Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 23/12/09 at 09:49 [ QUOTE ]

ส.ค.ส. ปีใหม่จากหลวงพ่อฯ วัดท่าซุง - ในหลวงพระราชทาน ส.ค.ส. ประจำปี 2555


ส.ค.ส. ปีใหม่ จาก หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษีลิงดํา)



"บุคคลผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยย่อมจะไม่สลาย คือ
จะต้องไม่พินาศไปด้วยอำนาจของโลก ซึ่งเต็มไปด้วยความแปรปรวน"


.........ปีใหม่ก็จะคืบคลานเข้ามาถึง ก็เป็นอันวาชีวิตของเราก็ล่วงเข้ามาอีก ๑ ปี ปีใหม่ที่เคลื่อนเข้ามาเราก็จะแก่เข้าไปอีก ชีวิตของเราก็จะเดินเข้าไปหาความดับ เพราะธรรมดาของชีวิตเมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และมีการตายแตกทำลายพันธุ์ไปในที่สุด

นี่เป็นกฎธรรมดาของสิ่งมีชีวิตที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่จะเข้ามาถึงจัดว่าเป็น พ.ศ. ที่มีความวิกฤติที่สุดของชีวิตประเทศไทยในยุคนี้ เพราะว่าตกอยู่ในเขตที่มีความวิกฤตอย่างหนัก ความแปรปรวนเป็นไปของโลก ของชีวิตมนุษย์

อันนี้ก็ถือว่าเป็นปกติธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โลกมีอันจะต้องฉิบหายไปในที่สุด ไม่มีอะไรทรงตัว ทีนี้สำหรับเราเหล่าพุทธบริษัทในฐานะที่ท่านทั้งหลาย เป็นพุทธมามกะ คือนับถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ พระบาลีกล่าวว่า บุคคลผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยย่อมจะไม่สลาย คือ จะต้องไม่พินาศไปด้วยอำนาจของโลกซึ่งเต็มไปด้วยความแปรปรวน

ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า สิ้นเวลา ๒,๕๐๐ ปีเศษ สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอานนท์ว่า

"อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป ๒,๕๐๐ ปีเศษ คือ หลังจากกึ่งพุทธกาล ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี คือ พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นต้นมา โลกจะเต็มไปด้วยความวิกฤต ไฟจะตกจากอากาศ ไฟจะลุกในอากาศ ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ บรรดาคนจะมีความทุกข์ยากล้มตายเป็นอันมาก และองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงกล่าวต่อไปอีกว่า

อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ความวิกฤตคือความร้ายแรงของโลกก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมีความร้ายแรงก็จริงแหล่ แต่ทว่ายังไม่ร้ายแรงเท่าหลังกึ่งพุทธกาล อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
ดูก่อน อานนท์ ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นอาละวาด ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันล้มตายกันฝ่ายละครึ่งจ ึงจะหยุดยั้ง สมณะชีพราหม์จะล้มตาย แต่ว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยอันนี้เหมือนกัน แต่ทว่าไม่ร้ายแรงนัก ไม่ถึงกับพินาศ นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้"


ทีนี้คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาส ัมพุทธเจ้าปรากฎเป็นความจริง คือตั้งแต่ปี ๒๔๘๕ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เกิดขึ้น เมื่อสงครามสงบแล้ว ความวิกฤติของโลกยังไม่สงบ มีการรบราฆ่าฟันเป็นปกติ ระยะนี้เป็นระยะหลังกึ่งพุทธกาล มีสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลายล้มตายเป็นอันมาก คำพยากรณขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรงตามความเป็นจริง อีกข้อหนึ่งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร ้ายแรงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ก็ถือกันว่าเป็นประเทศที่ทรงพระพุทธศาสนา

ถ้าเราจะพิจารณากันตามความเป็นจริง จะเห็นว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งหมดไม่มีปร ะเทศใดที่ทรงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตบรมศาส ดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้ครบถ้วนเช่นประเทศไทย ในประเทศไทยเรามีทั้งพระสูตร พระวินัย ปรมัตถ์ คือพระอภิธรรม สำหรับประเทศอื่น เช่น ประเทศพม่า โดยมากจะไม่เคร่งครัดในเรื่องของพระวินัย โทษในเรื่องพระวินัยเขาไม่เคร่งครัดเพราะถือว่าไม่สำคัญ จะนิยมแต่ในเฉพาะด้านของปรมัตถ์ คือ อภิธรรมเท่านั้น ตามบาลีว่า

"พระสูตรคือประเทศไทย พระวินัยคือมอญ อภิธรรมพม่า"

หมายความว่าในประเทศไทยเรานิยมพระสูตร แต่ว่าเรามีพระวินัยและพระอภิธรรมครบถ้วน สำหรับวินัยมอญก็มายถึงว่าประเทศมอญเขาเคร่งครัดในพร ะวินัยแบบชาวมอญ สำหรับพม่านั้นยกพระสูตรทิ้งไป พระวินัยทิ้งไป เหลือพระอภิธรรม เราก็จะเห็นว่าในประเทศไทยยังคงทรงไว้ได้ทั้ง ๓ ประการ คือ พระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม ทั้ง ๓ ประการ

เมื่อเราพิจารณาตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระพุทธญาณท่านทรงพยากรณ์กับพระอานนท์แล้ว จะเห็นว่าประเทศไทยเราคงพระวินัย คือ เคารพองค์สมเด็จพระจอมไตรไว้ตามพระพุทธพยากรณ์ จึงถือว่าประเทศไทยอยู่ในเขตคำพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ คือ อาจจะต้องไม่สลายไป ในการนับถือองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่มีพระบาลีว่า

"พุทโธ อัปปมาโณ" คือว่า คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ การเคารพในพระธรรมว่า ธัมโม อัปปมาโณ การเคารพในพระธรรมว่าหาประมาณมิได้ หรือคุณของพระธรรมหาประมาณไม่ได้ สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระอริยสงฆ์หาประมาณมิได้

การเคารพในคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถจะยังชีวิตและความสุขของเราให้คงอยู่ได้ปลอดภัยจากอันตราย ดูตัวอย่าง เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงชีวิตอยู่ในขณะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ในขณะนั้นปรากฎว่าพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ถูกพระยาชมภูบดีรุกราน เหาะขึ้นมาในอากาศเห็นยอดปราสาทของพระเจ้าพิมพิสาร บรมกษัตริย์มีความสวยสดงดงามยิ่งกว่า ความริษยาก็เกิดขึ้น จึงได้ลงมาจากอากาศมายืนอยู่บนยอดปราสาท ชักพระขรรค์อันประจำพระองค์ขึ้นฟันยอดปราสาท

ความจริงพระขรรค์นี้ แม้แต่เหล็กท่อนใหญ่ ๆ กระทบแล้วไม่หนักนักก็จะขาดไปทันที แต่อาศัยที่พระเจ้าพิมพิสารมีความเคารพในองค์สมเด็จพ ระมหามุนี คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นไตรสรณาคมน์ทั้ง ๓ ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็นพระโสดาบัน ด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ จึงป้องกัน แทนที่ยอดปราสาทจะขาด พระขรรค์ของพระยาชมภูก็บิ่นทำลายไป

พระยาชมภูมีความเจ็บใจ จึงได้ยกเท้าขึ้นกระทืบยอดปราสาทก็เป็นเหตุให้เหล็กยอดปราสาททิ่มทะลุรองเท้าไปโดนเท้าบาดเจ็บ ถึงกับมีความโกรธมากจึงเหาะกลับประเทศของพระองค์ และก็ใช้วิชชุศรไปร้อยพระกรรณ คือ ร้อยหูของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ คือมีศรเป็นกรณีพิเศษ เมื่อศรเข้ามาประกาศว่า เราจะร้อยหูของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์

พระเจ้าพิมพิสารได้ทราบแล้ว ได้ยินแล้ว เห็นแล้ว ก็มีความกลัว จึงเสด็จไปเฝ้าองค์พระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่สุดบารมีของพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขก็ระงับอันตรายนั้นเสียได้ ในที่สุดบังคับให้พระยาชมภูบดีเข้ามาเฝ้าสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ได้ฟังพระธรรมเทศนามีความเลื่อมใสอุปสมบทในพระพุทธศาสนา และก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล เป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา

แสดงว่าที่พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอพ้นจากอันตรายได้เพราะอาศัยคุณพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ ในฐานะที่พระองค์เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน มีความมั่นคงในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีลห้าเป็นสมุจเฉท คือ รักษาศีลห้าเป็นปกติ

ฉะนั้น วันนี้เป็นวันที่สุดของปี ๒๕๑๘ ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เข้ามาถึง ก็เป็นปีที่เต็มไปด้วยความวิกฤตของประเทศไทย ฉะนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงอย่าประมาทในชีวิต จงทรงจิตของท่านให้มีควมมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปฏิบัติจิตให้ตรงต่อเฉพาะพระพุทธองค์ว่าที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงสั่งสอนไว้ เราทำอย่างไรที่ว่าทรงความดีตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวให้พวกเราทุกคนเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ทุกสิกขาบท คือ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภิกษุ และสามเณร มีความจำเป็นจะต้องทรงสิกขาบททั้งหมดให้ครบถ้วนบริบูรณ์ สำหรับฆราวาสก็มีความจำเป็นอยู่เหมือนกัน แต่ทว่าบางท่านก็สามารถรักษาสิกขาบทให้ครบถ้วนได้ เพราะความจำเป็นในชีวิต ฉะนั้น ขอให้ตั้งสัจธรรมไว้ว่า ถ้าศีลข้อใดก็ดีใน ๕ ข้อนี้ เราจะทรงไว้ได้ตลอดชีวิต จะไม่ละเมิด ให้ตั้งจิตถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในชีวิตของเรานี่ สิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งหรือสองสิกขาบทก็ตามที ซึ่งไม่เกินวิสัยเราจะทรงไว้ให้ครบถ้วน ไม่ยอมให้มัวหมอง

สำหรับท่านผู้ใดสามารถจะทรงสิกขาบททั้ง ๕ ประการได้ หรือ ๘ ประการได้ก็ยิ่งดี อย่างนี้ได้ชื่อว่ามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห ์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการปฏิบัติ กาย วาจา ใจ และสำหรับกำลังใจนั้นมีความสำคัญ บรรดาพุทธบริษัททุกท่านทรงความดี คือ นึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้มีจิตยึดพระพุทธคุณไว้เป็นสำคัญ

การนึกถึงพระพุทธคุณทำอย่างไร ว่ากันมากไปก็ไม่ถนัด อิติปิ โส ภควา ฯ จนจบก็ไม่ไหว ฉะนั้น โบราณาจารย์จึงกำหนดไว้ว่าบุคคลใดผู้ใดมีความนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ภาวนาว่า “พุทโธ” ใช้คำว่า "พุทโธ" ให้เป็นปกติ ภาวนาไว้ทุกวันทุกคืนตลอดเวลา และการที่จะภาวนาไปได้ตลอดเวลา และการที่เราจะภาวนาไปได้ตลอดวันตลอดคืนก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะจิตย่อมมีภาระนึกคิดอย่างโน้นคิดอย่างนี้ บางทีก็ต้องสนทนาปราศรัย ในการที่จะนึกทุกวันทุกเวลาเป็นไปไม่ได้ แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่ขาด พระโบราณาจารย์ที่มีความฉลาดได้สั่งสอนไว้ว่า

ถึงเวลาก่อนหลับให้บรรดาพุทธบริษัทกำหนดใจนนึกถึงคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ จะกำหนดการเข้าออกของลมหายใจว่า "พุทโธ" เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุธ" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" อย่างนี้เป็นความดี หรือนึกถึงคุณความดีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็เป็นการป้องกันภัยอันตราย เวลาที่ท่านทั้งหลายภาวนาว่า "พุทโธ" อมน้ำลายไว้ในปาก ภาวนาไว้จนขึ้นใจ ในจิตมีความสุข ค่อยกลืนน้ำลายลงไป

อย่างนี้คุณพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น จะคุ้มครองสรรพอันตรายแก่พุทธบริษัทได้ และเวลาตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ และก่อนหลับทุกวัน ทำแบบนี้เป็นปกติ เวลาที่ยังตื่นอยู่ ถ้าคิดขึ้นมาได้เมื่อไรก็ทำใจให้นึกถึงความดีขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาวนาว่า "พุทโธ" เป็นปกติ อย่างนี้จิตของบรรดาท่านพุทธบริษัท ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึง พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะได้ ทั้ง ๓ ประการ

แล้วการนึกถึงความดีของสมเด็จพระพิชิตมารก็ได้ชื่อว่าเข้าถึงความดีทั้ง ๓ ประการครบถ้วน คือ พระพุทธเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็ต้องอาศัย พระธรรม เมื่อทรงธรรมแล้วพระองค์ก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธองค์ที่เราจะพบได้ก็อาศัยบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ประชุมสังคายนากันร้อยกรองเอาไว้ จึงได้ตกทอดถึงพวกเรา ฉะนั้น การนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงชื่อว่าเข้าถึงความดีครบไตรสรณาคมน์ทั้ง ๓ ประการ

การนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร ใช้คำว่า "พุทโธ" เป็นปกติ ถ้าหากว่ากล่าวโดยธรรม ถ้าเรามีอารมณ์อ่อน ที่ว่ามีอารมณ์จิตเข้าไม่ถึงฌาน เวลาตายแล้วก็ไปสู่สวรรค์เทวโลก มีชั้นดาวดึงส์ เป็นต้น ดูตัวอย่าง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร หรือ สุปติฏฐิตเทพบุตร เป็นต้น หรือ สาตะกีเทพธิดา นี่ใช้กำลังจิตมีศรัทธายังอ่อน นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าชั่วเวลาเล็กน้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุปติฏฐิตเทพบุตร ทำความชั่วคือฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาตลอดชีวิต เมื่อเวลาจะตายไม่กี่นาที จึงได้นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อาศัยนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ ้าในเวลานั้น จิตผ่องใส เวลาตายแทนที่จะไปรับอกุศลในอบายภูมิ กลับไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดา สุปติฏฐิตเทพบุตรได้ฟังอุณหิสวิชัยสูตรจบลง ปรากฎว่าได้บรรลุพระโสดาบัน บาปทั้งหลายที่ท่านทำไว้ไม่มีโอกาสจะให้ผล

นี่การนึกถึงคุณความดีขององค์สมเด็จพระทศพลมีผลต่อบรรดาท่านพุทธบริษัท ถึงแม้ว่าเราจะทำบาปทำกรรม มากมายเพียงใดก็ตามที่อาศัยความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์สามารถจะบำบัดให้เราพ้นไปจากภัยพิบัติ คือ พ้นจากอบายภูมิได้ ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต คิดว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ปีเก่าจะหมดไป ปีใหม่จะเข้ามาถึงเราจงรักษาสัจธรรม ทรงความดีเข้าไว้ คือ จะนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาส ัมพุทธเจ้าไม่หยุดยั้ง

คือว่าปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นปีที่จะเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์อย่างที่สุด โดยวิธีที่เราจะใช้ในฐานะที่เป็นมนุษย์ธรรมดาเพื่อความพ้นอันตราย ดูตัวอย่างพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอต้องถูกทำร้ายจากพระยาชมพูบดี แต่อาศัยที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาส ดาอย่างมั่นคง ในที่สุดอันตรายก็ยุติลงด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า นี่ ในสมัยพระพุทธเจ้า ถ้ามาในสมัยหลัง เมื่อสมัยที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจเป็นพิเศษ ขณะนั้น ปรากฎว่าข้าราชบริพารของพระองค์ท่านหลายท่านที่อาตมา รู้จักเป็นกลุ่ม ๆ บุคคลกลุ่มใหญ่มีความเคารพองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาส ดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปกติ คือ

ในยามปกติพวกเขาเหล่านั้นจะไม่คล้องพระเครื่องอยู่ใน ตัว เขาถือว่าจิตใจของเขาเข้าถึงพระอยู่เป็นปกติ แต่ว่าภาวนาของบุคคลพวกนี้ไม่ขาด พอตื่นขึ้นมาเช้าก็จับคำว่า "พุทโธ" อยู่เป็นปกติ เวลายามว่าง เมื่อจิตว่างจากกิจอื่นก็ใช้คำภาวนาว่าพุทโธ เวลาที่ไม่ลืมเกรงว่าจะลืม เวลาเช้า เวลาที่จะไปไหนหรืออยู่บ้านก็ตาม เกรงว่าอันตรายจะมีต่อเขา เขาแนะนำ

นี่อาตมาเคยได้รับทราบมาเอง คือ ได้รับคำแนะนำจากคนผู้นั้นจากปากเขาเอง บอกว่า เวลาที่เราเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายให้อมน้ำลา ยไว้ในปาก ภาวนาว่า พุทโธ ให้ขึ้นใจ เป็นการเสกน้ำลายแล้วกลืนลงไป ๓ ครั้ง บุคคลประเภทนี้ แม้จะปะทะข้าศึกหนัก ศัตรูหนักเพียงใดก็ตาม ก็มีการแคล้วคลาด

ถ้ามีความดีเป็นที่สุดขนาดหนัก ถ้ามีจิตทรงความดีขนาดกลาง เขาบอกว่ายิงของเขาไม่ออก ถ้าว่าทรงความดีขนาดเบา ใจยังเบาอยู่ ยังไม่เข้าถึงที่สุด ยิงไม่เข้า เขาว่าอย่างนั้น ความจริงก็เป็นไปตามนั้น เพราะเคยไปด้วยกัน เขาปลอดจากอันตรายจากสรรพาวุธทุกอย่าง

ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าวางใจ จงอย่าประมาทในชีวิต จงคิดว่าคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ทั้ง ๓ ประการ จะสามารถทรงเราให้มีชีวิตอยู่ได้ นี่กล่าวโดยเฉพาะ ถ้าเราสิ้นอายุขัย การนำถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาส ัมพุทธเจ้าก็จะทำให้เราพ้นทุกข์

ฉะนั้น นับตั้งแต่นี้ต่อไป ตั้งใจไว้ว่า จนกว่าจะสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่เต็มไปด้วยความวิกฤตทุกทิศของโลกจะเต็มไปด้วยความ เร่าร้อน เราจะยึดเอาคุณความดีขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาส ัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไว้เป็นประจำ คือ คำภาวนาว่า "พุทโธ พุทโธ" เป็นปกติ ถ้าเป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะมีความสุขในชีวิต คือ จิตของท่านจะทรงสมาธิ อำนาจบารมีของพระพุทธเจ้าจะทำจิตใจของท่านให้เยือกเย ็นมีความสุข อันตรายจะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลายก็จะพ้นภัย และด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ

แต่ถ้าชีวิตอายุขับที่จะสิ้นไปเมื่อไร ความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ ้าก็จะบันดาลให้เราพ้นอบายภูมิทั้ง ๔ ประการ คือ ไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างเลวที่สุด เราก็จะเป็นเทวดา ถ้าจิตใจมีสมาธิแรงกล้า เราจะเข้าถึงการเป็นพรหม ถ้าจิตของเราโดยนิยมไม่ยึดในขันธ์ห้า หรือว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตเราเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน เราจะไปที่นั่น เอาใจตรงนี้ยึดองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดานั่นเอง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วพุทธบริษัททั้งหลายถ้าจะพ้นจากกิ เลสจะเข้าถึงพระนิพพานได้

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับปีเก่าจะสิ้นไป ปีใหม่จะเข้ามา ขออำนาจพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัม มาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมสุคตศาสดาสัมมาสัมพุทธเ จ้าเป็นที่สุด

จงปกปักรักษาบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านให้มีความมั่นในคุณพระรัตนตรัย ขอให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหมดภัยใด ๆ ที่ปรากฎต่อโลกจงอย่ามีกับพุทธบริษัท ขอให้จิตใจของท่านพุทธบริษัทมีความปลอดโปร่งพ้นจากกิเลสเป็นสมุจเฉทปทาน เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้ ฯ


ที่มา - หนังสือ กรรมฐาน ๔๐


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/12/11 at 08:25 [ QUOTE ]


ขอเชิญสวดมนต์ข้ามปี ที่บ้านสายลม กรุงเทพฯ


......จากกระแสรณรงค์ ’สวดมนต์ข้ามปี“ ซึ่งเป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยน่าจะได้ปฏิบัติกันในค่ำคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เพื่อ ’เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต“ สำหรับการส่งท้ายปีเก่า 2554 ต้อนรับปีใหม่ 2555 ที่ใกล้จะมาถึง ก็ยิ่งควรจะปฏิบัติกัน ซึ่งช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่คราวนี้ มีเหตุการณ์มงคลสำคัญ 2 เหตุการณ์ อย่างที่ ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุไว้...ปี 2554 เป็นปีมหามงคล เป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา

และปี 2555 จะเป็นปีพุทธมงคล ’พุทธชยันตี“ ครบ 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของ พระพุทธเจ้า

ทั้งนี้ ตามพุทธประวัตินั้น ช่วงก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พญาวสวัตตีมาร ได้ยกทัพมารมารบกวนรังแกมิให้ทรงตั้งจิตมั่นเป็นสมาธิได้ แต่พระองค์ก็มิได้ตกพระทัยแต่อย่างใด พญามารได้ใช้อาวุธร้ายขว้างเพื่อหวังสังหารพระองค์ แต่บรรดาอาวุธทั้งหลายก็กลับกลายเป็นดอกไม้และฉัตรกั้นกางอยู่เหนือพระเศียร พญามารไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้ร้องตู่ว่ารัตนบัลลังก์ที่พระพุทธองค์ประทับนั่งบำเพ็ญเพียรที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นสมบัติของตน

พระพุทธองค์จึงทรงอธิษฐานโดยเอาพระหัตถ์ขวาจับพื้นดินขอให้แม่ธรณีเป็นสักขีพยาน (ตามภาพพระพุทธรูปปางมารวิชัย) ทรงเสี่ยงพระบารมีขันติธรรมเข้าช่วยผจญมาร พระแม่ธรณีเทพยดาผู้รักษาพื้นแผ่นดินบริเวณนั้นจึงแปลงเป็นหญิงสาวขึ้นมาบีบมวยผม (เป็นที่มาของรูปปั้นพระแม่ธรณีบีบมวยผม) ก็เกิดน้ำไหลบ่าท่วมกองทัพพญามาร จนกองทัพมารพ่ายแพ้ไปหมดสิ้นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน

.......นับแต่บัดนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงตั้งจิตมั่นเป็นสมาธิได้ลึกและแน่วแน่ ซึ่งนับเป็น “ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เพราะเป็นการเบิกทางสู่การ “ตรัสรู้” เป็นองค์ “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ในราตรีนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 35 พรรษา โดยคืนวันตรัสรู้ของพระพุทธองค์นั้น เป็นคืนวันเพ็ญเดือน 6 หรือวิสาขปุรณมี พระพุทธองค์ตรัสรู้ในปีก่อนมีการกำหนดปี พ.ศ. หรือพุทธศักราช 45 ปี

ปีหน้าที่ใกล้จะมาถึงในอีกไม่ช้านี้คือปี พ.ศ. 2555 ดังนั้น ก็เป็นปีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ครบ 2,600 ปี

พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กล่าวไว้ว่า...ในปี 2555 นับเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา เพราะว่าเป็นปีที่ครบ 2,600 ปี นับตั้งแต่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือที่เรียกกันว่า “พุทธชยันตี” ซึ่งหมายถึง “ชัยชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมีต่อหมู่มารและกิเลสทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง” และก็ยังหมายรวมถึงการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย

โอกาสนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะได้ระลึกถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วตั้งมั่นในเรื่องศีล การให้ทาน การภาวนา แผ่จิตเมตตา ให้กว้างขวางออกไป ฝึกตนให้เป็นผู้สะอาดทั้งกาย วาจา ใจ ฝึกปฏิบัติภาวนาให้หนักแน่น มั่นคง ไม่โยนความผิดให้กับผู้อื่น และหากจะมีการสร้างอะไรที่เป็นถาวรวัตถุก็ควรสร้างเพื่อน้อมถวายองค์พระมหากษัตริย์ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ให้กับพุทธศาสนิกชนรุ่นหลัง ๆ ได้ระลึกถึง

ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศกล่าวไว้อีกว่า...ในโอกาสนี้ทางที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ได้มีมติให้ทุกวัดจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองการเข้าสู่ปีพุทธชยันตี 2,600 ปี ครบรอบ 2,600 ปีการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โดยให้มีการจัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ในคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2554” ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนามั่นคงที่สุดในบรรดาประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งหมด ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่ชาวไทยจะได้ร่วมกันเฉลิมฉลองการก้าวเข้าสู่ปีพุทธชยันตี ระลึกถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ด้วยการ “สวดมนต์ข้ามปี เข้าสู่ปี 2555”


’การได้สวดมนต์ข้ามปีจะทำให้พุทธศาสนิกชนได้รับมงคลข้ามปี และถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นให้ได้ฝึกตนเป็นผู้สะอาดทั้งกาย วาจา ใจ ที่สำคัญยังเป็นการสวดมนต์ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา“ ...พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ระบุไว้

ด้าน พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวังโส ก็ระบุไว้ว่า...ในปี 2555 เป็นปีที่ครบ 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรงกับปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา เข้าสู่ 85 พรรษา “ซึ่ง นับว่าเป็นทวิศุภมงคลอันประเสริฐสูงสุดของแผ่นดิน ที่ชาวไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนจะได้มีโอกาสปฏิบัติบูชา ร่วมกัน ฟื้นวิถีการทำบุญร่วมกัน ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน ร่วมกันตั้งจิตด้วยความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา และเป็นการปฏิบัติบูชาถวายความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

ทั้งนี้ สสส., มส., กทม., สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ, สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ภาคีเครือข่าย ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม ’สวดมนต์ข้ามปี“ คืน 31 ธ.ค. 2554

นี่เป็น ’กิจกรรมมงคล“ ที่ชาวพุทธไทยควรปฏิบัติ และยิ่งเป็น ’ทวิศุภมงคล“ ก็ยิ่งไม่ควรจะพลาด..!!!.


ที่มา - เดลินิวส์ออนไลน์


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/12/11 at 21:53 [ QUOTE ]


ในหลวงพระราชทาน ส.ค.ส. ประจำปี 2555

"แก่ปวงชนชาวไทย-ทรงให้พร มีสติ ไม่ประมาท"




.......เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2555 แก่ประชาชนชาวไทย เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์สากลสีเทาลายริ้วสีอ่อน ปกด้านซ้าย ทรงประดับเข็มเครื่องหมายมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มูลนิธิที่พระราชทานกำเนิดและทรงดำรงตำแหน่งพระบรมราชูปถัมภก ทรงผูกเนคไทสีแดงมีลวดลายสีทอง เข้าชุดกับผ้าปักพระกระเป๋า ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตสีขาว ประทับบนพระเก้าอี้ ด้านข้างพระเก้าอี้ที่ประทับทั้งสองข้าง มีโต๊ะกลม โต๊ะด้านขวาวางแจกันแก้วขนาดเล็กปักดอกไม้หลากสี ทรงฉายกับสุนัขทรงเลี้ยง คือ คุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาท หน้าพระเก้าอี้ด้านซ้าย

ด้านหลังพระเก้าอี้ที่ประทับตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับด้านซ้ายมีระแนงไม้สีขาวประดับอักษรสีชมพูข้อความภาษาไทยว่า สวัสดีปีใหม่ และข้อความภาษาอังกฤษว่า Happy New Year ด้านขวามีต้นสนประดับเครื่องตกแต่ง ฉากหลัง เป็นผ้าม่านสีเทาอ่อน ด้านซ้ายบน มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านขวามีผอบทองประดับ

ตรงกลาง ส.ค.ส. ด้านขวา มีข้อความจากบทพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก พิมพ์ด้วยสีเหลืองขอบสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นคำตอบที่พระมหาชนกทรงตอบนางมณีเมขลาว่า "ถึงจะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร โภคะทั้งหลาย มิได้สำเร็จด้วยเพียงคิดเท่านั้น" ทรงเตือกสติให้คนไทยทั้งหลายมีความเพียร เช่นเดียวกับพระมหาชนก ที่ทรงอดทนว่ายน้ำในมหาสมุทรด้วยความเพียร จดรอดชีวิต ประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากการกระทำ ไม่ได้เกิดแค่เพียงคิด

ตรงกลาง ส.ค.ส. ด้านซ้าย มีข้อความภาษาไทยพิมพ์ด้วยสีชมพูขอบสีเหลืองว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ 2555 และข้อความภาษาอังกฤษพิมพ์ด้วยสีแดงขอบสีเหลือง ว่า Happy New Year 2012 ด้านล่างของ ส.ค.ส. มุมล่างขวา มีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 185029 ธ.ค. 54 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad, D Bramaputra, Publisher

กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านซ้ายและด้านขวาเรียงกันด้านละ 3 แถว ส่วนด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละ 2 แถว ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม


ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสเนื่องในวาระวันขึ้นปีใหม่ว่า "ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน และขอขอบใจท่านเป็นอย่างมาก ที่ร่วมกันจัดงานฉลองอายุครบ 7 รอบ ให้อย่างเหมาะสมงดงาม

ระหว่างปีที่แล้ว เหตุการณ์ต่างๆ ในบ้านเมืองนับว่าเป็นปรกติดี แต่พอเข้าปลายปี ก็เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เป็นเหตุให้ประชาชนหลาย จังหวัด ต้องประสบอันตรายและความเดือดร้อนลำบาก ความเสียหายครั้งนี้ ดูจะร้ายแรงกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา ข้อนี้ น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจอย่างสำคัญ ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้หลายครั้งแล้วว่า วิถีชีวิตของคนเรานั้น จะต้องมีทุกข์ มีภัย มีอุปสรรค ผ่านเข้ามาเนืองๆ ไม่มีผู้ใดจะอยู่เป็นปรกติสุขอย่างเดียวได้ ทุกคนจึงต้องเตรียมกายเตรียมใจ และเตรียมการไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อเผชิญและป้องกันแก้ไขความไม่ปรกติเดือดร้อนต่างๆ ด้วยความไม่ประมาท ด้วยเหตุผล ด้วยหลักวิชา และด้วยสามัคคีธรรม

ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ประชาชนชาวไทยได้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใด ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไปให้ทันการณ์ทันเวลา ผลงานทั้งนั้น จะได้ส่งเสริมให้แต่ละคนประสบแต่ความสุขความเจริญ และทำให้ชาติบ้านเมืองดำรงมั่นคงและก้าวหน้าต่อไปด้วยความผาสุกสวัสดี

ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีความสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีภัย ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน"


credit :: khaosod.co.th


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/1/12 at 14:43 [ QUOTE ]


ภาพ...สวดมนต์ข้ามปี ที่ด้านหลังพระอุโบสถ"วัดท่าซุง"














คลิปวีดีโอ...บรรยากาศการสวดมนต์ข้ามปี 2555(ด้านหลังอุโบสถ )












◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top