Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 17/4/13 at 15:09 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 19 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑๙

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดยพระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )




เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๙

1.
ตอนที่ ๑ ไปเที่ยวสุวรรณวิหาร
2. ตอนที่ ๒ หลวงพ่อจงพยากรณ์ .
3. ตอนที่ ๓ หลวงพ่อปานมรณภาพ
4. ตอนที่ ๔ ไปเรียนบาลี และดูพระกรุงเทพฯ
5. ตอนที่ ๕ ออกจากกรุงเทพฯ .
6. ตอนที่ ๖ สร้างพระพุทธชินราช
7. ตอนที่ ๗ พบพระเจ้าตากสิน
8. ตอนที่ ๘ พักฟื้นจากป่วยที่วัดชิโนรส



คำนำ


หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๙ นี้ มีเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตแห่งการบวชพระ และมีเรื่องผี และเทวดา รวมอยู่ด้วย ความจริงเป็นหนังสืออ่านเล่น แต่เอาความจริงที่ประสบมา เอามาเล่าสู่กันฟัง เพราะถ้าไม่เขียนไว้ ความจริงที่มีจริงทั้งหลายเหล่านี้ จะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของท่าน เพราะเวลานี้ มารศาสนามีมากขึ้นตามลำดับ และมีกำลังมากอาตมาไม่มีความประสงค์จะรบราฆ่าฟันกับมารศาสนา

เพียงแต่ต้องการให้ท่านผู้อ่านทราบตามความเป็นจริงว่า ผีมีจริง เทวดามีจริง และการที่อาตมามีความรู้ทางพระพุทธศาสนา อาตมาเรียนมาจากท่านผู้ใดบ้าง แต่ละท่านมีความสามารถประการใด เมื่อท่านอ่านแล้ว ยังสงสัยอยู่ก็คิดว่า อ่านหนังสืออ่านเล่นก็แล้วกัน ถ้าไม่สงสัย แต่อยากจะมีความสามารถอย่างท่านนั้น ๆ ก็ลองฝึกกำลังใจในด้านสมถะ และวิปัสสนาตามหมวดที่ท่านทั้งหลายฝึกมา

ถ้าเอาจริงคงไม่เกิน ๖ เดือน จะมีผลเป็นเหตุให้หมดสงสัย เป็นอันว่า หนังสือนี้เป็นหนังสืออ่านเล่น ก็ขอให้อ่านเล่น ๆไปพลาง ๆ ก่อน จนกว่าจะมีศรัทธา เมื่อมีศรัทธา เมื่อไหร่ ก็ลองทำอย่างจริงจัง และเลือกขั้นตอนให้เหมาะสมกับความสามารถ ในที่สุดก็จะเป็นผู้ที่มีความสามารถ ในการรู้ การเห็น ตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้

ที่สุดนี้ ขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน จงมีความสุข และมีความสามารถ ปฏิบัติตนจนหมดความสงสัยในพระพุทธศาสนา

พระราชพรหมยาน


1
ไปเที่ยวสุวรรณวิหาร


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ตรงกับ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๓ สำหรับเรื่องราวที่จะพูดต่อไปนี้ ก็จะนำเรื่องราวของธุดงค์ มาคุยกันต่อไป เพราะว่าไปแวะที่อื่นเสียหลายครั้ง และอาการก็ป่วยมาก สำหรับอาการป่วยวันนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่ว่ามีเหตุสำคัญอย่างหนึ่งคือ มันไม่ปัสสาวะ หมอก็สงสัยว่าจะเป็นเรื่องของต่อมลูกหมากบ้าง เป็นกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะบ้าง อะไรก็ตามเถอะ

แต่ทว่าเมื่อตอนเวลา ๖ โมงเย็น นอนลงไปแล้ว ฉันยาเสร็จ ทำกรรมฐาน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ไม่เป็นไร วันพรุ่งนี้จะคลายตัว หรืออาจจะเรียกว่าหายก็ได้ พระยายมและท่านนายบัญชีท่านก็บอกอย่างนั้นเหมือนกัน ก็เป็นเครื่องเบาใจ ครั้นมาเวลาประมาณ ๑ ทุ่มเศษ ๆ อุจจาระที่ไม่ถ่าย ก็ถ่าย เมื่อถ่ายอุจจาระแล้ว ปัสสาวะก็ถ่ายมาพร้อมกัน ก็เป็นเครื่องเบาใจ

พรนุช คืนคงดี โทรศัพท์ไปหา พญ.แสงโสม กับ นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ ทั้ง ๒ คนก็เป็นห่วง อยากจะมา เพราะว่าเมื่อวันวานนี้ การให้น้ำเกลือ แทงไม่ไหว แทงไม่เข้าเส้น ก็สรุปแล้วเป็นอันว่า วันนี้เบาขึ้น หลังจากทุ่มเศษ ๆ ถ่ายอุจจาระ พร้อมกับปัสสาวะแล้ว พรนุช คืนคงดี ก็ไปจังหวัดอุทัยธานี หลังจากถามหมอจรูญเรื่องยาขับปัสสาวะแล้ว ก็ไปซื้อมาให้ ตอนนี้ก็นั่งอยู่คนเดียว รำคาญฯ ไม่รู้จะทำอะไร

ก็คุยกันถึงเรื่องเล่มที่ ๑๙ ต่อไป หรับเล่มที่ ๑๙ นี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องธุดงค์ การธุดงค์คราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอพูดเป็นจุดสุดท้ายปีหลังสุด ความจริงไม่ใช่ สุดธุดงค์ ปีหลังสุด คือ เป็นปีที่ ๓ จะหยุดแค่ปีที่ ๓ ไม่พูดถึงปีที่ ๑๐ ถ้าขืนพูดถึงปีที่ ๑๐ ก็ไม่ต้องจบกัน หลังจากปีที่ ๓ แล้วก็ไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ไปโน่นบ้าง ไปที่นี่บ้าง ทดลองภาคเหนือบ้าง ภาคใต้บ้าง ภาคไหนบ้างตามที่เห็นสมควร

แต่ว่าความสำคัญของธุดงค์ก็อยู่ที่ อารมณ์ นั่นคือว่า ต้องการสถานที่สงัด วันนี้ก็มาพูดกันถึงปีที่ ๓ นี่เรียน นักธรรมเอก ขณะที่เรียนนักธรรมเอก ตอนนั้นครูบอกว่า จะต้องมี หนังสือวิสุทธิมรรค เป็นหลักสูตร ในเมื่อจะหาวิสุทธิมรรค ก็ไปถามหลวงพ่อปานว่า หนังสือวิสุทธิมรรค ใครเขียนดีที่สุด

ท่านก็บอกว่า ของเจ้าคุณพร้อม วัดสุทัศน์ฯ (ลืมราชทินนามของท่าน ชื่อเดิมชื่อ พร้อม ท่านเป็นเจ้าคุณ)ท่านแปลตามบาลีโดยตรง หนังสือเล่มนั้นเป็นพื้นฐานดีมาก ควรจะยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ บรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะแปลกใจว่า ทำไมหลวงพ่อปานจึงได้บอกอย่างนั้น ก็ขอแจ้งให้ทราบว่า หลวงพ่อปานนี่ คู่กับ อาจารย์เกี้ยว อาจารย์เกี้ยวนี่สึกไปก่อน หลวงพ่อปานยังอยู่

ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ พร้อมกัน เรียนบาลี สำหรับหลวงพ่อปานนี่มีความชำนาญในวิสุทธิมรรคมาก ถ้าท่านแปลจริง ๆ แปลจบอภิธรรม อาจารย์เกี้ยวมีความชำนาญในอภิธรรมมาก คือ สนใจอภิธรรมมาก สามารถตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัวเป็นอันว่า ทั้ง ๒ ท่านนี้ ถ้าพูดกันถึงภาษาบาลี ก็ดีกว่าอาตมามาก อาตมามีความรู้ภาษาบาลีไม่ได้ ๑ ใน ๑๐๐ ของท่าน

จึงไปซื้อวิสุทธิมรรคที่เจ้าคุณพร้อม (ชื่อเดิมชื่อ พร้อม แต่ราชทินนามจำไม่ได้) มาอ่าน อ่านกสิณทั้ง ๑๐ อย่าง สนใจกสิณ แต่ว่าวิธีอ่าน เขาอ่านอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเล่าเกร็ดให้ฟัง หลวงพ่อปานบอกว่า ตามธรรมดาคนที่เกิดมาแล้วนี่ จะไม่เคยมีบุญวาสนาบารมีนั้น ไม่มี ทุกคนต้องมีบุญวาสนาบารมีมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่พอใจในการเจริญพระกรรมฐาน

ส่วนใหญ่ก็มักจะเคยเจริญกรรมฐานมาแล้วในชาติก่อน เคยได้มาแล้วคนละหลาย ๆ กอง วิธีปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามนี้อันดับแรก ให้วางหนังสือไว้ที่บูชา ต่อหน้าพระพุทธรูป จุดดอกไม้ธูปเทียนเสร็จ ตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานด้วยความเคารพ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า กรรมฐานทั้ง ๔๐ กองนี้ มีกองใดบ้าง ที่เคยได้มาในชาติก่อน เมื่ออ่านไปแล้วขอให้ชอบกองนั้น ถ้าชอบกองไหน

คั่นไว้ หรือขีดไว้ ทำสัญลักษณ์ หรือเขียนไว้ก็ได้ และต่อมาเมื่อชอบหลาย ๆ กองแล้ว กลับมาทีหลัง ก็มาดูใหม่บูชาใหม่ว่า กรรมฐานที่ชอบหลาย ๆ กองนี้ กองไหนถ้าทำแล้วจะได้ง่ายที่สุด ให้ทำกองที่มีความรู้สึกว่าชอบใจมาก และง่ายที่สุด ก็บูชาพระแล้วก็ตั้งใจอธิษฐาน กลับมาย้อนดูใหม่ ดูกรรมฐานที่ชอบ

สำหรับกรรมฐานชอบ ๆ นั้น จริง ๆ ชอบทั้งหมด ๓๗ กอง ขาดไป๓ กอง คือ ขาดอรูปฌานไป ๓ และต่อมาก็มาดูใหม่ว่า กองไหน ถ้าหากว่าจะทำ ได้เร็วที่สุด ขอให้ชอบกองนั้นมากที่สุด ก็มาชอบ เตโชกสิณ จึงใช้เตโชกสิณเป็นพื้นฐานมาก่อน การทำเตโชกสิณบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็รู้สึกว่าทำง่าย เพราะว่าเป็นปีที่ ๓ มาแล้วทุกอย่างก็ผ่านมาหมด

ฉะนั้น การเจริญเตโชกสิณจึงเป็นของไม่หนัก เพราะว่ากรรมฐานทั้งหมดมีอารมณ์เสมอกัน จะขึ้นว่ากสิณก็ดี อสุภก็ดี อนุสสติก็ตาม จุดหมายปลายทางคือ ต้องการจิตเป็นสมาธิ สามารถชนะนิวรณ์ได้ แต่ว่าจะชนะมาก ชนะน้อย ชนะนาน หรือไม่นาน นั่นก็เป็นเรื่องอีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นอันว่า เจริญเตโชกสิณ

หลวงพ่อปานท่านก็แนะนำบอกว่า ถ้าหากว่าเจริญเตโชกสิณเมื่อเตโชกสิณถึงที่สุดแล้ว ให้สังเกตดูว่า กรรมฐานกองไหนขึ้น ให้จับนิมิตกรรมฐานกองนั้นทำต่อไป แล้วจะได้ภายใน ๓ วัน จะจบภายใน๓ วัน ก็เป็นความจริง เมื่อทำเตโชกสิณ เตโชกสิณทำจริง ๆ ๗ วันทำ ๗ วันถึงฌาน ๔ นี่ ไม่ใช่อวดอุตตริมนุสสธรรม มาคุยกันตามความเป็นจริงว่า เรียนด้วย ปฏิบัติด้วยนี่มันดี

มันรู้ของจริงไม่ใช่เอาสักแต่ว่าเรียน สักแต่ว่าอ่าน แล้วก็ไป ๆ มา ๆ ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อว่าการท่องเที่ยวสวรรค์เป็นไปได้ การท่องเที่ยวนรกเป็นไปได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิอย่างหนัก คำว่า มิจฉาทิฏฐิ ก็แปลว่า มีความเข้าใจผิด หรือมีอารมณ์คัดค้านสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เหมือนกับกระจ่า หรือทัพพีที่ตักแกง กระจ่าก็ดี ทัพพีก็ดี เขาฝังอยู่ในหม้อแกง เขาฝังอยู่ในหม้อข้าว เขาแช่ไว้ทั้งวัน แต่จะสามารถรู้รสข้าว รู้รสแกงก็หาไม่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกระจ่า หรือทัพพีไม่มีประสาท ข้อนี้ฉันใด แม้การศึกษาปริยัติก็เช่นเดียวกัน ถ้าศึกษาแต่การอ่านอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติตามก็จะไม่รู้ผลแห่งความเป็นจริง แล้วก็มีส่วนใหญ่ มีมากเหมือนกันที่กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ

ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก เคยมีทั้งนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงหนักในสมัยก่อน เทศน์ไปเทศน์มา เทศน์มาเทศน์ไป ก็กลับบอกว่า ผมก็เทศน์ไปตามแบบตามแผน ผมไม่เชื่อว่าสวรรค์นรกมี นี่เป็นอย่างนี้ นี่ขนาดนักเทศน์เองนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ฉะนั้นเพื่อความแน่นอน จึงได้ทำกรรมฐานควบคู่กันไป ในเมื่อทำเตโชกสิณได้แล้วกองอื่นก็ขึ้นต่อ ๆ ไป ก็รู้สึกว่าไม่ยาก

ทีนี้เมื่อทำหมดไปทั้งหมดตามนิมิตที่เกิดแล้ว ก็จับอรูปฌานที่ยังไม่ได้ คือ อากาสานัญจายตนะ นี่ได้แล้ว พอจับปั๊บก็ได้เลย ทำ ๓ วันก็จบ ก็เหลือ อากิญจัญญายตนะ วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อันนี้ก็เป็นของไม่หนัก เพราะมีอารมณ์เสมอกัน เมื่อทำได้ทั้งหมดแล้ว ก็ออกธุดงค์กันใหม่ การออกธุดงค์กันใหม่นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท หมายถึงปีที่ ๓ ตามที่พูดมาในตอนต้น

ออกธุดงค์กัน ก็ไปกันตามบท ไปถึงโน่น จังหวัดกำแพงเพชร พอไปถึงจังหวัดกำแพงเพชรก็ไปเจอะ หลวงพ่อจง หลวงพ่อจงท่านไม่มีกลด ท่านมีย่าม ๑ ลูก ท่านมีจีวรธรรมดา ๆ เหมือนกับอยู่วัด เมื่อพบหลวงพ่อจงเข้า หลวงพ่อปานก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อจง เพราะว่าหลวงพ่อจงแก่กว่าหลวงพ่อปานประมาณ ๑๐ ปี แต่ว่าเจริญกรรมฐานสำนักเดียวกันจาก หลวงพ่อสุ่น

ในเมื่อทั้งสองท่านคุยกันแล้ว หลวงพ่อจงก็ถามว่า ท่านปานพาเด็กมาที่นี่ แล้วพาไปเที่ยวที่ไหนบ้าง หลวงพ่อปานก็บอกว่า ไม่ได้พาไปเที่ยวที่ไหน ก็ให้ศึกษาสมาธิ และศึกษาการคบหาสมาคมพูดจาปราศรัย รู้จักเทวดา รู้จักพรหม รู้จักนรกสวรรค์ ฝึกซ้อมไว้ เพราะพระพวกนี้ยังเด็กอยู่ ต่อไปถ้าไม่ทำให้ช่ำ ไม่เกิดความชำนาญ ก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ

อย่างพระหลายองค์ในพระพุทธศาสนาที่กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด ถือว่าตายแล้วสูญ นี่เป็นถ้อยคำของหลวงพ่อปานที่พูดเวลานั้น เวลานี้จะมีหรือไม่มีก็ไม่ทราบ ไม่ได้สนใจใคร หลวงพ่อจงก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะพาเด็กไปเที่ยว ท่านปานจะไปไหนล่ะ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ถ้าหลวงพี่ไป ผมก็ไป ผมจะมานั่งอยู่คนเดียวทำไม

รวมความว่าเป็น ๕ องค์ด้วยกันคือ พวกอาตมา ๓ องค์ หลวงพ่อปาน ๑ แล้วก็หลวงพ่อจง ๑ วิธีพาไปเที่ยวของท่าน ท่านก็แนะนำบอกว่า การเที่ยวนี้เป็นของไม่ยาก แถวเมืองกำแพงเพชรนี่ของดี ๆ มีมาก ก็ถามท่านบอกว่า จะไปเที่ยวเมืองเก่าหรือ ถ้าเที่ยวเมืองเก่าก็ต้องเข้าบ้านเข้าเมืองจะต้องพบกับคน จะต้องบิณฑบาต

ท่านบอกว่าไม่มีความจำเป็น เมืองเก่าเธอจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาในลักษณะธุดงค์ เราเป็นพระธุดงค์ ไม่ใช่ว่าจะมีคนเขาเคารพทุกคน บางคนคบพระธุดงค์ก็ต้องการเลขหวย เลขหวย ๑๒ ตัวเวลานั้นเรียก จับยี่กี บางคนก็ต้องการลาภสักการะ บางคนต้องการเสน่ห์มหานิยม ไม่ถูกต้องถ้าเธอจะมา ก็มาแบบปกติ พระอาคันตุกะธรรมดา เวลานี้เป็นเวลาธุดงค์ยังไม่ควรจะเข้าไปในเมือง

ก็เลยถามท่านบอกว่า จะไปไหน ท่านก็เลยบอกว่า จะไปทางไหนเป็นหน้าที่ของฉันก็แล้วกัน ท่านก็ลุกนำหน้า หลวงพ่อจงแลดูเดินช้า ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ทว่าพวกเราก้าวกันเกือบแย่ ต้องก้าวถี่ยิบ ตัวท่านก็เล็ก แต่ทำไมเดินช้า ๆ ทำไมพวกเราต้องเดินไว ท่านหันหลังมา ท่านถามว่าเดินไม่ทันหรือ ก็เลยบอกว่า ไม่ทันขอรับ

ท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องเดินมากละ ถ้าขืนเดินมากพวกเธอจะเหนื่อย แต่ว่าท่านปานไม่เหนื่อย ท่านปานเดินเป็น ฉันก็เดินเป็น แต่พวกเธอยังเดินไม่เป็น ก็ถามว่า ถ้าจะเดินให้เป็นทำอย่างไรขอรับ ท่านก็บอกว่า ใช้กสิณทั้งหมด ก็ถามว่าถ้าใช้กสิณทั้งหมด ใช้ทีเดียวหมดอย่างนั้นใช่ไหมครับ

ท่านบอกว่า ไม่ใช่ ให้รวบรวมกำลังของกสิณทั้งหมดไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะใช้อะไรเมื่อไรก็ได้ทันทีทันใด ตามใจชอบ ก็เลยถามท่านว่า เวลานี้ผมเริ่มฝึก จะใช้กสิณอะไรขอรับ
ท่านบอกว่า ใช้ วาโยกสิณ กสิณลม นึกถึงกสิณลมแล้วก็เดินไป มันจะไวเอง ขาไม่ต้องก้าวยาว และขาไม่ต้องก้าวถี่ มันจะเดินไวเอง

ก็ลองนึกถึงกสิณลม การนึกถึงกสิณบรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องนึกให้ถึงฌาน ๔ คือมีภาพเป็นประกายพรึก ตามแบบฉบับของการปฏิบัติ ถ้ารุ่นหลัง ใครจะไม่เชื่อก็ตามใจเถิด นี่เล่าสู่กันฟังเพราะมันแก่มากแล้ว เรียกว่า แก้กางเกงในมาคุยกัน ถอดเสื้อนอกแล้วก็ถอดเสื้อใน ถอดกางเกงนอกแล้วก็ถอดกางเกงใน ปล่อยกันล่อนจ้อนแล้ว หมดตัว แต่ก็ยังคงเหลือผ้าเตี่ยวอยู่นิดหนึ่ง

ผ้าเตี่ยวนี่ไม่แก้ให้ดูแน่ เอากันแค่นี้ เป็นอันว่า หลวงพ่อจงบอกว่า ให้ใช้รวบรวมกสิณ ก็รวบรวมกสิณ วิธีรวบรวมก็ไม่มีอะไรมาก เพราะพวกเรายังไม่เป็น ถามท่านบอกว่า ต้องขึ้น ปฐวีกสิณ ก่อนใช่ไหม ท่านบอกว่า ไม่ใช่ ใช้อารมณ์กสิณ นึกเฉพาะวาโยกสิณ ฉันต้องการจะเดิน ขอให้ร่างกายเบา เมื่อท่านแนะนำแบบนั้น ก็ทำตามท่าน ทำตามแบบเถรส่องบาตร เป็นต้นว่า ครูว่าอย่างไร ก็ว่าตามนั้น

แต่ก็มีผล หลวงพ่อจงเดินช้า ๆ ตามแบบฉบับเดิม พวกเราก็เดินตามท่าน คราวนี้รู้สึกว่า ไม่หนัก ตัวไม่หนักเลย เดินไปแบบสบาย ๆ จะว่าลอย มันก็ไม่ลอย มันก็เดินเท้ากระทบพื้นดิน แต่ทว่าไม่มีความรู้สึกหนัก ท่านก็ชี้ชมต้นไม้ ชี้ดูต้นยางบ้าง ต้นเต็งบ้าง ต้นรังบ้าง เก้งบ้าง กวางบ้าง กระต่ายบ้าง มีเยอะแยะ เพราะสัตว์ต่าง ๆ ที่เห็นพวกเราเข้า ไม่มีใครเขาหนี สัตว์ทั้งหมดไม่หนี

เพราะยังไม่เคยพบคน เป็นป่าลึกพรานไปไม่ถึง ใช้เวลาเดินประมาณ ๑๐ นาที ก็พ้นจากเขตป่า เข้าจุด ๆ หนึ่ง จุด ๆ นั้น ก็มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับตึก แต่ว่าเป็นตึกที่ฉาบไปด้วยทองคำ รูปร่างลักษณะจริง ๆ คล้าย ๆ กับพระที่นั่งอนันตสมาคม แต่ว่าพระที่นั่งอนันตสมาคมสวยกว่า เอาความสวยกันนะ แต่ว่าที่ตรงนั้นมันเป็นทองคำทั้งหมด ตั้งแต่หลังคาลงมา บุด้วยทองคำ

ข้างในเป็นพื้นบุด้วยทองคำ ที่บันไดก็เป็นทองคำ ทองคำหมด ก็ถามหลวงพ่อจงว่า ในป่านี้มีวิหารทองคำหรือครับ หรือว่ามีพระราชวังทองคำ ท่านบอกว่าเขาเรียกว่า สุวรรณวิหาร ถามท่านบอกว่า ที่จุดนี้เขาเรียกตำบลอะไร หรือว่าอำเภออะไร ของจังหวัดกำแพงเพชรครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่จังหวัดกำแพงเพชร ที่นี่มันเป็นประเทศอินเดีย

ก็ถามว่าเมื่อกี้นี้เดินดูโคนต้นไม้ ยอดไม้ แล้วทำไมมาถึงอินเดีย ท่านก็บอกว่า ถ้าใช้วาโยกสิณ พวกเธอไม่ได้นึก แต่ใจฉันนึก ใจฉันนึกว่า จะมาสุวรรณวิหาร มันก็มา ขณะที่ไปสุวรรณวิหารปรากฏว่าที่ประเทศอินเดียแขกหลับ แขกอยู่ยามก็หลับ แขกไม่อยู่ยามก็หลับ พวกนั่งยามก็หลับ พวกนอนยามก็หลับ ยืนยามก็หลับ หลับหมด ไม่มีใครเห็น เราก็ไปเที่ยวในสุวรรณวิหารตามชอบใจ

ชมสุวรรณวิหารก็มีความรู้สึกว่า คนที่สร้างสุวรรณวิหารคือวิหารทองคำ ต้องใช้จ่ายทรัพย์มาก ต้องลงทุนมาก ต้องลงแรงมาก ทรัพย์สินต่าง ๆ ได้มาจากภาษีอากรของบรรดาราษฎร แต่ว่าราษฎรไม่ค่อยจะมีสิทธ์จะได้ใช้ คนที่มีสิทธ์ใหญ่จริง ๆ คือ กษัตริย์ แต่ว่าวันเวลาที่เขานมัสการสุวรรณวิหารมีอยู่ แต่ก็ต้องเข้าไปอย่างมีระเบียบ ออกมาอย่างมีระเบียบ เห็นแขกแต่งตัวขาว ๆ นุ่งผ้าขาว ห่มผ้าขาว โพกศีรษะขาว

ถามหลวงพ่อจงว่า พวกนี้พวกอะไรครับ ท่านบอกว่า พวกนี้เขาเรียกว่าสาธุ พวกสาธุ พวกปฏิบัติดี ก็ชมไปชมมา หลวงพ่อจงก็อธิบายให้ฟังว่า สุวรรณวิหารนี่ คนที่สร้างหรือคนสั่งให้สร้างตายไปหลายคนแล้ว และคนสร้างก็ตายไปหลายคนแล้ว พวกเธออย่าหลงใหลใฝ่ฝันสุวรรณวิหารว่า ทรัพย์สมบัติในโลกมันดีเฉพาะเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ ถ้าเราตายไปแล้วเมื่อไร ทรัพย์สมบัติที่เราหาไว้ในโลก มันก็เป็นสมบัติของบุคคลอื่น

เราไม่ควรจะสนใจในทรัพย์สมบัติในโลกมากเกินไป ที่พามาให้ดูนี่ก็ต้องการจะให้รู้ว่า ของที่เขาเรียกกันว่า ดี คือ ทองคำ ขนาดเอาทองคำมาเป็นวิหารทั้งหลัง แม้จะเป็นทองบุภายนอก ทองบุภายในก็ตามทีเถอะ ก็ได้มาด้วยความเหนื่อยยากของบรรดาประชาชนทั้งหลาย กษัตริย์เองก็ต้องใช้มันสมองมาก การที่จะใช้คนก็เป็นการยาก การใช้คนไม่ใช่ใช้ง่าย ๆ ต้องเป็นคนที่มีบารมี

ต้องพูดดีให้เขาถูกใจ การที่คนจะพูดดีได้ก็ต้องใช้กำลังใจ ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้ กำลังใจเวลานั้นต้องไม่เป็นทาสของนิวรณ์ และก็ไม่หลงในอำนาจเกินไป เพราะคนทุกคนในโลกชอบยอ คำว่า ยอ หมายถึงยกย่อง หรือว่าสรรเสริญ พูดดี ๆ แทนที่จะเร่งรัด ก็กลับน้อมถ่อมลงมา บอกอย่าทำให้แรงนัก อย่าใช้กำลังให้มากนัก มันเหนื่อยมากเกินไปพักผ่อนเสียบ้าง อย่างนี้เป็นต้น

แล้วก็ต้องมีสินจ้างรางวัล มีรางวัลให้เป็นเครื่องตอบแทนความเหน็ดเหนื่อย ก็รวมความว่า กษัตริย์เองก็หนัก บรรดาประชาชนผู้ทำการก่อสร้างหรือช้างก็หนัก พวกเสียภาษีอากรก็ต้องหาเงินมา แทนที่จะใช้เป็นส่วนตัวได้ ก็ต้องมาเสียภาษีอากรก็หนักแต่พวกหนัก ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น เวลานี้ไม่มีชีวิตอยู่ ตายหมดแล้ว นี่เขาทำมาหลายชั่วคนแล้ว

พวกเธอก็เช่นเดียวกัน จงจำไว้ อย่ามีความหลงใหลใฝ่ฝันในชีวิต จงอย่าคิดว่า เราไม่ตาย เราไม่แก่ จะเห็นว่าฉันกับท่านปานสองคนนี่แก่ เธอจะไม่แก่นั้นไม่ใช่ ความแก่พวกนี้ ฉันจะไม่เอาไปไหน จะมอบไว้แก่พวกเธอ ก็กราบท่าน บอก หลวงพ่อขอรับ อย่ามอบแต่ความแก่เลยขอรับ ท่านถามว่า เธอต้องการอะไรอีกผมขอให้หลวงพ่อมอบความสามารถด้วยขอรับ

ท่านบอกว่า เอาจากท่านปานน่ะไม่พอแล้วหรือ หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า ท่านถนัดแบบหนึ่ง หลวงพ่อจงถนัดอีกแบบหนึ่ง ขอให้มอบความสามารถให้แก่เธอด้วย หลวงพ่อจงก็หันมาหัวเราะ คิก ๆ ๆ ๆ บอก ไอ้ ๒ - ๓ ตัวนี่มันฉลาด ไอ้ข้าก็หากินของข้าทางหนึ่ง ท่านปานเขาก็หากินของเขาทางหนึ่ง นี่หมายถึงผลของการปฏิบัติ

ท่านปานเขาปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระโพธิสัตว์ ข้าปรารถนาไปในชาตินี้ เอ็งจะเอาอย่างไรวะ จะเอาพุทธภูมิหรือจะเอามรรคผล ก็เลยกราบเรียนกับท่านว่า ผมไม่เจาะจงทั้งพุทธภูมิ และมรรคผล เวลานี้ตัวผมเองหลวงพ่อปานให้ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ว่าผมต้องการความสามารถทั้งสองอย่าง ทั้งพระโพธิสัตว์และมรรคผลในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถของหลวงพ่อ ขอให้มอบให้ผมด้วย

ท่านบอกได้ ตกลงแต่ว่าวิธีรับกันก็ไม่ต้องมีธูป ไม่ต้องมีเทียน ให้ใช้กำลังใจเป็นเครื่องรับ ตั้งใจฟังคำแนะนำของท่านปาน แต่ถ้ามีอะไรสงสัย ฉันอยู่วัดหน้าต่างนอก ไม่ไกล ไปหาฉัน ฉันจะบอกให้ แต่ว่า การบอก ฉันจะบอกครั้งเดียว ฉันจะไม่ซ้ำสอง เพราะการศึกษา ถ้าถึงซ้ำสอง ก็ถือว่าเป็นคนไม่ดีแล้ว ฉะนั้นความสามารถทุกอย่างที่เธอมีความต้องการ ถ้าไม่เกินวิสัยที่ฉันจะให้ได้ ฉันจะให้ให้หมด

แต่ว่าเธอจะแบกไว้ได้หมด หรือไม่หมด เป็นเรื่องของเธอ ฉันมีหน้าที่อย่างเดียวคือ เป็นผู้บอก ที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ในเมื่อคุยกันเสร็จ บรรดาพี่บังทั้งหลายก็เริ่มจะขยับตัวตื่น ท่านบอกว่า แขกเริ่มตื่นแล้ว ก็ถามท่านว่า จะหลบแขกไปไหนดีล่ะขอรับ ท่านบอก ไม่จำเป็นต้องหลบ เวลานี้แขกมองไม่เห็นเรา เราไม่ต้องการให้แขกเห็น

ฉันเป็นผู้นำต้องการแบบนั้น ประเดี๋ยวดูลีลาของแขก พวกแขกนี่มีความเคารพในวิหารนี้จริง ๆ เวลามันจะขึ้นไป มันดันไปจูบทุกขั้น แล้วเข้าไปกราบพระเจ้าของเขา แล้วก็ออกมาจูบโน่น จูบนี่ เราก็นั่งนึกในใจว่า ไอ้พวกนี้มันดี หรือมันบ้า ทองคำเขาทำเป็นตึกบันไดนี่เขาเอาเท้าเหยียบ มันดันไปจูบ แล้วก็มาคิดอีกทีว่า ถ้าเราคิดว่าเขาบ้า เราก็บ้า เพราะถ้าเราไม่บ้า เราก็ไม่คิดว่าเขาบ้า

นี่เพราะว่าเรามันบ้า จึงคิดว่าเขาบ้า เรายังบ้าอยู่ เวลานี้เรายังบ้าอยาก อยากมีความสามารถอย่างหลวงพ่อปาน อยากมีความสามารถอย่างหลวงพ่อจง เป็นอันว่า เราก็ยังบ้า พอมาเห็นสุวรรณวิหาร พอเห็นทีแรกปั๊บ จิตสะดุ้งเฮือก แปลกใจว่าทองทั้งหลัง เขาหามาได้อย่างไร นี่มันก็เป็นความบ้าของคน ความบ้าของความรู้สึก ก็มาคิดตัดสินใจตามที่หลวงพ่อจงบอกว่า เราจะบ้าไปทำไม

ของทั้งหลายเหล่านี้ คนสร้างมันตายไปหมด เราคนดู ไม่ช้าเราก็ตายเช่นเดียวกัน เรามาบ้าปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า หลวงพ่อจงท่านหันมายิ้ม บอกเออ...คิดอย่างนี้ถูกแล้ว นี่ขนาดคิดนะ รู้ด้วย หลังจากดูแขกบ้าอยู่พักหนึ่งแล้วก็พากันกลับ เวลาเดินทางกลับท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว

เดินมาเพียงแค่ ๒ - ๓ ก้าว ก็ปรากฏว่ามาถึงกลดที่ปักอยู่ ก็รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามที่คนเขาพูดกันบอกว่า เราเรียนชั้นไหนก็ตาม แต่เขาไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก นั่นก็หมายความว่านักเรียนประเภทนั้น ไม่เคยปฏิบัติในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลักปฏิบัติก็มีอยู่๔ ประการ คือ

๑. สุกขวิปัสสโก
๒. เตวิชโช
๓. ฉฬภิญโญ
๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ทั้ง ๔ อย่างนี้ ถ้าเขาปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะยังไม่ได้มรรคผล เขาก็จะต้องเป็นคนที่มีศรัทธา มีความเชื่อ มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ไม่คัดค้านพระพุทธเจ้า แต่หากว่าถ้าไม่ปฏิบัติแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับกระจ่า ที่เขาแช่ในหม้อแกง ซึ่งไม่ได้รู้รสแกงเลย เพราะมันไม่มีประสาท

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท มองดูเวลา เหลือเวลาที่ตั้งไว้อีก ๔๑ วินาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/4/13 at 13:13 [ QUOTE ]


2
หลวงพ่อจงพยากรณ์


ท่านสาธุชนพุทธบริษัท เวลานี้ก็เป็นเวลาของ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๔ แต่ว่ามองดูนาฬิกาเห็นมีเลข ๔ เข็มสั้นถึงเลข ๔ เข็มยาวเลยเลข ๔ ไปนิดหนึ่ง ก็คุยกันเพลิน เพราะว่าคืนนี้ไม่สบายท้อง ไม่ถ่าย แต่ว่าถ่ายเล็กน้อย ปัสสาวะไม่ออก มันก็นอนไม่หลับ ในเมื่อ นอนไม่หลับก็เลยลุกขึ้นมาคุยกันเล่นโก้ ๆ ถ้าจะคุยคนเดียว ก็ไม่ทราบ ว่าจะมีประโยชน์อะไรบ้าง ก็เลยบันทึกเสียงเอาไว้ให้ท่านฟังกัน

จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจเถอะ ไม่ได้พูดให้เชื่อ เพราะนี่เป็นของนิทาน ก็เป็นอันว่า หลังจากนั้นมา หลวงพ่อจงก็พยากรณ์ ท่านก็บอกว่า กสิณทั้ง ๑๐ ประการนี่เธอใช้ได้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเธอเอง หมายถึง อาตมา คล่องในกรรมฐาน ๔๐ แล้วก็มหาสติปัฏฐานสูตร แต่การคล่องประเภทนี้มันใช้ไม่ได้

ก็กราบเรียนถามท่านว่า ทำไมขอรับ ท่านก็เลยบอกว่า เธอคล่องเฉพาะการจำ และก็มีความคิดเหมือนกัน แต่ว่าคิดน้อยเกินไป คำว่า คิดน้อย นั่นก็หมายความว่า คิดมาก แต่มันถูกน้อย ต้องคิดให้น้อย ๆ แต่ถูกมาก ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า จะคิดอย่างไร จึงจะคิดน้อย แล้วก็ถูกมาก

ท่านบอกว่า อันดับแรกที่จะทำอะไรทั้งหมด ให้คิดถึง อริยสัจเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกขสัจ สำหรับพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เราเชื่อกันแล้ว อันนี้ไม่สำคัญ เป็นของสำคัญอย่างยิ่งก็จริงแล แต่ทว่าเราคิดกันทุกวันแล้ว อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ว่าสอนใครทั้งหมด เมื่อขั้นสุดท้ายท่านก็ลงอริยสัจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสอนชาดก หรือพระสูตร

ก็ใช้อริยสัจ ทุกอย่างใช้อริยสัจหมด แต่ว่าลีลาการสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์มีลีลาต่างกัน คนหนึ่งท่านพูดไปอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งท่านพูดไปอีกอย่างหนึ่ง เพื่อความเข้าใจของแต่ละบุคคล สำหรับพวกเราไม่ฉลาดเท่าท่าน ก็กราบเรียนถามท่านว่า อริยสัจมี ๔ อย่าง อย่างไหนสำคัญที่สุดขอรับ

ท่านบอก เธอไม่ต้องคิดมาก คิดให้เข้าใจเพียงแค่ทุกขสัจอย่างเดียว อย่าเอาแต่เพียงความจำ เอาเข้าใจ ให้เข้าใจจริง ๆ ถ้าเห็นทุกข์ตัวเดียว อีก ๓ ตัวก็ปรากฏ คำว่า สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ในเมื่อเรารู้ทุกข์ เราก็รู้ว่าใครทำให้เราเป็นทุกข์ อะไรทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่ต้องไปนั่งคิด ถ้าเราเห็นทุกข์ และเข้าใจในทุกข์แล้วก็มีความเบื่อหน่ายในทุกข์เพราะการเกิดนิโรธ ความดับ มันก็เกิด

เมื่อนิโรธ ความดับเกิดขึ้นมาแล้วก็ชื่อว่าถึงที่สุดแห่งพุทธศาสนา คือเป็นความเข้าใจถึงที่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ก็กราบเรียนถามท่านบอกว่า ในเมื่อหลวงพ่อยังอยู่ก็ดี หลวงพ่อปานยังอยู่ก็ดี กระผมอาจจะคุมตัวอยู่ได้ แต่ว่าในกาลต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

ท่านก็บอกว่า สองคนนี่เขาปรารถนาตรงสาวกภูมิ แล้วก็เป็นคนขยัน เล่นอภิญญาสมาบัติ สองคนนี่ต้องอยู่ในป่า สงเคราะห์คน และสงเคราะห์ภิกษุสามเณรที่ต้องการในป่า ที่เข้ามาในป่า เป็นหน้าที่ของเธอทั้งสอง แต่สำหรับตัวเธอเอง คือ อาตมาต้องชำระหนี้เขาเพราะเป็นหนี้เขามาก ชาติก่อนใช้คนมาก ใช้แรงงานเขาก็มาก ใช้ชีวิตเขาก็มาก

เพราะเคยเป็นกษัตริย์บ้าง เคยเป็นแม่ทัพบ้าง ต้องรบราฆ่าฟันมาทุกชาติ และอีกประการหนึ่ง ผลแห่งการรบราฆ่าฟันฆ่าคนมามาก แล้วฆ่าสัตว์ก็มาก การฆ่าสัตว์ ก็ไม่ได้หมายความว่ายิงสัตว์เล่น ฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงคน เพื่อทำสงคราม แต่ว่าในการครองชาติ ก็ต้องฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงกัน บาปตัวนี้จะรุกรานเธอตลอดชีวิต นั่นหมายความว่า อาการทางร่างกายของเธอ ไม่มีอาการปกติ จะมีการป่วยทุกวัน

วันไหนที่เรียกว่าไม่ป่วย ไม่มี แต่ว่าทั้ง ๆ ที่เธอป่วย เธอก็ต้องทำงาน แล้วงานของเธอก็หนัก เธอจงจำไว้ว่า เวลานี้เธอเป็นพระวัดบางนมโค แต่ว่าในกาลต่อไป เธอจะไม่ได้อยู่ที่วัดบางนมโคนี่ เพราะคนบางนมโคก็ต้องเป็นคนบางนมโค เธอไม่ใช่คนบางนมโค เธอเป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี แต่มาอยู่ที่บางนมโคตั้งแต่เด็ก ก็ถือว่า ถ้าญาติข้างพ่อก็อยู่สุพรรณ ญาติข้างแม่อยู่อยุธยา และจังหวัดธนบุรี แต่ว่าเธอจะต้องย้ายจากวัดบางนมโคไปเข้าในกรุงเทพฯ ในเมื่อท่านปานมรณภาพแล้ว

ก็ถามว่า หลวงพ่อปานท่านจะตายเมื่อไรขอรับ ท่านก็เลยบอกว่า ท่านปานตายปีนี้แหละ ปีนี้ท่านปานตาย แต่เธอก็จะอยู่ที่วัดบางนมโคอีก ๑ ปี หลังจากนั้นก็ต้องเข้าไปในกรุงเทพฯ ก็ถามว่า ในกรุงเทพฯ ผมไม่รู้จักจะไปอยู่ที่ไหน

ท่านเลยบอกว่า จะมีคนเขามาแนะนำ เขาชวนไป ไปอยู่ ต่อไปจะได้เรียนบาลี เพราะว่าเวลานี้เธอสงสัยใช่ไหมว่า พระในกรุงเทพฯ เวลาออกมาบ้านนอกเด่นเหลือเกิน คนยกย่องสรรเสริญ ต้องหาพรมมาปูให้ แต่ความจริงพระท่านก็ไม่ได้ขอ แต่ว่าชาวบ้านเขายกย่องว่าเป็นพระกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นมหาเปรียญ เขาเรียกว่า พระดี

สำหรับพระบ้านนอกเขาเรียก พระเลว อาตมาเองเคยถูกนิมนต์ไปในที่ต่าง ๆ ไปหลายแห่ง ก็มีพระชั้นพระครูบ้าง เวลานั้นเจ้าคุณหายาก บ้านนอกเจ้าคุณหายากเต็มที แล้วก็มีพระมหาเปรียญบ้าง ชาวบ้านเขาเรียกพระครู กับมหาเปรียญว่าพระดี พระดีนิมนต์ทางนี้ครับ พระเลวนิมนต์ทางนี้ครับ เราไม่ใช่มหาเปรียญ เป็นพระเลวในเมื่อเธอฟังแบบนี้แล้ว เธอก็เกิดความรู้สึกว่า

พระในกรุงเทพฯชื่อว่า ดี นั้นดีอย่างไร แล้วก็เป็นมหาเปรียญกันอย่างไร เธอก็ต้องไปพิสูจน์ เพราะเธอเป็นนักพิสูจน์ จะต้องพิสูจน์ยันตาย และต่อไปภายในเบื้องหน้า ก็จะเป็นคนที่ชาวบ้านเขานินทาอยู่ตลอดเวลา เขาจะนินทาว่าร้าย กล่าวโทษตลอดเวลา แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าทนไม่ไหวในฐานะเป็นพระเหลือง เราก็เป็นพระเขียว

ก็ถามว่า พระเหลือง พระเขียว เป็นอย่างไรขอรับ ท่านบอกว่า ในเมื่อเธอพูดตามความเป็นจริง ตามที่ศึกษามาเหมือนกับคนที่กินข้าว กินแกง มีลิ้น ลิ้นมีประสาท รู้รส แต่ว่าต่อไปจะปรากฏว่า คนประเภทกระจ่ามีมาก กระจ่าไม่มีประสาท ไม่รู้รส ไม่รู้เปรี้ยว ไม่รู้เค็ม ถึงแม้ว่าเขาจะแช่ไว้ในหม้อแกงก็ไม่เคยรู้รสแกง ข้อนี้ฉันใด

ในกาลต่อไป คนที่อวดตัวว่า เป็นคนที่มีความรู้ เขายกย่องกันว่าเป็นความรู้เลิศชั้นประเสริฐ เขาจะไม่เชื่อสวรรค์ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่ออภิญญาสมาบัติ ไม่เชื่อสมาธิจิต เขาก็จะคิดว่า เธออวดอุตตริมนุสสธรรมบ้าง เขาจะคิดว่า เธอเป็นคนบ้าบ้าง ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เธอจงจำไว้ต้องถือ ขันติ ความอดทน เชื่อพระพุทธเจ้าเวลานี้เราเชื่ออยู่แล้ว เราก็เชื่อต่อไป

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ โลเกอนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลย ไม่มีในโลก จำไว้เสมอว่า เห็นหน้าคนคิดว่า คนนี้เวลานี้เขาดี แต่เวลาต่อไปข้างหน้า เขาอาจจะนินทาเราเราจะต้องไม่โกรธเขา ก็ถือว่า เป็นนิสัยของเขา เป็นสมบัติของเขา แล้วมันก็เป็นสมบัติของเรา ที่เราเกิดมาเพื่อให้เขานินทา ท่านก็สอนตามนี้

แล้วก็ถามท่านว่า คนที่มีความรู้ แต่ไม่ปฏิบัติตามความรู้ จะมีหรือขอรับ
ท่านบอกว่า ก็ดูพระที่วัดบางนมโคก็แล้วกัน ที่ท่านปานสอนกรรมฐาน มีพระกี่องค์ที่ทำกรรมฐานบ้าง และมีกี่องค์ที่ไม่ทำกรรมฐาน และมีพระกี่องค์ที่เชื่อท่านปานจริง ๆ และมีพระกี่องค์ที่ไม่เชื่อท่านปาน ต่อหน้ามีความเคารพ แต่ลับหลังเหมือนกับลิงหลอกเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ต่อไปในเบื้องหน้าคนประเภท กปิลภิกขุ จะมีมากมายในเขตพระพุทธศาสนา ตอนนั้นก็ไม่ได้เรียนกปิลภิกขุ ก็ถามท่านว่า กปิลภิกขุมีในหนังสือเล่มไหนขอรับ ท่านบอกว่า มีในพระไตรปิฎก เล่ม ๑ กปิลภิกขุ หรือเรียกกันว่า พระกบิล เมื่อสมัยนั้น เมื่อสมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธกัสสป ยังทรงชีวิตอยู่ เธอก็เรียนจบพระไตรปิฎก มีพี่ชาย พี่ชายก็บวชพร้อมกัน พี่ชายเป็นคนแก่

รู้สึกตัวว่าเป็นคนแก่ แต่ความจริงก็ยังไม่แก่ ไม่ขอเรียนพระไตรปิฎก เรียนเฉพาะความรู้ในด้านวินัย ธัมมะพอสมควร พอเอาตัวรอด แล้วก็ฝึกในด้านปฏิบัติ สำหรับปริยัติก็พอรู้บ้างตามสมควร พอเอาตัวรอด ทั้งสองคนนี่มีผลไม่เสมอกัน พี่ชายไม่ช้าก็เป็นอรหันต์ กปิลภิกขุเธอมีลูกศิษย์ลูกหามาก ทุกคนยอมรับนับถือว่าเธอจบพระไตรปิฎก ก็มีลูกศิษย์มาก เมื่อมีลูกศิษย์มากก็มีลาภสักการะมาก

หนัก ๆ เข้าเธอก็เปลี่ยนแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่างนี้ เธอก็พูดอย่างโน้น อย่างพระพุทธเจ้าบอกว่า คนเกิดมาแล้ว เมื่อตายแล้วไม่สูญ ถ้าจิตยอมรับความดีเวลาจะตายก็ไปสู่สุคติ ถ้าจิตยอมรับความชั่วก็ไปสู่ทุคติ อย่างนี้เป็นต้น เธอก็กลับพูดไปอย่างอื่นว่า ตายแล้วมีสภาพสูญ อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าเธอก็เทศน์สอนคนอื่นเขา แต่เธอไม่เชื่อ

ในที่สุดเธอตายไปแล้ว เธอก็ลงอเวจีมหานรก มาสมัยพระพุทธเจ้าองค์นี้ตรัสขึ้นมา เธอเกิดขึ้นมาเป็นปลาทอง เด็กทอดแหเอาไปได้ พ่อเอาไปถวายพระราชา พระราชานำไปหาพระพุทธเจ้า เกล็ดเหลืองเหมือนทองคำ แต่เวลาอ้าปาก กลิ่นเหม็นเหมือนอุจจาระ ฟุ้งทั่ววิหาร เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารถามเธอว่า เธอมาจากไหน เธอก็ตอบว่า มาจากอเวจีมหานรก

ถามว่า เธอชื่ออะไรเธอก็บอกว่า เมื่อก่อนเธอชื่อ กปิลภิกขุ ในสมัยพระพุทธกัสสป พระพุทธเจ้าถามว่า แม่ของเธอไปไหน เธอก็ตอบว่า แม่ของเธอไปอเวจีมหานรก เพราะด่าพระร่วมกัน น้องสาวไปไหน น้องสาวไปอเวจีมหานรก ถาม พระพี่ชายของเธอล่ะ พระพี่ชายของเธอไปนิพพาน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบรรดาพระทั้งหลายเห็นว่าเธอสอนชาวบ้าน สอนพระ

เปลี่ยนแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคนที่จบพระไตรปิฎก ไม่ได้จบองค์เดียว ที่จบพระไตรปิฎกตามธรรมดาก็มี เป็นพระอรหันต์ก็มี แม้แต่พระอรหันต์เข้ามาเตือน เธอก็ไม่เชื่อกลับด่าพระ ด่าพระธรรมดา ด่าพระทรงฌาน ด่าพระอรหันต์ ด่าจิปาถะ หาว่าพูดไม่เป็นไปตามความจริง ฟุ้งเฟ้อต่าง ๆ นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ต่อมาพระทั้งหลายเหล่านั้นเห็นว่าไม่เป็นเรื่อง

ก็ไปบอกพระพี่ชายให้มาเตือน พระพี่ชายมาเตือน เธอก็ด่าพระพี่ชายไปเสียอีก หาว่าพระพี่ชายไม่เคยเรียนอะไร เธอจบพระไตรปิฎก คนโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างนี้อย่าเสือกมาสอนกัน พระพี่ชายก็ต้องกลับเข้าป่าไปต่อไปสภาพของเธอก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันจะไม่พยากรณ์ว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะไปอเวจีมหานรก แต่เธอก็จะพบกับคนที่เขาถือว่าเขามีความรู้ดี แต่เขาก็จะไม่เชื่อในวาทะที่เธอกล่าว ที่เธอสอน

เธอจะต้องเป็นคนมีลูกศิษย์มาก เธอจะต้องเป็นคนมีงานหนัก หนักทั้งทางโลก และหนักทั้งทางธรรม คือหนักทั้งชาวโลก และหนักทั้งชาวพุทธ และพระ การปกครองพระก็หนัก การสร้างวัดก็หนัก การสงเคราะห์ในการศึกษาเล่าเรียนก็หนัก การสงเคราะห์คนยากจนเข็ญใจก็หนัก หนักทุกอย่าง ชีวิตของเธอจะไม่เป็นชีวิตที่มีความสุขเหมือนชาวบ้านเขา เพราะร่างกายจะต้องหนัก ใจจะต้องคิด เมื่อจิตต้องคิด กายต้องหนักในการงาน แล้วกายก็ต้องป่วย เพราะกฎของกรรม

พอนั่งฟังท่านก็นึกเศร้าใจ คิดว่า เอ...เรานี่ตายเสียเร็ว ๆ จะดีกว่ากระมัง ก็ถามท่านว่า ผมอีกกี่ปีจะตายขอรับ ท่านก็บอกว่า ถ้าเป็นอายุขัยของเธอ ก็ต้องอายุ ๒๗ ปี แต่ว่าเธอจะตายตามนั้นไม่ได้ เธอต้องใช้หนี้เขาก่อน ถามว่า ต้องใช้หนี้ไปกี่ปีขอรับ

ท่านก็บอกว่า สุดแล้วแต่พระจะสั่ง เธอต้องเป็นพระที่อยู่ในอำนาจของพระ ปฏิบัติตามพระสั่งทุกอย่าง พระสั่งทำแบบไหน ทำแบบนั้น พระท่านจะช่วยทุกอย่างให้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่เธอป่วย ก็ต้องลากสังขารไปดูงานก่อสร้าง ต้องลากสังขารไปสงเคราะห์ในธัมมะของเขา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะคนทั้งหลายเหล่านั้นเขาเป็นเจ้าหนี้ เธอเป็นหนี้เขามาตั้งแต่ชาติก่อน ต้องไปชำระหนี้เขา

ฟังแล้วก็เศร้าใจ บรรดาท่านพุทธบริษัท เกิดมากับเขาชาติหนึ่งจะหาความสุขสักหน่อยก็ไม่ได้ แต่ท่านก็พูดให้ดีใจว่า จิตใจของเธอมีความดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเป็นทุกข์ มันจะหนักอย่างไรก็ตาม แต่ว่าใจของเธอเป็นสุข เพราะเธอมีความรู้สึกว่า เธอเป็นผู้ชนะแล้วจากกฎของกรรม และก็ชนะในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

ก็ถามท่านบอกว่า ผมปรารถนาพุทธภูมิ ชาตินี้จะมีบุญวาสนาบารมีเต็มหรือขอรับ ท่านก็นิ่งนิดหนึ่ง สัก ๑ วินาที ท่านบอกว่า พระท่านบอกว่า ถ้าเธอมีอายุถึง ๖๐ ปี บุญวาสนาบารมีปรารถนาพุทธภูมิของเธอก็จะเต็มชาตินี้ แต่ว่าเธอมีอายุแค่ ๒๗ ปี จะต้องแบกบุญวาสนาบารมี ต้องบำเพ็ญบารมีไปอีกหลายชาติ ก็หนักใจ

ก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่เอาพุทธภูมิดีไหม เคยไปเที่ยวชั้นดุสิต เห็นเทวดาชั้นดุสิตที่มีบารมีเต็ม คอยตรัสเป็นพระพุทธเจ้ามากมายเหลือเกิน ผมไม่ทราบว่าผมจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร คงจะคอยไม่ไหว ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร เธอก่อนจะเกิดมา เธอมีสัญญา

ถามว่า สัญญาอะไรขอรับ ท่านก็บอกว่า หลังจากอายุ ๔๐ ปีไปแล้ว เธอต้องลาจากพุทธภูมิ แต่ว่าเวลานี้เธอต้องทำให้เข้ม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่าท้อถอย ทุกอย่างจะประสบกับทุกข์อะไรก็ตาม จะต้องสู้กับทุกข์ ตั้งใจปฏิบัติตามกิจพุทธภูมิทุกอย่าง เมื่อลาจากพุทธภูมิแล้ว สิ่งที่เธอลา เธอขอสัญญากับพระ พระท่านจะให้ แล้วจะได้ตามนั้น แต่ว่าเธอจะต้องทำกิจพุทธภูมิต่อไปจนกว่าจะตาย

เมื่อท่านพยากรณ์อย่างนี้แล้วก็รู้สึกเศร้าใจว่า เรานี่เป็นคนมีกรรมจริง ๆ ก็เลยอยากจะรู้กรรมของตนให้มันถนัด เราใช้ของเราเองพอได้บ้าง พอสมควร แต่อาศัยบารมีของท่าน ถามว่า หลวงพ่อขอรับผมอยากจะดูภาพเก่า ๆ เคยฆ่าฟันกันมามากมายขนาดไหน ชาติไหนบ้าง ท่านก็ทำให้ดูสิบชาติ ก็เห็นว่าตัวเองสร้างทั้งบาปและทั้งบุญบุญก็สร้างจริง ๆ

บาปก็สร้างจริง ๆ คนต้องตายเพราะคำสั่งก็มาก ฆ่าเขาเองก็มาก สัตว์ ช้าง ม้า วัว ควาย วัวควายที่ต้องเป็นอาหาร เป็ดไก่ ปลา นับไม่ถ้วน ก็มานั่งนึกดูว่า ถ้าสัตว์ทั้งหลายหรือคนทั้งหลายเหล่านี้ ต่างคนต่างมาทวงกรรม เราใช้ชาตินี้ไม่หมดแน่ พอนึกในใจเพียงเท่านี้

ท่านก็บอกว่า คิดอย่างนั้นไม่ถูก ชาตินี้ใช้หมดแน่ เพราะใช้เศษของกรรมเอาแค่เศษของกรรมที่เหลืออยู่ แล้วก็ใช้เขา แต่การใช้ให้หมดมันไม่มีหรอก แต่ว่าสามารถหนีกฎของกรรมได้ ถามว่า หนีไปไหนครับ

ท่านก็บอก หนีไปอยู่ในแดนที่มีความสุข ที่ไหนที่เรียกว่าเอกันตบรมสุข เธอจะไปอยู่ที่นั่นได้ นี่เป็นคำพยากรณ์ของหลวงพ่อจงแต่ว่าเธอทั้งหลายจงอย่าลืมนะว่า ต้องยึดอริยสัจเป็นสำคัญอริยสัจที่จะต้องตั้งใจทำให้มั่นก็คือทุกขสัจ

เข้าใจในทุกขสัจอย่างเดียวให้ได้จริง ๆ แล้วเธอจะเข้าใจผลในทุกขสัจ แต่ว่ากรรมฐานทั้ง ๔๐ กองจะต้องซ้อมไว้เป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อภิญญา อย่าทำเป็นอันขาด การทำอภิญญาไม่ใช่วิสัยของเธอ เป็นวิสัยของสององค์นี่ ต้องอยู่ป่าต้องใช้อภิญญา เธอจงเก็บอภิญญาไว้เป็นคู่มือเป็นคู่ปัญญาเพื่อเข้าใจในการตัดกิเลส

ก็กราบเรียนถามว่า ในชาตินี้ผมจะตัดกิเลสหมดไหมขอรับ ท่านบอกว่า คนที่เขาเอาจริง เขาไม่ถามกัน มันอยู่ที่กำลังใจของคน คนที่ปฏิบัติจะเอาจริงเอาจัง เขาไม่ถามว่า ผมจะบรรลุชั้นนั้นชั้นนี้ไหม เขาไม่ถามกัน มันอยู่ที่ใจของเรา เราอยากจะหมด ก็หมด เราอยากไม่หมด มันก็ไม่หมด ถ้าเรายังติดในมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก มันก็ไม่หมด

เมื่อคุยกันต่อไปถึงเวลาอันสมควร ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าท่านปานตายแล้วนะเธอสงสัยอะไรก็ไปหาฉัน ทุกอย่างฉันจะไม่ปกปิด จะเป็นความรู้เพื่อบุคคล หรือความรู้เพื่อส่วนตัว ฉันไม่ปกปิด แต่ว่าฉันคิดว่า ในต่อไปภายเบื้องหน้า เธอจะกลายเป็นคนขี้เกียจ คือความรู้ทุกอย่างที่เธอมีอยู่นี้ เธอสามารถทำได้ทุกอย่าง

เวลานี้ก็เริ่มขี้เกียจแล้ว เมื่อทำใหม่ ๆ จริง ๆ ขยัน รู้นั่น รู้นี่ ทำโน่นทำนี่ พอทำได้จริง ๆ ก็ขี้เกียจ นี่เป็นวิสัยแท้ เป็นกิจที่ต้องทำ แต่ ๒ คนนี่เขาขยัน เขาต้องเข้าป่า เธอจงอย่าใช้อภิญญาสมาบัติที่สามารถทำได้ ได้หรือไม่ได้ก็ตาม เอาเป็นว่า ถ้าทำได้ ก็อย่าใช้ ใช้วิชาความรู้ปกติธรรมดา และต่อไปเบื้องหน้าก็จะได้รับความรู้พิเศษจากพระ จะสามารถสอนให้คนเข้าใจเรื่องสวรรค์ เรื่องนรกได้อย่างง่าย ๆ

ก็ถามท่านบอกว่า เวลานี้ที่ฝึกอยู่นี่ มันง่ายหรือมันยากขอรับ ผมก็เห็นว่าไม่ยาก
ท่านบอกว่า เวลานี้สำหรับเธอมันไม่ยาก แต่คนอื่นเขายากมากและจงอย่าลืมว่า เธอจะต้องประสบกับถ้อยคำที่ต้านทาน ถ้อยคำที่กล่าวหาด่าว่า ถ้าหากว่าบังเอิญจริง ๆ ถ้าเธอรำคาญเข้าจริง ๆ เธอก็จะกลายเป็นพระเขียว แต่ฉันคิดว่า จะไม่เป็นพระเขียว จะมีพระองค์อื่นช่วย

จะมีพระรูปร่างผอม ๆ สูง ๆ เข้มแข็งในพระศาสนา และพระองค์นี้จะได้อภิญญาสมาบัติ แต่ว่าเป็นพระที่มีการปกปิด จะสนับสนุนเธอให้ทรงตัวเป็นพระเหลืองอยู่ เพราะต่อไปเบื้องหน้าเธอจะเกิดความรำคาญถ้าเกิดความรำคาญ ถ้าพระองค์นี้ไม่เข้าช่วย เธอก็จะกลายเป็นพระเขียว หมายความว่า ถอดสีเหลืองออกและก็ใช้ชุดเขียว ใช้อภิญญาสมาบัติเป็นการหักล้างพระเหลือง

พระเหลืองก็จะพากันผอมไปตาม ๆ กัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนทุกคน ส่วนใหญ่ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ เขาชอบอภิญญาสมาบัติ เราทำให้เราแก่ได้ เราทำตัวเราให้หนุ่มได้ แค่นี้ก็พอแล้ว ผิวขาวได้ ผิวเหลืองได้ แค่นี้ก็พอแล้ว แต่เธออย่าทำมากกว่านั้น แต่ว่าฉันขอพยากรณ์ว่า เธอไม่มีโอกาสทำ เพราะพระจะไม่อนุญาตเธอ พระจะอนุญาตให้เธอเฉพาะให้เขารู้ตามความเป็นจริงว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง

เขาสามารถเห็นนรกได้ เขาสามารถไปนรกได้ไปสวรรค์ได้ ด้วยกำลังของจิตที่เรียกกันว่า อทิสสมานกาย อภิญญาใหญ่อย่าไปสอน ถ้าขืนสอนเธอจะเหนื่อยเปล่า เพราะวิสัยแบบนี้จะมียากสำหรับบุคคลที่จะพึงทำได้ แต่ว่ามีอยู่ แต่ก็ไม่อยู่ในฐานะที่เธอจะต้องเป็นครู ต้องคนอื่นเขาเป็นครูกันเธอเอาเท่านั้นก็พอ เป็นแค่ ปัจจัตตัง

เป็นอันว่า คุยกันไป คุยกันมา ท่านก็บอกว่า เวลานี้ก็เย็นแล้วฉันขอลากลับวัดนะ ก็เลยบอกว่า หลวงพ่อขอรับ ที่นี่มันจังหวัดกำแพงเพชร ท่านก็เลยบอกว่า อินเดีย เดิน ๒ - ๓ นาทีก็ถึง วัดหน้าต่างนอก มันจะเดินสักกี่นาที ก็รวมความว่า พอพูดเท่านี้ ท่านก็หายแว้บไปเลย ไม่ได้เดิน ไม่ได้ไปไหน ก็คิดในใจว่า เอ๊ะ...หลวงพ่อจงนี่ คนหรือผี

หลวงพ่อปานก็หันกลับมาบอกว่า คุณ อย่าอกตัญญูครูบาอาจารย์ อย่าไปนึกว่าครูบาอาจารย์เป็นผี หลวงพ่อจงนี่เป็นพระอภิญญา แต่ก็ไม่ใช่อภิญญาอย่างเดียว เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณด้วยมีความฉลาดมาก แต่ว่าพูดน้อย เพราะหน้าที่พูดมันเป็นหน้าที่ของฉัน แต่ว่าฉันตายไปแล้ว ท่านก็ไม่ค่อยจะพูด ท่านจะอาศัยปากเธอพูดมีอะไรบ้าง เธอต้องไปหาท่าน ท่านจะเรียกไปหาท่าน และท่านใช้ให้เธอพูดแทนท่าน

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับเรื่องในป่าก็ขอยุติกันแค่คาสเซทนี้เป็นคาสเซทสุดท้าย ขืนคุยกันไป คนก็จะขึ้นสวรรค์ หรือลงนรกกันมาก เพราะเถนใบลานเปล่ามีมากเวลานี้ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/5/13 at 15:28 [ QUOTE ]


3
หลวงพ่อปานมรณภาพ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๓๔ ก็เห็นจะหลายวันอยู่จากที่บันทึกไว้ครั้งก่อน ตอนนี้เป็นเล่มที่ ๑๙ ตอนที่ ๓ อีกไม่กี่วันจากนี้ไป คือ วันที่ ๑๕ มกราคม๒๕๓๔ ทางสหประชาชาติอนุญาตให้ อเมริกา หรือสัมพันธมิตรใช้กำลังกับอิรักไว้ แต่ทว่ากว่าเทปนี้จะออกบรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะผ่านการณ์ไปนานแล้ว เขาจะรบหรือไม่รบก็ไม่ทราบเหมือนกัน

สำหรับต่อนี้ไปก็จะเว้นเรื่องธุดงค์ คิดว่า ถ้าพูดเรื่องธุดงค์กันมาก ๆ เกรงว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทจะเบื่อ เพราะว่าเรื่องธุดงค์พูดอย่างไรก็ไม่จบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพูดเรื่องธุดงค์กันไป ก็อาจจะมีคนคิดว่า เป็นของไม่จริง ก็มีหลาย ๆ ท่านคัดค้านว่า การปฏิบัติพระกรรมฐานเห็นเทวดา เห็นผี เห็นนรก เป็นของไม่จริง แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงทำกันได้เยอะ แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็ทำกันได้มาก

อันนี้เราก็ไม่เถียงกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าหลักสูตรกรรมฐานในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๔ อย่าง คือ สุกขวิปัสสโก ปฏิบัติแล้ว ได้ฌาน ได้สมาบัติ แต่ไม่มีความเป็นทิพย์ ไม่มีทิพพจักขุญาณ ไม่สามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ สำหรับท่านพวกนี้ ปฏิบัติไม่เท่าไร ท่านก็ไม่มีโอกาสเห็นสวรรค์ เห็นนรก ท่านก็เลยค้านพวกวิชชาสาม สำหรับพวก วิชชาสาม มี ทิพพจักขุญาณ ระลึกชาติได้ เห็นสวรรค์ เห็นนรกได้

พวกอภิญญาหกเห็นได้ด้วย ไปได้ด้วย ท่านก็เลยค้านเป็นของธรรมดาเพราะว่าการศึกษาของท่านแคบเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ในขณะที่กำลังพูดอยู่นี่ ท่านนักพรต คือพระที่ปฏิบัติตนอยู่ในใกล้ป่า ขอบอกว่า อยู่ใกล้ป่า หรืออยู่ในป่าที่ได้อภิญญาสมาบัติมีมาก เวลานี้ยังมีอีกมาก และเก่งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เป็นพระไม่แก่ พระแก่ก็มี ไม่แก่ก็มี พระหนุ่มก็มี ท่านยังมีอยู่ วิชาความรู้ที่อาตมานำมาพูด ยังไม่ได้เสี้ยวของท่าน ท่านมีความรู้ มีความสามารถมากกว่านี้มีอยู่

แต่ที่นำมาเล่าสู่กันฟังก็เพื่อให้ทราบว่า หลักสูตรในพระพุทธศาสนามีถึง ๔ อย่าง คือ
๑. ปฏิบัติแล้วไม่เห็นอะไร
๒. ปฏิบัติแล้ว เห็นได้ ระลึกชาติได้
๓. ปฏิบัติแล้วเห็นได้ระลึกชาติได้ ไปก็ได้
๔. ปฏิบัติแล้ว ไปได้ด้วย เห็นได้ด้วย และมีความฉลาดมากด้วย

มีอยู่ ๔ อย่าง สำหรับตอนนี้ก็จะของดเรื่องธุดงค์ ขอเดินทางกลับวัดหลังจากธุดงค์กับหลวงพ่อปาน ต่อจากนั้นไป หลวงพ่อปานก็ปล่อยเดี่ยว ปล่อยไปตามลำพังอีกหลายปี ก็ไปกันตามอัธยาศัยเพราะว่าเคยมาแล้ว หลวงพ่อปานแนะนำมาแล้ว ไปหลาย ๆ สถานที่ แต่การไปธุดงค์คราวนั้นก็ไม่ได้เดินธุดงค์ เป็นแต่เพียงว่า ไปหาสถานที่ใดที่หนึ่งที่มีความสงบ มีถ้ำเป็นที่อยู่ ก็อยู่กันอย่างสบาย ๆ อย่างจิตสงบ หากินตามปกติ ตามที่เคยกล่าวมาแล้ว

ทีนี้มาตอนนี้ก็ถือว่า เป็นการเดินทางกลับวัด เมื่อกลับวัดในตอนนั้น ก็ปรากฏว่าสอบได้นักธรรมเอก เมื่อสอบได้นักธรรมเอกเสร็จ ก็เว้นมา ๑ ปี เว้นการศึกษา เพราะเวลานั้นบ้านนอกยังไม่มีภาษาบาลี ที่วัดบ้านแพนมีการสอนภาษาบาลีเหมือนกันแต่ไม่ถึงเปรียญ ก็เลยไม่ได้เรียน ก็ขอกล่าวเรื่องสำคัญตอนหนึ่ง ตอนที่ หลวงพ่อปานมรณภาพหลักใหญ่สำคัญคือ

บูรพาจารย์ผู้มีความสำคัญก็คือ หลวงพ่อปานท่านถึงกาลมรณะ แต่ว่าก่อนที่จะมรณะ บรรดาท่านพุทธบริษัทก่อนหน้านั้นท่านป่วยมาก่อนแล้ว ๓ ปี คือเวลาผ่านไป ป่วยแล้วก็หายเป็นเวลา ๓ ปี ขณะที่ป่วยครั้งแรก ท่านบอกว่า คราวนี้ฉันยังไม่ตายเขานำไปรักษาที่บ้านหลวงประธานถ่องวิจัย ที่กรุงเทพฯ ท่านก็บอกว่า เวลานี้ฉันไม่ตายหรอก แล้วก็หาย แล้วท่านก็บอกต่อไปว่า

บอกหลวงพ่อวัดบ้านแพนซึ่งเป็นเพื่อนกันว่า อีก ๓ ปี ผมตายแน่ พอถึงกำหนดกลับจากการธุดงค์ไม่นานนัก หลวงพ่อปานก็ป่วย เมื่อป่วยแล้วเขาก็พาไปรักษาที่บ้านหลวงประธานถ่องวิจัย นำหมอมารักษาที่นั่น ไปอยู่ที่นั่นหลายวัน เขาให้ทำทุกอย่างตามที่หมอเห็นชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่หน้าท่านเบ้ ๆ ก็คือว่า ไข่ลวก เขาบอก กินไข่ลวกจะมีกำลัง ท่านก็ต้องฉันตามศรัทธาของเขา

แต่เวลาฉันรู้สึกว่า ทำหน้าเบ้ ๆ แปลก ๆ แสดงว่าไม่ค่อยจะพอใจนัก แต่ก็ไม่ฝืนใจใคร ในเมื่อเขามีศรัทธา ก็ปฏิบัติตาม ทุกคนที่มีความเคารพในท่าน ก็มาเต็มบ้านหลวงประธานถ่องวิจัยทุกวัน และก็นำอาหารดี ๆ ที่ว่าดีพิเศษ ราคาแพงมาก ๆ มาถวาย ท่านก็ฉัน คนป่วยนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท จะฉันได้มากมายอะไร ก็ฉันโน่นบ้าง ฉันนี่บ้าง แต่ว่าสิ่งที่สนใจก็คือว่า

ปลาสลิด ปลาสลิดแห้ง ปิ้งแห้ง ที่แห้งแล้วก็ปิ้งแล้วก็เค็ม อันนี้ท่านพอใจมาก ชอบฉันทุกวัน เห็นจะเป็นเพราะ เนื้อปลาสลิดไม่แข็งมากเกินไปฟันของท่านไม่มีตอนหลัง ไปอยู่บ้านหลวงประธานฯ ได้พอสมควรแล้วก็บอกว่าจำเป็นต้องกลับวัด เพราะฉันทำอะไรผิดไว้ จะต้องไปบวงสรวงขอขมาโทษเขา ก็เป็นอันว่านำเอาเรือต่อ คือเรือบรรทุกข้าว มาให้ท่านนอน แล้วเอาเรือยนต์ลากมาที่วัด

พอมาถึงวัด เมื่อขึ้นวัดเสร็จ อาตมาผู้พูดเองก็ไปบอกหลวงพ่อวัดบ้านแพน บอกว่า เวลานี้หลวงพ่อปานมาถึงที่วัดแล้วครับ หลวงพ่อวัดบ้านแพนก็บอกว่า คราวนี้ต่อโลงได้ ถามว่า ทำไมล่ะขอรับ ท่านก็เลยบอกว่า เขาบอกฉันไว้แล้ว อีก ๓ปีเขาจะตาย ปีนี้เป็นการครบปีที่ ๓ เขาต้องตายแน่ ก็ถามหลวงพ่อวัดบ้านแพน พระครูรัตนาภิรมย์ ถามว่า หลวงพ่อปานถ้าตายแล้วไปไหน

ท่านก็บอกว่า ไปชั้นดุสิต เพราะว่าหลวงพ่อปานปรารถนาพุทธภูมิ มีบารมีเข้มแข็งมาก หลังจากนั้นหลวงพ่อวัดบ้านแพนท่านก็มา มาก็มีคนอื่นมีความคิดว่า หลวงพ่อท่านอาจจะฟังอะไรไม่ค่อยได้ยิน หลวงพ่อวัดบ้านแพนก็เห็นใจ ก็เลยเสกกระดาษม้วนเล็ก ๆ วางไว้ที่ข้างหู ท่านบอกว่าถ้าอย่างนี้จะทำอะไรก็ได้ยินหมด ใครพูดอะไรก็ได้ยินหมด หลวงพ่อปานท่านก็นอนเฉย

ใครไปใครมาท่านก็พูดด้วย นอนลุกไม่ขึ้นแต่ว่ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ คล้าย ๆ กับคนไม่เป็นโรควันรุ่งขึ้นท่านสั่งให้จัดเครื่องบวงสรวง ท่านบอกว่า ฉันจะบวงสรวง เพราะว่าฉันทำอะไรผิดไว้ จะต้องบวงสรวง วันรุ่งขึ้นทุกคนก็จัดเครื่องบวงสรวงตามพิธีกรรม ท่านก็บอกว่า เวลา ๑๐ โมงเช้าฉันจะบวงสรวง แต่ใครจะคุยอะไรกับฉันก็คุยเสียก่อนนะ นี่ท่านพูดแต่ตอนเช้าหลังจากบวงสรวงแล้ว

ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งหมด จนกว่าฉันจะตาย ท่านพูดเหมือนกับว่าคนไม่เป็นโรค พูดเป็นปกติ แต่อาการลุกไม่ขึ้นแล้วนะ นอนเรื่อย พอถึงเวลา ๔ โมงเช้า ท่านก็เริ่มบวงสรวงเสียงแจ่มใสมากเหมือนกับคนไม่ป่วย พอบวงสรวงเสร็จท่านก็นอนหลับตา ตอนนี้ก็ไม่คุยกับใครแล้ว เงียบกริบ ในเมื่อท่านสั่งแล้วว่า ฉันจะไม่คุยกับใคร ก็ไม่มีใครชวนคุยกับท่าน ก็เป็นการบังเอิญจริง ๆ มีอาจารย์เกี้ยวซึ่งเป็นเพื่อนเก่ากัน

พอรู้ข่าวว่าหลวงพ่อปานมา อาจารย์เกี้ยวน่ะ สึกไปแล้ว อาจารย์เกี้ยวนี่เห็นจะเป็นนักเทศน์อย่างเดียว นักเทศน์เก่งมาก แต่กรรมฐานคงไม่เก่ง มาถึงเข้าไปใกล้ บอกท่านปาน ๆ พุทโธนะ ๆ ท่านสะบัดหน้านิดหนึ่ง สะบัดหน้านิดหนึ่งแสดงว่าไม่ต้องการคำพูดนั้น เป็นว่า ท่านอยู่ในฌานและก็ในช่วงนั้นมี พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า หรือที่เรียกกันว่า พระครูสังข์ นั่งสมาธิอยู่ปลายเท้า ติดข้างฝา

นั่งพิงฝาเข้าสมาธิตามหลวงพ่อปาน เข้าใจว่าจะทำอย่าง พระอนุรุทธ พระอนุรุทธเวลาที่พระพุทธเจ้านิพพาน พระอนุรุทธเข้าฌานตาม พวกเราก็ถามกันว่า เวลานี้หลวงพ่อตายแล้วหรือยังเพราะว่ามีอาการสงบมาก ร่างกายไม่ไหวไม่ติง ไม่กระตุกกระติก ก็เป็นอันว่า พระครูสังข์ก็ลืมตาขึ้นมาบอกว่า ยังไม่ตาย ยังไม่ไปไหน เวลานี้ยังทรงอารมณ์อยู่ในฌาน ๔ และจิตกำลังมีความสุข

มีความเบิกบาน เพราะมีเทวดา มีนางฟ้า มีพรหม มีพระอริยเจ้า ห้อมล้อมเต็มในอากาศ จิตใจของท่านเวลานี้ไม่ได้อยู่ที่ร่างกายแล้ว จิตใจส่งไปที่เทวดา นางฟ้า พรหม และพระอริยเจ้า ตอนนี้ทางร่างกายไม่มีความรู้สึก พวกเราอย่าคุยกันเลยไม่เกิดประโยชน์ หลังจากนั้นมาตอนเย็น อาตมาเองกับเพื่อนพระอีก ๓ องค์ด้วยกัน เข้าไปจับชีพจร เวลาใกล้ ๖ โมง ท่านบอกว่า ๖ โมงท่านจะตาย

จับชีพจร ชีพจรก็เป็นไปตามปกติ ชีพจรมือ ชีพจรเท้า ๒ ข้างคนละข้าง เต้นปกติเหมือนกับคนธรรมดา แต่ทว่าเบา ถึงเวลา ๖ โมงเป๋ง นาฬิกาตีเป๊งเดียวท่านลืมตาปั๊บ แล้วก็หลับตา ชีพจรดับพร้อมกันแต่ว่าก่อนที่ชีพจรจะดับประมาณ ๓ นาที ท่านลืมตาขึ้นมา ท่านถามว่า ใคร บอก ผมครับ ท่านถามว่า ลิงดำใช่ไหม บอกว่า ใช่ขอรับเวลานั้นยังเป็นพระมีอาวุโสน้อย

บอก เธอจงบอกพระ บอกญาติโยมด้วยนะว่า หลวงพ่อลาแล้วนะ แล้วท่านก็บอกว่า โบสถ์วัดเสาธงที่หลวงพ่อสร้างไว้ ยังไม่เสร็จ ช่วยสร้างให้เสร็จนะ ก็เลยกราบเรียนบอกว่าผมเป็นพระมีอายุน้อย เขาอาจจะไม่ศรัทธา ถ้าเขาขอร้องผมจะช่วย ถ้าเขาไม่ขอร้อง ผมไม่ช่วย ท่านก็พยักหน้า เลยถามท่านว่า ถ้าเวลานี้หลวงพ่อใกล้จะไปแล้ว ถ้าพระสงฆ์ต้องการจะสงเคราะห์ให้ทำอย่างไร

ท่านบอกว่า ถ้าพระสงฆ์ก็ดี ญาติโยมก็ดี ต้องการสงเคราะห์ ให้สวด อิติปิโสฯ ก็แล้วกัน ก็เลยบอกบรรดาพระทั้งหลาย บอกหลวงพ่อปานต้องการ อิติปิโสฯ พระก็สวด โยมก็สวดพร้อมกัน มาถึงเวลา ๖ โมงเป๊งพอดี ท่านลืมตา แล้วก็หลับ ชีพจรดับทันที พระครูอุดมสมาจารย์ก็ลืมตาบอกว่า หลวงพ่อไปแล้ว สวยงามมาก มีขบวนแห่มีรถด้วย

ทีนี้ตอนที่หลวงพ่อปานตาย ก็มีเรื่องอัศจรรย์ ขอโทษ ขอเล่าย้อนไปนิดหนึ่ง ก่อนหน้าที่ท่านจะตายหนึ่งวัน ท่านบอกว่า เวลานี้ฉันมีหนี้อยู่ ๔,๐๐๐ บาท แล้วก็พระเครื่องที่ฉันทำแจก เวลานี้ข้างนอกหมดแล้ว ฉันเก็บไว้ในหีบเหล็กในห้องใน ๒ ลูก จำนวน ๔,๐๐๐องค์ ถ้าใครเขาจะรับ ก็ขอให้เขาทำบุญ ๑ บาทนะ องค์ละ ๑ บาทเป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาทพอดี ชำระหนี้เขา

ก็รับคำว่า จะปฏิบัติตามนั้นก็เป็นอันว่า พระเครื่องหลวงพ่อปาน เวลานี้ถ้ามีที่ไหน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็โปรดทราบว่า ถ้าเขามีมากฯ ก็จงอย่าเรียกว่า เป็นพระปลอม อาจจะเป็นพระทำขึ้นมารุ่นใหม่ รุ่นเก่าไม่มีเหลือแล้ว ขอยืนยัน ถ้าเขามีก็ไม่มีใครเขาขายกัน พระหลวงพ่อปานมีเครื่องสังเกตได้อยู่อย่างหนึ่งคือว่า

ถ้าจับแมลงป่อง หรือตะขาบมากัด เอาพระจุ่มน้ำเข้า เอาหลังแปะเข้าที่ถูกกัด จะเป็นงูร้ายก็ได้ ประเดี๋ยวเดียวพระจะเริ่มดูด ดูดแล้วก็ไม่ยอมหลุด ไม่ต้องเอาอะไรผูก จะไม่ยอมหลุด ผูกกับแขน ยกแขนยกขา อะไรได้ทั้งหมด พระไม่หลุด ถ้าพิษหมดจะหลุด และก็ประการที่สอง ถ้าเป็นพระหลวงพ่อปานจริง ๆ ให้อาราธนาตามรูป รูปหนุมาน หรือครุฑก็ตาม

ว่า อิทธิฤทธิ พุทธะ นิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด เพียงเท่านี้ แล้วก็ใส่ในน้ำ จะมีเสียงร้องจิ๊ก ๆ ๆ อย่างนี้เป็นพระหลวงพ่อปานแท้ ถ้าทดลองอย่างนี้ ไม่มีเสียงตามนี้ ไม่ใช่พระหลวงพ่อปาน เพราะว่าเวลานี้มีคนบางท่าน เมื่อเร็ว ๆ นี้ เมื่อไม่กี่วันมานี้ เมื่อต้นเดือนมกราคม อาตมาไปที่ซอยสายลม ท่าน พล.ต.ท.นพ.สมศักด์ สืบสงวน อดีตแพทย์ใหญ่กรมตำรวจ

และเป็นประธานมูลนิธิหลวงพ่อปาน - พระมหาวีระ ถาวโร มาบอกว่า มีคนมีพระหลวงพ่อปาน ๓๐๐ หรือ ๔๐๐ องค์ก็ไม่ทราบ จะให้มาแจก ตั้งราคาองค์ละ ๓,๐๐๐ บาท แต่ขอกลับไปครึ่งหนึ่ง อาตมาก็บอกว่า ไม่ต้องแล้วพระหลวงพ่อปานหมดตั้งแต่สมัยอาตมาแจกเองแล้ว พระ ๔,๐๐๐ องค์ไม่ทันเสร็จงานก็หมด แล้วจะมีใครสามารถกักตุนได้ถึงนี้ตั้งหลายร้อยองค์ก็เชื่อกันไม่ได้

แต่ว่าถ้าจะเป็นของจริงก็ให้อาราธนาตามที่กล่าวมาแล้วถ้ามีเสียงร้องได้จริง ก็เป็นพระหลวงพ่อปานจริง ถ้าถูกงูกัด ตะขาบกัดแมลงป่องกัดต่อยก็ตาม ชุบน้ำเอาหลังแปะ ประเดี๋ยวเดียวพระจะดูดติดกับเนื้อ ยกแขนขึ้นมาสลัดก็ไม่หลุด อย่างนี้เป็นพระหลวงพ่อปานแท้นี่เป็นเครื่องพิสูจน์พระหลวงพ่อปาน

ทีนี้เมื่อคราวหลวงพ่อปานตาย ก็มีเรื่องอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ที่คนชอบลือกัน แต่เป็นของจริงคือมีเต่าขนาดใหญ่ ซึ่งหลวงพ่อปานมาปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี แต่ความจริงไม่ใช่หลวงพ่อปานปล่อย มีคนที่เขามากับหลวงพ่อปาน เขาเห็นว่าเต่าตัวนี้กำลังจะถูกฆ่า มีคนนำไปจะแกง เขาก็ซื้อ แล้วเขาก็เขียนชื่อเขาติดหน้าอก ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง เต่าตัวนั้นไปกับกองสวะผักชวา

พอถึงหน้าวัด กองสวะผักชวาแปะเข้าที่หน้าวัด เต่าก็ขึ้นบันได คลานขึ้นบันไดขึ้นมา แล้วก็เดินมาตามถนน เดินเข้ามาหาศาลาที่เขาตั้งศพหลวงพ่อปาน แต่บันไดนี้เธอขึ้นไม่ได้ เพราะสูงมาก คนก็จับยกขึ้นมาวางข้างบนศาลา เธอก็คลานไปนอนอยู่ใต้ศพ มีชื่อเป็นเจ้าของที่ตลาดบ้านแพน อาตมาก็จำชื่อไม่ได้ ที่หน้าอก แล้วก็มีนกแปลก ๆ มาจับ เวลาที่ เจ้าคุณศรีสุธรรมมุนีเจ้าคณะจังหวัดเวลานั้น

ตอนหลังท่านเป็น สมเด็จพุฒาจารย์ วัดมหาธาตุฯ มรณภาพเมื่อเร็ว ๆ นี้ เป็นเจ้าคณะจังหวัด ท่านไปเทศน์ตอนกลางวันก็คล้าย ๆ กับมีใครเอาไฟฉาย ไปฉายที่เพดาน หมุนไปวนมา วนมาวนไป จนกว่าจะเทศน์จบ ก็ดูแล้ว ไม่มีใครถือไฟฉาย ไม่มีใครถือกระจก ก็แสดงว่าท่านแสดงให้ปรากฏว่า ท่านมาแล้ว นี่เล่าสู่กันฟังหลังจากนั้นแล้ว เขาก็เก็บศพหลวงพ่อปานไว้ที่กุฏิ ตามประเพณีนิยม

เมื่อถึงเวลาเผาศพ ก็มีพระจำนวนมากไป คนจำนวนมากไป พระไปมาก คนไปมาก ข้างหุง ๑๖ กระทะ ไม่ทันคนกิน คนมากขนาดนั้นเวลานั้นต้องหุงข้าวกระทะ เตาแก๊สยังไม่มีก็รวมความว่า เผาศพหลวงพ่อปานเสร็จ ขอเล่าลัด ๆ นะ เผาก็ไม่มีพิธี เผาแบบธรรมดา ๆ แต่ทว่าสำหรับศพมีคนบอกว่า อาจจะมีคนมาแย่งศพ เวลานั้น เจ้าคุณมงคลเทพมุนี ต่อมาเป็น เจ้าคุณมหาโพธิวงศาจารย์ วัดอนงคาราม

ท่านไป ท่านก็ขอพระให้ตั้งเป็น ๒ แถว จากศาลาลงมา แล้วก็ยืนล้อมเมรุ ขบวนที่นำไปวนเมรุก็มี ผู้ว่าราชการจังหวัด พระยาศรยุทธเสนี พระยาประเสริฐสงคราม และก็ไม่กี่คนนัก นำศพ นอกนั้น พระยืนอยู่รอบ ๆ และคนยืนอยู่รอบ ๆ เมื่อเผาศพเสร็จ ถือว่าเป็นการเสร็จพิธี นี่ต้องขออภัยบรรดาท่านพุทธบริษัทที่เล่าย่อ ๆ ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถ้าเยิ่นเยื้อเกินไป ก็จะเป็นที่รำคาญ

หลังจากหลวงพ่อปานมรณภาพแล้ว อาตมาก็ยังอยู่ที่วัดบางนมโคอีก ๑ ปี ตอนนั้น หลวงพ่อเล็ก เกสโร เป็นเจ้าอาวาส เมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพแล้ว วัดเหงาหงอยมาก เงียบสงัด คนไปคนมาน้อยเต็มที อาตมาเมื่อได้นักธรรมเอกแล้วก็ว่าง ๑ ปี ไม่รู้จะไปไหน แต่ว่าถึงเวลาธุดงค์ ก็ไปธุดงค์ ทีนี้เมื่อว่างจากหลวงพ่อปาน ไม่ต้องปฏิบัติหลวงพ่อปาน ก็ไปตามวัดต่าง ๆ ไปดูปฏิปทาของวัดต่าง ๆ

บรรดาท่านพุทธบริษัท วัดแต่ละวัดมีปฏิปทาคล้ายคลึงกัน นั่นคือ เจ้าอาวาสท่านก็เป็นเจ้าอาวาส ลูกวัด ก็เป็นลูกวัดธรรมดา หน้าที่ที่จะทำก็คือ ๑.ท่องหนังสือสวดมนต์ เมื่อท่องหนังสือสวดมนต์ได้แล้วก็หมดพิธีกรรม และประการที่ ๒. เจ้าอาวาสส่วนใหญ่ บางวัด บางวัดก็ไม่มี ชอบเล่นหมากรุก และก็มีบางวัด มีพระเรียนนักธรรม และก็มีหลาย ๆ วัด ไม่มีพระเรียนนักธรรม

ก็รู้สึกสลดใจในปฏิปทาของพระ ก็มีความรู้สึกว่า เราอยู่กับหลวงพ่อปาน ปฏิปทาแบบนี้ไม่มี แต่เวลานี้พระปฏิบัติกันอย่างนี้หลาย ๆ วัด พระพุทธศาสนาจะมีความรุ่งเรืองได้อย่างไร แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะพูด เอาแต่เพียงแค่นึก เมื่อนึกได้เพียงแค่นี้ก็กลับมาวัด จะไปวัดไหนก็มีสภาพเหมือนกัน แต่วัดที่เจริญกรรมฐาน ก็มีอยู่วัดหนึ่งคือวัดของพระครูอุดมสมาจารย์

แต่นั่นตัวท่านเองท่านเจริญกรรมฐาน แต่ลูกศิษย์ก็ไม่ค่อยจะเอาถ่านเหมือนกัน ในเมื่อหลวงพ่อปานตายแล้ว อาตมาก็ไปหาหลวงพ่อจงบ่อย ๆ เพราะถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ หลวงพ่อจงก็สอนวิชาความรู้ที่ท่านสามารถปฏิบัติได้ เอากันเรื่องปฏิบัติ สอนความรู้พิเศษให้มากพอสมควรเท่าที่จะนำมาได้ และต่อมาในคราวหนึ่งไปวัด เขาเรียกวัดใหญ่ อาตมาก็นำรูปหล่อหลวงพ่อปานไป หลวงพ่อจงก็ไป

เขานิมนต์ไปด้วย หลวงพ่อจงมีหน้าที่ลงนะหน้าทอง เอาทองปิดหน้า แล้วก็เป่า ก็มีคน ๆ หนึ่งเขาให้อาตมาลงกระหม่อม ก็บอกลงไม่ได้ หลวงพ่อจงอยู่ตรงนี้ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ หลวงพ่อจงดีกว่าฉันมาก หลวงพ่อจงหันมาบอก ลงเถอะ ๆ ลงได้ ก็เลยเอาดินสอเขียนที่ศีรษะเขา แล้วก็เป่าด้วย นะโมพุทธายะ เพียงเท่านั้น คนนั้นเดินหัวเอียงไปเลย แต่ความจริงไม่ใช่อานุภาพของอาตมา

เป็นอานุภาพของหลวงพ่อจง พอตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืด หลวงพ่อจงก็มายืนข้าง ๆ ท่านถามว่าตื่นแล้วหรือ บอก ตื่นแล้วขอรับ ท่านถามว่า จะเรียนอะไรบ้าง คาถาอาคมต่าง ๆ ยันต์ต่าง ๆ มีเยอะ ต้องการอะไรบ้าง ท่านก็ทำให้ดูเขียนให้ดู ว่าคาถาให้ดู หลายอย่าง ทำอย่างนี้กันอย่างนี้ ทำอย่างโน้นกันอย่างโน้น เมื่อพิจารณาแล้ว เราต้องท่องคาถากันแย่

เลยถามท่านว่า หลวงพ่อขอรับ เท่าที่หลวงพ่อใช้ หลวงพ่อใช้คาถาบทไหน ใช้ทุกบทที่บอกมาหรือเปล่า
ท่านก็บอกว่า เปล่า ฉันใช้บทเดียว บทที่พระอินทร์บอกฉัน
ก็เลยกราบเรียนท่านว่า ถ้าอย่างนั้น กระผมขอเรียนบทที่พระอินทร์บอกได้ไหม

ท่านบอกว่า ได้ ก็ขอเรียนจากท่าน ท่านบอกทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ให้นึกถึงพระอินทร์ก็แล้วกัน ก็เป็นอันว่า ได้คาถาจากท่าน สำหรับเวลานี้เวลาเหลืออีกประมาณสัก ๔ นาทีเศษ ๆ ก็ขอเล่าย้อนไปถึงวัดใหญ่ วัดใหญ่ไปอยู่หลายวัน ๗ วัน กลางคืนเวลาประมาณตีสอง อาตมาก็ลุกจากที่ ไปส้วม ส้วมมีอยู่ไกล ไฟฟ้าเขาสว่างเพราะมีงานวัด มีงานผูกโบสถ์ พอเดินกลับมา ผ่านกุฏิหลังใหม่เอี่ยมซึ่งไม่มีพระอยู่

แต่ว่าได้ยินเสียงผู้หญิงคราง เหมือนกับถูกทรมาน จึงเดินย้อนเข้าไปดูที่ประตู เห็นประตูใส่กุญแจ และเสียงก็เงียบเมื่อเดินห่างออกมาอีก ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงครางอีก เดินย้อนกลับไปอีกก็เสียงเงียบ เดินออกมาอีกครั้งหนึ่งห่างประมาณ ๓ - ๔ วา ก็เสียงผู้หญิงคราง จึงนึกในใจสงสัย ก็ไปดูด้านหลังกุฏิเห็นหน้าต่างเปิด ก็เลยเอาไม้พาดหน้าต่าง ไต่ขึ้นไปดู ไม่เห็นมีอะไร ในนั้นมีไฟฟ้าสว่าง

มีปออยู่ ๒ - ๓ ผูก กุฏิก็รก เลยกลับมา พอกลับมาเข้าถึงที่นอน ใกล้ ๆหลวงพ่อจง หลวงพ่อจงก็ลุกจากที่ หลวงพ่อจงถามว่าเจอะนักเลงดีเข้าแล้วหรือ ความจริงอยู่ไกลกันประมาณสัก ๒๐๐ เมตร หลวงพ่อจงบอกว่า เสียงผู้หญิงไม่ใช่เสียงใคร เสียงนางไม้ กุฏินั้นเขาบอกว่าผีดุ คือ มีนางไม้ แต่ความจริงนางไม้ไม่ได้ดุ คนเกรงนางไม้ไปเองหาว่า นางไม้ดุ นางไม้เขาแสดงอานุภาพให้ปรากฏ

ก็ถามว่า หลวงพ่อทำอย่างไรเธอจะสงบ
ท่านบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส ถ้าเจ้าอาวาสเขาไม่ขอร้อง ก็ห้ามบอกเขานะ เขาไม่ขอร้อง เราทำไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าอาวาสมีความฉลาด วัดนี้จะรวยเพราะนางไม้นี่จะให้คุณ แต่ในเมื่อเขาไม่รู้จัก นางไม้เธอก็ไม่ช่วย ในเมื่อไม่ขอร้องเขา

ก็ถามว่าที่เขาครางให้ผมได้ยิน เขามีความหมายว่าอย่างไร ท่านก็เลยบอกว่า เขารู้ว่าเธอไม่กลัว ก็ลองใจดูว่า เธอจะกลัวหรือไม่กลัว หลังจากนั้นก็พากันกลับวัด บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อกลับวัดแล้วก็ไม่มีอะไร ก็นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าไม่มีงานจะทำ หลวงพ่อปานตายแล้วเงินก็ไม่ค่อยจะเข้าวัด งานจะทำมันก็ไม่มีนั่งบ้าง นอนบ้าง ภาวนาไปบ้าง เดินเล่น ไปคุยกับเพื่อนบ้าง

เป็นของธรรมดา ๆ เป็นพระว่าง ๆ พระส่วนใหญ่เขาก็ว่าง ว่างกันทั้งหมดก็ปรากฏว่าวันหนึ่ง คุณหลวงวรเวทย์กำจร ซึ่งเป็นน้าชาย ไปจากจังหวัดธนบุรี ท่านเห็นว่าง ท่านเลยบอกว่า เวลานี้ที่วัดช่างเหล็ก เจ้าคุณมงคลเทพมุนี จะมาตั้งโรงเรียนภาษาบาลีที่นั่น ให้ไปเรียนภาษาบาลี ก็นึกในใจว่า ดีแล้ว อยากจะเรียนภาษาบาลีมานาน แต่ไม่มีโอกาส เพราะว่า เห็นว่า พระกรุงเทพฯ ขึ้นมาทีไร คนเขายกย่องสรรเสริญด้วยความเคารพนับถือมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพระมาจากกรุงเทพฯ เขาเรียกว่า พระดี พระบ้านนอก เขาเรียกว่า พระเลวเคยไปฉันในที่แห่งหนึ่ง ทายกเขานิมนต์ เขาพูดดัง ๆ พระดี มาทางนี้พระเลวมาทางนี้ เป็นอันว่า อาตมาก็ตัดสินใจว่า จะต้องไปกรุงเทพฯไปเรียนภาษาบาลี และอยากจะรู้ความเป็นมาของพระในกรุงเทพฯ ว่าเนื้อแท้ความจริงที่ท่านอยู่กรุงเทพฯ ท่านมีสภาพเป็นอย่างไร

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สัญญาณบอกเวลาปรากฏแล้ว ขอหยุดก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒน์มงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/5/13 at 13:27 [ QUOTE ]


4
ไปเรียนบาลีและดูพระกรุงเทพฯ

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็เป็นตอนที่ ๔ ของเล่มที่ ๑๙ ยังเป็น วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๓๔ เพราะว่าบันทึกวันเดียวกัน สำหรับเรื่องนี้ ในเมื่อมาถึงที่กรุงเทพฯ ก็มาอยู่ที่วัดช่างเหล็ก วัดช่างเหล็ก ความจริงเป็นวัดเล็ก ๆ มีเจ้าอาวาสเป็นพระครู ชื่อว่า พระครูศีลขันธ์วิจาร

เจ้าคุณมหาโพธิวงศาจารย์หรือเจ้าคุณมงคลเทพมุนี เวลานั้น ท่านก็มาเปิดโรงเรียนภาษาบาลี ท่านให้เรียนที่นั่นท่านก็นำครูจากวัดอนงคาราม โดยมากเป็นเปรียญ ๖ ประโยคมาสอนเวลานั้นอาตมาเป็นพระได้ ๔ พรรษา เข้าพรรษาที่ ๕ แต่ว่าเจ้าคุณวัดอนงคารามองค์หลัง องค์ที่ตาย เจ้าคุณเทพวิสุทธิเวที เป็นเณรอายุ๑๘ ปี เรียนหนังสือด้วยกัน ท่านเป็นเณร อาตมาเป็นพระ และก็พระแก่ด้วย

เรียนภาษาบาลีที่นั่น ก็ถูกเกณฑ์อยู่ในนักเรียนกลุ่ม ๕องค์ คือ คัดนักเรียน ๕ องค์ ให้สอบภายใน ๒ ปี ตามธรรมดาประโยค ๓ เขาเรียนกัน ๓ ปี นี่คัดให้สอบภายใน ๒ ปี แต่นักเรียน ๕องค์ที่ขึ้นเรียนปรากฏว่า ทุกวัน มีนักเรียนป่วยทุกวัน ถึงจะป่วยขนาดไหน พอลุกไหวก็ไปเรียนกัน แต่ว่าพระที่โชคดีก็มีองค์เดียว คือ เจ้าคุณวัดอนงคาราม เจ้าคุณเทพวิสุทธิเวที สอบได้เปรียญ ๓ ประโยค ปีที่ ๒ในปีนั้น

ปีที่ ๒ ของการเรียน อาตมากับเพื่อนอีก ๔ องค์ตก แต่ว่าพอปีที่ ๓ อาตมาสอบได้ เจ้าคุณวัดอนงค์ เจ้าคุณเทพวิสุทธิเวทีสอบเปรียญ ๔ ตก ก็เลยเป็นเปรียญ ๓ เท่ากัน ทีนี้มาดูจริยาของพระ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาเองอยากจะบอกกับพระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ พระบ้านนอกมีความลำบากมาก ถ้าพูดถึงความเป็นอยู่ อาจจะมีความเป็นสุข แต่เนื้อแท้จริง ๆ มีความลำบาก เพราะความเป็นใหญ่จริง ๆ

ถ้าอย่าง หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านเป็นใหญ่ อย่างหลวงพ่อจง หลวงพ่อจงเป็นใหญ่ อย่าง พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน ท่านก็เป็นใหญ่ เป็นใหญ่ในวัด อย่างพระครูอุดมสมาจารย์ พระครูสังข์ ท่านก็ใหญ่ ทายกขึ้นกับท่าน แต่วัดต่าง ๆ นอกจากนั้น วัดขึ้นกับทายก อันนี้ลำบากมาก ที่วัดขึ้นกับทายก ไม่ขึ้นก็ไม่ได้ เพราะทายกเขามีอำนาจ ถ้าไปฝืนความต้องการของเขา เขาก็ไม่ช่วยทำ

พระก็มีความจำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ก็รู้สึกว่า ขัดกับระบบพระธรรมวินัย นี่วัดบ้านนอกนะ ถึงแม้ปัจจุบันนี้ก็เช่นเดียวกัน กฎระเบียบต่าง ๆ จะเป็นสังฆานัตก็ตาม กฎมหาเถรสมาคมก็ตาม ก็วางไว้เถอะ วางไว้ แต่ผู้ปฏิบัติได้มีน้อย แม้แต่พระเอง บางส่วนท่านก็ไม่ค่อยยอมปฏิบัติ อันนี้ไม่ใช่นินทากัน พูดตามความเป็นจริงว่า มีความลำบากมาก ทางพระผู้ใหญ่คิดว่ากฎอย่างนี้ ทุกคนต้องปฏิบัติตามนี้

แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น ส่วนใหญ่ต้องปฏิบัติตามทายก หรือกรรมการวัด กรรมการวัด หรือทายกถือว่าเป็นผู้ปกครองวัด ไม่ใช่เจ้าอาวาสเป็นผู้ปกครอง เจ้าอาวาสส่วนใหญ่ แต่ว่าเจ้าอาวาสบางองค์ท่านก็แกร่ง ไม่สามารถทำท่านได้เหมือนกัน ท่านเอาจริงเอาจัง ท่านก็ไม่ง้อ คนไม่ดีท่านไม่ง้อ อย่างนี้ก็มี ก็ต้องเลือกเอาทีนี้เวลาที่ไปอยู่วัดช่างเหล็ก เจ้าคุณเทพวิสุทธิเวที ท่านอยู่ที่วัดเรไร อยู่ติด ๆ กัน

ข้ามคลองนิดเดียว ก็มาเรียนด้วย ทีนี้ก็มานั่งดูปฏิปทาท่านพระครูศีลขันธ์วิจาร ท่านปกครองพระเพียงแค่ ๘ องค์มานั่งดูปฏิปทาของท่าน บางครั้งก็นิยมชมชอบในความดีของท่าน แต่บางคราวก็รู้สึกว่า ติ ขอพูดตรงไปตรงมา ติในปฏิปทาของท่าน คือ มีอยู่คราวหนึ่ง อาตมากับเพื่อน ๒ - ๓ องค์ เรียนบาลีเสร็จ ตอนเย็นเวลา ๕ โมงเย็นเศษ ๆ วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันโกน เห็นว่ามันใกล้ค่ำแล้ว

เราโกนเสียวันนี้ดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ว่าง ก็ปลงผมเสียตอนเย็น พอตกเวลาค่ำ ท่านเรียกประชุม ท่านตำหนิเสียยกใหญ่ กล่าวหาว่า ทำให้หัวไม่สามัคคีกัน วันโกนมันต้องพรุ่งนี้ ไม่ใช่เย็นวันนี้ ตอนนี้ก็นึกติในใจว่า โอ...แค่นี้และโกนวันนี้มันสะดวกกว่าพรุ่งนี้ พรุ่งนี้มันหลายองค์ด้วยกันต้องผลัดกันโกน ใช้เวลามาก และเวลาเย็นมันว่าง โกนศีรษะแล้วก็ไปนั่งท่องแบบบาลี ก็ไม่เห็นจะมีอะไร

ท่านบอกว่า หัวไม่สามัคคีกัน และก็มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อกระแสไฟฟ้าเดินเข้ามาถึงวัด ท่านบอกว่า เวลานี้มีเงินอยู่ ๘๐๐ บาท แต่ว่าถ้าจะเอาไฟฟ้าเข้าวัด ต้องจ่ายเงิน ๖๐๐บาท เป็นเงินของสงฆ์ ท่านถามว่า ใครเห็นควรเอาเงินจ่ายเอาไฟฟ้าเข้าวัด และใครไม่เห็นสมควร อาตมาเองก็ยกมือ พนมมือบอกว่าผมเห็นสมควรขอรับ ไฟฟ้าเข้าสะดวกดี อีกหลายองค์เขาไม่เห็นสมควร ท่านเลยหันมาบอก

นี่มาจากที่อื่นนะ มาถึงอย่ามานั่งทำลายทรัพย์สินของวัด ท่านก็ติเอาอีก แต่ว่าภายในไม่ช้า ไม่เกิน ๑ เดือน ท่านก็เอาเงินไปจ่ายให้ไฟฟ้าเขาเข้าข้างในวัด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าทายกมาเตือนบอกว่า วัดถ้าไม่มีไฟฟ้า ไฟฟ้ามาถึงแล้ว ไฟฟ้าไม่เข้าวัด ความสะดวกมันก็น้อยไป ก็เลยมาเข้า ก็แสดงว่าทายกปกครองเจ้าอาวาส อันนี้เป็นปฏิปทาของพระฝั่งธนบุรี อาจจะไม่เหมือนกันทุกวัด

ต่อมา ในเมื่อถึงเวลาจะสอบเปรียญ ๓ อาตมาก็เข้าไปอบรมที่วัดอนงคาราม ไปอยู่กับเจ้าคุณมงคลเทพมุนี ภายหลังท่านเป็นเจ้าคุณมหาโพธิวงศาจารย์ ตอนนี้ได้เข้าอยู่ในกรุงเทพฯ จริง ๆ แม้จะเป็นฝั่งธนฯ ก็ใกล้กับสะพานพุทธฯ ฝั่งธนฯ กับฝั่งพระนคร ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ไปอยู่ที่นั่นดีจริง ๆ ที่ดีเพราะว่า เจ้าคุณมหาโพธิวงศ์ หรือเจ้าคุณมงคลเทพก็ตาม ชื่อองค์เดียวกันนะ

ท่านเลี้ยงอาหารพระเณรในคณะของท่าน ตอนเช้าบิณฑบาตมาฉันรวมกัน ตอนเพลฉันรวมกันแต่ว่าอาหารที่มีประจำของพวกเราก็คือว่า น้ำปลาโรยพริกป่น และพระที่กินน้ำปลาโรยพริกป่นนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นที่น่าอัศจรรย์ ที่กินในเวลานั้น เวลานี้เป็นพระราชาคณะหมด มีพระมหาวิจิตร เป็นพระชุดเล็กที่สุดเป็นพระราชาคณะก่อน ต่อมาเจ้าคุณเทพวิสุทธิเวทีรุ่นหลังมา

ก็เป็นพระราชาคณะก่อน อาตมานี่แก่กว่าเขา ก็เป็นพระราชาคณะพร้อมกับเจ้าคุณยิ้ม เจ้าคุณกวีวงศ์ปัจจุบัน แต่ว่าเจ้าคุณกวีวงศ์ท่านอ่อนกว่ามาก เป็นพระราชาคณะรุ่นหลังสุด ก็ถือว่า เป็นอานิสงส์จากการกินน้ำปลาผสมพริกป่นต่อมา การเข้ามากรุงเทพฯ บรรดาท่านพุทธบริษัท นอกจากอยากจะเรียนภาษาบาลี ก็อยากจะรู้ปฏิปทาของพระกรุงเทพฯ ว่าพระที่กรุงเทพฯ เวลาออกไปบ้านนอกสง่าผ่าเผยมาก

มีคนยอมรับนับถือ แต่อยู่ที่วัดจริง ๆ ท่านเป็นอย่างไร ไป ๆ มา ๆ ดูแล้ว ก็คือนั้น แต่รู้สึกว่าอยู่ที่บ้านนอกจะสบายกว่า จะสะดวกกว่า เพราะอาหารการบริโภคเวลานั้นก็เป็นเวลา สงครามโลกครั้งที่ ๒ ญาติโยมพุทธบริษัทก็พากันหนีสงครามออกมาบ้านนอก คนกรุงเทพฯ ข้ามมาอยู่ฝั่งธนฯ คนฝั่งธนฯข้ามไปอยู่คลองขุดชัยพฤกษ์ คนคลองขุดชัยพฤกษ์ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ ต่างคนต่างหนีออกไป

การบิณฑบาตก็ยาก ก็ได้บ้านพระยาแม่กลอง ออกจากวัดก็ถึงบ้านพระยาแม่กลอง พระยาแม่กลองท่านใจบุญมาก ขันที่จะมาใส่บาตรพระท่านใช้ ๒ คนหิ้ว และใช้กะละมังขนาดใหญ่ ๒คนหิ้วอีก ๑ กะละมัง กับข้าวห่อโต เวลาท่านตัก ข้าวเต็มทัพพี ต้องเอามือประคองใส่บาตร แสดงว่า อิ่มแน่ บ้านเดียวอิ่ม ต่อไปก็ไปบ้านของ อาจารย์สิงห์ อีกบ้านเดียว อิ่มพอเพล พอทั้งเพลทั้งเช้า

ความเป็นอยู่ก็มีความลำบากมาก ฝั่งกรุงเทพฯ ก็เช่นเดียวกัน หลังจากนั้นต่อมา อาตมาก็มาอยู่ วัดประยุรวงศาวาส มาอยู่วัดประยุรวงศาวาสนี่ใช้ พาหุงสะหัส คือ ต้องหุงข้าวกิน บิณฑบาตเวลาเช้าพอ ตอนเพลต้องหุง ต่อมาก็มีคนส่งปิ่นโต ในเมื่อมีคนส่งปิ่นโต เห็นพระมาจากภาคอีสานท่านอด ก็นำมาเลี้ยงไว้ ได้ปิ่นโตจริงๆ เวลานั้นประมาณสัก ๘ เถา ก็เลี้ยงกัน

เป็นอันว่า เช้าพอ เพลพอ แต่บางเพลมันก็ไม่พอ ต้องจ่าย ทีนี้ต่อมา เมื่ออาตมาสอบเปรียญ ๔ ได้ ก็คิดว่า เรียนแค่นี้ก็พอ ตอนนี้เป็นนักเทศน์ดีกว่า เป็นนักเทศน์เอาเงินมาเลี้ยงพระ หมายความว่า พระองค์ไหนอดเอามากินด้วย เห็นองค์ไหนอดเอามากินด้วยการเทศน์ เวลานั้น เขาก็ถวายผ้าไตรจีวร ก่อนจะเทศน์ เขาถวายผ้าไตรก่อน เมื่อเขาถวายผ้าไตร ก็ได้กัณฑ์ละ ๑ ไตร

ปีหนึ่งเทศน์ประมาณ ๒๐๐ กัณฑ์เศษ ได้ผ้าไตร ๒๐๐ ไตร แต่ว่าถึงเวลาเข้าพรรษา ต้องซื้อจีวรใช้ พอถึงเวลาจะเข้าพรรษา ก็เก็บเอาไว้ ๒ ไตรที่ชอบใจ นอกนั้นแจกพระที่ท่านจน ๆ มีจีวรขาด ๆ ทั้งพระวัดประยุรวงศ์บ้าง วัดอนงค์บ้าง วัดอื่นบ้าง วัดไหนก็ตามที่มาเรียนหนังสือ เห็นว่าจีวรเก่าเต็มที เวลาวันอุโบสถสังฆกรรมใช้จีวรเก่า แสดงว่า ไม่มีจีวรใหม่กว่านั้นแล้ว ก็ถวายท่านไป

แต่ว่าอีก ๒ ไตรนั่นแหละ บรรดาญาติโยมทั้งหลาย ก็มีพระมาขอจนได้ ในที่สุด ตัวเองก็ต้องซื้อใช้ และของที่เขาติดกัณฑ์เทศน์มานี่ ไม่เคยขาย เป็นอันว่า อย่างไร ๆ ก็ไม่ขาย ถ้ามันเหลือจริง ๆ ก็แจกตามพระต่าง ๆ ตามกุฏิต่าง ๆ แจกกันกินกันใช้ ตามเจตนาของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ให้มาเป็นอันว่า การดูพระในกรุงเทพฯ เนื้อแท้จริง ๆ ที่เขาเรียกว่าพระดี ก็เหมือน ๆ กับพระบ้านนอก

สำหรับท่านผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะอาตมาเป็นพระเด็ก ๆ คำว่า ผู้หลักผู้ใหญ่ คือ ท่านพระครู ท่านเจ้าคุณ ก็ไม่ทราบปฏิปทาที่แน่นอน เพราะไม่มีการคลุกคลีกัน สมัยนั้นรู้สึกว่า พระเด็ก ๆ จะกลัวพระผู้ใหญ่มาก อย่างขนาดท่านเป็นพระครู พวกเราไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับท่าน ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย ยิ่งเป็นเจ้าคุณยิ่งแล้วไปใหญ่เลย ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วยท่านก็วางตัวเหมาะสม ท่านไม่ได้ถือตัว

แต่ท่านเฉย ๆ วางอารมณ์ธรรมดา ๆ จะพูดจะจาก็เต็มไปด้วยเหตุด้วยผล อาตมาไปอยู่วัดประยุรวงศ์ ก็มี พระสมุห์ผล เป็นเจ้าคณะ พอไปถึงท่านถามพรรษา บอกว่า เวลานี้ผม ๗ พรรษาแล้วครับ เป็นเปรียญ ๓ ประโยค กำลังจะเรียนเปรียญ ๔ ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็เป็นรองเจ้าคณะเลยก็แล้วกันนะ ในคณะ ๔ ทั้งหมด ผมมอบหน้าที่เป็นหน้าที่ของท่าน ผมวางภาระทุกอย่าง เห็นอะไรสมควรทำ ให้สั่งพระทำตามนั้น

ก็เลยแบกภาระหนัก ที่ว่าแบกภาระหนักก็เพราะว่า จะต้องคอยดูพระ แต่ความจริงไม่ได้ดูใคร เนื้อแท้จริง ๆ ทำเองทุกอย่าง ๑. ถึงเวลาตอนเช้าออกไปบิณฑบาต ๒. กลับมาฉันข้าวเสร็จ ๓. ไปทำวัตร ๔. กลับมาแล้ว ไปโรงเรียน และก็หลังจากกลับจากโรงเรียน ฉันข้าวเสร็จก็ไปโรงเรียน ไปโรงเรียนแล้ว ตอนเย็นก็ทำวัตร ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ไปทางไหนทั้งหมด นอกจากเวลาหยุด

ถ้าจะไป ก็ไปแค่วัดอนงคารามซึ่งเป็นสถานที่เดิม เพื่อน ๆ วัดอนงคารามก็มาหาอยู่เสมอ ในเมื่อทำเป็นตัวอย่างอย่างนี้ พระที่อยู่ใต้บังคับบัญชาท่านก็เกรงใจ ท่านก็ต้องปฏิบัติตามก็เป็นอันว่า การปกครองพระก็ไม่มีความลำบาก ถ้าเห็นว่าองค์ไหนลำบาก ก็เอามาฉันด้วย ก็มีพระผู้เฒ่าองค์หนึ่งชื่อ อยู่ เขาเรียกกันว่า หลวงตาอยู่ ท่านเป็นพระแก่ แต่บิณฑบาตได้มาก ได้เต็มบาตร ล้นบาตรทุกวัน

ท่านเห็นว่าต้องเลี้ยงพระ ท่านก็นำเอาข้าวของท่าน อาหารของท่านที่ได้มา เอามาถวายทุกวัน เป็นการช่วยกัน อันนี้เป็นความดีของท่าน เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทีนี้การดูพระก็ดูอีกแบบหนึ่งว่าพระในกรุงเทพฯ จริง ๆ เป็นพระที่มีความรู้มาก ในเวลานั้นนะ ที่เป็นนักเทศน์ก็ดี เป็นนักธรรมก็ดี เป็นนักเปรียญก็ดี เป็นมหาเปรียญก็ตามมีความรู้ดีมาก

สำหรับปฏิปทาการปฏิบัติ ส่วนที่น้อยที่สุดก็คือ สมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา อันนี้ไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงกัน มุ่งกันอย่างเดียว แค่เรียนหนังสือ เอากันแค่เรียนหนังสืออย่างเดียว จะสอบประโยคนั้น จะสอบประโยคนี้ ความจริงก็ดี การเรียนหนังสือเป็นของดีหนังสือเป็นธรรมะ หนังสือภาษาบาลี ที่แปลออกไปทั้งหมดเป็นธรรมะทั้งหมด เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

การตั้งใจดูหนังสือ ถือว่า เป็นการทำจิตเป็นสมาธิ ในวงการของหนังสือ ในท้องเรื่องนั้น ๆ ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ มันก็จำไม่ได้ แต่ว่าถ้าจะไปชวนใครทำสมาธิธรรมดา ไม่มีหวังบรรดาท่านพุทธบริษัท เขาถือว่า เป็นพระครึ ไม่ทันสมัย แต่ว่าอาตมาเองทำอย่างไร จะไปนั่งสมาธิให้ท่านเห็นก็ไม่ได้แน่ และการทำสมาธิก็บอกแล้วว่ามี ๔ แบบ นั่ง นอน ยืนเดิน จะเอาเวลาไหนก็ได้ ถ้าเราอยู่ในกุฏิของเรา

ปิดประตูหน้าต่างเสร็จ จะนั่งก็ได้ จะยืนก็ได้ จะนอนก็ได้ จะเดินก็ได้ สมาธิเราไม่ทิ้งถือว่าสมาธิที่ได้มาแล้วเป็นทุนคุ้มตัว แต่การมาเรียนบาลี เพียงแค่ต้องการรู้บาลีเท่านั้นเอง รู้บ้างไม่รู้มาก ว่าการเป็นมหาเปรียญ เขาเป็นกันอย่างไร เขาเรียนกันแบบไหน จึงเรียนได้ เรียนเพื่อรู้นิดหน่อย ประการที่สอง เมื่อสอบประโยค ๔ ได้ก็เลิกการเรียนบาลี เป็นนักเทศน์

เห็นเขาเป็นนักเทศน์กัน ก็จะลองเป็นนักเทศน์ก่อน ลองดูบ้าง ในที่สุดก็เทศน์ได้ ก็คงไม่ดีนัก เอาแค่พอเทศน์ไปกับเขาได้ หลังจากนั้นมาไม่นาน ขอโทษ ระหว่างที่อยู่วัดประยุรวงศาวาสก็ดี วัดอนงคารามก็ตาม หรือวัดช่างเหล็กก็ตาม เวลานั้นญี่ปุ่นเข้ากรุงเทพฯ แล้ว สงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น กลางคืนก็ต้องระมัดระวังลูกระเบิด กลางวันไม่ค่อยจะมี เวลานั้นมีกลางคืน ต้องระวังลูกระเบิดกัน

นอนไม่ค่อยเป็นสุข พอเสียงไซเรนบอกสัญญาณหลบภัยทางอากาศเกิดขึ้น ก็ต้องโดดจากกุฏิไป มีอยู่วันหนึ่ง ตอนเช้าไปบิณฑบาตไม่ได้เพราะมีภัยทางอากาศ พอสัญญาณบอกภัยทางอากาศหมด ก็เริ่มหุงข้าว เขาห้ามมีควันไฟเป็นเครื่องสังเกต พอจุดไฟหุงข้าวไม่ทันจะเดือด ก็ปรากฏบอกภัยทางอากาศปรากฏขึ้น ต้องดับไฟ วันนั้นเป็นอันว่าอดข้าวเช้า ก็เดินหนีไปออกจากวัด

เพราะวัดอยู่ใกล้สะพานพระพุทธยอดฟ้ามาก ไปรวมเป็นกลุ่มอยู่ประมาณสัก ๔๐ องค์ ท่านเจ้าของบ้านก็นิมนต์ให้เข้าไปฉันอาหารภายในบ้าน ก็บอก ไม่ฉันแล้ว ตั้ง ๔๐ องค์นี่ เจ้าของบ้านก็แย่ พอดีเจ๊กก๋วยเตี๋ยวมา หาบมาขาย ก็เรียกเข้ามาฉันกัน เจ้าของบ้านท่านก็ใจดี ได้ทราบภายหลังว่า ท่านเป็นพระยา ดูเหมือนว่าเป็น พระยาสีหราชเดโชชัย หรืออย่างไรไม่ทราบ ท่านรูปร่างสง่ามาก

ท่านจ่ายสตางค์ให้ทั้งหมด ท่านถือว่า วันนี้ท่านขอเลี้ยงพระ เลี้ยงเพล วันนั้นไม่ได้กินข้าวเลย กินแต่ก๋วยเตี๋ยวตอนเพล ตอนเช้าข้าวก็ไม่ได้กิน ตอนเพลก็ไม่ได้กินข้าว กินแต่ก๋วยเตี๋ยว ก็รวมความว่า การหลบภัยแบบนั้น ก็ทำกันมาเรื่อย ๆ ก็ไม่ขอเล่าประวัติแล้ว เพราะว่า คำว่า สงคราม บรรดาท่านพุทธบริษัท มีอะไรแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าวันไหนเป็นวันปกติ กลางคืนไม่มีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด

ตอนเช้าบิณฑบาตไม่ค่อยจะได้กิน หากว่าคืนไหนถ้ามีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด ตอนเช้าออกไป คนใส่บาตรมาก มาวันต่อ ๆ มาก็คิดในใจว่า วันนี้ทำไมเครื่องบินจะมา หรือไม่มานะ อยากให้เครื่องบินมาตอนเช้าจะได้ไม่อด บางทีมันคิดอย่างนี้จริง ๆ เหมือนกันนะ ที่เป็นอย่างนี้ จะเป็นเพราะอะไรก็ไม่ทราบ แต่คิดว่า เขาคงคิดว่า เขาคงปลอดภัยจากความตายได้หนึ่งวัน

วันหนึ่งคราวเมื่อพ้นจากความตายก็พากันทำบุญ อย่างนี้ก็อาจจะเป็นได้เป็นอันว่า อยู่วัดประยุรวงศาวาส ก็เป็นนักเทศน์ได้ไม่นานนักพอ พ.ศ. ๒๔๙๒ ก็ออกมาจากวัดประยุรวงศาวาส มาอยู่ที่วัดบางนมโคตามเดิม ตอนนี้ พระอาจารย์เจิมท่านก็ตาย หลวงพ่อเล็กลาออกจากเจ้าอาวาส อาจารย์เจิมเป็นเจ้าอาวาส อาจารย์เจิมก็มาตายเสียอีก เขาก็จับไปเป็นเจ้าอาวาส ตอนมาเป็นเจ้าอาวาสนี่

บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาก็ถือระเบียบวินัยเป็นสำคัญ ทายกเขาก็เป็นรุ่นเก่ากว่า เขาก็แก่กว่า เขาถือว่า เขาผ่านโลกมาก่อน เขาอยู่มาก่อน เขาจะทำตามใจเขา อาตมาก็พิจารณาว่า มันถูกต้องตามระเบียบไหม ถ้าถูกต้องตามระเบียบก็ตามใจ ถ้าไม่ถูกต้องตามระเบียบก็ค้าน ก็เลยเป็นคนที่ทายกเกลียด แต่ความจริงท่านทายกทุกคน ท่านเป็นคนดี แต่ความดีของท่านก็มีแปลก ๆ

บางทีท่านก็มาทำโน่นทำนี่ ถามว่า ได้เงินมาจากไหน ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าใครเขาถามนะ ให้บอก ไม่รู้ว่าได้มาจากไหน เขามาทำให้ก็แล้วกัน ก็เป็นอันว่า สืบไปสืบมา ก็มีคนให้เอาเงินมาให้เจ้าอาวาส ให้ทำนั่นทำนี่ แต่ว่าทายกรับมาทำเสียเอง ถ้าพูดตอนนี้ก็ถือว่า เป็นความดีแต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว ทำไม่หมดเงิน ทำให้เหมือนกัน แต่ว่าทำไม่หมดกับเงินที่เขาให้มา ส่วนที่เหลือเป็นของทายกไป

เรื่องนี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาตมาจึงไม่เป็นที่ชอบใจของบรรดาทายกทั้งหมด ทายกทุกคนเกลียดหมดเพราะอะไร เพราะไม่ตามใจเขา ถ้าตามใจเขา เราก็มีความผิด และอีกประการหนึ่ง การอยู่ที่นั่น เพราะอาศัยที่ตรงไปตรงมาตามระเบียบ ตามกฎที่คณะสงฆ์วางไว้ หรือตามพระวินัยก็ตาม ก็เป็นอันว่า เป็นที่ไม่พอใจของทายกบ้าง และก็เป็นที่ไม่พอใจของพรรคพวกชาวบ้านที่เป็นพวกของทายกบ้าง

เป็นที่ไม่พอใจของบรรดาพระทั้งหลายที่เป็นพวกของทายกบ้าง เป็นอันว่า ขึ้นชื่อว่า สมณศักดิ์ หรือตำแหน่ง อุปัชฌาย์เจ้าคณะตำบลก็ตาม อาตมาไม่เคยหวัง เมื่อเห็นสภาพอย่างนั้นแล้วมันหวังกันไม่ได้จริง ๆ เราทำถูก เขาว่าผิด แต่ไอ้ที่ทำผิด เขาว่าถูกมันก็ไปกันไม่ได้ ก็เลยคิดในใจว่า ในฐานะที่เราเคยบวช เคยธุดงค์มานาน แล้วเราบวชมาก็ไม่ได้หวังจะเป็นอะไรกับเขา อย่างพระราชาคณะที่เป็นเวลานี้

ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ แม้แต่พระครู ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าไม่อยากจะได้ ถ้าได้แล้วต้องทำงานอย่างเขา นี่ไม่เอาแน่ ก็บังเอิญท่านมาตั้งเป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ อันนี้ก็ชอบใจ ที่ว่าชอบเพราะอะไร ชอบใจเพราะไม่มีงานจะทำ ไม่ต้องบริหาร บริหารเฉพาะในวัด ตามที่ท่านประกาศแต่งตั้งมา อันนี้ก็เป็นของธรรมดา ไม่ต้องไปบริหารที่อื่น

ก็เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท เรามาดูพระกันว่า พระในกรุงเทพฯ ก็ดี พระในบ้านนอกก็ดี ก็คือพระ แล้วทำไมชาวบ้าน เวลาพระในกรุงเทพฯ เขาจึงเรียกว่า พระดี พระบ้านนอก ทำไมจึงเรียกว่าพระเลว อันนี้เขาพูดได้ยินชัด ๆ เขาตะโกนเลย ไปที่วัด ๆ หนึ่ง เวลาจะเข้าไปฉัน เขาบอก พระดีนิมนต์ทางนี้ครับ นั่นคือพระครู เจ้าคุณและท่านมหาเปรียญ

พระที่ไม่ได้เป็นพระครู เจ้าคุณ ไม่ได้เป็นมหาเปรียญ เขาเรียก พระเลว พระเลวนิมนต์ทางนี้ครับ เขาตั้งไว้อีกแถวหนึ่ง รวมความว่า ในเมื่อเข้าไปในกรุงเทพฯ แล้วก็รู้สึกว่า พระดีพระเลว ก็คือ พระเหมือนกัน พระที่อดข้าวเย็นอย่างเดียวกัน พระเรียนหนังสือเหมือนกัน พระกินข้าว พระนอนหลับเหมือนกัน แต่ว่าอีกอย่างหนึ่ง ทางด้านจิตใจพุทธบริษัท

พระผู้ใหญ่บางองค์อย่างเจ้าคุณมงคลเทพมุนี หรือเจ้าคุณมหาโพธิวงศาจารย์ สมเด็จพุฒาจารย์วัดอนงค์ก็ดี เจ้าคุณธรรมปาหังสณาจารย์ก็ดี สมถวิปัสสนาเก่งมากท่านเก่งจริง ๆ อย่างเจ้าคุณธรรมปาหังสณาจารย์นี่ ลูกระเบิดมาลงตูม ๆ ท่านนั่งสมาธิเฉย พวกเราวิ่งหลบไปหลบมา ท่านบอก จะหลบไปทำไม ในเมื่อถึงเวลาถึงที่ มันก็ตายเอง หลบก็ตาย ไม่หลบก็ตายไม่จำเป็นต้องหลบ

นั่งทำสมาธิ ภาวนา พุทโธ ไปดีกว่า มีประโยชน์กว่า ท่านก็นั่งเฉย จนกว่าลูกระเบิดจะหมดไป ท่านจึงขึ้นกุฏิ ถ้าขืนอยู่บนกุฏิก็มีอันตราย เพราะถ้ากุฏิพัง มันจะทับเอา ท่านมานั่งที่เจดีย์ที่ท่านดีจริง ๆ ท่านก็มี ท่านมีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา มีทั้งการศึกษาและการปฏิบัติ และที่ไม่เอาทั้ง ๒ อย่าง หรือเอาอย่างเดียว เฉพาะศึกษาอันเดียวไม่เอาในทางปฏิบัติก็มี

เป็นอันว่า พระในกรุงเทพฯ ก็ดี พระบ้านนอกก็ดี ก็ถือว่าเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ความรู้ สำหรับปฏิปทา บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่ขอนำมาพูดในที่นี้ เพราะปฏิปทาแต่ละองค์ไม่เหมือนกันแน่ บางองค์ก็มีปฏิปทาความประพฤติเรียบร้อย บางองค์ก็ไม่เรียบร้อยนี่ เป็นของธรรมดา ๆ บางองค์ก็ชอบคบหาสมาคมกับเพื่อนมาก บางองค์ก็เงียบ ๆ ไม่ชอบคบหาสมาคม ให้เป็นไปตามอัธยาศัย

แต่ว่าในกรุงเทพฯ จริงต้อง อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งของตน ต้องพึ่งตนเองจริง ๆ ไม่มีใครเขาเลี้ยงเขาดู อย่างเวลานี้ดีมากเวลาในปัจจุบันนี้ พระในกรุงเทพฯ บิณฑบาตข้าวพอฉัน เหลือฉันเวลานั้นเป็นระหว่างสงคราม มันไม่พอจะกิน ลำบากมาก เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่พูดไปพูดมาเวลาก็เหลืออีก ๑ นาทีเศษ ๆ ในตอนท้าย ในตอนนี้ก็ขอยับยั้ง เรื่องการดูพระไว้ ตั้งแต่เล่มนี้เป็นต้นไป

ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เรื่องราวการดูพระก็ดี การธุดงค์ก็ดี จะระงับ ก็อาจจะนำมาเรื่องอะไรต่าง ๆ ที่มันควรจะมาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องนิทาน ๆ มาเล่าสู่กันฟังต่อไป อาจจะนำ เรื่องของจุไร มาต่อไปก็ได้ เพราะว่าเรื่องจุไรก็ดีมาก เรื่องของจุไรรู้สึกว่าที่เล่าไป คนชอบใจก็มีเยอะ แต่คนที่ด่าย้อนมาให้ฟังก็มีเยอะเหมือนกันเขาหาว่าเพ้อฝัน เป็นคนชอบสร้างวิมานในอากาศ เขาถือว่า เป็นลัทธิวิมาน

ก็ไม่เป็นไร ลัทธิวิมาน ดีกว่า ลัทธินรก เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/5/13 at 15:32 [ QUOTE ]


5
ออกจากกรุงเทพฯ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๕ ของเล่มที่ ๑๙ ตอนก่อนบอกว่าจะเลิกพูดเรื่องประวัติความเป็นมา ทั้งนี้เพราะว่าป่วยมาก วันนี้ก็ยังป่วยมากเหมือนกัน วันนี้เป็น วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๔ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ยังเลิกไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า ยังไม่ถึงวัดท่าซุง ฉะนั้นหลังจากอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้ว ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ก็ออกจากกรุงเทพฯ แล้วก็ยังไม่เข้าวัดบางนมโค

ไปดูปฏิปทาวัดต่าง ๆ ก่อน ไปดู ๒ แห่งด้วยกัน แต่ไม่ขอกล่าวในที่นี้ เพราะเกี่ยวกับจริยา ในเมื่อไปอยู่ในวัดนั้น ๆ ก็รู้สึกว่า ไม่มีอะไร ทางวัดก็มีกันอย่างเดียว คือสวดมนต์ ท่องหนังสือสวดมนต์สำหรับไปสวดตามบ้าน กับทำวัตรแล้วก็บิณฑบาต แต่สำหรับกรรมฐานที่เคยเจริญมานี่ไม่เลิก แต่ว่าเจ้าของวัดเขาไม่ได้ทำกัน ก็อยู่ด้วยกันยาก ท่องเที่ยวไปใน ๒ ปี ๒ - ๓ วัด

เห็นว่าปฏิปทาไม่สมควร ก็เดินทางกลับวัดบางนมโค ตอนนั้นพระอาจารย์เจิมเป็นเจ้าอาวาส ก็เป็นการบังเอิญพอดี เมื่อเข้ามาอยู่วัดบางนมโคแล้ว ๒ - ๓ วัน ก็เดินทางมาที่อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เยี่ยมพี่ชายที่นั่น ครั้นเมื่อเดินทางกลับก็ทราบข่าวว่า พระอาจารย์เจิมตายพอดี ไปตายที่จังหวัดสุพรรณบุรี อาตมาก็เตรียมการต้อนรับศพ

เมื่อทำศพเสร็จ เขาก็เกณฑ์ให้เป็นเจ้าอาวาส ก็คิดในใจว่า คนอย่างเราจะเป็นเจ้าอาวาสได้อย่างไร ทั้งนี้ก็เพราะว่า ต้องการเอาจริงเอาจังกับพระพุทธศาสนา และคนอื่นที่เขาเป็นมา เขาก็เป็นไปตามปกติธรรมดา ๆ ในเมื่อไม่เห็นว่ามีใคร และเห็นแก่วัด เห็นแก่หลวงพ่อปาน ก็เลยรับ รับเป็นเจ้าอาวาส แต่เวลานั้นพระที่มีอาวุโสกว่า ตั้งแต่ ๓๐ พรรษา ลงมาถึง ๒๐ พรรษา มีตั้ง ๗ องค์

ทุกท่านไม่ยอมรับ ท่านบอกว่าคุณเป็นมหา คุณต้องรับ เมื่อยอมรับแล้วก็คิดว่า เราจะอยู่กุฏิไหนดี ก็คิดว่าท่านอาจารย์เจิม ท่านอยู่กุฏิหลวงพ่อปาน ในเมื่อท่านอาจารย์เจิมอยู่ที่นั่น ก็ไปบอกหลวงพ่อเล็กบอกว่า ขอหลวงพ่อเข้าไปอยู่ที่กุฏิหลวงพ่อปานก็แล้วกัน เพราะเป็นกุฏิใหญ่ ผมจะอยู่ห้องเล็ก ๆ แทน หลวงพ่อเล็กท่านอยู่ห้องเล็ก ๆ ท่านบอกว่า ถ้าฉันเข้าไปอยู่ที่นั่น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นใครจะรับรองใครจะช่วยเหลือฉัน

ก็นึกในใจว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ขนาดนั้น และก็มีอายุพรรษาเกินกว่า ๓๐ พรรษา และเก่งในด้านกรรมฐานมาก ท่านกลัว ก็ไปหาพระอื่น พระอื่นก็บอกว่า ผมไม่ยอมเข้าไปอยู่กุฏิหลวงพ่อปาน ไม่ยอมอยู่แน่ ก็คิดในใจว่า ในเมื่อสมัยก่อนเราเคยอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่อยู่ประจำ แต่ก็เคยเข้าไปนอนที่นั่น เวลานี้ในฐานะที่เราเป็นเจ้าอาวาสก็จะต้องไปอยู่กุฏิหลังนั้น เป็นการบังคับไปในตัวเสร็จ เพราะไม่มีใครอยู่

เมื่อเข้าไปจัดแจงกุฏิเสร็จเรียบร้อยแล้ว นอนห้องใน พอตอนเวลาประมาณ ๑ ทุ่มเศษ ๆ ออกมาข้างนอก ประตูปิด หน้าต่างมีลูกกรง และประตูห้องข้างในก็ปิด ขณะที่นั่งบูชาพระ คือบูชาพระแล้วจะนั่งกรรมฐาน ก็พอดีได้ยินเสียงเปิดประตูด้านใน อ๊าด...ออกมา ได้ยินเสียงดัง กุฏินี่ไม้หนามาก ตงถี่มาก ช้างขึ้นไปยังได้ แต่ทว่าวันนั้นเสียงคนที่เดินมา พื้น ยวบ ๆ ๆ และก็มายืนอยู่ข้างหน้า หลับตาก็มองเห็น ลืมตาก็มองเห็น

ถามว่า ท่านเป็นใคร
ท่านก็บอกว่า ผมก็คือภูมิเทวดารักษาเขตวัดนี้
ท่านแต่งตัวชุดขาว นุ่งผ้าโจงกระเบนขาว ใส่เสื้อขาว สไบเฉียงขาว แถมผมก็ขาว แต่มือด้านขวาของท่านแดงแช้ด แดงจัดมาก แสดงว่ามีฤทธิ์มาก

และถามท่านว่า ท่านมาทำไม
ท่านก็บอกว่า เวลานี้ท่านเป็นเจ้าอาวาส ขอนิมนต์ตั้งศาลรับ
ถามว่า รับใคร
ท่านบอกว่า รับรองผม

ก็คิดในใจว่า ศาลนี่เขาตั้งไว้ที่ข้างศาลา ศาลพระภูมิมีตั้ง ๗ - ๘ หลัง
ก็เลยบอกว่า ศาลมี ๗ - ๘ หลัง ไปอยู่ก็ได้นี่
ท่านบอก ไม่ได้หรอก ต้องยกให้ท่านใหม่
ก็ถามว่า เมื่อก่อนอยู่ที่วัดนี้มาตั้งหลายปี ทำไมไม่ต้องยกศาลพระภูมิ

ท่านก็บอกว่า เวลานั้นท่านไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส เวลานี้เป็นเจ้าอาวาส ต้องยกศาลพระภูมิรับรองผม และท่านก็พูดต่อไปว่า แม้แต่หลวงพ่อปานซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน ยังเกรงใจผม แล้วท่านทำไมไม่เกรงใจผมบ้างหรือ ก็นึกในใจว่าพระภูมิ ภุมเทวดา ความจริงเทวดานี่เราก็เจอะมาทุกชั้น แต่ว่าภุมเทวดาที่แสดงอำนาจแบบนี้ไม่เคยเห็น

เลยถามว่า ถ้าหากว่าไม่ยก จะมีอะไรเกิดขึ้นไหม
ท่านบอกว่า ถ้าไม่ยกศาล วันพรุ่งนี้จมูกข้างขวาจะหายใจไม่ออก ถึงเวลา ๕ โมงเย็น ต่อไปยังไม่ยกอีกวันมะรืนนี้ ๕ โมงเย็น จมูกข้างซ้ายจะหายใจไม่ออกอีกข้างหนึ่ง ท่านต้องหายใจทางหลอดคอ วันต่อไป ๕ โมงเย็นถ้ายังไม่ยกอีก หลอดคอจะหายใจไม่ได้

แล้วท่านก็เลยบอกว่า คนที่จะยกศาลมีได้คนเดียวนะ คือ นายโต๊ะ คำว่า นายโต๊ะ เป็นคนแก่มากแล้ว เป็นคนเจริญกรรมฐานเก่ง เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานอยู่ไกลจากวัดไปประมาณ ๑ กิโลเมตร จะให้คนอื่นยกไม่ได้
เลยบอกกับท่านว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้เรื่องที่พูดมันเป็นจริงเสียก่อน ถ้าเรื่องที่พูดเป็นจริงสัก ๒ วัน จะยอมแพ้ แล้วจะยก ถ้าเรื่องที่พูดไม่เป็นจริง ก็ไม่ยอมยก

ท่านก็ยกมือไหว้บอก ไม่เป็นไรครับ ในเมื่อท่านต้องการอย่างนั้นก็ได้ แล้วท่านจะรู้ฤทธิ์ของผม แล้วท่านก็หายไปเมื่อท่านหายไปแล้ว อาตมาก็ไม่ได้สนใจอะไร ตั้งใจบูชาพระตามปกติ และเจริญกรรมฐานขณะที่เจริญกรรมฐาน ก็เห็นหลวงพ่อปานท่านมา
ท่านบอกว่า คุณ ภุมเทวดาเขาบอก ทำตามเขานะ

ถามว่า ทำไมขอรับ
ฉันเองก็ยังเกรงใจเขา คุณก็ควรจะเกรงใจเขา
ก็เลยบอกว่า สัญญามีอยู่ขอรับ ถ้าเขาทำตามสัญญาได้ ก็แสดงว่าเขามีฤทธิ์จริง เขาก็จะช่วยผมได้จริง ฉะนั้น ถ้าหากว่าสัญญาเขาทำไม่ได้ผมก็ไม่ยอมรับนับถือ ถ้าทำได้ ยอมรับนับถือ

ท่านบอกว่า ภุมเทวดาองค์นี้เขาเป็นพระอริยเจ้านะ เขามีฤทธิ์ มีอำนาจมาก เขามีความดีมาก
ก็บอกว่า ไม่เป็นไรครับ ผมขอปฏิบัติตามสัญญา แล้วหลวงพ่อปานท่านก็หายไปพอรุ่งขึ้นเช้า เวลาฉันอาหารเช้า เมื่อฉันเสร็จ
หลวงพ่อเล็ก ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้ภุมเทวดาเขามาหาใช่ไหม

ถามว่า หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรครับ
ท่านก็บอกว่า เขามาหาฉัน เขาบอกว่า เขาไปบอกเธอแล้ว แต่เธอยืนยันกับเขาว่า ต้องแสดงอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฏก่อน เธอจึงยอมรับ ทางที่ดียอมรับเขาดีกว่า
ก็เลยบอกว่า คนอย่างผมมีความจำเป็นอย่างยิ่ง การจะยอมรับอะไรใคร ต้องให้ปรากฏเหตุเสียก่อนถ้าเหตุ และผลยังไม่ปรากฏเพียงใด ยังไม่ยอมรับ

หลวงพ่อเล็กท่านเห็นบ้า ๆ บวม ๆ ท่านก็เลยไม่ว่าอะไร ในที่สุดวันนั้น เวลา ๕ โมงเย็นจมูกข้างขวาหายใจไม่ออก ตึงเป๋ง เอามืออุดอีกข้างหนึ่งดันลม ก็ไม่ออก คิดว่ามาหนึ่งแล้ว พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง เวลา ๕ โมงเย็น จมูกข้างซ้ายหายใจไม่ออก คราวนี้คิดว่าท่านเอาแน่ ก็ยอมแพ้ เมื่อถึงเวลาบูชาพระ จุดธูปบูชาพระ แล้วก็บอกว่า เชิญพระภูมิมาพบ

ท่านก็มาพบ ท่านถามว่า ว่าอย่างไร
บอก ยอมแพ้ ถ้าเก่งอย่างนี้ยอมแพ้แล้วจะช่วยอะไรได้ไหม
ท่านบอก จะช่วยอะไรก็ได้ทุกอย่าง ถ้าสิ่งนั้นไม่เกินความสามารถ ขอท่านจงอย่าคิดว่า เทวดาก็ดี พรหมก็ดี นางฟ้าก็ตาม หรือพระอริยะก็ตาม ท่านจะช่วยได้ทุกอย่าง ถ้าสิ่งใดไม่เกินความสามารถ สิ่งนั้นช่วยได้ ถ้าสิ่งใดเกินความสามารถ สิ่งนั้นก็ช่วยไม่ได้

ก็เป็นอันว่า ตกลงว่า พรุ่งนี้จะไปให้ตาโต๊ะทำศาล ก็เลยหายใจออกโล่งทั้ง ๒ ข้างทันที แล้วท่านก็หายไป พอตกขึ้นมาตอนเช้า ก็เขียนจดหมายไปให้โยมโต๊ะ ให้เด็กไปให้ พอเด็กไปเรียก ลุงโต๊ะ ๆ ๆ ท่านมหาให้นำจดหมายมาให้
ลุงโต๊ะก็บอกว่า ไปบอกท่านมหาเถอะ เมื่อคืนนี้ภุมเทวดาท่านมาบอกแล้วฉันกำลังทำศาล แล้ววันพรุ่งนี้จะไปยกให้ เป็นอันว่า โยมโต๊ะก็เก่งมาก หลังจากนั้น เมื่อยกทำพิธีบวงสรวงเสร็จ ตามพิธีกรรมของหลวงพ่อปาน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความสงบ เป็นไปด้วยความสะดวก นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องศาลพระภูมิ คนที่เชื่อก็มี คนไม่เชื่อก็มี

อาตมาเองก็เป็นคนไม่ค่อยเชื่อ แถมเถียงกับพระภูมิเสียด้วย แต่พระภูมิก็สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ในเมื่อท่านแสดงฤทธิ์ได้ เราก็ต้องยอมรับยอมแพ้ คนต้องพูดตรงไปตรงมา เราเอาความเป็นจริงกันทีนี้ต่อไป เมื่ออยู่ที่วัดบางนมโค ปีนั้นก็มีพระเริ่มเข้าโบสถ์ เมื่อเขามาฝากให้เป็นนาค
ก็บอกว่า จะต้องบวชถึง ๓ พรรษานะ ถ้าใครจะบวชไม่ถึง ๓ พรรษาก็ไปบวชวัดอื่น ถ้าบวชที่นี่ต้องบวชถึง ๓ พรรษา

ก็เป็นอันว่า พ่อแม่ และคนที่จะบวชเขาก็ยอมรับ มีพระบวชใหม่ปีนั้นประมาณ ๘ องค์ การที่ให้บวช ๓ พรรษา บรรดาท่านพุทธบริษัท พระที่บวชเข้ามาพรรษาแรก พรรษาเดียว ยังไม่รู้อะไรมาก ยังไม่มีความเข้าใจว่าตนเองเป็นพระ ความรู้สึกยังเป็นฆราวาสเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์พอพรรษาที่ ๒ จะมีความรู้สึกว่า เราเริ่มเป็นพระ พรรษาที่ ๓ อารมณ์จะดีขึ้น

เวลานั้นก็ไม่ได้สอนกรรมฐาน เป็นแต่เพียงแนะนำการสวดมนต์ให้ตั้งใจสวดมนต์โดยเฉพาะ เวลาสวดมนต์ก็ว่าช้า ๆ ไม่ต้องเร็วนักให้ตั้งใจว่าทุกคำ ให้รู้ทุกคำว่า เราว่า คือ เป็นการฝึกสมาธิไปในตัวเสร็จ เพราะการสวดมนต์มีสมาธิถึงขั้น อุปจารสมาธิ แล้วก็สอนนักธรรม การสอนนักธรรมก็ไม่ได้ตั้งโรงเรียน เพราะโรงเรียนอยู่ที่วัดบ้านแพน

แนะนำกันเวลาหลังจากสวดมนต์เย็นเสร็จ กับเวลาหลังจากสวดมนต์เช้าเสร็จ และถ้อยคำเวลาปกครองพระเวลานั้น ก็ไม่มีการตำหนิใคร ถือว่าการสวดมนต์ทุกวัน ถือเป็นการประชุมให้ถือว่า เราประชุมกันทุกวัน ใครจะขาดไม่ได้ เว้นไว้แต่ป่วย หรือมีกิจจำเป็นจริง ๆ ให้บอกก่อนเวลาหลังจากสวดมนต์เสร็จ แนะนำวิชาการเสร็จ ถึงแม้ว่าใครจะทำผิด ก็ชมว่าทำดี

ว่าทุกท่านเป็นคนดี เวลานี้ดีกว่าเป็นฆราวาสมาก องค์นั้นถึงแม้ว่าจะพลาดไปนิดหนึ่ง ก็ยังถือว่าดี องค์นี้พลาดไปหน่อยหนึ่ง ก็ถือว่าดี แต่ความดี ทางที่ดีแล้วควรจะทรงความดีให้มันครบถ้วน ใช้ความดีตลอดเวลา ๓ พรรษา ไม่เคยดุพระ ไม่เคยว่าพระ มีแต่ชม แต่ก็พูดเรื่องที่เขาทำไม่ถูก ใครทำไม่ถูก ก็บอกว่าทำอย่างนี้มันไม่ถูกนะคุณนะ เพราะเราเป็นพระในพระพุทธศาสนา

ทางที่ดีแล้วควรจะทำให้ถูก ให้ครบ เพราะว่าเราเป็นปูชนียบุคคล เป็นคนที่ชาวบ้านเขาไหว้ จงอย่าลืมว่า ก่อนที่เราจะเข้ามาบวช การใช้ศัพท์ว่านิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพาน พระนิพพานจะทำให้แจ้ง หรือไม่แจ้ง ก็ไม่สำคัญ ทำจิตใจของเราให้แจ้งก็แล้วกัน

คำว่า ทำจิตใจให้แจ้ง คือ ทำใจให้สบาย เราจะตัดราคะ ความรักให้เด็ดขาด ตัดโลภะ ความโลภให้เด็ดขาด ตัดโมหะ ความหลงให้เด็ดขาด ตัดความโกรธให้เด็ดขาด มันเป็นไปไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ยับยั้ง มันมีขึ้นมา ถ้าเผลอก็ปล่อยมัน ถ้าพอยับยั้งได้ ก็ยับยั้งไว้รวมความว่า พระทั้ง ๓ พรรษา ที่บวชชุดนั้นดีจริง ๆ ยอมรับนับถือว่า ดีจริง ๆ

มีความประพฤติเรียบร้อย การงานทุกอย่าง ถึงเวลาเช้าทำวัตรเสร็จ สั่งพระจำวัด นอน นอนหรือไม่นอนก็ตามใจ ตามสบาย แต่เวลาหลังเที่ยง ลงมือทำงานซ่อมแซมบูรณะปฏิสังขรณ์วัดตามที่ควรจะทำ พระก็ดีจริง ๆ ไม่ต้องตีระฆัง ถึงเวลาหลังเที่ยงเสร็จพอถึงเที่ยงเป๋ง เธอก็มาพร้อมกัน ถามว่า ทำอะไรครับวันนี้ขอจะบอกมา เมื่อสั่งแล้วเธอก็ทำงานเสร็จทุกอย่าง

ถึงเวลาการผ่านไปได้ครบ ๑ ปี ก็เบื่อในความเป็นเจ้าอาวาส ขอลาออกจากเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอ คือ เจ้าคุณเขมเทพาจารย์มหาเทพ เจ้าคณะอำเภอก็ดีจริง ลาออก ก็ให้ออก แต่ก็ขอให้รักษาการไว้ก่อน จนกว่าจะได้คนแทน พอต่อมาเวลา ๒ - ๓ เดือน ปรากฏว่าท่านมาที่วัด ก็คิดในใจว่า ท่านคงมาประชุมสงฆ์ จัดตั้งใครคนใดคนหนึ่งให้เป็นเจ้าอาวาสแทน

แต่เปล่า ท่านมาหาเป็นส่วนตัว และส่งหนังสือให้ฉบับหนึ่ง เป็นตราตั้งเจ้าอาวาสใบที่ ๒
ก็ถามว่า พระเดชพระคุณ ทำไมทำอย่างนี้ขอรับ
ท่านบอกว่า ฉันชอบใจแบบนี้นี่ ชอบใจคนอย่างคุณนั่นแหละ มันตรงไปตรงมา แบบนี้ฉันชอบใจ

เลยบอกว่า ถ้าผมทำผิด
ท่านบอก ถ้าคุณทำผิด ผมก็ลงโทษ ต้องลงโทษกัน ถ้าทำดีก็ยกย่องสรรเสริญ องค์นี้พูดตรง ก็ยอมรับนับถือท่าน ก็เลยรับเอาไว้ ทีนี้ก็มาพูดถึงวัด หลังจากหลวงพ่อปานตายไปแล้ว คนเกือบไม่รู้จักวัด เวลาหลายปี

หลวงพ่อปานตาย พ.ศ. ๒๔๘๑ เวลานั้นเป็น พ.ศ. ๒๔๙๒ หลายปี คนก็จะลืมวัดบางนมโค เห็นงานประจำปีคนจ๊องแจ๊ง ๆ ไม่กี่คนนัก เกือบจะนับคนได้ มีลิเกหนึ่งโรง มีปี่พาทย์หนึ่งวง ชาวบ้านก็นำอาหารมาให้ มีรายได้จริง ๆ ไม่เกิน ๒๐๐ บาท ก็คิดในใจว่า หลวงพ่อปานตายไปแล้ว วัดทรุดโทรมขนาดนี้เชียวหรือการที่วัดทรุดโทรมไปขนาดนี้ เพราะกำลังใจคนในวัดทรุดโทรม

จึงเริ่มต้นใหม่ เอารูปหลวงพ่อปานลงเรือ ประกาศให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททราบว่า นี่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค วันนั้น วันนี้จะมีงานวัดขอให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปกัน ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ บรรดาท่านพุทธบริษัท ในเมื่อหลวงพ่อปานลงเรือจากหน้าวัด กว่าจะถึงตลาดบ้านแพน ถึงเวลาเที่ยงวัน คนบางนมโคมเองนั่นแหละ เรียกไปทำบุญ

ก็เลยบอกว่า ไม่ได้มาเรี่ยไร มาประกาศให้ทราบ เขาบอกว่า เขาจะทำบุญ พอไปถึงเจ้าเจ็ด ต้องไปจอดอยู่ที่เจ้าเจ็ดถึง ๓ วัน คนมาทำบุญไม่ขาด ไปถึงอำเภอบางปลาม้า ก็ต้องอยู่ในเขตอำเภอบางปลาม้าไปอีก ๑๕ วัน หมุนมาหมุนไป หมุนไปหมุนมา นึกในใจ นี่อะไรกันนะ เราไม่ได้มาเรี่ยไร เพียงแค่ใช้เครื่องขยายเสียง มาประกาศให้คนรู้จักหลวงพ่อปาน

เป็นอันว่า คนสุพรรณบุรีมีความเคารพในหลวงพ่อปานมาก และคนที่ผ่านมาทั้งหมด ทุกคนลงมาในเรือ เห็นหลวงพ่อปานแล้วคนแก่นี่ถึงกับร้องไห้ ลืมหลวงพ่อปานไปแล้ว ว่าเวลานี้ลืมไปแล้ว ไม่มีใครเขาพูดถึงหลวงพ่อปานเลย ต่างคนต่างบูชาพระ จุดธูปจุดเทียนก็ใช้เวลากันนานหน่อย เขาจะถวายสตางค์ หรือไม่ถวายสตางค์ เราไม่ได้สนใจ

ต้องการอย่างเดียว ให้คนนึกถึงหลวงพ่อปานเข้าไว้ ก็ใช้เวลา๑ เดือน คือ โฆษณาแค่เขตจังหวัดสุพรรณ ๑ เดือน ผลที่พลอยได้จริง ๆ เวลานั้นก็เป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท เวลานั้น ๓๐,๐๐๐ บาท ก็มากมายเหลือเกิน เมื่อได้เงินมา ๓๐,๐๐๐ บาท ก็เห็นว่าหอสวดมนต์เก่า จะพัง คำว่า จะพัง ก็หมายความว่า หลวงพ่อปานท่านตั้งไว้บนคาน ไอ้คานมันผุ

หลวงพ่อเล็กท่านก็มานั่งดูทุกวัน คิดว่า ถ้าคานนี่ผุ หอสวดมนต์ก็ล้มลง ก็เลยสั่งรื้อหอสวดมนต์ทำใหม่ ที่ปรากฏในปัจจุบัน ทำเป็นคอนกรีต หลังจากนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่มีอะไรมาก ทีนี้มาเรื่องของทายก เข้ามาเป็นเจ้าอาวาส ไปค้นบัญชีเก่า ๆปรากฏว่า มีบัญชีฉบับหนึ่งหลวงพ่อปานท่านเขียนด้วยลายมือของท่านเอง เงินของท่านฝากคนนั้นไว้ เท่านั้นเท่านี้บาท

รวมความแล้วเงินประมาณสัก ๔๐,๐๐๐ บาท ฝากเขาไว้ก็เชิญเขามาถามว่า เงินน้าเก็บไว้ใช่ไหม เขาบอกว่าใช่ เวลานี้ยังเหลือหรือเปล่า เขาบอกว่าเหลือ ก็ถามว่า ถ้าจะนำเงินมาสร้างวัดจะได้ไหม เขาบอกว่า ได้ แต่ต้องบอกล่วงหน้า ๗ วัน ทั้งนี้เพราะอะไร เขาเอาเงินไปกู้ การที่ใช้เวลาตั้ง ๑๐ ปีกว่านี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เงินกู้มันก็มีดอกเบี้ยมากแต่ว่าเขาไม่เคยคิดดอกเบี้ยให้

ก็ไม่เป็นไร ก็บอกเขาเป็นคราว ๆ ว่าเวลานี้ต้องการเงินเท่านี้ และไปบอก ร้านนายเฉลิมกับ คุณนายวงศ์ภรรยาว่า ต่อนี้ไปจะบูรณะปฏิสังขรณ์วัด ถ้าจะสั่งของเป็นสินเชื่อตามเดิมจะให้ไหม สมัยนั้นหลวงพ่อปานสั่งที่นั่น เขาบอกว่า ได้ ก็นำเงินมาสร้างหอสวดมนต์ แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนโปรดทราบ สิ่งนี้แหละที่ต้องเป็นศัตรูกับทายก

ทายกต่อหน้าท่านพูดดีมาก แต่ลับหลังท่านไปพูดบอกว่า ไอ้หมาตัวนี้มันมาจากไหน เงินทองอันนี้เก็บไว้ตั้งนานแล้วไม่มีใครมายุ่ง พอไอ้หมาตัวนี้เข้ามาเป็นเจ้าอาวาส มันก็มายุ่งทวงเงินทวงทอง เขาคิดจะฆ่าบ้าง จะทำร้ายอย่างโน้นบ้าง จะทำร้ายอย่างนี้บ้าง เขาพูดที่อื่น ก็มีคนมาบอกให้ทราบ

ก็เลยบอกว่า ไม่เป็นไร ฉันทำตามหน้าที่ ฉันจะตาย ก็ตายไปเถอะ แต่เวลาพบหน้าเขา เขาพูดดีเวลาเขาไปกินเหล้าเมาที่อื่น เขาพูดร้าย ก็ถือว่า เขาด่าไม่ได้ยินก็แล้วไป ถ้าด่าได้ยินก็คงไม่ด่าตอบ ก็ทำงานตามหน้าที่เรื่อยไป ทีนี้การอยู่ที่วัดบางนมโคมีสิ่งอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือว่า มีคืนวันหนึ่งตื่นขึ้นมาเวลาตีสี่ ลุกขึ้นมาเจริญกรรมฐาน แต่พอลุกขึ้นมาไม่ทันเจริญกรรมฐาน

เห็นที่หน้าประตูชั้นบน เรียกว่าบนประตูขึ้นไป มีแสงขาว ๆ ก็ถามว่า ใคร
ก็มีเสียงตอบว่า ฉันคือพระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลก ก็ก้มลงกราบ
ถามว่า มาอย่างไรขอรับ
บอกว่า ฉันจะมาอยู่ด้วย ก็ยอมรับท่าน ก็จุดธูปจุดเทียน

คิดว่า ท่านจะมาอยู่ด้วยกำลังของฤทธิ์ ด้วยกำลังของบารมี ทีนี้ขณะนั้นกำลังสร้างหอสวดมนต์ ก็ต้องการไม้ ไม้พื้น อย่างไม้พื้น ไม้ตง นี่ต้องใช้ไม้ คิดว่า ถ้าซื้อที่ตรงนั้นก็จะแพง ถ้าไปซื้อในสถานที่เขาเลื่อยไม้ขายโดยตรง คือสระยายโสม เขตอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่นั่นจะถูก ก็นำเรือไป นำเรือยนต์ไปลำเดียว เรือยนต์ก็ยาวประมาณ ๔๐ ฟุต

ก็คิดว่าถ้าได้ไม้มา ก็จะบรรทุกเรือยนต์ แต่ว่าบรรทุกไม่ไหวก็จะเช่าเรือต่อเขา พอไปถึงตลาดบางลี่ มีเรือลำหนึ่งของวัดราชบูรณะ จังหวัดสุพรรณบุรี กำลังโฆษณาบอกบุญญาติโยมพุทธบริษัท สร้างรอยพระพุทธบาท เรือของอาตมาก็ไปจอดอีกด้านหนึ่งของโป๊ะ จอดโป๊ะเดียวกัน คนละด้าน เครื่องขยายเสียงก็ไม่มีไป เพราะไม่ได้ตั้งใจไปเรี่ยไร พอจอดอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็มีคน ๔ คน

เป็นผู้หญิง อายุก็ผู้ใหญ่มากแล้ว เป็นคนไทย ๓ คน เป็นคนจีน ๑ คน แบกถาดทองเหลืองมาแบกขันลงหินมา สวยมาก มาถึงก็มาแวะที่เรือ
ถามว่า โยมจะลงมาทำไม
แกก็บอกว่า ฉันจะมาทำบุญจ้ะ

เลยบอกว่า โยมลำโน้นเขาเรี่ยไร ทองเหลือง ทองขาว เอาไปหล่อพระพุทธบาท เรือลำนี้จะไปซื้อไม้ ไม่ได้หล่ออะไรหรอก ถ้าจะทำบุญ ก็ทำบุญกับลำโน้นเถอะ
โยมก็บอกว่า ลำโน้นทำแล้ว คิดว่า ลำนี้ทำด้วย สามคนก็กลับไป แต่ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง ผู้หญิงคนที่เป็นจีนอายุประมาณ ๖๐ ปี โยมเธอไม่กลับ

กลับย้อนถามว่าแกก็ชวนคุย วัด นี้ไม่สร้างอะไรบ้างหรือ
ก็ตอบว่า ยังไม่มีการสร้างอะไร พูดไปพูดมา แกก็ชวนคุยอยู่นาน ก็เลยนึกขึ้นมาได้ บอกว่า คิดว่าจะสร้างเหมือนกัน คือ จะสร้าง พระพุทธชินราช หน้าตักประมาณ ๒๐ นิ้ว แต่คิดว่าอีก ๓ ปีจึงจะสร้าง ปีนี้ยังไม่สร้าง
เธอก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันอีก ๓ ปี สร้างก็ไม่เป็นไร ฉันขอฝากขัน กับพานไว้ด้วย และเงิน ๒๐ บาทเป็นค่าสร้าง

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เสียงสัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ขอหยุดก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/6/13 at 14:19 [ QUOTE ]


6
สร้างพระพุทธชินราช


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็เป็นตอนที่ ๖ ของเล่ม ที่ ๑๙ ก็ขอนำเรื่องราวของการสร้างพระพุทธชินราช มาเล่าสู่กันฟัง ในเมื่อโยมทั้ง ๓ ขึ้นไปแล้ว แต่โยมจีนแกเอาขัน กับพานรองและเงิน ๒๐ บาทให้ด้วย เมื่อกลับขึ้นไปแล้ว ก็ปรากฏว่า แกมีมือเปล่าขึ้นไป ไม่มีอะไรถือ โยม ๓ คนก็ถามว่า ขันไปไหนล่ะ

และโยมจีนคนนั้นก็บอกว่า ลำนั้นเขาก็สร้างเหมือนกัน เขาจะสร้างพระพุทธชินราช ทั้ง ๓ คนก็ถามว่า เมื่อตอนเย็นไปถาม ทำไมท่านบอก ไม่สร้าง เขาบอก ไม่รู้ ฉันคุยไปคุยมา ท่านก็บอกว่า ท่านจะสร้างพระพุทธชินราช แต่ไม่บอกเวลา ตอนเช้าโยมทั้ง ๓ คน ก็นำของลงมาอีกว่า ทำไมเมื่อวานท่านจึงมดเท็จ ท่านจะสร้าง ทำไมจึงบอกว่าไม่สร้าง

ก็เลยบอกว่า โยม อาตมาน่ะ ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะสร้างคิดว่าจะสร้างเหมือนกัน ต้องอีก ๓ ปี เวลานี้กำลังสร้างหอสวดมนต์อยู่ แกบอกว่า ๓ ปี ก็ ๓ ปี ๓ ปีก็ต้องบอกว่าสร้าง ก็เลยมอบถาดและมอบเงินให้ ไป ๆ มา ๆ ก็ปรากฏว่าคนในตลาดกลับขนของมาให้จนกระทั่งเต็มลำเรือ ใส่ลำเรือไม่หมด

ก็ต้องไปเช่าเรือต่อเขามาอีกลำหนึ่ง จอดอยู่ประมาณสัก ๓ วัน เห็นท่าไม่ไหว ต้องเดินทางกลับวัดซื้อไม้ไม่ได้แล้ว เวลาเดินทางออกมา กว่าจะออกคลองสองพี่น้องได้ ก็ใช้เวลาถึง ๑๐ วัน ต้องแวะฝั่งโน้นบ้าง แวะฝั่งนี้บ้าง ๆ ในเมื่อไม่ไกลตลาด ก็ต้องกลับมานอนที่ตลาด กลับไปวันรุ่งขึ้น กว่าจะถึงที่เดิมก็ตอนเย็น ต้องกลับมาที่เดิมใหม่ เป็นอันว่า ปีนั้นก็มีความจำเป็น จำใจต้องสร้างพระพุทธชินราช

ก็เลยไปบอกหลวงพ่อเล็กให้ทราบ หลวงพ่อเล็กก็บอกว่า เป็นการสมควร ก็ให้ นายช่างชม ซึ่งเป็นช่างของหลวงพ่อปานเอง สร้างพระพุทธชินราช ไปหล่อที่วัด ปรากฏตามข่าวบอกว่า เมื่อวันเริ่มต้นเขาทำการบวงสรวงบูชาครูก่อน เริ่มต้นทำพิธีปั้น ฝนตกหนัก พอปั้นรูปหุ่นเสร็จ เอาดินทรายเข้า ฝนตกหนัก เข้าขี้ผึ้ง ฝนตกหนัก ทำเรียบร้อยหุ้มห่อเสร็จ ฝนตกหนัก

เขาก็กำหนดไปเอารูปหุ่นจากกรุงเทพฯ มา ก็นำเรือไปรับ เมื่อนำเรือไปรับ ก็ปรากฏว่า วันนั้นเรือจะกลับมาถึงวัด เป็นเดือนเมษายน ฝนแล้งจัด ฝนไม่ตกมานาน เห็นชาวบ้านเขาจะเล่นแห่นางแมวนางหมากัน เป็นการขอฝนตามพิธีกรรมของคนโบราณ เมื่อโผล่หน้าต่างไปเจอะเข้า ถามว่า ญาติโยมพี่น้องจะไปไหนกัน เขาเลยบอกว่า จะไปเล่นแห่นางแมวนางหมา ถามว่า เล่นทำไม บอก ขอฝน

บอก ไม่ต้องหรอก รออยู่ที่วัดนี่ก็แล้วกัน วันนี้หุ่นพระพุทธชินราชจะมาถึง ฝนจะตกหนัก ก็พูดส่งเดชไปแบบนั้นเอง ความจริงไม่รู้ เขาถามว่า เรือจะมาถึงเมื่อไรก็บอกว่า เรือจะมาถึงตอนเย็น ประมาณใกล้ค่ำ หรือค่ำแล้ว แกก็กลับไปบ้าน ตอนเย็นแกมากันเต็มวัด อยากจะดูฝนตก เมื่อหุ่นพระพุทธชินราชมาถึง เขาถามว่า หุ่นพระพุทธชินราชถ้ามาถึงแล้ว ฝนตกจริงไหม

ก็เลยบอกว่า เท่าที่ฉันบอกพี่น้องญาติโยมไป ความจริงฉันไม่ทราบว่า ฝนจะตก หรือไม่ตก แต่เห็นว่า เล่นนางแมวนางหมานี่เล่นเท่าไร ฝนมันก็ไม่ตก มันยังไม่ถึงเวลาจะตก เวลาจะตก มันไม่ใช่เดือนนี้ เขาบอกว่า ตั้งแต่ตอนเดือนอ้ายมา จนกระทั่งเวลานี้ ไม่มีฝนเลย มันเคยมีฝนอยู่บ้างแล้วทุกปี ก็รวมความว่า เขาก็อยู่รอหุ่นพระพุทธชินราช

ก็นึกในใจว่าขอบารมีองค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเรือหุ่นพระพุทธชินราชมาจอดที่หน้าวัดสนิท ขอให้ฝนตกหนักทันที ก็เป็นความจริงตามนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พอเรือเข้าเทียบท่า ทุกคนก็เฮโลไปที่ท่า พอจอดสนิท ฝนตกแบบชนิดมีแต่เม็ด ไม่มีใบ แบบฝนเม็ดใหญ่ หนักมาก ตกประมาณ ๒ ชั่วโมง คนทุกคนเปียกฝน ไม่มีใครหนีฝน ไม่มีใครเข้าร่ม

ทุกคนดีใจมาก ยืนตากฝนกัน เมื่อฝนหายก็ขอให้ทุกคนช่วยกันยกหุ่นพระพุทธชินราชเข้ามาเก็บ ทุกคนก็ดีใจมากเมื่อถึงเวลาหล่อจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น นั่นก็คือว่า เวลาจะเททอง ใกล้เวลาจะเททอง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นลูกจ้างเขา และก็มีสตางค์ซื้อทองคำหนัก ๒ สลึงเป็นทองคำใส่คอ และอีก ๒ สลึงใส่ข้อมือ เธอแกะทองคำไม่ทันใจ ดึงทองคำขาด

เอามาถวายหล่อพระพุทธชินราช คนอื่นเห็นเข้า ก็ต่างคนต่างควัก ต่างคนต่างแกะกันเป็นแถว วันนั้นได้ทองคำประมาณ ๓๐ บาท ก็วางไว้ข้างหน้า บอก ใครจะถวายก็ตาม ทุกคนถวายประเคนแล้ว ถือไว้ก่อน ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันเขาจะหาว่า โกงทอง เมื่อถึงเวลา เขานำเบ้ามา ก็บอก ทุกคนที่จะถวายหล่อพระพุทธชินราช ให้เอาทองคำมาใส่เบ้า เขาก็ใส่กันเอง แล้วช่างก็เท

ขณะที่ช่างเท บรรดาท่านพุทธบริษัท เค้าไม่มีเลย พอช่างเทเสร็จ ฝนตกขนาดหนัก น้ำไหลประมาณ ๑ ชั่วโมง ช่างน้ำตาไหล น้ำตาช่างที่ไหล ไม่ใช่ไหลดีใจ ไหลเสียใจ ช่างบอกว่า ถ้าลักษณะแบบนี้ พระต้องเสีย ผมจะไม่ยอมทุบหุ่นที่นี่ จะไปทุบหุ่นที่กรุงเทพฯ เมื่อถึงเวลาตอนเย็น คนกลับบ้านไปหมด ไม่มีใคร ก็เลยบอกช่างเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทุบที่นี่แหละแล้วไปแต่งที่กรุงเทพฯ

ช่างบอก ทุบไม่ได้ครับ อายเขา
บอกว่า เวลานี้ไม่มีใคร ให้ขึ้นไปที่หน้ากุฏิแล้วปิดประตูเสีย เมื่อทุบหุ่นออก คราวนี้ช่างน้ำตาไหลอีก ปรากฏว่าดีมาก เกือบจะไม่ต้องแต่งเลย
ช่างบอกว่า ผมทำมาแล้วนะขอรับ ถ้าฝนตกอย่างนี้แล้วละก็ ทองไม่ทันจะเย็น เป็นเสีย ต้องซ่อมกันขนาดหนัก อันนี้เป็นเหตุอัศจรรย์

หลังจากนั้น ช่างก็ให้นำพระพุทธรูปไปส่งที่กรุงเทพฯ ขณะที่นำไปส่งถึงกรุงเทพฯ ฝนก็ตกหนักอีก เขาก็แต่ง เสร็จเรียบร้อยแล้วปิดทองเรียบร้อย ก็นำกลับขึ้นมาวัด ก็บอกกับชาวบ้านวันนั้น วันนี้พระพุทธชินราชจะมาถึงวัด ชาวบ้านก็มารอกันเต็มวัด ถามว่า ฝนตกไหมก็เลยบอกว่า ขอทุกคน ขอท่านก็แล้วกัน ถ้าต้องการให้ฝนตก ทุกคนก็ไปกราบพระพุทธรูป

กราบรูปหลวงพ่อปานว่า พระพุทธชินราชเมื่อมาถึงแล้ว ขอให้ฝนตกหนัก พอเรือถึงท่าก็ตามเดิม บรรดาท่านพุทธบริษัท ฝนตกหนัก หลังจากนั้นก็จุดธูป ขอท่านไว้ว่า ถึงเวลา ๕ โมงเย็น ขอให้ฝนตกน้อย ๆ พอที่ข้าวจะทรงตัว ฝนก็ตกทุกวัน ต่อมาต้องไปสร้างโบสถ์ที่วัดท่าเรือ อำเภอดำเนินสะดวกจังหวัดราชบุรี ชาวบ้านที่นั่นเขาขอร้องให้ไปสร้าง และวัดอยู่ลึกกลางทุ่งออกไป

มีลำคลองเล็ก ๆ เขาบอกว่า ถ้าไปละก็ เอาฝนไปด้วยนะขอรับ เพราะที่นั่นแล้งมาก ก็เลยบอกว่า ฉันไม่ใช่เทวดาเจ้าของฝนไม่สามารถจะนำฝนมาให้ เขาบอก อย่างไร ๆ ก็เอาไปด้วยก็แล้วกันขอรับ ก็เลยบอก ถ้าอย่างนั้นฉันจะเอาพระพุทธชินราชไปด้วย แต่ว่าท่านจะให้ฝนตก หรือไม่ตก ก็เป็นเรื่องของท่าน คราวนี้ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไปเดือนเมษายน นำพระพุทธชินราชออกไป ปรากฏว่าแดดจัด จ้า

แต่ว่าที่เรือพระพุทธชินราช ปรากฏว่ามีเงาเมฆบังแสงพระอาทิตย์ ร่มตลอดเวลา ไปเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องขยายเสียง แต่คนก็เรียกทำบุญกันทั้ง ๒ ฟากฝั่ง กว่าจะไปถึงดำเนินสะดวกได้ ใช้เวลา ๑เดือนเศษ ๆ ก็ได้เงินไปเวลานั้น ประมาณสัก ๕๐,๐๐๐ เศษ เวลานั้นไม่ใช่เล็กน้อย โบสถ์นี่ ๕๐,๐๐๐ ก็ใช้กันแบบสบาย ๆ สร้างเสร็จนั่นแหละ

ครั้งเมื่อไปจวนจะถึง เข้าปากคลองเล็ก ๆ ก็จุดธูปขอพรท่านบอกว่า ถ้าจะกรุณาให้ฝนตก เวลาเรือเบนเข้าคลองเล็ก ให้ฝนตกแปะ ๆ เม็ดใหญ่ ๆ ห่าง ๆ พอถึงที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ขอให้ฝนตกสัก ๒ชั่วโมง ตกหนัก พอเรือเบนเข้าคลอง ฝนก็ตกแปะ ๆ ๆ เรื่อยไป เข้าคลองไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงวัด พอขึ้นไปนั่งเรียบร้อย เขานำพระพุทธชินราชไปตั้งที่หอสวดมนต์เรียบร้อย เสร็จเรียบร้อยแล้ว

พอตั้งเสร็จเค้าไม่มี บรรดาท่านพุทธบริษัท ฝนตกหนักจริง ๆ ๒ ชั่วโมง ประเภทไม่มีลมเลย เรียกว่า มีแต่เม็ด ไม่มีใบกัน แล้วต่อมาก็มีคน ๆ หนึ่งบอกว่า ท่านเจ้าคะ ดินมันสุกมาก มันแล้งมานานฝนตกเท่านี้ยังไม่พอถ้าตกอีกเท่านี้จะดีมาก ดินจะชุ่มชื้น จะทำนาได้ดี
อาตมาก็ปากพล่อย บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันนี้ตี ๒ ตรง ฝนจะตกใหม่อีกประมาณ ๒ ชั่วโมง

พอพูดไปแล้วก็ตกใจว่า เอ๊ะ...มันพูดไปอย่างไรทีนี้คนที่เขามาคุยด้วย เขาก็ไม่ยอมกลับ ทุกคนก็นั่งมองดูนาฬิกา เมื่อเวลาใกล้ตี ๒ ไป ทุกคนบอกว่า เวลานี้ดาวเต็มฟ้าขอรับ อีก ๕ นาทีดาวเต็มฟ้า ตี ๒ ฝนจะตกหรือขอรับ ก็เลยบอกว่า ไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาถาม ไม่แน่ใจทำไมจึงพูด ก็บอกปากมันอยากจะพูด มันก็พูดของมันไป รับรองอะไรไม่ได้

ก็เป็นอันว่า พอถึงเวลาตี ๒ เป๋งพอดี ฝนลงพรวด ลงหนักประมาณ ๒ ชั่วโมง ก็เป็นอันว่า เงินทั้งหมดที่ได้ไว้ ก็มอบไว้ให้กับวัดนั้น กับทายก กับเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสท่านก็ดี ท่านก็ทำการก่อสร้างกัน ทีนี้ทั้ง ๒ อย่างนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถือว่าเป็นเหตุอัศจรรย์หลังจากนั้นก็กลับมาวัด มาอยู่ที่วัด ทางวัดก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรการจะสร้างอะไรก็เป็นไปด้วยความขัดข้อง

ทั้งนี้เพราะอะไร ทายกเขาถือว่า เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า สำหรับงานวัด หลังจากนั้นมา งานวัดเคยได้กำไร ๒๐๐ บาท พอจัดงานปีแรก น้ำท่วมวัดหนัก เหลือที่พอจะเดินได้ ๒ แห่ง คือ ศาลากับลานพระอุโบสถ แล้วก็ทำการเลี้ยงอาหารด้วย พอบอกว่า เลี้ยงอาหาร ทายกเขาบอก เขาไม่เอาด้วยแล้ว บรรลัยแน่แล้ว ก็เลยบอกว่า จะขาดทุน หรือกำไร ไม่เป็นไรฉันขอรับรองเอง ปีนั้นได้กำไร ๙,๐๐๐ บาท

ทั้ง ๆ ที่ก๋วยเตี๋ยวราคาชามละ ๕ สตางค์ รุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง มีกำไร ๒๐,๐๐๐ บาท อีกปีหนึ่งมีกำไร ๓๐,๐๐๐ บาท ในที่สุดมีกำไรถึง ๖๐,๐๐๐ บาท นี่เป็นอำนาจของ พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ และก่อนที่จะถึงงานวัด ก็ต้องทำพิธีบวงสรวงก่อน ตามพิธีกรรมของหลวงพ่อปาน

แต่สิ่งที่มหัศจรรย์ คือ ใกล้งานวัด จะต้องมีพระบรมสารีริกธาตุ ลอยออกมาจากเจดีย์ ๓ องค์ ดวงประมาณสัก ๒ - ๓ เท่าของบาตรพระแสงนวล ๆ เขียวน้อย ๆ เขียวอ่อน ๆ เห็นขาวมาก สว่างจ้า อยู่ไกล ๆก็เห็นลายมือ วนไปรอบบริเวณวัด และกลับมาจับที่ปลายมณฑปหลวงพ่อปาน แล้วก็มาเกาะอยู่ที่ศีรษะหลวงพ่อปาน แล้วย้อนขึ้นไปเกาะยอดเจดีย์ แล้วก็หายเข้าไปในเจดีย์

คนมาในงานมาก จึงได้มีกำไรนับเป็นหมื่น ทั้ง ๆ ที่ตั้งโรงครัวเลี้ยง โรงครัวตั้งเลี้ยงกัน ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งโรงครัว และโรงน้ำแข็ง กินอาหารก็ฟรี กินน้ำแข็ง กาแฟก็ฟรี แต่คนที่ทำบุญก็หนาแน่นจริง ๆ เราลงรับรองแขก ตั้งแต่บ่าย ๒ โมงเริ่มงาน จะไปนอนได้เอาจริง ๆ ประมาณ ตี ๓ ตี ๔ก็ต้องตื่น คนมาทำบุญอีก ทำบุญกันทั้งวัน ทั้งคืน แต่การทำอย่างนั้น ก็เป็นที่ไม่ชอบใจของทายก

เพราะอะไร เพราะทายกขอเงินไปเก็บ บอกเงินนี้ไม่ต้องเก็บ เอาฝากธนาคารออมสิน เรามาทำบัญชี ร่วมเซ็นชื่อกันไว้ ถ้าฉันจะถอนมา โยมก็เซ็นชื่อถอนด้วย ร่วมกัน การรับ การจ่าย ร่วมกัน มีบัญชีกันคนละเล่ม ต่างคนต่างเซ็นรับรองในบัญชีซึ่งกันและกัน เขาก็ยอมรับ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เป็นที่ชอบใจ เป็นอันว่า ทายกก็ประกาศตนเป็นศัตรู ก็ปล่อยนิ่งเฉยเข้าไว้

ต่อมา งานก่อสร้างก็ทำภายนอกเรื่อย ๆ มา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ปีนั้นป่วยหนัก ต้องเข้ากรมแพทย์ทหารเรือ หลานชายเป็นพยาบาลอยู่ที่นั่น และก็มีหลาย ๆ คนรู้จักกัน เลยเข้าไปกรมแพทย์ทหารเรือพอเข้าไป เวลานั้น หมอประกอบ เป็นผู้อำนวยการ ท่านมาจับ ๆ ดูท่านก็บอก มานี่ซิ ตามมา ก็ไปอยู่ที่ห้อง ๆ หนึ่ง ไปถึงห้อง ท่านก็บอกนอนที่นี่แหละ

ก็เลยบอกว่า ที่มานี่ ไม่ได้ตั้งใจจะมานอนโรงพยาบาลตั้งใจให้หมอตรวจ และให้กินยา เอายาให้กิน แล้วจะกลับ
ท่านก็เลยบอกว่า ที่นี่โรงพยาบาลนะครับ ไม่ใช่ที่วัด โรงพยาบาลหมอก็ต้องเป็นใหญ่ ไม่ใช่พระเป็นใหญ่ พระจะใหญ่ได้เฉพาะในวัด โรงพยาบาลหมอต้องใหญ่ ท่านต้องนอนค้างที่นี่ อาการของท่านไม่น้อย อาการมาก แต่ท่านเป็นคนอดทน ไม่สนใจอาการป่วยไข้ไม่สบาย ก็เลยมีความจำเป็นต้องนอน

และเด็กไปด้วย ท่านบอกให้เด็กกลับเมื่อนอนวันแรก บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นพอถึงเวลาวันที่สอง เวลาประมาณทุ่มครึ่ง มีอาการพิเศษเกิดขึ้นนั่นคือเสียดหน้าอก มันแน่นขึ้นมา ๆ จนกระทั่งหายใจไม่ออก ทำท่าจะตายก็ตัดสินใจว่า ตายก็ตายเถอะวะ ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา มันก็เลยไม่ตาย นี่เล่าข้ามไปหน่อยอาการเป็นอย่างนี้อยู่ ๒ วัน

พอวันที่สาม ก็คิดว่า วันนี้มันคงจะเอาอีกก็ตั้งท่า จวนถึงเวลาก็นั่งกรรมฐาน พอนั่งกรรมฐานเสร็จ แทนที่อาการปวดเสียดมันจะมา กลับเห็น ท่านสหัมบดีพรหม ท่านมา ท่านบอกเวลานี้พระพุทธเจ้าเรียกให้ไปหาท่าน ก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านนำหน้า อาตมาตามหลังท่านก็พาลงไปตั้งแต่ โลกันตนรก ขึ้นมาถึง อเวจีมหานรกขึ้นมาเรื่อย ๆ เห็นนรกทุกขุม เรื่อยมา

แดนเปรต แดนอสุรกาย แดนสัตว์เดรัจฉาน แดนคน แดนเทวดา แดนพรหม และพรหมทุกชั้น ถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ ที่ผ่านไปอย่างนั้น ท่านต้องการให้ชมว่า ความจริงคนเราถ้าทำชั่ว ท่านอธิบาย มันต้องตกนรกแบบนี้ เป็นเปรตแบบนี้เป็นอสุรกายแบบนี้ เป็นสัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ถ้าทำดีเล็กน้อย ก็เป็นคนบ้าง เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม

พอถึงพรหม ท่านบอกว่า ผมมีหน้าที่พาท่านมาแค่นี้ ต่อจากนี้ไปไม่ใช่หน้าที่ของผม ท่านต้องไปคนเดียว ถาม ไปทางไหน ท่านก็ชี้ทางให้ไป ก็เห็นทางไม่โตนักพอย่างเท้าก้าวไปสู่ทาง ทางก็ใหญ่พรึ่บ เป็นแผ่นดิน ๆ หนึ่งแต่เป็นแก้วผสมทอง สวยสดงดงามมาก พอออกจากเขตสหัมบดีพรหมรู้สึกว่า หมดแรง

เหมือนกับคนที่เป็นไข้หนัก ไม่มีแรง เดินโผเผ ๆ ไป เดินตรงไป ก็ไปเจอะวัด ๆ หนึ่ง มีกำแพงเป็นกำแพงแก้วผสมทอง หน้าบันสวยมาก หน้าบันคล้ายคลึงหน้าบันของวัดท่าซุง ที่หน้าโบสถ์ แต่ก็สวยกว่านี้มาก วิจิตรพิสดารมาก เห็นประตูเข้า เดินเข้าไปก็พบ กุฏิ ๓ หลัง หลังหนึ่งเป็นหลังทึบคล้าย ๆ กับวิหารแก้ว อีก ๒ หลังก็เป็นหลังโปร่ง คล้าย ๆ กับมณฑปหน้าวิหารแก้ว ทั้ง ๒ มณฑป

แต่ว่าต่างกันนะ ไม่เหมือนกันเปี๊ยบ แต่โปร่งคล้าย ๆ กัน แล้วเดินไปรอบ ๆ ก็เจอะสระโบกขรณีมีน้ำใส มีแท่นแก้ว มีต้นไม้แก้ว เดินไปเดินมา ก็หมดแรง ไปนอนที่หอระฆัง พอนอนที่หอระฆัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ปรากฏว่า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เห็นพระองค์หนึ่ง ท่านเดินเข้ามาทางทิศตะวันออก พอเห็นก็จำได้ทันทีว่า

องค์นี้ คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นท่านเดินเข้ามา ไม่เดินเข้าทางประตู คิดว่า ท่านจะผ่านกำแพงเข้ามาอย่างไร ท่านอาจจะข้ามกำแพงมาก็ได้ แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์พอถึงกำแพง กำแพงมันขาดออกไป พอท่านเดินผ่านเข้ามา กำแพงก็ติดเข้ามา ท่านมาถึง ท่านก็มานั่งข้าง ๆ อาตมาก็ลงจากบนพื้นของหอระฆังทองคำ เป็นทองคำผสมแก้ว สวยมาก

แล้วกราบท่านที่พระบาท ท่านก็ถามว่า ในชีวิตนี้เธอคิดไหมว่า จะมานิพพาน ก็กราบทูลตามความเป็นจริง
ว่า ไม่เคยคิดพระเจ้าข้า
ท่านถามว่า ทำไม
ก็ตอบท่านบอกว่า เขาบอกว่า นิพพานสูญ

ท่านถามว่า ที่เธอนั่งอยู่ที่นี่เขาเรียกอะไร
ก็ตอบว่า ไม่ทราบ
ท่านถามว่า ตั้งแต่ภุมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด เธอรู้จักไหม

ก็บอกว่า ท่านสหัมบดีพรหมพาผ่านมาแล้วทุกจุด ถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ ก็หมดกัน
ท่านถามว่า ที่นี่เขาเรียกว่าอะไร
ก็ตอบว่า ไม่ทราบ
ท่านก็บอกว่า ที่นี่เขาเรียก นิพพาน

ก็ถามท่านบอกว่า เขาว่า นิพพานสูญไม่ใช่หรือขอรับ
ท่านก็เลยตอบว่า ถ้านิพพานสูญ เธอจะนั่งอยู่ได้อย่างไร เธอไปอ่านหนังสือของ คนที่เขาไม่รู้จักนิพพาน คำว่า สูญของนิพพาน นิพพานไม่ได้มีศัพท์ว่า สูญ อย่างเดียว มีศัพท์ว่า สุข ด้วย นิพพานัง ปรมัง สุขัง ซึ่งแปลว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คำว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง

นั่นหมายความว่า สูญจากกิเลส สูญ เขาแปลว่า ว่าง คือว่างจากกิเลส ว่างจากความชั่วทั้งหมด ขอให้เธอจงมีความเข้าใจว่า นิพพานไม่มีสภาพสูญ ท่านย้อนถามใหม่ว่า เธอคิดจะมานิพพานไหม
ก็บอกว่า ไม่เคยคิด
ท่านถามว่า ทำไม

ก็บอกว่า วิปัสสนาญาณอ่อน การปฏิบัติวิปัสสญาณรู้สึกว่า มีความอ่อนมาก
ท่านก็บอกว่า จริง ท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ชาตินี้เธอจะมานิพพานได้ หรือไม่ได้ ลองดูอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านก็เนรมิตไม้ขึ้นมา ๑๐ ท่อน ยาวประมาณแค่ศอก เป็นไม้บาง ๆ เป็นแบบไม้ไผ่ ท่านก็เรียกพระขึ้นมา ๙ องค์ ก็จำได้ว่า องค์ที่ ๓ คือ หลวงพ่อปาน

ทั้ง ๙ องค์ท่านเห็นหน้าท่านก็ยิ้ม ๆ ต่างองค์ต่างมาถึง แล้วก็นมัสการพระพุทธเจ้าเสร็จ ก็หยิบไม้ไปคนละอัน ๆ เหลืออีกหนึ่งอัน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อันนี้เป็นของเธอ เธอยกไม้อันนี้
ก็บอกว่า ยกไม่ไหว กำลังใจไม่พอ
ท่านบอกว่า นี่เป็นคำสั่ง ไม่ใช่คำขอร้อง เธอต้องยกไม้นี่

ในเมื่อเป็นคำสั่ง ก็มีความจำเป็นต้องทำ ตั้งท่ายักแย่ยักยัน งัดเต็มที่ พอจับขึ้นมาปั๊บ มันเบาเหมือนกระดาษที่ไม่มีความหมาย เบามาก แล้วก็เดินตามพระท่านไป เดินเรื่อยไปประมาณสัก ๑๐ วา ท่านก็เรียกกลับ
ท่านบอก วางไม้เสียก่อน ก็กราบท่าน ท่านบอกว่า เธอสนใจสมถภาวนามากเกินไป วิปัสสนาญาณน้อย โดยที่เธอคิดว่า เธอปรารถนาพุทธภูมิ จะปรารถนาพุทธภูมิ หรือสาวกภูมิก็ตาม วิปัสสนาญาณ ต้องควบคู่กับสมถภาวนา คือ ต้องให้สม่ำเสมอกัน และอีกประการหนึ่ง เธอก็มีความจำเป็น ต้องลาจากพุทธภูมิ

ก็เลยบอกว่า ไม่ตั้งใจจะลา
ท่านบอกว่า เธอตั้งใจจะลา หรือไม่ตั้งใจจะลาก็ตาม ถึงเวลานั้นมันต้องลา
ก็เลยถามท่านว่า จะลาเพื่ออะไร
ท่านบอก ลาเพื่อช่วยกัน ถ้ายังปรารถนาพุทธภูมิอยู่อย่างนี้ ก็จะสนใจเฉพาะฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์ยังช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะอะไร เพราะถ้าพลาดเมื่อไร ก็ลงอบายภูมิเมื่อนั้น ดูตัวอย่าง เทวทัต เธอต้องกลับไปเพื่อปฏิบัติวิปัสสนาญาณให้เต็มขั้น

ในที่สุดก็ลาท่านกลับมา ก็ฟื้นจากพื้นที่ ก็รู้สึกว่า เวลาผ่านไปใกล้สว่าง ตั้งแต่เวลาใกล้ ๒ ทุ่ม ถึงใกล้สว่าง พอตอนเช้า ก็ปรากฏว่ามีคนมาเคาะประตู คือ พยาบาล พยาบาลที่นั่นเป็นจ่าพยาบาล เวลานั้นยังไม่มีพยาบาลผู้หญิง มีแต่พยาบาลผู้ชาย เขามา เขาก็จัดสถานที่นำอาหารมาให้เรียบร้อย กินข้าวกินปลาเสร็จ สำหรับตอนนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาเล่าข้ามไปหน่อยหนึ่ง

ตอนต่อไปต้องขอย้อนกลับเป็นอันว่าเวลานั้น กำลังจิตใจมันมีความสุข มันมีความสุขสงัดที่เขาเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ ก็เป็นอันว่า เจริญวิปัสสนาญาณควบคู่กับสมถภาวนา ทีนี้การไปนิพพานแล้วครั้งหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัท ขั้นพรหมนี่เคยไปเป็นปกติ ทีหลังนึกถึงนิพพานเมื่อไรปั๊บ มันก็ถึงเมื่อนั้น

สถานที่อยู่จริง ๆ มี ๓ หลัง ก็เลือกหลังหนึ่ง เป็นหลังที่สบาย ๆ ทำใจให้เป็นสุข ถึงเวลาเช้ามืดก็กลับ จิตใจก็มีความเป็นสุข ไม่มีความห่วงใยในทรัพย์สิน แม้แต่ร่างกาย คิดว่า ร่างกาย ถ้ามันตายเมื่อไร เราก็มีความสุขเมื่อนั้น ในขณะนั้นก็มีทายก ๒ คนไปหา แทนที่แกจะไปเยี่ยม แกจะไปขอสมบัติของวัดเท่าที่มีอยู่ ก็บอกว่านี่เวลานี้ฉันจะตาย แกน่าจะถามว่า ฉันเป็นโรคอะไร ใครจะมาขอสมบัติ ฉันให้ไม่ได้

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 8/6/13 at 21:49 [ QUOTE ]


7
พบพระเจ้าตากสินฯ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๓๔ เป็นวันที่สหประชาชาติชี้ขาดให้สัมพันธมิตรสามารถใช้อาวุธขับไล่อิรักได้ แต่ทว่าเวลาที่พูดนี้ เป็นเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา ก็ยังไม่ทราบว่า เขาจะรบกัน หรือไม่รบ เรื่องรบ หรือไม่รบ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นเรื่องของกฎของกรรม แต่ว่าตามที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า

อานันทะ ดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมีการรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน
ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลุกจากอากาศ คำว่า ฝนเหล็ก ก็หมายถึง ลูกระเบิด
ไฟจะลุกจากอากาศ ก็หมายถึง ระเบิดเพลิง จะล้มตายไปฝ่ายละมาก ๆ

แต่ว่า อานันทะ ดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี ที่เรียกว่า ร้ายแรงนัก
ยังไม่ร้ายแรงเท่าหลังกึ่งพุทธกาล หลังกึ่งพุทธกาล ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟัน
ซึ่งกันและกัน ยักษ์หินที่ถูกสาป จะลุกขึ้นมาอาละวาด
สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน
แต่ว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก


ก็รวมความว่า นี่เป็นเรื่องของโลก แต่เรื่องที่จะคุยกันต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ในตอนที่แล้วมา ตอนนี้เป็นตอนที่ ๗ เมื่อตอนที่ ๕กับตอนที่ ๖ พูดกันถึงเรื่องตาย ไปเข้าโรงพยาบาล และทำท่าจะตายแล้วไปนิพพาน และก็เป็นการข้ามไป ขอย้อนถอยหลังอีกนิดหนึ่ง เข้าโรงพยาบาลเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ถ้วน ปีนั้นมีการอะไร เขาแห่ทางชลมารค หมายความว่า เขาจะแห่พระเจ้าอยู่หัวทางน้ำ มีการเห่เรือไปตอนนั้นพอดี ในเมื่อเข้าถึงโรงพยาบาลแล้ว

บรรดาท่านพุทธบริษัทตามธรรมดาของคนป่วย ย่อมมีกำลังใจไม่แน่นอนนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ผี คำว่า ผี นี่เราทราบไม่ได้ เพราะผีนี่มีทั้ง ๒ประเภท คือ ผีดี กับผีไม่ดี ความจริงผีน่ะดี แต่ว่าเป็นผีประเภทที่เขาใช้มาทำลายล้างก็ได้ ก็มีความหวาดหวั่น หวั่นใจอยู่นิดหนึ่ง คิดว่า เราไม่สบาย ผีอาจจะกวนก็ได้ เพราะว่าเคยถูกมาแล้ว

ตอนนั้นจึงนึกถึงว่า เวลานี้สถานที่นี้ เป็นที่ของพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะว่ากรมแพทย์ทหารเรือ อยู่กับกรมอู่ทหารเรือ ใกล้พระราชวังพระเจ้าตากสินฯ จึงนึกถึงพระเจ้าตากสินมหาราช ขอให้ท่านมาคุ้มครอง กรุณาโปรดป้องกันด้วย เพราะว่า อาตมาเองขออาศัยบุญบารมีของท่าน เพราะมาอยู่ที่ของท่าน ถ้าผีร้ายจะเข้ามาทำร้าย ก็ขอให้ป้องกันด้วย ตอนนี้อธิษฐาน คือว่า

ตอนบูชาพระเสร็จ หลังจากนั้นก็นอน ถึงเวลาประมาณสัก ๒ ทุ่มเศษ ๆ เห็นเขาเงียบกันหมด พยาบาลมีหน้าที่เอายามาให้ แล้วก็กลับ ก็บอกว่า ถึงเวลาพักได้แล้วครับ ผมไม่มาอีกแล้ว ถ้ามีอะไรก็กดกริ่ง เพราะอยู่ห้องพิเศษ ตึกหนึ่ง ตอนนี้ก็ปรากฏว่า ก็ใส่กลอน เมื่อใส่กลอนแล้วก็เปิดไฟ ไฟนี่ไฟ ๑๐๐ แรงเทียน ยังสว่างจ้าอยู่ แล้วทางด้านหน้าต่างก็เข้าไม่ได้ก็เป็นอันว่า เข้ามุ้งนอน

เวลานั้นมุ้งลวดยังไม่มี พอเข้ามุ้งนอน แต่ยังไม่ได้ดับไฟ เพราะสถานที่ใหม่ ไม่กล้าดับไฟ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะหวาดระแวงผี เพราะตามโรงพยาบาลย่อมมีผีอยู่เสมอ ผีนี่มีไม่ว่าที่ไหนคิดว่า ถ้าสว่างใจสบาย เขาเอาไฟ ๑๐๐ แรงเทียนมาให้ ก็เปิดจ้าอยู่ พอนอนศีรษะถึงหมอน จับ อานาปานสติ คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก

ภาวนาพุทโธ ตาม หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ เพียงครู่เดียวเท่านั้น บรรดาท่านพุทธบริษัทก็ปรากฏว่า มีชายคนหนึ่งเข้ามาทางประตู แต่อย่าลืมว่า ประตูใส่กลอน เข้ามา นุ่งกางเกงขาสั้นเป็นคนผิวขาว ร่างเนื้อเต็ม จะว่าท้วม ก็ไม่เชิงท้วม เป็นคนเนื้อเต็ม ใส่เสื้อสีขาวแขนสั้น หน้ากระเดียดไปทางเจ๊กนิด ๆ ท่าทางคล่องแคล่วว่องไวมาก เดินเข้ามาถึง ก็มายืนอยู่ข้างเตียง

อาตมาก็มอง เมื่อมองดูแล้ว ก็จำไม่ได้ว่า เป็นใคร ท่านผู้นั้นก็ยิ้ม ท่านก็ยืนเฉยแล้ว ท่านก็ยิ้ม ท่านมอง ท่านก็ยิ้ม อาตมามอง อาตมาก็ไม่ยิ้ม เพราะว่า ไม่รู้ว่าใครกันแน่ คือ จิตสงสัย
จึงถามว่า ท่านคือใคร
ท่านผู้นั้นก็บอกว่า เมื่อสักครู่นี้ ท่านพูดถึงใคร ท่านบอกให้ใครมาคุ้มครองเรื่องผีของท่าน

ก็บอกกับท่านว่า อาตมาพูดถึงพระเจ้าตากสินมหาราช
ท่านก็เลยบอกว่า ในเมื่อท่านนึกถึงพระเจ้าตากสินฯ ผมนี่ก็คือ พระเจ้าตากสินฯ จึงมา
ก็ถามว่า นี่พระเจ้าตากสินฯ จริง ๆ หรืออย่างไร

ท่านถามว่า สงสัยตรงไหน
ก็บอกกับท่านว่า พระเจ้าตากสินฯ จริง ๆ ทำไมแต่งตัวเป็นกุ๊ยข้างถนน แบบนี้ล่ะ นุ่งกางเกงสั้น และใส่เสื้อแขนสั้น
ท่านก็เลยถามว่า พระราชานี่จำเป็นต้องทรงเครื่องพระราชาตลอดวันอย่างนั้นใช่ไหม ไม่มีพระราชาองค์ไหน แต่งเครื่องพระราชาทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน เวลานี้ เป็นเวลาไปรเวท

ก็บอกกับท่านบอกว่า ความจริงถ้ามาในนิมิตแบบนี้ ควรจะมาในรูปของพระราชา ทรงเครื่องพระราชาให้ครบถ้วน เพราะว่าไม่มีความจำเป็นเรื่องการหนัก หรือการรุงรัง ถ้ามาได้ ก็แสดงว่า พระเจ้าตากสินฯ ไม่ได้ตกนรก
ท่านบอกว่า ใช่ ผมไม่ตกนรก
ถามว่า ทำไมถึงไม่ตกนรก

ท่านก็เลยบอกว่า ผมตายในขณะที่ผมบวช
ก็ถามว่า เขาว่า รัชกาลที่ ๑ สั่งประหารชีวิตใช่ไหม
ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า รู้มาจากไหน แล้วทำไมถึงไม่จำ
ถามว่า จำอะไร

บอก จำเรื่องเก่า นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ให้ดีซิ จำได้ไหมว่า สั่งใคร ใครสั่งให้ฆ่าพระเจ้าตากสินฯ และใครรับพระเจ้าตากสินฯ ไปส่งพระเจ้าตากสินฯ ที่นครศรีธรรมราช ให้ไปอยู่ในถ้ำ เวลานั้นพระเจ้าตากสินฯ บวชเป็นพระ
พอท่านพูดเท่านี้ ก็งงหมด บอก ไม่รู้ เวลานี้รู้ไม่ได้ เพราะเวลานั้นเป็นโรคกระเพาะ ท้องมันอืด และไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้

ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากว่าท่านสงสัยว่า ผมไม่ใช่พระเจ้าตากสินฯ ท่านต้องการให้แต่งตัวกษัตริย์ ผมจะแต่งตัวกษัตริย์ให้ท่านเห็น
แล้วท่านก็เลยแต่งตัวเป็นกษัตริย์ ทรงเครื่องกษัตริย์พร้อมมูล บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านมีความงามสง่ามาก พระเจ้าตากสินมหาราช ท่านมาเวลานั้น เป็นเวลาหน้ายังหนุ่ม ๆ อยู่

รู้สึกว่า เป็นคนค่อนข้างสวย ลักษณะเพียบพร้อมทุกอย่าง ลักษณะบริบูรณ์ดีมากมีอาการคล่องแคล่วและท่านก็คุยต่อไป
ท่านบอกว่า เรื่องผีไม่ต้องกังวลนะครับ อยู่ในเขตนี้ ผมขอยืนยันว่า ผมจะคุ้มครองท่าน ไม่ยอมให้ผี หรือไสยศาสตร์ใด ๆ มาทำอันตรายกับท่านได้เลย

ก็ถามท่านว่า เวลานี้ท่านอยู่ที่ไหน
ท่านก็ตอบว่า เวลานี้ผมยืนอยู่ คุยกับท่าน ไอ้เราก็โง่ ถามว่าตายแล้วไปอยู่ที่ไหน
ท่านตอบว่า ท่านเจริญกรรมฐานแล้วใช่ไหม
ก็บอกว่า ใช่

ลองดูซิว่า ผมอยู่ที่ไหน นี่ผี กับคนทะเลาะกัน พอพูดเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เลยใช้กำลังใจนิดหน่อย
ก็เลยบอกว่า ตามภาพที่ปรากฏกับใจว่า พระเจ้าตากสินฯ ตายจากความเป็นพระเวลานั้นพระเจ้าตากสินฯ ปรารถนาพุทธภูมิ เวลานี้ในปัจจุบันเกิดชั้นดุสิตไช่ไหม

ท่านบอก อย่างนี้มันก็ดี พูดถูก พูดตรงอย่างนี้ก็ดีและควรจะรู้ต่อไปที่ว่า พระเจ้าตากสินฯ น่ะไม่ตาย แล้วใครทำให้พระเจ้าตากสินฯ ไม่ตาย
ก็บอก ไม่รู้ ท่านก็เล่าประวัติความเป็นมา บรรดาท่านพุทธบริษัท
ท่านก็เล่าความเป็นมาว่า พระเจ้าตากสินฯ จริง ๆ ท่านไม่ได้ตาย แผนทุกอย่างเป็นแผนของท่านทั้งหมด

ร. ๑ เป็นผู้รับแผนด้วยความจำเป็นและจำใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร. ๑ กับพระเจ้าตากสินฯ ฆ่ากันไม่ได้แน่ เพราะพระเจ้าตากสินฯ เป็นพระเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้านายของ ร. ๑ ประการที่สอง ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็ก ประการที่สามอยู่วัดมาด้วยกัน ประการที่สี่ ต่อมาเบื้องหลังรับราชการ ทำงานรบร่วมกันมา ประการที่ห้า พระเจ้าตากสินฯ เป็นลูกเขยของรัชกาลที่ ๑

คือ ลูกสาวของรัชกาลที่ ๑ คนหนึ่ง ไปเป็นชายาของพระเจ้าตากสินฯ ถ้าท่านรู้อย่างนี้ก็คิดว่า ฆ่ากันไม่ลง และแผนจริง ๆ ที่ไม่ฆ่ากัน ที่พระเจ้าตากสินฯ ต้องออก ก็เพราะว่า เป็นหนี้เจ้าสัวเมืองจีนเขา เขาจะเข้ามาเรียกว่า เขาจะเข้ามาทวงหนี้ เงินต้นท่านก็ไม่พอ ดอกเบี้ยที่ชำระก็ไม่พอ เขาจะเอาทั้งต้น ทั้งดอกเบี้ย แล้วก็กู้กันใหม่ ก็มีความจำเป็นจำใจต้องสละราชสมบัติ

วางแผนให้รัชกาลที่ ๑ กับกรมพระราชวังบวรฯ เวลานั้นเมืองเขมรแข็งเมืองพอดี ไปตีเมืองเขมร และให้นำลูกชายทั้ง ๒ องค์ไปด้วย บอก ถ้าตีเมืองเขมรได้ ลูกชายของฉัน เธอไม่ต้องเอามา ให้ครองเมืองเขมร แล้วเธอกลับเข้ามายึดพระนคร ท่านก็บวช แล้วแกล้งทำเป็นคนสติฟั่นเฟือน แต่ทว่า พระยาสรรค์ให้ไปทวงหนี้ ทวงส่วยที่อยุธยา กลับคบคิดกับบรรดาทหารที่อยุธยา

กลับมาจับพระเจ้าตากสินฯ พระยาสรรค์นี่โง่มาก ในที่สุดพระยาอภัย ซึ่งเป็นหลานรัชกาลที่ ๑ อยู่ที่นครราชสีมา ก็ยกทัพมาจับพระยาสรรคบุรีฆ่า แล้วก็ปล่อยพระเจ้าตากสินฯ ให้อยู่ตามสบาย ในเมื่อรัชกาลที่ ๑ ทราบว่า ทางเมืองกรุงธนบุรีวุ่นวาย ก็ไม่ได้ตีเขมร เมื่อกลับเข้ามาแล้ว ก็มาพักทัพอยู่ที่ทางบางกะปิ ยังไม่เข้ากรุง เพราะยังไม่ทราบว่า ในกรุงเป็นอย่างไรกันแน่

ในที่สุด ก็มีคนไปเชิญเป็นพระเจ้าอยู่หัว มาถึงที่ วัดสระเกศเขาเรียก วัดสะแก ก็สระผมที่นั่น จึงเรียก วัดสระเกศหลังจากนั้นก็เข้าพระนคร ลีลาในตอนนั้นก็เป็นของไม่ยาก ก็มีการประกาศว่า ต้องเป็น ปราบดาภิเษก คือฆ่าพระราชาองค์ก่อนแล้วขึ้นราชาภิเษกใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะถ้าสืบสันตติวงศ์ก็จะต้องชำระหนี้เขา นี่เป็นเรื่องโกงหนี้กัน เมื่อสั่งฆ่า ก็เอานักโทษที่ต้องประหารชีวิตนั่นแหละ ใส่ถุง

การฆ่าพระเจ้าอยู่หัวนี่ไม่ใช่ฟันคอทิ้ง เขาใส่กระสอบ ทุบด้วยท่อนจันทน์ แล้วใครจะรู้ว่า ไอ้คนที่อยู่ในกระสอบมันเป็นใคร และในที่สุด คณะก็พาพระเจ้าตากสินฯ ท่านต้องการไปอยู่นครศรีธรรมราช ก็ไปอยู่ในถ้ำที่นครศรีธรรมราช เวลานี้ยังมีปรากฏอยู่ ใครไปก็ได้ ชาวบ้านเขารู้ เขาจะนำไป และลูกชายพระเจ้าตากสินฯ องค์โต ก็ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช องค์รองลงมาก็เป็นพ่อค้าสำเภา

ท่านเล่าให้ฟังตอนนี้ แล้วท่านก็คุยเรื่อยไป คุยกันตั้งแต่เวลาทุ่มเศษ ๆ ไปถึงตี ๕ ครึ่ง
ท่านก็บอกว่า เวลามันใกล้สว่างแล้วครับ ผมจะต้องลากลับ
ก็ถามว่า ผีล่ะว่าอย่างไร

ท่านบอก ผีไม่ต้องกลัว ทั้งกลางวัน และกลางคืน ต่อไปไม่จำเป็นต้องเห็นผมอีก ผมป้องกันแน่นอน
เมื่อท่านจะกลับ ก็เลยบอก อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวก่อน มาที่นี่ไม่มีสตางค์ใช้เลย มีสตางค์ติดกระเป๋ามาแค่ ๒๐ บาท เงิน ๒๐ บาทนี่ติดกระเป๋าเป็นประจำ เงินที่มีอยู่ประจำตัวมีเท่านี้ คือมี ๒๐ บาทเพราะว่าคิดว่า จะเดินทางไปไหน จะได้ไปได้ นอกนั้นสร้างวัดหมด สร้างวัดบ้าง เลี้ยงพระหมดบ้าง

ท่านถามว่า จะเอาอะไร
ก็เลยบอกท่าน บอกว่า เวลานี้คนเขาเล่นหวย ๓ ตัวกัน มีหวยไหม ๓ ตัวบนก็ได้ ๒ ตัวล่างก็ได้
ท่านก็บอกว่า สมัยเรา ใช้ศัพท์ว่า สมัยเรา สมัยเรา ๆ ไม่เคยมีหวยประเภทนี้

ถามท่านว่า ทำไมถึงใช้ศัพท์ว่า สมัยเรา คำว่า เรา นี่หมายถึงว่า เคยเกิดร่วมกัน
ท่านบอกว่า ใช่ สมัยนั้น ท่านกับผมก็เกิดในสมัยเดียวกัน แต่ทว่าท่านพุทธบริษัท อย่าเล่าเรื่องรายละเอียดเลยนะ

อาจจะเกิดเวลานั้น อาจจะเกิดเป็นลูกชาวทุ่ง ชาวนา ชาวป่า ชาวดง ก็ได้ชาวอะไรก็ได้ ได้ทั้งหมด แต่เกิดสมัยเดียวกัน แต่ว่าไอ้สมัยนั้น ไอ้หวย ๓ ตัว ๒ ตัว ประเภทนี้ ไม่มี มีแต่หวย ก. ข.
ท่านบอกว่า มันมีแต่หวย ก. ข. นี่ ไอ้หวยประเภทนี้ไม่มี ผมก็เลยไม่รู้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมบังเอิญมีสตางค์ติดกระเป๋ามา ๒๕ สตางค์

ท่านก็ควักสตางค์โยนลงไปใต้เตียง เห็นเลข ๒๕ ชัด แล้วท่านก็ลากลับพอตอนเช้า หลานชายคือ จ่าเอกสุนทร สังข์สุวรรณ เวลานั้น เวลานี้เป็นเรือเอก กับ พันจ่าเอกกุหลาบ นึกนามสกุลไม่ออกก็มาหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ่าเอกสุนทร เธอรู้อยู่ว่าอาตมาเคยเจริญกรรมฐาน รู้เลขหวย แต่เวลานั้นเลิกแล้ว เรื่องหวย มันป่วย มันจะตายอยู่แล้ว จิตใจสบาย จิตใจสงบ เรื่องการรู้ ไม่ต้องการรู้

ก็เป็นอันว่า เธอก็มาถาม เมื่อคืนมีอะไรบ้างครับ หลวงอา
ก็เลยตอบว่า เมื่อคืนนี้ พระเจ้าตากสินฯ มาหา
เธอก็ถามว่า มีอะไรบ้าง

บอกว่า เรื่องอื่นคุยไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องความลับ ถ้าขืนคุยไป ข่าวออกไปหลวงอาก็กลายเป็นคนบ้า เป็นอันว่า พระเจ้าตากสินฯ ยืนยันว่า ท่านเป็นพระเจ้าตากสินฯ และก็เล่าความเป็นมา ตามที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้นี้ นิดหน่อย แล้วบอกว่า หลวงอาเกิดในสมัยนั้น แต่คงจะเป็นลูกชาวนาจน ๆ อยู่ข้างนอก เพียงให้รู้ว่า เวลานั้นมีแต่เลขจับยี่กี

เขาไม่มีเลขท้าย ๓ ตัว ขอเลขท้าย ๓ ตัวท่าน ท่านบอกผมไม่มี แต่ว่ามีสตางค์มา ๒๕สตางค์ เอาเหรียญสลึงแต่มันเป็นเลข ๒๕ สตางค์ โยนลงไปใต้เตียง พอเขาฟังเท่านั้น ปรากฏว่าข่าวตอนเช้า บรรดาท่านพุทธบริษัทข่าวมันไปเร็วจริง ๆ ตอนเช้าปรากฏว่าทั้งโรงพยาบาล ทั้งในโรงพยาบาลนอกโรงพยาบาล รู้ข่าวกันเต็มไปหมด ข่าวอะไรนี่ไม่สำคัญเท่าข่าวหวย ข่าวซัดดัมนี่ยังไม่แน่นอนนัก

ฟังกันไปฟังกันมา ก็ยังไม่แน่นอน แต่ข่าวหวยนี่แน่นอน เป็นอันว่า อาตมาเองก็ไม่รู้ว่า เป็นหวย เธอตีกันทันทีว่า ๒๕ นี่ต้องเป็นคู่ล่าง เลขท้าย ๒ ตัวข้างล่าง เล่นกันทั้งหมด จะว่าหมดโรงพยาบาลหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ เล่นกันหนักจริง ๆ ปรากฏว่า มีจ่าเอกคนหนึ่งถูก ได้เงินหนึ่งถุงข้าวสาร กระสอบข้าวสาร ลองคิดดูเท่าไร ไอ้แบงค์ใบละ ๑๐๐ หนึ่งกระสอบข้าวสาร ในที่สุดเธอก็ลาออกไป

ไม่รู้ชื่อจ่าอะไร จำไม่ได้ เป็นจ่าเอก เขาเล่าให้ฟัง แต่ไม่เคยเห็นหน้าก็รวมความว่า เรื่องพระเจ้าตากสินฯ เวลานั้นก็คุยกัน จำภาพได้ชัดว่า ภาพพระเจ้าตากสินฯ กับภาพที่เขาปั้น หน้าไม่เหมือนกันแน่จึงเอาหน้าภาพนั้นมาปั้นที่วัดท่าซุงในเวลาปัจจุบัน แต่เรื่องนี้มันก็แปลกเวลาเขาปั้นเฉย ๆ ธรรมดา ๆ ท่านเจ้าของก็มา ติโน่นแต่งนี่ ให้แต่งตรงนั้น แต่งตรงนี้

เอาภาพตอนที่ตีฟันฝ่าข้าศึกที่อยุธยา ออกไปทางด้านชลบุรี เมื่อตอนที่เป็นปูนจริง ๆ สีปูนเหมือนมาก พอปิดทองแล้วหน้ากลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง อันนี้เป็นที่อัศจรรย์ ปิดทองแล้วมองไม่เหมือน แต่ก็ไม่เป็นไร บางทีใครอาจจะสงสัยว่า ทำไมปั้นพระรูปพระเจ้าตากสินฯ ที่วัดท่าซุง จึงไม่เหมือนที่ธนบุรี ก็ต้องตอบว่า ปั้นตามภาพ และเวลาปั้นก็ให้เจ้าของท่านมาติ เอาอย่างนั้นเอาอย่างนี้

นี่เล่ากันตามเป็นจริงนะ ทีนี้หลังจากนั้น ต่อมาอีกคืนหนึ่ง เวลาประมาณสัก ๔ ทุ่มก็มีคน ๆ หนึ่ง มานั่งเก้าอี้ที่หน้าห้องมีลูกน้อง ๒ - ๓ คน คนนี้อ้วน ๆเตี้ย ๆ ผิวคล้ำ แล้วก็ชะโงกหน้าเข้ามา
บอกว่า ท่านครับ ไม่เป็นไรหรอกไอ้โรคกระเพาะเพียงเท่านี้ ไม่ช้าก็หาย แต่ระวังนะ โรคต่อไปจะมาใหม่ โรคต่อไปจะมีอาการร้ายแรงมาก ท่านจะต้องนอนโรงพยาบาลถึง ๒ ปี ถ้านอนไม่ถึง ๒ ปีก็อยู่ไม่ได้ ถ้าออกจากโรงพยาบาลไปแค่วันเดียว จะถ่าย ๑๒ ครั้ง ต้องเข้าโรงพยาบาลใหม่

ถามว่า ทำไม
ท่านบอกว่า เป็นกฎของกรรม
ถามท่านว่า เป็นใคร
ท่านบอก ผมเคยเป็นแพทย์ใหญ่ที่นี่ เป็นเจ้ากรม

ก็เป็นอันว่า พอตื่นขึ้นเช้าก็ถาม จ่าเอกสุนทร สังข์สุวรรณ ถาม คนนี้คือใคร เธอก็ตอบว่า คนนี้คือ หมอสงวน เคยเป็นแพทย์ใหญ่ที่นี่ หรือเจ้ากรมนั่นเอง ในที่สุดคืนที่ ๓ ก็มี ปรากฏว่า เวลาเดียวกัน ก็มีคนรูปร่างเหมือนฝรั่งมายืนมองไป มองมา ที่ข้างเตียง ต่อมาก็ถามพวกนายทหารพวกพยาบาล ถามว่า คนนี้เป็นใคร เขาบอกว่า หมอเล็ก รูปร่างคล้าย ๆ ฝรั่ง

ก็เป็นอันว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ปีนั้นเป็นวันตัดเชือก คือ ป่วยคราวนั้นก็ไม่มากนักแต่ว่าเป็นคนไม่มีสตางค์ พระท่านไปค้นสตางค์ในกุฏิ ได้มาอีก ๑๘๐ บาท หลงอยู่ตามหนังสือบ้าง อะไรบ้าง รวมความว่า มีสตางค์จริง ๆ ๒๐๐ บาท เครื่องอุปกรณ์การใช้ก็ไม่มี และคนบางนมโคก็ใจดีจริง ๆ ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเลย แต่มีคนมาเยี่ยมทุกวัน แต่คนที่อื่น ทุกวัน มีแขกทุกวัน เต็มห้อง หมอก็อนุญาตเป็นพิเศษ

ถ้ามาเยี่ยม พระมหาวีระ ก็ปล่อยเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าในเมื่อเขาให้สตางค์ เขาถูกหวย เขาให้สตางค์ เราก็ใช้โน่นใช้นี่ ซื้อกินตามที่ต้องการของคนป่วย คือ บางทีอาหารที่โรงพยาบาลจัดให้มันเป็นที่ไม่พอใจ เรียกว่า กินไม่สะดวกก็แล้วกัน ก็ใช้เขาซื้อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือเอกสุนทร สังข์สุวรรณ มีความห่วงใยมาก กับพันจ่าเอกกุหลาบ ต่อมาเป็นเรือตรีกุหลาบ ช่วยกันรักษาเป็นอย่างดี

ต่อมาก็มีคนรู้ข่าว ก็มาหาหวย ก็ไม่มีหวยให้เขา พระเจ้าตากสินฯ ก็ไม่มาให้ หลังจากนั้นคืนหนึ่ง >หลวงพ่อปานก็ปรากฏ ว่า จงให้หวยเขาเสียก่อนซิ จะได้มีสตางค์กิน สตางค์ใช้
ก็บอก ผมป่วยอย่างนี้ ไม่ไว้ใจตัวเองขอรับ เรื่องฌานสมาบัติ มันฟั่นเฟือนได้ เรื่องทิพพจักขุญาณฟั่นเฟือนได้ อาจจะมีอุปทานเกิดขึ้น

ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าหวยออก ฉันมาบอกให้ ๑ ตัว เอาแค่ตัวเดียวนะ อย่าบอกเขาหลายตัว แล้วก็อย่าบอกที่นอนให้ มันจะอยู่ข้างหน้า หรืออยู่ตรงกลาง หรืออยู่ข้างหลัง อย่าบอกให้ แล้วก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆเป็นอันว่า เวลานั้นไม่ทราบว่า หมอชื่ออะไร นึกไม่ออก เธอมาดูอยู่เป็นปกติทุกวัน

ก็บอก อาจารย์ขอรับ เวลานี้ผมอยากจะซื้อรถสักคัน
บอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกันหมอ เอาหวยไป ๑ ตัว เธอก็ไปเล่น ๑๐๐บาท แล้วก็ได้ ๓๐๐ บาท เธอก็เอาเงิน ๑๐๐ บาทเก็บ เอาทุนเก็บงวดที่ ๒ ก็เล่นอีก ๒๐๐ บาท ก็ได้มา ๖๐๐ บาท งวดต่อไปก็เอา๖๐๐ บาทแทง แทงเรื่อยไปถึง ๑,๐๐๐ บาท

ก็คราวละพัน ๆ เวลานั้นปรากฏว่า รถเบนซ์มาใหม่ ๆ ราคา ๖,๐๐๐ บาท แต่ว่าปีนั้นขึ้นราคาเป็น ๙,๐๐๐ บาท หมอคนนั้นเอาเงินซื้อรถเบนซ์ได้ เมื่อซื้อรถเบนซ์แล้ว
เธอก็บอกต่อไปว่า อาจารย์ครับ ไม่มีค่าน้ำมัน ก็ให้เธอคราวละตัวเธอจะรวยเท่าไรก็ไม่ทราบ ก็รวมความว่า การป่วยคราวนั้นมีแขกมากประจำทุกวัน

ทางท่าราชวรดิษฐ์ข้างบน พอมาถึงปั๊บ ทหารจะถามว่า ไปหาพระมหาวีระที่โรงพยาบาลใช่ไหม แขกบอกว่า ใช่ ยามก็ใจดี ถ้าบอกมาหาพระมหาวีระ ยามก็ปล่อยให้เข้ามาทันที ไอ้ยามก็สะกดรอยตาม ไม่ใช่ยามเกรงว่าจะขโมยของ ยามอยากจะฟังว่า ให้หวยเลขอะไร ก็เป็นอันว่าอาหารการบริโภคก็บริบูรณ์ทุกอย่าง อาหารมันเต็มโต๊ะ เกินที่จะกิน คนไข้สัก ๑๐ คน ก็กินไม่หมด

คนที่ไม่เป็นไข้สัก ๑๐ คน ก็กินไม่หมด ในเมื่อฉันไม่หมด ก็เป็นหน้าที่ของพยาบาล พยาบาลต้องทำความสะอาดห้องอาหาร เพราะเป็นห้องพิเศษ เขาก็ต้องเก็บไปชำระล้าง แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็มีอย่างหนึ่งว่า อึ่งทอดนี่อาตมากินไม่ได้ ฉันไม่ได้สงสาร เขาทอดมาทั้งตัว แต่เป็นที่น่าแปลกใจ วันแรก เขาเอาอึ่งทอดมาถวาย ๑ ตัว วันต่อมาปรากฏว่า อึ่งมากขึ้นทุกวัน ๆ

มารู้ภายหลังว่านายทหารที่นั่น แกชอบกินอึ่งกับเหล้า กระซิบบอกแขกที่มา บอกอาจารย์ชอบกินอึ่งทอด อึ่งทอดถึงได้มีมากทุกวัน ก็เป็นอันว่า สำหรับวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็จบกันแค่อึ่ง เพราะสัญญาณบอกเวลาหมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/6/13 at 13:10 [ QUOTE ]


8
พักฟื้นจากป่วยที่วัดชิโนรส

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ยังเป็น วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๓๔ เป็นวันสำคัญที่สหประชาชาติตัดเชือกให้อเมริกา ฝ่ายสัมพันธมิตร ใช้อาวุธกับอิรัก เขาจะใช้ หรือไม่ใช้ ก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน มาเล่าเรื่องของเราต่อไปหลังจากที่ป่วยคราวนั้น เป็นโรคกระเพาะอาหาร เรือตรีกุหลาบกับเรือเอกสุนทร ช่วยเป็นพิเศษ

ให้น้ำเกลือบ้าง ให้กลูโคสบ้าง นอกจากยาที่หมอสั่ง หมอสั่งยา ก็สั่งเล็กน้อย ไม่มาก แต่สองคนนี่ช่วยอย่างหนัก ในที่สุดก็พ้นจากโรงพยาบาลมาได้ เมื่ออยู่ประมาณสัก ๒เดือนก็พ้นจากโรงพยาบาล แต่ว่ากำลังจิตใจ ตอนนี้ขอเล่าเรื่องจิตใจสักหน่อยหนึ่งว่า จิตใจเวลานั้น ท่านพุทธบริษัทมันหมดห่วงทุกอย่างไม่มีกังวลทุกอย่าง

ทรัพย์สินก็ตาม ร่างกายก็ตาม ผู้คนก็ตาม ไม่เคยนึกถึง แต่คนบางนมโคก็ดีจริง ๆ ไม่มีใคร ไปเยี่ยมสักคน นี่จะเห็นว่าการทำคุณกับคนนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท สร้างชื่อเสียงให้กับวัด วัดมีรายได้มาก มีความรุ่งเรือง มีชื่อเสียงมาก แต่เวลาป่วยไข้ไม่สบายมีความทุกข์ คนเขามองไม่เห็น เขาเห็นอย่างเดียวว่า ทรัพย์สมบัติมีอะไรบ้าง จะมาขอ

เขามีทายกมาขอ ๒ คน ก็เลยบอก ไม่ใช่ของฉัน มันเป็นของสงฆ์ สภาพอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังแล้วน่าสลดใจไหม แต่ความจริงการพูดนี่ ไม่ได้หวังการทวงบุญทวงคุณเขาก็คิดว่า เวลาที่อยู่ คนทั้งตำบล ที่เกลียดก็มี ที่รักก็มี ที่สงเคราะห์ให้มีความสุขก็มี แต่ทว่าเวลาเรามีทุกข์ เขาไม่ยักทุกข์ด้วย แม้แต่เยี่ยมเยียนก็ไม่เคยไป

และนอกจากนั้น แม้แต่หนังสือจดหมาย ก็ไม่เคยมีไปถึง ก็ไม่ได้มีความน้อยใจอะไร เพราะเข้าใจอยู่แล้ว อาตมามีพระเป็นที่พึ่ง มีเทวดาเป็นที่พึ่งต่อมาเมื่อทำท่าหายดี ก็กลับ กลับไปถึงวัดบางนมโคได้วันเดียวท้องถ่าย ๑๒ ครั้ง ตามที่หมอสงวนบอกไม่มีผิดเลย เช้าต้องขึ้นเรือไปที่โรงพยาบาล กลับไปใหม่ ทางโรงพยาบาลก็ดีเหลือเกิน ก็รับไว้

แล้วต่อมา อาการหนักขึ้นมาอีก เมื่ออาการเบาแล้ว ก็กลับมาวัด ตอนนี้มีอาการหนัก อาเจียนเป็นเลือด กระโถนกว่า ก็ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลใหม่ คราวนี้ต้องอยู่ถึง ๒ ปี แต่เวลาเข้าถึงโรงพยาบาลได้แค่วันเดียว ก็รู้สึกว่า ร่างกายมันดีตามปกติ ไม่มีอะไรผิดปกติ อาการปกติดี ๆ อยู่ แต่ทว่าออกไม่ได้ ทีนี้ในเมื่อเข้าไปใหม่ ก็ปรากฏว่าคราวนี้มีเรื่องแปลก

ขณะที่นอนอยู่คืนหนึ่ง ก็มีนายทหารเวลา ๔ ทุ่มเศษ ๆ ไฟฟ้าก็สว่าง ๆ มีนายทหารคนหนึ่ง แต่งตัวเป็น พลเรือจัตวามีเครื่องแบบพร้อมไปถึงก็ปัดที่ ปึ๊บ ๆ ๆ ระหว่างห้องนั้นมันมี ๒ เตียงคือเตียงคนไข้ กับเตียงคนเฝ้าไข้ แต่คนเฝ้าไข้เขาไม่อนุญาตให้อยู่ ก็เห็นแกมาปัดอยู่ตรงกลาง

ก็ถามว่า ปัดทำไม
แกบอกว่า ผมจะนอนขอรับ
บอก ก็นอนบนเตียงโน้นซิ
แกบอก ไม่เอา ผมจะนอนตรงนี้ขอรับ

เมื่อปัดเสร็จแกก็ปูเสื่อ เอาหมอนวาง กางมุ้ง แล้วก็นอนทั้ง ๆ ที่มีเครื่องแบบ ก็ทราบดีว่า คนประเภทนี้ ไม่ใช่คนแน่ ผี เพราะว่าประตูใส่กลอนแล้วเข้ามาได้ ก่อนที่แกจะนอน
แกก็บอกว่า นิมนต์นิมนต์ท่านจำวัดตามสบายครับ ผีทุกอย่างมันจะเข้ามาไม่ได้ ในเมื่อผมอยู่ที่นี่ ผมจะป้องกันทุกอย่าง

ก็ถามว่า โยม เป็นนายทหารคนหรือนายทหารผี
แกบอกว่า ผมเป็นนายทหารคนครับ แต่เวลานี้เป็นผี
เลยถามว่า เป็นผีชั้นไหน
แกบอกว่า ผมอยู่ชั้น จาตุมหาราชครับผมชื่อ คล้อย พลเรือตรีคล้อย

ก็เป็นอันรู้กันว่า เวลานี้ผีเข้ามาคุ้มครองตอนนี้การรักษาก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รักษากันไป ร่างกายรู้สึกว่า มันดีทุกอย่าง แต่ออกไม่ได้ เพียงแค่ออกมาอีกครั้งหนึ่ง ถ่าย๑๒ ครั้งเหมือนกัน ต้องกลับเข้าไปใหม่ ทีนี้เลยตัดสินใจอยู่ครบ ๒ ปีอยู่ครบ ๒ ปี โรงพยาบาลก็เป็นบ้าน เขาก็เช็คร่างกายจนดีเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง หายเป็นปกติหมด

อาการอักเสบต่าง ๆ รอยร้าวต่าง ๆในร่างกายภายในดีหมด ก็ออกมา แต่ออกมาก็ตามคำสั่งของพระเจ้าตากสินฯ คืนก่อนที่จะออก พระเจ้าตากสินฯ บอกว่า อย่าเพิ่งกลับวัดนะขอรับ ไปพักที่วัดชิโนรสก่อน วัดชิโนรสอยู่หลังกองทหารเรือใกล้ ๆ พวกพยาบาลจะได้ไปเยี่ยม ตอนนี้เป็นการให้พักฟื้นสัก ๑ปีก่อน อย่าเพิ่งกลับ ถ้ากลับวัด มีงานมาก

ประเดี๋ยวโรคจะกำเริบก็ต้องเชื่อท่าน พอวันรุ่งขึ้น ก็มีญาติโยมใกล้วัดชิโนรส ชอบกัน เจ้าคุณสุวรรณเวที มารับ บอกว่า ท่านจะออกจากโรงพยาบาลไปอยู่ที่วัดชิโนรสเจ้าค่ะ ฉันฝากท่านไว้แล้ว โยมคนนั้นชื่อ โยมเน้ย ก็ไปกับโยม ไปถึงท่านเจ้าคุณก็รับรองดี ท่านเจ้าคุณเป็นคนชัยนาท เป็นคนอำเภอสรรคบุรี ชัยนาท ไปอยู่กับท่านก็ดี ตอนนี้ดีมาก

เพราะอะไร เพราะว่าวัดเล็ก ๆ มีกุฏิอยู่ ๔ หลัง แล้วก็มีหอสวดมนต์อีกหลังมีศาลาอีกหลัง วัดเล็กเท่านั้นเอง วัดชิโนรสสมัยนั้น กุฏิก็แสนจะโกรงเกรง ยังนึกในใจว่า วัดหลวงหรือนี่ วัดหลวงมีสภาพแบบนี้แสดงว่า หลวงผอมเต็มที แต่ก็ไม่ได้นึกตำหนิเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสเพิ่งเป็นใหม่ เขาส่งไปจากวัดระฆัง เป็นเปรียญ ๗ ประโยคพอไปอยู่ที่วัดชิโนรส

อาการก็สดชื่นขึ้น พยาบาลบ้าง แพทย์บ้าง ก็ตามไปเยี่ยมเกือบทุกวัน ตอนเย็น ๆ เธอจะกลับบ้านก็ตามไปเยี่ยม ถาม วันนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ ให้ยาเสริมบ้าง อะไรต่ออะไรบ้างตามปกติ ญาติโยมก็นำอาหารมาให้ดี และญาติโยมที่ดี ก็คือญาติโยมที่เล่นหวย ตามมาขอหวยตามเดิม หลวงพ่อปานท่านก็เมตตาให้๑ ตัวตามเดิมเหมือนกัน

พวกเล่นหวยนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องอาศัยกันชั่วคราว และได้เฉพาะบางราย เอาทุกรายไม่ได้ เพราะอะไรถ้าเธอถูกก็หายไปเลยหรือไม่อย่างนั้นก็มาขอใหม่ ถ้าผิด ดีไม่ดีก็ด่าเลย ถ้าจะหวังผลจากคนเล่นหวย อย่าไปหวังเลย อดตายเถอะ เพราะคนเล่นหวยนี่ รู้สึกคุณคนได้น้อย ถ้าถูกหวย จะมาแบ่งให้สัก ๙ บาท๑๐ บาท เอาสัก ๑ เปอร์เซ็นต์

มันก็ยังดี ที่ไม่ได้จริง ๆ เยอะแยะจะมีได้บ้าง ก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวให้ชาม ซื้อกาแฟให้ถ้วยหนึ่ง บางคนเสียอีกไม่ใช่ทุกคน ฉะนั้น การให้หวยเป็นของไม่ดี แต่ว่าเวลานั้น ก็ยังมีคนดีอยู่มาก ท่านก็เมตตาให้ ๑ ตัว ก็ ๑ ตัว ถ้าถาม ๒ ตัว บอก ไม่มีต่อมาวันหนึ่ง ก็มีพระองค์หนึ่งท่านไปติดต่อสถานีวิทยุ ท่านเป็นพระจังหวัดชลบุรี ท่านมาบอกว่า ท่านว่าง ๆ ไปออกอากาศก็แล้วกัน

ได้วิทยุกองพลที่ ๑ อาตมาก็ไม่รู้ว่า สถานีวิทยุเขาออกกันอย่างไรและก็เขาทำอย่างไร ก็นึกหวาด ๆ เหมือนกัน เทศน์น่ะเคยเทศน์ แต่ออกอากาศนี่มันหวาด ๆ คิดว่าคนฟังทั้งประเทศ ก็รับปากท่านพอถึงวาระที่จะไป ก็กำลังนั่งเขียนหัวข้อ หัวข้อสั้น ๆ ว่า วันนี้เราจะพูดอะไรบ้าง เขียนหัวข้อสั้น ๆ สัก ๓ หัวข้อ แต่ถ้าพูดจริง ๆ แค่หัวข้อเดียว

มันก็หมด ๓๐ นาทีขณะที่นั่งเขียนหนังสืออยู่ ขอเล่าย้อนไปนิดหนึ่ง ก่อนหน้านั้นวันหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่ง สามีเป็นเรือเอก ไปรบที่เกาหลี บ้านของเธอก็เป็นบ้าน ๒ ชั้น ปรากฏว่า มีเสาตกน้ำมันเสาร่วมใน ไปหาหมอฆราวาส เขาบอก ต้องถอนทิ้ง ไปหาพระก็บอก ต้องถอนทิ้ง เธอก็นำธูปเทียนมา ใส่พานมาหาอาตมาวันนั้น

บอก หลวงน้าช่วยดูหน่อยเถอะว่า เสาตกน้ำมัน มีความร้ายแรงเพียงใด ก็เลยบอกว่า หลานสาว วันนี้หลวงน้าจะไปสถานีวิทยุ พรุ่งนี้มาฟังข่าวก็แล้วกันนะ เธอก็รับ แล้วเธอก็ลากลับ ก็กำลังจะเริ่มลงมือเขียนหัวข้อ ก็ปรากฏว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งสวยมาก แต่งตัวสวย แพรวพราวเป็นระยับไปด้วยเพชรพลอยมีชฎา นั่งปุ๊บอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ

เธอหันหน้ามาถามว่า ฉันมีความผิดคิดร้ายอะไร ถึงต้องไล่ฉันไปจากบ้านนั้น อาตมาความจริงไม่ได้หลับตา บรรดาท่านพุทธบริษัท เธอมากำลังลืมตา กลางวันไม่ใช่กลางคืน ถ้ากลางคืนก็น่ากลัวจะเผ่นเหมือนกัน ให้สวยแสนสวยขนาดไหน ถ้ามาปุ๊บปั๊บแบบนั้นก็เผ่น เผ่นแน่รับรอง ไม่ใช่เผ่นเข้าไปหาเธอนะ เผ่นหนีแต่ว่ามันเป็นกลางวัน

จึงได้มองหน้าเธอ แล้วก็ถามว่า เธอพูดเรื่องอะไร ฉันไม่รู้
เธอก็บอกว่า พระก็ดี ฆราวาสก็ดี สั่งถอนเสา ๆฉันทำผิดคิดร้ายอะไร จึงจะไล่ฉัน
ก็ถามว่า เธอเป็นใคร
เธอก็บอก เธอเป็นนางไม้ เป็นรุกขเทวดา อยู่ที่เสาต้นนั้น

ถามว่า เธออยู่ที่เสาหรือ
เธอบอก ไม่ใช่ วิมานแปะที่เสา เพราะเสาต้นนี้เป็นต้นไม้ในป่า เมื่อเขาฟันลงมาแล้ว วิมานฉันก็พัง ฉันก็ต้องเดินดิน ฉันก็เดินตามมาเรื่อย ๆ พอเขาตั้งขึ้นมาเป็นเสา วิมานก็แปะได้ จึงมีสภาพเสาตกน้ำมัน
ก็ถามว่า การที่เป็นอย่างนี้ มันมีคุณ หรือมีโทษ

เธอก็บอกว่าไม่เห็นจะมีอะไร ฉันก็ไม่ได้ให้โทษ แต่ว่าถ้าต้องการโทษก็ได้ ต้องการคุณก็ได้ ถ้าแกล้งฉัน ฉันก็ให้โทษ แต่ให้โทษได้เล็กน้อย มากก็ไม่ได้อย่างมากก็แค่ทำเสียงให้ปรากฏบ้าง อะไรบ้าง อย่างที่เคยได้ยินมาแล้วที่วัดบางใหญ่
ก็เป็นอันว่า ก็ถามเธอว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเจ้าของเขาต้องการลาภสักการะ จะช่วยได้ไหม

เธอก็บอกว่า ถ้าเล็กช่วยได้ ใหญ่ช่วยไม่ได้
จึงได้ถามเธอว่า ถ้าจะช่วยเล็ก นั่นหมายความว่าอย่างไร
เธอก็บอกว่า เลขท้าย ๓ ตัว เลขท้าย ๒ ตัว แต่ไม่ใช่เขียนนะ ต้องซื้อไปซื้อล็อตเตอรี่
และถามเธอว่า จะต้องเลือกเลขไหม ก็บอก ไม่ต้องเลือก ถ้านึกอยากจะเล่นเลขอะไร เลขอันนั้น ฉันจะดลใจให้เขาซื้อเอง

และถามว่า เขาต้องการทำอะไรบ้าง
เธอก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอาพวงมาลัยมา แต่อย่าเอาตะปูตอกที่เสา ที่เขาตอกแล้วก็แล้วกันไป เสากับฝามันติดกัน ให้เอาตะปูตอกข้างฝา เอาพวงมาลัยคล้องด้านโน้น ด้านนี้ แล้วเอาผ้า ๓ สี สีเหลือง สีเขียว สีแดงสีชมพูนะ แล้วเอาน้ำหอมประ เอาทองปิด นิมนต์พระไปสัก ๕ องค์ฉันเพลก็ได้ เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้ฉัน แล้วฉันจะช่วย

พอรุ่งขึ้น เจ้าของมา ก็เลยบอกตามนั้น เธอก็ทำทันที เธอก็บอก ถ้าอย่างนั้นฉันนิมนต์หลวงน้า ๑ องค์ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อีก๔ องค์ หลวงน้าจัด ก็เลยบอก หลวงน้าจะจัดให้ ถามว่า เธอจะเลี้ยงอะไร เธอก็บอกอาหารอย่างดีทุกอย่าง เลยถามเธอบอกว่าอยากจะให้พระฉันมาก หรือให้พระฉันน้อย ก็บอก ที่บอกมานี่ทำของดี อยากจะให้พระฉันมาก ๆ

เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันถ้าต้องการให้พระฉันมาก ๆ ของที่บอกมาแล้วนั่น งดเสีย ให้ใช้น้ำพริกปลาร้า ผักต้ม และผักดิบ มีปลาย่าง ถ้าจะมีของน้ำ ๆ ก็มีต้มยำหม้อเดียวพอ จะเป็นต้มยำหมู หรือต้มยำปลาก็ได้ แต่ปลา อย่าใช้ปลาเป็นนะ ให้ใช้ปลาที่ตายแล้ว ซื้อเขามา มันจะบาป ทำบุญอย่าผสมบาป

เธอก็ยอมรับ วันนั้นจริง ๆ พระไปฉันกัน ล่อซะหงำเหงือกเพราะพระไม่ค่อยได้ฉันน้ำพริกปลาร้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีต้มยำเรียกว่า ล้างคอ เล็ก ๆ น้อย ๆ พอสมควร ที่หมดมาก คือผักต้มปลาย่าง กับน้ำพริกปลาร้า หมดมาก ต้มยำก็หนักเหมือนกัน เธอก็ดีใจพอทำเสร็จปรากฏว่า เดือนนั้นเมื่อหวยออก เธอถูกรางวัลเลขท้าย ๓ ตัว ๕ ใบ เลขท้าย ๒ ตัว ๑๒ ใบ

เมื่อถูกแล้ว เมื่อถึงวันเสาร์อาทิตย์ เธอก็ทำบุญใหม่ ทำบุญอีก เลี้ยงพระอีก เธอก็ถูกอีก รวมความว่า เธอถูกแบบนั้นทุกงวด เลขท้าย ๓ ตัว เลขท้าย ๒ ตัวถูกคราวละ เป็นอันว่าคราวละ ๑๐ ใบกว่าทุกครั้ง เลขท้าย ๓ ตัวก็๕๐๐ บาท ถ้า ๑๐ ใบก็ ๕,๐๐๐ เลขท้าย ๒ ตัวก็ ๒๐๐ บาท ถ้า๑๐ ใบก็ ๒,๐๐๐ ตัวเธอเองก็ไม่อยู่ว่าง เมื่อสามีไม่อยู่ ก็ไปทำงานโรงงานยาสูบ

ก็เป็นอันว่า เธอก็ตั้งตัวได้ ไม่ต้องถอนเสาทิ้ง ที่นำเรื่องนี้มาคุย ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า เรื่องเสาตกน้ำมันนี่ เป็นเดือดเป็นร้อนกันมาก ความจริงไม่มีอะไรเป็นโทษ ถ้าหากว่าเราไม่กลั่นแกล้งเขา โทษจะไม่มี ถ้าปรากฏว่ามีกับบ้านใคร อย่าเอาตะปูไปตอก และถ้าต้องการให้มีคุณ ก็ทำตามที่แล้วมาก็แล้วกัน

เพราะนางไม้ เธอบอกอย่างนั้น อาตมาก็บอกตามนางไม้เธอเมื่อป่วยอยู่ที่วัดชิโนรส แพทย์ และพยาบาลก็มาดูอยู่เสมอก็อาการดีขึ้น เวลานั้นก็ตัดสินใจคิดว่า วัดบางนมโคไม่กลับแล้วตำแหน่งเจ้าอาวาส หรือตำแหน่งใด ๆ เท่าที่มีอยู่ขอพัก เขียนหนังสือไปลาออก เขาก็โต้ตอบมาบอก ยังไม่ให้ออก ก็ตอบไปว่า ให้ออกหรือไม่ให้ออก ก็ไม่กลับไปทำงานอีก

ก็ถือเป็นการออกไปโดยปริยายทีนี้มีคนอื่นอยากจะเป็นเจ้าอาวาส เขาก็บอกว่า เจ้าอาวาสองค์เดิมไม่ขาด เธอก็มา ทำท่ามาเยี่ยม แต่ว่าจะมาขอให้ลาออก แต่เธอก็ไม่กล้าพูด อาตมาก็ไม่พูด บอกช่างมัน ใครอยากจะให้เป็น ก็เป็นไปเราไม่เป็นก็แล้วกัน เบื่อเต็มทีแล้ว บวชมาตั้ง ๒๐ ปี นี่เข้าพรรษาที่๒๐ พอดี เมื่อเข้าพรรษาที่ ๒๐ ก็นึกถึงหลวงพ่อปานได้ว่า

ท่านบอกว่าเมื่อครบพรรษาที่ ๒๐ ให้ออกจากวัด ก็ตัดสินใจว่า คราวนี้เราออกจากวัดแน่ การออกจากวัดนี่มีความสุขมาก อยู่โรงพยาบาล ก็มีความสุข ถึงแม้จะมีความทุกข์จากทางร่างกายบ้าง แต่จิตใจมีความสุข มาอยู่ที่วัดชิโนรสก็มีความสุข แต่สุขสู้โรงพยาบาลไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะเสือเหลืองนี่ไม่ใช่เล่นน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท เสือเหลืองนี่ไม่ใช่เล่น เรื่องอิจฉาริษยานี่หนักมาก

มีพระอยู่ไม่กี่องค์ และมีคนอยู่๒ คน ไม่ขอเรียกพระ เธอตั้งแง่อิจฉาริษยาเป็นกรณีพิเศษ แต่อาตมาก็เฉย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ยังไปยุเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสความจริงก็หูหนัก แต่บางครั้งก็เป็นหูนุ่น อาตมาก็เฉย แล้วนึกว่า วัดนี้เราจะอยู่ชั่วคราว เราไม่อยู่ตลอดกาล เราไม่พอใจเมื่อไร เราก็ไปเมื่อนั้นหลังจากนั้นต่อมา เขาก็มีเรื่องกันที่จังหวัดชัยนาท

เวลานั้นอาตมายังติดต่อกับวัดอนงคารามอยู่ แทนที่จะอยู่วัดอนงค์ หรือวัดประยุรวงศ์ แต่มันไกลจากโรงพยาบาล ไกลจากแพทย์ ก็อยู่ที่วัดชิโนรส คิดว่า เราจะเข้าวัดประยุรวงศาวาสตามเดิมก็เข้าได้ แต่ว่าจะไปหนักภาระ ภาระจะมีมาก อยากจะหนีเข้าป่าให้มีความสุข ก็บังเอิญที่จังหวัดชัยนาทเขามีเรื่องราวกัน ระหว่างพระต่อพระ

ทางเจ้าคณะภาคคือ เลขาเจ้าคณะภาค คือ เจ้าคุณศรี พระรุ่นเล็ก ที่กินพริกป่นกับน้ำปลามาด้วยกัน บอกว่า หลวงพี่ช่วยไปดูหน่อยได้ไหม ความจริงเป็นอย่างไร ก็เลยมาดูที่จังหวัดชัยนาท ก็มาพักอยู่ที่วัดต้นโพธิ์ วัดศรีมหาโพธิ์ เวลานี้ เวลานั้นยังเป็นสำนักสงฆ์ตั้งใหม่ ๆ มีกระต๊อบเล็ก ๆ คิดว่า อยู่กระต๊อบเล็ก ๆ อย่างนี้ มีความสุข

ดีกว่าอยู่ตึกใหญ่ ๆ กระต๊อบเล็ก ๆ ไม่ต้องใช้ใครถู ใช้ใครกวาด เรากวาดเราถูของเราเองก็ได้ แต่เรื่องหมานี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไปอยู่ที่ไหนต้องมีหมาที่นั่นหมาเธอก็มาอยู่ด้วย เราก็สงเคราะห์ พอมาถึงที่วัดโพธ์ ก็มีคนมาเล่าความเป็นมาของพระให้ฟังว่า มีสภาพย่ำแย่มาก เวลานี้ผมไม่ทราบว่าจะทำบุญวัดไหนกันแล้วเป็นอันว่า อาตมาก็ต้องวางเฉย

คือ ถ้าอยากจะรู้จริง ๆ ต้องเป็นหมอดู เลยตั้งตนเป็นหมอดูทางใน ความจริงดูได้ และดูตรงตามความเป็นจริงได้ด้วย ดูจริง ๆ การเป็นหมอดูเพราะว่า ต้องการความจริง คนที่จะให้หมอดูดู ต้องเล่าความจริงให้ทราบ ก็เป็นอันว่า เป็นการสืบความเป็นมาของพระไปในตัวเสร็จ ก็รู้ว่า ใครผิด ใครถูก แต่ว่าไม่มีอำนาจเข้าไปจัดการใด ๆ ทั้งหมด

เมื่อทราบแน่นอนแล้ว ก็รายงานให้ทางกรุงเทพ ฯ ทราบ ทางกรุงเทพ ฯ เจ้าคณะตรวจการภาคก็ขึ้นมาสั่งพักพระคณาธิการองค์นั้น พักจากหน้าที่ แต่ดูไปอีกที ฝ่ายโจทก์ก็รู้สึกว่า เป็นคนทึม ๆ ไม่เอาไหนเหมือนกัน คือว่าเป็นคนจะเรียกว่าโง่ก็ไม่ใช่ เรียกว่า ดื้อดีกว่า ถ้าคิดว่าจะทำอะไร ก็ต้องทำตามนั้น ตามชอบใจของตัวเอง มันจะผิด มันจะถูก จะดีไม่ดี ก็ช่าง ก็เลยคิดในใจว่า คน ๒ คนนี้ มีคติคล้ายคลึงกัน

หลังจากนั้นต่อมา สภาพการหมอดูก็เกิดขึ้นทีนี้มาวันหนึ่ง กำลังนั่งอยู่ ตอนเช้าสัก ๓ โมงเช้า ก็มีเด็กนักเรียนสตรีที่จังหวัดชัยนาท ๒ คน เธอวิ่ง แอ้ก ๆ ๆ วิ่งอย่างเร็ว ขณะที่เห็นเธอวิ่งมา ก็นึกในใจว่า เจ้าเด็ก ๒ คนนี่ เด็กรุ่นสาวแล้ว เรียนมัธยมปีที่ ๓ เธอจะมาทำไม วิ่งทำไม ทำไมต้องวิ่ง ก็ทราบว่า คนที่วิ่งข้างหน้า เงินหาย พอเธอขึ้นบันไดมา

ก็ถามว่า ลูกสาว เงินหายหรือลูก
เธอก็นั่งกราบ หายเจ้าค่ะ เธอก็ร้องไห้
ถามว่า เงินอะไร
บอก เงินจะเสียค่าเทอม พอจะเอาสตางค์ไปเสียค่าเทอม ก็ปรากฏว่าเงินหาย

เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เงินยังไม่หายนะลูกนะ เดี๋ยวรีบวิ่งกลับไปใหม่ แต่ไปให้เร็วหน่อย ไม่วิ่งก็ได้ แต่ไปให้เร็วหน่อยอย่าให้ถึงเวลากินข้าวกลางวัน ถ้าถึงเวลากินข้าวกลางวัน เงินจะหาย ขึ้นไปทางบันไดด้านขวามือ เลี้ยวเข้าไปจะมีห้องหนึ่งห้อง ถามเธอว่า มีไหม
เธอบอกว่า มี
ถ้าเห็นกระเบื้องแผ่นหนึ่งวางอยู่ให้เปิดกระเบื้องขึ้นมา เงินจะอยู่ที่นั่น

เธอก็กราบ แล้วก็วิ่ง คราวนี้วิ่งเร็วจัด วิ่งกลับไป พอถึงเวลาหลังเที่ยง เธอก็มาหาบอกว่า ได้เงินแล้วเจ้าค่ะเสียค่าเทอมแล้ว ก็ดีใจ เรื่องนี้ก็กลายเป็นหมอดูใหญ่ในที่สุด ก็ต้องเป็นหมอดูให้เด็ก ถึงเวลาพักเที่ยง เด็กโรงเรียนสตรีก็ไปกันเต็มกุฏิ ล้นกุฏิ ทุกคนก็ขอร้องให้ช่วยเหลือในการสอบ ก็ทำท่าเป็นหมอดู หลับตานิดหนึ่ง คราวนี้ไม่ดูจริงแล้ว

โกหกแล้วบอก ทุกคนที่มาที่นี่ สอบได้หมด ก่อนที่จะไปสอบ ให้มารับน้ำมนต์ก่อน แต่ก่อนที่จะรับน้ำมนต์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป๑. อย่านอนดึก กินข้าวกินปลาเสร็จ หายเหนื่อย ทำการบ้านเสร็จ ดูหนังสือ อย่านอนให้ดึก นอนหัวค่ำ ๆ หน่อยประการที่ ๒. ตั้งแต่วันจันทร์ ถึงวันศุกร์ ห้ามเที่ยว ถ้าวันเสาร์เที่ยวได้ กลางคืนนะ ถ้าวันอาทิตย์ อย่าเที่ยว

เพราะมันจะง่วง ทุกคนปฏิบัติตามนั้นหมด บอกว่า เวลาที่ครูสอน ให้ตั้งใจฟังครูสอนตั้งใจฟัง แล้วก็คิดตาม ถ้าสงสัยให้ถามครู ถามแล้วจดไว้ เธอก็ทำตาม ก็เป็นอันว่า เวลาใกล้จะสอบ วันก่อนจะสอบ ๒ วัน ก็มีนักเรียนมาเต็ม ต้องไปหาศาลาพรมน้ำมนต์เธอ เป็นการให้กำลังใจ แต่ความจริงไม่จำเป็นหรอก ที่บอกไปนั่นแหละมีความสำคัญมาก

เป็นอันว่า ขณะที่พวกเธอมาตอนกลาง ๆ ปี เพราะอาจารย์ใหญ่เขาไม่ค่อยนับถือพระ เขาก็ติว่า นักเรียนจะติดไสยศาสตร์ แต่มีอาจารย์รองลงไป รองอาจารย์ใหญ่ บอก ไม่ใช่ไสยศาสตร์ พระมาจากกรุงเทพฯ ท่านรู้จักการแนะนำนักเรียน ให้มีความขยันหมั่นเพียรปีนี้รู้สึกว่านักเรียนดีขึ้นมาก ถึงเวลาสอบจริง ๆ เขาเคยตก จะได้อย่างเก่งก็ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ของคน

นอกนั้นอีก ๔๐ เปอร์เซ็นต์ต้องตกกันแน่นอน บางทีก็เหลือ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ปีนั้นได้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ทีหลังก็ไม่มีแต่นักเรียน ครูก็มาด้วย ก็เลยกลายเป็นพระหมอดูไป เขาเรียกว่า หมอดูจำเป็น แต่ว่าหมอดูจำเป็น ก็ดูตามความเป็นจริง ถ้าเขามาดู ก็ดูให้ แต่จะต้องเขียนมา ให้เขียนมา ไม่เกิน ๓ ข้อ ให้ถามไม่ได้ พวกนี้ถามแล้วพูดมาก

ให้เขียนมาไม่เกิน ๓ ข้อนำดอกไม้ธูปเทียนมาด้วย วันรุ่งขึ้นมารับ ให้ปฏิบัติตามนั้นทุกคนเป็นอันว่า วัดโพธ์เวลานั้น ข้าวไม่ค่อยจะพอกินมาก่อน ข้าวเหลือกินเหลือใช้ กินเช้า แล้วก็กินเพล อาหารก็เหลือเฟือ เพราะคนมามาก ถึงเวลาทำบุญ คนไม่ค่อยจะเคยมี เวลานั้นก็มีล้นศาลา แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ขึ้นชื่อว่า

คนที่รู้คุณคน ย่อมมีน้อย จะทำดีเพียงใดก็ตาม แต่เจ้าอาวาสเป็นคนใจแคบ ไม่ต้องการเห็นคนอื่นที่ดีกว่าตน ในเมื่ออาตมามีแขกมากกว่าตนก็เริ่มอิจฉาริษยา นี่เป็นของธรรมดา และในที่สุดหลังจากนั้นมา อาตมาก็ย้ายจากสถานที่นั้น ไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน

สวัสดี


จบเล่มที่ ๑๙


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top