Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 6/7/10 at 23:58 [ QUOTE ]

ย้อนอดีตภาพเหตุการณ์...หลวงพ่อมรณภาพ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2535


สารบัญ

01.
ย้อนอดีตภาพเหตุการณ์ ตอนที่ ๑ เมื่อปี ๒๕๓๖
02. ย้อนอดีตภาพเหตุการณ์ ตอนที่ ๒ เมื่อปี ๒๕๓๖
03. คลิปวีดีโอ งานครบรอบปีที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๘-๒๙ ต.ค. ๒๕๓๘
04. คลิปวีดีโอ ประวัติวัดท่าซุง และ ชีวประวัติหลวงพ่อฯ




ย้อนภาพเหตุการณ์

พิธีอัญเชิญพระสรีระศพหลวงพ่อฯ กลับสู่วิหารแก้วร้อยเมตร

เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2555




































ย้อนอดีตภาพประวัติศาสตร์...หลวงพ่อมรณภาพ

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2535


ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2535 เวลาประมาณบ่าย 3 โมง หลังจากท่าน
รับแขกแล้ว จึงได้ช่วยกันพยุงพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ลงมาจากตึกรับแขก
มีหลายคนต้องร้องไห้หลั่งน้ำตา ด้วยความสงสารท่านอย่างจับใจ แม้จะป่วยไข้ถึงเพียงใด
ท่านไม่เคยสนใจ อุตส่าห์มานั่งทนรอคอยลูกที่จะมาพบ น้ำใจของพ่อช่างประเสริฐสุดจริงๆ
เหตุการณ์ในวันนั้น จึงถือว่าเป็นการมา "รับแขก" ของท่านเป็นครั้งสุดท้าย..
ด้วยเหตุสถานที่นี้แหละ จึงเกิดมี ปัจฉิมโอวาท เป็นครั้งสุดท้ายของท่านว่า..

"..ลูกเอ๋ย..นี่เป็นธรรมดาของร่างกาย... มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดา
...สังขารมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงหรอก ทุกขังตอนอยู่มันเป็นทุกข์
...ผลที่สุด มันก็อนัตตา สลายไปมีแค่นี้.. อย่ามายึดถือสังขารของพ่อเลย.."




ท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสามพระยา ได้เดินทางมารดน้ำพระเดชพระคุณ
หลวงพ่อฯ ซึ่งได้อัญเชิญมาทำพิธีบำเพ็ญกุศล 100 วัน ณ ศาลา 12 ไร่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
ได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพวงมาลามาให้อีกด้วย




บันทึกเหตุการณ์ก่อนวันมรณภาพ

ระหว่างวันที่ 2 - 30 ตุลาคม 2535




























อิทัง ปุญญะ ผะลัง..ผลบุญใด..อันเกิดจากกระแสงธารแห่ง "ธรรมทาน" ของเหล่าคณะผู้จัดทำ "เว็บวัดท่าซุง" และ "เว็บตามรอยพระพุทธบาท" "เว็บพระรัตนตรัย" "เว็บแดนพระนิพพาน" และ "เว็บในเครือหลวงพ่อฯ" ซึ่งจัดทำกันด้วยความเหนื่อยยาก ที่ปรากฏอยู่ในอินเตอร์เน็ตนี้

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต..ขอกราบน้อมถวายขึ้นเหนือเศียรเกล้า แทนเครื่องสักการบูชา ด้วยกาย วาจา ใจ หากกรรมใดที่ได้ล่วงเกินไป โดยตั้งใจก็ดี มิได้เจตนาก็ดี หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ อันมีพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ตลอดถึงครูบาอาจารย์ อันมีหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้โปรดอดโทษและขอสมาภัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยเถิด

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ..ด้วยการกล่าวอันเป็นคำสัตย์นี้ ขอบุญความดีที่ได้ตั้งใจเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า อันได้นำมาประกาศไว้ในเว็บไซด์ทั้งหลาย เพื่อให้ชนทั้งหลายได้ดื่มอมตธรรมเหล่านี้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิได้มุ่งแสวงหาลาภยศ อามิสสินจ้างรางวัลใดๆ ทั้งสิ้น

สาธุ..สาธุ..สาธุ..ขอผลบุญแห่ง "ธรรมทาน" อันยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้ จงเป็นพลวปัจจัยให้ "คณะผู้จัดทำ" ทั้งหลาย และ "ผู้เยี่ยมชม" เหล่านี้ หากจะมุ่งหวังพระโพธิญาณ ก็ให้สำเร็จสมประสงค์ หรือจะหวังปัจเจกโพธิญาณก็ขอให้สมความปรารถนา หรือมุ่งหวังพระสาวกในปัจจุบันชาตินี้ ก็ขอให้มีผลดั่งสมใจนึก โดยฉับพลันนั้นเทอญ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ฯ

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 8/8/10 at 12:04 [ QUOTE ]



(Update 5/9/55)

ย้อนอดีตเหตุการณ์...หลวงพ่อมรณภาพ เมื่อ 30 ตุลาคม 2535 (ตอนที่ 2)

(เนื่องในงานครบรอบ ปีที่ 17 วันที่ 26-27 กันยายน 2552)




















◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 8/8/10 at 12:05 [ QUOTE ]



คลิปวีดีโอ งานพิธีบำเพ็ญกุศลครบรอบ ๓ ปี
พระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพ
เมื่อวันที่ ๒๘ - ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๘

บันทึกภาพโดย..คุณปรีชา พึ่งแสง
จัดทำโดย..ทีมงานเว็บวัดท่าซุง

(ลิขสิทธิ์เป็นของวัดท่าซุง)


เล่าเรื่องการจัดงานพิธีบำเพ็ญกุศลครบรอบ ๓ ปี
พระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพ
เมื่อวันที่ ๒๘ - ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๘

จัดงานโดย..พระชัยวัฒน์ อชิโต
จาก..หนังสือตามรอยพระพุทธบาท เล่ม ๑

(ลิขสิทธิ์เป็นของวัดท่าซุง)
ก่อนที่จะติดตามรอยพระพุทธบาทไปที่วัดพระแท่นดงรังจ.กาญจนบุรี ยังมีงานสำคัญ อีกงานหนึ่งที่ยังมิได้เล่า..นั่นก็คือ งานครบรอบ ๓ ปี ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพซึ่งทางวัดได้จัดงานตรงกับวันที่ ๒๘-๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๘ คือหลังจากงานที่จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๘ แล้วนั่นเอง

โดยก่อนที่จะเดินทางกลับจากวัดพระพุทธบาทสระบุรีในวันนั้น ก็แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า งานต่อไปจะเป็นงานครบรอบ ๓ ปีที่วัดท่าซุง และวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๙ จะเป็นงานรวมภาคที่วัดพระแท่นดงรัง

หลังจากนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับ แต่ในขณะนั้นบางคณะยังยืนถ่ายรูปตรงบันไดนาคทางขึ้นพระมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท ทุกคนหันหน้าไปทางทิศตะวันตก พอดีเป็นเวลาเย็นประมาณ ๑๗.๓๐ น. มองไม่เห็นพระอาทิตย์แล้ว เพราะเมฆฝนเริ่มตั้งเค้ามา

แต่ในขณะที่ยืนให้ช่างกล้องถ่ายภาพนั้น สายตาของทุกคนเหลือบขึ้นมองท้องฟ้าเห็นปรากฏการณ์พิเศษ คือมีแสงสว่างเป็นลำพุ่ง กระจายหลังก้อนเมฆก้อนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนคนนอนหงายคล้ายมีหมอนหนุนอีกด้วย ดังที่นำรูปภาพมาเป็นตัวอย่างนี้

 

ภาพแสงรุ้งขึ้นหลังก้อนเมฆเป็นรูปสรีรศพองค์หลวงพ่อฯ หลังจากจัดงานที่วัดพระพุทธบาทสระบุรีเสร็จแล้ว


ลักษณะของแสงสว่างที่พุ่งขึ้นมานี้ มองดูแล้วไม่ใช่แสงของพระอาทิตย์ เพราะขณะนั้นมองไม่เห็นพระอาทิตย์แล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังพอสว่าง ไม่มืดเสียทีเดียว แสงสว่างกระจายหลังก้อนเมฆสักครู่ ก็มีแสงเป็นสีหลายสีค่อยๆ เคลื่อนตามขึ้นมาช้าๆ หลังก้อนเมฆก้อนนั้นอีก สีที่เห็นเป็นเหมือนสีรุ้ง สวยสว่างงดงามตามาก

แต่ภาพที่ลงให้เห็นนี้เป็นสีขาวดำ ถ้ามองจากภาพสีจะเห็นแสงหลายหลากสีชัดเจนสีเหล่านี้จะเคลื่อนอย่างช้าๆ ตามลักษณะของก้อนเมฆ คือก้อนเมฆตรงศีรษะโค้งลงมาตามส่วนลำตัว แต่ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งคือ ก้อนเมฆโค้งลักษณะไหน แสงสีรุ้งนี้ก็จะโค้ง ตามก้อนเมฆได้ ถ้าสังเกตตามภาพนี้แล้ว จะเห็นมีช่องว่างที่ลำตัวเป็นสีขาว นั่นคือแสงสีรุ้งดังกล่าวนั้น (ขณะที่ถ่ายภาพนี้ แสงยังขึ้นไม่เต็มที่ ต่อมาจะค่อยๆ ขึ้นให้เห็นชัดเจน)

ในขณะนั้น มีคณะรถบัสเห็นกันหลายคน ส่วนผู้ที่มากับรถตู้หรือรถส่วนตัว จะไม่ทันได้เห็น เพราะออกรถกันไปเสียก่อน ส่วน พวกที่มากับรถบัสยังต้องรอคนให้ครบ จึงจะ ออกรถได้ เลยทำให้ได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ คือแสงหกสีนี้ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นเหนือก้อนเมฆ เปล่งแสงสวยสดงดงามมาก แล้วจึงเลือนหาย ไปในที่สุด รวมเวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง

แต่ที่น่าแปลกใจก็คือว่า ก้อนเมฆก้อนนี้ มีลักษณะเหมือนคนนอนหลับ หรือคนนอนตาย เพราะบังเอิญพวกเราต่างก็นัดกันไว้ว่า งานต่อไป จะต้องมา งานครบรอบ ๓ ปีที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพ และในปีถัดไป พ.ศ.๒๕๓๙จะต้องไปงานที่วัดพระแท่นดงรังซึ่งมีประวัติเกี่ยวพันกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ จะเป็นปรากฏการณ์พิเศษอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เพราะทุกคนที่พบเห็นเป็นพยานหลายร้อยคน ไม่เฉพาะคณะของพวกเราเท่านั้น ยังมีคนที่ขายของอยู่หน้า วัดพระพุทธบาท เช่นผู้หญิงที่ขายนกสำหรับ ปล่อย เป็นต้น

เมื่อได้เห็นเป็นเหมือนเช่นพวกเราแล้วก็ได้เล่าให้ฟังว่า ตนเองได้เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ แล้ว โดยเมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีก่อน ก็เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นทางวัดกำลังจัดงานที่สำคัญเช่นกัน เธอผู้นั้นเล่าไปด้วยความปลื้มใจ

สำหรับพวกเราก็ประทับใจเหมือนกัน แต่ก็ต้องรีบกลับเพราะฝนเริ่มจะตกมาแล้ว จึงขอเล่าไว้เพียงแค่นี้ ยังมีผู้ที่เห็นอย่างอื่นอีก หลายลักษณะ จะไม่ขอนำมาเล่าในที่นี้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่มั่นใจ ก็ถือว่านำมาเล่าเป็นเรื่องสนุกก็แล้วกัน

---------------------------------------------

งานพิธีทำบุญครบรอบ ๓ ปี หลวงพ่อมรณภาพ
เมื่อวันที่ ๒๘ ต.ค. ๒๕๓๘


ครั้นถึงกำหนดงานครบรอบ ๓ ปีพอดี ที่พวกเรารอคอยต่างก็มารวมกันที่วัดท่าซุง ในวันเสาร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๘ อันเป็นเวลาที่วัดกำลังประสบชะตากรรมอย่างหนักที่สุด คือ อุทกภัย ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ในพื้นที่บาง แห่งของวัด น้ำได้ท่วมสูงถึง ๓ เมตรทีเดียว ทำลายสถิติที่วัดเคยถูกน้ำท่วมมาก่อนแล้วในปี ๒๕๒๓ อย่างสิ้นเชิง ถือว่าทำสถิติใหม่ก็ว่าได้

ผลเสียหายได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น กำแพงข้างศาลานวราชด้านทิศเหนือ และต้นไม้หลายร้อยหลายพันต้น ทั้งที่เพิ่งปลูกใหม่และ ที่ปลูกไว้นานแล้ว อย่างเช่น ต้นกล้วย และ ต้นมะม่วง หน้าวิหารสมเด็จองค์ปฐม เป็นต้น

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังใจที่มีความเคารพนับถือและศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อของลูกหลานและคณะศิษย์ทั้งหลาย ต่างก็มุ่งมั่นที่จะมาร่วมงานพิธีอันสำคัญในครั้งนี้ให้ได้ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมกันจัดขบวนอัญเชิญ ฐานแก้ว และ ผ้าห่มทองคำ ซึ่งเริ่มสร้างมาตั้งแต่หลวงพ่อมรณภาพ นับเป็นเวลา ๓ ปี จึงจะแล้วเสร็จ จึงต้องจัดงานในปีนี้เป็นกรณีพิเศษ

ครั้นถึงวันเสาร์ที่ ๒๘ ต.ค. ๒๕๓๘ เวลา ๑๖.๐๐ น. ทุกคนต่างก็มีนัดกันไว้ว่า จะต้องมาร่วมขบวนอัญเชิญ ฐานแก้ว และ ผ้าห่มทองคำมาเพื่อประดิษฐานเป็นที่รองรับสรีระศพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แม้จะต้องลุยน้ำเข้ามาทางหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ตาม พวกเราต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันอัญเชิญมาได้ เป็นผลสำเร็จเรียบร้อยทุกประการ

ในระหว่างนั้น ก็ได้เกิดปรากฏการณ์พิเศษ คือมีผู้ที่เห็นเหตุการณ์ได้เล่าให้ฟัง บางคนก็บันทึกภาพวีดีโอไว้ได้ทัน เมื่อนำมาเปิดให้ดูปรากฏเห็นเป็นลำแสงสีรุ้งหลายหลากสีพาดโค้งบนท้องฟ้าเหนือมณฑปหลวงปู่ปานด้านทิศตะวันตกของวิหาร ๑๐๐ เมตร มีลักษณะเป็นแสงสีสวยสดงดงามมาก จึงเป็นที่น่าแปลกใจ ว่าทำไมถึงเกิดขึ้นระหว่างที่อัญเชิญ “ฐานแก้ว” เข้าไปในวิหาร ๑๐๐ เมตรพอดี

เรื่องนี้คงไม่เป็นที่สงสัยสำหรับคนที่เข้าใจ เพราะหลายท่านคงจะจำได้ คราวงานพิธีถวายพระราชทานเพลิงศพ พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยา ในขณะที่จะทำพิธีที่วัดเทพศิรินทร์ อยู่นั้น มีหลายคนที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นแสงหลายหลากสีปรากฏขึ้นสวยงามมาก คล้ายกับปรากฏการณ์ที่วัดพระพุทธบาทสระบุรี และทั้งที่เวลานั้นมิใช่เป็นเวลาฝนตก เพราะอากาศยังแจ่มใสเป็นปกติ แสงสายรุ้งนี้ขึ้นอยู่สักครู่หนึ่ง ก็หายลับไปกับตา

คราวนี้กลับมาว่าต่อถึงเรื่องงานครบรอบ ๓ ปีที่วัดท่าซุง หลังจากอัญเชิญ“ฐานแก้ว”เข้าไปแล้ว พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เย็น เมื่อเจ้าภาพถวายไทยทานแล้ว จึงเป็นพิธีถวายเครื่องสักการะแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ อันมีตัวแทนฝ่ายคณะสงฆ์และตัวแทนฝ่ายฆราวาส ต่อจากนั้น ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย ก็ได้กล่าว ถึงประวัติของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ดังนี้.



ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยานเกิดเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ (ท่านเคยบอกเป็นนัยๆ ว่าแจ้งเกิดช้า) เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของ นายควงและ นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี เมื่ออายุ ๖ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียน ประชาบาล วัดบางนมโคอ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔

เมื่ออายุ ๑๕ ปี จึงเข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อ.ตลิ่งชัน จ.ธนบุรี ใน สมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาการแพทย์แผนโบราณ ครั้นถึงอายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวชอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโคโดยมี พระครูรัตนาภิรมย์เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อปาน และ หลวงพ่อเล็กเป็นพระคู่สวด

คำสั่งพระอุปัชฌาย์


ในตอนนี้ อยากจะขอแทรกเรื่องนี้ไว้สักนิดว่า ท่านที่อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน แล้วคงจะจำได้ที่หลวงพ่อท่านได้เล่าถึงตอนที่อุปสมบทแล้ว พระอุปัชฌาย์ท่านพูดว่า

“สามองค์นี้ไม่สึก สององค์นี้.. (หลวงพ่อลิงเล็กและหลวงพ่อลิงขาว) พอครบ ๑๐ พรรษาต้องเข้าป่า เมื่อเข้าป่าแล้วห้ามออกมา ยุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย เพราะจะพาพระ และชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก จงไปตามทางของเธอ

ท่านปานช่วยสอนวิชาเข้าป่าให้หนักหน่อย ส่วนท่านองค์นี้.. (หมายถึงฉัน) จงเข้าป่าไปกับเขา แต่ห้ามอยู่ในป่าเป็นวัตร เพราะเธอมีบริวารมาก ต้องอยู่สอนบริวารจนตาย พอครบ ๒๐ พรรษา จงออกจากสำนักเดิม..เจ้า จะได้ดี.. จงไปตามทางของเธอ...”

การที่นำคำของท่านมาย้ำเตือนใจกันอีกครั้ง ก็เผื่อลูกศิษย์ของหลวงพ่อบางคน อาจจะลืมไปว่า คำสั่งของครูบาอาจารย์นั้น ถือ เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ไม่มีใครเขากล้าขัดคำสั่งครูบาอาจารย์กัน หลวงพ่อและเพื่อนของท่านทั้งหมด ก็ปฏิบัติไปตามคำบัญชานั้นทุกประการคือ...

ต่อมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ต้อง มารอลูกหลานอยู่ที่วัดท่าซุง ส่วนเพื่อนของท่านอีก ๒ องค์ หลวงพ่อก็ไม่เคยบอกว่าออกมาอยู่ในบ้านในเมืองหรือในที่ชุมนุมชน นอกจากจะมาโปรดคนที่เนื่องถึงกันในอดีตบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่หลวงพ่อจะบอกว่าท่านอยู่ ในป่า เพราะพระอภิญญาท่านจะไปที่ไหนก็ได้ เนื่องจากท่านมีหน้าที่ช่วยสอนพระที่ธุดงค์อยู่ในป่า ก็อาจจะพบท่านได้ในบางครั้ง

ต่อไปตามประวัติได้เล่าว่า หลังจากที่ หลวงพ่ออยู่กับ หลวงปู่ปานจนท่านมรณภาพ แล้วปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ก็เข้ามาจำพรรษาที่ วัดช่างเหล็ก เพื่อเรียนบาลี ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ วัดอนงคาราม
และ วัดประยุรวงศาวาส ตามลำดับ ในตอนนี้ ท่านได้เคยเล่าให้ฟังว่า ในสมัยที่ท่านอยู่กับหลวงปู่ปาน ท่านฝึกพระกรรมฐานจนได้ถึงสมาบัติ ๘ เรียกว่าออกมาจากวัดบางนมโค ท่านได้เสาไว้ ๘ ต้น

ครั้นเมื่อออกจากวัดนี้แล้ว ใคร่ที่จะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม จึงได้ออกไปพบผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน ดังที่เล่าไว้ใน หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม และ หลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นต้น แต่ก่อนที่หลวงพ่อจะได้พบครูบาอาจารย์ที่รู้จริงนั้น ก็ต้องพบของปลอมบ้างเป็นธรรมดา เพราะบางท่านก็สอนนิพพานสูญ บางท่านก็สอนจนความดีที่มีอยู่เสื่อมสูญไปเลย

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้ยินมาเอง ท่านบอกว่าเพราะการพบอาจารย์ที่ไม่ได้จริง จึงสอนให้เราผิดทาง จากที่เคยอยู่กับหลวงพ่อปาน เราได้ถึงสมาบัติ ๘ คือเสา ๘ ต้น ท่านบอกว่า เขาสอนให้เราจนเหลือแค่เสาต้นเดียว คือเหลือแค่ ปฐมฌาน เท่านั้น หลวงพ่อท่านย้ำอีกนะ ว่าเป็น “ปฐมฌานอย่างหยาบ” อีกด้วยนะ

เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ นับว่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจสำหรับพวกเราที่เป็นศิษย์ภายหลัง คือหลังจากครูบาอาจารย์สิ้นไปแล้ว เราก็อยากจะหาผู้ที่จะสอนเราเช่นนี้อีก ดังที่หลวงพ่อเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ท่านจึงได้นำมาเล่าไว้เป็นตัวอย่าง และมิใช่เป็นเรื่องเสียหาย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเอง เช่นนั้น จึงได้นำมาเล่าเพื่อเป็นการตักเตือน ลูกศิษย์ไว้ด้วยความหวังดี มิใช่ถือเป็นการหวงลูกศิษย์แต่อย่างใด

ฉะนั้น เพราะเป็นผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วด้วยดี จึงทำให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีที่แท้จริง เมื่อหลวงพ่อเป็นนักเทศน์และได้เป็น เปรียญธรรม ๔ ประโยคแล้ว เห็นว่ามีความรู้เรื่องนี้พอสมควรแล้ว จึงต้องกลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่ วัดบางนมโค โดยการอาราธนาของผู้ที่เกี่ยวข้องกับวัด

ครั้นครบ ๒๐ พรรษา ตามคำบัญชาของพระอุปัชฌาย์ว่า ออกไปอยู่ที่อื่นแล้วจึงจะได้ดี ท่านก็มีอันจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นอีก หลายวัดที่จังหวัดชัยนาท แล้วก็ได้ดี..คือ “การเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์” จริงตามคำพยากรณ์ของพระอุปัชฌายะทุกประการ

จนกระทั่งถึง พ.ศ.๒๕๑๑ เจ้าอาวาสองค์เก่าได้นิมนต์มาบูรณะวัดท่าซุง อีกทั้งท่านก็ได้ทราบว่า ในอดีตวัดนี้ได้เคยบูรณะมาถึง ๓ วาระแล้ว ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในการเกิด ทั้งที่รู้ว่าจะมีอุปสรรคก็จำเป็นต้องตัดสินใจมา ท่านจึงได้เริ่มทำการปฏิสังขรณ์ฝั่งโบสถ์เก่า โดยเริ่มงานเมื่อ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๑๑ และสร้างขยายพื้นที่ใหม่ฝั่งตรงข้าม จนกระทั่งมีความเจริญสวยสดงดงามดังที่เห็นในปัจจุบันนี้

ครั้นเมื่อถึงปี พ.ศ.๒๕๒๗ ท่านจึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ “พระสุธรรมยานเถระ” ต่อมา พ.ศ.๒๕๓๒ ท่านก็ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราชที่“พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี”

เมื่อถึงปี ๒๕๓๕ หลังจากวันรับกฐิน เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคมแล้วท่านก็ป่วยมาตลอด จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๘ จึงได้นำท่านส่งโรงพยาบาลศิริราช แล้วท่านก็ได้มรณภาพไปใน ที่สุด เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

จากเรื่องข่าวการมรณภาพนี้ เป็นเวลาเดียวกับที่มีข่าวจากผลการประชุมของ มหาเถรสมาคมว่าจะมีการขอพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาชั้นเทพซึ่งจะมีพระราชทินนามว่า “พระเทพพรหมยาน”


แต่ก็ต้องมายับยั้ง เนื่องจากการจากไป อย่างไม่มีวันกลับ ในขณะที่ท่านมีอายุ ๗๖ ปี มีพรรษาได้ ๕๕ พรรษา เป็นพระอรหันต์มาได้เกือบ ๓๐ ปี รวมเวลาที่ท่านมาสงเคราะห์ลูกหลานและพุทธบริษัททั้งหลายอยู่ ณ ที่นี้ เป็นเวลานานถึง ๒๔ ปี ฉะนั้น จึงนับเป็นบุญวาสนาของพวกเราทุกคน และที่ได้มาภายหลังก็ตาม สมกับถ้อยคำที่ท่านเคยพูดไว้ในประวัติหลวงพ่อปานว่า

“ผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาดีแล้ว ย่อมได้พบกับครูบาอาจารย์ที่ดีด้วยเช่นกัน...”

เป็นอันว่า งานครบรอบ ๓ ปีนี้จึงมี งานพิธีเป็นกรณีพิเศษ ทั้งเป็นการจัดงานเพื่อสมโภช “ฐานแก้ว”ที่วางอยู่บนบุษบก อันเป็นที่ประดิษฐานร่างกายของท่านที่เป็นอมตะ คือยังไม่ตาย ด้วยการที่ท่านอธิษฐานทิ้งร่างไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย โดยที่มิได้ฉีดยา “ฟอร์มาลีน” เข้าไปแต่อย่างใด

เพราะฉะนั้น คำที่ท่านเล่าไว้ในตอนใกล้จะมรณภาพว่า ท่านขอพรแด่องค์สมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้าไว้ว่า เมื่อตายแล้ว ๗ วัน ขอให้เป็นอย่างนั้น ๑๕ วันให้เป็นอย่างนี้ แต่ท่านก็มิได้บอกรายละเอียดว่าท่านขอไว้อย่างไร

ครั้นถึงกาลมรณภาพของท่าน จึงได้จัดงานบำเพ็ญกุศล ณ ศาลา ๑๒ ไร่ วันเวลาได้ผ่านพ้นไปจนครบ ๗ วัน พวกเราทุกคน เห็นสภาพศพของท่านแล้ว เหมือนกับคนนอนหลับ ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะเน่าเปื่อย จนข่าวนี้ถึงกับเล่าลือไปในจังหวัดอุทัยธานีว่าหลวงพ่อฟื้นแล้ว ต่างก็พากันมาที่วัดนับร้อยคน

หากเป็นเพราะว่า หลวงพ่อเคยตายแล้วฟื้นมาหลายครั้งแล้ว พวกเราจึงมีความหวังว่า ครั้งนี้หลวงพ่ออาจจะฟื้นคืนกลับมาเล่าให้ฟังกันอีก มีบางคนถึงกับย้ายมานอนที่ศาลา ๑๒ ไร่กันเลย รอเวลาผ่านไปจนถึง ๑๕ วัน ร่างของหลวงพ่อยังคงนอนสงบเงียบอยู่ในหีบศพ ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาอีก

ความหวังของทุกคนเริ่มเลือนลาง แล้วร่างของท่านก็เริ่มแห้งลง จีวรที่ห่อหุ้มชุ่มไปด้วยน้ำที่มีกลิ่นคล้ายเหงื่อเท่านั้น ไม่มีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลออกมาจากทวารทั้งหลาย อันมีตา หู จมูก ปาก เป็นต้น

เวลาผ่านไปเป็นเดือนจนถึงกำหนดทำบุญครบ ๑๐๐ วัน จึงทำให้นึกถึงคำของท่าน ที่ได้เล่าไว้ก่อนตายว่าได้ขอพรแด่องค์สมเด็จฯ ไว้ ครั้นท่านสิ้นไปแล้วจึงได้คำตอบว่า ท่านคงขอพรไว้ให้ร่างคงสภาพเดิมไม่เน่าเปื่อยไปจนครบ ๗ วัน ถึง ๑๕ วัน ให้เหมือนกับคนนอนหลับไป นับเป็นที่อัศจรรย์ใจจริงๆ

เพราะฉะนั้น งานนี้จึงได้มีพิธีกล่าวคำสดุดีเทิดพระคุณของท่าน โดยศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้กล่าวนำเป็นบทกลอน โดยมีผู้ร้องตามก้องพระวิหาร เสียงร้องพ้องกับเสียงสะอื้น ตื้นอุรา เหมือนนกกาที่ขาดพ่อแม่เหลียวแลดูบทประพันธ์ที่ประทับใจในครั้งนั้นมีว่าดังนี้

ราชพรหมยานบูชา


พระเอยพระพ่อเจ้า จอมใจ ลูกเอย
พระจากเหล่าลูกไป ก่อนแล้ว
ลูกเหลือหักอาลัย สลัดโศก
ระลึกพระคุณพ่อแก้ว จากแล้วสามปี

มีธูปบุปผมาศพร้อม เทียนถวาย
ประณตหัตถ์ระยอบกาย กราบไหว้
วจีมุ่งมโนหมาย บูชิต พระพ่อ
พระราชพรหมยานไท้ ท่านผู้เพ็ญบุญ

ผองคุณพระท่วมท้น ดวงใจ
ลูกตระหนักพระคุณใน พ่อแก้ว
จักเอื้อนเอ่ยคำไข มิจบ
นับพระคุณฤาแล้ว ยิ่งพ้นประมาณ

ประสานกรจรดเกล้า อัญชลี
ด้วยมนัสกตเวที เปี่ยมร้อย
ลูกถวายสัตย์วจี สนองบาท พ่อนา
จักประพฤติตามถ้อย ที่ให้สัญญา

จะรักษาคำสอนบวรสวัสดิ์
จะปฏิบัติกายใจให้ผ่องศรี
จะเทิดทูนคุณงามและความดี
จะเพิ่มพูนสามัคคีมีเมตตา
จะทรงอภิญญาจารวัตร
จะปกป้องสมบัติพระศาสนา
จะสืบทอดสาธารณะปฏิปทา
จะยังประโยชน์ปวงประชาสืบไป

ขอพระไตรรัตน์ผู้ เพ็ญคุณ
ขอพระโปรดการุณย์ แก่ข้า
ขอพระประทานพรหนุน สำเร็จ ประสงค์นา
ขอพระเพิ่มพละห้า แก่ข้าโดยธรรม์

สัญญาวาระนี้ ถวายสนอง พระคุณเอย
ลูกจักทำตามลอง แบบถ้วน
ขอพ่อจุ่งคุ้มครอง กายจิต ลูกนา
ให้อยู่ในดีล้วน ตราบเข้านิพพาน ฯ

ครั้นสิ้นเสียงร้องพรรณนาเทิดพระคุณความดีของท่านแล้ว ทุกคนก็กราบพร้อมกัน ๓ ครั้ง พร้อมกับได้นำเอาเครื่องบูชาของตนที่ถือไว้ในมือ ลุกเดินออกมาข้างหน้าบุษบก แล้ววางไว้บนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ จิตใจต่างก็มีความอาลัยรักและคิดถึงท่านอย่างมิรู้ลืม แล้วกลับมานั่งฟัง “ผู้เขียน” กล่าวคำสดุดีต่อไปอีกว่า



คำสดุดีเทิดพระคุณ


“ตามที่ได้ทราบกันแล้วว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน นับตั้งแต่สมัย สมเด็จองค์ปฐมฯเป็นต้นมา เมื่อเห็นว่าองค์สมเด็จพระพุทธบิดาเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ที่เลิศประเสริฐกว่าใครในโลก ทรงมีพระรูปพระโฉมงดงามสมพระพุทธลักษณะมหาบุรุษ พระพุทธองค์ทรงประดับประดาด้วยฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ พวยพุ่งออกมาจากพระวรกาย เมื่อเสด็จไปที่ใดจะมีเหล่าพระสาวกทั้งหลายแวดล้อมเป็นบริวาร

ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อจึงได้บำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ประเภทวิริยาธิกะ ต้องใช้ “ความเพียร” ตลอด ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นับชาติไม่ถ้วน ซึ่งกำลังจะเต็มครบถ้วนในชาตินี้

แต่ด้วยน้ำใจอันเสียสละของท่าน จึงได้อธิษฐานลงมาเพื่อขอลาจากพุทธภูมิ หวังที่จะช่วยสืบสานต่ออายุพระพุทธศาสนา ในระยะเวลากึ่งพุทธกาล ณ บัดนี้ พระพุทธศาสนาได้รุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง ท่านได้ทำให้ชาวพุทธทั้ง หลายได้รู้จักคำว่า “พระสุปฏิปันโน” “การถวายสังฆทาน”และ “ชำระหนี้สงฆ์” เป็นต้น

ทั้งได้ยืนยันด้วยตัวของท่านเองว่า “นรกสวรรค์ มีจริง นิพพานไม่สูญ” ดังที่เขาสอนกัน พร้อมกับวางหลักสูตรไว้เพื่อปฏิบัติ ซึ่งจะสามารถพิสูจน์จากวิชา “มโนมยิทธิ” นี้ได้

นอกจากจะสงเคราะห์พระภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัทในด้านธรรมะ ทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว ในทางโลกท่าน ก็ได้สร้างสาธารณประโยชน์นานัปการ เช่น สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน ขุดบ่อน้ำ ตั้งธนาคารข้าว สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร และเยี่ยมเยียนทหารตำรวจชายแดน

ท่านได้ปฏิบัติศาสนกิจอันเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมานานนับสิบปี จนถึงวาระสุดท้ายของสังขาร ท่านก็ได้จากลูกหลานอันเป็นที่รักยิ่งทั้งหลาย ไปสู่ดินแดนที่เป็นเอกันตบรมสุข

เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตของท่าน ทั้งในชาติปัจจุบันนี้ หรือที่จะย้อนกลับไปถึงในอดีตชาติ ท่านก็ได้สร้างชาติสร้างแผ่นดิน หวังให้ชาวไทยที่เป็นลูกหลานทั้งหลายได้อยู่อย่างสงบสุข ไม่เป็นข้าทาสของชาติใด ได้สละเลือด เนื้อและชีวิตเพื่ออุทิศให้ นับตั้งแต่สมัยโยนกบุรีศรีเชียงแสนมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์นี้

ครั้นมาถึงชาติปัจจุบัน อันเป็นชาติสุดท้ายนี้ พระพรหมโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง ผู้ประทับนั่งอยู่เหนือบัลลังก์ในวิมานแก้ว อันสถิตแล้วอยู่ในพรหมโลก เมื่อเห็นว่าพระพุทธศาสนาในระยะนี้ จำต้องมีพระโพธิสัตว์ลงมา ช่วยกอบกู้สถานการณ์

พระองค์จึงได้รับอาสา พร้อมทั้งกับได้รับการอาราธนาจาก ท้าวผกาพรหมจุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์อีก เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา และหวังที่จะลาพระโพธิญาณ ปรารถนาช่วยนำบรรดาลูกหลานทั้งหลายในอดีต ที่ได้เคยร่วมทัพจับศึกและบำเพ็ญบารมีติดตามกัน มานานนับ ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป ให้ได้ พบหนทางอันเป็นแดนอมตมหานฤพาน

พระพรหมโพธิสัตว์พระองค์นี้ เป็นผู้ ที่ได้สร้างสมอบรมบารมีมาดีแล้ว จนกระทั่งจวนจะเต็มครบถ้วนทั้ง ๓๐ ทัศ จัดอยู่ในระดับปรมัตถบารมี หวังที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ในอนาคตกาลพระองค์หนึ่ง จนได้รับพระพุทธพยากรณ์ในสำนักพระพุทธเจ้ามาแล้ว หลายพระองค์ อันปรากฏอยู่ในบันทึกพิเศษของท่านตอนหนึ่งว่า

“ถ้าเธอยังไม่ละพุทธภูมิ จะได้เป็นพระพุทธเจ้า มีนามว่า “พระพุทธอริยมุนี” ต่อจากพระศรีอาริย์ไปเป็นองค์ที่ ๒๐ แต่สงสัย ว่าจะคลายตัวเสียตั้งแต่พระสมณโคดม

ถ้าคลายตัวตอนนั้น ก็จะเป็นกำลังใหญ่ของลูกหลาน ให้เข้าถึงธรรมได้อย่างแน่นแฟ้น คือ “พระโสดาบัน” เป็นต้น ทั่วกันทุกคน เพราะผลที่ตนบรรลุ...”

ผลสุดท้ายการลาพุทธภูมิก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้วท่านก็เร่งรัดปฏิบัติตน จนสามารถจบกิจในพุทธศาสนา ตามที่ท่านบันทึกไว้เมื่อ วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๖ ว่าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาแจ้งว่า

“...เจ้าเจริญธรรมให้แจ้ง ถึงไม่รัก..ในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียด..ไม่โกรธ..ในฐานะที่ควรโกรธ ไม่ขัดเคือง.... ในฐานะที่ขัดเคือง อย่างนี้ชื่อว่า.. ได้อริยผลบริบูรณ์แล้ว เจ้าเป็น “พระขีนาสพ” ตั้งแต่เวลา ๔ นาฬิกา..วันนี้ ซึ่งตรงกับกลางเดือน ๙ พอดี...”

ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะในที่สุด สมความปรารถนาที่ได้อธิษฐานลงมา การออกบวชของท่านในชาตินี้ จึงถือว่าได้เลือกทางเดินเป็นพระอริยสาวกอย่างแน่นอน ด้วยการกำจัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน

แต่ถึงจะหมดภาระสำหรับตนเองแล้ว ท่านก็ยังต้องมีภารกิจสำหรับลูกหลานที่ติดตามกันมา ที่เรียกว่า “เป็นผู้ที่เคยช่วยสนับสนุนพระโพธิญาณกันมาในกาลก่อน” จึงมีข้อแม้ว่าจะต้องอยู่เพื่อทำกิจของพระโพธิญาณต่อไปอีก ๑๒ ปี ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๕๑๕ หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ก็ปรากฏออกมาพร้อมกับอาการป่วยหนักของท่าน เมื่อจะขอลาเข้าสู่แดนพระนิพพาน ท่านปู่พระอินทร์ ก็มายับยั้งว่า

“ก่อนลงมาเกิด คุณตั้งใจจะมาช่วย บรรดาลูกหลาน อย่างน้อยก็ไปสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ เวลานี้คนของคุณก็ยังมาไม่หมด คนของโยมก็ยังไม่ครบ แล้วยังมีคนของสมเด็จองค์ปัจจุบัน และของหลวงพ่อปานอีก...”

หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ก็รอมาตั้งนานแล้ว ทำไมถึงยังไม่มาอีกล่ะ นับตั้งแต่นั้นมา การหลั่งไหลมาตาม “ใบสั่ง” ก็เกิดขึ้นอย่างมากมายดังที่เห็นในปัจจุบันนี้ (แต่ก่อนมรณภาพ พระศรีอาริย์มาแถมฝากไว้อีกไม่มาก ประมาณ ๓ แสนคน เวลานี้มีคนมาเล่าให้ฟังหลายรายว่า หลวงพ่อไปเข้าฝันให้มาวัด ทั้งที่ไม่เคยรู้จักวัด และไม่รู้จักหลวงพ่อมาก่อน)

ครั้งนั้นจึงมีการต่อสัญญาอีก ๑๐ ปี เพื่อใช้หนี้ลูกหลานที่ติดตามกันมา จนถึงเวลา ครบ ๑๐ ปีตามสัญญา ท่านก็ต้องมาตายชั่วคราวในปี พ.ศ.๒๕๒๓ เพื่อตัดตอนก่อนที่จะครบในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ซึ่งมีการยืดเวลาไปอีก ๑๐ ปี ถึงปี พ.ศ.๒๕๓๕ ท่านก็ได้ทำกิจพระศาสนาครบถ้วนตามมโนปณิธาน จนถึงวาระสุดท้ายของสังขาร

เป็นอันว่า หน่อเนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์พระองค์นี้ ที่ได้จุติลงมาเพื่อปฏิบัติภารกิจพระศาสนา หวังที่จะได้สนองคุณองค์สมเด็จ พระบรมศาสดา ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญูเป็นเลิศ ในระหว่างที่ทรงชีวิตอยู่ ท่านก็มีความเคารพต่อบิดามารดา ดังที่ท่านเล่าไว้ในเทปชุดสุดท้ายเรื่อง “โปรดโยมบนสวรรค์” เป็นต้น

ส่วนครูบาอาจารย์นั้น หลวงพ่อท่านมความเคารพหลวงปู่ปานเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นป้ายที่ซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสถ ซึ่งเป็นการสร้างวัดครั้งแรก ท่านก็ยังตั้งชื่อไว้ว่า “ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค”

เพราะการสร้างคุณประโยชน์ต่อชาวโลกเป็นอันมาก ท่านจึงเป็นที่รักและเคารพของ เหล่ามนุษย์และเทวา โดยเฉพาะเหล่าเทพเจ้า ทั้งหลายต่างขนานนามท่านว่า“พ่อปู่” ทั้งองค์สมเด็จพระบรมครูทรงตรัสเรียกหน่อเนื้อพุท ธางกูรพระองค์นี้ ตามที่พวกเราได้ทราบกันดี แล้วว่า “ท่านสัมพเกษีพรหม”นั่นเอง...”

ครั้นจบการกล่าวคำ“สดุดีเทิดพระคุณหลวงพ่อ”ดังนี้แล้ว ชุดฟ้อนรำ“สัมพเกษีพรหม”ก็ได้ร่ายรำออกมาในชุดสวยงาม ฟ้อนรำไปตามเสียงเพลง “สัมพเกษีจุติกาล”จึงทำให้ผู้ชมบางท่าน ถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบ แก้ม เพราะมีผู้แต่งกายสมมุติเป็น “สัมพเกษีพรหม”ร่ายรำออกมานั่งอยู่ตรงบัลลังก์ ซึ่งได้ จัดเตรียมไว้หน้าบุษบกของหลวงพ่อ

ผู้ร้องได้ขับร้องไปตามทำนองเพลงไทยเดิม ได้เอื้อนเอ่ยบรรยายความไปตามประวัติ ผสมผสานกับการบรรเลงของปี่พาทย์ สร้างความประทัใจไปกับการฟ้อนรำ จบแล้วจึง เป็นการฟ้อนรำชุดที่หลวงพ่อเคยโปรดปรานมากที่สุด นั่นก็คือชุด“พุทธานุภาพ”ทั้งหมด เป็นการแสดงของคณะ “นกยูง”จากหาดใหญ่ ซึ่งเคยเป็นศิษย์เก่า ร.ร.พระสุธรรมยานฯ

หลังจากการฟ้อนรำจบลงแล้วท่านพระครูปลัดอนันต์ จึงได้กล่าวอนุโมทนากถาแด่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ที่ได้อุตส่าห์ร่วมแรงร่วมใจกันสมทบทุนสร้าง “ฐานแก้ว”และ “ผ้าห่มทองคำ”เพื่อเป็นที่ประดิษฐานรองรับ สรีระศพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ต้องใช้ งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ ๑๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ด้วยความสามัคคีและความกตัญญูที่มีต่อท่านการจัดสร้างและการจัดงานครบรอบ ๓ ปี ในครั้งนี้ จึงสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

อนึ่ง การอัญเชิญมานั้น ก็ได้จัดขบวนแห่อย่างสมเกียรติยศ ถึงแม้จะยากลำบากเพียงใด จากกระแสน้ำที่ยังท่วมท้นอยู่ พวกเราก็สามารถอัญเชิญมาสู่พระวิหารแก้วได้เป็นผลสำเร็จ นับว่าลูกศิษย์หลวงพ่อทุกคน ต่างมีความรักและเคารพท่านอย่างจริงใจ แม้ท่านจะจากไปแล้ว พวกเราก็ยังมาร่วมแรงร่วมใจกันด้วยความมีน้ำใจที่ดีต่อกัน

ท่านก็ได้กล่าวเนื้อความอีกหลายประการ นับเป็นที่ปลาบปลื้มปีติยินดีแก่ผู้รับฟัง ในวันนั้นอย่างมากมาย จึงเป็นการสร้างขวัญสร้างกำลังใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความดีตลอดไป เพราะท่านมีภาระหน้าที่แทนหลวงพ่อต่อไป เพื่อรักษาสมบัติของพระศาสนาที่หลวงพ่อสร้างไว้ โดยมีพวกเราเหล่าพุทธบริษัท ต่างก็ได้ช่วยกันบริจาคทรัพย์ตามกำลังศรัทธา ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์ให้วัดมีสภาพสวยสดงดงามต่อไป

ต่อมาเวลา ๒๑.๐๐ น. พระสงฆ์สวด พระอภิธรรม เมื่อเจ้าภาพถวายผ้าบังสุกุลแล้ว จึงถวายไทยทาน เสร็จแล้วถวายพระกุศลแด่ หลวงพ่อฯ พระสงฆ์ให้พรเป็นเสร็จพิธี

ก่อนที่จะจบเรื่องของท่าน ผู้เขียนขอนำคำบันทึกส่วนองค์ของท่านมาไว้เป็นอนุสรณ์ในตอนสุดท้าย เหมาะสำหรับท่านที่มีความ ประสงค์จะทรงอารมณ์สูงสุด ท่านได้บันทึกไว้ว่า

“....สมเด็จพระพุทธกัสสปทรงสอนพระกรรมฐาน และให้องค์ภาวนาว่า “สิตมหา นิพพานัง” ว่ารวมญาณเห็นแจ่มแจ้งหมดทุกญาณ เป็นบทภาวนาสุดท้าย

ก่อนภาวนา ให้เจริญวิปัสสนาของสมเด็จพระสมณโคดมก่อน “โลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง” เมื่อแจ่มใสแล้วให้ภาวนา “สิตมหานิพพานัง” จะแจ่มแจ้งทุกอย่าง

ถ้าประสงค์จะใช้ญาณให้ภาวนาเลย เราจะตายกับอรหัตมรรค เราจะตายอยู่กับความดี เราจะไม่ทำความชั่ว เราจะตายอยู่กับนิพพาน เราจะตายกับความดี เราจะตายไม่ทำความชั่ว

คำนี้สมเด็จประทาน เวลา ๒๐.๐๐ น. เศษ เมื่อเจริญวิปัสสนาร่วม “สิตมหานิพพานัง”(เราสำเร็จวันนี้) คืนนี้ได้จบกิจแล้ว ควรเจริญเพื่อความเป็นสุขต่อไป” (จากบันทึกหน้า ๓๗)

******************************


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/9/10 at 15:11 [ QUOTE ]



(Update 09-09-61)

คลิปวีดีโอ "ประวัติวัดท่าซุง" และ
"ชีวประวัติหลวงพ่อฤาษีลิงดำ" (พระราชพรหมยาน)
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


ประวัติวัดท่าซุง

ประวัติหลวงพ่อปาน

ชีวประวัติหลวงพ่อ (ตอนเดียวจบ 1) - ชีวประวัติหลวงพ่อ (ตอนเดียวจบ 2)


หลวงพ่อฤาษีลิงดำละสังขาร

หลวงพ่อฤาษีสอนกรรมฐาน ตอน 1 - ตอน 2 - ตอน 3 - ตอน 4 - ตอน 5

หลวงพ่อพาเยี่ยมวัดบางนมโค ตอน 1 - ตอน 2 - ตอน 3

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ที่บ้านสายลม ตอน 1 - ตอน 2 - ตอน 3 - ตอน 4 - ตอน 5 - ตอน 6 - ตอน 7 - ตอน 8 - ตอน 9 - ตอน 10 - ตอน 11 - ตอน 12 - ตอน 13 - ตอน 14 - ตอน 15

ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม ตอน 1 - ตอน 2 - ตอน 3 - ตอน 4

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ สอนลูกภาคเหนือ ตอน 1 - ตอน 2 - ตอน 3 - ตอน 4

เด็กอภิญญา จ.เชียงใหม่ ตอน 1 - ตอน 2 - ตอน 3 - ตอน 4 - ตอน 5 - ตอน 6 - ตอน 7 - ตอน 8

ทำบุญครบรอบ 14 ปี หลวงพ่อมรณภาพ ตอน 1 - ตอน 2


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top