรกขึ้นมาข้างบนก็เริ่มมองเห็นของแปลก ๆ อีก

เป็นห้องสี่เหลี่ยมห้องหนึ่ง ที่หน้าห้องนั้น มีโต๊ะตัวใหญ่และมีสมุดบัญชีวางอยู่บนโต๊ะหลายเล่ม ด้านหน้าโต๊ะมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง ลักษณะหน้าตาเหมือนมนุษย์คล้าย ๆ กับมนุษย์ คือมีหู จมูก เท้า แข้งขาเหมือนกัน แต่มีขนขึ้นไปทั้งตัว ส่วนหน้าตา จะว่าเหมือนมนุษย์ก็ไม่ใช่ ดูดุร้ายคล้ายกับหน้ายักษ์แต่ไม่ใช่ เขี้ยวงอก ส่วนผ้าที่นุ่ง ดูคลับคล้ายคลับคลา คือ ดูไม่ค่อยถนัด เป็นคล้ายกับหนังควาย ท่าทางน่ากลัวมาก เปิดบัญซีดูอยู่ตลอดเวลา

ด้านข้างโต๊ะ ก็มีอีกคนหนึ่งรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกัน นั่งอยู่เฉย ๆ (มาทราบเมื่อตอนหลังว่า คนที่นั่งโต๊ะคือ พระยายมบาล คนที่นั่งข้างโต๊ะคือพระยายมราช และเขาทั้งสองนี้เป็นใหญ่คนละหน้าที่ พระยายมบาลเป็นใหญ่ในการจดบัญชี พระยายมราชเป็นใหญ่ในการตรวจบัญชีพระยายมราชบอกตอนเข้ามาสิงร่าง)

เมื่อพ้นจากห้องนั้นไป ประมาณ 3 วา มีต้นโพธิต้นหนึ่งโตมาก ภายใต้ต้นโพธินี้มีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่ง เป็นรูปปั้นนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ และไกลมาก เมื่อวิญญาณข้าพเจ้าเห็นดังนั้น อยากไปดูให้รู้แน่ว่าเป็นอย่างไร แต่ไม่กล้าไปทางตรง เพราะกลัวคนที่นั่งทำงานอยู่จะจับเอา จึงเดินด้อม ๆ มอง ๆ ไปทางข้างนอก ไม่ให้พวกนั้นเขาเห็น

พอมาใกล้ จึงทราบได้ว่าเป็นสะพานแก้ว โตขนาดต้นมะพร้าว ราวและเสาไม่มี เลยเบื้องล่างของสะพานมองดูเป็นหมอกเป็นควัน ไปทั้งนั้น ทอดข้ามจากทางขุมนรกไป และดูสูงเป็นเนินขึ้นไป หัวสุดของสะพาน มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ใหญ่โตมาก และทอดแอบไปทางหลังของภูเขา และที่หลังภูเขานั้น มีแสงสว่างพุ่งขึ้นดูนวลใยเป็นประกาย เสมือนแสงบนสวรรค์ที่เห็นเมื่อก่อน ดูแล้วเพลิดเพลินเจริญตาเป็นสุขยิ่งนัก และในวิญญาณนึกว่า ที่นั้นคงจะมีที่อยู่เป็นแน่

เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ก็อยากจะเดินไปแต่กลัวจะตก ครั้งแรกทดลองเอาเท้าไปจรดดูเบา ๆ ว่าจะร้อนจะอุ่น จะแข็งลื่นหรือไม่ พอเข้าถึงสะพานเท่านั้น ในวิญญาณรู้สึกสบายและเป็นสุขอย่างแปลกประหลาด เมื่อเห็นว่าสบายอย่างนี้ ก็รีบเดินไปทันที และขณะนี้ กำลังเดินไปได้ประมาณครึ่งสะพานเท่านั้น

ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์ที่ไม่นึกอันน่ากลัวก็บังเกิดขึ้น มีเสียงประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังก้องมาข้างหลัง วิญญาณข้าพเจ้าเมื่อได้ยินดังนั้น ก็หันไปดู พอแลเห็นเท่านั้นแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาเหล่านั้นคือ ยมทูต 4 คน ที่จับผู้หญิงไปเมื่อสักครู่ ขณะที่วิญญาณข้าพเจ้ากำลังยืนดูสิ่งต่าง ๆ อยู่นั้น ก็มีเหตุการณ์อันน่าสนใจปรากฏขึ้นทันที ภาพที่เห็นนั้นคือ

พวกยมทูต 4 คน ท่าทางดูดุร้ายที่สุด ถือเหล็กสามง่ามเป็นอาวุธ กำลังลากผู้หญิงมาคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นอายุประมาณ 30 ปี หน้าตามอมแมม แต่งตัวด้วยผ้าเก่า ๆ พอมาถึง ก็ให้นั่งลงหน้าโต๊ะ แล้วมีเสียงถามออกมาจากคนที่นั่งหน้าโต๊ะว่า ชื่ออะไร ตอนนั้นวิญญาณข้าพเจ้าฟังไม่ถนัด เพราะห่าง และในวิญญาณนึกว่าเสร็จแล้ว เขาจะต้องมาจับเราเป็นแน่ เลยรีบเดินไปหลบอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ แถวนั้น

เมื่อคนที่นั่งหน้าโต๊ะถามชื่อแล้ว คนที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะก็ดึงบัญชีออกเล่มหนึ่ง แล้วเปิดดูถาม ๆ ตอบ ๆ อยู่พักหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้ว คนทั้งสี่นั้น ก็ตรงเข้าไปฉุดกระซากร่างหญิงคนนั้นแล้วพาไปทางที่วิญญาณข้าพเจ้าเดินเข้ามา แล้วผลักผู้หญิงคนนั้น จมหายไป

วิญญาณข้าพเจ้ามองดูอยู่ด้วยความหวาดกลัว เมื่อผู้หญิงคนนั้นถูกคราไปแล้ว พวกทั้ง 4 ก็กลับมาที่โต๊ะอีก คนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะพูดอะไรสองสามคำ พวกทั้ง 4 นั้นก็หายวับไปทันที แล้วพวกนี้ดูว่องไวรวดเร็วมาก ไม่ว่าจะทำอะไร

ขณะที่วิญญาณข้าพเจ้ากำลังตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ต่างๆ อยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรอย่างหนึ่ง อยู่ใกล้กับต้นโพธิ มีสีเขียวเป็นแสง พุ่งยาวสว่างโชติช่วงอยู่ตลอดเวลายาวนั้นเอง พอมาถึง มันจับมัดมือมัดเท้าวิญญาณข้าพเจ้าอย่างแข็งแรง แล้วผูกติดกับไม้กระดาน หามพามายังห้องที่มองเห็นเมื่อครั้งแรก ซึ่งเป็นห้องของพระยายมบาล ที่ทำการตรวจกรรม

พอมาถึงหน้าห้องพัก พวกทั้ง 4 นั้น ก็วางวิญญาณข้าพเจ้าลงกับพื้น แล้วออกไปยืนอยู่ทางศีรษะ ทางเท้าคนหนึ่ง และยืนอยู่ข้างสองคน ในมือถือเหล็กสามง่าม ไม่พูดจาว่าการไร เมื่อพระยายมบาลคนที่นั่งหน้าโต๊ะเห็นดังนั้น ก็ถามว่า ใคร

วิญญาณข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า ผมชื่อ นิกร นามสกุล ไทยรักษ์ แล้วพระยายมบาล ก็หันไปสั่งคนที่นั่งข้างโต๊ะ คือ พระยายมราช เอาบัญชีมันมาดูเดี๋ยวนี้ เมื่อมันอยู่ในเมืองมนุษย์มันสร้างกรรมทำเวรอะไรไว้บ้าง บอกมาให้หมด ต่อจากนั้นพระยายมราช ก็ค้นหาอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ก็ชักบัญชีออกมาเล่มหนึ่ง หนาประมาณหนึ่งนิ้วฟุต ยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่ง เมื่อเปิดไปถึงชื่อข้าพเจ้า ก็บอกขึ้นทันทีว่า

1. มันเบียดเบียนพ่อแม่

2. มันฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ไม่ถึงกับฆ่าวัวฆ่าควาย หรือสัตว์ มีพระคุณ

3. ไม่ได้บวชเรียนในพุทธศาสนา

4. มีกรรมเก่าติดตัวมาแต่ชาติปางก่อน ผลกรรมมันมีแต่เพียง เท่านี้

วิญญาณของข้าพเจ้า ที่นอนฟังอยู่นั้น รู้สึกว่ากลัวจนตัวสั่น ไม่ทราบว่าเขาจะทำอะไรกับเราต่อไปอีก เมื่อพระยายมราชผู้ถือบัญชีบอกหมดลงแล้ว เสียงพระยายมบาลถามว่า อยู่เมืองมนุษย์เคยทำบุญทำทานอะไรบ้าง จงบอกมาให้หมดอย่าชักช้า

เสียงยมบาลที่ถามนั้น คำรามน่าหวาดกลัวยิ่งนัก เสมือนโกรธกันมาหลาย 10 ปี พอพบเข้าคล้ายกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ วิญญาณข้าพเจ้าในเวลานั้น กลัวจนบอกไม่ถูกพระยายมบาลก็ถามรุกมาเรื่อยว่า ทำไมไม่ตอบ หรือไม่เคยทำบุญทำทานอะไร วิญญาณข้าพเจ้าที่กำลังอยู่นั้น เห็นว่าไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้ จึงตอบไปตามที่ได้เคยกระทำเอาไว้ว่า

1. ได้ทำบุญทำทาน ในงานฝังลูกนิมิตมาแล้วถึง 3 วัด

2. ได้ไปไหว้พระบรมธาตุที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมาแล้ว

3. ได้ทำบุญทำทานมาแล้วเล็ก ๆ น้อย ๆ

4. ได้นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสมอแหละเป็นที่พึ่ง

เมื่อวิญญาณข้าพเจ้าได้พูดตอบไปเช่นนั้นแล้ว พระยายมบาลก็ได้พูดขึ้นว่า เออดี มึงยังไม่ถึงที่ตายสร้างกรรมทำเวรยังไม่มาก จะต้องกลับไปเข้าร่างเดิมในเมืองมนุษย์อีกแล้วชี้มือออกไปว่า

“พวกท่านทั้งสี่จงพามันไปส่งให้เข้าร่างเดิมในเมืองมนุษย์เดี๋ยวนี้”

พอวิญญาณข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น แทนที่จะดีใจกลับเสียใจลงไปอีก เพราะตั้งใจเอาไว้แล้วว่า จะขอกินยาตายไปให้พ้น แต่นี่พระยายมบาลจะให้เรากลับเข้าไปอีก เราจะไม่ขอกลับเป็นแน่ วิญญาณข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า

“ขอความปรานีแก่ยมบาลผู้ยิ่งใหญ่ อย่าให้ข้าพเจ้าต้องไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในเมืองมนุษย์อีกเลย จงปล่อยข้าพเจ้าไปทางสะพานแก้วนั้นตลอดไปเถิด”

ยมบาลพูดขึ้นว่า

“ไม่ได้ เราไม่เคยมีความปรานีแก่ใครทั้งนั้น ในเมื่อเราว่าให้ไปแล้วต้องไป”

พวกยมทูตทั้งสี่คนนั้น ก็จัดการแก้เชือกที่มัดมือและมัดเท้าออกจนหมด เมื่อวิญญาณข้าพเจ้าเห็นว่า ไม่มีทางไหนแล้วที่พอจักพึ่งได้ นอกจากบารมีของพระพุทธองค์ จึงภาวนาขึ้นดัง ๆ ว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ สามครั้ง เมื่อพวกทั้งสี่นั้นได้ยินคำว่าพุทโธ คำเดียวก็หยุดลงทันที เสมือนเสียงประกาศิต ต่อจากนั้นวิญญาณข้าพเจ้าก็ระลึกขึ้นว่า

"ขอเดชะ บารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีความเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ขอบารมีแห่งพระองค์ท่านโปรดมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด ในเมื่อพระยายมบาลจะให้ข้าพเจ้านี้ไปเข้าร่างเดิมในเมืองมนุษย์ก็ได้ แต่ขอบารมีของพระองค์ท่าน ไปดลบันดาลให้ยมบาลเข้าไปสิงร่างของข้าพเจ้าในเมืองมนุษย์ แล้วบอกกับพี่และทุก ๆ คน ด้วยว่า

ข้าพเจ้านี้ มิได้คิดอะไรทั้งหมด ถ้าข้าพเจ้าไปพูดเองเขาไม่เชื่อ และให้บอกด้วยว่า นรกนั้นมีจริงทุกอย่าง ขอให้ยมบาลไปบอกเขาอย่างนี้แหละ ถ้าทำได้ดังว่านี้ วิญญาณข้าพเจ้าจะยอมไปเข้าร่างเดิม ถ้าไม่ได้อย่างนี้ จะไม่ยอมเข้าไปสู่ร่างเดิมในเมืองมนุษย์อย่างเด็ดขาด แม้จะทุกข์ทรมานอย่างไร ขอให้บารมีของพระองค์ท่านจงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด พุทโธ พุทโธ พุทโธ

วิญญาณข้าพเจ้าภาวนาอยู่อย่างนั้นไปเรื่อย ๆ อีกไม่นาน ภาพของพระพุทธองค์ที่อยู่ใต้ต้นโพธินั้น ก็แสดงอภินิหารขึ้นทันที ครั้งแรกวิญญาณข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปนั้น เป็นภาพปั้น แต่อีกไม่นานภาพนั้น ก็ค่อยเป็นจริงขึ้น คือเป็นคล้ายกับเนื้อหนังจริง ๆ และผ้าจีวรก็เหมือนผ้าจริง ต่อมา ก็มีแสงรัศมีออกมาจากดวงเนตรของพระองค์ เป็นสีเขียวพุ่งไปยังร่างของยมบาล

เมื่อยมบาลเห็นดังนั้น ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทันที แต่แล้วก็นั่งลงอีก วิญญาณข้าพเจ้าก็ภาวนาว่า พุทโธ ๆ ๆ และระลึกเหมือนเมื่อแรกอีก คราวนี้เป็นแสงรัศมีใหญ่กว่าคราวก่อน พุ่งไปที่ยมบาลอีก เมื่อยมบาลถูกเข้าครั้งที่สอง ก็ไม่สามารถทนนั่งอยู่ได้ แล้วลุกขึ้นยืนทันที และออกไปยังเมืองมนุษย์

ส่วนวิญญาณข้าพเจ้า เมื่อเห็นดังนั้น ก็ออกติดตามไปด้วย เพราะว่าตอนนี้เชือกอะไรเขาแก้ออกหมดแล้ว เมืองนรกกับเมืองมนุษย์ตามความรู้สึกในวิญญาณอยู่ไม่ไกลกันเลย แต่เมื่อเป็นวิญญาณออกจากเมืองมนุษย์แล้ว จะเห็นว่าข้างหลังเป็นหมอกไปทั้งนั้น เมื่อออกไปแล้ว ไม่สามารถจะกลับมาเมืองมนุษย์ที่เดิมได้ถูก ถ้าหากว่า ใครไม่เรียกหรือไม่นำเข้ามา

แต่ตอนนี้ วิญญาณข้าพเจ้าได้ติดตามยมบาลเข้าไป เมื่อวิญญาณข้าพเจ้าติดตามถึงเมืองมนุษย์ แล้วก็หยุดอยู่ที่หน้าบ้าน ยืนอยู่ข้างเสา ส่วนยมบาลก็เข้าไปในบ้าน และหายเข้าไปในร่างข้าพเจ้าทันที (ตามธรรมดา เมื่อเราเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถจะมองทะลุฝาผนังหรือมองทะลุกำแพงออกไปได้ เพราะเป็นตาเนื้อที่ยังหยาบอยู่ แต่เมื่อเราเป็นวิญญาณไปจะมองทะลุปรุโปร่งได้ทั้งหมด แม้แต่ในก้อนหิน และแท่งเหล็ก)

ทันใดนั้นเอง ร่างของข้าพเจ้า ที่นอนไม่มีความรู้สึกอันใดอยู่บนเตียงนานแล้ว โดยที่ไม่มีใครรู้ เพราะเป็นเวลากลางคืน ได้ลุกขึ้นกระโดดบนเตียงสามสี่ครั้ง ส่งเสียงคำรามสะเทือนไปทั่วทั้งบ้าน ทุกคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่นั้น ก็พากันตกใจตื่น คิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่างก็จุดตะเกียงออกมาดู

แม่ของข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าเป็นบ้าหรือเสียสติ ส่วนพี่ชายนึกว่าผีเข้า ต่างเข้ามาจะจับมัด เพราะกลัวจะวิ่งหนีเข้าป่า แต่ถูกยมบาลผลักกระเด็นออกไปหมด เมื่อทำอะไรกันไม่ได้ ต่างก็บนบานศาลกล่าวกันเป็นการใหญ่ว่า จะกินอะไรเอาอะไร ก็บอกมาดี ๆ เถอะ อย่าทำฤทธิ์ให้มากไปเลย

ยมบาลพูดขึ้นว่า

“เราไม่ใช่ผี เราคือ ยมบาลผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองนรก” แล้วส่งเสียงคำรามฮึ่ม ๆ ๆ อยู่เรื่อย พี่ชายข้าพเจ้าสงสัยมากว่า ยมบาลอะไรดันขึ้นมาในเมืองมนุษย์ พี่ชายจึงพูดขู่ออกไปว่า

“ยมบาลอะไรพูดมาดี ๆ นะ อย่ามาพูดโกหกกับเรา เดี๋ยวยมบาลจะเจ็บตัว” พี่ชายคนโตข้าพเจ้า นับถือทางไสยศาสตร์ คือนับถือ ปู่เจ้าสมิงพราย แกไม่เคยกลัวเรื่องผี ๆ

เมื่อยมบาลได้ยินดังนั้น ก็ยิ่งเพิ่มความโกรธมากขึ้น ทำท่าจะกระโดดถีบพี่ชายข้าพเจ้า แต่ยมบาลกลับนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าหากเราขืนอยู่ในเมืองมนุษย์ต่อไปอีก เราจะต้องเอาชีวิตมันเสียแน่

เมื่อยมบาลคิดดังนั้น เลยตัดความรำคาญออกจากร่างของข้าพเจ้าไปทันที ทิ้งให้ร่างของข้าพเจ้าที่กำลังเต้นอยู่นั้น ล้มลงหยุดนิ่งอยู่ทันที เมื่อแม่และพี่ๆ เห็นดังนั้น ก็เข้ามาเรียก แต่เรียกและปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมฟื้น และตื่นขึ้นสักที (จะตื่นขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อวิญญาณข้าพเจ้ายืนมองอยู่ข้างนอก แ ละในร่างนั้นปราศจากวิญญาณและความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น)

เมื่อยมบาลไม่ยอมเข้ามาสิงแล้ว ก็ร้อนถึงพระยายมราชที่นั่งข้างโต๊ะ ในที่สุดก็เข้ามาสิงแทนเสียเอง แล้วพูดขึ้นว่า

"เราคือพระยายม คนที่เข้ามาสิงเมื่อกี้นั้นคือยมบาล แต่ท่านออกไปเสียแล้ว และจะไม่ยอมเข้ามาอีก เพราะท่านเป็นคนที่ขี้โกรธ พูดกับใครไม่ค่อยได้ เราจึงเข้าลงแทน”

พระยายมพูดต่อไปว่า

“พระพุทธเจ้า ได้มีรัศมีให้เรามาช่วยชีวิตน้องชายของพวกแกไว้ เพราะมันยังไม่ถึงที่ตาย"

พี่ชายข้าพเจ้าถามพระยายมต่อไปว่า มาช่วยมันเรื่องอะไร เพราะมันไม่ได้เจ็บไข้อะไร พระยายมไม่ได้ตอบว่าอะไร แต่ทันใดนั้นเอง เอามือจับที่อกเสื้อทั้งสองข้างฉีกออกอย่างแรงแล้วหยิบเอาจดหมาย พร้อมด้วยกล่องยานอนหลับปาเข้าไปที่ร่างพี่ชาย พร้อมกับบอกว่า

“จงอ่านมันดู”

ทุกๆ คนที่คอยดูอยู่นั่น ตกตะลึงไปตามๆ กัน เพราะไม่มีใครนึกเลยว่า ข้าพเจ้าจะคิดอย่างนั้น แล้วพระยายมพูดต่อไป พร้อมกับชี้มือไปยังแม่ของข้าพเจ้าว่า

"จงไปตามลูก ๆ หลานๆ มาให้หมด พร้อมด้วยคนที่อยู่ข้างเคียงแถวนี้ คืนนี้เราได้ยินมาเมืองมนุษย์แล้ว เราจะบอกการทรมานในเมืองนรกให้ฟัง พวกมนุษย์เดี๋ยวนี้ มันสร้างแต่กรรมชั่ว ตกนรกกันมากมายเหลือเกิน ร้อยวันพันปี เราไม่ได้ขึ้นมา วันนี้เมื่อเราขึ้นมาแล้วเราจะบอกให้ฟัง และได้รู้กันไว้"

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/11/09 at 12:33 [ QUOTE ]



สนทนากับพระยายมราช


...ต่อจากนั้นแม่ของข้าพเจ้าก็ไปตามมาหลายคน ที่ข้าพเจ้าพอจำได้อยู่เวลานี้คือ นายลบ นายอ๋วน นางเขียด (ชื่อเรียกตามบ้าน) น.ส. ขวัญใจ-ขวัญจิต เชาพาศ พร้อมด้วยคนในบ้านคือ นางนารถ นางแช่ม นายสวาท และหลาน ๆ อีกหลายคน พร้อมด้วยคนที่มาประสบเอง โดยไม่ต้องไปตามเมื่อตอนใกล้สว่างอีกหลายคน (ที่ข้าพเจ้าจำได้นี้ ตอนนั้นวิญญาณของข้าพเจ้ายืนพิงเสาอยู่ที่หน้าบ้าน)

เพื่อให้ท่านทั้งหลายเข้าใจอีกครั้ง” นับตั้งแต่พระยายมราชเข้ามาสิงร่างอันปราศจากความรู้สึกนั้น ไม่ใช่ไปประสบมาแต่วิญญาณข้าพเจ้าผู้เดียว แต่พวกที่ข้าพเจ้าอ้างชื่อมาในข้างต้นนั้น เป็นผู้ที่ซักถามพระยายมราชเอง และเป็นผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ มิใช่เอาคนที่ตายไปแล้วมาอ้าง ให้ท่านฟัง และที่ข้าพเจ้าเอามาเล่าถูกนี้ เพราะวิญญาณข้าพเจ้ายืนมองการกระทำของพระยายมราช และการซักถามของคนเหล่านั้น แต่เขาเหล่านั้นมองไม่เห็นวิญญาณข้าพเจ้า”

เดี๋ยวนี้ท่านผู้อ่านทั้งหลายคิดว่า วิญญาณของข้าพเจ้าไปเห็นมาคนเดียวทั้งหมด เพราะข้าพเจ้าเคยถูกนิมนต์ให้เล่าหลายครั้งหลังจากบวชมาแล้ว แต่เขาเหล่านั้นเมื่อได้ฟังแล้วมักจะเข้าใจว่าเป็นการนิมิต หรือเป็นการหลับแล้วฝันไปต่างหาก

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้แต่ข้าพเจ้าเอง ก็ไม่สามารถจะอธิบายให้ท่านทั้งหลายทราบกันอย่างละเอียดได้ เพราะเป็นสภาวะที่ต่างภพต่างภูมิกันกับในโลกมนุษย์เรานี้ เอาไว้ต่อเมื่อท่านทั้งหลายตายไปเอง แล้วท่านทั้งหลายจะทราบได้ดีเองว่า มันมิใช่ความฝัน แต่มีจริงทุกอย่างที่วิญญาณเราสามารถเห็นได้เหมือนในโลกมนุษย์เรานี้

แต่ในเวลานี้ ขอให้ท่านทั้งหลายทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ตั้งแต่สลบลงไปนั้นเป็นตอนหนึ่งที่วิญญาณพเนจรไป และตั้งแต่ยมบาลเข้ามาสิงร่างของข้าพเจ้า ซึ่งนอนสลบอยู่บนเตียงนั้น ตอนหนึ่งที่พี่แม่ และผู้คนที่รวมอยู่สามารถเห็นเหตุการณ์นั้นได้ด้วย และถ้าท่านผู้อ่านทั้งหลายเกิดความสนใจ อยากจะพิสูจน์ให้ได้ความชัดเจนขึ้น โปรดไปสอบถามคนจำพวกนั้นได้ ที่ข้าพเจ้าได้ระบุชื่อเอาไว้ หรือใครก็ได้ที่ประสบเหตุการณ์ในคืนนั้นด้วย

เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว พระยายมราชก็เริ่มอธิบายถึงเรื่องของข้าพเจ้าก่อนว่า เพราะเหตุไรจึงกินยาตาย และเรื่องเหล่านั้นเป็นมาอย่างไร เมื่อจบแล้ว ก็อธิบายถึงขุมนรกว่ามีอะไรบ้าง และยังบอกด้วยว่า คนที่เมืองไทยนับถือพุทธศาสนาอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป มีบัญชีอยู่ในเมืองนรกทั้งนั้น เว้นแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีบัญชี ใครจะสร้างกรรมอะไร สร้างบุญอะไร สามารถรู้ได้ทุกอย่างด้วยหูทิพย์ตาทิพย์ ถ้าใครไม่เชื่อว่าตาทิพย์ ให้เอาเข็มไปทิ้งในน้ำที่ไหลเซี่ยว หรือไปทำอะไรที่ไหน พระยายมก็สามารถไปเอามาได้และบอกถูกทุกอย่างเมื่อทดลอง

ตอนนี้พี่ชายชักสนใจในเรื่องบัญชี เพราะเขาเคยพูดกันบ่อยว่า ผู้ทำดี ลงบัญชีแผ่นทอง ผู้ทำชั่วลงบัญชีหนังหมา ถ้ามีแล้วต้องบอกเราถูก เลยถามพระยายมว่า “ในบัญชีของกระผมมีอะไรบ้าง?"

พระยายมก็ใช้พวกทั้ง 4 ไปเอาบัญชีพี่ชายมาให้ดู (ตอนนี้เมื่อพวกทั้ง 4 นั้นเอาบัญชีขึ้นมา แล้วยื่นไปให้พระยายมในร่างของข้าพเจ้านั้น วิญญาณข้าพเจ้าเห็นทุกอย่าง ตั้งแต่เอามือไปรับแล้วเปิดออกอ่าน ผู้ที่นั่งอยู่นั้น เสมือนพระยายมยื่นมือไปจับลม แล้วตอนที่เปิดบัญชี ก็เห็นแต่ทำมือจับแล้วยกไม่สามารถเห็นบัญชีได้)

พระยายมบอก บัญชีของพี่ชายตั้งแต่อายุ 10 ปี จนถึง 35 ปี ว่ามีอะไรบ้าง แม้แต่พี่ชายข้าพเจ้าจะไปยิงลิง ค่าง และหมูที่อยู่ในป่า ก็ปรากฏอยู่ในบัญชีทั้งหมด ได้ทำบุญอะไรกี่อย่างก็จดไว้ทั้งหมดเช่นกัน ตั้งแต่อายุ 10 ปีถึง 34 ปี ไม่คลาดเคลื่อนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อพี่ชายของข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้น ก็รู้สึกกลัวมากถึงกับก้มลงไปหาพระยายมเลย และเชื่อทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะดังที่ปรากฏอยู่ในบัญชี ตนเคยทำมาแล้วทั้งนั้น ต่อจากนั้นก็ถามกันไปทุก ๆ คน และไม่มีใครเลยที่สร้างกรรมทำชั่วแล้ว ไม่ปรากฏอยู่ในบัญชี บางคนก็บอกตั้งแต่อายุ 7 ปีบ้าง 6 ปีบ้าง แล้วแต่ใครสร้างกรรมเมื่ออายุเท่าไร ?

พี่ชายข้าพเจ้าถามว่า "เพราะเหตุไร พระยายมบอก ตั้งแต่อายุ 6 ปีขึ้นไป และบางคนบอกอายุ 7 ปีบ้าง 8 ปีบ้าง”

พระยายมตอบว่า

“ที่เราบอกอย่างนั้น เพราะว่าเด็กอายุ 1-5 ปี เรายังไม่จดบัญชี คือเด็กในระหว่างนี้ยังไม่มีเจตนาจะกระทำกรรมอันใดจริงจัง และบางคนที่เราจดเอาเมื่ออายุ 7 ปีบ้าง 8 ปีบ้าง10 ปี ข้างนั้น เพราะการสร้างกรรมนั้นไม่แน่นอน บางคนสร้างตั้งแต่อายุ 6 ปี แต่กรรมนั้นไม่ถึงกับตกนรก และไม่ถึงกับพาขึ้นสวรรค์ เราก็ไม่จด หากใครทำถึงกับไปสู่ที่ทั้งสองนี้แล้ว เราก็จดทำดีในแผ่นสีแดง ทำชั่วจดในแผ่นสีดำ”

พี่ชายถามว่า "พระยายมจะจดอย่างไรไหวเมื่อคนเป็นร้อย ๆ ล้านที่อยู่ในโลก”

พระยายมตอบว่า "เราจดเอาแต่ที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นคนไทย ส่วนชาติอื่นเขาก็มีพวกเขา และศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดูหรือศาสนาอื่น เขาก็มีนรกสวรรค์ของเขาเราไม่เกี่ยว”

พี่ชายถามว่า แม้แต่เป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธก็เถอะ มีจำนวนเป็นล้านๆ ถ้าเขาเหล่านั้นกระทำกรรมอันหนักพร้อมกัน และเร็วในทันทีจะจดบัญชีอย่างไรทัน

พระยายมตอบว่า แม้ใครจะทำเร็วอย่างไรก็ตาม พวกเรารู้เห็นและทำทันทีนั้น เพราะในโลกมนุษย์ 1 ปี เท่ากับในเมืองนรก 1 วัน

พี่ชายถามว่า “พระยายมช่วยบอกให้สักทีเถิด ว่าปู่ย่าที่ตายไปแล้วนั้น ตกนรกอยู่หรือไปเกิดแล้ว”

พระยายมตอบว่า คนนั้นชื่อนั้นยังตกนรกอยู่ คนนั้นไปเกิดแล้ว คนนั้นตกอยู่ คนนั้นยังตกอยู่อีกนาน คนนั้นใกล้จะพ้นแล้ว เหล่านี้เป็นต้น

พี่ชายถามว่า “พระยายมรู้อย่างไรว่าไปเกิดแล้วหรือยัง และยังอีกนานไม่นาน”

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 30/11/09 at 08:24 [ QUOTE ]



พี่ชายสอบถามพระยายมราช


...พระยายมตอบว่า "รู้ได้ด้วยการดูบัญชีในเมืองนรก ถ้าใครยังตกอยู่ เรายังมีบัญชีจดไว้ ถ้าใครไปเกิดแล้ว เราก็ลบบัญชีออกหมด โคตรหนึ่งเรามีบัญชีเล่มหนึ่ง”

พี่ชายถามว่า "เมื่อวันก่อนแม่ไปทอดผ้าป่า และทำบุญอุทิศไปให้ผู้ตาย ได้รับกันหรือเปล่า”

พระยายมตอบว่า “พวกที่ยังตกอยู่ในนรกไม่ได้รับอะไรเลย เพราะกรรมเขายังมาก พวกที่ได้รับส่วนบุญคือพวกที่เป็นเปรตพ้นจากขุมนรก แล้ว ”

พี่ชายถามว่า “การที่ทรมานสัตว์นรกนั้น เขารู้ได้อย่างไรว่าสิ้นเมื่อไร”

พระยายมตอบว่า
การที่พวกมนุษย์สร้างกรรมดีหรือชั่ว เราได้ลงไว้เป็นขีดและมีไว้สองใบ ถ้าทำกรรมดีขีดลงในใบสีทอง ทำกรรมชั่วขีดลงในใบสีดำ เราลงไว้เป็นขีดใหญ่และขีดเล็ก แล้วแต่กรรมจะหนักหรือเบา ถ้าหนักก็ขีดเส้นใหญ่ เบาก็ขีดเส้นเล็กเมื่อไปทรมานมีผู้คุมถือบัญชีอยู่ ครั้นเห็นว่านานพอสมควรแล้วลบออกขีดหนึ่ง ทรมานไปจนหมดขีดนั้น เมื่อพ้นจากกรรมที่ตกนรกแล้วก็ปล่อยให้ไปเป็นเปรตบ้าง อสุรกายบ้างให้ไปเกิดเป็นคนขอทาน หรือง่อยเปลี้ยเสียขา ใบ้บ้าวิกลจริตเสื่อมทรามไปตามเศษกรรมที่ยังเหลือมาจากเมืองนรก”

พี่ชายถามว่า "แล้วคนมีบุญเขาส่งขึ้นไปสวรรค์อย่างไร"

พระยายมตอบว่า
เมื่อผู้ที่ทำบุญหรือทำบาปก็ตาม สิ้นชีวิตจากเมืองมนุษย์แล้ว ก็ไปตรวจบัญชี หากผู้ที่มีบาปมาก ก็ให้พวกทั้ง 4 จับไปปล่อยในขุมนรก แล้วพวกผู้คุมในนรกก็จัดการทรมานไปตามกรรม ส่วนพวกที่ตรวจบัญชีดูแล้ว มีบุญมากกว่ากรรม ก็ปล่อยไปทางสะพานแก้ว แล้วมีเทวดาตรวจบัญชีว่า ผู้นั้นสร้างกรรมดีอะไร ทำบุญทำทานอะไร เมื่อตรวจดูเรียบร้อยแล้ว ก็ส่งให้ไปเสวยทิพย์วิมาน ตามส่วนแห่งบุญที่ได้บำเพ็ญมา

ส่วนผู้ที่สำเร็จอรหันต์ ไม่ต้องไปหาใครทั้งสิ้น ด้วยอำนาจบารมีอันแก่กล้า จะไม่ต้องเป็นวิญญาณหรืออะไรทั้งหมด เพราะผู้ที่ได้อรหันต์นั้น หมดสิ้นจากอาสวกิเลสทั้งปวงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร เมื่อดับก็ปรินิพพานเลย ส่วนพระอริยะนั้น ก็แล้วแต่กรรมที่ยังเหลือ เมื่อหมดกรรมก็ปรินิพพาน

จำพวกที่ยังเป็นปุถุชน ขณะที่เสวยสุขอยู่ผลบุญก็ค่อยหมดไปเรื่อย เมื่อสิ้นผลบุญที่อยู่ในสวรรค์แล้ว ก็จุติมาเกิดในเมืองมนุษย์อีก เกิดในสกุลผู้ดีเป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์มาก ไม่เป็นคนจน หรือเป็นใหญ่เป็นโตในสังคมคนนิยมทั่วไป มีผิวพรรณผุดผ่อง ไม่มีโรคาพยาธิ จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ย่อมอยู่ที่การกระทำไว้ในชาติปางก่อน เขาทำบุญไว้อย่างไร เขาก็จะได้รับสุขอย่างนั้น

เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ก็จะมีอายุยืน ไม่ลักทรัพย์ก็หาทรัพย์ได้มาก ไม่ผิดถูกผิดเมียใคร ก็จะอยู่กันอย่างฉันภรรยาสามีที่ดียิ่ง ไม่ทะเลาะวิวาทกันจนถึงวันแก่เฒ่าเข้าโลง ไม่พูดเท็จก็จะไม่ถูกใส่ความมีคนใส่ร้าย ไม่ดื่มสุราก็จะมีสติเฉลียวฉลาดปัญญาเฉียบแหลมใครทำบุญให้ทาน ก็จะมีทรัพย์มากไม่ลำบากยากจน มีความเมตตาปรานีแก่ผู้อื่น เขาก็มีความปรานีตอบ”

พี่ชายถามว่า "เพราะเหตุอะไร จึงเป็นเปรต อสุรกาย หรือเป็นวิญญาณเพียงหลอกหลอน”

พระยายมตอบว่า
“ คือพวกที่พ้นจากการทรมานในเมืองนรก แต่จะมาเกิดในเมืองมนุษย์ก็ยังไม่ได้เพราะยังไม่สิ้นเวร แต่กรรมที่ถึงกับทรมานในเมืองนรกนั้นหมดแล้ว จึงต้องทรมานไปจนกว่าจะสิ้นกรรม จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ลำบากยากแค้น พวกที่เป็นเปรตคือ พวกที่ตระหนี่ขี้เหนียว ไม่ทำบุญให้ทาน เมื่อพ้นจากขุมนรกก็มาเป็นอสุรกาย”

พี่ชาย ถาม ว่า "ทำบุญอะไรที่ได้บุญมากที่สุด”

พระยายมตอบว่า
“ถ้าเป็นผู้ชาย ให้บวชเป็นพระสงฆ์ แต่ไม่ใช่ว่า เมื่อบวชแล้วจะได้บุญ คือเมื่อบวชแล้วต้องรักษาศีล ปฏิบัติในกิจของพระ และช่วยสั่งสอนให้ผู้ที่ได้รับทุกข์ทรมานพ้นจากทุกข์ คือสอนให้ประพฤติดีละชั่ว มีศีลธรรมประจำใจ แต่ถ้าผู้ใดเข้าไปบวชแล้วยังทำความชั่วต่างๆ หรือบวชแล้วแต่สึกออกไปกระทำกรรมชั่ว ผลกรรมจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่งเพราะรู้แล้วยังขืนทำ ถ้าเป็นผู้หญิงทำบุญที่ได้บุญมากที่สุดคือปฏิบัติรักษาบิดามารดาไม่ให้ลำบาก”

พี่ชายถามว่า “สร้างกรรมอะไรที่มาเป็นพระยายม”

พระยายมตอบว่า
“เมื่อชาติก่อนเป็นทนายความอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย ที่ได้มาเป็นพระยายมก็เพราะว่า เราว่าความไม่ยุติธรรม เห็นแก่สินจ้างรางวัล แต่ไม่ต้องเป็นพระยายมไปตลอดหรอก เมื่อสิ้นกรรมแล้วจะไปบังเกิดเป็นเทพบุตร เพราะเคยทำบุญไว้มาก พระยายมองค์อื่นเขาจะมาทำแทน”

ขณะที่พี่ชายกำลังถาม และพระยายมตอบอยู่พักใหญ่แล้วนั้น พระยายมบอกว่า “คอแห้งแล้ว เดี๋ยวก่อนหยุดกินน้ำสักหน่อย” ต่อจากนั้น ก็ใช้ให้พวกทั้ง 4 ไปเอาน้ำทิพย์ที่เมืองนรกมา

พี่ชาย ถาม ว่า "น้ำทิพย์เขาเอามาจากไหน”

พระยายมตอบว่า “น้ำทิพย์เราเอง มาจากเมืองสวรรค์”

พี่ชายถามว่า "นรกและสวรรค์นั้น เขากินอาหารกันอย่างไร หลับนอนกัน อย่างไร ”

พระยายมตอบว่า
“นรกสวรรค์ ไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่มืดไม่สว่าง เมื่อนึกว่ามืดก็มืด นึกสว่างก็สว่าง อาหารที่พวกเรา และเทวดากินเป็นอาหารทิพย์ น้ำทิพย์ สัตว์ในขุมนรกกินเลือดกินเนื้อและน้ำทองแดง 1 ปี มนุษย์เท่ากับหนึ่งวันในเมืองนรก ”

พี่ชายพูดว่า “พระยายมนี่เก่งมาก จะถามอะไรรู้ทั้งนั้น ขอให้พระยายมจงช่วยข้าพเจ้าสักที คือรางวัลที่ 1 ของงวดนี้ออกเลขอะไร ”

พระยายมบอกว่า
“ไม่ว่าเป็นพระอะไร ถ้าบอกเบอร์ให้ตรง ๆ อย่ายกมือไหว้ เพราะเขากำลังโกหกเรา ใครจะไปบอก หรือรู้ได้เพราะรางวัลเขายังไม่ออก เขายังไม่ได้หมุนสักที ถ้าให้เราทายแทงโปหรือของอะไรหาย เราจะทายให้ถูก ถ้าเราทายผิดท่านฆ่าเราได้เลย ส่วนผู้ที่เขาถูกเบอร์หรือล็อตเตอรี่นั้น เพราะโชควาสนาเข้ามาประจบกันพอดีกับความฝัน หรือเหตุการณ์ที่ได้เห็นมานั้น”

พี่ชายถามว่า “ส่วนน้องชายเรา (หมายถึงข้าพเจ้า) เมื่อพระยายมออกไปแล้ว จะต้องทำอย่างไรหรือเปล่า ห รือต้องพาไป”

พระยายมตอบว่า “ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด เมื่อเราจากร่างมันไปแล้ว วิญญาณของมันก็เข้าร่างเดิมได้ทันที เพราะพิษยาเราเอาออกให้หมดแล้ว"

ตอนนี้ทุกคนที่กำลังนั่งฟังอยู่นั้น เห็นร่างของข้าพเจ้าที่พระยายมกำลังเข้าสิงอยู่นั้นผิดปกติ คือหน้าซีดเผือด ไม่มีสีเลือด แต่พวกที่นั่งอยู่บอกให้พี่ชายข้าพเจ้าถามอยู่เรื่อย ๆพระยายมก็ตอบอยู่ไม่ได้หยุด จนไม่ได้สังเกตว่า ร่างของข้าพเจ้าจะเป็นอย่างไร พอสังเกตเขาก็ทำให้ตกใจ แล้วพี่ชายก็ถามพระยายมขึ้นทันทีว่า

"เพราะเหตุไร ร่างของข้าพเจ้าเป็นอย่างนั้น ?”

พระยายมตอบว่า “หัวใจมันหยุดเต้น เลือดไม่สูบฉีด จึงทำให้เย็นและแข็ง” ทุกคนตกใจกันมาก พี่ชายข้าพเจ้าบอกว่า

“ให้พระยายมเข้าสิงในร่างของแก คือ เปลี่ยนร่างทรง เพราะเวลานี้ทุกคนเป็นห่วงร่างของข้าพเจ้า กลัวจะลำบากในภายหลัง พระยายมบอกว่าไม่ต้องห่วงมันไม่ตาย และร่างของท่านเราสิงไม่ได้”

พี่ชายถามว่า "วันหน้าเมื่อเราคิดถึงพระยายม จะเรียกมาอีก ให้เข้าทรงอย่างนี้จะได้หรือเปล่า”

พระยายมตอบว่า
“ไม่มีวันจะได้ขึ้นมาอีกแล้ว เพราะยุ่งอยู่กับพวกสัตว์นรก ขณะที่เรามาคุยอยู่กับพวกท่านนี้ วิญญาณของผู้ที่เพิ่งตายใหม่ ๆ คงจะยุ่งอยู่แล้ว เพราะไม่มีใครชำระกรรมในการที่เราได้ขึ้นมาวันนี้ ก็เพราะอำนาจบารมีของพุทโธ ที่น้องชายท่านเองนี่แหละ ท่านจะถามอะไรก็ถามเสีย เวลาเรามี น้อย ”

ต่อจากนั้น พี่ชายก็ถามอะไรอีกไม่มาก เพราะจะรุ่งแล้ว และรู้สึกขอบพระคุณพระยายมที่ได้มาโปรดให้รู้แจ้ง และเชื่ออย่างสนิทว่า นรกสวรรค์มีจริงทุกอย่าง และก่อนที่พระยายมจะออกจากร่างข้าพเจ้าไปนั้น ได้พูดขึ้นอีกว่า

“ที่เราพูดมานี้ บางคนยังไม่เชื่อว่านรกมีจริง เราจะพาไปดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ (พอพระยายมพูดอย่างนี้ จะไปกันทุกคน) เมื่อพอไปดูมาแล้วเราจะมาส่ง เพื่อจะเป็นพยานกันว่า นรกมีจริง แต่ก่อนที่เราจะพาไปนี้ เราต้องทำให้ตายเสียก่อน เพราะเมืองนรกนั้น จะไปกันด้วยกายเนื้ออย่างนี้ไม่ได้ จำเป็นต้องเอาวิญญาณไป”

พอพระยายมบอกว่าเอาวิญญาณไปเท่านั้น ทุกคนต่างก็มองกันแล้วสั่นหัว คนโน้นก็บอกว่าไม่ไปแล้ว คนนี้ก็บอกว่าไม่ไปแล้ว ในที่สุดไม่มีใครกล้าไปกันเลย (น่าเสียดายถ้าหากว่ามีคนกล้ากันแล้ว คงจะได้เห็นนรกกันหลายคน)

(ขณะที่พระยายมเข้าสิงร่างข้าพเจ้าที่นอนสลบอยู่บนเตียงนั้น ตั้งแต่ 24.00 น. คือเที่ยงคืนไปจนใกล้สว่าง ที่พระยายมพูดมีอีกมากมาย ที่ข้าพเจ้าจำได้บ้างไม่ได้บ้างนี้ก็เพราะวิญญาณยืนฟังอยู่ด้วย ส่วนตอนที่วิญญาณพเนจรไปบางตอนก็ลืมไปบ้างเหมือนกัน ที่จำได้แม่นยำก็เท่าที่ได้เล่ามาให้ท่านทั้งหลายได้ทราบกันนี้แหละ)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/12/09 at 08:32 [ QUOTE ]



ข้อสรุปหลังความตาย


...นี่แหละท่านทั้งหลาย ตามที่ข้าพเจ้ารอดชีวิตมาได้ก็เพราะอำนาจบารมีของพระพุทธองค์แท้ ๆ ถ้าหากว่าข้าพเจ้าสร้างกรรมทำชั่วเอาไว้มาก ๆ จนลืมคำว่า “พุทโธ” เสียแล้วป่านฉะนี้ดวงวิญญาณจะไปทุกข์ทรมานหรือไปตกอยู่นรกขุมไหนก็ไม่ทราบได้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเดินผ่านไปทางไหนหากไปเจอพวกที่เขาสร้างกรรมทำชั่ว นึกสงสารน้ำตาแทบจะไหล

เพราะเขาเหล่านั้นเมื่อสิ้นชีวิตจากเมืองมนุษย์เราแล้วจะต้องไปทนทุกข์อยู่ในนรกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และเป็นเวลานานแสนนาน เพราะฉะนั้น ก่อนที่ท่านทั้งหลายจะกระทำกรรมอันใดลง ที่นำความทุกข์ทรมานมาให้ โปรดคิดเสียให้ดี และขอให้ท่านทั้งหลายคิดดูเถิดว่า อำนาจของคุณความดีและอานุภาพของพระพุทธเจ้าจะมีสักแค่ไหนบารมีของพระองค์สามารถช่วยเราได้ทั้งโลกนี้และปรโลกเบื้องหน้า

ข้าพเจ้าขอสรุปเสียเลยว่า เมื่อพระยายมออกจากร่างข้าพเจ้าไปแล้ว วิญญาณของข้าพเจ้าที่ยืนมองดูอยู่หน้าบ้านนั้นก็รู้สึกว่าหมดห่วงแล้วในเรื่องต่าง ๆ พอพระยายมออกจากร่างไป ร่างของข้าพเจ้าที่นั่งอยู่ก็ล้มฟุบลงกับพื้นทันทีวิญญาณข้าพเจ้าก็เดินเข้ามาที่ร่าง ขณะนี้ทุกคนกำลังมองไปที่ร่างของข้าพเจ้า รอเวลาที่จะฟื้นขึ้นมา

เมื่อวิญญาณมาถึงร่างก็รู้สึกว่าหายวับไปทันที แล้วร่างของข้าพเจ้าก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นเมื่อข้าพเจ้าฟื้นขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกก็เป็นปรกติ ต่อจากนั้นเลือดลมหน้าตาก็ค่อย ๆ แดงขึ้น ภายในท้องก็สบายดีเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ชายคนโตที่เคยเกลียดกลับดีเป็นพิเศษเห็นอกเห็นใจทุกอย่าง พี่น้องเพื่อนฝูงทุก ๆ คนเข้าใจกันดีและขออภัยทุกอย่าง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นข้าพเจ้ามิเคยกระทำผิด แต่ประการใด

พี่ชายข้าพเจ้ากลับไปที่สวนจังหวัดกระบี่ จัดการเอาปืนสั้นยาวและอาวุธต่าง ๆ พร้อมด้วยเครื่องทำลายสัตว์ทุกชนิดมากองเข้าแล้วราดน้ำมันจุดไฟเผาไม่มีอะไรเหลือแม้แต่กระบอกปืนยาว ถึงเผาแล้วแต่กระบอกมันยังใช้ได้จึงเอาไปฟาดกับหินจนให้การไม่ได้ สมาทานศีล 5 แล้วตั้งหน้าทำมาหากินในทางที่ชอบ

สำหรับตัวข้าพเจ้าเองก็รู้สึกเหมือนหนึ่งว่า พระพุทธองค์มาทรงโปรดให้เห็นสิ่งที่ผิดกลับถูก ในสิ่งที่ชั่วมาเป็นดี ทำให้ข้าพเจ้านี้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไม่มีอะไรที่เป็นเครื่องระแวงสงสัยต่อไป

ต่อจากนั้น 1 วัน ข้าพเจ้าก็เข้าวัดถือศีล 8 แล้วกลับมาบอกกับแม่พี่และพร้อมด้วยเพื่อน ๆ ทุกคนว่า จะบวชภายในไม่ช้านี้ ทุกคนเมื่อได้ยินข้าพเจ้าบอกอย่างนั้นมีความดีใจมาก นัดกันว่าจะจัดงานบวชนี้ให้ใหญ่เป็นพิเศษ ต่อจากนั้นทางบ้านก็จัดรายการยกโรงยกร้าน ปะรำพิธีแล้วจัดการพิมพ์บัตรแจกให้รู้กันทั่ว ๆ

ส่วนข้าพเจ้าเมื่อมาบอกแล้ว ก็กลับไปอยู่ที่วัดตามเดิมก่อนที่จะถึงวันบวช ท่านอาจารย์ที่อยู่ในวัดนั้นต้องการพาข้าพเจ้านี้ไปทำบุญกับญาติโยมที่บรมธาตุ จังหวัดนครศรี-ธรรมราชให้ได้ ข้าพเจ้าเองก็เห็นว่ายังอีกตั้งหลายวันจึงจะถึงวันบวชไปก็ได้ ในที่สุดก็ไปกับท่านอาจารย์ เมื่อไปถึงจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว ก็ไปพักอยู่ที่วัดท้าวโคตร สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐาน ขณะที่พระอาจารย์เข้าอบรมธรรมอยู่นั้นทำให้เกิดปีติอยากจะบวชในวันนี้เสียเลย

และเมื่อคณะของญาติโยมที่ไปกันนั้น ได้ทำบุญเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีคุณป้าคนหนึ่งชื่อว่า นางอ๋วย ภู่ทอง อยู่ตำบลบ้านสองแพรก อำเภอเมืองพังงา เป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นในการทำบุญให้ทานเคยสร้างกุฏิ ทำถนน สร้างบ่อน้ำเอาไว้หลายแห่ง และทั้งเคยเป็นเจ้าภาพทอดกฐินทอดผ้าป่ามาแล้วหลายวัด และรู้จักกับท่านอาจารย์เป็นอย่างดี ได้เข้าไปพูดกับท่านอาจารย์ว่า

“ชีวิตของดิฉันเคยทำบุญทำทานมากแล้ว แต่ยังสิ่งเดียวคือบวชลูกชาย ดิฉันมีลูก 3 คน ก็เป็นผู้หญิงทั้งนั้นไม่เคยมีลูกชายเหมือนเขาอยากจะมีลูกชายได้บวชเหลือเกิน

ท่านอาจารย์บอกว่า อาตมาจะหาให้สักคนเอาไหมล่ะโยมแกรีบยอมรับด้วยความดีใจ ต่อจากนั้นท่านอาจารย์ก็ใช้เด็กคนหนึ่งให้ไปตามข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ากำลังเดินเล่นอยู่ตามบริเวณวัด เมื่อมาถึงท่านอาจารย์ก็บอกความประสงค์ให้ฟัง ข้าพเจ้าใจหนึ่งอยากจะบวช แต่ใจหนึ่งเป็นห่วงทางบ้านกลัวเขาเตรียมการแล้ว เมื่อกลับไปถึงทำให้เขาผิดหวัง พวกที่อยู่ทางบ้านจะเสียใจ เลยบอกให้อาจารย์ทราบ ในที่สุดท่านอาจารย์บอกว่าให้บวชเป็นสามเณร

เมื่อไปถึงพังงาแล้วจึงให้อุปสมบทเป็นพระ เพื่อจะไม่ให้เสียใจกันทั้งสองฝ่ายข้าพเจ้าก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นสุดแล้วแต่ท่านอาจารย์ ต่อจากนั้นท่านอาจารย์ก็แนะนำให้รู้จักกับคุณป้า คือนางอ๋วย ภู่ทองเสร็จแล้วข้าพเจ้าเข้าไปหาพร้อมกับก้มลงกราบบนตัก และเรียกขึ้นเบาๆ ว่า“ คุณแม่” ท่านยกมือขึ้นจบที่ต้นแขนข้าพเจ้าเบา ๆ พร้อมด้วยหยดน้ำตาอุ่นๆ ลงบนมือข้าพเจ้าด้วยความปี ติ ปราโมทย์

ตอนเย็นวันนั้นเอง ที่วัดสระเรียง หน้าพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ได้เริ่มพิธีปลงผม โดยที่ข้าพเจ้าหันหน้าไปทางพระบรมธาตุ ประนมมือนั่งภาวนาและระลึกอยู่ในใจว่า

เมื่อข้าพเจ้าบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ได้มีส่วนทำประโยชน์ในพระพุทธศาสนา และช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่กำลังสร้างกรรมชั่วให้เบาบางไปบ้างเถิด และชีวิตนี้ขออุทิศยอมเป็นทาสของพระพุทธศาสนา ด้วยความสัตย์จริงนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าจงเจริญอยู่ในบวรพระพุทธศาสนานี้โดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางทั้งสิ้นเทอญ”

เมื่อปลงผมเสร็จแล้ว ก็ไปอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยก็ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นนุ่งขาวห่มขาว แล้วเดินประนมมือถือดอกไม้เข้าโบสถ์ ซึ่งมีพระสงฆ์นั่งอยู่ก่อนเรียบร้อยแล้วจากนั้นเมื่อไหว้พระประธานและอุปัชฌาย์เสร็จอีกไม่กี่นาทีร่างของข้าพเจ้าก็ถูกห่มด้วยผ้ากาสาวพัสตร์“ เป็นสามเณรนิกรตามบรมพุทธานุญาต” ภายใต้การอุปถัมภ์ของ“โยมแม่อ๋วย ภู่ทอง” 25 หมู่ 2 ตำบลสองแพรก จังหวัดพังงาที่วัดสระเรียง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2510

พอรุ่งเช้า ท่านอาจารย์ อาตมา พร้อมด้วยญาติโยมก็ได้จากจังหวัดนครศรีธรรมราช เดินทางกลับจังหวัดพังงาท่านอาจารย์อาตมา พร้อมด้วยโยมแม่อ๋วย กลับไปวัด ส่วนญาติโยมก็แยกย้ายกันกลับไปบ้าน เมื่อไปถึงวัดหยุดพักผ่อนพอหายเหนื่อยแล้วก็เข้าไปในบ้าน เมื่อไปถึงบ้านทุกคนเห็นเข้าก็แปลกใจว่า ทำไมอาตมาไปบวชเสียก่อน เพราะที่บ้านนี้ก็เตรียมการจะพร้อมอยู่แล้ว อาตมาก็บอกให้ญาติโยมทั้งหลายหายสงสัยและหายเสียใจ ด้วยเหตุ 3 ประการ คือ

1. สัตว์ทุกๆ ชนิดที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมจะรับความสุขเกลียดความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น และรักชีวิตของตนยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด โดยเฉพาะสัตว์เดรัจฉานที่มีปัญญาน้อยกว่าพวกมนุษย์ ถูกพวกมนุษย์ทุบตีฆ่าฟัน และเอามาเป็นอาหารเสมอถ้าหากว่าสัตว์มันพูดได้ มันจะร้องขอชีวิตเหมือนมนุษย์เราแต่นี่มันร้องขอไม่ได้ พวกมนุษย์ผู้ใจโหดร้ายบางคนจึงไม่มีความปรานี จะขึ้นบ้านใหม่ก็ฆ่าสัตว์เลี้ยง จะไหว้เจ้าไหว้ผีก็ฆ่าสัตว์ จะบวชลูกบวชหลานก็ฆ่าสัตว์ สารพัดอย่าง

ขอให้ญาติโยมคิดดูเถอะว่า การหาความสุขใส่ตัวเอง แต่เอาชีวิตเพื่อนมาแลก หรือเอาความทุกข์ใส่เพื่อนเช่นนี้จะสมควรหรือไม่ โดยเฉพาะการทำบุญ ถ้าฆ่าสัตว์เลี้ยงมาทำแล้ว อาตมาคิดว่าบุญนั้นถึงได้ก็ไม่บริสุทธิ์ แต่การที่อาตมาไปบวชเสียก่อนนี้ แม้แต่ไข่สักฟองหนึ่งก็มิได้แตก และมดสักตัวก็มิได้ตาย เพราะการบวชของอาตมา

2. ในเมื่อมีงานมีการอย่างนี้ แม้พวกญาติโยมและพี่น้องทั้งหลายที่นั่งอยู่นี้ไม่ได้ดื่มสุรา แต่คนอื่นที่เขามาอาจจะเอามาดื่มก็ได้ เมื่อเมาเข้าแล้วทำให้เกิดทะเลาะวิวาทชกต่อย และบางทีอาจจะถึงฆ่าฟันกันได้ และถ้าหากมันเกิดขึ้นอย่างนี้ การบวชอาตมาที่คิดจะทำบุญให้ได้รับความสุขใจกลับเดือดร้อนวุ่นวาย กลายเป็นความทุกข์ใจ แต่ที่อาตมาไปบวชก่อนที่โน่น เหตุการณ์เหล่านั้นไม่มีเกิดขึ้น

3. การที่อาตมาบวชอยู่ในเวลานี้ ก็เป็นเพียงสามเณรเท่านั้นที่ยังไม่บวชเป็นพระก็เพราะเห็นใจพี่น้อง และญาติโยมทั้งหลายในศรัทธาที่จะร่วมกันบวชอาตมา เมื่อถึงกำหนดวันบวชก็ขอให้ไปพร้อมกันที่วัด และโยมแม่ซ้วนก็ไม่ต้องเสียใจ บางทีโยมแม่ทั้งสองเคยเป็นแม่อาตมามาแล้วในชาติปางก่อน หรือบางทีทางโยมแม่ซ้วนและโยมแม่อ๋วยได้สร้างบุญร่วมกัน ชาตินี้จึงได้มาสร้างร่วมกันอีก และขอให้พี่น้องและญาติโยมทั้งหลาย จงรับเอาส่วนบุญกุศลในการบวชของอาตมาครั้งนี้ด้วย

จากนั้นทุกคนก็สาธุขึ้นพร้อมกัน โดยมิได้คิดเสียใจแต่ประการใด ต่อมาเมื่อครบตามกำหนดวันบวช พี่น้องญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาก็พากันไปที่วัด พร้อมด้วยถือปิ่นโตไปคนละเถาตามที่นัดหมาย เมื่อได้เวลาคณะพระสงฆ์ อุปัชฌาย์อาตมาก็พากันเข้าไปในโบสถ์กระทำศาสนกิจเสร็จแล้ว โยมแม่ทั้งสองก็พร้อมกันจับผ้าไตรคนละข้าง นำไปถวายอาตมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออาตมาผลัดเปลี่ยนจีวรใหม่เสร็จแล้วก็กระทำพิธีอุปสมบทอาตมา

โดยที่พระอุปัชฌาย์เปลี่ยนชื่อจากสามเณรนิกร ไทยรักษ์ เป็น “ปุญญลาโภภิกขุ” แล้วสวดญัตติจตุตถกรรมตามพุทธานุญาต เสร็จเรียบร้อยแล้วอาตมาก็เป็นสมมุติสงฆ์ไทยองค์หนึ่งในพุทธศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยถูกต้อง เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2510ที่วัดชนาธิการาม อำเภอเมือง จังหวัดพังงา โดยท่านเจ้าคุณพิสารสาธุกิจ (เจ้าคณะจังหวัด) เป็นอุปัชฌาย์

เมื่ออาตมาบวชแล้ว เรื่องประสบเหตุการณ์ก็รู้กันทั่วไป บางคนให้เล่นเอาเทปมาอัดไปบ้าง บางคนก็จดใส่สมุดไปบ้าง บางคนก็ไปถามโยมแม่และคนที่บ้าน ในที่สุดเขาก็นิมนต์อาตมาไปเล่าในวัดประชุมโยคี เป็นรายการพิเศษมีคนสนใจมาก เมื่อกลับไปวัดก็ถูกซักถามต่างๆ ในระหว่างนั้นอย่างน้อย ๆ ตี 1 ตี 2 อาตมาจึงได้จำวัด และถูกนิมนต์ไปเล่าในเรือนจำ ในโรงเรียนที่พุทธสมาคม และที่วัดอีกหลายแห่ง ต่อจากนี้นมีคนจัดพิมพ์เป็นเล่มหนังสือแจก และอาตมาถูกนิมนต์ไปเล่าต่างจังหวัดหลายจังหวัดด้วยกัน เมื่อสรุปผลที่ออกไปเล่าประสบเหตุการณ์ที่ต่างๆ มีดังนี้

ในเรือนจำมี 5 แห่ง คือที่ จ. พังงา จ. ภูเก็ต จ. ตรัง จ. สตูล และ จ. พัทลุง
ที่พุทธสมาคม มี 5 แห่ง ที่ จ. พังงา จ. ตรัง จ. สงขลา จ. สตูล จ. พระนครศรีอยุธยา และที่พุทธสมาคม ตามอำเภออีกหลายแห่ง
ที่โรงเรียนมีทั้งชั้นประถม และชั้นมัธยมหลายสิบแห่ง และในงานศพก็หลายสิบแห่ง
รายการพิเศษตามตลาด หมู่บ้าน ตำบล ประมาณสิบกว่าแห่ง

ประสบการณ์ในขณะที่ไปเล่าที่ต่างๆ ที่หมู่บ้านป่าแก้วจังหวัดตรัง“ โดยเฉพาะในหมู่บ้านนี้มีเจ้าแม่ที่ศักดิ์สิทธิ์ คนในหมู่บ้านนี้นับถือกันมาก เมื่ออาตมาเล่าจบ ญาติโยมบางคนไม่เชื่ออย่างทดลอง จึงเชิญเจ้าเข้าทรงแล้วถามว่า ตั้งแต่ต้นจนจบว่าจริงเท็จแค่ไหน เสร็จแล้วเจ้าแม่ก็รับรองด้วยว่าเป็นความจริง”

และในหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ชื่อบ้านบางขวน อยู่ที่อำเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง เป็นหมู่บ้านแห่งดงเสือ เมื่อลงจากรถแล้วต้องข้ามทะเล และเดินข้ามทุ่งนาไปอีกไกล เมื่ออาตมาได้ไปถึงและในวันต่อมาอาตมาได้เล่าให้เขาฟัง เมื่อจบลงมีผู้ชาย 2 คน อายุ 32 ปี 1 คน และอายุ 40 ปีเศษ 1 คนได้เดินเข้ามาหาอาตมา แล้วกราบลงบนเท้า และสารภาพขึ้นว่า

"เมื่อผมได้ฟังพระคุณเจ้าเล่าจบลง ทำให้รู้สึกกลัวผมเคยบุกปล้นและเคยฆ่าคนมาแล้วหลายคน แต่ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำอีกเด็ดขาด เพราะผมกลัวจริงๆ"

และในหมู่บ้านพิปูน อำเภอฉวาง จังหวัดสุราษฎร์ธานีโดยเฉพาะมีผู้ใหญ่บ้านไปนิมนต์ให้อาตมาไปช่วยโปรด เมื่ออาตมาไปถึงคืนแรก มีคนประมาณ 200 เศษ คืนที่ 2 ประมาณ500 เศษ และเมื่ออาตมาเล่าจบแล้ว "มีคนเข้ามาสารภาพความชั่วในอดีตหลายคน และได้สาบานต่อหน้าอาตมาว่าต่อไปจะไม่ประพฤติอีกเด็ดขาด เพราะเชื่อแล้วกลัวจริง ๆและยังมีแปลก ๆ อีกหลายอย่าง แต่อาตมามิได้บันทึกเอาไว้เพราะฉะนั้นเหตุการณ์บางอย่างจึงลืม ๆ เลือนๆ ไปบ้าง พรรษาที่ 2 และที่ 3-4 ในปัจจุบัน

อาตมาเที่ยวเล่าประสบเหตุการณ์ตามคำเรียกร้องและนิมนต์ของญาติโยมทั้งในเมือง ชนบท และที่กันดาร ทั้งในเรือนจำและตามวัดต่าง ๆ อยู่ประมาณ 1 ปีเศษ อาตมาคิดว่าในชีวิตเรานี้บวชเข้ามาเกือบ 2 ปีแล้ว ธรรมคำสอนของพระพุทธองค์สักตัวก็ไม่รู้ ต่อไปในเมื่อเราจะช่วยทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนาและจะช่วยเหลือญาติโยมได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่รู้อะไรเลย

และอีกประการหนึ่ง สิ่งที่อาตมาไปประสบมานั้น แม้แต่อาตมาเองก็ยังไม่เข้าใจอย่างเช่นวิญญาณออกจากร่างอย่างไร เข้าอย่างไร” เหล่านี้เป็นต้น ในที่สุดอาตมาก็เข้าศึกษาพระอภิธรรม ในพรรษาก็เรียนนักธรรมและสอบได้ทั้ง 2 พรรษา 3 ก็เรียนอภิธรรมชั้นจูลฬโทและนักธรรมโท ก็สอบได้อีก พรรษา 4 สอบนักธรรมเอกและเข้ามาอบรมที่จิตตภาวันวิทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่ออบรมเสร็จท่านอาจารย์กิตติวุฑโฒก็เปิดให้อบรมสมัครสอบเข้าเรียนพระไตรปิฎก ปรากฏว่าอาตมาสอบได้ด้วย

ในปัจจุบันนี้อาตมาประจำอยู่ที่นี้ก็มีจดหมายมานิมนต์ให้อาตมาไปเล่าประสบเหตุการณ์อยู่เสมอหากว่าท่านทั้งหลายทราบเรื่องนี้แล้ว พิจารณาเห็นว่าพอจะให้เยาวชนและสาธุชนทั่วไปได้ทราบกันไว้บ้าง ต้องการให้อาตมานี้ไปเล่าเพื่อเป็นประโยชน์เพียงสักนิดหนึ่งก็ตามอาตมายินดีเสมอพร้อมไม่ต้องมีอะไรตอบแทนทั้งหมดนอกจากส่งรถให้ถึงที่พักแค่นี้พอ

เป็นอันว่าชีวิตประวัติของอาตมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ ในที่สุดนี้อาตมาขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงปกป้องรักษาท่านด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ เทอญ.

(จบบริบูรณ์)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top