Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 20/2/12 at 13:55 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 13 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑๓

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..คุณ ธนะกิจ เลิศสุขุมาภิรมย์

( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๓

1.
ตอนที่ ๑ เรื่องเสาตกน้ำมัน
2. ตอนที่ ๒ เรื่องเสาตกน้ำมัน (ต่อ)
3. ตอนที่ ๓ เรื่องอานิสงส์เครื่องเอกซเรย์
4. ตอนที่ ๔ เรื่องปั้นพระพุทธบรมรูปรัชกาลที่ ๑, ๕, ๖, ๙ และพระเจ้าตากสินมหาราช
5. ตอนที่ ๕ ปัญหาของคนบุรีรัมย์
6. ตอนที่ ๖ เรื่องพระไม่เชื่อว่า สวรรค์ นิพพาน มี
7. ตอนที่ ๗ เรื่องเริ่มสร้างวัดท่าซุง
8. ตอนที่ ๘ เรื่องสร้างวัดท่าซุง (ต่อ)



คำนำ



หนังสืออ่านเล่นที่ท่านอ่านอยู่นี้ คงเป็นหนังสืออ่านเล่นธรรมดาตามเดิม แต่มีบางตอนที่มีการตอบปัญหาอยู่บ้าง เพราะมีปัญหาน่าคิดที่ท่านถามมา ถ้าหากท่านผู้อ่านจะถามปัญหามาบ้าง ขอให้เป็นปัญหาธรรมที่จำเป็นจริง ๆ และเขียนมาสั้น ๆ พอได้ความ เขียนหนังสือให้อ่านง่าย ตัวใหญ่ ๆ หน่อย ด้วยตาอ่านหนังสือไม่ใคร่เห็น ถ้าเขียนตัวเล็ก และข้อความยาวเกินไป อ่านไม่ออก

และไม่มีเวลาอ่านมากนัก เพราะงานประจำมีมาก ที่สุดนี้ ขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน จงเป็นผู้มีโชคดี มีความร่ำรวย ปรารถนาสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการเถิด

ส.สังข์สุวรรณ
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓


1

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๓



เสาตกน้ำมัน

ท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็มาพบกับ จุไร กับคุณป้าน้อย ตามเดิม เรื่องราวก็มีอยู่ว่า เมื่อ วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ วันนั้น จุไรได้ไปฟังหลวงปู่คุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท แต่ทว่าจริง ๆ แล้วหลวงปู่ก็ป่วยมาก ท่านบอกว่า ท่านเสียดท้อง เสียดหน้าอก แล้วก็ปวดศีรษะ แล้วแถมเท้า เขาเรียกว่า เป็นโรคเก๊าต์ เจ็บมาก ต้องเดินตะแคงเท้า

แต่เมื่อถึงเวลา ท่านก็ขึ้นไปคุยกับแขก รับแขกตามปกติ หนูถามท่านว่า ทำไมหลวงปู่จึงทนมารับแขก ท่านก็บอกว่า บรรดาแขกทุกคนที่มา มาด้วยศรัทธา และการมานี่ ทุกคนก็ต้องจ่ายทรัพย์สิน อย่างน้อยที่สุด เสียค่าพาหนะ คือ ค่ารถ ค่าเรือ และค่าอาหาร ต้องละทิ้งการงานมา ถ้าอยู่ที่บ้านก็ทำประโยชน์ใหญ่ได้ ประโยชน์ใหญ่ก็ตาม ประโยชน์เล็กก็ตาม ได้ทำ

ประการที่สอง ถ้าเขาไม่ทำงาน ไม่สร้างประโยชน์ ก็ได้มีโอกาสพักผ่อน ในเมื่อทุกคนมาด้วยศรัทธาแบบนี้ ถึงแม้ว่าท่านจะป่วยหนัก ถ้าไม่เกินวิสัย พอที่จะลงได้ ก็ลง แล้วหนูก็ถามหลวงปู่ว่า เวลาที่หลวงปู่คุยกับแขก ทำไมหลวงปู่หัวเราะดังบ้าง แล้วก็พูดยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการคล้ายกับว่า ไม่ป่วยเลย หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า ท่านใช้ ขันติ คือ ความอดทน เพราะว่า คนทุกคนถ้าเห็นว่า เจ้าของบ้านหน้าซีดหน้าเซียว และมีอาการไม่ปกติ คนที่มาทุกคนก็ใจไม่สบาย

ฉะนั้นหลวงปู่ท่านจึงอดทนว่า ยินดีรับ ทำให้ทุกคนชื่นใจ แล้วหนูก็ถามท่านว่า หลวงปู่เวลาที่แขกขึ้นไป ก็ทักยิ้มแย้มแจ่มใสทุกคน ท่าทางสดชื่น ถ้าอย่างนี้ ทุกคนเขาก็เข้าใจว่า หลวงปู่ไม่ป่วย หลวงปู่ท่านก็บอกว่า เป็นเรื่องธรรมดาของคน ถ้าเขาเห็นว่า มีอาการสดชื่น เขาก็คิดว่า ไม่ป่วย แต่ความจริง เราป่วย ขึ้นชื่อว่าความป่วย มีเป็นประจำหลวงปู่ ทุกวัน

แต่ว่าวันนั้น คุณป้าเจ้าคะ มีผู้หญิงคนหนึ่ง เขาถามหลวงปู่ว่า ที่บ้านเพื่อนเขา เขาบอกว่า เขาอยู่กรุงเทพฯ หลวงปู่ก็ไม่ได้ถามชื่อเขา แล้วหนูก็เลยไม่รู้จักชื่อ แล้วอยู่ที่ถนนไหน หนูก็ไม่รู้จัก ก็เป็นอันว่า เขาบอกว่า ที่บ้านเพื่อนของเขามีน้ำมันไหล หลวงปู่ท่านก็ซักถามว่า บ้านอยู่ใกล้ปั๊มหรือเปล่า เขาบอกว่า เปล่า เขาก็ยืนยันว่า บ้านเพื่อนของเขามีน้ำมันไหลตามเดิม ก็ทำให้ทุกคนมีความเข้าใจว่า

คิดว่า น้ำมันอาจจะไหลรั่วมาจากแป๊ปของปั๊ม หรือว่าน้ำมันจะไหลขึ้นมาจากดิน ไล่ไปไล่มา ก็ปรากฏว่า ที่พื้น เรียกว่า ที่ไม้ตง ไม้ตงด้านส้วมของเขา มีน้ำมันเยิ้ม แล้วก็ไหลออกมา ก็เป็นอันว่า ในที่สุดก็ได้ความว่า บ้านนั้น มีเสา หรือมีไม้ตกน้ำมัน ทีนี้ปัญหา ไม้ หรือเสาตกน้ำมันนี่ คุณป้าเจ้าคะ คุณป้าทราบไหมว่า อานุภาพมากน้อยเพียงใด หนูได้ยินข่าวเขาเล่าลือกัน

หนูเป็นเด็ก ก็ไม่เข้าใจนัก เขาบอกว่า บ้านไหนมีเสาตกน้ำมัน บ้านนั้นผีดุ แล้วก็ผีเสาตกน้ำมันนี่ หมอก็ปราบยาก คุณป้าน้อยก็บอกว่า ป้าเองก็ได้ยินมาแบบนั้นเหมือนกัน แล้วคุณป้าก็ถามว่า แล้วหนูได้ฟังหลวงปู่ท่านพูดว่าอย่างไร จุไรก็บอกว่า ขณะที่หนูฟังไป เมื่อหลวงปู่ท่านมีความเข้าใจ

ทีแรกท่านก็คิดว่า น้ำมันมันไหลมาจากปั๊ม หรือจากท่อ จากแป๊ปที่แตก เป็นอันว่า บ้านนั้นมีเสาตกน้ำมัน หรือมีพรึงตกน้ำมัน เป็นเหตุให้เจ้าของบ้านกลัว กลัวผี และก็คิดว่า คงจะหาหมอขับผีมาแล้วกระมัง แต่คงไม่สำเร็จ และบางโอกาสเขาบอกว่า มีคนมายืนแสดงให้ปรากฏ เป็นคนผู้ชาย รูปร่างกำยำล่ำสัน แต่บางทีก็มีผู้หญิงมาแสดงให้ปรากฏ แต่การปรากฏก็เข้าใจว่า ครึ่งหลับครึ่งตื่น

ในตอนนั้นไม่ได้ลืมตาแท้ ในเมื่อหลวงปู่ท่านทราบ ท่านก็บอกว่า เรื่องเสาตกน้ำมันนี่ ฉันพบมาหลายแห่ง ฉันเองฉันก็ไม่มีความเข้าใจเหมือนกัน แต่เรื่องที่มีความสำคัญมีอยู่เรื่องหนึ่ง คือท่านบอกว่า ในสมัยปี พ.ศ. ๒๕๐๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านป่วยหนัก ไปรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ ที่กรุงเทพฯ หลังจากรักษาอยู่ปีเศษ อาการดีขึ้นแล้ว ก็มาพักฟื้นที่ วัดชิโนรส ที่คลองมอญ

เวลานั้น ท่านบอกว่า มีพระองค์หนึ่ง ไปขออนุญาตทางสถานีวิทยุ ขอพูดเรื่องธรรมะ และก็มามอบหมายให้ท่านไปพูดสถานีหนึ่ง คือ สถานีวิทยุกองพล.๑ วันนั้นท่านบอกว่า ท่านเตรียมตัวจะไปสถานีวิทยุ กำลังนั่งเขียนหัวข้อที่จะพึงพูด กำหนดหัวข้อไป ๕ หัวข้อ ถ้าพูดหัวข้อเดียว ยังไม่หมดเวลา ก็ต่อหัวข้อที่สอง เป็นต้น ถ้าตอนไหนหมดเวลา ตอนนั้นก็เลิก

ขณะที่คิด และกำลังเขียนหัวข้อบางหัวข้ออยู่ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณ ๓๐ ปีเศษ ๆ รูปร่างหน้าตา ทรวดทรงดี และเธอก็ถือพานดอกไม้ธูปเทียนมา แต่ว่ามองดูหน้าแล้วรู้สึกว่า ใจไม่สบาย หน้าไม่ปกติ พอมาถึงหลวงปู่ท่านก็ละปากกา ท่านก็ถามว่า หนูมีธุระอะไร หญิงคนนั้นก็บอกว่าที่บ้านฉันมีเสาตกน้ำมันอยู่ต้นหนึ่ง ฉันไปหาหมอดูที่เป็นพระก็ดี ไปหาหมอดูที่เป็นฆราวาสก็ตาม

มีหลายหมอพูดอย่างเดียวกันว่า ขอให้รื้อเสาต้นนั้นทิ้งไปเสีย แล้วก็หาเสามาเปลี่ยนใหม่ หลวงปู่ท่านก็บอกว่า ท่านคิดในใจว่า การจะรื้อเสาร่วมในทิ้ง (บ้านสองชั้น) ไม่ใช่ของง่ายนัก อาจจะทำได้ แต่ว่าเจ้าของบ้านจะเสียสองอย่าง คือ (๑) เสียเสา เสียไม้ เสียค่าแรงงาน ค่ารื้อ และประการที่สอง ต้องซื้อของมาใหม่ และก็เสียค่าแรงงาน ค่าทำ

ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ หนูเขียนมาสัก ๓ ข้อ ที่มีข้อข้องใจ แล้วก็ใส่ไว้ในพานดอกไม้ธูปเทียน วางไว้ตรงนี้แหละ พรุ่งนี้ฉันจะเขียนให้ ถ้ามีเรื่องอะไรพอจะทราบได้ ก็จะเขียนให้ อธิบายให้ฟัง ถ้าตามความสามารถละ ถ้ารู้ ก็บอก ถ้าไม่รู้ ก็ไม่บอก แต่ว่าอีกประเดี๋ยวหนึ่งฉันจะไปสถานีวิทยุกองพล.๑ หญิงคนนั้นเธอก็เขียนให้ เมื่อเขียนแล้วเธอก็ลากลับไป

หลวงปู่บอกว่า หลวงปู่ก็เอาพานมาวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ ก็เริ่มคิดว่า หัวข้อที่ ๒ ถ้าเราพูดหัวข้อที่ ๑ จบ เวลายังไม่หมด หัวข้อที่ ๒ เราจะใช้อะไร แต่พอคิด พอกำลังจะจรดปากกา ก็ปรากฏว่า โต๊ะเขียนหนังสือสะเทือน เสียงดังปัง เหมือนกับของหนักหล่นลงมา มันเป็นเวลากลางวัน ครั้นมองมาดูก็ปรากฏว่า มีหญิงสาว รูปร่างหน้าตาสวย และแต่งตัวแพรวพราว เป็นระยับ

ใส่ชฎาเหมือนลิเก แสงสว่างรู้สึกว่า สวยมาก พอมองเห็นหน้าเธอ เธอก็ไม่ยิ้มตอบ หลวงปู่ยิ้มให้ เธอก็ไม่ยิ้มตอบ เธอพูดสวนออกมาว่า ฉันทำผิดคิดร้ายอะไร ทำไมจึงจะต้องมาไล่ฉัน หลวงปู่ท่านก็แปลกใจว่า เอ๊ะ หญิงคนนี้ เราไม่เคยเห็น และมานั่งบนโต๊ะหนังสือนี่ มันก็ผิดลักษณะของคนธรรมดา และการแต่งตัวของหญิงคนนั้นก็ไม่เหมือนชาวบ้าน ทั้งตัว ทั้งเสื้อ ทั้งผ้า แพรวพราวไปด้วยเพชร

และก็สวมชฎา ถ้าจะเป็นพระเอกลิเก หรือนางเอกลิเก เขาก็ไม่มาเวลานั้น ถ้าเวลามาจริง ๆ ก็ต้องขึ้นทางบันได ต้องเห็น นี่ขึ้นมานั่งบนโต๊ะ หลวงปู่ท่านนั่งที่เก้าอี้ มันต่ำกว่า ก็ถามว่า เดี๋ยวก่อนคุณ คุณมีธุระอะไร คุณเป็นใคร บอกกันก่อนซิ แล้วเรื่องราวที่พูดมันเป็นอย่างไรกัน ใครขับใคร ใครไล่ใคร ฉันยังไม่ทันขับ ฉันยังไม่ทันไล่ เวลานี้ฉันกำลังจะเขียนหัวข้อ ไปพูดที่สถานีวิทยุกองพล ที่ ๑

แล้วเรื่องหัวข้อนี้ ก็ไม่ใช่หัวข้อจะไล่ใคร มันเป็นธรรมะธรรมดา เธอก็ตอบว่า ฉันเป็นนางไม้ของบ้านที่เขานำดอกไม้ธูปเทียนมานี่แหละ ที่เขาบอกว่า เสาตกน้ำมัน เขาไปดูที่ไหนก็ตาม ฉันก็ตามไป หมอพระก็ดี หมอฆราวาสก็ดี ทุกรายบอกว่าให้ถอนเสาทิ้งไปเสีย และให้เปลี่ยนเสาใหม่ พอดีผู้หญิงคนนี้ สามีเขาเป็นเรือเอก เป็นนายทหารเรือ เวลานี้สามีของเขาไปรบที่เกาหลี ฉันก็ให้การคุ้มกันเรื่องอาวุธ

จะไม่ให้มีการต้องกายเขาเลย เขาจะไม่บาดเจ็บเพราะอาวุธ และก็จะไม่เป็นโรคร้าย นี่ฉันก็ช่วยเขาทุกอย่าง และที่บ้านนี้ฉันก็ไม่เคยแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฏ ให้เขากลัว ตามปกติก็ตั้งใจช่วยการหาลาภสักการะ ถ้าสิ่งใดถ้าไม่เกินวิสัยที่ฉันจะช่วยได้ ฉันก็ช่วย แต่เวลาฉันพูด เขาก็ไม่ได้ยิน ฉันแสดงตัวให้ปรากฏ เขาก็ไม่เห็น ก็รวมความว่า การที่ฉันช่วย มันก็เป็นการปิดทองหลังพระ

ในเมื่อฉันช่วยขนาดนี้ ทำไมต้องมาไล่ฉัน หลวงปู่เล่าต่อไปให้หญิงคนนั้นฟัง และคนวันนั้นแขกที่มาที่รับแขกประมาณสัก ๓๐๐ คน มาไกลมาจากกรุงเทพฯ บ้าง มาจากประจวบคีรีขันธ์บ้าง มาจากบุรีรัมย์บ้าง มาจากเชียงใหม่บ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นคนกรุงเทพฯ และชาวนครสวรรค์บ้าง ในเมื่อคนนั้นพูดแบบนั้น หลวงปู่ท่านก็ถามว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เรื่องเธอบรรยายมานี่ก็ดีแล้ว ฉันก็ทราบว่า

เธอ คือ นางไม้ ใช่ไหม เธอก็ตอบว่า ใช่ ก็ถามว่า ทำไมถึงแสดงอาการตกน้ำมัน เธอก็บอกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา ๆ เธอไม่ตอบเป็นอย่างอื่น ในเมื่อเธอพูดอย่างนั้น หลวงปู่ท่านก็ไม่ซัก ท่านก็ถามว่า แล้วเธอมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเสาต้นนี้ ทำไมเสาต้นนี้จึงตกน้ำมัน และทำไมเสาต้นนี้จึงเป็นที่หวัง หรือที่อาศัยของเธอ

เธอก็ตอบว่า ตามความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ เดิมทีเดียวเสาต้นนี้ เป็นต้นไม้ในป่า ฉันเป็นรุกขเทวดา มีวิมานแปะยอดไม้ อาศัยยอดไม้ เป็นที่อาศัยตั้งวิมาน รุกขเทวดา ถ้าต้นไม้ต้นนั้นล้ม วิมานก็สลาย และจะไปอาศัยต้นไม้ต้นใหม่ ก็หายาก ทั้งนี้ก็เพราะว่า ต้นไม้ที่มีแก่น ส่วนใหญ่ก็มีรุกขเทวดาที่เป็นผู้ชายบ้าง ผู้หญิงบ้าง อาศัยกันอยู่มาก ไม่ว่าง

ในเมื่อไม้ต้นนั้นล้มมา ฉันก็ติดตามไม้ ไม้ไปทางไหน ฉันก็ไปด้วย คำว่า ไปด้วย ก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องขี่ท่อนไม้ กำลังใจรู้ ต้องเดินดิน ก็มีความลำบาก ที่พักที่อาศัย ที่เป็นวิมาน มันก็ไม่มี ก็ต้องอยู่ที่โล่งแจ้ง ต่อมาในเมื่อเขานำไม้ต้นนี้มาทำเป็นเสา เมื่อไม้ตั้งขึ้น ฉันก็มีสิทธิ์เอาวิมานเข้ามาแปะได้ จึงอาศัยต้นไม้อันนี้แหละ ที่เป็นต้นเดิม ที่ไม่มีใครแย่ง เพราะฉันเป็นเจ้าของเดิม

วิมานฉันก็ ทรงตัวอยู่ได้ แต่เวลานี้ก็ปรากฏว่า ในเมื่อมีน้ำมันไหล เรื่องน้ำมันไหลขอได้โปรดอย่าถามว่า เป็นเพราะอะไร ขอให้ทราบว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี องค์ไหนถ้ามีอานุภาพพอสมควร อาศัยอยู่ที่เสาต้นใดต้นหนึ่ง ต้นนั้นอาจจะมีน้ำมันไหล เธอพูดแค่นี้ แล้วหลวงปู่ก็ถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น เธอจะให้ฉันจะบอกกับเจ้าของบ้านเขาอย่างไร เธอก็ถามว่า ท่านจะให้เขาถอนไหมล่ะ

หลวงปู่ก็ตอบว่า เรื่องถอน ฉันไม่เห็นด้วย เพราะบ้านหลังนี้ ปลูกมานานแล้ว เพิ่งจะมีการแสดงออก แล้วเจ้าของบ้านไม่ได้บอกว่า มีการรบกวนอะไร ฉันกำลังนั่งคิดอยู่ว่า ควรจะทำอย่างไร จึงจะไม่ต้องถอนเสา เธอก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บอกเขาว่า ไม่ต้องถอน ให้เจ้าของบ้านกับฉัน เป็นเพื่อนกันดีกว่า ดีกว่าประกาศตนเป็นศัตรู

หลวงปู่ก็ถามเธอว่า ถ้าต้องการเป็นเพื่อนกัน ให้ทำอย่างไร เธอก็บอกว่า ขอให้เจ้าของบ้านเขายอมรับ (เอาอย่างนี้นะ) ถ้าต้องการเป็นเพื่อนกัน ให้เจ้าของบ้านเขาเอาน้ำหอมมาทาที่เสาตรงจุดที่ตกน้ำมัน แล้วเอาทองคำเปลวปิดสักแผ่นหนึ่งก็พอ เอาผ้าสีกับพวงมาลัยคล้อง การคล้องเสาขอได้โปรดอย่าใช้ตะปูตอกเสาต้นนั้น เว้นไว้แต่ว่าที่เขาทำฝา ทำพรึง ต้องตีตะปูติดกับเสา

นั่นเป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก แต่ว่าเรื่องการบูชา การตีตะปูให้ใช้เป็นอย่างอื่น ขอให้จงอย่ามี หลวงปู่ท่านก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าเขาทำก็คงเป็นของไม่แปลกทำได้ เพราะว่าพวงมาลัยก็ดี ผ้าสามสีก็ดี ทองคำเปลว ๑ แผ่นก็ดี น้ำหอมหน่อยหนึ่งก็ดี เป็นของไม่แพง เขาทำได้แน่ เพราะว่าเจ้าของบ้าน เขาทำงานโรงงานยาสูบ เวลานั้นโรงงานยาสูบใช้คนมวนด้วยมือ แต่ทว่าเธอจะให้ลาภเขาได้หรือเปล่าล่ะ

เธอก็ตอบว่า ถ้าต้องการให้ลาภ ก็ต้องทำบุญให้ด้วย หลวงปู่ท่านก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ทำบุญต้องการอะไร เธอก็ตอบว่า ให้เขานิมนต์พระสัก ๕ องค์ นิมนต์ไปฉันเพล อย่านิมนต์ไปฉันเช้า เขาทำงานโรงงานยาสูบ ใช้วันเสาร์ อาทิตย์ก็ได้ เพราะเป็นวันหยุด และก็เวลาที่นิมนต์พระไปฉัน ที่ต้องไปฉันเพลก็เพราะว่า ถ้าหากว่าฉันเช้า เจ้าของบ้านจะวุ่นวาย เพราะเวลากระชั้น

ใช้เวลาทำบุญเพลก็แล้วกัน เมื่อทำบุญเสร็จ ก็ขอให้อุทิศส่วนกุศลให้แก่ฉัน ฉันจะช่วยให้ลาภ หลวงปู่ก็ถามว่า เธอจะให้ลาภมาก หรือลาภน้อย เธอก็บอกว่า บุญญาบารมีฉันน้อย ฉันให้ลาภมากไม่ได้ แต่ว่าให้บ่อย ๆ ได้ หลวงปู่ท่านก็ต่อรองบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ให้ทุกเดือนได้ไหม เธอก็ตอบว่า ทุกเดือนหรือเกินเดือนละ ๑ ครั้งก็ได้ (นั่นคือ ล๊อตเตอรี่ แต่ว่าต้องเป็นรางวัลปลาย ๆ รางวัลเลขท้าย ๓ ตัว ข้างล่างนะ หรือว่าเลขท้าย ๒ ตัว อย่างนี้ได้)

ก็เป็นอันว่า หลวงปู่ท่านก็ตกลงว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น วันพรุ่งนี้ ฉันจะบอกเจ้าของเขาตามนั้น แล้วเธอก็หายไป หลังจากนั้น หลวงปู่ท่านก็ไปสถานีวิทยุกองพลที่ ๑ อันนี้ไม่มีอะไร เมื่อกลับมาแล้ว ท่านก็เขียนถ้อยคำตามที่พูดกับนางฟ้าคนนั้นไว้ พอรุ่งขึ้นมา วันนั้นมันเป็นวันศุกร์ พอวันรุ่งขึ้น เวลาเย็น ๆ ประมาณสัก ๔ โมงเย็น หญิงเจ้าของจดหมาย หรือดอกไม้ธูปเทียนก็มา

เมื่อมาแล้ว หลวงปู่ก็ส่งหนังสือให้แล้วก็คุยกันตามเรื่องนั้น แล้วก็บอกว่า เขาก็คุ้มครองสามีของเธอ ตัวเธอเอง เขาก็ช่วยสงเคราะห์ทุกอย่างให้มีความสุข และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาไม่เคยแสดงอะไรให้ปรากฏใช่ไหม เธอก็ตอบว่า ใช่ เวลานี้เขาต้องการจะเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ เธอจะเอาไหม เธอก็ตอบว่า เธอพร้อมจะทำ ว่า ทองคำเปลว ๑ แผ่น หรือหลายแผ่น เธอก็พร้อม

น้ำหอมเธอจะใช้น้ำมันจันทน์ แล้วก็ผ้าสามสี พวงมาลัย ก็เป็นของไม่ยาก ทีนี้เธอก็อ่านไปถึงข้อ การให้ลาภ ว่า การเลี้ยงพระ ๕ องค์นี่ ฉันทำได้แน่ แต่ว่าขอแถมได้ไหม ขอแถมเป็น ๙ องค์ ก็เลยบอกว่า เขาบอกว่า พระ ๕ องค์ นี่ก็หมายความว่า ให้ทำบุญไม่น้อยกว่า ๕ องค์ แต่ว่าเกิน ๕ องค์ คงไม่เป็นไร เพราะเป็นการแถมเป็นของดี เธอก็นิมนต์พระทั้งหมด ๘ องค์

พร้อมทั้งหลวงปู่อีกหนึ่ง เป็น ๙ ด้วยกัน ไปฉันเพลในวันพรุ่งนี้ เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ เธอหยุดงาน ก็เป็นอันว่า เมื่อเลี้ยงพระเสร็จ ผลที่ได้รับก็คือว่า ล๊อตเตอรี่ออกงวดนั้น เธอถูกรางวัลเลขท้าย ๓ ตัว ๙ ใบ ถูกรางวัลเลขท้าย ๒ ตัว ๕ ใบ เธอก็มารายงานให้หลวงปู่ทราบ และขอนิมนต์พระไปฉันใหม่อีก ๙ องค์

หลวงปู่ก็ถามว่า เลขที่ซื้อได้นี่ ใครบอก เจ้าของบ้านก็บอกว่า ไม่มีใครบอกฉัน เป็นแต่เพียงมีความรู้สึกว่า เมื่อออกมาจากที่ทำงาน พอรับเงินเดือนแล้ว ออกมาจากที่ทำงาน ก็เห็นเลขนี้เข้าก็อยากจะซื้อ เลยซื้อ เหมือน ๆ กัน เท่าที่มันมี ตั้งแต่โรงงานยาสูบ แล้วก็ดูเรื่อยมาถึงท่าพระจันทร์ ก็ได้เท่านี้ ก็เลยถูกทั้งหมด เป็นอันว่า เธอก็ทำบุญเลี้ยงพระใหม่ ใช้น้ำหอมมาพรมใหม่

เอาน้ำมันจันทน์มาทาปิดทองมากแผ่นขึ้น มีผ้าสี แล้วก็ซื้อผ้าไตรจีวรถวายพระ รู้สึกว่าการทำบุญหนักขึ้น ก็เป็นอันว่า งวดต่อไปเธอก็ถูกหวยอีก ก็รวมความว่า หลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านอยู่ที่นั่น ๒ ปี เป็นอันว่า ทุกครั้งหลังจากหวยออก หลวงปู่ก็ถูกนิมนต์ไปทุกครั้ง เพราะว่าบ้านนั้นถูกหวยทุกงวด แต่ว่าเป็นรางวัลเลขท้าย ๓ ตัวบ้าง ๒ ตัวบ้าง ก็เป็นการพอ เพราะเวลานั้นค่าของเงินสูง

ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่ง ยังราคาประมาณ ๑๐ สตางค์ ฉะนั้นการได้เงินเป็นพัน ก็ถือว่าไม่ใช่เงินเล็กน้อย ท่านก็เล่าให้คนนั้นฟัง คนนั้นฟังแล้วเขาก็เข้าใจ เขาก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้นจะให้หนูไปบอกเพื่อนว่าอย่างไร หลวงปู่ก็บอกว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่ฉันบอกมานี่ทั้งหมด มันไม่ใช่วิชาความรู้ของฉัน เป็นแต่เพียงประสบการณ์ ให้เขาไปทำตามนั้นก็แล้วกัน ในเมื่อเขาทำตามนั้น จะมีลาภ หรือไม่มี

จะถูกหวย หรือไม่ถูก นี่ก็มา โทษฉันไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉันเองก็ไม่ยืนยัน แต่ขอให้ทำตามนั้น ถือว่าเป็นมิตรกันก็แล้วกัน เพราะว่าการมีเทวดา หรือมีนางฟ้าเป็นเพื่อน นั่นเป็นของดี ถ้าเราขอพรเขา ถ้าสิ่งใด ถ้าไม่เกินวิสัยเขาให้ได้ เขาก็ให้ เขาช่วยได้ เขาก็ช่วย จุไรก็หันไปถามคุณป้าว่า คุณป้าเจ้าคะ คุณป้าเชื่อไหมว่า นางไม้มี คุณป้าน้อยก็ตอบว่า ป้าเชื่อ หลานรัก

เพราะว่าเทวดานี่มีหลายชั้น ชั้นแรกที่ต่ำที่สุดเราเรียกกันว่า ภุมเทวดา ภุมเทวดานี่ มีวิมานอยู่ภาคพื้นดิน เป็นเทวดาที่เป็นเทวดาชั้นต่ำที่สุด ที่ชาวบ้านต่าง ๆ นิยมตั้ง ศาลพระภูมิ กัน ทีนี้เรื่องศาลพระภูมินี่ หลานรัก ตามที่หลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านสัมผัสมา ปรากฏว่าเรื่องศาลพระภูมินี่ เป็นแค่การแสดงการยอมรับนับถือระหว่างคน กับเทวดาที่รักษาพื้นที่นั้น

เทวดาท่านไม่ได้อยู่บนศาล วิมานของท่านมี ภุมเทวดานั้น ท่านมีวิมาน ท่านก็มีฤทธิ์ตามสมควร แล้วต่อมาเทวดา หรือนางฟ้ารุ่นที่สอง สูงขึ้นมาหน่อยก็คือ รุกขเทวดา คำว่า รุกขะ หลวงปู่ท่านแปลว่า ต้นไม้ เป็นเทวดาประเภทที่อยู่ตามต้นไม้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าห้อยโหนโยนตัวอยู่บนยอดไม้ เป็นเทวดาที่มีวิมาน แต่ว่าวิมานนี้ต้องอาศัยต้นไม้ เอาวิมานแปะเข้าไว้นิดหนึ่ง แค่แตะนิดเดียว

ไม่ใช่ว่าต้องไปตั้งเต็มที่ ต้นไม้ต้นใหญ่ ๆ มีสาขา มีกิ่งใหญ่ ๆ มีพุ่มใหญ่ ๆ อาจจะมีหลาย ๆ วิมานก็ได้ จะมีทั้งผู้หญิง และผู้ชายก็ได้ และเทวดา หรือนางฟ้าที่สูงไปกว่านั้นก็คือ อากาศเทวดา อากาศเทวดาชั้นที่หนึ่ง ที่เรียกกันว่า จาตุมหาราช ชั้นที่ ๒ ชั้นดาวดึงส์ ชั้นที่ ๓ ชั้นยามา ชั้นที่ ๔ ชั้นดุสิต ชั้นที่ ๕ ชั้นนิมมานรดี ชั้นที่ ๖ ชั้นปรนิมมิตวสวัสตี และสูงขึ้นไปกว่านั้นก็เป็น พรหม

ฉะนั้น นางไม้ที่แสดงตนบอกว่าเป็นรุกขเทวดา ป้าก็เชื่อว่าเป็นของจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาให้ลาภได้ตามสัญญา แต่ป้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ความจริง ต้นไม้หลาย ๆ ต้น หรือทุกต้นที่มีแก่นที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ต้องมีรุกขเทวดาอาศัย แต่ทำไมต้นไม้หลาย ๆ ต้น จึงไม่ตกน้ำมัน อันนี้ป้าก็ไม่เข้าใจ เอาละหลานรัก เวลานี้ก็บ่ายมากแล้วนะ หยุดคุยกันสักครู่หนึ่ง

เดี๋ยวไปนั่งกรรมฐานกันสักพักหนึ่งถึงเวลา ๒ ทุ่ม เลิกกรรมฐานแล้วคุยกันใหม่ก็แล้วกัน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง หรือผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


2
เสาตกน้ำมัน (ต่อ)


ท่านผู้อ่านทั้งหลาย หรือท่านผู้ฟังที่รัก สำหรับตอนนี้ ก็มาคุยกันเรื่อง เสาตกน้ำมัน ต่อไป เป็นอันว่า คุณหลาน กับคุณป้า คุณหลานก็คือ คุณจุไร คุณป้าก็คือ คุณป้าน้อย หลังจากเจริญพระกรรมฐานเสร็จเขาเลิกกันตอน ๒ ทุ่ม หลังจากนั้น ป้ากับหลานก็นั่งคุยกันต่อ คุณหลานก็ถามคุณป้าว่า คุณป้าเจ้าคะ วันนั้นหลวงปู่ท่านคุยหลายเรื่อง เรื่องเสาตกน้ำมัน

เพราะว่าท่านหาเพื่อนคุยไม่ได้ ก็มีหญิงคนนั้นคนเดียวที่คุย ท่านก็เลยคุยเรื่องนั้นต่อไป ท่านบอกว่า ท่านเคยพบมาอีกแห่งหนึ่ง บ้านนี้ท่านบอกชื่อ ท่านบอกว่า เจ้าของบ้านชื่อ คุณเฉลิม คงทอง บ้านอยู่ตำบลคลองแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี สำหรับเจ้าของบ้านคนนี้เดิมที ถือศาสนาคริสต์ ต่อมาเธอก็มีความสนใจในศาสนาพุทธ และก็มีความเคร่งครัด ในเรื่องของพระศาสนามาก

เรื่องบาปกรรมทำลามก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปาณาติบาตก็ดี อทินนาทานก็ดี กาเมสุมิจฉาจารก็ดี มุสาวาทก็ตาม สุราและเมรัยก็ตาม เธอไม่ทำ และถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนหนุ่ม แต่ว่าเป็นคนที่คนเคารพนับถือมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องวัดวาอาราม ถ้าทำบุญทำกุศล ก็ช่วยทุกอย่าง นอกจากช่วยเงินแล้ว ก็ยังไปต้มข้าวต้ม ทำอาหารเลี้ยงคนที่มาในงาน เธอสร้างกุศลใหญ่

และก็แนะนำพวกถือศาสนาเดียวกันให้รู้จักพระพุทธศาสนา ก็มีคนส่วนใหญ่ในคณะของเธอ เข้าร่วมนับถือพุทธศาสนานับร้อยคน แต่ว่าบ้านนี้เดิมทีเดียวก็ไม่มีบ้านใหญ่โตนัก เป็นบ้านธรรมดา ๆ ฝาจาก หลังคาจาก พื้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นพื้นกระดานบ้าง พื้นฟากบ้าง ต่อมา การทำมาหากินหลังจากที่เคารพพระพุทธศาสนาตามสมควร ก่อนที่จะเคารพพระพุทธศาสนาก็เหตุมีอยู่ว่า

ในสมัยนั้นที่ วัดท่าเรือ บ้านคลองแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ญาติโยมแถวนั้นมานิมนต์ให้หลวงปู่ไปช่วยสร้างพระอุโบสถ ท่านก็ไปช่วยสร้างพระอุโบสถ หลวงปู่ท่านก็อาศัยบารมีหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปาน ความจริงท่านมรณภาพไปแล้ว ท่านก็อัญเชิญอาราธนารูปหล่อหลวงพ่อปานไปที่นั่น และก็ทำน้ำมนต์ วิธีทำน้ำมนต์ของท่านก็ไม่มีอะไร

ท่านบอกว่า ท่านเข้าไป ท่าน ชุมนุมเทวดา แล้วก็อาราธนาบารมี พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เทวดา พรหม ครูบาอาจารย์ทั้งหมด ขอให้ช่วยแล้วก็ปักเทียนไว้ที่ปากกระถาง เป็นกระถางใหญ่ คนไปคนมาก็ตักน้ำมนต์กินบ้าง ล้างหน้าบ้าง ก็เป็นเหตุอัศจรรย์ แม้แต่คนไข้กิน ก็หาย คนตกเลือดกินก็หาย เป็นเรื่องอัศจรรย์

ทีนี้สำหรับบ้าน คุณเฉลิม คงทอง เธอก็มาร่วมปฏิบัติ คณะพรรคพวกเธอก็มา แล้วต่อมาอีกปีหนึ่งหลวงปู่ก็นิมนต์ หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ จังหวัดสุพรรณบุรี หลวงพ่อเล็ก เกสโร วัดบางนมโค อยู่วัดเดียวกัน แล้วก็ อาจารย์เจริญ อาจารย์เจริญนี่อยู่ทาง บางกระทิง และหลวงปู่ ก็ไปปักเสาเขตจะสร้างอุโบสถ กลางคืนก็เห็นจะเป็นเหตุอัศจรรย์ คนที่อยู่ไกล ๆ เห็นเป็นดาวดวงใหญ่ลอยอยู่สูง ๔ ดวง ดวงใหญ่มาก แสงสว่างมาก

ทุกคนก็พากันมาดูดวงดาว แสงสว่าง เข้ามาใกล้ ๆ จะเห็นดวงดาวนั้นสว่างปักอยู่บนยอดเสา เสาที่ปัก ๔ เสา เป็นเสาเขต อย่างนั้น ท่านจัดงานประเภทนั้นอยู่ ๑๕ วัน เพื่อรวบรวมสตางค์สร้างพระอุโบสถ ไม่มีลิเก ไม่มีละคร ก็พอดีมีหนังตะลุงโรงหนึ่ง เขามาอาสาเล่น เพียงแค่ขอข้าวสารวันละถัง ชาวบ้านก็เลยให้สตางค์ ข้าวสาร ๑ ถัง ชาวบ้านก็ช่วยให้เงินอีกวันละ ๒๐ บาท เวลานั้น ๒๐ บาท

ก็มีค่ามาก เขาก็เล่นให้ทุกคืน แต่คนที่มานั้นไม่ได้สนใจหนังตะลุง ทุกคนก็ไปที่เขตเสาที่ปัก ไปดูดวงดาว ถ้าเข้าไปติดเสา ดาวหาย ห่างออกมาสักวาหนึ่ง ก็จะเห็นดาวดวงใหญ่ ลอยอยู่บนยอดเสา และสว่างไสวมาก เป็นอันว่า ทุก ๆ คืนมีคนมาก คุณป้าเจ้าคะ หลวงปู่ท่านบอกว่า ที่เป็นอย่างนั้นไม่ใช่อานุภาพของท่าน แต่ว่าสำหรับองค์อื่นก็ไม่ทราบเหมือนกัน

อาจจะเป็นอานุภาพของหลวงพ่อเรื่องก็ได้ หลวงพ่อเรื่องนี่ท่านเก่งมาก เป็นพระรุ่นน้องของหลวงพ่อปาน มีวิชาอาคมดีมาก กรรมฐานก็ดีมาก มีความเป็นทิพย์ของจิตอย่างประเสริฐ สำหรับหลวงพ่อเล็ก เกสโร เป็นพระรุ่นน้องของหลวงพ่อปานก็เก่งเช่นเดียวกัน อาจารย์เจริญนั้นก็เป็นพระที่มีวิชาอาคมมาก แต่หลวงปู่ท่านบอกว่า ตัวท่านเอง ท่านไม่มีอะไร ท่านมีแต่เพียงว่า

เคยเจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อปานมา ก็ไม่ได้อะไรมากมาย ทำเบื้องต้นเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ว่าการที่มีดวงดาวเกิดขึ้นมาอย่างนั้น เห็นจะเป็นอำนาจ พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ และเทวานุภาพ หรือครูบาอาจารย์ช่วย ในเมื่ออานุภาพอย่างนั้นเกิดขึ้น พวกบรรดาคริสต์ทั้งหลายก็เห็นอัศจรรย์ เกิดเคารพพระพุทธศาสนามากขึ้น

ก็ได้เงินเริ่มต้น ในการสร้างพระอุโบสถตามสมควร ก็เป็นอันว่า หลังจากนั้นมา คุณเฉลิม คงทอง ก็ชอบนิมนต์หลวงปู่ไปที่บ้านทุก ๆ ปี ปีหนึ่งนิมนต์ไป ครั้งหนึ่งบ้าง สองครั้งบ้าง มาครั้งหนึ่ง เธอรู้สึกว่าจะมีสตางค์มากขึ้น เพราะนับตั้งแต่มาช่วยพุทธศาสนาแล้ว ปรากฏว่า การทำมาหากินของเธอดีมาก เวลานั้นปลูกหอมขาย ปลูกหอมบ้าง ปลูกเผือกบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นหอม ปลูกหอมขาย

ถ้าชาวบ้านต่าง ๆ เขาขาดทุนกัน คุณเฉลิม คงทอง ก็มีกำไร ๓ - ๔ หมื่นขึ้นไป ถ้าหากว่าชาวบ้านเขามีกำไร คุณเฉลิมก็มีกำไรมากกว่านั้น ในเมื่อเงินประจำบ้านมีอยู่ ก็อยากจะปลูกบ้านให้ใหญ่ ก็หาซื้อบ้านที่เขาสร้างไว้แล้ว ราคาจะถูกกว่าสร้างใหม่ ก็พอดีมีคนเขาบอกว่า ที่อำเภอจอมบึง มีบ้านหลังหนึ่ง ใหญ่ขนาดศาลาย่อม ๆ และไม้ก็ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานั้น ไม้หาง่าย

และก็ไม้พิเศษ นั่นคือว่า ไม้ไม่ต้องขออนุญาต ไม่ใช่ว่ามีสิทธิพิเศษ คือ เจ้าของ (คนตัด) ไม่ได้บอกเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ก็ไม่กวดขันนัก เพราะป่ายังมีมากอยู่ ก็สร้างบ้านเสียใหญ่โต และเสาทั้งหมด เป็นเสาไม้มะค่าโมง บ้านใหญ่มาก ขนาดศาลาย่อม ๆ แต่ว่าเจ้าของบ้านอยู่ไม่ได้ มีคนแสดงตนอยู่เสมอ เป็นคนรูปร่างหน้าตาใหญ่โต ร่างกายใหญ่มาก แสดงให้ปรากฏ

เดินไปเดินมา พูดจาหลาย ๆ อย่าง คือว่าทำให้เจ้าของบ้านกลัว เมื่อสร้างบ้านหลังนั้น เจ้าของอยู่ได้ไม่เกิน ๑ อาทิตย์ ทนไม่ไหว ก็ต้องไปอยู่ที่อื่น ไปปลูกบ้านหลังใหม่อยู่ แล้วก็ประกาศขาย ในเมื่อประกาศขายทีแรก ขายราคาแพง ก็ไม่มีใครซื้อ ต่อมาก็ ลดราคาลงมา ๆ ในสมัยนั้น ถ้าเงินหมื่นก็มากเหลือเกิน เป็นอันว่า บ้านหลังนั้นลดราคาเหลือ ๘ พันบาท ขนาดศาลาย่อม ๆ

ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๘ พันบาทนี่ก็ถือว่า ถูกมากและไม้ก็ดี ไม้ก็หนาทั้งหมด ทั้งฝา ทั้งพื้นทั้งหมด ไม้หนาหมด ดีหมด เพราะไม้เลื่อยเอง แต่ว่าถ้ามีคนจะไปซื้อทีไร คนซื้อก็ต้อง ไม่ซื้อ ขอคืนเงิน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ถ้าขึ้นไปบนบ้านนั้น ก็ปรากฏว่า เจอะคนใหญ่ ๆ นั่งตาแดง หัวหยิก ตัวใหญ่ นั่งขัดสมาธิ ๒ ชั้น มองตาแสดงความไม่เป็นมิตร เหมือนกันทุกรายที่ไปซื้อ

ในเมื่อหลวงปู่ไปที่บ้านคุณเฉลิม คงทอง เธอก็เล่าให้ฟังว่าบ้านนั้น ราคาถูกมาก ถ้าคิดตามราคาเวลานั้น ก็ต้องคิดอย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็น ๗ - ๘ หมื่น ถ้าซื้อไม้ท้องตลาด แต่ว่าบ้านเขาจะขายราคาประมาณ ๘ พัน เธอก็ปรึกษาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็บอกว่า ท่านไม่มีความรู้ทางนี้ ท่านก็เลยใช้วิธีเดา บอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อน

ก่อนที่ท่านจะมาพบนางฟ้าที่คลองมอญ ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เป็นการเดากันถ้าคุณจะซื้อจริง ๆ คุณตั้งใจยอมรับนับถือเทวดาที่เขาอยู่ที่บ้านนั้น และก็ไปเชิญเขามาอยู่ด้วย เมื่อคุณจะไป คุณจัดพาน แล้วเอาผ้าขาวปู ถ้ามีน้ำหอม พรมหน่อยก็ดี มีดอกไม้สักนิดก็ดี ไปที่บ้านนั้น ก็บอกไปตั้งแต่บ้าน ขอเทวดาทั้งหลาย เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ถ้ามีสิงสถิตย์อยู่ที่นั่น

ข้าพเจ้าจะขอซื้อบ้านนั้นเอามาอยู่ที่นี่ ขอเชิญท่านมาอยู่ด้วย ถ้าหากว่าท่านต้องการอะไรจะให้ปฏิบัติแบบไหน ก็จะทำตามทุกอย่าง ก็เป็นอันว่า คุณเฉลิม คงทอง กับพวก ก็ทำตามนั้น เมื่อทำตามนั้น เจ้าของบ้านเห็นเข้าก็ดีใจว่าคราวนี้ขายบ้านได้แล้ว ราคาจาก ๘ พัน ก็ลดลงมา ดูเหมือนจะเหลือประมาณสัก ๖ พัน เพราะเขาขายมานานแล้ว ขายไม่ได้

ก็ในอันดับแรก เธอไปตกลงกับเขาแล้ว ขึ้นไปบนบ้าน ก็เรียบร้อย ไม่มีอะไรสักอย่าง เดินไปเดินมา ก็เห็นทุกอย่างดีหมด พื้นก็ไม้ใหญ่ อันตรายใด ๆ คนที่ว่าเคยคัดค้านก็ไม่มี แต่ก็ปรากฏว่า มีกลิ่นหอม เหมือนกับดอกไม้สด หรือกระแจะบวกกัน ฟุ้งเต็มบ้าน ทุกคนเมื่อปรากฏอย่างนั้น ทุกคนก็นั่งลงกราบ กราบลม คิดว่า ถ้าเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ขอเชิญไปอยู่ด้วยกัน

แล้วหลังจากนั้น ทุกคนก็ถือพานกลับ กลับมาแล้ว ต่อมาก็มาเล่าให้หลวงปู่ฟังว่า บ้านใหญ่โตจริง ๆ ไม้ดีมาก แต่ว่ามีเสาทุกต้นตกน้ำมันหมด และก็มีเสาพิเศษอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ใช้ไปค้ำอะไรทั้งหมด ปักอยู่ข้างนอก ตกน้ำมันเหมือนกัน เจ้าของเขาบอกว่า เสาต้นนี้เขาให้ด้วย หลวงปู่ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็เอาเสาต้นนั้นมาก่อน ไปเชิญเขามาตามเดิม ทำลักษณะเดิม เชิญแล้วก็เอามาปัก

แล้วก็หาเครื่องหอม เอาน้ำหอมมาพรมบ้างและปิดทอง สวมพวงมาลัย คาดผ้าสี แต่ว่าพอปักเสาต้นนั้นเสร็จ ก็ปรากฏว่าตอนกลางคืน เจ้าของบ้านฝัน เห็นเป็นผู้หญิงสาวสวย แต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับ ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้ามาหา เธอบอกว่า ขอขอบใจที่เธอเมตตาฉันและรู้จักฉัน ถ้าต้องการให้ฉันช่วยละก็ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บ้านทั้งบ้านน่ะ รื้อมาได้เลย ฉันนี่เป็นหัวหน้าใหญ่

แต่ว่าทุกวันขออาหารประจำ ในฝันเจ้าของบ้านก็ถามว่า อาหารประจำน่ะ ต้องการอะไร เธอบอกว่า ต้องการไข่ต้มวันละ ๑ ฟองเท่านั้นเอง พอให้เช้าแล้ว ตอนรุ่งขึ้นให้เปลี่ยนไข่ใหม่ เปลี่ยนทุกวัน เจ้าของบ้านก็ยอมรับ เธอก็ทำตามนั้น หลังจากนั้นก็นำเอาบ้านหลังนั้นมา เอามาปลูก พอปลูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่งก็ปรากฏว่าน้ำมันที่เสาทุกต้น ตก ไหลกองบนพื้นดิน

ขาวโพลน เป็นการตกน้ำมันแบบชัดเจนและอัศจรรย์มาก แต่ว่าเหตุที่ต้องนำมากล่าวก็คือว่า บ้านนั้นร่ำรวยยิ่งขึ้น เขาบูชาตามนั้นแหละ รวยมากขึ้นตามลำดับ ฐานะดีขึ้นตามลำดับ ทำมาหากินทุกอย่างก็ดีหมด การปลูกผัก ทำสวนของดำเนินสะดวกเวลานั้น นอกจาก พริก มะเขือ หัวหอม หัวกระเทียมแล้ว ก็ยังมีอย่างอื่น ถ้าปีไหน อะไรจะราคาดี ปีนั้นเทวดาจะเข้าฝันบอกเจ้าของบ้าน

ในเมื่อเจ้าของบ้านทำตามนั้น ก็ปรากฏว่า เขาก็มีความสุข เพราะมีกำไรมาก จุไรเล่าให้คุณป้าฟังว่า หลวงปู่คุยให้ชาวบ้านเขาฟังเวลานั้น วันรับแขก แล้วจุไรก็บอกคุณป้าน้อยว่า คุณป้าเจ้าคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์มากนะ คุณป้านะ เราคุยกันมาสองตอน ว่าถึงเสาตกน้ำมันอย่างเดียว และอยากจะทราบว่า คุณป้าเคยเห็นเสาตกน้ำมันไหม คุณป้าน้อยก็บอกว่า ป้าไม่เคยเห็น แต่เคยได้ยิน

จุไรก็ถามว่า ตามตำรับตำราที่เรียนกัน คุณป้าอ่านหนังสือมาก หนูก็ยังไม่จบ ป.๖ ยังไม่มีโอกาสอ่านหนังสืออื่น คุณป้าเจอะตำราไหมว่า ทำไมรุกขเทวดาจึงมีอานุภาพมาก แล้วก็รุกขเทวดาเกิดมาได้อย่างไร คุณป้าก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ความรู้ของป้าก็ไม่มี แต่ว่าป้า เคยได้ยินหลวงปู่เล่าให้ฟัง พูดให้คนเขาฟังเวลาที่เขามาเจริญกรรมฐาน และมาคุยกับท่าน

ท่านบอกว่า ในสมัยพระพุทธเจ้า มีมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง มีนามว่า อนาถบิณฑกเศรษฐี บ้านนั้นเวลาวันพระ ทุกคนในบ้านนั้นต้องรักษาอุโบสถ ปรากฏว่ามีวันหนึ่ง เป็นวันพระ มีคนจนคนหนึ่งเข้ามาจะเป็นลูกจ้างของอนาถบิณฑกเศรษฐี ท่านก็ถามว่า เธอทำงานอะไรได้บ้าง เขาก็บอกว่า ทำทุกอย่างตามที่ท่านจะใช้

ท่านอนาถบิณฑกเศรษฐี ก็บอกว่า งานอย่างอื่นก็มีเจ้าหน้าที่เต็มหมดแล้ว ที่ยังมีงานพร่องอยู่ก็คือ คนตัดฟืน (เพราะที่บ้านนั้นต้องเลี้ยงคนมาก เลี้ยงพระมาก) คนตัดฟืนมาหุงข้าว เธอก็ยอมรับ หลังจากนั้น เธอกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ถือขวานเข้าป่าไปตัดฟืน ตัดฟืนกลับมาแล้วตอนเย็น พอถึงตอนเย็นก็ปรากฏว่า คนที่บ้านนั้นเงียบสงัด ไม่มีเสียงเอะอะโวยวายเหมือนตอนเช้า

ตอนเช้าต่างคนก็ขอข้าว ฉันขอข้าว ฉันขอแกง ฉันขอกับ ฉันต้องการอย่างนั้น ฉันต้องการอย่างนี้ แต่ว่าตอนเย็น สงบสงัดหมด เธอก็เข้าไปที่ครัว พอเข้าไปถึงโรงครัว แม่ครัวก็จัดอาหารเฉพาะเธอ ถ้าพิจารณาแล้ว กินก็เหลือนิดหน่อยให้ เธอก็ถามว่า วันนี้ ทุกคนในบ้านเขากินข้าวกันหมดแล้วหรือ เห็นเงียบไป ตอนเช้าเอะอะโวยวาย แม่ครัวก็บอกว่า วันนี้เป็นวันพระ ที่บ้านนี้ทั้งหมดทุกคน

วันพระต้องรักษาอุโบสถ แม้แต่เด็กที่กำลังกินนมอยู่ ท่านมหาเศรษฐียังให้บ้วนปาก และกินน้ำผึ้งหรือนมใสนมข้นแทน แล้วนายคนนั้นก็ถามว่า อุโบสถ เป็นอย่างไร แม่ครัวก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันนี่ไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าอยากจะรู้ก็ไปถามท่านมหาเศรษฐีก็แล้วกัน ท่านมหาเศรษฐีสั่ง ทุกคนก็ทำตามสั่ง แต่ความรู้ไม่มี เขาอาจจะพอรู้บ้าง แต่ว่าไม่กล้าอธิบาย

ชายคนนั้นก็เข้าไปหาท่านมหาเศรษฐี ท่านก็แนะนำว่า อุโบสถศีล มีสิกขาบท ๘ คือ ศีล ๘ นี่แหละ แต่รักษาวันหนึ่ง กับคืนหนึ่งเขาเรียกว่า อุโบสถศีล ชายคนนั้นก็ถามท่านมหาเศรษฐีว่า ตอนเช้ามืดไม่ได้สมาทานอุโบสถศีล ตอนเย็นจะสมาทานได้ไหม ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า ถ้ารักษาเต็มวันไม่ได้ รักษาครึ่งวันก็ใช้ได้ เขาก็สมาทานอุโบสถศีลกับท่านมหาเศรษฐี

ท่านมหาเศรษฐีก็แนะนำว่า อุโบสถศีลมีอย่างนี้นะ มี ๘ ข้อนะ ก็ว่ากันตามศีล ๘ หลังจากนั้น ก็เป็นการบังเอิญ เมื่อเขาสมาทานศีลแล้ว เขาก็ไม่ได้กินข้าวเย็น เขากินแต่ข้าวเช้า และกินข้าวกลางวันที่ห่อไป งานตัดฟืนมันก็หนัก แต่เขาไม่ได้กินข้าวเย็น เขาก็มานอนที่พัก พอตกดึกเข้า ลมมันก็เกิด ลมดันขึ้นมา มีอาการจุกอาการเสียดมาก มีคนมารายงานท่านมหาเศรษฐี

ท่านมหาเศรษฐีก็ไปแนะนำ นำอาหารที่มีรสเลิศ ๕ อย่างไปให้กิน บอก กินเสียเถอะ วันอื่น ๆ ยังมีอยู่ วันนี้ไม่เป็นไร ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ วันอื่นยังรักษาได้ ชายคนนั้นก็ใจเด็ด เขาบอกว่า ความดีเต็มวัน
ผมทำไม่ได้ แต่ผมรักษาได้แค่ครึ่งวัน ถ้าผมจะตายเพราะว่า ความดีครึ่งวัน ผมยอมตาย ไม่ยอมกินอาหาร ท่านมหาเศรษฐีจะแค่นเท่าไร เขาก็ไม่ยอมกิน


หลังจากนั้นมา ท่านมหาเศรษฐีก็จำต้องกลับ ถึงเวลารุ่งขึ้น เขาก็ตายพอดี ตายเพราะกำลังใจที่พอใจในอุโบสถศีล เป็นอันว่า บุญในโอกาสที่เขาได้ทำ ทำคราวนั้นคราวเดียว เมื่อตายจากความเป็นคน ก็ไปเกิดเป็น รุกขเทวดา ในเวลานั้นก็ปรากฏว่า มีฤๅษี ๖๐ ท่าน ตั้งใจจะไปบ้านท่านมหาเศรษฐี มี โฆษกเศรษฐี เป็นต้น ซึ่งเขาอาราธนาไว้ว่า

ถ้าเวลาหน้าแล้ง ขอให้ไปรับภัตตาหารที่บ้านเขา เขาจะเลี้ยง ฤๅษี ๖๐ คนนี่นะ แต่ท่านไม่ได้อภิญญา ฤๅษี ๖๐ ท่านนี่ก็ไป ไปถึงต้นไม้ใหญ่ มีพุ่มใหญ่ ก็คิดว่า ต้นไม้นี่มีพุ่มใหญ่ มีเงาดีเรานั่งพักสักครู่หนึ่งดีกว่า พอนั่งพักไปสักครู่หนึ่ง หัวหน้าฤๅษีก็มีความรู้สึก คือท่านไม่ได้ทิพพจักขุญาณ แต่มีความรู้สึกคิดว่า ต้นไม้นี้อาจจะมีรุกขเทวดาที่มีบุญมาก เพราะต้นไม้มีพุ่มใหญ่เหลือเกิน

จึงนึกในใจว่า เวลานี้เราเดินมาเหนื่อย และมีความกระหายน้ำ ถ้าหากว่ารุกขเทวดาจะเมตตาเรา บันดาลน้ำที่สะอาดให้เรากินก็จะดี เทวดาก็บันดาลน้ำให้กิน ต่อมาเธอก็คิดว่า เรากินน้ำแล้ว มันก็หิวข้าว หิวลูกไม้ ถ้าเทวดาบันดาลอาหารให้เรากินได้ก็จะดี เทวดาก็บันดาลให้กิน ต่อมาเธอก็คิดว่า แหม เราเดินมาไกล มันร้อน ถ้ามีสระอาบน้ำได้ก็ดี เทวดาก็บันดาลสระอาบน้ำให้อาบ

เมื่อความประสงค์ของฤๅษีเป็นไปตามความประสงค์ ท่านก็คิดว่า เทวดาองค์นี้ต้องมีอานุภาพมาก ฉะนั้นจึงขอร้องด้วยวาจาว่า ขอเทวดาผู้มีคุณ ขอได้โปรดแสดงตัวให้ปรากฏ เทวดาก็แสดงตัวให้ปรากฏ ท่านก็ถามบอกว่า ท่านรุกขเทวดา ท่านมีบุญญานุภาพมาก ข้าพเจ้าต้องการอะไร ท่านบันดาลให้ได้ทุกอย่าง และเวลานี้ก็เห็นวิมานของเทวดาด้วย เทวดาให้เห็นตัวด้วย เห็นวิมานด้วย

วิมานท่านก็ใหญ่โตมโหฬาร สวยสดงดงาม ตัวท่านก็มีความสง่า มีเครื่องประดับดี มีแสงสว่างมาจากกาย อยากจะทราบว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านทำบุญอะไรไว้ พอท่านฤๅษีถามอย่างนี้ เทวดาก็อาย เทวดาก็บอกว่า อย่าถามผมเลยขอรับ ผมอายเหลือเกิน เพราะบุญผมน้อย ในเมื่อฤๅษีคะยั้นคะยอหนักเข้า ขอร้องมากขึ้น หนักขึ้น

เทวดาก็ยอมตอบว่า ผมมีบุญน้อย เป็นรุกขเทวดาเพราะรักษาอุโบสถครึ่งวัน ตามเรื่องราวที่กล่าวมาแล้ว คุณป้าน้อยก็บอกว่า ที่หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังคนมาก ๆ ในเวลาที่คนมาเจริญกรรมฐาน หลังจากเจริญกรรมฐาน ท่านก็เล่าให้ฟัง แต่ว่าคนที่จะเป็นรุกขเทวดาจะต้องรักษาอุโบสถครึ่งวันเหมือนกันทั้งหมดไหม ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้คนเดียวแต่เพียงคนนี้รักษาอุโบสถเพียงครึ่งวัน

แต่ก็มีบุญญาธิการมาก ฉะนั้น ถ้าหากว่า เทวดาหรือนางฟ้าคนใดที่ท่านเป็นเจ้าของต้นไม้ อาศัยต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง ถ้าเป็นเทวดา หรือเป็นนางฟ้าที่มีบุญญาธิการมากอย่างเทวดาองค์นี้ ป้าก็คิดว่า ต้นไม้ต้นนั้นที่นำมาเป็นเสา หรือนำมาเป็นพรึง หรือนำมาเป็นตง หรือคานก็ตาม เข้าใจว่า คงจะตกน้ำมันเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะมีอานุภาพมาก

จุไรก็บอกว่า แหม คุณป้านี่ความรู้เยอะ หนูก็เพิ่งได้ฟังครั้งนี้เป็นครั้งแรกว่า รุกขเทวดามี และบุญที่เป็นรุกขเทวดาก็มี แต่ว่าคนหลาย ๆ คนที่รักษาอุโบสถเต็มวัน จะไปเป็นรุกขเทวดาได้ไหม คุณป้าน้อยก็บอกว่าหลวงปู่ไม่ได้บอก ป้าฟังมาเพียงเท่านี้ แล้วหลานก็ฟังไว้เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน

แต่ว่าเวลานี้นะ (มองดูนาฬิกา) หลานเอ๊ย มันก็เข้าเวลาไป ๒ ทุ่มครึ่งเศษแล้ว เราก็พักกันเสียก่อนดีกว่า นอนเสียก่อนนะ พรุ่งนี้คุยกันใหม่ ก็ขอลาทุกท่าน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/2/12 at 14:18 [ QUOTE ]


3
อานิสงส์เครื่องเอกซเรย์


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ เกือบจะนึกวันที่ไม่ออก ทั้งนี้ก็เพราะว่า ระหว่างที่พูดนี่ เจ็บคอมาก เสมหะพันคอ โรคเก๊าต์ เจ็บที่เท้ามาก แล้วก็ท้องเสียด แต่ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ออก เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๓ แต่ก็มีความจำเป็นต้องทำไว้ก่อน ทั้งนี้เพราะว่าดูตามรายการแล้ว เดือนมีนาคมก็ดี เดือนเมษายนก็ดี ไม่มีโอกาสจะทำ เพราะว่ามีรายการที่จะต้องทำมีมาก

สำหรับตอนนี้ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท คือ ท่านผู้อ่านก็ดี ท่านผู้ฟังก็ดี มาฟัง คุณป้ากับคุณหลานคุยกัน เป็นอันว่า คุณป้ากับคุณหลานเมื่อมีจังหวะ พอรุ่งขึ้นจากวันที่ ๑๙ เวลาประมาณเที่ยงวัน ใกล้จะถึงเวลาเจริญกรรมฐาน คุณป้ากับคุณหลานก็มาที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เพราะว่าที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เป็นการแนะนำการเจริญกรรมฐานประจำวัน เวลากลางวัน ในเมื่อคุณป้ากับคุณหลานมาพบกันเข้า เวลายังเหลืออยู่

เวลาเหลืออีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาเจริญกรรมฐาน อันดับแรก คุณป้ากับคุณหลานก็จับกลุ่มกัน ปัญหาที่คุณหลานจะถามคุณป้า คุณหลานก็คือ จุไร คุณป้าก็คือ ป้าน้อย เพราะว่าจุไรไปนั่งฟังรับแขกตอนเวลารับแขก ตอนบ่าย ๆ หลังจากเลิกเจริญกรรมฐานแล้ว เธอก็เห็นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาลแม่และเด็กที่ ๖๑ ที่วัดท่าซุง ที่เวลานี้ ท่านรักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการอยู่ (นายแพทย์สุวิทย์ บุณยะเวชชีวิน)

เป็นคนดีมาก เข้าถึงประชาชน เป็นที่รักของผู้ใต้บังคับบัญชา และเป็นที่รักของคนที่มารักษาโรค ทั้งคนไข้ และเจ้าของไข้ (เพื่อนคนไข้) มีอัธยาศัยดี นายแพทย์ท่านก็เอาภาพเอกซเรย์ คือ ภาพเครื่องเอกซเรย์หลายภาพไปให้หลวงปู่ดู ในเมื่อดูแล้ว ท่านนายแพทย์ก็บอกว่า เครื่องขนาดนี้ราคา ๓ แสนเศษขอรับ แต่ว่าเครื่องชิ้นนี้แพงกว่า ราคาอย่างนี้ ผลเหมือนกัน แต่ว่าคนละบริษัท ความจริงเรื่องเครื่องเอกซเรย์นี่ เรื่องราวมีอย่างนี้ อาตมาตั้งใจว่า

การทำบุญประจำปี คำว่าทำบุญประจำปีที่วัดท่าซุงนี่ ไม่ใช่งานของวัด มันเป็นงานส่วนตัวอาตมาเอง ก็คิดว่า ปีหนึ่ง ขอโอกาสทำบุญสักครั้งหนึ่ง ทำเป็นกรณีพิเศษ ถ้าจะมีใครถามว่า ยามปกติทำหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่า เรื่องทำบุญประจำวันน่ะ ทำทุกวัน อย่าง สมถภาวนา พระก็ต้องทำ แล้วก็สั่งสนทนาธรรม ก็ต้องทำ คิดใคร่ครวญสภาวะต่าง ๆ ของร่างกาย ก็ต้องทำ การก่อสร้างของวัด ก็ต้องทำ

การแนะนำธัมมธัมโมแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็ต้องทำ ทั้งหมดนี่เป็นบุญทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีผู้ใต้บังคับบัญชาพิเศษอยู่ประมาณ ๒๐๐ นั่นก็คือ สุนัข ต้องเลี้ยงสุนัข และก็เลี้ยงกันดีหน่อย เพราะทั้งนี้ก็มีความรู้สึกว่า เมื่อตอนเด็ก ๆ อาตมาเองอดอยากมาก เป็นคนอดอยากปากแห้ง ไม่ค่อยมีอะไรจะกินกับเขา เห็นเขากินก๋วยเตี๋ยว กินน้ำแข็ง ไม่มีสตางค์กิน ก็นั่งตาปรือ อยากจะกินน้ำลายไหล ก็กินไม่ได้ ไม่มีใครเขาแบ่งให้

ก็นึกถึงความจริงตอนนั้นว่า ถ้าสุนัขมันจะอด มันอยากจะกินไม่ได้กิน มันคงจะอยากเหมือนเรา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาสุนัขนี่ คนก็พูดไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ถ้ามันจะออกปากขอ หรือทำท่าจะขอ ดีไม่ดีสุนัขก็ถูกตีไปเลยเห็นใจสุนัข สุนัขที่มันเป็นพ่อเดียว แม่เดียว หรือพ่อตัว แม่ตัว เวลาประมาณ ๙ ปีที่ผ่านมา ได้มาเป็นคู่แรกที่ ฉวีวรรณ สรรพกิจ ให้มา เวลานี้ถ้ามันไม่ตายเสียบ้าง มี ๒๐๐ กว่า มันขยายตัวออกมา เฉพาะขณะเวลาที่พูดนี่ ๑๗๐ ตัวเศษ

และก็สุนัขภายนอกอีก ที่มีคนอื่นมาปล่อยอีก รวมแล้วสุนัขที่วัดท่าซุงเวลานี้ ๒๐๐ ตัวเศษ ก็พยายามเลี้ยงกันให้ดีที่สุด เท่าที่ทุนจะพึงมี ก็เป็นความดีอยู่ส่วนหนึ่ง มีญาติโยมสงเคราะห์มาก บรรดาสัตว์พวกนี้ เป็นสัตว์ที่มีบุญ และนอกจากนั้นก็ยังมีนักเรียนอีก ๒๐๐ เศษ ส่วนใหญ่ก็เลี้ยงอาหาร ๓ เวลา อาหารที่เลี้ยงก็ไม่ใช่ว่า เช้า ต้มไข่ เย็น ไข่ต้ม ไม่ใช่อย่างนั้น ก็ทำกันอยู่ที่เรียกว่า ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาต้องถือว่า เป็นกับข้าวในเกณฑ์ดี

และการกินก็ไม่จำกัด ว่ากันจนอิ่ม แล้วสำหรับนักเรียนนี่ ก็มีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทสงเคราะห์ อะไรต่ออะไรมา อาหารการบริโภค อย่าง พระมหาถวัลย์ วัดโพธิ์เมืองปัก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา นี่ขนปลาร้ามาทีละ ๖ ปี๊บบ้าง ๘ ปี๊บบ้าง ของอื่นบ้าง บางทีเผาข้าวหลามมาเป็นร้อย ๆ กระบอก มีญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายให้ของกิน ให้ของใช้ ให้เสื้อผ้า หนังสือ และเครื่องอุปกรณ์การศึกษา เงินการสงเคราะห์

สำหรับท่านที่มีบุญจริง ๆ ท่านทำบุญของท่านจริง ๆ ในเมื่อท่านทำมา อาตมาก็มีโอกาสทำด้วย คือเป็นคนสั่งอีกทีหนึ่ง เป็นอันว่า ทั้งคน ทั้งสุนัข ทั้งพระ ทั้งฆราวาส อยู่ในอกที่ต้องรับภาระจริง ๆ ประมาณ ๕๐๐ เศษ ถึงแม้ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่บรรดาคนอื่นให้มา แต่ว่าอยู่ในอำนาจของอาตมาที่สั่ง ก็เป็นอันว่า ทำบุญทุกวัน ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าเครื่องใช้ไม้สอย ส่วนใหญ่จริง ๆ ก็จ่ายจากเงินที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทถวายเป็นส่วนตัว

เงินที่ถวายเป็นส่วนตัวเท่าไร ทุกเดือน แจ้งในธัมมวิโมกข์จ่ายหมด แต่ว่ามีเงินส่วนหนึ่งซึ่งกันไว้เป็นกรณีพิเศษ นั่นคือ เดือนตุลาคม ๒๕๓๒ คือ ทำบุญวันเกิดเดือนตุลาคม ๒๕๓๒ เท่าไรก็ตาม ทุกปี เงินยอดนี้จะต้องจดยอดไว้ พอเงินมาถึงวัดแล้ว วัดจะใช้อะไร ก็ใช้กันได้ แต่ว่าถ้าถึงเดือนมีนาคม ก็ต้องทวงคืนกัน เฉพาะเงินวันนั้น เอามาเป็นต้นทุนสำหรับทำบุญประจำปี เอาใช้จ่ายประจำปี ถ้าบังเอิญมีกำไรเท่าไร ให้วัดไปหมด ถ้าบังเอิญขาดทุน

ก็เอาเงิน ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทถวายเป็นส่วนตัวจริง ๆ ไม่ใช่ตามอัธยาศัย มาชำระหนี้สงฆ์ เป็นอันว่า ปีนี้ เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๒ ได้รับเงินที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทถวายวันเกิดเป็นส่วนตัวจริง ๆ ๓๒๑,๘๕๖ บาท (สามแสนสองหมื่นหนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบหกบาทถ้วน) แล้วก็เงินอีกส่วนหนึ่งจะใช้ได้ตามอัธยาศัยที่เห็นสมควร นั่นอีก ๓๔๒,๗๕๕.๒๕ บาท (สามแสนสี่หมื่นสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบห้าบาทยี่สิบห้าสตางค์) รวมเป็นเงิน ๖๖๔,๖๑๑.๒๕ บาท (หกแสนหกหมื่นสี่พันหกร้อยสิบเอ็ดบาทยี่สิบห้าสตางค์)

นี่ถือว่าเป็นทุนเริ่มต้นในการทำบุญประจำปี ถึงปีมาทำกันที ทำใหญ่ แล้วบุญที่จะทำอย่างนี้ ก็ปรากฏว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่เป็นเจ้าของเงินทั้งหมดได้บุญร่วมกัน การถวายพระก็รู้สึกว่า ถวายมากกว่าที่เขาถวายปกติ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าไม่ใช่ถวายเฉพาะค่ารถที่ท่านมาและท่านกลับ ถวายให้เหลือไปเพื่อช่วยซ่อมแซมวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย ปีนี้นิมนต์พระทั้งนอกวัด และในวัดทั้งหมด ๘๙ องค์ พระอาคันตุกะอีกกี่องค์ยังไม่ได้นับ ยังไม่รู้

เฉพาะที่มีสิทธิ์ในการถวายจริง ๆ ๘๙ องค์ พระ ๘๙ องค์นี่ ท่านก็มีส่วนที่จะนำสตางค์ทุกบาทที่ถวายท่าน ใช้เป็นส่วนตัวบ้าง ใช้เป็นส่วนกลางบ้าง บางวัดก็เลี้ยงพระ เลี้ยงอาหารเพลพระ อย่างวัดในกรุงเทพฯ อย่าง วัดบพิตรภิมุข เจ้าคุณเทพมุนี องค์นี้เพื่อนกัน ท่านบอกว่า ท่านจัดการเลี้ยงอาหารพระเณรขึ้นมา ตั้งทุนไว้ พอเริ่มตั้งทุนขึ้นมา ยังไม่ได้ใช้ทุน ญาติโยมช่วย

ก็เป็นอันว่า เงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงินค่าเครื่องเอกซเรย์ (เดี๋ยวจะพูดเรื่อยไปแล้ว คนแก่เจ็บคอ มันนึกอะไรไม่ออก) ที่หมอบอกว่า ราคาบางเครื่องก็ ๑ แสน บางเครื่องก็แสนเศษ ก็เลยบอกให้ คุณนิรัตน์ เลาหะสุรโยธิน เจ้าของบริษัทอะไรก็ไม่ทราบ สองคนผัวเมียมาช่วยงานอยู่ที่วัด ให้ติดต่อเพราะพ่อค้า แม่ค้าเขาซื้อของมันถูกกว่าเราซื้อ อย่างเราซื้ออะไรสักอย่างหนึ่ง สมมติว่า ปูนสักถุงหนึ่งจากร้านค้า ราคาถุงละ ๖๗ บาท

เขาจะซื้อได้ประมาณถุงละ ๖๓ บาท มันต่างกัน แล้วปูนเป็นพัน ๆ ถุงนี่ ราคามันลดไปเท่าไร ก็รวมความว่า ให้คุณนิรัตน์ติดต่อ การที่จะซื้อเครื่องเอกซเรย์นี่เอาเงินที่ทำบุญมาตามอัธยาศัยซื้อ เงินทำบุญตามอัธยาศัย ๓๔๒,๗๕๕.๒๕ บาท ถ้าไม่หมดก็สมทบกับเงินส่วนตัว เอาเก็บไว้ถวายพระ จัดงานอื่นต่อไป เงินถวายพระนี่ก็เยอะ ในส่วนที่นิมนต์ก็ ๘๙ องค์ (ไม่ใช่ใบ้หวยนะ นี่มันเลยงานมาแล้ว ไม่ใช่ใบ้หวย)

ทีนี้ก็มาคุยกันว่า ซื้อเครื่องเอกซเรย์ ซื้อมาทำไม ก็ขอตอบบอกว่า เอาไว้ใช้ในโรงพยาบาลฯ เพราะโรงพยาบาลฯ อาตมาสร้างเครื่องทุกอย่างที่ใช้อยู่ เกือบจะเป็นของวัด ในการเริ่มต้นใช้งาน เริ่มต้นสร้างมอบให้รัฐบาลนี่ รัฐบาลมารับปั๊บนี่ มีของทุกอย่างครบถ้วน ใช้งานได้ทันที เครื่องเอกซเรย์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ เครื่องทำฟัน เครื่องทำฟันนี่ หมอบุญสม ซื้อมาให้เตียงนอนตึกหนึ่งก็ ๔๐ เตียงเศษ ก็ไม่น้อยเหมือนกัน

ก็เป็นอันว่า ทีนี้คุณหลานก็เกิดสงสัย คุณหลานจุไรสงสัย ถามคุณป้าน้อยว่า คุณป้าเจ้าคะ ที่หลวงปู่ท่านซื้อเครื่องเอกซเรย์นี่ มันมีประโยชน์อะไร คุณป้าน้อยก็บอกว่า เครื่องเอกซเรย์นี่ มันก็เป็น เครื่องหมอ-ดู (ฟังให้ดีนะ) เครื่องหมอ-ดู สามารถรู้อะไรต่ออะไรได้ คุณหลานก็ถามว่า หมอดูประเภทตามข้าง ๆ ถนน ตามบ้าน ตามสำนักงาน ใช่ไหม คุณป้าก็บอกว่า ไม่ใช่ หมอประเภทนั้นเขาเรียกว่า หมอพยากรณ์เหตุการณ์ข้างหน้า

หรือเหตุการณ์ข้างหลัง แต่ หมอ-ดู นี่เอาตาดู แล้วก็เอาใจพิจารณาคือเอกซเรย์ ถ้าถ่ายภาพติดฟิล์มปั๊บ หมอก็จะทราบว่า คนนี้เป็นโรคอะไร ร่างกายสึกหรอที่ไหน แล้วก็มีภาพเกิดขึ้นบนจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่น่าสนใจก็คือว่า เป็นหมอดูลูกในท้อง ถ้าคนกำลังตั้งครรภ์มา เขาสามารถบอกว่า เด็กในครรภ์จะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย ทั้งนี้ป้าก็เคยได้ยินหมอเขาบอกมาว่า บางครั้งก็พลาดเหมือนกัน บางทีเจ้าเด็ก ผู้ชายมันเอาดอกจำปีมาน้อยเกินไป มองไม่ใคร่เห็น หมอเลยพยากรณ์ว่าเป็นผู้หญิง พอโผล่มาจริง ๆ กลายเป็นผู้ชายไป

แล้วหลานก็ถามว่า นี่เราคุยกันถึงเรื่องเครื่องเอกซเรย์ ทีนี้อยากจะทราบถึงอานิสงส์ อานิสงส์การสร้างเครื่องเอกซเรย์นี่ หลวงปู่เคยบอกไหมว่า มีอานิสงส์เป็นอย่างไร คุณป้าน้อยก็บอกว่า หลานเมื่อสงสัยทำไมไม่ถามพระ ประเดี๋ยวเจริญกรรมฐาน ก็ไปถามพระพุทธเจ้าท่านก็แล้วกัน ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้า ก็มาถามพระพุทธรูป ถ้าพระพุทธรูปท่านไม่ตอบ ก็ไปถามท่านปู่ท่านย่า ถ้าท่านปู่ท่านย่าท่านไม่ตอบ ก็ไปถามท่านแม่

หากว่าท่านแม่ท่านไม่ตอบ ก็ไปถามปู่ใหญ่ กับปู่เล็กที่ดินแดนของพระยายม จุไรก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า เวลานี้หนูถามป้าก่อนดีกว่า ป้าหาทางเลี่ยง ป้าก็บอกว่า ป้าไม่ได้เลี่ยง เมื่อต้องการความจริง ประเดี๋ยวเราก็เจริญกรรมฐาน จุไรก็บอกว่า เอาอย่างนี้ คุณป้าลองบอกก่อน แล้วหนูจะสอบถามพระ เวลาคุณป้าบอกถึงอานิสงส์แล้ว เวลาหนูเจริญกรรมฐาน หนูจะขึ้นไปหาแม่ แม่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือ แม่ศรี แม่ท่านใจดี ไปถึงแม่ท่านก็กอด

ท่านก็รัด ท่านก็สงเคราะห์ หนูจะค่อย ๆ ปะเหลาะถามแม่ท่าน ถ้าแม่ท่านพูดตรงกับป้า ก็แสดงว่าป้ามีความรู้จริง ถ้าแม่พูดไม่ตรงกับป้า แสดงว่าป้ามีความรู้บกพร่อง คุณป้าน้อยก็บอกว่า เอาแล้ว ๆ หลานรัก จะมาสอบป้าหรือ ถ้าอย่างนั้นจะมาถามป้าทำไมเล่า ประเดี๋ยวอีกสิบนาทีก็จะไปแล้ว จุไรก็บอกว่า เอาละ ถามป้าก่อน ป้าก็เลยบอกว่า ป้าขอพูดตามนี้นะ ป้าเป็นคนไม่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนา แต่ว่าวันนั้น

วันที่เราฟังหลวงปู่ท่านพูดถึงเรื่องเครื่องเอกซเรย์ ก็ปรากฏว่าท่านบอกว่า คนที่สร้างเครื่องเอกซเรย์นี่จะมีผลหลาย ๆ อย่าง ท่านยกตัวอย่างเช่น พระอนุรุทธ์ ที่ถวายโคมไฟไว้ในพระพุทธศาสนา เกิดมาชาติหน้า มีทิพพจักขุญาณดีกว่าพระทุกองค์ ทั้ง ๆ ที่เป็น พระวิชชาสาม แต่ว่าทิพพจักขุญาณเป็นเลิศกว่า พระอภิญญาหก หรือปฏิสัมภิทาญาณ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็นเลิศ สำหรับเครื่องเอกซเรย์ หลวงปู่ท่านบอกว่า อานิสงส์ก็คือว่าคล้าย ๆ กับพระอนุรุทธ์

คือ หนึ่ง เจ้าของที่สร้างเครื่องเอกซเรย์ เกิดชาติหน้ามีตาเป็นทิพย์ คำว่า มีตาเป็นทิพย์ หมายความว่า สามารถจะรู้อะไรต่ออะไรได้จากดวงจิตที่เป็นทิพย์ ความจริง ลูกตาไม่ใช่ทิพย์ ใจทิพย์ สามารถจะรู้อะไรทุก ๆ อย่างได้โดยไม่คาดฝัน (ไม่ต้องนึก) อาการต่าง ๆ จะเกิดขึ้นมากับใจเอง ที่เรียกว่า ดลใจ อย่างสมมติว่า การเดินไปข้างหน้าไปอย่างนี้ ถ้าเราจะไปทางนี้ บางทีข้างหน้าจะมีป่าขวางอยู่ รู้ก่อนเกิดมีอารมณ์สงสัยขึ้นมา

ถ้าจะพิสูจน์จริง ๆ ไปก็เจอะป่าจริง ๆ หรือบางทีคิดว่า วันนี้จะมีคนมาให้ลาภ ตื่นขึ้นมาปั๊บ รู้สึกมีจิตใจปลอดโปร่ง มีคนจะมาให้ลาภ วันนั้นมีคนมาจริง ๆ อันนี้ประการหนึ่ง มีใจเป็นทิพย์ ประการที่สอง มีความเข้าใจในโรคที่เกิดกับร่างกายของตัวเอง เพราะเครื่องนี้เป็น เครื่องบอกโรค ให้คนหายจากไข้ได้เพราะหมอเข้าใจในโรค หมอก็ให้ยาถูก ถ้าอาการโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง จะมีความรู้สึกว่า ควรจะใช้ยาแบบนั้น

ควรจะใช้ยาแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่พบหมอ แต่ก็มีความเข้าใจในยา แต่เรื่องยา ถ้าไม่เข้าใจ ก็ไปถามคนขายเขา หรือไม่อย่างนั้นก็ไปถามหมอว่ายาประเภทนี้ชื่อยาอะไร อย่างนี้เป็นต้น เพื่อความไม่ประมาท อันนี้เขาจะมีความเข้าใจเอง ประการต่อไป ที่มีความสำคัญที่สุด คนที่สร้างเครื่องเอกซเรย์นี้ก็จะมี ทิพพจักขุญาณในกายคตานุสสติ เป็นกรรมฐานใหญ่ กายคตานุสสตินี้เป็นกรรมฐานพิจารณาร่างกาย

มีความรู้สึกว่า ร่างกายส่วนไหน มันเป็นอย่างไร มันสึก มันหรอ มันดีหรือไม่ดี จะเห็นว่าร่างกายทุกส่วนไม่มีการทรงตัว อย่าง ตับ ไต ไส้ ปอด มันทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืน มันไม่มีเวลาหยุด มันก็มีการเสื่อมเร็ว แม้แต่หัวใจมันก็เต้นไม่รู้จักหยุด ปอดทำงานไม่รู้จักหยุด ถ้าหยุดเมื่อไร เราก็ตายเมื่อนั้น ก็จะมีความเข้าใจว่า ขึ้นชื่อว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของดี มันเป็นของเลว ที่สร้างขึ้นมาอย่างเลว ๆ แล้วก็มีการอ่อนตัว ต้องปรนเปรอด้วยอาหารทุกวัน

ถ้าขาดอาหารเมื่อไร ร่างกายก็ตายเมื่อนั้น แล้วต่อไปก็จะมีปัญญาสูงไปกว่านั้น จะมีความเข้าใจว่า ถ้ายังมีร่างกายเพียงใด เราก็มีแต่ความทุกข์ เราไม่มีความสุข ความสุขที่จะมีจริง ๆ ก็คือ คนที่ไม่มีร่างกาย คนที่ไม่มีร่างกายอย่างเรา ก็เช่น เทวดา นางฟ้า หรือพรหม แต่ความจริง เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ท่านไม่มีร่างกายที่เป็นเนื้อ ร่างกายท่านมีเหมือนกัน เป็นร่างกายที่เป็นทิพย์ ท่านไม่มีคำว่า แก่ ไม่มีคำว่า หนาว ไม่ร้อน ไม่ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่หิว

ไม่อะไรทั้งหมด มีความสุข แต่ปัญญาของพวกที่สร้างเครื่องเอกซเรย์นี่จะมีสูงไปกว่านั้น ก็จะมีความรู้สึกว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ท่านมีความสุขก็จริงแล แต่ทว่าท่านสุขไม่นาน เมื่อหมดบุญวาสนาบารมี ก็ต้องกลับมาทุกข์ใหม่อย่างพวกเรานี่ พวกเรานี่ก็เคยเกิดเป็นเทวดากันมาแล้ว เคยเกิดเป็นนางฟ้ากันมาแล้ว เคยเกิดเป็นพรหมมาแล้ว นับไม่ถ้วน แต่ในที่สุด เมื่อหมดบุญวาสนาบารมี เราก็ต้องกลับมาเกิดเป็นทุกข์ใหม่อย่างนี้

ในเมื่อทราบอย่างนี้แล้ว กำลังใจก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกาย ไม่มีการต้องการร่างกาย ร่างกายจะแก่ก็เฉย มีความเข้าใจว่า ธรรมดาของมันต้องแก่ ร่างกายจะป่วยก็เฉย คำว่า เฉย หมายความว่า ร่างกายมันเจ็บ ก็รู้ว่า เจ็บ แต่จิตก็ไม่วุ่นวาย ก็ถือว่า ธรรมดาของร่างกายมันเป็นอย่างนี้ ถ้าร่างกายมันจะต้องตาย ก็ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาของมัน ที่จะเข้าใจว่า เป็นเรื่องธรรมดาได้ก็เพราะว่า อำนาจการสร้างเครื่องเอกซเรย์ ทุกคนที่สร้างแล้ว ต่อไปจะมีอารมณ์เป็นทิพย์ อารมณ์เป็นทิพย์ที่มีความสำคัญนั่นคือว่า ก่อนจะตาย ความจริงไม่ต้องไปนั่งรอวันตาย คำว่า

ก่อนจะตายนี่ อีกสัก ๕๐๐ ปีจะตาย อีก ๑,๐๐๐ ปีจะตาย หรืออีก ๒๐๐ ปีจะตาย ๑๐๐ ปีจะตาย ๕๐ ปีจะตายก็ตามที เราจะทราบว่าถ้าขณะใดที่เราตายจากโลกนี้ไป คือร่างกายมันตาย ร่างกายตาย แต่เราไม่ได้ตายไปด้วย จิตใจไม่ได้ตายไปด้วย จิตใจจะไปอยู่ที่ไหน มันจะไปก่อเป็นร่างกายอยู่ที่ไหน บางครั้ง ถ้าบุญบารมีของเรายังอ่อนมันก็จะไปก่อร่างกายอยู่ที่สวรรค์ ผู้หญิงก็เป็นนางฟ้า ผู้ชายก็เป็นเทวดา ถ้ามีบุญบารมี มีฌานบารมีปานกลาง

ก็ไปเกิดเป็นพรหม ถ้าอาศัยการที่ไม่นิยมในการเกิด ในการมีร่างกาย ก็จะไปนิพพาน ฉะนั้น คนทั้งหมดที่ทำบุญประเภทนี้ไว้ ต่อไป กำลังใจที่มีปัญญาอย่างนี้จะเกิด เพราะอาศัยอะไร เพราะว่าช่วยคนเขา ให้เขามีความสุขเพราะเครื่องเอกซเรย์ คือ เครื่องดูร่างกาย ทีนี้คนที่จะไปนิพพานได้ก็ต้องเก่งในกายคตานุสสติ คือ มีความเข้าใจในกายคตานุสสติ ก็คือ มีความเข้าใจในร่างกายนั่นเอง

นี่เป็นอานิสงส์ของการสร้างเครื่องเอกซเรย์ หลานเข้าใจไหม แต่เท่าที่ป้าพูดมานี่นะ ป้าได้ยินหลวงปู่ท่านคุยกับญาติโยมวันนั้น วันนั้นก็เห็น มีญาติโยมหลาย ๆ คน ทำบุญสร้างเครื่องเอกซเรย์กัน จุไรก็ถามว่า ป้ากว่าหนังสือจะออก มันก็เดือนพฤษภาคม มันก็เลยไปแล้ว ถ้าคนจะทำบุญสร้างเครื่องเอกซเรย์จะทำได้ไหม คุณป้าก็บอกว่า ทำได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าหลวงปู่ท่านเอาเงินที่เขาถวายตามอัธยาศัย มาสร้างเครื่องเอกซเรย์ เขาถวายมาตามอัธยาศัยนั้น

หมายความว่า จะทำบุญประเภทไหนก็ได้เอามาก่อน แต่ถ้าบังเอิญคนทำบุญสร้างเครื่องเอกซเรย์มาทีหลัง ท่านก็จ่ายชำระหนี้เงินทำบุญตามอัธยาศัยไป เงินทำบุญตามอัธยาศัยนั้นก็เป็นเงินสังฆทานด้วย และเป็นเงินวิหารทานด้วย เป็นธรรมทานด้วย บุญก็มีอำนาจยิ่งใหญ่ขึ้นมา จุไรก็ถามว่า การสร้างเครื่องเอกซเรย์ ราคามันตั้งสามแสนเศษ เวลานี้ยังไม่แน่นอนว่า คุณนิรัตน์ เลาหะสุรโยธิน จะขอลดได้เท่าไร แต่ว่าคิดกันว่าสามแสนก่อนก็แล้วกัน เงินตั้งสามแสน

ถ้าอย่างหนูนี่ มีสตางค์เวลานี้ แม่ให้มา ๕ บาท เมื่อเช้า ไปซื้อขนมกินบ้าง อะไรบ้างเหลือบาทเดียว จะทำบุญได้ไหม คุณป้าก็บอกว่า ทำได้หลาน ถ้าหลานต้องการให้บุญยิ่งใหญ่จริง ๆ นะ เวลาที่หลวงปู่ท่านมาคุมเจริญกรรมฐาน เวลานั้นท่านต้องทำจิตเป็นสมาธิคุมเรา เขาเรียกกันว่า เข้าสมาบัติ แล้วหนูเองก็ทำสมาธิจิตท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ เวลานั้นก็ถือว่า เป็นสมาบัติ หรือเป็นอภิญญา เป็นสมาบัติสูง ในเมื่อหนูเองเข้าสมาบัติประเภทนั้น

สมาทานศีลด้วย เข้าสมาบัติด้วย ก็เป็นคนที่มีจิตบริสุทธิ์ เขาถือว่า ผู้ให้บริสุทธิ์ ทีนี้หากว่าหลวงปู่ท่านออกจากสมาบัติ เวลานั้นก็ถือว่า จิตท่านบริสุทธิ์ ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ และเงินที่หนูได้มา ก็คุณแม่ให้ เงินก็เป็นเงินบริสุทธิ์ อย่างนี้มีอานิสงส์มาก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ทานมีผลเลิศ

เอาละ จุไรหลานรัก เวลานี้มองดูเวลา เหลืออีกครึ่งนาที ก็ถึงเวลาเข้าเจริญกรรมฐาน ก็ขอหยุดกันก่อน ในเมื่อมีความจำเป็นของการหมดเวลาก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้ฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


4
ปั้นพระบรมรูปรัชกาลที่ ๑, ๕, ๖, ๙

และพระเจ้าตากสินมหาราช


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อนี้ไปก็ขอฟังเรื่องของ จุไรกับคุณป้าน้อย ต่อไป (สำหรับเสียงมันสั่นเครือ กระแอม ๆ ไอ มาก ๆ ถ้าไม่ชัดเจนก็ต้องขออภัยด้วย กำลังเจ็บคอมาก แต่ก็ต้องทำ เพราะว่าเดือนมีนา - เมษา ไม่มีเวลาจะทำ หนังสือนี้ออกพฤษภาคม) เป็นอันว่า หลังจากที่เจริญกรรมฐานแล้ว คุณป้ากับคุณหลาน ก็ไปนั่งที่ใต้ร่มไม้ ต้นแจง พุ่มสวย เป็นพุ่มสวยมาก ก็ไปนั่งดู คุณหลานก็มองไปมองมา คุณหลานนี่ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กเล็ก ๆ

อายุประมาณสัก ๙ ปี ก็รู้สึกว่าช่างดู ช่างคิด เธอหันไปทางพระพุทธรูป ๖๔ องค์ ที่วิหารคต เห็นช่างปิดทองไปแล้ว ๑๐ องค์กว่า ๆ สวยสดงดงามมาก สีเหลืองอร่าม เธอก็ยกมือไหว้ แล้วก็ก้มลงกราบ คุณป้าก็ถามว่า กราบอะไร เธอก็บอกว่า กราบพระพุทธรูป แล้วคุณป้าก็ถามว่า กราบพระพุทธรูปแล้ว มีความรู้สึกอย่างไร เธอก็บอกว่า คล้าย ๆ กับพระพุทธเจ้า ที่เห็นที่พระจุฬามณี เพราะว่าพระพุทธเจ้าที่เห็นที่พระจุฬามณีวันนี้ สีท่านเหลืองอ๋อย

ห่มจีวรสีสวยมาก และเนื้อท่านก็เหลืองคล้าย ๆ จีวร สวยสดงดงาม เนื้อเต็มทุกอย่าง สวยหรูดูก็เพลิน คุณป้าน้อยก็ถามว่า แล้วหนูกราบทูลท่านอย่างไรล่ะ จุไรก็บอกว่า หนูก็ดูเพลิน แล้วท่านก็ยิ้ม ๆ ท่านไม่พูด ต่อมาก็ปรากฏว่ามีพระองค์หนึ่งมาสะกิดข้างหลัง หันออกไปดู พระองค์นั้นท่านบอกว่า ท่านชื่อ พระมหากัสสป แล้วท่านก็บอกว่า ให้ถามพระพุทธเจ้าดูว่า ตามที่เขานิยมกัน เขาบอกว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี

ใช้ผ้าย้อมน้ำฝาด ความเข้าใจจริง ๆ คำว่า ผ้าย้อมน้ำฝาด หมายถึง ผ้าย้อมน้ำกรัก คือว่าสีดำ ๆ แต่ว่าเวลานี้ ทำไมองค์สมเด็จพระภควันต์ จึงใช้ผ้าเหลือง สีสวยด้วย จุไรในเมื่อมีท่านผู้นำตามนั้น ก็ถามตามนั้น กราบทูลถามท่าน ท่านก็ตอบว่า ผ้าย้อมน้ำฝาด ไม่ใช่สีดำเสมอไป ผ้าย้อมน้ำฝาดสีดำต้องถามพระมหากัสสป พระมหากัสสปท่านใช้เป็นปกติ เพราะว่าอยู่ป่าเดินธุดงค์ เปื้อน มองเห็นสิ่งที่เปื้อนยาก เพราะการอยู่ป่าก็ดี

เดินธุดงค์ก็ดี อยู่กับดิน กับทราย หาที่สะอาดยาก หาพื้นเรียบ ๆ ยาก ก็ต้องใช้ผ้าประเภทนั้น สำหรับพระที่อยู่ในเมืองที่อยู่ในบ้าน ก็ใช้ผ้าย้อมสีน้ำฝาดเหมือนกัน แต่ว่าเป็นสีน้ำฝาดของขมิ้นอ้อย สีเหลืองและเวลาที่ท่านแต่งให้ดู ท่านก็ใช้ผ้าสีเหลือง ท่านก็บอกว่า ที่จุฬามณีนี่เหมือนกับอยู่ในบ้านในเมือง ไม่จำเป็นต้องย้อมสีกรัก ไม่ต้องใช้ผ้าดำ แล้วท่านก็บอกว่า กำลังใจของคนไม่เสมอกัน กำลังใจบางคนที่มีเรื่องอุปาทานกิน ก็คิดว่าพระต้องห่มผ้าดำ ๆ เสมอ

แต่บางคนที่มีกำลังใจต้องการความผุดผ่อง ก็ต้องการเห็นพระห่มผ้าสีเหลือง เพราะเข้ากับเนื้อ มองแล้วก็สบายใจ ฉะนั้น ก็ต้องตามใจคนคิด ตามใจคนต้องการ เวลาอยู่บ้านปกติ อยู่ในบ้านในเมือง ปกติเราก็นุ่งผ้าเหลือง ห่มผ้าเหลืองกัน ถ้าทราบว่าที่ไหนเขานิยมห่มผ้าสีดำ เราก็ห่มไป ก็เอาตามนั้นก็แล้วกัน มันไม่มีความจำเป็น คำว่า ผ้าย้อมน้ำฝาด หมายถึง สีกรักก็ได้ หมายถึงสีเหลืองที่ย้อมด้วยขมิ้นอ้อยก็ได้ ฉะนั้น ในประเทศไทยเรา

จะเห็นพระจากพม่าก็เหมือนกัน เวลาบวชเขาก็ใช้ผ้าสีเหลืองกัน อุปัชฌาย์ให้สีเหลือง พระท่านก็ห่มผ้าสีเหลืองกัน ที่นิยมใช้ผ้าสีดำ ๆ จริง ๆ นั้นมีน้อย เวลาคนที่เขาเห็นจริง ๆ เขาบอกว่า การเห็นพระห่มสีเหลืองนั้น ชื่นใจ จิตใจผ่องใสเหมือนสีทอง แต่ก็มีคนบางกลุ่มเหมือนกัน เห็นพระห่มเหลืองเข้าก็ติว่า ทำไมจึงห่มสีส้มเสมอ ๆ ทำไมไม่ห่มสีกรัก แต่คนประเภทนี้มีส่วนน้อย สรุปแล้ว ชาวโลกเรายังติดสีสันวรรณะ ยังชอบคำว่า สวย เขาชอบอย่างไหน

ทำอย่างนั้น เวลานี้หนูขึ้นมา หนูก็ชอบสวย ฉันก็เลยต้องห่มผ้าสีสวย ๆ ให้ ตามปกติพระที่เข้านิพพานแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวเหมือนพระแบบนี้ ตามที่เคยเห็นมาแล้วใช่ไหม จุไรก็กราบทูลว่า เห็นแล้ว จุไรก็กราบเรียนป้าน้อยว่า หนูเห็นพระเขาปิดทอง หนูคิดว่า เหมือนพระพุทธเจ้าที่จุฬามณี สวยมาก จุไร เธอก็บอกว่า พระตั้งหลายองค์ ตั้ง ๖๐ กว่าองค์ หลวงปู่สร้างได้อย่างไร เอาสตางค์ที่ไหนมาสร้าง

ป้าน้อยก็บอกว่า สตางค์ที่สร้างน่ะหลานรัก เขามีเจ้าของหมดแล้ว พระที่เรียงแถวอยู่นี่ทั้งหมด ๖๔ องค์ แต่ความจริงเขามีเจ้าของที่จ่ายเงินมาครบแล้วน่ะ ๙๐ องค์เศษนะหลาน เวลานี้หลวงปู่ยังไปสร้างที่ ๒๐ ไร่ สร้างอีก ๖๐ องค์ จำนวน ๖๐ องค์นั้นก็มีเจ้าของเข้าไปแล้ว ๔๐ องค์ แล้วมีเจ้าของให้เงินไม่ครบอีก ๒๐ องค์ ไม่ช้าก็ครบหลาน เห็นคนถามป้าหลายคนว่า พระยังเหลือไหม ๆ ป้าก็คิดว่า ถ้า ๒๐ ไร่แถวตะวันตกหมด ก็มีแถวตะวันออกอีก

สร้างอีกได้ประมาณ ๖๐ องค์ ถ้าหมดนี้ก็หมดที่ทำแล้ว หลวงปู่บอกว่า ถ้าหมดที่นี้นะ ถ้าท่านผู้ใดยังส่งมาไม่ครบ ก็จะไปรวมสร้างพระใหญ่หน้าตัก ๘ ศอก ที่ศาลา ๑๒ ไร่ ให้เป็นเจ้าของร่วมกัน ทั้งนี้เพราะว่า ไม่มีสถานที่จะสร้างต่อไป จุไรก็เลยถามป้าว่า ถ้าอย่างนั้น พระชำระหนี้สงฆ์ หรือพระหน้าตัก ๔ ศอกนี่ ก็คงไม่ช้า ก็คงจะหมด เจ้าของที่จะสร้างใหม่ก็คงหาที่ไม่ได้ คุณป้าก็บอกว่าป้าก็คิดว่า อีกไม่เกิน ๑ ปี คงมีเจ้าของหมดแน่

เพราะระหว่างนี้ เมื่อ ๓ - ๔ วันที่ผ่านมานี่ มาเป็นเจ้าของส่งเงินครบ ๕ หมื่นบาท ๖ หมื่นเศษบ้าง หลายรายด้วยกัน มาทุกวัน ๓ - ๔ วันนี่ มีเจ้าของทุกวัน หลังจากนั้น จุไรก็มองไปมองมาเห็น พระบรมรูปรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๖ รัชกาลที่ ๙ ที่พูดนี่เป็นหน้ามณฑปด้านทิศตะวันออกแล้วก็มาหน้ามณฑปด้านทิศตะวันตก ก็มีรูป พระเจ้าตากสินมหาราช จุไรก็ถามว่า คุณป้าเจ้าคะ หลวงปู่ท่านทำทำไม พระราชาในประเทศไทย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมัยรัตนโกสินทร์มีตั้ง ๙ รัชกาล แต่ว่าหลวงปู่ก็ทำรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๙ แต่ไม่ครบ คือ รัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๙ แล้วต่อไปด้านโน้นก็มีพระเจ้าตากสินฯ ป้าน้อยก็บอกว่า หลานรัก พระมหากษัตริย์ทุกองค์ของประเทศไทย เป็นผู้มีพระคุณใหญ่กับคนไทย ทุกองค์ แต่สำหรับที่หลวงปู่ปั้นขึ้นมานี่ก็อาศัยว่า

รัชกาลที่ ๑ วันจักรี เขาทำบุญกัน เขานมัสการท่าน ถวายความเคารพ
วันปิยะมหาราช เขาก็ถวายความเคารพ รัชกาลที่ ๕
วันลูกเสือ เขาก็ถวายความเคารพ รัชกาลที่ ๖
วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๕ ธันวาคม เขาก็ถวายความเคารพ รัชกาลที่ ๙

วันตากสินมหาราช เขาก็ถวายความเคารพ พระเจ้าตากสินมหาราช
ท่านก็ทำไว้เฉพาะเท่านี้ เพราะสถานที่ก็มีจำกัด แล้วจุไรก็ถามว่า หลวงปู่ให้ช่างเขาปั้น หรือว่าใช้ช่างเขาหล่อ คุณป้าน้อยก็บอกว่า ทราบจากหลวงปู่ท่านบอกว่าท่านให้ปั้นท่านไม่ต้องการให้หล่อทั้งนี้เพราะอะไร เพราะสตางค์ท่านไม่มี ท่านจะบอกบุญใครเขาก็เกรงใจญาติโยมพุทธบริษัท เพราะงานของวัดที่สร้างอย่างอื่นมีมาก ที่คั่งค้างก็เยอะ

ถ้าไปบอกบุญเข้าก็เกรงว่าจะเป็นการกวนใจ จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้นหลวงปู่เอาสตางค์ที่ไหนมาสร้าง คุณป้าน้อยก็บอกว่า หลวงปู่ท่านมีสตางค์อยู่ส่วนหนึ่ง เป็นส่วนของท่านเอง เป็นเงินตั้งแต่ก่อนบวช เพราะญาติผู้ใหญ่ให้ไว้ โยมให้ไว้ คำว่า โยม เป็นโยมผู้หญิง จุไรก็ถามว่า คำว่า โยม หมายถึงอะไร คุณป้าเจ้าคะ คุณป้าก็บอกว่า หลานไม่ทราบหรือ โยม ก็คือ แม่ จุไรก็ถามว่า โยมแม่ของหลวงปู่มีกี่องค์ ป้าน้อยก็บอกว่า โยมแม่ของหลวงปู่ที่ให้สตางค์ไว้มี ๔ องค์

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น คุณพ่อของหลวงปู่มีเมีย ๔ คน ใช่ไหม ป้าน้อยบอกว่า ไม่ใช่ คุณพ่อของหลวงปู่มีเมียคนเดียว จุไรก็ถามว่า ทำไมถึงมีแม่ตั้ง ๔ องค์ ป้าน้อยก็เลยบอกว่า เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เมื่อสมัยที่หลวงปู่ยังมีอายุน้อย ๆ อยู่ ท่านก็ปฏิบัติตนเป็นคนไม่กินเหล้าเมายา ไม่เล่นการพนัน เอาเท่านี้ก็แล้วกัน แล้วการงานก็ขยันตามสมควร งานไม่คั่งค้าง แล้วก็ไม่ชอบเที่ยวเตร่ ก็เลยเป็นที่รักของคนแก่

ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายเหล่านั้นก็มีความรู้สึกรักท่านเหมือนลูก ก็เลยขอให้ท่านเป็นลูก คนนั้นก็เป็นแม่ คนนี้ก็เป็นแม่ ทีนี้พอท่านทั้งหลายเหล่านั้นตายลงไป ปรากฏว่า พินัยกรรมตกท่านแต่ผู้เดียวทั้งหมด ไม่ได้ระบุให้คนอื่น เป็นแต่เพียงว่า ให้ผู้นี้มีสิทธิ์ในพินัยกรรม แต่ท่านเองท่านก็ไม่รับทรัพย์สินทั้งหมดไว้ ขอให้พระผู้ใหญ่ เช่น สมเด็จพุฒาจารย์ วัดอนงค์ เป็นต้น ที่เป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ช่วยจัดการให้ ก็สืบสวนว่า ใครเป็นลูกเป็นหลาน

ลูกนั้นไม่มีแน่ ท่านพวกนี้ไม่มีลูก ใครเป็นหลานใกล้ชิดเคยปฏิบัติมา ก็แบ่งทรัพย์สินไปตามสมควร เป็นอันว่า แบ่งหมด ท่านถือว่า ท่านไม่ใช่ลูกจริง ๆ ในสมัยที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ ท่านก็สงเคราะห์ให้มีความสุขพอแล้ว เคยไม่มีกินมีใช้ ก็มีกินมีใช้ เคยเห็นเขากินขนม ไม่มีสตางค์กินขนมก็น้ำลายไหล ต่อมาก็มีสตางค์กินขนม อยากจะใช้เสื้อผ้าอะไร ท่านก็หาให้ทุกอย่าง ท่านถือว่า เป็นลูก ท่านรักเหมือนลูก

ท่านบอกว่า มีความรู้สึกว่า เท่านั้นพอ และทรัพย์สินต่าง ๆ ควรจะได้กับลูกหลานจริง ๆ ของท่าน ลูกไม่มี ก็ได้กับหลาน คนรับใช้ เป็นต้น ก็ให้ สมเด็จพุฒาจารย์ วัดอนงค์ ช่วยจัดการ จัดบุคคลผู้ใหญ่มา จัดสรรปันส่วนกันหมดเกลี้ยง (ต๋อง) ท่านไม่ได้เลย แต่ว่าคนที่เขารับสตางค์นั่นแหละ ต่อมาเขาเกิดความรู้สึกว่า ท่านผู้มีสิทธิ์จริง ๆ กลับไม่ได้เงินใช้ แต่พวกเราเองไม่มีสิทธิ์ในพินัยกรรม กลับได้เงินใช้ เขาก็ต่างคนต่างรวบรวมกัน แบ่งกันคนละเล็ก

คนละน้อย ก็หลายสตางค์ เอาเข้าธนาคาร ฝากไว้ในนามของหลวงปู่ และเวลาผ่านไปนาน เขาอาจจะลืมไปก็ได้ เผลอไป เวลาผ่านไปประมาณ ๒๐ ปี เขาจึงได้แสดงตน เอาบัญชีมาโอนให้ เงินมันก็งอกมา ตั้ง ๒๐ ปีนี่หลานรัก มันก็หลายสตางค์ หลวงปู่ก็เอาจัดการก่อสร้างเสียประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เหลือ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านก็เอาไว้กินไว้ใช้ของท่านเองตามความต้องการ

ฉะนั้น จะเห็นว่าเงินที่ถวายมาเป็นส่วนตัว ในธัมมวิโมกข์เขียนไว้ว่า จ่ายหมด ไม่เหลือ แต่คำว่า จ่ายหมด ไม่เหลือ อย่างนี้จะถือว่า ไม่ได้ใช้เงินเลยหรือ ก็ต้องตอบว่า ต้องใช้ เรื่องใช้ของท่านก็มีมาก แต่ว่าท่าน ก็เอาดอกเบี้ยของเงินเล็กน้อยที่มีอยู่ มาใช้ตามอัตภาพของท่าน ฉะนั้น การสร้างพระบรมรูป รัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ รัชกาลที่ ๙ และพระเจ้าตากสินฯ ทั้งหมดนี้ท่านค่อย ๆ แคะเอาดอกเบี้ยเงินของท่าน นิด ๆ หน่อย ๆ

เอามาค่อย ๆ ทำ แล้วก็ช่างที่ทำก็ไม่ได้จ้าง คือ มีพระองค์หนึ่งชื่อว่า สามารถ เป็นครูโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา สำเร็จมาจากโรงเรียนช่างศิลป์ กรมศิลปากร วัดนี้มีช่างแรกที่มาจากกรมศิลปากร นอกนั้น ป.๔ หมด รับอาสาทำให้ไม่คิดเงินค่าจ้างรางวัลอะไรทั้งหมด ทำให้เอง แล้วก็รูปที่มีความสำคัญจริง ๆ คือว่า พระมหากษัตริย์ทุกองค์ อย่าง พระเจ้าตากสินฯ ที่พวกเราควรจะเคารพรักบูชาเพราะว่า

ประเทศไทยเวลานั้น อยุธยาแตกถ้าไม่ได้พระเจ้าตากสินฯ นำทัพเข้ามากู้ชาติ เราก็เป็นขี้ข้าเขา และ รัชกาลที่ ๑ ก็เป็นกำลังใหญ่ของพระเจ้าตากสินฯ ต่อมาก็ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ตีข้าศึกพังออกไปหลายวาระ ถ้าไม่ได้ท่าน พวกเราอาจจะเป็นขี้ข้าชาติอื่นเขา สำหรับ รัชกาลที่ ๕ ก็ทรงรักษาผืนแผ่นดินไว้ได้ ไม่ต้องเป็นขี้ข้าของอังกฤษและฝรั่งเศส ทั้ง ๆ ที่เขาล้อมเข้ามา ใช้วิธีการผ่อนสั้นผ่อนยาว ตามบาลีที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

เราจะไม่ยอมเสียอะไรเลย ถ้ามีความจำเป็นต้องเสีย เราจะยอมเสียทรัพย์ แต่ว่าไม่ยอมเสียอวัยวะ ถ้ามีความจำเป็นถึงอาจจะต้องตาย เราจะยอมเสียอวัยวะ แต่ไม่ยอมเสียชีวิต ฉะนั้น ในเมื่ออังกฤษกับฝรั่งเศสบุกรุกเข้ามาถึงขนาดนั้น ถ้าเราสู้เขา เราก็เสียทั้งประเทศ ความเป็นเอกราชของเราจะไม่มี เหมือนพม่ากับอินเดีย ฉะนั้น เราจึงใช้วิธีผ่อนปรน แบ่งที่นั้นไป เขายึดที่นั้น แบ่งที่นั้นไป แลกที่ดินมา ค่อย ๆ เจรจากับเขา

ในที่สุด เราก็ยังมีโอกาสเป็นประเทศเอกราชได้จนทุกวันนี้ และต่อมารัชกาลที่ ๕ ทรงเลิกทาส ให้คนทุกคนเป็นอิสระ แต่ว่าการทำความดีของพระมหากษัตริย์นะ หลานรัก ทุก ๆ รัชกาล แม้แต่รัชกาลปัจจุบันก็ตาม จะให้คนเขาชอบทุกคนมันก็แสนยาก อย่างรัชกาลที่ ๕ ทรงเลิกทาส ใช้เวลาหลายปี คนเจ้าของทาสเขาไม่ค่อยจะยอมและเขาก็ไม่ค่อยจะชอบท่าน แต่ในที่สุด ท่านก็สามารถทำได้ นี่ต้องต่อสู้กับกำลังใจ และความเห็นของคน ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

ต่อมา รัชกาลที่ ๖ ก็ทรงมีความสำคัญกับชาติเยอะ ตามประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สอนให้คนรู้จัก ประชาธิปไตย ระบบประชาธิปไตย ระบบการป้องกันชาติ คือ มี ลูกเสือ เกิดขึ้นเป็นกองทัพน้อย ๆ เป็นการฝึกนักรบไว้เป็นส่วนย่อย ถือว่าเป็นกำลังสำรอง ประวัติศาสตร์ท่านมีแล้วนะ สำหรับ รัชกาลที่ ๙ นี่กำลังใหญ่มาก ท่านช่วยด้านอาชีพนี่หลานรัก หนักที่สุด หนักเท่า ๆ กับการรบ

เพราะการรบของพระมหากษัตริย์ อย่างรัชกาลที่ ๑ ท่านก็รบเป็นจังหวะเป็นเวลา อย่างรัชกาลที่ ๙ นี่รบทุกวัน ไม่รบแต่กลางวัน รบถึงกลางคืนด้วย นั่นก็หมายความว่า อาชีพของคน ความเป็นอยู่ของคน เขามีทุกข์ที่ไหน ตั้งใจไปช่วย เมื่อไปช่วยกลับมา ถึงเวลากลางคืนก็ต้องคิด ก็ต้องวางแผน เช้าก็ต้องทำงาน รับภาระในตำแหน่งพระมหากษัตริย์หนักมาก

ก็รวมความว่า พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ มีพระคุณมาก หลวงปู่ถือว่า ท่านเป็นข้าราชบริพารของพระองค์ อยู่ในแผ่นดินและก็ตั้งไว้เพราะที่นี่มีโรงเรียน เวลาถึง วันจักรี นักเรียนก็จะได้มาไหว้ที่ตรงนี้ไม่ต้องไปไหน วันปิยะมหาราช ก็มาไหว้ที่ตรงนี้ ที่เดียวกัน วันลูกเสือ ก็มาไหว้ตรงนี้ วันเฉลิมพระชนมพรรษา ก็มาไหว้ตรงนี้ และถึง วันพระเจ้าตากสินฯ ก็ไปไหว้ตรงโน้น ก็รวมความว่า มาในที่เดียวกันหน้าลานของวิหาร ๑๐๐ เมตร

และอยู่หน้ามณฑป หลานพอมีความเข้าใจหรือยัง จุไรก็ตอบว่า เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แล้วจุไรก็ถามว่า แล้วพระสามารถล่ะ หลวงปู่ไม่ให้อะไรเลยหรือ ป้าน้อยก็บอกว่า หลวงปู่ยังไม่ได้บอก แต่ว่าพระสามารถก็เหมือนกัน บอกว่า ยังไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ต้องการทำให้ปรากฏขึ้น ให้มีขึ้น ให้สำเร็จให้ได้ นี่เป็นกำลังใจของท่าน จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าหากว่า คนจน ๆ อย่างหนูนี่จะเอาสตางค์ไปถวายพระสามารถ เป็นการช่วยแรงงานท่าน ท่านก็ต้องกินต้องใช้

ก็มีความจำเป็นเรื่องการเงินนี่ มีความจำเป็นด้วยกันทุกคน ถ้าหนูจะบอกบุญ บอกคุณแม่บ้าง บอกคุณพ่อบ้าง บอกคุณยายบ้าง บอกคุณตาบ้าง เอามาคนละบาท ห้าบาท เก้าบาท สิบบาท รวมให้ จะดีไหม ป้าน้อยก็บอกว่า หนูก็จะได้บุญร่วมกับท่าน เพราะท่านลงแรง ใช้วิชาความรู้ และก็ต้องกินต้องใช้ ถ้าทำอย่างนั้นจะมีคุณประโยชน์มาก ก็ถือว่า เป็นการช่วยกันรักษาความดีของชาติ คือ เคารพในพระมหากษัตริย์ ถ้าเรายังมีความเคารพ

มีความกตัญญูรู้คุณต่อท่านผู้มีคุณ ความเจริญก็จะมีกับเราเพียงนั้น แล้วจุไรก็ถามว่า เวลานี้ พระเจ้าตากสินไปเกิดที่ไหน ป้าน้อยก็ตอบว่า เรื่องนี้ถามป้าไม่ได้หรอก และก็ไม่ควรจะไปถามหลวงปู่ ทางที่ดีเวลาที่หนูเจริญกรรมฐาน ก็ไปที่ ชั้นดุสิต ไปดูซิว่า วิมานของพระเจ้าตากสินฯ มีที่นั่นไหม เพราะท่านปรารถนา พุทธภูมิ ถ้าปรากฏว่าที่วิมานชั้นดุสิตไม่มีก็แสดงว่า พระเจ้าตากสินฯ ลาพุทธภูมิแล้วไปนิพพาน

จุไรก็ถามว่า พระเจ้าตากสินฯ ท่านฆ่าคนมาก ไปนิพพานได้อย่างไร คุณป้าน้อยก็บอกว่า พระเจ้าตากสินฯ ท่านฆ่าคนมากที่หลานสงสัยว่า ไปนิพพานได้อย่างไร ป้าก็จะบอกว่า องคุลิมาล ก็ฆ่าคนมาก ทำไมถึงไปนิพพานได้ มันอยู่ที่กำลังใจของเราต่างหาก ถ้ากำลังใจของเราทำความผิดมาแล้ว ที่เรียกกันว่า บาป แต่ภายหลัง ถ้ากำลังใจเกิดเป็นบุญเป็นกุศลขึ้นมา และมีการเบื่อหน่ายในร่างกาย

คิดว่า มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ตาม ไม่มีอะไรดีทั้งหมด ร่างกายทุกส่วนของเราไม่มีอะไรจะดี เราขืนเกิดอย่างนี้ก็มีแต่ความทุกข์ ประการที่สอง บาปเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ บาป คือ ความชั่ว ความชั่วทุกอย่าง การทะเลาะวิวาทกับเขาก็ดี เป็นศัตรูคนนั้น เป็นศัตรูคนนี้ก็ตาม การลักการขโมยเขา การแย่งความรักเขาก็ดี การดื่มสุราเมรัยก็ตาม มันไม่ดีทุกอย่าง มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราไม่ต้องการ เราเลิก

เรามานั่งคิดถึงความเป็นจริงว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เข้ามาผสมกัน มีอาการ ๓๒ มี ตับ ไต ไส้ ปอด เป็นต้น ไม่ช้ามันก็พัง ในเมื่อมันพังแล้ว เรา คือ จิต ที่สถิตย์ในร่างกาย ก็ต้องท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ ตามกำลังความดี หรือความชั่ว ความดี คือ บุญ ความชั่ว คือ บาป และคิดว่า ถ้าเราต้องไปเกิดแบบนี้ ก็ต้องไปพบกับร่างกายระยำแบบนี้เรื่อยไป เราไม่เอาละ ต่อนี้ไปเราจะสร้างแต่ความดีอย่างเดียว คือ

๑. ไม่หลงในร่างกาย คิดว่า สักวันหนึ่งข้างหน้า เวลาใกล้ ไม่ช้าร่างกายก็ตายแล้ว จะตายก็ช่างมัน เป็นเรื่องของมัน เราก็ทำบุญทำกุศลของเราไว้ คือ เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ หลังจากนั้นไปก็มี ความเคารพใน ศีล เคารพใน กรรมบถ ๑๐ และต่อไป เราก็ตัดสินใจไม่มัวเมาในกามารมณ์ มันยังมีบ้าง มันจำเป็นต้องผ่าน ผ่านไปแล้วก็เบื่อ อารมณ์อย่างนี้ไม่เป็นเรื่อง หนัก ๆ เข้าอารมณ์เบื่อมันเกิดความชินขึ้นมา

มันก็หยุด ไม่คิดอีก ต่อไปเราก็มา ตัดอารมณ์ที่ไม่พอใจคนอื่น คิดว่า ตามธรรมดาของคนทุกคนที่เกิดมา ต้องการความสุขเหมือนกันหมด ต้องการความดีเหมือนกันหมด แต่ว่าต้องทำบางอย่างเป็นที่ไม่พอใจของคนอื่น เพราะกรรมที่เป็นอกุศลบังคับ บาปเก่า ๆ มันบังคับให้ต้องทำอย่างนั้น เราต้องเห็นใจเขา เขาด่ามา เราก็ยิ้มเสีย อย่าด่าตอบ เอาตามอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอกกับพราหมณ์ ที่พราหมณ์มาด่าท่าน เมื่อพราหมณ์ด่าแล้ว พระพุทธเจ้าก็เงียบ

พราหมณ์ก็หาว่า พระพุทธเจ้าท่านแพ้ เขาบอกว่า พระสมณโคดม แกแพ้ข้าแล้ว พระพุทธเจ้าถามว่า แพ้ตรงไหน เขาก็ตอบว่า ฉันด่าแก แกไม่ด่าตอบ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ตถาคตมีความรู้สึกว่า ถ้าคนใดโกรธตถาคตมา หรือด่าตถาคตก็ตาม ถ้าตถาคตโกรธคนนั้น หรือด่าคนนั้นตอบ ตถาคตเลวกว่าคนนั้นนะ รวมความว่า ถ้าเราโกรธตอบ หรือด่าตอบ เราก็เลว เราเลิกเลวแล้วนี่ เราก็ไม่โกรธ และไม่ด่าเขา เขาด่าก็ช่างเขาเป็นไร ปล่อยเขาบ้าไปแต่ผู้เดียว

หลังจากนั้น เราก็มาตัดสินใจว่า ขึ้นชื่อว่า ความโง่ ที่หลงในมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก จะไม่มีสำหรับเราต่อไปอีก เราต้องการอย่างเดียว คือ พระนิพพาน หลังจากนี้เราจะไม่ดิ้นรน เราจะตั้งใจวางเฉยในร่างกาย กายจะแก่ถือว่า ธรรมดาของร่างกาย กายจะป่วยถือว่า ธรรมดาของร่างกาย กายมันหิว เราก็กิน ธรรมดามันต้องกิน กินแล้วมันแก่ต่อไป ก็ช่างมัน การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้นถือว่า

ธรรมดาของชาวโลก ความตายเข้ามาถึงก็ถือว่า ธรรมดาของมัน แต่ว่า ธรรมดาของเราคือ เราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก เราไม่ต้องการ มนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก เราต้องการนิพพาน เอาละ หลานรัก เวลาสัญญาณพระท่านตั้งไว้หมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/3/12 at 15:40 [ QUOTE ]


5
ปัญหาของคนบุรีรัมย์

ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย วันนี้ วันที่บันทึกตรงกับ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ แต่ว่าหนังสือนี้จะออก เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๓ ต้องทำไว้ก่อน เพราะว่าเวลาข้างหน้าไม่มี สำหรับวันนี้ ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง หรืออ่าน เรื่องของคุณป้ากับคุณหลานต่อไป เป็นอันว่า หลังจากการเจริญพระกรรมฐานแล้ว คุณป้ากับคุณหลานก็นั่งคุยกันตามปกติ วันนี้เปลี่ยนสถานที่ใหม่ ออกมาจากวิหาร ๑๐๐ เมตร นั่งที่แท่นขอบต้นแจง ต้นแจงมีพุ่มสวย

คุณหลานก็มองไปมองมา มองมามองไป คุณหลานก็ถามคุณป้าว่า คุณป้าเจ้าคะ (คุณป้าน้อย) เวลานี้ ต้นแจงต้นนี้เป็นต้นไม้ที่มีแก่น ต้นไม้ที่มีแก่นนี่ตามธรรมดา ตามพระบาลีท่านบอกว่า ต้นไม้ที่มีแก่น สูงตั้งแต่ ๑ คืบขึ้นไป ย่อมมีวิมานของรุกขเทวดา หนูอยากจะทราบว่า ต้นนี้มีหรือเปล่าเจ้าคะ ป้าน้อยก็มองไปมองมา ไม่ได้หลับตา คือ มองต่ำ ไม่มองสูง การที่มองต่ำก็คือว่า ไม่ต้องการให้ตาทอดไปไกล ใช้กำลังใจเป็นสมาธิ

ใช้เวลาประมาณครึ่งนาที คุณป้าก็ตอบว่า ต้นนี้มีรุกขเทวดา มีทั้งเทวดาผู้ชาย และมีทั้งเทวดาผู้หญิง และเป็นเทวดา หรือนางฟ้าที่มีคุณกับเรามาก ในวันก่อนโน้นที่เรามานั่งคุยกันตรงนี้ เราเที่ยวเพลินไป ใช้เวลาในเมืองมนุษย์ตั้ง ๓ วัน ท่านรุกขเทวดาทั้งสองท่าน ก็จัดการทำรั้วรอบขอบชิดกันไม่ให้คนเข้ามาเกี่ยวข้อง ร่วมกับเทวดาชั้นจาตุมหาราช

หนูจุไรก็บอกว่า นั่งตรงนี้โปร่งสบาย พุ่มก็สวย ลานก็เรียบ ความจริง ต้นแจงนี่ เป็นต้นไม้ที่มีคุณ มีประโยชน์มาก คุณป้าน้อยก็ถามว่า มีคุณ มีประโยชน์อย่างไร จุไรก็บอกว่า ถ้าต้นแจงนี้เป็นต้นยาง หรือต้นไม้เต็ง ไม้รัง ไม้สัก ป่านนี้ต้นแจงนี้ก็ไม่มีแล้ว บังเอิญต้นแจงเป็นต้นแจง เป็นไม้ที่คนไม่นิยมใช้ ในลานที่หลวงปู่ท่านทำไว้ที่หน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร จึงเป็นป่าแจงที่มีความสวยสดงดงามมาก หนูชอบต้นแจง

แล้วจุไรก็พูดต่อไปว่า คุณป้าเจ้าคะ เมื่อตอนบ่าย วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ วันนั้นตอนบ่าย หนูออกจากกรรมฐานแล้ว ก็ไปฟังหลวงปู่ท่านคุยกับแขก ก็ปรากฏว่า มีแขกมาจากหลายถิ่น มาจากกรุงเทพฯบ้าง มาจากนคร สวรรค์บ้าง มาจากบุรีรัมย์บ้าง และมาจากจังหวัดสุพรรณบุรีบ้าง เหมารถบัสกันมา และก็มีรถเล็ก ๆ เยอะ จากนครสวรรค์ก็มาถึงสองพวก แต่ว่าในจำนวนนั้นทั้งหมด ไม่ใคร่จะมีใครคุย มีคนคุยที่ต้องคิดอยู่คนหนึ่ง คือ

คุณลุงคนนั้นมาจากจังหวัดบุรีรัมย์ หลวงปู่ท่านก็ไม่ได้ถามชื่อ หนูก็ไม่รู้จักชื่อ อายุของท่านประมาณ ๗๐ ปีเศษ ๆ เห็นจะได้ ท่านเข้ามาใกล้หลวงปู่ ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ ท่านถามว่า ทำบุญอย่างไร ได้บุญขอรับ และทำบุญอย่างไร ไม่ได้บุญ หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า โยม การทำบุญมันต้องได้บุญ แล้วคุณลุงคนนั้นพูดต่อไปบอกว่า เวลานี้เห็นเหลืองไปหมด นั่นหมายความถึง พระ ตามถนนหนทางก็เหลือง ตามวัดก็เหลือง ที่ไหน ๆ ก็เหลือง

ผมอยากจะถามว่า เหลืองไหน ทำบุญ จะได้บุญ เหลืองไหน ทำบุญ ไม่ได้บุญ หลวงปู่ท่านก็ตอบใหม่ว่า คุณโยม การทำบุญทุกจุดไม่ว่ากับพระองค์ไหน ได้บุญทั้งหมด นั่นก็หมายความว่า การทำบุญที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส ต้องได้บุญ แต่ว่าอานิสงส์จะไม่เสมอกัน อย่างทำบุญกับท่านที่ไม่มีศีลเลย ๑๐๐ ครั้ง ก็มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่มีอานิสงส์สู้คนที่เคยมีศีล แต่ศีลขาดแล้ว ๑ ครั้งไม่ได้

ทำบุญกับคนที่เคยมีศีล แต่ศีลขาดแล้ว ๑๐๐ ครั้ง ก็สู้ทำบุญกับคนที่มีศีลบริสุทธิ์ ๑ ครั้งไม่ได้ ทำบุญกับคนที่มีศีลบริสุทธิ์ ๑๐๐ ครั้ง ก็มีผลไม่เท่ากับทำบุญกับคนที่ปฏิบัติเพื่อพระโสดาปัตติมรรค ๑ ครั้งไม่ได้ หลวงปู่ท่านก็อธิบายว่า ผู้ปฏิบัติเพื่อพระโสดาปัตติมรรค หมายความว่า คนที่ตั้งใจเจริญกรรมฐานด้วยความจริงใจ ตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่ว่ายังไม่เป็น พระโสดาปัตติมรรค แล้วท่านก็ไล่เบี้ยไปถึงในที่สุดท่านบอกว่า

การถวายสังฆทาน มีอานิสงส์มากที่สุดทางด้านวัตถุ ที่สูงจากสังฆทานคือ วิหารทาน ที่ได้บุญสูงสุดยิ่งกว่าทานใด ๆ ทั้งหมดก็ได้แก่ ธรรมทาน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สพฺพ ทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ชนะทานทุกอย่าง หนูนั่งฟัง หนูก็พยายามจำ แล้วหนูก็มีปากกาอยู่ด้ามหนึ่ง หนูก็จดใส่ฝ่ามือ ที่หลวงปู่ท่านพูด

คุณลุงคนนั้นฟังแล้ว ท่านจะหายสงสัย หรือไม่หายสงสัยก็ไม่ทราบ ท่านก็เดินถอยหลังกลับไปเข้าที่เดิม ท่านก็ย้อนถามใหม่ว่า หลวงพ่อขอรับ ผมอยากจะถามจริง ๆ ทำบุญอย่างไรจึงไม่ได้บุญ ตอนนี้หลวงปู่ท่านบอกว่า ไม่เคยพบตำรา ตามลำดับทานที่กล่าวมาแล้วก็ถือว่า เป็นบุญทุกอย่าง แต่ได้บุญมาก บุญน้อย ไม่เสมอกัน ต่อมาหลวงปู่ท่านก็บอกว่า อาตมานึกขึ้นมาได้แล้ว คือ

ในสมัยครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ อาตมาไปช่วยที่ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ช่วยในการก่อสร้าง แต่สัญญาการช่วยมีแค่ ๒ ปี ในเวลานั้นท่านก็สอนกรรมฐาน ถึงเวลา ๒ ทุ่มทุกวัน พระเณรทั้งหมดต้องมาเจริญกรรมฐานร่วมกัน แต่ก็มีอยู่วันหนึ่งปรากฏว่า มีบ้าน ๆ หนึ่ง อยู่ใกล้วัด เขามีคนตาย เขาก็มานิมนต์พระ ทั้งพระ ทั้งเณรทั้งหมด เป็นอันว่า คืนวันนั้น ในเมื่อมีคนตายกันขึ้น และนิมนต์พระเณรไปหมดทั้งวัด

การเจริญพระกรรมฐานก็ต้องหยุด เมื่อถึงเวลาเจริญกรรมฐาน ในเมื่อไม่มีใครมาเจริญด้วย เพราะว่าเขาไปกันหมดวัด อาตมาเองไม่ได้ไป เมื่อถึงเวลาก็เริ่มสมาทานกรรมฐานแต่ผู้เดียว เมื่อสมาทานกรรมฐานเสร็จ เริ่มจับอานาปานสติตามปกติ เมื่อจิตรวมตัวดีแล้วก็มีความรู้สึกว่า คืนนี้ไม่มีใครปฏิบัติร่วมด้วย เราจะไปทางไหนดี การไปเที่ยวนรกก็ดี แดนเปรตก็ดี แดนอสุรกายก็ตาม สวรรค์ก็ตาม พรหมโลกก็ตาม นิพพานก็ตาม เป็นของปกติ

แต่ทว่า เรามาอยู่วัดนี้ เวลาหลายเดือนแล้ว ยังไม่เคยเดินรอบบริเวณวัด เพราะตอนด้านข้างของวัดก็ดี ตอนหลังวัดก็ดี เวลานั้นเป็นป่าไผ่ทึบ กลางวันก็ไม่เคยไปเดินดู เพราะไม่มีเวลาว่าง มีแขกมาบ้าง ทำงานประจำบ้าง เวลากลางคืนก็ไม่มีเวลาว่าง ต้องสอนกรรมฐานบ้าง อธิบายธรรมะกันบ้าง วันนี้เราว่าง ไปเดินรอบ ๆ วัดดูทีรึ เมื่อสมาทานเสร็จ รวบรวมกำลังใจดีแล้ว เห็นว่าจิตมีกำลังดีพอ ก็ออกจากกุฏิ เดินไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ทางด้านทิศใต้ของวัด

เดินอ้อมบริเวณไปในป่าทึบ พอถึงตอนหลังวัด ทางด้านทิศตะวันตก หรือทิศใต้ ตอนนั้นเป็นป่าทึบ ป่าใหญ่ แล้วก็อยู่ใกล้กองฟอนที่เขาเผาศพ เดินเข้าไปใกล้กองฟอน พอเลยไปนิดหนึ่ง ก็พอดีเห็นอาคารหลังหนึ่ง เป็นบ้านที่มีความสวยสดงดงามมาก มียอดกลาง ดูแล้วคล้ายกับมณฑป แต่ทว่าพื้นไม่สูง พื้นสูงจากแผ่นดินประมาณเมตรเศษ ๆ แล้วก็มีคน ๆ หนึ่งนั่งอยู่บนบ้านนั้น แล้วก็มีบรรดาบริวารประมาณ ๒๐ คน นั่งอยู่ข้างล่าง ด้านหน้าของบ้าน

พออาตมาไปยืนตรงนั้น ก็ได้ยินเสียงคนบนบ้านเขาถามกันว่า เฮ้ย พวกเรา คนบ้านใต้วัดเขาตายกัน แล้ววันนี้เขานิมนต์พระ นิมนต์เณรทั้งหมดวัด (วัดปากคลองมะขามเฒ่า) ดูเหมือนว่าจะไม่ไปกันอยู่ ๒ องค์ คือ พระครูวิชาญชัยคุณ เจ้าอาวาส กับ พระมหาวีระ ที่มาช่วยงาน ข้าอยากจะทราบว่า มีใครไปบ้านนั้นบ้างหรือเปล่า ก็มีคนยกมือขึ้นประมาณ ๑๐ คนเศษ แล้วกล่าววาจาบอกว่า พวกผมไปมาขอรับ

แล้วคนบนบ้านเขาก็ถามว่า แล้วพวกเอ็งได้อะไรมาบ้าง บรรดาคนพวกนั้นก็บอกว่า พวกผมไม่ได้อะไรมาเลยขอรับ ท่านถามว่า ทำไม เขาทำบุญ แล้วก็นิมนต์พระ นิมนต์เณรทั้งวัด จัดว่าเป็นคณะสงฆ์ การถวายทานแก่สงฆ์ หรือถวายสังฆทาน มีอานิสงส์มาก ทำไมเอ็งจึงไม่ได้มา พวกนั้นก็บอกว่า มันเป็นอย่างนี้ครับ ผมจะเล่าให้ฟัง คือว่า คนที่บ้านนั้น เมื่อศพตายไปแล้ว คนที่มาช่วยงานศพก็ดี หรือว่าเจ้าของบ้านก็ดี เขาก็ตั้งวงเหล้าวงใหญ่

นั่งกินกันแบบสบาย ๆ เป็นการคลายความโศก พวกที่มีความโศก ก็กินคลายความโศก คนที่ไม่มีความโศก ก็กินเพื่อความรื่นเริง เป็นอันว่า คนทุกคนที่มาในงานนั้น เมาเกือบหมด เมื่อเวลาพระมาถึงบ้าน ก็ไม่แสดงความเคารพอะไร เพราะเขาถือว่า พระ คล้าย ๆ กับ ลูกจ้าง ที่จะมาในงาน จ้างมาสวด ตามความรู้สึกของเขา เขาก็ทำตัวเป็นกันเองกับพระตลอดเวลา แล้วเวลานั้น ต่างคนก็ต่างยังเมากันอยู่ ต่อมา เวลาอาราธนาศีล อาราธนาธรรม

ก็คนเมาอาราธนาศีล อาราธนาธรรม เวลาพระให้ศีล คนเมาก็รับศีล เวลาพระสวดอภิธรรม คนเมาก็ฟังอภิธรรม ในที่สุด ในเมื่อความเมามันเป็นบาป มันเข้าไปขังอยู่ในจิตใจแล้ว ความเยือกเย็น คือ บุญ มันก็เลยเข้าไม่ได้ ก็เป็นอันว่า บรรดาพวกผมทั้งหมดที่ไป ไม่ได้อะไรมาเลยครับ จุไรจึงบอกกับป้าน้อยบอกว่า คุณป้าเจ้าขา พอหลวงปู่ท่านเล่ามาถึงตอนนี้ แล้วท่านก็บอกคุณลุงที่มาจากบุรีรัมย์บอกว่า อาตมาไม่มีตำรา เป็นแต่เพียงได้ยิน ได้ฟังมาอย่างนี้ว่า

การทำบุญไม่ได้บุญ เพราะว่า คนที่เริ่มจะทำบุญ สร้างบาปก่อน คือ การกินเหล้า ทำลายศีลข้อที่ ๕ คือ สุราเมรัย แล้วคุณลุงนั่นก็ถามว่า ก็ศีลอีก ๔ ข้อ เขายังมีนี่ครับ หลวงปู่ท่านก็บอกว่า ในเมื่อเทวดา ท่านพูดอย่างนั้น แล้วโยมก็ลองคิดดูว่า คนเมาจะมีศีลข้อไหนเหลือบ้าง

๑. ปาณาติบาต ในงานนั้นมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
๒. อทินนาทาน ที่บ้านนั้นมีการเล่นการพนันกัน ไม่ได้รับอนุญาต
๓. กาเมสุมิจฉาจาร ก็ทราบไม่ได้เหมือนกันว่า ใครจะทำอะไรกัน
๔. มุสาวาท เมื่อเมามาแล้วก็ โม้ เป็นของธรรมดา

ก็รวมความว่า ศีล ๕ แม้แต่ข้อใดข้อหนึ่ง ถ้าพลาด ก็ชื่อว่าบุคคลนั้นบาป ในเมื่อบาปเข้าไปสิงใจแล้ว บุญมันก็เข้าไม่ได้ ก็ตามที่โยมถามมาว่า ทำบุญประเภทไหน จึงจะไม่ได้บุญ ก็ขอตอบตามนี้ คุณลุงก็ถามว่า คนที่นั่งบนบ้านหลังนั้น เป็นใครขอรับ ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่ท่านตอบว่า ตอนกลางวันอาตมาก็ไปดูความจริง บ้านที่นั่นไม่มี ไปดูมันก็เป็นแต่เพียงป่า ตามการสันนิษฐานก็เห็นว่า ที่เห็นนั่นเป็นวิมานของภุมเทวดา เพราะว่าวิมานของภุมเทวดานั้น

ตั้งอยู่กับภาคพื้นดิน และพื้นก็ไม่สูงนัก มีความสวยสดงดงามมาก เท่าที่เห็นในเวลากลางคืน และอีกประการหนึ่ง ท่านเจ้าของบ้านก็ดี หรือคนที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ดี ลักษณะท่าทางสวยสดงดงาม ลักษณะดีมาก แล้วก็มีแสงสว่างออกจากตัว แสดงว่าทุกท่านที่พูดนั้นเป็นเทวดา ท่านอาจจะให้อาตมาเข้าใจว่า การทำบุญที่ไม่ได้บุญนั้น ก็คือ เอาบาปนำหน้า แล้วก็ทำบุญ อย่างการจะทำบุญที่บ้าน หรือที่วัดก็ตาม ฆ่าสัตว์ เช่น ฆ่าปลาบ้าง ฆ่าหมูบ้าง ฆ่าเป็ดบ้าง ฆ่าไก่บ้าง

แล้วก็เอามาทำบุญอย่างนี้ ในเมื่อบาปเข้าไปสิงใจแล้ว บุญก็เข้าไปไม่ได้ อาตมามีความเข้าใจตามนี้นะ แล้วก็เทวดาท่านพูดอย่างนี้จะผิดจะถูก ก็เป็นเรื่องของเทวดาไป จุไรก็บอกกับคุณป้าน้อยบอกว่า ในเมื่อหลวงปู่ท่านพูดอย่างนี้ คุณลุงคนนั้นก็ยกมือ สาธุ ๆ เข้าใจแล้วครับ ๆ (นี่ก็เป็นปัญหาข้อที่หนึ่ง เรามาคุยกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทีนี้ก็เป็นเรื่องของคนกรุงเทพฯ เป็นผู้หญิง) ต่อมา ในเมื่อคุณลุงนั้นมีความเข้าใจดีแล้ว

ก็ปรากฏว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งจากกรุงเทพฯ เป็นคนผิวขาว ทรวดทรงดี อายุประมาณสัก ๔๐ ปี การพูดการจามีลักษณะท่าทางดี มีลีลาดีมากเข้ามาใกล้หลวงปู่ แล้วเขาก็ยกมือไหว้ ไหว้แล้วเขาก็กราบ เขาบอกว่า ท่านเจ้าคะ ฉันเพิ่งมาวัดนี้เป็นครั้งแรก แต่ความจริง เมื่อก่อนนี้ วัดอื่นฉันก็ไม่ค่อยจะไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าไม่เข้าใจเรื่องของบุญกุศล คือ พูดกันง่าย ๆ ก็เรียกว่า เรื่องบุญ เรื่องกุศล ไม่ค่อยจะเชื่อ แต่ทว่าเวลานี้เชื่อแล้ว

ก็เสียงหลวงปู่ท่านถามว่าแล้วหนูอยู่ที่ไหน หญิงคนนั้นก็บอกว่า หนูอยู่กรุงเทพฯเจ้าค่ะ เสียงหลวงปู่ท่านถามว่า แล้วหนูทำงานอะไร เธอบอกว่า เธอเป็นคนทำงานเสริมสวย ตั้งร้านเสริมสวย หลวงปู่ท่านก็บอกว่า มีเรื่องอะไรก็คุยไปเถอะ ดีเป็นเพื่อนกัน จะได้ไม่เหงา เวลานี้ฉันเหงา ฉันหาเพื่อนคุยไม่ได้ เธอก็บอกว่า เมื่อก่อนหน้าจะมานี้ประมาณสัก ๓ เดือน คืนหนึ่งนอนอยู่ที่บ้าน เวลาว่างจากงานแล้ว ขณะที่นอนอยู่ วันนั้นไม่ทราบว่ามีความรู้สึกเป็นอย่างไร

มันนึกอยากจะสวดมนต์ จึงลุกขึ้นจุดธูปบูชาพระ แต่ความจริงก็ไม่ค่อยเชื่อบุญ ไม่เชื่อกุศล แต่ว่าทางบ้าน สามี
เขาชอบบูชาพระ ก็บูชาตามเขา ทุกวันที่บูชา ไม่ได้มีความเลื่อมใส บูชาเฉย ๆ เขาบูชา ก็บูชา ที่บูชาก็เพราะรักสามี เกรงว่าถ้าไม่บูชาตามเขา เขาจะไม่รัก ก็เลยบูชาพระ แต่ว่าคืนนั้นเกิดศรัทธาขึ้นมาเอง นอนแล้ว หลังจากนอนไปประเดี๋ยวหนึ่ง จิตใจก็เริ่มสงบสบาย ก็อยากจะบูชาพระ จึงลุกขึ้นจุดธูปเทียนบูชาพระ และที่โต๊ะพระก็มีทั้งเทียนไฟฟ้าแสงสว่างหลายดวง สว่างมาก ก็เปิดทุกดวง สามีเห็นเข้าก็ถามว่า เธอจะบูชาพระหรือ

เธอก็ตอบว่า เมื่อกี้นอน ๆ รู้สึกอยากจะบูชาพระ สามีก็ดีใจโมทนาด้วย แต่ว่าสามีเขาบูชาแล้ว เขาก็ไม่บูชาอีก เขาก็นอนหันหลังให้ ในเมื่อขณะที่บูชาพระอยู่ จิตใจมันอยากจะสงบ พอบูชาพระว่า นโมฯ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สวด อิติปิโสฯ จบ ก็นั่งเฉย ๆ เห็นสามีเขาบอกว่า เวลานั่งเฉย ๆ ให้ภาวนาว่า พุทโธ ก็ว่าตามที่นึกได้ว่า เขาภาวนาว่า พุทโธ ได้ เราก็ภาวนาว่า พุทโธ ได้ ขณะที่ภาวนาอยู่ ๒ - ๓ คำ

ก็เห็นภาพพระสงฆ์องค์หนึ่ง ลอยมาในอากาศ เป็นภาพปูนปลาสเตอร์ ในเมื่อเข้ามาใกล้ ห่างจากตัวออกไปสัก ๒ วา ภาพปูนปลาสเตอร์ค่อย ๆ กลายมาเป็นคน เมื่อกลายมาเป็นพระสงฆ์ธรรมดาแล้ว ปรากฏว่า รูปร่างหน้าตาท่านแช่มชื่น ยิ้มแย้ม สดชื่นมาก และก็มีแสงสว่างออกจากกาย ในเมื่อมองดูท่าน ท่านก็ยิ้มเฉย ๆ เห็นมีแสงสว่างมาก ภาพสดชื่น ก็นึกในใจว่า ที่สามีเขาเต็มใจบูชาพระ เขาอาจจะเคยเห็นภาพอย่างนี้

ภาพอย่างนี้เป็นภาพที่มีความสดชื่น ชื่นใจมาก ก็ดูไม่อิ่ม ไม่เบื่อ เวลาดูนั้นไม่ได้หลับตาดู ลืมตาดู เธอเห็นในการลืมตา ประมาณสัก ๕ นาที ภาพนั้นก็เริ่มค่อย ๆ คลายตัว ค่อย ๆ จางไป เมื่อเริ่มค่อย ๆ คลายตัวท่านก็บอกว่า ฉันคือหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เพียงเท่านี้ท่านก็หายไป แล้วหลังจากนั้นเธอก็บอกว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็เริ่มมีความเลื่อมใสว่า การที่ชาวบ้านเขาบูชาพระ มีคุณมีประโยชน์อย่างนี้ บูชาแล้วก็เห็นพระ

ถ้าใจสบายเห็นพระ ต่อมาคืนวันหลัง ๆ เธอก็ลองทำใหม่ ลองทำอีก ถ้าใจไม่สบายถึงขนาดนั้น เธอไม่เห็น ถ้าวันไหนบูชาไปโดยไม่ตั้งใจ คิดว่าบูชาไป ว่าไปเรื่อย ๆ แบบสบาย ๆ จิตไม่คำนึงถึงอะไรทั้งหมด พอจิตเริ่มสบาย ก็เห็นภาพหลวงพ่อปานอีก และท่านก็ประกาศตัวว่าฉันคือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค มาในลักษณะเดิม มีแสงสว่างออกจากกายมาก หลังจากนั้นมาเธอก็เริ่มสนใจในพระพุทธศาสนา ความจริงเวลาไม่นานประมาณ ๓ เดือนมานี่เอง

สนใจแล้วก็หาประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อปานว่า หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค นั้นอยู่ที่ไหน ไม่เคยได้ยินชื่อมาเลย ต่อมาก็มาได้ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่บ้านเจ้ากรมเสริมฯ ที่กรุงเทพฯ พออ่านแล้วก็ทราบว่า หลวงพ่อเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน หนูก็มานี่แหละ หลวงปู่ท่านก็ถามเธอว่า เธอมามีความประสงค์อะไร เธอก็บอกว่า ความประสงค์ใหญ่นั้นไม่มี มีอย่างเดียวคือ อยากจะทราบว่า หลวงพ่อปานนั้น มีองค์จริงไหม

แล้วก็ที่หลวงพ่อเป็นลูกศิษย์ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน มีองค์จริง ๆ หรือเปล่า เวลานี้พบแล้วทุกอย่าง ก็มีความมั่นใจ หลวงปู่ก็เลยบอกกับเธอบอกว่า ถ้าต้องการจะเข้าใจจริงตามพุทธศาสนาก็พยายามใช้อารมณ์สมาธิ การทำสมาธิมี ๔ แบบ แบบที่หนึ่งเรียกว่า สุกขวิปัสสโก แบบนี้ทำจิตใจเป็นสมาธิได้ เป็นฌานสมาบัติได้ และก็เป็นพระอริยเจ้าได้ เข้านิพพานได้ แต่ไม่มีความเป็นทิพย์ของจิต จิตไม่สามารถจะเห็นผี

เห็นสวรรค์ เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นพรหมได้ วิธีที่สอง ที่เรียกว่า เตวิชโช คือ วิชชาสาม วิชชาสามนี้ก่อนที่จะเป็นพระอริยเจ้า ก็เริ่มฝึก ทิพพจักขุญาณ ก่อน เมื่อได้ทิพพจักขุญาณแล้ว ต่อมาก็ฝึก บุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติได้ เมื่อจิตเป็นทิพย์ และสามารถระลึกชาติได้ เราก็จะเห็นสวรรค์ เห็นเทวดา เห็นพรหมโลก เห็นอะไรต่ออะไรได้ตามความต้องการ สามารถระลึกชาติต่าง ๆ ได้

หลังจากนั้นก็ทำจิตให้หมดกิเลส ไปนิพพานได้ อย่างนี้จะหมดสงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างที่สาม เรียกว่า ฉฬภิญโญ คือ อภิญญาหก อย่างนี้มีความเป็นทิพย์ เห็นสวรรค์ เห็นพรหมโลก เห็นนรก เห็นแดนเปรตได้ แล้วก็ไปแดนนั้น ๆ ได้ อย่างนี้เรียกว่า อภิญญา ต่อมาก็ ปฏิสัมภิทาญาณ มีความสามารถทั้งวิชชาสาม และอภิญญาหก และก็มีความฉลาดมาก

การที่หนูเห็นหลวงพ่อปานในวันนั้น เวลานั้นจิตกำลังเข้าถึง อุปจารสมาธิ พอดี ตามธรรมดาจิตของเราถ้าเข้าถึง อุปจารสมาธิ จะมีอารมณ์เป็นทิพย์ จิตจะเริ่มเป็นทิพย์ เพราะสะอาดจากกิเลสพอสมควร ในเมื่อจิตเริ่มเป็นทิพย์ ก็สามารถจะได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ จะสามารถเห็นภาพที่เป็นทิพย์ได้ แต่ความจริงการเห็นนั้น เห็นจากจิต ไม่ได้เห็นจากลูกตา แต่ว่าถ้ากำลังกิเลสบางมากจริง ๆ ก็จะมีความรู้สึกว่า คล้ายกับเห็นจากลูกตาจริง ๆ

แต่ความจริงเห็นจากจิต ไม่ใช่จากลูกตา เธอฟังแล้วเธอก็เข้าใจ จุไรก็บอกคุณป้าบอกว่า หลวงปู่ก็ถามว่า เธอเคยเจริญกรรมฐานไหม เธอก็ตอบว่า เพิ่งทำคราวนั้นเป็นครั้งแรก ก็ไม่ทราบว่าเป็นกรรมฐาน หลวงปู่ก็บอกว่า นั่นแหละ กรรมฐาน และความเป็นทิพย์ของจิตของเธอ (ทิพพจักขุญาณ) เธอเคยได้แล้วมาในชาติก่อน และเธอคงจะมีความผูกพันกับหลวงพ่อปานในฐานะเป็นลูก เป็นหลาน เป็นลูกศิษย์ลูกหากันมาก่อนก็ได้

ฉะนั้น ต่อไปขอให้พยายามฝึกกรรมฐาน ในด้านของวิชชาสาม หรืออภิญญา จะได้พบพูดจากับหลวงพ่อปานก็ดี เทวดา หรือพรหมทั้งหลายก็ดี สามารถจะคุยกันได้ คนที่ตายไปแล้วก็คุยกันได้ เอาละ คุณป้า พอถึงเวลาเท่านี้ ก็เป็นเวลาพอดีที่หลวงปู่ท่านกลับจากการรับแขก หนูก็หยุดแค่นี้นะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/3/12 at 08:50 [ QUOTE ]


6
พระไม่เชื่อว่า สวรรค์ นิพพาน มี


ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย ต่อนี้ไปก็ขอให้ทุกท่านฟังเรื่องราวของ คุณป้ากับคุณหลานคุยกันต่อไป คุณป้า คือ คุณป้าน้อย คุณหลาน คือ จุไร จุไรบอกคุณป้าน้อยว่า เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ วันนั้นหลวงปู่ท่านไปรับแขก เวลาประมาณบ่าย ๒ โมงเศษ หนูก็ไปนั่งฟัง หลังจากเจริญกรรมฐานแล้วก็ไปนั่งฟังหลวงปู่คุย

เพราะว่าหลวงปู่ท่านหาเรื่องคุยกับแขก เพราะแขกเขามา บางคนก็คุยบ้าง บางคนก็ไม่คุยบ้าง บางทีไม่มีใครคุยอะไร หลวงปู่ก็เหงา และก็เป็นการบังเอิญที่ขึ้นไป ก็พบพระ ๓ องค์ ท่านห่มจีวรสีกรัก อายุก็ไม่น้อยนัก องค์หนึ่งก็ประมาณ ๕๐ ปีเศษ ๆ อีก ๒ องค์ก็เห็นจะเป็น ๒๐ ปีเศษ ๆ หนูก็ไปนั่งใกล้ ๆ ท่าน ท่านเห็นหนูเป็นเด็กเล็ก ๆ ท่านก็ถามว่า หนูมาจากไหน

หนูก็ตอบว่า บ้านหนูอยู่กรุงเทพฯ หนูมากับแม่ เวลานี้แม่มาเจริญกรรมฐานกับหลวงปู่ หนูเพิ่งกลับมาจากวิหาร ๑๐๐ เมตร ท่านก็ถามว่า ที่วัดนี้เขามีการเจริญกรรมฐานกันหรือ หนูก็ตอบว่า มี แล้วท่านก็ถามว่า หนูเจริญกรรมฐานหรือเปล่า หนูก็ตอบว่า หนูเจริญกรรมฐานทุกวัน ตามแม่ ท่านถามว่า เจริญกรรมฐานเขาทำอย่างไร ก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า

เห็นหลวงปู่ท่านบอกว่า เวลาหายใจเข้า รู้ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออก รู้ว่าหายใจออก แล้วภาวนาว่า นะ มะ พะ ทะ เวลาหายใจเข้าว่า นะ มะ เวลาหายใจออกว่า พะ ทะ เอาแค่นี้ หลังจากนั้น เวลาสักสิบนาที ก็มีครูไปสอน ท่านก็ถามว่า ครูสอนอย่างไร ก็เลยตอบท่านว่า ตามที่ครูสอน ก็สอนเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความไม่ดีของการเกิดเป็นคน

ความไม่ดีของการเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า และพรหม แดนที่ดีที่สุดมีแดนเดียวคือนิพพาน แล้วพระท่านก็ถามว่า แดนนิพพานนั้น หนูเคยเห็นไหม หนูก็ตอบว่า หนูไปทุกวัน เมื่อกี้นี้หนูก็ไปนั่งเล่นที่นิพพาน เย็น ๆ ใจ สบายดี พระทั้งสามองค์ท่านก็หัวเราะ หัวเราะเบา ๆ น่ากลัวเกรงว่าหลวงปู่จะได้ยิน แล้วท่านก็บอกว่า หนู นิพพานน่ะ สูญนะ มันไม่มีอะไร

คุณป้าเจ้าคะ เรื่องนิพพานสูญนี่ มีไม่ว่าที่ไหน หนูไปที่ไหนก็มีนิพพานสูญ อยู่เรื่อย หนูก็เลยบอกพระท่านบอกว่า หนูก็ฟังมาในกาลก่อนว่า นิพพานสูญ แต่ในเมื่อหนูไปที่นิพพานจริง ๆ หนูก็ไปถามพระที่นั่นว่า ชาวบ้านก็ดี พระก็ดี เขานิยมพูดบอกว่า นิพพานสูญ และอยากจะทราบว่า นิพพาน สูญ หรือไม่สูญ พระที่นั่นท่านบอกว่า นิพพานสูญจากคนที่ไม่มีความดี

ถ้าคนไหนไร้ความดี ยังมีความสกปรกของจิตอยู่มาก คือ กิเลส มีความรักในระหว่างเพศก็ดี มีความโลภอยากได้ในทรัพย์สินก็ดี มีความโกรธก็ดี มีความหลงก็ดี ถ้าสะสมตัวอยู่มาก ไม่สามารถจะพรากจากอารมณ์ได้ คนประเภทนี้ เป็นผู้สูญจากนิพพาน คือ ไม่เข้าถึงเขตของนิพพาน แต่คนที่จะเข้าถึงเขตของนิพพานได้นั้น ต้องเป็นคนรู้จักระงับ ถ้าไม่สามารถจะทำได้ตลอดกาล ตลอดสมัย

นั่นก็หมายความว่า ความรักในระหว่างเพศก็ยังมี ความโลภก็ยังมี ความโกรธก็ยังมี ความหลงก็ยังมี แต่ก็บรรเทากำลังลงได้มาก และในบางขณะสามารถจะระงับได้เลย ในบางขณะสามารถจะบังคับจิต ไม่ให้มีความรู้สึกในความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลานั้นจิตจะสะอาดจากกิเลส แต่เฉพาะเวลา จิตสะอาดมาก เวลานั้นสามารถจะเห็น ถ้าได้ทิพพจักขุญาณ สามารถจะเห็นนิพพานได้

ถ้าได้อภิญญาสามารถจะไปเขตนิพพานได้ พระท่านฟังแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านก็คงคิดว่า หนูเป็นเด็ก แต่ความจริง หนูก็เป็นเด็กจริง ๆ หลังจากนั้นท่านบอกว่า แล้วหนูต้องการอะไร หนูก็เลยตอบท่านบอกว่า หนูต้องการนิพพานอย่างเดียว หนูไปเที่ยวแล้ว แดนมนุษย์ทั้งหมดไม่มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความหิว ความกระหายเหมือนกันหมด มีการป่วยไข้ไม่สบายเหมือนกันหมด หนูไปเมืองเทวดา

นางฟ้ากับเทวดา เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีก็จุติลงมา วนไปวนมา ไปแดนของพรหมก็มีสภาพเช่นเดียวกัน แต่มีแดน ๆ เดียว นิพพาน ไปถึงที่นั่นไม่ต้องไปไหนอีก มีความสุขมาก มีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใส มีแต่ความสดชื่น คำว่า ตายจากที่นั่น ไม่มี พระท่านฟังแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านก็หันหน้ามาถามว่า หนูเชื่อไหมว่า เป็นตามนั้น อาการอย่างนั้นน่ะ เป็น อุปาทาน นะหนูนะ

เป็นภาพนิมิตหลอกที่เป็นอุปาทาน หนูก็เลยบอกว่า หนูไม่เข้าใจว่าหลอก หนูไม่รู้จักคำว่า อุปาทาน หนูรู้จักอย่างเดียว คำว่า ทิพพจักขุญาณ หนูได้มานานแล้ว ทิพพจักขุญาณจริง ๆ นี่ หนูได้มา ๓ ปีแล้ว และท่องเที่ยวไปในแดนนรก สวรรค์ ก็ท่องเที่ยวมาเยอะ พระห่มผ้าอย่างหลวงน้า อย่างหลวงลุงนี่ก็ตาม หนูเคยเห็นในนรกหลายองค์

เพราะเป็นผู้คัดค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน หนูเคยไปถามลุงว่า พระทำไมลงนรก พระเป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขาต้องการบุญ ใครอยากได้บุญ คนนั้นก็ไปหาพระ แต่ทว่าพระกลับลงนรกเสียเอง ลุงท่านเลยบอกว่า การห่มผ้าเหลือง ไม่ได้หมายความว่า เป็นพระเสมอไป ผ้ากาสาวพัสตร์ คือ ผ้าเหลืองก็ดี นี่ก็หมายถึงว่า เป็นคนที่เข้าถึงเขตพระไตรสรณาคมน์

แต่ทว่า ถ้าการปฏิบัติไม่มีความเคารพในพระไตรสรณาคมน์ อันนี้หมดเรื่องกัน ตายแล้วลงนรกทุกคน ก็เป็นอันว่า หลังจากคุยกันแล้ว หลังจากหนูพูดตอนนี้นะ คุณป้านะ พระท่านก็เฉย ตอนนี้พระไม่พูดอะไรหมด ท่านนั่งเฉย ฟังหลวงปู่คุยกับคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง นาน ๆ หลวงปู่ก็หันมาถามพระว่า มีอะไรไหม มีอะไรจะคุยไหม พระท่านก็บอกว่า ไม่มี

ก็พอดีเวลานั้น มีหญิงสาว ๒ คน ความจริงเวลาเจริญกรรมฐานก็นั่งอยู่วงใกล้ ๆ กับหนูนั่นแหละ ต่อมาหลวงปู่ท่านถามว่า หนูสองคนมาจากไหนจ๊ะ เธอสองคนก็บอกว่า หนูเป็นพยาบาล มาจาก พิษณุโลก หลวงปู่ถามว่า มากี่วันแล้ว เธอก็บอกว่า มาเป็นวันที่สอง หลวงปู่ก็ถามว่า วันนี้มีการเจริญกรรมฐาน พอได้ผลไหม เธอก็บอกว่า ได้ผลเจ้าค่ะ

หลวงปู่ก็บอกว่า ไหน ลองเล่าให้ฟังซิ ได้ผลอย่างไร เธอก็บอกว่า วันนี้ทำสมาธิ จิตใจสบายมาก เวลาทำมีอารมณ์สบายพอสมควร เมื่อจิตเริ่มเป็นทิพย์ จิตก็เคลื่อนออกจากกาย เวลาที่จิตเคลื่อนออกจากกายนี่ หลวงพ่อมันไม่เหมือนกับร่างกายเดิม หลวงปู่ก็ถามว่า ร่างกายที่ออกไปนี่ เหมือนร่างกายเก่าไหม เธอบอกว่า ไม่เหมือนเจ้าค่ะ สวยกว่ามาก

หลวงปู่ก็ถามว่า การแต่งตัว เครื่องแต่งตัวของร่างกายใหม่เหมือนของเก่าไหม เธอก็ตอบว่า ไม่เหมือน เป็นเพชรแพรวพราวเป็นระยับทั้งตัว ผ้าทั้งผืนเต็มไปด้วยเพชร แล้วมีเพชรที่ข้อมือ มีเพชรที่คอ มีแหวนที่นิ้ว มีกำไลที่ข้อเท้า มีชฎา สวยสดงดงามเหลือเกิน เวลานั้นมองดูร่างกายเดิมที่นั่งอยู่ รู้สึกรังเกียจมาก ไม่อยากได้ร่างกายเดิม

แต่ทว่าเวลานั้น ครูคุม ให้เข้าไปที่พระจุฬามณีเจดียสถาน เมื่อไปถึงเขตพระจุฬามณี หนูก็ดูรอบ ๆ เห็นเป็นเจดีย์สวยมาก แพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงามมีบริเวณมากกว้างขวาง และมีประตูเข้าหลายประตู ครูก็แนะนำให้เข้าไปประตูใดประตูหนึ่ง พอเข้าไปในนั้น ตกใจ ความจริงเข้ามาที่วิหาร ๑๐๐ เมตรว่า แสงสว่างมีมาก รอบ ๆ วิหารเป็นแก้ว ตรงกลางมีโคมไฟ

และไฟไม่ได้จุดหมดทุกดวง ไฟจุดแถวเดียว ไฟทั้งหมดมี ๖ แถว เมื่อจุดแถวเดียวก็เลยสว่างน้อยไป ในพระจุฬามณีนั่นไม่มีโคมไฟ ไม่มีหลอดไฟฟ้า แต่ว่าสว่างไสวมากเป็นกรณีพิเศษ แล้วพอเข้าไปข้างใน เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงกลางบนแท่นสูง เมื่อเห็นเข้าก็มีความรู้สึกว่าองค์นี้คือ พระพุทธเจ้า แล้วเสียงหลวงปู่ถามว่า แล้วหนูเห็นพระพุทธเจ้าลักษณะอย่างไร

ท่านเป็นเหมือนรูปพระสงฆ์ หรือว่าไม่ใช่ หรือมีมวยผมบนศีรษะ เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง พระพุทธเจ้าเป็นสภาพของเทวดา สวยสดงดงามมาก แพรวพราวเป็นระยับ มีเครื่องประดับสีเดียวคือ สีใส เป็นแก้วใส มีชฎาเหมือนกับพระเอกลิเก รอบ ๆ สองข้างของท่านก็มีพระอรหันต์เต็ม นอกเขตพระอรหันต์ออกมาก็มีพรหมเต็ม นอกพรหมออกมาก็มีเทวดา มีนางฟ้าเต็ม หนูเข้าไป

ทุกท่านหลีกทางให้ เปิดเป็นช่องทางให้เดินพอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็ไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็หันกลับมากราบพระอริยเจ้า กราบเทวดา กราบพรหม ก็มีเทวดาองค์หนึ่งท่านทักว่า ทีหลังหนู ถ้าต่อหน้าพระพุทธเจ้าแล้วไม่ต้องกราบพวกฉัน กราบเฉพาะพระพุทธเจ้าองค์เดียวก็พอ แล้วหนูก็เลยตอบท่านบอกว่า เวลานี้หนูมีความเคารพทั้งหมด มีความเคารพทั้งพระพุทธเจ้าด้วย

พระธรรมด้วย พระอรหันต์ด้วย พระอริยะทุกองค์ เทวดา พรหม นางฟ้าทั้งหมด เพราะที่หนูขึ้นมาได้นี่ มีเทวดากับนางฟ้าท่านช่วย เพราะว่าเวลาที่ครูสอน เห็นเทวดาองค์หนึ่ง กับนางฟ้าองค์หนึ่ง ท่านเข้าไปช่วยแนะนำให้เกิดความเข้าใจ หลังจากนั้นเธอก็มากราบพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านถามว่า เธอมาอย่างนี้ เธอมีความสุขไหม เธอก็ตอบว่า เธอมีความสุขมาก

ท่านถามว่า แล้วเธออยากจะเป็นมนุษย์ไหม เธอก็ตอบว่า ร่างกายยังไม่ตาย ถ้าร่างกายตายเมื่อไร ก็อยากมาอยู่ที่สวรรค์ ท่านฟังแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ ท่านก็บอกว่า สวรรค์น่ะ มีความสุขนะ แต่ว่าสวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี มีความสุขไม่นาน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้ว ก็ต้องกลับไปเกิดกันใหม่ บางท่านก็ไปที่มนุษย์ บางคนก็ลงนรกไปเลย เพราะบาปเก่ามีอยู่ แต่ดินแดนที่มีความสุขจริง ๆ ก็คือ นิพพาน

วันนี้หนูกล้าจะไปนิพพานไหม เธอทั้งสองคนก็ตอบว่า วันนี้กำลังใจไม่พอเจ้าค่ะ สำหรับกำลังใจวันนี้ต้องการอย่างเดียว อยากจะทราบว่า สวรรค์มีไหม แล้วก็พระพุทธเจ้ามีจริงไหม พระอรหันต์มีจริงไหม พรหม เทวดา นางฟ้ามีจริงไหม แล้วท่านก็ถามว่า เวลานี้หนูเชื่อแล้วหรือยัง เธอก็ตอบว่า หนูเชื่อทุกอย่างเจ้าค่ะ ต่อนี้ไป ขึ้นชื่อว่า บาป คือ กรรมบถ ๑๐ ก็ดี ศีล ๕ ก็ดี จะไม่ยอมละเมิด

พระพุทธเจ้าท่านก็ถามว่า เวลานี้เธอทำงานพยาบาลใช่ไหม เธอก็ตอบว่า ใช่ ท่านก็เลยถามว่า ถ้าบังเอิญผู้บังคับบัญชาเขาใช้ให้ฆ่าสัตว์ หนูจะทำไหม เธอก็ตอบว่า ถ้าเขาใช้ให้ฆ่าจริง ๆ หนูก็ขอร้องเขาว่า ขออย่าให้ทำเลย ให้ทำงานอื่นแทนก็แล้วกัน ท่านก็ถามว่า ถ้าเขาไล่ออกล่ะ ฝ่าฝืน เธอก็บอกว่า ถ้าเขาไล่ออก ก็พร้อมจะออก พร้อมจะออกและพร้อมจะบวชชี จะไม่มีการแต่งงาน

เพราะอายุของเธอเพิ่ง ๒๕ ปี หลังจากนั้น ก็ฟังท่านแนะนำ ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้นะ กลับลงไปแล้วค่อย ๆ คิด ให้คิดถึงตามความเป็นจริงว่า ร่างกายของเรานี้ ในที่สุดมันก็ตาย ถ้าตายแล้ว ถ้าเราไม่ดี เราก็ไปนรก ถ้าเรามีความดีอย่างนี้ เราก็มาสวรรค์ ถ้าความดีเลยกว่านี้ไปอีกนิดหนึ่ง เราก็ไปพรหมโลก ถ้าดีถึงที่สุดก็ไปนิพพาน ให้ยึดอารมณ์อย่างนี้ไว้ คือ นึกถึงความตายไว้ว่า

ถ้าตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น ทีนี้อารมณ์ที่จะพาเราไปนิพพานได้ ก็คือ (๑) เคารพพระพุทธเจ้า (๒) เคารพพระธรรม (๓) เคารพพระอริยสงฆ์ (๔) เคารพศีล ถ้าได้ทั้ง ๔ อย่าง อย่างนี้ แล้วจิตนึกถึงพระนิพพาน ถ้าอย่างนี้เป็นจุดขั้นแรก เป็นบันไดขั้นแรกที่เราจะเข้านิพพานแล้วต่อไปก็ค่อย ๆ บรรเทาความรักในระหว่างเพศ ความรักอาจจะต้องมี

อาจจะต้องมีการแต่งงาน ก็ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า การแต่งงานของคนทุกคนเป็นทุกข์ ไม่มีใครเป็นสุข ถ้าแต่งงานกันเข้าแล้ว ต่างคนต่างเอาใจกัน ระหว่างสามีภรรยา สักวันหนึ่งข้างหน้าก็มีการขัดคอกันบ้างอะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นทุกข์ การงานก็ต้องเพิ่มขึ้น ต่อมาเมื่อมีบุตร มีธิดาเกิดขึ้น ก็เป็นทุกข์มากขึ้น ลูกจะศึกษาเล่าเรียน ก็ต้องหาเงิน ลูกป่วยไข้ไม่สบาย เราก็ไม่เป็นสุข

ต้องจ่ายเงิน เพิ่มภาระ แล้วต่อไปก็ค่อย บรรเทาความโกรธ ให้ทำจิตเป็นมิตรกับคนและสัตว์ไว้เสมอ คือ (๑) เมตตา ความรัก (๒) กรุณา ความสงสาร ความไม่พอใจมันอาจจะมี แต่ว่าค่อย ๆ บรรเทากัน ถือเอาการให้อภัยไว้เสมอ ไม่ช้าจิตก็ชิน หลังจากนั้น เราก็ไม่ติดใน รูปฌาน และไม่หลงใน อรูปฌาน ไม่ถือตัวไม่ถือตน มีจิตไม่กระสับกระส่าย ต้องการพระนิพพานจุดเดียว

มีการต้องการคิดว่า ขึ้นชื่อว่า มนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก เราไม่ต้องการอีก เราต้องการจุดเดียว คือ นิพพาน แล้วทำใจให้สบายไว้ การงานอย่างไหนในขณะที่เป็นมนุษย์ มีหน้าที่จะทำ ทำให้มันดีที่สุด ทำให้เรียบร้อยที่สุด ให้ครบถ้วนทุกอย่าง จิตเราจะมีความสุข ถ้าพยายามทำใจไว้อย่างนี้เสมอ ๆ ไม่ต้องทั้งวัน วันหนึ่ง ถ้าทำได้สัก ๕ นาทีก็พอ อย่างนี้ถ้าตายเมื่อไรก็ไปนิพพานเมื่อนั้น

ท่านก็หันมาถามว่า แล้วหนูอยากจะไปนิพพานเดี๋ยวนี้ไหม อยากไปเที่ยวไหม จะให้พระพาไป เธอทั้งสองคนก็บอกว่า ยังไม่อยากไปเจ้าค่ะ วันนี้อยากจะไปดูว่า วิมานของหนูเองที่ดาวดึงส์นี่มีไหม เพื่อเป็นความมั่นใจว่า ถ้าตาย จะได้อยู่วิมานนี้ ท่านก็บอกว่า มีแน่ วิมานของหนูมีแน่ เป็นวิมานใหม่ และวิมานเก่า เธอก็ถามว่า เป็นวิมานใหม่ และวิมานเก่าอย่างไร

ท่านก็บอกว่า เมื่อก่อนหน้า ๒๕ ปีนั้น ก่อนที่หนูจะไปเกิด หนูก็เป็นนางฟ้าในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สเทวโลก เป็นบริวารของท้าวสักกเทวราช คือ พระอินทร์ ที่พูดกับหนูเมื่อกี้นี้บอกว่า ถ้าหนูพบพระพุทธเจ้า ขณะที่ไหว้พระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ต้องมาไหว้พวกฉัน ให้ไหว้พระพุทธเจ้าองค์เดียว องค์นั้น คือ พระอินทร์ เป็นเจ้านายของเธอมาก่อน พอพูดเท่านี้เธอก็ลุกไปกราบที่ตักพระอินทร์ทันที

ท่านก็เอามือลูบหัว ท่านบอกว่า ลูกรัก ลูกของพ่อ ถ้าไปนิพพานยังไม่ได้ กลับมาอยู่กับพ่อนะ ขึ้นชื่อว่า บาปอกุศล ถือว่า ไม่จำเป็นจะต้องทำ คำว่า การอดตายจะไม่มีกับลูก ฐานะลูกจะดี หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็กล่าวว่า เธอทั้งสอง อีกสักประเดี๋ยวหนึ่ง เธอไปชมวิมานของเธอก็แล้วกันนะ วันพรุ่งนี้ให้ครูเขานำไปเที่ยวนิพพาน พอใช้ศัพท์ว่า นิพพาน เธอก็หนักใจอยู่นิดหนึ่ง

เธอก็ถามท่านบอกว่า ไปได้หรือเจ้าคะ ท่านบอก ไปได้ พรุ่งนี้จะมีพระคอยอยู่ที่พระจุฬามณีเจดียสถานนี่ ตถาคตเอง คือ ฉันเองก็จะไม่ได้มาที่นี่ ที่มาพร้อมกันที่นี่ เพราะว่าเธอทั้งสองมีความต้องการ เธอต้องการพบพระพุทธเจ้า เธอต้องการพบพระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน เธอต้องการเห็นเทวดา พรหม นางฟ้า ฉะนั้นทั้งหมดเมื่อทราบความรู้สึกของเธอ

จึงมาคอยที่นี่ และในวันพรุ่งนี้จะไปคอยพร้อมกันที่นิพพาน เวลาประมาณบ่ายโมงครึ่ง ให้ไปถึงที่นั่น จะพร้อมกันที่นิพพาน หลังจากนั้น เธอก็ลาสมเด็จพระพิชิตมาร ออกจากพระจุฬามณีเจดียสถาน ก็มีนางฟ้าท่านหนึ่ง ท่านสอนให้เธอเรียกว่า คุณแม่ ท่านบอกว่า ท่านเป็นแม่ของคนทั้งสองในชาติก่อน เวลานี้เป็นนางฟ้าที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านบอกว่า ตามแม่มา แม่จะพาไปดูวิมานของเจ้า

ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ทั้งวิมานใหม่ และวิมานเก่า นั่นก็หมายความว่า วิมานหลังเก่าของเจ้าตั้งตรงนั้น และต่อมาเมื่อเจ้าบำเพ็ญบารมี ทำบุญให้ทานก็ดี และเจริญภาวนา พอเริ่มเจริญภาวนาก็มีหวังว่า อย่างน้อยที่สุด ต้องมาเกิดที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีก เป็นอย่างน้อย วิมานก็เกิดคอย เลยเป็นวิมานใหม่ เมื่อเจ้าจุติลงไป วิมานสลายตัวหายไป แต่เวลานี้ พอทำกรรมฐานได้ ตั้งแต่วันวาน

เริ่มทำกรรมฐานได้เบื้องต้น วิมานหลังใหม่ก็เกิดที่เก่าทันที แต่สวยกว่าเก่า เธอก็ตามนางฟ้าคนนั้นไป ไปถึงก็เข้าสู่วิมานของเธอ วิมานมีความสวยสดงดงามมาก วิมานเป็นวิมานแก้วใส สวย ใหญ่โตมาก และมีนางฟ้าประมาณ ๑,๐๐๐ คนเป็นบริวาร ของใช้ทุกอย่าง ดีที่สุด มีครบถ้วนบริบูรณ์แต่วิมานทั้งสองคนไม่ได้อยู่วิมานเดียวกัน อยู่กันคนละวิมาน ต่างคนต่างให้การเหมือนกัน

แล้วเธอก็บอกว่า ของบนสวรรค์เป็นเรื่องอัศจรรย์ อย่างที่เตียน ๆ อยู่นี่ ไปถึงจะนั่งตรงไหนปั๊บ มีแท่นมารับทันที โดยที่ไม่ต้องนึกถึงแท่นอย่างนั้น ถ้านึกว่าจะต้องการอะไร ของสิ่งนั้นปรากฏทันที ฉะนั้นสวรรค์จึงน่าอยู่ สวรรค์มีความสุข จุไรจึงบอกคุณป้าน้อยบอกว่า คุณป้าเจ้าคะ หนูฟังพี่ทั้งสองคนเขาคุย หนูก็เพลิดเพลินไปตามเขา หนูก็มีความรู้สึกว่า พี่ทั้งสองคนนี่เก่งไม่ใช่น้อย

เพราะว่าพี่ทั้งสองคนไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เท่าที่บอกนั้น เป็นแต่เพียงท่านบอกว่า ท่านเพิ่งจะมาฝึก รู้ข่าวจากเพื่อน เพื่อนที่เขาเคยมาฝึกแล้ว เขาไปเล่าให้ฟังแล้วเขาก็ไปคุยให้ฟังว่า สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง นรก เปรต อสุรกายมีจริง แล้วพี่ทั้งสองก็เคยไปถามพระ พระบางองค์ก็ตอบว่า มีจริง บางองค์ก็คัดค้านว่า นั่นเป็นการเพ้อฝัน คิดสร้างภาพเอาเองบ้าง เป็นอุปาทานบ้าง

เป็นภาพหลอนบ้าง แต่ว่าเวลานี้พี่ทั้งสองเขายืนยัน และหนูเองก็ยืนยันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีจริง แต่ว่าคุณป้าเจ้าคะ มีสิ่งที่แปลกอยู่นิดหนึ่ง นั่นก็คือว่า พระทั้งสามองค์ที่ท่านคุยกับหนู ท่านคุยบอกว่า นิพพานไม่มี มีสภาพสูญ และภาพที่เห็นเป็นอุปาทานบ้าง เป็นอะไรต่ออะไรบ้าง พอพี่เขาคุยถึงเรื่องเทวดา นางฟ้า พรหมโลก พระจุฬามณีเจดียสถาน เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ ทั้ง ๒ คนมีอายุ ๒๕ ปี ทั้งคู่

หนูอายุ ๙ ปี พระท่านฟังไป ๆ ๆ ท่านคงหนักใจเสียกระมัง ท่านก็ลุกจากเก้าอี้ที่หลวงปู่ตั้งรับไว้ ไปกราบ ๆ หลวงปู่ ขอลากลับ แล้วป้ามีความรู้สึกอย่างไรไหมคะว่า ที่พี่ทั้งสองเขาพูดก็ดี ตามความรู้สึกของพระที่ท่านพูดก็ตาม ป้าน้อยก็บอกว่า หลาน มันเป็นของธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดาจริง ๆ เพราะว่า คนที่เขาไม่เชื่อพระพุทธเจ้ามีเยอะ ความจริงเขาประกาศตัวของเขาว่า เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระธรรมดาบ้าง

เป็นพระที่มียศฐาบรรดาศักดิ์บ้าง มีตำแหน่งหน้าที่บ้าง แต่ว่าเนื้อแท้จริง ๆ เขาไม่ได้มีความเคารพพระพุทธเจ้าเลย เขาคัดค้านคำสอนของพระองค์ตลอดเวลา ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า สวรรค์มีจริง เขาก็บอกว่า ไม่มี นรกมีจริง เขาก็บอกว่า ไม่มี อย่างนี้มีเยอะ แล้วจุไรก็ถามว่า ถ้าพระอย่างนั้น เราจะไหว้ได้ไหม ป้าน้อยก็บอกว่า ถ้าพระไหว้ได้ทุกองค์ แต่เราอย่าไหว้ เปรต ก็แล้วกันนะ

คำว่า เปรต หมายความว่า ผู้อาศัยผู้อื่นเขาหากิน หากินเองไม่เป็นต้องขอเขากิน แต่ไม่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาละ หลานรัก พูดมาพูดไปจะขัดใจคนอื่น เวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว ดึกมากแล้วนะ เลิกกันเสียทีก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/3/12 at 08:57 [ QUOTE ]


7
เริ่มสร้างวัดท่าซุง


สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้ก็มาฟัง จุไรกับคุณป้าน้อย คุยกันต่อไป หลังจากที่คุยถามปัญหาต่าง ๆ กันมา จุไรก็มีความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่ง เพราะว่ามองดูบริเวณวัด กว้างขวางใหญ่โตมาก อาคารก็มากและเนื้อที่ก็มาก เนื้อที่จริง ๆ สัก ๒๐๐ ไร่เศษ และงานก่อสร้างก็มาก จึงได้ถามคุณป้าน้อยว่า คุณป้าเจ้าคะ คุณป้าทราบความเป็นมาของวัดนี้ไหมว่า วัดนี้ที่มีสภาพใหญ่โตจริง ๆ

มีมาตั้งแต่สมัยเมื่อไร คุณป้าน้อยก็ตอบว่า หลานรัก ที่วัดนี้จริง ๆ เดิมทีเดียวไม่มีสภาพใหญ่โตนัก เป็นวัดที่เดิมจริง ๆ อาจจะใหญ่ก็ได้ ตามประวัติที่เขาพูดกัน มีท่านผู้หนึ่งชื่อ บุญมา ที่ถวายเนื้อที่หลวงปู่ ๘ ไร่ กับคุณป้าใหญ่ ถวายเนื้อที่หลวงปู่ ๒๐ ไร่ ท่านบุญมากับน้องของท่านทั้ง ๒ คน เมื่อสมัยที่หลวงปู่ย้ายมาอยู่ใหม่ ๆ ตอนนั้นป้าก็มาแล้ว

และท่านได้พาเดินชมสถานที่ว่า ที่เดิมของวัดจริง ๆ จากชายน้ำ และก็ทิศเหนืออยู่ตรงนี้ ทิศใต้จรดคลองยาง และก็ทิศตะวันตกถึงตรงนี้ รวมเนื้อที่จริง ๆ วัดเก่าจริง ๆ ตามประวัติศาสตร์ ตามประวัติที่ทราบกันมา มีเนื้อที่ ๓๗๐ ไร่เศษ และก็ในช่วงหลังที่คุณลุงมาบอก จะมีเนื้อที่ประมาณสัก ๑๐๐ ไร่เศษ เป็นอันว่า ที่หดเข้ามาแล้ว แต่ว่าเนื้อที่จริง ๆ ที่หลวงปู่มาถึง

มีเจ้าหน้าที่เอาโฉนดมาให้ (โฉนดที่ดิน) ปรากฏว่ามีเนื้อที่จริง ๆ ของวัด แค่ ๖ ไร่ คือเป็นเนื้อที่บริเวณที่ติดชายป่าไผ่ด้านหลังที่รับแขกไป กระทั่งติดโรงเรียน มีเนื้อที่ฝั่งเดียวคือ ฝั่งข้างน้ำ ตัวที่รับแขกใหม่ด้านนั้น ด้านรั้ว รั้วสกัดติดกับบ้าน กับด้านติดโรงเรียน เป็นเนื้อที่ ๖ ไร่ นอกนั้นเป็นที่ของชาวบ้านหมด แล้วจุไรก็ถามว่า เวลานี้ที่กว้างขวางได้อย่างไร

คุณป้าน้อยก็บอกว่า หลานรัก หลังจากที่หลวงปู่ท่านมาแล้ว เมื่อหลวงปู่มาอยู่ใหม่ ๆ เจ้าอาวาสบอกว่า จะทำกุฏิให้อยู่สักหลังหนึ่ง แต่ความจริงกุฏิหลังนั้นก็ไม่มีอะไร ฝาก็ไม่มี พื้นก็ไม่มี หลวงปู่ก็ต้องให้ เณรสมควร เป็นคนทำฝาให้ เอาเศษไม้จากสนามบินตาคลี ที่เขาทิ้ง ๆ ลังต่าง ๆ มาทำฝา และหลังจากนั้น หลวงปู่ก็สร้างกระต๊อบอยู่หลังหนึ่ง ที่โคนต้นโพธิ์ชายน้ำ

เวลานี้เป็น อาคารของคุณหญิงเยาวมาลย์ สำหรับกระต๊อบหลังนั้นก็สร้างแบบพะรุงพะรัง ท่านเอาแบบไปสร้างไว้ที่กลางสระที่ข้างร้านอาหารเจ๊กิมกี หลังเดิมสร้างแบบนั้น แต่แบบที่ทำไว้นั้น สวยกว่าของเดิม ไม้ดีกว่า มีรั้วรอบขอบชิด ของเดิมไม่มีรั้วรอบขอบชิด ทำแค่อยู่ได้ แต่ทรงแบบเดียวกัน หลังนั้นเป็นกุฏิอนุสรณ์ว่า การมาอยู่ครั้งแรกอยู่แบบนั้น

จุไรก็ถามว่า แล้วกุฏิที่เจ้าอาวาสให้อยู่ อยู่ได้ไหม ป้าน้อยก็ตอบว่า อยู่ได้ คือว่า หลวงปู่ต้องมาปูพื้นเอง ต้องมาทำฝาเอง เอาเศษไม้มาทำฝา และให้ สามเณรสมควร กับสามเณรเปีย มาอยู่เป็นเพื่อนและเอา พี่ชายของหลวงปู่ท่าน มาอยู่เป็นเพื่อน แต่ระยะในกาลนั้น รุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง ท่านพล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็น นาวาอากาศเอกก็มาบวชอยู่ด้วย

ช่วยอุปการะในการหาทุนให้มาก ค่อย ๆ ทำกันขึ้นมา การอยู่ของหลวงปู่เวลานั้น อยู่ในเกณฑ์ที่อนาถามาก การกินการอยู่ก็แสนจะลำบาก เพราะท่านเป็น พระมีหมา คือหมายความว่า มีสุนัขติดตามท่านมา ๑๒ ตัว แต่บังเอิญสุนัขของชาวบ้านมาสมทบ รวมแล้ว ๕๐ ตัวเศษ ถ้าท่านจะไปบิณฑบาต ตัวท่านเองอาจจะพอ แต่สุนัขไม่พอ ท่านก็ต้องหุงข้าวเลี้ยงสุนัขเอง

ถ้าสามเณรอยู่ สามเณรก็เลี้ยง ถ้าพี่ชายท่านอยู่ พี่ชายของท่านก็เลี้ยง พอถึงเวลาทำนาทำไร่ทุกคนต้องกลับไป ท่านอยู่คนเดียว ท่านก็ต้องหุงข้าวเลี้ยงสุนัขเอง หุงข้าวกินเอง สำหรับกับข้าวที่ได้มาในตอนต้นก็ต้องใช้เงินซื้อ ทำกับข้าวเอง อยู่แบบอนาถามาก พวกเราทุกคน หรือพวกป้าก็ดี หลาย ๆ ป้า อย่าง ป้าตุ๋ย ที่เรียกว่า สิริรัตน์ โรจนวิภาต ภรรยาของ พล.อ.อ. อาทร โรจนวิภาต ก็ดี

ฉลวย ปินินทรีย์ ก็ดี พิมพา คุณากร ก็ดี และก็หลาย ๆ คน ช่วยกัน ต่างคนต่างก็ช่วยกัน พบท่านก็ถวายสตางค์บ้าง ตามสมควรท่านก็มีเงินมาใช้บ้าง กินบ้าง ซื้ออาหารกินบ้าง ซื้อวัตถุ ก่อสร้างทำบ้าง สำหรับคนที่อยู่ใกล้ก็ได้แก่ ครูนนทา อนันตวงษ์ เวลานั้นยังเป็นครูที่โรงเรียนสตรีอุทัยธานี และก็เป็นเจ้าของโป๊ะข้ามฟาก พอมีสตางค์ช่วยสงเคราะห์ และก็สงเคราะห์เรื่อย ๆ มา ต่างคนต่างก็ช่วยกันทำ

ทีนี้งานที่ทำกันครั้งแรกจริง ๆ เมื่อสร้างกระต๊อบแล้ว ก็ทำหอสวดมนต์ที่คั่งค้าง และก็ทำศาลาที่มีพระ ๔ องค์ และก็ทำกุฏิชายน้ำ เป็นกุฏิตึก ทำหนีน้ำ ที่ทำสวยไม่ได้ก็เพราะว่า ต้องทำหนีน้ำ น้ำจะท่วม เร่งรัดในการทำ จุไรก็ถามว่า เวลานั้นหลวงปู่ไม่มีพระช่วยหรือ คุณป้าน้อยก็บอกว่า มีชื่อ พระสมนึก คือ กำนันสมนึก ในปัจจุบันนี่แหละ แล้วก็ พระฉลอง พระเอนก

จำชื่อไม่ได้แล้ว มีด้วยกัน ๗ องค์ ๗ องค์ก็ช่วยงานกัน เป็นพระชาวบ้าน สำหรับพระเวลานั้นก็แบ่งเป็น ๒ ส่วน ถ้าพระองค์ไหนที่อยู่กับเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสไม่ให้มาช่วยงาน แต่พระที่มาช่วยงานจริง ๆ ก็เป็นพระที่หลวงปู่ท่านเป็นเจ้าภาพบวชให้ จุไรก็ถามว่า ทำไมเจ้าอาวาสจึงไม่ให้มาช่วยงาน ป้าน้อยก็ตอบว่า ไม่ทราบเหมือนกัน ทีนี้ต่อมา หลังจากสร้างศาลาหลังนั้นเสร็จ ก็ทำกันแบบลวก ๆ

ทำกันเอาดีไม่ได้ เพราะสตางค์ไม่มี ทำเท่าที่พอจะหาได้บ้าง เป็นหนี้เขามาก่อนบ้าง หลวงปู่เป็นหนี้ตลอดเวลา ก็เป็นการดีอย่างหนึ่งที่เจ๊กเขาเชื่อใจ แต่ว่าในระยะแรก พ่อค้าที่อุทัยฯ นี่ เขาไม่ยอมให้ซื้อของเชื่อ เพราะเขายังไม่รู้จัก แต่มีเจ๊กที่ชัยนาทคือ ร้านลี้เม่งฮวด ที่ชัยนาท เขารู้จักท่านมาก่อน จะเอาอะไรต้องไปเอาที่นั่น เพราะเงินสดไม่มี ต้องซื้อเป็นเงินเชื่อ

ซื้อแล้วก็ต้องบรรทุกรถบรรทุกเรือมา ค่าใช้จ่ายก็สูงหน่อย ก็มีความจำเป็น แต่ร้านลี้เม่งฮวดนี่ เขาก็ดีจริง ๆ เอาอะไรก็ได้ เอาปูนก็ได้ เอาเหล็กก็ได้ วัตถุก่อสร้างทุกอย่าง เขาให้หมด และเงินกว่าจะได้จริง ๆ ก็ต้องสิ้นปี ถึงเวลาทอดกฐินทีหนึ่ง หรือทอดผ้าป่าทีหนึ่ง หลวงปู่ก็ชำระหนี้เขา สำหรับร้านค้าในจังหวัดอุทัยธานี ที่ซื้อของเป็นสินเชื่อได้เป็นร้านแรก ก็คือ ร้านธานีวิทยุ

ที่เจ้าของชื่อจริงชื่ออะไรไม่ทราบ แต่เขาเรียกว่า ย้ง ย้ง เถ้าแก่ย้ง ๆ คนนี้ก็ขายให้เป็นสินเชื่อเหมือนกัน แต่ราคาที่ขายให้ ขายให้เท่าราคาเงินสดไม่ได้คิดดอกเบี้ยเพิ่มเข้าไว้ หลวงปู่ท่านมาอยู่ตอนแรกก็มีความลำบากมาก การกินการอยู่ก็แสนลำบาก ต่อมา เจ๊กิมกี ที่ตั้งร้านขายอาหารในวัด กับสามี สงเคราะห์ส่งปิ่นโตให้ ตอนนี้อาหารค่อยเริ่มมีความสุข มีอาหารพอกิน พอฉันเองด้วย พอเลี้ยงลูกศิษย์ด้วย นี่เป็นระยะต้น ๆ

จุไรฟังแล้ว ก็มีความรู้สึกหนักใจ และแปลกใจจริง ๆ แล้วจุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น วัดโตขึ้นได้อย่างไร และเวลานี้ ของเก่า คือของวัดเดิม มีอะไรบ้าง หลวงปู่ รื้อทิ้งไปกี่หลัง ป้าน้อยก็ตอบว่า หลวงปู่ชอบอนุรักษ์ของเก่า ไม่ชอบรื้อทิ้งของเก่า มีแต่เพียงว่า ของเก่าถ้ามีอยู่แล้วทำให้มันดีขึ้น อย่างมณฑปมีสภาพโกรงเกรง จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ก็ค่อย ๆ เอาสังกะสีไปปิด รักษาไม้ไว้

แล้วก็อย่างศาลานี่จะล้มโย้หน้า จะล้มอยู่แล้ว ก็ดึงให้มันตรงขึ้นมา วิหารหลังคาผุลงไปแล้ว ใช้ไม่ได้เลย ก็ทำขึ้นมาเหมือนกับสภาพเดิม พระอุโบสถก็ทำให้ทรงตัวเดิม เป็นอันว่า อาคารกุฏิหลังเก่า สมัยเก่า มีอยู่หลังหนึ่ง ที่อยู่ได้จริง ๆ มีอยู่หลังเดียว ก็ไปตั้งรวมอยู่ที่ข้างศาลา เวลานี้ของเก่าจริง ๆ หลวงปู่อนุรักษ์ไว้ รักษาเก็บไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ของอนุชนรุ่นหลัง และประการที่สอง ก็เรียกว่า รักษา

ประวัติศาสตร์ของวัดเข้าไว้ และนอกจากนั้นก็เป็นของใหม่หมด จะเห็นว่า เชิงตะกอนเผาศพ หลวงปู่ก็ยังไม่รื้อ ก็มีหลายคนเขาบอกว่าขวางหน้าที่รับแขก หลวงปู่ท่านก็บอกว่า ที่รับแขกตั้งทีหลัง สภาพของเมรุดินตั้งอยู่ก่อน ปล่อยไว้อย่างนั้น ประชาชนยังใช้ได้ อย่างน้อยที่สุด เจ้าของผู้สร้างเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ เป็นการรักษากำลังใจของท่านผู้จ่ายสตางค์สร้างเข้าไว้ จุไรก็มองไปมองมา แล้วก็ถามว่า

หลังจากที่หลวงปู่สร้างศาลาแล้ว ท่านสร้างอะไรอีก คุณป้าน้อยก็บอกว่า ก็สร้างกุฏิหลังขาว ๆ แล้วก็ต่อถนนเข้ามาข้าง ๆ ศาลา เมื่อสร้างศาลาเสร็จศาลาทำแบบชั่วคราว หมายความว่า ไม่เอาดิบเอาดี เอาพอใช้ได้ หลังจากนั้นก็ปรากฏว่า ท่าน ดร.เดือน บุนนาค ท่านผู้นี้เคยเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค ผู้เป็นภรรยา

พร้อมด้วยป้า และก็ คุณหญิงหมู (คุณหญิงสมสมัย) และก็หลาย ๆ คนต่างคนต่างร่วมกันสร้าง พระพุทธรูปองค์หนึ่ง หน้าตักประมาณเมตรเศษ เมื่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นแล้ว ก็ถามหลวงปู่ (ชื่อหลวงปู่อะไรก็ไม่ทราบ เขาเดินกระดานกันนึกไม่ออก) หลวงปู่ภู ถามหลวงปู่ภูว่า พระองค์นี้จะนำไว้วัดไหนดี หลวงปู่ภูท่านบอกว่า ให้นำไปไว้ที่วัดท่าซุง ทุกท่านเมื่อทราบตามนั้นแล้ว

ต่างคนต่างก็นำมา เมื่อนำมาแล้ว ก็มาตั้งไว้ที่ศาลาการเปรียญ ที่มีหลวงพ่อ ๔ พระองค์นั่น แล้วก็เวลานี้ ที่มีพระพุทธรูปที่หน้าอาสน์สงฆ์องค์หนึ่ง นั่นประเสริฐเขาทำเลียนแบบเข้าไว้ ตั้งที่ตรงนั้น ครั้นเมื่อนำพระพุทธรูปเข้ามาถึงวัด ฝนตกปรอย ๆ เป็นฝอยบาง ๆ เห็นชัดแต่ว่าไม่เปียกใครตกอยู่นาน แสดงความสดชื่น แล้วท่านเดือน บุนนาค และคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค ถวายสตางค์หลวงปู่ไว้หมื่นบาท

หลวงปู่ก็บอกว่า ทุนหมื่นบาทนี้ จะเก็บไว้สร้างพระอุโบสถ แต่ความจริงเวลานั้นเนื้อที่ในด้านฝั่งนี้ พระอุโบสถก็มีแล้ว แต่ว่าสภาพ พระอุโบสถจริง ๆ ต้องใช้แป๊ปขนาดใหญ่ยันหลังคา ยันขื่อไว้ มันจะหล่น พอท่านเจ้าภาพไปแล้ว หลวงปู่ก็ไปขออนุญาตเจ้าอาวาสว่าจะสร้างอุโบสถหลังใหม่ ที่สถานรับแขกปัจจุบันเวลานี้ เพราะเวลานั้นเป็นดงไผ่ เป็นต้นมะม่วง มีหลายต้น มะม่วงใหญ่ ๆ

ท่านเจ้าอาวาสไม่ยอมอนุญาต เจ้าอาวาสบอกว่า สงสารต้นไม้ ถ้าทำที่ตรงนั้นจะต้องตัดต้นไม้ หลวงปู่ก็คิดในใจว่า ในเมื่อเนื้อที่วัดเล็กขนาดนี้ ถ้าเราซื้อเนื้อที่เพิ่มจะเป็นการดี จึงซื้อที่ของ บุญส่ง กับครูเสถียร ครูเสถียรเป็นสามี บุญส่งเป็นภรรยา ความจริง บุญส่งกับครูเสถียรเขาจัดที่ขายแล้ว ที่เขาจัดขายเป็นล๊อก ๆ ราคางานละหมื่นบาท แต่ว่าราคาหลวงปู่จะขอซื้อเขาจริง ๆ

เขาก็พูดทบทวนตอนเดิมว่า ทีแรกก่อนที่เขาจะซื้อที่ตรงนั้น เขาบอกว่า เขาซื้อจริงไร่ละราคาประมาณสามพันบาทหรืออย่างไรไม่ทราบ ไม่แน่นอนนัก ดูเหมือนว่า ไร่ละ ๓,๐๐๐ บาท เขามาปรึกษาหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า ซื้อได้ ต่อไปเธอจะขายได้อย่างน้อย ไร่ละประมาณหมื่นบาท หรือจะเกินไปกว่านั้น ในกาลหลังต่อมา เขาทำที่ จัดเป็นแปลง ทำเตียนแล้ว เขาก็ตัดที่ขายเป็นงาน

งานละหมื่นบาท ดูเหมือนว่าจะมีคนมาซื้อเขาแล้ว ๒ งาน พอหลวงปู่ท่านคิดจะสร้างอุโบสถตรงนั้น ก็เรียกครูเสถียรมาถามว่า ฉันจะซื้อที่ตรงนั้นสร้างอุโบสถ ครูจะขายไหม ครูเสถียรบอกว่า ถ้าหลวงพ่อต้องการ ผมก็ขายครับ แต่ว่าเวลานี้ผมตกลงขายคนอื่นเขา ๒ งานแล้วครับ ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นฉันจะซื้อได้ไหมล่ะ ก็ถามว่า ครูขายเขางานละเท่าไร ครูเสถียรก็บอกว่า ขายเขางานละหมื่นบาท

ทีนี้หลวงปู่ท่านก็เลยถามว่า ถ้าฉันจะซื้อครูไร่ละหมื่นบาท ครูจะขายไหม ไร่หนึ่งมี ๔ งาน ครูเสถียรก็บอกว่า ขายได้ครับ หลวงปู่ก็ถามว่า ขายได้อย่างไร เวลานี้ครูจะขายงานละ ๑๐,๐๐๐ บาท ฉันจะซื้อไร่ละหมื่นบาท เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปตามคุณบุญส่งมาก่อน เดี๋ยวสามีภรรยาจะทะเลาะกัน จะขายอย่างไร เอาราคาเท่าไร มาพูดกันต่อหน้าเดี๋ยวนี้ เขาก็ไปตามภรรยาเขามา

เป็นอันว่า ระหว่างเดินทางมา สามีภรรยาก็ปรึกษากันมาแล้ว พอมาถึงทั้งสองสามีภรรยา ก็บอกว่าก่อนที่ผมจะซื้อที่แปลงนี้ ความจริงผมซื้อราคาประมาณ ๓,๐๐๐ บาท (นี่ก็ประมาณนะ ไม่แน่ใจราคาแท้จริงจะลืม ๆ ) แต่ว่าหลวงพ่อบอกว่า จะขายได้ไร่ละประมาณ หมื่นบาท เป็นอย่างน้อย ถึงแม้ว่าผมจะตกลงกับเขาแล้ว งานละหมื่นบาท ผมก็จะบอกคืนเขา เพราะเขายังไม่ได้วางเงินหมด

ผมจะขอรับจากหลวงพ่อไร่ละหมื่นบาท ตามที่หลวงพ่อพูดไว้เดิม หลวงพ่อพูดไว้ ไร่ละหมื่น ผมก็จะขาย ไร่ละหมื่น ก็รวมความว่า ซื้อที่ตรงนั้นประมาณ ๑๒ ไร่ เมื่อซื้อแล้วก็บอกเจ้าอาวาสบอกว่าที่มันน้อย และที่ของเรามันเล็กมีแค่ ๖ ไร่ พระอุโบสถเก่าก็จะพังอยู่แล้ว ถ้าเผลอเมื่อไรก็พังเมื่อนั้น เราเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ก็แล้วกัน ต่อไปก็หาทางซ่อมวิหาร สำหรับพระอุโบสถใหม่สร้างด้านโน้น เจ้าอาวาสฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ไม่ตอบว่าอย่างไร

ต่อมาปรากฏว่า ทางเจ้าอาวาสกับคณะกรรมการ ที่บอกว่าสงสารต้นไม้ ฟันต้นมะม่วง เลื่อยขายกันหลายต้น จนกระทั่งไม่มีต้นมะม่วง ท่านบอก ท่านสงสาร แล้วหลวงปู่ก็สร้างพระอุโบสถด้านโน้น พร้อมด้วยอาคาร อาคารทุกหลัง ทุกอย่าง สร้างพร้อมกันกับพระอุโบสถ เมื่อลงมือสร้างพระอุโบสถ ก็ลงมือสร้างอาคารด้านหลัง ๑๐ หลัง (๑๑ หลังทั้งหลังใหญ่) แล้วต่อมาก็สร้างศาลาพระพินิจ

และก็ที่พักของคนที่มา ห้องแถว ๆ ที่พัก เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ความจริงหลวงปู่มาที่นี่ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ สร้างที่อื่นเกะกะ ๆ ฝั่งนี้บ้าง ฝั่งโน้นบ้าง ในระยะต้น พอปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ก็เริ่มสร้างพระอุโบสถ เพราะว่า คุณหญิงเยาวมาลย์ นำพระมาให้ปีนั้น แต่การที่จะเริ่มสร้างพระอุโบสถนี่ หลวงปู่ท่านบอกว่า ขณะนั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเขาบอกถวายวัด

ถวายพระเสร็จ หลวงปู่ก็เอาดอกไม้ธูปเทียน มาทำพิธีบวงสรวง บวงสรวงพร้อมกับชุมนุมเทวดา แล้วท่านก็ยืนนิ่งประเดี๋ยวหนึ่ง พอบวงสรวง พร้อมชุมนุมเทวดาเสร็จ ก็มีฝนตกปรอย ๆ เป็นละออง เป็นฝอยเห็นชัด แต่ว่าไม่เปียกใคร คนไปยืนข้างนอกก็ไม่เปียก แต่ว่าเป็นละอองฝอยชัดมาก หนามาก อยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้น หลวงปู่ท่านก็ลืมตาขึ้นมา ท่านบอกว่าจะต้องสร้างพระอุโบสถฝั่งโน้น

และพระท่านบอกว่า พระอุโบสถหลังที่จะสร้างจริง ๆ นี่สร้าง ๒ ปีเศษ ๆ ก็เสร็จ ฉะนั้นท่านเดือน บุนนาค พร้อมกับคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค จึงได้ถวายเงินไว้ ๑๐,๐๐๐ บาท เป็นเงินเริ่มต้น เป็นอันว่า พระอุโบสถหลังนี้ มีเงินเริ่มต้น ๑๐,๐๐๐ บาท หลังจากนั้นมา ท่านก็เชิญ ท่านเจ้ากรมเสริม หลังจากเริ่มมาอยู่วัดนี้ ลืมไปว่า เจ้ากรมเสริม กับคุณอ๋อยภรรยา

มาตั้งแต่เข้าปีที่ ๒ รู้จักคุณอาทร โรจนวิภาต กับคุณตุ๋ย เวลานั้น ท่านเจ้ากรมเสริม เป็นเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ ก็เริ่มเข้ามาช่วยนำกฐินมาช่วย นำคนมาช่วย ก็มีสตางค์เรื่อยขึ้นมาตามลำดับ เมื่อวางศิลาฤกษ์ก็เชิญ ท่าน หม่อมเจ้าสืบ ศุขสวัสดิ์ บิดาของท่านเจ้ากรมเสริม มาวางศิลาฤกษ์ ก็เป็นอันว่า เริ่มสร้างจริง ๆ ตั้งแต่ปี ๑๗ เอาเริ่มจริงจัง ปี ๒๕๑๗

นี่เป็นการเริ่มสร้างจริงจัง เริ่มสร้าง แล้วก็เริ่มทำกำแพง กำแพงนั่นกำแพงเก่าทำชั่วคราวเหมือนกัน ทำแค่กันขโมยขนของ เพราะอะไร เพราะว่า ขึ้นชื่อว่า น้ำถึงไหน ปลาถึงนั่น วัตถุของใช้ถึงไหน ของมีค่าถึงไหน ขโมยก็ถึงนั่น ทั้ง ๆ ที่เอาคนใกล้ ๆ มาช่วยรักษาของกันขโมย ของก็ยังหาย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเขารับค่าจ้าง เขาต้องการแต่เพียงค่าจ้าง เขาไม่รับผิดชอบ

ฉะนั้น คนที่เราจะใช้จริง ๆ มองกันแค่หน้าไม่ได้ ต้องดูประวัติกันด้วยว่า ประวัติความเป็นมาของเขาเป็นคนแถบไหน มีเผ่าพันธุ์ไหน และของที่นี่มันปกติ เมื่อก่อนก็หายกันอยู่เรื่อย ๆ ต้องมีกำแพงรั้วรอบขอบชิด เพราะว่า เขาถือว่า เป็นอาชีพ พวกขโมยนี่ เขาถือว่า เป็นอาชีพใครเผลอไม่ได้ ความจริงขโมยนี่เขามีบรรดาศักดิ์นะ บรรดาศักดิ์เขาเรียก ๑.ขุนย่องสารพัดหยิบ ๒.ขุนจุกจิกโจรกรรม นั่นก็หมายความว่า เผลอเมื่อไร หยิบเมื่อนั้น ถ้าเผลออันไหนแย่งอันนั้น

ก็เป็นอันว่า เริ่มสร้างพระอุโบสถ ทั้ง ๆ ที่ทุนไม่มี ก็ต้องหาเที่ยวซื้อปูน ปูนประเดี๋ยวก็ขาด ๆ จากถุงละ ๒๒ บาท พอปูนขาดปั๊บ เป็นถุงละ ๓๓ บาท พอเริ่มจะสร้างพระอุโบสถ เหล็ก ๔ หุน ก่อนหน้านั้นเส้นละ ๒๐ บาท พอเริ่มสร้างพระอุโบสถ เหล็ก ๔ หุน กลายเป็นเส้นละ ๗๐ บาทบ้าง ๘๐ บาทบ้าง ของขึ้นจาก ๒๐ บาทเป็น ๗๐ บาทและ ๘๐ บาท ก็ลองคิดดู อันนี้ไม่ใช่พ่อค้าเขาแกล้งขึ้น

ขึ้นกันมาตั้งแต่ต้นทาง ก็ได้จาก เจ้าโป้ย จังหวัดอุทัยธานี เธอมาหาบอกว่า หลวงพ่อมีบริษัท ๆ หนึ่ง เขามีความจำเป็นต้องใช้เงิน เขาตกลงกับบริษัทอื่นว่า เขาจะขายเหล็ก เฉพาะเหล็ก ๔ หุน เส้นละ ๕๐ บาท ประมาณกี่พันตันก็ไม่ทราบ เขาตกลงกับบริษัทอื่นว่า จะขายตามนั้น บริษัทอื่นเขายอม หลวงพ่อต้องการเท่าไร ก็สั่งเธอบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปซื้อเหล็ก ๔ หุนมาหนึ่งเที่ยวรถ

แล้วก็ซื้อเหล็ก ๒ หุนมาหนึ่งเที่ยวรถ เอาให้พอใช้ ในการสร้างพระอุโบสถ เพราะเหล็กเก่าก็มีอยู่บ้าง ก็เป็นอันว่า เหล็กเท่านี้ก็เหลือใช้ เพราะขนกันมาพอ คำว่า เที่ยวรถ เวลานั้นก็ไม่ใช่ ๑๓ ตัน ใช้คำว่า เที่ยวรถ ก็คือว่า ไม่ใช่หนึ่งเที่ยว มันจะเป็นประมาณอย่างละ ๕๐ ตัน ก็หลายเที่ยวอยู่ จำเที่ยวไม่ได้ คือ เอาเหล็กมาจนพอ เมื่อเหล็กมาพอแล้ว บริษัทนั้นเขาก็พอ เหล็กก็ราคาสูงตามเดิม เราก็ใช้เหล็กราคาถูกลงมาหน่อย

คือ เส้นละ ๕๐ บาท แทนที่จะเป็นเส้นละ ๗๐ หรือ ๘๐ บาทสำหรับ ปูน ก็แสนระกำมาก เดี๋ยวก็ขาดตลาด ๆ โรงงานก็ไม่มี ต้องวิ่งหาที่ซื้อปูนจากนี่ไปถึงนครสวรรค์บ้าง ไปชัยนาทบ้าง ที่ร้านไหนมีก็ขอซื้อ จากถุงละ ๒๒ หรือ ๒๓ บาท เป็นถุงละ ๓๓ บาท ก็ต้องเอา และก็ช่างที่สร้างก็คือ ท่านกำนันเยี่ยม บ้านโกรกพระ คนนี้มีสมรรถภาพมาก เรื่องพระอุโบสถทั้งหมด

ท่านกำนันเยี่ยมเป็นคนทำ คือความจริง กำนันเยี่ยมไม่ได้ทำ คนอื่นทำ ลูกน้องทำ กำนันเยี่ยมคุม แต่เรื่องการเงินค่าจ้าง ก็เป็นงานเหมากัน ดูเหมือนว่าจะเป็นราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาท เหมางานทั้งหมด ทั้งตัวพระอุโบสถด้วย ทั้งกำแพง แท่นพระเสร็จ จะเป็น ๒๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ๆ เงินเวลานั้นก็รู้สึกว่ามีค่าสูง

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมาเททองรูป หลวงพ่อปาน และต่อมาก็อาราธนา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา กับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม มายกช่อฟ้า แล้วต่อมาหลังจากนั้น ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดลูกนิมิต และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระประธาน

ก็รวมความว่า วัดนี้นะหลานรัก ที่หลวงปู่ทำมา ทำมาด้วยความลำเค็ญ ไม่ใช่ว่า มีทุนมีรอนมาก ค่อย ๆ ทำมา เป็นหนี้เขาตลอดกาล ค่าทรายก็เป็นหนี้ ค่าอิฐก็เป็นหนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นหนี้เขาหมด จนกระทั่งทำมาหลายปี พ่อค้าแถวอุทัยธานีจึงไว้วางใจ เอาละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย เวลานี้สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ขอหยุดก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/4/12 at 13:26 [ QUOTE ]


8
สร้างวัดท่าซุง (ต่อ)


ท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อนี้ไปก็โปรดรับฟัง เรื่องของป้าและหลาน ต่อไป เป็นอันว่าคุณป้าน้อยก็บอกว่า หลานรัก วัดนี้ไม่ใช่วัดใหญ่โตมาตั้งแต่กาลก่อน เป็นวัดที่มีการทรุดโทรมมาก มีสภาพเหมือนวัดร้างจริง ๆ แล้วมีกุฏิที่อยู่ได้แค่หลังเดียว โบสถ์ก็จะพัง วิหารก็พัง ศาลาก็โย้ และหลวงปู่ก็ค่อย ๆ ทำขึ้นมา ขณะที่ท่านสร้างบริเวณพระอุโบสถ ท่านก็สร้างโรงพยาบาลขึ้นมาพร้อมกัน เสร็จพร้อมกันเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๐

และก็ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมาตัดลูกนิมิต มันก็ไม่ใช่ของเบานัก ขณะที่ท่านทำการก่อสร้าง หลังจากสร้างกุฏิชายน้ำก็ดี และก็สร้างศาลาชั่วคราวก็ตาม และที่อาคารเสริมศรี ตอนนั้นสร้างเป็นอาคารหมาแหงน เพิงหมาแหงนไว้ ท่านก็บอกว่า ท่านเหนื่อยมาก และหาสตางค์ลำบาก ท่านก็ขึ้นไปหาท่านปู่ ท่านปู่ก็บอกว่า คุณทำไปเถอะ ทำได้ตามความประสงค์ ทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แต่ว่าคุณไม่ต้องมาขอร้องผมหรอก

เทวดาทั้งดาวดึงส์ ทั้งหมด เหนื่อย คุณคนเดียว เทวดาทุกองค์เหนื่อยหมด ทั้งเทวดา และนางฟ้า ต่างคนต่างช่วยกัน ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ สิ่งที่ไม่น่าจะมี ก็มีขึ้นมาได้ ขณะที่ทำการเริ่มก่อสร้างกุฏิชายน้ำใหม่ ๆ ก็มีพระท่านมาบอกให้คาถาบทหนึ่งว่า คาถาบทนี้หาเงินคล่อง คาถาบทนี้มีนามว่า มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม ท่านบอกให้ภาวนาไว้ทุกคืน คาถาบทนี้จะหาเงินคล่อง และต่อมาก็หาเงินได้คล่อง

ในกาลต่อมา เมื่อเริ่มการสร้างโบสถ์ ก็มีความจำเป็นต้องใช้เงินคราวละเป็นแสน ปีหนึ่งต้องใช้เงินเป็นแสน ๆ ท่านก็มาบอกคาถาอีกบทหนึ่ง คาถาบทที่ ๒ นี้เป็น คาถาเงินแสน (เอาอย่าง นี้ก็แล้วกัน ไปดู คาถาเงินล้าน ก็แล้วกัน) แล้วต่อมาก็บอก คาถาเงินล้าน เมื่อบอกคาถาเงินแสน เมื่อหลวงปู่ทำ ภาวนาตามที่ท่านบอก ปีนั้นกฐินได้ ล้านห้าแสน รุ่งขึ้นอีกปีได้ สองล้านห้าแสน คาถาของท่านมีผลจริง ๆ

ก็ไม่ต้องเรียงบท ให้ใช้ให้หมดก็แล้วกัน คาถาเงินล้าน พร้อมด้วย วิระทะโยฯ ให้ใช้พร้อมกัน เป็นอันว่า หลวงปู่ท่านตัดสินใจคิดว่า ถ้าสร้างบริเวณพระอุโบสถหมดแล้ว ก็ซื้อที่สร้างโรงพยาบาลเสร็จ ก็จะเลิกทำการก่อสร้าง เพราะว่าการที่ท่านมาด้านเหนือนี่ ท่านหนีการก่อสร้างมา ท่านเบื่อการก่อสร้าง แต่ว่าเมื่อฝังลูกนิมิตแล้วก็ปรากฏว่า พระใหญ่คือ หลวงปู่ใหญ่ ท่านมาบอกหลวงปู่เรา บอกว่าขอให้สร้างต่อไป ทำตามรูปนี้ ทำตามแบบนี้ ค่อย ๆ ทำไป ท่านก็กำหนดงาน

กำหนดงานขั้นแรกทำแบบนี้ ขั้นต่อไปทำแบบนี้ ทำตามแบบที่ท่านสั่ง หลวงปู่ท่านคิดตาม แล้วก็คิดว่า ต้องใช้เงินจริง ๆ เดือนหนึ่งประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ บ้าง อีกเดือนหนึ่งต้องใช้ถึง ๘๐๐,๐๐๐ สลับกันไป เป็นอันว่า ๒ เดือนต้องใช้เงินถึง ๑,๔๐๐,๐๐๐ สลับกันแบบนี้เรื่อยไป หลวงปู่ท่านก็บอกว่า ผมไม่ไหวครับ แค่สร้างพระอุโบสถ ต้องใช้เงินจริง ๆ ปีละไม่กี่แสนบาท พระอุโบสถ บริเวณทั้งหมด อาคารทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้นเอง และก็ต้องถมที่อีกเยอะ สร้างอาคารเพิ่มเติม

สร้างหอไตร ทำกำแพงใหม่ ก็รวมแล้วทั้งหมด สร้างในตอนแรกไม่เกิน ๑๕ ล้านบาท จริง ๆ แล้วไม่ถึง แต่ว่ามีช่างคนหนึ่ง เขามาเถียงบอกว่า ๑๓ ล้านบาทสร้างไม่ได้ ต้องสร้าง ๑๕ ล้านบาท ก็เลยบอกว่า นี่ฉันบอกเกินราคาแล้วนะ ฉันบอกคุณเกินราคาตามความเป็นจริงนะ คุณยังไม่เชื่ออีกหรือ เขาบอก เขาไม่เชื่อ มันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อปู่ใหญ่ท่านมาบอกให้ทำ และท่านก็ยืนยันบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะเป็นคนหาสตางค์เอง เธอเป็นคนทำตามฉันสั่งก็แล้วกัน

หลวงปู่ก็ถามว่า ทำเพื่ออะไร ปู่ใหญ่ท่านก็บอกว่า ลูกหลานของเธอมาก อย่าลืมว่าทุกชาติเขาก็ช่วยเธอมาทุกชาติ และชาตินี้เขาก็ตามมาช่วยเธออีก (เวลานั้นคนก็ยังไม่มาก) ต่อไปเราจะเกิดใหม่ หรือไม่เกิดก็ยังไม่แน่ ถ้าเราจะเกิดใหม่ เราก็ควร เกิดเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุด คำว่า ไม่มี จงอย่าปรากฏกับพวกเรา ทุกอย่างให้มันมีเสียทุกอย่าง ถ้าเราต้องเกิดเป็นคน ถ้าเราเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า หรือพรหม ทิพยสมบัติทุกอย่าง

ให้เรามีทุกอย่างเหมือนกัน หรือถ้าบังเอิญบารมีของเราเข้มข้นจริง ๆ เราก็สามารถจะไปนิพพานได้ ถ้าทุกอย่างมันเต็ม ก็ถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้นเริ่มต้น จะใช้สตางค์ที่ไหน ท่านบอกคาถาที่บอกไว้นี่ ภาวนาไว้ให้เป็นฌานสมาบัติ ทำทุกคืน กลางวันถ้านึกได้ ก็ทำ นึกไปด้วย ไม่ต้องมีเวลาจำกัด เวลาจิตจะคิดอะไร ก็ปล่อยคิดไป แต่ถ้าหากว่า เวลาที่คิดไม่มี หมดเรื่องคิด เราก็คิดถึงคาถาที่ให้ไว้ก็แล้วกัน คาถาที่ให้ไว้ (อย่าลืมนะ เป็นคาถาเงินล้าน รวมแล้วทุกบท)

ก็ทำตามท่าน เดือนแรกต้องจ่ายเงิน ๘ แสนบาท และต่อมาเดือนที่ ๒ จ่ายเงิน ๖ แสนบาท ๘ แสนบาท ๖ แสนบาท ๆ ๆ สลับกันเรื่อยมา และในกาลต่อมาถึง พ.ศ. ๒๕๓๓ ปีนั้นน้ำท่วม ต้องจ่ายเงินเดือนหนึ่ง ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ของราคาก็ขึ้น งานก็มากขึ้น งานก็เร่ง งานไม่มีจุดจบ ถามท่านว่า จะจบตรงไหน ปู่ใหญ่ท่านก็บอก ยังไม่มีจุดจบ ก็ทำไปตามท่านสั่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นมา หลวงปู่ก็เริ่มตั้งมูลนิธิฯ มูลนิธิฯ ก็ได้ไม่เป็นล่ำเป็นสันนัก ก็ได้พอสมควร

เผื่อกันไว้ว่า ฉากสุดท้ายไม่มีเงินใช้หนี้ จะได้เอาเงินมูลนิธิฯ ใช้หนี้ เอาดอกเบี้ยของมูลนิธิฯ
ค่อย ๆ ผ่อนใช้หนี้เขา การก่อสร้างเป็นมาอย่างนี้ละหลานรัก ค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ไป ต่อมาท่านก็สร้างห้องกรรมฐานเกิดขึ้น ห้องกรรมฐานห้องหนึ่งตั้งราคา ๕๐,๐๐๐ บาท แต่ความจริง ๕๐,๐๐๐ บาทนี่ขาดทุน ท่านให้ช่างเขาคิด ค่าหิน ค่าปูน ค่าเหล็ก ค่าทราย และค่าแรงงาน ๕๐,๐๐๐ บาท ค่าประตู หน้าต่าง ค่าสีทา ยังไม่ได้คิด ค่ากระจก ยังไม่ได้คิด แต่ว่าท่านปู่ใหญ่

ท่านให้ตั้งราคา ๕๐,๐๐๐ บาท ท่านบอก นอกจากนั้น เงินที่เขาถวายมาเป็นส่วนตัวก็ดี หรือเงินถวายมาไม่จำกัดก็ดี เอาร่วมสร้างด้วย ต่อมาก็มีเจ้าของ เกือบทุกห้อง เจ้าภาพห้องกรรมฐานก็มากขึ้น ก็ต้องซื้อที่ขยายไปเรื่อย ๆ ต่อมา ป้าใหญ่ก็ถวาย ๒๐ ไร่ ลุงมาก็ถวาย ๘ ไร่ และพระก็ช่วยกันซื้อที่ อาคาร ๑๒ ไร่ พระช่วยกันออกสตางค์ มีพระวิรัช กับพระอะไรบ้างก็ไม่ทราบ มี พระวิรัช เป็นหัวหน้า ช่วยกันซื้อที่ตรงนั้น และก็มีหลาย ๆ คน

ช่วยกันซื้อ คนละ ๒ ไร่ ๓ ไร่ ๕ ไร่ ๑๐ ไร่ เรื่อยมาจนกระทั่งที่ทั้งหมดเวลานี้ ๒๐๐ ไร่เศษ ท่านปู่ใหญ่ ท่านบอกว่า ที่เท่านี้พอ ให้รีบทำถนนรอบพื้นที่ เป็นการป้องกันการบุกรุกที่ รีบทำกำแพงล้อมที่ให้หมด และต่อมาทำที่เดินรอบบริเวณพื้นที่ ๒๐๐ ไร่เศษ นี่หลานรัก วัดที่ใหญ่โตขึ้นมานี่ ความจริงไม่ใช่สมัยไหน ถ้าจะเอาเริ่มต้นกันจริง ๆ วัดนี้ก็จะเริ่มต้นการใหญ่โตตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นต้นมา ตั้งแต่วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๑๑ หลวงปู่มาที่วัดนี้วันนั้น

แต่ก่อนจะมา ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ท่านมาดูสถานที่ก่อน ปรากฏว่ามีของแปลก คือ เวลาเที่ยง ฟ้าสว่างจ้า พระอาทิตย์จัด สว่างจัดแต่ว่า มีฝนลูกเห็บตก ลูกเห็บก้อนหนึ่ง ขนาดเล็กที่สุด เท่า กำปั้น ขนาดใหญ่ เท่าขันลูกบาตร แต่ฟ้าก็สว่างจ้า ฝนตก ลูกเห็บเต็มเกลื่อนบริเวณวัด เต็มจริง ๆ ไม่ใช่พูดว่า ที่นั่นก้อน ที่นี่ก้อน วางเรียงกันเต็ม ซ้อนกัน เต็มไปหมด ตกอยู่พักใหญ่ ประมาณชั่วโมงเศษ ฟ้าสลัวก็ไม่มี และเมฆหมอกก็ไม่มี นั่นเป็นบทอัศจรรย์อันหนึ่ง

และพอท่านย้ายมา ก็ปรากฏว่า โพธิ์ ต้นโพธิ์ใหญ่ที่ชายน้ำ ที่ข้างครัว ปีนั้นมีลูกเกลื่อน ท่านถามชาวบ้านแล้ว โพธิ์ไม่เคยมีลูกขนาดนั้น เต็มบริเวณพื้นที่ เต็มจริง ๆ ซ้อนกันเลย ขนาดเดินไปที่ไหน ต้องเหยียบลูกโพธิ์ อันนี้เป็นเหตุอัศจรรย์ที่มา และความอัศจรรย์อีกอันหนึ่ง ก็คือว่า ขณะที่สร้างพระอุโบสถเสร็จ จะนำพระประธานที่ ท่านเดือน บุนนาค กับคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค ถวายมาเข้าพระอุโบสถ เมื่อบวงสรวงเสร็จ

นำพระเข้า มีฝนละอองเป็นฝอยลงตลอดเวลา นานเป็นชั่วโมง ไอ้นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ก็รวมความว่า ที่พูดกันมานี่ หลานรัก เล่าให้ฟังถึงความเป็นมาว่า วัดนี้ ความจริง ไม่ใช่ใหญ่โตมาก่อน และการที่ใหญ่โตขึ้นมาได้นี่ ก็ไม่ใช่กำลังของหลวงปู่องค์เดียว หลวงปู่ท่านพูดเสมอว่า ไม่ใช่บารมีฉันนะ เป็นบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านคือ พระทุกองค์ เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นบารมีของพระอริยสาวกทุกองค์

เป็นบารมีของพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกองค์ช่วยกัน เป็นของเทวดา และพรหมช่วยกัน และก็เป็นบารมี คือ ความดีของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทช่วยกันนั่นเอง ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไม่ช่วยกัน พระก็ไม่สามารถจะทำได้ ฉะนั้น ความดีทั้งหมดที่วัดจะปรากฏขึ้นมาได้นี่ จะมีที่กว้างขวางก็ดี จะมีอาคารได้ใหญ่โตสวยงามขนาดนี้ก็ดี หลวงปู่ท่านพูดเสมอว่า ไม่ใช่ความดีของท่านโดยเฉพาะ บางคนกล้ายืนยันบอกว่า ต้องเป็นบารมีของหลวงพ่อ แต่ท่านก็บอกว่าไม่ใช่

เป็นบารมีความดีของญาติโยม ต้องญาติโยมเป็นคนมีบารมีดี คำว่า บารมี หมายถึง กำลังใจเต็ม มีกำลังใจเต็มในการทำบุญ ทำกุศล และนอกจากนั้น ก็กำลังบารมีขององค์สมเด็จพระทศพล คือ พระพุทธเจ้า ทำให้บุคคลทั้งหลายมีศรัทธาปสาทะ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ช่วยกันสร้างขึ้นมา และกำลังการก่อสร้าง เป็นของอัศจรรย์

อย่างห้องกรรมฐาน จนกระทั่งวันนี้ที่เราพูดกัน คือ วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ คนสร้างห้องกรรมฐาน ยังนำเงินมาสร้างห้องกรรมฐานกันอยู่ และคนที่สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ก็ยังนำเงินมาสร้างกันอยู่ และในช่วงนี้ หลวงปู่กำลังสร้าง เครื่องเอกซเรย์ ที่เราพูดกันนี่เป็น เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ แต่ว่าหนังสือนี่ออก เดือนพฤษภาคม จะสร้างเครื่องเอกซเรย์ เพราะว่าท่านป่วยบ่อย ๆ ต้องการรู้เรื่องความเป็นมาต่าง ๆ ของโรค ที่มันบอบช้ำ มันทรุดโทรม

จากเครื่องเอกซเรย์ ท่านจะซื้อเครื่องเอกซเรย์ให้กับโรงพยาบาล ที่ท่านมอบกับรัฐบาลไว้ที่วัดของท่าน ก็ยังมีคนมาทำบุญเครื่องเอกซเรย์ และการทำบุญ ทำกุศลต่าง ๆ ญาติโยมยังทำกันอยู่เป็นระยะ ๆ ไม่ขาดสาย ยิ่งเวลานี้ คนที่สร้างห้องกรรมฐานก็ดี สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก (พระชำระหนี้สงฆ์) ก็ดี ถวายเงินเต็มห้องละ ๖๐,๐๐๐ บ้าง บางคน ๕๐,๐๐๐ บางคนก็ ๖๐,๐๐๐ บางคนก็ ๗๐,๐๐๐ บ้าง อย่างวิหารคด ๓๐,๐๐๐ ก็มาถวายกันหลาย ๆ รายแล้ว

อย่างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก จริง ๆ แล้วเวลานี้ มีเจ้าภาพ ๑๐๐ องค์เศษแล้ว หลวงปู่ก็สร้างไม่ทัน แต่ต้องพยายามสร้างให้ครบ ถ้ายังไม่ตาย เวลานี้ก็สั่งให้ช่างสร้างเพิ่ม ให้ทันกับศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่าต้องขออภัยหน่อย คำว่า ให้ทัน มันก็ต้องช้านิด การสร้างพระ ไม่ใช่ปั้นลูกกระสุน ต้องทำตามแบบฉบับ และตามศิลปะที่เขาทำกัน และประการที่สอง ต้องสร้างอาคารที่ตั้งพระ อาคารที่ตั้งพระนี่ ก็คิดกัน ๒ ชั้น ห้องละประมาณ ๓๐,๐๐๐

คือว่า ถ้าญาติโยมสร้างแต่พระ อาคารไม่มี หลวงปู่ก็ต้องหาสตางค์สร้างอาคารก่อน และก็สร้างพระทีหลัง มันก็ช้ากันตรงนี้ เวลานี้พระส่วนแรกก็กำลังปิดทอง สวยอร่าม และก็ปิดทองเรื่อย ๆ ไป ส่วนแรกนี่ ๖๓ องค์ และเก่าจริงมีเกือบ ๒๐๐ องค์แล้วนะ ๖๓ องค์นี่กำลังปิดทอง ถ้าปิดทองเสร็จ ก็จะไปปิดทองอีก ๖๐ องค์ ก็ตั้งต่อไปที่ ๒๐ ไร่ หลานจุไรก็ถามว่า คุณป้า ฟังคุณป้าพูดมานี่เหนื่อยจริง ๆ และในเมื่อหลวงปู่ท่านไม่มีทุนแล้ว ทำไมถึงกล้าทำ

คุณป้าก็บอกว่า ท่านกล้าทำ เพราะว่า ท่านเชื่อท่านปู่ใหญ่ แล้วจุไรก็ถามว่า แล้วหลวงปู่ใหญ่มาหาหลวงปู่เล็กเรื่อย ๆ หรือเปล่า ป้าน้อยก็บอกว่า เห็นหลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านพบกันทุกวัน ท่านทำตามคำสั่ง ป้าน้อยก็เล่าให้ฟังว่า มีเรื่อง ๆ หนึ่งที่จะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องอัศจรรย์ เมื่อสมัยที่หลวงปู่มาอยู่ใหม่ ๆ เวลานั้นกำลังเริ่มสร้างพระอุโบสถ ถนนที่ผ่านวัดก็ยังเป็นถนนดิน รถก็ยังวิ่งประมาณวันละ ๒ - ๓ เที่ยว มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงปู่ท่านนั่งอยู่ที่กุฏิของท่าน ท่านไปนับสตางค์ดู

ท่านมีสตางค์อยู่ หมื่นบาทเศษ ๆ แต่ว่าวันรุ่งขึ้น จะมีเจ้าหนี้เขามาขอเงิน ๖๐,๐๐๐ บาทเศษ ๆ ท่านก็นึกในใจว่า เราจะได้เงินที่ไหน ก็นึกไม่ออก ก็คิดในใจว่า มีเท่าไร ก็ให้เท่านั้น แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เจ้าหนี้เขาก็บอกว่า ความจริงผมมีความจำเป็นจริง ๆ เรื่องการเงิน ผมไม่เคยมาขอท่านเลย แต่วันนี้มีความจำเป็นต้องขอ แต่ว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เงิน ๖๐,๐๐๐ บาทเศษ ๆ มีเท่าไร ผมขอรับเท่านั้น ถ้าไม่มีเลยก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมทราบแล้วว่า ถ้ามีเท่าไร ท่านก็ให้ผม

หลวงปู่เป็นคนไม่หวงหนี้ มีเท่าไรจ่ายหมด มีเทศน์ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่าได้เท่าไร ไม่เคยหักค่าใช้จ่าย ชำระหนี้ทันทีทันใด ขณะที่งานเสร็จ เอากันในวันงาน คือ เจ้าหนี้เขาเห็นว่า วันนี้ได้เงินสักกี่หมื่น เมื่อมีเทศน์จบ ประกาศว่า วันนี้ได้เงินเท่าไร เรียกเจ้าหนี้เข้ามาทันทีต่อหน้าคน ชำระหนี้เลย ฉะนั้น เจ้าหนี้เขาจึงไม่รังเกียจ เขาบอก ไม่พอไม่เป็นไรนะครับ แต่ผมมีความจำเป็นจริง ๆ ถ้าไม่ได้ที่นี่ ไม่พอผมก็หาที่อื่นต่อไป

ขณะที่ท่านนั่งอยู่ ประมาณสักบ่าย ๒ โมง ก็มีผู้หญิงชราคนหนึ่ง อายุเวลานั้น ถ้ามองแล้วก็ประมาณ ๖๐ ปีเศษ ๆ เป็นคนผิวเนื้อสองสี ค่อนข้างคล้ำ บาง ๆ นุ่งผ้าลาย แล้วก็ห่มผ้าแถบ สไบไป สไบมา สไบผ้าแถบ เข้ามาในกุฏิ มาคนเดียว เวลานั้นหลวงปู่ท่านก็อยู่องค์เดียว ท่านก็บอกว่า โยม มาอย่างไรจ๊ะ โยมก็บอกว่า ฉันต้องการจะมาทำบุญจ๊ะ ทราบว่าที่วัดนี้สร้างโบสถ์ใช่ไหม บอกกำลังสร้าง คุณโยม หลวงปู่ท่านว่าอย่างนั้น และคุณโยมถามว่า มีความต้องการเรื่องการเงินสักเท่าไรจ๊ะ

หลวงปู่ท่านก็บอกว่า เงินเวลานี้มีความต้องการจริง ๆ สัก ๕๐,๐๐๐ บาท เพราะว่า เจ้าหนี้เขาจะมารับเงินในวันพรุ่งนี้ เป็นหนี้เขาอยู่ ๖๐,๐๐๐ แต่เขาก็ไม่กะเกณฑ์ ไม่มีเขตจำกัด ถ้ามีเท่าไร เขารับเท่านั้น ไม่มีเลยเขาก็ไม่ว่า ถ้ามี เขาก็เอา เพราะว่าเขามีการร้อนเงิน โยมก็บอกว่า แหม เป็นการพอดีซิจ๊ะ ฉันก็ตั้งใจ ว่าจะมาทำบุญสัก ๕๐,๐๐๐ บาท หลวงปู่ท่านก็บอกว่า เวลาที่โยมพูด ท่านก็มองดู ท่านบอกว่า โยมนี่มีถุงผ้ามาหรือเปล่า กระเป๋าถือก็ไม่มีมา

ผ้าแถบที่รัดอก ก็รัดแล้วก็พาดขึ้นไป ก็ไม่มีขอบ ดูว่า สตางค์ ๕๐,๐๐๐ โยมจะมาจากไหน เป็นอันว่า โยมปลดชายพก ก็นุ่งผ้าพื้น มีชายพก ปลดชายพกเล็ก ๆ ชายพกนะ เล็กนิดเดียว หุ้มแบงค์ไม่มิด แบงค์ ๕๐,๐๐๐ บาท เป็นแบงค์ ๕๐๐ ก็ช่างเถอะ แบงค์ ๕๐๐ ก็ต้อง ๑๐๐ ใบ แต่มันหุ้มไม่ได้ พอปลดชายพกมา ปรากฏว่ามีแบงค์เป็นปึกเหมือนกับที่ธนาคารนับ นับเรียบร้อยถวายมา ๕๐,๐๐๐ บาท บอกฉันก็มีพอดีเลยจ๊ะ พอดีฉันตั้งใจว่า จะมาทำบุญสัก ๕๐,๐๐๐ บาท

หลวงปู่ก็ถามว่า คุณโยมอยู่ที่ไหน โยมบอกว่า ฉันอยู่ (บอกไกลจะเป็น จังหวัดกำแพงเพชร หรือที่ไหนก็ไม่ทราบ เป็นอันว่า บอกแล้ว ไม่สามารถจำหน้ากันได้ก็แล้วกัน) เห็นจะเป็น จังหวัดกำแพงเพชร ถ้าจำไม่ผิดนะ และคุยกันไปสักประเดี๋ยว ท่านบอกว่า จะลากลับ ก็เลยบอก ประเดี๋ยวก่อน คุณโยม รถกว่าจะมาแต่ละคันมันนาน ประเดี๋ยวจะให้พระเดินไปเป็นเพื่อนด้วย โยมบอก ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แค่จังหวัดอุทัยฯ แค่นี้ เดี๋ยวฉันเดิน ประเดี๋ยวก็ถึง หลวงปู่ท่านก็บอกว่า จะไปส่งโยม ก็ไม่กล้าไปส่ง

เพราะไม่มีใครเฝ้ากุฏิ เวลานั้นอยู่กัน ๒ องค์ กับ พระทวี ก็เป็นอันว่า ไปเรียกพระทวี ให้ไปส่งโยม ก็พอดีพระทวีก็เดินออกมา โยมก็เดินออกไป พระทวีเดินไปส่ง พอไปถึงถนน โยมก็บอกว่า คุณกลับเถอะ เดี๋ยวฉันกลับเองได้ พระทวีก็บอกว่า ไม่ได้โยม หลวงพ่อใช้ให้ไปส่ง ก็ต้องไปส่ง ถ้าไม่คอยรถที่นี่ ก็ต้องไปถึงอุทัยธานี โยมก็บอกว่า อุทัยธานีใกล้นิดเดียว ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปส่งเจ้าค่ะ ฉันจะเดินไปละ แล้วท่านก็เดินไปเลย เดินไปแค่ ๒ - ๓ ก้าว

ปรากฏว่า โยมหายไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่โล่ง ๆ กลางวัน ประมาณไม่ถึงบ่าย ๓ โมง เป็นที่ถนน ไม่ได้มีกอไผ่ โยมหายไปไหน พระทวีก็วิ่งเข้ามา หน้าเลิ่กลั่ก บอกว่า โยมแก่คนนั้นหายไปแล้วครับ หลวงปู่ถามว่า หายไปไหน ก็ไม่ทราบครับ เดินออกไปข้างหน้าผม ผมยืนยันว่า ผมจะไปส่ง โยมไม่ยอม เดินไปคนเดียวเดินไป ๒ - ๓ ก้าว หายไปเลย ไม่รู้ไปไหน แล้วหลวงปู่ท่านก็บอกว่า โยมคนนั้นนะ รูปร่างทรวดทรงเหมือนกับ โยมคนที่เอาแก้วดวงหลังมาถวายท่าน

โยมคนที่เอาแก้วดวงหลังมาถวายท่าน ถวายที่ซอยสายลม แก้วดวงก่อน หลวงปู่ชุ่มถวาย ที่วัดท่าซุง และแก้วดวงหลังนี่ ถวายที่ซอยสายลม ลักษณะทรวดทรงเหมือนกัน ผิวพรรณเหมือนกันหมด แต่ว่าโยมคนที่ถวายแก้วที่ซอยสายลม รู้สึกจะสาวกว่าสักนิดหนึ่ง ดูอายุแล้วก็ประมาณ ๖๐ ปี หรือ ๕๐ ปี เศษ ๆ ใกล้ ๖๐ ปี แต่ว่าโยมคนที่ถวายเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทนี่ ดูอายุเกินกว่า ๖๐ ปีสักหน่อยหนึ่ง จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น หลวงปู่ท่านสอบสวนหรือเปล่า

โยม ๒ โยม นี่เป็นใคร ป้าน้อยก็บอกว่า หลวงปู่ท่านถามแล้ว ท่านไปถาม ท่านปู่เล็ก ท่านปู่เล็กก็บอกว่า จะมีใครที่ไหนล่ะ ก็แม่คุณนั่นแหละ คนอื่นใครเขาจะนำไปให้คุณ แก้วดวงเล็กนั่น แม่เขาใช้มาหลายสิบชาติ เขาสามารถคุมคนได้เป็นพัน เป็นหมื่นคน เขาสามารถเลี้ยงได้ แก้วดวงใหญ่นี่ก็เหมือนกัน แม่องค์ใหญ่เขาใช้มาหลายสิบชาติ ก็สามารถจะมีทรัพย์สินเลี้ยงคนได้ตามสบาย ๆ แต่ทว่าแก้ว ๒ องค์นี้ ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ทุกคน

จะใช้ได้มีผลกับคนบางคนเท่านั้น ที่เคยเป็นเจ้าของ ถ้าสมมติคุณตายไปแล้ว คนอื่นจะรับแก้วนี้ไป ก็ไม่มีอะไรเป็นผล ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเทวดาที่รักษาก็ดี พรหมที่รักษาก็ดี เขาไม่ช่วย เพราะไม่ใช่เจ้าของ จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น เวลานี้ แก้วที่หลวงปู่ได้รับมา ๒ องค์อยู่ที่ไหน ป้าน้อยก็บอกว่า ท่านเก็บไว้ที่พระ เวลาท่านบูชาพระ ท่านก็นึกถึงแก้ว แต่พระที่ท่านบูชานี่ เป็นพระใหญ่ ท่านเก็บแก้วไว้ที่พระใหญ่ จุไรก็ถามว่า พระใหญ่ที่วัดนี้มีเยอะ

อยากจะทราบว่า พระใหญ่องค์ไหน คุณป้าน้อยก็บอกว่า ตอบไม่ได้หลานรัก มันไม่ใช่เป็นความลับ แต่ว่า ป้าไม่รู้ว่าองค์ไหน ไม่ใช่หลวงปู่ท่านปกปิด ท่านบอกว่า แก้ว ท่านนับถือเหมือนพระ เพราะว่า พ่อแม่เป็นผู้ให้มา แก้วองค์ใหญ่ หลวงปู่ชุ่มให้ หลวงปู่ชุ่มก็บอกว่า แก้วองค์นี้ใช้กันมา หลายสิบชั่วคนแล้ว ตระกูลของเรา แล้วไม่ช้า พี่มีความจำเป็นต้องไป น้องยังมีชีวิตอยู่นาน เอาไว้ใช้ แก้วดวงนี้ ถ้ามีแก้วดวงนี้แล้ว จะทำอะไรก็สำเร็จหมด

และก็ต่อมา แก้วองค์เล็ก ซึ่งแม่มาให้ ก็บอกว่า องค์นี้จะได้ช่วยกับองค์ใหญ่ ต่อไปลูกจะมีงานหนัก ไม่เป็นไร จะสามารถทำได้ ในเมื่อแก้วมีความสำคัญอย่างนี้ ท่านจึงบรรจุไว้ที่พระ ใครจะได้เอาไปไหนไม่ได้ เอาละ บรรดาหลานรัก เวลานี้มองเวลา ก็หมดเวลาแล้วนี่นะ เราก็พักแค่นี้ก็แล้วกัน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

จบเล่มที่ ๑๓


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top