Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 2/3/11 at 14:58 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 4 (ตอน 2 )





ลูกศิษย์บันทึก เล่ม๔


...ในหนังสือเล่มนี้มีภาพเหตุการณ์หลังจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มรณภาพได้เพียงวันเดียว คือหลวงพ่อมรณภาพเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2535 แล้วอัญเชิญจากโรงพยาบาลศิริราชมาที่วิหารแก้วร้อยเมตร

วันรุ่งขึ้นคือ วันที่ 31 ตุลาคม 2535 จึงได้จัดขบวนแห่เคลื่อนย้ายศพของท่านออกจากพระวิหารร้อยเมตร เพื่ออัญเชิญไปจัดงานพิธีสรงน้ำและบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 12 ไร่ นับเป็นเวลา 100 วัน ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียด โดยท่าน ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย และคณะ พร้อมกับพิมพ์ภาพประกอบลงในหนังสือ ซึ่งในขณะนั้นกำลังจัดพิมพ์หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๔ พอดี

ซึ่งพระมหาเถระหลายรูปที่เคยเดินทางไปในคราวนั้น ท่านได้มรณภาพไปแล้วหลายรูป เช่น หลวงปู่บุดดา ถาวโร เป็นต้น ท่านได้มาร่วมงานบำเพ็ญกุศลครบ 100 วันเท่านั้น หลังจากนั้นท่านก็ได้อาพาธที่โรงพยาบาลศิริราชแล้วได้มรณภาพไปในที่สุด เหตุการณ์เหล่านี้เป็นความทรงจำที่ผ่านมานาน 18 ปีแล้ว ทีมงานเวปวัดท่าซุงจึงได้นำมาย้อน เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านอีกครั้งหนึ่ง.

สารบัญ

25.
"หงษ์ แซ่ลิ้ม"
26. "เสาวนีย์ กีรติพิชญ์ – ตรีกุลรัตน์"
27. "ชาติชาย ชินวร"
28. "จารุพรรณ จันทรพิทักษ์ (ประไพ สืบสงวน)"
29. "สุวิทย์ สวรรค์กสิกร"
30. "นายแพทย์สบสันต์ วงษ์ภักดี"
31. "ชาญชัย วงศ์หลี"
32. "เรืออากาศเอกเวียด – วิไล โบสถ์ทอง"
33. "พรรณงาม รื่นบันเทิง"
34. "แต๋ว และจอห์น โอดริสคอล"
35. "ลำดวน บุปผา"
36. "เอื้อมจิตร์ กลั่นจัตุรัส"
37. "บุญสม ทรัพย์กล้า"
38. "สุนันทา สุขธยารักษ์"
39. "ทนงฤทธิ์ สีทับทิม"
40. "วันเพ็ญ แพร้วรุ่งเรือง"
41. "นันทวัน จุลกนิษฐ์"
42. "ลักษมี วิไลวรรณ"
43. "นที ธนะวัฑฒโก"
44. "วีรวรรณ มูลต้น"
45. "พ.ต. ทันตแพทย์หญิง เตือนใจ กลั่นสุภา"
46. "วิลาวัณย์ ตัณฑเจริญรัตน์"
47. "บันทึกการรายงานผลการฝึกมโนมยิทธิ"
48. "อำไพ สุจนิล"
49. "นฤมล ว่านเครือ"
50. "เด็กหญิงไพลิน บุญมา"



25

โง่นั่นแหละดี ฉลาดมาทีหลัง


หงษ์ แซ่ลิ้ม


.......... วันที่ ๑๙ พ.ย. ๒๕๓๔
...คนโง่ได้อ่านหนังสือหลวงปู่ปาน เพราะในปีนั้นคิดแต่เรื่องอยากทำบุญ และอยากไปแต่ป่า แล้วมันมีจิตใจชุ่มชื่น เมื่ออยู่บ้านและออกเรือนไปเดินขายของ แต่งงานออกเรือนแล้วก็มีแต่ความทุกข์ ก็คิดว่าคนเราเกิดก็ต้องมีทุกข์ และดิฉันมีจิตใจรักงาน รักเพื่อน และพ่อแม่ เป็นคนรู้คุณคน รักสงบ รักความซื่อตรง มารู้เอาต่อเมื่ออ่านหนังสือหลวงปู่ปาน

...แล้วยังมารู้ว่าดิฉันมีศีล ดิฉันเป็นคนโง่ คือไม่รู้อะไร แต่การทำความดีและหมั่นเพียรในการเป็นคน อ่านหนังสือแล้วดิฉันรู้สึกมีปีติมากๆ เลย พอถึงพุทโธ แล้วในเรื่องหลวงพ่อเล่ามานี้ อ่านแล้วก็ดู เอ...นี่หรือธรรมะ เอ...นี่หรือเขาเรียกว่าศาสนา โอ้ย ดีใจพบธรรมเป็นอย่างนี้หรือ เพราะดิฉันแต่งงานมาอยู่ ย่าก็เป็นคนจีน ดิฉันก็เป็นจีนครึ่ง แต่เป็นเด็กไปวัดกับเขาบ้าง

แต่ก็ไปๆ อย่างนั้น และเพราะมันโง่รู้แต่ได้บุญเป็นอย่างไร บาปเป็นอย่างไรไม่รู้ และไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอะไรและอยู่ที่ไหน นี้มันโง่อย่างนี้แหละ แต่ว่าพอมาอ่านหนังสือหลวงปู่ปานเข้าเท่านั้นแหละ โอ้โหไม่รู้ว่าดีใจขนาดไหนละหนอ ดิฉันได้ปฏิบัติตามที่คำว่า

พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ นี้นะช่างว่าดีไปทุกอย่างที่ดิฉันปฏิบัติมาตามหลวงพ่อสอน ด้วยการทำใจและสมาธิ ดิฉันมีจิตสงบดีมาก เป็นด้วยบุญจริงๆ ที่ดิฉันได้พบหนังสือที่ค้นพบที่ตู้หนังสือ ดลอกดลใจให้ดิฉันไปเห็นหนังสือนี้เข้าก็คือ หนังสือธรรมะนั้น และดิฉันดีใจจนไม่รู้ว่าจะพรรณนาว่าอย่างไรจึงจะสมกับที่พบธรรมะนั้น เปรียบเสมือนดวงแก้วอันสวยงามดวงนั้น สามารถสาดแสงมาถึงดวงจิตดวงใจของดิฉัน

ใครได้เข้าถึงธรรมะและปฏิบัติตามมีศีลสะอาดมีจิตสงบแล้ว และได้ทำสมาธิแล้วดวงปัญญาเกิด ดิฉันรอดตายไปครั้งนั้นก็เพราะได้เข้าถึงธรรม คนเราก็มีการงานหน้าที่กันคนละอย่างไป ดิฉันเป็นคนโง่ ถ้าไม่ได้ธรรมมาช่วยควบคุมจิตอาจจะเป็นบ้าไปก็ได้ รอดพ้นมานี้เพราะธรรมแท้ๆ ความดีอันนี้ก็เกิดจากหลวงพ่ออีก ช่วยเพราะโง่ ถ้าไม่ได้หันมาปฏิบัติในทางทำความดีตามหลวงพ่อสอนหลวงปู่สอนไว้ก็จะอย่างไร

ดิฉันมากราบหลวงพ่อที่ตอนแรก กลัวหลวงพ่อก็กลัว แต่แข็งใจเข้าไปกราบท่าน
บอกท่านไปว่า ดิฉันเป็นคนโง่
ได้ยินหลวงพ่อว่า โง่นั่นแหละ มาฉลาดทีหลัง

ดิฉันดีใจมาก ได้ยินหลวงพ่อพูดกับดิฉัน หมูอ้วนมาจากโคราชหรือราชสีมานั้น ไปวิ่งอ้อมโบสถ์ซะไป ๓ รอบนะ
หลวงพ่อหยอกเล่น คือ ดิฉันอ้วนค่ะ ดิฉันบอกหลวงพ่อไปว่า หลวงพ่อ ดิฉันเป็นคนโง่ หลวงพ่อได้พูดออกมาว่า โง่นั่นแหละ ฉลาดมาทีหลัง
คนที่ไม่รู้ศาสนาก็ไม่รู้ความหมายว่าอะไร และมาคิดว่าคำว่าสมาธินั้นคืออะไร กรรมฐานคืออะไร จนมาได้อ่านธัมมวิโมกข์นั้นแหละจึงได้เรียนรู้กับหลวงพ่อมาเรื่อยๆ

คือดิฉันสงสัย หลวงพ่อมักจะบอกมากับหนังสือธัมมวิโมกข์ทุกที ดิฉันดีใจมาก ว่าการรู้ทางธรรมกับหลวงพ่อนี่นะดิฉันได้รอดตายและการเป็นบ้าด้วย การเกิดมาเป็นคนดีคือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์
๑. มาฆ่าตัวตาย
๒. คิดจนเป็นบ้า

และพอได้ธรรมแล้วมีการคิดไปแต่ทางที่ดี จิตนั้นคิดไปในทางที่ไม่ดีนั้นก็มีจิตอีกจิตหนึ่งนั้นก็คอยแต่คักเตือนอยู่เสมอมา ธรรมได้มาแล้วให้พิจารณาดูว่าคนได้ธรรมควรปฏิบัติอย่างไร จนได้เห็นเทวดามา และดิฉันได้ถามไปว่าใครมานั่งอยู่นี่นะ ดิฉันทำสมาธิแล้วก็ถามดู

และดิฉันได้ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์
ผู้ที่มานั่งอยู่ก็บอกดิฉันว่า ท่านชื่อว่าท้าวสักกะเทวราช
และมาประสงค์อันใดพระพุทธเจ้าข้า
ท่านก็บอกดิฉันว่า ท่านมาช่วย

และดิฉันก็ได้ถามไปว่า ถ้าท่านเป็นท้าวสักกะเทวราชขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นกายในด้วยเถิดพระเจ้าข้า
ท่านให้ดิฉันได้เห็นกายในท่านเป็นพระอินทร์ และยังองค์พระสยามเทวาธิราชยืนอีกองค์หนึ่ง และท่านมายืนทางหน้าพระอินทร์ด้วย ต่อมาดิฉันก็ได้ถามท้าวสักกะเทวราชว่ามีอะไร ก็ขอบารมีพระพุทธองค์ แล้วก็ท่านท้าวสักกะเทวราชทุกทีไป

ตอนนี้ขอต่อจากการเล่าตกไปนิดหนึ่งตรงที่ว่า ท้าวสักกะเทวราชมานั่งให้ดิฉันเห็นทุกวันเลย ดิฉันก็ไม่รู้ว่าใครมาจากไหน มานั่งอยู่นี้ทุกวันเลย จะถามก็ไม่รู้จะถามอย่างไร จึงได้ไปตลาดขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ดิฉันออกขายของทุกวัน เอ๊ะ เห็นจะไม่ได้การ เราต้องไปถามผู้รู้เสียก่อน เพราะท่านผู้ที่มานั่งนั้นน่ะใหญ่ออกทุกวันเลย รู้สึกกลัวมากเพราะท่านใหญ่ออกทุกวัน ทุกวันเลย

เขาบอกว่าขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงได้บอกชื่อว่า ท้าวสักกะเทวราชนั้นแหละ หลวงพ่อบอกว่าเมื่อเห็นอย่าไปเชื่อ ต้องพิจารณาดู และให้ขอดูกายในท่านก่อน เมื่อขอดูแล้วท่านให้เห็นกายในของท่านเป็นพระอินทร์ มีองค์เขียวและสวยมากเป็นเหมือนเทวดา แต่ตัวท่านเขียวเหมือนมรกต มีรองเท้าปลายงอนๆ ด้วย

ตอนแรกๆ ก็ไม่รู้ท่านชื่อท้าวสักกะเทวราชคือใคร โง่ยังไงไปเที่ยวถามเขา ใครรู้บ้างไหมว่าชื่อท้าวสักกะเทวราชคือใคร คนก็บอกว่าไม่รู้จักบ้าง บางคนบวชพระแล้วยังไม่รู้ ดิฉันเล่าไปมากประสบการณ์ทุกเวลาเมื่อปฏิบัติ คือการปฏิบัติจึงได้รู้บุญและบาป มาดีใจและมีปีติมากๆ ตรงนี้ คือการทำสมาธิ พอจิตสงบลง ดิฉันเห็นตัวดิฉัน และจะพูดเอาตรงที่สำคัญนะ

คือนั่งจิตสงบ และดิฉันได้แต่งตัวชุดขาว คือดิฉันนั่งอยู่ นุ่งผ้าถุงธรรมดา แต่จิตมันออกไปแต่งเป็นชุดขาว ดิฉันเห็นว่าเอ๊ะ นั่นตัวเราทำไมจึงได้เดินออกไป ดิฉันตั้งจิตคอยดูมันอีกนิดหนึ่งไปถึงเขาอังคาร (ภูพระอังคาร) แล้ว เขาอังคารนี้อยู่ที่นางรอง ดิฉันได้เห็นตัวดิฉันไปถึงเขาอังคาร ก้าวเข้าไปในโบสถ์ ดิฉันได้คุกเข่าลงกราบพระ ๓ ครั้ง แล้วดิฉันได้เงยหน้าขึ้น แบบเงยหน้าอย่างช้าๆ

ดิฉันเห็นพระลุกออกจากพระประธานองค์ใหญ่นั้นด้วย การเดินของท่านช้าๆ มาทางที่ดิฉันนั่งกราบพระ ท่านได้เดินมาแบบช้าๆ และพระท่านสวยมาก และท่านมีย่ามที่แขนของท่านด้วย และประมาณห้าหรือหกก้าวที่ท่านจะถึงดิฉัน ท่านก็วกเดินไปทางซ้ายมือของที่ดิฉันนั่งอยู่ ดิฉันได้แต่ดูและพลางก็คิดว่าดิฉันจะตามท่านไป และการดูดิฉันยังหมอบกราบท่านอยู่นะ ดูแบบเอาหางตาดูนิดๆ เป็นแบบว่ากลัวจะไม่สุภาพนั้นแหละค่ะ

ดิฉันเล่ามาก็ต้องเป็นปีเพราะดิฉันได้ปฏิบัติมากก็มีประสบการณ์มาก ถ้าเล่าไปก็คงไม่ได้ส่งหนังสือไปสักที ด้วยการเขียนหนังสือไม่เก่ง ดิฉันจึงขอให้ทุกท่านได้เกิดมาแล้วอย่าให้เสียชาติเกิด จงปฏิบัติความดีความชอบเสียที่เราได้เกิดมาเป็นคนไทย สมกับเราได้อยู่ในประเทศไทย และมีพุทธศาสนาของเราที่ท่านสอนไว้ดีแล้ว และไม่ควรจะช้าเกินไป เมื่อเกิดมาเจอแก้วดวงงามแล้วคิดว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่

ถ้าได้ปฏิบัติแล้วจะรู้ว่าการปฏิบัตินั้นดีอย่างไร จะได้รู้ว่าบุญบาปนั้นมีจริงหรือไม่ และสวรรค์มีจริงหรือไม่ บาปบุญคุณโทษมีจริงหรือ นรกสวรรค์ คนโง่ๆ อย่างดิฉันไปเห็นมาด้วยตัวเอง พระพุทธานุภาพที่ดิฉันได้ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอน คนเราเกิดมาก็ตายไปเสียเปล่าๆ ดิฉันคิดว่าตัวดิฉันเองยังไม่สายเกินไป แต่เกือบจะตายเสียก่อน ดิฉันจะบอกคนเราเกิดมาขอให้มีศีลอย่าโง่เหมือนดิฉันเลย

ดิฉันได้ทำปฏิบัติตามหลวงพ่อ ดิฉันขอกราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพรักและบูชาในหลวงพ่อ ดิฉันคือลูก หลวงพ่อได้ให้แสงสว่างกับลูกให้รู้ แสงสว่างทางธรรมและทางโลก เมื่อเข้าถึงธรรมหลวงพ่อสอนให้รู้ทางมืดและทางสว่างในธรรม ทางมืดในทางธรรมนั้นเป็นอย่างไร ในทางโลกนั้นเป็นอย่างไร

เพราะฉะนั้นเมื่อได้อ่านแล้วจงรู้ไว้เถอะ สวรรค์ – นรก นิพพานมี ตายแล้วต้องมาเกิดอีก จงอย่าทำบาป จงรักษาความดี และมีศีลมีธรรม จงกลัวบาป และจงทำบุญและมีเมตตาไว้ให้มากเถิด คนเรา
๑. ต้องมีศีลสะอาด
๒. มีจิตสงบ

และปฏิบัติตามหลวงพ่อสอนแล้ว ก็จะได้เห็นอะไรตามที่ท่านสอนมาสนุกมากๆ เลย จะไปที่ไหนก็ได้ ไปที่เขายังไม่ได้เห็น เราได้เห็นบุญบาป สวรรค์มีจริง นรกและนิพพานมีจริง ดิฉันจะพูดอะไรไปก็จะเป็นการโอ้อวดเกินไป ขอให้ท่านปฏิบัติตามหลวงพ่อเถิดค่ะ ใครๆ ว่าบุญ บาป สวรรค์ นรก นิพพานไม่มี แต่ดิฉันเป็นคนโง่ ได้เห็นและไปเที่ยวสนุกๆ มาก แปลกๆ มาก

ลงท้ายด้วยการกราบขอขมาหลวงพ่อด้วย และอย่าเป็นการอวดดีอะไรเลย ดิฉันได้เล่าไปตามความเป็นจริง และยังมีอีกมากทีเดียวที่ดิฉันยังไม่ได้เล่าเป็นอันมาก เพราะดิฉันปฏิบัติมาหลายปี ดิฉันจะขอรักษาไว้ที่ดิฉัน ได้เรียนรู้มาเปรียบเสมือนได้ดวงแก้วอันล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้ จะขอยกมาประดับไว้ในดวงจิต จะขอยกมาทูนไว้อยู่ ณ ที่สูง อันไม่รู้จะไว้อย่างไร

จึงสมความรักในลูกแก้วอันล้ำค่านั้นด้วยประการทั้งหมดทั้งสิ้น จึงจะสมกับความรักในพระพุทธองค์ซึ่งท่านสอนไว้ดีแล้ว
หนังสือใบนี้สำหรับอธิษฐานจิต เมื่อเวลาจะทำการนี้ให้จุดธูป ๙ ดอก แล้วออกไปกลางแจ้ง คุกเข่าลงไป และยกธูปที่จุดแล้วนั้น ให้ว่า สาธุ สาธุ สาธุ

ข้าพเจ้าได้นำธูป ๙ ดอก ขออธิษฐานจิต เพื่อจะขอพระบารมีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดาเทพพรหม และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และครูบาอาจารย์ เมื่อข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้งไป ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี หรือได้ล่วงเกินตั้งแต่อดีตชาติและปัจจุบันชาติก็ดี

เมื่อข้าพเจ้าได้ทำผิดไป ข้าพเจ้าจึงได้นำเอาธูป ๙ ดอก มากราบขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวร หรือเทวดาพรหม หรือครูบาอาจารย์ก็ดี ข้าพเจ้ารับผิดแล้วนี้ ขอให้ท่านจงอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด อโหสิกรรมแล้วก็ให้ผู้ที่ประสบกับความเป็น คือป่วยหรือได้รับทุกขเวทนาในร่างกายทุกส่วน เช่น ได้การเจ็บป่วย หรือมีอาการงงซึม หรือสติไม่ได้ หรือมีอาการนอนไม่หลับ หรือกินไม่ได้ก็ดี ขอให้ท่านจงอโหสิกรรมให้ด้วยเถิด

เมื่ออาการทุกอย่างของข้าพเจ้าดีทุกส่วนแล้ว ข้าพเจ้าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับท่าน เช่น (อันนี้ขอให้ท่านจงอธิษฐานด้วยจิตของท่านเอง คือจะทำบุญอะไร ก็ให้ท่านอธิษฐานออกจากจิตของท่านเอง) เช่น
๑. บวชพระ ๑ – ๓ องค์
๒. ถวายสังฆทาน ๑ กอง
๓. สร้างพระองค์ใหญ่หรือเล็ก ก็แล้วแต่จิตของท่าน
๔. บวชพราหมณ์ เป็นต้น บวชพราหมณ์ก็บอกด้วยว่า ๑๐ – ๑๕ วัน

แต่ต้องหายเสียก่อน คือ มีอาการต่างๆ ที่ตัวท่านเป็นอยู่ ต้องทำกันจริงๆ คือเราให้สัจจะไว้แล้ว และผู้อธิษฐานจิตนั้นต้องมีศีลสะอาด จิตสงบ จะเห็นผลได้ง่าย และดีมากๆ เลย
ดิฉันขอแนะนำให้ท่านจงทำแต่ความดีนั้นเถิด อันบาปนั้น บุญนั้น และสวรรค์นรกนั้นมีจริง และทุกคนจะต้องรู้กฎแห่งกรรมด้วย เรานั้นก็เกิดมาก็ไม่รู้มีกี่ชาติ บางคนก็เป็นพันชาติ แสนชาติ และเคยทำกรรมอะไรเอาไว้ เช่น เคยทุบตี และฆ่าเขาตาย และเอาเงินทองข้าวของๆ เขามา และได้พรากลูกนกลูกกา และฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

กรรมอันนั้นก็เมื่อเรามาเกิดอีกชาติหนึ่ง กรรมนั้นก็ตามมา เช่น จะรู้ได้ในการดำรงชีวิต ทุกวันและเวลา จงสังเกตดูแล้วกัน มีทุกลมหายใจรู้เข้าออก ร่างกายและในครอบครัวทั้งเมียและลูกหลานและคนอื่น ก็แล้วแต่ มันจะดลบันดาลมาให้เราได้ประจักษ์ทุกขเวทนานั้น จงโปรดมีจิตรู้ก็แล้วกัน

ท่านจะรู้ดีก็ให้ทำบุญไหว้พระ สวดมนต์ ทำสมาธิ และมีศีลสะอาด มีจิตสงบ และกำหนดจิตอยู่เสมอ ตั้งแต่ลมหายใจจนไปถึงทุกระดับ จงกำหนดรู้ไว้เถิด เมื่อมีสมาธิจิตสงบแล้วจะรู้ทุกอย่างได้ ถ้าท่านไม่ปฏิบัติด้วยตนเอง แล้วจะรู้ได้อย่างไร

แล้วถ้าไม่รู้ก็จะไปคิดในสิ่งที่ไม่ดีเข้าก็จะเป็นบาปเป็นกรรม เมื่อมีคนมาเล่าให้ฟังก็จะไม่เชื่อเท่ากับตัวเราปฏิบัติด้วยตัวเราเอง ผู้ใดได้ปฏิบัติแล้วรู้แล้ว ขอให้ท่านจงประสบกับความสำเร็จ ให้การปฏิบัตินั้นจงรู้ได้เห็นได้ และอธิษฐานจิตไปในทางที่ดี จงสำเร็จด้วยดีทุกประการเถิด

สาธุ สาธุ สาธุ


◄ll กลับสู่สารบัญ


26

หลวงพ่อ...พระผู้เมตตาเปี่ยมล้น...จวบจนนิรันดร์


เสาวนีย์ กีรติพิชญ์ – ตรีกุลรัตน์


...เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว คุณแม่ผู้เป็นสุดที่รักและสุดบูชาของลูกๆ ได้จากไป...ความว้าเหว่ วิเวกวังเวงจับหัวใจตลอดมา และแล้วกาลเวลา ก็ช่วยทำให้พวกเราดีขึ้นตามลำดับ แต่เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๓๔ ก็ถึงวาระที่พวกเราได้รับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ...คือคุณพ่อของพวกเราก็ได้จากไปอีกท่านหนึ่ง ...สูญสิ้นแล้วร่มโพธิ์แก้ว...ของพวกลูกๆ ...กำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตอ่อนล้าลง

...ท่ามกลางงานบุญงานกุศลที่ จ.ระยอง ซึ่งลูกๆ ต่างบำเพ็ญอุทิศให้คุณพ่อ... ข้าพเจ้าผู้มีจิตจดจ่ออยู่กับหลวงพ่อตลอดเวลา ได้รีบจดหมายมากราบเรียนหลวงพ่อถึงวัตถุประสงค์ในการส่งเงินมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อที่ จ.อุทัยธานี และแล้วโดยมิได้นึกฝัน ข้าพเจ้าได้รับจดหมายด่วนที่สุด จากวัดท่าซุง “ใบอนุโมทนาบัตรจากหลวงพ่อ”

...หลวงพ่อได้เมตตาต่อลูกอีกแล้ว ...หลวงพ่อได้จัดการให้ตามวัตถุประสงค์โดยมิได้รอช้าแม้แต่น้อย แล้วหลวงพ่อยังได้ประทานลายเซ็นให้กับลูกอีกด้วย ...ความอบอุ่นวิ่งเข้าจับหัวใจแล้วเกิดพลังขึ้นมาอย่างประหลาด ...รู้ได้ในทันทีนั้นว่า...แม้จะสิ้นคุณพ่อแล้ว แต่ลูกก็ยังมีหลวงพ่ออยู่

...แม้ยามลูกทุกข์หลวงพ่อก็จะปลอบประโลม หลวงพ่อจะเป็นขวัญและกำลังใจให้ในการดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมั่นใจและมีความสุข ...นี่เป็นความเมตตาของหลวงพ่อโดยแท้...
แต่แล้ว...หลวงพ่อพระผู้ดุจดวงประทีปแก้ว...ผู้ซึ่งเป็นขวัญและกำลังใจ และเป็นเสมือนพ่อของลูก ...และของพวกเราก็ได้ละสังขาร ณ วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕! ...นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แห่งชีวิตและแห่งชาติ!

แต่ด้วยความที่เป็นพระผู้มีเมตตาต่อลูกๆ เสมอมา... หลวงพ่อก็ได้ประทานคำพูดที่มีค่ายิ่งที่จะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจของลูกๆ ให้ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างดีที่สุดก็คือ

“ธรรมใดที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ ...พ่อได้ถ่ายทอดให้กับลูก ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ ขอทุกคนจงทรงธรรมนั้นไว้ จนกว่าจะเข้านิพพานในชาตินี้ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจและไม่เกินวิสัยของลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ จงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ขึ้นชื่อว่าพ่อไปด้วยช่วยลูกทุกประการ”


...โอ้...หลวงพ่อ...พระผู้เมตตาเปี่ยมล้น...จวบจนนิรันดร์

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/3/11 at 15:38 [ QUOTE ]


27

หลวงพ่อพาท่องไตรภูมิ


ชาติชาย ชินวร


......กระผมเป็นเจ้าของบริษัททวีการเดินรถจำกัด อยู่ที่จังหวัดนนทบุรี ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ หลังจากที่ได้รับสัมปทานการเดินรถยนต์โดยสารประจำทางแล้วไม่เคยมีความสุขเลย พี่น้องที่กระผมเคยให้ความช่วยเหลือก็คิดแต่จะโกงเอาไปดำเนินกิจการเดินรถคนเดียว มีเหตุถึงกับจะเอาตัวของกระผมไปฆ่าทิ้ง

...และก็มีข้าราชการกังฉินกลั่นแกล้งต่างๆ นานา เพราะเขาเหล่านั้นอยากจะได้เงินไปบำเรอความสุขให้กับครอบครัวของเขา โดยไม่มีจิตเมตตาสงสารต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ทำบาปขึ้นเสียด้วย โดยจะนำเรื่องไม่จริงไปกล่าวให้บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ฟัง เพื่อจะได้เกลียดชังในตัวกระผม เพราะเขาทราบว่ากระผมได้ทำหนังสือร้องเรียน และแล้วเธอเหล่านั้นก็ต้องย้ายตัวเองออกจากพื้นที่ไป

แล้วก็มีคนใหม่เข้ามารับตำแหน่งแทนคนเก่า ทำการกลั่นแกล้งต่อจากคนเก่าที่ถูกย้ายไป เป็นทำนองลูกโซ่ ซึ่งคนทั้งสองเก่งมากในการสร้างเวรสร้างกรรมให้กับคนทั่วไป ที่ใดไปสัมผัสกับคนทั้งสองที่ถูกย้ายออกจากนนทบุรีทั้งคู่ กระผมเองยอมรับนับถือที่เขาทั้งสองสามารถหลอกผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาให้หูหนวกตาบอด

ทั้งๆ ที่เขาได้สร้างแต่ความเลวร้าย แต่ก็ได้ดีพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่ (ปัจจุบันนี้ บริษัทฯ รถเมล์ของกระผมก็ถูกญาติของกระผมคดโกงไปหมดสิ้น เพราะพวกญาติหน้าเนื้อใจเสือ ซึ่งไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษว่า ตัวบาปตัวบุญเป็นอย่างไร)
นี่คือประวัติย่อของกระผมเอง ก่อนที่กระผมจะได้รับการสงเคราะห์จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ (วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี)

เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๑ ตรงกับวันอังคารขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๐.๐๐ น. โดยประมาณ รู้สึกตัวอีกทีเป็นเวลา ๑๔.๐๐ น. ถึง ๑๕.๐๐ น. เห็นจะได้ (ได้เดินทางไปเที่ยวสวรรค์ ได้นมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ท่องแดนนรกกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ)

ตอนเช้าของวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๑ กระผมได้ไปที่บริษัทฯ รถเมล์ เพื่อทำการตรวจเช็คบัญชีเงินรายรับรายจ่ายของบริษัทฯ แต่ปรากฏว่าภายหลังจากที่ทำการเช็คบัญชีแล้ว มีแต่ตัวเลขไม่มีตัวเงินเหลืออยู่เลย จึงได้เรียกเด็กเสมียนพนักงานของบริษัทฯ มาสอบถามว่า ผู้ใดมาเอาเงินรายได้ของบริษัทฯ ไปใช้จ่ายในสิ่งใดหมด

แต่ภรรยากระผมไม่ตอบ (ด้วยความโมโหจึงเอาบัญชีตบหน้าไป ๑ ครั้ง) และได้ขับรถยนต์ส่วนตัวออกจากบริษัทฯ เพื่อไปหาสุราดื่มให้หายกลุ้มที่ตัวของกระผมได้ภรรยาเป็นคนไม่ดี (เป็นคนไม่รู้จักคำว่าพอเป็นอย่างไร) แทนที่กระผมจะได้ดื่มสุราตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ทีแรก (กลับขับรถเข้ามาจอดที่บ้านมากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ)

นี่คือเวรกรรมอย่างไรที่กระผมได้สร้างมาตั้งแต่เมื่อใด เพราะตั้งแต่จำความได้ กระผมจะทำแต่ความดี เพราะว่าคุณยายที่ได้เลี้ยงดูกระผมมา พร่ำสั่งสอนอยู่ตลอดเวลาว่า บาปบุญคุณโทษมีจริง (กระผมได้พูดบ่นอยู่คนเดียวต่อหน้าพระพุทธรูป) และกระผมก็ก้มลงกราบ ๓ ครั้ง และได้เริ่มทดลองนั่งวิปัสสนาดูบ้าง เพราะเห็นคนอื่นๆ เขาทำ (พอกระผมนั่งสมาธิได้สักประมาณ ๕ นาที มีความรู้สึกตัวเริ่มชาที่หูและเริ่มอื้อ ช่วงที่นั่งสมาธิเป็นเวลาระหว่าง ๐๙.๐๐ – ๑๐.๐๐ น.)

แต่ตอนที่หูอื้อตัวชา กระผมได้ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ – สัมมาอะระหัง – และนะมะพะธะ สลับกันไป ช่วงที่กระผมจะได้ไปเที่ยวในเมืองสวรรค์นั้น จิตของกระผมเองก็ได้หยุดอยู่ที่ (คำว่า พุทโธ) ได้เห็นรูปภาพที่ติดบูชาไว้ที่บริษัทฯ ลอยมาติดกับจิตของกระผม (หรือที่หน้าของกระผม จิตของกระผมช่วงนี้วูบและมีความสบายอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน)

กระผมได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งก้มลงกราบ ๓ ครั้ง และกระผมได้หันหน้ามาด้านข้าง ก็แลเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อ กระผมก็เข้าไปหาเพื่อที่จะถือย่ามให้ แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่าไม่ต้อง ในช่วงนี้เองที่กระผมและพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เดินตามเสด็จฯ

ก่อนอื่นกระผมขอบอกก่อนว่า การเสด็จขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จโดยการลอยองค์อยู่บนอากาศ มีความสูงประมาณหน้าอก พระเดชพระคุณหลวงพ่อและตัวของกระผมได้เดินตามเสด็จห่างจากพระพุทธเจ้าเพียง ๑ วา ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จลอยเข้าไปภายในกุฏิไม้แบบโบราณ โดยกระผมเดินตามเข้าไปด้วย

ปรากฏว่าภายในกุฏิมีไอเหมือนหมอกสูงประมาณ ๑ ศอก (แต่ช่วงที่กระผมเดินตามเสด็จ พระเดชพระคุณหลวงพ่อรออยู่ภายนอกกุฏิ) และพอองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหยุด กระผมก็ได้ก้มกราบขอพร ๓ ครั้งพร้อมกับเงยหน้า มองเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกพระหัตถ์ประทานพรให้กระผมเป็นละอองเหมือนละอองฝน พอพระพุทธเจ้าทรงให้พรกระผมเสร็จ พระพุทธเจ้าก็ได้เสด็จออกจากุฏิ ลอยนำหน้าไป

โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อและกระผมเดินตามห่างกันเพียงวาเดียว (ช่วงที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จนำไปข้างหน้า กระผมจะแลเห็นเพียงแต่ด้านหลังองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านมีสีขาวคล้ายกับแสงนีออนที่เปิดเอาไว้ สะอาดสวยงามมาก ) พระพุทธเจ้าได้เสด็จนำหน้าไปเรื่อยๆ โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อและกระผมเดินตามไปพักหนึ่ง ก็มีเชิงบันไดประมาณ ๕ ขั้น

พอขึ้นไปสุดบันได ก็ปรากฏเป็นทางเหมือนคอนกรีตบ้านเรา มีมณฑปทั้งซ้ายและขวาสองข้าง ตรงกลางเป็นทางเดินถนนคอนกรีต พอถึงมณฑปห้องแรก กระผมมองเห็นพระองค์หนึ่ง กระผมจำได้และได้ยกมือขึ้นไหว้นมัสการพร้อมทั้งคิดไปว่า ทำไมพระองค์ที่กระผมกล่าวนี้ถึงได้มีโอกาสมาเสวยความสุขอยู่บนสวรรค์ (พระองค์นั้นคือหลวงปู่แหวน สุจิณโณ) นั่งห้อยเท้าอยู่ที่หน้ามณฑป (หลวงปู่แหวน ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ กระผมเองไม่ใคร่จะนับถือ เพราะคิดว่าท่านเป็นพระประเภทนำพระมาเร่ขาย)

หลังจากที่ได้พบแล้ว กระผมก็ได้นำรูปหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่ได้เช่าไว้นานมาแล้ว นำมาบูชา ตอนนี้กระผมกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็เดินตามเสด็จไปจนสุดมณฑป (มองเห็นพระ – ชี เหลืองขาวเต็มไปหมด) ที่มาคอยรับโอวาทจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะหยุด กระผมได้มองเห็นคุณแม่ของกระผมเองท่านอยู่บนสวรรค์ด้วย

กระผมก็ก้มลงกราบ โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อยืนอยู่ข้างหลัง
หลวงพ่อถามกระผมว่า ใคร
กระผมก็ได้บอกกับหลวงพ่อว่า เป็นบุพการีสมัยที่อยู่เมืองมนุษย์
หลวงพ่อยิ้มแล้วบอกกระผมว่า เร็วนะ

กระผมได้ถามคุณแม่ว่าสบายดีหรือ คำตอบคือการพยักหน้า แล้วกระผมได้เดินเข้าไปอยู่ข้างหลวงพ่อ (เป็นความประหลาดใจที่แปลกคือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีฐานะเท่ากับ ท.ส. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) พอสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้โอวาทเสร็จเสียงดังอึงๆ บอกไม่ถูก เพราะไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้ากล่าวให้โอวาทอะไรบ้าง

ช่วงที่พระพุทธเจ้าให้โอวาท กระผมมองเห็นนางฟ้า – เทวดา พระ ชี เต็มไปหมด แต่กระผมขอเรียนว่า พระ – ชี, เทพ, พรหม คนที่อยู่ในเมืองสวรรค์มีระเบียบเหมือนกับเป็นผู้ดีเก่าที่เรียบร้อย และองค์สมเด็จก็ได้เสด็จกลับโดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเดินตามไปพร้อมกับกระผม การเสด็จกลับพระพุทธเจ้าได้กลับตามทางเดิม แต่ในระหว่างเสด็จกลับ มณฑปทั้งสองข้างปิดหมด (หลวงปู่แหวนฯ ก็ไม่พบ นี่คือการเดินตามเสด็จอยู่บนสวรรค์)

พอมาถึงตรงบันได พระพุทธเจ้าก็ได้เสด็จลอยนำหน้าเหมือนเดิม แต่ช่วงที่เสด็จลงมา องค์สมเด็จฯ ไม่ได้เลี้ยวขวา เสด็จตรงมาเลย กระผมนึกแปลกใจในช่วงนี้มาก คือ เป็นทางเดินเล็กๆ เหมือนทางเดินในวัดบ้านนอก ท้องฟ้าครึ้มฟ้าครึ้มฝน มีต้นไม้ใหญ่สองข้างทางคือ ต้นยาง หรือต้นตะเคียน (เรื่องชื่อต้นไม้ใหญ่ไม่แน่ใจว่าจะพูดถูกหรือไม่ เพราะไม่ใคร่จะทราบเรื่องต้นไม้)

พอเดินตามเสด็จมาอีกประมาณ ๑๐๐ เมตร กระผมก็ได้ยินเสียงดังออกมาว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาแล้ว ก็ปรากฏว่ามีที่พักเหมือนกับโรงทาน หรือโรงปั่นไฟฟ้าของหลวงพ่อ โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จลอยเข้าไปข้างใน และก็ได้เสด็จหายเข้าไปไม่ออกมาอีก จึงคงเหลือพระ ผม และพระเดชพระคุณหลวงพ่อเท่านั้น

พอกระผมเดินตามหลวงพ่อเข้าไปสักประมาณ ๑๐ ก้าว ก็มองเห็นคนที่โดนทรมานมัดไว้กับเสาล่ามด้วยโซ่เส้นโตเท่ากับข้อมือเด็ก น่าสงสารมาก พอกระผมเดินตามหลวงพ่อเข้าไปอีก ก็พบกับผู้หญิงหน้าตาดี กำลังโดนนายนิรยบาลจับแขนจุ่มลงไปในกระทะ จุ่มลงไปแค่ไหนก็เป็นกระดูกแค่นั้น ช่วงที่ถูกจับมือจุ่มลงไป ผู้หญิงคนนั้นก็พยายามขัดขืน แต่สู้แรงของนายนิรยบาลไม่ได้ เวลาโดนจุ่มจะร้องโหยหวนมาก นายนิรบาลจะทำอย่างนี้ตลอดเวลา

กระผมเองก็ไม่ทราบว่า เขาไปทำบาปกรรมอย่างไร ถึงได้รับการทรมานอย่างที่เห็นมา ช่วงที่มองดูการถูกทรมานจากนายนิรยบาลอยู่นั้น ก็ได้มีคนเต็มไปหมดมาล้อมรอบที่ตัวของกระผม กระผมเองไม่รู้จะทำอย่างไร และพอมาล้อมมากเข้าๆ ทุกที ก็ได้สวดมนต์แบบกรวดน้ำว่า อิทัง เมญาตีนังโหนตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย เท่านั้น กระผมได้บอกว่า ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้ ก็ขอยกให้ทั้งหมดสิ้น

พอกระผมกล่าวเสร็จ พวกที่มารุมล้อมรอบทั้งหมดได้ก้มลงกราบและถอยห่างออกไปกันหมด กระผมเองก็ได้เดินตามหลวงพ่อเข้าไปอีก ก็มีท่านยมทูตแต่งชุดถกเขมรไม่ใส่เสื้อ แต่มีเอี๊ยมรัดดึงไว้เหมือนสายสะพายแล่งสีแสดอมเหลือง ถือไม้กระบองท่านละ ๑ อัน ซึ่งพอกระผมเดินตามหลวงพ่อเข้าไปสุดห้องก็มองเห็นโต๊ะทำงานของท่านยมบาลใหญ่ยาวร่วม ๒ วา ช่วงที่เขาเข้าไปตามท่านยมบาล

กระผมได้ถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า จะให้กระผมเรียกท่านว่าอย่างไร (หลวงพ่อให้กระผมเรียกว่าลุง)
พอท่านลุงยมบาลมาถึงก็ไม่ได้คุยกับท่าน เพราะว่ามองไม่ใคร่เห็นหน้า เพราะตัวของท่านดำ และใส่ชุดเขียวอีก เลยมองไม่เห็น กระผมไม่ได้ยินหลวงพ่อกับท่านลุงยมบาลคุยอะไรกัน

พอได้สักพักหนึ่งหลวงพ่อก็ถามกระผมว่า จะไปไหนอีก
กระผมตอบว่า ไม่ทราบ
หลวงพ่อจึงพากระผมกลับมาตามทางเดิม ส่วนตอนขากลับผิดกับตอนขามาคือ ช่วงแรกได้พบกับผู้หญิงชรากับผู้ชายชรา เหมือนกับไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่มทั้งสองคน

พอกระผมมองไปก็โดนหลวงพ่อดุว่า อย่าไปมองเขาเสียมารยาท ก็เลยไม่ได้มอง กระผมได้แต่แปลกใจว่า เขาไปทำกรรมอะไรมาถึงไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ และมีรูปร่างหนังหุ้มกระดูกน่าเวทนามาก
กระผมได้เดินตามหลวงพ่อไปอีกก็ได้พบเปรตมีร่างกายสูงเท่าต้นมะพร้าวหรือต้นตาล กระผมจำไม่ถนัด เปรตผู้หญิงสวมใส่โจงกระเบนสีเหลืองอมดำ ส่วนเปรตผู้ชายสวมใส่โจงกระเบนเหมือนกันแต่สีไม่เหมือนกัน คือสีเขียวแบบใบตอง

ดูท่าทางได้รับความทุกข์ทรมานมาก และก็ถูกหลวงพ่อดุอีกว่าอย่าไปมองเขา ตอนท่านบอกกระผมก็เชื่อตามหลวงพ่อบอก แต่พอเดินต่อมาอีกก็พบว่าด้านล่างไม่ทราบว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถูกมัดด้วยโซ่เส้นใหญ่กว่านักโทษในเมืองมนุษย์ ๑ ถึง ๒ เท่าตัว และพอมองข้างบนต้นไม้ใหญ่ขนาด ๓ คนโอบไม่รอบนั้น ตามกิ่งก้านของต้นไม้ มีผู้หญิงนั่งคร่อมอยู่และร้องขอความช่วยเหลือแบบโหยหวน ชวนให้น่าสังเวชใจ (ไม่ทราบว่าเขาไปสร้างกรรมอะไรไว้ ถึงได้นั่งทรมานอยู่บนกิ่งไม้สูงประมาณ ๓๐ เมตร เพราะต้นไม้ที่กระผมว่านี้สูงมาก)

การนำข้อความตามที่เขียนมานี้ กระผมได้ไปขออนุญาตจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เพื่อนำมาเผยแพร่ให้ทราบทั่วกัน ทุกท่านที่ทำความเดือดร้อนแก่มนุษย์สัตว์ย่อมได้รับกรรมนั้น ส่วนท่านที่ได้กระทำแต่ความดีอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าสิ่งที่ท่านได้กระทำแล้วจะสูญ กระผมผู้เขียนมิได้แต่เติมข้อความใด ที่ได้พบเห็นให้เกินเลยไปกว่าที่ได้ไปพบเห็นมา

หลวงพ่อได้พากระผมไปส่งที่บ้านพร้อมทั้งบอกกระผมว่า เชื่อหรือยังถึง ๓ ครั้ง กระผมบอกว่าเชื่อและก้มลงกราบ พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็เริ่มเปลี่ยนจากร่างที่ห่มจีวรสีเหลืองเป็นสีขาวเหมือนแก้ว เริ่มตั้งแต่หน้าจนถึงเท้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นแก้วใสทั้งองค์

กระผมเริ่มรู้สึกตัวว่ามันเป็นไปได้อย่างไรทั้งๆ ที่เราเองเพิ่งจะเริ่มหัดนั่งวิปัสสนาได้ไม่เกิน ๑๐ ครั้ง ซึ่งเราสามารถถอดจิตได้ เพราะบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อแท้ๆ มองดูนาฬิกาปรากฏว่าได้ท่องเที่ยวเมืองสวรรค์และแดนนรกกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๔ ชั่วโมงกว่าๆ (เหตุที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามว่าเชื่อหรือยังถึง ๓ ครั้ง ก็เพราะกระผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้ มีแต่ความเคารพนับถือพระพุทธรูปเท่านั้น)


และหลังจากที่กระผมได้นั่งเห็นแล้ว กิจการต่างๆ ที่มีอยู่ เช่น บริษัทรถเมล์ ได้ถูกทางญาติโกงไปทั้งหมด แต่ที่กระผมไม่เป็นบ้าจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกกับกระผมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นมันเป็นของเล่น หรือภาพลวงตาเท่านั้น ปัจจุบันนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สงเคราะห์ให้อาชีพใหม่กับตัวกระผมแล้วคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัดกนกอรการช่าง ซ่อมติดตั้งเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น ปัจจุบันเริ่มฟื้นตัวตามที่หลวงพ่อบอกว่าดี

◄ll กลับสู่สารบัญ


28

บัวใต้น้ำ


จารุพรรณ จันทรพิทักษ์ (ประไพ สืบสงวน)


........ก่อนอื่น ลูกขอกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของลูก ที่ท่านได้ช่วยชี้แนะแนวทางเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง นั่นคือ “ทางสายเข้าสู่พระนิพพาน”

...ซึ่งความรู้ความคิดความเข้าใจดั้งเดิม เคยมีความเข้าใจว่า พระนิพพานนั้นเป็นสิ่งสูงสุดเอื้อม สำหรับคนธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ไม่สมควรแม้เพียงคิดถึง หรือแตะต้อง

...หลวงพ่อท่านได้เป็นผู้เปิดทางสว่างไสวคือพระนิพพาน ให้แก่บรรดาลูกหลานทุกคนสามารถแตะต้องได้ สัมผัสได้ สุดแต่ใคร จะก้าวเดินไปตามทางนั้นด้วยพระเมตตาคุณอันสูงสุด

ดิฉันเป็นคนจังหวัดนครราชสีมา (โคราช) โดยกำเนิด แต่คุณพ่อเป็นชาวชลบุรี การที่ดิฉันได้เข้ามากราบหลวงพ่อครั้งแรกนั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อ่านพบในหนังสือลูกศิษย์บันทึก

แต่ก็พอจะอนุโลมเข้าในศิษย์ประเภทที่ ๑ ซึ่งท่าน ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้เขียนไว้ในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๒ หนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ให้ประโยชน์มาก ทำให้ลูกศิษย์ทราบข่าวคราวเรื่องราวที่น่าสนใจซึ่งกันและกัน

ข้อเขียนของแต่ละท่านล้วนมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่ได้อ่าน มีการไปมาหาสู่กัน ช่วยกันสร้างกุศลสาธารณประโยชน์เผยแพร่เกียรติคุณของหลวงพ่อให้ไพศาลยิ่งขึ้น ทวีความสามัคคีกลมเกลียวกัน

อย่างเช่นเมื่อดิฉันได้ไปทำบุญสร้างมหาวิหาร ที่สำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ข้างวัดใหม่คลองยาง ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ของคุณแม่ชีประทุม โชติอนันต์ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวัดหลวงพ่อของเรา ก็ได้พบกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อมากมายหลายคนที่นั่น ซักถามกันแล้วได้ความว่า มาตามหนังสือลูกศิษย์บันทึกทั้งนั้น

และยังมีอีกข้อความหนึ่งที่ท่าน ดร.ปริญญา ได้เขียนไว้ว่า “ลูกศิษย์ของหลวงพ่อทุกคน เมื่อได้ฟังเทศน์จากท่านแล้ว จะไม่ชอบฟังเทศน์จากพระองค์อื่นอีก” อันนี้เป็นความจริง เพราะกระทบใจอย่างจังเลย (รวมทั้งหนังสือของท่านด้วย) ครั้งแรกคิดว่ารู้สึกอยู่คนเดียวนะนี่

สาเหตุที่ดิฉันได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อก็เนื่องมาจากพี่สาว ชื่อคุณอัมพร พรหมโยธิน ได้นำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคจากบ้านท่านชำนาญ ยุวบูรณ์ มาถวายหลวงพ่อ เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่ทหาร ตำรวจ และประชาชนตามชายแดน ได้มาเห็นหลวงพ่อเลี้ยงสุนัขไว้มากมาย และมีเมตตาต่อสุนัขเหล่านั้นอย่างเหลือล้น

พี่สาวเขานึกถึงดิฉันทันที เพราะดิฉันเป็นคนที่รักและเมตตาต่อสัตว์ โดยเฉพาะสุนัขมาก พอพี่สาวกลับจากวัดท่าซุงก็มาเล่าให้ฟัง และชักชวนให้มากราบหลวงพ่อ จึงได้ตกลงนัดหมายกันเมื่อประมาณปี ๒๕๑๗ เมื่อมาพบหลวงพ่อแล้ว ยังโชคดีได้พบญาติ คือพี่หมอสมศักดิ์ สืบสงวน ซึ่งเป็นลูกของคุณลุงอีกด้วย ทำให้เกิดความดีใจและมั่นใจว่าได้มาถูกทางแล้ว

ซึ่งต่อมาภายหลังก็ได้รับความเมตตาจากพี่หมอ คอยช่วยแนะนำชักจูงให้เดินถูกต้องตรงทาง แม้ในด้านปัจจัยก็ได้ช่วยเหลือตลอดมา ซึ่งนับว่าเป็นพระคุณอย่างยิ่ง และเมื่อดิฉันไปศรีราชา ก็ได้รับหนังสือประวัติของหลวงพ่อปาน จากคุณหมอจรูญ และคุณประสม กุลสุวรรณ ซึ่งเป็นน้องเขยและน้องสาวของพี่หมอสมศักดิ์ มาอีก ๑ เล่ม

เมื่ออ่านแล้วก็ติดใจมาก ได้ให้เพื่อนครูที่โรงเรียนวัดสระแก้วอ่านต่อ ก็เลยได้ติดตามกันมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออีกหลายคน
เรื่องของคนโง่ไม่เสร็จ หรือบัวใต้น้ำมีดังนี้ เมื่อแรกๆ ที่ดิฉันมาวัดท่าซุง (ปี ๒๕๑๗) ตอนนั้นคนมาวัดยังไม่มาก จึงมีโอกาสได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อเสมอๆ แม้ในการฝึกมโนมยิทธิหลวงพ่อก็ฝึกให้เอง

แต่ด้วยความโง่ ขณะที่ทำการฝึกอยู่รู้สึกว่าได้เห็นหลวงพ่อนั่งอยู่บนแท่น ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่เข้าใจ บางครั้งฝันเห็นหลวงพ่อแต่งกายเป็นพระฤาษี ทำพิธีครอบให้พร้อมกับพี่สาว ก็ยังไม่เข้าใจในความเมตตา บางทีฝันเห็นหลวงพ่อนั่งรถบัสผ่านไป ท่านเรียกให้ขึ้นรถจะพาไปนิพพาน หนอยแน่เล่นตัวไม่ยอมขึ้น อ้างว่ารถท่านเก่า เดินไปดีกว่า หลวงพ่อท่านทนความดื้อด้านไม่ไหว จึงลงจากรถมาเดินด้วยจึงยอมขึ้นรถไปกับท่าน

นี่ก็ยังไม่เข้าใจอีก มีครั้งหนึ่งที่ศาลานวราช หลวงพ่อท่านเอ่ยปากชวนพวกเราให้เข้าไปที่กุฏิริมน้ำของท่าน (ปกติไม่กล้าเข้าไปเลย) ก็พากันตามเข้าไป หลวงพ่อก็ให้คุณรัชนี เจนรถา ช่วยดูให้ว่าใครเคยเป็นลูกหลานของท่านอย่างไรบ้าง คุณรัชนี ก็ช่วยดูให้ว่าคนนั้นเป็นลูกแม่ชื่อนั้น คนนี้แม่ชื่อนี้

พอมาถึงดิฉันหลวงพ่อบอกคุณรัชนีว่า เอ้า ช่วยดูให้ไอ้คนนี้มันหน่อยซิ มันจะได้อะไรกับเขาบ้างไหม
แล้วหลวงพ่อก็หันมาสั่งว่ากราบลง นี่พระพุทธองค์ทรงมาพยากรณ์ให้นะ ท่านพยากรณ์ให้ว่า จะได้ธรรมะระดับนั้น... ภายในปีนั้น...

หลวงพ่อท่านซักถามให้ว่า มันยังติดขัดอะไรอยู่ ใจเราก็นึกว่าคงเป็นศีล หลวงพ่อท่านถามให้เลยว่า ศีลใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ กลายเป็นอิทธิบาท ๔ ก็ยังโง่ไม่เสร็จอีกตามเคย เพราะขณะนั้นใจมุ่งไปอยู่ที่ว่าตัวเองเป็นลูกหลานของท่านหรือไม่เท่านั้น เมื่อไม่ได้รับการพยากรณ์ในเรื่องนี้ จึงรู้สึกเสียอกเสียใจอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งต่อมาหลวงพ่อท่านเขียนในใบโมทนาบัตรไปให้ ความว่า

- ลูกจารุพรรณ จันทรพิทักษ์ ถวายค่าอาหารและวิหารทาน ขอให้ลูกจงมีความสมหวังตามที่ตั้งใจนะจ๊ะ และ
- ปีเก่าผ่านไปปีใหม่เข้ามาถึง ขอลูกรักจงหมดทุกข์ มีความสุขและปลอดภัยจากอันตรายทั้งมวล มีความอุดมในทรัพย์สินด้วยประการทั้งปวงเถิด
ฯลฯ

สาธุ สาธุ สาธุ ชื่นใจจริงๆ ทีนี้ค่อยหายโง่และบ้าลงหน่อยนึง

ความเมตตาของหลวงพ่อมีมากมายไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ได้ซื้อเต่ามา ๑ ถัง เพื่อจะปล่อย วางไว้บนศาลานวราช แล้วเข้าไปกราบหลวงพ่อขอความเมตตาให้ท่านช่วยทำพิธีปล่อยให้ หันกลับมาดูอีกที ปรากฏว่าเต่าคลานยั้วเยี้ยเต็มศาลาเลย ต้องวิ่งจับกันจ้าละหวั่น

หลวงพ่อท่านบ่นว่า ไอ้พวกนี้ปล่อยอะไรก็ไม่ปล่อยๆ เต่า ได้เรียนท่านว่า เต่าก็เต่าอัจฉริยะนะคะ หลวงพ่อท่านว่า เออจริง แล้วท่านก็เมตตาเล่าเรื่องเต่าอัจฉริยะให้ฟังกันเป็นที่สนุกสนาน
วันหนึ่งได้นัดหมายกับพรรคพวกที่โคราช ว่าจะนำสิ่งของมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ดิฉันมีพระ ภ.ป.ร. อยู่ ๒ องค์ อยากถวายหลวงพ่อท่าน ๑ องค์

ถึงวันนัดหายตัวกันหมด ต้องหอบหิ้วของทุลักทุเลมากับหลานชายชื่อ กิตติพล สืบสงวน กว่าจะถึงวัดแทบแย่ สมัยก่อนไม่สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้หลวงพ่อท่านเมตตาสงเคราะห์อนุเคราะห์ลูกหลานให้ได้รับความสะดวกสบายในการทำบุญกุศล ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยหงุดหงิดบุญจึงเต็มเปี่ยม

วันนั้นพอมาถึงวัดก็ขึ้นไปบนศาลานวราช ไม่มีคนอื่นเลย มีแต่เราสองคนป้าหลาน เข้าไปกราบแจ้งความประสงค์กับท่าน หลวงพ่อท่านสั่งให้จุดธูปทำพิธีถวายเลย นึกสงสัยว่า เอ๊ะ ไม่รอให้มีผู้อื่นมาร่วมถวายด้วยหรืออย่างไร แต่ก็ทำตามที่ท่านสั่ง

พอถวายเสร็จหลวงพ่อท่านบอกว่า นี่เพิ่งกลับมาจากแม่ฮ่องสอนเดี๋ยวนี้เองนะ แล้วกำลังจะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปงานสมเด็จพระสังฆราชเดี๋ยวนี้อีกด้วยเช่นกัน จึงถึงบางอ้อ นับว่าเป็นโชคดีและน่าอัศจรรย์ยิ่งที่ทำเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้

เกี่ยวกับพุทธานุภาพและอานุภาพของวัตถุมงคลของหลวงพ่อ เมื่อ ๒๕๑๘ มีงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ปาน ได้มาช่วยจำหน่ายวัตถุมงคลที่หน้าศาลานวราชตลอดงานเกือบสิบวัน เสร็จงานได้รับแจกเสื้อยันต์เกราะเพชรสีแดงไป ๑ ตัว พอเพื่อนทราบมาขอไปให้ลูกชายที่เป็น น.น.ร. เพื่อใส่ป้องกันอันตรายตอนไปฝึกภาคสนามที่กาญจนบุรี

ปรากฏว่าตรงที่ตั้งแคมป์พักมีลูกระเบิดฝังอยู่ แต่ลูกระเบิดด้านทุกคนจึงปลอดภัย สำหรับน้ำมันชาตรี ได้เอาใส่ให้สุนัขที่ถูกรถชน อาการหนักคิดว่าคงไม่รอด ปรากฏว่าหายและวิ่งได้เหมือนเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ เอาใส่ให้หลายตัวด้วย ทั้งที่วัดและที่บ้าน

เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ เป็นวันที่มีความปีติอย่างยิ่งอีกวันหนึ่ง ในตอนแรกคิดว่าจะเดินทางมาวัด เพื่อร่วมงานอุปสมบทถวายกุศลแด่หลวงพ่อ ชักชวนเพื่อฝูงไว้หลายคนว่าจะมาวัดก่อนวันงาน คอยจนเกือบถึงวันงานล้มเหลวกันหมด (บุญไม่ถึง) รอเก้อเลยตัดสินใจมาวัดคนเดียวในวันที่ ๒๔ พอถึงวัดเข้าพักกับคุณน้าสมบุญที่เรือนกะเหรี่ยง

แม่ชีกิมฮวยมาบอกว่า พรุ่งนี้เขาจะบวชชีพราหมณ์กันด้วยนะ ทำไง เราไม่มีชุดสีขาวกับเขาด้วย แม่ชีรีบจัดแจงไปหายืมรถให้ไปหาซื้อชุดสีขาวที่จังหวัดอุทัยธานีในเย็นวันนั้นเอง ทำให้พลอยได้ร่วมบุญใหญ่กับบรรดาศิษยานุศิษย์หลายร้อยคน ขอขอบคุณแม่ชีกิมฮวยอย่างมากที่เมตตาสงเคราะห์ วันบวช (๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๔) พระครูอุทัยธรรมโกศล ท่านเรียก ชีกล้วยน้ำว้ากับชีกล้วยไข่ (แหม น่ารักจัง)

เมื่อสึกเรียบร้อยแล้ว ตอนเย็นไปนั่งสมาธิที่วิหารร้อยเมตร ปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยจะรู้จะเห็นอะไรกับเขาเลย ทึบมาก ก็เลยนั่งปลงทำใจสบายๆ สักครู่ก็เห็นขบวนแถวยาวเหยียดเดินไหลเข้ามาในวิหารผ่านหน้าเราไป ดูแล้วปรากฏว่าร่างดำๆ เหล่านั้นไม่มีหัว

ก็นึกว่า เอ๊ะ อะไรจะมากันมากมายขนาดนั้น จะเอาบุญที่ไหนให้ ตัวเราเองยังเอาตัวไม่รอด แต่จะชักช้าก็ไม่ได้เดี๋ยวจะเหมือนที่หลวงพ่อเคยบอกว่า พวกนี้บางทีเขามีเวลาไม่มากนัก จึงต้องเสี่ยงดวง ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลแบบที่หลวงพ่อสอน

พออุทิศแล้วก็นึกว่า เอ เขาจะได้รับกันไหมหนอ ถ้าได้รับโปรดแสดงภาพให้ดูด้วยเถิด ปรากฏว่าแพรวพราวระยิบระยับพรึ่บไปหมด น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อ พอรุ่งเช้าจึงเรียนถามพี่หมอสมศักดิ์ว่า เป็นไปได้อย่างไร บุญอะไรจะมากมายขนาดนั้น พี่หมอตอบสะใจไปเลยว่า ก็บุญหลวงพ่อไง โอ หายโง่เซ่อไปเลยหลงกระหยิ่มใจนิดๆ (จริงๆ ๆ) พุทโธ ธัมโม สังโฆ

เมื่อคราวที่หลวงพ่อสร้างเจดีย์พุดตานและหล่อพระรูปสมเด็จองค์ปฐม ได้มีโอกาสถวายแหวนแบบโบราณ คือแหวนยอดและสายสร้อยคอที่พี่สาวและสามีมอบให้ในวันเกษียณอายุราชการ ไม่ได้บอกให้เจ้าของให้ทราบก่อน จึงขอบอกไว้ตรงนี้เพื่อจะได้ช่วยโมทนาด้วยกันไปเลย

หลังจากที่ได้มาฝึกมโนมยิทธิได้พอเตาะๆ แตะๆ เหมือนเต่าเดินยังไงยังงั้น แล้วได้เหินห่างวัดไปสิบกว่าปี คงจะเนื่องจากบุญมีแต่กรรมบัง หรือวิบากกรรมก็ไม่ทราบได้ มาบัดนี้ ให้รู้สึกเสียดายวันเวลาที่ล่วงไปเป็นที่สุดซึ่งไม่สามารถที่จะเอากลับคืนมาได้

พอเกษียณอายุราชการแล้วก็ยังบ้าต่อไปอีก ยังอยากทำโน่นทำนี่ซึ่งเป็นงานทางโลก เพราะผิดหวังในชีวิตราชการ จึงอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาชนะชีวิตให้ได้ แต่หยิบจับอะไรเกิดอุปสรรคไปหมดเหมือนกับจะห้ามว่า อย่าทำเลย เลิกทำเสียเถอะ จึงค่อยๆ ได้คิด หันกลับมาเข้าวัดอีกครั้งหนึ่ง

พอดีก่อนกลับมาได้พบกับหลวงพ่อที่วัดโพธิ์เมืองปัก ได้เรียนท่านว่าไม่ได้ไปกราบท่านนานแล้ว
ท่านตอบว่า นึกว่าชาติดนี้จะไม่ได้เจอกันอีกซะแล้ว
จึงกลับหลังหัน ทิ้งงานที่คิดว่าจะทำต่อ หันหน้ามาวัดอีกครั้งหนึ่ง

ครั้งแรกนึกอายเหมือนกันว่า เอ เรากลับไปครั้งนี้คงอายเด็กแย่ละนะ เพราะคงต้องมาคลานต้วมเตี้ยมๆ ตามเด็กๆ รุ่นหลัง แล้วก็เป็นจริง เพราะผลของการฝึกไม่ค่อยคืบหน้าอะไร สงสัยจะถูกเทวดาลงโทษเป็นแน่ (นั่นแน่ บังอาจไปเที่ยวโทษเทวดาเข้าให้อีก แทนที่จะโทษตัวเอง)
เวลาว่างๆ เลยต้องหาโอกาสไถ่บาปด้วยการช่วยงานวัด เช่น ไปช่วยขัดตกแต่งพระเครื่องและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ปัดกวาดบันไดรับแขกที่หลวงพ่อขึ้นลงประจำ ล้างห้องน้ำห้องส้วม เก็บพานดอกไม้ที่วิหารร้อยเมตร เป็นต้น

ก่อนจบบันทึก ลูกนี้มีบุญน้อยไม่ทราบว่าจะหาสิ่งใดมามอบถวายทดแทนบุญคุณของหลวงพ่อได้ จึงต้องขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายและบารมีของลูกๆ หลานๆ ทั้งหลายที่มีบุญหนัก

จงมารวมตัวกันเป็นพลังอันมหาศาลปกป้องผองภัยที่จะมาบังเกิดกับชื่อเสียงเกียรติคุณ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพรักของเรา ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องพิทักษ์รักษาประเทศชาติอย่างแท้จริง ให้แคล้วคลาดจากผองภัยพาลทั้งปวง

ธรรมใดที่หลวงพ่อบรรลุแล้ว ขอให้ลูกหลานทุกคนได้บรรลุธรรมนั้น และลูกขอติดตามหลวงพ่อไปนิพพานในชาตินี้ด้วยเถิด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีวิมานอยู่ใต้แท่นประทับของหลวงพ่อก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ กราบขอประทานอภัยหลวงพ่อที่จนบัดนี้ลูกก็ยังโง่ไม่เสร็จ

◄ll กลับสู่สารบัญ


29

อาลัยเคารพรักบูชา


พระเดชพระคุณหลวงพ่อ (พระราชพรหมยานเถระ)


ผู้มีพระเมตตาคุณอันสูงยิ่ง


สุวิทย์ สวรรค์กสิกร


......การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของลูกๆ หลวงพ่อทุกท่าน เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าหลวงพ่อที่เคารพรักศรัทธาจะจากไปรวดเร็วถึงเพียงนี้ จึงสร้างความเศร้าโศกเสียใจอาลัยรักด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ต่อไปนี้คงจะเหลือเพียงธรรมะของพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อนำมาสอนไว้เป็นอนุสรณ์แก่ลูกๆ และเป็นมรณานุสสติเตือนใจแก่บรรดาสานุศิษย์ที่ยังประมาทอยู่ทั้งหลายว่า

ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน จะต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา การสูญเสียหลวงพ่อผู้ประดุจร่มโพธิ์แก้วของพวกเราบรรดาลูกๆ ที่ศรัทธาในองค์หลวงพ่อ เป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่เพราะท่านเป็นดวงใจและฐานอันสำคัญ เป็นอาจารย์ประเสริฐสุด

เพราะท่านสอนธรรมให้ลูกๆ และพุทธบริษัท เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสารเข้าสู่พระนิพพาน ส่วนข้าพเจ้านั้นมีความอาลัยรักเคารพบูชาหลวงพ่ออย่างสูงสุด และเป็นการสูญเสียหลวงพ่อที่ไม่มีสิ่งอันใดจะให้สูญเสียยิ่งกว่านี้อีกแล้วในชีวิตนี้

ปัจจุบันจึงได้คิดว่า เวลาที่ผ่านมาหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ เราได้ประมาทในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อได้เรียกให้ข้าพเจ้าบวชเป็นพระหลายครั้งหลายหน เรียกข้าพเจ้าตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๕ ครั้งสุดท้ายเมื่อ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ ได้บวชเป็นพระถวายกุศลต่ออายุให้หลวงพ่อ (มีผู้บวชพระทั้งหมด ๑๘๐ องค์ เป็นเวลา ๕ วัน)

หลวงพ่อได้เรียกข้าพเจ้าอยู่ต่อเป็นพระโดยไม่ต้องสึก
หลวงพ่อถาม สุวิทย์จะสึกหรือจะลาสิกขา
ตอบสึกครับ
ท่านบอกไสหัวสึกไปเลย

ข้าพเจ้าดื้อไม่เชื่อฟังหลวงพ่อ ไม่ยอมอยู่ต่อ คิดว่าหลวงพ่อจะมีชีวิตอยู่กับเราอีกนาน บวชใหม่เมื่อไรก็ได้ นี่แหละคือความประมาทของเราในชีวิตของหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่น่าให้อภัยแก่ศิษย์ดื้ออย่างข้าพเจ้าเลย เนื่องในการที่หลวงพ่อได้เพียรพยายามสอนธรรมะให้ข้าพเจ้าตลอดมา

มีอยู่ช่วงหนึ่ง พ.ศ.๒๕๒๘ หรือ ๒๕๒๗ จำไม่ได้แน่นอนนัก ท่านสอนกรรมฐานตอนหัวค่ำที่บ้านสายลม เมื่อเสร็จญาติโยมกลับไปหมดแล้ว เหลือลูกศิษย์บางท่านอยู่ช่วยทำงาน หลวงพ่อขึ้นไปชั้นบนแล้วลงมาอีก เพื่อคุยกับลูกๆ ที่ช่วยทำงานเป็นการให้กำลังใจเป็นประจำ ข้าพเจ้าอยู่ช่วยนับเงินในตู้บริจาค นั่งนับเงินอยู่กับพื้นพรมตรงทางเดินหน้าพระพุทธรูป

ท่านลงมาจากชั้นบนตรงมาที่ข้าพเจ้า แล้วหลวงพ่อนั่งลงกับพื้นพรมด้านซ้ายมือที่ข้าพเจ้านั่งอยู่แล้วจับหัวเข่าของข้าพเจ้า พร้อมกับพูดว่ามาหันหน้ามาคุยกัน แล้วท่านก็พูดสอนคุยเรื่อยไป เวลานั้นข้าพเจ้าไม่รู้นี่คือลีลาการสอนของหลวงพ่ออีกแบบหนึ่ง คิดว่าท่านคุยแบบธรรมดา แต่เป็นการทรงอารมณ์ปฏิบัติที่ได้ผลดีมากโดยไม่รู้ตัว

เวลาช่วงนั้นมีอารมณ์ศรัทธาเคารพรักบูชาหลวงพ่อสูงมาก ทรงอารมณ์ปีติและนิพพิทาญาณตลอดทุกวัน แต่ที่หลวงพ่อลงมานั่งกับพื้นด้วยกันก็ไม่ได้คิดอะไร มีความรู้สึกดีใจธรรมดา แต่อารมณ์ศรัทธาเคารพรักหลวงพ่อสูงอยู่แล้ว ท่านสอนธรรมอะไรก็ทำได้ (ช่วงนั้นนะ) ท่านเทศน์สอนบนธรรมาสน์ก็สอนข้าพเจ้า ยังลงมานั่งกับพื้นพรมด้วยกันแล้วสอนอีก

เวลานั้นข้าพเจ้ามีอารมณ์ซื่อแบบบริสุทธิ์จริงๆ ไม่ได้คิดอะไร โธ่หลวงพ่อ เวลานั้นศิษย์โง่ไม่รู้คุณค่าความเมตตาของหลวงพ่อจริงๆ รู้อยู่อย่างเดียวคือเคารพรักหลวงพ่อ กว่าจะรู้เวลานี้ล่ะครับหาไม่ได้อีกแล้วในความเมตตาอันสูงส่งอย่างนั้นจากหลวงพ่อ

เวลาท่านพูดคุยให้ฟัง ก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง อย่างท่านเล่าเรื่องเทวดาว่า พระอินทร์กับพระศิวะ พระอิศวร คือองค์เดียวกัน เสด็จย่าชายาพระอินทร์กับเสด็จแม่อุมาเทวีคือองค์เดียวกัน พระนารายณ์กับท่านมเหสักขาองค์เดียวกัน (ข้าพเจ้าฟังแล้วก็งง เอ้าแล้วองค์เดียวกัน แล้วทำไมต้องแยกเป็นลีลาแขกกับไทยกับจีนล่ะงงอีก ได้แต่ฟังไม่กล้าถาม แล้วก็งงต่อไปจนกว่าจะรู้เอง)

แล้วท่านก็เล่าเรื่องสะเดาะกุญแจ เอากุญแจแขวนล็อคไว้ที่ราวเส้นลวด ฝึกจนแตะราวเส้นลวด กุญแจก็หลุดหมดทุกตัวพร้อมกัน ท่านเล่าต่อว่าเอากระดาษตัดชิ้นเล็กๆ ใส่ในขันน้ำเสกให้เป็นกุ้งฝอย ข้าพเจ้าคิดทันทีจะเอาขวดโหลน้ำมนต์หน้าพระพุทธรูปให้หลวงพ่อเสกให้ดู

หลวงพ่อรู้ทันบอกว่า เดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้ว แก่แล้ว เราก็เลยอดดูไป ก็เลยคิดว่าต่อไปเราฝึกทำเองก็ได้ คิดโม้อยู่ในใจคนเดียว ก็บอกแล้วว่าข้าพเจ้าซื่อ โง่อย่างบริสุทธิ์เวลานั้น
การปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุธรรมนั้น ถ้าเรามีจิตใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ละความชั่วทั้งหมด ละความชั่วทั้งกาย วาจา ใจ ทำแต่ความดี ทั้งกาย วาจา ใจ

ทรงอารมณ์อานาปานุสสติกรรมฐาน อย่างน้อยตั้งแต่อุปจารสมาธิหรือปฐมฌานขึ้นไป หรือทรงอารมณ์ในสมถกรรมฐานกองใดกองหนึ่งให้เป็นฌาน เจริญอารมณ์วิปัสสนาญาณให้รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ยอมรับนับถือตามความเป็นจริง พิจารณาตามแบบวิปัสสนาญาณ ทำใจให้สบายเบาๆ ให้มีความสุข วางเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มากระทบและได้สัมผัส

เห็นว่ามันเกิดขึ้นตามธรรมดาและธรรมชาติตามสภาวธรรม เราจะไปยึดมั่นถือมั่นมันทำไม ในไม่ช้าทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ตายสลายพังไปในที่สุด แม้ร่างกายเราก็ต้องตายสลายไป ถ้าเราไม่มีมานะทิฐิและความยึดมั่นถือมั่นในสภาวธรรมทั้งหลายมันก็จบกัน

แต่จะทำให้เป็นอย่างนี้ได้ต้องฝึกจิตฝึกใจของเราเองให้มีความเชื่อง ไม่มีความดุร้ายเสียก่อน ถ้ายังมีมานะทิฐิอยู่ก็ได้ชื่อว่ายังมีความดุร้ายอยู่ ส่วนจะมากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับความเห็นแก่ร่างกายสังขารด้วยตนของตนเอง (ที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัว) หรือที่เรียกว่าอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายตัวตน

ท่านว่าจะต้องแก้ไขอนุสัยสันดานเลวๆ อย่างนี้เสียก่อน ด้วยการเจริญพรหมวิหาร ๔ มีความรัก เมตตาต่อคนและสัตว์เสมอด้วยตนเอง กรุณาคิดช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ แล้วตั้งจิตปรารถนาไว้ว่า เราจะทำแต่ความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนเพื่อพระนิพพาน

มีความจริงใจ มีความถูกต้องในเหตุและผล มีสัจจะ จิตใจมีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง สะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม และมีความกตัญญูรู้คุณความดีของผู้อื่น ไม่มีอคติ ๔ ไม่อมภูมิ ไม่วางภูมิ คิดอยากให้ผู้อื่นได้ดีมีสุขอยู่เสมอ ไม่ดูถูกดูแคลนดูหมิ่น เยาะเย้ยถากถางเสียดสีผู้อื่นโดยทางตรงและทางอ้อม ไม่อิจฉาริษยาว่าคนอื่นได้ดีหรือได้ดีเกินกว่าตน ไม่คิดทำลายผู้อื่นทุกกรณี ฯลฯ

ต่อจากนี้ก็ยกจิตขึ้นสู่โลกุตรธรรม คิดถึงความตายว่าร่างกายของเรานี้จะต้องตาย มันอาจจะตายเดี๋ยวนี้ เมื่อมันตายก็จะเป็นซากศพขึ้นอืดเน่าเหม็น เนื้อหนังต่างๆ ที่จะเน่าสลายละลายไป เหลือแต่โครงกระดูก ถ้าเขานำไปเผาก็จะเหลือแต่ขี้เถ้ากลายเป็นดินไป กลายเป็นความว่างเปล่า เราไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกับร่างกาย มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราสักหน่อย

ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา มัวหลงไปยึดมันอยู่ได้ เพราะห่วงมันจะลำบาก ห่วงมันจะไม่มีความสุข ห่วงมันจะไม่มีกิน ห่วงมันจะไม่มีคู่ สารพัดห่วง ที่จริงห่วงใจเราเองต่างหาก แล้วก็ระลึกนึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ (หลวงพ่อ)

ระลึกถึงศีล ๕ ว่าเราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ระลึกถึงพระนิพพานว่าพระนิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง เราต้องการพระนิพพาน ชาตินี้ตายเมื่อไรขอไปนิพพาน
การเจริญอารมณ์ ๑ มรณานุสสติกรรมฐาน ๒ พุทธานุสสติกรรมฐาน ๓ ธัมมานุสสติกรรมฐาน ๔ สังฆานุสสติกรรมฐาน ๕ สีลานุสสติกรรมฐาน ๖ อุปสมานุสสติกรรมฐาน

หรือเจริญกรรมฐานกองใดกองหนึ่งใน ๖ กองนี้ ให้เข้าถึงอุปจารสมาธิ หรือปฐมฌาน คือระลึกนึกถึงอยู่ตลอดเวลา หรือบ่อยๆ จนเกิดอารมณ์ปีติ เมื่อปีติเกิดบ่อยๆ เข้าจนอารมณ์ทรงตัวเข้มข้นดีแล้ว เมื่อเจริญกรรมฐานทั้ง ๖ กองนี้ให้อารมณ์เต็มทั้งหมด และทรงตัวก็ได้ชื่อว่าตัดสังโยชน์ ๓ ได้ เป็นอารมณ์ของพระโสดาปัตติผล

อารมณ์ของพระโสดาบันจะมีความรู้สึกทรงฌานเบาๆ ตลอดเวลา จิตใจสมองเบา มีความสุข (สุกขวิปัสสโก) ท่านที่ได้รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ อภิญญาโลกีย์ ฌานที่ได้มาก่อนก็จะเป็นโลกุตรฌานไป ไม่มีทางเสื่อม อารมณ์จะเดินขึ้นเรื่อยๆ

ท่านที่ทำอารมณ์พระโสดาบันได้ในที่นั่งใด ให้ทำอารมณ์พระอรหันต์ให้ได้ในที่นั่งนั้น หมายความว่า อารมณ์ปีติที่เกิดขึ้นในอนุสสติกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง หรือเกิดขึ้นในหลายกองพร้อมกันก็ดี เวลานั้นให้พิจารณาวิปัสสนา เพื่อให้อารมณ์นิพพิทาญาณเกิดพร้อมกับอารมณ์ปีติควบคู่กันไปบ่อย เพื่อให้อารมณ์และจิตใจสงบนุ่มนวลและเชื่องลง

จะเกิดปัญญาจะเห็นธรรมะชัดเจนตามความเป็นจริง และสติสัมปชัญญะจะค่อยๆ สมบูรณ์เองตามผลที่พึงได้ (หรือท่านใดจะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานเลยก็โมทนาสาธุ)
เมื่ออารมณ์ปีติในอนุสติกรรมฐานเกิดขึ้น ให้ใช้ปัญญาพิจารณาทุกข์ในอริยสัจ (อารมณ์ปีติ – นิพพิทาญาณจะเกิดขึ้นได้ในทุกอิริยาบถ ทุกเวลาทุกสถานที่อารมณ์ปีติในระดับนี้เป็นปีติของอารมณ์โพชฌงค์ ๗)

คือทุกข์ในขันธ์ ๕ ว่า การมีร่างกายในขันธ์ ๕ นี้มันไม่มีความหมาย มีร่างกายแล้วก็มีแต่ความทุกข์ การเกิดมาแล้วก็ต้องมีความหิว ความกระหาย ต้องกระทบกับความร้อน ความหนาวก็เป็นทุกข์ ต้องกระทบกับความไม่พอใจ ความโกรธ ความไม่สบาย ใจก็เป็นทุกข์ มีความแก่ การเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นทุกข์ แล้วก็ต้องตายไปในที่สุด

ทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องที่ดิน ญาติมิตรก็ไม่มีความหมาย ต้องจากกันไปในที่สุด การมีชีวิตอยู่ก็ประกอบกิจการงาน มีความยากลำบาก มีแต่ความทุกข์ ในที่สุดก็ต้องเหนื่อยยากลำบากและความทุกข์ มาเป็นทาสของร่างกายในการเกิด เป็นทาสของชาวโลกแล้วก็เหนื่อยฟรี ทุกข์ฟรีทุกชาติ ถ้าเรายังไม่เข้านิพพาน เพราะเหตุแห่งการหลง

เมื่อจิตใจเกิดวางเฉยในร่างกายขึ้นมาว่า ร่างกายอย่างนี้ถ้ามันจะตายเมื่อไรก็เชิญตาย ฉันจะไปนิพพาน ถ้าเรายังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแบบนี้ เกิดกี่ชาติก็ทุกข์ทุกชาติ ก็ตัดสินใจว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดอย่างนี้ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ต่อไปไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน

แล้วก็ตัดอวิชชาต่อ คิดว่าการเกิดเป็นมนุษย์เราไม่ต้องการ ร่างกายมนุษย์มีกายเนื้อ ธาตุ ๔ มีความไม่เที่ยง มีการแปรปรวน มีแต่ความทุกข์ แล้วก็ตายในที่สุด ในเมื่อร่างกายในโลกมนุษย์มีการตายแล้วก็เน่าเปื่อยผุพัง เป็นซากศพอสุภ มีแต่ความสกปรก ธาตุทั้งสี่สลายตัวเหลือแต่โครงกระดูก การทรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ต้องมีการหาเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบากเราไม่ต้องการ

โลกมนุษย์จะสวยงามเพลิดเพลินเพียงใดเราไม่ต้องการ การเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมเราไม่ต้องการ เพราะเทวดา นางฟ้า หรือพรหมยังต้องจุติ การเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมมีความสุขเพลิดเพลินสวยงามเพียงใดเราไม่ต้องการ เราต้องการนิพพานเพียงแห่งเดียว แล้วก็ถึงอารมณ์อรหันต์

แล้วก็ทรงอารมณ์พระนิพพานเอาไว้ ท่อง นิพพานังปรมังสุขขัง อารมณ์พระอรหันต์มีความรู้สึกเหมือนกับไม่ได้อะไรเลย ไม่มีอะไรเลย อารมณ์ฌานก็ไม่ใช่ อารมณ์พิจารณาวิปัสสนาญาณก็ไม่ใช่ มีความรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้อะไรเลย

สุดยอดแห่งความว่าง ความเบา และความสุข ต่อจากนั้น อารมณ์ทรงสังขารุเบกขาญาณ วางเฉยในความรู้สึกส่วนลึกของอารมณ์จิตภายในได้ทั้งหมด เมื่อมีสิ่งมากระทบและสัมผัสในด้านของความรัก โลภ โกรธ และหลง

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/3/11 at 15:49 [ QUOTE ]


30

สนทนากับหลวงพ่อหลังนิพพาน


นายแพทย์สบสันต์ วงษ์ภักดี


........วันที่หลวงพ่อมรณภาพ เป็นวันที่ข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากสุดที่จะพรรณนาได้
...วันนั้น ข้าพเจ้าจำได้ดีมีโทรศัพท์ปลุกแต่เช้า ปรากฏว่าพี่โต (คุณสุภรณ์ แทนศิริ) โทรศัพท์มาพูดว่า “หลวงพ่อสิ้นแล้ว” ข้าพเจ้าก็ถามว่า “อะไรนะพี่โต” แล้วพี่โตก็ย้ำว่า “หลวงพ่อของเราท่านสิ้นแล้ว”

...พอได้ยินเป็นครั้งที่สองว่า “หลวงพ่อของเรามรณภาพแล้ว” เท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าก็รู้สึกตัวชาไปหมด มึนงงบอกไม่ถูก มือ เท้ามันอ่อน แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา แล้วก็คุยกับพี่โตต่อไปว่า “หลวงพ่อเป็นโรคอะไร” ซึ่งพี่โตเองบอกว่า “ยังไม่ทราบรายละเอียดนัก”

...ขณะที่คุยกันไปต่างคนต่างก็หยุดพูดกันเป็นระยะ เพราะทั้งข้าพเจ้าและพี่โตต่างก็ร้องไห้ขณะคุยกันทางโทรศัพท์ ข้าพเจ้าบ่นกับพี่โตว่า ไม่นึกเลยว่าหลวงพ่อจากพวกเราเร็วเหลือเกิน มากราบท่านเมื่อ ๕ เดือนที่แล้วก็ยังแข็งแรงดีอยู่

ขณะที่ข้าพเจ้ายังคุยโทรศัพท์กับพี่โต จิตใจก็ยังไม่สบายใจนัก หลวงพ่อท่านก็มาทันที มายืนอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้า แล้วท่านก็พูดว่า “หมอ อย่าเสียใจเลย ทำใจให้ดีไว้” เมื่อหลวงพ่อพูดจบ ข้าพเจ้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ท่านเมตตามาเตือนสติให้เรา

ข้าพเจ้าคลายความเศร้าโศกเสียใจได้บ้าง บอกกับพี่โตว่าถ้ามีข่าวคืบหน้าอย่างไรกรุณาโทรศัพท์มาบอกผมอีก
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ข้าพเจ้าได้เสียใจและสะเทือนใจ ครั้งแรกเป็นการสูญเสียคุณพ่อของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นการจากไปไม่ใช่ปัจจุบันทันด่วน เพราะข้าพเจ้าทราบว่าท่านเป็นมะเร็ง

สักวันหนึ่งท่านจะจากเราไปแต่ก็อดเสียใจไม่ได้ เพราะข้าพเจ้ายังเป็นปุถุชน ย่อมมีความเศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา
วันนี้ทั้งวันข้าพเจ้าทำงานไม่เป็นสุขเลย จิตใจมันหดหู่บอกไม่ถูก แต่ก็พยายามทำจิตใจให้สบายอยู่เสมอ ก็โดยอาศัยการทำวิปัสสนาขณะทำงาน ที่หลวงพ่อเคยสอนลูกๆ ไว้

มาคิดได้ว่าหลวงพ่อจากเราไปแล้ว สักวันหนึ่งเราก็ต้องตายเหมือนหลวงพ่อของเรา คิดไปคิดมาแบบนี้ก็ช่วยทุเลาการกลุ้มใจได้บ้าง
ข้าพเจ้ากลับมาบ้านหลังเลิกทำงานแล้ว ดูอากาศภายนอกบ้านครึ้มมัวไม่มีแดด ก็ยิ่งทำให้จิตใจหดหู่เพิ่มขึ้นอีก ข้าพเจ้าได้คุยกับพี่อัญเชิญ (คุณอัญเชิญ มณีจักร) ทางโทรศัพท์ทางไกล

พี่บอกว่าเมืองไทยก็มีอากาศปรวนแปรเหมือนกัน วันที่หลวงพ่อนิพพานอากาศมืดมัว ฝนตกทั้งวัน บางแห่งมีน้ำท่วม เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงตามที่พวกลูกๆ เห็นในมโนมยิทธินานมาแล้วว่า วันนิพพานของหลวงพ่อจะมีอากาศมัว มืดครึ้ม ตรงตามความจริงที่เห็นในวันนั้น

ตกกลางคืนข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ที่จะเอาจิตมากราบหลวงพ่อ เพื่อถามเรื่องราวการเจ็บป่วยของหลวงพ่อที่เป็นเหตุให้หลวงพ่อมรณภาพ ข้าพเจ้าได้เอาจิตมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบารมีเพื่อทำจิตมากราบหลวงพ่อ ตามแบบฉบับที่หลวงพ่อได้สอนไว้

มาถึงก็พบว่าหลวงพ่อนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงพอสมควร บัลลังก์ก็มีลายสลักเป็นสีทองงดงามมาก ท้องพระโรงใหญ่โตมาก ทำด้วยแก้วสวยมาก หลวงพ่อเองก็แต่งทรงแบบเทวดา มีเครื่องประดับมากมาย แพรวพราวไปหมด แต่เห็นไม่นานหลวงพ่อก็เปลี่ยนรูปมาเป็นรูปพระภิกษุทันที

ข้าพเจ้าก็รู้สึกแปลกใจมาก หลวงพ่อมองมาทางข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้ม ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าท่านจะคุยกับข้าพเจ้า ท่านก็เลยกวักมือให้ข้าพเจ้าเข้าไป แล้วท่านก็พูดว่า “เข้ามาลูก สบายดีหรือ” ขณะที่เข้าไปกราบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเห็นมีญาติโยม และลูกศิษย์ของหลวงพ่อมากราบหลวงพ่ออยู่แล้วหลายท่าน เลยทำให้ข้าพเจ้าไม่กล้ารบกวนหลวงพ่ออีก

ท่านเลยพูดว่า “พ่อแยกจิตคุยได้” “ขอให้มานิพพานนะ” ข้าพเจ้าฟังหลวงพ่อพูดและให้พรแล้วก็ลาท่านกลับลงมาจากนิพพาน จะมากราบหลวงพ่ออีกวันหน้าต่อไป
ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่สำรวมจิตให้สงบ เพื่อจะไปหาหลวงพ่ออีกดังที่เคยปฏิบัติมา ทำให้จิตสงบสักพักแล้วก็ผ่อนลงมา เพื่อจะเอาจิตขึ้นนิพพาน

ขณะที่ผ่อนจิตลง ข้าพเจ้าตกใจที่มีเสียงขึ้นว่า “หมอ จะถามอะไรก็ถามมา”
ก็ทราบทันทีว่าหลวงพ่อมาหาข้าพเจ้า นั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าของข้าพเจ้า หลวงพ่อยิ้มใหญ่เลย แต่งตัวเป็นพระภิกษุ ข้าพเจ้าก็เอาจิตก้มลงกราบทันที

แล้วก็พูดกับหลวงพ่อ ขอบพระคุณหลวงพ่อที่มีเมตตาต่อลูก อุตส่าห์มาหาลูกถึงบ้าน และคิดว่าคืนนี้จะคุยกับหลวงพ่อนานๆ เพราะไม่มีคนอื่นที่จะแย่งคุยกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีโอกาสแบบนี้เลยที่จะคุยกับท่านตัวต่อตัว

ข้าพเจ้าเริ่มถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อเป็นโรคอะไรถึงได้มรณภาพอย่างรวดเร็วครับ”
หลวงพ่อตอบ “เป็นโรคหัวใจวาย มีโรคปอดบวมแทรก”

ก่อนทำสมาธิเพื่อจะเอาจิตมาคุยกับหลวงพ่อ ได้ตั้งใจจะถามหลวงพ่อว่า ทำไมหลวงพ่อด่วนจากเราไปเร็วนัก หรือว่าหลวงพ่อมีเหตุบางอย่างที่จะต้องจากไปคราวนี้
ข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ “หลวงพ่อครับ ทำไมหลวงพ่อไม่กลับเข้าร่างอีกครับ”
หลวงพ่อตอบ “กลับเข้ามาแล้ว มันไม่มีความรู้สึกเลย มันตื้อไปหมด รับอะไรไม่ได้เลย”
ข้าพเจ้าถามหลวงพ่อต่อไปอีก “หลวงพ่อคงจะกลับเข้าร่างหลายครั้งใช่ไหมครับ”
หลวงพ่อตอบ “ใช่พยายามเข้าหลายครั้ง ทุกครั้งก็มีความรู้สึกเหมือนเดิม”

หลวงพ่อเล่าว่า เมื่อรู้ตัวว่าตายแน่แล้วก็มากราบพระพุทธองค์ว่า กลับเข้าร่างไม่ได้
พระพุทธองค์ก็บอกว่า ถ้ากลับมาไม่ได้ก็มาอยู่เสียข้างบนก็แล้วกัน
หลวงพ่อยังเล่าต่อไปว่า เอาจิตมาวนเวียนดูหมอกับพยาบาลเขามารักษาหลวงพ่อและลูกศิษย์รอบๆ ข้างหลวงพ่อ

ข้าพเจ้าสนทนากับหลวงพ่อเพียงเท่านี้ ใจหนึ่งก็ยังอาลัยถึงหลวงพ่อ นึกไม่ถึงว่าท่านจะจากพวกเราไปเร็วเหลือเกิน ถ้าหลวงพ่อยังอยู่พวกเราก็อบอุ่น พร่ำสอนลูกๆ อยู่เสมอ ท่านสอนได้ทั้งทางโลกและทางธรรม พวกลูกๆ ทราบอยู่เสมอว่า หลวงพ่อป่วยหนักทุกครั้ง

บางครั้งลูกๆ เป็นห่วงมากเหมือนกับท่านจะไม่กลับมา แต่ท่านก็หายดีและปลอดภัยทุกครั้ง ทั้งนี้เพราะบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการบอกเล่าของหลวงพ่อเอง ถ้าข้าพเจ้าจะไปถามพระพุทธองค์เรื่องนี้ ก็คงจะได้ความกระจ่างอย่างแน่นอน

ตามธรรมดาข้าพเจ้าก็ได้รับความเมตตาจากพระพุทธองค์อยู่เสมอ เพราะข้าพเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าพระพุทธองค์เกือบทุกวัน เพื่อขอพรและขอบารมีเพื่อนำมารักษาคนไข้ บางครั้งก็เป็นปัญหาธรรมะ ที่ข้าพเจ้าอ่านจากหนังสือแล้วไม่เข้าใจ พระองค์ก็อธิบายให้ฟัง

เมื่อข้าพเจ้ามาถึงพระพุทธองค์แล้วก้มลงกราบ ๓ ครั้ง แล้วก็เริ่มถามพระองค์เกี่ยวกับการมรณภาพของหลวงพ่อว่า “พระพุทธองค์ครับ ทำไมพระองค์ไม่ช่วยให้หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ต่อไปล่ะครับ”
พระพุทธองค์ตอบ “เธอจะเอาอะไรกันมากมายนัก ไม่สงสารพ่อเธอหรือ การงานสงฆ์ก็เกือบเสร็จหมดแล้ว”

ข้าพเจ้าพอได้ยินพระพุทธองค์ตรัสแบบนี้ ข้าพเจ้าเลยนิ่งเงียบทันที ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินพระองค์ตอบด้วยเสียงหนักแน่น แต่ใจหนึ่งก็ทราบว่าพระองค์มีเมตตาต่อข้าพเจ้าเลยยังนั่งต่อพระบาทของพระองค์ยังไม่ลากลับ เพราะข้าพเจ้ายังต้องการถามพระพุทธองค์ต่อไปอีก

แล้วข้าพเจ้าก็ถามอีกแบบตาละห้อยว่า “ทุกครั้งหลวงพ่อเจ็บไม่สบาย พุทธองค์ช่วยไว้เสมอ แต่คราวนี้ก็พระพุทธองค์จะช่วยอีกครั้งไม่ได้หรือครับ”
พระพุทธองค์ตอบ “ทุกครั้งที่พ่อเธอรอดชีวิตมาได้เป็นกำลังใจของพ่อเธอต่างหาก ฉันเพียงแต่ช่วยนิดหน่อยเท่านั้น”

พอพระพุทธองค์พูดจบ ข้าพเจ้าก็เข้าใจต่อการเมตตาของพระพุทธองค์แล้วก็กราบลาท่านกลับลงมา
คราวหนึ่งข้าพเจ้าและภรรยาได้เดินทางโดยรถยนต์ไปอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งก็มีเวลานั่งคุยกันนาน เรื่องที่คุยกันก็เป็นเรื่องการจากไปของหลวงพ่อ เพราะท่านได้มรณภาพไปไม่นานกี่วันนัก

ภรรยาของข้าพเจ้าเป็นห่วงเกี่ยวกับวัดท่าซุง คิดว่าต่อนี้ไปคงจะมีลูกศิษย์ไปทำบุญที่วัดน้อยลงกว่าสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ เขาก็เลยนึกขึ้นมาเองว่า ถ้าหลวงพ่อแสดงปาฏิหาริย์หรือแสดงฤทธิ์ ประชาชนเขาทราบก็คงจะมาทำบุญที่วัดกันมากๆ ทีเดียว

ภรรยาของข้าพเจ้าก็พูดขึ้นมาดังๆ เพื่อให้หลวงพ่อได้ยิน “หลวงพ่อคะ หลวงพ่อต้องทำให้ผมยาว เล็บยาวออกมา” พอเขาพูดจบสักครู่หนึ่งหลวงพ่อก็ตอบมาทันที แต่ภรรยาของข้าพเจ้าไม่ได้ยิน
ท่านบอกว่า “แล้วจะมาตัดให้หรือ” สักพักท่านพูดอีก แต่ข้าพเจ้ารับไม่ได้

ภรรยาของข้าพเจ้ารับได้ ท่านบอกว่า “แล้วจะมีดีกว่านี้อีก” พอภรรยาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านตอบแบบนี้ก็แปลกใจมาก และก็ดีใจมาก หลวงพ่อของเราคงจะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ลูกๆ เห็นแน่ แต่ก็ต้องติดตามข่าวทางเมืองไทยต่อไป

สองสามอาทิตย์ต่อมา ข้าพเจ้าก็ติดต่อกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เพราะอยากทราบว่าอะไรจะเกิดกับตัวของหลวงพ่อซึ่งบรรจุไว้ในโลงแก้ว ผลที่สุดก็ได้รับจดหมายจากคุณเดือนฉาย (คุณเดือนฉาย คอมันตร์) ว่าเล็บและผมของหลวงพ่อเริ่มยาวเหมือนยังมีชีวิตอยู่

พอข้าพเจ้าอ่านจบก็ดีใจมากว่า หลวงพ่อของเราได้แสดงฤทธิ์ให้ลูกดูแล้ว ตรงกับที่หลวงพ่อได้บอกไว้ ข้าพเจ้าได้อ่านจดหมายยังไม่จบก็ดีใจเสียก่อนแล้ว ตอนสุดท้ายคุณเดือนฉายบอกว่า ผิวหนังของหลวงพ่อเริ่มมีสีขาวนวล บางท่านกล่าวว่าเป็นเพราะมีเชื้อรามาเกาะ

คุณเดือนฉายกล่าวต่อไปว่า พยายามเอาน้ำยาพวกฆ่าเชื้อรามาเช็ดก็ยังไม่ออก พี่สมศักดิ์ (พล ต.ท. นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน) บอกว่า ผิวของหลวงพ่อกำลังจะแปรสภาพเป็นพระธาตุ พออ่านจบก็ตรงกับความคิดของข้าพเจ้าทันที

เพราะข้าพเจ้าเคยเห็นหางพลูที่หลวงพ่อโยนมาให้กับภรรยาของข้าพเจ้าเมื่อ ๔ ปีมาแล้ว ก่อนจะเริ่มเป็นพระธาตุเห็นมีขุยเหมือนเชื้อรามาเกาะก่อน ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนปูนขาวมาจับ แล้วก็จะแข็งเหมือนปูนขาวเลย ข้าพเจ้ามาคิดว่า ที่หลวงพ่อพูดว่า “แล้วจะมีดีกว่านี้อีก” อาจจะเป็นปรากฏการณ์เกี่ยวกับผิวหนังขาวนวลนี้ก็ได้

วันหนึ่งก็มีโทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า เขาบอกว่ามีข่าวด่วนจากเมืองไทย และเขาได้โทรศัพท์บอกถึงลูกๆ ของหลวงพ่อทุกๆ คนว่า หลวงพ่ออาจจะยังไม่ตาย ท่านจะกลับเข้าร่างอีกภายในระยะเวลาอีก ๑ อาทิตย์ ข้าพเจ้าจำวันที่ไม่ได้ ถ้าเลยวันนี้แล้วก็จะไม่กลับมา

และขอให้ลูกทุกๆ คนตั้งจิตให้สงบ และส่งจิตสู่พระพุทธองค์ เพื่อให้ท่านประทานพุทธานุภาพช่วยให้หลวงพ่อกลับมาอีก ข้าพเจ้าเต็มใจทำจิตให้สงบทุกอย่างที่แนะนำมา ไม่เพียงทำสมาธิ จะเป็นวิธีอะไรที่จะช่วยให้หลวงพ่อฟื้นขึ้นมาได้ ข้าพเจ้าจะทำทุกอย่าง แต่มาคิดอีกทีว่าหลวงพ่อได้สิ้นชีวิตไปแล้วตามหลักการแพทย์

และแพทย์ก็ได้พิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วว่าร่างกายของหลวงพ่อไม่มีชีวิตแล้ว ทำงานไม่ได้แล้ว เซลล์ของหัวใจและของสมองก็ตายแล้ว หลวงพ่อจะกลับมาได้อย่างไร ดังนั้น ถ้าจะให้แน่นอนว่าหลวงพ่อจะกลับเข้าร่างหรือเปล่าก็ไปคุยกับหลวงพ่อดีกว่าจะได้รู้เรื่องจริงเสียเลย

ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตตามแบบหลวงพ่อสอนมา แล้วก็มาถึงชั้นนิพพานทันที แล้วก็กราบหลวงพ่อและถามท่านว่า “หลวงพ่อครับ ลูกๆ เขาพูดกันว่า หลวงพ่อจะกลับเข้าร่างอีก จริงหรือเปล่าครับ”

พอหลวงพ่อได้ยินข้าพเจ้าถาม ท่านนิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบอะไรเลย จากนั้นข้าพเจ้าไม่กล้ารบกวนถามอะไรอีก ก็กราบลาท่านกลับลงมา
ท่านผู้อ่านก็คงจะเดาได้ว่าข้าพเจ้าจะไปถามใครอีกเรื่องของหลวงพ่อ ก็คงจะไม่พ้นพระพุทธองค์อีก เพราะพระพุทธองค์เท่านั้นที่เป็นพระสัพพัญญู รู้หมดทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม

แล้วข้าพเจ้าก็เข้ามากราบพระพุทธองค์บนพระนิพพาน
ข้าพเจ้ากราบเรียนถามว่า “พระพุทธองค์ครับ หลวงพ่อจะกลับเข้าร่างอีกใช่ไหมครับ”
พระพุทธองค์ตอบว่า “เป็นไปได้ยาก”

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินพระองค์ตอบเช่นนี้ข้าพเจ้าก็เข้าใจแล้ว และไม่ถามอะไรอีก สักพักพระองค์ก็ตรัสเสริมมาอีกว่า “เรื่องไม่ใช่เรื่องของฉัน ไปถามสมเด็จองค์ปฐมก็แล้วกัน”
คุณสมคิด วงศ์วาน ลูกศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่ง เคยเล่าเรื่องของหลวงพ่อ ให้ข้าพเจ้าฟังว่า

ครั้งหนึ่งหลวงพ่อมาอเมริกาที่เมืองชิคาโก ได้พูดกับคุณสมคิดว่า ถ้าฉันตายแล้ว จะมาช่วยพวกเธอได้มากกว่าที่ฉันยังมีชีวิตอยู่
เรื่องนี้เห็นจะจริงดังหลวงพ่อพูดไว้ เพราะลูกศิษย์ของหลวงพ่อมากมายเป็นหมื่นเป็นแสน ถ้าจะมากราบเรียนหลวงพ่อทุกคน หลวงพ่อคงจะรับแขกไม่ไหวแน่

ถ้าหลวงพ่อเอาจิตมาช่วยก็คงจะได้ครบทุกคนเพราะหลวงพ่อแยกจิตได้
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่หลวงพ่อมีจิตเมตตา มาช่วยข้าพเจ้าได้ทันเหตุการณ์ที่เกิดแก่ข้าพเจ้า วันหนึ่งข้าพเจ้าเดินทางรถยนต์ไปเรียนหนังสือที่ประเทศแคนาดา ซึ่งข้าพเจ้าจำเป็นต้องไปเดือนนั้น กำลังมีหิมะตกมากพอสมควร

ขณะที่กำลังขับรถยนต์อยู่ก็มีรถบรรทุกขนาดใหญ่มากแซงขึ้นหน้าไป เพราะเขาเห็นว่าข้าพเจ้าขับรถยนต์ช้า ซึ่งวันนั้นข้าพเจ้าขับรถยนต์เร็วไม่ได้ เพราะมีรถกวาดหิมะอยู่ข้างหน้า จะแซงรถยนต์กวาดหิมะก็ไม่ได้ รถบรรทุกก็เลยแซงรถยนต์ของข้าพเจ้าทันที

แล้วมาเบียดรถรถยนต์ของข้าพเจ้าเกือบตกถนน โดยข้าพเจ้าเหยียบเบรกเบาๆ แล้วในใจก็พูดให้หลวงพ่อช่วยด้วย เป็นอันว่า รอดจากอุบัติเหตุได้อย่างหวุดหวิด

วันต่อมาข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิคุยกับหลวงพ่อ เล่าเรื่องเกี่ยวกับรถยนต์เกือบตกถนน ท่านเล่าว่าท่านนั่งอยู่เบาะหลัง ท่านบอกว่ารู้แล้วจะเกิดอุบัติเหตุ ท่านเป็นผู้ปัดรถยนต์ออกไป ถึงได้แคล้วคลาดมาได้

เรื่องความเมตตาของหลวงพ่อนั้นเป็นหนึ่งเสมอ จะพยายามช่วยลูกๆ อยู่เสมอ โดยใช้ทิพยจักขุญาณและพลังอำนาจของหลวงพ่อ คอยสอดส่องดูแลทุกๆ ทุกคน
ข้าพเจ้าออกกำลังโดยวิ่งตามถนนใหญ่เกือบทุกวัน ข้าพเจ้ามักจะฝึกทำสมาธิขณะวิ่งไปด้วย เพราะเคยฝึกมาแล้วขณะเดิน, ยืน, นั่งและนอน เลยอยากรู้ว่าขณะวิ่งจะทำสมาธิได้ไหม ปรากฏว่าทำได้เหมือนกัน

ข้าพเจ้าเอาจิตออกมาดูรอบๆ ตัวเห็นพวกผีวิ่งตามกันเป็นพรวนเลย ก็มารู้ทีหลังว่าเขามาขอส่วนกุศลหรือมาขอส่วนบุญนั่นเอง เมื่อข้าพเจ้าวิ่งเสร็จแล้ว ก็ต้องมาแผ่เมตตาทุกครั้งที่ข้าพเจ้าวิ่งเสร็จ โดยแผ่ให้ทุกๆ ท่านรวมทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของข้าพเจ้าในชาตินี้ด้วย และท่านทั้งสองจะมาเสมอ ขณะที่ข้าพเจ้าแผ่ส่วนกุศลให้


ข้าพเจ้าวิ่งทุกเย็น ขณะที่วิ่งอยู่หลวงพ่อก็ลอยตามข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าเลยหยุดวิ่งแล้วเอาจิตกราบท่าน ขอบพระคุณหลวงพ่อที่ยังอุตส่าห์มาคุ้มครองข้าพเจ้าถึงแม้ขณะออกกำลัง แล้วหลวงพ่อท่านก็หายไป

เมื่อข้าพเจ้าวิ่งเสร็จ ข้าพเจ้าก็แผ่ส่วนกุศลอีกเป็นปกติ แผ่ให้คุณพ่อและคุณแม่ ท่านทั้งสองก็มาตามเคย แต่คราวนี้พิเศษกว่าธรรมดาๆ ขณะที่ข้าพเจ้าแผ่ส่วนกุศลให้คุณพ่อและคุณแม่เสร็จ หลวงพ่อท่านมาทันที มายืนอยู่ แล้วท่านทั้งสองก็กราบหลวงพ่อทันทีพร้อมๆ กัน เป็นอันว่าหลวงพ่อมาให้พร แผ่บารมีและเมตตาต่อผู้บังเกิดเกล้าของข้าพเจ้า

การสูญเสียหลวงพ่อครั้งนี้ทำลูกๆ เสียใจเศร้าโศก ร้องไห้ไปตามๆ กัน รวมทั้งข้าพเจ้าและภรรยาของข้าพเจ้าด้วย เพราะได้โทรศัพท์ไปหลายบ้านที่สหรัฐอเมริกา ทุกท่านก็คุยกันแบบไม่ปิดบังกันเลยว่า น้ำตาซึมกันทุกคน มีอยู่วันหนึ่งภรรยาของข้าพเจ้าได้โทรศัพท์บอกข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อ ให้ลูกสาวของข้าพเจ้าทราบ

ซึ่งอยู่อีกเมืองหนึ่ง พอเขาทราบเขาก็ตกใจ และคุณแม่ของเขาพูดไปก็ยังมีเสียงสั่น ยังไม่สร่างจากการร้องไห้ พอลูกสาวรู้ว่าคุณแม่ของเขาเสียใจและไม่สบายใจ เขาก็เลยปลอบใจคุณแม่ของเขาว่า คุณแดง (เขาเรียกคุณแม่ว่าคุณแดง) เสียใจไปทำไม หลวงพ่อท่านไปอยู่ที่ดีแล้ว สบายแล้วบนพระนิพพาน แม่กับลูกคุยกันสักพักแล้วก็วางโทรศัพท์

วันต่อมาลูกสาวข้าพเจ้าโทรศัพท์มาหาคุณแม่ของเขาอีก โดยเขาเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องขำของคุณแม่และข้าพเจ้าด้วย เขาบอกว่าเขาต้องเอาจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน เพื่อไปกราบขอขมาหลวงพ่อเรื่องที่เขาทำผิด ที่ไม่ได้เคารพหลวงพ่อ โดยเขาไม่ได้ร้องไห้เลย คราวเมื่อหลวงพ่อได้มรณภาพครั้งนี้ เขาบอกว่าหลวงพ่อยิ้มแล้วบอกเขาว่า “อีหนู ทำดีแล้ว ทำใจให้สบายนั้นถูกต้องแล้ว”

เรื่องการเสียใจจากการที่หลวงพ่อได้จากพวกเราไปก็เรื่องธรรมดา เกิดได้ทุกท่าน ทั่วทุกหนทุกแห่ง มีคราวหนึ่งพอคุยกับหลวงพ่อเสร็จ
ท่านก็สั่งว่า “หมอช่วยไปบอก...(ลูกศิษย์หลวงพ่อที่เป็นพระภิกษุองค์หนึ่ง และโยมอุปัฏฐากหญิงท่านหนึ่ง) ว่าอย่าให้เสียใจมากนัก โดยเฉพาะโยมผู้หญิงอาจจะไม่สบายก็ได้”
และข้าพเจ้าก็ได้เขียนจดหมายไปบอกท่านทั้งสองตามที่หลวงพ่อสั่งมาแล้ว

ก่อนนอนข้าพเจ้ามักทำสมาธิเกือบทุกวัน บางคืนก็ทำไม่ได้ เพราะทำงานเหนื่อยเหลือเกิน พอข้าพเจ้าเริ่มมีจิตสงบพอสมควร ก็เห็นในจิตว่า
หลวงพ่อมาทันทีและก็พูดกับข้าพเจ้าว่า “หมอ ออกมาคุยกันดีกว่า” ข้าพเจ้าก็ดีใจเพราะวันนี้หลวงพ่อมาชวนข้าพเจ้าคุยด้วย

แล้วท่านก็เดินออกมาที่ห้องรับแขก นั่งบนเก้าอี้ แล้วข้าพเจ้าก็ตามท่านมา แต่ไม่ได้เอาตัวเนื้อออกมา เพียงเอาแต่จิตออกมา แล้วก็ก้มลงกราบต่อหน้าท่าน ท่านก็ยิ้ม หลวงพ่อแต่งตัวเป็นพระภิกษุตามเคย

ข้าพเจ้าก็พูดกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อมาหาผมบ่อยๆ คนอื่นเขาก็ไม่ได้คุยกับหลวงพ่อใช่ไหมครับ”
หลวงพ่อตอบว่า “ลูกคนไหนขี้เกียจก็ไม่ไปหา” ความจริงหลวงพ่อท่านพูดเล่นเท่านั้น เพราะหลวงพ่อท่านแยกจิตมาหาลูกทุกคนได้อยู่เสมอแล้ว

ข้าพเจ้าก็หาเรื่องต่างๆ มาถามหลวงพ่อเท่าที่จะนึกได้ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้คุยกับหลวงพ่อได้นาน เพราะสมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ไม่มีโอกาสจะได้คุยมากนัก เพราะข้าพเจ้าไม่มีเวลามากนักที่จะมาเที่ยวบ้านเกิดของข้าพเจ้า

หลวงพ่อเคยสอนว่า ความตายนั้นมีหลายชนิด เช่น ตายเพราะหมดอายุ ตายเพราะหมดกรรม ตายเพราะมีกรรมมาตัดรอน
พอนึกมาได้ก็เลยถามหลวงพ่อ “หลวงพ่อครับ การตาย (มรณภาพ) ของหลวงพ่อจัดอยู่ในประเภทไหนครับ”

ท่านตอบว่า “หมดกรรม”
หลวงพ่อท่านอธิบายต่อไปว่า กรรมดีของหลวงพ่อมีมากเกินจะอยู่เป็นมนุษย์ ควรจะเสวยสุขในพระนิพพาน หลวงพ่อยังบอกต่อไปว่า สมเด็จท่านต่ออายุให้พ่อมาหลายหนแล้ว ข้าพเจ้าก็พอจะเข้าใจบ้าง หลวงพ่อหมายถึงว่า ถ้าหลวงพ่อยังไม่มรณภาพหรือนิพพาน ท่านจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีก

ข้าพเจ้าก็เลยถามหลวงพ่อเรื่องอื่นต่อไป ข้าพเจ้าเป็นห่วงวัดของเรา เลยถามหลวงพ่อเกี่ยวกับเจ้าอาวาสของวัด ถ้าไม่ใช่พระที่หลวงพ่อแต่งตั้งก็คงจะลำบาก ถ้าได้เจ้าอาวาสไม่ดีมาอยู่ก็ยุ่งทีเดียว ข้าพเจ้าถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ถ้าหลวงพี่อนันต์ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสแล้วจะทำอย่างไรครับ”

หลวงพ่อตอบ “ไม่เป็นไรหรอก ใครมาอยู่ก็เป็นพระดีทั้งนั้น”
ข้าพเจ้าก็ถามต่อไปอีกว่า “ถ้าเป็นพระไม่ดีแล้วจะทำอย่างไรครับ
หลวงพ่อตอบ “พระไม่ดีอยู่วัดนี้ไม่ได้”

หลวงพ่อท่านเลยพูดออกมาว่า ท่านทราบว่าหลวงพี่อนันต์จะได้เป็นเจ้าอาวาสแน่นอน เพราะสมเด็จท่านมาบอกว่าจะแต่งตั้งให้ เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับล่าสุดก็พบว่า หลวงพี่อนันต์ได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการ เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุงแล้วตามที่หลวงพ่อเล่ามาเป็นจริงทุกประการ

ข้าพเจ้าก็ได้ถามหลวงพ่อต่อไปเกี่ยวกับเรื่องพระในวัด
ข้าพเจ้าถามว่า“หลวงพ่อครับ ต่อไปวัดของเราจะมีพระอรหันต์ไหมครับ”
หลวงพ่อตอบ “อ้าว ก็มีแล้วหนึ่งองค์ไง” แล้วท่านก็บอกชื่อให้

ข้าพเจ้าก็ถาม “ต่อไปภายหน้าจะมีอีกไหมครับ”
หลวงพ่อตอบ “มีอีก ๓ องค์”
ท่านผู้อ่านครับ กรุณามาทำบุญกับวัดของเราบ่อยๆ นะครับ เพราะวัดของเรายังมีของดีอยู่เสมอ ถึงแม้หลวงพ่อจะจากเราไป หรือจะพูดก็เปรียบได้ว่ากรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดีฉันใด

วัดท่าซุงก็ยังไม่สิ้นพระอริยเจ้าฉันนั้น ขณะที่ข้าพเจ้าคุยกับหลวงพ่อคืนนั้น จิตของข้าพเจ้าสงบมาก ไม่ได้ยินอะไรจากหูเนื้อเลย ตัวเนื้อนั่งในห้องก็ไม่รู้สึกว่านั่งเลย เพราะเอาจิตออกมาคุยกับหลวงพ่อ
ก็เลยถาม หลวงพ่อว่า “ทำไมคืนนี้ผมคุยกับหลวงพ่อมีจิตสงบมากครับ”
ท่านตอบว่า “ก็เรียกมาคุยเพื่อให้จิตเป็นฌาน”

ข้าพเจ้าก็เลยพูดว่า มิน่า กระผมจึงนิ่งมาก
จากที่ข้าพเจ้าได้เล่ามานี้ ก็เป็นเรื่องส่วนใหญ่ที่ได้สนทนากับหลวงพ่อและมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีก แต่ข้าพเจ้าจะไม่นำมากล่าว ณ ที่นี้ และขอให้ท่านผู้อ่านเอาจิตมาคุยกับหลวงพ่อ ท่านจะอนุเคราะห์มีเมตตาต่อลูกๆ ทุกท่านไม่ว่าท่านจะมีความทุกข์ร้อนสิ่งใด

ขอภาวนาให้ท่านมาช่วยท่านก็จะมาช่วยให้ปลอดภัยได้ ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณหลวงพ่อที่มีความกรุณาเมตตาต่อข้าพเจ้าและครอบครัวเป็นล้นพ้น และลูกก็พยายามเป็นเด็กดี จะทำความดีถึงที่สุด เพื่อยึดพระนิพพานเป็นที่พึ่งสุดท้าย

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 29/3/11 at 15:02 [ QUOTE ]


31

ผลของมโนมยิทธิ


ชาญชัย วงศ์หลี


.....คุณแม่ของข้าพเจ้าพบหลวงพ่อเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ (คุณพ่อเสียชีวิตแล้ว) ส่วนข้าพเจ้าพบเมื่อประมาณปี ๒๕๒๕ – ๒๕๒๖ น้องสาวข้าพเจ้าก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วย ข้าพเจ้าได้ฝึกมโนมยิทธิ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ ฝึกครั้งเดียวได้เลย และฝึกญาณ ๘ ได้ด้วย

.... ครอบครัวของข้าพเจ้าไม่ทิ้งเรื่องกรรมฐาน ร่วมกันนั่งสมาธิตามวิธีของหลวงพ่อเป็นประจำ พระและหลวงปู่และหลวงพ่อมาสงเคราะห์เสมอเวลาฝึกสมาธิ เป็นความอัศจรรย์และสร้างความมั่นใจแก่ข้าพเจ้าและครอบครัวมาโดยตลอด จึงยึดปฏิบัติตามแบบหลวงพ่อมาอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งทุกวันนี้

...เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุได้ ๒๑ ปี ข้าพเจ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ ช่วงเช้าตื่นขึ้นมาก็ล้มในห้องน้ำ มองกระจกเห็นตัวเองตาแดง หน้าแดง แล้วก็มืดไปเลย แม่บอกว่าข้าพเจ้าชัก ตากลับ มือหงิก น้ำลายฟูมปาก

แม่บอกตอนนั้นมือข้าพเจ้าเกร็งและแข็งหมดแล้ว เพราะข้าพเจ้าล้มตรงธรณีประตู คอฟาดลงตรงนั้นพอดี ซึ่งโบกด้วยปูนสูงขึ้นมา สูงประมาณ ๒ นิ้ว กว้าง ๒ นิ้ว ยาวตลอดแนวประตู ปกติถ้าคอฟาดที่ปูน คอจะหัก น้องสาวได้ยินเสียงตอนล้ม เหมือนคนเอาไม้มาตี

พอประมาณ ๕ นาที ข้าพเจ้าก็ฟื้นขึ้นมา ตอนเกิดอาการเช่นนี้ข้าพเจ้าไม่รู้สึกตัวเลย ครั้นฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็เดินขึ้นบ้านเอง โดยไม่รู้สึกตัว
พอเดินมาถึงที่นอน หัวเข่าทรุด ล้มลงกับพื้น หน้าจึงฟุบลงกับพื้นอีก ล้มไปประมาณ ๕ นาที แล้วก็ฟื้นขึ้นมา

ข้าพเจ้ามองไปที่หิ้งบูชาพระในบ้าน เห็นราชรถจอดรออยู่ตรงหิ้งพระ บนหิ้งพระที่บ้านมีพระพุทธรูปเรียงยาวหน้ากระดาน ถัดมาเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อ และถัดมาเป็นรูปเหมือนท่านแม่ศรี เห็นราชรถจอดรออยู่บนหิ้งพระ

ตรงที่วางรูปเหมือนท่านแม่ศรี เห็นราชรถเป็นภาพใหญ่แบบของจริง แต่ลอยอยู่ตรงหิ้งพระ ลักษณะราชรถนั้นยาว มีที่นั่ง และราชรถเป็นแก้ว มีลายฉลุด้วย แต่เป็นแก้วทั้งหมด สวยงามมาก มีเทวดาเฝ้าราชรถ ที่ราชรถ ๔ องค์ (ทั้ง ๔ ด้านของราชรถ) โดยเฝ้าอยู่รอบๆ ราชรถ

นอกจากนี้ยังเห็นเทวดาและพรหมอีกหลายองค์ บางองค์แต่งชุดสีทอง และบางองค์แต่งตัวเป็นแก้ว รวมหลายองค์ เทวดาและพรหมทั้งชุดสีทองและแก้วต่างเดินไปเดินมาวนเวียนอยู่รอบๆ หิ้งพระ ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้ามองเห็นด้วยตาเนื้อข้าพเจ้าทั้งหมด

เทวดาก็พูดกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าจะอยู่ ก็จะอยู่อีก ๓ วัน ถ้าจะกลับก็ภายใน ๓ วัน”
ช่วงนี้ข้าพเจ้าเห็นราชรถ และเทวดา ๔ องค์ที่เฝ้าอยู่รอบๆ ราชรถ และเทวดาพรหมที่เดินอยู่รอบๆ ราชรถ เดินไปเดินมา เห็นแบบนี้ ๓ วันเต็มๆ

พอข้าพเจ้าล้มวันแรก คุณแม่พาข้าพเจ้าไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอตรวจไม่พบอะไรผิดปกติ บอกว่าไม่เป็นอะไร
๓ วันแรกที่ราชรถรอข้าพเจ้าอยู่ พอข้าพเจ้าเข้าห้องน้ำก็มักจะหกล้ม ล้มหน้าห้องน้ำอีก ๒ ครั้ง หน้ามืด ก็หิ้วกันไปยังที่นอน

เวลาล้มทีไร ตาหงายกลับเป็นตาขาว เขาก็จะเรียกข้าพเจ้าให้มีสติกลับคืนมา แล้วตาก็คืนกลับสภาพเดิม เดินไม่ไหว ใจสั่นๆ
เมื่อข้าพเจ้าเห็นราชรถ ข้าพเจ้าก็เล่าให้คุณแม่และน้องสาวฟัง เขาก็เงียบ เขาคิดว่า ข้าพเจ้าจะตาย น้องสาวไม่ยอมไปโรงเรียน

พอข้าพเจ้าเห็นราชรถมารอตั้งแต่วันแรกนั้น ข้าพเจ้าก็คิดว่าถ้าจะตายก็ตายไป ข้าพเจ้าก็นอนภาวนาตามที่หลวงพ่อสอน เพราะว่าหลับตาก็เห็นราชรถและเทวดาที่มารออยู่ ลืมตาเปล่าก็เห็นเช่นเดียวกัน อาการไข้ของข้าพเจ้าเป็นหนักอยู่ ๔ วัน

พอวันที่ ๓ ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไร ราชรถที่จอดรออยู่ตรงหน้าหิ้งพระพร้อมทั้งเทวดา พรหมต่างก็กลับไป เพราะว่าพอตื่นขึ้นมาเช้าวันที่ ๔ ราชรถก็หายไปหมด รวมทั้งเทวดา พรหมทั้งหมดก็หายไป

ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๒๒ ปี (พ.ศ.๒๕๓๔) ข้าพเจ้าก็เข้าอุปสมบท บวชเป็นพระภิกษุที่วัดใกล้บ้านที่กรุงเทพฯ คือ วัดน้อยนพคุณ บวช ๑ พรรษา
ขณะบวชอยู่ ข้าพเจ้านั่งกรรมฐานเป็นประจำ นั่งตามแบบที่หลวงพ่อสอน

ที่หน้าโบสถ์วัดน้อยนพคุณ มีพระพุทธรูป ๒ องค์ตั้งอยู่ เรียกว่า พระพุทธรูป ๒ พี่น้อง ตอนบวชอยู่นี้ข้าพเจ้าชอบไปนั่งสมาธิภายในโบสถ์เสมอ
พอนั่งสมาธิทุกครั้งในโบสถ์ จะเห็นพระพุทธรูป ๒ องค์ที่อยู่หน้าโบสถ์ แต่งตัวเปลี่ยนเป็นแก้วทรงเครื่องชุดพระนิพพาน สวยงามมาก เดินออกมาจากข้างพระประธานในโบสถ์ทุกครั้ง

แล้วทั้ง ๒ พระองค์เมื่อออกมาแล้ว ก็จะประคองปีกข้าพเจ้าขึ้นพระนิพพานเลย
ข้าพเจ้าจึงถามพระพุทธองค์ว่า “การที่พระพุทธองค์มาหิ้วปีกข้าพเจ้าทุกครั้งแล้วพาขึ้นนิพพานเลย ท่านเป็นอะไรกับข้าพเจ้า จึงได้มาสงเคราะห์ข้าพเจ้าทุกครั้ง”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “เคยเป็นพี่น้องกัน ส่วนท่านทั้ง ๒ พระองค์เข้าพระนิพพานไปแล้ว จึงมาคอยช่วยอยู่ทุกครั้งที่จะขึ้นพระนิพพาน”
พอข้าพเจ้าเข้าไปนั่งสมาธิในโบสถ์ ท่านทั้ง ๒ พระองค์ก็จะออกมาจากข้างพระประธานแล้วประคองปีกข้าพเจ้า หิ้วขึ้นพระนิพพานเลย เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง

ดังนั้นช่วงที่ข้าพเจ้าบวชใหม่ๆ การที่ได้พบพระพุทธองค์มาสงเคราะห์ข้าพเจ้าเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจในการปฏิบัติสมาธิภาวนาเป็นอย่างมาก ครั้นบวชมาได้เดือนเศษๆ ในพรรษานั้น ข้าพเจ้าเข้ากุฏิปิดประตูและหน้าต่างหมดทุกบาน แล้วนั่งกรรมฐาน ครองผ้าครบชุด

นั่งมโนมยิทธิ แล้วขึ้นไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านปู่พระอินทร์และท่านย่านั่งรอรับอยู่เป็นลานกว้าง มีธรรมาสน์ตั้งอยู่ ไปถึงคล้ายกับว่าท่านตั้งรอรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์ แล้วเทศน์โปรดเทวดาทั้งหมด ณ ที่นั้น เทศน์ตามแบบที่หลวงพ่อสอน

โดยข้าพเจ้าขอบารมีพระพุทธองค์และหลวงพ่อก่อนที่จะเทศน์ แล้วสอนสั้นๆ ว่า
“อย่ามาเกิดเป็นมนุษย์เลย เพราะมันลำบาก ให้ปฏิบัติต่อข้างบนให้ถึงพระนิพพานเลย”

พอเทศน์จบก็เห็นเทวดากลายเป็นดวงจิตสว่าง เป็นดวงประทีปสีเหลืองลอยขึ้นไป ในจิตรู้ว่าท่านเข้าสู่พระนิพพานเดี๋ยวนั้นเลย เป็นดวงจิตที่สว่างพุ่งขึ้นสู่พระนิพพานหลายดวง
แล้วท่านปู่พระอินทร์และท่านย่าก็โมทนาด้วย ข้าพเจ้าก็ลากลับลงมา

ความรู้สึกตัวข้าพเจ้าเบามาก เมื่อกลับลงมาข้างล่าง ที่วัดข้าพเจ้าไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติกัน ภายหลังข้าพเจ้าเล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ก็โมทนาด้วย
ต่อมาระหว่างกลางพรรษา ตอนนั้นบวชได้ ๒ เดือนกว่าๆ ข้าพเจ้าก็เป็นไข้หวัดใหญ่ ไม่สบาย ปวดหัวมากๆ ตัวเย็น หนาวและสั่นมาก ทนไม่ไหว เป็นอยู่ ๓ วัน

วันสุดท้ายทนไม่ไหว ตอนกลางคืน เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม ข้าพเจ้าก็พิจารณาตัดร่างกายว่าไม่เอาอีกแล้ว ทำตามที่หลวงพ่อเคยสอน แล้วก็นอนภาวนา “พุทโธ” ตลอด พอภาวนาไม่นาน ประมาณ ๑๕ นาที ตอนนั้นนอนภาวนา ห่มผ้า ๓ ชั้น

ภาวนาไปอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าหน้ามืดหมด หมดความรู้สึกตัว แล้วลอยออกไปจากตัว มีความรู้สึกว่าตัวเบา สบาย ลอยไปพบพระพุทธเจ้าในเขตพระนิพพาน เห็นพระพุทธองค์แต่งกายเป็นชุดพระสงฆ์ พระพุทธองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า

“ให้นั่งก่อน และให้กล่าวคำภาวนาตามว่า...............(ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้ว)...............”
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ถ้าท่องตามได้ ก็เข้าเขตพระนิพพานได้”
พอพระพุทธองค์ทรงตรัสจบลง ข้าพเจ้าก็นึกท่องตามได้ทั้งหมด ก็เข้าเขตพระนิพพานได้

ก็ลอยเข้าวิมานของข้าพเจ้าในแดนพระนิพพานทันที ตอนนั้นอารมณ์ข้าพเจ้าสบายที่สุด เบามาก เมื่อข้าพเจ้าลอยมาถึงยังวิมานของข้าพเจ้าก็พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนประทับอยู่หน้ามณฑปตรงวิมานของข้าพเจ้า

พระพุทธองค์ทรงเปลี่ยนพระโฉมเป็นกายแก้ว ทรงเครื่องชุดพระนิพพานสวยสง่างามมาก แพรวพราวระยิบระยับไปหมด
พระพุทธองค์ทรงยกพระหัตถ์ห้ามไม่ให้ข้าพเจ้าเข้าวิมาน ทรงตรัสว่า “ยังไม่ถึงเวลาที่จะมา เพราะว่ายังไม่ได้ช่วยข้างล่าง”

ตอนนั้นข้าพเจ้าก็กราบท่าน ๓ ครั้ง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สั่งให้ข้าพเจ้ากลับมาก่อน
ข้าพเจ้ากลับมา ก็พยายามจะกลับเข้าร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่ ตอนจะเข้าร่างครั้งแรกก็กระเด้งออกมา คล้ายกับกระทบร่างกายที่เป็นไม้หรือหินแข็ง ก็ไม่สามารถเข้าร่างได้ ก็พยายามจะหาทางเข้าร่างให้ได้

พอครั้งที่สองพยายามจะกลับเข้าร่าง ก็กระเด้งออกมาอีกเหมือนกับครั้งแรก
พอครั้งที่สาม กว่าจะหาทางเข้าร่างได้ก็ใช้เวลาหาทาง ก็คิดว่าควรจะเข้าทางหัว พอเข้าทางหัวปั๊บ ก็เข้าร่างได้เลยเข้าง่าย

นับเวลาตั้งแต่ ๓ ทุ่มกว่า มารู้สึกตัวตอนที่เข้าร่างได้ตอนตี ๕ กว่าๆ พอเข้าร่างแล้วก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตี ๕ กว่าๆ ก็ได้เวลาบิณฑบาต ข้าพเจ้าก็ออกบิณฑบาต ตอนนั้นยังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง พอคุณแม่มาเยี่ยมข้าพเจ้าที่วัดวันเสาร์ – อาทิตย์ ก็เล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ฟังแล้วก็นั่งร้องไห้

พออีกไม่กี่วันต่อมา ก็นอนภาวนาและพิจารณาทั่วไป พิจารณาตามแบบที่หลวงพ่อสอน แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเต็มท้องฟ้า ข้าพเจ้าก็เห็นพระพุทธองค์ลอยเต็มปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ตอนนั้นข้าพเจ้าขนลุกและน้ำตาไหล

เหตุการณ์ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าประสบมากับตนเอง ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในคำสอนของหลวงพ่อ ทุกคำพูดที่ท่านสอนมาเป็นจริงทั้งหมด ท่านคอยให้กำลังใจ ข้าพเจ้าก็มีความเชื่อมั่นว่า ท่านจะคอยช่วยสงเคราะห์ข้าพเจ้าจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

หลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อก็ยังมาสงเคราะห์ข้าพเจ้าและคุณแม่เสมอ ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นความเมตตาอันหาประมาณมิได้ที่หลวงพ่อมีต่อข้าพเจ้า วันที่ ๒๐ ธันวาคม – ๒๘ ธันวาคม ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าก็ได้ร่วมบวชถวายกุศลแด่หลวงพ่อร่วมกับพระใน ๑๘๐ องค์ด้วย

ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจากไปแล้วก็ตาม แต่ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่าท่านยังอยู่กับข้าพเจ้าตลอดไป

◄ll กลับสู่สารบัญ


32

อาลัยถึงพ่อของลูกๆ


เรืออากาศเอกเวียด – วิไล โบสถ์ทอง


.....กราบแทบเท้าหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน หรือพ่อของลูกๆ พ่อจากพวกเราไปแล้ว โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ลูกเคยมีพ่อคอยพร่ำสอนแนะนำ และนำพาบรรดาลูก ไปในทางที่ถูกที่ควรตลอดมา ไม่มีธรรมในแง่มุมใด ที่พ่อยังไม่ได้สอน เพียงแต่ลูกยังปฏิบัติตามไม่ค่อยได้เท่านั้น ลูกๆ เหมือนเด็กหัดเดินที่ต้องอาศัยพ่อแม่คอยประคอง

...ขนาดมีพ่อคอยประคอง ยังเดินล้มลุกคลุกคลาน แล้วมาบัดนี้ไม่มีพ่อแล้วลูกจะเดินโดยลำพังได้หรือ การที่พ่อทิ้งสังขารละจากโลกไปแล้ว ลูกต้องหนักใจว่าจะตามพ่อไปไหวหรือไม่ พ่อเคยเป็นที่พึ่งที่อาศัยยามลูกทุกข์ร้อนได้ผ่อนคลาย แต่ก่อนลูกมีทุกข์จากการกระทบกระทั่งจิตใจจากที่บ้านก็ดี ที่ทำงานก็ดี

เมื่อมีเวลามาหาพ่อ อาศัยบารมีจากพ่อทุกข์นั้นก็พลันหายไปทุกที และต่อแต่นี้ไปลูกจะพึ่งใคร เมื่อพ่อยังอยู่ลูกอบอุ่นใจมาก ได้พร้อมใจมอบกายถวายชีวิตแด่พ่อ พ่อจะไปอยู่แห่งใดลูกขอติดตามไปด้วย ขณะนี้พ่อโปรดทราบด้วยว่าลูกๆ สุดแสนจะเสียดายและอาลัยอาวรณ์ถึงพ่อ

ทุกคนอยากร้องไห้แต่จำคำสอนของพ่อได้ว่า อย่าร้องไห้นะลูกต้องเข้มแข็ง จึงมีแต่ทำตาแดงๆ น้ำตาคลอไปทั่วกัน น้อยนักที่จะแสดงอาการปล่อยโฮออกมา นี่คือลูกทุกคนที่เชื่อมั่นในพ่อ
ต่อแต่นี้ไปลูกเป็นเหมือนลูกนกที่ต้องเริ่มปีกกล้าขาแข็ง มิใช่ปีกกล้าขาแข็งเพราะอวดดี แต่เป็นลูกนกที่จำเป็นต้องฝึกบินด้วยตนเอง หากินด้วยตนเอง

ไม่มีพ่อคอยเอาอาหารมาป้อนอีกแล้ว ลูกรู้สึกตัวว่าต่อไปต้องรับภาระหนักด้วยตนเอง การปฏิบัติธรรมตามแนวทางที่พ่อเคยสอนไว้ต้องเร่งบำเพ็ญเพียรให้หนักขึ้น เพื่อตามไปอยู่กับพ่อให้ได้ ในชาติปัจจุบันนี้
ธรรมใดที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้บรรลุแล้ว ลูกขอถึงและบรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

◄ll กลับสู่สารบัญ


33

หลวงพ่อช่วยลูกให้พ้นทุกข์ได้


พรรณงาม รื่นบันเทิง


.....แต่ก่อนเราอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ น้องสะใภ้ขอยืมหนังสือธัมมวิโมกข์ของเพื่อนเธอที่ทำงานมาอ่าน เราก็ขออ่านบ้าง อ่านแล้วก็นึกในใจคนเดียวว่า พระองค์นี้ท่านเขียนหนังสือดี มีความรู้สึกเหมือนพ่อคุยกับลูก มีเรื่องแปลกๆ เหมือนเล่านิทานสู่กันฟัง แต่มีประโยชน์มาก และยังได้ความรู้อื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมายด้วย

... อ่านแล้วคิด รู้สึกว่าเหมือนได้คุยกับพ่อแท้ๆ ของเราเชียว ต่อมาไม่นาน ก็มีเพื่อนโทรมาถามว่า อยากฝึกนั่งกรรมฐานไหม? มีพี่คนหนึ่ง (ชื่อพี่ลออ สุภารัตน์) จะสอนให้ เขาบอกว่าหลวงพ่อท่านอนุญาตให้สอนได้ แบบมโนมยิทธินะ เราก็สนใจกัน

วันนั้นเป็นวันเสาร์ และเป็นฤดูหนาว หิมะตกหนามาก และก็กลายเป็นน้ำแข็ง แล้วยังมีหิมะตกซ้ำลงมาอีก ลมก็แรงไม่ต้องเดิน ลื่นกันไปตามน้ำแข็ง และไปในเวลากลางคืน น้องสะใภ้ก็แสนดี พอเธอทราบก็รีบนัดกันไป น้องสะใภ้มีลูกผู้หญิงเล็กๆ สองคนก็พาไปด้วยกัน

พี่ผู้สอนเธอก็ดีเหลือเกิน เธอค่อยๆ แนะนำไปเรื่อยๆ ในที่สุดเด็กได้ดีก่อนเรา ส่วนเราพวกผู้ใหญ่กว่าจะได้เป็นเวลาตั้ง ๗ วัน แต่ก็ยังไม่แจ่มใส ก็ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ และติดตามอ่านหนังสือที่หลวงพ่อเขียนในธัมมวิโมกข์

จนกระทั่งต่อมาได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน (พระครูวิหารกิจจานุการ) วัดบางนมโค อ่านแล้วยิ่งชอบมาก และนึกถึงพระคุณของหลวงพ่อ และหลวงปู่ปานมากที่สุดหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบไม่ได้ ยิ่งรักและเคารพมากขึ้น และคิดว่าเราต้องตั้งใจเริ่มสร้างแต่ความดีให้ดียิ่งขึ้นตลอดไป และหลวงพ่อยังมีเทปธรรมะให้ฟังอีกมากมาย

และเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ หลวงพ่อได้โปรดลูกหลานอีก พักอยู่ที่บ้านคุณหมอสุภรณ์ เราได้ไปกราบหลวงพ่ออีกและเห็นผู้ที่เขาไปกราบหลวงพ่อก่อนเรา เขาได้รับเทปของหลวงพ่อ เราก็อยากได้บ้าง อยากได้ฟังคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ที่หลวงพ่อได้มีเมตตานำมาแนะนำมาสอน โดยความสามารถตราบเท่าที่ชีวิตยังมีอยู่

ข้าพเจ้าถือว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระอริยสงฆ์ ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้าตลอดจนพุทธบริษัททั้งหลาย ใจคิดถึงพระคุณของหลวงพ่ออยู่ อยากจะไปถามเจ้าของบ้านก็เกรงใจเธอ เพราะเธอดีมีใจเอื้อเฟื้อ เสียสละบ้านและบ้านของหมอยังใหม่ เธอยังให้คนตั้งมากมายเข้ามาได้กราบหลวงพ่อ

เมื่อนั่งคิดถึงความเมตตาของหลวงพ่อ ความเอื้อเฟื้อของเจ้าของบ้านเพลินอยู่ เรานั่งอยู่คนเดียวในห้องรับแขก (หลวงพ่อท่านยังไม่ลงรับแขก) ใจก็นึกถึงเทปของหลวงพ่ออีก แต่แล้วอยู่ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาสวยผิวขาวผ่องรูปร่างค่อนข้างท้วม เธอนำเทปมาให้เราสามตลับ และมีเทปติดกันไว้ด้วยเพื่อมิให้ ๓ ตลับแยกจากกัน เทปชุดนั้นมีชื่อดังนี้

ตลับที่ ๑ อนุสสติ ๗ ในกรรมฐาน ๔๐
ตลับที่ ๒ จาคา, เทวดา, อสุภกรรมฐาน
ตลับที่ ๓ หมวดพระอริยเจ้า

เมื่อเรารับเทปแล้วก็จะฝากเงินให้เธอเพื่อทำบุญด้วย เธอบอกว่าไปถวายกับหลวงพ่อท่านก็แล้วกันนะ เดี๋ยวหลวงพ่อท่านจะลงมาที่ห้องรับแขกนี้ กลับไปบ้านเราก็ฟังเทปนี้มาตลอด ฟังแล้วก็ฟังอีก ฟังจนเกิดความสงสัย ว่าเอ...เราฟังเทปของหลวงพ่อ ๓ ตลับนี้ หลวงพ่อพูดตั้งหลายเรื่องไม่ซ้ำกันเลย

แต่ก็ฟังอีก กลางคืนเข้านอนก็สวดมนต์ บูชาพระแล้วก็ขออนุญาตหลวงพ่อ ลูกขอนอนฟังเทปเพราะเหนื่อย บางครั้งฟังแล้วเคลิ้มหลับไป ก็ได้ยินหลวงพ่อเป่ายานัตถุ์เสียงดังปี๊ด...ก็ตกใจตื่น และกรอเทปกลับฟังใหม่ ก็ไม่มีเสียงเป่ายานัตถุ์อีกเลย

และบางครั้งได้ยินเสียงเทปหมดม้วน ปุ่มเครื่องเล่นเทปเด้งกลับดังแป๊ก พอมือไปคลำดู เกิดได้ยินหลวงพ่อยังพูดอยู่ เทปก็ไม่ได้กระเด้งกลับแต่ประการใดเลย

สิ่งใดที่ลูกได้ทำพลาดพลั้งมาแล้ว ด้วยตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ด้วยกายกรรมก็ดี ด้วยวจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี หรือตั้งแต่อดีตชาติก็ดี ชาติปัจจุบันก็ดี ลูกขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อ พอได้โปรดอดโทษ งดโทษให้แก่ลูกตราบเท่าเข้าสู่นิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ

ถ้าลูกไม่ได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์และหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน และฟังคำสอนของพระบรมครูบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อเมตตานำมาสอนให้กับลูก ลูกคงมืดมิดหาที่เกาะไม่ได้ ทำให้ลูกได้รู้จักปลดปล่อย, วาง, ได้ บุญของลูกแท้ที่ได้พบพ่อ

◄ll กลับสู่สารบัญ


34

ประสบการณ์จากคำสอนของหลวงพ่อ


แต๋ว และจอห์น โอดริสคอล


.....เมื่อตอนที่หลวงพ่อไปวอชิงตันดีซี ผมได้เรียนรู้มากมายหลายอย่างจากการสอนพระกรรมฐานของหลวงพ่อ ผมเรียนรู้วิธีการปล่อยวางทำตัวแบบสบายๆ และทำใจให้สงบ ผมเป็นคริสเตียน แต่ได้เริ่มเรียนรู้วิธีการของพระพุทธเจ้า

... และได้พบความจริงที่แท้ที่น่าพิศวง คือ พระนิพพาน เมื่อตายจากชาตินี้ ก็อาศัยคำสอนของหลวงพ่อ ผมได้รู้ด้วยว่าจากการปฏิบัติพระกรรมฐาน ผมสามารถจะเผชิญกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

ชีวิตเรามีสิ่งยั่วยวนมาก ซึ่ง เราจะเอาชนะสิ่งยั่วยวนเหล่านั้นได้ ต้องอาศัยความมีจิตใจดี และจิตผ่องใส จึงจะสามารถมีที่พึ่งอันเกษม เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว

ผมขอขอบคุณหลวงพ่อที่กรุณาสละเวลา เดินทางไปเยี่ยมเยียนเราที่กรุงวอชิงตันดีซี แต๋วและผมจะจดจำประสบการณ์จากการเยือนของหลวงพ่อครั้งนี้ตลอดไป

ด้วยความเคารพอย่างจริงใจ
แต๋วและจอห์น
หมายเหตุ ปาริชาติ แสงหิรัญ (ผู้แปล)

Experiences from Luang Pho’s Teaching
Thao & John O’Driscoll

During Luang Pho’s visit, I learned a great deal from your meditation teachings. I learned how to relax myself and set my mind at peace. I am a Christian, but through your teaching, I began to learn of the ways of Buddha and of the wonderful realities of Nirvana at the end of this life.

I have learned that through meditation, I am able to deal with the problems of everyday life with the knowledge that this life is filled with many challenges – challenges that one must be able to overcome with a good, sincere heart and a clear mind to be able to earn one’s place in the afterlife.

Thanks to Luang Pho for taking the time to come to Washington D.C. Thao and I will always remember the visit.
With sincerest best wishes,
Thao and John

◄ll กลับสู่สารบัญ


35

พบสุขเพราะหลวงพ่อ


ลำดวน บุปผา


..... ข้าพเจ้าเกิดมา ขึ้นชื่อว่าความทุกข์ยากลำบาก ข้าพเจ้าเคยผ่านมันมาแล้วทั้งสิ้น จนข้าพเจ้าเบื่อหน่ายโลก เบื่อหน่ายร่างกาย เพราะข้าพเจ้าเป็นคนขี้โรค ป่วยเป็นนั้นเป็นนี้เรื่อยมา หาเงินได้ก็เอาไปหาหมอ จนสามีของข้าพเจ้าบ่น บ่นมากๆ เข้าก็ทะเลาะกัน

...เพราะข้าพเจ้าป่วยไม่รู้จักหาย เสียเงินรักษาไปมาก จึงไม่มีเงินเก็บติดบ้าน บางครั้งข้าพเจ้าป่วยมากอาการหนัก ต้องไปนอนให้น้ำเกลืออยู่คนเดียว ข้าพเจ้าน้อยใจในโชคชะตาที่เกิดมามีแต่ความทุกข์ไม่มีวันสิ้นสุด เงินทองก็ฝืดเคือง มีปากมีเสียงกันบ่อยเข้าจนคิดจะเลิกกัน

สามีข้าพเจ้าหนีไปหลายครั้ง ข้าพเจ้าสงสารลูกๆ ที่ต้องว้าเหว่ ก็ต้องออกตามหากลับคืนมา พอกลับมาครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าก็ขอร้องว่า ให้เขาพยายามทำใจคือในเมื่อเราอยู่ด้วยกัน มีลูกต้องรับผิดชอบร่วมกัน ตัวข้าพเจ้าจะป่วยก็ขอให้เขาพยายามทำใจอยู่ไปก่อน ขอให้ลูกๆ โตก่อนจึงไป เขาก็ตกลง

ต่อมามีข่าวให้คนไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดผาน้ำย้อย ข้าพเจ้ากับสามีก็ไป กลับมารู้สึกว่าธรรมะดีต่อชีวิตของข้าพเจ้ามาก จึงปรึกษากันว่าเราเกิดมามีแต่ความทุกข์ เราควรจะเลิกฆ่าสัตว์ รักษาศีล ข้าพเจ้าก็เริ่มรักษาเรื่อยมา แต่ก็ไม่มีอะไรก้าวหน้า

ต่อมาก็มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ชา ฟังธรรมะกับคณะลูกศิษย์ของท่านหลายอาจารย์ ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ก็ปฏิบัติมาเรื่อยๆ ก็ดีในด้านความมีระเบียบวินัยเคร่งครัด ข้าพเจ้าอยู่ไกลครูบาอาจารย์ และก็จนด้วยก็เลยก้าวหน้าช้า

ต่อมา ต้นปี ๒๕๓๕ ข้าพเจ้ารับหนังสือโลกทิพย์มาอ่าน เห็นภาพการเป่ายันตร์ ข้าพเจ้าสะดุดตรงที่ว่าคนไปทำอะไรมากมาย ข้าพเจ้าก็เคยไปวัดต่างๆ แต่ก็ไม่เห็นคนมากอย่างนี้ ข้าพเจ้าได้อ่านฉบับต่อๆ มา

มีภาพหลวงพ่อฤาษี บอกว่าหลวงพ่อป่วย ใครอยากกราบพระพุทธเจ้าในคราวเดียวหลายองค์ก็มาเร็วๆ เพราะหลวงพ่อท่านป่วยบ่อย เดี๋ยวหมดโอกาส ข้าพเจ้าเริ่มเก็บเงินค่ารถและทำบุญ กว่าจะพอก็หลายเดือน ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางมากราบหลวงพ่อ

ในวันนั้นข้าพเจ้านั่งรถมาถึงสิงห์บุรี โดนหลอกเพราะรถไปไม่ถึงอุทัย ข้าพเจ้านั่งคอยรถตั้งนานคิดว่าคงไม่มีวาสนาจะได้กราบพระอรหันต์แน่หรือ และนึกถึงหลวงพ่อว่าลูกจะมีโอกาสได้ไปกราบหลวงพ่อหรือเปล่าหนอ และต่อมารถก็วิ่งมาคนแน่นมาก ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปได้ยืนตั้งแต่สิงห์บุรีจนถึงอุทัยธานี

ข้าพเจ้านึกน้อยใจในวาสนาตัวเองที่ยากจนไม่มีเงินซื้อรถนั่งเหมือนคนอื่นๆ เขา วันนั้นข้าพเจ้าน้อยใจหลายหน เพราะเดินทางเหนื่อยมาก กว่าจะถึงก็แทบลมจับ วันแรกที่ข้าพเจ้ามาถึงก็ได้กราบหลวงพ่อตอนถวายสังฆทาน ข้าพเจ้าน้อยใจเจ้าหน้าที่นักที่เร่งให้เร็วๆ เพราะข้าพเจ้ามีจิตอยากกราบหลวงพ่อ

อยากพูดกับหลวงพ่อท่านแต่ก็ไม่มีโอกาส จนตอนเย็นหลวงพ่อไปบวงสรวง ข้าพเจ้าดีใจที่จะได้เห็นหลวงพ่อเต็มตาสักที พอหลวงพ่อผ่านมา
ข้าพเจ้านึกในใจว่า หลวงพ่อเจ้าขา ลูกเดินทางมากราบหลวงพ่อแล้วเจ้าค่ะ
หลวงพ่อหันมาพูดว่า เอาดีๆ นะลูก

ข้าพเจ้าดีใจจนแทบน้ำตาจะไหล วันนั้นข้าพเจ้าเอาเงินใส่ย่ามหลวงพ่อเพียง ๔๐ บาท และสามีใส่ไปเท่าไหร่นี้ไม่รู้เพราะคนมาก ข้าพเจ้าก็กลับ
ต่อมาข้าพเจ้าคิดถึงหลวงพ่อมาก ข้าพเจ้าก็มองที่รูป เผลอๆ หลวงพ่อก็เดินให้เห็น ข้าพเจ้าปลื้มใจเป็นที่สุด

เพราะมาวัดข้าพเจ้าก็ไม่ได้พูดอะไรกับหลวงพ่อท่านเลย หลวงพ่อท่านเมตตามาโปรดลูกถึงบ้าน นับว่าบุญของข้าพเจ้ายังมี ที่หลวงพ่อท่านเมตตาหลายครั้ง โดยท่านไปปรากฏให้เห็น ข้าพเจ้ามีความปลื้มปีติยินดีไปหลายวัน ข้าพเจ้าภูมิใจที่ได้เป็นลูกหลานของหลวงพ่อท่าน

ตั้งแต่ข้าพเจ้าเดินทางมากราบหลวงพ่อแล้วกลับไป ข้าพเจ้ามีความก้าวหน้าจากที่เคยปฏิบัติมามาก ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้ามาฝึกมโนมยิทธิ เมื่อวันที่เท่าไหร่จำไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นเดือนเมษายน หลวงพ่อไปนอก ข้าพเจ้าฝึกได้ ไปเที่ยวนิพพานได้

ข้าพเจ้าดีใจ มีกำลังใจฝึกมาก ทั้งๆ ที่ไปฝึกหวังจะได้กราบหลวงพ่อท่าน แต่ก็หวังค้าง แต่ก็ยังดีที่ฝึกได้ ข้าพเจ้ากลับบ้านรู้สึกคิดถึงหลวงพ่อมาก
ต่อมาเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสมาในงานเป่ายันตร์

ข้าพเจ้าถวายสังฆทานเสร็จก็ยืนมองหลวงพ่อตั้งนาน อยากพูดกับหลวงพ่อแต่ไม่มีโอกาส เพราะมองดูหลวงพ่อท่านคงเหนื่อยมาก เพราะเห็นท่านไม่ค่อยพูด ข้าพเจ้าสงสารท่านมาก อยากช่วยงานหลวงพ่อทุกอย่าง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยมีโอกาส เพราะลูกเล็กไม่มีใครดูแล

ข้าพเจ้าจึงต้องจำใจกลับไปทุกครั้ง ภายในเวลา ๘ เดือน ข้าพเจ้าได้รู้อะไรมากมายในสิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เพราะคำสั่งสอนของหลวงพ่อท่าน ชีวิตของข้าพเจ้าที่กำลังจะเหี่ยวเฉา เริ่มสดชื่นเบิกบานขึ้นตามลำดับ สามีของข้าพเจ้าก็ฝึกได้เช่นกัน ต่างคนต่างรู้ว่าสิ่งที่แล้วๆ มามันไม่ดี

ทั้งข้าพเจ้าและเขาก็เริ่มมีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ มากขึ้น รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรหยุดยั้งความเสื่อมสลายได้ เกิดแล้วก็ดับ ข้าพเจ้าไปไหนมาไหน ข้าพเจ้าจะคิดถึงคำสอนของหลวงพ่อเสมอ

ในยามที่ข้าพเจ้าวุ่นวายใจในเรื่องต่างๆ ข้าพเจ้าจะนึกถึงพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ นึกถึงหลวงพ่อ ขอบารมีท่านเสมอ แล้วเรื่องต่างๆ ก็เรียบร้อยราบรื่นเสมอมา ข้าพเจ้าขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บารมีหลวงพ่อ บารมีหลวงปู่ปาน บารมีท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ พรหม เทวดา ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่เสมอ

และท่านทั้งหลายก็มาสงเคราะห์มาโปรดเมตตาสั่งสอน ตักเตือนข้าพเจ้า เวลาข้าพเจ้าไม่สวดมนต์ เพราะไปหาเงิน ท่านแม่เตือนข้าพเจ้าว่าให้สวดมนต์ภาวนามากๆ อย่าเกเร เรื่องเงินทองเดี๋ยวก็มาเอง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไม่ไปขายขนมในเวลากลางคืนอีกเลย

วันหนึ่งสุนัขบ้านอื่นกัดลูกชายข้าพเจ้าเป็นแผลลึกน่ากลัว ข้าพเจ้ารีบไหว้พระขอบารมีทุกๆ พระองค์ บารมีหลวงพ่อ หลวงปู่ปาน ท่านลุงพระยายม เอาพระคำข้าวที่หลวงพ่อแจกใส่ในขันน้ำ ขอให้ท่านช่วยอย่าให้ลูกชายของข้าพเจ้าเจ็บปวดเลย เขากินน้ำแล้วไม่ปวดเลย

วันหนึ่งข้างบ้านเขาจัดงานแต่งงาน ร้องเพลงเสียงดังมาก ข้าพเจ้าทนไม่ไหว ก็เลยเข้าไปในห้องนอนนับลมหายใจได้ไม่นาน ก็มีเสียงผู้หญิงรำขึ้น (รำอีสาน) ข้าพเจ้านึกในใจ เอ๊ะ ใครนะไม่เคยได้ยิน ทีนี้ภาพผู้หญิงคนนั้นปรากฏชัดแจ้งเลย ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้านอนลืมตาอยู่ ข้าพเจ้ารอจนเขาร้องจบ จึงออกไปดู คุณพระช่วย ผู้หญิงที่ปรากฏในภาพเมื่อกี้นี้เอง ข้าพเจ้าขนลุกเลย

อีกวันข้าพเจ้าได้ทำบุญโดยมีซองกฐินมาแจก ข้าพเจ้าก็ใส่ไป ๔๐ บาท บอกให้พ่อแม่และญาติทั้งหลายโมทนา แต่ลืมบอกพรหมเทวดา พอข้าพเจ้าเผลอ ท่านมายืนอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้าขนลุก เพราะเป็นคนตัวดำใหญ่กว่าเรามาก ก็เลยนึกได้ว่าข้าพเจ้าลืมบอกเทวดาโมทนา

อีกวันข้าพเจ้าไปเยี่ยมพ่อที่ต่างจังหวัด ข้าพเจ้ามัวคุยกับญาติๆ เพลิน ลืมเวลาไหว้พระสวดมนต์เย็น ท่านก็มาเตือน พอข้าพเจ้าไปเห็นท่านยืนอยู่ ตกใจเลยนึกได้ จึงรีบไปเก็บดอกไม้ไปไหว้พระสวดมนต์เย็น (ดึก) อีกวัน ข้าพเจ้าดำนาแล้ว นึกขอให้ท่านช่วยให้ฝนตก ฝนก็ตกมากมาย

ข้าพเจ้าดีใจที่ท่านเมตตาสงเคราะห์ตัวข้าพเจ้าเองที่เคยป่วยมาก เดี๋ยวนี้ก็ป่วยน้อยลง คือห่างหมอได้เป็นเดือนๆ และถ้าวันไหนข้าพเจ้ามีอาการหนัก (หนักของข้าพเจ้าคือหายใจถี่เร็ว ไม่มีแรง จะลุกเดินไม่ไหว) ข้าพเจ้าก็จะนึกขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงพ่อ หลวงปู่ปาน ท่านลุงพระยายม และภาวนา นะโมพุทธายะเรื่อยไป ไม่ถึง ๒๐ นาที อาการดีขึ้น

โดยไม่ต้องไปหาหมอหรือกินยา ข้าพเจ้าซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อท่านมาก เพราะถ้าข้าพเจ้าไม่มากราบท่าน ข้าพเจ้าคงต้องทรมานกาย – ใจไปอีกนานแสนนาน เพราะหาทางดับทุกข์ไม่ได้ หลวงพ่อจึงเป็นเสมือนไฟดวงใหญ่ส่องนำทางชีวิตให้ข้าพเจ้าและสามี ให้มีชีวิตที่ดี รู้ผิดชอบ ชั่วดี รู้ว่าอะไรควรไม่ควร

ข้าพเจ้าได้อ่านคำพูดของหลวงพ่อในหนังสือสมบัติพ่อให้ ข้าพเจ้ายิ่งรักยิ่งสงสารหลวงพ่อมาก
วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าสวดมนต์เช้า พอจวนจะจบ ข้าพเจ้าก็เห็นหลวงพ่อท่านกราบพระ (ในพระคำข้าว) ที่ข้าพเจ้าบูชาอยู่

ข้าพเจ้านึกในใจว่า เอ๊ะ วันนี้หลวงพ่อมาโปรดลูกเรื่องอะไรนะ พอลุกออกไปข้างนอกมีคนมาบอกว่า หลวงพ่อท่านสิ้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อ ใจแป้วทั้งวันเลย แต่ก็ยังนึกในใจอยู่ว่าหลวงพ่อท่านนอนพักเฉยๆ เดี๋ยวก็กลับลงมาหรอก

พอกลางคืนข้าพเจ้านั่งภาวนาอยู่ยังไปไม่นานเลย หลวงพ่อท่านก็เมตตามาสอนให้ตัดขันธ์ ๕ คือท่านแสดงภาพอสุภกรรมฐานให้ดู ๓ วาระ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นภาพแบบนั้น ข้าพเจ้าเกือบลุกวิ่งหนีเพราะตกใจ

ดีที่นึกได้ว่าหลวงพ่อท่านมาสอนให้พิจารณาสังขาร ไม่อยากให้ลูกๆ ยึดขันธ์ ๕ ของท่าน แต่ข้าพเจ้าก็อดไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าหลวงพ่อท่านสิ้นแล้วท่านจะไปอยู่ที่ไหน รู้แล้วก็ยังไม่อยากให้ท่านไป เพราะข้าพเจ้ามาช้าไป จึงไม่ได้รับใช้หลวงพ่อท่านเหมือนรุ่นพี่ๆ

วันที ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าเดินทางมากราบหลวงพ่อ พอนั่งรถมาไม่นาน ข้าพเจ้าเกิดไม่สบาย หูได้ยินเสียงหลวงพ่อท่านพูดว่า ลำบากนักก็กลับบ้านไปเถอะลูกเอ๋ยฯ ได้ยินถึง ๒ ครั้ง ข้าพเจ้าคิดว่าขืนเดินทางต่อไปคงไม่ดีแน่ จึงลงรถทั้งๆ ที่ตีตั๋วไปลงโคราช

ตอนเช้าข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนเดินทางสายบ้านไผ่ – นครสวรรค์ จึงเดินทางมาอย่างราบรื่น จนถึงวัด ข้าพเจ้ามีความรู้สึกใจหายที่เห็นหลวงพ่อนอนนิ่ง แต่อีกใจก็นึกเสมอว่า หลวงพ่อท่านจะกลับมา วันนั้นข้าพเจ้าถวายผ้าไตรอุทิศแด่ท่านองค์เดียว ทำบุญอะไรไปก็อุทิศให้หลวงพ่อหมด

ความดีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้รู้ได้ฝึกฝนตนเองให้มีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ก็เพราะเป็นความดีของหลวงพ่อท่าน ที่เมตตาสั่งสอนโดยไม่ปิดบัง ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะตอบแทนหลวงพ่อได้หมด นอกจากพยายามทำความดีให้มากที่สุด เร่งความเพียรให้ได้ดีที่สุด จึงจะสมกับที่หลวงพ่อท่านเมตตาสั่งสอนมา จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานตามหลวงพ่อไปในชาติปัจจุบันนี้ให้ได้

และท้ายนี้ ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ บารมีพระธรรม บารมีพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหม เทวดา ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ และผู้มีพระคุณทุกท่าน จงโปรดมาช่วยคุ้มครองลูกๆ หลานๆ เหลนๆ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ของหลวงปู่ปานให้พ้นจากกิเลส – ตัณหา – อุปาทาน และอกุศลกรรม

ให้มีจิตใจยึดมั่นในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออย่าได้มีความประมาทในชีวิต จงมีจิตใจยึดมั่นในพระนิพพาน สิ่งใดถ้าข้าพเจ้าได้ล่วงเกินไม่ว่าด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยผิดพลาดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอได้โปรดงดโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด จนกว่าจะเข้าพระนิพพานตามหลวงพ่อท่านเถิด สาธุ

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/4/11 at 15:29 [ QUOTE ]


36

หลวงพ่อผู้มีพระคุณของลูก


เอื้อมจิตร์ กลั่นจัตุรัส


.....ปี พ.ศ.๒๕๒๒ ข้าพเจ้า พี่สาวและน้องสาวสนใจธรรมะ ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อในหนังสือขวัญเรือน และฟังประวัติหลวงปู่ปานที่หลวงพ่อเขียนจากสถานีวิทยุทหารอากาศ ๐๑ บางซื่อทุกวัน พากันชอบในปฏิปทาองค์หลวงพ่อ อยากที่จะไปกราบองค์ท่าน

...พี่สาวของข้าพเจ้าเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งขณะนั้นเรียกว่าวิทยาลัยกรุงเทพ ได้รู้จักลูกศิษย์หลวงพ่อที่ศึกษาที่เดียวกันและเป็นเพื่อนกัน ได้เขียนแผนที่บ้านท่านเจ้ากรม พล อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ให้ และบอกว่าหลวงพ่อมาบ้านท่านเจ้ากรมฯ ทุกต้นเดือน

...ข้าพเจ้า พี่สาว น้องสาวพากันไปบ้านสายลม แต่ไปในช่วงที่หลวงพ่อท่านยังไม่ลงมากรุงเทพฯ เจอครูฝึกบอกพวกเราให้หัดฝึกอานาปานุสสติกรรมฐานควบคำภาวนา นะมะ พะธะ ตลอดไม่ว่าจะทำอะไร นึกได้เมื่อไรภาวนาเมื่อนั้น และข้าพเจ้าซื้อเทปการฝึกมโนมยิทธิมาฟังด้วย

เมื่อหลวงพ่อท่านมาบ้านสายลม พวกเราดีใจที่จะได้กราบหลวงพ่อและฝึกมโนมยิทธิ หลวงพ่อแนะนำก่อนฝึกมโนมยิทธิ เมื่อแนะนำเสร็จพวกเราก็ขึ้นไปฝึกชั้นบน การฝึกก็เริ่มขึ้น ข้าพเจ้าภาวนา นะมะ พะธะ จิตรวมกันดี เห็นพระพุทธรูปเป็นองค์แก้วมรกตลอยมา แล้วมาอยู่บนศีรษะของข้าพเจ้าก่อนที่ครูฝึกจะเข้ามาแนะนำ

เมื่อครูฝึกเข้ามาแนะนำบอกกับข้าพเจ้าเลยว่า มีพระพุทธรูปอยู่บนศีรษะของข้าพเจ้า แล้วแนะนำให้ข้าพเจ้าตัดขันธ์ ๕ ขอบารมีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พรหม เทวดาทั้งหมด ตลอดจนหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อเป็นที่สุด

ไปพระจุฬามณีและไปวิมานของตัวเองในแดนพระนิพพาน เข้าไปกราบองค์สมเด็จในวิมาน ซึ่งเห็นเป็นพระพุทธรูปปางพระพุทธชินราช ในวันนั้นข้าพเจ้าแต่งตัวเป็นผู้หญิงห่มสไบสีน้ำเงิน เมื่อครูฝึกสอนเสร็จ ข้าพเจ้าลองขอบารมีไปวิมานน้องสาวข้าพเจ้า และเห็นพี่สาวเข้ามาที่วิมานน้องสาวแล้วพวกเราสนทนากัน

ปี พ.ศ.๒๕๒๔ ข้าพเจ้าได้สอบบรรจุรับราชการที่วิทยาลัยเกษตรกรรมชัยภูมิ ด้วยความบังเอิญ ได้รู้จักเพื่อนครูที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ วันหนึ่งพากันไปเที่ยวน้ำตกผาเอียง จ.ชัยภูมิ เล่นน้ำกันพอสมควรพากันกลับ เมื่อกลับมาถึงที่พัก ข้าพเจ้าตกใจมาก เมื่อคลำดูที่คอปรากฏว่าลูกแก้วหายไป

ต่อมาข้าพเจ้าเห็นอาจารย์ที่ไปเที่ยวน้ำตกด้วยกันใส่ลูกแก้ว ข้าพเจ้าจึงปรารภว่าเคยมีลูกแก้วแบบนี้ แต่ตกหายขณะที่เล่นน้ำตก อาจารย์ท่านนั้นบอกว่าตอนกลับไปบ้านพบลูกแก้วของใครไม่ทราบอยู่ในกระเป๋ากางเกง คงจะเป็นลูกแก้วของข้าพเจ้า

ปี พ.ศ.๒๕๒๔ – ๒๕๒๕ อาจารย์ที่ไปเล่นน้ำตกด้วยกันไปเล่าเรื่องลูกแก้วของข้าพเจ้าหล่นหายให้คุณพึงพิศ คิดบรรจง ฟัง คุณพึงพิศสั่งให้ข้าพเจ้าไปหา ซึ่งขณะนั้นคุณพึงพิศทำงานให้หลวงพ่อ คืองานสงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดาร และต้องการคนช่วยงาน ด้วยอานุภาพของลูกแก้วทำให้ข้าพเจ้าได้ทำงานนี้และเพื่อตอบแทนพระคุณหลวงพ่อ

เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ หลวงพ่อท่านได้เดินทางมาเปิดธนาคารข้าว ที่วัดดอนคนทา อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะถวายภัตตาหารซึ่งข้าพเจ้าทำเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต

ก่อนทำอาหาร ข้าพเจ้าเข้าห้องพระขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พรหม เทวดา บารมีหลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรี โดยเฉพาะท่านแม่ศรีคุมข้าพเจ้าในการทำอาหารครั้งนี้ถวายหลวงพ่อ

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะออกเดินทางไปวัดดอนคนทา จิตข้าพเจ้าสะดุดเหมือนมีคนบอกว่าให้เอาช้อนส้อมไปด้วย ๑ คู่ แต่ข้าพเจ้าไม่สนใจจึงไม่นำไป เมื่อถวายอาหารหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านตักข้าวที่ข้าพเจ้าหุงไปถวายเพียงปิ่นโตเดียว นำความปลื้มใจให้แก่ข้าพเจ้ามาก

แต่ก่อนที่จะฉัน เจ้าหน้าที่หาช้อนส้อมคุณภาพดีมาถวายหลวงพ่อ แต่ปรากฏว่าช้อนและส้อมที่ได้มาคุณภาพพอใช้ได้ ทำให้ข้าพเจ้าถึงบางอ้อ เพราะตอนออกเดินทางจิตสะดุดเรื่องช้อนกับส้อม ปี พ.ศ.๒๕๒๔ เจอหลวงปู่ฝั้น ขณะที่ข้าพเจ้าทำงานได้เปิดเทปของหลวงพ่อฟังไปด้วย

จิตคล้อยตามอารมณ์เป็นหนึ่ง จิตสะดุด ข้าพเจ้ามองตาเนื้อ ปลายหางตาข้างขวาเห็นหลวงปู่ฝั้นท่านยืนอยู่ ก็ส่งจิตกราบท่าน จิตกังวลไม่รู้จะทำอย่างไรดีท่านเลยหายไป นี่เพราะขาดปัญญาแท้ๆ แต่ไม่เป็นไรพยายามใหม่

ปี พ.ศ.๒๕๒๖ เจอผี ข้าพเจ้าพักบ้านพักครูตรงข้างประปา จ.ชัยภูมิ มีช่วงหนึ่งสร้อยคอข้าพเจ้าขาด ข้าพเจ้าพกเหรียญแหนบของหลวงพ่อ ตอนกลางคืนขณะที่ข้าพเจ้านอนหลับเหมือนมีคนขึ้นบ้าน มีผีตัวสีดำตัวหนึ่งมันนั่งข้างๆ หัวนอนข้าพเจ้า และผีตัวอื่นๆ กำลังเข้ามาในบ้านประมาณ ๓๐ ตัว

แต่ผีที่อยู่ที่ข้างแหนบหัวนอน กำลังเอื้อมมือมาบีบคอของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าร้องไห้หลวงพ่อช่วย พอมันเจอเหรียญแหนบที่ข้าพเจ้าแนบกับเสื้อไว้ มันก็ผละออกไป ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ และสวดมนต์ไหว้พระ ฟังเทปของหลวงพ่อทันที

ปี ๒๕๒๗ ขอบารมีหลวงพ่อตั้งชื่อให้น้องสาว น้องสาวของข้าพเจ้าจบมหาวิทยาลัยรามคำแหง ปี ๒๕๒๕ หางานไม่ได้ ก็เรียนเนติบัณฑิตต่อ ขณะเดียวกันหางานไปด้วย และมีลูกศิษย์หลวงพ่อบอกว่า ที่น้องข้าพเจ้าได้งานยากเพราะกรรมเก่าชอบเอาคนออกจากงาน พี่สาวพาน้องสาวไปหาพระที่วัดมหาธาตุ (ขออภัยจำชื่อไม่ได้ ท่านก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ)

เพื่อดูชื่อน้องสาวว่าเป็นศิริมงคลหรือไม่ ท่านบอกให้เปลี่ยนชื่อใหม่ พอสิ้นเดือนข้าพเจ้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อกราบหลวงพ่อ เจอพี่สาวและน้องสาวเล่าเรื่องเปลี่ยนชื่อให้ฟัง ด้วยความเป็นห่วงน้องจึงพาไปกราบหลวงพ่อเพื่อขอเปลี่ยนชื่อ

แต่ก่อนเข้าไปกราบ ข้าพเจ้าขอบารมีพระพุทธเจ้า บารมีหลวงปู่ บารมีท่านปู่ ท่านย่า โดยเฉพาะท่านแม่ศรี ถ้าการเข้าไปครั้งนี้ หลวงพ่อท่านเมตตาเปลี่ยนชื่อให้ก็ขอให้ท่านพูดด้วย ถ้าไม่สมควรประการใดก็ขอให้ท่านอย่าพูดด้วย แต่หลวงพ่อท่านเมตตา

ข้าพเจ้า “ลูกขอประทานหลวงพ่อช่วยเมตตาตั้งชื่อน้องสาวด้วยเจ้าค่ะ”
หลวงพ่อ “เอาชื่อเก่าข้างบนก็แล้วกัน ชื่อว่า สุมนา”
ข้าพเจ้า “แปลว่าอะไรเจ้าคะ”
หลวงพ่อ “ใจงาม บอกน้องสาวอย่าไปทะเลาะกับใครนะ”

ข้าพเจ้าและน้องสาวก้มกราบขอบพระคุณหลวงพ่ออย่างซาบซึ้งใจ และต่อมาน้องสาวก็ได้ทำงาน
ปี พ.ศ.๒๕๒๗ – ๒๕๒๘ ช่วงนี้กลุ่มลูกศิษย์หลวงพ่อใน จ.ชัยภูมิ พากันฝึกเข้มรักษาศีล ๘ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่บ้านคุณพึงพิศเปิดการฝึกมโนมยิทธิ โดยคุณพึงพิศเป็นครูฝึก สภาวะที่ข้าพเจ้ารับได้เมื่อคุณพึงพิศถาม ข้าพเจ้าเห็นแสงสว่างจ้าอยู่บนศีรษะของคุณพึงพิศ และในวันนั้นท่านแม่ศรีก็มาด้วย

ในช่วงนี้ข้าพเจ้าพักที่บ้านลูกศิษย์หลวงพ่อ พวกเราสวดมนต์เย็น วันหนึ่งข้าพเจ้าอยากลองเป็นครูฝึก (ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อที่ศาลาพระวิสุทธิเทพแล้ว) ข้าพเจ้าเข้าห้องพระกราบขอบารมีองค์สมเด็จ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พรหม เทวดาทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อเป็นที่สุด

ตลอดจนบารมีท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรี ช่วยคุมลูกในการสอนมโนมยิทธิครั้งนี้ด้วยเถิด ขณะที่ทำจิตให้ตั้งมั่นในพรหมวิหาร ๔ ข้าพเจ้าเห็นแสงสว่างพุ่งจากพระพุทธรูปมายังตัวข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่าการสอนครั้งนี้มีทุกๆ พระองค์คุม ข้าพเจ้าพาผู้ได้รับการฝึกไปถึงพระจุฬามณีเท่านั้น เพราะผู้ได้รับการฝึกเข้าสมาธิลึก

ปี พ.ศ.๒๕๓๑ เริ่มชีวิตครอบครัว ข้าพเจ้าเห็นสัจธรรม และยอมรับในคำสอนขององค์สมเด็จและหลวงพ่อที่ท่านสอนทั้งทางโลกและทางธรรมได้ดีจริงๆ แต่ความผูกพันในองค์หลวงพ่อกับข้าพเจ้าหรือลูกทุกๆ คนมีมากมาย จะตอบแทนพระคุณอันมหาศาลของท่านนั้นไม่หมด แม้ข้าพเจ้าจะมีบุตรชายทั้ง ๒ คน ก่อนตั้งครรภ์ก็ฝันเห็นองค์ท่าน

บุตรชายคนแรก ฝันว่าหลวงพ่อมอบกล่องสีขาวให้
บุตรชายตนที่ ๒ ฝันว่าหลวงพ่อให้ดูสิ่งมหัศจรรย์ แล้วเห็นเป็นลูกแก้วใส

ข้าพเจ้าเขียนมาทั้งหมดนี้ คุณความดีถ้ามีพอ ลูกขอถวายหลวงพ่อ ขณะนี้หลวงพ่อท่านมรณภาพไปแล้ว แต่ในจิตสำนึกของข้าพเจ้ายังมีองค์หลวงพ่อในดวงใจตลอดไป เพราะหลวงพ่อเป็นผู้มีพระคุณที่สอนลูกหลานให้เห็นทางอันวิเศษ นั่นคือพระนิพพาน


“พระคุณพ่อ”

พัทยา – เกษม – ภัทร์กร – กิตติยา วงศ์สวรรค์


คุณใดหนอ จะเปรียบเทียบคุณพ่อ พระคุณก่อ สอนสั่ง ดั่งธารใส
ทุกคำพ่อ ถ่ายทอด ถอดจากใจ พ่อมอบให้ แด่ลูก เพื่อปลูกดี
ธรรมดั่งแก้ว แผ้วผ่อง พ่อส่องให้ ลูกเห็นได้ ใช้ธรรม นำวิถี
เดินทางไป ไม่หลง วงโลกีย์ พระคุณนี้ จำมั่น ทุกวันวาร

พ่ออดทน มิเหนื่อยหน่าย แม้กายป่วย ก็เพราะด้วย กรุณา มหาศาล
สั่งสอนด้วย เมตตาล้น พ้นประมาณ ไม่ต้องการ ใดตอบต่อ ขอให้ดี
ต่อแต่นี้ ลูกจะเห็น ใครเช่นพ่อ พระผู้ก่อ กอบสัตว์ ลัดวิถี
พระผู้บอก ทางธรรม นำชีวี พระผู้มี เมตตา พานิพพาน

คงเหลือเสียง พ่อสอนสั่ง ที่ดังอยู่ ให้โลกรู้ แนวธรรม ตามคำขาน
พ่อสอนให้ ชาวโลกซึ้ง ถึงนิพพาน ทุกวันวาร พ่อชี้ ทางหนีกรรม
พระคุณนี้ สุดแทนทด ให้หมดได้ ลูกซึ้งใจ พระช่วยชุบ อุปถัมภ์
กราบแทบเท้า เฝ้าปฏิบัติ ตามสัทธรรม มีพ่อนำ สู่นิพพาน สราญรมย์

ลูกและครอบครัวขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อที่เคารพยิ่งของลูก หากลูกและครอบครัวกระทำสิ่งใดที่เป็นความผิดต่อหลวงพ่อ จะด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตาอดโทษให้กับลูกและครอบครัวในครั้งนี้ด้วยเถิด ลูกและครอบครัวขอปฏิญาณตนว่า จะตั้งใจรับใช้พระศาสนาและหลวงพ่อตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
กราบเท้าด้วยความเคารพอย่างสูง

ll กลับสู่สารบัญ


37
ครอบครัวมีความสุขได้ด้วยบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

บุญสม ทรัพย์กล้า


.....ปี พ.ศ.๒๕๒๓ ดิฉันได้มากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และมารับฟังคำสอนของท่านที่ซอยสายลม เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ดิฉันเป็นคนใจร้อนโกรธง่าย ชีวิตครอบครัวก็ไม่ค่อยมีความสุข จะมีเรื่องทะเลาะกับสามีเป็นส่วนใหญ่ แต่สามีก็มิได้โต้ตอบอะไร เพราะเธอเป็นคนใจเย็น

...และยิ่งมาตอนหลังนี้เธอได้มาอ่านหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน บันทึกโดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เธอก็ปฏิบัติด้วยตนเอง นั่งฝึกคนเดียวตอนดึกๆ ไม่ให้ดิฉันและลูกๆ รู้ พอดิฉันตื่นขึ้นมาเห็นเธอนั่งก็ตกใจในตอนแรกๆ ตอนหลังเห็นจนชินแล้ว ต่อมาเธอก็มาสอบมโนมยิทธิได้แล้วก็มาเล่าให้ดิฉันฟังแบบดีใจมาก

...ดิฉันฟังแล้วก็สนใจ และได้พากันมากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อกันทั้งครอบครัว และได้รับฟังคำแนะนำในการปฏิบัติเบื้องต้น คือท่านให้บริจาคทาน เป็นการเฉลี่ยความสุขให้ผู้อื่น เพื่อลดความตระหนี่ของตัวเราเอง และเป็นการตัดความโลภไปในตัว และท่านสอนให้รักษาศีล เพื่อรักษากายวาจาให้เรียบร้อยมีเมตตาด้วยพรหมวิหาร ๔ เพื่อตัดความโกรธ

และท่านก็ให้เจริญภาวนาเพื่อกำจัดความหลง หรือความโง่ของตัวเราเอง ดิฉันก็มาคิดแล้วก็ปฏิบัติตามท่าน ต่อมาก็ได้มโนมยิทธิกันทั้งครอบครัว ลูกดิฉัน ๓ คน ทุกวันนี้โตกันหมดแล้ว ไม่ดื้อเลย ไม่เคยฆ่าสัตว์ทุกชนิด ว่าก็ง่าย เลี้ยงก็ง่าย มีเมตตากันทุกคน และมากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อกันทุกเดือน

พระคุณหลวงพ่อมีกับครอบครัวของดิฉันมากจริงๆ สุดประมาณมิได้ ถึงแม้ครอบครัวดิฉันจะไม่รวยนัก แต่ก็ไม่เคยสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง และมีลูกไม่เกเร มีงานทำก็ภูมิใจแล้ว มีคราวหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้แจกพระบรมธาตุที่ซอยสายลม กทม. เป็นงานคล้ายวันเกิดท่าน ดิฉันและสามีและลูกก็ไปรับมา ก็ได้รับแจกมาหลายองค์

ดิฉันและสามีก็มาปรึกษากันว่า เราควรเอาพระบรมธาตุที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านแจกให้นั้น แบ่งเอาไปให้วัดบ้านเกิดของเรากันบ้าง ดิฉันปรึกษากันแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรอีก พอตกตอนกลางคืนค่อนจะสว่าง ดิฉันจำได้ว่าเป็นประมาณ ตี ๔ กว่าเล็กน้อย ฝันเห็นท่านแม่ศรีสวยมาก ท่านมาบอกว่าที่ลูกคิดกันน่ะดีแล้วนะลูก

ท่านก็บอกอีกว่าถ้าจะคิดเอาไปขอให้เป็นมานพน้อยเถิด ในฝันก็รู้มาเลยว่ามานพน้อยที่ท่านแม่บอกให้นั้นก็คือลูกแก้วมณีรัตนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรานั่นเอง ท่านแม่ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ถ้าเอาพระบรมธาตุไปให้เขาแล้ว ถ้าเขาเกิดศรัทธาก็ดีไป ถ้าเขาไม่เกิดศรัทธาเขาก็จะเห็นเป็นเม็ดกรวดเป็นเม็ดทรายไปได้

ท่านแม่บอกว่าของที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านแจกให้นั้น ท่านให้กับลูกๆ โดยเฉพาะ ให้เก็บไว้บูชากันเพื่อเป็นศิริมงคลและเป็นกำลังใจในด้านปฏิบัติของลูกๆ และควรเก็บรักษากันไว้ให้ดีๆ

พอได้ฟังที่ท่านแม่สั่ง ดิฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากราบด้วยความปลื้มปีติอย่างล้นพ้น ใจมันคิดว่าตัวเรานี้ปฏิบัติอย่างนี้ท่านแม่ท่านยังห่วงและมาสงเคราะห์ด้วยความเมตตา และตั้งแต่นั้นมาก็ปฏิญาณกับตัวเองว่าจะทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว เพราะได้พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง และจะช่วยเหลือท่านและรับใช้พระศาสนา

เท่าที่กำลังทรัพย์จะหามาได้ด้วยความสุจริต ด้วยหยาดเหงื่อของดิฉันเอง ขอให้ลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทุกๆ คนจงภูมิใจเถิดว่า เป็นโอกาสและเป็นบุญของท่านทั้งหลายแล้วที่ได้พบเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ และคำสอนที่ถูกต้องเมื่อปฏิบัติแล้วได้เข้าถึงมรรคผลกันทุกคนจริงๆ

ll กลับสู่สารบัญ


38
พ่อพระของเรา

สุนันทา สุขธยารักษ์


.....แสนอาลัยหลวงพ่อเสมอ เสียดายในเนื้อนาบุญที่หายากอย่างนี้ ดีใจที่หลวงพ่อท่านหมดทุกขเวทนาจากขันธ์ ๕ รักและคิดถึง น้ำใจพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่มีความอดทนเป็นเลิศ ที่ได้แนะนำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ให้เราได้โชติช่วงชัชวาล สว่างแจ่มใสอยู่ในดวงจิตของหลายๆ คนที่ได้มาพบหลวงพ่อ
.....และปฏิบัติ ทาน ศีล สมาธิ ได้ปัญญาคิดตามในวิปัสสนาญาณ ศึกษาหนังสือเล่มไหน ฟังเทปเมื่อไรชื่นใจและเข้าใจง่าย ทำให้รู้จักความสุขที่แท้จริงคือพระนิพพาน พระบารมีหลวงพ่อท่านกว้างใหญ่ไพศาลนัก จะต้องจารึกไว้อีกหลายรุ่นคนทีเดียว ได้ศึกษาหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ประวัติหลวงพ่อปาน เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

และที่ชอบมากคือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ชอบการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อท่านเป็นพิเศษ ปฏิบัติเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ต่อสู้อุปสรรคไม่ท้อถอย มีวิริยะอุตสาหะเป็นที่ตั้ง เพื่อให้สำเร็จทุกจุดตามคำสั่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วหลวงพ่อเราทำได้ดีจนบรรลุพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ได้พบพระนิพพานที่แจ่มใส

คุณวิเศษนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศของเรา ทำให้ฉันภูมิใจในการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อตลอดมาที่ได้รู้จักกับท่าน ในเมื่อเราพบหลวงพ่อและได้ปฏิบัติตามแล้ว ไม่ต้องไปค้นหา ถึงหาจ้างให้ก็ไม่พบ ไทยเราไม่เคยสิ้นผู้มีบุญมาแนะนำคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาเลย ถ้าบุคคลใดต้องการ

หลวงพ่อพยายามทุกทางที่จะบอกความจริงว่า นรก เปรต อสุรกาย สวรรค์ พรหม พระนิพพานมีจริง หลวงพ่อมีความอุตสาหะและเหนื่อยขนาดไหน แม้ร่างกายจะเจ็บป่วยเสมอๆ อดทนเพื่อพวกเราตลอดมา หลวงพ่อไม่เคยบ่น ค้นหาวิชาที่จะถ่ายทอดให้ลูกๆ ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด มิได้เก็บความสำเร็จไปพระนิพพานได้คล่องแต่พระองค์เดียว

ผลที่สุดหลวงพ่อก็ทำสำเร็จ ได้มโนมยิทธิขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วมาฝากให้ลูกๆ และหลายๆ คนได้พิสูจน์ และสัมผัสรู้จัก นรก เปรต อสุรกาย สวรรค์ พรหม พระนิพพานมีจริง ให้หมดความสงสัย พระคุณหลวงพ่อฤาษีในครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก และฉันได้พิสูจน์มโนมยิทธิสัมผัสแล้วมีจริงทุกอย่าง ทำให้ปลาบปลื้มเพราะเป็นของที่หายาก

ในอสุภกรรมฐานและกายคตานุสสติ หลวงพ่อสอนได้ไพเราะ ฉันได้เข้าใจดีขึ้นว่าร่างกายจริงๆ แล้วมันสกปรกโสโครกมาก และมีทุกข์ตลอดกาล ยิ่งตอนเจ็บป่วยทุกข์มาก พลัดพรากจากกันก็ทุกข์ มีกินก็ทุกข์ วันทั้งวันยุ่งแต่ร่างกาย ยุ่งทำกินเล่นแต่ของเก่า วนไปก็วนมา พอกันที อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

และใครได้ทำบุญกับหลวงพ่อคงดีใจเสมอ เพราะหลวงพ่อเป็นพระอาจารย์ที่ชาญฉลาดนัก ท่านทรงอารมณ์จิตในฌาน ๘ ว่องไวเป็นพิเศษ สมเป็นพ่อพระที่ประเสริฐแล้ว ทำให้ฉันเห็นธรรมในอริยสัจ ๔ และมีกำลังใจในการตัดสังโยชน์พอจะได้บ้าง

ลูกขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมยานด้วยความเคารพยิ่ง และได้มองเห็นความโง่ที่ได้เกิดมานาน ขอฉลาดกับเขาบ้าง
พระธรรมใดที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจบกิจ หลุดพ้นได้พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้และไปดีแล้ว ลูกขอพระธรรมนั้นเพ่อหลุดพ้นเหมือนหลวงพ่อฤาษีในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/4/11 at 13:22 [ QUOTE ]


39

บูชาและอาลัยพ่อ


ทนงฤทธิ์ สีทับทิม


.....พ่อตาย เราเคยร้องไห้กันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในอดีต คราวนี้พ่อไปแล้วผมไม่ร้องไห้ แต่เสียดายที่พ่อไปเร็วกว่าที่คิด ผมเข้าข้างตัวเองเสมอว่า พ่อจะอยู่อีกนาน แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า พ่อจะไปเมื่อไรก็ได้ ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นพ่อในช่วงงานบุญวันเกิดของพ่อ เมื่อต้นเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ และงานกฐินที่วัดท่าซุง

....ผมมองดูร่างกายของพ่อเห็นว่าพ่อหายใจหอบ หายใจได้ไม่เต็มที่ ก็ไม่กราบเรียนถามอะไร หรือใครจะถามปัญหาก็จะบอกให้ผู้ถามเข้าใจว่าอย่าให้พ่อต้องพูดเพราะป่วยมาก จะเป็นบาป พ่อพูดน้อยกว่าปกติ ลูกๆ ก็คงรู้สึกถึงความป่วยของพ่อก็ไม่มีใครกวน ก็ได้แต่นั่งมอง นั่งมอง และก็นั่งมองพ่อ

...ผมมองๆ ไป ก็คิดสมมุติและชั่งใจเอาเองว่าถ้าพ่อทิ้งร่างไปในเวลานี้ ผมจะรู้สึกอย่างไร เสียใจไหม? คำตอบก็คือ มีความเสียใจที่ต้องจากคนที่เรารักและเคารพบูชา เสียดายที่ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันในเรื่องที่พ่อสอนแล้วสอนอีก ที่เป็นอยู่ก็เพียงแค่พื้นฐานเริ่มต้นเท่านั้น การปฏิบัติยังขาดตกบกพร่องอยู่ ฉะนั้นเห็นทีจะต้องเร่งรัดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เอาจริงเอาจังเสียที (ขณะที่พ่อยังอยู่) ก็ตั้งใจว่าอย่างนั้น ที่เป็นอยู่เดิมก็ตามอัธยาศัยแต่ไม่เหลวไหล มาคิดอีกทีหนึ่งว่า ถ้าพ่อไปอยู่ในที่สบายมีความสุข เหมือนย้ายบ้านใหม่ดีกว่าเดิม ซึ่งพ่อไปเสมอๆ ทุกวันอยู่แล้ว ถามว่าผมดีใจไหม? คำตอบคือผมอยากให้พ่อมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่ ไม่อยากให้พ่อทรมานกับสังขารที่เจ็บป่วย

เมื่อมาโปรดลูกๆ ที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริมฯ ในซอยสายลม พ่อต้องเดินทางมา พ่ออายุมากแล้วและป่วยมาก ไม่เหมาะที่จะต้องเดินทาง พ่อก็มาต้องนั่งทั้งวันเพราะมีคนมาทำบุญตลอดเวลาถวายสังฆทาน ถวายปัจจัยเพื่อการบุญต่างๆ มีงานบุญที่วัดพ่อก็ต้องนั่งทั้งวันอีก เมื่อกรรมพิธีเสร็จ เพื่อเจริญศรัทธาผู้คนที่มาทำบุญอีกเช่นกัน

เมื่อไม่มีงานบุญที่วัด พ่อก็ต้องทำงานประจำอยู่แล้ว และภาระของพ่อก็มากมายที่เราไม่เห็น จากประวัติของพ่อไม่เห็นมีตอนไหนที่พ่อสบาย เห็นมีแต่ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาและสงเคราะห์คนทั่วไป เมื่อพ่อทิ้งร่างไป ผมได้แต่ชะงักงันนิ่ง อาจจะเป็นเพราะผมชินกับการที่ถามใจตัวเองและกับคำพูดที่พ่อพูดเอาไว้ก่อนหน้านั้นบ่อยๆ

ว่าอย่าติดในร่างกายของพ่อ ความตายมาได้ทุกขณะ จะตายเมื่อไรก็ได้ ความตายเป็นของแน่นอน ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ทำให้ชินกับคำนี้ก็อาจเป็นได้ ไม่ใช่ว่าผมจะเก่งหรือทำใจได้ ผมไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชขณะนั้น ถ้าอยู่ด้วยก็คงเหมือนพี่ๆ น้องๆ ทั้งหลายนั่นแหละ

ก่อนหน้านั้นผมคิดบ่อยมากเกี่ยวกับคำพูดของพ่อ แต่ผมก็ไม่ได้เฉลียวใจว่าพ่อกำลังจะลาไป เมื่อมาถึงขณะนี้ผมมาทวนคิดย้อนกลับ จึงรู้ว่าผมเองมีสัมผัสที่หยาบมากที่ไม่ทราบว่าพ่อจะไป จิตใจก็ยังเข้าข้างตัวเองอยู่นั่นเองว่าพ่ออยู่กับเราอีกนาน อันที่จริงพ่อส่งสัญญาณมาให้แล้วให้เรื่อยๆ ถ้าย้อนกลับไปดูการสอน

พ่อสอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ผมยังนึกอยู่ในใจว่าพ่อสอนเหมือนตอนหลวงปู่ปานจะไปเช่นกัน (ซึ่งฟังได้จากเทป และพ่อเล่าให้ลูกๆ ฟัง) การพูด การเร่งทำงานของพ่อ ฯลฯ ก็จะเห็นได้ว่าพ่อรู้ แต่เราไม่รู้ว่าพ่อจะไป เมื่อพ่อทิ้งร่างไป มันเป็นจริงที่เหมือนฝัน ผมไม่อยากให้เป็นความจริง คิดว่าพ่อไปชั่วคราวอย่างเคยปฏิบัติ...

“หลวงพ่อหลับหรือ?” ไม่มีใครถามแล้วคำถามนี้ มีแต่อยากให้พ่อฟื้นขึ้นมา พ่อไปเร็วอย่างคาดไม่ถึง ได้แต่เดากันเอาเองกับความปรารถนาให้พ่อฟื้นขึ้นมา ก็เช่นเดียวกันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พ่อทำเอาไว้ เราคงคาดกันไม่ถึงว่าทำไมพ่อทำนั่น ทำไมพ่อทำนี่ บางครั้งผมสงสัย อยากรู้ผล รู้ก็เพียงแต่ว่าบารมีพ่อมีสูง พ่อมีความสามารถจึงทำได้

ความโง่เกิดขึ้นเพราะยังไม่เห็นผล เรียกได้ว่าเป็นคนสายตาสั้น จะรู้ก็ต่อเมื่อได้เห็นผลแล้วว่า... อ้อ... พ่อทำเพื่อการนั้นเพื่อการนี้ ทุกสิ่งพ่อทำไว้นั้นมีจุดหมายชัดเจน ด้วยสายตาที่ยาวไกลเกินกว่าผมจะรู้ได้ ต้องอาศัยท่านผู้รู้และท่านที่ได้รับคำตอบจากพ่อ หรือได้ร่วมทำงานกับพ่อ ตัวอย่างง่ายๆ ใครห่างวัดไปเพียงเดือนหนึ่งกลับมาอีกทีก็ต้องประหลาดใจ

โอ้โฮ พื้นที่จอดรถที่เป็นลานกว้างมากที่ ๒๕ ไร่ พ่อให้เทปูนเต็มหมด อาคารห้องกรรมฐานพ่นสีเกือบเสร็จ ซึ่งไม่ใช่พื้นที่น้อยๆ วิหารองค์ปฐมใกล้จะเสร็จ พ่อทำเหมือนกับว่ามันง่ายๆ รู้สึกทุกอย่างเสร็จทันอกทันใจไปหมด เร็วอย่างคาดไม่ถึง เรื่องคุณประโยชน์ก็มหาศาลอย่างที่เราคาดไม่ถึงแน่นอน แล้วคอยดูผลกันต่อไป ก่อนเราตายต้องได้เห็นกันในทุกสิ่งที่พ่อสร้างสรรค์และสั่งสอนไว้

พ่อทิ้งกายเนื้อไปแต่พ่อไม่ได้ทิ้งลูกๆ เราเองรู้สึกว่าพ่อยังอยู่กับเราเสมอ เป็นจริงอย่างที่พูดเอาไว้ว่า

“ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กบลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลุกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”

คำพูดของพ่อกินใจมาก อบอุ่นเป็นพิเศษ ไม่กล้าที่จะทำผิดแนวทางไป เพราะพ่ออยู่ใกล้ๆ นี่คือมรดกที่มอบให้กับทุกๆ คน ใครที่รับได้ก็รับเอา ใครกอบโกยได้ให้กอบโกยเอาตามอัธยาศัย พ่อไม่ลำเอียงก็ขึ้นอยู่กับปัญญาและกำลังใจของแต่ละบุคคล สังขารของพ่ออยู่ที่วัดยังไม่สลาย ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่วัดทั้งหมด พ่อไม่ได้ทิ้งวัดไป

อยากดูร่างของพ่อให้ไปดูที่วัด อยากฟังเสียงของพ่อให้ซื้อเทปไปฟัง อยากเห็นพ่อหัวเราะพูดคุยตอบคำถามก็ให้ซื้อเทปวีดีทัศน์ หรือจะขึ้นไปกราบที่พระนิพพานก็ย่อมได้ แม้จะกราบที่ตักก็ตามที จะเข้าไปอยู่ในใจพ่อยิ่งดีใหญ่ก็ไม่มีใครว่า ศาสนสมบัติทุกอย่างอยู่ที่วัด วัดที่พ่อสร้างขึ้นก็ได้ชื่อว่าลูกสร้างเช่นกัน

แล้วลูกๆ จะทิ้งวัดไปก็ดูกระไรอยู่ ถ้าลูกทิ้งวัดนั่นก็คือลูกทิ้งพ่อ ลูกๆ ของพ่อคงไม่มีใครทำ อยากขอพรของพ่อให้อธิษฐานขอ อยากพบพ่อขออาราธนาพ่อก็มาพบในฝัน
พ่อเริ่มสร้างวัดตั้งแต่เป็นกุฏิกระต๊อบริมน้ำจนปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๓๕ สิ่งใหม่พ่อสร้าง สิ่งของเก่าพ่อบำรุงรักษา มากกว่า ๒๐ ปีที่พ่อสร้างและสั่งสมทุกสิ่งที่เห็นได้ที่วัดท่าซุง

คือ ความวิริยะของพ่อ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นวัด โรงพยาบาล อุปกรณ์พร้อมโรงเรียน พระพุทธรูปสำคัญ พระพุทธรูปชำระหนี้สงฆ์จำนวนมา มหาวิหารแก้ว มณฑปแก้ว อาคารห้องกรรมฐานหลายร้อยห้อง ศาลาใหญ่มากหลายหลัง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่พ่อถ่ายทอดออกมาเป็นหลายรูปแบบ เป็นหนังสือมากชนิด เป็นเนื้อๆ เป็นนิทาน

เป็นการคุยกัน เป็นเสียง เป็นรูป พ่อสร้างศรัทธาสาธารณะ ผู้มากราบมาจากที่ต่างๆ ตั้งแต่เด็กเริ่มเกิดจนถึงคนแก่เกือบตาย พ่อมีกรรมพิธีต่างๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ วัตถุมงคลที่เต็มที่ไปด้วยพระพุทธคุณอันประเสริฐ พระธรรมคุณอันยิ่งใหญ่ พระอริยสงฆคุณอันอเนก ใครเจ็บไข้ได้ป่วย พ่อมียาให้เลือกหา

ชีวิตนี้จะหาที่ไหนได้ในสถานที่แห่งเดียวเช่นนี้ ดูสมบูรณ์แบบพร้อมไปทุกอย่างทุกประการ แสดงถึงใจเข้มแข็งและความเมตตา ความสามารถของพ่ออย่างสูงสุด แม้วันสุดท้าย ก่อนการทิ้งสังขาร พ่อป่วยหนัก พ่อยังคงอดทนนั่งต้อนรับแขกผู้มีศรัทธามากราบมาทำบุญ พ่อทำอย่างคำที่พ่อพูด

...ขอมอบกายถวายชีวิตแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...

นับเป็นความเมตตาอย่างมหาศาลที่พ่อมีให้ลูกๆ


ผมอธิษฐานเสมอๆ ว่า ขอให้มีดวงจิตที่เข้มแข็งเหมือนพ่อ ขออาราธนาบารมีของพ่อ มากำหนดจิตของผม พ่อเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์ที่ลูกๆ ปฏิบัติตาม พ่อวางแผนไว้ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน รู้ว่าลูกชอบรูปธรรม พ่อก็ทำวัตถุมงคลให้เพื่อปกป้องรักษาลูกๆ เพื่อความคล่องตัวในการดำรงชีพ

รู้ว่าลูกๆ ชอบนามธรรมพ่อก็สอนวิธีการปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานได้โดยสะดวกด้วยวิถีทางลัด พ่อให้ไปพระนิพพานเป็นกิจวัตรทุกๆ วัน วันไหนเราตายอย่างที่เราคาดไม่ถึง เราก็จะได้ไม่ต้องหวนกลับมาเกิดอีก ก็จบกันไปสำหรับวัฏสงสารอันนานไม่อาจนับนี้

การไปวัดท่าซุงเพียงครั้งหนึ่ง คุณค่าที่จะหาได้นั้นมามากมาย ถ้ารู้จักหา ถ้าไปบ่อยก็ยิ่งได้สิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนพ่อไปโปรดลูกๆ ตามที่ต่างๆ ต่อนี้ไป ลูกๆ จะไปกราบพ่อเพื่อเป็นการระลึกถึงพ่อผู้มีพระคุณ ระลึกถึงบุญที่เคยร่วมทำมากับพ่ออันเป็นโอกาสอันยากที่หาได้อีกแล้ว ความซาบซึ้งที่พ่อให้ ให้รู้จักพระพุทธศาสนาอันละเอียดอ่อนลึกซึ้ง

ให้รู้จักองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างแท้จริง ให้รู้จักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ พ่อให้รู้จักพระพุทธคุณอันยิ่งใหญ่ ให้รู้จักเป็นพระที่แท้จริง ให้เรารู้จักตนเอง ลูกๆ ขอเก็บเอาไว้เป็นสมบัติ อันยากที่จะหาสมบัติใดมาเปรียบคุณค่ามหาศาลนี้ได้ บุญใดที่ทำขณะที่พ่อยังมีสังขารอยู่ บุญนั้นลูกก็จะทำต่อไปอย่างเต็มที่ตามความสามารถ

ถึงแม้ว่าพ่อละขันธ์ห้าไปแล้วก็ตาม จนกว่าจะถึงวาระของลูก และเมื่อนั้นขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ พรหม เทวดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอท่านพ่อ ท่านแม่ มารับ ลูกขอไปขบวนใหญ่ด้วยสักคนและขอรบกวนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้

ลูกขอกราบอุทิศบุญกุศลทั้งหมด จะมากน้อยเพียงใดก็ตาม ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันแด่พ่อ กราบขออนุโมทนาบุญกุศลของพ่อทุกอย่างที่ได้บำเพ็ญมาแล้วทุกๆ ชาติ ตั้งแต่ต้นจนถึงพระนิพพาน และโปรดอดโทษแก่ลูก หากประมาทพลาดพลั้งปรามาสด้วยประการทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด

ลูกขอกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่ง

ll กลับสู่สารบัญ


40

หลวงพ่อผู้มอบชีวิตใหม่แก่ข้าพเจ้า


วันเพ็ญ แพร้วรุ่งเรือง


.....ข้าพเจ้า ใช้เวลาตัดสินใจนานพอสมควร ที่จะเขียนเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผู้มอบชีวิตใหม่แก่ข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าเพิ่งจะหันหน้าเข้าหาหลวงพ่ออย่างจริงจังก่อนที่ท่านจะมรณภาพเพียง ๖ – ๗ เดือนเท่านั้น

... แต่จากประสบการณ์ หลังจากได้รับการฝึกมโนมยิทธิแล้ว และนำไปปฏิบัติ และเรื่องราวต่างๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนจริงๆ เรื่องก็คงจะยาวมาก จึงจะขอย่อเอามาเพียงบางส่วนเท่านั้น

... ข้าพเจ้า เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้มากราบท่าน และนึกอยู่เสมอว่า ทำไมพระองค์นี้จึงชื่อแปลกจัง อยากเห็นจริงๆ ในขณะนั้น เรื่องศรัทธายังไม่ทราบว่าเกิดหรือยังเพราะยังไม่เคยพบท่าน ต่อมาปี ๒๕๓๒ จึงได้มีโอกาสมาวัดท่าซุงในงานเป่ายันต์เกราะเพชร และงานทอดกฐินในปีเดียวกัน

... ก็รู้สึกว่าหลวงพ่อเป็นพระที่น่านับถือ วัดก็ใหญ่โตสวยงามดี และเคยอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์มาบ้าง ก็รู้สึกติดใจในคำสอนของท่าน แต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะมาวัดท่าซุงอีก จนกระทั่งหลวงพ่อจะทำพิธีหล่อสมเด็จองค์ปฐมเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๓๕ ที่ผ่านมา ก็มีความตั้งใจว่าจะมาร่วมงานนี้ด้วย

...แต่ด้วยสาเหตุบางประการทำให้ต้องพลาดโอกาสสำคัญเช่นนี้ไปอีก ได้แต่ส่งปัจจัยมาร่วมทำบุญและอธิษฐานกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อเจ้าขา ลูกได้เคยมาทำบุญที่วัดหลวงพ่อ ๒ ครั้ง ปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ขอเป็นลูกหลวงพ่อ แต่ไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะรับลูกเป็นลูกศิษย์ เป็นลูกของพ่อหรือเปล่า”

ด้วยคำอธิษฐานนี่เอง ในคืนวันนั้นหลวงพ่อได้ไปโปรดข้าพเจ้าถึงบ้านในห้องนอน ได้กราบท่าน ๓ ครั้ง แต่ไม่ได้พูดอะไรกัน ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าหลวงพ่อรับเราแล้ว ก็มีความตั้งใจว่าอยากฝึกมโนมยิทธิ (อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร) และคิดว่านี่คือสมบัติที่พ่อจะให้

พอเดือนเมษายน หลวงพ่อไปซอยสายลม จึงได้หาโอกาสมากราบและทำบุญกับท่าน และจะมาดูด้วยว่าการฝึกมโนมยิทธิเขาทำการอย่างไร จะได้กลับไปเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ ยังไม่คิดว่าจะฝึกในเดือนนั้น แต่ก็ไม่ทราบสาเหตุใดทำให้ข้าพเจ้าต้องไปหยิบดอกไม้-ธูป-เทียน ขึ้นไปบูชาครูชั้นบน

ใจก็คิดว่าเมื่อบูชาครูแล้วก็ลองฝึกดู ได้ก็เอาไม่ได้ก็ไม่เสียใจ เพราะใจจริงก็ยังไม่พร้อม ผลการฝึกในครั้งนั้น ครูฝึกบอกว่าผ่าน แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองคิดว่ายังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เพราะสู้คนอื่นไม่ได้ พอฝึกญาณ ๘ ต่อ ก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง ครูฝึกแนะนำให้กลับไปถือศีลและทำทาน

เมื่อข้าพเจ้ากลับไปบ้านก็เริ่มถือศีลและทำทาน โดยการสละทรัพย์ใส่บาตรวิระทะโยทุกวัน ส่วนการฝึกสมาธินั้นข้าพเจ้าปฏิบัติเองมาเป็นเวลานานแล้ว โดยใช้พุท-โธ ต่อมาก็หัดเปลี่ยนใหม่เป็น นะมะพะธะ แล้วเดือนพฤษภาคมก็ไปฝึกใหม่ที่สายลมอีก คราวนี้ได้ผลดีกว่าที่คิดไว้เสียอีกคือ แจ่มใสกว่าเก่ามาก (ในความรู้สึก)

และมาฝึกต่อที่วัดท่าซุงเป็นเวลาครึ่งเดือน ด้วยความตั้งใจมากๆ ว่า จะต้องเอาดีในด้านพระกรรมฐานให้จงได้ และด้วยความตั้งใจมั่นนี้เอง ที่ข้าพเจ้าได้ประสบกับหลายๆ สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะมีจริง ผู้ที่เคยผ่านการปฏิบัติมาแล้วคงทราบดีกันดี สิ่งที่หลวงพ่อสอนนั้นมีจริงๆ และเป็นไปได้ทั้งนั้น

ทั้งนรก-สวรรค์-พรหม-นิพพาน-พระพุทธเจ้า และอีกหลายอย่างที่เราสามารถที่จะไปพบไปเห็นได้รู้ได้ด้วยญาณทั้ง ๘ (ถ้าใครไม่เชื่ออยากจะขอท้าให้ทดลองด้วยตัวเอง แต่ต้องปฏิบัติด้วยความเรารพในพระรัตนตรัยด้วย) จากนั้นข้าพเจ้าก็กลับไปปฏิบัติต่อที่บ้านไม่เคยทิ้ง จนทุกวันนี้ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างในทางที่ดีขึ้นแทบไม่น่าเชื่อ

ทุกครั้งเมื่อมีเทศกาลปีใหม่มาถึง ข้าพเจ้าจะถามตัวเองอยู่เสมอว่า เราได้ทำอะไรให้ตัวเราเองบ้างในแต่ละปีที่ผ่านมา มีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง พิจารณาดูแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ทุกอย่างเหมือนเดิม ปีแล้วปีเล่า จะเปลี่ยนก็เพียงตัวเลข คืออายุที่มากขึ้นเท่านั้น และกำลังเดินเข้าหาความตายอยู่ทุกขณะ

แต่มาปี ๒๕๓๕ นี้ ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจที่ได้พบหลวงพ่อ ภูมิใจที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น เพราะหลังจากได้ฝึกกรรมฐาน และได้รับคำสอนของหลวงพ่อนำไปปฏิบัติ ศีล ทาน สมาธิ (ปัญญาคงยังไม่ต้องพูดถึง เพราะข้าพเจ้าเองยังโง่เขลาอีกมาก) ทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ จึงรู้ว่าชีวิตใหม่นี้มีความสุขขึ้นจริงๆ ยากที่จะบรรยายเป็นตัวอักษรได้

ถ้าผู้ใดได้ปฏิบัติให้ถึงแล้วก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเป็นอย่างไร ดังคำพรของพระที่ว่า สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา ศีลจะทำให้เราเยือกเย็นมีความสุข ศีลจะทำให้เรามีทรัพย์บริบูรณ์คล่องตัวขึ้น และอื่นๆ อีกหลายประการที่ตามมา ล้วนแต่เป็นความดีทั้งสิ้น

ส่วนสีเลนะ นิพพุติง ยันติ ข้าพเจ้าเองยังบอกไม่ได้เพราะยังไม่เคยตาย แต่ก็มีใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา และตั้งใจจะไปให้ถึงให้จงได้ในที่สุดของชีวิตนี้
พระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงเปรียบเสมือนผู้ประทานชีวิตใหม่ให้ข้าพเจ้า จากคนที่เคยใจร้อน มีความประมาท มีทิฐิมานะ และไม่ยอมแพ้ใคร

แต่ข้าพเจ้าก็ต้องมายอมแพ้พระธรรมและคำสอนของหลวงพ่อ ทำให้มีสติได้คิด ทุกสิ่งที่เคยเป็นมาและผ่านมา ลำพังเพียงแค่ขันธ์ ๕ เราก็ทุกข์มากพออยู่แล้ว แล้วทำไมจะต้องมาคบกับกิเลสเหล่านี้เพื่อมาเพิ่มทุกข์กับเราอีก จึงวางเสียด้วยการทรงพรหมวิหาร ๔ ทำให้จิตใจเบาสบายขึ้น

ถ้าเราไม่เกาะในทุกข์ ทุกข์ทั้งหลายก็จะไม่เกาะกับเราเช่นกัน ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้น ความทุกข์เหมือนของหนักที่เขาโยนมาให้เรารับ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จำเป็นต้องรับ เมื่อรับแล้วก็จงวางเสีย อย่ายึดถือเอาไว้ เพราะเราเองจะแย่ คือต้องแบกความทุกข์อยู่นั่นเอง ไม่มีใครเขามาหนักกับเราด้วยหรอก

มาบัดนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้จากพวกเราไปแล้ว แต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าคิดว่า ท่านยังอยู่กับพวกเราตลอดเวลาไม่ได้ไปไหนเลย เพียงแต่ขันธ์ ๕ ของท่านทรงสภาพอยู่ต่อไปได้เท่านั้นเอง หลวงพ่อยังอยู่ในใจของเราเสมอ ธรรมใดหรือความดีใดที่หลวงพ่อโปรดเมตตานำมาสอนลูกหลานของพวกเรา จงถือปฏิบัติกันให้ครบถ้วน และให้ถึงที่สุดให้สมกับคำว่า “ชาติสุดท้าย”

มรดกที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสร้างไว้ให้พวกเรานั้นมากมายนัก ทั้งในด้านวัตถุพระธรรมคำสอน ขันธ์ ๕ ของหลวงพ่อเป็นอย่างไรพวกเราก็ทราบกันอยู่ แต่ท่านยังอดทนบันทึกเป็นเทปไว้ให้พวกเราผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะท่านกลัวว่าลูกหลานจะไปลำบาก ท่านจึงยอมลำบากเสียเองมาตลอด อีกทั้งพระกรรมฐาน อภิญญาสมาบัติ

และงานด้านสาธารณประโยชน์ ซึ่งเป็นงานที่หลวงพ่อห่วงใยมาก และต้องการให้พวกเราช่วยกันทำต่อไป ข้าพเจ้าเองรู้สึกดีใจและภูมิใจ ที่ได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการทำงานนี้และจะตั้งใจทำต่อไป เพื่อสนองพระเดชพระคุณอันหาประมาณมิได้ของหลวงพ่อ และเพื่อสืบสานต่อเจตนารมณ์ของท่าน หลวงพ่อโปรดเมตตาสร้างทางไว้ให้เราได้มีโอกาสบำเพ็ญทานบารมีกัน

ก็จะขอเดินตามทางนั้นให้ถึงที่สุด ฉะนั้นจึงอยากขอพวกเราซึ่งเป็นลูกหลานหลวงพ่อด้วยกัน จงช่วยกันรักษามรดกและปฏิปทาของท่านไว้ ให้สมกับคำขวัญของพ่อที่ให้ไว้กับลูกว่า...

“ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่ากายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูกตลอดเวลา ลูกจะไปไหนชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”

พระคุณของหลวงพ่อเขียนเท่าไรก็คงจะหาที่สิ้นสุดได้ยาก ในครั้งนี้จึงขอย่อและยกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะเกรงว่าเรื่องจะยาวมากเกินไป ถ้าหากโอกาสหน้ามีอีก จะมีเรื่องเกี่ยวกับอานุภาพ วัตถุมงคล ผ้ายันต์ น้ำมันชาตรี ที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาด้วยตัวเอง รวมทั้งเรื่องหลวงปู่ปานสอนความรู้ให้ อันเป็นหนทางที่จะก้าวไปสู่อภิญญา ที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย

ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงๆ และคิดว่าอีกไม่นานเกินรอพวกเราคงได้รู้ได้พบอะไรต่อมิอะไรอีกมาก ขอให้ตั้งใจปฏิบัติกันให้ดี แล้วท่านอาจจะรู้ด้วยตัวเอง
ความดีใดหรือกุศลใดที่จะพึงมีในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา บิดา-มารดา ผู้มีพระคุณทุกท่าน ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

มีหลวงปู่ปานและหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด และหากความผิดพลาดประการใดที่พึงมี ข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว และขอขมาต่อพระรัตนตรัย ขอประทานอภัยแด่ผู้รู้ มา ณ ที่นี้ด้วย เพราะข้าพเจ้าเองก็ยังเป็นปุถุชน ผู้มีอวิชชาบังหน้าอยู่อีกมาก

ll กลับสู่สารบัญ


41

หลวงพ่อเมตตา


นันทวัน จุลกนิษฐ์


.....ข้าพเจ้าเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี แต่ไปทำงานที่จังหวัดนครราชสีมา และจะกลับไปเยี่ยมบ้านในวันหยุดเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบยี่สิบปีแล้วข้าพเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้าน พี่ชายซึ่งเป็นทหารกลับจากภาคใต้ หลังจากที่ถูกส่งไปช่วยราชการก็กลับอุบลฯ เหมือนกัน เขานั่งทานอาหารและดื่มเหล้ากับเพื่อนและคุยกันเสียงดัง

... ข้าพเจ้าได้ยินว่า เพราะได้ลูกประคำของหลวงพ่อฤาษีทำให้รอดตายจากกับระเบิด นี่คือต้นเหตุของการตามหาหลวงพ่อ เพียงได้ยินชื่อหลวงพ่อฤาษีเท่านั้น มีความรู้สึกทันทีว่าต้องส่งเงินไปถวายให้ได้ แต่ก็พลาดไปที่ไม่ได้ถามว่าหลวงพ่ออยู่วัดไหน จังหวัดอะไร กลับไปโคราชก็ไปเที่ยวถามใครต่อใครก็ไม่มีใครทราบ ทำเอาข้าพเจ้าอยู่ไม่สุข ทุรนทุรายทีเดียว

วันต่อมาคุณกัญจนา เอี่ยมบาง เธอไปติดต่อฝากบุตรเข้าโรงเรียน ข้าพเจ้าก็ถามเธอว่ารู้จักหลวงพ่อฤาษีไหม เธอบอกว่าเธอเป็นลูกศิษย์ ข้าพเจ้าดีใจมากรีบบอกเธอว่า จะส่งเงินไปถวายหลวงพ่อจะส่งไปได้ที่ไหน วัดอะไร จังหวัดอะไร คุณกัญจนาเธอก็ดีเหลือเกิน บอกว่าฝากไปกับเธอก็ได้ ข้าพเจ้าก็เริ่มส่งเงินถวายหลวงพ่อตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

หลวงพ่อก็ส่งใบโมทนาบัตรไปให้ข้าพเจ้า ใบโมทนาบัตรมีทั้งรูปหลวงปู่ปาน-หลวงพ่อมหาวีระด้วย ข้าพเจ้าส่งไปถวายส่วนองค์ แต่หลวงพ่อทำบุญต่อให้ข้าพเจ้าอีก คือซื้อที่ดินสร้างวัดท่าซุง

ข้าพเจ้าส่งเงินมาถวายหลวงพ่อ ร่วมกับคุณกัญจนา แต่ยังไม่มีโอกาสได้มากราบหลวงพ่อที่วัดเลย จนกระทั่ง คุณกัญจนาเตือนให้รีบไปกราบหลวงพ่อที่ซอยสายลม เพราะหลวงพ่อป่วยหนัก เดี๋ยวจะไม่ได้เห็นหน้าท่าน ความจริงข้าพเจ้าก็อยากจะไป แต่ความจนบังคับไปไหนไม่ได้ เพราะมีภาระต่างๆ มาก ลูกก็กำลังเรียนมหาวิทยาลัย

แต่การส่งเงินถวายหลวงพ่อเป็นความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวของข้าพเจ้า ยากจนแค่ไหนต้องส่งเงินถวายหลวงพ่อทุกเดือน ในความรู้สึกมีความผูกพันกับท่านมาก ตอนนั้นยังไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิ ตอนหลังถึงได้ทราบว่า เพราะอะไรถึงได้ผูกพันกับหลวงพ่อ

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ตัดสินใจไปกราบหลวงพ่อที่ซอยสายลม พอพบหน้าหลวงพ่อดีใจจนน้ำตาไหล คิดในใจว่าใช่แล้วพระองค์นี้นี่เราได้ตามหา หลวงพ่อให้พระทุ่งเศรษฐีมา ๑ องค์ เป็นพระองค์แรกที่ได้รับจากมือหลวงพ่อ และนำโชคมาให้ข้าพเจ้า ถือถูกล็อตเตอรี่เลขท้าย ๒ ตัว

พอถึงเวลาทอดกฐินข้าพเจ้าก็ยังไม่มีโอกาสได้มา เพียงแต่ฝากเงินมาร่วมด้วย และก็ได้รับองค์แก้วจากการที่ฝากเงินมาร่วมทอดกฐิน และข้าพเจ้าก็โชคดีอีกคือถูกเลขท้าย ๒ ตัวอีก ตอนนี้การเงินเริ่มดีขึ้น อยากจะมาเห็นวัดท่าซุงมาก ชวนคุณกัญจนา ให้หารถไปวัดท่าซุง ได้รถ ๒ แถวก็มากันเต็มรถ ออกจากโคราช ๒ โมงเช้า ถึงวัดท่าซุง ๒ ทุ่ม

ไม่รู้ทางเลี้ยวผิดเลี้ยวถูกกว่าจะถึงวัดท่าซุง หลวงพ่อนั่งรออยู่ศาลานวราช หลวงพ่อกรุณาให้พักที่ตึก หลวงพ่อนอนป่วยข้างศาลาหลวงพ่อ ๔ องค์ และข้าพเจ้าก็มาวัดท่าซุงตลอดจนถึงปัจจุบัน

ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์ที่กวนใจหลวงพ่อมากที่สุด คือไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น คิดไม่ออก ติดขัดอะไร จะต้องเรียกหลวงพ่อให้ช่วย และท่านก็เมตตาช่วยทุกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แมวกัดกันแล้วมุดเข้าช่องลม ไปตายตรงใต้ห้องพักของข้าพเจ้า ใต้ถุนก็ทึบมีช่องระบายอากาศแคบๆ พอตายแล้วก็เหม็นมาก ทำให้ข้าพเจ้านอนไม่ได้

เอาผ้าห่มคลุมแล้วก็มุดใต้หมอนก็แล้ว ยังไม่หายเหม็น ทนไม่ไหวก็ร้องเรียกหลวงพ่อช่วยลูกด้วยลูกเหม็น แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อชัดเจนมาก เออ เหม็นอยู่นั่นแหละแทนที่จะพิจารณาเป็นกรรมฐาน ข้าพเจ้าตกใจมาก เมื่อได้ยินเสียงหลวงพ่อ และคิดทันทีว่าหลวงพ่อต้องไม่ใช่พระธรรมดาแน่

ข้าพเจ้าเรียกอยู่โคราชท่านอยู่อุทัยธานี ท่านได้ยิน ข้าพเจ้ารีบปฏิบัติตามคือพิจารณาเป็นกรรมฐานและก็นอนได้ นี่คือความโง่ของข้าพเจ้า และอีกครั้งที่ข้าพเจ้าอยากได้แหวนเพชร พอหลวงพ่อทำแหวนจักรพรรดิออกมาวงละ ๕๐๐ บาท ข้าพเจ้าไปยืนดูที่ตู้โชว์แหวน และคิดว่ากว่าจะเก็บได้ ๕๐๐ บาท คงนาน ด้วยความอยากจะเป็นเจ้าของแหวนเพชร ข้าพเจ้าก็เลยนั่งพูดกับรูปหลวงพ่อ บอกท่านว่า แหวนจักรพรรดิสวย ลูกจะมีวาสนาได้ไหม

ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปทำบุญที่วัดอีก เอาเงินไปทำบุญใส่ขันกับหลวงพ่อ และเดินออกไปแล้ว หลวงพ่อให้ทหารวิ่งไปตามข้าพเจ้า ขณะนั้นข้าพเจ้าคิดไม่ออกว่าหลวงพ่อจะตามข้าพเจ้ากลับไปทำไม และก็ไม่ได้นึกถึงคำพุดที่คุยกับรูปหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเดินกลับไปที่หลวงพ่อ

ถามท่านว่า หลวงพ่อเรียกหนูหรือคะ
ท่านยิ้มแล้วส่งแหวนจักรพรรดิให้ กราบขอบพระคุณท่าน รับแหวนมาใส่กระเป๋า เป็นครั้งที่ ๒ ที่หลวงพ่อได้ยินข้าพเจ้าพูด

ข้าพเจ้าเดินไปทานอาหารที่สวนไผ่ ขณะที่เดินไปถึงนั้น สุนัขแม่ลูกอ่อนวิ่งมาจากไหนไม่ทราบ มากัดขาข้าพเจ้าฟัดใหญ่เลย ด้วยความตกใจข้าพเจ้าเลยถามสุนัขไปว่า แกมากัดข้าทำไม พอก้มดูขา เอ กัดไม่เข้า แล้วสุนัขตัวนี้ก็วิ่งไปกัดคนอื่นอีก แต่คนอื่นเลือดไหล ในตัวข้าพเจ้าก็ห้อยองค์แก้วและแหวนเพชรที่หลวงพ่อเพิ่งให้มา

ข้าพเจ้ากลับโคราชก็เอากล่องแหวนขึ้นหิ้งบูชา และคิดว่าถ้าลูกชายมาเห็นแหวนต้องเอาไปแน่ๆ เลย หลวงพ่อให้แต่แม่ไม่ให้ลูก ตอนหลังข้าพเจ้าไปทำบุญกับหลวงพ่ออีก ท่านไม่พูดอะไร ยิ้มแล้วส่งแหวนจักรพรรดิให้อีก ๑ วง เป็นครั้งที่ ๓ ที่หลวงพ่อรู้ใจข้าพเจ้า

เมื่อใดที่ข้าพเจ้าทราบว่าหลวงพ่อป่วยหนัก ข้าพเจ้าเป็นห่วงท่านมาก จะโทรศัพท์ถามอาการท่านก็ไม่กล้า ไม่ทราบจะทำอย่างไร พอบ่าย ๒ โมงก็ส่งจิตถึงหลวงพ่อ ถามอาการท่าน พอวันที่ ๒ เวลาบ่าย ๒ โมง ก็ส่งจิตถามหลวงพ่ออีก พอกลางคืนท่านก็มาบอกอาการป่วยของท่าน แถมมีโชคดีทุกครั้ง ทำให้การเงินของข้าพเจ้าดีขึ้น มีเงินทำบุญตามที่ตั้งใจ

และตอนที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ในวันวิสาขบูชา ในวันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๒ ข้าพเจ้าตั้งใจมากที่จะมางานนี้ บังเอิญนักเรียนพยาบาลจะมาดูงานที่โรงเรียนในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๒ ข้าพเจ้าทุกข์ใจมากที่จะไม่ได้มางานสำคัญนี้ ข้าพเจ้าบอกกับรูปหลวงพ่อว่า กว่าข้าพเจ้าจะเลิกงานก็ ๒ โมงเย็น ไม่มีใครรอ

วันอาทิตย์ ขณะที่ข้าพเจ้านอนดูโทรทัศน์ ตอนกลางวัน ข้าพเจ้ามองไปดูที่ประตูหน้าที่พัก ข้าพเจ้ามองเห็นพระยืนอยู่องค์เดียว ข้าพเจ้าลุกขึ้นจะเดินไปที่ประตูว่า พระท่านมาทำไม่พอมองที่หน้าพระเป็นหลวงพ่อฤาษีท่านยืนยิ้ม แล้วภาพท่านก็หายวับไปทันที

ข้าพเจ้าปลื้มใจมากที่ท่านมาให้เห็นทั้งองค์ด้วยตาเนื้อ และคิดว่าต้องได้ไปงานนี้แน่ๆ ต่อมาอีก ๒ วัน ก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อมาชวน บอกจะไปตี ๒ คืนวันพฤหัสบดี ข้าพเจ้าได้ไปเพราะปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อแท้ๆ แถมโชคดีเลขท้าย ๒ ตัวอีก วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๒ ข้าพเจ้าเข้าไปถวายสร้อยข้อมือกับหลวงพ่อ ขอบพระคุณท่าน

และเรียนถามท่านในใจว่า หลวงพ่อไปหาหนู ทำให้ได้มาวันนี้ ท่านยิ้ม
พระคุณของหลวงพ่อมากสุดพรรณนา เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นคนไม่ดีเลย ทั้งหยิ่ง – ถือตัว พอรู้จักหลวงพ่อ ฟังคำสอน – อ่านหนังสือหลวงพ่อ – ฟังเทป ทำให้ข้าพเจ้าขัดเกลานิสัยใหม่หมด เพราะกลัวจะไม่ได้ไปนิพพานกับหลวงพ่อ

คำสอนที่ประทับใจข้าพเจ้ามาก หลวงพ่อบอกว่าจะยากดีมีจน – สวย หรือขี้เหร่ไม่สำคัญ สำคัญที่จิตอันเดียว การมรณภาพของหลวงพ่อนำความเศร้าสลดใจและอาลัยหลวงพ่ออย่างสุดซึ้ง จนไม่สามารถจะบรรยายเป็นคำพูดได้ สิ่งใดที่จะทำเพื่อหลวงพ่อได้ข้าพเจ้าจะขอทำด้วยความเต็มใจให้สมกับที่หลวงพ่อทำเพื่อลูกหลานตลอดมา

ll กลับสู่สารบัญ


42

หลวงพ่อไล่ผีถึงเมืองนอก


ลักษมี วิไลวรรณ


.....หลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่มีเมตตากรุณา ไม่เลือกที่รักเลือกที่ชัง หาที่เปรียบได้ยาก ท่านเป็นผู้ที่มีพระคุณเหลือเกิน ดิฉันเป็นคนจังหวัดชัยภูมิ แต่ได้ไปทำงานอยู่ที่ประเทศบาห์เรน เป็นเวลาสิบกว่าปี แต่ประมาณปี ๒๕๒๒ คงได้ ดิฉันเคยไปนั่งสมาธิ ๒๐ นาที ที่สายลมครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้รู้จักท่าน รู้แต่ว่ามีพระเก่งมาสอนสมาธิ ที่บ้านนายทหารที่สายลม

...โดยเพื่อนพาไปด้วยวิบากกรรม ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกเลย จนกระทั่งปี ๒๕๓๒ ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันมากราบหลวงพ่อ กล่าวคือดิฉันได้เจอเพื่อนชื่อคุณจันทร์ศรี เห็นเขามีล็อกเก็ตรูปหลวงพ่อ ก็สนใจจึงขอเขา เขาก็บอกให้ถวายสังฆทาน ดิฉันก็ให้เขาส่งเงินมาถวายหลวงพ่อให้ และเขาก็ให้หนังสือประวัติหลวงพ่อปานอ่าน ดิฉันก็มีความรู้สึกอยากจะมากราบหลวงพ่อให้ได้

...และต่อมาเพื่อนเขาก็เอาหนังสือมโนมยิทธิและประวัติของฉันให้อ่านอีก ดิฉันมีความปีติมากขึ้น และก็เกิดความสงสารหลวงพ่อจับใจทุกครั้ง เมื่ออ่านถึงตอนหลวงพ่อไม่สบายก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ อยู่มาวันหนึ่งดิฉันฝันว่ามาที่วัดจะเข้าไปหาหลวงพ่อ แต่ยังเข้าไปไม่ได้เพราะเห็นมีคนนั่งอยู่ก่อน หลวงพ่อท่านก็กวักมือเรียกให้เข้าไปหา

...และท่านชี้ให้คนที่นั่งอยู่ก่อนดูว่า นี่คนที่ฆ่าฉันมาแล้ว ดิฉันจึงเข้าไปกราบ ท่านก็เอามือมาจับที่มือของดิฉันและบอกว่าอโหสิกรรมให้ และบอกว่ามาที่วัดเสียนะเดี๋ยวไม่ทันได้ใช้ของดี ดิฉันตื่นขึ้นรู้สึกเสียใจ ไม่รู้ว่าตัวเราไปฆ่าท่านแต่ชาติไหน จึงรีบส่งเงินมาทำบุญกับท่าน อยากจะมากราบท่านก็มีสิ่งจำเป็นยังกลับเมืองไทยไม่ได้

มาปี ๒๕๓๔ ดิฉันก็ฝันเห็นท่านอีก หลวงพ่อได้ไปไล่ของออกจากตัวให้ เหมือนกับว่าตัวท่านไปจริงๆ ขณะที่ท่านนั่งทำพิธีไล่ท่านบอกว่ามันแข็งมาก ท่านบอกว่ามีคนรักษาเราอยู่แต่สู้ไม่ได้ ดิฉันได้ถามท่านว่าจะหายหรือเปล่า ท่านบอกว่าหาย ขณะที่ท่านทำพิธีดิฉันปวดไปทั้งตัว นอนกลิ้งไปมาด้วยความทรมานและพูดว่าคงตายแน่ๆ หลวงพ่อก็บอกว่าตายดีกว่า

รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเป็นเวลาตี ๕ เหมือนไม่ใช่ฝัน จึงรีบลุกขึ้นสักพักหนึ่งแล้วไปเข้าห้องน้ำจะอาบน้ำไหว้พระ ช่างอัศจรรย์จริง ดิฉันได้เห็นตะกรุดแผ่นทองแดงปลอกพลาสติกอยู่ในอ่างอาบน้ำ ห้องนอนมีห้องน้ำในตัว และดิฉันนอนคนเดียวไม่มีใครเข้าไปยุ่งด้วย ตอนเช้าจะเอาไปให้เพื่อนดู ใครๆ ก็ไปทำงานกัน ก็เลยทิ้งไว้

พอพักเที่ยงพาเพื่อไปดู แผ่นทองแดงได้หายไปเหลือแต่ปลอกพลาสติก ให้ดูหลายคนเขาก็พูดว่าเป็นตะกรุดแน่ ยิ่งทำให้ดิฉันมีความเชื่อมั่น มีความเคารพท่านยิ่งขึ้น ท่านต้องเป็นพระที่มีญาณพิเศษแน่ และต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๓๕ ดิฉันจะเดินทางกลับไทย พักร้อนและก็ได้ตั้งใจจะมากราบหลวงพ่อ

แต่ก่อนเดินทางหนึ่งวัน หลวงพ่อได้ไปบอกอีกว่าท่านจะไม่ค่อยได้อยู่วัด จะออกเยี่ยมลูกศิษย์ต่างจังหวัด ดิฉันก็ถามท่านว่าดิฉันจะไปหัดนั่งสมาธิจะเจอหลวงพ่อหรือ หลวงพ่อท่านบอกว่ารีบไปและเอาแหวนทองไปด้วย ๙ วง ด้วยความโง่ดิฉันคิดว่าท่านบอกหวยเสียอีก เล่าให้เพื่อนฟังเขาก็บอกว่าไม่ใช่หวย ท่านคงให้เอาทองไปหล่อสมเด็จองค์ปฐม

เพื่อนที่บาห์เรนเลยช่วยมาคนละวง ๓ คน มีคุณผาสุก ชมภูนุช คุณอุษา ชมภูนุช และคุณเสริม ชมภูนุช พอกลับไทยดิฉันก็รีบมากราบท่านครั้งแรกในงานเป่ายันต์เกราะเพชร ครั้งสองในงานบรรจุพระธาตุเจดีย์ ครั้งสามในงานเททองหล่อสมเด็จองค์ปฐม ครั้งสี่ในงานสะเดาะเคราะห์

ขณะที่ไปๆ มาๆ ที่วัดช่วงนี้ ดิฉันก็มีโอกาสได้เล่าถึงความฝันให้ท่านทราบถึงเรื่องให้เอาแหวนมา ท่านก็บอกว่าดีๆ จะมาหล่อองค์ปฐม และได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้ไปไล่ของออกจากตัวให้ ท่านก็บอกท่านไปจริง แต่ถามว่าของนี้ดิฉันถูกเขาทำหรือว่ามาเอง ท่านไม่บอก ท่านบอกว่าอย่าไปสนใจ มันออกไปแล้วก็แล้วไป

และท่านยังได้บอกกับคุณหมอสมศักดิ์ว่า หมอ วันนี้มีข่าวดีไปไล่ผีถึงเมืองนอก ท่านบอกดี ไม่เหนื่อยถอดกายไป และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดกับดิฉันอีกในงานเททองหล่อองค์สมเด็จองค์ปฐม ในตอนเช้าวันที่ ๑๕ มีนาคม หลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงที่หน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร และสุมทองเสร็จพิธี หลวงพ่อก็ไปรับสังฆทานและฉันเพลที่ศาลา ๒ ไร่ ทุกคนก็รีบตามหลวงพ่อไป

ส่วนดิฉันและญาติ ๓ คน และคนอื่นอีกประมาณไม่เกิน ๒๐ คน ได้ยืนดูเขาสุมทองดูเปลวไฟขึ้นพุ่งขึ้นเป็นสีเหลืองและเขียวดูสวยงามมาก ขณะที่ยืนดูอยู่ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งและพระแบกทองมาสองมือข้างละแท่ง ทั้งพระทั้งคนผู้ชายคนนั้นบอกขอทางพระหน่อย ดิฉันจึงบอกให้มาทางหน้าดิฉัน แต่พระท่านบอกไปข้างหลังดีกว่า

ท่านก็เดินเข้าไปในปะรำพิธีที่สุมทอง เอาทองใส่ไปสี่มุมในเบ้าหลอมที่สุมทองอยู่ แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่เห็น ได้เห็นแต่พระท่านเดินออกไป ท่านเดินเร็วจนผ้าจีวรปลิว ดิฉันได้มองตามหลังท่าน เห็นท่านไปแล้วก็กลับมามองดูเปลวทองต่ออีกสักครู่ กลัวไม่มีรถกลับเพราะคนไปกันจะหมดแล้ว จะเดินมาขึ้นรถราง รถก็ออกพอดี จึงยืนรอรถคันต่อไป

ขณะที่ยืนอยู่ก็เห็นพระท่านยืนอยู่ตรงที่รถเคยจอดในท่าทางรีบมองหาใคร ดิฉันคิดว่าท่านคงมองหาผู้ชายที่มาด้วยกัน ดิฉันจึงรีบเดินเข้าไปหาท่าน
ท่านถามว่า ทำไมละโยม
ดิฉันจึงบอกว่า ดิฉันเห็นหลวงพ่อเอาทองไปเทจึงมาขอโมทนาด้วย

แล้วดิฉันก็เอาเงินใส่ย่ามท่าน ๒๐๐ บาท
ท่านก็พูดว่า เอายันต์พระพรหมไปมีอยู่แผ่นหนึ่ง
พอท่านหยิบออกมาดิฉันก็แบมือรับ แต่ท่านบอกให้จับเอา ดิฉันจึงจับแล้วก็รีบเดินออกจากท่าน เกรงว่าท่านจะว่าไปรบกวนท่าน ได้ยันต์แล้วก็ใส่กระเป๋าไม่ดู

สักครู่รถรางมาจึงขึ้นรถรางไปศาลา ๒ ไร่ แต่ทำไมเห็นพระท่านมาเดินอยู่ข้างหน้ารถ จนเข้าศาลา ๒ ไร่ มีความรู้สึกว่ารถวิ่งช้ามากกว่าปกติ ท่านหันมามองตลอดเวลา พอท่านเข้าประตูศาลา ๒ ไร่ ท่านก็ยังยืนหันมามองดิฉัน คิดว่าพระท่านคงจะไม่รู้ว่าหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ตรงไหน จะรีบไปให้ทันท่านก็ไม่ได้ เพราะติดอยู่กับญาติที่เขาไม่ค่อยรู้อะไร

จะไปบอกท่านว่า หลวงพ่อนั่งอยู่ทางนี้ เพราะคิดว่าท่านคงมาจากป่าจากถ้ำ ท่านก็ต้องเก่งเอาทองมาขนาดนี้ต้องจากถ้ำแน่ ทองมีความยาวขนาดไม้บรรทัดฟุตหนาประมาณ ๓ – ๔ นิ้ว และทองยังมีคราบคล้ายดินติดอยู่บ้าง ขณะนั้นดิฉันก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าท่านเป็นใครมาจากไหน ทำไมเอาทองไปสุมเอง ทำไมไม่เอาไปให้หลวงพ่อ ใครๆ เขาก็เอาไปให้หลวงพ่อกันทั้งนั้น

และการห่มผ้าเหลืองก็แปลก ห่มได้สวยมาก แต่ไม่มีผ้าคาดที่เอว ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ว่าท่านเป็นใคร ดิฉันคิดว่าต้องคอยถามลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงพ่อ มองหาคุณป้าน้อยก็ไม่เจอ เพราะเคยฝึกนั่งกับท่าน พอดีตอนบ่าย หลวงพ่อเททองจึงได้เจอกับคุณป้ายุภาและคุณลุงแสวง จึงถามท่านและเล่าให้ท่านฟัง

คุณป้าบอกหนูโชคดีนะ หลวงพ่อไปพูดที่สายลมว่าจะมีพระอริยเจ้ามาในกายเนื้อ เมื่อรู้ว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าก็ดีใจปีติมาก ก็ได้ยินเสียงบอกว่าอย่าติด ก็คิดรู้ว่าท่านไม่ให้ติดให้วางเฉย แต่ก็ทำใจไม่ได้ คุณป้ายุภาบอกให้เข้าไปกราบหลวงพ่อในวันที่ ๑๖ ตอนบ่ายหลวงพ่อจะลงรับแขก แต่อยู่ไม่ได้เพราะมีนัดจะโอนที่ดินที่ซื้อไว้ที่โคราชในวันที่ ๑๘

แต่วันที่ ๑๗ จะต้องไปทำบัตรประชาชนใหม่ ก็เลยไม่ได้บอกให้หลวงพ่อท่านทราบ คิดว่าไว้งานสะเดาะเคราะห์จะเอามาให้หลวงพ่อดู พอถึงเวลาเดินทางมาวัดก็ลืมผ้ายันต์อีก จะบอกก็คิดว่าไม่มียันต์ให้ท่านดู ก็คิดว่าจะบอกหรือไม่บอกดีนะ หลวงพ่อก็พูดตอนลงรับแขกวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๓๕ ท่านพูดว่าจะบอกอะไรก็บอกจะหมดเวลาแล้วเหลือ ๕ นาที ดิฉันก็ลังเลอยู่จนหมดเวลา

ด้วยความโง่นี้เอง รู้สึกเสียใจหลวงพ่อมาจากไปเสียก่อน เพราะคิดว่าในงานหล่อพระศรีอริยเมตไตรยจะมากราบท่านอีก ก่อนหลวงพ่อจะจากไปประมาณ ๑๘ วันได้ในเดือนตุลาคม ดิฉันก็ฝันเห็นท่านอีก ท่านมาบอกว่าท่านจะไปอยู่ที่ชั้นสูงสุดให้ตามไป และให้สมุดหนึ่งเล่ม บอกให้เอาไปให้ ดร.ปริญญา นุตาลัย จดที่อยู่และชื่อของเราไว้ ฝันเช่นนี้หลวงพ่อคงให้ทำบุญบวชพระแน่

เพราะ ดร.ปริญญา นุตาลัย ท่านเป็นคนจัดการในเรื่องบวชอุทิศส่วนกุศลให้หลวงพ่อในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๕ นี้ จึงรีบส่งเงินมาขอเป็นเจ้าภาพบวช หลวงพ่อเซ็นรับใบโมทนาให้วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ แล้ววันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ ท่านก็จากไป ทิ้งความเศร้าโศกและเสียใจให้กับลูกศิษย์ทุกคน แม้รู้ว่าท่านไปสบาย แต่ก็ยังอยากให้ท่านกลับมาอีก เหมือนกับเป็นคนเห็นแก่ตัว

หลวงพ่อผู้เป็นร่มโพธิ์ให้ความร่มเย็นสบายใจทุกรั้งที่ได้มากราบ ยังอยู่ในความทรงจำตลอดไปชั่วนิรันดร์ สำหรับมีดหมอชาตรี ดิฉันได้เอาไปบาห์เรนด้วย วันหนึ่งเพื่อนคนไทยที่อยู่บาห์เรนเขาขับรถไปเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ คนขับข้อเท้าเดาะ และอีกคนกระดูกบ่าไหล่ร้าว หมอใส่เฝือกและให้พวกเขาพักผ่อน ๓ อาทิตย์ เมื่อเขาออกจากโรงพยาบาล เขาบอกว่าเขาปวดมากไม่สามารถจะเดินได้

ดิฉันไม่รู้จะช่วยอย่างไรจึงได้เอามีดหมอไปสับๆ ให้ทั้งๆ ที่เขาใส่เฝือกขาและอีกคนที่บ่าไหล่ ๒ ครั้งติดกัน ๒ วัน พอวันที่ ๓ เขาโทรมาบอกว่าเขาเดินได้แล้ว และเขาได้โทรศัพท์ไปหาหมอให้มาถอดเฝือกที่ใส่ไว้ออก แต่หมอไม่ยอมเพราะเพิ่งใส่เฝือกได้แค่ ๔ วันเอง และหมอให้พักเป็นเดือน เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะหายเดินได้ หมอไม่เชื่อ

นี่คืออภินิหารของมีดหมอชาตรีที่องค์หลวงพ่อได้มอบให้ไว้ ซึ่งสมควรแก่การรักษาเอาไว้สืบทอดต่อไป โดยหาค่าประมาณมิได้เลย หลวงพ่อผู้มีพระคุณอันเหลือล้นซึ่งเหลือไว้แต่ความอาลัยหาวันลืมไม่

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/5/11 at 17:19 [ QUOTE ]


43

อัศจรรย์หลวงพ่อเมตตา


นที ธนะวัฑฒโก


....นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ลูกขอกราบแทบเท้า ขององค์พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีของลูก ซึ่งเป็นผู้ที่ให้แสงสว่างแห่งธรรมะกับลูก และเป็นผู้ที่ชี้ทางดับทุกข์จนถึงเข้าสู่พระนิพพาน ลูกขอบูชาไว้ ณ ที่นี้

...เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๓ แม่ของผมได้ไปซื้อหนังสือของหลวงพ่อมาจากวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เป็นหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาฉบับพิเศษ ตัวผมเองนี้สนใจเรื่องธรรมะมาแต่สมัยตอนเด็กๆ แล้ว เมื่อมาเจอหนังสือที่หลวงพ่อเขียนขึ้นนี้ ก็ทำให้ผมสนใจยิ่งขึ้น จึงอ่านจนหมดทั้ง ๓ เล่มที่แม่ซื้อมา เนื้อหาสาระในหนังสือล้วนแล้วแต่มีคุณค่ามาก แล้วอีกคราวที่แม่ไปวัดท่าซุง

...คราวนี้แม่ได้นำหนังสือ “ประวัติหลวงพ่อปาน” มาด้วยผมได้อ่านจนหมดเล่ม ในใจก็คิดอยู่เสมอว่าทำอย่างไรเราจะได้พบกับหลวงพ่อ หรือว่าเราไม่มีวาสนา จนกระทั่งเวลาผ่านไป ๑ ปีเต็มๆ ใจก็ฝักใฝ่อยู่แต่องค์หลวงพ่อ เพราะอยากพบองค์จริงเหลือเกิน ปีต่อมาในเดือนตุลาคม เป็นเดือนเกิดของผม คือในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๓๔ ผมจึงปรารภกับแม่ว่าวันเกิดปีนี้อยากจะไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อที่วัด

อัศจรรย์อธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ

ผมบอกกับแม่ว่าให้เช่ารถของน้าไปวัดกัน แม่ก็ตามใจ จึงตกลงกันว่าจะปิดร้าน เพราะบ้านผมเป็นร้านขายข้าวแกง – อาหารตามสั่ง แม่ผมได้ตกลงกับน้าว่า วันที่ ๑๕ ตุลาคม นี้ ผมจะไปถวายสังฆทานที่วัดท่าซุง เพราะเป็นวันเกิดของผม แต่เกิดเหตุขัดข้อง น้าของผมกลับเลื่อนโปรแกรมไปเป็นวันที่ ๑๖

ผมชักใจไม่ค่อยดี เพราะอยากไปวันที่ ๑๕ ตรงกับวันเกิดพอดี คือน้าผมไปรับปากกับเพื่อนเขาว่าจะไปเชียงใหม่ วันที่ ๑๓ แล้วก็จะกลับมาวันที่ ๑๕ ตอนกลางคืน เช้าวันที่ ๑๖ ถึงค่อยไปวัดท่าซุง ส่วนตัวผมเองก็รุ่มร้อนเป็นการใหญ่ จะทำอย่างไรดีถึงจะไปได้ภายในวันที่ ๑๕

ผมจึงตัดสินใจอธิษฐานถึงหลวงพ่อว่า ถ้าหากลูกมีบุญวาสนาจริง และเคยร่วมสร้างบารมีมากับหลวงพ่อในอดีตกาล ก็ขอให้ลูกได้ไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อด้วยเถิด พออธิษฐานเสร็จสักพักประมาณ ๑ นาที เสียงโทรศัพท์ดังกริ๊งๆ มาเลย แม่ผมเดินไปรับโทรศัพท์ก็คุยกันอยู่พักใหญ่ ตอนนั้นตัวผมนี้ขนลุกซู่ซ่าไปหมด

พอแม่คุยโทรศัพท์เสร็จ แม่ก็บอกกับผมว่า น้าแต๋วโทรมาบอกว่า ตกลงวันที่ ๑๕ ไปได้ เพราะทางเพื่อนของเขาขอเปลี่ยนวันไป ให้ตายซิ! ผมเอาจิตนึกถึงหลวงพ่อแล้วกล่าว สาธุ สาธุ สาธุ หลวงพ่อเมตตาลูกแล้ว นับแต่นี้ต่อไปลูกขอเอาหลวงพ่อเป็นสรณะตลอดชีวิต หลังจากนั้นผมก็ได้ติดตามอ่านหนังสือทุกชนิดที่หลวงพ่อเขียน โดยเฉพาะ “ธัมมวิโมกข์” อ่านเป็นประจำไม่เคยขาด

เพราะให้ความรู้กับผมมากมาย และยังคอยติดตามข่าวสารในหนังสือเกี่ยวกับหลวงพ่อ แล้วก็ทางวัดด้วย ต่อมาผมสนใจอยากจะฝึก “มโนมยิทธิ” บ้าง ตามปกติผมก็เคยนั่งสมาธิบ้างแล้วแต่โอกาสอำนวย เพราะอาชีพของผมมันบังคับ จึงไม่ค่อยมีเวลามากเท่าไรนักในการปฏิบัติโดยตรง

ประสบการณ์ฝึก “มโนมยิทธิ”

วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๕ เป็นวันแรกที่ผมไปบ้านสายลม ทั้งๆ ที่ไม่เคยไป แต่จิตใจมันคอยบอกอยู่ตลอดเวลาว่าต้องฝึกให้ได้ ต้องไปให้ได้ ผมจึงตัดสินใจไป ผมไปคนเดียวโดยเอาที่อยู่ที่บ้านสายลมในหนังสือธัมมวิโมกข์ ทีแรกไปก็หาไม่เจอ ก็เลยถามเขาไปทั่ว เขาก็บอกชี้ทางให้ ผมก็จ้างมอเตอร์ไซค์ไปส่งถึงที่เลย

อ้อ! ลืมบอกไป ผมอยู่พัทยา ออกจากพัทยาตอนตี ๓ กว่า ไปถึงก็สว่างพอดี เช่าแท็กซี่ไปแท็กซี่ก็ไปส่งแต่หาไม่เจอ จึงถามเขาไปเรื่อย จึงถึงที่จนได้ พอถึงแล้วก็เข้าไปในบ้าน แลกคูปองไปรับพานสังฆทาน แล้วก็ไปรออยู่จนกว่าหลวงพ่อจะออกมารับสังฆทาน พอถึงเวลา ๙.๓๐ น. หลวงพ่อก็ออกมา ผมเห็นหน้าหลวงพ่อครั้งแรกในใจผมนึกหลวงพ่อหน้าตาดุจัง

แต่พอได้ยินเสียงท่านพูดแล้วเกิดปีติ เพราะเสียงนี่ฟังแล้วมีความรู้สึกนุ่มหูดี เสียงของท่านนี่มีเมตตามาก แต่สุขภาพของหลวงพ่อซิ มองดูแล้วน่าสงสารมากครับ หลังจากนั้นผมก็นั่งชมบารมีหลวงพ่ออยู่พักใหญ่ พี่ ป้า น้า อา ลุง หลานทั้งหลายพากันเข้าคิวรอถวายสังฆทานกันเป็นแถว ผมก็รีบลุกขึ้นเข้าคิวบ้าง พอถึงคิวผมถวาย

ผมเดินเข้าไปหาหลวงพ่อๆ ยิ้มให้ผม ผมมีความปลื้มปีติเป็นอย่างมาก ผมก็ยกพานถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ให้พรว่า รวย รวย รวย นะลูกนะ เออดี พอถวายสังฆทานเสร็จผมก็ไปจัดดอกไม้ธูปเทียนบูชาครู เตรียมฝึก “มโนมยิทธิ” พอลูกหลานเข้าประจำที่แล้วครบหมดทุกวงแล้ว วงละ ๗ คน หรือ ๑๐ คน จำไม่ค่อยได้แล้ว ส่วนตัวผมอยู่วงของหลวงพี่อาจินต์เป็นผู้ฝึก

พอครบแล้วก็เตรียมสวดมนต์ หลวงพ่อนำสวดมนต์ ก่อนสวดหลวงพ่อได้แนะนำก่อนในการฝึก พอสวดมนต์เสร็จก็เริ่มฝึก หลวงพี่อาจินต์ให้ท่อง นะ มะ พะ ธะ ไปเรื่อยๆ ประมาณ ๕ นาที ก็มีการถามว่า ตอนนี้เห็นอะไรบ้างอยู่ข้างหน้าเรา ผมนี้ตอบไม่ได้เลยมืดไปหมด แต่คนอื่นตอบกันใหญ่เลย หลวงพี่อาจินต์ก็บอกให้ทำอารมณ์ตัดขันธ์ ๕ ใหม่ ผมจึงตัดขันธ์ ๕ ทันที

คิดว่าเป็นไงเป็นกัน ชาตินี้ขอไปพระนิพพานที่เดียว ขณะนั้นผมมีความรู้สึกทางจิตว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ข้างหน้า แต่ไม่เห็นภาพ แต่มีความรู้สึกว่าอยู่ข้างหน้า ส่วนคนอื่นตอบกันอึงคนึงไปหมด จนผมไม่มีสมาธิ จิตเลยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เวลาก็หมด ผมจึงเล่าอาการที่เกิดขึ้นให้หลวงพี่ฟัง หลวงพี่ก็แนะนำมาต่อในวันรุ่งขึ้น

วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ผมก็เริ่มลงมาฝึกญาณ ๘ ชั้นล่างเลย พอเริ่มฝึกกลับดีกว่าเมื่อวานเพราะจิตสงบ ครูฝึกก็นำพวกเราไปที่จุฬามณีเจดียสถาน แล้วก็เข้าไปไหว้พระเขี้ยวแก้ว กลับออกมาก็พาไปพระนิพพานไปไหว้พระพุทธเจ้าๆ ทรงเครื่องพระนิพพานเป็นแก้วใสสวยมาก หาที่เปรียบมิได้ พระองค์ทรงนั่งอยู่บนพระแท่นเป็นทอง ห้อยพระบาทลงมีมีดอกบัวเป็นแก้วรองรับพระบาทไว้

ครูก็บอกว่า ขออนุญาตพระพุทธเจ้ากราบที่ตักของท่าน พระพุทธเจ้าก็เอามือลูบศีรษะ มีความเย็นฉ่ำมาก ด้วยพลังของความเมตตาและบารมีของพระองค์ รอบกายของพระองค์สว่างมาก เจิดจ้าด้วยฉัพพรรณรังสี

หลังจากนั้นครูก็นำไปวิมานของหลวงพ่อ วิมานของหลวงพ่อมี ๓ หลัง เพราะหลวงพ่อมีบุญมาก บำเพ็ญบารมีมาตั้ง ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนกัป วิมานทางขวาสำหรับหลวงพ่อ หลังกลางสำหรับพระพุทธเจ้าประทับ ส่วนหลังซ้ายสำหรับลูกหลานและบริวาร เที่ยวชมจนเป็นน่าชื่นใจแล้ว

ครูก็นำไปดูวิมานของตัวเองคือของใครของมัน มีหรือไม่มีดูกันเอาเอง ของผมก็มีสวยมาก ครูก็บอกว่าให้เข้าไปลองนั่งดูซินั่งได้ไหม? ผมก็ลองนั่งดูที่เตียงในวิมาน เตียงของผมเป็นแก้วมีลวดลายสวยมาก แต่นั่งไม่ติดมันลื่นพรวดเลยก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ครูบอกให้ขอพระบารมีของพระพุทธเจ้า

ผมก็อธิษฐานของบารมีท่าน จึงนั่งได้สบายมาก หลังจากนั้นก็ไปไหว้หลวงพ่อ ไหว้ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่แล้วก็ผู้มีพระคุณทั้งหลาย ตามชั้นต่างๆ ตั้งแต่จาตุมหาราชิกาจนถึงชั้นพรหม ครบหมดแล้วครูก็ให้ขึ้นไปกราบลาพระพุทธเจ้าที่พระนิพพานแล้วก็ลงมา ตอนนี้ครูบอกว่าเราลองไปเที่ยวนรกดูบ้าง ดูซิว่าน่ากลัวแค่ไหน ก็ไปกันทั้งหมด

ครูพาไปดูพระเทวทัตและพระเจ้าอชาตศัตรูที่อเวจีมหานรก แล้วก็พามาดูที่โลกันตมหานรก หลังจากนั้นก็เที่ยวชมไปเรื่อยจนครบหมด ครูก็พาไปกราบลาพระพุทธเจ้า แล้วจึงกลับลงมาข้างล่าง แหมน่าจะได้อยู่บนนั้นเลยนะ! สบายดี บนพระนิพพานนี่มีแต่ความสว่างไสวมาก ตัวผมก็เป็นแก้วใส

น่าขำตัวเองแต่งตัวอย่างกับลิเก แต่ว่าสวยกว่าเยอะ ไม่เหมือนลิเกในโลกมนุษย์หรอก ชิดซ้ายไปเลย หลังจากนั้นผมก็ได้มาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ที่บ้านซอยสายลมทุกเดือนไม่เคยขาด แถมยังเช่าวัตถุมงคลไปด้วยหลายอย่างเยอะแยะขี้เกียจอธิบายยาวมาก จนกระทั่งผมอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์มาเจอหน้า ๑๐๘ เขียนไว้ว่า

ขอแจ้งให้ทราบเรื่องหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๔ ผู้ใดมีความประสงค์จะเขียนบันทึกเกี่ยวกับองค์หลวงพ่อ และประสาบการณ์ในการปฏิบัติธรรมฝึกมโนมยิทธิ ผมจึงเริ่มลงมือเขียนเลย อย่างน้อยก็ได้มีอนุสรณ์ไว้รำลึกถึงว่า เราก็มีส่วนในการปฏิบัติธรรมกับเขาด้วยเหมือนกัน ผมคิดว่าตัวผมนี้หากตายไป หนังสือที่ผมได้บันทึกนี้คงมีประโยชน์ต่อลูกๆ และก็หลานๆ ของผมด้วย

อย่างน้อยประสบการณ์ของผมก็สามารถยืนยันได้ว่า นรก สวรรค์ พระนิพพานมีจริง ตายแล้วไม่สูญ อย่างที่คนสมัยใหม่เขาเชื่อกันอย่างนั้น เพราะเขายังเข้าไม่ถึงจุดแท้ของธรรม เขาจึงเป็นผู้ที่ไม่รู้อย่างนี้ ถ้าหากเขาเหล่านั้นลดมานะทิฐิตัวเอง แล้วก็หันมาปฏิบัติอย่างจริงจังก็จะรู้เองว่า อะไรแท้ อะไรเทียม อะไรจริง อะไรไม่จริง

สลดใจเพราะรู้ข่าว

วันที่๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๕ ตอนเย็นผมกับแฟนไปร้านวีดีโอ เพื่อจะไปหาเช่าหนังมาดูกัน ในขณะนั้นเวลาประมาณ ๖ โมงเย็นกว่าๆ ขณะที่ผมหาหนังอยู่นั้น ลูกค้าขาประจำที่ร้านผมก็มาหาผมที่ร้านวีดีโอ แล้วได้พูดว่า “หลวงพ่อฤาษีมรณภาพแล้วตั้งแต่เมื่อวาน คือวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ คุณไม่รู้เรื่องเลยหรือ”

เท่านั้นแหละครับ สมองผมตอนนั้นสับสนไปหมด เลือดฉีดอย่างแรงทั่วรางกาย ทั้งเสียใจและสลดใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนชีวิตนี้ขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง คือที่พึ่งที่สูงสุดของผม พอผมตั้งสติได้ผมก็ถามโดยฉับพลันเลย “จริงหรือเปล่า อย่าพูดเล่นนา! ถามจริงๆ!” เขาก็ยืนยันว่า “จริง จะโกหกทำไม อุตส่าห์มาบอกถึงที่”

ผมนึกตำหนิตัวเองทันทีว่า เรานี่มีจิตหยาบช้ามาก ของอย่างนี้ใครจะพูดเล่นง่ายๆ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ติดตามข่าวหลวงพ่อในหนังสือพิมพ์ ใจผมก็อยากจะมาวัดท่าซุงอย่างเดียว ส่วนทางบ้านก็ไม่มีใครดูแลอีก โอ้ย! สับสนไปหมด แต่ผมก็ตั้งสัจจะว่าจะต้องมาให้ได้ ภายในเดือนนี้ เป็นไงเป็นกัน ต้องมากราบหลวงพ่อให้ได้

จนกระทั่งถึงวันทำบุญ ๕๐ วัน ผมก็มากราบหลวงพ่อที่วัด คือวันที่ ๑๘ – ๑๙ – ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๕ ผมก็เลยตามหาพี่แต๋ว (เสาวลักษณ์ ทิพย์รัตน์) เพราะว่าสั่งเลี่ยมพระเอาไว้แล้วก็เจอจนได้ ก็เลยคุยกันว่าหลวงพ่อไม่น่าทิ้งลูกๆ ไปเร็วอย่างนี้เลย น่าจะอยู่เป็นร่มโพธิ์ของลูกไปอีกนานๆ แต่เมื่อมานึกถึงขันธ์ ๕ ของหลวงพ่อแล้วน่าสงสารมาก

หลวงพ่อเคยนิมิตว่า เห็นคนใส่เสื้อสีแดงจัดจนเป็นมัน ก็แสดงว่าป่วยคราวนี้หนักมาก แล้วผลสุดท้ายหลวงพ่อก็ต้องจากลูกๆ ไปอย่างไม่มีวันที่จะกลับมาอีกแล้ว เหลือไว้แต่คุณงามความดีทั้งหลาย ที่พ่อได้ทุ่มเทเอาไว้เป็นชีวิตจิตใจตลอดมาจนถึงวาระสุดท้ายของขันธ์ ๕ ที่ไม่สามารถที่จะทรงอยู่ได้อีกแล้ว

พ่อทำให้ลูกดู ทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง หมายถึงความตายเป็นของเที่ยงแน่แท้ ไม่มีผู้ใดบุคคลใดที่จะสามารถหลีกลี้หนีความตายไปได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ยังต้องทรงทิ้งสังขารไว้ เพื่อเป็นตัวอย่างแบบแผนให้หมู่สาวกทั้งหลายเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างแท้จริง

หลังจากที่หลวงพ่อมรณภาพแล้ว ตัวผมเองก็ได้เอาอนุสติของขันธ์ ๕ ของหลวงพ่อน้อมนำมาถึงตัวเองว่า สักวันหนึ่งเราก็จะถึงวันนี้เหมือนกัน ผมจึงไม่ประมาทไม่ว่าจะเป็นบุญกุศลแบบไหน อย่างไหน ผมทำทุกอย่าง ใครจะมองผมในแง่ไหนผมไม่สนใจทั้งสิ้น ใครจะว่าผมบ้าผมก็ยอม ถึงบ้าก็บ้าทำบุญกุศล ไม่ได้บ้าอย่างอื่น

บ้าตามหลวงพ่อซะอย่างพ้นทุกข์แน่นอน แต่ถ้าอย่างอื่นละก็ไม่แน่ มีหวังเกิดอีกกี่ชาติก็ไม่พ้นวัฏฏะ ชาตินี้ขอพระนิพพานเป็นที่ไปอย่างเดียว จะไม่ขอเกิดอีกแล้ว เบื่อ แต่ต้องปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อจะได้ไปพระนิพพานแน่นอน

คำอาลัยของพ่อ

พ่อรักลูกทุกคนมาก ชีวิตของพ่อไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูก เหนื่อยเพื่อลูกจึงไม่มีสำหรับพ่อ มันเหนือความเหนื่อย และเหนือความเบื่อหน่ายของพ่อ ความดีของลูกเป็นปัจจัยให้พ่อรักลูกทุกคนยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ ฉะนั้น ขอบรรดาลูกทุกคน จงรักษาความดีของลูกไว้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม

สิ่งใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์แก่ลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูกของพ่อ และพ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ ถึงแม้ว่าเลือดและเนื้อของพ่อจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์ของพ่อจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายทรงบรรลุแล้วก็ดี ขอบรรดาลูกแก้วทั้งหมดของพ่อจงปรากฏมีผลเช่นเดียวกับพระอรหันต์ทั้งหลาย ในชาติปัจจุบันนี้เถิด

นี่แหละคือคำพูดของพ่อที่พ่อเคยพูดไว้ในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๒ พ่อรักพวกลูกมากี่ชาติแล้วไม่สามารถนับได้ แต่ลูกของพ่อคนนี้ก็ขอรักเคารพบูชาเป็นที่ยิ่งตลอดจนจะเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อนั้นพ่อกับลูกก็คงได้พบกันอีกโดยที่ไม่มีวันที่จะพรากจากกันเลยตลอดกาล

ลูกขอสัญญาว่า ลูกจะมาถวายสังฆทานเหมือนเดิม อย่างที่เคยทำอยู่เป็นประจำ ลูกจะขอยึดมั่นในคำสอน และขอยึดมั่นในหลักปฏิบัติ และขอยึดมั่นในปฏิปทาของหลวงพ่อตลอดจนหาชีวิตไม่

ขอกราบด้วยดวงจิตอันบริสุทธิ์ ถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร หรือหลวงพ่อฤาษีของลูกด้วย ขอพ่อโปรดเมตตารอรับลูกคนนี้ด้วย ลูกจะพยายามจนถึงที่สุดแห่งทุกข์

ll กลับสู่สารบัญ


44

บันทึกบูชาพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


วีรวรรณ มูลต้น



คำนำ

...การบันทึกที่ส่งมา กราบถวายบูชาพระคุณขององค์หลวงพ่อในครั้งนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาในสิ่งที่ปรากฏที่องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาต่อข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้จดจำและนำมาปฏิบัติ และได้เกิดผลดีต่อข้าพเจ้าและบุคคลที่เกี่ยวเนื่องมากมายหาประมาณมิได้เลย พระคุณนี้ข้าพเจ้าไม่มีวันลืม

...บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วนี้ แม้จะมีเพียงน้อยนิด “ลูกก็ขอน้อมอุทิศถวายแด่องค์หลวงพ่อ และท่านแม่ของลูก ขอองค์หลวงพ่อและท่านแม่ได้โปรดเมตตารับการบูชาจากลูกและได้โปรดโมทนาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

“กราบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่เคารพรักบูชาอย่างสูงยิ่งและสูงสุดในดวงใจของลูก...แหม่มปลาร้า”

๑. “พบหลวงพ่อในฝันเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเล็กๆ”

หลวงพ่อผู้เปรียบประดุจยิ่งกว่าชีวิตและจิตใจของข้าพเจ้า ตั้งแต่จำความได้ คุณแม่ของข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าพูดได้ตั้งแต่อายุ ๙ เดือน แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเกิดมา ท่านฝันว่ามีหลวงพ่อ (ท่านเรียกหลวงพ่อใหญ่) จูงเด็กผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงแดง อีกมือหนึ่งกั้นร่มสีดำจูงมาที่บ้าน ท่านจึงรีบไปรับเด็กผู้หญิงและส่งขึ้นบ้านไว้ แล้วหลวงพ่อก็หายไป

พอข้าพเจ้าจำความได้อายุประมาณ ๓ – ๔ ขวบ ข้าพเจ้าได้ฝันว่า มีหลวงพ่อมากับโยมผู้ชาย ซึ่งโยมผู้ชายได้สะพายย่ามและกั้นร่มสีดำให้หลวงพ่อ พอมาถึงหลวงพ่อก็จะสอนข้าพเจ้าเป็นประจำว่า “ให้ลูกเป็นคนดี ให้ขยัน ให้อดทน ให้มีศีล สมาธิ และปัญญานะลูกนะ” ท่านมาบ่อยๆ เป็นประจำเกือบทุกคืน

บางครั้งยังไม่หลับสนิท เพียงหลับตาก็จะเห็น ถ้าวันไหนเกิดความทุกข์ใจเสียใจ จากการที่คุณแม่บ่นหรือดุ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด หลวงพ่อท่านก็จะปลอบใจว่า “ลูกอย่าเสียใจนะ ถ้าลูกทำดีใครเขาจะว่าอย่างไรก็อย่าไปสนใจ พ่อเห็น ให้ลูกทำดี ถ้าเราทำไม่ดีถึงเขาชมมันก็ไม่ดีตามคำที่เขาพูดนะลุกนะ”

แล้วข้าพเจ้าก็จะก้มลงกราบรับคำ แต่ก็ยังไม่ทราบว่า ศีล สมาธิ ปัญญา คืออะไร ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้จนอยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าตามไปขอเงินคุณยายซื้อขนม พอดีท่านกำลังฟังเทศน์ ในงานทำบุญอุทิศส่วนกุสลแด่ผู้ตายข้างบ้าน ซึ่งท่านก็ไม่มีเงินให้ข้าพเจ้า ขณะนั้นมีพระมาเทศน์เรื่องพระเวสสันดร

ข้าพเจ้าจึงเข้าไปนอนในตักคุณยาย แล้วเอาผ้าถุงท่านพันตัวข้าพเจ้าไว้ เพราะเด็กเล็กในชนบทสมัยก่อนไม่ค่อยมีเสื้อผ้าใส่ ข้าพเจ้านอนฟังเทศน์ในตักคุณยาย
พอเทศน์จบก็ถามคุณยายว่า “พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใดในตอนนี้ เพราะชาติก่อนเป็นพระพุทธเจ้านั้นเป็นพระเวสสันดร”
คุณยายตอบว่า “ท่านเหาะไปอยู่ในพระนิพพานแล้ว มีแต่ความสวยงามไม่มาเกิดอีกแล้ว”

ข้าพเจ้าเกิดความอยากขึ้นมาทันที คืออยากไปอยู่พระนิพพานมาก เพราะท่านบอกว่ามีแต่สวยงามและไม่เกิดอีก ข้าพเจ้าเก็บความอยากไว้ทุกวัน และกำหนดใจรู้ลมหายใจเข้าออกไว้เป็นประจำเพราะกลัวตาย คุณยายบอกว่า “ถ้าใจขาดจะตาย” และกลายเป็นสมาธิโดยไม่ทราบว่าเป็นสมาธิ

แล้วต่อมาก็ถามว่า มีใครเก่งและเหาะได้บ้างในปัจจุบันนี้ คุณยายตอบว่ามีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ซึ่งตอนนี้ท่านก็อยู่ในป่า ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานในใจว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้พบพระอรหันต์ด้วยเถิด และจะขอไม่เกิดอีก ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนั้น”

พอข้าพเจ้าเข้าเรียน ป.๑ (๒๕๐๙) อ่านหนังสือได้บ้าง ข้าพเจ้าได้ไปค้นหนังสือประวัติพระพุทธเจ้ามาอ่านจึงพอสรุปใจความได้ และได้อธิษฐานขอให้ท่านมาช่วยพาเหาะไปอยู่พระนิพพาน และขอให้ได้ทำบุญกับพระอรหันต์ตลอดชีวิต

๒. พบหลวงพ่อจริงๆ เมื่อปี ๒๕๑๘

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ ข้าพเจ้าเรียนชั้น ม.ศ.๓ ที่โรงเรียนนางรอง จ.บุรีรัมย์ ได้พักอยู่กับคุณน้าธีรชาติ คุณน้าอัมภา (อาจารย์ธีรชาติ อาจารย์อัมภา วังดง) ที่บ้านพักครู มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ค้นหนังสือจากชั้นหนังสือมาอ่าน หนังสือเล่มนั้นชื่อ “ประวัติหลวงพ่อปาน” ซึ่งคุณพี่พรนุช คืนคงดี (พี่ตี้) มอบให้คุณน้าทั้งสองในวันแต่งงาน

พอข้าพเจ้าได้อ่าน ข้าพเจ้าก็ไม่อยากวางหนังสือ และจะร้องไห้ตลอดขณะอ่านหนังสือ ข้าพเจ้าดีใจและปลื้มใจมาก ไม่มีอะไรเปรียบ รู้แต่เพียงว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาสูงสุดในชีวิตเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อก่อนข้าพเจ้าเคยตั้งใจอยากเรียนให้ถึงปริญญาเอก แต่พอได้อ่านหนังสือ “ประวัติหลวงพ่อปาน” แล้ว ความอยากในโลกมนุษย์ลดลงมากเลย

มีแต่หลวงพ่อฤาษีอยู่ในหัวใจปลายปี ๒๕๑๘ ช่วงปิดเทอม ข้าพเจ้าจึงได้ไปพบหลวงพ่อเป็นครั้งแรก คือเห็นท่านเดินมาจากทางฝั่งแม่น้ำสะแกกรังมายังหน้าโบสถ์ (โบสถ์ยังสร้างไม่เสร็จ) และมีโยมผู้ชายกั้นร่มสีดำให้พร้อมกับสะพายย่ามให้ท่าน เหมือนภาพที่ข้าพเจ้าเห็นในฝัน เมื่อครั้งยังเป็นเด็กๆ ข้าพเจ้าดีใจเป็นที่สุด บรรยายไม่ได้ ตื้นตันน้ำตาไหลเป็นประจำ ต่อจากนั้นใจจะผ่องใส

เมื่อเย็นวันหนึ่งขณะพักอยู่วัด คุณพี่ตี้ (อ.พรนุช) ได้พาข้าพเจ้าเข้าไปกราบหลวงพ่อที่ศาลานวราชบพิตร (ตึกรับแขกเก่า)
ท่านกราบเรียนหลวงพ่อว่า ข้าพเจ้ามาจากมหาสารคาม ชื่อบานเย็น ชื่อเล่นชื่อแหม่ม
พอหลวงพ่อฟังคุณพี่ตี้จบ ท่านก็พูดว่า “พ่อจะเรียกว่าบานเช้าดีกว่า พ่อจะได้ดูนานๆ”

และเปลี่ยนชื่อเล่นให้อีก ท่านเรียกว่า “แหม่มปลาร้า แหม่มปลาเจ้า” แต่ปัจจุบันมีเหตุบังเอิญ ข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนชื่อจริงเป็นชื่อ “วีรวรรณ” ตั้งแต่วันนั้นมาหลวงพ่อท่านจะเรียกข้าพเจ้าว่า “แหม่มปลาร้า” และชอบหยอกข้าพเจ้าเป็นประจำ แล้วท่านก็จะหัวเราะเป็นปกติ

จนปี ๒๕๒๙ ข้าพเจ้าฝันว่า ได้พบหลวงพ่อเหมือนอยู่ในพระราชวังแห่งหนึ่ง และเห็นหลวงพ่อเป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าได้นอนอยู่บนตักท่าน ท่านเอามือลูบศีรษะข้าพเจ้า แล้วท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “ต่อไปพ่อจะไม่ตีไม่หยอกลูกแรงๆ อีกแล้วนะ ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” และต่อจากนั้นมาหลวงพ่อจะเรียกข้าพเจ้าว่า “ลูก หรือ แหม่ม” และไม่มีสร้อยต่ออีก

หลังจากที่คุณพี่ตี้รายงานตัวข้าพเจ้าต่อหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อท่านก็สอนข้าพเจ้าเหมือนกับข้าพเจ้าฝันเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก คือสอนให้ “รักษาศีล ๕ ฝึกสมาธิ และจะมีปัญญาเกิด” และบอกว่า “ให้ลูกเป็นคนดี ให้ขยัน ให้อดทน จะทำอะไรก็ตามก็ให้ปรารถนาพระนิพพานในชาตินี้ตลอด”

บอกว่า “ชีวิตคนเรามันลำบาก อยู่ช่างมันตายช่างมันนะลูก ตายเมื่อไรขอไปพระนิพพานแห่งเดียว” พร้อมกับบอกให้มีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจ
ข้าพเจ้าดีใจมาก เพราะท่านสอนข้าพเจ้าครั้งแรกเหมือนกับที่ท่านสอนข้าพเจ้าในฝันมาตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ และเป็นฝันที่เป็นจริงทุกอย่าง เพราะไม่นึกว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่วันนั้นมาข้าพเจ้าก็ตั้งใจรักษาศีลห้าตลอดชีวิต และทำตามที่หลวงพ่อสอนด้วยใจรัก และตั้งใจปฏิบัติ

๓. ทำปลาร้าถวายบองหลวงพ่อ

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ ข้าพเจ้าได้ช่วยงานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารกับหลวงพ่อ พอถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ท่านจะให้รถจากวัดไปรับลูกศิษย์ที่บ้านซอยสายลม กรุงเทพฯ (บ้านพล อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) ข้าพเจ้าจะไปเป็นประจำ เช่นท่านให้ไปเตรียมข้าวสาร อาหารแห้ง เสื้อผ้า ผ้าห่ม ยารักษาโรค เพื่อออกไปแจกตามที่กันดารต่างๆ

ซึ่งเมื่อไปถึงท่านก็จะสอนธรรมะก่อน แล้วต่อมาก็จะให้แพทย์อาสาประจำศูนย์ตรวจโรคให้ชาวบ้านด้วย แล้วก็ไปรับของแจก และได้ทำบุญกับท่านอีก ส่วนเงินที่ได้จากการทำบุญที่ไหนก็ตาม หลวงพ่อท่านก็เมตตามอบเงินคืนให้เจ้าของสถานที่แห่งนั้นเสมอทุกครั้ง ยกเว้นว่าเจ้าของสถานที่จะจำเพาะเจาะจงในการทำบุญบางอย่างเท่านั้น

พอทำงานเสร็จตอนเย็น ลูกๆ ก็จะไปเฝ้ากราบหลวงพ่อ ครั้งหนึ่งหลวงพ่อท่านเรียกข้าพเจ้าเข้าไปใกล้ๆ ท่าน
แล้วถามข้าพเจ้าว่า “แหม่มรู้จักบองไหมลูก”
ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนท่านว่า “ปลาร้าบองหรือเปล่าเจ้าคะ”

ท่านตอบว่า “ใช่ๆ... มีคนแถวบ้านเอ็งเขาเอามาถวาย” แล้วท่านก็เมตตาอธิบายต่อไปว่า ปลาร้ามีประโยชน์มากมาย เมื่อทำสุกแล้วท่านก็จะอธิบายยาวๆ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับแพทย์เคยทำการวิจัยด้วย เพื่อรักษาโรคต่างๆ และท่านมักจะเล่าให้คนที่มากราบท่านฟังบ่อยๆ ในช่วงนั้น

ต่อจากนั้นคุณพี่ตี้ (อ.พรนุช คืนคงดี) ก็บอกให้ข้าพเจ้าทำปลาร้าบองมากราบถวายหลวงพ่อเป็นประจำ โดยมีคุณแม่ของพี่ตี้เป็นผู้ช่วยกันทำ คือคุณยายทองดี คืนคงดี เวลาทำปลาร้าบองถวายหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็จะอธิษฐานขอบารมีท่านย่ากับท่านแม่ศรีมาช่วยทำทุกครั้ง เพราะคุณพี่ตี้บอกว่า ท่านย่ากับท่านแม่เป็นผู้ดูแลการฉันอาหารของหลวงพ่อ เพราะท่านป่วยเป็นหลายโรค

พอต้นปี ๒๕๒๕ คุณพี่ตี้บอกว่าตอนนี้ให้งดทำปลาร้าบอง เพราะท่านย่ากับท่านแม่สั่งอาหารอย่างอื่นถวาย ซึ่งการได้ทำปลาร้าบองถวายครั้งนี้ ข้าพเจ้าดีใจมากที่สุด เพราะชาตินี้เกิดเป็นคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บางคนเขาดูถูกว่าเป็นลาวกินปลาร้า พอหลวงพ่อฉันปลาร้าจึงทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจ และไม่สนใจใครเขาจะว่าอะไรอีก เพราะชาตินี้ข้าพเจ้ารักและบูชาองค์หลวงพ่อเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด

๔. ขอเงินค่าเทอมจากท่านแม่ศรี

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ ข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่ มศว.พลศึกษากรุงเทพมหานคร วิชาเอกสุขศึกษาสาธารณสุข วิชาโทพลศึกษา ในช่วงปิดเทอมข้าพเจ้าก็ไปช่วยงานที่วัดท่าซุง และทำบุญต่อเลย ข้าพเจ้าจึงไม่ได้กลับบ้านไปเอาเงินค่าเทอมจากคุณพ่อคุณแม่ที่มหาสารคาม เพราะคุณพ่อไม่ยอมส่งเงินทางธนาณัติสักที ท่านบอกว่าส่งไม่เป็น ข้าพเจ้าจึงต้องกลับบ้านไปรับเงินจากท่านทุกครั้งตั้งแต่เรียนมา

แต่ครั้งนี้งานที่วัดเสร็จ ก็จะเปิดภาคเรียนพอดี ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจทำสมาธิแบบหลวงพ่อสอน (มโนมยิทธิ) แล้วขึ้นไปกราบขอเงินจากท่านแม่ในตอนกลางคืนก่อนนอน พอตอนเช้าข้าพเจ้าก็ช่วยงานที่วัดตามเดิม พอสายๆ ประมาณ ๒ โมงเช้า (๘ นาฬิกา) คุณพี่ฉวีวรรณ สรรพกิจ ได้เรียกให้ข้าพเจ้าเข้าไปพบที่ห้องพัก

แล้วถามข้าพเจ้าว่า “แหม่มขอเงินจากท่านแม่หรือ” ข้าพเจ้าตอบว่า “ใช่ค่ะ เพราะแหม่มไม่ได้กลับบ้านที่มหาสารคาม และใกล้เปิดภาคเรียนแหม่มจึงขอเงินจากท่านแม่ค่ะ” และเล่ารายละเอียดอื่นๆให้ท่านฟัง เสร็จแล้วคุณพี่ฉวีวรรณ สรรพกิจ ท่านก็ส่งเงินให้แหม่ม ๒,๐๐๐ บาท แต่ข้าพเจ้าก็ส่งคืนให้ท่าน ๑,๕๐๐ บาท ข้าพเจ้ารับเงินจากท่านเพียง ๕๐๐ บาท เพราะข้าพเจ้ายังพอมีเงินเก็บไว้ส่วนตัวบ้าง

คือเป็นเงินที่ได้จากรับทุนการศึกษาต่างๆ มาเรื่อย ตั้งแต่เรียนชั้น ป.๕ จนถึงมหาวิทยาลัย เช่น ทุนกระทรวงศึกษาธิการ, ทุนธนาคารกรุงเทพฯ และทุนของมหาวิทยาลัย ซึ่งก็ได้อาศัยบารมีของสมเด็จฯ และองค์หลวงพ่อมาตลอด จึงทำให้เรียนดี และได้อันดับที่ ๑ เป็นส่วนมาก พระคุณของหลวงพ่อจึงฝังในใจข้าพเจ้าแทบทุกเรื่องตั้งแต่จำความได้


๕. หลวงพ่อช่วยให้กระโดดไกล

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ ข้าพเจ้าเรียนวิชาโทพลศึกษา และได้เรียนวิชากรีฑากระโดดไกลที่สนามกีฬาแห่งชาติ กรมพลศึกษา อาจารย์แผน เจียระไน เป็นผู้สอน ข้าพเจ้าตัวเล็กกว่าเพื่อนๆ ถ้านับจากปลายแถวในกลุ่มที่เรียนก็จะอยู่ในอันดับที่ ๔ – ๕ ในจำนวนนักศึกษาหญิง ซึ่งผู้ที่เรียนกับข้าพเจ้านั้น มีนักกีฬาทีมชาติด้วย ตัวสูงกว่าข้าพเจ้ามาก

พอเรียนจบทฤษฎี อาจารย์ก็ให้สอบปฏิบัติเก็บคะแนนเลย ข้าพเจ้าก็จะท่องพุทโธ และทำสมาธิเป็นประจำ เพราะหลวงพ่อสอนให้ทำได้ทุกอิริยาบถ จึงทำให้ข้าพเจ้ากระโดดได้ไกลกว่าเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันทั้งหมด เพื่อนจึงฟ้องอาจารย์ว่าข้าพเจ้าเป็นลูกหลวงพ่อใช้วิชาตัวเบา

ข้าพเจ้าจึงถูกอาจารย์เรียกเข้าพบ และถามว่าจริงหรือที่เพื่อนพูด ข้าพเจ้าตอบท่านว่า เวลากระโดดท่องพุทโธๆ ไม่ได้เรียนวิชาตัวเบาค่ะ อาจารย์ให้ข้าพเจ้ากระโดดใหม่ ก็กระโดดได้ไกลกว่าเพื่อนเหมือนเดิม ซึ่งข้าพเจ้าได้นำเอาสิ่งที่หลวงพ่อสอน มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการทำงานเกือบทุกอย่าง เพราะในใจมีองค์หลวงพ่อกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกเวลา จึงทำให้อุ่นใจและปลอดภัย ใจเบาสบายดี

๖. หลวงพ่อช่วยสะเดาะกุญแจ

และในช่วงปี ๒๕๒๔ เพื่อนของข้าพเจ้าชื่อกาญจนา มิ่งวงศ์ ได้ทำลูกกุญแจตู้เหล็กล็อคเกอร์ของ มศว.พลศึกษาหาย และได้เกณฑ์ให้เพื่อนผู้ชายผู้หญิงที่มีความชำนาญในการไขกุญแจมาช่วยเปิดช่วยงัด แต่ก็เปิดไม่ได้ ถ้าจะให้นักการภารโรงมาตัดก็กลัวว่าจะทำให้ล็อคเกอร์ของ มศว. พัง และจะต้องถูกปรับและเสียงเงินค่าประกันมาก เพราะผิดระเบียบของ มศว.

เพื่อนของข้าพเจ้านั่งน้ำตาไหล จึงทำให้ข้าพเจ้าสงสารเพื่อนมาก และเพื่อนผู้หญิงอีก ๔ – ๕ คน ก็พากันนั่งเงียบไม่พูดจา ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้คิดถึงองค์หลวงพ่ออีกตามเคย และคิดได้อีกว่า สมัยที่หลวงพ่อเกิดเป็นขุนแผนนั้นเก่งมาก สะเดาะกลอนประตูได้ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจทำสมาธิ ขอบารมีของสมเด็จฯ พระธรรม พระอริยสงฆ์ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อเป็นที่สุดด้วยว่า

“ด้วยข้าพเจ้าได้เคยเกิดเป็นลูกหลานขุนแผน ขอบารมีองค์หลวงพ่อที่เคยเป็นขุนแผนนั้นได้โปรดเมตตามาช่วยลูก เปิดกุญแจให้เพื่อนของลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ สาธุ” จากนั้นข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นไปจับที่ตัวกุญแจ ยังไม่ได้ทำอะไรตัวแม่กุญแจก็กระเด็นออกมาทันที ทำให้ข้าพเจ้าดีใจมากที่ช่วยเพื่อนได้

ข้าพเจ้ารีบกราบเท้าขอบพระคุณทุกองค์ทุกท่านที่มาช่วยและกราบขอขมาท่าน เผื่อมีสิ่งใดที่ลูกทำไม่ถูกต้อง แล้วเพื่อนๆ ก็รีบวิ่งเข้ามากอดข้าพเจ้าทันทีด้วยความดีใจ และถามว่าทำอย่างไร ข้าพเจ้าก็ตอบตามความจริง เพื่อนๆ พากันน้ำตาไหลและเชื่อองค์หลวงพ่อบ้าง ส่วนข้าพเจ้าได้เชื่อมาตั้งแต่เกิดจำความได้ เพราะท่านช่วยข้าพเจ้าแทบทุกอย่างเมื่อข้าพเจ้าขอ จึงรักท่านสุดหัวใจ

๗. นอนไหว้พระในใจแล้วขึ้นไปพระนิพพาน

ในช่วงฤดูฝนปี ๒๕๒๔ ข้าพเจ้าได้ไปพักอยู่กับคุณป้า หลังวังสระประทุม คุณป้าเป็นคนจีนชอบพูดเสียงดัง เวลาข้าพเจ้าสวดมนต์ก็จะพูดว่า สวดอะไรนานจัง ข้าพเจ้าเกรงใจท่าน จึงนอนสวดมนต์ทุกวัน และนอนทำสมาธิ ขึ้นไปพระนิพพานตามที่หลวงพ่อสอน แต่ใจหนึ่งก็กลัวจะเป็นบาปเพราะดูไม่สมควร ไม่เหมาะ

ได้แต่คิด และตั้งใจจะไปกราบเรียนถามหลวงพ่อให้ได้ พอดีกับท่านมากรุงเทพฯ สอนกรรมฐานที่บ้านสายลม ข้าพเจ้าได้ไปกราบหลวงพ่อ แต่ยังไม่ทันได้เข้าไป
หลวงพ่อท่านก็เรียกหาว่า “ไอ้แหม่มปลาร้ามาหรือเปล่าหว่า”
ข้าพเจ้าได้ยินก็รีบขอทางเข้าไปกราบท่านใกล้ๆ แล้วท่านพูดว่า “แหม่มไปหาพ่อที่พระนิพพานทุกๆ วันนะลูกนะ”

ข้าพเจ้าประนมมือตอบท่านว่า “เจ้าค่ะ”
แล้วข้าพเจ้าก็รีบบอกท่านว่า “ลูกนอนไหว้พระทุกวันในช่วงนี้ และขึ้นไปกราบท่านผู้มีคุณตามที่หลวงพ่อสอนไว้ เสร็จแล้วก็จะไปพักอยู่วิมานขององค์หลวงพ่อประจำ
หลวงพ่อบอกว่า “ทำแบบนั้นถูกแล้ว ดีแล้ว ไม่บาปหรอก”
ทำให้ข้าพเจ้าข้องใจและดีใจ เพราะกลัวว่าจะเป็นบาปมาเกือบเดือน

เมื่ออยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมข้าพเจ้าก็จะไหว้พระในใจเป็นประจำเสมอ ถ้าเมื่อใดที่ข้าพเจ้ามีปัญหา หลวงพ่อก็จะเมตตาเรียกเข้าไปหาใกล้ๆ ท่าน แล้วท่านก็จะตอบปัญหาโดยที่ข้าพเจ้ายังไม่ทันได้ถามเกือบทุกครั้ง เพราะหลวงพ่อรู้ใจคนเหมือนกับที่ท่านทั้งหลายทราบ และได้ประสบมาในบางคน

หลวงพ่อจึงเป็นแสงสว่างกลางใจข้าพเจ้ามาตลอด ข้าพเจ้าคิดอยู่ทุกวันว่า ขอทำแต่ความดีเพื่อบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า... หลวงปู่ปาน หลวงพ่อ และประเทศชาติด้วยชีวิต ตายเมื่อไรขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น

๘. สมเด็จฯ และหลวงพ่อช่วยสอบบรรจุรับราชการ

เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๒๕ ข้าพเจ้าจบการศึกษาจาก มศว.พลศึกษา กรุงเทพฯ เดือนเมษายน ๒๕๒๕ ได้มีการประกาศรับสมัครสอบบรรจุครูทั่วประเทศพร้อมกัน ข้าพเจ้าได้พักอยู่กับน้าธีรชาติ น้าอัมภาอีก แล้วข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าไปกราบหลวงพ่อใกล้ๆ ที่บ้านซอยสายลม

หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่า มีอะไรถามหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนท่านว่า ลูกกำลังจะสำเร็จการศึกษาและจะสอบบรรจุ และไม่ทราบว่าจะลงสอบที่ไหนดีจึงจะสอบได้ เพราะสอบทั่วประเทศพร้อมกันหมด
หลวงพ่อท่านเมตตาตอบว่า ลูกลงได้หมดทั่วประเทศไทยจะอยู่ที่ไหนก็ได้นะ

แล้วท่านก็บอกว่า “ใช้เส้นพระพุทธเจ้าสิลูก”
พร้อมกับชี้มือขึ้นข้างบน “เพราะเมืองมนุษย์ปัจจุบันนี้เราไม่ค่อยมีเส้นหรอก”
แล้วท่านก็ย้ำอีกว่า “ลูกสอบได้ สอบที่ไหนก็ได้นะ”

ข้าพเจ้าก้มกราบขอบพระคุณและรับคำนำไปปฏิบัติตาม และสอบบรรจุได้อันดับ ๑ ด้วย ทำตามที่หลวงพ่อสั่งทุกอย่าง สมัยที่เรียนเป็นเปอร์เซ็นต์ ตอนอยู่ประถมก็ได้ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ตลอด เป็นเพราะความกรุณาขององค์หลวงพ่อแท้ๆ ที่คอยช่วยเหลือ พระคุณนี้จะอยู่กับใจของลูกไม่ลืมได้

๙. สมเด็จองค์ปฐมช่วยรักษาโรคตา

เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๒๗ ข้าพเจ้าปวดตาแสบตาน้ำตาลไหลตลอด ไปหาหมอที่โรงพยาบาลมหาสารคามก็ไม่หาย ข้าพเจ้าจึงไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ผลการตรวจพบว่าข้าพเจ้าแพ้ฝุ่นแพ้แสงมาก ต้องใส่แว่นตากันแสง และต้องมาตรวจรักษาทุก ๓ เดือน ซึ่งทำให้ลำบากเพราะข้าพเจ้าต้องลาราชการ และเดินทางจากมหาสารคาม กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็เหนื่อย

ข้าพเจ้ารักษาได้ ๑ ปีกว่า อาการดีขึ้นแต่ก็ไม่หาย ครั้งที่สุดท้ายที่มาพบแพทย์คือเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๘ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจอธิษฐาน ทำสมาธิขึ้นไปกราบสมเด็จฯ องค์ปฐม ขออนุญาตลาตาย คือกราบเรียนพระองค์ท่านว่า

ถ้าเป็นโรคกรรมเก่า รักษาแล้วไม่หายก็ขอตายเลย ไม่เสียดายชีวิต แต่ถ้าชีวิตนี้ยังไม่ถึงที่ตาย ก็ขอให้หายจากโรคนี้ด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ ถ้าลูกมีชีวิตอยู่ก็ขอให้ได้รับใช้พระพุทธศาสนาตลอดไป

พอตื่นเช้ามาอาการต่างๆ เช่น ปวดตา แสบตา น้ำตาไหล นั้นก็หายไปสิ้น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยากินหรือยาหยอดตาที่ได้จากแพทย์มา ข้าพเจ้าก็เลิกใช้ทันที นี่เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ และองค์หลวงพ่อของเราที่ได้เมตตาพร่ำสอนมา ทำให้ลูกมีที่พึ่งเป็นอมตะชั่วนิรันดร์ พระคุณนี้ชดใช้ไม่มีวันหมดได้เลย

๑๐. สมเด็จองค์ปัจจุบันช่วยให้มีเสียงเพราะขณะฝึกมโนมยิทธิ

เมื่อต้นปี ๒๕๒๘ ข้าพเจ้าได้รับหนังสือราชการเชิญจากอาจารย์บุญ ชมพู จากวิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดมหาสารคาม ให้ไปช่วยฝึกมโนมยิทธิ ให้กับนักเรียนกลุ่มหนึ่งจากโรงเรียนสารคามพิทยาคม ซึ่งเพื่อนของข้าพเจ้าได้ทดลองทำวิทยานิพนธ์เรือง “สมาธิกับการวิ่งระยะสั้น” โดยมีอาจารย์บุญ ชมพู เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

อาจารย์ท่านนี้จบจากประเทศอินเดีย ท่านได้มารับข้าพเจ้าไปฝึกสมาธิให้กับนักเรียนกลุ่มนั้น ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ พูดไม่ออก เสียงแห้งหายหมด เสียงพูดจะเป็นเสียงกระซิบมาจากลำคอ ท่านเป็นห่วงว่าจะทำอย่างไรดี เพราะนัดเด็กหมดแล้ว ข้าพเจ้าตอบท่านว่า เคยเป็นแบบนี้หลายครั้ง พอเวลาฝึกสมาธิจริงจะมีเสียงมาเอง ท่านคงไม่เชื่อแต่ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร

พอรับสมาทานกรรมฐานจากหลวงพ่อ และเริ่มฝึกมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าก็มีเสียงพูดเป็นปกติ และเสียงเพราะด้วย อาจารย์บุญ และนักเรียนที่ฝึกบอกเสียงแจ่มใสชัดเจน ผู้ฝึกคราวนั้นมี ๑๓ คน ฝึกได้ ๙ คน รวมทั้งอาจารย์บุญด้วย อาจารย์บอกว่าไม่เคยฝึกแบบนี้มาก่อน ท่านฝึกได้ท่านดีใจมาก พอฝึกเสร็จแล้วประมาณ ๑๐ นาที เสียงข้าพเจ้าหายไป ใช้ภาษากระซิบตามเดิม อาจารย์ท่านจึงเชื่อจริงๆ

เพราะเวลาฝึกมโนมยิทธิทุกครั้ง ข้าพเจ้ากราบมอบภาระหน้าที่ทั้งหมดให้กับองค์สมเด็จฯ ข้าพเจ้ามีหน้าที่เป็นแค่สื่อกลางที่จะนำเอาธรรมะไปยังพุทธบริษัทของพระองค์ท่านทุกๆ ครั้ง คือมอบกาย วาจา ใจ ถวายองค์สมเด็จฯ แล้วแต่พระองค์จะทรงปัญญา ซึ่งการทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น และจะปฏิบัติต่อๆ ไป

๑๑. อานุภาพของน้ำมันชาตรี

เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๕ นิ้วมือด้านซ้ายของคุณพ่อข้าพเจ้าได้บวมและปวดมาก ท่านทำงานไม่ได้มาหลายวัน พอวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ข้าพเจ้าจะกลับบ้าน พอไปพบคุณพ่อท่านก็เอามือให้ดู ข้าพเจ้าบอกว่าจะพาไปหาหมอ แต่ก่อนไปตอนกลางคืนข้าพเจ้าได้กราบอาราธนาบารมีฯ ขออนุญาตใช้น้ำมันชาตรีของหลวงพ่อ ทาตรงที่บวมให้ท่าน และถ้าไม่หายก็จะพาไปหาหมอ

ตอนกลางคืนข้าพเจ้าทาให้ท่าน พอรุ่งเช้า อาการปวดบวมที่นิ้วมือของคุณพ่อได้หายไป คุณพ่อดีใจ และเลื่อมใสหลวงพ่อขึ้นมามาก ดูจากสีหน้าท่าน เพราะท่านเป็นคนไม่ชอบพูด นี่เป็นเพราะพระคุณขององค์หลวงพ่อเราโดยแท้ที่มอบสมบัติไว้ให้ และข้าพเจ้าได้นำมาช่วยรักษาอาการต่างๆ ให้แก่ตัวเอง และนักเรียนด้วย เพราะข้าพเจ้าทำงานประจำที่ห้องพยาบาลโรงเรียนที่อาศัยประจำ คือพึ่งบารมีท่านแม่ศรีค่ะ

๑๒. หลวงพ่อช่วยซ่อมนาฬิกาปลุกตุ๊กตาไก่

เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าได้ฝึกมโนมยิทธิให้ชาวบ้าน ครูที่สนใจและนักเรียน และมีอาจารย์พรเพ็ญ สุรีรัตนันท์ ที่ข้าพเจ้าพักอยู่กับท่านฝึกด้วย ช่วงนั้นนาฬิกาแขวนและนาฬิกาข้อมือของข้าพเจ้า ถ่านหมดมาหลายวันแล้ว เหลือแต่นาฬิกาปลุกเครื่องที่ซื้อจากหาดใหญ่ เมื่อครั้งที่ไปภาคใต้กับหลวงพ่อ พอมาถึงบ้านใช้ไม่นานข้าพเจ้าก็ทำหล่นจากที่นอนอย่างแรง จับมาเคาะมาซ่อมก็ไม่เดินทั้งนั้น เสียมาได้ ๕ เดือนกว่าๆ ก็ยังตั้งโชว์เอาไว้

เพราะเป็นของที่หอบหิ้วมาจากภาคใต้จึงเสียดายมัน ก่อนที่จะฝึกมโนมยิทธิให้ผู้ที่มาฝึก ข้าพเจ้าก็เอาตุ๊กตาไก่มาอุ้มและพูดว่า หลวงพ่อเจ้าค่ะ ลูกมีอะไรก็พังหมดแล้ว ป่วยก็บ่อยจริงๆ ปีนี้ ลูกเบื่อชีวิตในโลกมนุษย์ เดี๋ยวชีวิตคงจะตายเหมือนนาฬิกา แต่ดีนะนาฬิกาตายหรือเสียแล้วไม่เหม็นเหมือนคน เสร็จแล้วก็วางตุ๊กตาไก่ไว้ อาจารย์พรเพ็ญท่านก็ได้ยินที่ข้าพเจ้าพูด

พอฝึกมโนมยิทธิเสร็จ กำลังอุทิศส่วนกุศลตอนสุดท้าย นาฬิกาตุ๊กตาไก่ก็มีเสียงดังเข็มนาฬิกาก็เดินเป็นปกติ ข้าพเจ้ากดปุ่มหยุดเสียงไก่ขัน และมีเสียงกู๊ดมอร์นิ่ง (Good morning) อาจารย์พรเพ็ญพูดขึ้นทันทีว่า “เห็นไหมหลวงพ่อซ่อมนาฬิกาให้เธอ เป็นเพราะเธอฝึกมโนมยิทธิให้พวกพี่” ซึ่งช่วงนั้นข้าพเจ้าหยุดฝึกมโนมยิทธิมานานแล้ว ทุกคนที่มาฝึกพูดแบบเดียวกันว่า หลวงพ่อซ่อมนาฬิกาให้ ข้าพเจ้ากราบเท้าขอบพระคุณหลวงพ่อก่อนที่ใครๆ จะพูดแล้ว

๑๓. ผมหลวงพ่อเพิ่มจำนวน

เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ อาจารย์พรเพ็ญ ได้ขอผมหลวงพ่อจากข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าก็ขอผ่อนผันมานานแล้ว เพราะผมหลวงพ่ออยู่กับข้าพเจ้ามีน้อย ประมาณ ๑๘ – ๒๐ เส้น ข้าพเจ้าคิดว่าจะแบ่งให้สัก ๓ เส้น แต่วันนั้นท่านบอกว่าจะขอ ๑๒ เส้น ข้าพเจ้าจึงพูดกับท่านว่า ถ้าอยากได้มาก็ให้ไปขอกับท่านเอาเองซิ พอข้าพเจ้านำเจดีย์ที่บรรจุผมของหลวงพ่อมาเปิดดู พบว่าผมหลวงพ่อเพิ่มจำนวนมากมาย

ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานใช้นิ้วชี้แตะจากถุงที่บรรจุในเจดีย์ ปรากฏว่าได้ ๑๒ เส้นพอดี อาจารย์พรเพ็ญดีใจมาก และท่านก็แปลกใจว่าเพิ่มจำนวนได้จริงๆ เพราะท่านเคยเห็นว่าข้าพเจ้ามีผมหลวงพ่อจำนวนน้อย แต่คงเป็นเพราะเมตตาและกรุณาจริงๆ จึงเพิ่มจำนวนให้ ข้าพเจ้ากราบขอบพระคุณหลวงพ่อเช่นเคย

๑๔. หลวงพ่อบอกว่าท่านแม่และท่านอามหาชมพูให้ข้าพเจ้าใส่เชือกแดง

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ไปช่วยงานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ที่อำเภอขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมากับหลวงพ่อแล้ว พอเสร็จงานข้าพเจ้าได้เข้าไปกราบท่าน กำลังจะกราบเรียนท่านว่าจะขออนุญาตลงจากรถจากคณะที่ในโคราชเลย แล้วจะขึ้นรถต่อไปที่มหาสารคาม แต่ยังไม่ทันได้พูด

หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า “เมื่อคืนผีจะมาเอาเอ็ง แต่แหม่มไม่ต้องกลัวนะลูก ท่านแม่และท่านอามหาชมพูช่วยอยู่แล้ว ท่านให้ใส่เชือกแดงที่มีเหรียญพร้อมธงพิชัยสงครามของหลวงพ่อเอาไว้ตลอดนะ”
แล้วท่านก็ถามว่า “เชือกแดงมีมั้ย”

ข้าพเจ้าตอบท่านว่า มีเจ้าค่ะ แต่เอาไว้ที่บ้าน เพราะรับราชการครูใหม่ๆ ใครเขาถามว่า จะออกรบหรือ ก็เลยเก็บเอาไว้ จึงใส่เหรียญอื่นและองค์แก้วมณีรัตนะแทน
หลวงพ่อบอกว่า อาจารย์พรนุชเล่าให้ท่านฟัง ซึ่งอาจารย์พรนุช คุณน้าธีรชาติก็นั่งอยู่ด้วย คุณน้าธีรชาติจึงให้เชือกแดงข้าพเจ้ายืมใส่ก่อน

พอข้าพเจ้ากลับมาถึงบ้านพัก น้องที่บ้านพักเล่าให้ฟังว่า คืนที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ เขาได้เห็นผู้ชายใส่ชุดดำและผู้หญิงใส่ชุดดำมายืนที่หัวเตียงนอนเขา เขาท่องพุทโธก็ไม่ไป น้องคนนั้นบอกว่า พอนึกถึงให้แหม่มช่วย ผีใส่ชุดดำนั้นก็หายไป ซึ่งในคืนเดียวกันนั้นข้าพเจ้าได้นอนอยู่ที่กองพันสัตว์ต่าง (ปากช่อง) ข้าพเจ้านอนไม่หลับทั้งคืน ได้ยินแต่เสียงนก ๒ ตัว ร้องอยู่ที่หน้าประตู ที่พักในค่ายทหาร

หลวงพ่อได้สั่งไว้ว่า กลางคืนอย่าเปิดประตูออกมาเด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม
ข้าพเจ้าจึงนอนทำสมาธิเอาใจไปอยู่ใกล้ๆ หลวงพ่อตลอดคืน อาจารย์พรนุชบอกว่า ต่อไปไม่ต้องฝึกสมาธิให้ใคร ถ้าใครเขาอยากฝึกให้เขามาหาข้าพเจ้าเอง เพราะธรรมะเป็นของสูง ไม่ใช่ของโฆษณา ข้าพเจ้าจึงทำตามที่ท่านแนะนำ

ซึ่งปี ๒๕๓๕ ว่าจะเลิกฝึกมโนมยิทธิให้คนแถวบ้านมหาสารคาม ถ้าจะฝึกก็จะมาฝึกที่วัดท่าซุงเลย แต่ต่อมาก็ได้ช่วยฝึกเหมือนเดิม เพราะมีคนต่างจังหวัดมาให้ช่วยฝึก มีพระเป็นผู้นำมาด้วย ข้าพเจ้าจึงปฏิเสธไม่ได้ จึงทำตามที่หลวงพ่อสั่งทุกอย่าง

ข้าพเจ้าขอยุติแค่นี้ก่อน เรื่องที่หลวงพ่อช่วยและเรื่องอื่นๆ มีอีกมากมาย ในขณะนี้รู้แต่เพียงว่าชีวิตจะต้องตาย ถ้าตายเมื่อไรก็ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านรอเราอยู่ที่นั่น เกิดมาในชาตินี้ ข้าพเจ้ามีองค์หลวงพ่ออยู่ในหัวใจ เมื่อท่านจากไปลูกสุดเหลืออาลัย ใจเหมือนสลายไปชั่วขณะเหมือนใจจะขาดลงในบัดนั้น

คิดถึงท่านทุกวันเกือบทุกเวลา พระคุณท่านล้นฟ้าพรรณนาไม่ได้ รู้แต่ว่าท่านคือยอดบิดาของลูกตลอดไป สิ่งใดที่องค์หลวงพ่อประสงค์และได้อบรมสั่งสอนมา ลูกขอน้อมรับและจะปฏิบัติตามด้วยชีวิต ขอเป็นลูกที่ดีขององค์หลวงพ่อและท่านแม่ตลอดไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ลูกขอน้อมกราบถวายบุญกุศล

และคุณความดีที่ลูกได้บำเพ็ญสั่งสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแด่องค์หลวงพ่อ ขอองค์หลวงพ่อได้โปรดเมตตารับการบูชาจากลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว องค์หลวงพ่อบรรลุแล้ว ขอให้ลูกได้รู้ธรรมนั้นได้โดยฉับพลันในชาติปัจจุบันนี้เถิด และลูกขอถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/5/11 at 12:54 [ QUOTE ]


45

เมื่อข้าพเจ้า (เกือบ) ตาย


พ.ต. ทันตแพทย์หญิง เตือนใจ กลั่นสุภา


.....ลูกขอกราบขอขมาหลวงพ่อ ที่ตั้งชื่อเรื่องเลียนแบบหลวงพ่อเจ้าค่ะ เพราะเกือบตายจริงๆ ถ้าตายจริงแล้วเลือกที่ไปไม่ได้แน่ถ้าไม่ได้คำสอนของหลวงพ่อ ที่เมตตาสั่งสอนลูกหลาน และพุทธบริษัทด้วยขันธ์ ๕ ที่ไม่ค่อยจะเป็นใจ

...จวบจนวาระสุดท้าย หลวงพ่อของเราก็ยังนำคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาสอนพวกเราจนถึงวินาทีที่ขันธ์ ๕ ใช้การใช้งานไม่ได้ พูดแล้วก็นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อของเรา

...ที่ได้นำวิชามโนมยิทธิมาเผยแพร่ วิชามโนมยิทธิเป็นวิชาชั้นเยี่ยม แต่จะให้ได้ผลต้องใช้ครูชั้นยอดนำทาง และพวกเราก็เจอครูชั้นยอดแล้ว หลวงพ่อของเราเป็นครูที่เป็นหนึ่งในหัวใจของเรา

ถ้าไม่ได้เจอหลวงพ่อ ก็คงต้องพูดว่า “เสียดายชาติที่เกิดมา” ธรรมะของท่านจะอยู่ในหัวใจเราเสมอ แม้แต่องค์หลวงพ่อก็อยู่ในใจเราด้วย ถ้าเรายังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ อารัมภบทซะนาน ต้องขอเข้าเรื่องซะทีว่าทำไมต้องจั่วหัวเรื่องว่า เมื่อข้าพเจ้าเกือบตาย

เวลาเช้ามืดของวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ข้าพเจ้ากำลังแสดงบทเป็นคนป่วยจะให้กำเนิดบุตรคนที่ ๔ คราวนี้ถือว่าเป็นการคลอดที่ทรมานที่สุด เพราะ ๓ คนแรกข้าพเจ้าคลอดสบายมาก เพราะอาศัยบุญบารมีที่สามีเป็นแพทย์ คือ พ.ท. นายแพทย์ นพพร กลั่นสุภา

จึงทำให้ได้รับการดูแลและเตรียมพร้อมทุกอย่างจากเจ้าหน้าที่ แต่การคลอดครั้งนี้เจ็บจนคิดว่าเกือบตาย เพราะขัดข้องทางเทคนิคบางประการ แต่ต้องถือว่าโชคดีทางธรรม ที่มีโอกาสพิสูจน์คำสอนของหลวงพ่อว่าแน่เพียงใด (ลูกกราบขอขมา)

เมื่อเริ่มเจ็บท้อง แม่ส่วนมากคงทราบว่าทรมานเพียงใด ข้าพเจ้าพยายามจับองค์พระให้ใสสว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับสวดมนต์บทอิติปิโส แต่ด้วยความเจ็บปวด สวดไม่ทันจบก็ต้องหยุดเพราะปวดเหลือเกิน เมื่อเจ็บถี่มากขึ้นคิดว่าสภาพจิตเราไม่ดีพอ

คงจะสู้กับทุกขเวทนาไม่ได้ จึงหันไปบอกสามีที่อยู่ข้างๆ ขอให้ช่วยฉีดยาระงับความรู้สึกให้ เมื่อได้ยา ยาก็ทำหน้าที่ดีเหลือเกิน ไม่ทันดึงเข็มออกข้าพเจ้าก็สะลืมสะลือพร้อมกับอิติปิโสยังไม่ทันจบ แต่จิตจับองค์พระวิสุทธิเทพ แต่เลือนรางเหลือเกิน

ต่อมาวินาทีระทึกใจก็มาถึง ตอนที่จะคลอดบุตรวินาทีสุดท้าย ข้าพเจ้าปวด... เจ็บเหมือนร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บที่สุดในชีวิต คิดว่าถ้าตายก็ตายตอนนี้ พลันจิตก็ตัดว่า “ตายเป็นตาย” เท่านั้นแหละ จิตสว่างว้าบ สมาธิรวมแน่น

เห็นองค์พระวิสุทธิเทพเป็นประกายพรึก สว่างเหมือนพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่เย็นฉ่ำเหมือนเราไปยืนท่ามกลางน้ำตก องค์พระวิสุทธิเทพเต็มไปหมด จิตอิ่มไปด้วยปีติ ลืมความเจ็บปวดทั้งหมด น้ำตาแห่งความปีติไหลออกมา

โอ! หนอ... หลวงพ่อของเราสอนลูก สอนตรง และลัดอีกด้วย (คำเอ่ยของท่านแม่ จากหนังสือสมบัติพ่อให้) เมื่อข้าพเจ้าเกือบตายครั้งนี้ถือว่าโชคดีมหาศาลที่ได้พิสูจน์คำสอนขององค์หลวงพ่อ ที่เมตตาพร่ำสอนพวกเราทุกวัน

ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้มีโอกาสกราบขอขมาท่านก่อนที่ท่านจะทิ้งขันธ์ ๕ ไปสถิตอยู่บนพระนิพพาน เมื่อประมาณกลางเดือนตุลาคม ๒๕๓๕ ได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อครั้งสุดท้าย พยายามรวบรวมกำลังใจ (กลัวโดนดุ) กราบขอขมาหลวงพ่อ ที่ไม่เชื่อที่ท่านสอนว่า

“ก่อนจะหลับ ก่อนจะตื่น ให้เราคิดว่า เราจะไปพระนิพพาน เราจะไม่เกิดต่อไป ถ้าตายขอให้ได้ไปพระนิพพาน โดยการฝึกเอาจิตพุ่งขึ้นไปพระนิพพาน ไปนอนที่วิมานของเราพร้อมกายพระนิพพาน หรือไปกราบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่วิมานบนพระนิพพานของท่าน

เราจะยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เราจะมีศีลบริสุทธิ์ คิดแบบนี้ให้เป็นปกติ อารมณ์จะชิน ต่อไปก็เป็นอารมณ์ฌาน ถ้าทำได้ตายเมื่อไรไปพระนิพพานทันที”

(คุณหมอนพพรได้ติดตามรับใช้หลวงพ่อเมื่อท่านไปอเมริกาครั้งสุดท้าย เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๕ ยืนยันว่าท่านสอนหลายครั้งหลายหนให้ทำอย่างนี้) ท่านสอนให้ทำอย่างนี้ โถ! ง่ายนิดเดียว แล้วจะได้อะไรนะถ้าทำตาม ข้าพเจ้าเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่าย

ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ยอมโง่... เพราะยังทำตามที่ท่านสอนทุกคืน ก่อนนอนหลังจากไหว้พระสวดมนต์เสร็จ จะพุ่งจิตพร้อมกายนิพพานไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วิมานของพระองค์ท่านที่พระนิพพาน ทำแทบทุกคืน จึงได้บทสรุปที่ว่า

เมื่อข้าพเจ้าเกือบตาย ตัดตายเป็นตาย จะเห็นองค์พระวิสุทธิเทพงามเหลือเกิน สดใสสว่างเป็นประกายพรึก ได้กราบเรียนถามหลวงพ่อต่อ ท่านเมตตาเอ่ยว่า “ดีแล้วลูก ทำถูกแล้ว เมื่อเห็นพระ จิตย่อมมีสุคติเป็นที่ไป”

การสอน ให้หมั่นเอาจิตขึ้นพระนิพพานนั้น เพราะจิตมีสภาพจำ ถึงแม้จะไม่ได้คิดถึงพระนิพพาน แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพานของจิตมีอยู่ งั้นถ้าตายเวลานั้นก็ไม่สามารถพลาดพระนิพพานได้ (คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อองค์หลวงพ่อ)

จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า ขอให้ทุกคนมั่นใจ เชื่อใจเถิดว่า หลวงพ่อของเราสอนถูก สอนตรง สอนลัดที่สุด สอนให้ไปพระนิพพานโดยไม่ยากเลย ถ้าทำจริงซะอย่าง ชาตินี้ใครได้ฟังและปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ได้ผลมากบ้างน้อยบ้าง ก็ต้องถือว่าไม่เสียทีที่ได้เกิดมา

ลูกกราบแทบเท้ามาด้วยความรัก อาลัย และสำนึกในพระคุณของหลวงพ่อเป็นล้นพ้นลูกกราบขอขมาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธาน พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ หลวงปู่ปาน

หลวงพ่อ ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ เทพพรหมเทวดาทั้งหมด ถ้าลูกล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ก็ดี ด้วยเจตนา หรือมิได้เจตนาก็ดี ตั้งแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอท่านทั้งหมดได้โปรดอดโทษให้ลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ...

ll กลับสู่สารบัญ


46

กราบขอขมากรรมหลวงพ่อ


วิลาวัณย์ ตัณฑเจริญรัตน์


......ต้นปี ๒๕๒๔ ลูกไปนั่งฟังการสัมมนาในอำเภอโพธารามโดยบังเอิญ มีพัฒนากรสาวจากจังหวัดอุทัยธานี สังกัดองค์กรเอกชนคนหนึ่ง พูดให้ที่ประชุมฟังเกี่ยวกับวัดท่าซุงว่า เขาไม่ศรัทธาเลย... ลูกเองยังสงสัยว่าทำไมวัดนี้ชื่อเสียงโด่งดัง คนหลั่งไหลกันไปทำบุญ

...ตอนนั้นลูกเพิ่งได้ยินชื่อหลวงพ่อฤาษีและวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ยังรู้สึกไม่ศรัทธาด้วยเหมือนกันกลางปี ๒๕๒๙ ลูกได้อ่านธัมมวิโมกข์เล่มหนึ่ง เปิดดูผ่านๆ อย่างไม่สนใจ แต่เผอิญตาเหลือบไปเห็นอำเภอบ้านโป่ง ในเรื่องพระองค์ที่ ๑๐ ซึ่งเขียนโดยหลวงพ่อ ก็เลยสนใจอ่านแต่เรื่องนั้น

...ต้นปี ๒๕๓๐ ลูกได้ฟังเทปเสียงหลวงพ่อพูดเรื่องพระองค์ที่ ๑๐ ต่อมาไม่นานลูกได้ไปฟังธรรมจากหลวงปู่ท่านหนึ่งที่ราชบุรี มีแม่ชีที่นั่งฟังอยู่ด้วย ๔ – ๕ ท่านพูดกับหลวงปู่ว่า ใช่ท่านแน่เป็นพระองค์ที่ ๑๐ ซึ่งเคยเห็นที่วัดท่าซุง พอปลายปีนั้นลูกได้อ่านหนังสือรวมคำสอนของหลวงปู่ท่านนี้อีก

ลูกชอบธรรมที่ท่านสอนมาก แต่ยังสงสัยว่า ทำไมหลวงปู่ท่านเกี่ยวข้องกับวัดท่าซุง แต่มีอะไรบางอย่างที่ขัดแย้งกันอยู่ กลางปี ๒๕๓๑ ลูกได้ไปที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ได้เห็นพิธีกรรมบางอย่าง และได้นั่งสมาธิโดยเขาให้สวมหน้ากากกระดาษแล้วภาวนาว่า นะมะพะธะ

ลูกรู้สึกไม่ค่อยศรัทธา สงสัยว่านะมะพะธะแปลว่าอะไร ทำไมเขาเห็นอะไรกันง่ายๆ จนแทบไม่น่าเชื่อ พระจุฬามณีคืออะไรเป็นอย่างไร ปี ๒๕๓๓ ลูกเริ่มรู้สึกผิดปกติหลายอย่างทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ อยากกินแต่ของร้อนๆ ทั้งข้าวและน้ำ กินข้าวยังไม่ทันอิ่มก็อยากนอน

แรกๆ ก็นึกตำหนิตัวเองว่า ขี้เกียจล่ะซี แต่พอหลายๆ ครั้งเข้ามันไม่ใช่แล้ว ปีนั้นทั้งปีกลายเป็นคนเกียจคร้านเอาแต่กินกับนอน ละทิ้งงานในหน้าที่อยู่บ่อยๆ ยืนนานๆ ก็ไม่ค่อยไหว เดินช้าลงอย่างชนิดบังคับตัวเองไม่ได้ ทำงานไปเหมือนหุ่นยนต์ อ่านหนังสือให้เด็กฟังเพียง ๒ – ๓ บรรทัดก็เหนื่อย

เสียงก็แทบไม่มีสอน ไม่อยากพูดคุยกับใคร ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกหนังสือพิมพ์อ่าน อารมณ์มันเฉยๆ เห็นหรือได้ยินอะไรก็สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน ประสาททางกายกับทางจิตไม่สัมพันธ์กัน เกิดความรู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่ใช่ตัวของลูกเอง เวลาปกติดีก็ชอบนั่งนับลูกประคำและเดินจงกรม

แล้วเช้าวันหนึ่งอยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกหน้าผากย่นเป็นริ้วๆ คล้ายคนแก่เหมือนมีอะไรจะมาเข้า พอส่องกระจกดูก็ไม่เห็นผิดปกติอะไร เล่าให้หลวงน้าซึ่งเคยสอนวิปัสสนาฟัง ท่านก็พูดว่าสิ่งลี้ลับ เขามาสร้างบารมี

วันเสาร์ที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๓๓ ลูกเกิดอาการใกล้ตาย วันนั้นเดินแข็งทื่อช้าๆ พอจะเหลียวดูอะไรทีต้องค่อยๆ หมุนตัวกลับ พี่สาวซึ่งมีอาการผิดปกติชอบหัวสั่นหัวคลอนเหมือนคนมีองค์มาก่อนรวม ๒ ปี มาชวนให้ไปดูเจ้าเข้าทรงที่นครปฐม ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ชอบเรื่องการทรงเจ้าเหมือนกัน

ลูกสั่นหน้าปฏิเสธแล้วพูดอยู่ในใจว่า ที่ไม่ไปไม่ใช่เพราะว่าไม่เชื่อ แต่มันผิดปกติจนไม่อยากออกไปไหน ไว้ดีๆ แล้วค่อยไป พอตกกลางคืนนอนอยู่คนเดียวในห้อง เกิดอาการไม่สบายขึ้นมากะทันหัน ไม่มีแรงจะลุกออกไปเรียกให้ใครช่วย คลานไปอาเจียนลงในกระโถนสำหรับใช้ถ่ายปัสสาวะ

ได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยว คิดว่าคงจะเป็นแบบที่โบราณเขาเรียกว่าลมป่วง ซึ่งเคยเป็นสมัยเด็กๆ มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ทำไมครั้งนี้ใจมันหวิวๆ ลงเหลือเล็กนิดเดียว คล้ายๆ จะหลุดลอยออกไปจากร่าง คิดถึงความตายขึ้นมาทันที ร้องอยู่ในใจว่า โอ๊ย นี่จะเอากันถึงตายเชียวหรือ

เชื่อแล้ว กลัวแล้ว จิตใจมันกระสับกระส่ายทุรนทุรายคิดถึงแม่ แล้วก็พลันนึกได้ว่า ถ้าก่อนตายจิตเศร้าหมองจะพาไปสู่ที่ทุคติ จึงคลานกลับไปนอนภาวนาพุทโธเตรียมตัวตาย เกิดอาการปวดท้องเหมือนอุจจาระจะไหลออกมา คิดถึงคำโบราณที่ว่าคนจะตายธาตุไฟจะแตก

เพราะทั้งร้อนและหนาวในเวลาเดียวกัน เหงื่อออกเต็มไปหมดทั้งหน้าและลำตัว ขนลุกขนพอง คลานกลับไปนั่งถ่ายในกระโถนรวมกับอาเจียน แล้วกลับมานอนภาวนาต่อ เพิ่งประจักษ์แจ้งในคืนนั้นเองว่า ร่างกายคือที่ประชุมรวมของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ

นอนหลับๆ ตื่นๆ ไปกับคำภาวนาตลอดคืน พอรุ่งเช้ารอดตายมาได้เดินอ่อนระโหยโรยแรงลงไปสะกิดแม่ แทบไม่มีเสียงหลุดออกจากปาก บอกแม่ว่าพาไปหาหมอที วันต่อมาลูกนั่งสมาธิอยู่หน้าหิ้งพระ เห็นอักษรคำว่า สวรรค์ ตัวโตๆ ปรากฏอยู่ข้างหน้า

จึงคิดได้ว่าคงเป็นนิมิตบอกให้รู้ว่า ยังไปนิพพานไม่ได้ เพราะยังมีจิตกังวงห่วงแม่อยู่ โชคดีเหมือนสอบผ่านสนามสอบโดยที่ยังไม่ทันได้ตายไปในคืนนั้น เตือนตนเองว่าถ้าใกล้ตายแบบนี้อีก ต้องวางภาระให้หมด ตัดทุกห่วงที่จะทำให้จิตไม่ผ่องใส ต่อมาไม่นานเพื่อนได้นำธัมมวิโมกข์มาให้อ่าน ๔ – ๕ เล่ม

ลูกยังไม่สนใจเลยให้แม่อ่านก่อน เมื่อลูกได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ไปนิพพานตอนสิ้นชีพิตักษัย ซึ่งเขียนโดยหลวงพ่อ ยังไม่ค่อยเชื่อเลย ต้นสิงหาคม ๒๕๓๔ ลูกฝันว่านั่งรถกระบะกันไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ข้างหลังคนนั่งกันแน่นไปหมดเหมือนรถรับคนงานไปตัดอ้อย

ถนนที่รถแล่นอยู่ปูด้วยอิฐบล็อกรูปตัวไอ ด้านขวามือเป็นต้นไผ่ขึ้นเขียวชอุ่มเบียดเสียดกันแน่นหนา รถแล่นผ่านอาคารไม้เก่าๆ ทรุดโทรมมากแล้ว ซึ่งทาสีเขียวอ่อนๆ สลับกับสีฟ้า ด้านหลังอาคารเป็นแม่น้ำ รถเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแล้วก็จอด มองไปรอบๆ เหมือนสภาพร้างๆ ที่เป็นป่ายังไม่ค่อยเจริญ

พอเช้าตื่นขึ้นมานึกสงสัยว่า เอ๊ะ สถานที่ฝันถึงนี่วัดท่าซุงหรือเปล่านะ รีบไปค้นหนังสือ “ธรรมชาติแห่งพุทธอิสระ” ซึ่งรวบรวมคำสอนของหลวงปู่พระองค์ที่ ๑๐ มาดู เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับวัดท่าซุง จึงรู้ว่าวัดท่าซุงอยู่ติดริมแม่น้ำ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าความฝันนั้นคือวัดท่าซุง เพราะยังไม่เคยไปเห็น

ต่อมาลูกศิษย์หลวงพ่อให้หนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๒ มาอ่าน ลูกเห็นมันหนามากและไม่นึกอยากอ่าน จึงให้แม่อ่านก่อน หลังจากแม่อ่านแล้วก็บ่นว่าอยากไปวัดท่าซุง ลูกยังนึกอยู่ในใจว่าไกลจะตาย ไม่ใช่แถวบ้านเรา เคยได้ยินพวกลูกศิษย์หลวงพ่อเล่าว่า บริเวณวัดกว้างใหญ่มาก

แต่เวลามีงานทีคนเบียดเสียดกันแน่นมาก ถ้าพลัดหลงกันล่ะก็ตามหาตัวกันยาก นึกถึงภาพแล้วก็ไม่รู้สึกอยากไปด้วยเลย แม่อ่านแล้วก็เอากระดาษคั่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ไว้ให้ลูกอ่าน ลูกก็เลยต้องอ่าน เพราะแม่ถามว่าอ่านหรือยัง พออ่านแล้วก็รู้สึกชอบมาก สนุกดี มีอะไรแปลกๆ น่าเรียนรู้อีกมากมาย

อ่านเรื่องหลวงพ่อของเราที่เขียนโดยศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา นุตาลัย เกี่ยวกับหลวงพ่อเก็บลูกศิษย์ อ่านข้อที่ ๑ ... ไปจนถึงข้อที่ ๔ ก็คิดว่าไม่ใช่ ไม่ตรงกับของลูก พออ่านถึงข้อ ๖ ที่ว่าท่านไปตามเก็บเอง จิตก็เกิดแว้บขึ้นมาว่า ลูกคงต้องเป็นอย่างนั้นมั้ง

แต่พออ่านหน้าต่อไปกรณีตัวอย่างของคุณอ้วน จึงรีบบอกกับตัวเองว่า โอ้โฮ ไม่ใช่แล้ว ลูกไม่ใช่คนสำคัญถึงขนาดนั้น จะบ้าหลงตัวเองไปแล้วมั้ง ลูกคงเป็นแบบพี่ชายอาจารย์ปริญญามากกว่า คือคนที่ไม่เชื่อกันยังนึกอยู่ว่าลูกอยู่สายครูบาศรีวิชัยด้วยหรือเปล่า เพราะลูกก็ชอบนับลูกประคำ

คิดถึงคำพูดของเพื่อนเขาเคยบอกว่า พวกคอมมิวนิสต์เขาแบ่งเป็นสายจีน สายโซเวียต พวกผู้ปฏิบัติธรรมก็แบ่งเป็นสายเหมือนกัน พี่สาวเขาเป็นลูกศิษย์อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ หลวงพ่อที่ลูกเคยไปบวชอยู่กับท่านก็เคยพูดว่า พวกเราสายแม่กลอง ลูกยังนึกขำและแย้งอยู่ในใจว่า

ก็พวกโยมอุปัฏฐากของหลวงพ่อมาจากสมุทรสงครามเสียเป็นส่วนมากเลยกลายเป็นสายแม่กลองไป แต่ตอนหลังหลวงพ่อท่านนั้นก็อธิบายว่าของท่านสายพระอาจารย์มั่น ลูกเคยไปศึกษาธรรมที่จิตตภาวันและสวนโมกข์ในสมัยที่เรียนอยู่ในจุฬาฯ เกือบ ๒๐ ปีมาแล้ว รู้สึกชอบสวนโมกข์มาก

แต่ยังไม่อยากจำกัดตัวเองอยู่เฉพาะสายสวนโมกข์เท่านั้น ลูกชอบเรียนรู้ไปหลายๆ แห่ง เคยได้ยินกิตติศัพท์เขาแบ่งเป็นสายธรรมกายบ้าง สายสันติอโศกบ้าง ฯลฯ พอไปเห็นที่ตู้รับบริจาคในศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนั้นมีวงเล็บไว้ด้วยว่า (สายหลวงพ่อฤาษี) ตอนนั้นลูกยังไม่ค่อยศรัทธาจะทำบุญด้วยเลย

คิดอยู่ในใจว่า ทำไมต้องแบ่งเป็นพวกเป็นสายด้วยนะ ถ้ามีพระธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว สายไหนหรือศาสนาอะไรก็ได้ ไม่น่าขัดแย้งกันเพราะต่างสำนักต่างนิกายหรือต่างศาสนากันเลย ต้นกันยายน ๒๕๓๔ ลูกไปหาคนทรงเจ้ารายหนึ่ง เขาบูชารูป ร.๕ เต็มไปหมด

เวลาทรงร่ายกลอนยาว... กดที่กระหม่อมคร่อมที่พระศอ กดด้วยนะมะพะธะ ดินน้ำลมไฟ ธาตุทั้ง ๔... ลูกคิดในใจว่า มาอีกแล้ว นะมะพะธะ อย่างกับสายหลวงพ่อฤาษี ที่น่าแปลกที่สุดก็คือ เวลาลูกมีอาการต่างๆ ที่ผิดปกติไปทั้งทางร่างกายและจิตใจ พอไปหาเขาแล้ว หายอย่างชนิดแทบไม่น่าเชื่อ

เหมือนลูกกลับมาเป็นตัวของลูกเองอย่างเก่า ลูกไม่ชอบการทรงเจ้าและเขาก็เรียกเงินค่าองค์ครูเกือบ ๒,๐๐๐ บาท แบบมัดมือชกลูกข้างเดียว ลูกยังไม่ค่อยเชื่อเลยไม่ยอมไปเสียเงินตามที่เขานัดไว้ ต้นตุลาคมขณะที่ลูกนั่งคุมเด็กสอบอยู่ เกิดอาการสั่นๆ ขึ้นมา ลูกจึงอธิษฐานถึงหลวงพ่อว่า

ขอให้ลูกหายเถอะ อย่าให้ลูกต้องไปรับองค์ครูกับเขาเลย ถึงจะเสียเงินมากกว่า ๒,๐๐๐ ก็ยอม ถ้าเสียเงินทำบุญถวายสังฆทานกับพระ แล้วก็หายทันที ลูกยังแปลกใจอยู่เลย วันที่ ๕ ตุลาคม ลูกไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อที่ซอยสายลมเป็นครั้งแรก

พอเห็นรูป ร.๕ ในบ้านยังนึกอยู่ว่า เจอรูป ร.๕ อีกแล้ว ก็เจ้าของบ้านเป็น ม.ร.ว. แต่ขณะที่ยืนร่วมถวายสังฆทานกับหมู่คณะที่ไปด้วยนั้น อาการต่างๆ ที่ลูกเคยเป็นก็เกิดขึ้นทันที ปวดสันหลังร้าวๆ ร้องไห้ยืนแล้วขาสั่นๆ จะทรงตัวไม่อยู่จนต้องทรุดลงนั่ง ในใจก็พูดกับหลวงพ่อว่า

ลูกเชื่อแล้ว ลูกเป็นเด็กดื้อ ลูกจะไปเสียเงินรับองค์ครูกับเขา ระหว่างนั่งรอกลับบ้านลูกได้ยินพวกลูกศิษย์หลวงพ่อคุยกัน ลูกก็สงสัยว่าทำไมลูกต้องเกี่ยวข้องอะไรกับหลวงพ่อด้วย ระยะนั้นลูกได้ขอยืม ธัมมวิโมกข์ จากเพื่อนครูมาอ่านบ้าง แต่ก็สนใจแค่หลวงพ่อตอบปัญหา

มีอยู่หลายครั้งที่ลูกรู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ไรๆ อยู่ตามหน้า คิดว่ามดไร พอส่องกระจกดูก็ไม่เห็นมีอะไร ทั้งๆ ที่กำลังรู้สึกอยู่ ต่อมาก็คัน พอคันก็เกา เกาจนรู้สึกเป็นตุ่มเหมือนมดหรือยุงกัด ลูกเลยหยิบพระมาทดลองดู ตอนนั้นยังไม่ทราบว่านี่คือพระคำข้าว

ใช้ด้านหลังที่เป็นรูปหลวงพ่อถูไถไปมาตรงที่คันหลายๆ ที แล้วก็อธิษฐานขอให้หาย แปลกที่สุดเพราะหายได้จริงๆ ครั้งที่ ๑ ก็คิดว่าคงเป็นอุปาทานของจิตลูกเองมั้ง ครั้งที่ ๒ ทดลองใหม่ ก็หายอีก แต่ยังไม่ยอมเชื่อก็ทดลองอีก กี่ครั้งๆ ก็หายเพราะพระองค์นี้ เลยสรุปว่า ปาฏิหาริย์จริงๆ

ครั้งหนึ่งบังเอิญลูกหยิบพระองค์นี้มาดมเล่น ได้กลิ่นหอมเหมือนข้าว ก็เลยคิดว่า อ๋อ นี่ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่าพระคำข้าว เลยไปบอกแม่ให้ทดลองดมดู เคยอ่านเจอในลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒ เกี่ยวกับอานุภาพพระคำข้าว ยังสงสัยว่า เป็นยังไงนะ ทำไมเรียกพระคำข้าว

ต่อมาพอไปเห็นที่วัดท่าซุง มีป้ายติดไว้ว่าพระคำข้าว เลยหายสงสัย ต้นปี ๒๕๓๕ ลูกตั้งใจว่าจะไม่ไปงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมกลางเดือนกุมภาพันธ์ แต่จะไปงานหล่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมกลางเดือนมีนาคม พอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับตาลปัตรหมด

ไปวัดท่าซุงเป็นครั้งแรกในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ทั้งๆ ที่กำลังไม่ปกติอยู่ ไปถึงก็ร่วมทำวัตรเย็นที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ขณะที่นั่งสมาธิเหมือนได้ยินเสียงหลวงพ่อสอนธรรมดังแว่วมาไกลๆ พอรู้สึกตัวก็สงสัยว่า เอ๊ะ นี่ลูกเผลอหลับแล้วฝันไปหรือว่าไม่ได้หลับ แต่ได้สัมผัสกับสิ่งที่เขาเรียกกันว่านิมิต

คืนแรกนอนฝันเห็นพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่มากขนาดเท่าที่พุทธมณฑล สีดำทั้งองค์ แต่เป็นปางประจำวันจันทร์ แล้วก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาปลุกถึงในห้องนอนบอกว่า วันนี้หลวงพ่อลงรับแขกตอนเช้า เลยยิ้มดีใจมาก พอตอนเช้าน้องขับรถพาไปเที่ยวรอบๆ วัด

เห็นพระยืนองค์ใหญ่หน้าหอพระไตรปิฎก ก็นึกถึงความฝันเมื่อคืน เหมือนนิมิตบอกว่าจะได้เห็นพระยืนองค์ใหญ่ก็เป็นจริง แต่คนละปางและคนละสีกัน ยังคิดอยู่ว่าหลวงพ่อคงเกิดวันพุธมั้ง เขาถึงสร้างพระปางอุ้มบาตรเอาไว้

พอไปเที่ยวดูท่าน้ำ เห็นอาคารเรือนไม้หลังเก่าๆ แล้ว จิตเกิดความรู้สึกผูกพัน ทำให้นึกถึงความฝันเมื่อต้นสิงหาคม ๒๕๓๔ คิดว่าคงเป็นนิมิตนำทางมาก่อนจะได้เห็นของจริง หลังจากไปนั่งดูปลาที่ท่าน้ำสักพักหนึ่งก็เดินมาตึกรับแขกใหม่ ยังไม่ทันถึงได้ยินเสียงรถหลวงพ่อแล่นมาข้างหลัง

พอเห็นหลวงพ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่พวกลูกศิษย์ช่วยกันแบกขึ้นตึก ก็เกิดอาการเหมือนที่บ้านซอยสายลมอีก เลยต้องนั่งพักใต้ต้นไม้ข้างทาง ปล่อยให้แม่เดินไปก่อน แม่ได้ถวายสังฆทานกับหลวงพ่อด้วยพระประจำวันเกิดคือวันจันทร์ ขณะที่ลูกได้ร่วมถวายด้วยก็เกิดอาการจะร้องไห้อีก

ทั้งๆ ที่ก็นั่งพิงเสาสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ก่อนเข้าไปใกล้หลวงพ่อ วันแรกยังไม่กล้าเรียนขอความช่วยเหลือจากหลวงพ่อ พอวันที่ ๒ วันจันทร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ หลังจากถวายสังฆทานกับหลวงพ่อแล้วก็รวบรวมความกล้าเข้าไปหาหลวงพ่อ

บอกว่าลูกเหมือนคนใกล้ตายหลายครั้งแล้ว คล้ายๆ คนมีองค์
หลวงพ่อพูดว่า เรื่องแบบนี้ไม่รับเขา เขาเอาถึงตายเหมือนกันนะ
อยู่วัดท่าซุงได้ ๓ วัน ๓ คืนก็กลับบ้าน ตอนกลับนั่งรถเมล์กลับ เกิดความรู้สึกขัดแย้งในใจ

จิตหนึ่งมันยิ้มย่องผ่องใสที่ได้มาทำบุญกับหลวงพ่อถึงวัดท่าซุง แต่อีกจิตหนึ่งก็ค้านว่า นี่ถ้าลูกดีๆ อยู่ก็คงไม่มาหรอก จะมาทำไมให้เดือดร้อนทั้งแม่และน้อง เปลืองเงินทั้งค่ารถค่ากิน ระยะทางก็ไกล อากาศก็ร้อน คนก็เยอะ ซึ่งไม่ชอบสักอย่าง สู้อยู่กับบ้านแล้วส่งเงินมาร่วมทำบุญดีกว่า

หรือถึงแม้ถ้าไม่ปกติ ก็เลือกที่จะอยู่บ้านมากกว่าออกไปข้างนอก แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นจู่ๆ ก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าจะขึ้นรถเมล์มาวัดท่าซุงคนเดียว ทั้งๆ ที่ขาสั่นๆ จะทรงตัวยังไม่ค่อยอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะต่อรถเมล์ถูกหรือเปล่า แม่เลยต้องบอกน้องชายให้ขับรถไปส่ง

เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ก็ตัดสินใจไปเสียเงินรับองค์ครู เพราะประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดระยะเวลาร่วม ๒ ปี ที่เริ่มผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นประการแรก ประการที่ ๒ ต้องการจะทดลองพิสูจน์ดูด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง

และประการที่ ๓ เคยตัดสินใจยอมสละเงิน ๒,๐๐๐ บาทมาตั้งครึ่งค่อนปี คิดเสียว่าลูกเคยเป็นหนี้เขามาก่อนในอดีตชาติ ชาตินี้ก็ชดใช้เสียมันเป็นวิบากกรรมกันมา เช้าวันหนึ่งต้นเดือนมีนาคม หลังจากไปเสียเงินรับองค์ครูแล้ว ประมาณตี ๔ – ตี ๕

ลูกรู้สึกตัวตื่นแล้วแต่ยังไม่ลุกจากที่นอน ได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “ตื่นเถอะลูก”
ลูกยังแปลกใจว่า เอ๊ะ นี่ลูกก็ตื่นแล้ว ไม่ใช่หลับแล้วฝันไปแน่ๆ ได้ยินเสียงหลวงพ่อจริงๆ ทำไมหลวงพ่อยังมาปลุกอีกล่ะ หรือจะให้ลุกจากที่นอนมาบำเพ็ญภาวนา

ทุกวันนี้ลูกไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมลูกต้องเกี่ยวข้องอะไรกับหลวงพ่อด้วย เพราะเมื่อคิดทบทวนย้อนหลังไปแล้ว ระลึกถึงความฝันต่างๆ ที่คล้ายๆ เป็นนิมิตหลายๆ เรื่อง และประสบการณ์ต่างๆ ที่ลูกสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง ๖ บ้าง จึงคิดอย่างเข้าข้างตนเองว่า

ลูกคงเคยเกี่ยวข้องเป็นลูกหลานของหลวงพ่อมาในอดีตชาติ มาในชาตินี้จึงมีบุญพอทำให้ได้ไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ และเกิดเปลี่ยนใจกลับมาศรัทธาหลวงพ่อยิ่งนัก หลังจากมีอคติกับหลวงพ่อและวัดท่าซุงมาตลอดเกือบ ๑๐ ปี

เพิ่งเข้าใจหลวงพ่อเมื่อได้อ่านประวัติการสร้างองค์ปฐมและเจดีย์พุดตานหลังวันมาฆบูชา ๒๕๓๕ นี่เอง ถึงแม้จะได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อประเภทยืนอยู่ปลายแถวจนเกือบตกขอบสนาม แต่ลูกรู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อเสมอ เพราะยามใดที่คิดถึงหลวงพ่อก็ย้อนกลับไปอ่านธัมมวิโมกข์ บ้าง

อ่านลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๒ และหนังสือต่างๆ ของหลวงพ่อเท่าที่มีอยู่ในบ้านบ้าง ฟังเทปทำวัตรเช้า – ทำวัตรเย็นและเทปสมาทานพระกรรมฐานจากวัดท่าซุงบ้าง นับว่าผลบุญช่วยส่งไม่ให้ตายไปเสียก่อนโดยหลงเข้าใจหลวงพ่อแบบผิดๆ อย่างที่เคยคิดเอาไว้ มิฉะนั้นจะเป็นบาปติดตัวไปอย่างมหันต์ ที่ผ่านมาก็รู้สึกผิดต่อหลวงพ่อไปมากแล้ว

ลูกจึงขอกราบแทบเท้า กราบขอขมากรรมหลวงพ่อฤาษีมาในโอกาสนี้

ll กลับสู่สารบัญ


47

บันทึกการรายงานผลการฝึกมโนมยิทธิ



เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๕ คณะครูและนักเรียน จากโรงเรียนบ้านบวกเปา (เด็ก ๘ คน) และโรงเรียนบ้านเตาไห (เด็ก ๒ คน) เดินทางมาเพื่อกราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อถึงที่วัด เพื่อรายงานผลการฝึกมโนมยิทธิให้ท่านฟัง

ณ ที่ตึกรับแขก เมื่อหลวงพ่อเดินทางมาถึงแล้ว เด็กนักเรียนทั้งสองโรงเรียนจึงได้กราบนมัสการหลวงพ่อพร้อมกัน บางคนก็เข้าไปทำบุญบ้าง ถวายสังฆทานกันบ้าง หลวงพ่อก็มอบของที่ระลึกให้ หลังจากมีญาติโยมถวายสังฆทานเสร็จแล้ว หลวงพ่อก็ให้เจ้าหน้าที่เตรียมไมโครโฟนไว้

ผลเบื้องต้นของมโนมยิทธิ

เริ่มจากครูที่โรงเรียนบ้านบวกเปา เล่าถวายว่า หลังจากนักเรียนที่โรงเรียนฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป แต่ก่อนเงินของสหกรณ์โรงเรียนได้หายไปเสมอ แต่พอนักเรียนฝึกได้แล้ว ทำให้กลัวบาป รักษาศีลดี ทำให้เงินไม่ค่อยหายเหมือนแต่ก่อน สหกรณ์มีกำไรเพิ่มขึ้น

อีกประการหนึ่งเด็กที่เรียนหนังสือไม่เก่ง พ่อแม่มีปัญหา ก็กลายเป็นเด็กเรียนดีขึ้น หมดปัญหาจากพ่อแม่
หลวงพ่อจึงพูดว่า “ขอโมทนากับคณะครูที่สอนเด็ก แต่อย่าลืมสอนตัวเองนะ”

ลำดับต่อไป นักเรียนจากโรเรียนบ้านเตาไห ๓ คน เป็นทีมร่วมฝึกชุดเดียวกัน คือ ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์ และ ด.ญ.จารุณี มณี และด.ญ.ไพลิน บุญมา ทั้ง ๓ คนนี้ฝึกคล่องตัวมาก สามารถนำกายดิบๆ (กายเนื้อ) ไปท่องเที่ยวและแปลงร่าง (อภิญญา) ได้

แต่เสียดายที่วันนี้ ด.ญ.ไพลิน มาไม่ได้ เนื่องจากติดภาระงานเผาศพพ่อ ที่เพิ่งตายไปก่อนที่จะมาวัด เมื่อหลวงพ่อถามว่า “ไปเที่ยวไหนมาบ้างเล่าให้ฟังซิ”

เด็กชายบัญชา ซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้า จึงเป็นผู้เล่าให้ฟัง ตามที่ได้ขึ้นไปเรียนวิชาจุดไฟแล้วจึงลงมาทดลองดู ผลปรากฏว่ามีเรื่องขำๆ ดังนี้ “จารุณีพบหลวงปู่ปาน แล้วจุดไฟ เอาใบไม้มากอง แล้วจุดไฟข้างๆ หลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานสะดุ้ง หลวงปู่ก็เอาไม้ตะพดตี ๓ ทีครับ”

หลวงพ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “เออ...เก่งมาก ๆ ๆ ตอนจุดไฟ มีไม้ขีดไหม”
เด็กชายบัญชาตอบว่า “ไม่มีครับ ใช้จิตเพ่ง แล้วไฟก็ติด ต่อมาหลวงปู่ปานสอนให้เรียน วิชาทำให้ของลอย พอเรียนเสร็จ หลวงปู่หานก็บอกให้กลับไปบ้าน ลองไปทำดูซิ อย่างแรกก็ล้างจานก่อน พวกผมก็เอาจานมาวางไว้ เมื่อใช้จิตเพ่งแล้ว จึงทำอย่างหลวงปู่ปานบอก แล้วจานนั้นมันก็ล้างเองครับ”

หลวงพ่อพูดว่า “อ้อ! ดี.. ไม่เปลืองแรงงาน ไม่ต้องเหนื่อย”
เด็กชายบัญชาจึงเล่าเรื่องใช้จิตเปิดทีวีต่อไปว่า “วันนั้นผมดูทีวีที่บ้าน นึกยังไงไม่ทราบ อยากดูการ์ตูน นึกว่าจะลุกดีไม่ลุกดี เลยใช้จิตบังคับกดทีวีก็กดเอง ผมเลยสะดุ้งนึกว่าผี...เปิดให้ครับ”

หลวงพ่อฟังแล้วก็หัวเราะ เด็กชายบัญชาจึงเล่าเรื่องวิชาแปลงร่าง ว่าได้ชวนกันไปป่าหิมพานต์ ไพลินแปลงร่างเป็นเสือดาว จารุณีแปลงร่างเป็นลิง ผมแปลงร่างเป็นกระรอก “ ไพลินบอกว่า ฉันจะเป็นเสือไล่กินพวกเธอนะ พวกเธอคอยหลบฉันนะ ไพลินก็ไล่กินจารุณี พอเสือดาวขึ้นบนต้นไม้ จารุณีที่แปลงเป็นลิงห้อยต้นไม้ ทีนี้ไปเกาะกิ่งไม้หักตกลงมา เลยเป็นนกปีกหักเลยครับ”

หลวงพ่อหัวเราะ เด็กจึงเล่าต่อไปว่า “ไพลินบอกว่า เฮ้ย นกปีกหักข้าจะไปกินกระรอก ผมเห็นรูเลยมุดเข้าไป ไพลินไม่ทันดู เอาหัวชนใส่ผม เลยตกลงมาครับ”
หลวงพ่อจึงพูดว่า “เออ... เก่งมาก”

เด็กชายบัญชาเล่าให้ฟังอีกว่า “หลวงปู่ปานชวนพวกผม ๓ คน บอกว่า มานี่... ข้าจะพาพวกแกไปสอนวิชาที่เขาวงกต แล้วพาไปเขาวงกต พอไปถึงเขาวงกตแล้ว จารุณีก็บอกว่า “เฮ้ย! พวกเราไปเที่ยวกันดีกว่า ขี้เกียจเรียนว่ะ ไปดีกว่า พวกแกไม่ไปก็ช่างปะไร ข้าไปคนเดียวได้” หลวงปู่ปานไปดักอยู่ข้างหน้า ใช้ไม่ไล่ตีจารุณี พอไปถึงจารุณีนั่งร้องไห้หัวโนไปตั้ง ๔ – ๕ กีบครับ”

หลวงพ่อหัวเราะจึงพูดว่า “เออ... ไม่ได้ให้หวย ไม้เท้าอันเดียวตี ๕ – ๖ จุด แล้วไปเรียนอะไรบ้าง เหาะไปไหนบ้าง”
เด็กชายบัญชาจึงตอบว่า “พอหลวงปู่ปานสอนวิชาเหาะให้ผมสัก ๒ อาทิตย์ ผมก็ว่าจะลองเหาะไปดอยสุเทพ พอเหาะไปถึง ก็ไม่รู้ว่าจารุณีมาจากไหน ก็มาเกาะหลังผม ผมสะดุ้งตกลงมา ลงใส่กิ่งไม้ครับ ดีที่กิ่งไม้รับผมไว้ทัน”

ส่วนเรื่องที่เหาะไปสวรรค์ก็เคยครับ ผมเคยใช้กายดิบขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นที่ ๕ วันนั้นหลวงปู่ปานบอกว่า “พวกแกใช้ร่างดิบๆ ขึ้นมาบ้างซิ” ผมจึงใช้ร่างดิบๆ ขึ้นไปกัน ๓ คน (บัญชา, จารุณี, ไพลิน) พอไปถึงหลวงปู่ก็พูดว่า “เออ... เก่งมาก วันนี้ข้าจะให้รางวัลวิ่งรอบสวรรค์ ๓ รอบ”

พอเล่ามาถึงตอนนี้ มีผู้ถามเด็กว่า เคยเหาะมาถึงวัดกี่นาที เด็กตอบว่า “๔ – ๕ นาทีครับ”
หลวงพ่อจึงสอนเด็กว่า “ต่อไปให้นึกปุ๊บมาถึงปั๊บเลยนะ หัดฝึกให้ไวขึ้น”
เด็กก็รับว่า “ครับ” แล้วเด็กได้เล่าต่อไปว่า

“วันนั้นผมกำลังหลับอยู่ ได้เห็นพระพุทธองค์เสด็จมา แล้วพระองค์ก็นำพระมาให้ แล้วอีก ๒ – ๓ วันต่อมา เจ้าแม่กวนอิมให้หอย, ลูกแก้ว, เหรียญ” (จึงชูของทั้งหมดให้หลวงพ่อดู เพราะเอาติดตัวมาด้วย)

การเรียบเรียงคำสนทนา ต้องขออภัยด้วยนะครับ เพราะเด็กเล่าไปตามที่จะมีโอกาส บางครั้งจะมีแขกเข้ามาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ก็ต้องหยุดพักไป แล้วถึงกลับมาเล่าใหม่ บางทีเรื่องจึงอาจจะไม่ต่อเนื่องกัน แต่ก็จะนำบันทึกของเด็กมาให้ทราบไว้ตอนท้ายเรื่อง

เป็นอันว่า เด็กสามารถฝึกอภิญญาได้ตั้งแต่อายุ ๑๐ – ๑๑ ขวบ โดยเริ่มฝึกจากวิชามโนมยิทธิครึ่งกำลัง ตามแบบที่พวกเราฝึกกันอยู่นั่นเอง เด็กชุดนี้เริ่มฝึกเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม เพียงแค่วันที่ ๓ ของการฝึก ก็สามารถใช้มโนมยิทธิไปเรียนกับครูบาอาจารย์ ที่ไม่ใช่มนุษย์ต่อไปได้อีก มโนมยิทธิครึ่งกำลังของหลวงพ่อ จึงเป็นบันไดให้ได้อภิญญาใหญ่ด้วยประการฉะนี้

เรามาลองฟังเด็กเล่ากันต่อไป ถึงความมหัศจรรย์ที่ปรากฏแก่เธอ เด็กชายบัญชาเล่าว่า “วันหนึ่ง ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดโขงขาว ซึ่งครูนฤมลพาไป พอนั่งสมาธิอยู่ ครูก็พาไปเที่ยวนรก พอไปถึงนรก ผมได้เห็นพ่อของเพื่อนผม ซึ่งตายไปตกนรก ผมสงสารก็ขึ้นไปขอสตางค์หลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานบอก “งั้นข้าให้สตางค์ ๑๐๐ บาท เจ้าไปค้นหาเอาเอง” แล้วนักเรียนอื่นมาพบแบงค์ ๑๐๐ บาท ผมก็เลยเอาเงินนั้นไปทำสังฆทานครับ

แล้ววันนั้นผมกำลังเล่นกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เงินที่ไหนไม่ทราบมาอยู่ในกระเป๋ากางเกงผม ๑๐๐ บาท แล้วมันตกลงมาเพื่อนผมเห็น หยิบขึ้นมาให้ดูถามว่า “นี่ของใครละ มาเอาเสีย ถ้าไม่ใช่เป็นของใคร ก็คงเป็นของกู”

หลวงพ่อหัวเราะ “ใช่ ๆ ๆ”
เด็กชายบัญชาเล่าต่อไปว่า “แล้วจารุณีก็บอก เดี๋ยวใช้จิตถามก่อน ก็ครูที่โรงเรียนยังไม่มาสักคน เงินจะตกได้ยังไง จารุณีก็บอกว่า เป็นของหลวงปู่ปานให้ แล้วหลวงปู่ปานบอกว่า จะแบ่งให้ใครก็แบ่ง แล้วผมก็เก็บไว้ พอได้สักวันสองวันคุณครูอำไพก็แลกเอาไปครับ”

หลวงพ่อยิ้มพูดว่า “เออ... เก่งมากๆ ไอ้หนู มีอะไรอีกไหม?”
เด็กชายบัญชาตอบว่า “ไม่มีครับ”
หลวงพ่อจึงถามอีกว่า “ลุงพุฒรูปร่างเป็นไง?”
เด็กตอบว่า “มีเขา... แต่กายจริงๆ ท่านไม่มีเขาครับ”

หลวงพ่ออธิบายว่า “ไอ้ภาพวาดมีรูปเขา ท่านก็ทำเป็นเขาให้ดู”
ในตอนนี้ญาติโยมที่มานั่งฟัง กำลังดูสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในพาน ซึ่งเด็กหลายคนรวบรวมนำมาให้ดูว่า ได้มาอย่างไร ใครให้บ้าง ปรากฏว่าเป็นของที่แปลกมาก ยกตัวอย่างเช่น ตำราจีน ซึ่งไพลินได้มา แต่เจ้าตัวไม่ได้มา

จบบันทึกการรายงานผลการฝึกมโนมยิทธิเพียงแค่นี้


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/6/11 at 13:34 [ QUOTE ]


48

หลวงพ่อคือ...ที่สุดของที่สุด


อำไพ สุจนิล


.....ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจและซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อมาก เมื่อหลวงพี่วิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส) บอกว่าหลวงพ่อให้เขียนเรื่องลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๔ เพราะเรื่องราวที่ข้าพเจ้าประสบมานั้นเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากเรื่องหนึ่ง

...เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานของน้องชาย พอเริ่มอ่านเท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าก็ติดใจในลีลาการเล่าเรื่องของหลวงพ่ออย่างที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อนเลย จึงรีบอ่านๆ จนหมดเล่ม และบอกกับตนเองว่า “พบแล้วๆ อาจารย์ของเรา”

ข้าพเจ้าชอบอ่านชอบฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนามาตั้งแต่เล็กๆ แต่ไม่ซาบซึ้งและยังไม่เข้าใจอะไรมาก อ่านหนังสือธรรมะอื่นๆ มามากก็ยังรู้สึกธรรมดาๆ พออ่านประวัติหลวงพ่อปานเท่านั้นแหละ อะไรๆ ที่มันดูยากแสนยากก็โปร่งใสขึ้นมาทันที อยากพบหลวงพ่อ อยากกราบหลวงพ่อ รู้สึกรักท่าน

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๒๖ คุณเสน่ห์ เจริญกุล ซึ่งเป็นน้องเขย ได้นำเทปธรรมะต่างๆ ของหลวงพ่อไปไว้ที่บ้าน มีอยู่ม้วนหนึ่งที่สนใจมากๆ คือ ชุดท่องไตรภพ บันทึกด้วยเสียงของหลวงพ่อเอง ใจนึกอยากฝึกมโนมยิทธิแต่ไม่มีครูฝึกให้ และยังอยู่ห่างไกลหลวงพ่ออีก คิดเองว่าสิ่งใดที่เราตั้งใจทำแล้วต้องได้สิ

จึงนำเทปมาเปิดฝึกเอง เริ่มฝึกตามคำพูดหลวงพ่อ ตั้งใจมาก จะต้องฝึกให้ได้ อยากรู้ – อยากเห็นว่า สวรรค์ – นรก เป็นอย่างไร ฝึกได้ ๒ วันไม่เห็นภาพอะไรเลย ได้ยินแต่เสียงของหลวงพ่อ พอวันที่สาม ก้มลงกราบพร้อมกับพูดว่า

“หลวงพ่อเจ้าขา ลูกคงไม่มีวาสนาบารมีทางนี้แน่ๆ เพราะลูกฝึกมา ๒ วันแล้ว วันนี้ลูกขอนอนฟังหลวงพ่อพูดเฉยๆ นะเจ้าคะ”

จึงเปิดเทปและนอนฟังอย่างสบายอารมณ์ พอหลวงพ่อเริ่มถามในเทปเท่านั้นแหละค่ะ ภาพต่างๆ ที่หลวงพ่อถามนั้น ข้าพเจ้าเห็นใสแจ๋ว และยังตอบคำถามในใจได้เร็วกว่าคนอื่นที่หลวงพ่อถามเสียอีก เห็นภาพต่างๆ จนหมดม้วนของหลวงพ่อนั่นแหละค่ะ โอ... เราได้แล้ววิชาของหลวงพ่อ ได้ตอนนอนนี่เอง

ข้าพเจ้ามีอาชีพครู ได้ย้ายโรงเรียนบ่อยๆ แต่ละโรงเรียนที่ข้าพเจ้าสอนก็ยกให้ข้าพเจ้าเป็นครูสอนจริยธรรม จึงถือโอกาสฝึกมโนมยิทธิให้กับนักเรียน ปรากฏว่าเด็กได้กันมากมาย จนผู้ปกครองและครูบางคนว่า ครูคนนี้คงจะบ้า

จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ย้ายไปสอนที่โรงเรียนใหม่ อยู่ติดถนนและมีจำนวนนักเรียนมากกว่าโรงเรียนที่เคยสอนมา ได้สอนประจำชั้น ป.๒ ข้าพเจ้าเห็นแววอยู่หลายคนจึงได้ฝึกมโนมยิทธิให้ เริ่มฝึกวันแรกที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๕ ฝึกกลุ่มเล็กๆ ก่อน ประมาณ ๗ – ๘ คน ยังเห็นภาพไม่ชัดเจน

พอวันที่ ๓ บอกว่า “วันนี้ครูจะฝึกสมาธิ ใครอยากฝึกก็ขอเชิญนะคะ” ถึงช่วงพักตอนบ่าย มีนักเรียนชายหญิง ๘ – ๙ คน มานั่งล้อม
“คุณครูขาหนูจะฝึกสมาธิค่ะ”
“คุณครูครับ ผมจะฝึกสมาธิครับ”

จึงบอกเด็กๆ ว่า “ครูให้หนูไปเที่ยวตามอัธยาศัย ใครชอบที่ไหนก็ไปตรงนั้น”
เด็กๆ ก็บอกว่า “ให้ครูพาไปดีกว่าค่ะ”

จึงพาไปตามสวรรค์ชั้นต่างๆ ถึงชั้นพรหมก็กลับ เพราะได้เวลาโรงเรียนเลิกพอดี พอออกจากสมาธิปรากฏว่านักเรียน ๘ – ๙ คน ได้เงิน ๖ คน เป็นเหรียญบาททั้งหมด เด็กบอกว่า “ตอนจะกลับลงมาพี่นางฟ้า พี่เทวดามาส่งและให้เงินด้วย”

วันต่อมาเขาก็พากันนั่งสมาธิไปกันเองโดยครูไม่ต้องนำไป พอออกจากสมาธิก็มีคนได้เงินอีก คราวนี้ได้ ๓ คน ถ้าตรงกับวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ข้าพเจ้าสั่งเด็กว่าให้ไปฝึกต่อที่บ้าน เช้าวันจันทร์ เขาก็มารายงานว่า “ครูคะหลวงปู่ปานให้เงินหนู ๑๐ บาทค่ะ, หลวงปู่ฤาษีให้ ๑๐ บาทค่ะ, ของหนูได้ ๒๐ บาทค่ะ”

ข้าพเจ้าเองได้ยินเด็กพูดนี่ใจเต้นเลย ตื่นเต้นมากที่เด็กตัวน้อยๆ อายุเพียง ๘ ขวบได้อภิญญากัน โดยเฉพาะ ด.ญ.พัชราภรณ์ ขอดแก้ว, ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ, ด.ช.วัชชิรพล ทาเบี้ยว ๓ คนนี้ได้เงินทุกวันเวลานั่งสมาธิ บางวันก็ได้เป็นขนม ผลไม้ และสิ่งของบ้าง

เขาได้อะไรมาก็จะมาบอกครูว่าใครให้อะไรบ้าง อย่างเช่น ท่านแม่ศรีให้ดอกไม้ ยังเป็นดอกกุหลาบสดๆ อยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นดอกมะลิ, กระดุมทอง มองดูเหมือนดอกไม้บ้านเราทุกอย่าง แต่มีกลิ่นหอมมาก ผลของต้นนารีผลที่ยังไม่แก่จัด เขาก็ได้มา

เด็กหลายๆ คนที่ฝึกด้วยกันก็พูดเหมือนกันว่า ผลไม้นี้ถ้าแก่จัดเขาจะเกิดออกมาเป็นผู้หญิง ข้าพเจ้าเก็บไว้ในกระเป๋าถือ พอถึงเวลากลางคืน หมาที่บ้านเห่าทั้งคืน เด็กเขาบอกว่า “ครูคะ หมาที่บ้านครูเห่านารีผลที่ออกมาเดินเล่นค่ะ”

ต่อมาวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๕ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังสอบวิชาพละศึกษาอยู่ ก็มีเด็กมารายงานว่า ด.ญ.พัชราภรณ์ ลอยขึ้นต้นไม้ เอ...ชักปวดหัวแล้วละ เด็กๆ แสดงฤทธิ์กันทุกวัน และในวันที่ ๑๗ – ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๕

เวลาพักช่วงบ่าย ด.ญ.พัชราภรณ์และ ด.ช.วิชชิรพล บอกว่าจะพากันไปเที่ยวบนสวรรค์ ซึ่งกำลังจัดงานฉลองตำแหน่งให้ท่านพรหมองค์ใหม่ที่ได้เลื่อนตำแหน่งจากพระยายมราชมาอยู่ชั้นพรหม พอนั่งสักครู่ ก็พูดว่า “ครูคะ ครูจะทำบุญไหมคะ หลวงปู่ปานมาบอก”

ข้าพเจ้ารีบนำเงินเหรียญบาทใส่มือเขา แว้บเดียวหายไปเลย ข้าพเจ้านำธนบัตรใบละ ๑๐ บาท วางลงไปอีก คราวนี้นาน ๒ – ๓ นาที เงินในมือก็หายไปอีก อัศจรรย์ไหมคะ ทำบุญกับเทวดาบนสวรรค์ก็ได้ ตื่นเต้นอีกแล้ว

“หลวงพ่อเจ้าขา อะไรจะปานนั้น นึกอยากได้ก็ได้ นึกจะทำบุญก็ได้ทำ วิชาความรู้ที่หลวงพ่อให้กับลูกๆ มีอานุภาพขนาดนี้เชียวหรือ อย่างนี้ลูกสู้ตายค่ะ”

สิ่งที่หลวงพ่อถ่ายทอดให้ลูกหลานนั้นถือได้ว่าเป็นมรดกที่ล้ำค่า สมควรที่ลูกหลานจะสืบทอดและรักษาไว้ให้ดี เพราะสามารถพิสูจน์ได้ในสิ่งที่เราเคลือบแคลงสงสัยได้สารพัด อีกทั้งหลวงพ่อยังได้พาลูกหลานเข้าใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์

และอยู่ใกล้กับพระอริยเจ้าทุกองค์อีกด้วย ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่ามโนมยิทธิและธรรมะของหลวงพ่อคือสมบัติที่มีค่ายิ่งกว่าอื่นใด เพราะเป็นสูตรสำเร็จเข้าสู่พระนิพพานโดยทางลัดที่สุด ข้าพเจ้าฝึกเด็กและผู้ใหญ่มาหลายรุ่น เพิ่งจะมาพบรุ่นเก่งมากๆ ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ นี่เอง และก็มีอายุน้อยด้วย

ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจพร้อมที่จะช่วยหลวงพ่อฝึกมโนมยิทธิต่อไป แม้ว่าจะต้องผจญกับอุปสรรคหลายๆ อย่างก็ตาม ข้าพเจ้าจะสู้ต่อไป

ด้วยอานิสงส์ที่ข้าพเจ้ากระทำมาแล้วทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศแด่ผู้มีพระคุณทุกๆ ท่าน ครูบาอาจารย์ทุกท่าน พรหมทุกชั้น เทวดาและนางฟ้าทุกชั้น ที่ท่านได้เมตตาสงเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยดีตลอดมา และขอยกยอดคุณงามความดีทั้งหมดแด่หลวงพ่อ ผู้เป็น...ที่สุดของที่สุด สาธุ

ll กลับสู่สารบัญ


49

การฝึกสอนมโนมยิทธิของข้าพเจ้า


นฤมล ว่านเครือ


๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...ไปสะเดาะเคราะห์และปลุกเสกพระคำข้าวที่วัดท่าซุง หลังจากกลับจากวัด วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ไปโรงเรียนวันแรก บอกนักเรียนว่า ถ้านักเรียนอยากไปเที่ยวสวรรค์ ให้นักเรียนสมาธิดีๆ แล้วครูจะพาไปเที่ยว ก็ให้นักเรียนนั่งสมาธิ

เมื่อออกจากสมาธิแล้วถามนักเรียนว่า “ดีไหม... นั่งสมาธิ สบาย... ?”
นักเรียนทุกคนตอบว่า “ดี... สบายมีความสุขดี”

๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...๑๕.๐๐ น. วันนี้พานักเรียนชั้น ป.๖ ๑๒ คน นั่งสมาธิ สมาทานพระกรรมฐานเหมือนที่หลวงพ่อสอน พอเสร็จแล้วก็เริ่มนั่งสมาธิ และก็คิดว่าจะนั่งสมาธิธรรมดา เพราะใจยังไม่กล้าที่จะสอนนักเรียน และไม่แน่ใจว่าจะสอนได้

แต่ขณะที่นั่งได้ไม่กี่นาที จิตก็จับภาพพระพุทธเจ้าปางนิพพานได้ และมีความรู้สึกว่าจะต้องสอนวันนั้น จึงให้นักเรียนเปลี่ยนคำภาวนาจาก “พุทโธ” เป็น “นะมะพะธะ” พอนักเรียนภาวนาไปสักพัก
ก็ถามนักเรียนว่า “เห็นใครมาอยู่ข้างหน้าของนักเรียนไหม?”

นักเรียนตอบพร้อมกันว่า “มี”
ก็มีความมั่นใจว่าจะต้องพาเขาไปได้ จึงให้นักเรียนบอกภาพที่เห็น เขาบอกเห็นพระพุทธเจ้า ก็ให้บอกถึงลักษณะการแต่งกาย เขาก็บอกตั้งแต่พระบาทจนถึงพระเศียรเป็นปางนิพพาน จึงขออำนาจบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพานักเรียนไปยังพระจุฬามณี

ถามนักเรียนว่า “เห็นพระเจดีย์ไหม? พระเจดีย์มีกี่องค์”
นักเรียนตอบหลายองค์ องค์กลางเป็นองค์ใหญ่ บอกเจดีย์มีธงสองแฉก และมีแก้วใสที่ปลายยอดเจดีย์ เจดีย์เป็นองค์แก้วแพรวพราวสวยงาม

แล้วพานักเรียนไปหน้าประตูพระจุฬามณี พบท่านพี่มเหสักขา ก็ให้นักเรียนกราบท่านและขออนุญาตท่านเข้าไปในพระจุฬามณี ขึ้นบันไดไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี แล้วพานักเรียนไปสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ พี่ที่สวรรค์ชั้นที่ ๕ เสกกระต่ายให้เด็กคนละตัว ดอกไม้คนละดอก

๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...๑๕.๐๐ น. วันนี้พานักเรียนนั่งสมาธิและสอนมโนมยิทธิ วันนี้พานักเรียนไปพระจุฬามณีแล้วพาไปสวนนันทวัน สระโบกขรณี นักเรียนพากันลงไปเล่นในสระ ขี่ปลา ขี่เต่า บางคนจับหางปลาแล้วว่ายตามปลาไป ขึ้นจากสระถามนักเรียนว่าตัวเปียกไหม นักเรียนตอบว่าไม่เปียก

แล้วพานักเรียนไปเที่ยวสวนผลไม้ นักเรียนขอผลไม้จากพี่นางฟ้า ไปเที่ยวสวนจิตรลดาแล้วพานักเรียนไปตั้งแต่สวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ และนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าที่วิมานของท่าน และขออำนาจบารมีพระพุทธเจ้า ไปยังวิมานของทุกคน บอกให้นักเรียนขึ้นไปนั่งและนอนในวิมานของตนเอง

ทุกคนตื่นเต้นดีใจ ที่เห็นวิมานของตนเองได้ ตอนขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นที่ ๕ พี่นางฟ้าเสกลูก... (ลายมืออ่านไม่ชัด) ให้นักเรียนคนละตัว ดอกไม้คนละดอกและกลับไปพระจุฬามณี กราบลาพระพุทธเจ้าและหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษี และกลับลงมา ๑๖.๐๐ น. พอดี

๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...๑๕.๐๐ น. วันนี้พานักเรียนไปพระจุฬามณี และสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ วันนี้พี่นางฟ้าสวรรค์ชั้นที่ ๕ เสกผลไม้และดอกไม้ให้นักเรียน พานักเรียนไปกราบท่านพ่อท่านแม่พระอินทร์ ที่วิมานของท่านและไปกราบพระศรีอาริยเมตไตรยที่วิมานของท่าน แล้วพาเด็กไปป่าหิมพานต์ด้วย พบพี่ช้างน้อยหลายเชือก พี่กินรี พี่ลิง พี่นกแก้ว พี่ผีเสื้อ พี่แมลงปอ และพบท่านลุงครุฑ ท่านลุงพาไปเขาพระสุเมรุ

แล้วไปนิพพานไปกราบพระพุทธเจ้า และให้นักเรียนเข้าไปวิมานของตัวเอง วันนี้ให้นักเรียนพบพ่อแม่ในอดีตชาติของนักเรียนที่วิมานของท่านพ่อท่านแม่พระอินทร์ เด็กหญิงอารีรัตน์ ปีติจนร้องไห้ออกมาดังๆ เด็กหญิงไพลิน น้ำตาเป็นคราบขณะออกจากสมาธิ

เด็กชายบัญชาบอกว่า ท่านเจ้าแม่กวนอิมหอมแก้ม แล้วขอให้เรียกท่านว่า “แม่” แล้วกอด เด็กชายบัญชาร้องไห้ แล้วบอกว่าดีใจที่ได้พบ เมื่อคืน (๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕) เด็กชายบัญชาบอกว่าไปเที่ยวสวรรค์พบหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานให้นางฟ้าเอาชุดบนสวรรค์มาเปลี่ยนให้แล้วพาไปสอนเสกของที่เขาวงกต

๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...๑๔.๓๐ พานักเรียนนั่งสมาธิและพาไปพระจุฬามณี พาไปสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ พาไปพบท่านพ่อท่านแม่พระอินทร์ที่วิมานของท่าน แล้วพาไปพบหลวงปู่แหวนที่วิมานของท่าน พาไปวิมานของท่านพระศรีอาริยเมตไตรย แล้วพานักเรียนไปพบท่านพ่อท่านแม่ในอดีตชาติ

เด็กชายนรินทร์พบท่านพ่อของเขาแล้ว ถามท่านพ่อว่าอยู่ชั้นใด ท่านพ่อบอกว่าอยู่ชั้นที่ ๒ เขาดีใจมาก
เด็กชายชัยวัฒน์ บุญฆาต จะเข้าวิมานของตนเองเข้าไม่ได้ มีหมอกควันดำ เขาบอกวาเขาท่อง “พุทโธ” ควันดำจางไปแล้วจึงเข้าได้ พาไปป่าหิมพานต์พบท่านพี่บนป่าหิมพานต์มากมาย

แล้วไปเมืองลับแล ไปเขาพระสุเมรุ ไปนิพพานไปกราบพระพุทธเจ้าองค์ปฐม และพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่วิมานของท่าน และไปกราบท่านแม่ศรีที่วิมานของท่าน ไปที่วิมานของตนเองบนนิพพาน ขอเห็นวิมานข้างเคียง แล้วกลับไปพระจุฬามณีเพื่อลาพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี แล้วกลับลงมา

ll กลับสู่สารบัญ


50

เด็กหญิงไพลิน บุญมา ฝึกอภิญญา


เด็กหญิงไพลิน บุญมา


....เมื่อหนูฝึกมโนมยิทธิวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม วันนั้นหนูฝึกเป็นวันแรก หนูได้ฝึกกับคุณครูนฤมลพาไปที่พระจุฬามณี คุณครูนฤมลพาไปกราบพี่มเหสักขา และเดินเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปานและหลวงปู่ฤาษี และคุณครูพาไปสวนนันทวัน

...และไปสวนจิตรลดาและสวรรค์ชั้นที่ ๑ ไปพบนางฟ้า เทวดา และไปชั้นที่ ๒ ไปพบพี่นางฟ้าท่านแต่งตัวสวยมาก และท่านถามว่ามาที่นี่กี่ครั้งแล้วจ๊ะ หนูตอบว่ามาครั้งนี้ครั้งแรกค่ะ และกราบลาท่านไปชั้นที่ ๓ และก็ผ่านไปชั้นที่ ๔ และไปชั้นที่ ๕ ไปพบพี่นางฟ้า

...และคุณครูขอพี่นางฟ้าเสกกระต่ายให้หนู และหนูก็ได้ดอกไม้อีก ๑ ดอก และหนูก็ขอบคุณพี่นางฟ้า และก็ขอลาไปยังชั้นที่ ๖ หนูได้พบพี่นางฟ้า ท่านก็ถามว่า หนูขึ้นมาครั้งแรกใช่ไหมจ๊ะ หนูก็ตอบว่าใช่ค่ะ และคุณครูก็พาลาท่านลงมาที่พระจุฬามณี ก็มากราบลาท่านทุกองค์และก็ลงมา

และเมื่อหนูฝึกมโนมยิทธิวันที่ ๒๐ พฤษภาคม หนูลองไปเอง ไปที่ป่าหิมพานต์ ไปที่พระนิพพาน ไปที่วิมานของพระพุทธเจ้า และวิมานของพระพุทธเจ้าแจ่มใสมาก และหนูลาท่านไปยังถ้ำมรกต ถ้ำนั้นสวยมาก สวยกว่าถ้ำธรรมดา และไปที่แม่ศรีและพระอินทร์ และแม่ศรีพูดว่า ดีใจที่ได้พบหนูอีก

และหนูก็ลาท่านไปที่สวรรค์ชั้นที่ ๕ และพบพี่นางฟ้า และพี่นางฟ้าพูดว่าอยากดูพี่เสกใบไม้เป็นสัตว์ไหม หนูบอกว่าอยากค่ะ และพี่นางฟ้าก็เสกใบไม้เป็นกระต่ายให้หนูดู หนูก็ขอบคุณท่านและก็ไปที่เขาพระสุเมรุ และหนูขอดูเขาพระสุเมรุไปรอบๆ เขานั้นสวยมาก และไปที่สระอโนดาต และก็ลงมา

และเมื่อหนูฝึกมโนมยิทธิวันที่ ๒๑ พฤษภาคม หนูไปหาหลวงปู่ปาน ท่านสอนวิชาฌานลึก ตอนนี้หนูถึงฌานที่ ๑ – ๕ และเริ่มฝึกเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม หนูดีใจมาก และหลวงปู่พูดว่า ถ้าเอ็งตั้งใจฝึก ข้าจะสอนเอ็งหลายอย่าง และหลวงปู่พูดอีกอย่างว่า ถ้าเอ็งไม่ตั้งใจข้าก็ไม่สอน และนับตั้งแต่วันนั้นมา หนูก็จำคำที่หลวงปู่พูด แล้วก็ลงมา

และตอนกลางคืนนั้น หนูนอนไม่หลับไม่รู้ว่าเป็นอะไร อีกครูหนูเห็นใครก็ไม่รู้ มายืนอยู่ที่หน้าประตู หนูใช้จิตถามหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่า เขามาขอส่วนบุญ หนูก็แผ่บุญให้เขา เขาหายไปเลย และหนูก็เข้านอน

เรียนวิชาเหาะกับหลวงปู่ปาน
หลังจากที่หนูกับเพื่อน คือ บัญชา และจารุณี พากันไปเรียนเข้าฌานกับหลวงปู่ปานแล้ว วันนี้หลวงปู่สอนวิชาเหาะ โดยหลวงปู่ท่านพาไปสอนที่ป่าหิมพานต์ หลวงปู่ท่านทำให้ดู ตอนแรกท่านนั่งตัวตรง

สักครูหนึ่งก็ลอยขึ้นและหลวงปู่ก็ยืนขึ้น บอกว่า “เอ็งทำได้ไหม?”
หนูจึงลองทำดูและหนูก็ทำอย่างหลวงปู่ได้ หลวงปู่บอกว่าพอเท่านี้ก่อน หนูกราบขอบพระคุณท่าน และกราบลาท่านกลับลงมา แล้วหนูก็ลองทำดูที่บ้านในตอนกลางคืนขณะที่ทุกคนนอนหลับแล้ว หนูก็สามารถทำได้จริงๆ

ครั้งแรกหนูเหาะไปวัดท่าซุง ตอนกลางคืนหนูไปถึงวัดท่าซุง หนูเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งร่มรื่นดี หนูเลยลงไปนอนเล่นใต้ร่มไม้ต้นนั้น หนูนอนหลับไป หลวงปู่ฤาษีท่านมาปลุกให้หนูตื่น หลวงปู่บอกว่า กลับบ้านได้แล้ว หนูก็กราบหลวงปู่แล้วเหาะกลับมาถึงบ้าน ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตอนเช้าพอดีค่ะ

หลวงปู่สอนวิชาจุดไฟ
หลังจากที่หนูเรียนวิชาเหาะกับหลวงปู่ได้แล้ว อยู่มาวันหนึ่ง หลวงปู่ปานท่านเรียกขึ้นไปบอกว่า วันนี้ท่านจะสอน วิชาจุดไฟ โดยตอนแรกหลวงปู่ปานพาไปสอนที่ป่าหิมพานต์ และหลวงปู่บอกว่า ถ้าเอ็งตั้งใจเรียนข้าก็จะสอนให้ ถ้าเอ็งไม่ตั้งใจเรียนข้าก็ไม่สอน

หลวงปู่ก็เริ่มสอน ตอนแรกหลวงปู่ปานท่านชี้มือไปที่กองไฟ ก็มีไฟติดที่กองไฟนั้น หนูลองทำตามและหนูสามารถทำได้ทุกอย่าง ที่หลวงปู่ท่านสอน แล้วท่านก็สอน วิชาดับไฟ โดยชี้นิ้วไปที่กองไฟแล้วมีน้ำออกมาดับไฟ หลวงปู่ทำซ้ำอย่างเดิมให้ดูอีก หนูเข้าไปกราบขอบพระคุณแล้วหนูก็ลงมา

พอถึงบ้านหนูลองทำเอง ตอนที่ใครไม่อยู่บ้าน ตอนแรกเข้าไปในครัว หนูไปที่เตา หนูเอาถ่านใส่เตา แล้วใช้มือชี้ที่เตา ก็มีไฟลุกขึ้น หนูดีใจมากที่หนูทำได้

เรียนวิชาแปลงร่างกับหลวงปู่ฤาษีขาว
๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๕ หนูได้ขึ้นไปเรียนวิชาแปลงร่างกับหลวงปู่ฤาษีขาว โดยไปเรียนที่ภูเขาหิมาลัย หลวงปู่ท่านทำให้หนูดูก่อน โดยท่านท่องคาถาแล้วก็นั่งลง ร่างของท่านก็กลายเป็นผู้หญิงสวยมาก ตอนที่ร่างท่านจะเปลี่ยนกลับเป็นอย่างเดิม ท่านยืนขึ้นแล้วกระโดดขึ้นสูงๆ ร่างของท่านก็กลับเป็นอย่างเดิม

หนูลองทำดูอย่างท่านบ้าง ในวันนี้หนูยังทำไม่ได้ ต่อมาวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๓๕ หนูจึงทำได้สำเร็จ

เรียนวิชาสลาตันกับหลวงปู่ปาน
เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๕ หนูได้ขึ้นไปเรียนวิชาสลาตันกับหลวงปู่ปานที่ป่าหิมพานต์ วิชานี้มีถึง ๑๒ ขั้น ตอนนี้หนูและเพื่อนๆ อีก ๒ คน เรียนถึงขั้นที่ ๓ ขณะเวลาที่หนูเรียนวิชานี้ ขั้นแรกจะรู้สึกเย็น พอถึงขั้นที่ ๒ จะรู้สึกว่าอุ่น ขั้นที่ ๓ จะรู้สึกธรรมดา และคุณครูนฤมลก็เรียนวิชานี้เหมือนกัน

เรียนวิชาเสกใบไม้ให้เป็นตะขาบ
วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๕ หนูได้ขึ้นไปเรียน วิชาเสกใบไม้ให้เป็นตะขาบ กับหลวงปู่ฤาษีขาวที่ภูเขาหิมาลัย วันแรกนี้หนูยังเสกไม่ได้ จนถึงวันที่ ๕ สิงหาคม หนูถึงจะทำได้ วันนี้หนูยังกลัวอยู่ เพราะว่าเป็นตะขาบจริงๆ หลวงปู่บอกว่าไม่ต้องกลัว เพราะว่าเป็นใบไม้

หลวงปู่ปานให้ตำราจีน
คืนนี้หนูนั่งสมาธิ พอออกจากสมาธิหนูก็เข้านอน คืนนั้นรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมไม่อยากนอน จึงลุกขึ้นนั่งสมาธิต่อประมาณ ๕ นาที ก็ออกจากสมาธิ ขณะกำลังจะเข้านอน มองเห็นหนังสือจีน วางอยู่บนหมอน จึงหยิบเอามาเปิดดู ตัวหนังสือเต็มไปหมด

หนูจึงขึ้นไปถามหลวงปู่ปาน หลวงปู่ท่านบอกว่า เจ้าแม่กวนอิม ท่านฝากให้ ถามหลวงปู่ว่าเป็นของใคร เพราะเป็นหนังสือจีนอ่านไม่ออก จึงไม่อยากได้ หลวงปู่บอกว่าเป็นของคุณครูนฤมล ตอนเช้าหนูก็เอาไปโรงเรียนด้วย เอาไปให้คุณครูนฤมล หลวงปู่ชมหนูว่าดีมาก

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top