Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 22/10/11 at 15:18 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 11 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑๑

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน)



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๑

1.
อนุโมทนา และจุไรเที่ยวชั้นจาตุมหาราช
2. จุไรชมวิมานท่านท้าววิรุฬหก
3. อานิสงส์สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ และข่าว
4. จุไรชมเขาพระสุเมรุ
5. จุไรชมวิมานท่านท้าวเวสสุวรรณ
6. ความเป็นมาของการสวดภาณยักย์
7. ดาวหลุมดำ ตอน ๑
8. ดาวหลุมดำ ตอน ๒



1

อนุโมทนา และจุไรเที่ยวชั้นจาตุมหาราช


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับรายการต่อไปนี้ เป็นรายการ อนุโมทนา หรือการให้พร คือว่า วันที่บันทึกวันนี้เป็น วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๓๒ กำลังจะเข้าปี พ.ศ. ๒๕๓๓ แต่ทว่าพรวันนี้ ที่จะกล่าวในฉบับนี้ ถือว่าเป็นพรที่ให้แก่บรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังตลอดชีวิต ฉะนั้น พรอันนี้ ถ้าจะปรากฏกับบรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังได้ ก็คงจะเป็นเดือนกุมภาพันธ์

เพราะว่าเป็นหนังสือที่จะออกเดือนกุมภาพันธ์ ก็ขอทุกท่านโปรดทราบว่า พรอันนี้เป็นพรตลอดชีวิต ฟังเมื่อไรได้พรนี้เมื่อนั้น หรือว่าอ่านเมื่อไรก็เป็นอันว่า ท่านได้พรนี้เมื่อนั้น เช่นเดียวกัน ก็เป็นอันว่า วันนี้ขอกล่าวโมทนา คือวัน เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๓๒ ท่านผู้ว่าฯ จังหวัดอุทัยธานี ความจริงท่านชื่อ อุทัย ชื่อเหมือน ๆ กับจังหวัด และท่านผู้กำกับฯ จังหวัดอุทัยธานี

ทั้ง ๒ ท่าน ได้นำคณะตำรวจ และข้าราชการพลเรือนจำนวนมาก ความจริงอาตมาก็ไม่ได้นับว่า ท่านนำมามากกี่คน แต่มากจริง ๆ จำชื่อก็ไม่ได้หมด ก็ขอไม่กล่าวออกชื่อ ท่านมาแสดงมุทุตาจิต คือแสดงความยินดีด้วย กับที่ พระสุธรรมยานเถระ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชพรหมยาน เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒

แล้วก็ในช่วงหนึ่งในตอนวันที่ ๒๙ คือ วันนี้เอง วันที่บันทึกเสียง พระสมพงษ์ ในนามของคณะจัดทำ ธัมมวิโมกข์ ได้นำจตุปัจจัยมาถวาย จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ได้กล่าวไว้ในหนังสือที่นำมาถวายบอกว่า ขอถวายเป็นธรรมทาน แล้วลงชื่อ พระสมพงษ์ แต่ความจริง ลงชื่อผิด ท่านองค์นี้เป็นพระครูที่เรียกว่า พระครูใบฎีกา แต่ไม่ใช่พระครูใบฎีกาเรี่ยไรนะ เป็นพระครูใบฎีกาของพระราชพรหมยาน

และในวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๒ ชาลินี หรือชื่อเดิมว่า ปาน จำนามสกุลไม่ได้ น้องสาว ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้นำเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท มาถวายกับ พระราชพรหมยาน เป็นการแสดงมุทุตาจิต และหลังจากนั้น น.ส.สุภรณ์ ลีละยุทธโยธิน ได้นำปัจจัย คือเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท เพื่อแสดงมุทุตาจิต ร่วมในงานรับสมณศักดิ์

และก็เมื่อวันที่ ๑๓ ขณะที่ พระราชพรหมยานเดินทางมาถึงวัด วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๒ ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นแม่งานใหญ่ในฐานะคณะศิษย์ ได้สั่งการจัดงานจากกรุงเทพฯ มาถึงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๒ คือ จัดเป็นขบวนแห่ เป็นริ้วขบวน แล้วก็ลงทุนหลายอย่าง ลงทุนเสื้อผ้า อะไรต่ออะไรเยอะแยะ เป็นอันว่าการใช้เงินของ ดร.ปริญญา นุตาลัย ถ้าจะมองกัน สั้น ๆ ง่าย ๆ

ก็ต้องลงทุนหลายหมื่นบาท ต้องออกแรง ออกความคิด และก็ร่วมกันออกแรง ออกความคิด หลาย ๆ คนร่วมกัน ถือว่าเป็นคณะศิษย์ นี่ก็เป็นการแสดงความยินดี หรือแสดงความเมตตาปรานีกับพระราชพรหมยาน และก็วันนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มาร่วมในงานมุทุตาจิต ได้ต่างคนต่างถวายปัจจัยกันไว้ มากบ้าง น้อยบ้าง รวม เงินแล้วได้ ๒๗,๐๐๐ บาทเศษ

และก็เฉพาะในงานรับสมณศักดิ์ของพระราชพรหมยาน ที่วัดสามพระยา บรรดาท่านพุทธบริษัทได้น้อมปัจจัยถวายพระราชพรหมยาน จำนวนเงิน ๒๒๑,๖๐๐ บาท เงินจำนวนนี้ได้ถวายไว้สร้างโรงเรียนที่วัดสามพระยา ถวายสมเด็จฯ ท่านไว้ และเมื่อ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๒ ไปเผา เจ้าคุณภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ หรือที่ลูกหลานเรียกกันว่า หลวงน้าอำพัน ที่วัดเทพศิรินทร์ วันนั้นพอไปนั่งปุ๊บ

พอเจ้าคุณพระราชพรหมยานท่านไปนั่งปุ๊บลง ก็ปรากฏว่ามีคณะศิษยานุศิษย์บ้าง ลูกบ้าง หลานบ้าง พี่บ้าง น้องบ้าง มากด้วยกัน ต่างคนต่างนำปัจจัยมาถวาย รวมเงินจริง ๆ แล้ว ทั้งหมดได้ ๖๒,๔๒๐ บาท พระราชพรหมยานท่านก็ได้กรุณานำไปถวายช่วยในงานศพทั้งหมด ทั้งหมดนี้ชื่อว่าเป็นความดี ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย และญาติโยมทุกคน

ตั้งใจสงเคราะห์ด้วยเจตนาดี มีความเมตตาปรานีเป็นกรณีพิเศษ ในฐานะที่อาตมาเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์สัมมาสัมพุทธเจ้า ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ ขอจงอภิบาลบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่กล่าวนามมาแล้วทั้งหมด ให้มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล

และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้ขอบรรดาท่านทั้งหลาย ทุกคน จงเป็นคนมีความปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง และจงมีความร่ำรวย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรารถนา ให้ปรารถนาสมหวัง ด้วยประการทั้งปวง เทอญ

ก็ต้องขออนุโมทนาในด้านความดีของบรรดาท่านทั้งหลาย คือว่า พรนี้ขอให้สำเร็จแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน จะอยู่ที่ไหน จะฟังที่ไหน จะอ่านเมื่อไร ขอให้มีความปรารถนาสมหวังตามพรจงทุกประการ เมื่อนั้น เทอญ

ต่อนี้ไปก็เป็นเรื่องของธัมมธัมโม มาคุยกัน ธรรมะของนิทาน

นิทานธรรมะ ก็เป็นอันว่า หลังจากที่ จุไร ท่องเที่ยวไปพบนางฟ้าบ้าง อะไรบ้าง นางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีหลายท่าน เทวดามีหลายท่านทิ้งไว้ก่อน เวลานี้ย้อนกลับลงมา ชั้นจาตุมหาราช ประเดี๋ยวจะไปไกลเกินไป การมาชั้นจาตุมหาราชนี่ ก็เป็นของไม่ยาก เพราะว่าท่านที่ไป ทั้งสองท่านเป็นอินทกะทั้งคู่ คำว่า อินทกะ แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ อินทกะ คือ ท่านที่เป็นรองท้าวมหาราช

ตามพระบาลีใน มหาสมัยสูตร ท่านบอกว่า อินทกะนี่มีได้ทิศละ ๑,๐๐๐ องค์ คือ จะเทียบกับคนของเราก็เรียกว่า กลุ่มรัชทายาท ที่พร้อมที่จะเป็นท้าวมหาราชได้ ตามความสามารถ และวาสนาบารมี ในเมื่อท้าวมหาราชไปจากชั้นนี้ คือ ชั้นจาตุมหาราช ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงบ้าง หรือว่าเป็นพรหมบ้างก็ตาม หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ตาม คือพ้นจากตำแหน่งนั้น

คณะอินทกะนี้ก็จะต้องเลือกกันด้วยกำลังของวาสนาบารมี หรือบุญบารมี ว่าองค์ไหนควรจะเป็นท้าวมหาราชเขาก็ตั้งองค์นั้นให้เป็น ทีนี้เทวดาทั้งสององค์ที่มากับจุไร ก็เป็นเทวดาใหญ่มาก เป็นขั้นอินทกะ องค์หนึ่ง ท่านปิยะยาวี เป็นอินทกะของท้าวเวสสุวัณ อีกองค์หนึ่งคือ ท่านบุเรงนอง นี่ท่านไม่บอกชื่อความเป็นเทวดาของท่าน ไม่รู้ว่าชื่ออะไรเป็นเทวดา ท่านบอกว่า ท่านเป็นอินทกะของท้าววิรุฬหก

จุไรกับคุณป้าน้อยก็ถามกัน จุไรก็ถามคุณป้าน้อยว่า คุณป้าเจ้าคะ เรามาเที่ยวดาวดึงส์กัน สิ้นเวลาเปะปะ ๆ ในเมืองมนุษย์ไปตั้งหลายวันแล้วนะ คุณป้านะ ทางบ้านของเรา คนเขาสนใจมาดูเด็กกับคนแก่ สองคนนั่งตายกันโคนต้นไม้ แต่ไม่ทราบว่า ใครเอาเชือกไปขึงกั้นไว้ แล้วก็มีเทวดาอยู่ประมาณสัก ๔ องค์ ประจำตำแหน่ง ด้าน ๔ ด้าน มีเทวดาหรือนางฟ้าหลายท่าน

อยู่รอบตัวบริเวณใกล้ ๆ เป็นอันว่า ชาวบ้านเขาคิดว่า คนแก่คนนี้ ผู้หญิงแก่ ๆ คือคุณป้า และเด็กเล็ก ๆ คือ หนู กำลังนั่งตายอยู่โคนต้นไม้ ก็มีหลายคนจะเอายาเข้าไปช่วยแก้ แต่เขาเดินเข้าไปใกล้ก็ต้องถอยหลัง เพราะกำลังของเทวดาดัน แต่ดูแล้วก็ไม่ได้ใช้มือดัน พอเทวดามองปั๊บถอยหลังกรูด แต่คนทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่เห็นเทวดา ก็ตกลงกันหลานกับป้าบอกว่า

ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเสียชั่วคราวดีไหม เพื่อสร้างกำลังใจให้แก่คนทั้งหลายที่เขาสงสัยคิดว่า เราตาย คุณป้าก็ตอบว่า ดีเหมือนกัน ป้าก็ไม่ได้สั่งลูกสั่งหลานเขาไว้ว่า ป้าจะทำอะไร เขาจะห่วง ทุกคนแสดงความเป็นห่วง มีคนมานั่งคอยจ้อง คอยมอง คอยเฝ้า เตรียมหมอ เตรียมยากันไว้เสร็จ ในที่สุด สองคนก็บอกกับอินทกะทั้งสอง

จุไรก็บอกว่า คุณลุงเจ้าคะ กลับไปที่วิหาร ๑๐๐ เมตร วัดท่าซุงเถิด เวลานี้ก็สิ้นเวลาไปข้างบนนี่ เป็นเวลาข้างบนมันเดี๋ยวเดียวแต่เวลาข้างล่างดูปฏิทิน หรือดูนาฬิกา เวลาที่นาฬิกา วันที่มันผ่าน ๓ วันกว่าไปแล้ว เข้าวันที่ ๔ ดีไม่ดีคนข้างล่างจะเสียกำลังใจ ท่านลุงก็บอกว่า เป็นเรื่องของหลาน หลานต้องการอย่างไร ลุงตามใจทุกอย่าง เพราะเป็นด้านของความดี

ก็เป็นอันว่า ทั้งสองคนก็ไปลา ท่านปู่ ท่านย่า และก็หลาย ๆ ท่านที่มีความเคารพ ทุกท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้พรแล้ว ทุกคนก็กลับ ขณะที่เดินทางกลับ แต่ความจริงไม่ได้เดิน ลอยกลับ อย่างนี้เขาเรียกว่า ลอยลม ท่าคุณป้าน้อย ท่าทางไม่ต่างกับ ลูกบอลลูน เหมือนกับลูกบอลลูน ลอยกลับ พอกลับเข้ามาแล้ว เวลาที่เข้าสู่ร่างกายก็ไม่มีความรู้สึกว่า มันเข้าทางไหน

เรียกว่าเข้าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางปาก มันก็ไม่ถูกทั้งหมด พอถึงปุ๊บปั๊บก็เกิดความรู้สึกทันที ในเมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว ก็รู้สึกว่า เมื่อย บิดตัวไป บิดตัวมา เหยียดแข้งเหยียดขา คนก็ตกใจ คิดว่า สองคนนี่ ตายตั้งหลายวันแล้ว ทำไมขยับตัวได้ แต่บางคนอาจจะคิดว่า ผีหลอก ท่าทางไม่ค่อยดี หน้าตาเลิกลั่ก ๆ ทำท่าจะวิ่งหนี แต่ก็ดีที่ว่า เวลานั้นเป็นเวลากลางวัน

เวลาประมาณ บ่ายโมงเศษ คนที่กล้าหน่อย แต่ปอดกระเส่านิด ๆ เดินเข้าค่อย ๆ ขยับ พร้อมจะวิ่งออก แต่เมื่อป้าน้อยเห็นคนทั้งหลายเหล่านั้นก็เรียกบอกว่า มานี่ซิ มีน้ำขวดเย็น ๆ ไหม ฉันอยากน้ำจ้ะ เพราะอดน้ำมาหลายวัน คนที่ฟังก็เลยดีใจว่า ยังไม่ตายนะ เมื่อเข้ามาแล้ว ทุกคนก็ถามความเป็นมา ทุกคนก็เล่าให้ฟัง ตามที่ผ่านมาแล้ว เรื่องที่ผ่านมาไม่ขอคุยกัน

ทั้งสองคนพักผ่อน กินข้าวกินปลา มีกำลังประมาณ ๓ วันเศษ ๆ จุไรก็ถามคุณแม่ว่า คุณแม่เจ้าคะ จะกลับบ้านหรือยัง คุณแม่ก็บอกว่า ยังไม่กลับ เพราะแม่อยู่วัดมีความสุขใจ พ่อเวลานี้เขาก็พักร้อน เขาอยู่บ้านงานการทุกอย่างพ่อคุม บ้านเราก็ไม่มีใคร มีด้วยกัน ๓ คน แม่กับลูกมาเสียแล้ว พ่อก็ไม่มีงานมาก นอกจากหุงข้าวกินเอง ฉะนั้นแม่ตั้งใจจะอยู่อีกสัก ๔-๕ วัน ต่อไปข้างหน้า

จุไรจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นหนูมีเรื่องสงสัย คือ สงสัยว่า ชั้นจาตุมหาราชนั้น ความจริงเป็นอย่างไร เห็นหลวงปู่ท่านบวงสรวง ท่านบวงสรวงทุกคราว แต่หนูก็ไม่เข้าใจว่า การบวงสรวงนั้น ทำเพื่ออะไร ท่านบอกให้ดูภาพ ก็เห็นภาพ แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมต้องบวงสรวงเทวดาชั้นนี้มา เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ หนูไม่เกี่ยว

หนูอยากจะไปเที่ยวชั้นจาตุมหาราช แม่ก็บอกว่า ตามใจลูก จุไรก็ถามว่า คุณแม่จะไปไหมเจ้าคะ คุณแม่ก็บอกว่า แม่ตั้งใจจะทำครัวเลี้ยงพระในระหว่างที่อยู่ ขอทำบุญ ถ้าลูกไปแล้ว มีโอกาสจังหวะต่าง ๆ แม่จะตามไปตามเวลา ลูกไปกับป้าน้อยก็แล้วกัน เป็นอันว่า สองคน ป้าหลานหารือกัน ตกลงคิดว่าจะไป แต่จะไปที่ไหนก่อน ป้าน้อยก็เป็นคนแสดงความคิดเห็น บอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน

เราไปทิศใต้ก่อน จุไรก็ถามว่า ทิศใต้ เป็นทิศของ กุมภัณฑ์ นะป้านะ กุมภัณฑ์น่ะน่ากลัวนะ
ป้าน้อยก็บอกว่า กุมภัณฑ์น่ากลัวขนาดไหน ก็ช่างเถิด แต่อย่าลืมว่า ท่านบุเรงนอง เป็นนายของกุมภัณฑ์นะ แล้วนายใหญ่ของกุมภัณฑ์จริง ๆ ก็ ท่านท้าววิรุฬหก ป้าน้อยบอกว่า หลานรัก สำหรับท่านวิรุฬหกนี่ ป้าอาศัยความดี บารมีของท่านช่วยเหลืออยู่มาก

แต่ความจริงป้าก็ไม่เคยพบกับท่านโดยตรง แต่เพียงว่า ถ้ามีธุระขอร้อง ท่านก็ผ่านมาแว้บเดียว พูด ๒-๓ คำ แล้วก็ไป ตามธุระที่พึงมี วิธีหนึ่งป้าก็ใช้วิธี เดินกระดาน ท่านมาบอกทุกอย่างตรงหมด วันนี้ป้าอยากจะไปคุยที่บ้านของท่าน คือวิมานของท่าน จุไรก็เห็นด้วย จึงถามท่านลุงทั้งสอง จุไรถามท่านบุเรงนองว่า ท่านลุงเจ้าคะ ถ้าหนูจะไปวิมานของท่านวิรุฬหก จะขัดข้องไหม

ท่านลุงก็บอกว่า ไม่มีอะไรขัดข้อง เพราะว่าขณะที่หนูปรึกษากัน ท่านวิรุฬหกท่านบอก ท่านอนุญาตแล้ว ท่านได้ยิน จุไรก็ถามว่า ท่านวิรุฬหกอยู่ที่ไหน ทำไมคุณลุงจึงรู้ คุณลุงบุเรงนองก็บอกว่า อย่าลืมว่า ลุงมีร่างกายเป็นทิพย์นะ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์ มีใจเป็นทิพย์นะ ทุกสิ่งทุกอย่างรู้ได้ทันทีทันใด และท่านวิรุฬหกก็เช่นเดียวกัน

ก็เป็นอันว่า ทั้งสี่ท่าน ท่านบุเรงนอง ท่านปิยะยาวี คุณป้าน้อย และหลานจุไร พร้อมใจกันตัดสินใจว่า ไปละเวลานี้ ทุกคนไปทันที ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังอาจจะสงสัยว่า ไปอย่างไร ก็ขอบอกว่า ไปตามกำลังของสมาธิที่ประกอบไปด้วยฤทธิ์ เป็นหลักสูตรของอภิญญาหก คือ เป็นอภิญญาหกนิดหน่อย ไม่ใช่มาก ไม่ใช่เต็มกำลังของอภิญญาหกจริง ๆ คำว่า ไม่ใช่เต็มกำลัง หมายความว่าอย่างไร

ก็จะขอบอกกับท่าน เปรียบเทียบให้ฟังว่า สมมุติว่า ข้าว ๑ ถัง มีกี่ลิตรก็ตามทีนะ เอากันเต็มถังก็แล้วกัน สมมุติว่า ข้าว ๑ ถัง มี ๑๐ ลิตร ทีนี้หากว่า เราจะมีข้าวในถังนั้นประมาณสัก ๕ ลิตร ก็ถือว่า ข้าวในถัง เพราะข้าวอยู่ในถังเหมือนกัน แต่ก็ไม่เต็มถัง ถ้าจะถามว่า ประโยชน์ของข้าวจะได้อะไรบ้าง ก็ต้องตอบว่าประโยชน์ของข้าวในถัง เป็นข้าวสาร เอามาหุงกินได้ ต้องกินได้ เช่นเดียวกัน

ข้าวเต็มถัง หรือไม่เต็มถัง หุงกินก็ได้ ต้มกินก็ได้ ข้อนี้ฉันใด แม้กำลังฌาน หรือกำลังญาณตามกำลังของอภิญญาหก แต่จริง ๆ แล้ว คนที่ได้มีกำลังไม่เต็มกำลังของอภิญญาหกจริง เป็นได้แต่บางส่วน ก็สามารถใช้กำลังฌาน กำลังญาณ ตามกำลังที่ตนได้ รวมความว่า ทั้งสองป้าหลานไปตามกำลังของตนด้วย และท่านบุเรงนอง และท่านปิยะยาวีก็ช่วย

กำลังของเทวดา ทั้งสองเทวดาก็ช่วยด้วย เมื่อท่านช่วยแบบนั้น ก็คิดว่าจะไปละ ก็ไปทันทีทันใด ถ้าจะถามว่า ใช้เวลานานสักเท่าใดจึงถึงวิมานท่านวิรุฬหก ก็ตอบว่า แค่ลัดนิ้วมือเดียวยังช้ากว่า ลองยกมือขึ้นลัดเพี้ยะ นิ้วชี้ลัดออกไปลัดนิ้วมือจะถือว่าเร็ว ก็ยังช้ากว่าการไปของคนทั้งสองและท่านทั้งสอง

พอเข้าไปใกล้วิมานของท่านวิรุฬหก จุไรก็บอกว่า บอกคุณลุงบุเรงนอง กับท่านปิยะยาวี ยกมือไหว้ท่าน บอกว่า คุณลุงเจ้าคะเดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเข้าวิมาน ชมวิมานของท่านเสียก่อน ตามหนังสือ เขาบอกว่า ชั้นจาตุมหาราชอยู่กึ่งกลางเขาพระสุเมรุ ใช่ไหม ท่านลุงทั้งสองก็บอกว่า ใช่ จุไรก็ถามว่า ทำไมไม่อยู่สูงกว่านั้น ท่านลุงทั้งสองก็บอกว่า

ชั้นจาตุมหาราชเป็นเขตทหาร เป็นกองทัพของพระอินทร์ เป็นทหาร คือ ป้องกันอาณาจักรของพระอินทร์ คือ ดาวดึงส์ จุไรก็ถามว่า บนสวรรค์ต้องมีทหารด้วยหรือ ต้องรบด้วยหรือมีกองทัพเพื่อรบหรือ ท่านอินทกะทั้งสองก็บอกว่า ไม่จำเป็นต้องรบด้วยมือ เวลาเขารบกันระหว่างเทวดา กับอสูรรบกัน เขาไม่ได้ใช้อาวุธรบกัน เขาถามธรรมะกัน เวลาเขารบ เขารบด้วยธรรมะ ถามข้อข้องใจกัน

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้นเทวดาที่อยู่ชั้นจาตุมหาราชก็ต้องเป็นเทวดาที่เก่งด้านปัญหา ด้านธัมมธัมโมก็ต้องเก่งมาก ท่านบุเรงนองก็บอกว่า หลานรัก คนที่จะตายมาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ต้องเคยได้ฌานสมาบัติ อย่างหลานทุกคนที่ทำสมาธิถึงฌานสมาบัติ แต่ว่าเวลาจะตาย ไม่ได้เข้าฌานตาย จิตใจเป็นกุศลเหมือนกัน แต่กำลังใจเวลานั้นไม่ถึงฌาน

ถ้าหากว่าเข้าฌานตาย ตายจากความเป็นคน ต้องไปเป็นพรหม คือ ท่านมีสิทธิ์ที่จะเกิดเป็นพรหมได้ทันทีทันใด เว้นไว้แต่ว่า คนที่มีสิทธิ์ จะตัดสิทธิ์ในการไปเป็นพรหม ไม่นิยมเป็นพรหม จะไปเกิดที่อื่นที่ต่ำกว่านั้นก็ใช้ได้ แต่ว่าสิทธิ์จริง ๆ เขาเป็นพรหมได้ แต่ว่าคนที่เคยได้ฌานแล้ว ไม่ตายในระหว่างฌาน เวลาตายตอนนั้น จิตไม่เข้าถึงฌาน ก็ไปเป็นพรหมไม่ได้

ต้องมาพักที่จาตุมหาราชนี้ก่อน ต้องเริ่มสร้างความดีทำหน้าที่ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชสิ้นเวลา ๕๐๐ ปีทิพย์ คำว่า ๕๐๐ ปีทิพย์ ก็หมายความว่า ๑ วันของเทวดาชั้นจาตุมหาราชก็เท่ากับมนุษย์ ๕๐ ปี แล้วก็ ๓๐ วัน เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนเป็น ๑ ปี เหมือนกัน นับดูว่า ๕๐๐ ปีทิพย์ เป็นกี่วัน กี่ปี กี่เดือนของมนุษย์ ลุงก็ไม่คิดให้ละ ต่างคนต่างไปคิดกันเข้าก็แล้วกัน เมื่อสิ้นวาระแห่งความเป็นเทวดาชั้นนี้แล้ว

ทุกท่านก็ไปเป็นพรหมบ้าง บางท่านไม่นิยมเป็นพรหม ต้องการเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่งที่มีสภาพสูงกว่านี้ก็ไปได้ แล้วบางท่านก็มาเกิดเป็นมนุษย์ จุไรฟังแล้วก็ยิ้ม จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างหนูนี่ ตายจากความเป็นคน ตั้งใจจะมาอยู่ชั้นจาตุมหาราชจะได้ไหม ท่านปิยะยาวี ก็บอกว่า หนูจะอยู่ที่ไหนล่ะ บอกลุงซิ จะไปอยู่ ทางทิศเหนือ อยู่กับท่านท้าวเวสสุวัณ หรือทิศตะวันออก ท้าวธตรฐ ทิศใต้ ท้าววิรุฬหก ทิศตะวันตก ท้าววิรูปักข์

ทั้งด้านสี่ทิศนี่ หนูมีสิทธิ์จะอยู่ทั้งสี่ทิศ แต่ความจริง สิทธิของหนูไม่ใช่อยู่ชั้นจาตุมหาราช ตามบัญชีเขา เพราะว่าตามปกติ ก่อนที่หนูจะมาเกิดเป็นคน ตามบัญชีเขาบอกว่ามาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เป็นนางฟ้าที่มีอานุภาพมากมีบุญญาธิการมาก บำเพ็ญบารมีไว้มาก และการที่มาเกิดคราวนี้ก็ไม่ได้หมดอายุของความเป็นนางฟ้า เป็นแต่เพียงคิดว่า ในการเกิดคราวนี้จะสั่งสมบุญบารมีให้เต็มอัตรา เพื่อจะไปนิพพาน

ฉะนั้นสิทธิที่หนูจะเกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้าชั้นไหนนั้น ได้ทุกชั้น เพราะบุญบารมีล้น แต่ว่าลุงก็คิดว่า คนอย่างหนู ก่อนจะตายอาจจะเป็น อริยชน ก่อน คือ เป็นพระอริยเจ้าก่อน ลุงก็หันมาถาม จุไรว่า หลานรัก ลุงคิดว่า นับตั้งแต่หลานเกิดมา บางวาระก็ทำบาป เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่พอตั้งแต่ ๓ ปีที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่หลานรู้จักพระ รู้จักบูชาพระ รู้จักใส่บาตร รู้จักเคารพบิดามารดา

ด้วยความเคารพจริง รู้จักการเจริญพระกรรมฐาน หลังจากนั้นมาแล้ว หนูไม่เคยขาด ศีล ๕ เลยใช่ไหม จุไรก็ตอบคุณลุงว่า ศีล ๕ ครบเจ้าค่ะ ลุงก็ถามว่า แล้ว กรรมบถ ๑๐ ก็ครบใช่ไหม จุไรก็ตอบว่า ครบเจ้าค่ะ คุณลุงก็ถามว่า ที่หนูรู้ว่าครบ รู้อย่างไร จุไรก็บอกว่า คุณแม่กำลังประคับประคองอยู่ ถ้าพลาดนิดเดียว คุณแม่จะเตือนทันทีว่า อย่างนี้อย่าคิดนะ อย่างนี้อย่าทำ เพราะอย่างนี้จะเป็นการละเมิดศีล ๕ อย่างนี้ละเมิด กรรมบถ ๑๐

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนูเคารพพระพุทธเจ้า เพราะเห็นพระพุทธเจ้าเอง และประการที่สอง เคารพพระธรรม การที่ฟังพระธรรมแล้วชื่นใจ ชอบใจ ประการที่สาม เคารพพระอริยสงฆ์ ท่านมีความงามมาก มีความสุข ทำให้จิตมีความสุข นอกจากนั้น ศีล ก็มีความเคารพ คุณลุงก็ถามว่า หนูยังเล็ก ยังไกลต่อความตาย ไม่รักสนุกบ้างหรือ นี่เป็นปัญหาลวงของท่านลุง ลุงก็ไม่ใช่เล่นนะ ทั้งสองลุงนี่เป็นพระอริยเจ้า

จุไรก็บอกว่า ลุงบอกว่า หนูยังเล็กอยู่ และไกลจากความตาย แต่หนูไม่มีความคิดอย่างนั้นเจ้าค่ะ หนูมีความรู้สึกว่า ขึ้นชื่อว่า ความตาย ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย จะตายเมื่อไรก็ได้ สังเกตดู คนที่เกิดทีหลังหนูนี้ เขาตายไปหลายคนแล้ว ความจริงเขาไม่น่าจะตาย เขาก็ตายไปก่อน เขาเกิดทีหลัง คนที่รุ่นราวคราวเดียวกับหนู เขาก็ตายไปแล้ว

เหลือแต่หนูยังไม่ตาย หนูคิดว่า สักไม่นานนัก ไม่ช้า ไม่นาน ไม่นานเท่าไร เราก็อาจจะตายเหมือนเขาเอาละ บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย ท่านลุง กับท่านหลานคุยกันไม่นานนัก ปรากฏว่า สัญญาณบอกหมดเวลาเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้ฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


2

จุไรชมวิมานท่านท้าววิรุฬหก


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อนี้ไปก็มาฟังเรื่อง จุไร คุยกับท่านลุงต่อไป เป็นอันว่า ในเมื่อจุไรได้ฟังท่านลุงปิยะยาวียืนยันว่า ถ้าตายจากชาตินี้ จะไม่มีโอกาสเป็นเทวดา หรือนางฟ้าชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวัตสวัดดี หรือพรหม จะตรงไปนิพพาน จุไรก็มั่นใจ และก็แปลกใจคำว่า มั่นใจ ก็หมายความว่า เทวดาไม่เคยโกหก

แต่ว่าแปลกใจว่า จะไปได้อย่างไร ในเมื่อจุไรเป็นเด็ก แล้วก็เป็นผู้หญิง จึงถามคุณลุงว่า คุณลุงเจ้าคะ ที่นิพพานน่ะ เขาว่ามีแต่พระ คือ มีพระอริยเจ้า มีพระอรหันต์ทั้งหมด แล้วอย่างหนูเป็นผู้หญิง บวชพระไม่ได้ จะไปนิพพานได้หรือเจ้าคะ ท่านลุงทั้งสองยิ้ม แล้วท่านปิยะยาวีก็บอกว่า ไปได้หลานรัก ก่อนจะไปหนูก็เป็นพระก่อน นั่นก็หมายความว่า

คนที่ปฏิบัติตน เป็นพระโสดาบัน ได้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า พระ เป็นสกิทาคามี พระพุทธเจ้าก็ทรงเรียกว่า พระ เป็นอนาคามี พระพุทธเจ้าก็ทรงเรียกว่า พระ เป็นอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็ทรงเรียกว่า พระ คำว่า พระ ไม่ได้หมายความว่า เป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง จะเป็นผู้ชายก็ได้ จะเป็นผู้หญิงก็ได้ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าได้

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ก็เวลานี้หนูยังไม่เป็นพระอริยเจ้า แล้วคุณลุงหวังได้อย่างไรว่า จะเป็น พระอริยะ คุณลุงก็บอกว่า คนที่นึกถึงความตาย อย่างหนูก็ดี เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก็ดี มีศีล ๕ มีกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน ก็ดี และเวลานี้ก็ตั้งใจ รักนิพพานจุดเดียว ใช่ไหม จุไรก็บอกว่า ใช่เจ้าค่ะ หนูไม่เห็นที่ไหนดีเท่านิพพาน ท่านลุงก็บอกว่า

อาการอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พระโสดาบัน เวลานี้หนูก็เป็นพระอริยเจ้าแล้วนี่จ๊ะ
ถ้าหนูตายเวลานี้ ถ้าบังเอิญตาย ตายไปเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี ถ้ายังไปนิพพานไม่ได้ แค่ฟังเทศน์จาก พระศรีอาริย์ กัณฑ์เดียวก็ไปนิพพานได้แล้ว
แต่ว่าหนูยังมีอายุยืนยาว เพราะหนูมีเมตตามาก ชาตินี้ทั้งชาติ อายุน้อย ๆ หนูตายไม่ได้ หนูจะต้องมีอายุเกินกว่าร้อยปีจึงตาย

จึงมีโอกาสบำเพ็ญบารมีได้มาก เห็นสุข เห็นทุกข์มาก ขณะที่จะตาย ก็ตัดขันธ์ ๕ ได้ จุไรก็ถามว่า คุณลุงทราบได้อย่างไรเจ้าคะ คุณลุงก็ตอบว่า บัญชีของชั้นจาตุมหาราชเขามีอยู่ เทวดาชั้นจาตุมหาราชนี่ เขาเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล คือ เป็นผู้รักษาคนที่มีบุญในโลกนี้ คนไหนมีบุญ ท้าวมหาราชทั้งสี่ พร้อมไปด้วยบริวารทั้งหมด จะสนับสนุนคุ้มครอง

อย่างเช่น หลานกับคุณป้าน้อย หรือคุณแม่ของหนูก็ตาม คุณพ่อของหนูก็ตาม หรือหลาย ๆ คนที่ปฏิบัติคล้าย ๆ กับหนูก็ตาม อย่างนี้ท้าวมหาราชจะส่งกำลังเทวดาไปอารักขา เหมือนกันหมดทุกคน จุไรฟังแล้วก็ปลื้มใจ อยากจะให้น้ำตาไหล ก็ลืมเอาน้ำตามา เพราะร่างกายที่เป็นทิพย์ไม่มีน้ำตา หลังจากนั้น จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ จะคุยกันนานไป วิมานของ ท่านวิรุฬหก อยู่ที่ไหน

ท่านลุงก็ชี้ไปด้านหน้า ทางด้านทิศใต้ เรามานี่ใกล้เต็มทีแล้ว จะใช้เวลา ถ้าเดินอย่างเมืองมนุษย์ ก็ใช้เวลาอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร ถ้าเราจะไปอย่างนี้ ถ้านึก ก็ถึงทันที จุไรก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ก่อนที่จะเข้าไป ขอชมวิมานก่อนได้ไหม ท่านบุเรงนองก็บอกว่า พร้อม ชมได้ทันที เมื่อจุไรมองไปก็เห็นสวน สวนดอกไม้ สวนต้นไม้ สวนใบไม้ เอ๊ะ...นี่พรรณนาอย่างไร เดี๋ยวจะล่อสวนรากไม้ แก่นไม้อีก

มันจะยุ่งกันใหญ่ เป็นอันว่า สวนต้นไม้ สวยเป็นระย้า แพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้ว สวนดอกไม้ก็สวย มีสระน้ำ มีแท่น มีรั้วรอบขอบชิด มีกำแพงเป็นทองคำ แล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทองคำ แต่ว่าวิมานของท่านท้าวมหาราช เป็นทองคำด้วย แล้วก็เป็นแก้วประดับด้วย ก็มีความสงสัย วิมานหลาย ๆ วิมานที่ผ่านมา เป็นทองคำบ้าง เป็นเงินบ้าง บางวิมานก็เป็นแก้วบ้าง บางวิมานก็ไม่มีแก้ว

แต่ว่าวิมานของท่านท้าวมหาราช และวิมานของอินทกะ ส่วนใหญ่ แพรวพราวไปหมด เป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ มองดูแล้วหลากตา หมายความว่า มากมายเหลือเกิน เทวดาแต่ละองค์ก็แต่งตัวตามสบาย เดินไป เดินมา เทวดาบางองค์ก็นุ่งแต่กางเกงในบ้าง บางองค์ก็นุ่งผ้าหยักรั้งบ้าง บางองค์ก็นุ่งกางเกงขายาวบ้าง บางองค์ก็นุ่งกางเกงขาสั้นบ้าง บางองค์ก็นุ่งผ้าพื้นบ้าง

บางองค์ก็มีเสื้อบ้าง บางองค์ก็มีผ้าห่มบ้าง บางองค์ก็ไม่มีอะไร เปิดตัวล่อนจ้อน แต่มีกางเกง บางท่านก็แพรวพราวเป็นระยับ จุไรเห็นก็แปลกใจว่า เทวดานี่ ทำไมคล้าย ๆ กับคน นุ่งผ้าไม่เหมือนกัน แต่งตัวไม่เหมือนกัน รูปร่างบางขณะ ก็ไม่เหมือนกัน แต่บางองค์ก็สวยงามเหลือเกิน เหมือนกับลิเก เหมือนพระเอกลิเก จึงถามท่านลุงบุเรงนองว่า ทำไมเป็นอย่างนี้เจ้าคะ

ท่านลุงก็บอกว่า หลานรัก เทวดาที่แต่งตัวไม่เหมือนกันน่ะ เทวดาตามปกติไม่ได้สวมชฎานอน เวลาตามปกติก็เหมือนกับคนธรรมดา เหมือนกับมนุษย์ แต่งตัวตามสบาย แต่ว่าที่นุ่งหยักรั้งเห็นเป็นกางเกงใน แต่ความจริงไม่ใช่กางเกงใน เป็นเครื่องแบบที่นุ่งหยักรั้งก็ไม่ใช่เขาปล่อยลอยชายแบบนั้น มันเป็นเครื่องแบบ

คือ พวกนั้นกำลังจะออกไปอยู่เวร อยู่ยามในโลกมนุษย์ ต้องแต่งตัวแบบชาวอยู่เวร อยู่ยามของกองปราบ พร้อมที่จะรบ พร้อมที่จะพิฆาตศัตรู แต่ว่าท่านที่แต่งตัวเรียบร้อยนั่นอยู่กับที่ แต่งแบบสบาย ๆ ท่านที่แต่งสวยสดงดงามเป็นพิเศษ มีชฎา แต่งกายแพรวพราวเป็นระยับ ท่านพวกนี้ไปเฝ้าพระอินทร์กลับมา ต้องแต่งตัวสวยเรียกว่า เต็มยศ จุไรก็ไม่แปลกใจ เข้าใจ ก็บอกว่า คุณลุงเจ้าคะ เข้าไปได้แล้ว

พอเคลื่อนกำลังกายไปนิดเดียว ปรากฏว่า ถึงเขตรั้วของท่านท้าววิรุฬหกพอดี ปรากฏว่าเวลานั้น มีเทวดาองค์หนึ่ง อ้วนเหมือนกับตุ่ม แต่ตัวใหญ่เหมือนกับพ้อม ผมหยิก เขี้ยว เหมือนกับมีเขี้ยวออกจากปาก มีริมฝีปากนูน ๆ ตาใหญ่มาก เรียกว่า ตาโตกว่ากระโถน แวววาวแพรวพราว ตาสว่างมาก เหมือนกับไฟฉาย มองส่ายไป ส่ายมา และรูปร่างก็ดำปี๋

จุไรถามว่า คนนี้เป็นยามใช่ไหม ท่านบุเรงนองกับท่านปิยะยาวีเข้าไปก็เคารพท่านผู้นั้น ก็บอกว่า ท่านผู้นี้แหละ คือ ท้าววิรุฬหก ป้าน้อยฟังว่า ท้าววิรุฬหก ตกใจ กราบทันที จุไรก็กราบ เมื่อทุกคนกราบ ๓ วาระแล้วเงยหน้าขึ้นมา เห็นท้าววิรุฬหกเขี้ยวยาวออกมาข้างปาก ข้างละประมาณสักวา จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ ตามธรรมดา ท้าวมหาราชเป็นนายของเทวดาชั้นจาตุมหาราชทั้งหมด

ทำไมถึงอ้วนเป็นพ้อมอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ ท่านลุงก็บอกว่า หลานรัก นี่หลานเชื่อหรือว่า ลุง คือ ท้าววิรุฬหก จุไรก็บอกว่า ขึ้นชื่อว่าเทวดาก็ดี ผีก็ตาม หรือสัตว์นรกก็ตาม เขาบอกว่า ไม่พูดเท็จ พูดแต่ความเป็นจริง ฉะนั้น ในเมื่อท่านปิยะยาวีก็ดี ท่านบุเรงนองก็ดี บอกว่า คุณลุง คือ ท้าววิรุฬหก หนูก็เชื่อ คุณลุงก็บอกว่า ถ้าเอ็งเชื่อลุงก็ใช่ จุไรก็บอกว่า ถ้าหนูไม่เชื่อ

ท่านลุงก็บอกว่า ถ้าหนูไม่เชื่อ ลุงก็ไม่ใช่ เธอก็ถามว่า ทำไมเป็นอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า มันก็สุดแล้วแต่ศรัทธาของคน คนเขาไม่เชื่อ เราจะไปยอมรับทำไม ความจริง รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของท้าววิรุฬหก เป็นรูปร่างหน้าตาปลอม จุไรก็ถามว่า ที่นี่เขามีเครื่องแบบปลอมหรือเจ้าคะ เขามีขายที่ไหน หรือว่ามีช่างที่ไหนทำ ท่านลุงก็บอกว่า ไม่ใช่ คำว่า ปลอม

นี่หมายความว่า ลุงแปลงกาย ดูไอ้เจ้าน้อยหลานของลุง มันจะจำลุงได้ไหม จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ ป้าน้อยรู้จักคุณลุงหรือ ท่านลุงก็บอกว่า ไอ้น้อยนี่ มันใช้ลุงอยู่เสมอ อะไรนิดอะไรหน่อย มันก็ใช้ ไอ้พวกมนุษย์นี่มันเหลือเกินหลานรัก ลุงรู้สึกว่า จะเป็นข้าทาสรับใช้พวกมัน แต่ลุงก็เมตตามัน มีความเมตตามันมาก มันใช้ ก็ต้องทำ

เพราะในฐานะที่เป็นท้าวจตุโลกบาล ท้าวทั้งสี่รักษาโลกมนุษย์ ในเมื่อเขามีทุกข์ ถ้าไม่เกินวิสัยที่เราจะช่วยได้ เราก็ต้องช่วย จุไรก็ถามว่า บรรดาพวกมนุษย์ทั้งหลาย ใช้ลุงทำอะไรเจ้าคะ ท่านลุงก็บอกว่า หนึ่งคนหาย มันก็บนให้ลุงตาม บอกให้ลุงตาม ใช้วิธีบน ประการที่สอง ข้าวของหาย มันก็ใช้ให้ลุงหาให้ ไปตามมาให้ อะไรก็ตาม จิปาถะ มันใช้กันดะ

แม้แต่ไอ้คนไทยมันไปต่างประเทศ มันยังตามใช้ลุงเลย มีไอ้คนพวกหนึ่ง มันไปที่อเมริกา กระเป๋ามันหายไป มันก็บน มันใช้ลุง คำว่า บน ก็คือ ใช้ ใช้ไปตามกระเป๋าให้มัน ก็ต้องไปตามให้มัน ไม่อย่างนั้นมันไม่มีสตางค์กลับบ้าน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนบางคนก็ใช้ลุงหนัก บางทีคนไปติดอยู่ในซ่องโสเภณี เขาไม่สามารถจะดึงตัวมาได้ ก็ใช้ลุงให้ไปตาม มันหนักอยู่นะ หลานรักนะ

จุไรก็ถามว่า เขาใช้ในทางที่ไม่ควร ลุงทำไมถึงช่วย ท่านลุงก็บอกว่า คำว่า ไม่ควรนั้น ไม่มีหรอก ไอ้ที่ลุงช่วยนั่น มันควร เธอก็ถามว่า คนที่ไปหลงอยู่ในซ่องโสเภณี ก็ไม่ใช่คนดี ทำไมต้องช่วยออกมา ท่านลุงก็บอกว่า มันไม่ใช่หลงปกติ ถ้าไปรักโสเภณี ไปติดใจโสเภณี นี่ลุงไม่ช่วย แต่นั่นโสเภณีมันทำเสน่ห์ให้หลงรักในมัน หวังจะทำลาย คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จะหมดไป ลุงก็ต้องช่วย เพราะเขาเป็นคนดี ปกติเขาเป็นคนดี

ก็รวมความว่า คุณลุงก็สวดป้าน้อยว่า น้อยนี่มันใช้ลุงเกือบทุกวัน ดีไม่ดี มันจะไปไหนก็บอกให้ลุงเฝ้าบ้านด้วย บ้านของมันเองมันยังใช้ให้ลุงเฝ้าเลย กุญแจก็มีใส่ไว้ ก็ไม่ไว้ใจ ดีไม่ดี ขณะที่เฝ้าบ้านอยู่นี่แหละ เวลาเดินทางมันก็บอกให้ลุงช่วยระวัง อย่าให้รถชนกันด้วย ไม่ให้หลงทางด้วย ต้องการซื้ออะไร ก็อยากได้ของถูก ๆ ให้คนขายพูดดีดี มันใช้ทุกอย่าง เอ็งถามป้าน้อยเอ็งซิ

แล้วป้าน้อยก็หันมาบอกจุไรว่า หลานรัก เป็นความจริงทุกอย่าง ป้าถ้ามีอะไรขัดข้องก็ต้องบอกท่านวิรุฬหก จุไรก็ถามว่า ทำไมอีก ๓ องค์ ป้าไม่บอกล่ะ ป้าน้อยก็บอกว่า อีก ๓ องค์ ก็เคารพในท่าน แต่ว่าถ้ากิจการงานต่าง ๆ ที่ป้าต้องการ ป้าคิดว่า ท่านวิรุฬหกคล่องตัวกว่า จุไรก็หันมากราบท่านวิรุฬหกถามว่า เป็นความจริงหรือเจ้าคะ ท่านวิรุฬหกก็บอกว่า

เรื่องการคล่องตัว เหมือนกันทุกองค์ จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เมื่อกี้นี้ท่านปิยะยาวี กับท่านบุเรงนอง บอกว่า คนที่มาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ต้องเคยผ่านฌานมาก่อน แต่ว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย กำลังใจที่เป็นกุศล ดลบันดาลให้มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านลุงก็บอกว่า ใช่

จุไรก็ถามว่า คนที่จะมีฌาน ต้องมีศีล ใช่ไหมเจ้าคะ ลุงก็บอกใช่ จุไรก็ถามว่า คนที่จะมีศีลได้ ต้องมี เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านลุงก็บอกว่า ใช่ จุไรก็ถามว่า คนที่มีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร คุณธรรมทั้ง ๒ ประการนี้ ดลบันดาลให้คนที่มีรูปร่างหน้าตาสะสวย ใช่ไหมเจ้าคะ ลุงก็ตอบว่า ใช่ แล้วเธอก็ถามว่า

เวลานี้ ลุง พุงเหมือนกระบุงหรือเหมือนพ้อม รูปร่างหน้าตาดำปี๋ นัยน์ตาก็ใหญ่เท่ากระโถน กรอกไป กรอกมา ผมก็หยิก แล้วทำไมศีลไม่ช่วยให้ลุงสวยบ้างหรือ ลุงหัวเราะชอบใจ บอก อีหนูเอ๊ย...เอ็งคุยไป คุยมา ลุงก็เผลอไป ขอแปลงกายนะแพล๊บพลับ เหมือนพระเอกลิเก จุไรกับน้อยเห็น ก็กราบ ก็เป็นอันว่า ท่านปิยะยาวี กับท่านบุเรงนอง ก็ต้องสวยตามท่านวิรุฬหกไปด้วย

คือ จำเป็นต้องสวย เพราะนายสวย ลูกน้องก็ต้องสวย คราวนี้ต่างคน ต่างแต่งตัวเต็มยศ ก็มองไปดูเทวดาที่เดินไปเดินมาบ้าง นั่งอยู่ที่บ้านบ้าง โคนต้นไม้บ้าง นุ่งผ้าเตี่ยวบ้าง นุ่งกางเกงในบ้าง นุ่งกางเกงขายาวบ้าง นุ่งผ้าพื้นไม่มีเสื้อ มีแต่พุงปลิ้นบ้าง ทั้งหมดนี้พอท่านวิรุฬหก เป็นเทวดาแพรวพราวเป็นระยับ ทุกคนแพรวพราวเหมือนกันหมด ก็ปรากฏว่า ก่อนที่จะเข้าไปเห็นภาพอย่างนั้น

เจอะเทวดาหลอก คือ จริง ๆ แล้วท่านแพรวพราวเป็นระยับ ท่านทำร่างกายเป็นเทวดาปกติ ท่านก็บอกว่า หลานรัก เทวดาเวลาอยู่กับที่เดิมนะ ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวแบบนี้ แต่เมื่อหลานสงสัย ลุงก็ต้องทำให้ดู หลังจากนั้น ลุงก็บอกว่า เอ้า...นี่ยืนอยู่ข้างรั้วนี่นานแล้วนะ เข้าไปในบ้านลุงเถิด จุไรก็เดินตามลุงไป พอเดินแป๊บเดียวก็ถึง ก้าวไปในห้อง แพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงามมาก

เครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่างมีครบ ไม่ขอพรรณนา เวลาจะนั่ง ก็ปรากฏว่ามีแท่นมารองก้น จุไรก็บอกว่า หนูขอนั่งกับพื้น ท่านลุงก็บอกว่าหลานรัก ที่นี่มันเป็นไปตามบารมี ก็หมายความว่า สิ่งที่มันควร มันจะมารองรับเอง เก้าอี้ไม่ต้องยก แท่นไม่ต้องยก เมื่อกี้หลานเข้ามามีห้องโล่ง ๆ ใช่ไหม จุไรก็ตอบว่า ใช่ เวลานี้มันมีแท่นขึ้นมา เพราะบุญบารมีของหลานมีมาก เขามารับเอง ไม่เป็นไร

อะไรมีอย่างไรนั่งตามนั้น เขาจะมาแบบไหน ไม่ต้องไปว่ากัน ไม่ต้องเกรงใจลุง ต่อนี้ไปหลานรักต้องการอะไร บอกลุง ถ้าไม่เกินวิสัย ลุงจะให้ จุไรก็บอกว่า สิ่งที่หนูต้องการ อันดับแรก ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ แต่อันดับต่อไปอาจจะเอาก็ได้ ลุงก็ยิ้ม บอกว่า อีหนูเอ๊ย...สำนวนมันมากเกินไปนะหลานรัก ว่ากันตรง ๆ ดีกว่า จุไรก็บอกว่า หนูไม่ใช่สำนวน แม่หนูเป็นคนจน เวลานี้พ่อก็ได้เงินเดือนเล็กน้อย

ไม่กี่พันบาท พอใช้สอย พ่อก็ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ พ่อไม่เที่ยวกลางคืน เงินก็ไม่ค่อยจะเหลือ ถ้าตอนคุยกันไป คุยมา ถ้ายังไม่หมดเวลา หนูอาจจะขอลาภจากลุงก็ได้ ท่านวิรุฬหกก็ถามว่า หนูจะขออะไร จุไรก็บอกว่า ขอเลขรางวัลที่ ๑ เอา ๗ ตัว ไม่เอา ๓ ตัวละ ๓ ตัว เล่นลำบาก ลุงหัวเราะก๊าก บอก หลานเอ๊ย...เลขหวยลุงรู้ แต่บอกไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันผิดระเบียบ เอาเรื่องอื่นดีกว่า

จุไรก็ถามว่า เมื่อกี้หนูถามยังค้างอยู่ ในตอนต้นที่หนูถามว่า คนที่จะมาเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ต้องผ่านฌานสมาบัติมาก่อนใช่ไหม ลุงก็ตอบว่า ใช่ แล้วเวลาตายกำลังใจไม่เข้าถึงฌาน เป็นอันว่า มีจิตเป็นกุศลพอสมควรใช่ไหม ลุงก็ตอบว่า ใช่ แล้วเธอก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น สมัยที่ลุงเป็นมนุษย์ ลุงมีอาชีพอย่างไร มีฐานะเป็นประการใด

ลุงฟังแล้วก็มองดูน้อย บอก น้อย อย่าพูดไปนะ จุไรก็ถามว่า ทำไมไม่ให้พูดล่ะเจ้าคะ ทำไมห้ามป้าน้อย ลุงก็บอกว่า เรื่องบางอย่าง ไม่ควรจะพูด เพราะพูดกับหนูนี่ หนูปากยาว นี่ลุงไม่ได้ว่าหนูปากหมานะ เอาแค่ปากยาว ๆ หมายความว่า เสียงนี่มันออกไปถึงหูที่สี่แล้ว มันไม่เป็นความลับ เหตุบางกรณีที่ไม่ควรจะพูด มีอยู่เอาแค่ปฏิปทาก็แล้วกันนะ ฐานะอย่าถามกันนะ จุไรก็ตอบว่า ไม่เป็นไรเจ้าคะ เอาแต่สิ่งที่ควร

ท่านบอกว่า ถ้าคำว่า ฐานะ ลุงจะขอบอกได้เพียงแต่ว่า ลุงสมัยที่เป็นมนุษย์ ลุงเป็นลูกจ้างเขา จุไรก็ถามว่า ลูกจ้างทำนา ลูกจ้างทำไร่ หรือลูกจ้างชาวค้าขาย พ่อค้า แม่ค้า ลุงก็ตอบว่า ไม่ใช่ คำว่า เป็นลูกจ้างนี่ ลุงเป็นคนมีเงินเดือน และเป็นหัวหน้ากลุ่ม หัวหน้ากลุ่มใหญ่ คนใต้บังคับบัญชานับพันคน แต่เงินเดือนเขาก็ให้ก็ถือว่า คนที่ได้เงินเดือน ต้องถือว่า เป็นลูกจ้าง

แต่ในเมื่อเป็นลูกจ้าง ลุงก็มีความฟุ้ง ต้องการอยู่อย่างเดียว คือ หนึ่ง หนังเหนียว ประการที่สอง ยิงไม่ออก ประการที่สาม แคล้วคลาดจากอาวุธ ประการที่สี่ สามารถแสดงฤทธิ์ ข่มคนที่เป็นศัตรูได้ จุไรก็ถามว่า การเป็นอย่างนี้ ต้องการอย่างนั้น มีผลอย่างไรเจ้าคะ แล้วลุงหนังเหนียวไหม ลุงก็ตอบว่า หนังเหนียว

จุไรก็ถามว่า การหนังเหนียวของลุง ลุงทำได้อย่างไร ท่านลุงก็บอกว่า ใช้คาถาอาคม ลุงนี่มีอาจารย์เป็นพระ มีอาจารย์เป็นฆราวาส พระก็ดี ฆราวาสก็ดี ถ้ามีความดีเป็นกรณีพิเศษ ลุงยอมรับนับถือเป็นลูกศิษย์ท่าน แล้วการที่ลุงจะเรียนวิชาทำให้หนังเหนียวด้วย ให้คนอื่นหนังเหนียวด้วย หมายความว่า คนใต้บังคับบัญชาของลุงเวลาจะไปสู้กับข้าศึกศัตรู ก็ต้องหนังเหนียวไม่ตายเหมือนกัน

ทีนี้ลุงก็ต้องใช้คาถา การใช้คาถานี่ต้องใช้สมาธิ หลาน คำว่า สมาธิ คือ การตั้งใจ ก่อนที่จะใช้คาถาทั้งหมด ลุงต้องมีความเคารพในพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ ประการที่สอง เคารพพระธรรม ประการที่สาม เคารพพระอริยสงฆ์ หรือพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์ ท่านเป็นพระสงฆ์ ครูที่เป็นฆราวาสก็ต้องสอนแบบนี้เหมือนกัน ต้องเคารพตามนี้ หลังจากนั้นแล้ว ลุงก็ต้องทำจิตให้มั่นคง

ในคาถาอาคมที่เรียนมา การทำจิตให้มั่นคง คือ ภาวนาให้ทรงตัว ก็คือ จิตเป็นสมาธินั่นเอง ถ้าจิตมีสมาธิสูง กำลังอานุภาพของที่ใช้อยู่หรือที่ต้องการ ก็มีอานุภาพมาก ถ้ากำลังสมาธิต่ำ ของที่เรียนมาก็มีอานุภาพต่ำ จุไรก็บอกว่า การทำสมาธิ การว่าคาถาอาคม ไม่ใช่สมาธิ เป็นเหตุให้เกิดเป็นเทวดา หรือเป็นพรหมนี่เจ้าคะ ต้องการหนังเหนียวต้องการปลอดภัย

ท่านลุงก็บอกว่า อย่าลืมนะ อย่าลืมว่า ก่อนที่จะทำอะไรทั้งหมด จะต้องมีความเคารพในพระพุทธเจ้าก่อน ฉะนั้นการทำสมาธิ การท่องคาถาอาคม การปลุกเสก เขาเรียก ปลุกตัว ปลุกของ ต้องทำทุกวัน ตอนเย็นต้องทำ ตอนเช้าต้องทำ เพื่อความมั่นคง ทีนี้ก่อนจะทำปุ๊บ จิตนึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว จิตยอมรับนับถือในพระธรรมคำสั่งสอนแล้ว

และก็จิตนึกถึงพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์ และเทวดา หรือพรหมที่เป็นครูบาอาจารย์มาในอดีต ต้องนึกถึงหมด ตั้งแต่ในอดีต ถึงปัจจุบัน อย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคาถาอาคมเพื่อการอยู่ยงคงกระพัน แต่จิตใจยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ฉะนั้น สมาธิที่ได้ในเวลานั้น ต้องเป็นสมาธิที่มี พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุส สติ

คือ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ทีนี้ คาถาอาคมจะให้ดีมากก็ต้องเป็นฌาน จิตต้องดิ่งเข้าถึงฌานสมาบัติ ถ้าเข้าถึงฌานสมาบัติก็พิสูจน์กันได้ทันที อย่างนี้เรียกว่าจิตถึงฌาน การกระทำ หรือว่าเจตนาจะไม่ตรง แต่จุดหมายปลายทางตรงก็เหมือนกับหลานที่เดินมาวิมานของลุง มาทีแรกก็ขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก่อน แล้วกลับลงไปเมืองมนุษย์ ไปฟื้นตัวอีก ๒-๓ วัน แล้วกลับมาใหม่ ถึงแม้ว่าจะไม่ตรงทางที่ตั้งใจมาโดยเฉพาะ

แต่ถึงอย่างไร ก็ถึงวิมานของลุงแน่ การทำจิตเป็นสมาธิ อันดับแรกไม่ต้องการสวรรค์ ไม่ต้องการพรหมโลก ไม่ต้องการนิพพาน แต่ว่ากำลังใจนึกถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ หรือครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ ก็ตรงเข้าไปหาอนุสสติทั้ง ๓ ประการ อย่างไร ๆ ก็เป็นฌานสมาบัติในพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ นั่นเอง

ก็เป็นอันว่า จุไรเข้าใจ จึงมีความรู้สึกถามว่า คุณลุงเจ้าคะ ก็ในเมื่อได้ฌานสมาบัติอย่างนั้นแล้ว ทำไมเวลาคุณลุงตาย ทำไมไม่เข้าฌาน ไม่นึกถึงคาถาบทใด บทหนึ่งให้เป็นฌาน คุณลุงก็บอกว่า หนู นอกจากคาถาที่เป็นสมาธิในด้านของอยู่ยงคงกระพันแล้ว นอกจากนั้น เวลาจะนอน ลุงก็ต้องทำสมาธิเป็นฌานเหมือนกัน แต่คำว่าฌานในที่นี้ คือ อารมณ์ทรงตัว ลุงนึกปั๊บ จิตเข้าถึงฌานทันที

มีอารมณ์ดิ่ง อารมณ์มั่นคงมาก นอกจากมีอารมณ์มั่นคงแล้ว ลุงก็ต้องให้ทานการกุศล ทานการกุศลนี่ ลุงทำเป็นปกติ และมีความเมตตากับคนที่พบเห็น การคบหาสมาคมของลุง ลุงคบคนทุกชั้น ตั้งแต่คนชั้นสูงเท่าที่ลุงจะคบได้ คือ ชั้นขุนนาง ลุงคบไปถึง ชั้นขี้เมา คนทุกชั้นลุงถือว่า เขาเป็นคนเหมือนกันหมด ลุงไม่ถือเนื้อไม่ถือตัว จุไรก็ถามว่า สมัยที่เป็นมนุษย์ ลุงมียศขั้นไหนเจ้าคะ

ลุงตอบว่า เรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ห้ามถาม เป็นอันว่า ลุงเองก็เคยเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว เคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน ลุงเองก็เคยเข้าสมาคมกับขุนนางชั้นสูง และก็ทุกชั้นตามลำดับมา จนกระทั่งขี้เมาข้างถนน ลุงก็เป็นเพื่อนกับคนทุกคน จุไรก็ถามว่า ลุงเป็นเพื่อนได้อย่างไร ในเมื่อมีฐานะอย่างนั้น ท่านลุงก็บอกว่า หนูเคยถามลุงแล้วใช่ไหมว่า

๑. ลุงมีเมตตา ความรัก ๒. กรุณา ความสงสาร ใช่ไหม จุไรก็ตอบว่า ใช่ เพราะอำนาจเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสารนี่ซิ ลุงจึงถือว่า คนทุกคน ฐานะไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่กำลังใจเท่านั้น ถ้าบุคคลใดกำลังใจดี บุคคลนั้นลุงคบได้ทุกคน ก็รวมความว่า หลานกับลุงก็คุยกันมาตามสมควร หลานก็บอกว่า คุณลุงเจ้าคะ วันเวลามันก็น้อยเหลือเกิน อีกไม่นานนัก

เมืองมนุษย์ตะวันก็ตกดินไปอีกแล้ว แต่ว่าหนูยังไม่กลับ คราวนี้หนูมาเต็ม ๗ วัน แม่บอกแล้วว่าจะอยู่ที่วัดท่าซุงหลายวันหน่อย หนูก็ขออนุญาตแม่แล้ว ทีนี้ขอมาเต็ม ๗ วัน แต่ว่าเวลาที่จะคุยกันมีอยู่ แต่ว่าเวลานี้ หนูขอดูวิมานหน่อยได้ไหม อยากจะดูข้างในว่ามีอะไรบ้าง ลุงก็อนุญาต ก็เป็นอันว่า ท่านท้าวมหาราช คือ ท่านวิรุฬหก ก็พาหลานรักทั้งสองคน คือ หลานเล็ก กับหลานแก่ พาชมวิมาน

เอาละ บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทุกท่าน เวลาหมดพอดี ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/10/11 at 16:46 [ QUOTE ]


3

อานิสงส์สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ และข่าว


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ เป็นวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๓๒ เป็นเวลากลางคืน วันนี้รู้สึกว่าจะนอนหลับยากไปนิดหนึ่ง เวลาที่พูดนี่เป็นเวลา ตี ๒ : ๕ นาที ก่อนจะพูดถึงเรื่องอื่น ก็ขอแจ้งข่าวกันก่อน วันนี้เห็นจะหนักไปในด้านข่าว หรือการโมทนา ก็เพราะว่า เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๓๒ ท่านนายห้างนิรัตน์ เลาหะสุรโยธิน

ซึ่งเป็นผู้ช่วยในการก่อสร้าง ดูแลงานก่อสร้าง ช่วยสั่งของให้ มาแจ้งให้ทราบว่า พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก หรือที่เรียกกันว่า พระพุทธรูปชำระหนี้สงฆ์ ที่สั่งทำการสร้างไว้ ๖๔ องค์ แต่ทว่าเวลานี้ มีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชำระเงินมาแล้ว ๘๐ องค์ ก็ขาดไป ๑๖ องค์ ก็มาคิดในใจว่า จะเอาที่ตรงไหนสร้างกัน ดูมาดูไป ก็ปรากฏว่า

ที่ที่ โยมมา ถวายไว้ ๒๐ ไร่ ที่องค์สมเด็จฯ ท่านสั่งสร้างทางเดินกว้าง ๔ เมตร รอบพื้นที่ แล้วก็ทางเดินด้านกลางของพื้นที่อีกสายหนึ่ง กว้าง ๔ เมตร เหมือนกัน เป็นทางยาวจึงมาดำริคิดว่า สถานที่ตรงนี้ ขณะที่สมเด็จฯ ท่านสั่งสร้าง ท่านก็ไม่ได้บอกว่า มีความจำเป็นอย่างไร เป็นแต่เพียงบอกว่า ถ้าฉันสั่งให้สร้าง ก็สร้างเถิด

ในฐานะที่อาตมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และมีความเคารพนับถือท่านมาก และก็นานแล้ว ไม่เคยเห็นว่า ท่านสั่งงานอะไร หรือพูดงานอะไรผิดสักอย่างหนึ่ง คือว่า คำพูดของท่าน ไม่ผิดจากความเป็นจริง ก็มาคิดในใจว่า ในเมื่อท่านสั่งสร้าง ก็สร้าง ลงมือสร้างพร้อม ๆ กับทางเดิน ๑๐๐ ไร่ หรือวิหาร ๑๐๐ เมตร รอบ ๆ วิหาร ๑๐๐ เมตร ลงมือพร้อมกัน

แต่ว่าเวลานี้ ทางเดินรอบ ๒๐ ไร่ เสร็จแล้ว ข้างล่างก็เป็นถนนคอนกรีต ข้างบนก็เป็นสะพานคอนกรีต มีหลังคาเป็นคอนกรีตเหมือนกัน ก็เลยมาคิดในใจว่า สถานที่ตรงนี้ เราไม่เคยคิด ไม่รู้ว่าจะสร้างอะไร เวลานี้มีความจำเป็นแล้ว ในเมื่อพระพุทธรูปที่ญาติโยมพุทธบริษัททำบุญมา เอาเงินส่งมาเต็มอัตรา องค์ละ ๕๐,๐๐๐ บาท มีจำนวนถึง ๘๐ องค์

แต่ว่ามีพระพุทธรูปจริง ๆ ให้โยมเพียง ๖๔ องค์ ก็ต้องสร้างต่อ ในตอนเช้า หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ คือ ฉันข้าวต้มเวลา ๖ โมงครึ่ง หลังจากนั้นก็ไปดูสถานที่ ไปกำหนดสถานที่ให้เขาทำคานรับ จะสร้างต่ออีก ๔๐ องค์ แต่ถ้าหากว่าถ้ายังไม่พอ สถานที่ยังมี สร้างได้อีกประมาณสัก ๑๐๐ องค์ ที่ตรงนั้น แต่ทว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ราคาค่าพระ บรรดาญาติโยมทั้งหลาย

ต่างคนต่างก็ส่งมาพร้อมมูลบริบูรณ์ ที่ยังคั่งค้างก็มีอยู่บ้าง เรียกว่า ผ่อนส่ง ก็ไม่เป็นไร ถือว่า พระทุกองค์มีเจ้าของ ถ้าหากว่า บังเอิญองค์ไหนไม่มีเจ้าของ อาตมาก็ขอเป็นเจ้าของ แต่ตั้งแต่เริ่มสร้างมาจริง ๆ ยังไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของพระ เดิมทีเดียว ที่ศาลา ๓ ไร่ ตั้งใจไว้ตั้งแต่บวชพรรษาที่ ๒ ว่า ชาตินี้ทั้งชาติ จะขอสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกสักองค์หนึ่ง

ในเมื่อมีสถานที่พอ ๒๘ องค์ ก็สร้าง ๒๘ องค์ ก็คิดว่า ถ้าไม่มีเจ้าภาพเข้ามา ไม่ร่วมในการก่อสร้าง ก็จะขอเป็นเจ้าภาพเอง ทั้ง ๒๘ องค์ ค่อย ๆ เอาเงินที่บรรดาญาติโยม และลูกหลานทั้งหลาย ถวายใช้เป็นส่วนตัว ไปสร้างพระ แล้วต่อมาไม่ช้าก็ปรากฏว่า มีญาติโยมหมดทั้ง ๒๘ องค์ ต่อมาก็ไปสร้างที่ ศาลา ๑๒ ไร่ อีก ๑๐๙ องค์ คิดว่า คราวนี้เหลือแน่

ก็เป็นอันว่า ญาติโยมพุทธบริษัทก็เป็นเจ้าภาพอีกเกิน ๑๐๙ องค์ ต้องมาสร้างที่ทางเดินที่วิหาร ๑๐๐ เมตร อีก ๖๔ องค์ เวลานี้ก็ปรากฏว่า มีเจ้าภาพถึง ๘๐ องค์ ก็ต้องไปหาสถานที่ใหม่ สถานที่ตรงนั้น ที่สมเด็จฯ ท่านสั่งให้สร้าง มีประโยชน์แล้ว แต่ทว่าญาติโยมพุทธบริษัท สิ่งที่น่าแปลกมีอย่างหนึ่ง นั่นคือ ห้องกรรมฐาน หรือห้องพัก มีเจ้าภาพ พระพุทธรูปทุกองค์ก็มีเจ้าภาพ

แต่เวลานี้เหลือแล้ว แต่ว่า สิ่งที่ยังไม่มีเจ้าภาพจริง ๆ ก็คือ อาคารสถานที่พระ เพราะว่าที่นี่เป็นที่ลุ่ม จำเป็นต้องสร้างอาคาร ก็รวมความว่า วิหาร หรือกุฏิพระพุทธรูป ยังไม่มีเจ้าของเลย ก็น่าอัศจรรย์ใจ แต่ความจริง อานิสงส์สร้างอาคารสถานที่ให้พระพุทธรูปนี่มีอานิสงส์มาก เพราะอันดับแรกเป็น วิหารทาน อานิสงส์เหมือนกับสร้างวิหาร อาคารต่าง ๆ เท่ากันหมด

แต่ว่าส่วนพิเศษก็คือว่า เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป เป็นวิหารของพระพุทธเจ้าองค์จำลอง คือ พระพุทธรูป เป็น พุทธานุสสติ ด้วย ถ้าจะถามว่า ราคาห้องละเท่าไร ก็ขอบอกให้ทราบว่า ราคาห้องละ ๓๐,๐๐๐ บาท ทุกท่านที่สร้างอาคารสำหรับบรรจุพระพุทธรูป ท่านจะมีอานิสงส์ ทั้งอาคารด้วย ทั้งพระพุทธรูปด้วย เพราะพระพุทธรูปต้องอาศัยสถานที่ของท่าน

อันนี้ก็คุยกันไป ต่อมา ก็คุยกันต่อไป วันนี้เป็นการโมทนา ก็มีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ เอาเมื่อวานนี้ก่อน เมื่อวานนี้วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๓๒ ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย กับผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย สาขาอุทัยธานี นำวัตถุของต่าง ๆ มาถวายไว้เป็นของขวัญวันปีใหม่ ทางกรุงไทยนี่มีไดอารี่มาด้วย มีกระเป๋าถือ ๒ ลูก มีไดอารี่ ๒ เล่ม

มีกระเป๋าใหญ่ ๒ ใบ และมีอย่างอื่นอีก พวงกุญแจ สำหรับธนาคารกสิกรไทยนั้น มีกระจาดใหญ่ มีทั้งยานัตถุ์ มีทั้งอาหารการบริโภค หลาย ๆ อย่าง ผลไม้เยอะแยะพรรณนาไม่ถูก อันนี้เมื่อวานนี้วันนี้ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๓๒ ท่านพล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน อดีตแพทย์ใหญ่กรมตำรวจ ได้นำจตุปัจจัยมาถวาย ๕,๐๐๐ บาท เนื่องในวันปีใหม่

แล้วก็มี ลูกหลานจังหวัดสุพรรณบุรี นำทองคำ มาสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า หนักหลายบาท แล้วก็นำขนมเค้กมาถวาย และนอกจากนั้นก็ยังมีญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย นำภัตตาหารมาถวาย เนื่องในวันจะสิ้นปีเก่า หรือจะขึ้นปีใหม่ และนอกจากนี้ก็ขอโมทนาย้อนหลังลงไป หลังจากที่ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์จาก พระสุธรรมยานเถระ เป็น พระราชพรหมยาน

ก็มีบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ตั้งใจสงเคราะห์ช่วยเหลือหลายอย่าง ลืมไป นิดหนึ่งสำหรับวันนี้ ก็มี พรนุช คืนคงดี อาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ถวายเงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท เนื่องในวันปีใหม่ และถวายปัจจัย ๑๒,๐๐๐ บาท เนื่องในการสร้างเสาในวิหาร ถวายกุศลให้เนื่องในวันปีใหม่ แล้วก็ สร้างฉัตร มณฑปพระปัจเจกพุทธเจ้า ๗,๐๐๐ บาท

ถวายกุศลให้ในวันปีใหม่ นอกจากนี้ก็ย้อนหลังไปถึง วันที่ ๕ วันที่ ๖ ธันวาคม หลังจากที่รับเลื่อนสมณศักดิ์ ก็ปรากฏบรรดาลูกหลานทั้งหลายมีศรัทธาดังนี้ ค่อย ๆ อ่านนะ ตา ไม่ค่อยเห็น มันตี ๒ กว่าแล้ว ใกล้ตี ๓ แล้ว ในตอนแรก ขวัญ คำว่า ขวัญ นี้เป็นชื่อที่เรียกกัน แต่เขาเขียนบอกมาว่า คุณเยาวลักษณ์ และครอบครัว ขวัญ ก็คือ เยาวลักษณ์

อาตมาเองก็เพิ่งรู้จักตอนนี้เหมือนกัน ก็เรียกเธอ ขวัญ ๆ ตลอดมา เรียกทีไร เธอก็ยอมรับ ตอนนี้มารู้จักใหม่ว่า เยาวลักษณ์ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ก็ขอเรียกว่า เยาวขวัญ เยาวลักษณ์ด้วย ขวัญด้วย บวกกันเป็นเยาวขวัญ คือ ขวัญ หรือเยาวลักษณ์ เธอสร้างที่ตั้งพัดชั้นราชให้ ๑ อัน ประดับมุก และก็กรอบใส่ตราตั้ง ๑ อัน ประดับมุก ราคาทั้งหมดจริง ๆ ๑๒,๐๐๐ บาท

แล้วก็สร้างแผ่นทองคำทำป้ายติดชื่อกรอบตราตั้งด้วยทองคำแท้ ๖,๐๐๐ บาท แล้วก็ต่อมา ก็มีคณะที่ช่วยกัน สร้างพัดพระฐานานุกรม เขาบอกว่า กลุ่มดารา มี ร.อ.เจี๊ยบ ร.อ.เจี๊ยบ จริง ๆ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ ลืมชื่อเก่า เรียก เจี๊ยบ ๆ อย่านึกว่าเป็น ลูกไก่ นะ เป็นร้อยเอก เป็นหัวหน้า ๑,๓๐๐ บาท แล้วก็ คุณโชติวุฒิ คเชศะนันท์ ๑,๐๐๐ บาท

อ.ประเสริฐ อ.บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์ และครอบครัว ๑,๐๐๐ บาท คุณเยาวลักษณ์ (ขวัญ) และครอบครัว นี่สร้างพัดฐานานุกรม นะ ๕๐๐ บาท คุณรัชนี เอื้อประสาทสุข และครอบครัว ๕๐๐ บาท แล้วก็ คณะ ๗ ใบเถา คือ ๗ พี่น้อง เขา ๗ พี่น้องด้วยกันนะ อีก ๕๐๐ บาท แล้วก็

คุณวิไลพร คุณทวีศักดิ์ สินทวีวงศ์ ๑๐๐ บาท ลูกตามันไม่ค่อยเห็น เพราะอ่านหนังสือ และ คุณธวัช สวนศิลป์พงศ์ ๑๐๐ บาท คุณวัลลภา เยี่ยมเพชราพงศ์ แน่. นามสกุลจริง ๆ ๒๐๐ บาท และ คุณสมพงศ์ พรประทุมชัยกิจ เกือบจะอ่านไม่ออก ๑๐๐ บาท นายช่างไพบูลย์ และครอบครัว ๑๐๐ บาท

คุณอารีย์ จงพิสุทธิโสภณ ๒๐๐ บาท เดี๋ยวก่อนนะ กระดาษมันคอยจะพับเข้ามา กระดาษมันก็เกแล้วก็ คุณอัจฉรา เสาว์เฉลิม ๑๐๐ บาท คุณศิริพร พฤกษาจันทนา ๑๐๐ บาท คุณสมพร บุญยเกียรติ ๑๐๐ บาท คุณลำดวน นิยมทัศน์ ๑๐๐ บาท คุณดวงตา กุลบุตร ๑๐๐ บาท คุณนัยนา ผกประสิทธิโต โอ้โฮ เท่าไรล่ะ ๑๐๐ บาท

คุณสุนทร ปิ่นเสถียรเกตุ ๑๐๐ บาท คุณฮอง แซ่จู ๑๐๐ บาท คุณทัศนีย์ อาจบุตร ๕๐ บาท นางง่วนเชียง แซ่โง้ว ๕๐ บาท คุณประจักษ์ พฤกษาจันทนา ๕๐ บาท คุณวิชัย ศิริรับโชค ๕๐๐ บาท คุณพรทิพย์ พฤกษาจันทนา พฤกษาจันทนาหลายคนนะ ๒๐๐ บาท คุณสาธิต-มณีรัตน์ อุศชิน ๒๐๐ บาท

คุณมาลินี ศิระประภาชัย ๕๐๐ บาท คุณงามเพ็ญ ธนบดีพัฒน์ ๑๐๐ บาท ดร.ปริญญา นุตาลัย หัวหน้าคณะจัดงานฉลอง ๑,๔๐๐ บาท พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ ๕๐ บาท คุณยิ่งยง วงศ์สุทธิ์ศิริ ๑๐๐ บาท และคณะธรรมประทีป ๙๓๐ บาท รวมแล้ว เงินที่ประกาศมาแล้วนี่ ทั้งหมด ๑๐,๕๓๐ บาท

แต่ว่าราคาพัดจริง ๆ ที่เขาซื้อมาทั้งหมด พัดฐานานุกรมนะ พัดด้วย ที่ตั้งพัดด้วย เขาให้ทั้งพัดและที่ตั้งพัดเสร็จ รวมว่า พัดปลัด เฉพาะราคาพัดพระปลัดจริง ๆ นี่ คือ พระปลัด พระสมุห์ พระใบฎีกา ชุดหนึ่ง พระครูปลัด พระครูสังฆรักษ์ พระครูสมุห์ พระครูใบฎีกา อีกชุดหนึ่ง พัดพระปลัด ด้ามละ ๗๐๐ บาท พัดพระสมุห์ด้ามละ ๗๐๐ บาท พระใบฎีกา ด้ามละ ๗๐๐ บาท

ทีนี้ก็มา พัดพระครูปลัด พัดพระครูปลัดจริง ๆ นี่ ราคา ๒,๐๐๐ บาท พัดพระครูสังฆรักษ์ ราคา ๒,๒๐๐ บาท พัดพระครูสมุห์ ราคา ๗๕๐ บาท พัดพระครูใบฎีกา ราคา ๗๕๐ บาท รวมแล้วทั้งหมด ราคาค่าพัดจริง ๆ และของทั้งหมด ๒๔,๕๘๐ บาท ทั้งหมดนี้เขาก็คงไม่มีชื่อมาพร้อมกัน แต่จำนวนเงินมาครบ จำนวนเงินเขาได้ครบ แต่ชื่อมาไม่ครบ ก็ไม่เป็นไร สุดแล้วแต่คนเขียน

ในที่สุดนี้ อาตมาก็ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาสัมมาปฏิบัติที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีเจตนาสงเคราะห์ทุกอย่าง ตามที่ประกาศมา ขอทุกท่านจงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มี อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้น สมความปรารถนา ทุก ๆ ประการ

เมื่อกี้นี้ใจเสีย มองดูนาฬิกา กลับหัวกลับหาง คิดว่าเวลานาทีทำไมมันเต้นพึ่บพั่บ ๆ คิดว่าเวลาไม่เหลือ เข้าใจว่า อ่านเพลินไป เวลาจะหมด แต่ความจริงยังไม่หมด เมื่อยังไม่หมด ก็มาคุยถึง อานิสงส์ เมื่อกี้นี้เป็นเรื่องจริง ต่อนี้ไปก็ อิงนิทาน เอาแต่เรื่องจริงโดยเฉพาะ มันก็มีความลำบาก ฟังแล้วเครียด มาเอากันเรื่องนิทานดีกว่า มาคุย กันถึง จุไร มันต้องนำนางเอกขึ้นมาก่อน

จุไรอายุเพียงแค่ ย่างเข้า ๙ ปี วันนี้ตอนเช้า เธอก็พาคุณป้าน้อย เดินไปที่สถานที่ที่ คุณโยมใหญ่ถวายไว้ ที่จะสร้าง สถานที่ที่กล่าวเมื่อกี้ ที่กล่าวเมื่อกี้นี้ เมื่อกี้บอกว่า เป็น โยมมา ไม่ใช่นะ โยมมา เป็นน้อง เป็นที่โยมใหญ่ถวายไว้ ๒๐ ไร่ แล้วก็วันนี้ หลวงปู่ไปดูสถานที่สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ที่เรียกว่า พระชำระหนี้สงฆ์ เดินไปชมบริเวณสถานที่รอบ ๆ ๒๐ ไร่ เหนื่อย

เข้ามาจุดศูนย์กลางอีกจุดหนึ่ง เหนื่อยอีก ที่ก็กว้างขวาง ข้างล่างเป็นถนนคอนกรีต ข้างบนเป็นสะพานคอนกรีต ข้างบนขึ้นไปเป็นหลังคาคอนกรีต มี ๓ ทาง กว้างขวางถึง ๔ เมตร ในเมื่อเธอไปกับคุณป้าน้อย ได้ยินหลวงปู่พูดกับบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ไปด้วยกัน มี ด.ต.ตระกูล และ จ.ส.ต.พเยาว์ แล้วก็ กำนันสมนึก แล้วก็ นายวิม แล้วก็มี ปรีชา เป็นช่างภาพ ได้ยินเสียงหลวงปู่พูดกับพวกนั้นว่า

สถานที่สร้างพระของเราไม่พอ ที่ตรงนี้ สมเด็จฯ ท่านสั่งสร้างไว้ แต่ไม่ได้กำหนดว่าให้ทำอะไร ก็เป็นอันว่า เวลานี้ พระชำระหนี้สงฆ์ หรือพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก หมดแล้ว มีเจ้าภาพ ๘๐ แต่มีพระอยู่ ๖๔ องค์ ท่านก็กำหนดให้ ช่างพร ซึ่งตามไปด้วยทำคานรับพระ ๔๐ องค์ สร้างเผื่อไว้ เพราะว่าต้องสร้างชำระหนี้ที่ญาติโยมที่สร้างให้แล้ว ยังขาดอีก ๑๖ องค์ เหลือจากนั้น ๒๔ องค์

ก็เป็นของคอย เจ้าภาพที่ยังส่งไม่เสร็จต่อไป แต่ถ้าหากไม่มีบุคคลใดเป็นเจ้าภาพ ท่านจะเป็นเจ้าภาพของท่านเอง เธอก็หันมาถามคุณป้าน้อยว่า คุณป้าเจ้าคะ คุณป้ารู้อานิสงส์แห่งการสร้างพระพุทธรูปชำระหนี้สงฆ์ไหม และความเป็นมาของพระพุทธรูปชำระหนี้สงฆ์เป็นอย่างไร ป้าน้อยก็บอกว่า ความเป็นมาน่ะ ป้ารู้ คือนั่นหมายความว่า ปีหนึ่ง หลายปีมาแล้ว

ที่หลวงปู่ของหลานไปที่จังหวัดชลบุรีไปพักอยู่ที่ศรีราชา เวลานั้นก็ปรากฏว่า มีคนถามว่า การที่เป็นหนี้สงฆ์ในชาติก่อน ๆ เราจะทำอย่างไร จึงจะชำระให้หมดได้ เพราะการเป็นหนี้สงฆ์นี่ โทษมาก หลวงปู่ท่านก็ไม่ตอบ แต่ว่าพอรุ่งขึ้นเช้า ท่านตอบท่านบอกว่า

เมื่อคืนนี้ มีพระมาบอกว่า ถ้าจะชำระให้หมดได้ ต้องสร้างพระพุทธรูปชำระหนี้สงฆ์ หน้าตัก ๔ ศอก โตกว่าได้ แต่เล็กกว่านั้นไม่ได้ แล้วอุทิศถวายสงฆ์ไป เป็นการชำระหนี้สงฆ์ที่เคยติดค้างมาในชาติก่อน ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนี้ พระท่านบอกนะ เป็นการชำระหนี้สงฆ์เสร็จ ไม่เป็นหนี้ติดค้างกัน และต่อมาก็ปรากฏว่า มีท่านบางท่าน ได้สร้างมาแล้ว และก็ปรากฏจุดหนึ่งว่า

นิมิตจากองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว คือ นิมิตเห็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ เพราะตาทิพย์ ป้าน้อยว่าอย่างนั้นนะ คนนี้เขาป่วยหนักมาก พูดไม่มีเสียง แค่ยกมือไหว้นิด ๆ ขยับมือนิด ๆ ยกก็ไม่ได้ เขาป่วยหนักก็ปรากฏว่า ทุกคนไปเยี่ยมกัน เวลานั้น พระท่านก็ไปเยี่ยม ท่านก็ถามว่า โยม รู้จักอาตมาไหม ถามว่า จำได้ไหม โยมก็ตอบ ทำปากพะงาบ ๆ แสดงว่า จำได้

เสียงออกจากปากไม่มี หลังจากนั้นได้เวลาพอสมควร พระท่านก็กลับ ในเมื่อพระท่านกลับไปแล้ว ท่านบอกว่า ตอนกลางคืน ขณะที่ท่านพักอยู่ในห้องอันสงัด เป็นห้องเจริญกรรมฐาน เวลานั้นท่านนั่งกรรมฐาน ก็ยังไม่ปรากฏภาพอันใด คือ ท่านไม่มุ่งถึงภาพ ต้องการทำจิตเป็นสมาธิเฉย ๆ ระงับอารมณ์ของกิเลส เห็นท่าจะเมื่อยหนัก ก็เอนกาย คิดว่า จะนอนภาวนาให้หลับไป

แต่พอเอนกายลง เริ่มนอนภาวนา จิตก็เริ่มเบาตัว เวลานั้น เห็นภาพพระพุทธเจ้า หน้าตักประมาณสัก ๘ ศอกเศษ สวยสดงดงามมาก เหลืองอร่ามทั้งองค์ ยิ้ม แล้วก็มีหนังสือปรากฏข้างหน้า เขียนตัวใหญ่มาก หนังสือตัวสูงประมาณ ๑ ศอกเศษ เขียนบอกว่า พระชำระหนี้สงฆ์เขาสร้างแล้ว ก็เป็นอันว่า คนป่วยนี่เขาเคยสร้างพระชำระหนี้สงฆ์แล้ว สักครู่หนึ่งท่านก็หายไป ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากนั้น พระท่านบอกว่า หลังจากนั้นแล้วก็ปรากฏว่า มีภาพของ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ และท้าวเวสสุวัณ ปรากฏขึ้นแทน พระท่านก็ถามว่า เมื่อกี้นี้เห็นนิมิต คือ พระพุทธเจ้า ท่านชี้ไปที่หนังสือว่า พระชำระหนี้สงฆ์เขาสร้างแล้ว นั่นหมายความว่าอย่างไร ท่านท้าวเวสสุวัณ ท่านเป็นคนตอบ บอกว่า พระชำระหนี้สงฆ์เขาสร้างแล้ว นี่หมายความว่า

คนป่วยนี่ เขาสร้างพระชำระหนี้สงฆ์แล้ว แล้วคนป่วยคนนี้ จะตกนรกไม่ได้ เพราะว่าเวลานี้กำลังใจเขาจับเห็นภาพพระนี้ ชัดเจนแจ่มใสมาก พระติดตาเขา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการสร้างพระใหญ่ ต้องใช้สตางค์มาก กำลังใจก็ฟูมาก มีปีติมาก ภาพพระก็จับตา จับใจ เวลานี้เห็นภาพพระแจ่มใสมาก แต่ว่าอาการตายของเขา เขาต้องตาย คำว่า ตาย ถ้าจะพูดว่า ตายจริง มันก็ไม่ถูก

จะต้องบอกว่า เขาไป เขาจะต้องไปจากร่างกายนี้ ไปสู่ร่างกายใหม่ แต่ไม่ใช่เกิดในร่างกาย คือ ธาตุ ๔ เป็นร่างกายทิพย์ วิเศษ ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อไปทางไหนอีก อยู่ที่นั่นเลย เป็นความสุข แล้วท้าวเวสสุวัณท่านก็บอกต่อไปว่า ในวันพรุ่งนี้ อาการเขาจะดีขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่า เป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นไปได้ทุกอย่าง แล้วท้าวเวสสุวัณท่านอธิบายบอกว่า

คนที่สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ คือ พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก แล้วชำระหนี้ของสงฆ์ที่เคยเป็นหนี้มาในกาลก่อน บุญมหาศาลมาก คนนี้มีอานุภาพคล้าย ๆ กับ พระโสดาบัน นั่นคือ ไม่ใช่เหมือนพระโสดาบัน คล้ายกัน พระโสดาบัน ท่านตายไม่ตกนรกฉันใด คนที่สร้างพระพุทธรูปขนาดนี้แล้ว กำลังใจมีปีติมาก ตายชาตินี้ไม่ลงนรก

แต่ว่าชาติต่อไป ถ้าเกิดทำกรรมใหญ่ คือ บาปใหม่ นี่จะลงนรกได้ แต่พระโสดาบันไม่ลงนรกต่อไป ขึ้นชื่อว่า เป็นการยันตนเอง ไม่ให้ลงนรกชาตินี้ไว้ได้ ถ้าชาติต่อไปได้มีโอกาสพบองค์สมเด็จพระจอมไตร หรือพระอรหันต์ ได้ฟังเทศน์แล้ว ก็สามารถจะต่อ เดินทางไปได้ ไม่ลงนรกต่อไป ก็รวมความแล้วเป็นอันว่า เมื่อท่านบอกอย่างนี้แล้ว ท่านก็หายไป

จับใจความได้ว่าคนที่สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ และชำระแล้ว เป็นอันว่า ชาตินี้ลงนรกยาก เพราะกำลังปีติที่สร้างพระใหญ่ ปีติจะฟูอยู่ในใจ ภาพพระจะดำรงใจ เวลาใกล้จะตาย จะมีนิมิต คือ พระพุทธรูป

เอาละ บรรดาท่านทั้งหลาย เรื่องราวทั้งหลายวันนี้ ก็ต้องของดไป เพราะเวลานี้ หมดเวลาแล้ว มันดึกมาก ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


4

จุไรชมเขาพระสุเมรุ


ท่านผู้ฟังทั้งหลาย และท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับคืนนี้ คำว่า คืนนี้ นี่หมายถึง การบันทึก บันทึกเวลากลางคืน วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๒ อีกเวลาไม่กี่นาที ก็จะสิ้นปีเก่า ถึงปีใหม่ ก่อนหน้านี้ก็จะขอกล่าวคำโมทนาสักนิดหนึ่ง นั่นก็คือว่า เมื่อตอนที่แล้วมา ได้พูดถึงคณะ ร.อ.เจี๊ยบ ชื่อจริง ๆ อาตมาก็ไม่ทราบ ลืม จำได้แต่เรียกกันเจี๊ยบ ๆ ๆ ก็เลยเรียกเจี๊ยบไป แต่ไม่ใช่ลูกไก่ เป็นลูกคน

เธอพร้อมด้วยคณะ ช่วยซื้อที่ตั้งพัดฐานานุกรรม กับกรอบใบแต่งตั้งฐานานุกรมรวม ๗ ชุด ชุดละ ๒,๖๐๐ บาท เป็นเงินทั้งหมด ๑๘,๒๐๐ บาท นี่ขอโมทนาความดีของเธอ แต่บรรดาท่านผู้อ่าน หรือท่านผู้ฟัง อยากจะถามว่า การทำบุญการตั้งพัดหรือที่ตั้งพัดก็ดี หรือกรอบใบแต่งตั้ง ใบตราตั้งก็ตาม ไม่เห็นจะมีอานิสงส์เป็นธรรม มีอานิสงส์เป็นโลก แต่ความจริงอาตมาก็จะขอพูดว่า

การทำบุญประเภทนี้ เนื่องด้วยพัดยศที่เรียกกันว่า ยศช้าง ขุนนางพระ มันก็ไม่แปลก แต่ที่แปลกก็คือว่า มีอานิสงส์ นั่นคือว่า อานิสงส์ในปัจจุบันที่เราจะพึงเห็นกัน ทำให้เกิดความชื่นใจกับพระที่รับการแต่งตั้ง เพราะพระที่รับการแต่งตั้งยังไม่เป็นพระอรหันต์ หรือว่าถ้าเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปถึงอรหันต์ก็ตาม ถ้าแต่งตั้งเข้าความปีติ คือ การปีติในใจของท่าน ที่เห็นว่า

บรรดาท่านที่ตั้ง มีความเมตตาปรานี จิตใจของท่านก็ชุ่มชื่น รู้สึกว่า มีกำลังใจปฏิบัติธรรมะมากขึ้น ตามพระธรรมวินัย สำหรับพระฐานานุกรรมก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฐานานุกรม ตามปกติแล้ว ไม่ทราบว่าตัวเองจะได้รับฐานะอย่างนั้น เพราะอยู่ ๆ ท่านผู้บังคับบัญชาก็เลือก ตั้งขึ้นมาเฉย ๆ ในเมื่อไม่ได้คิดไว้ก่อน อาการเกิดขึ้นแบบนั้นก็เกิดมีปีติ คือ ความอิ่มใจ นี่เป็นของธรรมดาสำหรับพระ

ถ้าถือว่า พระ ทำไมอิ่มใจในโลกียวิสัย ก็ถือว่า ท่านยังอยู่ในโลก ความปลื้มใจ ความอิ่มใจที่เกิดขึ้น อย่างพระฐานานุกรมก็ปลื้มใจ อิ่มใจ ในฐานะที่ผู้บังคับบัญชาไว้วางใจ สำหรับพระราชาคณะที่ได้รับแต่งตั้งก็มีความชื่นใจในฐานะที่ได้รับความเมตตาปรานีจากท่านผู้ใหญ่ ถ้าถามว่า ไม่เป็นโลกียวิสัยหรือ ก็ขอตอบว่า ถ้าเป็นโลก ก็เป็น โลกไม่ช้ำ ถ้าเป็นธรรม ก็เป็นธรรมไม่เสีย

ก็หมายความว่า การดีใจ ความปลื้มใจ มีความกตัญญูรู้คุณยินดีในความดีที่ท่านสนองให้ อย่างนี้ โลกไม่ช้ำ โลกมีแต่ความปีติมีแต่ความอิ่มใจ มีแต่ความปลาบปลื้ม มีแต่ความสุข สำหรับบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ ของพระที่ได้รับการแต่งตั้งต่างคนต่างก็ปลื้มใจไปตาม ๆ กัน นี่ว่ากันทั้งทางโลก และทางธรรม มาว่าทางธรรมจริง ๆ

ถ้าเราจะคิดกันไป ยศช้าง ขุนนางพระ ย่อมมีความหมายน้อย สำหรับการมองเห็น แต่ถ้าใช้กำลังวิปัสสนาญาณช่วยนิดเดียว ก็เห็นว่า ท่านที่ได้รับยศ ถ้าท่านองค์ใดไม่เมาในยศ ก็แสดงว่า ท่านองค์นั้นจิตเข้าถึงธรรมมาก ท่านองค์ใดได้รับมีความเมาในยศ ก็แสดงว่า กุศลธรรมกรรมที่สร้างไว้ในกาลก่อนดีมาก แต่เวลานี้ได้รับผล ถึงแม้ตนจะเมาไปบ้าง ก็เมาไม่นาน

เพราะของอย่างนี้ เมาไม่นาน เพราะอะไร เพราะความเมาในยศฐาบรรดาศักดิ์ จะเมาอยู่ครู่เดียว ประเดี๋ยวเดียวก็จะเกิดความรู้สึกว่า เราจะได้ยศขนาดนี้ จะดีขนาดไหน สูงส่งขนาดไหนก็ตาม เราก็แก่ไปทุกวัน ความทุกข์ใด ๆ ที่มีอยู่ ยศก็ไม่สามารถจะคลายความทุกข์ได้ ทุกข์จากความแก่ก็คงมี ทุกข์จากความป่วยไข้ไม่สบายก็คงมี ทุกข์จากความหิวกระหายก็ยังมี

ทุกข์จากความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ยังมี ทุกข์จากความตายก็ยังมาถึง ในเมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ความเมาก็สลายตัว เป็นธรรมะ แต่ใครจะคิดบ้าง หรือไม่คิดบ้างก็ตามใจ นี่พูดถึงอานิสงส์ สำหรับอานิสงส์ของผู้ให้ มีอานิสงส์อย่างไร ถ้าว่าก็ยังไม่ถึงนิพพาน ก็ขอนำพระบาลีที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

ปูชโก ลภเต ปูชํ วนทโกปฏิวนทนํ ถ้าเราไหว้ท่าน ท่านก็ไหว้ตอบ ถ้าเราบูชาท่าน ท่านก็บูชาตอบ

อย่างนี้ สำหรับคนที่สนับสนุน ให้เครื่องตั้งก็ดี ให้กรอบใบตราตั้งก็ดี ซื้อพัดให้ก็ตาม สนับสนุนอย่างอื่นก็ตาม แม้แต่งานฉลอง เป็นการแสดงความยินดีของท่าน นี่มองแล้วดูเป็น โลกียวิสัย ถ้ามองไปอีกทีหนึ่ง ในฐานะที่เราให้เขาไหว้เรา เราก็ไหว้เขา เขาก็ไหว้เรา เราอยากให้เขายิ้มกับเรา เราก็ยิ้มกับเขาก่อน เขาก็ยิ้มกับเรา เราอยากให้เขาก้มศีรษะให้เรา เราก็ก้มก่อน เขาก็ก้มให้เรา

ข้อนี้ฉันใด แม้แต่ความดีที่ท่านทั้งหลายทำเนื่องด้วยยศ ในชาตินี้ก็ดีชาติหน้าก็ตาม ความเป็นมาระหว่างการได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างทันตาเห็น ถ้าไปในชาติหน้า จะมีศักดิ์ศรีใหญ่อย่างคาดไม่ถึง นี่ก็มาว่ากันอย่างย่อ ๆ แล้ววันนี้ก็มี คณะกมล ลืมชื่อ เขาเอาบัญชีไปเสียแล้ว ตอนหลังจะอ่านชื่อประกาศให้ทราบ มาถวายปัจจัยพิเศษ ๑๐,๐๐๐ บาท

ถือว่าเป็นของขวัญวันปีใหม่ หรือส่งปีเก่า รับปีใหม่ แล้วก็มีอีกหลาย ๆ คน มี ขนิษฐา ๑๐๐ บาท แล้วก็มีใครอีกล่ะ พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ประกาศเมื่อวานแล้ว แล้วก็ ด.ญ.บังอร นักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา เอาสตางค์จากแม่ให้กินขนม ทำบุญให้เป็นของขวัญปีใหม่อีก ๑๐ บาท

ความจริงบรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง ความรู้สึกของอาตมาผู้พูด มีความรู้สึกว่า ปีใหม่ ถ้าเราจะส่ง ส.ค.ส. ให้กัน เป็นการส่งความสุข ความจริง พรใน ส.ค.ส. ก็ไม่ค่อยได้เขียนเองกันนัก ไปอ่านชอบใจฉบับไหน ก็ซื้อฉบับนั้นส่งกัน ค่าบัตร ส.ค.ส. ก็เสียสตางค์ ค่าซองก็เสียสตางค์ ค่าแสตมป์ก็เสียสตางค์ ถ้าเราจะมาคิดกันใหม่อย่างเต่าหมื่นล้านปี อาตมาถือว่า สมองอาตมานี้ เป็นสมองเต่าหมื่นล้านปี

เต่าพันล้านปี ท่านเคยเห็น เคยฟังมาแล้ว แต่มาฟังความเห็นของเต่าหมื่นล้านปีดูบ้าง คำว่า ความสุข คือ สิ่งที่เราชอบใจ บรรดาวัตถุทั้งหลายในโลกนี้ เราชอบใจอะไรมากที่สุด คน ก็ถือว่า เป็นวัตถุ สัตว์ ก็ถือว่าเป็นวัตถุ คนที่เรารัก สัตว์ที่เรารัก เราชอบใจมาก แต่สิ่งที่ชอบใจเหนือสิ่งใด สิ่งในใจตลอดเวลา นั่นคือ เงิน

สมมติว่า ถ้าเราจะซื้อบัตร ส.ค.ส. สัก ๓ บาท หรือว่าสัก ๕ บาท หรือ ๑๐ บาทก็ตาม ราคาเท่านั้นเราไม่ซื้อละ เราจะเอาสตางค์สัก ๓ บาท หรือ ๕ บาท ใส่ซองส่งให้กัน บอกว่านี่แหละ ฉันส่งความสุขปีใหม่มาให้เธอ หรือว่าฉันส่งความสุขปีใหม่มาให้คุณ อย่างนี้ท่านมีความเห็นไหมว่า ความสุขจากบัตร กับความสุขจากแบงค์ อย่างไหนจะดีกว่ากัน แต่ว่าท่านทั้งหลายฟังแล้วไม่ต้องปฏิบัติตาม

เพราะว่าเป็นสมองของเต่าหมื่นล้านปี หากว่าท่านปฏิบัติตามด้วย ท่านจะเป็นเต่าไป แล้วก็เต่านานเสียด้วย ตั้งหมื่นล้านปี เป็นอันว่าต่อนี้ไป เรื่องของคนแก่ก็เลิกกัน มาว่ากันเรื่องของเด็ก ๆ ดีกว่าเมื่อตอนที่แล้วมา ปรากฏว่า จุไร โขยกเขยกออกจากสำนักหรือวิมานของ ท่านวิรุฬหก แล้วก็จะไปวิมานของ ท่านท้าวเวสสุวัณดูเหมือนว่า จะยังไม่ถึง ไปกอกแกก ๆ เรื่องปีใหม่เสียฉิบ

แต่ความจริงระหว่างที่พูดนี่ เหลือไม่กี่นาทีก็จะปีใหม่ แต่ก็ไม่เป็นไร ยังอยู่ในเกณฑ์ปีเก่า เก่าแล้วใหม่ งวดนี้ หรือหน้านี้ผสมกันแน่ เป็นอันว่า ปีใหม่จะเข้ามาถึง จุไรก็ยังไปไม่ถึงสำนักของท้าวเวสสุวัณ เดิมทีเดียวไปไหนก็ไปเร็ว จุไรก็อยากจะดูข้างทางว่า ระหว่างที่ผ่านตามทางไปเขาเรียกว่า เขาพระสุเมรุ จริง ๆ แล้ว เขาพระสุเมรุอยู่ที่ไหน ไม่เคยเห็น ก็จึงถามท่านวิรุฬหกว่า

คุณลุงเจ้าคะ อยากจะทราบว่า เขาพระสุเมรุอยู่ที่ไหน หนูขึ้นมาทีไร ไปถึงดาวดึงส์ ก็ไม่พบเขาพระสุเมรุ เกินไปจากนั้น ก็ไม่เคยพบเขาพระสุเมรุ อยู่ในเมืองมนุษย์ก็ไม่เคยเห็นเขาพระสุเมรุ เขาพระสุเมรุอยู่ที่ไหน ท่านลุงก็บอกว่า หนู เวลานี้กำลังลอยตัวอยู่ใกล้ ๆ กับเขาพระสุเมรุ ความจริง คำว่า เขาพระสุเมรุ นี่เป็น นามธรรม เป็นรูปในนาม ฉะนั้น ท่านนักธรรมฟังแล้ว ก็อย่าแปลกใจ คือ

รูปในนามอย่างเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี พระพุทธเจ้าก็ตาม พระอรหันต์ก็ตาม ที่นิพพานไปแล้ว เขากล่าวว่าเป็นนามธรรม แต่ความจริงสิ่งที่เป็นนามนั้น ก็มีรูปอยู่ในนาม อย่างเทวดานี่มีรูป แต่เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ตาเนื้อเห็นไม่ได้ ต้องอาศัยตาทิพย์ ตาทิพย์ ความเป็นทิพย์ของตา เป็นนามธรรม ไม่ใช่ลูกตาเนื้อเป็นทิพย์ ลูกตาเนื้อของเราไม่เป็นทิพย์ แต่ความทิพย์สิงอยู่ข้างใน

เป็นตานามธรรม แต่ตานามธรรมก็มีลูกตา มีรูปเหมือนกัน หากว่าท่านทั้งหลายมีความสงสัยก็โปรดฝึกกรรมฐานด้าน วิชชาสาม คนที่บอกว่า สวรรค์ไม่มี พรหมไม่มี นิพพานไม่มี แต่ความจริง ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่ตั้งใจคัดค้านพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสดงไว้ ท่านตั้งใจปฏิบัติตามเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหมโลก เรื่องนิพพาน เป็นของไม่หนัก

ไม่หนักสำหรับคนที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อพระพุทธเจ้า เราห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เรามีข้าวกินได้ เพราะบารมีพระพุทธเจ้าท่าน ถ้าไม่มีบารมี ก็ไม่มีใครเขาให้ผ้ามาห่ม เพราะไม่มีใครเขาให้ มีที่อยู่อาศัย เพราะอาศัยพระพุทธเจ้า มียารักษาโรค อาศัยพระพุทธเจ้า มีจตุปัจจัยเงินทองใช้เวลานี้เกลื่อนหมด ก็อาศัยพระพุทธเจ้า มีศักดิ์ศรีใหญ่ในฐานะที่เป็นสมณเพศ ก็อาศัยพระพุทธเจ้า

ในเมื่อทุกอย่างสำเร็จมาจากพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานมี ทำไมจึงว่า เฝือ ก็มีหลายคนมาถามว่า นิพพานมีสภาพสูญ ใช่ไหม ก็ต้องขอตอบแทนท่านวิรุฬหกว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ แต่ว่า นิพพานอาจจะสูญ สำหรับคนที่สูญจากนิพพาน นั่นคือ คนที่ไร้ความดี ไม่สามารถตัดสังโยชน์ ๓ ได้ ไม่สามารถตัดสังโยชน์ ๕ หรือสังโยชน์ ๑๐ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สามารถตัดสังโยชน์ ๓ ได้

ก็ไม่เป็นไร พยายามตั้งใจรักษาศีลด้วยความตั้งใจจริง ไม่ละเมิดศีล ระงับนิวรณ์ชั่วคราวได้ สร้างความเป็นทิพย์ของจิตให้เกิดขึ้น ที่เรียกว่า ทิพจักขุญาณ เพียงเท่านี้ ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะไม่สงสัยเรื่องสวรรค์ พรหมโลก และนิพพาน เพราะกำลังใจของท่านมีความสะอาดพอที่จะเห็นนิพพาน ลับลี้ลับไรได้ ถึงแม้จะเห็นอยู่ไกลแสนไกล ก็ยังเข้าใจว่า นี่คือ นิพพาน

แต่ถ้าสร้างกำลังใจของท่านให้ตัดสังโยชน์ได้ ๓ ได้ทรงตัวอย่างนี้ นิพพานเป็นของง่าย ยิ่งสร้างกำลังใจตัดสังโยชน์ได้ทั้ง ๕ อย่าง จะมีความมั่นคง สภาพนิพพานจะแจ่มใสยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พุทธบริษัท ทั้งชายและหญิง และภิกษุ หรือสามเณร ถ้าสามารถตัดสังโยชน์ ๑๐ ได้ ไม่มีเรื่องอะไรจะเถียงพระไตรปิฏก การคัดค้านในพระไตรปิฏกจะไม่มีกับท่านผู้นั้น เพราะท่านรู้จริงเห็นจริง

ตามความเป็นจริงทุกอย่างไม่ใช่เสือกระดาษ อย่างนี้ท่านเรียกว่า เสือกระโดด เสือที่มีรัง ไม่ใช่เดินต้วมเตี้ยม วิ่งก็ได้ สามารถกระโดดก็ได้ กระโดดข้ามนรก เข้าสู่สวรรค์ ไปสู่พรหมโลก กระโดดจากพรหมโลก ไปเข้าเขตนิพพาน หรือถ้ามีกำลังมากถึงขั้นอรหันต์ กระโดดจากมนุษย์ เข้านิพพานทันที เอ้า…เลิกคุยกัน จะหนักสมองเกินไป

ก็จะขอเล่าเรื่องของจุไรต่อไป จุไรก็ถามคุณลุงว่า ในเมื่อเขาพระสุเมรุ เป็นนามธรรม ทำไมจึงเรียกว่า เขา ลุง ก็ถามว่า ลุงเองก็เป็นนามธรรม หลานเองก็ดี คุณป้าน้อยก็ดี ท่านอินทกะทั้งสองก็ดี ที่เดินมาเวลานี้ เป็นนามธรรมทั้งหมด ทำไมหลานจึงเรียกว่า ลุง จุไรก็ตอบว่า ก็หนูเห็นลุงนี่ ลุงก็ตอบว่า ในเมื่อลุงเห็นเขาพระสุเมรุนี่ ต่างคนต่างเห็นกัน สิ่งที่เราเห็นได้ก็ถือว่าเป็น รูป

แต่รูปของนาม คือ คนที่มีตาเนื้อเฉพาะ ไม่สามารถจะเห็นได้ แล้วลุงก็ชี้ให้ดูเขาพระสุเมรุ ใหญ่มาก เขาพระสุเมรุไม่ใช่เป็นหิน สวยสดงดงาม แพรวพราวเป็นระยับ มีต้นไม้ก็เป็น ต้นไม้แก้ว มีใบไม้ก็เป็น ใบไม้แก้ว มีทางขึ้น ทางลง สวยสดงดงาม ราบรื่นทุกอย่าง ไม่มีฝุ่นละออง จุไรเดินมาเดินไป ใกล้เข้าไปๆ เดินอ้อมไปด้านทิศตะวันออก ก็มองเห็นวิมาน วิมานหนึ่ง

ถามคุณลุงว่า เป็นวิมานของใคร ใหญ่มาก และมีวิมานเล็ก ๆ ล้อมรอบมาก ท่านลุงก็บอกว่า นั่นเป็นวิมานของท่านท้าววธตรัฐ จุไร ก็บอกว่า เรายังไม่แวะก่อนได้ไหม ท่านลุงวิรุฬหกก็บอกว่า ไม่เป็นไรหลานรัก ยังไม่ต้องแวะก่อนก็ได้ หลานจะไปไหน จุไรก็บอกว่า หนูอยากจะไปวิมานของ ท้าวเวสสุวัณ เขาลือกันว่าเป็น ยักษ์ เขาเขียนเขี้ยวโง้งเง้งไปหมด คุณลุงเห็นท่านท้าวเวสสุวัณเป็นยักษ์หรือเปล่าเจ้าคะ

คุณลุงก็ตอบว่า เวลาที่เข้าไปใหม่ ๆ หลานเห็นลุงเป็นยักษ์หรือเปล่า จุไรก็ตอบว่า ยักษ์ของลุงน่าเกลียดจริง ๆ พุงปลิ้น ตัวป่องป้อมคล้ายพ้อมที่เขาใส่ข้าว หัวก็โต คอก็สั้นฟันก็ขาว เขี้ยวก็โง้ง ผมก็หยิก ตาก็แดง แต่คุยไปคุยมา เวลานี้สภาพยักษ์ของลุงหายไปหมดแล้ว ลุงเอายักษ์ไปเก็บที่ไหน ลุงก็ยิ้มบอกว่า หลานรัก ภาพนั้นเป็นภาพหลอก หลานเคยได้ฟังว่า

ท้าววิรุฬหกก็ดี ท้าวเวสสุวัณ ก็ดี เป็นยักษ์ ใช่ไหมล่ะ ท้าววิรุฬหก เป็นกุมภัณฑ์ กุมภะ เขาแปลว่า หม้อ อ้วนม่อต้อ ลุงก็เลยทำตามนั้น แต่ความจริง ลุงไม่ใช่ยักษ์ เป็นเทวดา ท่านท้าวเวสสุวัณ ถ้าหลานไปถึงอาจจะพบยักษ์ก็ได้ แต่ว่ายักษ์อย่างนั้น หลานไม่ต้องกลัว เข้าไปใกล้ ๆ จับเขี้ยว ดึงเขี้ยวมาทิ้ง เขี้ยวหลุดไม่เจ็บ เพราะเป็นเขี้ยวปลอม จุไรก็บอกว่า หนูไม่กล้าเจ้าคะ

ท่านลุงวิรุฬหกก็บอกว่า อย่าทำเลย เพราะท่านเวสสุวัณเป็นผู้ใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระโสดาบัน มาก่อนเมื่อก่อนจะตาย เอ้า…เดินทางต่อไปดีกว่า ไปอีกนิดหนึ่ง จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ นั่นทางอะไรน่ะ เป็นทางสี่แพร่ง มองไปในเขตของมนุษย์ ด้านหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นทางค่อย ๆ ต่ำลง ๆ โน้มลงทีละน้อย ๆ และด้านหน้าโน้นเห็นไฟแสงไฟจับท้องฟ้า บริเวณกว้างมาก

และก็ทางอันนี้ ทางด้านหลังเข้ามาเป็นทิศตะวันตก ราบเรียบ ร่มรื่น ขาวสะอาด ด้านซ้ายเป็นด้านเขาชัน ชันขึ้นไป และด้านขวาชันมาก แต่ว่าทางทั้งหมดสวยมาก ลุงก็อธิบายว่า ทางนี้เป็นทางเดินของคน คนทั้งที่ทำความดีและทำความชั่ว เวลาตายแล้ว เดินทางนี้ คือ คนที่มีกำลังบุญน้อย ๆ ต้องเดินทางนี้ หรือคนที่มีกำลังบาปมาก ต้องเดินทางนี้เหมือนกัน

คนที่มีกำลังบาปมากก็จะเดินจากตะวันตกเท่าที่เห็น เดินเรื่อยมาถึงทางสี่แพร่ง เขาจะไม่เลี้ยวซ้าย ไม่เลี้ยวขวา เดินตรงหน้าไป ถ้าเดินตรงลงไปเลย ไม่เลี้ยวขวาด้านหน้าโน้น นั่นแสดงว่า ลงนรกทันทีไปที่กองเพลิงที่หลานเห็นว่าแสงไฟจับท้องฟ้า สว่างไสวมาก แล้วก็ด้านข้างหน้า อันนี้บาปน้อยๆ เป็นประเภท บุญก็ทำ จะไปสำนักของพระยายม อันนี้บาปน้อย ๆ เป็นประเภท บุญก็ทำกรรมก็สร้าง

มีทั้งบุญ ทั้งบาป แต่ทั้ง ๒ อย่าง มีกำลังไม่แรง แต่พวกที่จะไปสำนักพระยายมได้ ต้องมีเทวดา ๔ องค์นำไป ไม่ใช่ไปเอง แต่ท่านที่มาตามลำพังแล้ว ไม่เลี้ยวเดินตรงลงนรกไปเลย จุไรก็ถามว่า คนที่ไปสำนักของพระยายม ต้องลงนรกทุกคนไหม ท่านลุงก็บอกว่า ยังก่อน ยังไม่แน่ เขามีทั้งความดี และมีทั้งความชั่ว มีทั้งบุญ และก็มีทั้งบาป ในเมื่อไปสำนักพระยายม ทรงสอบสวน ถ้าเขานึกออกว่า

เขาทำบุญอะไรไว้สักอย่างหนึ่ง เพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เลี้ยงสุนัขเป็นประจำวันหรือเห็นสุนัข บางครั้งบางคราวมันหิวโหยนำอาหารไปให้ เวลาเขาจะตาย นึกถึงภาพสุนัขที่เขาช่วย เพียงแค่นี้บอกท่านพระยายม ท่านพระยายมจะส่งไปสวรรค์ทันที ไม่ยอมให้ลงนรก ทั้ง ๆ ที่มีบาปอยู่ จุไรก็ถามว่า ในเมื่อเขายังมีบาปอยู่ ถ้าคุณลุงพระยายมท่านไม่ยอมให้ลงนรก ไปสวรรค์ก่อน

ไม่ผิดระเบียบหรือเจ้าคะ ไม่ผิดธรรม ไม่ผิดศีลหรือ ท่านลุงวิรุฬหกก็บอกว่า ไม่ผิดศีล คำว่า ศีล หรือคำว่า ธรรม ก็ตาม ในเมื่อท่านส่งไปรับผลของความดีก่อน ท่านไม่ได้ตัดผลของความชั่ว เรื่องบาปกรรมนำเอามาว่ากันทีหลัง ลงโทษทีหลัง ไปรับผลของความดีก่อน และบุคคลที่รับผลความดีก่อนนี่ ก็ไม่แน่นอนนักว่า จะกลับลงนรกตามกฎของกรรม บาปที่ทำไว้ ก็มีหลาย ๆ คน

เมื่อไปพบพระพุทธเจ้าเข้าฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียว เป็นพระโสดาบันขึ้นไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่ต้องรับผลของบาปต่อไป จุไรฟังแล้วก็พอใจ จึงถามท่านว่า เราจะเลี้ยวขึ้นทางซ้ายดีไหม ซึ่งทางซ้ายเป็นทางชันน้อย ๆ ลาด ๆ ขึ้นไป ทางสวยสดมาก ท่านวิรุฬหกก็บอกว่า หนู เวลาจะขึ้นมาสวรรค์ หนูพุ่งตัวทันทีทันใดถึง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นั่นคือ ยอดเขาพระสุเมรุ

แต่คนที่มีกำลังน้อย ต้องขึ้นช้า ๆ ต้องเดินตามนี้ ถ้าไปตามนั้น ก็ไป สำนักของพระอินทร์ หรือว่าไป พระจุฬามณี ก็ได้ ที่นั่น หนูจะไปไหมล่ะ จุไรก็บอกว่า ถ้าไปตรงนั้นก็ซ้ำกันสิ หนูไปมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นค่อย ๆ เดินไป ไปหาลุงท้าวเวสสุวัณดีกว่า จุไรหันมาถามคุณลุง ท่านวิรุฬหกว่า ถ้าหนูจะเรียกท่านเวสสุวัณว่า คุณลุง นี่จะดีไหม หรือว่าจะหยาบเกินไป เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่มาก

ท่านคุณลุงวิรุฬหกก็บอกว่า ไม่หยาบเกินไป หลานควรจะเรียกว่า ลุง ชาตินี้หนูเป็นเด็ก ไม่เคยเป็นญาติกับท่าน แต่ชาติก่อน หนูเคยเป็นหลานของท่าน คือ แม่ของหนูสมัยนั้น ไม่ใช่แม่ชาตินี้ แม่ของหนูสมัยนั้น เป็นน้องของท่านเวสสุวัณ ถ้าอย่างนั้นเวลานี้หนูจะเรียกท่านว่า ลุง ก็คงไม่ผิด เป็นอันว่า เมื่อไปถึงท่านแล้ว ก็เรียกว่า ลุง ก็แล้วกัน ทั้ง ๕ ท่าน คือ จุไรกับป้าน้อย ท่านอินทกะทั้งสอง ท่านวิรุฬหก

ต่างคนต่างก็ค่อย ๆ เดินชมเรื่อยไป วิมานรอบ ๆ เขาพระสุเมรุมีมาก แต่ว่าจะไม่พาชมละ มันจะช้า ก็เป็นอันว่า พอเข้าใกล้เขตเมือง ๆ หนึ่ง เป็นเมืองที่มีความใหญ่โตมโหฬารมาก ถ้าจะว่ากันไป ก็ใหญ่กว่าเมืองของท้าววิรุฬหก เมืองท่านวิรุฬหกก็ใหญ่โตมโหฬารเหมือนกันมีวิมานนับพัน หรือนับหมื่น ความจริง เฉพาะจุดนั้น ถ้ากระจายไปแล้วทั้งหมดเป็นแสน มาเมืองนี้ก็เช่นเดียวกัน

มองดูวิมานทั้งหมดแล้ว เป็นแสนวิมานไม่ใช่แสนเดียว แต่ดูกลุ่มที่มีความสำคัญ วิมานสวยสดงดงามมาก คือ กลุ่มนี้ ประมาณวิมานเป็นพัน จุไรจึงถามว่า วิมานด้านหน้าเป็นวิมานของใครเจ้าคะ ท่านวิรุฬหกก็บอกว่า นั่นเป็นกลุ่มวิมานที่ท่านเวสสุวัณอยู่ แต่กลุ่มเฉพาะหลาย ๆ พันวิมาน และมีวิมานเด่นหลังหนึ่ง วิมานหลังเด่นนั่นเป็นวิมานของท่านเวสสุวัณ

นอกจากนั้นเป็นวิมานของเทวดาพวกสูงศักดิ์ คือ อินทกะ หรือมหาอำมาตย์ เป็นต้น นอกนั้นที่เลยไปก็เป็นวิมานของเทวดาอันดับต่ำลงไป ก็เรียกว่า เป็นขนาดพลทหารบ้าง นายสิบบ้าง จ่าบ้าง นายร้อยบ้าง นายพันบ้าง นายพลบ้าง จอมพลบ้าง อย่างนี้เป็นต้น เทียบกัน เป็นอันว่าจุไรก็เข้าใจ จึงถามว่า เราจะไปทางไหนดีเจ้าคะ ไปตรงไปหรือจะอ้อม ท่านท้าววิรุฬหกก็บอกว่า

เดินตรงไปหลาน วิมานของท่านเวสสุวัณนั่นเข้าได้ทั้ง ๔ ด้าน เหมือนวิมานของลุง จะเข้าด้านไหนก็ได้ทั้งหมดขยับเคลื่อนตัวไปคราวนี้ไม่เดิน ลอยวิบเดียวถึงหน้าประตูวิมาน หน้าประตูขอบรั้วใหญ่ของวิมาน เวลานั้นจุไรมองไปข้างหน้าก็ปรากฏว่า พบยักษ์ปลอมเข้าอีกแล้ว ยักษ์ตนนี้ไม่อ้วนม้อต่อ สูงตระหง่าน ทรวดทรงสวยสดงดงาม เขี้ยวยาวข้างละหลายวา เขี้ยวโง้งแล้วงอไปงอมา

แล้วหนวดก็ยาว เส้นก็โต ดุบดิบ ๆ ๆ ผมก็กระพือไป กระพือมา กระพือไม่เสมอกัน ตาก็แดงเป็นไฟ หูใหญ่เหมือนช้าง จุไรก็ถามคุณลุงวิรุฬหกว่า คุณลุงเจ้าคะ นั่นใคร คุณลุงก็บอกว่า จะใครอีกล่ะหลานรัก เพราะนั่นคือยักษ์ปลอม ได้แก่ ท้าวเวสสุวัณ

เอาละ บรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย เวลานี้เวลาก็หมดเสียแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/11/11 at 16:04 [ QUOTE ]


5

จุไรชมวิมานท่านท้าวเวสสุวัณ


ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย วันนี้เป็น วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๓ เป็นวันขึ้นปีใหม่ สำหรับรายการนี้ ก็ขอแจ้งข่าวให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททราบว่า เรื่อง การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ที่บอกบุญบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ให้สร้างตามกำลังศรัทธา คือ องค์ละ ๕๐,๐๐๐ บาท ตอนที่แล้วมาได้สร้างพระสำรองไว้ ๖๔ องค์

คือ พระนี่ รุ่นแรกสร้าง ๒๘ องค์ มีเจ้าภาพหมดไปแล้ว และก็ต่อมาสร้างอีก ๑๐๙ องค์ ตามกำลังของเจ้าภาพ หลังจากนั้นก็ยังไม่พอกับเจ้าภาพที่ทำบุญเข้ามา ท่านที่ส่งสตางค์แล้ว ยังไม่มีพระให้ก็สร้างอีก ๖๔ องค์ คิดว่า แต่ปรากฏว่า วันนี้ คือ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๓ ถาม คุณนิรัตน์ เลาหะสุรโยธิน ว่า พระพุทธรูปชำระหนี้สงฆ์ที่มีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทส่งเงินมาแล้วครบถ้วน มีจำนวนเท่าไร

ท่านแจ้งให้ทราบว่า จำนวนจริง ๆ ๙๐ องค์ แต่ว่าเราได้สร้างพระเสร็จไปแล้ว ๖๔ องค์ สร้างเสร็จเป็นปูน แต่ว่ายังไม่ได้ปิดทอง กำลังจะลงมือปิดทอง ก็เป็นอันว่า เมื่อวันที่ ๓๑ ได้บอกว่า ได้สั่งให้เขาทำฐานสร้างพระอีก ๔๐ องค์ มาวันนี้ พิจารณาเห็นว่า ไม่พอแน่ ขอขยายเป็น ๖๐ องค์ การที่ขยายพระไป ๖๐ องค์นั้น สำหรับทุนที่สร้าง ก็เป็นทุนของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ให้มา

ถ้าท่านผู้ใดให้มาก็ปิดทองพระองค์นั้นให้ ถ้าท่านผู้ใดยังไม่ให้มาก็สร้างพระเป็นปูนไว้ก่อนสำหรับองค์พระที่เป็นปูนนี่ สร้างเป็นปูนเสร็จ ทั้งค่าแรงงานและวัตถุ เป็นราคา ๑๐,๐๐๐ บาท ค่าปิดทอง ปิดทองเสร็จ ค่าทองจริง ๆ องค์ละ ๓๗,๐๐๐ บาท และก็ค่าแรงงานปิดทอง องค์ละ ๕,๐๐๐ บาท รวมความว่า ถ้าปิดทองเสร็จ ทั้งค่าทอง และค่าแรงงานปิดทอง ก็หมดไป ๔๒,๐๐๐ บาท ตอนปั้นปูนอีก ๑๐,๐๐๐ บาท

รวมแล้วพระองค์หนึ่งก็ ราคา ๕๒,๐๐๐ บาท นี่ราคาจริง ๆ และก็สำหรับพระทุกองค์ที่สร้างขึ้นมา ก็ต้องทำอาคารวิหารคด เป็นที่ประดิษฐานของพระ ความจริงวิหารคดนี่ยังไม่มีท่านผู้ใดสร้าง แต่ว่า วิหารคดนี่จริง ๆ ห้องละ ๓๐,๐๐๐ บาท สำหรับวันนี้ คือ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๓ ก็มี เดี๋ยวก่อน คุณวิมาลี ศิริประภาชัย กรุงเทพฯ มาตั้งใจบอกว่า

ขอน้อมสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก พระชำระหนี้สงฆ์ ๑ องค์ พร้อมกับสร้างวิหารคด ๑ ห้อง ๓๐,๐๐๐ บาท ก็เป็นอันว่า คุณวิมาลี นี่เป็นรายแรก สร้างพระมาแล้วทั้งหมด ๒๐๐ องค์เศษ ยังไม่เคยมีเจ้าของวิหารคด แต่ละห้อง เพิ่งจะมีห้องนี้เป็นห้องแรก ฉะนั้นการสร้างพระพุทธรูปจึงช้าหน่อย

ต้องขออภัยบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เพราะอันดับแรก ต้องหาเงินมาสร้างวิหารคด เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปก่อน ประการที่สอง ทำคานรองรับพระพุทธรูป และก็ประการที่สาม ต่อไปก็ปั้นพระพุทธรูปด้วยปูน แล้วต่อไปก็ปิดทอง ฉะนั้น องค์พระพุทธรูปจริง ๆ ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทบำเพ็ญกุศลมา ก็หย่อนไป ๒,๐๐๐ บาท ก็มีบางท่านที่ให้ครบมาหรือเกิน

แต่ความจริงบอกไว้ ๕๐,๐๐๐ บาท สำหรับเงินที่ขาดก็ดีหรือค่าวิหารคดก็ตาม เท่าที่ทำมาแล้ว ก็เป็นเงินที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายบำเพ็ญกุศลมากบ้าง น้อยบ้าง ที่ไม่มีเจตนาเฉพาะ คือ ไม่ระบุว่า เงินจำนวนนี้ทำบุญอะไร ก็มาร่วมในการก่อสร้างพระพุทธรูปบ้าง สร้างวิหารบ้าง ตามเรื่อง ตามที่มีความจำเป็น ก็เล่าสู่กันฟังนะ ไม่เป็นไร

ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๑ ลงไปรับแขก ก็ปรารภให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทฟังว่า เวลานี้พระพุทธรูปชำระหนี้สงฆ์สร้างสำรองไว้ ๖๔ องค์ คิดว่าจะเหลือ แต่ว่าในที่สุด กลับไม่พอ เงินเขาเต็มมามาแล้ว ๙๐ องค์ ก็จะต้องสร้างเพิ่มเติมใหม่ ๔๐ องค์ ครั้นมาวันนี้ไปพิจารณาแล้วเห็นว่า บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ส่งยังไม่ครบก็มีมาก ไม่ช้าของท่านอาจจะครบ ถ้าสร้างแค่ ๔๐ องค์ ไม่พอแน่

ต้องสร้างสำรองไว้จริง ๆ ๖๐ องค์ เพื่อเป็นการชดใช้ ชดเชยแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ให้เงินมาแล้วถึง ๙๐ องค์ ยังขาดไป ๒๐ องค์กว่า ๆ และเมื่อวันวาน คือ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ก็ดี วันที่ ๑ มกราคม มีท่านผู้มีได้ฟังเข้าก็มีศรัทธาอย่าง คุณกมล คุณจารุวรรณ นี่ลืมนามสกุล อยู่กรุงเทพฯ บอกว่า ขอทำบุญพิเศษ ๑๐,๐๐๐ บาท

หลวงพ่อจะเอาทำอะไรก็ได้ ก็ขอร่วมในรายการสร้างคานพระพุทธรูป แล้วคุณวิมาลี ศิริประภาชัย กรุงเทพฯ ถวายเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท เพื่อสร้างพระ ๑ องค์ และถวายเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท เพื่อสร้างวิหารคด ๑ ห้อง นี่เป็นรายแรก แล้ว ท่าน พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ถวายเงิน ๕,๐๐๐ บาท เป็นเงินปีใหม่ อะไรก็ได้ ก็ขอรวมในรายการนี้ แล้วก็ พระสามารถ ปั้นพระ ๘ ศอก

ไม่ทราบว่าท่านผู้ใดเป็นเจ้าภาพ ได้ถวายเงินมา ๗,๐๐๐ บาท ขอเอานำเข้าไปสร้างคานพระพุทธรูป ๖๐ องค์นี้ แล้วในเวลาที่คุยกันนั้น ก็มีหลาย ๆ คนรวมกันถวายมา ๒,๓๐๐ บาท ร่วมสร้างคานรองพระ ๖๐ องค์ อาจารย์ธีระชาติ ๕๐๐ บาท คุณปรีชา พึ่งแสง ๕๐๐ บาท คุณละเมียด ผู้จัดการธัมมวิโมกข์ ก็ไม่ทราบนามสกุล เขียนมาให้ แต่ไม่เขียนชื่อด้วยนะ

ถามคนอื่นเขาเลยไม่ทราบนามสกุลถวาย ๒,๐๐๐ บาท เนื่องในวันปีใหม่ แล้ว คุณสุชาดา นี่ถวายมา ๑,๐๐๐ บาท เนื่องในวันปีใหม่ คุณนนทา อนันตวงศ์ ๑,๐๐๐ บาท คุณจันทร์นวล ๑๐๐ บาท คุณปิยะนุช คืนคงดี ๔๐๐ บาท

อาจารย์อัปสร ๑๐๐ บาท คุณขนิษฐา ๑๐๐ บาท อาจารย์นิรัตน์ อีก ๑๐๐ บาท แล้วก็ พรนุช คืนคงดี ถวายเนื่องในวันปีใหม่ ๓,๐๐๐ บาท แล้วก็สร้างเสาในวิหาร ๑ ต้น ๑๒,๐๐๐ บาท

เธอถวายกุศลกับหลวงพ่อและก็สร้างฉัตรยอดมณฑปพระปัจเจกพุทธเจ้า ๗,๐๐๐ บาท ด.ญ.บังอร นักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ๑๐ บาท แล้วก็ คุณจำปี คืนคงดี ๑,๕๐๐ บาท รวมแล้วทั้งหมด เงินที่ได้รับ ถ้าบวกไม่ผิด ถ้าบวกผิดก็ขออภัยด้วยนะ เพราะไม่ได้บวกมา แต่ความจริงมอง ๆ ไป ก็นึกเอาเอง

คิดว่า ถ้าบวกไม่ผิด ก็คงจะเป็น ๑๓๔,๖๑๐ บาท ถูกหรือไม่ถูกก็ไม่รู้ ไม่ถูกก็แล้วไป ก็เป็นอันว่า เงินจำนวนนี้ทั้งหมด ก็เป็นเงินที่บรรดาท่านพุทธบริษัทให้ เนื่องในวันปีใหม่ และเงินจำนวนนี้ทั้งหมด นอกจากเงินประจำ เขาสร้างพระก็ดี สร้างอาคารก็ตาม เหลือนอกจากนั้นทั้งหมด เป็นเงินที่จะสร้างคานรองพระ

คานนี้เป็นคานรองพระพุทธรูป ทั้ง ๖๐ องค์ ยาว เป็นคานขนานกัน วางบนพื้น รองไม่ให้พระพุทธรูปทรุดลงไป นี่มีความสำคัญมาก โดยมาก สำหรับคานนี้ มีทุกจุดที่สร้างมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีใครทำบุญ เพราะอะไร เพราะว่าไม่เคยบอกให้ใครทราบ ในเมื่อไม่บอก ท่านทั้งหลายก็ไม่ทราบ เมื่อท่านทั้งหลายไม่ทำบุญโดยเฉพาะ อาตมาก็เอาเงินที่เขาถวายมาเป็นส่วนตัวบ้าง

รวมกับเงินที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทถวายมาโดยไม่เจาะจง เอามารวมกัน ความจริง สร้างคานเป็นฐานพระพุทธรูปเท่ากับร่วมสร้างพระพุทธรูป ๖๐ องค์ ฉะนั้น ขอบรรดาท่านทั้งหลายที่กล่าวนามมาแล้วนี้ทั้งหมด จงมีแด่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วย จตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มี อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ

ขอทุกท่านปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้น สมความปรารถนา จงทุกประการ ก็เป็นอันว่า เรื่องหนัก ๆ สมองก็ขอผ่านไป เหลือเวลาอีก ๑๘ นาที ตอนนี้ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทฟังเรื่องราวของ จุไร เด็กเล็ก ๆ เอาเรื่องของเด็กเล็ก ๆ มาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าง เป็นผู้เด็กบ้าง เล็กเท่ากันบ้าง เล็กกว่าบ้าง โตกว่ากันบ้าง ฟัง จะได้สบายใจ ถ้าฟังแต่พระพูด ก็จะหนักเกินไป

ก็เป็นอันว่า วันก่อน จุไรก็กำลังเดินทางเข้าไปถึง วิมานของท้าวเวสสุวัณ เวลานั้นก็ปรากฏว่า ท้าวเวสสุวัณออกมารับที่ประตูรั้ววิมาน ที่ดินนะ ประตูรั้วบริเวณของวิมานด้านนอก แต่ภาพที่ท่านท้าวเวสสุวัณแสดงก็คือว่า เป็นยักษ์ แต่ยักษ์ของท่านท้าวเวสสุวัณ รูปร่างลักษณะไม่เหมือน ยักษ์กุมภัณฑ์ ของท่านวิรุฬหก

ของท่านวิรุฬหกนี่เตี้ยม้อต่อ พุงพลุ้ย ตาใหญ่ หัวหยิก ตาแดง แต่ว่า ท่านท้าวเวสสุวัณ นี่เป็น ยักษ์โปร่ง สูงโปร่ง ชะโอดชะอง แต่เมื่อจุไรเข้าไปใกล้ เธอก็มีความรู้สึกตามกำลังใจว่า เวลานี้ถูกยักษ์ปลอมมาอีกแล้ว ยักษ์ทิศใต้ก็ปลอมมาแล้ว มายักษ์ทิศเหนือปลอมอีก เธอจึงหันมาถามท่านลุงวิรุฬหก ถามว่า คุณลุงเจ้าคะยักษ์นี่ปลอมใช่ไหม

คุณลุงก็ตอบว่า ปลอมหรือไม่ปลอม หลานพิสูจน์เองก็แล้วกัน จุไรก็นั่งมองข้างหน้า ก็เห็นว่า เขี้ยวของยักษ์ตนนี้ใหญ่มาก ยาวโง้งเง้ง แล้วก็ม้วนไปม้วนมาได้ นัยน์ตาก็ใหญ่ และใสสะอาด ตาแดงคล้ายกับไฟลุก แล้วก็ดูจมูก จมูกก็โด่ง รูจมูกก็ใหญ่ ริมฝีปากก็สวย หูก็ดี แต่เธอก็มีความรู้สึกว่า ยักษ์ประเภทนี้ คงไม่กินคน เธอก็เข้าไปกราบถามว่า

ยักษ์เจ้าขา อยากจะทราบว่า เป็นยักษ์จริงหรือยักษ์ปลอมเจ้าคะ ยักษ์หัวเราะเสียงดัง แล้วก็เสียงไพเราะ ก็บอกว่า ยักษ์จริง ๆ หลาน จุไรถามว่า เป็นยักษ์ประเภทไหนเจ้าคะ เคยได้ฟังพรรคพวกเพื่อน ๆ เขาพูดมาว่า ยักษ์มี ๓ ประเภท ยักษา ยักษี ยักษาลักหัวปลาให้ยักษี ยักษีลักหัวปลีให้ยักษา แต่ยักษ์ทั้งสองนี่ไม่น่ากลัวนัก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ยักยอก ถามว่า ยักษ์ตนนี้เป็นยักษา หรือยักษีเจ้าคะ

เป็นอันว่า ยักษ์หัวเราะชอบใจ ก็บอกว่า หลานรัก ตัวเล็กนิดเดียว หลานเอ๊ย…จริง ๆ แล้ว ลุงก็อยากจะกินคน ได้กินอย่างนี้ก็อร่อย แต่ว่ามันตัวเล็ก กินไม่อิ่ม จุไรก็ถามว่า ท่านยักษ์เจ้าขา ลุงยักษ์จะกินหนูหมดทั้งตัวหรือลุงยักษ์ก็บอกว่า ถ้าจะกิน ก็ต้องกินหมดทั้งตัว ทิ้งไว้ไม่ได้ เป็นหลักเป็นฐาน เธอก็ถามว่า เวลาจะกินทำอย่างไรเจ้าคะ เขี้ยวอยู่ข้างนอกกัดได้หรือ ลุงยักษ์ก็บอกว่า

เขี้ยวน่ะ โค้งได้ตามใจชอบ งอขึ้นก็ได้ เขี้ยวก็งอขึ้น ม้วนก็ได้ เขี้ยวก็ม้วนตาม ชูลงข้างล่างก็ชูได้
พอชูลงข้างล่าง จุไรก็คว้าเขี้ยวยักษ์ กระชากเขี้ยวมา ปรากฏว่า เขี้ยวหลุด เอามาดูแล้วปรากฏว่า เขี้ยวเป็นขี้ผึ้ง จึงถามว่า ยักษ์เจ้าขา เขี้ยวเป็นขี้ผึ้งอย่างนี้ กัดคนได้หรือ ยักษ์ก็บอกว่า ไอ้เด็กเมืองมนุษย์นี่ มันโกงยักษ์นะ ความจริง เขี้ยวของลุงมันแข็ง แต่ว่าพอเจอะหลานเข้าทำไมกลายเป็นขี้ผึ้งไปไม่ทราบ

สรุปแล้ว คุยกันไปคุยกันมา ลุงกับหลาน ยักษ์ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุยกันนาน ๆ มันจะเหนื่อย คนเขาจะรำคาญ ยักษ์ก็คลายจากความเป็นยักษ์ เป็นเทวดาสวยสดงดงาม จุไรกับน้อยก็กราบ ท่านอินทกะทั้งสองก็แสดงความเคารพ ท่านวิรุฬหกก็แสดงความความเคารพ แสดงว่าท่านท้าวเวสสุวัณนี่ใหญ่มาก เป็นประธานของท้าวมหาราช

หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า หลานรัก ตามลุงมาขึ้นไปบนวิมาน จุไรก็ตามท่านไป น้อยก็ตามไป เมื่อขึ้นไปบนวิมานแล้วก็ปรากฏว่า มีแท่นแพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงามมากสำหรับท่านท้าวเวสสุวัณเองก็มีชฎา มีเครื่องทรงประดับประดาเต็ม มีเพชรแพรวพราว คือ ไม่ได้เป็นเทวดา เหมือนคนจน เหมือนกับคนประเภทที่ไม่รู้อะไร เขียน เขามักจะชอบเขียนกันว่า

เทวดาไม่มีเสื้อ นางฟ้าไม่มีเสื้อ มีแต่สังวาลย์ ประเภทนี้ ก็เป็นอันว่า เป็นการคาดการณ์เข้าไว้ เขาคงจะคิดว่า เมืองเทวดาหรือเมืองสวรรค์ก็ตาม หรือพรหมก็ตาม ไม่หนาวไม่ร้อน มีความสุข ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อ แต่ความจริง ภาพประเภทนั้นมันโป๊เกินไป เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีหิริและโอตัปปะ หิริ ความละอาย โอตัปปะ ความเกรงกลัว

ฉะนั้น ในเมื่อมีความอายประเภทที่กลัวเขาจะนินทา เขาต้องมีเสื้อมีแสง คนที่เขียนเทวดาไม่มีเสื้อไม่มีแสงก็สงสัย เข้าใจว่าคนเขียนคงจะจน คนเขียนคงจะยากจนขนาดตนเองไม่มีเสื้อจะใส่ ก็เลยคิดว่า เทวดาไม่มีเสื้อ นางฟ้าไม่มีเสื้อ รวมความว่า เมื่อจุไรเข้าไปแล้วก็นั่งแท่นที่ลุงชี้ เธอก็บอกว่า แท่นนี้สวยเกินไปเจ้าค่ะ เป็นทองคำ เพชรแพรวพราวเป็นระยับ หนูนั่งไม่ได้

ท่านลุงก็บอกว่า จะต้องนั่งตรงนี้ ตามฐานะ เพราะว่าเมืองเทวดานี้ ไม่มีอะไรจัดสรรไว้ก่อน ไม่ต้องหาเก้าอี้ ไม่ต้องหาแท่น แท่นก็ดี สถานที่ก็ตาม ที่จะมีขึ้นเวลานี้ เป็นไปตามกำลังบุญ ใครมีบุญขนาดไหน นั่งที่ขนาดนั้น แท่นทั้งหลายเหล่านี้ลุงก็ไม่ได้จัดหาไว้ก่อน เมื่อหลานจะเข้ามาถึง แท่นก็ปรากฏเอง ด้วยกำลังบุญของหลาน ก็ถือว่า แท่นนี้เป็นแท่นของหลานก็แล้วกัน

รวมความว่า จุไร เมื่อฟังท่านลุงกล่าวอย่างนั้น ก็ดีใจ นั่งบนแท่น ทีแรกเห็นเป็นแท่นทองคำประดับแก้ว คิดว่าจะแข็ง นั่งแล้วก็นุ่มนิ่ม น่ารัก น่านั่ง มีความสุข และต่อไป อันดับแรก เธอกราบท่านลุง แล้วถามว่า ที่หนูเรียกว่า ลุง นี่มันจะเป็นการก้าวร้าวเกินไป หรือว่าทะนงตนเกินไป หรือว่าตีเสมอผู้ใหญ่เกินไปไหม ท่านลุงก็บอกว่า ถ้าคิดกันถึงชาตินี้ หนูกับลุงก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กัน

ถ้าคิดถึงชาติก่อน ๆ ไปนั้น หนูกับลุงมีความสัมพันธ์กันมาก หนูจะเรียกว่า ลุง นั่นไม่ผิด เพราะแม่ในชาติโน้น เธอไม่ใช่แม่คนนี้ แม่ของหนูในชาติโน้น เป็นน้องสาวของลุง แล้วหนูก็เกิดในครรภ์ของเธอ ฉะนั้น ชาตินี้หนูเรียกว่า ลุง ยังไม่ผิด ถือเอาชาติโน้นเป็นสำคัญ แล้วต่อไป จุไรก็ถามว่า ก่อนที่คุณลุงจะมาเป็นเทวดา ลุงทำอะไรไว้ จึงมีฤทธิ์ มีอำนาจมากขนาดนี้

แต่ว่าที่น่าแปลกใจ หน้าตาของลุงก็ดี สดสวยงดงาม เครื่องแต่งตัวก็แพรวพราวเป็นระยับ แต่ว่าในเมืองมนุษย์เขาเขียนหน้าลุงเป็นยักษ์ ลุงก็บอกว่า คนที่เขียนนั้นเขาไม่เคยเห็นยักษ์ คำว่า ยักษ์ ในที่นี้เขาแปลว่า เทวดา ก็ได้ แปลว่า บุคคลผู้ควรบูชา ก็ได้ เขาแปลไว้ ๒ อย่าง คือ เป็นคนที่มีความดี เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ หรือไม่อย่างนั้นก็แปลว่า บุคคลผู้ควรบูชา เป็นคนที่มีความพอ

ฉะนั้นคนที่เขียน เขาเคยเห็นยักษ์โขน ยักษ์โขนถ้ามีสภาพอย่างนั้นจริง ๆ เธอก็กินอะไรไม่ไหว เพราะเขี้ยวอยู่ข้างนอก ฟันอยู่ข้างนอก รวมความว่า เขาไม่เคยเห็นยักษ์ เขาคิดคำว่า ยักษ์ ต้องดุร้าย แต่ความจริงไม่ใช่ และ ยักษ์ในชั้นนี้ คือ ชั้นจาตุมหาราช เป็นยักษ์ทรงศีล ทรงธรรม จุไรก็ถามว่า การทรงศีล ทรงธรรมนั้น ทรงมาตั้งแต่เป็นมนุษย์ หรือว่ามาทรงที่เป็นเทวดา

คุณลุงก็บอกว่า จะต้องทรงศีล ทรงธรรมอย่างนี้ มาตั้งแต่มนุษย์ เธอก็ถามว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ลุงทำอะไรไว้เจ้าคะ จึงมีทิพยสมบัติมาก รูปร่างก็สวย บริวารก็มาก ลุงก็บอกว่า เอาเป็นอย่าง ๆ นะ ท่านบอกว่า ลุงจริง ๆ นี่นะ ตัวลุงเองนี่ ในสมัยเกิดครั้งนั้นเกิดรุ่นราวคราวเดียวกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม เป็นลูกกษัตริย์ เหมือนกัน

และก็ไปเรียนหนังสือเหมือนกันที่ เมืองตักสิลา เวลาไปก็ไปกัน ๔ คน คือ มีลุง ๑ มีท่านสิทธัตถราชกุมาร ๑ แล้วก็ท่านปเสนทิโกศล ๑ และพันธุรเสนา ๑ ทุกคน ต่างคนต่างเป็นลูกกษัตริย์เหมือนกัน ไปเรียนหนังสือร่วมกัน ถือว่าเป็นเพื่อนรักกันมาก ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ ลุงออกไปหาท่าน ชวนท่านครองประเทศ

คิดว่ามีเรื่องราวกับคนอื่น ท่านบอกว่า ไม่ใช่ แต่ความจริงต้องการจะแสวงหา โมกขธรรม คือ ธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากโลก จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และต้องการเอาธรรมนั้นมาสอนคนอื่น ที่เรียกว่า มหาภิเนษกรมณ์ หรือโพธิภญาณ ลุงจึงกราบทูลท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าบรรลุเมื่อไร มาสอนข้าพระพุทธเจ้าก่อน

หลังจากเมื่อองค์สมเด็จพระชินวรบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงสอนคนระมาตามทาง จนกระทั่งถึงเมืองของลุง ลุงก็ออกไปเฝ้าท่าน พร้อมด้วยบริวาร ไปฟังเทศน์อันดับแรก พอฟังเทศน์จบ ลุงกับคณะที่ไปเกือบทั้งหมดก็ได้ พระโสดาบัน หลังจากนั้นก็ได้อาราธนาสมเด็จภควันต์ เข้าประจำในพระเวฬุวันมหาวิหาร

แล้วต่อมาก็ได้ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าด้วย แก่พระสงฆ์ด้วย ตามลำดับท่านที่อยู่ที่นั้น ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นั่น ถวายทุกวัน ไปเฝ้าทุกวัน ฟังเทศน์ทุกวัน นี่บุญบารมีเบื้องต้นของลุงมีขนาดนี้ การถวายทานเป็นปัจจัยให้ได้ ทิพยสมบัติ ถวายพระเวฬุวันเป็นวิหาร เป็นเหตุให้ได้วิมาน กำลังความเป็นพระโสดาบันของลุง

คือ ทรงฌานสมาบัติด้วย เป็นเหตุให้มีกำลัง เป็นเทวดาทรงอำนาจมาก แล้วจุไรก็ถามว่า ขณะที่ลุงฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าก็ดี ทำบุญก็ตาม และเป็นพระโสดาบันด้วย เวลานั้นถ้าบังเอิญคนที่เขาทำผิดกฎหมาย ลุงจะทำอย่างไร จะต้องตัดสินลงโทษเขา จะบาปไหม ลุงก็บอกว่า เป็นไปตามกฎหมายที่วางไว้ กฎใดวางไว้เป็นหมู่คณะวางไว้ เป็นเรื่องของประเทศชาติ เป็นระเบียบ

ต้องปฏิบัติตาม ถ้าพบใครไม่ปฏิบัติตาม ก็ต้องมีโทษตามนั้น ไม่ถือว่า เป็นการละเมิด ลุงก็บาป จุไรก็ถามว่า เวลาที่ลุงตัดสินเขาน่ะ ให้เขามีโทษ แล้วลุงไม่บาปหรือ ลุงก็บอกว่า กฎหมายลุงไม่ได้ร่างคนเดียว คนหลาย ๆ คนร่วมกันร่างแล้วประกาศให้ทุกคนทราบ เวลาตัดสินลุงก็ให้ผู้พิพากษาเขาตัดสิน ถ้าผู้พิพากษาคนไหน เขาตัดสินตามตัวบทกฎหมาย ด้วยความเป็นธรรม

เขาก็ไม่มีความผิด ไม่บาป แต่ถ้าบังเอิญ เขาตัดสินไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่เป็นไรตามความเป็นจริงนี่ เขาก็บาป ลุงก็ไม่เกี่ยวข้องเหมือนกัน จุไรก็ถามต่อไปว่า เวลาลุงตาย ลุงได้สติสัมปชัญญะพอหรือลุงก็บอกว่า ลุงได้สติพอ เพราะเวลาที่ลุงจะตาย ลุงถูกลูกชายทรมาน คือ อชาตศัตรู อันนี้ว่ากันตามเรื่องนิทานนะ ท่านผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่าน อย่าหาว่าผิด และก็อย่าหาว่าถูก ฟังแล้วก็ฟังไปเรื่อย ๆ

เรื่องของนิทาน คือ อชาตศัตรูเป็นกบฏ ทรยศต่อลุง แย่งราชสมบัติ แล้วก็ทรมานลุง ขังคุก ต่อมาให้อดข้าว เมื่อลุงยังเดินจงกรมได้ อยู่ด้วย ธรรมปีติ แม้จะอดข้าวก็ไม่ตาย ผิวพรรณยังผ่องใส ในที่สุดเขาก็เฉือนเท้าไม่ให้เดิน ลุงก็มีความเจ็บปวดมาก แต่จิตใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้า ด้วยความเมตตาปรานีขององค์สมเด็จพระชินสีห์

ลุงก็มีจิตใจชุ่มชื่น ปวดน่ะมันปวด หลาน แต่ลุงก็ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ว่า คนเราที่เกิดมาทุกคน มันมีสภาพเหมือนกัน ฐานะจะต่างกัน แต่สภาพจริง ๆ เหมือนกันหมด นั่นคือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เหมือนกันทุกคน ทุกคนเกิดมาใหม่ ๆ ก็เป็นเด็กเหมือนกน ต่อมา ก็เป็นเด็กใหญ่บ้าง เป็นหนุ่มเป็นสาวบ้าง เป็นวัยกลางคนบ้าง เป็นคนแก่บ้าง ในที่สุดก็เป็นคนตาย

และการถูกทรมานร่างกายต่าง ๆ มีทุกขเวทนา ก็เหมือนกันทุกคน จะเป็นกษัตริย์ เป็นข้าราชบริพาร หรือจะเป็นเศรษฐี คหบดี คนยากจน มีสภาพเหมือนกัน ไม่แตกต่างกัน เอาละ หลานนัก หลานก็คุยกันมานาน ลุงก็เป็นคนแก่ คุยนานก็มักจะเหนื่อย ยืนนาน ๆ เมื่อกี้ มันก็เมื่อย

มานั่งก็ยังไม่หายปวดขา ตอนนี้ขอพักประเดี๋ยวนะ ขอพักให้ลุงเปลี่ยนอิริยาบทสักประเดี๋ยวเดียวค่อยคุยกันใหม่ ต่อนี้ไป ขอให้ทุกคนมีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล ปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาด้วยกันทุกคน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/11/11 at 13:24 [ QUOTE ]


6

ความเป็นมาของการสวดภาณยักษ์


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็ฟังความเป็นมาของการเทศน์ภาณยักษ์หรือว่าสวดภาณยักษ์ ก็เป็นอันว่า เรื่องราวต่าง ๆ ก็เป็นของ จุไร กับท่านท้าวเวสสุวัณ ตามเดิม เป็นอันว่า เมื่อท่านลุงท้าวเวสสุวัณ คลายจากความเมื่อย ความปวด

แต่ความจริงท่านผู้ฟังอาจจะสงสัยว่า เทวดาไม่มีทุกขเวทนาแบบนี้ ทำไมเรื่องนิทานเรื่องจึงบอกว่า มีความเมื่อย ความปวด ก็ต้องขอบอกให้ทราบว่า นี่เป็นนิทาน แต่ความจริงเวลามันหมด จะไปบอกอย่างนั้นว่า หมดเวลา กำลังใจก็เสีย หาจุดจบไม่ได้ จึงบอก ปวดไป เมื่อยไป ก็หมดเรื่องราวกัน ก็เป็นอันว่า ในเมื่อเวลาปรากฏขึ้นมาใหม่ ก็ขอนำความเป็นมาจากเรื่องภาณยักษ์

เรื่องภาณยักษ์นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทได้ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง ต่างคน ต่างก็เล่าลือกันว่า การสวดภาณยักษ์ มีความสำคัญ ถ้าสวดเมื่อไร คนที่ถูกคุณไสยก็ตาม ผีเข้าเจ้าสิงก็ตาม เขาจะอยู่ไม่ได้ จะต้องออกจากร่างกายของคนนั้น แต่ว่าพิธีกรรมการสวดภาณยักษ์ต้องมีพิธีกรรมให้ถูกต้อง ถ้าจะถามคนเล่านิทาน ก็ตอบว่า ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะคนเล่านิทานนี่ เป็นคนเคยแต่เพียงว่า

ไปเทศน์เรื่องภาณยักษ์ แต่พิธีกรรมต่าง ๆ นี่เป็นเรื่องของเจ้าภาพท่าน แต่ผลที่เป็นมาจริง ๆ ที่เวลาเขาสวดภาณยักษ์ พระท่านสวดกัน การสวดภาณยักษ์ต้องเลือกพระเฉพาะพระพิธีกรรม คือ มีความเข้าใจในบทสวดทั้งหลายเหล่าจริง ๆ และก็สวดกันน่าตื่นเต้นมาก ผีออกจริง ๆ คนที่ถูกผีเข้าสิงเจ้าสิงวิ่งพล่านไป วิ่งพล่านมา บางคนก็ดิ้น บางคนก็ร้อง บางคนทั้งร้อง ทั้งดิ้น ประเดี๋ยวก็หายไป

เมื่อเลิกแล้วปรากฏว่า หายหมด ทุกคนบอก สบายขึ้นมาก ความเป็นมาของภาณยักษ์ เป็นมาอย่างไร ก็ฟังลุงกับหลานคุยกัน เป็นอันว่า จุไร ก็ถามท่านลุงว่า คุณลุงเจ้าคะ หนูเคยไปกับแม่ไปที่วัด ๒-๓ แห่งด้วยกัน เมื่อปีที่แล้ว ปรากฏวัดทั้งหลายเหล่านั้นมีพิธีกรรม สวดภาณยักษ์ แต่ผลพิธีกรรมสวดภาณยักษ์ ไม่ค่อยจะเหมือนกัน วัดแรกมีความศักดิ์สิทธิ์มาก

เพราะว่า เวลาสวดภาณยักษ์จริง ๆ เสียงพระที่สวดน่ากลัวมาก เสียงกระแทกกระทั้น เสียงดังกึกก้อง ตกใจ หนูเองฟังแล้วยังหวั่นไหวในเสียงของพระ แต่สิ่งที่อัศจรรย์คือว่า คนที่นั่งในศาลาทั้งหมด ทีแรกก็นั่งกันเงียบ พอพระสวดถึงบทตอนสำคัญ เสียงกระแทกกระทั้นมาก ๆ หนักเข้า คนบางคนหรือหลาย ๆ คน ลุกขึ้นวิ่งบ้าง บางคนก็นอนดิ้น ร้องบ้าง ดิ้นแล้วก็ร้อง ร้องแล้วก็ดิ้น

บางคนก็สิ่งไป บางคนก็ชัก ดิ้นพราด ๆ ในที่สุด เมื่อพระสวดจบ คนทั้งหลายเหล่านั้น ก็สงบและทุกคนก็บอกว่า มีความสุข บางคนก็บอกว่า คล้าย ๆ กับอะไรออกจากร่างกาย ซู่ซ่า บางคนออกอย่างแรง บางคนก็ออกเรียบ ๆ แต่ว่าในที่สุด ทุกคนบอกว่า มีความสุขหมด มีความสบายมาก หนูอยากจะทราบความเป็นมาจริง ๆ ของเรื่องภาณยักษ์

คำว่า ภาณยักษ์ นี่หมายความว่าอะไร คือว่า เขาพูดกัน ๒ คำ ภาณยักษ์ ด้วย และก็ภาณพระ ด้วย หนูมาเห็นลุงทั้งสองคือ ท่านลุงวิรุฬหกก็ดี ท่านลุงท้าวเวสสุวัณก็ดี ท่านทั้งสองในตอนต้นท่านเป็นยักษ์ แสดงตัวโต ๆ ใหญ่ หน้าตาใหญ่ ดุดัน ฉะนั้นคำว่า ภาณยักษ์ เป็นพานใส่ของของยักษ์ใช่ไหมเจ้าคะ

ท่านลุงเวสสุวัณฟังแล้วก็ยิ้ม บอกว่า หลาน คำว่า ภาณยักษ์ เป็นภาษาบาลี ไม่ใช่ภาษาไทย บาลีน่ะ ภาณ ตัวนี้แปลว่า พูด ยักษ์ ก็คือ ยักษ์ คำว่า ภาณยักษ์ แปลว่า ยักษ์พูด ต่อมาในตอนที่สอง เรียกว่า ภาณพระ ภาณพระ ก็คือ ตอนพระพูด จุไรก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ ของเรื่อง การสวดมนต์ภาณยักษ์ กับภาณพระ เป็นอย่างไรเจ้าคะ เห็นพระท่านสวดกันยาวมาก

ท่านลุงก็บอกว่า การที่พระสวดยาว ๆ เป็นการเล่าเรื่องในตอนต้นให้ฟัง เล่าความเป็นมาของภาณยักษ์ ตอนยักษ์พูด และตอนภาณพระ ตอนพระพูด แต่ตอนบทจริง ๆ ที่ใช้เนื่องในการภาณยักษ์หรือภาณพระ นี่ก็คือบท วิปัสสิส ใน ๗ ตำนาน บทนี้บรรดาพระเณรทั้งหลายในวัดได้กันหมด หรือคนที่รักษาศีลอุโบสถ ที่เขาอยู่วัดกัน เขาก็สวดกันได้

จุไรก็ถามว่า บทวิปัสสิสนี้ สวดแล้วมีผลอย่างไรเจ้าคะ ลุงก็บอกว่า บทวิปัสสิส เป็นบทสวด แสดงความเคารพพระพุทธเจ้า เป็นต้น แต่ว่าบุคคลใด ถ้าสวดไว้ เจริญไว้ ต้องสวดต้องเจริญแบบปกตินะ ไม่ใช่สวด ไม่ใช่เจริญแบบประเภทไล่ผี ขับผี ถ้ามีเจตนาร้าย ผีจะเกลียด ถ้าสวดไว้เป็นแบบปกติ ผีจะไม่รบกวน เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ จะไม่รบกวน

เธอก็บอกว่า สวดอย่างไรเจ้าคะ สวดตามปกติ สวดด้วยความเคารพ ท่านก็เลยบอกว่า ก่อนที่จะสวด ก็ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย พระธรรมด้วย พระอริยสงฆ์ด้วย เทวดา กับพรหมทั้งหมดด้วย และก็สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าเป็นต้น เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น หนูก็อยากจะทราบความเป็นมา บทวิปัสสิส นี่

ถ้าไปถามพระองค์ไหน องค์นั้นก็รู้ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านลุงก็บอกว่า ใช่ เธอก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ เป็นมาอย่างไร ท่านลุงจะเล่าให้ฟังได้ไหม ท่านลุงก็บอก ถ้าหลานต้องการจะฟังลุงจะเล่าให้ฟัง คือ บทภาณยักษ์ หรือภาณพระ นี่เป็นเครื่องความเป็นมาของลุงเอง ท่านก็เล่าความเป็นมาว่า

ความเป็นมาจริง ๆ มีอย่างนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท คนที่หวังมรรค หวังผล มีความสุข หวังไม่ต้องการความเกิด แก่ ตาย ในวันหน้า หมายความว่าร่างกายนี้ตายแล้วก็แล้วกัน ไปนิพพาน

จะถึงนิพพาน หรือยังไม่ถึงก็ตาม ก็ตั้งใจปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพ ทุกคนเมื่อปฏิบัติตามนี้ มักจะนั่งในที่สงัด อยู่ในป่าชัฏบ้าง อยู่ในป่าช้าบ้าง อยู่ในเรือนว่างเปล่า อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าเมื่อคนทั้งหลายตั้งใจทำความดีเพื่อตัดกิเลสแบบนี้ ก็ยังมีบรรดาภูติผีทั้งหลายก็ดี เทวดาบางพวกก็ดีที่ไม่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เขาจะกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า เขาก็ทำไม่ได้

ก็เลยหาทางกลั่นแกล้งลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า คือ คนที่ปฏิบัติความเพียร อยู่ในที่สงัด เข้าไปแสดงตัวให้ปรากฏบ้าง ส่งเสียงร้องคำรามบ้าง ทำให้กลัว หรือนั่งใกล้ ๆ ทำให้ขนลุกซู่ซ่า ทำให้กลัวบ้างอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเหล่านั้นมีความหวาดหวั่นไม่สามารถจะบำเพ็ญบารมีหรือไม่สามารถจะบำเพ็ญฌานสมาบัติเป็นการตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน

ลุงก็มีความเห็นว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ตั้งใจทำความดี แต่เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี ผีที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี กลั่นแกล้งแบบนี้ เป็นการไม่ชอบธรรม ในฐานะที่ ลุงเป็นท้าวจตุโลกบาล คือ ลุงกับคณะ คือ ลุงเอง ๑ ท้าวเวสสุวัณ ๒.ท่านท้าววิรุฬหก ๓. ท่านท้าววิรูปักข์ ๔. ท่านท้าวธตรฐ ทั้ง ๔ คนนี้มีหน้าที่รักษาชาวโลก คือ ชาวมนุษย์โลก ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกัน ช่วยเหลือ

ถ้าเขาสร้างความชั่ว ก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้ ก็อดใจไว้ แล้วก็มีหน้าที่ ต้องบันทึกความดีหรือความชั่วของคน ทั้งการพูด การคิด การทำทุกอย่าง ใครทำความดี ใครทำดี ใครพูดดี ใครคิดดี ก็จดบันทึก ใครคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ก็บันทึก ตอนนี้จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาพูดก็ดี เขาทำก็ดี

ย่อมเป็นสิ่งที่ปรากฏ แต่ตอนเขาคิดในใจนี่ ลุงรู้ได้อย่างไร ท่านท้าวเวสสุวัณ ก็บอกว่า เทวดาทุกองค์ นางฟ้าทุกองค์ หรือพรหมทุกองค์ ร่างกายเป็นทิพย์ และก็มีจิตใจเป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์นี่ สามารถรู้การเคลื่อนไหว ความรู้สึกของคนได้ทุกอย่าง แล้วจุไรก็ถามว่า คนมีมาด้วยกัน ทั้งโลก ไม่ใช่ล้าน สองล้าน นับเป็นพันล้าน แล้วลุงคนเดียวจะรู้ได้อย่างไร

ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงคนเดียวที่จะต้องรู้ ผู้ที่รู้อันดับแรกก็คือ ภูมิเทวดา ภูมิเทวดา ที่ชาวบ้านตั้งศาลให้นั่นแหละ เขาเป็นคนรู้ เป็นเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขต เป็นจุดแคบ ๆ แล้วท่านผู้นี้ไม่ต้องไปนั่งจ้อง คิดว่า ใครจะทำโน่น ใครจะทำนี่ ใครจะคิดอะไร ไม่จำเป็น รู้เอง

เมื่อเขาคิดดี ก็ขึ้นบัญชีดี ความคิดขึ้นบัญชีเอง เมื่อเขาคิดชั่ว ความคิดนั่นก็ขึ้นบัญชีชั่ว แต่ว่าไม่ใช่แผ่นทองคำหรือแผ่นหนังสุนัข เพราะว่า เมืองเทวดาไม่มีสุนัข ไม่สามารถจะเอาหนังสือมาเขียนได้ เป็นอันว่า มีบัญชีของเทวดาก็แล้วกัน ถ้าพูดไป หลานจะงง หลังจากนั้น ในกลุ่มหนึ่งของภูมิเทวดาหลาย ๆ องค์

ก็มีอากาสเทวดาชั้นจาตุมหาราช ไปคุม ๑ องค์ ถึงเวลาวันโกนหรือวันกลางเดือน หรือวันสิ้นเดือน เขาก็นำบัญชีมาให้เทวดาชั้นจาตุมหาราช ชั้นจาตุมหาราชก็นำบัญชีทั้งหมด เท่าที่ได้รับมา แต่ละหน่วย ๆ มาให้เทวดาที่เป็นมหาอำมาตย์รองจากอินทกะ หลังจากนั้นท่านมหาอำมาตย์ก็มอบให้ท่านอินทกะ

ท่านอินทกะก็มอบให้ลุงแจ้งให้ทราบ ลุงก็แยกบัญชี ส่วนบัญชีส่วนไหนเป็นความดี แจ้งไปดาวดึงส์ ให้เทวดาไปมอบให้ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร เป็นเลขาของพระอินทร์ แล้วท่านปัญจสิกขเทพบุตร ก็อ่านประกาศในวันที่ประชุมเทวดา และนางฟ้า บัญชีที่ทำบาป ลุงก็ส่งไปให้พระยายม แต่ความจริงบัญชีพระยายนั้นมีทั้งบัญชีทำความดี และบัญชีทำความชั่ว

ทั้งบุญ และบาป ส่งไป ๒ อย่าง เหมือนกัน ก็เป็นอันวา ลุงรู้ตามนี้ จุไรฟังแล้วก็นั่งงงคิดไม่ออกว่า ความเป็นทิพย์ ทำไมมีการคล่องตัวมาก แต่ก็ไม่ถาม เธอก็ย้อนถามมาว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงเจ้าคะ ขอเล่าเรื่องความเป็นมาของภาณยักษ์ก็แล้วกัน ท่านลุงก็บอกว่า ในเมื่อเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี ภูติผีปีศาจต่าง ๆ ที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี คอยกลั่นแกล้งลูกศิษย์พระพุทธเจ้า

ลุงเองในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ลุงเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ ก็มีความจำเป็น ต้องหาทางสงเคราะห์คนพวกเดียวกัน คือ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า จึงได้ประชุมท่านท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ คือ ท่านท้าวธตรฐ ท่านท้าววิรุฬหก ท่านท้าววิรูปักข์

เวลานี้ท่านทั้งสามก็มาอยู่ร่วมกันที่นี่แล้ว ก็เป็นอันว่า ในเวลานั้น เมื่อประชุมกันเสร็จก็หารือกันว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราจะช่วยคนที่เขาตั้งใจทำความดีสร้างบุญสร้างกุศล เราจะทำอย่างไร ในที่สุด ทั้งสี่ท่านก็มีมติเห็นชอบพร้อมกันว่า เราจะสร้างบทสวดมนต์ขึ้นบทหนึ่ง บทสวดมนต์นี้มีการสรรเสริญพระพุทธเจ้า เป็นต้น เมื่อสร้างบทสวดมนต์แล้วเสร็จ

แล้วก็สั่งประชุมเทวดาทั้ง ๔ ทิศ ให้ประกาศให้ทราบว่า ทุกคน เทวดาหรือนางฟ้าทุกองค์ จะนับถือพระพุทธเจ้าหรือไม่นับถือก็ตาม อันนี้ไม่รับทราบ ให้พึงทราบว่า ถ้าบุคคลใด เขาสวดมนต์บทนี้อยู่ด้วยความตั้งใจดี ไม่ใช่กลั่นแกล้ง ไม่ใช่ขับเทวดา ไม่ใช่ขับผี เมื่อเขาไปอยู่ที่ไหนก็ตาม พอเริ่มต้นปั๊บ

ก็สวดมนต์ตั้งแต่ นโม ตสส เรื่อยไป และขั้นต่อไปก็สวดบทนี้ ด้วยความเคารพ ถ้าหากว่า ท่านผู้ใดเขาสวดมนต์บทนี้อยู่ ไม่ใช่สวดทั้งวันนะ เอาแค่จบเดียวก็พอ ก็ห้ามบรรดาเทวดากับนางฟ้าทั้งหมด และภูติผีปีศาจทั้งหมด ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ คนที่เขาเจริญมนต์แบบนี้ บทวิปัสสิสนี่นะ

ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ ห้ามไปล้อ ไปเลียน ห้ามไปหลอก ไปหลอน ห้ามไปกลั่นแกล้ง ถ้าเทวดาหรือนางฟ้า หรือภูติผี ท่านใดฝ่าฝืน ท้าวมหาราชทั้งสี่จะปรับโทษ ในฐาน กบฎ เอาโทษหนักในเมื่อลุงประชุมเทวดากับนางฟ้าทั้งหมดแล้ว ลุงทั้งสี่ก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินสีห์ แล้วกราบทูลความเป็นมาเรื่องนี้ให้ทราบ ตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้าขืนย้อน ๆ ไป

มันจะช้าจะเนิ่นนานรำคาญ ขณะที่ลุงกราบทูลพระพุทธเจ้า ตอนนี้เขาเรียกว่า ภาณยักษ์ ซึ่งเขาลือว่า ท้าวเวสสุวัณนี่เป็นยักษ์ เขาจึงได้เขียนรูปเหมือนยักษ์ แต่ยักษ์ที่เขาเขียนมันไม่เหมือนยักษ์ที่ไหน ไม่ว่ายักษ์ที่ไหนจะมีเขี้ยวออกนอกปาก เป็นเขาวัว เขาควายแบบนั้น กัดใครไม่ได้ เขี้ยวยักษ์ ไม่ใช่เขี้ยวขวิด เขี้ยวยักษ์เป็นเขี้ยวกัด ในเมื่อทำเขี้ยวโง้งออกจากปาก จะกัดได้อย่างไร

อ้าปากมันไม่หุบเขี้ยว เขี้ยวไม่อยู่ในปาก ก็รวมความว่า ขณะที่ลุงเป็นผู้แทนของท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ ปกติเวลาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ลุงเองเป็นผู้กราบทูลแทน ท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ ท่านไม่พูด เป็นแต่เพียงยอมรับว่า ท่านร่วม เมื่อขณะที่ลุงรายงาน ขอให้พระพุทธเจ้าส่งมนต์บทนี้ให้แก่บรรดาสาวกทั้งหมด แจ้งให้ทราบว่า มนต์นี้ ถ้าใครสวดขึ้นแล้วก็ตาม

คำว่า สวด ให้สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ไม่ใช่ตั้งใจขับผี ขับสาง ถ้าสวดมนต์บทนี้อยู่หรือสวดแล้วก็ตาม ในวันนั้นไม่ใช่ต้องนั่งสวดกันทั้งวัน ก็เป็นอันว่า ผีก็ดี เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ไม่สามารถจะเข้ามานั่งใกล้ ไม่สามารถจะกลั่นแกล้ง ไม่สามารถจะล้อเลียน ไม่สามารถจะหลอกได้ ถ้าใครฝ่าฝืนจะต้องถูกท้าวมหาราชทั้งสี่ลงโทษ ฐานกบฎ

เป็นอันว่า ตอนนี้ลุงรายงานให้ท่านทราบ เขาเรียกว่า ภาณยักษ์ ต่อมาเมื่อลุงกลับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเรียกพระประชุม เล่าความเป็นมาอย่างนี้ทั้งหมด ให้พระรับทราบ และแนะคำสวดมนต์ทั้งบทให้พระทั้งหลายสาธยายคือให้ท่องให้จำได้ แล้วก็ซ้อมพร้อมกัน ตอนนี้ท่านเรียกว่า ภาณพระ คือ พระพูด พระ คือ พระพุทธเจ้าพูด

ก็เป็นอันว่าเรื่องราวภาณยักษ์ กับภาณพระ เป็นมาเท่านี้เองหลานรัก แล้วจุไรก็ถามว่า เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกว่า เรียบ ๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าหนูมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่ง คุณปู่เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มีพระองค์หนึ่ง ไปอยู่ในเขต เขาวงพระจันทร์ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในวัด ท่านปลูกกระท่อมอยู่ในป่า พระองค์นี้เป็นพระเสียงดัง ท่าทางห้าวหาญ หนูจำชื่อท่านไม่ได้

แต่ไม่ขอบอกชื่อ เพราะเกรงว่าจะไปตรงกับชื่อพระองค์ใดองค์หนึ่งเข้า จะหาว่ากล่าววาจาเสียดสี เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอกล่าวปฏิปทาของท่าน เพราะว่าท่านทราบมาจากคนแก่ คนเก่า ๆ หรือพระเก่า ๆ เคยเล่าให้ฟังว่า บทวิปัสสิสนี้ ถ้าสวดเสียงดังขนาดไหน ผีก็ดี เทวดา หรือยักษ์ร้ายก็ตาม ที่จะกลั่นแกล้ง จะต้องอยู่สุดปลายเสียงโน้น

ขณะได้ยินเสียงอยู่นี่ อยู่ไม่ได้ ต้องหนีไปให้พ้นเสียง ฉะนั้น ตอนเช้าก็ดี ตอนกลางวันก็ดี ตอนเย็นก็ดี ตอนกลางคืน หัวค่ำก็ดี ตอนดึกก็ตาม ตอนเช้า ตื่นเช้าท่านจะสวดบทวิปัสสิส สวดเสียงดังมาก เลยต้องอยู่คนเดียว คนอื่นเขารำคาญ ตอนกลางวันก็สวดเสียงดัง ตอนเย็นก็สวดเสียงดัง พอค่ำไปหน่อยก็สวดเสียงดัง ตอนดึกก่อนจะนอนก็สวดเสียงดัง สวดอย่างนี้ทุกวัน

แต่ปรากฏว่า มีวันหนึ่ง ตอนเย็นประมาณ ๔ โมงเย็นเศษ ใกล้จะ ๕ โมงเป็นเวลาที่พระองค์นี้สวดมนต์ แต่แทนที่จะได้ยินเสียงสวดมนต์ กลับได้ยินเสียงพระองค์นี้ร้อง โอ๊ย…ๆ ๆ ตายแล้ว ๆ ๆ กลัวแล้ว ๆ โอ๊ย… เสียงลั่นห้อง เสียงก้องไปในป่า ปรากฏว่า พระที่อยู่ไม่ไกลนัก หรือชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินเสียงท่าน ต่างคนก็ต่างวิ่งไปที่กระท่อมนั้น คิดว่า ใครมาทำร้ายร่างกายพระองค์นี้

แต่เมื่อทุกคนเข้าไปถึงประตูห้อง ก็ต้องผงะ เพราะเห็นบุคคลคนหนึ่ง ตัวสูงมาก หัวแค่ขื่อ นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดหัวผ้าสีแดง แล้วก็หวายท่อนใหญ่ ตีพระองค์นี้ หวดอย่างขนาดหนัก เมื่อทุกคนเข้าไปที่นั่น ไปยืนอยู่ก็ยังตีอยู่ พอดีพระองค์หนึ่งท่านได้สติ ท่านยกมือไหว้ บอกว่า ท่านขอรับ ขออภัยเถิด หยุดแค่นี้เถิดขอรับ ท่านผู้นั้นก็หันมา แล้วก็หยุด

แล้วก็ถอยหลังไปนิดหนึ่ง แล้วก็เอามือชี้หน้าอาจารย์องค์นั้น องค์ที่ถูกตี แล้วก้าวขึ้นขื่อหายไป
ก็เป็นอันว่า อยากจะทราบว่า คุณลุงเจ้าคะ ในเมื่อพระองค์นี้สวดขนาดนี้ ทำไมถูกเทวดาตี หนูคิดว่าเป็นเทวดา ท่านลุงบอกว่า การสวดแบบนี้ไม่ใช่สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าโดยตรง เป็นการตั้งใจขับผี ขับเทวดา ที่นี้เทวดาที่เขาดี เป็นสัมมาทิฐิเขาก็มีมาก

แล้วผีก็เหมือนกัน ที่เป็นสัมมาทิฐิก็มีมาก มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าก็มีเยอะ ที่เป็นมิจฉาทิฐิมีน้อย การสวดแบบนั้นตั้งใจขับทั้งหมด ไม่เจาะจงเฉพาะที่เป็นมิจฉาทิฐิ และเจตนาจริง ๆ ก็ต้องการขับผี ขับเทวดา ฉะนั้น ในเมื่อโอกาสพึงมี เขาก็ต้องลงโทษ เป็นการสั่งสอนว่า ไม่ควรจะทำอย่างนั้น จุไรก็บอกว่า โอ้โฮ…การลงโทษหนักหนาเหลือเกินนะคะ

คุณลุงท่านบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดา แต่เขาตีท่านไม่ถึงตาย เพราะเทวดาฆ่าคนให้ตายไม่ได้ เธอก็ถามว่า เทวดาผ้าแดง นุ่งแดง ใส่เสื้อแดง ผ้าคาดหัวแดง มีที่ไหน ท่านลุงท่านก็บอกว่า หลานรัก มองไปดูข้างหลังซิ พอมองไปเห็นข้างหลังลุง เป็นร้อยเป็นพันเลย นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดผ้าสีแดง ทุกคนเห็นจุไรแล้วก็ยิ้ม แล้วมีท่านหัวหน้าองค์ใหญ่ ๆ บอกว่า

หลานรัก ลุงนี่ตามปกติก็มีเพชรเต็มตัวเหมือนกัน แต่ว่ายามที่ออกปราบปราม ท่านที่เป็นศัตรูกับพุทธศาสนา ก็ใช้สีแดง หรือมิฉะนั้น ถ้าบุคคลใดเขาจะตาย ถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือนำไปสำนักพระยายม ก็ต้องใช้ชุดนี้ ถ้าอยู่ตามปกติ ลุงก็อาจจะนุ่งกางเกงในเฉย ๆ ก็ได้ แต่เวลาเข้าเฝ้าพระอินทร์ ต้องแต่งเต็มยศ

ท่านพูดแล้ว เครื่องเต็มยศก็ปรากฏขึ้น มีชฎาแหลมเปี๊ยบ รูปร่างคล้ายพรหม จุไรก็ยกมือไหว้ จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาลือว่า เทวดาสีแดง มีฤทธิ์มากใช่ไหม ท่านลุงก็บอกว่า มีฤทธิ์มากพอสมควร ไม่เกินวิสัยของลุง เพราะว่าลุงตายจากความเป็นคน ก่อนจะตายลุงได้ฌานสมาบัติ แต่ว่าเวลาจะตายไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ จึงไม่ได้เป็นพรหม มีจิตเป็นกุศล แต่ไม่ถึง

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงรู้จัก เลขหวย ไหมคะ ท่านลุงก็บอกว่า เรื่องเลขหวยน่ะหลาน ลุงรู้ทั้งหมด รางวัลไหนจะออกเลขอะไร รู้หมด แต่มันบอกไม่ได้ ตามระเบียบ ถ้าต้องการเลขหวยให้แม่นจริง ๆ ก็ถามลุงท้าวเวสสุวัณก็แล้วกัน ท่านเวสสุวัณหันมาโบกมือบอก อย่ายุ่ง ๆ ซิ ไปยุให้เด็กขอหวยฉัน ฉันก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นกฎของกรรม

ก็เป็นอันว่า จุไรกับท่านลุงก็คุยเรื่อง ภาณยักษ์ ท่านลุงก็บอกว่า การสวดภาณยักษ์หรือเทศน์ภาณยักษ์นะหลานรัก เขาต้องทำพิธีให้ถูก ถ้าการทำพิธีไม่ถูก ไม่ต้อง ก็ไม่มีการศักดิสิทธิ์ จุไรก็ถามว่า การศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้นเพราะอะไร ท่านท้าวเวสสุวัณก็บอกว่า ถ้าเขาทำถูกตามพิธีกรรม เขาเชิญเทวดาด้วยความเคารพ

เขาตั้งศาลบวงสรวงด้วยความเคารพ เขามีเครื่องสังเวยถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อความเป็นสุขของคน และต้องการผลการปฏิบัติดี คือ การฟังเทศน์เรื่องนี้ เพราะเทศน์เรื่องนี้มีข้อปฏิบัติที่ดี ๆ มีมาก ตั้งใจให้ทุกคนมีความสุข โดยศีล โดยธรรม อย่างนี้ เทวดาชุดแดงเขาไปช่วย จุไรก็หันไปถามคุณลุงหัวหน้าบอก คุณลุงเจ้าคะ คุณลุงไปทุกงานหรือ

ท่านลุงก็บอกว่า หลาน งานไหนทำถูก งานนั้นลุงไป ถ้างานไหนทำไม่ถูก งานนั้นลุงไม่ไป จุไรก็ถามว่า ถ้าจะทำให้ถูกอย่างไร ลุงก็บอกว่า ไม่ใช่วาระที่จะถามลุงในเวลานี้นะ เพราะว่าพิธีกรรมต่าง ๆ ทุกคนต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เขามีระเบียบปฏิบัติอยู่แล้ว ทำด้วยความเคารพจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ทำเป็นการค้า ถ้าวัดไหนต้องการทำเพื่อการค้า หวังได้เงินอย่างเดียว ขายข้าว ขายของ

อยากได้เงิน อย่างนั้นลุงก็ไม่ไปช่วย ตามที่ลุงพูดกับท่านท้าวมหาราชเมื่อสักครู่นี้ว่าบางวัดก็มีผล บางวัดก็ไม่มีผล วัดที่มีผล เขาตั้งใจเป็นกุศลจริง ๆ จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ลุงจะบอกพิธีกรรมได้ไหม ท่านลุงก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงเสียแล้ว จุไรจึงหันมาถามท่านท้าวเวสสุวัณว่า คุณลุงเจ้าคะจะบอกพิธีกรรมได้ไหม ท่านลุงก็บอก บอกได้ แต่ลุงคิดว่า ไม่บอกดีกว่า เพราะพิธีกรรมเขามีอยู่

ถ้าบุคคลใดต้องการอยากจะรู้ ต้องการอยากจะทำ ก็เข้าไปหาเจ้าพิธีเขา เจ้าพิธีเขาจะบอก เขาจะบอกวัตถุต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธีกรรมด้วย จะบอกลีลาที่จะปฏิบัติในพิธีกรรมด้วย จะได้ช่วยทำถูกต้อง เอาละ หลานรัก ตอนนี้คุยกันเรื่องเดียว หมดเวลาพอดีนะ ตอนนี้หมดเวลาตอนที่ ๒ นี้แล้ว ก็ขอยุติไว้ก่อน

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน ผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/12/11 at 08:40 [ QUOTE ]


7

ดาวหลุมดำ ตอนที่ ๑



ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้เป็นวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๓๓ ที่บอกวันที่ก็เพราะว่า คราวนี้มีเรื่องพิเศษ เรื่องพิเศษที่จะพูดให้ฟังก็คือว่า เป็นเรื่องนิทาน ขอให้นามว่า เรื่องดาวหลุมดำ คำว่า ดาวหลุมดำ นี้ เป็นดวงดาวหนึ่งที่เป็นหลุมดำ

คำว่า ดาวหลุมดำ นี้ เป็นดาวดวงหนึ่งที่เป็นหลุมดำ ๆ ที่มีเหตุเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็เพราะว่า เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๓ ได้ไปที่กรุงเทพฯ เพื่อจะไปซอยสายลมก็ไปแวะที่ดอนเมือง บ้าน พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต คุยกันถึงเรื่องอื่นเสร็จ ท่านพล.อ.อ.อาทร ก็ปรารภว่า ตอนนี้ฝรั่งกำลังสนใจเรื่องดาวหลุมดำ

นั่นก็หมายความว่า ดาวดวงนี้เป็นหลุม เวลาที่ดาวดวงต่าง ๆ เข้าไปใกล้ มันก็ดูดเข้าไปหมด แสงสีต่าง ๆ ที่เข้าไปใกล้ มันก็ดูดเข้าไปหมด แสงก็มองไม่เห็น เมื่อท่านพูดแบบนี้ ก็มีความรู้สึกว่า ดาวหลุมดำนี้มีความร้อนสูงพอสมควร แต่ความร้อนไม่สูงเท่าดวงอาทิตย์ อย่าเข้าใจว่าสูงมากขนาดนั้น

ในกาลต่อมา ก็กลับมาจากบ้าน พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต มาถึงที่ซอยสายลม ก็มาพบ หมอมนตรี ซึ่งมาคอยอยู่ก่อน ความจริงหมอมนตรีนี่ เป็นหมอสำหรับรักษาโรคประสาท หมอมนตรี นามสกุล อมรพิเษฐ์กุล ท่านเป็นหมอรักษาโรคประสาท ก็เป็นอันว่า คนนี้ดี อาตมายอมรับนับถือ ต้องมีหมอประเภทนี้ไว้ก็เพราะว่า

ว่าง ๆ บางทีโรคประสาทมันเกิดขึ้นได้ ถ้าหากว่าบังเอิญ มันจะบ้าเพราะโรคประสาท ขอญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโปรดทราบว่า ไม่ต้องหนักใจ เพราะมีหมอมนตรีคอยรักษาอยู่แล้ว ถามหมอมนตรี หมอมนตรีก็บอกว่า ไอ้โลกหลุมดำ มันเป็นหลุมครับ เวลาดวงดาวต่าง ๆ เข้าไปใกล้ มันดูดหายเข้าไปหมด

แสงสีต่าง ๆ ก็ดูดหายเข้าไปหมด ก็มีสภาพเหมือนกันกับท่าน พล.อ.อ.อาทร ที่บอกมา ก็เลยไม่ได้กรณีพิเศษ มาเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๓ อาตมาเป็นโรค มีหนองที่รากฟันความจริงตั้งใจจะถอนทิ้ง ไอ้ของเลว ๆ อย่างนี้ไม่เคยสนใจมัน แต่ทว่า บังเอิญ พ.ต.นพ.นพพร และก็ พญ.เตือนใจ กลิ่นสุภา สองสามีภรรยา

สำหรับ นพ.นพพรนั้น เป็นหมอศัลยแพทย์ ผ่าตัด แพทย์หญิงเตือนใจเป็นแพทย์ฟัน เป็นทันตแพทย์ สองตายายบอกว่า อย่าถอนทิ้งเลยหลวงพ่อ เอาไว้ก่อน ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ค่อยถอนทิ้ง ก็เลยบอกว่า ถ้ามีการรักษาอย่างหลวงพ่อไม่เสียสตางค์ และก็ไม่เสียเวลามากจะรักษา ถ้าต้องเสียสตางค์ด้วย ต้องเสียเวลาด้วยจะไม่รักษา

เพราะของเลว ๆ อย่างนี้ ไม่อยากจะเอาไว้ เพราะเคยถอนทิ้งไปแล้ว เธอก็ยืนยันบอกว่า ไม่เป็นไรหนูจะจัดการให้ รักษาให้เอง รู้สึกว่าสำหรับหมอฟันก็มีหมอจำนูญ อีกคนหนึ่ง มาสนใจสงเคราะห์อยู่เสมอ ๆ เป็นคณะเหมือนกัน เป็นอันว่าหมอคนนี้เป็น ดร.จำนูญ ชื่อชักจะจำไม่ค่อยได้ ทีแรกเธอบอกว่า ถ้าอาการอย่างนี้ต้องไปที่คลีนิกบ่อย ๆ

ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน การที่จะไปคลีนิกก็ไปไม่ไหว เพราะคนคนเดียว งานมันก็มาก ทิ้งวัดทิ้งวาไม่ค่อยได้ ไม่ได้ห่วง แต่ว่าเสียดายศรัทธาของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เป็นอันว่า หมอเตือนใจก็มาชำระรากฟันให้ มีหมอโอ๋รับอาสาขับรถมาส่ง หมอโอ๋นี้ชาวบ้านเขาเรียกกันที่สำนักงาน ชื่อ อาจารย์บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์

แต่อาตมาเรียกหมอโอ๋ เพราะเธอชอบเป็นหมอ เป็นคนขับรถมาให้ ขณะที่เขากำลังจัดการกับฟัน เอาเหล็กเข้าไปแคะฟัน ไปแคะหนอง มันเคยเสียวบางครั้งก็เคยปวด ตอนนี้ก็มาคิดว่า ประเดี๋ยวมันจะเสียว ประเดี๋ยวมันจะปวด เอาอย่างนี้ดีกว่า

เราเป็นคนที่ไม่มีความหมาย ถือว่าร่างกายนี่ไร้สาระ ฉะนั้นร่างกายมันจะตายเชิญมันตายไปตามชอบใจ แต่ก่อนที่มันจะตาย เราไปก่อนมัน ก็จับ อานาปานุสสติ นิดหน่อย จิตก็ตกวูบลง ถึงอารมณ์ละเอียด เวลานั้นก็เห็นท่านผู้มีคุณมากมายมาล้อมอยู่มาก ลอยอยู่ข้างบน คุยกับท่านเพลิน

ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปเสียให้ร่างกาย ร่างกายจะเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องของร่างกาย จิตใจอย่าไปสนใจกับมัน คำว่า ไปห่าง คือ ใจไม่สนใจ หมอเขาทำหน้าที่ของหมอ เป็นเรื่องของหมอเขาไป เรื่องการเจ็บ การป่วย การเสียว เป็นเรื่องของร่างกาย ปล่อยมันไปเราไม่สนใจในมัน

พอท่านพูดเท่านั้น จิตก็ตกวูบอีกครั้งหนึ่ง มีความหวิวนิดหนึ่ง ปรากฏว่า ร่างกายไปอยู่ที่ที่ใดที่หนึ่ง ที่เขาเรียกว่ากันว่า แดนอมตะ คือ แดนที่ตายไม่เป็น พอไปถึงที่ตรงนั้นก็ไปนั่งแบบสบาย ๆ คิดว่า บ้านหลังนี้สวย เป็นเพชรแพรวพราวเป็นระยับ

เครื่องแต่งกายเราก็สวย มีเครื่องประดับประดาสวยสดงดงามทุกอย่างมันเบาหมด ดีหมด ความหนักใจนิดหนึ่งก็ไม่มีในแดนนี้ เขาเรียกว่า แดนอมตะ ตอนนี้ ขอท่านผู้อ่านก็ดี ท่านผู้ฟังก็ดีโปรดทราบว่า เป็นอามรณ์เคลิ้ม ฉะนั้น เรื่องที่เล่าให้ฟังต่อนี้ไปทั้งหมด เป็นเรื่องนิทานทั้งหมด แต่ชื่อหมอเป็นคนจริง ๆ และความเป็นมาของหมอที่ให้รักษา

ก็เป็นเรื่องจริง แต่ท้องเรื่องต่อไปทั้งหมด เป็นเรื่องนิทาน ขณะที่นั่งสบายอารมณ์อยู่ตรงนั้น ก็ปรากฏว่า มีท่านสุภาพสตรีคณะหนึ่ง เป็นหญิงล้วนไม่มีกระเทยปน กระเทยก็ไม่มี ชายก็ไม่มี แต่หญิงก็แปลก ไร้เพศภาวะความเป็นหญิง แต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับเข้ามาใกล้ ขึ้นมาบนอาคารที่พัก ก็เลยลุกขึ้นจากที่ ทีแรกเอนกายอยู่

ก็บอกว่า นี่เธอออกไปให้พ้นนะ ฉันต้องการอยู่คนเดียว ฉันไม่ต้องการให้มีอารมณ์อื่นเข้ามายุ่งกับฉัน ฉันถือว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโต สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ขึ้นต้น มหาสติปัฎฐานสูตร แปลไม่ได้ ใครอยากจะแปล ก็แปลเอาเอง รวมความว่า ฉันต้องการอยู่คนเดียว อารมณ์จิตจะสงบ เธออย่าเข้ามายุ่ง

เธอที่เป็นหัวหน้าแทนที่จะโกรธ เธอกลับยิ้มเธอบอกว่า ในดินแดนแห่งนี้ คนทุกคนที่อยู่ที่นี่ ต้องไม่มีคำว่า หนักใจ คำว่า หนักใจ หมายความว่า ความไม่พอใจ ต้องไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเต็มไปด้วยความสดชื่น มีอารมณ์เป็นอมตะ คือ อารมณ์ไม่ตาย ไม่ตายจากความสุข ต้องมีอารมณ์เบา อารมณ์เยือกเย็น

ฉะนั้นคนที่นี่จะนั่งคนเดียวหรือจะนั่งหลายคนก็ต้องมีอารมณ์เหมือนกัน ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาข้อง ฟังเธอพูด ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง เธอก็พูดถูก อาตมาผู้พูดนี่เป็นพระ แต่ความจริง พระถ้ามีกังวลมันก็ไม่ใช่พระ อันนี้ไม่ได้ด่าใครนะ ด่าตัวเอง นึกในใจว่า เราถ้าเป็นพระ ถ้ามีกังวลก็ต้องไม่ใช่พระ ทีนี้คนพูดเขาเป็นชาวบ้านธรรมดา

เขาเป็นผู้หญิง เขายังสามารถทำอารมณ์อย่างนั้นได้ เราก็ต้องทำได้ มันจะไม่ได้มาก ประเดี๋ยวหนึ่ง ก็เอา ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เธอเข้ามาเถิด คุยกันได้ แต่ต้องแค่คุยกันนะ อย่ายั่วกันนะ ถ้าขืนยั่ว ไม่แน่นะ เดี๋ยวอาจจะวางแก่ทิ้ง เธอก็บอกว่า ที่นี่ไม่มีคำว่า ยั่ว ต้องตรงไปตรงมา ก็ถามว่า เธอมาทำไม

เธอก็บอกว่า เห็นนั่งคนเดียว แล้วก็โง่คนเดียว แหม...นี่มันชมถนัดหน้า นั่งคนเดียว โง่คนเดียว ก็เลยถามเธอว่า ทำไมจึงโง่ เธอก็บอกว่า ความโง่มันมีอยู่ ทำไมไม่รู้จักคำว่า โง่ หรือ ก็บอกว่า โง่ น่ะรู้จัก คือ โง่นี่ไม่รู้อะไรจริง เธอก็ถามว่า จักรวาฬทั้งหมดรู้จักแล้วหรือยัง แหม...เล่นถามตอนนี้ ยังนึกในใจว่า ยายคนนี้ถึงแม้จะสวย ก็สวยเถิดวาจาจะเพราะ ก็เพราะไปเถิด

ถ้าเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ตบหกคะเมนเก็งเก้ไปแล้ว ไอ้พูดแบบนี้ แต่ตอนนี้มันแก่แล้ว สู้เขาไม่ไหว ก็เลยต้องเอา แก่ยิ้ม ๆ อย่างแก่ ๆ ยิ้ม แล้วก็ถามว่า เธอเห็นหรือว่า ฉันโง่ที่ไหน เธอก็ถามใหม่ว่า จักรวาฬทั้งหมด รู้จักแล้วหรือ ก็เลยตอบว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จักรวาฬเล็ก ๆ ฉันยังรู้จักไม่หมดเลย เธอถามว่าจักรวาฬไหน

ก็บอกเธอว่า จักรวาล คือ ร่างกายของฉัน อวัยวะทั้งหมด ฉันไม่เคยเห็นหน้ามันชัด ถ้าใช้กำลังของจิต ในอารมณ์ของกรรมฐาน ก็เห็นเป็นเงา ๆ บ้าง เห็นชัดเจนบ้างบางส่วน แต่บางส่วนก็ไม่เห็น เธอก็บอกว่า จักรวาฬภายในฉันไม่ต้องการ ฉันต้องการจักรวาฬภายนอก

ก็ถามเธอว่า หมายถึงอะไร เธอก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รู้จักแดนพรหมไหม ก็เลยบอกว่า ก็บอกว่า นี่ โง่ มันต้องดูแดนพรหม มองต่ำลงไป ก็มองตามเธอ มองต่ำลงไป เห็นแดนพรหมยาวเหยียด เป็นแดนกลุ่มใหญ่มาก แพรวพราวสวยสดงดงาม เธอถามว่า พรหมนี่มีความสุขหรือ ว่าความทุกข์ ก็ตอบเธอว่า

พรหมไม่มีความทุกข์ แต่พรหมไม่สิ้นทุกข์ นั่นคือหมายความว่า ต้องเกิด พรหมที่เป็นโลกียวิสัย เป็นฌานโลกีย์ต้องกลับไปเกิดใหม่ มีทุกข์หนัก แต่พรหมที่เป็นพระอริยเจ้า ขั้นพระอนาคามีขึ้นมา หวังนิพพาน ก็ยังทุกข์ เพราะยังต้องปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุมรรคผลเบื้องสูง หรืออรหันต์

เธอก็ตอบว่า ถูก หายโง่ไปนิดหนึ่งแหมมันน่าจะชมมาก ๆ ต่อไปเธอก็ถาม ดูแดนสวรรค์แล้วหรือยัง มองเยื้องไปนิดหนึ่งเห็นแดนสวรรค์เกลื่อนกล่นมากมาย ร้องรำทำเพลง มีความรักกัน ระหว่างเทวดากับนางฟ้า มีผัวมีเมีย มีลูกที่ไม่ได้ดูดเต้า นั่นก็หมายความว่า เวลามีลูก ลูกไม่ได้เกิดในสวรรค์ ไม่ต้องเลี้ยงด้วยนม

เธอก็ถามว่า เทวดากับนางฟ้ามีความสุข หรือความทุกข์ ก็ตอบเธอบอกว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดีไม่มีทุกข์ แต่ก็ไม่สิ้นทุกข์ ท่านที่ไม่สามารถจะไปนิพพานได้ ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอีก เธอก็ตอบว่า ถูก หายโง่ไปอีกหน่อย

แหม...เมื่อไรจะชม ฉลาดเสียทีก็ไม่ทราบ ยายคนนี้ชมคนไม่เป็น เธอก็ถามต่อไปว่า ต่อนี้ไป ดูจักรวาฬต่ำจากเทวดา นางฟ้าต่ำจากสวรรค์ลงไปต่อไปก็ดู เห็นไอ้ลูกมะนาวบ้าง ส้มเขียวหวานบ้าง มันลอยเกลื่อนในอากาศ ลูกเล็ก ๆ ลอยเกลื่อนอยู่ห่าง ๆ ก็เป็นระยะ ๆ ห่างกันบ้าง ไกลบ้าง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ห่าง ๆ กัน ไม่ติดกันแต่ว่ามันอยู่เป็นชั้น

ที่สูงกว่ามี เลื่อนต่ำลงมาก็เยอะแยะ เต็มจักรวาฬ เต็มอาการไปหมด ก็ถามเธอบอกว่า ไอ้ลูกผลส้ม นี่ใครเขาทำหล่นไว้ เธอก็ยิ้ม เธอก็บอกว่าที่ฉันพูดว่า ไม่หมดโง่ นี่มันเป็นอย่างนี้ นี่แหละโง่หนักละ ถามว่า ทำไม

เธอก็ตอบว่า ไอ้นั่นที่เห็นเป็นผลส้มลอยในอากาศ ไม่ใช่ผลส้ม นั่นคือ เป็นจักรวาฬต่าง ๆ ที่เราเรียกกันว่าดวงดาว มันลอยอยู่เป็นตะปุ่มตะป่ำ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เห็นดาวพฤหัสไหม ก็เลยบอกเธอว่า เห็น นั่นใหญ่เบ้อเริ่มเบ้อเร่อ แต่ยังอยู่ต่ำลงไปมาก

เธอบอก ดูผิวมาถึงที่สุด สุดของขอบจักรวาฬเบื้องบน เรียกว่า ขอบที่สุด สูงที่สุดก็แล้วกัน นั่งอยู่ตรงนั้น ถือว่า มันอยู่ใกล้ที่สุด ก็เห็นดวงดาวใหญ่ ๆ มันใหญ่มาก จะเอาดาวพฤหัสเข้ามาเปรียบเทียบ นี่เป็นไปไม่ได้ ดาวพฤหัสยังเล็กกว่าเยอะแยะ ก็มีพระท่านนั่งใกล้ ๆ พระใหญ่ท่านนั่งใกล้ ๆ

ท่านบอก ลูกเอ๊ย ดาวดวงนี้ล่ะนะถ้าจะเทียบกับดาวพฤหัส ดาวดวงนี้ต้องเปรียบเหมือนช้าง ดาวพฤหัสต้องเปรียบเหมือนหมู แต่หมูต้องเป็นตัวไม่โต คือ ด้านหลังของหมู ต้องสูงไม่เกินตาตุ่มของช้าง ลองเปรียบเทียบดูซิว่า มันใหญ่กว่ากันเท่าไร ดาวขนาดใหญ่ประเภทนี้ มีหลายดวงเธอบอก เอาเฉพาะจุดนี้ก่อน อย่าโง่มากเกินไป

ยายนี่แปลกจริง ๆ แกชมคนว่า ฉลาดไม่ได้ ไอ้เราก็อยากให้ชมเสียที ไม่ยักชม แปลกจริง ๆ แหม หนักใจ ถ้าเป็นมนุษย์ด้วยกัน ตบหกคะเมนไปแล้ว เอ...ถ้าเป็นมนุษย์แก่ ๆ ก็ไม่กล้าตบเขาเหมือนกันนา ประเดี๋ยวเขาจะหลบ แค่เขาหลบ เราก็หัวทิ่มพื้น มันจะตายเปล่า ๆ ก็รวมความว่า

เธอก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ดูเฉพาะดาวดวงนี้ ที่มันต่างกับเขา ดาวดวงโน้นที่มันห่างไป เป็นดาวกลมใช่ไหม เป็นลูกผลกลม ก็บอกว่า ใช่ เธอถามว่า โตไหม ก็บอกว่า ถ้าจะเปรียบกันนะ ไอ้ลูกผลส้มที่ลอยในจักรวาฬต่าง ๆ มันมีอุปมาเหมือนมะนาว หรือส้มเปลือกบาง แต่ไอ้ลูกนี้ ๒-๓ ลูก นี่มันโตขนาดพ้อม

เธอก็บอกว่า ใช่มันใหญ่กว่ากันมาก ที่มนุษย์บอกว่า ดาวพฤหัสโตน่ะ ความจริงยังเล็กมากเกินไป เธอก็บอกว่า ดวงต่าง ๆ ไม่เอา เอาไอ้ดวงนี้ ดาวราหูนี่ พระท่านบอกว่า เธอ ทำไมจึงเรียกว่า ดาวราหู

เธอก็ตอบว่า ดาวดวงนี้ มันมีครึ่งดวง มันเหมือนกับผลส้มที่ถูกตัดกลาง หรือว่าเหมือนมีกระทะครอบลง มันมีโพรงข้างใน แต่ด้านบนนี่เป็นพื้นแผ่นดิน พื้นแผ่นดินหนาหลายโยชน์ แต่มีความเขียวชะอุ่ม มีทะเล มีมหาสมุทร มีแม่น้ำ มีคน อะไรทุกอย่าง เธอพรรณนา แต่ว่าตอนนั่งตอนนั้นไม่เห็น เห็นเป็นจุดดำ ๆ

และก็ถือว่า ในบางโอกาส ไอ้ลูกผลส้มที่มันลอยเข้ามาใกล้ในรัศมี มันก็ผลุบหายเข้าไปในท้องดาวดวงนี้ พระท่านก็บอกว่า ดาวดวงนี้ควรจะเรียกว่า โลก ถ้าเรียกว่า ดาว เด็ก ๆ เขาจะเฝือ เธอถามท่านว่า เรียกว่าโลกอะไร ท่านเรียกว่า ชินโลก ชินโลก คือ โลกที่มีความชนะ ไม่แพ้ใคร

นั่นก็หมายความว่า โลกประเภทนี้ในจักรวาฬทั้งหมด ไม่มี มีโลกนี้โลกเดียว ที่มีรูปร่างลักษณะแบบนี้ ก็กราบเรียนถามพระท่านว่า ลักษณะจริง ๆ ของโลกนี้เป็นอย่างไร ท่านบอก โลกนี้ มีสภาพเหมือนกระทะครอบ กระทะวาง เอาตูดกระทะ เอาท้องกระทะขึ้นข้างบน เอาหัวกระทะลงข้างล่าง

ข้างในมันจะเป็นโพรง และความกว้างใหญ่ไพศาลของมัน กว้างใหญ่ไพศาลมาก ถ้าจะนับจักรวาฬเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่ อย่างจักรวาฬมนุษย์ จักรวาฬของเราอยู่นี่ เวลานั้นไม่มีความหมายเลย มองดูจักรวาฬนี้ มันเหมือนกับมะนาวลูกเล็ก ๆ มันจิ๋วมาก ถ้าจะไปเทียบกับดาวพระศุกร์ โลกพฤหัส โลกพระอังคาร มันเทียบกันไม่ได้

เป็นอันว่าโลกที่เราเลือกอยู่ เป็นโลกที่แคบ ๆ ทำความสะอาดได้ง่าย อย่างนี้ถ้าใครเป็นนายกเทศมนตรี ก็สบายเป็นเทศบาลโลกมนุษย์ แคบๆ ก็เป็นอันว่า ถ้าเปรียบเทียบกัน มันใหญ่กว่ากันมาก ท่านก็ถามว่า ถ้าจักรวาฬที่ลอยอยู่ ถ้ามันจะไหลเข้ามาในท้องของดาวดวงนี้หรือโลก ๆ นี้ ก็ไม่รู้กี่ร้อยดวง มันถึงจะเต็ม

ก็ต้องนับพันดวง แสนดวง แต่ท่านก็บอกว่า ตามที่มีคนเขาเห็น เขาลือกันในโลกมนุษย์ ท่านบอก ท่านได้ยิน ท่านบอกว่า มีนักวิทยาศาสตร์พวกหนึ่ง คนหนึ่ง แกเป็นคนทุภพลภาพ ไม่ถึงกับไปไหนไม่ได้ ไปได้แต่เดินไม่ถนัด แกก็คิดอยากจะดูระบบโหราศาสตร์ โหราจารย์อะไรก็ไม่ทราบ ดวงดาวต่าง ๆ แกก็ส่องไปส่องมา ส่องมาส่องไป

ด้วยกล้อง กล้องพิเศษที่แกคิดขึ้น ไม่ทราบว่าจะเรียกว่ากล้องอะไรดี ก็มาเจอะไอ้เจ้าดาวดวงนี้เข้า เห็นว่าจักรวาฬต่าง ๆ ที่ไหลเข้ามาใกล้ ลอยหายผลุบเข้าไปในท้องมันหมด แล้วก็ไม่ออกมา พระท่านก็เลยบอกว่า ความจริงมันออก แต่ฝรั่งไม่มีเวลาดู เวลามันออก

เพราะว่านักวิทยาศาสตร์ถึงเวลาก็ต้องหลับ ถึงเวลาตื่นก็ตื่น ถึงเวลาหลับ ต้องมีการพักผ่อน ทีนี้ไอ้เจ้าดาว หรือโลกอันนี้ มันกว้างใหญ่ไพศาลมากข้างในมันเป็นโพรง ทีนี้เวลาที่อากาศไหลวนมาถึงตรงนี้เข้า ก็หวนเข้าไปข้างใน แล้วก็ไหลมาข้างนอก เหมือนกับเขตน้ำวน ที่มีแม่น้ำใหญ่ ๆ น้ำไหล แล้วก็มีอุโมงค์เข้าไปข้างในข้าง ๆ ในแผ่นดิน

มีอุโมงค์ลึก ๆ ชอนเข้าไปข้าง ๆ ไกล ๆ หน่อยเป็นอุโมงค์ใหญ่ สถานที่ตรงนั้นจะเป็นน้ำวนของต่าง ๆ ถ้าไหลไปที่นั่น ไปถึงนั่น จะวนไปวนมาอยู่ บางอย่างก็หลุดเข้าไปในอุโมงค์นั่น และต้องใช้เวลานานหน่อย จึงจะคลายตัวออกมา ข้อนี้ฉันใด ไอ้เจ้าชินโลกนี่ก็เช่นเดียวกัน

ในเมื่อมันเป็นหลุมลึกอยู่ตรงกลางข้างใน และแสงสว่างที่มันรับก็รับตอนล่าง คือ มันสูงกว่าแสงอาทิตย์ที่มันจะพึงรับ ไม่ใช่ต่ำกว่าแสงอาทิตย์ การหมุนมันก็หมุนตัวเหมือนลูกข่าง ไม่ใช่หงายไป คว่ำมา มันก็หมุน เป็นการทรงตัว และเวลาที่โลกต่าง ๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ในรัศมีความดูดของมัน มันก็ไม่ดูดแรง

แต่ความจริงเจ้าดวงดาวหรือว่าโลกต่าง ๆ ที่ไหลมานี่ มันไหลไปตามกระแสของอากาศ หรือตามกระแสของลม มันไม่มีเครื่องขับเคลื่อน มันก็ไหลเข้าไปตามลมเข้าไปท้องของเจ้าโลกนี้ ความจริงเข้าไปแล้วมันก็ไม่หายไปไหน มันก็วนมาวนไปกระทบโน่นบ้าง กระทบนี่บ้าง ในที่สุดถึงจังหวะ มันก็ไหลออกมาข้างนอก

แต่เวลาที่มันไหลออกมา ฝรั่งมองไม่เห็น แต่ไม่ใช่เวลาวันสองวัน มันต้องใช้เวลาเป็นปี อาจจะเข้าไปถึงปุ๊บ แล้วอาจจะใช้เวลาในเมืองมนุษย์ประมาณ ๒๐ ปีบ้าง ๕๐ ปีบ้าง ๗๐ ปีบ้าง อาการมันเป็นอย่างนี้ เลยทำให้นักวิทยาศาสตร์มีความหนักใจ คิดว่า โลกนี้เป็นโลกอัศจรรย์ ท่านจึงถามว่า สงสัยโลกนี้ไหม

เลยกราบเรียนพระท่าน บอกว่า สงสัยขอรับ ท่านก็บอก ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกัน ไปด้วยกันทั้งกลุ่มนี่ บรรดาท่านสุภาพสตรีปากกล้านี่ก็ไปด้วย ไปด้วยกัน จะได้รู้ว่า ไอ้โลกนี้จริง ๆ มันเป็นอย่างไร เมื่อท่านบอกว่า ไปด้วยกัน ก็มาไม่ยาก ก้าวปั๊บเดียวก็ถึงโลกนี้ทันที ไม่ต้องพักพรหมโลก ไม่ต้องพักสถานีสวรรค์ ไม่ต้องพักสถานีพรหม

ไม่ต้องพักสถานีอรูปรพรหม อวกาศใด ๆ ทั้งหมด ก้าวก้าวเดียวก็ถึง มาถึงก็เห็นโลกมันยังเล็ก ๆ อยู่ ก็ลงไปข้างหน้าทีแรกลงเดินบนผนังโลก ใกล้ ๆ ขอบ พระท่านบอกว่า ถ้าเดินแบบนั้นนะ ถ้าชีวิตของคนในโลกมนุษย์ธรรมดา ๕๐๐ ชีวิต มันยังไม่จบเลย มันใหญ่โตมาก

มนุษย์โลกที่เธออยู่ เธอถือว่า ใหญ่ มันเล็กจิ๋วเดียว มันเทียบกัน ๑ ใน ๑๐๐๐ ก็ยังไม่ได้ ความใหญ่โต ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดินลงไปเลย ไปดูหลุมข้างล่าง มันเป็นอย่างไร นั่นแน่ เอาจริงเอาจัง ก็เคลื่อนตัวลงมา ถึงหลุมข้างล่าง เห็นข้างล่างมันเป็นโพรงใหญ่ กว้างขวางมาก ข้างในก็มีไอ้โลกกลม ๆ เข้าไป หมุนไปหมุนมา

อีเหละเกะกะ กระทบกันนิด ๆ หน่อย ๆ บ้าง กระทบผนังบ้าง ก็วนซ้าย วนขวาบ้าง วนมาวนไป มันไม่ค่อยจะออก ท่านบอก พวกนี้ก็ออกหมด ไม่ช้าถึงวาระมันก็ออก มันค่อย ๆ ไหลไปตามความดันของอากาศ แต่มันลึกมาก พอชมข้างในเสร็จ ท่านบอก ความร้อนที่รับ ตอนนี้จะร้อนมาก แต่ก็ไม่ร้อนเหมือนโลกพระศุกร์ โลกพระศุกร์ตอนหัวจะร้อนมาก

แต่ว่าตอนกลาง ๆ จะมีความอุ่น ตอนปลายจะเย็นจัด เพราะแสงพระอาทิตย์ไม่ถึง โลกนี้ก็มีสภาพคล้ายคลึงกับโลกพระศุกร์ คือ ความร้อนยันเข้ามาจากข้างล่าง แต่ปรากฏมีแสงสว่างข้างบน แสงสว่างประสานกันทั้งโลก ไม่มืด ท่านก็บอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดินต่อไปขึ้นให้เร็วหน่อย เพราะโลกนี้มันกว้าง

ก็ถามว่า ในเมื่อมันเป็นโพรงแบบนี้มันจะไม่พังหรือ ท่านบอก จับดูซิ มันแข็งขนาดไหน ความแกร่งของมันที่สัมผัสกับความร้อนเหมือนกับหินเราดี ๆ หินผสมเหล็ก หรือเหล็กเป็นหิน หินเป็นเหล็ก มันแข็งขนาดหนัก และต่อไปต้องขึ้นไปสูงมาก ไอ้ความแข็งนี่มันหนาจัด หนาขึ้นไปสูงมากจึงเริ่มมีดิน

แต่ส่วนที่เป็นดินจริง ๆ ก็หนาเป็นโยชน์ คำว่า โยชน์ ก็แปลว่า ๔๐๐ เส้น แต่มันหลาย ๔๐๐ เส้น เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และบรรดาท่านทั้งหลายที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ เพราะเทปนี้เป็นทั้งเสียง เป็นทั้งหนังสือ สำหรับเรื่องโลกหลุมดำนี่ หรือดวงดาวหลุมดำนี่ ที่นำมาเขียนในเล่มที่ ๑๑

ก็เพราะว่า เพิ่งจะประสบพบเห็น เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๓ เท่านั้นเอง มันคงไม่จบในเล่มนี้ ขอให้อ่านต่อไปในเล่มที่ ๑๒ สำหรับในตอนที่ ๑ นี้ชื่อว่า โอกาสที่พบหลุมดำ ในวาระแรกก็หมดลง ขอลาไปก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


8

ดาวหลุมดำ ตอนที่ ๒



ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย ต่อนี้ไปขอทุกท่านฟังหรืออ่าน เรื่องโลกหลุมดำ ตอนที่ ๒ เรื่องหลุมดำ ตอนที่ ๒ นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอคุยกันแบบลัด ๆ เมื่อกี้ย่างเท้าก้าวมางวดทีแรกก็เห็นจะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว ตอนนี้ก็เคลื่อนจากปากหลุม หรือปากโลกที่โบ๋เข้าไป ที่เขาถือว่าเป็นอันตรายต่อโลกทั้งหลายอื่น ๆ คือ มันดูดโลกได้

ความจริงไม่ได้ดูด โลกต่าง ๆ มันไหลเข้าไปเอง ให้ความเป็นธรรมกับมันบ้าง ตอนนี้ก็พิสูจน์ผิวดิน ดินหนาหลายโยชน์ พอขึ้นมาด้านหลังของโลกนี้ พ้นจากหินแกร่งเข้าเขตดิน เริ่มมีต้นไม้ เริ่มมีความเยือกเย็นมีความชุ่มชื่น ต้นไม้เขียวชะอุ่ม มีป่าเยอะ ป่ามากกว่าป่าในประเทศไทยมาก

หลังจากนั้นก็เดินเรื่อยไป เดินบนอากาศนะ ไม่ได้เดินบนพื้นดิน เดินพื้นดินไม่ไหวแน่ ต่อไปก็มองเห็นมหาสมุทร น้ำเขียวสวย น้ำเขียวขจี ได้เขียวขจี มันเขียวแบบไหนก็ไม่รู้ เขียวสวย ๆ ไม่เขียวจัดนัก เขียวอ่อน ๆ มองกำลังเย็นตา ก็เลยลอยละลิ่ว ปลิวลงมายังพื้นพสุธา คือ แผ่นดิน

ก็บังเอิญเจอะคนคนหนึ่ง เป็นชายอายุไม่ค่อยจะมากนัก รูปร่างหน้าตาดีทรวดทรงดี ผิวค่อนข้างเหลือง เป็นมนุษย์ธรรมดาเรานี่เอง ก็ถามว่า คุณ คุณอยู่ในดินแดนนี้หรือ เขามอง แล้วรู้สึกเขายิ้ม เขาถามว่า ท่านที่มากันนี่ ท่านไม่ใช่คนโลกนี้ใช่ไหม ถามว่า ทำไมจึงทราบ

เขาบอกว่า ผิวพรรณลักษณะหน้าตาบอกว่า ไม่ใช่คนโลกนี้ และอีกประการหนึ่ง เสียงที่พูด และภาษาที่ใช้ ก็ไม่เหมือนภาษาคนโลกนี้ ถามว่าคุณรู้จัก รู้ภาษาไหม เขาตอบว่า พอรู้ ก็เลยถามเขาบอกว่า คนโลกนี้มีมากหรือมีน้อย เขาบอกว่า ที่ท่านลงมาที่นี่ ที่ท่านถาม เป็นเมืองท่า เมืองท่าของมหาสมุทร

ที่เมืองท่าของมหาสมุทรนี่ มันเป็น ๓ เมืองด้วยกัน เมืองละท่า ๆ ก็เป็นตลาดใหญ่ มีตึกสูงสวยสดงดงาม มีถนนราบเรียบ ทุกอย่างมันสวยไปหมด ถนนเขาก็ดีร่มรื่นสบาย ๆ มีจิตใจเป็นสุข คนที่เดินไปเดินมาก็ดี มีแต่อาการยิ้มแย้มแจ่มใส เขาบอก ในเขตของเมืองท่าทั้งหมด ๓ เมือง ของ ๓ ประเทศนี่ มีคนประมาณ ๓ ล้านคน

และก็ถามบอกว่า มหาสมุทรอย่างนี้ น้ำสีสวย เป็นทะเลเรียบ มันน่าจะมีเรือ มีเรือวิ่ง เรือเดินสมุทร เขาบอก มีแล้วเรือมีนามว่า แบนโนโรว์ เขาบอก แบนโนโรว์ ก็สงสัย หันเข้ามาถามพระท่าน ถามว่าแบนโนโรว์ นี่หมายความว่าอย่างไร พระท่านก็บอกว่า เป็นภาษาตามพื้นโลกของเขา

เขาถือเป็นภาษากลาง ภาษากลางนี่ในโลกนี้จะไปที่ไหนก็ตาม เขาถือภาษานี้ แต่คำว่าแบนโนโรว์ นี่เขาแปลว่า เรือเดินมหาสมุทรและในขณะนั้นก็เห็นเรือกำลังวิ่งอยู่ แต่สีทุกสีเขานิยมเป็นสีไม้ เรือก็เป็นสีไม้ ตึกรามบ้านช่องก็มีลักษณะเป็นสีไม้ สีเย็น ๆ ตา คือ สีเหมือนไม้อัดเหลือง ๆ นิด ๆ ก็ถามเขาบอกว่า คุณ ที่นี่มีกฎหมายไหม

เขายิ้ม เขาส่ายหัว เขาบอกว่า คำว่า กฎหมายที่นี่ไม่มี ก็เลยถามท่านก่อนบอก ท่านอย่าเพิ่งถามฉัน ขอถามท่านบอกว่า ท่านทั้งหลายที่มากันนี่ เวลานี้เอายานพาหนะจอดไว้ที่ไหน ก็บอกกับเขาว่า พวกที่มานี่ทั้งหมด ไม่มียานพาหนะ เขาถามว่า ท่านลอยมา หรือว่าท่านบินมา

ก็เลยตอบเขาบอกว่า เลื่อนมาไม่ได้ลอย ไม่ได้บิน แต่เลื่อนมาเฉย ๆ เขาฟังแล้วก็รู้สึกว่า เขาไม่แปลกหน้าตาเขาก็เฉย ๆ ไม่เห็นเป็นของแปลกก็เลยถามเขาบอกว่า มนุษย์ต่างดาวหรือว่าดินแดนต่างดินแดน มนุษย์ต่างโลกเคยมาที่นี่ไหม เขาบอกว่า ที่นี่เป็นดินแดนที่ติดต่อระหว่างโลกต่อโลก

คนโลกนี้ติดต่อกับโลกโน้น โลกโน้นติดต่อกับโลกนี้ติดต่อกันไป ติดต่อกันมา นี่มีเยอะ เป็นปกติ ก็ถามเขาบอกว่า ชาวโลกต่าง ๆ ที่มานี่ เขามาด้วยยานพาหนะอะไรเขาก็ตอบหน้าตาเฉยว่า ไม่เห็นมีอะไรนี่ มันก็เป็นยานพาหนะปกติ เราก็นึกในใจว่า เอ้อ ยานพาหนะปกติของเขา แต่มันไม่ใช่ปกติของเรา

เราระหว่างเครื่องบินบนโลกจากทวีปนี้ไปทวีปโน้นจากประเทศนี้ไปประเทศโน้น มันยังย่ำแย่ ไอ้นี่แกข้ามโลก เป็นโลก ๆ เมื่อมองดูจักรวาฬต่าง ๆ ก็มีความรู้สึกว่า มันห่างกันมาก จากการหมุนรอบตัวของโลก เข้าไปเทียบกับการห่างจักรวาฬ มันเทียบกันไม่ได้ อย่างโลกมนุษย์นี่ ถ้าเครื่องบินบินรอบตัว เราก็จะไปดวงดาวที่ใกล้ที่สุด หรือโลกที่ใกล้ที่สุด

คือ ดวงดาวพระจันทร์ ถ้าไปดวงดาวพระจันทร์ มันก็จะยาวกว่าเครื่องบินที่บินรอบโลก มันหลายแสนเท่า มันเทียบกันไม่ได้ ทีนี้เราจะมีเครื่องบินไปดวงดาวพระจันทร์ มันก็ไปไม่ไหว ฝรั่งเขาต้องใช้จรวด ก็ต้องใช้กำลังสูง ลงทุนสูง แต่ชาวโลกต่อโลกในที่นี่ เขาเดินทางไปเดินทางมากันรู้สึกว่าสะดวก

ก็เลยถามเขาบอกว่า ยานพาหนะที่ใช้ระหว่างโลกต่อโลก ที่ใช้ก็ดี และยานพาหนะที่ใช้ในโลกนี้ก็ดี ใช้น้ำมัน หรือว่าใช้แก๊สแข็ง เขาก็ยิ้มบอก ชาวโลกระดับนี้ไม่รู้จักคำว่าน้ำมัน ไม่รู้จักคำว่า แก๊สแข็ง แต่ความจริงเขารู้จัก แต่เขาไม่ใช้กัน เพราะว่าท่อไอเสียที่มันพ่นออกมานี่ มันเป็นอันตรายทำให้อากาศเป็นพิษ

ที่นี่เขาใช้แร่เป็นเชื้อเพลิง อาศัยความร้อนของแร่ เป็นเครื่องหมุนเครื่อง และแร่หรือรังสีที่ออกมา จะไม่เป็นอันตรายกับคน คนก็ไม่มีอันตราย สัตว์ก็ไม่มีอันตราย ก็ถามเขาบอกว่าประเทศฝั่งนี้ มีหลายประเทศไหม ก็บอกว่า มีเยอะ พระท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลามันสั้น เวลามีน้อย

สำหรับในตอนนี้ว่ากันโครม ๆ ไปนิดหนึ่ง อยากจะถามว่า ประเทศฝั่งโน้น ฝั่งมหาสมุทรฝั่งโน้นมีไหม เขาบอกว่า มี เรือที่ติดต่อกันมี เป็นการค้าขายระหว่างฝั่งนี้กับฝั่งโน้น ถามว่า ฝั่งนี้นำอะไรไปค้าขายฝั่งโน้น เขาบอกว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นพืชไร่ เพราะทางด้านฝั่งโน้นจนพืชไร่ ฝั่งนี้รวยพืชไร่

ด้านฝั่งโน้นที่ส่งมา ของขาย ก็เป็นของที่ผลิตแล้ว เป็นแดนอุตสาหกรรม แต่ฝั่งนี้ก็มีอุตสาหกรรมมาก แต่ว่าของมันไม่เหมือนกัน เราก็แลกกันไป แลกกันมา ถามว่ามหาสมุทรนี่ กว้างใหญ่ไพศาลมากไหม เขาก็บอกว่า กว้างใหญ่ไพศาลมาก จึงถามเขาบอกว่า ในระหว่างที่จะถึงฝั่งโน้นมีประเทศหรือมีเกาะใหญ่ ๆ ระหว่างกลางมหาสมุทรไหม

เขาก็ตอบว่า เกาะใหญ่ ๆ ระหว่างกลางสมุทร และมีประเทศตั้งอยู่เยอะ และเป็นประเทศที่มีความสวยสดงดงาม จึงกราบพระท่านบอกว่า จะไปดูฝั่งโน้นกันดีไหม พระท่านก็บอกว่า ดี ก็ลาเขานิดหนึ่ง ก็บอก ลาประเดี๋ยวนะ เดี๋ยวจะมาคุยใหม่ ต่างคน ต่างก็เลื่อนตัวไป เลื่อนไป มันก็ไปไม่เร็วนัก ไปช้า ๆ แต่เดี๋ยวเดียวก็ถึง ปรากฏว่า ในกลางมหาสมุทร มีเมืองระเกะระกะสวยสดงดงามทันสมัย

เรียกว่า ถ้าจริง ๆ แล้วสวยกว่าประเทศไทย สวยกว่าโลกของเรา ไปด้านฝั่งโน้น เมืองท่าของเขามีตึกสูง ๆ และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หนาแน่นมาก ความหนาแน่นคล้ายกรุงเทพฯ แต่ถนนเขากว้างกว่าเรา อากาศสะอาดกว่าเรา ก็เดินทางกลับ พอกลับมาถึงตาคนนี้ ปรากฏว่า แทนที่แกจะมีคนเดียว ตอนนี้แกหาเพื่อนมาตั้งหลายคน

มีเพื่อนมาแยะสักสิบคนกว่า ๆ ก็ลงมาคุยกัน เมื่อลงมาแล้ว แกก็ยิ้มบอกว่า เมื่อกี้นี้ท่านใช้พาหนะอะไร ไหลไปง่าย ๆ ไม่ต้องมีเรือ ไม่ต้องมีรถ ไม่ต้องมีอะไรทั้งหมด ไม่ต้องมีเครื่องบิน ก็บอกว่า ใช่ เขาถามว่า วิชาไหลแบบนี้ มีใครสอนไหม ก็ตอบเขาบอกว่า วิชานี้ไม่มีใครสอน ต้องฝึกเอาเอง หลักวิชาให้กันได้ แต่ว่าการสอนให้ไหลไม่ได้ต้องฝึกเอง

จนกว่าจะไหลได้ เขาบอก เขาอยากเรียน ก็เลยบอก โอกาสหน้าถ้ามี จะนิมนต์พระท่านมาสอนให้ พอพูดถึงพระ เขาสะดุ้ง เขาถามว่า คณะที่ท่านมานี่เป็นพระหรือ ก็ตอบว่า ที่มาทั้งหมดนี่ เป็นพระ เขาถามว่า ทำไมไม่แต่งตัวอย่างพระ ก็เลยถามเขาบอกว่า ที่นี่เคยมีพระมาหรือ มีศาสนาเป็นเครื่องสอนใช่ไหม

เขาถามว่า ศาสนาที่สอน คือ ธัมมธัมโมใช่ไหม ก็บอกว่า ใช่ เขาบอกว่า ที่นี่มีพระพุทธศาสนา ก็แปลกใจ คิดว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยบอกว่า พระพุทธศาสนาจะมีในโลกอื่น ก็ถามว่า พระที่พวกคุณรู้จักดีที่สุด ยอมรับนับถือมากที่สุด คือใคร ชื่ออะไร

เขาตอบ พระที่ยอมรับนับถือมากที่สุด พบตัวกัน คือ พระโมคคัลลาน์ แต่พระโมคคัลลาน์ก็บอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์สอนท่าน ให้ทุกคนนึกถึงพระพุทธเจ้า ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พวกข้าพเจ้าก็ยอมรับนับถือ และนับถือด้วยความจริงใจ

ถามว่า พระโมคคัลลาน์ท่านมาบ่อยไหม เขาบอกว่า สมัยนั้นมาบ่อย เวลานี้ห่างไป ก็ถามว่า สมัยนั้น มันหมายถึงอะไร เขาก็ตอบว่า สมัยเมื่อถอยไปสองพันปีเศษ สองพ้นห้าร้อยปีเศษนี่ พระโมคคัลลาน์มาบ่อย ถามว่า มาคราวละกี่วัน ก็ตอบว่า ก็ไม่แน่นอนนัก อาจจะเป็น ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน ถึงเดือนก็มี

ก็ถามว่า พระโมคคัลลาน์มาน่ะ ท่านเหาะมาหรือว่าท่านไหลมา คนนั้นก็ตอบว่า ท่านไหลมาเหมือนพวกท่านนี่ ที่ท่านมาไหลมาฉันใด พระโมคคัลลาน์ก็ไหลมาฉันนั้น เลยถามว่า พระโมคคัลลาน์สอนอะไร เขาก็ตอบว่า พระโมคคัลลาน์สอนไม่มาก ไม่ได้สอนอะไรมาก แต่สิ่งที่สอนก็คือ

มีกฎอยู่ ๑๔ อย่าง คือ
หมวดที่หนึ่ง มี ๔ ได้แก่ ๑. เมตตา ความรัก ๒. กรุณา ความสงสาร ๓. มุทุตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยากัน ๔. อุเบกขา วางเฉย ในเมื่อกระทบสิ่งที่ไม่พอใจ

และต่อไปก็มีอีกหมวดหนึ่งมี ๑๐ อย่าง คือ ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ๒. ไม่ลักทรัพย์ ๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม ทางกาย ทางวาจา ก็ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ทางจิตใจ ก็ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครคนอื่นมาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม

และก็ไม่คิดจองล้างจองผลาญใคร อารมณ์ไม่พอใจอาจจะมีบ้าง แต่อดใจไว้ และตั้งใจปฏิบัติทุกสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดให้ครบถ้วน ทำจิตให้เป็นสุข
เขาบอกว่า พระโมคคัลลาน์สอนเท่านี้ และโลกนี้ก็ปฏิบัติทั้งโลก โลกนี้โลกใกล้เคียง เขาปฏิบัติเหมือนกัน ก็เลยหันมาถามพระที่ท่านไปด้วย

กราบท่านถามว่า อย่างนี้เขาเรียกว่า โลกโสดาบัน ใช่ไหม ท่านก็บอกว่า ยังเรียกโลกโสดาบันแท้ไม่ได้ เพราะกำลังใจของคนบางคนหรือส่วนใหญ่ยังอ่อนอยู่ ยังมีความรักพระนิพพานไม่แน่นอนนัก แต่บางคนเขาก็มีเหมือนกัน และมีความรักในพระนิพพานยวดยิ่ง ก็ถามพระบอกว่า เคยส่งพระโมคคัลลาน์มาสอนหรือ

ท่านตอบว่า ไม่ได้ส่ง เป็นหน้าที่ของโมคคัลลาน์เอง จะสงเคราะห์คนที่มีความเคารพ พระโมคคัลลาน์เป็นผู้มีฤทธิ์ ไปไหนก็ไปได้ตามความพอใจ เห็นว่าที่ใดสมควร ก็ไปที่นั่น ไอนี่เป็นเรื่องนิทานนะบรรดาญาติโยม หลังจากนั้นก็หันมาถามคุณลุง จะเรียกคุณลุงก็กระดากปาก ถามว่า ลุงรู้จักพระโมคคัลลาน์ได้อย่างไร

พระโมคคัลลาน์นิพพานไปสองพันปีเศษแล้ว ในเมืองมนุษย์ ก็คิดเป็นเวลาสองพันปีเศษ ลุงนั้นก็หัวเราะ ก็บอกว่า มนุษย์ในโลกสีชมพู มีอายุเท่าไร เป็นอายุขัย ก็บอกว่า ในสมัยพระโมคคัลลาน์มีชีวิตมีอายุ ๑๐๐ ปี เป็นอายุขัยเวลานี้อายุขัยเหลือ ๗๕ ปี เขาก็หัวเราะ เขาถามว่า ทำไมอายุน้อยนักล่ะ ก็ตอบเขาว่า เป็นธรรมดา

ถามเขาว่า ที่นี่มีอายุขัยเท่าไร เขาบอกว่า ที่นี่เวลานี้ มีอายุขัย ๑๒,๐๐๐ ปี ก็ถามบอกว่า ลุงน่ะรู้จักพระโมคคัลลาน์หรือ เขาบอก เขารู้จัก เขาปฏิบัติตามธรรมะที่พระโมคคัลลาน์สอนทุกอย่าง ก็ถามต่อไปว่า ประเดี๋ยวธัมมธัมโมค่อยคุยกัน

ถามว่า เมืองเกาะที่ไปน่ะ ใช้เรืออย่างเดียว หรือว่าใช้เครื่องบินด้วยเขาบอก เครื่องบินก็ใช้ เรือก็ใช้ รถก็ใช้ ก็ถามเขาบอกว่า รถไปได้อย่างไรในเกาะ เขาบอก มีอุโมงค์ไปก็เลยพากันไปดูอุโมงค์ อุโมงค์มีทางรถยนต์ มีทางรถไฟ แต่เครื่องบินไม่มี อุโมงค์มองดูความกว้างแล้ว รู้สึกว่า กว้างประมาณ ๔ กิโลเมตร คือ ไม่ต่ำกว่านั้น สูงกว่านั้น

เมื่อนั่งรถไประหว่างอุโมงค์ สองข้างทางมันไม่เงียบ ไม่ได้เปล่าเปลี่ยวตามที่เราคิด มันมีบ้าน มีเมืองเป็นระยะ ๆ บางจุดก็เป็นเมืองใหญ่พอสมควร มีตลาดใหญ่ มีบ้านที่อยู่น่ารื่นรมย์ทุกอย่าง ไฟฟ้าก็สว่าง อากาศก็ดี เขาเรียกว่า เมืองใต้บาดาล เมืองใต้ดิน หรือใต้มหาสมุทร

เขามีความศิวิไลซ์มาก การติดต่อเครื่องวิทยุสื่อสาร เขาก็มีการติดต่อกันได้คล่องแคล่ว เครื่องโทรศัพท์โทรเลขก็มีเป็นระยะ ๆ เออ…พูดตอนนี้ก็คิดว่า คล้าย ๆ ที่อเมริกา เขามีโทรศัพท์ตามทางเป็นระยะ ๆ แต่ว่าที่นั่นเขาดีกว่ามาก ถ้าพูดถึงด้านโทรศัพท์ ก็ไม่ได้ลองใช้ ลองใช้วิทยุของเขา เขาบอกว่านี่วิทยุไม่ต้องรอเครื่องโทรศัพท์

ติดต่อกับใครก็ได้ ถ้ารู้โค้ด รู้คลื่นของบุคคลนั้น หรือรู้โค้ดประจำตัว ในที่สุดพากันลงเดินเล่นบริเวณเมืองใต้บาดาล เมืองใต้บาดาลนี่มีความสุขมาก มีอาการรื่นรมย์ มีรถยนต์ มีมหรสพทุกอย่าง มีแต่ความสุข ที่แปลกที่สุดก็คือ คนหน้าบึ้งไม่มี คนที่มีอารมณ์เครียดไม่มี มีแต่คนที่มีอารมณ์แจ่มใส เจอะหน้าใครก็ยิ้มแย้มแจ่มใส

ในเมื่อแกเห็นหน้าเข้า เขาก็ถามว่า ท่านมาจากไหน ถามว่า ทำไมจึงถามแบบนั้น ก็บอกว่าท่านนี่ไม่ใช่คนโลกนี้แน่ สัญลักษณ์ของคนโลกนี้คือ ผิวขาวเหลือง และก็ผมด้านหน้าจะหยิกนิด ๆ ทีนี้ท่านมากันนี่ผมสั้น ผมตัดสั้นเกรียน แสดงว่าโลกที่ท่านอยู่ มีความร้อนมากกระมัง

แหม…มันหาว่า ตัดผมหนีร้อน ตัดผมรับลม รับความเย็นเสียได้ ก็รวมความหมายว่า ฉันไม่ใช่โลกนี้ เป็นชาวโลกชมพู ก็มีคนเขาถามเหมือนกันว่าโลกชมพู อยู่ที่ไหน ก็เลยบอกว่า ที่นี่อธิบายไม่ได้ ถ้าจะอธิบายได้ ต้องลอยขึ้นไปข้างบน และมองดูโลกชมพู มันไกลจากนี้มาก เขาก็ยิ้ม แล้วก็ส่ายหน้า แล้วก็เดินเลยไป แล้วต่อมาก็เดินไปอีกนิดหนึ่ง ไปถึง

เขาบอกว่า ทางนี้ขึ้นไปเรือนกระจกแก้ว เรือนกระจกอยู่ในกลางมหาสมุทร เป็นเรือนกระจก พอไปจริง ๆ เป็นเรือนกระจกจริง ๆ ใหญ่มากกว้างขวางใหญ่โต มีที่นั่งสบาย มีคนเยอะ มีเครื่องยิงอาหารให้ปลา หมายคามว่า ยื่นมือไปไม่ได้ น้ำมันไหลเข้ามา น้ำท่วมตาย ถ้าใส่เครื่องนี้แล้วกดปุ่มปั๊บ มันก็ยิงปุ๊ด อาหารออกไปกระจาย

ปลาก็กินกัน เป็นอันว่า คนก็ดูปลา ปลาก็ดูคน น่าสดชื่น มีความสุขแล้วต่อมาก็ถอยหลังกลับ ถอยหลังกลับเข้ามาถึงเมืองเดิม หลังจากนั้นก็เดินไปอีกหน่อยหนึ่ง อยากจะขึ้นไปดูเมืองกลางมหาสมุทร ถามเขาบอกว่า ถ้าจะขึ้นไปเมืองกลางมหาสมุทรมีที่ขึ้นไหม เขาบอกว่า มี ก็ถามว่า ที่ไหน เขาบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มานั่งรถไปด้วยกันก่อน

นั่งรถจากที่นี่ไปสักครู่หนึ่งก็จะถึงทางขึ้นเมืองกลางมหาสมุทรก็เป็นอันว่า นั่งรถไปกับเขา พอนั่งรถไปประเดี๋ยวเดียว มีความรู้สึกว่ามันเดี๋ยวเดียว พอปุ๊บปั๊บโผล่ออกมา เห็นอากาศกลางทะเล มีพื้นแผ่นดิน โอ้โฮ…อัศจรรย์ ทางของเขาเรียบจริง ๆ ขึ้นเนิน ยังไม่รู้สึกว่าขึ้นเนินเลย คิดว่านั่งในที่ราบ พอขึ้นมาเจอะเมืองกลางมหาสมุทรแล้ว

ก็ยังไม่มีโอกาสจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ มีความสงสัยว่า เมืองกลางมหาสมุทรนี่ มันจะต้องถูกคลื่นยักษ์ซัดเข้ามาทำให้บ้านช่องพังพินาศบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ลำบากในเรื่องของน้ำบ้าง ก็ถามเขาบอกว่าเมืองกลางมหาสมุทรนี่ ดูพื้นแผ่นดินก็ไม่สูงนัก แล้วมหาสมุทรก็ใหญ่คลื่นลมก็อาจจะมี

เขาตอบว่า มี คลื่นลมมีเป็นคราว ๆ เหมือนกัน ถามเขาว่าลมหนาไหม หนักไหม เขาบอก ลมหนักมาก หนามากก็มี ไม่หนักมากก็มี พอปานกลาง ๆ ก็มี เล็กน้อยก็มี มีเหมือนกัน เขาก็เลยบอก ทุกโลกคิดว่า จะมีสภาพอย่างนี้เหมือนกัน เลยถามเขาบอกว่า ขณะที่คลื่นลมขนาดหนัก สูงประมาณเท่าตึก ๗ ชั้น ๕ ชั้น มีไหม

เขาบอกว่า มี นาน ๆ จะมีครั้ง ก็ถามเขาต่อไปว่า ถ้าคลื่นลมมาอย่างนั้นจริง ๆ บ้านเรือนที่นี่ ไม่พังหมดหรือ เขาก็บอก ดูซิ มันเต็มเกาะอย่างนี้ มันยังไม่พัง ถ้าพังเขาก็อยู่กันไม่ได้ เขาบอกวิธีกันลม มันกันไม่ได้ แต่วิธีที่กันกระแสน้ำแรง นี่กันได้ น้ำแรงเข้ามาถึงเกาะนี้แล้ว มันจะไม่แรงมาก

เขาก็พาไปดูเขื่อนกั้นน้ำทะเล มันเป็นเขื่อนสูงพอสมควร มันเป็นเขื่อนสามชั้น ชั้นที่หนึ่งระดับหนึ่ง และถอยมาอีกระยะหนึ่ง ก็มีอีกชั้นหนึ่ง ถอยมาอีกระยะหนึ่งมีอีกชั้นหนึ่ง แต่ละชั้นก็สูงขึ้นไปตามลำดับ และก็มีช่องออกทะเล ช่องก็ไม่ตรงกัน วนไปวนมา เพราะน้ำไม่สามารถจะตีทันทีทันใดขึ้นบกได้ เขาบอก

เขื่อนของเกาะนี่ มีสามชั้นแบบนี้ เป็นการบรรเทาความรุนแรงของน้ำ น้ำเมื่อซัดเข้ามาแล้ว บางส่วนจะเลยเขื่อนขึ้นไปบ้างก็ของธรรมดา และส่วนที่ค้างเขื่อนก็จะไหลลงทะเลไป ก็รู้ความว่า การที่เขาจะกั้นเขื่อน กั้นเกาะ และแข็งแรงมาก และก็สูงตามสมควรมีช่องออกเป็นช่อง ๆ ไอ้ตามช่องออกนี่ มันจะไม่ตรงกัน

หมายความว่า น้ำไหลถนัดไม่ได้ เพราะน้ำต้องเลี้ยวไปเลี้ยวมา ดูแล้วก็งง มีความรู้สึกว่า เขาต้องลงทุนมาก ก็ถามว่า การกั้นเขื่อนแบบนี้ มันต้องลงทุนมาก เขามีเงินทองพอจะกั้นหรือ เขาก็บอก เขากั้นกันแล้วนี่ ถ้าเงินไม่มี ทองไม่มี ของไม่มี เขากั้นไม่ได้ ที่นี่ก็มีค่าจ้างแรงงาน วัตถุก็ต้องซื้อเช่นเดียวกัน เวลาจะทำขึ้นมา ก็ต้องใช้เงิน ใช้เหมือนกัน

แต่ว่าเงินต้องใช้มากน้อยเท่าไร เป็นของไม่หนัก ก็เลยถามเขาว่า เศรษฐกิจที่นี่ดีหรือ เขาบอกในโลกนี้เศรษฐกิจดีทุกสถานที่ ไม่มีที่ใดเศรษฐกิจไม่ดี ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า ที่นี่ ค่าใช้จ่ายไม่สิ้นเปลืองนัก คนยากจนเข็ญใจไม่มี ชาวโลกอื่นที่เขามา เขาเคยเล่าสู่กันฟังว่า โลกของเขา รัฐบาลเก็บภาษีแพงมาก ทุกอย่างเก็บภาษีเป็น ๑๐ เปอร์เซ็นต์

หรือว่า ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ เป็นต้น แต่ว่าภาษีที่นี่ เก็บน้อยมาก ถ้าเปรียบเทียบกับโลกอื่น แต่ก็ยังถือว่ามาก ของที่มีความสำคัญที่สุด เก็บภาษี ๓ เปอร์เซ็นต์ อย่างต่ำที่สุดก็เก็บภาษีเปอร์เซ็นต์ครึ่ง และของระหว่างประเทศ

ที่ซื้อเข้ามาขายในระหว่างประเทศนี่ก็เหมือนกันจากประเทศโน้นมาประเทศนี้ทางประเทศแต่ละประเทศไม่เก็บภาษีผ่าน ปล่อยให้ขายกันอย่างเสรี ก็ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้นประเทศจะมีเงินใช้หรือ เขาบอกว่าแค่เก็บ ๓ เปอร์เซ็นต์อย่างสูง เปอร์เซ็นต์อย่างต่ำ แค่นี้เงินในประเทศก็มีเงินมหาศาลแล้ว

ค่าใช้จ่ายน้อย ก็เลยถามเขาบอกว่า กำลังคนที่ต้องใช้ ก็ต้องใช้เงิน อย่างกองทัพนี่ กองทัพต้องใช้เงินมาก คนก็มาก ต้องใช้เงินก็มาก เครื่องรบราฆ่าฟัน ก็เป็นราคาสูง พอพูดถึงกองทัพ เขามองอย่างแปลกใจ เขาถามว่า กองทัพ คืออะไร อะไรมันทับกัน อะไรมันกองเข้าไว้ แล้วทับกัน

ก็เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ในเมื่อเขาสงสัยก็ยังไม่ทันอธิบาย ก็ปรากฏว่าเวลาของตอน ๒ หมดพอดี ขอลาก่อน ฟังต่อไปในเล่มที่ ๑๒ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน ผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top