Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 29/6/13 at 15:38 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 20 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๒๐

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดยพระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )




เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๒๐

1.
ตอนที่ ๑ ผีเจ้ายี่พระยา
2. ตอนที่ ๒ ผีแม่ช่วย
3. ตอนที่ ๓ เช่าที่สงฆ์ทำนา
4. ตอนที่ ๔ คาถาพระยายม
5. ตอนที่ ๕.พ.ศ.๒๕๐๓ - ๒๕๐๗ อยู่จังหวัดชัยนาท .
6. ตอนที่ ๖ พ.ศ.๒๕๑๑ มาอยู่ที่วัดท่าซุง
7. ตอนที่ ๗.ธุดงค์ภาคอีสาน
8. ตอนที่ ๘ ธุดงค์ภาคอีสาน (ต่อ)




คำนำ


หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๒๐ ที่ท่านกำลังอ่านอยู่เวลานี้ และเล่มก่อน ๆ ที่ผ่านมา คุณชาลินี เนียมสกุล หรือที่เรียกเป็นปกติว่า ปาน นุตาลัย น้องสาว ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้จ่ายเงินให้พิมพ์คราวละ ๒๘,๐๐๐ บาท (สองหมื่นแปดพันบาทถ้วน) เมื่อจำหน่ายได้ รายรับทั้งหมดถวายบำรุงวัด และบำรุงสงฆ์

จึงขออนุโมทนาที่เธอมีกุศลเจตนา และทำแล้ว ขอเธอและครอบครัว จงมีความสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการ ตลอดชีวิตของเธอเทอญ สำหรับเรื่องราวในหนังสือ เล่มที่ ๒๐ นี้ ไม่ใช่นิทาน เป็นเรื่องที่ผ่านมาเองในอดีต บางท่านอาจจะคิดว่า เป็นการเกินวิสัย ขอตอบว่าไม่เป็นการเกินวิสัยของพระธุดงค์ขั้นอุกฤษฏ์ทุกท่าน เท่าที่พูดมาแล้ว เป็นส่วนย่อย หรืออาจจะเป็นของเล็กน้อยของหลาย ๆ ท่านที่ธุดงค์แบบนี้

และที่นำมาเล่านี้ก็เพราะเห็นว่า พระในวัดสนใจ จึงเล่าไว้สู่กันฟัง และเพื่อทุกท่านจะได้ไม่ตกใจ เมื่อประสบเรื่องอย่างนี้ เรื่องผี เรื่องเทวดา เป็นของปกติของพระธุดงค์ขั้นอุกฤษฏ์ อย่างในสมัยพระพุทธเจ้า พระมหากัสสป ก็สัมผัสมาแล้ว และถูกเทวดาตุ๋นเอาหลายคราว คณะอาตมาก็เคยถูกตุ๋น เหมือนท่านที่เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายธุดงค์ในพระพุทธศาสนา

ที่สุดนี้ อาตมา ขออนุโมทนาแด่ทุกท่านที่อ่าน และขอให้ทุกท่านที่มีความประสงค์ในธรรม จงเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ ทุกท่านเทอญ

พระราชพรหมยาน
๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๔



1
ผีเจ้ายี่พระยา

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ท่านจะเห็นว่า การบันทึกเสียงทำหนังสือนี่ ระยะห่างกันมาก ทั้งนี้เพราะร่างกายไม่ดีบ้าง ไม่ว่างบ้าง ก็เป็นอันว่า ตอนนี้เป็น ตอนที่ ๑ ของเล่มที่ ๒๐ ก็จะย้อนถอยหลังเข้าไปหาวัดชิโนรส สักนิดหนึ่ง เพราะว่าในระหว่างที่อยู่ที่วัดชิโนรส

มีเรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดชัยนาทมี พระปลัดฉ่อง เจ้าอาวาสวัดศีรษะเมือง มีคดีกับ เจ้าคุณชัยนาทมุนี เรื่องทรัพย์สินของวัด ในตอนนั้น เจ้าคุณมหาโพธิวงศาจารย์ วัดอนงคราม เป็นเจ้าคณะภาค ๑ และมี เจ้าคุณราชเวที(มหาวิจิตร) เป็นเลขานุการ ท่านบอกว่า ให้มาดูหน่อย อาตมาก็มีเรื่องต้องมาเทศน์ที่อำเภอสรรคบุรี แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ

พอมีคนทราบว่ามาจากกรุงเทพฯ และก็มาเทศน์ที่อำเภอสรรคบุรี ก็มีคนไปหามาก ส่งข่าวคราวความเป็นมาต่าง ๆ ของพระที่ทะเลาะกัน อาตมาในฐานะที่เป็นพระมาเทศน์ ไม่มีกิจอย่างอื่น แต่ว่ามีกำไร ที่พลอยรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ เขาขุดทรัพย์กัน คือ ทรัพย์ของวัดศีรษะเมือง ที่อำเภอสรรคบุรี แต่ว่าองค์การศาสนูปการเวลานั้น เจ้าคุณชัยนาทมุนีท่านเป็น ท่านไปขุดทรัพย์ที่นั่น ได้พระมามาก

ในที่สุดก็มีการฟ้องร้องกันและกัน เรื่องนี้ไม่ขอพูด เป็นเรื่องธรรมดาของพระในต่างจังหวัดความเป็นจริงแล้ว พระต่างจังหวัดมีความลำบากมาก ถ้าบังเอิญท่านผู้ปกครองสงฆ์ ตั้งแต่เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัดขึ้นไป เป็นคนที่ไม่ทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ บรรดาวัดที่เป็นลูกน้องก็มีความลำบาก หากว่าท่านผู้ใดทรงพรหมวิหาร ๔ พระที่อยู่ในปกครองก็มีความสบาย นี่เป็นของธรรมดา

แต่เรื่องนั้นเป็นเรื่องของเขา เอาเรื่องของเราดีกว่า เรื่องของเรามีอยู่ว่า ในเมื่อไปถึงวัดศีรษะเมือง จะไปพักที่นั่นโดย เจ้าคุณสุวรรณเวที ใช้ให้ไปเทศน์แทน ที่ตำบลบ้านดงคอนหรือเขาเรียกว่า โคกดอกไม้ ตอนเย็นก็มานั่งอยู่ที่ศาลาการเปรียญ ในบริเวณลานศาลาการเปรียญ บริเวณข้างหน้า ก็มีคนมาปั่นจักรยาน คือหน้าวัดนั่นเป็นตลาดมีผู้ชายบ้าง ผู้หญิงบ้าง เด็กบ้าง ผู้ใหญ่บ้างหนุ่มบ้าง สาวบ้าง

มาปั่นจักรยานเล่น ที่ชอบดูจริง ๆ ก็คือว่า เด็กเล็ก ๆ ก้นขึ้นนั่งบนอานไม่ได้ แต่ก็สามารถปั่นจักรยานได้ นี่ชอบใจตรงนี้ ดูไปดูมา ขอโทษเถอะ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้ซ้ำกับเรื่องจริงอิงนิทาน แต่ว่าเรื่องจริงอิงนิทานคงไม่ได้อ่านทุกคน เล่มเล็ก ๆอย่างนี้มีคนอ่านมาก เอาอย่างนี้ดีกว่า นั่งดูแล้ว ในที่สุดคนเขาก็กลับหมด เด็กก็กลับ ผู้ใหญ่ก็กลับ แล้วชาวบ้านก็จุดตะเกียงกัน เวลานั้นยังไม่มีไฟฟ้า

แต่อาตมานั่งอยู่เห็นแสงสว่างยังสว่างอยู่ แต่พระอาทิตย์มองไม่เห็น พระอาทิตย์ลับไปแล้วแต่แสงสว่างยังสว่างมาก เหมือนกับเวลาบ่าย ๓ โมงเย็น จึงคิดในใจว่า บ้านนี้เขาอย่างไรกันนะ ในเมื่ออากาศสว่างอย่างนี้ ทำไมเขาจึงได้จุดตะเกียงกัน ไม่รู้ว่าค่ำ ขณะที่นั่งมองไปมองมาด้วยจิตเป็นสุข เพราะอากาศโปร่ง ก็มีชาย ๒ คน รูปร่างใหญ่โต แต่มีสัดส่วนสมจริง ๆ ลักษณะสวยมาก

สมศักดิ์ศรีเป็นชายชาตรี ผิวขาว ขาวเหลือง นุ่งผ้าพื้น ใส่เสื้อ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เป็นคนโบราณสักหน่อย แต่โบราณแบบสวย แบบเจ้า เดินเข้ามาถึงก็มายืนใกล้ ๆ พอเข้ามาถึงข้างหน้า อาตมาก็ยืนขึ้น เมื่ออาตมายืนขึ้นหัวของอาตมาสูงแค่ราวนมของท่านเท่านั้นเอง

ถามท่านว่า ท่านชื่ออะไร ท่านคือใคร
ท่านบอก ผมคือ เจ้ายี่ พระยาคนนี้เป็นพระยา (จำชื่อไม่ได้) เป็นนักรบคู่พระทัย
ก็เลยถามท่านบอกว่า แล้วท่านมาทำไม
ท่านก็ถามบอกว่า แล้วท่านนั่งอยู่ทำไม

ก็เลยบอกว่า นั่งตากอากาศ เย็น ๆ ดี ก็ถามว่า เจ้ายี่พระยานี่มาเกี่ยวเนื่องอะไรกับอำเภอสรรคบุรี
ท่านก็เลยบอกว่า ท่านไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์หรือขอรับ ในสมัยเมื่อผมเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดิน คือ พระอินทราชา ผมเป็นเจ้าเมืองด่านอยู่ที่นี่ และเจ้าอ้ายพระยาเป็นพี่ แต่เป็นลูกเลี้ยง ตั้งเมืองด่านอยู่ที่สุพรรณบุรี และเจ้าสามพระยา น้องชาย ตั้งเมืองด่านอยู่ที่ชัยนาท

ก็ถามท่านบอกว่า เวลานี้ท่านมาทำไม
ท่านก็เลยบอกว่า ในเมื่อผมเห็นว่าท่านมาที่นี่ ผมก็มีความสนใจในท่าน ท่านว่าอย่างนั้นนะ
ถามว่า สนใจอย่างไร

ท่านบอก ก็สนใจว่า ท่านมาองค์เดียว และการมาของท่านนี่ก็มาดี มาเทศน์ และอีกประการหนึ่ง เมื่อตอนกลางวันเห็นนั่งคุยกับชาวบ้านอยู่ ชาวบ้านมาหามาก เขามีทุกข์ พยายามพูดคลายให้เขามีความสุขว่า เรื่องราวต่าง ๆ ไม่เป็นไร จะรับฟังและก็รับทราบเอาไปรายงานให้ผู้ใหญ่ทราบ เพื่อความเป็นธรรม เท่านี้ชาวบ้านเขาก็ดีใจแล้ว เพราะเขาหาที่พึ่งไม่ได้

ก็เลยถามท่านบอกว่า เวลานี้ชาวบ้านเขาจุดตะเกียงกันทำไม บ้านนี้ทำไมจุดตะเกียงแต่ตอนกลางวัน
ท่านก็บอกว่า ความจริงนี่มันค่ำแล้วนะขอรับ แต่ว่าด้วยอำนาจของผม ทำให้ท่านเห็นเหมือนกลางวัน ถ้าแสงสว่างมีอย่างนี้ ไม่มีใครเขาจุดตะเกียงกัน แต่ความจริงมันมืดแล้ว

พอท่านพูดก็งงเหมือนกัน หยิบนาฬิกาขึ้นมาดู เวลานั้นเป็นเวลาเดือน ๑๒ ปรากฏว่าเป็นเวลาเกือบจะ ๒ ทุ่ม มันก็ต้องมืดนานแล้ว เขาจึงจุดตะเกียง แต่ว่าเวลานั้นแสงสว่างมาก
ท่านก็เลยบอกว่า ผมต้องการให้ท่านไปชมของดี ให้ตามผมมา ก็เลยเดินตามท่านไป ท่าน ๒ องค์ ท่านเดินข้างหน้า อาตมาเดินตามหลังไปถึงวิหารหลังใหญ่ มีพระอยู่ประมาณสัก ๖๐ - ๗๐ องค์ แต่ว่าพระพุทธรูปองค์หนึ่งคอหัก

ท่านบอกว่า ท่านจะต่อคอพระนี่ได้ไหม
ก็เลยบอกว่า ต่อไม่ได้ เพิ่งจะมาวันนี้ ถ้าขืนทำก็หักหน้าเจ้าอาวาสและบรรดาพระต่าง ๆ ที่บวชในพุทธศาสนา ก็ไม่แน่นักว่าจะมีจิตมั่นคงดีไม่ดี เขาจะหาว่า หักหน้าหักตาเขา ดีกว่าเขา เขาเกลียดเอา ทีหลังก็มาพักไม่ได้

ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านเรียก อีเฟี้ยมมาซิ คำว่า อีเฟี้ยม อาตมาก็คิดว่าเป็นเด็ก
ถามว่า อีเฟี้ยมของท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็ชี้ให้ดูข้างห้อง ห้องใกล้ ๆ เป็นห้องแถวเป็นตลาด ก็เลยเข้าไปข้างหลังบ้าน ก็ถามเด็กสาว ๆ คนหนึ่งว่า หนู รู้จักคนชื่อเฟี้ยมไหม ก็พอดีโยมเฟี้ยมแกนั่งอยู่ตรงนั้นพอดี อายุ ๙๓ ปี

เมื่อโยมเฟี้ยมออกมาถามว่า ท่านมีธุระอะไรเจ้าคะ ก็เลยบอกท่านบอกว่า มีคน ๆหนึ่งเขาต้องการพบ พอโยมเฟี้ยมเดินออกไปเห็นเข้าก็กราบทันที ท่านรู้จักกัน
ท่านบอกว่า ที่นี่อีเฟี้ยมคนเดียวที่รู้จักผม มันจะมีงานมีการต่าง ๆ ทุกคนต้องอาศัยอีเฟี้ยมมัน แล้วบอกผม ผมก็ต้องช่วยงานเขาเขาจะกินเหล้าเมายา เขาจะตีกัน เขาก็บนผม เขาบอกผม ผมก็ต้องช่วย

ก็เป็นอันว่า ท่านก็เลยชี้ให้โยมเฟี้ยมทราบว่า นี่ พระองค์นี้คอหัก ความจริงใช้ปูนประมาณกะลาเดียวก็พอ ปูนซีเมนต์ หรือไม่ถึงกะลาก็พอ แต่เจ้าอาวาสไม่ทำ ขอให้โยมเฟี้ยมทำ
โยมเฟี้ยมก็บอกว่า ไม่มีสตางค์เจ้าค่ะ ฉันก็แก่แล้ว อายุ ๙๓ ปีแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ท่านก็ชี้ให้ดูหน้าอกพระ
บอก ดูหน้าอกพระซิ มีอะไร เวลานั้นมีเลข ๒๕ ขึ้นพอดี ตัวชัดเจนมาก

ท่านบอกว่า เอานี่ไปเล่นข้างล่างนะ หวยจะออกตามนี้ เมื่อเอ็งถูกหวยแล้วก็ต่อคอพระให้ด้วย โยมเฟี้ยมรับ แล้วก็กราบ แล้วก็เดินกลับเข้าบ้านท่าน ก็พอไปที่เจดีย์เก่า ๆ ยอดหักหมดแล้ว เป็นซุ้มเจดีย์ เป็นเจดีย์แบบคล้าย ๆ กับทะนานคว่ำที่เขาขุดทรัพย์กัน ท่านก็ชี้ให้ดูว่า ที่เขาขุดทรัพย์นี่ ความจริงได้ไปแต่พระ แต่ทรัพย์ที่มีส่วนสำคัญยังไม่ได้ ยังมีมาก

เวลาที่ท่านชี้ให้ดู เจดีย์องค์นั้นใหญ่มาก เหมือนกับไม่มีเหมือนเป็นอากาศ เห็นทรัพย์ที่เป็นทองคำมากมาย พวกเพชรนิลจินดาก็มาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีพานทอง เขาเรียกพานบายศรีใบใหญ่วางอยู่ และมีพานบายศรีใบย่อม วางอยู่ และก็มีโกศทองคำ มีพระบรมสารีริกธาตุ และมีทับทรวงวางอยู่ ๒ พวง แล้วก็มีมีดหมอ มีดหมอนี่ด้ามเป็นทองคำ ฝักเป็นทองคำ

ท่านบอกว่า ขอให้ท่านขุด ให้อาตมานี่ขุด ขุดเอาของขึ้นมาแล้วก็ไปสร้างเจดีย์ใส่ใหม่
ก็เลยบอกว่า ไม่ได้หรอก ไม่มีทุน
ท่านบอก ผมจะให้ทุน
ถามว่า ให้อะไร

ท่านถามว่า ต้องการอะไร
บอกว่า ต้องการพานบายศรี ราคาแพงหน่อย
ท่านบอก ไม่ได้ เป็นของถวายเป็นพุทธบูชาไปแล้ว
ไป ๆ มา ๆ ท่านบอกให้มีดหมอ มีดหมอนี่ท่านขายได้หรือทับทรวงก็ได้ ไปขายได้ เอาไปขาย แล้วก็สร้างเจดีย์ แล้วนอกนั้นบรรจุไว้ตามเดิม

ก็เลยบอกกับท่านว่า ทำไม่ได้ ถ้าขืนทำ อาตมาเวลานี้เพิ่งมาวันแรก ยังไม่รู้จักใคร ประการที่สอง ถ้าขุดขึ้นมาได้ เขาก็ต้องฟ้องร้องอีก ผิดกฎหมาย ประการที่สาม สิ่งที่ก่อนกฎหมายจะมาถึงก็คือ ความตาย
ท่านถามว่า จะตายได้อย่างไร ในเมื่อผมไม่ทำท่าน

ก็เลยบอกว่า ท่านไม่ทำ แต่คนอื่นเขาจะทำ ในเมื่อเห็นทรัพย์สมบัติมากมายอย่างนี้ ถ้าเขามาเอา อาตมาไม่ให้ เขาก็ทุบตายเท่านั้นเองหมดเรื่องกันไป ก็เป็นอันว่า ตกลงกันว่า เอาไม่ได้ แล้วก็คุยกัน ๒ - ๓ คำ
ถามท่านว่า เวลานี้ท่านอยู่ที่ไหน
ท่านบอกว่า ท่านอยู่ชั้นจาตุมหาราช
แล้วก็ถามท่านบอกว่า เวลาที่ฆ่ากันตาย มันน่าจะลงนรก เพราะจิตเป็นบาป ทำไมจึงไม่ลงนรก

ท่านบอกว่า ในฐานะผมเป็นนักรบ นับรบสมัยก่อนเขามีความเคารพของศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ พระพระที่ห้อยคออยู่ เขานึกถึงทุกวัน นึกถึงเป็นอาจินต์จนกระทั่งจิตเป็นฌาน คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน ก่อนจะไปไหนก็ต้องยกพระขึ้นบูชาก่อน อาราธนาก่อนจะไปไหน ในเมื่อผมกับพี่ชาย คือ เจ้าอ้ายพระยาตกลงกันเรื่องทรัพย์สินไม่ได้ ก็ท้ารบกันตัวต่อตัว บังเอิญถึงชะตาฆาตเรียกว่า ถึงชะตาฆาตด้วยกันทั้งสองข้าง ฟันพร้อมกันขาดสะพายแล่งพร้อมกัน

ก็ถามว่า พระที่คอไม่ช่วยหรือ
ท่านบอกว่า เมื่อถึงวาระพระที่คอช่วยไม่ได้ แต่ว่าในกาลก่อน ๆ เรื่องมีดมีคมนี่ รับรองว่า ไม่เข้าแน่ ฉะนั้นขณะที่ก่อนจะไปรบ ก็ต้องอาราธนาพระก่อน ขณะที่เข้าปะทะกันก็นึกถึงพระ ในเมื่อนึกถึงพระ จิตเป็นกุศล ตายจากคนจึงไม่ลงนรก เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช เป็นนักรบเช่นเดียวกัน

ท่านตอบให้ก็น่าฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้ผีพูดนะ แต่เสียงนี้ไม่ใช่เสียงผี เป็นเสียงคนที่รับมาจากผี ผีพูดให้ฟัง เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว ท่านก็บอกว่า ผมต้องลาท่านแล้วขอรับ ถ้ามีเรื่องอะไรมา ที่นี่หนักใจอะไร บอกผมนะครับ บอกผมได้ทันที ท่านกับผมมีส่วนเกี่ยวข้องกันมากในกาลก่อน ท่านว่าอย่างนั้น

ท่านบอกว่า เวลานี้เห็นตำรวจ๕ คน เขาเดินฉายไฟไป มันก็สว่างอย่างนั้น ยังเห็นสว่างอยู่ ยังนึกว่าตำรวจทั้ง ๕ คน มันฉายไฟมาทำไม เราก็เห็นแกชัด แกฉายไปฉายมา ฉายมาฉายไป ก็มาพบ แสงไฟมาชนพอดี ท่านก็เลยบอกว่า ในเมื่อแสงไฟมา ผมก็ลาแล้วครับ พอท่านบอกลา บรรดาท่านพุทธบริษัทมืดทันที

พอตำรวจมาพบเขาก็บอกว่า ท่านผู้กองห่วงขอรับ เกรงว่าจะมีคนมาทำอันตรายท่าน ขอให้ท่านกลับขึ้นกุฏิ ก็เดินตามตำรวจไป นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านที่อ่านหนังสือก็ดีหรือฟังเสียงก็ตาม ให้ทราบว่า วันนี้ไม่สบายมาก ก็มีความจำเป็นต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ วันหน้าโอกาสที่จะทำมันไม่มี ทำวันนี้ อีกกี่วันจะทำต่อไปก็ไม่ทราบ ก็กลับขึ้นมานั่งบนกุฏิ ก็คุยกับชาวบ้าน

คุยกับพระ ชาวบ้านมานั่งคอยเต็ม เขาพูดในทำนองร้องทุกข์ว่า วัดศีรษะเมือง ที่มีพระปลัดฉ่องเป็นเจ้าอาวาส ถูกข่มเหงจากพระราชาคณะ ซึ่งทำงานแทนเจ้าคณะจังหวัด และอาตมาเองก็ไม่มีหน้าที่อะไร จะไปว่ากล่าวตักเตือนใครก็ไม่ได้ ดีไม่ดีอาจจะโดนของแข็งเข้า และก็ยังไม่ทราบแน่นอนว่า ใครผิดใครถูก ในเมื่อของอยู่ที่วัดนี้ แล้วคนวัดอื่นมาขุดทำไมจึงยอมให้ขุด นี่เป็นเรื่องน่าคิด

เมื่อเขาขุดแล้ว ทำไมจึงไม่ฟ้องร้อง ต่อมาภายหลังเจ้าคุณสุวรรณเวทีมาทราบเข้า เรื่องจึงเกิดคือ ท่านเจ้าคุณสุวรรณเวทีเป็นคนที่อำเภอสรรคบุรี เป็นเจ้าอาวาสวัดชิโนรส จึงเกิดเป็นเรื่องฟ้องร้องกันขึ้น ก็รวมความว่า เรื่องของท่าน ก็เป็นเรื่องของท่าน และต่อมาเรื่องอำเภอสรรคบุรี ก็ขอคุยกันให้จบเป็นเรื่องเลยนะ แต่หน้านี้ไม่มีจบ

ต่อมาหลังจากนั้นก็กลับกรุงเทพฯ แต่ว่าก่อนที่จะกลับกรุงเทพฯมันก็มีเวลาอยู่ ก็อยากจะทราบความเป็นจริงว่า ความเป็นจริงมันเป็นมาอย่างไร เรื่องความจริงของคน บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราต้องการรู้ความจริง สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ หมอดู ก็ใช้วิชาที่มาสอนบรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่เวลานี้

ใช้กำลังของจิต ทำจิตให้สงบ แล้วดูความเป็นสุขเป็นทุกข์ ของจิตของเขา เมื่อเห็นจิตสีดำ แสดงว่า เขามีทุกข์มาก ถ้าสีเทา ๆ มีทุกข์น้อย ๆ เมื่อเห็นจิต สีแดงมาก ๆ จิตมีสุขมาก ถ้าสีใสจิตมีอารมณ์สบาย ถ้าอยากจะรู้อย่างอื่น ก็ดูภาพอย่างอื่นต่อไป เห็นจิตแล้วก็ขอดูภาพว่า ภาพความเป็นมาของเขาจริง ๆ เป็นอย่างไร เขามีความสุข เขามีความทุกข์ ที่บ้านเขามีกี่คน มีผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน

อันดับแรกใช้วิธีนี้ก่อน ในเมื่อพยากรณ์ถูก เขาก็เกิดความเชื่อในเมื่อความเชื่อเกิดขึ้น ทีนี้เราก็ต้องการความจริง บอกให้เขาบอกตามความเป็นจริงว่า เขาวิตกกังวลอะไร ส่วนใหญ่ก็เรื่องของวัด เรื่องส่วนตัวมีเล็กน้อย แล้วก็เป็นเรื่องของวัดที่เขาเคารพบูชา แล้วถูกข่มเหงแบบนี้ ก็รวมความว่า ใช้วิธีหมอดู สาวหาความจริงได้อย่างดีที่สุด ไม่ใช่ไปดูแล้วก็เชื่อความเป็นทิพย์ หรือภาพที่ปรากฏ

เมื่อใช้วิชาหมอดูพยากรณ์คน แล้วขอให้คนบอกตามความเป็นจริง ถ้าเขาไม่บอกตามความเป็นจริง เราก็พูดตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่คุณบอกนี่ ผิด ไม่ตรงตามความเป็นจริง บางคนที่บ้านมี ๓ คน บอกว่ามี ๒ คน อย่างนี้เราก็ค้านบอก ถ้ามี ๒ คนก็ดูไม่ได้ เพราะตามตำราของฉันเห็นมี ๓ คนนี่เขาก็ต้องยอมรับ บางทีบุคคลนั้นเป็นคนรวย เขาบอก เขาจน ก็ขอดูลายมือ ความจริง ก็ดูส่งเดช

ให้แบมือส่งเดชไปอย่างนั้นเอง ขอดูลายมือก็บอกว่า เอ๊ะ ลายมือของคนมี ๓ คน ๔ คน ๕ คน อะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันผิดไปจากความจริง อย่างนี้ก็ดูไม่ได้ เขาก็ต้องยอมรับความเป็นจริง แล้วต่อไปก็พูดตามความเป็นจริงทั้งหมด ก็ทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้ง ๒ ฝ่าย แต่ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราเมื่อหลังจากเทศน์เสร็จ พัก ๒ - ๓ วัน ก็เดินทางกลับวัดชิโนรส

ต่อมาถึงฤดูแล้ง เดือน ๔ ประมาณเดือนมีนาคม กับเดือนเมษายน สองเดือนนี้ ปรากฏว่าเขามีการบวชนาคกัน ก็ไปที่นั่น เขานิมนต์ไปสวดนาคบ้าง นิมนต์ไปเทศน์บ้าง ในเมื่อเขานิมนต์ไป ก็ไปเมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ปกติอาตมาไม่ชอบแสงสว่าง เวลานอนกลางคืนก็อยากจะภาวนา เพราะจิตเป็นสุข ภาวนาบ้าง พิจารณาบ้าง ทำจิตสงบ จับอานาปานสติบ้าง อันนี้เป็นปกติธรรมดา เมื่อไปถึงแล้วก็นึกถึงเจ้ายี่ฯ ว่า

ท่านเคยสั่งว่า ท่านมาที่นี่ ถ้ามีเรื่องวิตกกังวลอะไรก็บอกด้วย วันนั้นในเมื่อไปถึง ก็นึกถึงท่านว่า เวลานี้มาในเขตของท่านแล้วขอให้ท่านสงเคราะห์ ดีไม่ดีผีมันจะหลอก เพราะคำว่าผี เราอวดดีไม่ได้ การอวดเก่งกับผี อวดดีกับพระ หลวงพ่อปาน ท่านบอกว่าไม่ควรจะใช้ เพราะผีจะทำร้ายเรา ผีมาเราไม่รู้ตัว การอวดดีกับพระ หมายถึง พระอริยเจ้า ถ้าอวดดีกับท่านเกินไป ในที่สุด เราก็ต้องลงอบายภูมิอย่างพระเทวทัต ใช้ไม่ได้อีก

เป็นอันว่า อันดับแรกก็ขอให้ผีสงเคราะห์ นึกถึงท่าน แต่ว่าท่านไม่ได้มาให้เห็น เรียกว่า ในขณะที่พักอยู่ที่นี่ ขอการคุ้มครองจากท่านทั้งหมด จะไปที่ไหนก็ตาม จะไปเทศน์ที่โน่น ไปสวดนาคที่นี่อะไรก็ตาม ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองจากอันตรายทุกอย่างจะมี เวลานั้นยังมีป่ามาก ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ยังมีป่ามากอยู่ รถยนต์ก็หายาก ต้องเดินกันอย่างหนัก ไม่อย่างนั้นก็นั่งรถจักรยานยนต์ ๒ ล้อ

อาตมาก็นั่งไม่ค่อยเป็น มันหล่นหลายครั้ง พอเขาเลี้ยวปั๊บ ก็หล่นปุ๊บ หลายหน นั่งไพล่ขาข้างหลังพอเวลากลางคืน นอนอยู่ที่กลางหอสวดมนต์ ทางด้านกุฏิเจ้าอาวาสเขาก็คุยกัน อาตมาอยู่กลางหอสวดมนต์ ก็ดับตะเกียงนอน หลับนอนดีกว่า เพราะเช้าเราจะทำงาน การคุยกับชาวบ้านตอนเย็นก็คุยแล้ว คุยก็ไม่มีเรื่องอะไร นอกจากเรื่องปรับทุกข์ เรื่องปรับทุกข์นี่เราก็ช่วยไม่ได้อยู่แล้ว

ได้แต่พยายามพูดเอาใจให้มีความเข้าใจว่า ทุกข์มันมีจริง เราต้องเข้าใจในทุกข์ ทุกคนไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงทุกข์ได้ ก็พยายามพูดให้เขาเข้าใจแบบง่าย ๆเมื่อขณะที่นอนอยู่ เวลาประมาณ ๒ ทุ่มความจริงมันมืดตื้อมองหน้ากันไม่เห็น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เห็นตั้งแต่เท้าขึ้นไปถึงเอว นุ่งผ้าจีบหน้านาง เป็นผ้าสีทอง สีเนื้อขาวเหลือง เหลืองมากท้วม ๆ ทรวดทรงดีมาก

เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป ก็นึกในใจว่า ผีผู้หญิงผู้นี้มาอย่างไรกันแน่ ให้เห็นแค่ครึ่งตัว และลีลาในการเดินก็ดี ทรวงทรงก็ดีถึงแม้ว่าจะท้วมหน่อยก็สมทรง จึงได้นึกในใจว่าหลับตาหนีเถอะ หลับตาก็เห็น ลืมตาขึ้นมา ลืมตาก็เห็น เธอก็เดินไปเดินมา เดินมาเดินไปอยู่ใกล้ ๆ ก็เลยพูดด้วยวาจาว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่าหลอกกันแค่ครึ่งตัวเลย ถ้าหลอกก็หลอกให้มันเต็มตัวดีกว่า

เพราะการหลอกแบบนี้ ในลักษณะสวย ๆ แบบนี้ ไม่มีใครเขากลัวหรอก ถ้าจะกลัวต้องทำตาโบ๋แต่ว่าตาโบ๋ฉันก็กินมาเยอะแล้ว เพราะพระนี่ชอบกินผี ผีเป็นอาหารของพระ ก็ปรากฏว่า หญิงคนนั้นเห็นภาพเต็มตัว หน้าตาอิ่มเอิบดีมากทรวดทรงสมสัดสมส่วนจริง ๆ แล้วเธอก็นั่งลงมาข้าง ๆ
ถามว่า คุณจำฉันได้ไหม ก็นึกในใจว่า เอ๊ะ เราจะจำได้อย่างไร

ก็เลยบอกว่า ฉันนี่เพิ่งมาอำเภอสรรคบุรีเป็นเที่ยวที่สอง แล้วท่านอยู่ที่ไหน ท่านเป็นคนสมัยไหน
เธอก็บอกว่า มองดูซิ ลองนึกดูซิ รู้คนอื่นทำไมจึงรู้ได้ รู้ฉันทำไมจึงรู้ไม่ได้ เวลานั้นใจอยากรู้มันก็ไม่มี จะถือว่า ตกใจกลัว ก็ไม่แน่นอนนัก แต่ใจมันเฉย ๆ ไม่อยากจะรู้

ก็พอดีนึกในใจว่า เจ้ายี่ฯ อยู่ที่ไหน ขอให้ท่านมาที่นี่ เวลานี้ผีผู้หญิงกำลังหลอก พอนึกว่าผีผู้หญิงกำลังหลอก ผีผู้หญิงนั้นก็ยิ้มบอก ฉันไม่ได้หลอก นี่ฉันมาเยี่ยม เพราะว่าเรามีส่วนเกี่ยวข้องกัน ท่านผู้ฟังฟังให้ดีนะ คำว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่ผัวเมียกันนะ พอดีนึกถึงเจ้ายี่ฯ เจ้ายี่ฯ ก็มาพร้อมกับนายทหารของท่าน ท่านก็นั่งลงข้าง ๆ

ท่านบอกว่า คุณผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาผมเองในสมัยที่ผมเป็นมนุษย์ แล้วก็เธอนำคุณมาเลี้ยงไว้ในวัง รักเหมือนลูก ความจริงผมไม่มีลูก คุณก็เป็นลูกของแม่ทัพในสมัยนั้น แล้วเขาก็นำมาเลี้ยงไว้ในวัง รักเหมือนลูก ทุกสิ่งทุกอย่างเขาให้หมดแล้วก็ทะนุถนอมมาก วิชาความรู้ต่าง ๆ ต้องการอะไรก็ให้เรียน ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ คุณได้รับไว้มากทรัพย์สมบัติของผม ถ้าจะพูดตรงไปตรงมา เขาก็อยู่ในฐานะแม่ของคุณ

ผู้หญิงคนนั้นเธอก็ยิ้ม เธอก็ถามว่า รู้หรือยังละว่า ฉันนี่คือ แม่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คลอดมาจากครรภ์ก็ตาม ก็รับมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยที่ยังคลานไม่ได้ เลี้ยงไว้จนกระทั่งโต จนกระทั่งพ่อตาย พ่อตายก็ช่วยดูแลทรัพย์สินของพ่อ แต่ว่าในที่สุด ลูกก็ต้องตาย เป็นไข้ตาย ในสมัยนั้นพระเจ้าสามพระยาเป็นกษัตริย์ พระเจ้าสามพระยายังไม่มีลูก

พระชายาของพระเจ้าสามพระยาก็มีความรัก เอาไปเลี้ยงเอาไปดู มีความรักมากเหมือนลูก แต่ในที่สุด เธอก็เป็นไข้ตาย เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มันเหลือเวลาอีกนิดเดียวจะพูดให้มันจบ ก็จบไม่ได้ เพราะสัญญาณบอกเวลาปรากฏแล้วขอหยุดก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/7/13 at 15:04 [ QUOTE ]


2
ผีแม่ช่วย


ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ก็ยังเป็น วันที่ ๙ กุมภาพันธ์๒๕๓๔ เสียงก็แห้ง ก็ต้องขออภัย เป็นตอนที่ ๒ ของเล่มที่ ๒๐ เมื่อตอนที่ ๑ มาค้างอยู่ตอนที่ เจ้ายี่ฯ ตาย และได้รับทรัพย์สมบัติของเจ้ายี่ฯ ในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรม และต่อมาพระเจ้าสามพระยาขึ้นครองราชย์ ตอนนั้นพระเจ้าสามพระยาก็ยังไม่มีลูก พระมเหสีของพระเจ้าสามพระยาก็มีความรักเหมือนลูกเช่นเดียวกัน

แต่ว่าเป็นคนที่มีบุญน้อย อายุไม่มากนัก ประมาณ ๑๖ ปีก็ตาย เป็นไข้ตาย ขณะที่พูดนั้นปรากฏว่า ชายาของพระเจ้าสามพระยาก็มานั่งด้วย ท่านก็แต่งตัวสวยเหมือนกัน แสดงว่าทั้ง ๒ ท่านเป็นนางฟ้า ท่านบอกว่า ท่านทำบุญมาก ก็เป็นอันว่า ท่านก็เลยบอกว่า ฉันก็มีความรักมาก ในเมื่อเด็กคนนี้ตาย ความรักความอาลัยก็มีมาก คือ หลังจากที่ตายไปแล้วประมาณ ๑๐ วันเศษ ๆ

ก็นอนฝันตอนเช้ามืดว่า คนที่ตายไปนั่นคือคุณ มาเข้าฝันบอกว่า จะมาขออยู่กับแม่ด้วย แม่ก็โอบกอดในฐานะเป็นลูก ในที่สุดก็ตื่น ขณะที่ตื่นนั่น ยังไม่ละความกอด ยังกอดไว้ในอกแล้วก็ตื่นขึ้น เดือนนั้นก็มีการขาดประจำเดือนทันที แสดงว่ากลับมาเกิดใหม่ ไปแค่ ๑๐ วันกว่า ๆ มั้ง ไปไม่กี่วัน และต่อมา ก็เป็นลูกของพระเจ้าสามพระยา ตอนนี้ก็ทิ้งไว้เกิดไม่ตรงกับประวัติศาสตร์มันจะยุ่ง

เป็นเรื่องของผีเล่าให้ฟัง ก็ทิ้งไว้ก่อน หลังจากนั้นก็คุยถึงเรื่องความเป็นมาเก่า ๆ ท่านเล่าให้ฟังหมดแต่พูดให้ฟังหมดไม่ได้ เพราะว่าจะไปขัดความเห็นคนอื่นเข้า เรื่องผีพูดให้ฟังนี่ จะเชื่อได้ หรือไม่ได้ ก็เป็นเรื่องของคน ทีนี้ก็ขอเล่าตามเรื่องของผี เป็นอันว่า กว่าจะคุยกันเสร็จ คืนนั้นก็สว่างพอดี เป็นอันว่า เจ้ายี่ฯ ก็มา พระเจ้าสามพระยาก็มา พระชายาก็มา ท่านก็คุยความเป็นมาให้ฟัง ทุกอย่างทั้งหมด

เป็นอันว่า พระเจ้าสามพระยาท่านดีมาก เมื่อราชสมบัติต่าง ๆ พวกพี่ทั้งสององค์ฆ่ากันตายเพราะทรัพย์ ท่านก็นำไปฝังไว้ สร้างใหม่ทั้งหมด เฉพาะทองพระกร (กำไลมือ) ในเวลานั้น โคนแขนของเรายังหลวม คนสมัยนั้นโตมาก ท่านมาในรูปเดิมของท่าน ใหญ่โตมากแต่สวยนะ ท่านที่เป็นผู้ชาย เจ้ายี่ฯ กับพระเจ้าสามพระยาก็สวย ท่านผู้หญิงทั้งสองคนก็สวย ลักษณะสมส่วน ผิวเนื้อขาวเหลืองเหลืองมาก

ก็สรุปตัดตอนท้ายตรงนี้ ไม่เข้าไปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ประเดี๋ยวจะไปยุ่งประวัติศาสตร์ จะทำประวัติศาสตร์เขาเฝือ หลังจากนั้นมาก็เดินทางกลับวัดชิโนรส เมื่อตอนก่อนที่ออกจากวัดชิโนรส ลืมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง หลังจากนั้นก็กลับขึ้นมาเทศน์ใหม่อีก เขานิมนต์มาเทศน์ แต่ความจริงเมื่อรับเทศน์ ร่างกายมันดี แต่ว่ามาจวนจะถึงวันจะลงเรือเมล์มาเทศน์ เวลานั้นรถยังไม่มี ต้องเดินทาง ทางรถไฟ

ไม่อย่างนั้นก็มาเรือเมล์ มาเรือเมล์สะดวกกว่า เรือเมล์ใช้เวลา๓๖ ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดชัยนาท เมื่อถึงจังหวัดชัยนาท แล้วก็เดินทาง ต่อเรืออีกทีหนึ่ง ไปขึ้นที่อำเภอสรรคบุรี ก่อนจะเดินทางวันนั้นก็เป็นไข้ ก็นึกในใจว่า เวลานี้เรานิมนต์ใครแทนก็ไม่ทันแล้ว ก็มีความจำเป็นต้องไป ความจริงไม่ใช่อยากได้สตางค์ แต่กลัวเขาจะเสียงาน การมาเทศน์ ก็เทศน์ธรรมดา ๆ

แต่ว่าเขาบอกว่า ฟังแปลกจากที่เคยฟังมาแล้ว นั่นก็หมายความว่า เขาฟังองค์อื่นจนชิน และพระจากกรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้มากัน เขาฟังเห็นแปลกกว่า เขาเลยนิมนต์มาเทศน์หลายกัณฑ์ ขณะที่มาเทศน์ตอนนั้น เขามีการบวชนาคข้าง ๆ วัด ๓ รายก็มีกุฏิหลังหนึ่ง เจ้าของกุฏิชื่อ เทียม ตาบอดทั้งสองข้าง เป็นหมอนวดเก่งมาก ท่านจัดที่นอนให้หน้ากุฏิ จัดเตียงให้อย่างดี

เรียกว่านอนกันอย่างดีก็แล้วกันนะ ดีแบบบ้านธรรมดา ๆ แบบชาวบ้านนะมีเตียงให้ มีผ้าห่มให้ มีมุ้งให้ มีหมอนให้ เรียบร้อยทุกอย่าง และก็มีเด็กที่กุฏินั้น พร้อมรับใช้ทุกอย่าง แล้วก็มีบุคคลคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านที่นั่น เมื่อมาถึงแล้วท่านก็มาสงเคราะห์ มาเป็นเพื่อน หาอาหารมาให้ ตอนเช้าอาตมาฉันข้าวต้ม ข้าวต้มนี่ฉันมานาน ตอนเช้า จนกระทั่งเวลานี้ตอนเช้าก็ฉันข้าวต้มเหมือนกัน

พูดถ้าเสียงห้วนไป หรือว่าสำนวนไม่ดีในหนังสือก็ขออภัยด้วย เวลานี้ยังป่วยอยู่พอตอนกลางคืน นอนลงไป เสียงลิเก ละคร เสียงกลองดังรอบวัดอยู่ ๓ ด้าน ในขณะที่นอนลงไปนั่น เวลาประมาณสัก ๓ ทุ่มอาจจะไม่ถึงดี ประมาณ ๒ ทุ่มเศษ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง มายืนอยู่ที่ปลายเท้า บนเตียง ผิวขาว มีหนวด ประเดี๋ยวหน้ายาว ประเดี๋ยวหน้าสั้น ประเดี๋ยวหน้าใหญ่ ประเดี๋ยวหน้าเล็ก ประเดี๋ยวตัวสูงขึ้น ประเดี๋ยวตัวต่ำลง

ก็นึกในใจว่า เวลานี้เราป่วย จิตใจเราไม่ทรงตัว ถ้าไม่ป่วยนี่ไม่เป็นไรแน่ ถ้าผีอย่างนี้ ถ้าขืนหลอก ดีไม่ดีก็จับสองขาฟาดเสียเท่านั้นเอง แต่ว่าใจโกรธยังไม่มี ยังนึกในใจว่า ท่านมาแสดงแบบนี้ ถ้าหากว่าเราเป็นคนสบาย ๆ เราจะดูให้มันเพลิน แต่นี่เราไม่สบาย ถ้าเผลอนิดเดียว ผีสามารถทำอันตรายได้ ก็ยังไม่ทราบแน่นอนนักว่าผีนี่จะมาดี หรือมาร้ายก็นึกถึงท่านเจ้ายี่พระยา

นึกว่า ท่านบิดาที่เคารพ ได้โปรดมาที่นี่ประเดี๋ยวเถิด เพราะเวลานี้อันตรายจะมีแล้ว เจ้ายี่พระยากับทหารคู่ใจของท่านก็มา ก็บอกกับท่านว่า เมื่อกี้นี้มีผีมาหลอก ทำหน้าสั้นบ้างหน้ายาวบ้าง ขอให้ท่านอยู่คุ้มครอง

ท่านก็บอก ผมอยู่คุ้มครองไม่ได้ขอรับ เพราะเวลานี้ไอ้บ้าน ๓ บ้านที่มันมีการจะบวชนาคกันวันพรุ่งนี้ที่คุณจะสวดนาค มันกินเหล้าเมายากัน เขาบนผมไว้ให้ไม่มีเรื่อง ผมต้องไปคุมงาน แต่ก็ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวผมจะเรียกแม่คุณมา ท่านก็เรียกชายาของท่านมา ท่านแม่ก็มา ท่านมาเต็มองค์ คราวนี้ไม่มาครึ่งองค์ ท่านมาถึงก็นั่งบนเตียงข้าง ๆ

ท่านบอก คุณหลับให้สบายเถอะ ฉันอยู่ที่นี่ใครทำอันตรายไม่ได้แน่ ฉันขอยืนยัน เจ้ายี่ฯ ท่านก็ลาไป ท่านไปคุมงาน ขณะที่นอนหลับไปตื่นหนึ่ง พอท่านบอกให้หลับเถอะ ก็เริ่มง่วงแล้วก็หลับทันที ทั้งนี้ก็เป็นเพราะอานุภาพของผี พอประมาณตี ๒ ก็ตื่น เพราะเป็นเวลาธรรมดาของการเจริญกรรมฐาน ตี ๒ ตื่นขึ้น ท่านยังนั่งอยู่ พอจะลุกขึ้นนั่งกรรมฐาน

ท่านบอก คุณไม่ควรจะนั่ง คุณเป็นไข้ การเจริญกรรมฐาน นอนก็ได้ไม่มีความจำเป็น ก็นึกว่า ท่านแม่นี่มีประโยชน์มาก ท่านรู้ทุกอย่าง เมื่อนึกในใจแบบนี้ ท่านก็เลยบอกว่า ฉันเป็นนางฟ้านะ ท่านนึกอะไรนี่ฉันรู้หมด ที่พระพุทธเจ้าสอน ฉันก็จำได้ ในสมัยที่มีชีวิตอยู่ ฉันก็ชอบเจริญกรรมฐาน ชอบบูชาพระ และพระท่านก็เคยเทศน์สอนไว้ บอกว่านั่ง นอน ยืน เดิน มีผลเสมอกัน ในการทำสมาธิ

ฉะนั้นหากว่าคุณจะทำสมาธิ ก็ทำตามสบายใจ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งหมด แม่อยู่ที่นี่จนกว่าจะสว่าง พอสว่างแล้วเป็นหน้าที่ของพ่อเขา กลางคืนแม่จะมาช่วย ก็เลยทำสมาธิด้วยการนอน นอนภาวนาไป พิจารณาบ้างภาวนาบ้าง พิจารณาก่อน เมื่อพิจารณาด้วยกำลังของวิปัสสนาญาณแล้ว พอจิตสบาย จิตอยากจะหยุด ก็เลยเริ่มภาวนา ใช้เวลาผ่านไปประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา เลิกเจริญกรรมฐาน

ท่านก็ยังนั่งอยู่ก็เลยถามท่าน บอกว่า ท่านทราบไหมว่า ผีที่มาแสดงตน ที่มาแสดงให้ปรากฏ เขาตั้งใจมาหลอก ตั้งใจมาทำร้าย หรือมาล้อเล่น
ท่านก็เลยบอกว่า เวลาท่านมาที่นี่คราวไร ท่านก็บอกแค่พวกฉัน ฉันกับพ่อของคุณให้คุ้มครอง แต่ความจริงเมืองนี้ สมัยก่อนที่เจ้ายี่ฯจะมาครอง ก่อนโน้นก็เป็นเมือง ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศ ๆ หนึ่งเหมือนกัน เป็นประเทศเล็ก ๆ เป็นประเทศของชาวสุโขทัยมาครองอยู่เขา มีกษัตริย์สืบเนื่องกันประมาณ ๗ องค์ กษัตริย์ ๗ องค์นี่ท่านไม่เคยนึกถึงเขา

ก็เลยบอกว่า ไม่รู้
ท่านก็บอกว่า ใช่ คุณไม่รู้ ถ้าคุณอยากจะรู้ คุณก็รู้ แต่ว่าคุณไม่อยากรู้ ก็จึงไม่รู้ คุณก็บอกแค่พวกฉันให้มาคุ้มครอง เขาก็เลยมาแสดงตน เขาอยากจะช่วยเหมือนกัน ที่มาแสดงแบบนั้น ที่เขาไม่ให้กลัว ความจริงไม่ใช่เขามาแกล้ง เขาต้องการให้คุณรู้จักเขา ถ้าต้องการความช่วยเหลือจากเขา เขาก็จะช่วย

ก็ถามว่า ชาวสุโขทัยกับอาตมามีส่วนเกี่ยวพันธ์กันหรือ
ท่านแม่ก็บอกว่า คุณก็เป็นคนสุโขทัยเหมือนกัน คุณเคยเกิดที่สุโขทัย เคยอยู่ในสมัยนั้น และคุณก็ เคยเกิดที่เชียงแสน และเหล่ากอของคุณก็มาอยู่ที่สุโขทัย และพวกที่ขยายมาที่นี่ก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นเหล่ากอของคุณนั่นเอง เวลานี้เขาตายไปนานแล้ว ๗ องค์ด้วยกัน

ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ขอเชิญท่านทั้ง ๗ มาได้ไหม
ท่านบอก ได้ เขาอยู่ที่นี่พร้อมแล้ว แต่เขาไม่ให้คุณเห็นตัว ฉันมาอยู่นี่เขาก็อยู่ด้วย เขาก็ต้องการช่วยเหลือท่าน เมื่อขอพบ เป็นอันว่า กษัตริย์ทั้ง ๗ องค์ก็ปรากฏองค์ขึ้น รูปร่างหน้าตาท่านก็สวย บางองค์ก็มีหนวด บางองค์ก็ไม่มีหนวด ยิ้มแย้มแจ่มใสดี พูดดีมาก ก็ขออภัยท่าน

บอกว่า ในฐานะที่ไม่รู้มาก่อน จึงไม่ได้ขอความคุ้มครอง และต่อแต่นี้ไป ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้ามา จะบอกหรือไม่บอกก็ตาม ก็ถือว่าขอให้ท่านช่วยคุ้มครองด้วย ท่านก็พร้อมรับแล้วท่านก็เลยบอกว่า มันมีเรื่อง ๆ หนึ่ง คุณ ที่คุณจะต้องช่วยแก้ที่วัดนี้เพราะเวลานี้ ทางคณะสงฆ์เขาห้ามวัดต่าง ๆ มีตลาดหน้าวัด ด้านหน้าของวัด ด้านหน้าโบสถ์ หน้าวัด มีไม่ได้แน่

แต่ว่าที่วัดนี้มีตลาดอยู่หน้าวัดหลายสิบห้อง ด้านหน้าแม่น้ำ เวลานี้ทางคณะสงฆ์เขาต้องการให้รื้อตลาด จะรื้อได้อย่างไร มันตลาดใหญ่นะ ไม่ใช่ตลาดเล็กนะ มันเป็นตลาด ๒ ชั้น และก็ ๒ แถว ยาวสัก ๔ - ๕๐๐ เมตรมันโค้ง ยาวมาก หลายสิบห้อง เรียกว่า ถ้านับเป็นห้อง อาจจะเกินร้อยห้อง ท่านก็บอกว่า เวลานี้เจ้าอาวาสกำลังหนักใจมาก ไม่มีทางแก้

ก็ถามท่านว่า จะแก้ได้อย่างไร
ท่านบอก มันเป็นวิธีง่าย ๆ เอาอย่างนี้สิ ทางด้านหลังวัดนี่ มีทางรถยนต์วิ่ง เวลานั้นเขาก็ใช้รถยนต์ธรรมดา ๆ รถเข็นข้าว ขนของรถ ๖ ล้อ ทำหลังคา ทำเป็นรถ ๒ แถว วิ่งจากอำเภอสรรคบุรี ไปชัยนาท เป็นทางด้านหลังวัด ท่านบอกว่า ตอนเช้าให้แนะนำทางวัดเขา บรรดาทายกเขาจะมาหาท่าน คนจะมาหาท่าน พรุ่งนี้เช้าจะมาประมาณ ๑๐ คน

ให้บอกว่า ให้ย้ายหน้าวัด จากหน้าวัดมาเป็นหลังวัด เอาหน้าวัดที่ตลาดไปเป็นหลังวัดเสีย ย้ายป้ายจากหน้าวัดมาตั้งที่หลังวัด ที่ชายถนน และมีกอไผ่อยู่ ๓ กอ ให้โค่นกอไผ่เสีย แล้วตั้งรั้วขึ้นมา ประกาศด้านนี้เป็นด้านหน้าวัด แล้วท่านก็บอกบุญเขาทำกำแพงหน้าวัด ในวันพรุ่งนี้คนมา ๑๐ คน ท่านจะได้กำแพง ๑๒ ห้อง หลังจากนั้นจนกว่าท่านจะกลับ จะได้กำแพง ๓๐ห้อง จะมีคนเขาช่วยกัน

ก็เป็นอันว่า เมื่อท่านแนะนำแบบนั้น คุยกันไปคุยกันมาก็สว่างพอดี พอสว่างแล้ว ก็ปรากฏว่าคนที่เขาสงเคราะห์ ก็นำข้าวต้มมาถวาย และก็มีคนติดตามมานั่งคุยหลายคน พระนักเทศน์ไปที่ไหนมีคนชอบมาคุย คุยไปคุยมา ตอนสาย ยังไม่ถึงเวลาสวดนาค จะสวดนาคต่อเมื่อถึงเวลาประมาณ ๓ โมงเช้า ตอนนั้นยังเช้าอยู่ จึงคุยกับคณะทายก และไม่ใช่ทายก [/color]

ว่า โยม ที่วัดนี้กำลังมีเรื่องใช่ไหม เขาถามว่า เรื่องขุดพระหรือ บอกว่า ไม่ใช่ เรื่องที่เขาจะให้รื้อตลาดหน้าวัด มีไหม ญาติโยมทั้งหลายก็ร้อง โอ้...ท่านทราบจากใครก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ยังไม่มีใครบอก แต่มีความรู้สึกว่าทางคณะสงฆ์เขาบังคับให้รื้อตลาดใช่ไหม ก็บอกว่า ใช่เมื่อท่านบอกว่า ใช่ ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน โยมการรื้อตลาดเป็นของยาก เขาสร้างขึ้นมา เราไปรื้อ เราไม่มีสตางค์ให้เขานะ

อีกประการหนึ่ง ทางด้านหลังวัดก็มีกอไผ่มาก แต่ว่าส่วนที่เป็นถนน มีกอไผ่แค่ ๓ กอ นอกนั้นก็มีกอไผ่และต้นไม้ใหญ่มาก เราจะให้ตลาดเขาไปตั้งที่นั่น มันก็ทำไม่ได้แน่นอน ค่ารื้อถอน ค่าหาที่ดินให้เขา เรื่องมันจะยาวมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในที่สุด เราก็จะเป็นศัตรูกับคนหลายร้อยคน วัดจะไม่มีความสุข เขาก็ถามว่าจะทำอย่างไร ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องรื้อตลาด ให้ไปนิมนต์เจ้าอาวาสมา

เจ้าอาวาสก็มา ก็ถามว่า ผมคิดว่าอย่างนี้ครับเวลานี้ท่านกำลังมีทุกข์เรื่องตลาดหน้าวัดใช่ไหม ท่านก็บอกว่า ใช่ท่านก็บอกว่า ผมนอนไม่หลับ หาทางออกไม่ได้ ก็เลยบอกว่าเมื่อคืนนี้ผมฝันไปว่า มีเทวดาที่นี่ เป็นเจ้าเมืองที่นี่ ๗ องค์ ก็มีท่านเจ้ายี่ฯภรรยาท่านเจ้ายี่ฯ ทหารท่านเจ้ายี่ฯ มาด้วย ท่านบอกว่าท่านกำลังมีทุกข์เรื่องนี้ ท่านแนะนำให้ย้ายป้ายหน้าวัด มาปักที่หลังวัดด้านถนนที่รถวิ่ง

แล้วก็เอารถเกรด หรือว่าใช้คนก็ได้ ตัดกอไผ่ออกแล้วก็ทำกำแพง เอาหลังวัดเป็นหน้าวัด อย่างนี้คณะสงฆ์จะทำอะไรเราไม่ได้เลย เพราะด้านตลาดเป็นหลังวัดไปแล้ว เขาห้ามตั้งหน้าวัดนี่ เราตั้งหลังวัด เราย้ายหน้าวัดมาใหม่ ในที่สุดท่านเจ้าอาวาสก็ยิ้มออกมาได้ บอก แหม! ผมนึกไม่ออกมานาน ผมก็พูดกับชาวตลาด ชาวตลาดเขาก็ไม่ยอม ไม่รู้เขาจะไปอยู่ที่ไหนได้ ผมก็เห็นใจเขา

ผมตัดสินใจแล้วว่า การฝ่าฝืนคราวนี้ถ้าทางคณะสงฆ์จะสึก ผมก็ยอมเพราะผมแก้ไขไม่ได้ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันโยม ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่รั้วกำแพงคิดกันเป็นห้อง สักห้องละ ๖๐๐ บาท อาตมาขอเอา ๑ ห้องแล้วญาติโยมจะรับไหม พวกญาติโยมที่นั่ง ๑๐ คน รับไปจริง ๆ ๑๒ ห้อง พอตอนเย็นเทศน์เสร็จ พอเขารู้ข่าวกัน เช้าก็มารับอีกรวมแล้วทั้งหมด ๓๐ ห้อง ตรงกันกับที่ผีบอก

เป็นอันว่า ท่านแม่ช่วย ช่วยอาตมาด้วย ช่วยวัดด้วย และช่วยคนในตลาดให้มีความสุข เวลานี้ชื่อรั้วที่ วัดศีรษะเมือง อำเภอสรรคบุรี ยังมีชื่อ พระมหาวีระ ถาวโร อยู่ ๑ ห้อง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่าบางทีบางท่านที่ยังไม่เข้าใจเรื่องผี จะคิดว่า ผีนี่ร้ายไปเสียทุกอย่าง แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ผีที่ดีก็มี หลังจากนั้นมาแล้วก็ยังจะอยู่เทศน์ต่อไปอีก

ขณะที่อยู่เทศน์ทุกคืน เวลาค่ำลงมา หลังจากคุยกับคนแล้ว ท่านทั้ง ๗ พร้อมด้วยภรรยาท่านเจ้ายี่ฯ ท่านเจ้ายี่ฯ กับทหารของท่านก็มา เหมือนกันทุกคืน ท่านก็มานั่งคุยบ้าง เล่าความเป็นมาต่าง ๆ บ้าง ตั้งแต่สมัยสุโขทัย พวกคณะที่อพยพมาจากสุโขทัย คือจริง ๆ แล้วพวกนี้ก็อพยพมาจากเชียงแสนมาจากเชียงแสนมาพักที่ศรีสัชนาลัย เห็นว่าทางเมืองสรรค์นี้ว่าง ก็ยกกันมาอยู่ที่นี่บ้าง เลยไปที่จังหวัดสุพรรณบุรีบ้าง

ก็เป็นอันว่า ความเป็นมาต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์จากผี กับประวัติศาสตร์จากหนังสืออาจจะไม่เหมือนกัน ก็เป็นอันว่า คนที่อำเภอสรรค์ฯ ก็เป็นคนจากเชียงแสนมาพักที่ศรีสัชนาลัย อีกกลุ่มหนึ่งก็เลยไปที่จังหวัดสุพรรณบุรี และต่อมากลุ่มคนทั้งหลายเหล่านี้ก็ยกตนขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมือง แต่การครองเมืองคราวนั้นก็เป็นมาหลายชั่วคน และต่อมาก็เข้ามาครองกรุงศรีอยุธยาก็เป็นคนกลุ่มเดียวกัน

เป็นอันว่า เจ้ายี่พระยาเป็นลูกของพระเจ้าอินทราชา หรือเจ้านครอินทร์ เจ้านครอินทร์นี่เป็นน้องชายขุนหลวงพะงั่ว ขุนหลวงพะงั่วเคยครองเมืองสุพรรณบุรีมาก่อน กับพระเจ้าอู่ทอง เป็นอันว่า กลุ่มกษัตริย์เชียงแสน มาเกาะที่สุโขทัยด้วย มาเกาะที่สรรคบุรีด้วย เกาะที่ชัยนาท เกาะที่สุพรรณบุรีด้วย และเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยา

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า วันนี้ก็เต็มที เสียงก็แย่ แรงก็ไม่มี แต่ก็ไม่เป็นไร เล่าสู่กันฟังไว้ เกรงว่าเทปมันจะขาด หนังสือจะขาดมือ ก็จึงมีความจำเป็นต้องทำ เสียงก็แหบก็แห้ง พูดก็ขาดตอน ไม่สละสลวย ก็รวมความว่า อาตมาเองเมื่อสัมผัสกับผีในป่า ก็ยังต้องมาสัมผัสกับผีในเมือง แต่ก็เป็นเมืองเก่าแต่เป็นที่น่าปลื้มใจว่า ผีเล่าความเป็นมาได้ดีมาก

เล่าประวัติศาสตร์ตั้งแต่เชียงแสน ท่านคุยหลายคืน ตั้งแต่เชียงแสนเป็นต้นมา เรื่อยมาถึงศรีสัชนาลัย และเรื่อยมาถึงการอพยพกันมาถึงสรรคบุรี สรรคบุรีนี่มาตั้งทีหลัง พวกที่จังหวัดสุพรรณบุรีมาก่อน แล้วก็อยู่ทางอู่ทอง แล้วต่อมาอีกพวกหนึ่งก็มาตั้งที่อำเภอสรรคบุรี ที่เขตเมืองสรรคบุรี เขาเรียกเมืองสรรค์เวลานั้น แล้วก็ต่อมาเข้าถึงกรุงศรีอยุธยา พอมาถึงสมัยพระเจ้าอู่ทองท่านตาย

แล้วลูกชายขึ้นครองราชย์ ตอนนี้ขุนหลวงพะงั่วก็มายึดอำนาจ ครองเสียเอง ในฐานะที่เป็นลุงตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทบางท่านอาจจะมีความเข้าใจว่า ขุนหลวงพะงั่วมีความโลภมาก แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นการยึดอำนาจ ถ้าเขายึดกันจริง ๆ ก็ต้องฆ่าพระราชาที่ครองอยู่ แต่ความจริง ขุนหลวงพะงั่วไม่ได้ฆ่า ให้หลานชายไปอยู่ที่เมืองลพบุรี

เพราะเวลานั้น ขณะที่หลานชายครองราชย์ มีบรรดาข้าราชการที่หวังจะยึดอำนาจมีอยู่ แต่ว่าขุนหลวงพะงั่วเป็นนักรบ มีกำลังทหารมาก จึงเข้ามายึดอำนาจเสียทำให้พวกนั้นไม่สามารถจะยึดอำนาจได้ ถ้าเขายึดอำนาจได้ หลานชายก็ต้องตาย และขุนหลวงพะงั่วก็จะต้องรบทัพจับศึกกับคนทั้งหลายเหล่านั้น คือพวกอยุธยา กับสุพรรณต้องรบกัน จะต้องเสียเลือดเนื้อ

บรรดาประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาก เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม จึงได้ยกกำลังเข้ามายึดอำนาจ เมื่อยึดอำนาจแล้วก็เลยบอกกับหลานชายบอกว่าให้ลุงครองก่อน ถ้าหลานครองต่อไปคงได้ไม่กี่วัน ท่านหลานชายก็ทราบ ก็ยอมรับ แล้วให้ไปครองที่ลพบุรี ความจริงก็ไม่ได้ตัดอำนาจอะไร ยังเป็นเจ้าเมืองอยู่เอาละท่านทั้งหลาย ความเป็นมาของชีวิต คิดว่า วัดนี้จะต้องถูกรื้อตลาด ก็ไม่ต้องถูกรื้อเพราะกำลังของผี

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง ก็ตรงกับคำพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า การตายนี้มีสภาพไม่สูญ ตายแล้วมีการเกิด พูดไปไม่มีใครเชื่อ ไม่พูดดีกว่า เวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน ผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/7/13 at 16:42 [ QUOTE ]


3
เช่าที่สงฆ์ทำนา


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ เป็นวันเจ๊กเที่ยวพอดี หรือ ตรุษจีน เจ๊กเที่ยว วันนี้ได้รับเงินแต๊ะเอียมาก ใคร ๆ ก็มาแต๊ะเอียกัน แต่คำว่า แต๊ะเอีย นี่จะหมายความว่าอย่างไร ก็ไม่ทราบ สำหรับในตอนนี้เป็นตอนที่ ๓ ของเล่มที่ ๒๐ ก็จะนำเรื่องของอำเภอสรรค์บุรี มาเล่าสู่กันฟังต่อไป เพราะถือว่าเป็นเรื่องแปลก

นั่นคือว่า วันหนึ่งขณะที่ยังพักอยู่ที่อำเภอสรรคบุรี ที่วัดศีรษะเมือง ก็มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ เช้า
มาบอกว่า นาของเธอทำไม่ดี ไม่ได้รับผลดี
ก็ถามว่า โยมซื้อที่นานี่ ซื้อมากี่ปีแล้ว
โยมเช้าก็บอกว่า ฉันซื้อมา ๕ ปี
ก็ถามว่า โยมสังเกตหรือเปล่าว่า ที่นาของโยมนี่ ปกติมีพวกกระเบื้อง มีพวกอิฐมากคล้าย ๆ กับเป็นที่วัดเก่า

โยมเช้าก็บอกว่า ใช่เจ้าค่ะ
จึงตอบว่า ถ้าอย่างนั้น ที่ก็ต้องเป็นที่ธรณีสงฆ์ ถึงแม้ว่าโยมจะซื้อจากใครก็ตาม สิทธิของสงฆ์ยังไม่ขาด ในเมื่อสิทธิของสงฆ์ยังไม่ขาด ก็ถือว่า โยมเอาที่สงฆ์มาทำมาหากิน โดยไม่ได้รับอนุญาต
เธอก็ถามว่า จะทำอย่างไร ฉันจะขออนุญาตใคร

ก็บอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตามแบบที่หลวงพ่อปานท่านเคยแนะนำ คือว่า ให้โยมเช่าที่สงฆ์
ก็ถามว่า นามีกี่ไร่
เธอก็ตอบว่า นามี ๒๐ ไร่เศษ
ถามว่า ให้เช่าปีละ ๑๐๐ บาท โยมจะเช่าได้ไหม

แกบอกว่า ได้
เธอถามว่า จะเอาเงินไปให้ใคร
ก็บอกว่า เงินไปให้เจ้าอาวาสวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ บอกว่าชำระหนี้สงฆ์ เช่าที่ดินทำมาหากิน จะเช่าอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต แกก็ตกลง
เธอเลยบอกว่า ปีนี้ฉันต้องจ่าย ๖๐๐ บาท

ถามว่า ทำไมต้องจ่ายตั้ง ๖๐๐ บาท
แกบอกว่า ทำมา ๕ ปีแล้วเจ้าค่ะ ปีละ ๑๐๐บาท ปีนี้อีกปี ก็อีก ๑๐๐ บาท ก็เป็น ๖๐๐ บาท
เลยถามว่า หนักใจไหม เวลานั้นค่าของเงินยังสูง ก๋วยเตี๋ยวยังชามละ ๒๐ สตางค์
แกบอกว่า ไม่หนักใจ

หลังจากนั้นแกก็นำเงินมาถวาย ๖๐๐ บาท จึงได้มอบให้เจ้าอาวาส บอกว่า เงินจำนวนนี้ จะไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้ในเรื่องของสงฆ์โดยเฉพาะ จะเป็นเงินก่อสร้างก็ตาม ซื้ออาหารถวายพระก็ได้ เป็นสังฆทาน ให้เป็นเรื่องของสงฆ์ไป ไม่ใช่เงินส่วนตัว เจ้าอาวาสก็รับคำ หลังจากนั้นก็เดินทางกลับกรุงเทพฯพอรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่งก็เดินทางไปเทศน์อีก มาเที่ยวนี้ปรากฏว่าโยมเช้าเล่าให้ฟัง

บอกว่า ปีที่แล้วเป็นเรื่องแปลก หลังจากชำระหนี้สงฆ์แล้วก็ลงมือทำนา หว่านข้าว พอข้าวขึ้นดี ก็ปรากฏว่า ฝนแล้งติดต่อกัน๒ - ๓ เดือน ช่วงกลางปี ข้าวของคนอื่นเสียหมด ต้องไถใหม่ หว่านใหม่ แต่ว่าของฉันเขียวชอุ่ม ไม่ต้องหว่านใหม่ ไม่ต้องไถใหม่ ไม่เสียหายเลย
เลยบอกว่า โยมทำถูกต้องก็ดีแบบนี้แหละ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการเดา

ความจริงไม่ได้มีความรู้จริง ที่ถามแกบอกว่า ที่ของโยมอาจจะเป็นที่วัด นั่นก็ไม่ใช่มีตาทิพย์ ตามที่สังเกตในเขตอำเภอสรรคบุรีเป็นเมืองด่านเก่า สมัยก่อนมีการรบราฆ่าฟันกันมาก วัดวาอารามก็พัง วัดบางสถานที่มีที่ประมาณ ๒ ไร่ก็มี บางที่เขตที่วัดเหลือ ๑ ไร่ก็มี แสดงว่าการสร้างวัดซับซ้อนกัน หมายความว่า วัดเก่าพังไปก็สร้างวัดใหม่และชื่อเดิมของวัดเก่าก็คงไว้ ขยักที่ไว้หน่อยหนึ่ง

และสร้างวัดใหม่ทับลงไป ขยายที่ออกมาก็เป็นอันว่า การเดานี่ก็เป็นของไม่แปลก ที่ท่านบอกว่า ที่ธรณีสงฆ์ ถึงแม้ว่าเป็นวัดก็ตาม เป็นวัดที่มีพระอยู่ก็ตาม วัดที่ไม่มีพระอยู่ (วัดร้าง) ก็ตาม เหลือแต่อาคารพัง ๆ ก็ตาม หรือไม่มีอาคารเลยก็ตาม แต่ที่ที่เขาถวายเป็นที่ของสงฆ์แล้ว สงฆ์ยังไม่ขาดสิทธิ สิทธิของสงฆ์ยังมีอยู่ เรื่องของโยมเช้านี่ก็น่าคิดเช่นเดียวกันว่า อยู่ ๆ อาตมาก็เดาส่งเดช

บังเอิญไปตรงเข้า และในที่สุดแกทำอย่างนั้นทุกปี นาแกไม่เสีย ชาวบ้านเสียเท่าไหร่ก็ตาม ของแกไม่ยอมเสีย ภายหลังต่อมารู้สึกว่า เป็นคนมีกินมีใช้มากขึ้น เพราะผลของนาดี ต่อมาหลังจากนั้นก็กลับกรุงเทพฯ เมื่อกลับกรุงเทพฯ แล้วก็มีความเห็นว่า เวลานั้นป่ายังมีเยอะ คิดว่า การอยู่ในกรุงเทพฯ มีความคึกคักเกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คน ไม่สะดวกในการเจริญสมถภาวนา

ตอนนี้ญาติโยมโปรดทราบว่า ออกจากวัดบางนมโค มาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นี่ป่วย แต่ก่อนที่จะป่วย ๓ ปี มีเสียงบอกว่า หลังจากนี้ไปอีก ๓ ปี คุณจะป่วย และคุณจะต้องนอนโรงพยาบาล ๒ ปีหลังจากนั้นแล้วให้ออกจากวัด เพราะพรรษาครบ ๒๐ หรือเกิน ๒๐ แล้วให้ออกจากวัด จึงจะได้ดี ถ้าไม่ออกจากวัด จะไม่ได้ดี คำว่า ได้ดี นี่หมายถึง ธรรมะ ไม่ใช่ยศฐาบรรดาศักดิ์

และความดีตามที่คุณต้องการ ต้องออกจากวัดเมื่อพรรษาที่ ๒๐ ก็บังเอิญป่วยจริง ๆ พอเข้าปีที่ ๓ ก็ป่วยก่อนจะป่วยก็ฝังนิมิตพระอุโบสถ ๒ หลังควบกัน ท่านบอกว่า อีก ๓ ปีคุณจะป่วยหนัก นั่นหมายความว่า ปีนั้นเริ่มป่วย รู้ตัวว่าจะป่วยหนักอาจจะทำอะไรไม่ได้ การก่อสร้างอาจจะทำไม่ได้ต่อไป ก็เลยสร้างโบสถ์ทีเดียว ๒ วัดพร้อมกัน เข้ามาปีที่ ๒ เวลาไปตรวจงานก็เดินไม่ค่อยไหวต้องพยุงกัน

พอเข้ามาปีที่ ๓ โบสถ์ ๒ หลังเสร็จพร้อมกัน ฝังนิมิตเดือนเดียวกัน เมื่อตัดนิมิตเสร็จ ก็เดินทางเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ หลังจากนั้นแล้วก็มาพักที่ วัดชิโนรส มี เจ้าคุณสุวรรณเวทีเป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นคนชัยนาท ก็จึงได้มาเที่ยวชัยนาทได้ เพราะอาศัยท่านใช้มาบ้าง ท่านให้มาเทศน์แทนบ้าง เห็นว่าป่ามีความสุขก็อยากจะอยู่ป่าตามเดิม คิดว่าการออกจากวัดเข้าป่าตามเดิม

จะมีความสุขมาก ประการที่หนึ่ง เราจะไม่ต้องบิณฑบาต เพราะจะถือว่าอาหารที่เทวดา นางฟ้าให้ พอใจแล้ว ประการที่สอง ไม่ยุ่งกับคนเพราะการยุ่งกับคนนี่หนักใจมาก คนมีสภาพไม่ค่อยจะแน่นอน ท่านที่ตรงไปตรงมาก็มี ท่านที่โกงไปโกงมาก็มี บางทีตรงบ้างโกงบ้างก็มี ก็เลยคิดอยากจะออกป่า จึงหาทางขอย้ายมาอยู่วัด สำนักสงฆ์โพธิภาวนาหลังจังหวัดชัยนาท จำชื่อไม่ได้แน่

เพราะว่านานมาแล้ว เวลานั้นก็มี เจ้าคุณภาวนาภิรามเถระ เป็นเจ้าสำนัก ย้ายออกมาจากวัดในจังหวัด ไปตั้งเป็นสำนักวิปัสสนา พอเห็นสำนักเข้าก็ดีใจคิดว่า ที่นี่เป็นสำนักวิปัสสนา เป็นที่ถูกใจเรา และมีกุฏิเล็ก ๆ เป็นที่อยู่แคบ ๆ ก็ชอบใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะที่อยู่แคบ ๆ มีอยู่จำกัด ทำความสะอาดก็ง่าย ไม่ต้องวานใครแค่กวาดแค่ ๒ - ๓ แกรกก็เกลี้ยงเกลา เรียบ ถู ๒ - ๓ ทีก็เกลี้ยงเกลาแล้ว ก็ชอบใจ

แต่ครั้นมาอยู่ที่นี่เข้า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ต้องตกใจภายหลัง เพราะว่าการเจริญภาวนาของท่านใช้แบบเดียว ใช้แบบฉบับโดยเฉพาะของท่าน ที่เขาตั้งกันขึ้นใหม่ สำหรับอาตมานั้น ช่ำชองในกรรมฐาน ๔๐ ก็เลยไม่เป็นที่ถูกใจของเจ้าของสำนัก และคณะนักปฏิบัติ นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ท่านให้เจริญอย่างท่าน ก็เลยบอกว่า ผมทำแล้ว อย่างนี้ก็ทำแล้ว

พอบอกมา อย่างนี้ก็ทำแล้วอย่างนั้นก็ทำแล้ว อย่างโน้นก็ทำแล้ว เราต้องการจะทำต่อ แต่ถ้าให้ทำตามท่าน เราก็ต้องถอยหลังกลับ ก็เลยเป็นที่หนักใจ อยู่ที่นั่นหลายปี ๒ - ๓ ปี ทนอยู่การทนอยู่นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ทนอยู่เพราะว่า ต้องการสงเคราะห์คน สงเคราะห์เด็ก วิธีสงเคราะห์มีอยู่ว่า ต้องตั้งตนเป็นหมอดู ความจริงการดูนี่ บางทีก็ขอให้แบมือดูบ้าง ขอดูหน้าบ้าง ก็ดูส่งเดชไป

เนื้อแท้จริง ๆ ใช้กำลังใจ ใช้กำลังใจดูนี่ได้ผลมาก เพราะอันดับแรกจริง ๆ ที่เด็กจะเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กนักเรียนหญิง เด็กนักเรียนหญิงมาเป็นประจำ การมาของเธอก็มีความต้องการหนึ่ง ต้องการสอบไล่ได้ ประการสอง อยากจะรู้จักคู่ครอง เรื่องคู่ครองรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาจริง ๆ ก็เลยไม่หนักใจ แต่ว่าในเมื่อเธอถามอย่างนั้น ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขณะนี้เป็นนักเรียน

เรื่องคู่ครองไม่แปลก คู่ครองเมื่อไรก็ได้ ถ้าเราเรียนจบ ถ้าเรียนไม่จบได้คู่ครองก็ได้คู่ครองที่ไม่จบ มันจะไม่มีการจบในการครองเรือน ต้องเปลี่ยนหน้ากันอยู่เรื่อย ๆ อันดับแรกต้องมีความอดทน มีความมั่นคงในกิจการที่เราจะพึงทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาเรียนเธอก็ถามว่า ปีนี้จะสอบได้ไหม ก็เลยบอกว่า หลวงพ่อมีวิธีการ มีความรู้พอที่จะให้สอบไล่ได้ทุกคน เธอก็ถามว่า จะทำอย่างไรมีคาถาไหม

ก็บอกว่า ถ้าก่อนหน้าวันสอบ ๓ วัน ให้มารับน้ำมนต์ แต่ว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอทุกคนจงอย่านอนดึก ตอนเย็นกลับบ้านอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จ พักผ่อนดีแล้ว ทำการบ้านให้เสร็จ และดูหนังสือที่จะเรียนวันต่อไป และอย่านอนดึก อย่าฝืน วิชาความรู้ต้องดูตั้งแต่ต้นปี ไม่ใช่มารวบรวมปลายปี ถ้าหากว่าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ ให้เที่ยวเฉพาะคืนวันเสาร์ คืนวันอาทิตย์อย่าเที่ยว

เพราะวันจันทร์ต้องเรียน เธอก็เชื่อ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่มีปัญหาต่าง ๆ ก็มาถาม ก็บอกให้เป็นอันว่า ทุกวันต้องมีเด็กนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กนักเรียนสตรี มาเป็นประจำ มีคนที่นั้นเขาบอกว่า โรงเรียนนี้สอบตกมากปกติแล้วได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์เศษ ๆ ส่วนใหญ่จะตกมาก ในเมื่อเธอได้รับคำแนะนำแบบนั้น ก็ให้กำลังใจเธอทุกวัน ทุกวันเธอมากันเวลาพักตอนเที่ยง

จนกระทั่งครูบาอาจารย์เขาเริ่มสงสัยคิดว่า เด็กจะติดไสยศาสตร์ ก็มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งท่านทราบ บอกว่าไม่ใช่ไสยศาสตร์ ที่นั่นเป็นพุทธศาสตร์ และแนะนำเด็กให้มีความขยันหมั่นเพียร แต่ปีนั้นพอกลางปีอาจารย์ใหญ่ก็แปลกใจว่า เด็กทำไมดีขึ้น พอถึงปลายปี สอบ เด็กได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ไม่มีใครตกเลย ครูตกใจที่สงสัยว่าจะเป็นไสยศาสตร์ ในที่สุดก็มาเอง มาสังเกตการณ์ดูเองว่าเด็กมารับทราบอะไรไปจากที่นี่บ้าง

สำหรับพ่อแม่ของเด็ก ก็มาทำบุญที่วัดนั้นมากขึ้น จนกระทั่งล้นศาลา ทีนี้มาว่ากันถึงวัด วัดนี้ความจริงตั้งอยู่ห่างจากตลาดประมาณครึ่งกิโลเมตร และก็เดินไปบิณฑบาตในตลาด ทั้งสายเหนือ และสายใต้ แต่ว่าเป็นที่น่าแปลกใจก็คือว่า อาหารพอแต่เพียงแค่เช้าตอนเพลต้องทำอาหารกิน เมื่อไปอยู่ ๒ - ๓ วัน ก็คิดว่า เรามาอยู่กับท่าน เราก็ควรจะไปบิณฑบาต จะมานั่งกินนอนกิน

เจ้าของบ้านก็จะหนักใจ แต่วิธีการบิณฑบาต ก็ใช้ อิติปิโส ภควาฯ ตามปกติ ตั้งแต่เริ่มห่มผ้าจะไปบิณฑบาต ก็นึกถึงบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อิติปิโสฯ ทั้ง ๓ ห้อง นึกในใจพอสบาย ๆ ก็เดินนำหน้าพระ เพราะพระที่อยู่ท่านอ่อนอาวุโสกว่า เป็นอันว่า เด็กถือปิ่นโต ๒ เถา ตามพระไปตามปกติปิ่นโต ๒ เถาไม่เต็ม วันนั้นปิ่นโต ๒ เถาเต็ม และต้องขอยืมเขามาอีกเถา

และต้องหิ้วถ้วยแกงมาอีกด้วย พอวันที่สอง บอกให้เด็กเอาไป ๔ เถา ปรากฏว่า ๔ เถาก็ไม่พอ วันที่สาม ให้เด็กเอาไป ๖ เถา ๖ เถาก็ไม่พอ ก็เป็นอันว่า ให้ถือปิ่นโตวันละ ๖ เถา แต่ว่าถ้าอะไรมันเกินจากนั้นก็หิ้วมา ให้หิ้วถ้วยที่เขาถวายมาตอนแรกไปบิณฑบาตในตลาดทางสายใต้ก่อน ต่อมาทางสายเหนือทราบ ก็บอกว่า มาสายเหนือบ้างซิเจ้าคะ ก็เลยแบ่งกันไป ไปสายใต้ ๗ วัน ไปสายเหนือ ๗ วัน

แต่ละสายก็ล้นแบบนั้น ปิ่นโต ๖เถา ล้นเหมือนกัน ต่อมาตอนกลางไม่ได้ผ่าน ตอนกลางก็บอกว่าขอให้ผ่านสายกลางบ้าง ก็เดินผ่านสายกลาง ต้องเพิ่มปิ่นโตอีก ๓ เถารวมความว่า ต้องใช้ปิ่นโต ๙ เถา และยังต้องหิ้วถ้วยพิเศษมาอีก ที่เกินจากปิ่นโตรวมความว่า การใช้บท อิติปิโส ภควาฯ บรรดาท่านพุทธบริษัทไม่ได้หวังจะหาลาภยศ เป็นการรักษาสมาธิ เพราะเคยทำมาก่อน แต่ก็เป็นประโยชน์ให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน

เท่าที่ท่านเล่าให้ฟังบอกว่าตั้งแต่ท่านไปบิณฑบาตฉันคล่องตัวขึ้นมาก การค้าขายดีขึ้น เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าเขามีบัญชีเป็นที่สังเกต การค้าขายดีขึ้น มีการคล่องตัวดีขึ้นมาก ขอให้ท่านบิณฑบาตเรื่อย ๆ ก็บิณฑบาตเรื่อย ๆ ไป ปกติต่อมา ก็มีพระที่วัดนั้น ไปเป็นเจ้าอาวาส ที่วัดพรวน ก็ให้ไปเป็นเพื่อนพรรษาหนึ่ง พอไปเป็นเพื่อนท่านเข้าก็ปรากฏว่า ปฏิปทาของท่านเก่งเป็นพิเศษ

นั่นคือ เจ้าอาวาสเที่ยวทุกคืน ถึงเวลาตอนค่ำก็เข้าบ้าน กลับมาก็ดึกทุกคืน แต่ว่าที่นั่นก็เหมือนกัน มีสุนัขอยู่ฝูงใหญ่ อาตมาไปที่ไหนมีสุนัข ๑๒ ตัวก็ตามไป สุนัขใหม่ก็ตามเข้ามา มีสุนัขฝูงใหญ่ ต่อมาเวลาไปบิณฑบาตข้าวก็ดี ปีนั้นก็แปลก น้ำท่วม ข้าวเสียหายหมด เรียกว่า ทุ่งขาวหลง ปรากฏว่า เมื่อออกพรรษาแล้ว อาตมาก็ไปกรุงเทพฯ เสียหนึ่งเดือน กลับออกมา หมาทุกตัวผอมหมด

เด็กทุกคนก็บ่นว่า กินข้าวเวลาเดียวครับ ถามว่า ทำไม ก็บอกว่า ไปบิณฑบาตชาวบ้านเขาไม่ได้ใส่บาตร ข้าวในทุ่งนาเสียหมด เขาใส่บาตรเหมือนกัน แต่น้อยเจ้าเต็มทีไม่พอกิน พระก็ฉันเวลาเดียว เด็กก็กินเวลาเดียว เจ้าสุนัขก็ต้องอดคือ ๒ - ๓ วัน ได้กินครั้งหนึ่ง วันรุ่งขึ้นอาตมาไปบิณฑบาต น้ำยังท่วมมาก ต้องใช้เรือ ก็ให้เด็กเอากะละมังใหญ่ใส่ไปด้านท้าย และเอาบาตรใส่ไป ๔ ลูก ให้เด็กพายหัวพายท้าย พระเขาก็หัวเราะกัน

เขาถามว่า จะไปใส่อะไร
ก็บอกว่า จะไปใส่ข้าว
เขาบอก ไปบิณฑบาตทุกวัน มันไม่ได้ถึงครึ่งบาตรหรอกนะ ผมเอาไป ๒ ลูก ยังได้ลูกละไม่ถึงครึ่งบาตรเลย รวมแล้วได้วันละประมาณหนึ่งบาตร พระตั้งหลายองค์

ก็เลยบอกว่า ลองดูก็แล้วกัน เขาจะใส่หรือไม่ใส่ ก็เตรียมไป เผื่อว่าเขาจะใส่ เขาไม่ใส่ก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้แบกไม่ได้หาม ก็ใส่เรือมาวันนั้นพอไปบิณฑบาตเข้าจริง ๆ ทุกบ้านวิ่งกันวุ่นวายหมด หลวงน้ามาแล้ว ๆ ๆ ต่างคนต่างใส่บาตร บาตร ๔ ลูกก็เต็ม กะละมังที่เตรียมไปใส่ก็เต็ม เต็มทั้งบาตร ทั้งกะละมัง เจ้าสุนัขที่เลี้ยงไว้ในวัดทั้งหมด ในยามปกติที่เคยอยู่

มันจะต้องกินข้าวกับกับ ถ้าไม่มีกับมันไม่กิน ถ้ามีกับที่ไม่ชอบใจมันก็ไม่กิน แต่ว่าคราวนี้เมื่อได้ข้าวมาแล้วให้ข้าวเปล่ากิน มันกินเสียย่ำแย่เลย เพราะมันหิวมาหลายวัน พระเขาก็แปลกใจว่า ทำไมท่านมาแค่เมื่อคืนนี้ และตอนเช้าไปบิณฑบาต ทำไมจึงมีคนใส่บาตรมากมายอย่างนี้ ก็เลยนึกในใจว่า อำนาจพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ พุทโธอัปมาโณ คุณพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ ธัมโมอัปมาโณ คุณพระธรรมหาประมาณมิได้ สังโฆอัปมาโณ คุณพระสงฆ์หาประมาณมิได้

เพราะว่าก่อนจะไป ใช้อิติปิโส ภควาฯ ตามเดิม บทนี้ใช้กันยันตาย บรรดาท่านพุทธบริษัทอะไรก็ตาม ต้องขึ้น อิติปิโสฯ กันก่อน เพราะถ้าเราไม่ไหว้พระพุทธเจ้า ไม่ไหว้พระธรรม ไม่ไหว้พระอริยสงฆ์ เราจะไหว้ใครกัน และนึกภาวนาด้วยความเคารพ แต่ก็เป็นที่น่าแปลก บรรดาท่านพุทธบริษัท ขณะนั้นปรากฏว่าน้ำขาวโพลน เลยยอดข้าว ชาวบ้านสิ้นความหวัง หลังจากนั้นไม่กี่วันน้ำลด

น้ำลดก็ปรากฏว่าข้าวเขียวตามเดิม ชาวบ้านเขาก็ดีใจกันมาก เขาบอกว่า ถ้าน้ำท่วมขนาดนี้นะครับ ตามปกติพวกผมต้องตายกันแน่เพราะอะไร เพราะไม่มีข้าวจะกิน ข้าวต้องเสียหมด ทีนี้ปรากฏว่าข้าวดีตามเดิม ข้าวดีมาก นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อำนาจพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ย่อมมองเห็นกันชัด ๆ และหลังจากนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ขณะที่อยู่ที่วัดโพธิภาวนา

หรืออะไร จำชื่อไม่ได้แล้ว ใครเดินไปแถวนั้นก็ดูด้วยก็แล้วกันนะ ที่จังหวัดชัยนาท มีเจ้าคุณภาวนาฯท่านเป็นหัวหน้าวัด แต่ว่าต่อมาก็เกิดความหนักใจนิดหน่อย เพราะอะไร เพราะว่าการเจริญกรรมฐานของท่านดีมาก ทุกคนก็ดีมาก แต่ว่าท่านไม่พอใจ ที่ไม่ทำตามท่าน ไอ้เราจะทำตามท่าน มันก็ไม่ไหวอีกเหมือนกัน คนเคยแบกไม้ซีกแล้วต่อมาก็แบกไม้ท่อน ต่อมาก็แบกซุง ต่อมาก็หามซุง

แล้วให้กลับไปแบกไม้ซีกใหม่ มันก็แย่เหมือนกัน ในที่สุด เมื่อเห็นว่าท่านไม่พอใจ ก็ใช้วิธีย้าย วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านพระครูวิชาญชัยคุณ ชอบกันมาก ท่านกำลังมีเรื่องหนักใจเรื่องโรงเรียน เขาฟ้องจะยึดโรงเรียน เพราะไปกู้เงินเขามาหรือเอาไม้เขามาก็ไม่ทราบ และเงินชำระไม่หมด เขาก็ฟ้องจะยึดโรงเรียน ก็เลยไปช่วยท่าน วิธีช่วยก็ไม่มีอะไร ใช้วิชาหมอดู

เพราะวิชาหมอดูนี่เป็นเครื่องเรียกคนได้ดีมาก การดูหมอไม่เรียกเงินให้เงินค่าดูก็ไม่เอา และก็ดูให้ตามที่จะพึงดูได้ แต่ว่าทุกคนก็บอกว่า ตรงตามความเป็นจริง เขาให้ดูอะไรทราบไหม ไม่ได้ลงเลข ใครให้ดู ขอแบมือขวาบ้าง แบมือซ้ายบ้าง ดูหน้านิดหน่อยบ้าง ดูมันส่งเดช เอาตาไปจับที่มือเขา ใจเราก็คิดตามอารมณ์ของใจ ไม่รู้เส้นหรอกว่า เส้นไหนเป็นอย่างไร ๆ เขาถามก็บอก ไม่รู้ ฉันต้องดูทีเดียวทั้งมือ

และก็พยากรณ์ตามความรู้สึก ก็เป็นที่ชอบใจของคน ในเมื่อเป็นที่ชอบใจของคน บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตเป็นกุศลก็เกิดขึ้น คนที่เขาดู ดูให้เขา ถ้ามันตรงตามความเป็นจริงอย่างนั้น ความเลื่อมใสมันก็เกิด ความศรัทธาก็เกิด ต่อมาก็ชวนกันมา เวลาวันพระวันเจ้า เวลามีงาน ก็มีคนมาทำบุญมาก ในที่สุดเรื่องการมีคดีระหว่างพระครูวิชาญชัยคุณ กับเจ้าของเงินก็เลิกรากันไป

ทั้งนี้เพราะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยในการชำระหนี้ มาช่วยให้มีการส่งผ่อน ต้องส่งหนี้คืน โดยไม่มีดอก แต่ทว่าเป็นการส่งผ่อน เมื่อไรก็ได้ ก็ถือว่าได้ช่วยกันสร้างโรงเรียนปริยัติธรรมที่นั่นอีกหลังหนึ่ง ความจริงไม่ได้สร้าง ช่วยกู้หน้า แทนที่เขาจะรื้อโรงเรียนไป ให้โรงเรียนทรงตัวอยู่อยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ตอนนี้หลายปีแล้วไม่ได้ไป ไม่ทราบว่าสภาพเป็นอย่างไรหลังจากอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า

ก็คิดว่า จะอยู่ช่วยที่นั่นเพียง ๒ ปี ก็บอกกับท่านพระครูวิชาญชัยคุณ บอก ผมขออยู่ ๒ปีนะครับ แล้วผมจะเดินทางต่อไป ความมุ่งหมายจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรจะเข้าป่า เวลานั้นป่ายังมีมาก ออกจากหลังวัดสิงห์ไปเดี๋ยวเดียวก็พบป่าแล้ว อย่างนั่งรถไปจังหวัดกำแพงเพชรจะเห็นป่าทั้งสองข้าง เป็นป่าสักอยู่ติดถนน ไม่ใช่ต้องเดินเป็นวัน ๆ อย่างสมัยนี้ คิดว่าโอกาสดีเมื่อไรจะเข้าป่าเมื่อนั้น

แต่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน โอกาสที่จะเข้าป่ามันก็ไม่มี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า หลวงพ่อสำเภา หลวงพ่อสำเภาอยู่ตรงข้ามกับจังหวัดชัยนาท ท่านมีความต้องการจะหาพระสอนกรรมฐานเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ต้องการให้หาพระสอนกรรมฐาน ก็ให้ เสริมศรี นามสกุลว่าอย่างไร ส่งศิริ มาติดต่อ ทีแรกก็ไปเช้า แล้ววันรุ่งขึ้นกลับ ไปเช้า รุ่งขึ้นกลับ

ต่อมาท่านนิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่นั่น ก็ไปจำพรรษาที่นั่น ช่วยสอนกรรมฐาน ก็พอดี ได้ตำราของอาจารย์สุข ได้ตำรามโนมยิทธิ ซึ่งเป็นวิชาที่ง่ายที่สุดมาสอน เป็นการสอนเต็มกำลัง ปีนั้นคนที่ฝึกก็ดีจริง ๆ สอนเต็มกำลัง ทุกคนไม่เกิน ๑๐ นาที สามารถไปได้ตามปกติ ไปได้สะดวกสบายมาก ท่องเที่ยวไปตามภพต่าง ๆ แบบสบาย ๆ ไปเป็นหมู่เป็นกลุ่มก็ได้ เรียกว่า เป็นที่น่าพอใจ

แต่เมื่ออยู่ได้ไม่นานนัก ประมาณปีเศษ ๆ ก็ปรากฏว่า หลวงพ่อสำเภาตาย เมื่อก่อนที่หลวงพ่อสำเภาจะตาย รู้สึกว่าเจ้าอาวาสวัดท่าซุงไปนิมนต์ไว้ นิมนต์ ๓ ครั้ง ในเมื่อท่านนิมนต์ใหม่ ๆ ก็ไม่ยอมรับ แต่ครั้งที่ ๓ เขาไปนิมนต์ ก่อนที่เขาจะไปนิมนต์ ก็มีรูปภาพหลวงพ่อใหญ่ คือ ผู้สร้าง ผู้ทะนุบำรุงวัดนี้ก็แล้วกัน อย่าถือเป็นผู้สร้างเลยนะ เพราะ วัดนี้ตั้งมานาน ก่อนกรุงศรีอยุธยา

ตั้งประมาณ๓๐ ปี แล้วก็พัง เป็นวัดร้าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๒ หลวงพ่อใหญ่มาปักกลดที่นี่ และชาวบ้านเขาขอให้พักที่นี่ ให้เป็นเจ้าอาวาสที่นี่ เป็นเจ้าของวัด เห็นภาพท่าน ท่านบอกว่า วัดนี้คุณเคยบำรุงให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว ๒ ครั้งในอดีต ครั้งนี้ขอให้ทำเป็นครั้งที่ ๓ ครั้งสุดท้าย ต่อไปคุณจะไม่มีโอกาสเกิดมาได้ทำอีกต่อไปแล้ว คำว่า ไม่ได้เกิด นี่หมายความว่าอย่างไรก็ไม่ทราบ บรรดาท่านพุทธบริษัทเวลานี้สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/7/13 at 17:47 [ QUOTE ]


4
คาถาพระยายม

ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็เป็นตอนที่ ๔ ของเล่มที่ ๒๐ ก่อนที่จะมาวัดท่าซุง ขอย้อนไปอยู่วัดสะพาน ก่อน วัดหลวงพ่อสำเภา ตอนแรกนึกชื่อวัดไม่ออก ความจริงวันนี้ก็ไม่ค่อยสบายนะ วัดสะพานตอนนั้น ตอนที่เจ้าอาวาสวัดท่าซุงไปนิมนต์ นิมนต์ ๓ ครั้งคือ นิมนต์ที่บ้านนายจัน ที่ตำบลท่าซุง ครั้งหนึ่ง เมื่อมาฉันเพลที่นั่น แล้วก็ไปนิมนต์ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า

แล้วก็ตามไปนิมนต์ที่วัดสะพาน และก่อนที่เขาจะไปนิมนต์ครั้งที่ ๓ เห็นภาพ หลวงพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้าง รื้อขึ้นมาใหม่ เรียกว่าสร้างใหม่ก็แล้วกันนะ มันพังไปหมดแล้ว ท่านมาปักกลดที่นี่ ท่านเริ่มต้นสร้างที่นี่ ท่านไป ไม่ใช่เข้าฝัน เวลานั้นกำลังนั่งกรรมฐานอยู่ เป็นเวลาตี ๒ ท่านไปบอกว่า

คุณ วัดของผมที่ทำไว้ คุณสามารถสร้างให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว ๒ สมัย คือ สมัยพระเจ้าสามพระยา กับ สมัยของพระนารายณ์มหาราช เวลานั้นวัดเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ว่าเป็นไม้ มันก็ไม่มีอะไรเหลือ เวลานี้มันผุพังหมดแล้ว ให้มาสร้างใหม่ ถามว่า จะให้สร้างแบบไหน ท่านก็ทำให้ดู ภาพแบบนี้ ภาพที่เห็นนี่แหละ ตามที่เห็นปัจจุบันนี้ ก็เป็นอันว่า วันนี้ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ตามที่เห็นอยู่นี้ สร้างตามภาพที่เห็น

ก็เลยบอกว่า จะสร้างไหวหรือครับ ก็นั่งดูคนว่า คนที่นั่นมีศรัทธาจริง ๆ ก็มี แต่มีปริมาณน้อย แต่คนที่มีคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนามีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าอาวาสก็มีคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนา
ถามว่า จะทำได้อย่างไร
ท่านบอก ไปเถอะ ทีแรกมันก็ยุ่งหน่อย แล้วต่อไปมันจะดีเอง แล้วผมจะช่วย แล้วจะช่วยกันมาก พระก็จะช่วย เทวดาก็จะช่วย ต่างองค์ต่างก็บอกว่าจะช่วย จะทำให้เจริญรุ่งเรืองให้ได้ ตามภาพนี้

ก็เป็นอันว่า รับคำท่านในที่สุดอีก ๒ - ๓ วัน เจ้าอาวาสก็ไปนิมนต์ ก็ยังไม่กำหนดที่จะมา เวลานิมนต์ของท่านเจ้าอาวาส ก็พร้อมต่อหน้า พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต กับภรรยา คือ คุณสิริรัตน์ โรจนวิภาต และก็นั่งอีกหลายคน เขาก็ทราบกัน ทีนี้ขอย้อนกลับมาวัดสะพานใหม่ ที่วัดสะพานนี่ หลวงพ่อสำเภาท่านเป็นหมอ เป็นพระที่มีรายได้ดี คำว่า รายได้ดี ก็หมายความว่า การรักษาโรค

คนนั้นก็ให้บ้าง คนนี้ก็ให้บ้าง ท่านไม่คิดเงินไม่คิดทอง เวลานั้นก็รู้สึกว่าค่าของเงินสูง ก๋วยเตี๋ยวชามละประมาณ ๒๐ สตางค์ วันหนึ่งได้ประมาณ ๘๐๐ บาทบ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง ๒,๐๐๐ บ้างก็มี รู้สึกว่ารายได้ดีมาก ท่านเป็นโรคชนิดหนึ่ง คือเวลาเป็นขึ้นมา มันแน่นเสียดหน้าอก มันแน่นถึงกับทะลึ่ง วันหนึ่งก็กำลังนอนอยู่ ท่านพระยายม ท่านก็มา

ท่านบอกว่า คุณ โรคอย่างท่านสำเภานี่ ผมมีคาถาจะรักษา แต่คาถารักษาของผมนี่ รักษาโรคไม่หายนะ กันไม่ให้ตายก็ไม่ได้ รักษาโรคก็ไม่หาย แต่สามารถระงับทุกขเวทนาได้ ถ้ามีเวทนาหนัก ๆ อย่างท่านสำเภานี่ คุณไปเป่าที่หัวเถอะ ประเดี๋ยวเดียวก็ระงับ ก็เป็นอันว่า คาถานี้ต่อมาภายหลัง มีหลายคนรับไปใช้ มีประโยชน์มาก คนที่มีทุกขเวทนามาก ๆ พอไปเป่าเข้านิดเดียวก็สงบทันที

จะบอกให้ ทีแรกจะลืมแล้ว คาถานี่ท่านบอกว่า ให้ว่า นะโมพุทธายะ และเวลาก่อนจะว่าให้ นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์เสียก่อน แต่ถ้าเราจะเอาจริง ๆ นะ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ด้วย นึกถึงพระยายมด้วยและต่อมาประมาณเดือนยี่ ก็เห็นจะเป็นประมาณเดือนกุมภาพันธ์ หลวงพ่อสำเภาก็ป่วย ท่านแช่ม ท่านเป็นลูกศิษย์ก็วิ่งมาบอกว่าหลวงพ่อสำเภาป่วย

กำลังทะลึ่งพรวด ๆ เข้าไปถึงก็ตกใจ ท่านแน่นหน้าอก เสียดจนกระทั่งโดดทะลึ่งพรวด ๆ ขึ้นมา ก็เลยช่วยกันจับจับท่านมา เอาศีรษะท่านวางบนตักแล้วก็เป่า นึกในใจ บอกแช่ม ไปจุดธูปบอกพระยายมเดี๋ยวนี้นะ บอกให้ช่วยระงับทุกขเวทนา แช่มก็ไปจุดธูป ๕ ดอก บอกพระยายม อาตมาก็นึกในใจ แต่ไม่ได้เป่าพรวดๆ นึกในใจเฉย ๆ พอเริ่มนึกในใจเพียงแค่วินาทีเดียว อาการทุกขเวทนาของท่านก็หยุด

ท่านนอนสงบ อาตมาก็ให้นอนอย่างนั้น เป่านึกอยู่อย่างนั้น ประมาณสักครึ่งชั่วโมง เห็นท่านสงบสงัดดีแล้วก็ค่อย ๆ เอาศีรษะวางบนหมอน แล้วลุกมาข้างนอก มานั่งคุยข้างนอก ประเดี๋ยวเดียวเสียงว๊ากอีกแล้ว ทะลึ่งอีกแล้ว ก็กลับเข้าไปใหม่ กลับเข้าไปเป่าใหม่ ทีนี้เป่าไม่เลิก คือ ไม่ได้เป่าพรวด ๆ นะ นึกในใจเฉย ๆ ว่า นะโมพุทธายะ ๆ ว่า ช้า ๆ สบาย ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ นึกถึงพระยายมด้วย

ขอให้ระงับทุกขเวทนา เป็นอันว่า ต่อมาถึงเวลาใกล้จะเพล ท่านลืมตาขึ้นมา
ถามว่า เหลือเวลาอีกกี่นาทีจะเพลครับ ท่านพูดเป็นปกติ ก็แหงนดูนาฬิกา
ก็เลยบอกท่านว่า เวลานี้เหลือ ๓ นาทีจะเพลแล้วครับ
ท่านก็เลยบอกว่า ผมขอลาครับ ถ้าเพลแล้วผมขอลา พอเสียงตีกลองเพล ตึง ๆ ๆ ปรากฏว่าหลวงพ่อสำเภาลืมตาปั๊บ แล้วก็หลับตาปั๊บ ตายไปเลย

เป็นอันว่า คาถาบทนี้ไม่หวงนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนะ ถ้าท่านผู้ใดต้องการจะระงับทุกขเวทนาของใคร ใครเขาป่วยไข้ไม่สบายมีทุกขเวทนามาก ให้จุดธูป ๕ ดอก จุดเทียน ๑ เล่ม มีดอกไม้ก็ใช้ด้วย ถ้าบังเอิญในสถานที่นั้นไม่มีธูป ไม่มีเทียน ไม่มีดอกไม้ ก็ไม่เป็นไร ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ แต่พระศรีอาริย์ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็จริงแล แต่ทว่าต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้าและนึกถึงพระยายมด้วย

แล้วเป่าที่ศีรษะ ค่อย ๆ เป่า ไม่ต้องเป่าพรวด ๆ ให้คนเป่าเหนื่อยหรอกนะ นึกในใจ นั่งทางด้านเหนือศีรษะของเขา นึกว่า ขอให้ทุกขเวทนาระงับไป และจงอย่าลืมว่า เจ้าของบอกแล้วว่า คาถาบทนี้รักษาโรคไม่หาย กันตายก็ไม่ได้ แต่ว่าระงับทุกขเวทนาได้ ต่อมาก็มีคนหลายคนรับไปปฏิบัติ รู้สึกว่ามีผลดีมาก นี่ถ้าไม่ได้พูดบทนี้แล้วน่าหนักใจ น่าเสียดายคาถา

เพราะคาถาเสียไปบทหนึ่งแล้วคือ คาถากอบศีรษะ คนเป็นโรคไม่สบาย กอบทิ้งหาย น่าเสียดาย แต่ว่าคาถาบทนั้น มีค่าครูสลึงหนึ่ง เพราะว่าคนที่รักษาไม่ยอมเสียสลึงหนึ่ง คนรักษาเลยเป็นตาม ผลที่สุดก็ผ่านไป ๓ คนก็ต้องเลิก แต่ว่าคาถาบทนี้ไม่ต้องเสียค่าครู เป็นแต่เพียงว่ายอมรับนับถือพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในท่าน ยอมรับนับถือพระยายมก็ใช้ได้แล้ว

ต่อมาก็มาคุยกันถึงเรื่องวัดท่าซุง หลังจากนั้นทางเจ้าอาวาสก็ไปติดต่อ ก็ยอมรับมา เมื่อเวลาจะมาจริง ๆ ก็มีเรือยนต์ขนาดใหญ่ไปรับ มีเรือต่อของโยมครอบไปรับช่วยขนของมา คณะเจ้าอาวาสก็ไปกันเต็ม ทายกทายิกาก็ไปกันเต็ม ก็รู้สึกว่า เป็นที่น่าเสียดายบรรดาท่านพุทธบริษัท ตามปกติเขาบอกว่า ถ้าวัดไหนตีฆ้อง กลอง ระฆัง สุนัขไม่หอน ท่านห้ามอยู่ที่นั่น หลวงพ่อปานบอกอย่างนั้น

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าวัดนั้นอด เป็นความจริง เมื่อขึ้นมาอยู่วัดนี้มีสุนัขอยู่แค่ ๒ ตัว ตัวเมียเป็นตัวใหญ่ คิดว่าจะเป็นแม่ ความจริงไม่ใช่ และมีตัวเล็กอีกหนึ่งตัวหรือสองตัว ผอม เดินจะทรงตัวไม่ไหว พอขึ้นมาถึงก็เอาข้าวเปล่าให้กิน แกกินเสียจนกระทั่ง กินแล้วก็หลับตรงนั้นไปเลยแสดงว่าอดแย่แล้ว มาดูสภาพข้าวบิณฑบาตจริง ๆ ทางวัดเขาบิณฑบาตได้ข้าวมาก ตอนเย็นเหลือจากเด็กกินแล้ว

ก็เหลือถังใหญ่ ๆ ถังใส่น้ำ ถังตักน้ำ ถังใหญ่ ๆ แกงก็เหลือ ขนาดหม้อแกงลูกต้น เอารวม ๆ กันแล้วนะ แต่ทว่าทางเจ้าอาวาสให้เด็กเลี้ยงสุนัขตัวละหนึ่งจานต่อหนึ่งวัน พอแค่มันมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นเอาไปที่บ้านเขาเลี้ยงหมูข้าวถังใหญ่ แกงหม้อใหญ่ เอาไปบ้านเลี้ยงหมู เลี้ยงหมูหรือเลี้ยงใครก็ไม่ทราบพอครั้นมาถึงจริง ๆ ก็มาดู อันดับแรก เจ้าอาวาสบอกว่าไปช่วยสร้างหอสวดมนต์

หอสวดมนต์ดูแล้วกว้างประมาณ ๒ วา ยาวก็ไม่เกิน ๑๐ วา มาสอบถามเข้าจริง ๆ ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า เสาที่ตั้งอยู่แล้วทั้งหมดนี่ มีเจ้าของทั้งหมด วัดไม่ได้ออกสตางค์เลย มีเจ้าของแต่ละต้น ๆ ทั้งหมด แต่ว่าสร้างมาแล้ว ๘ ปี ตั้งเสามาแล้ว ๘ ปีไม่ได้ทำต่อ และมีการเรี่ยไรทุกปี เรี่ยไรเพื่อจะสร้างหอสวดมนต์ เรี่ยไรทุกปี อาตมาก็คิดในใจว่า นี่มันอย่างไรกันแน่ ใครผิดใครถูกเราไม่ทราบ

ถามชาวบ้านคนไหน ชาวบ้านคนนั้นก็ตอบตามความเป็นจริงและมีบุคคลคนหนึ่งบอกว่า ที่วัดนี้ต้องระวังการเงินนะท่านพระครูวิชาญชัยคุณก็เคยบอกว่า คุณ คุณมหา ถ้าจะอยู่ที่วัดนั้นให้ระวังเรื่องการเงินให้มาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเรื่องการเงินนี่ผมสังเกตดูว่า เขาเรี่ยไรกันมา ๘ ปี ไม่เห็นมีอะไรแปลกขึ้นมาเลย มันมีแต่พัง ไปดูหอสวดมนต์เก่าก็ใช้ไม่ได้เลย เย้หลังเกือบจะบี้อยู่แล้วอาศัยไม่ได้

ศาลาก็โย้ กุฏิที่หลังดีที่สุด ก็มีกุฏิเจ้าอาวาสหลังเดียว นอกนั้นก็ฝาโปร่งหมด คนเดินไปเดินมา เราอยู่ข้างในไม่ต้องเปิดหน้าต่างมองเห็น เพราะฝามันโปร่ง นกบินมาก็มองเห็น เพราะหลังคาโปร่งอาตมาก็เลยมาสร้างกระท่อมอยู่ มาอยู่กุฏิหลังหนึ่ง ที่เจ้าอาวาสให้อยู่ก็มีแต่พื้น กับหลังคา ฝาไม่มี ต้องให้ สามเณรสมควร ที่ตามมาด้วย เป็นช่างทำฝา ก็ได้ไม้จากกองบิน ๔ ได้จาก พล.อ.อ.อาทร

เวลานั้นเป็น เสนาธิการกองบิน ๔ กับ พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทวีป เวลานั้นเป็นหัวหน้าฝ่ายสื่อสารกองบิน ๔ ทั้ง ๒ ท่านเป็นกำลังใหญ่ในตอนต้น เขาเอาของที่เขาไม่ใช้ ไม้กล่องต่าง ๆ นั่นแหละ ที่ใส่หีบห่อมา เวลานั้นฝรั่งอยู่ที่นั่น เอามาทำฝาบ้าง ทำอะไรบ้าง ก็ได้ทหารของกองบิน ๔ มาช่วย ทหารช่าง และก็ปีนั้นเมื่อย้ายมา ปี พ.ศ. ๒๕๑๑

พอปลายปี พล.อ.อ.อาทร ก็ไปบอก พล.อ.อ.พะเนียง กานตรัตน์ เวลานั้นยังเป็น พล.อ.ต.เจ้ากรมยุทธการ ให้มาทอดกฐิน เป็นหนี้เขาอยู่ประมาณหมื่นบาทเศษ ทอดกฐินได้ ๑๔,๐๐๐ บาท ก็ชำระหนี้ไป ๑๐,๐๐๐ บาท อีก ๔,๐๐๐ บาท ให้เจ้าอาวาสไปชำระหนี้ เพราะเจ้าอาวาสเป็นหนี้อยู่ ๖,๐๐๐ บาท อาตมาเป็นหนี้ ๑๐,๐๐๐ บาทเอาเงิน ๔,๐๐๐ บาท ไปให้เจ้าอาวาสเพื่อชำระหนี้

เหลืออีก ๒,๐๐๐บาท ให้หาเอาเอง เพราะแกไม่ทำอะไรเลย มานั่งดูแล้วน่าสลดใจ แต่ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น เจ๊กเจ้าของไม้มาถามว่า ทอดกฐินมีเงินเหลือไหมครับ ถามทำไมล่ะ ก็บอกว่า นั่นเป็นภาระเจ้าอาวาสเขา แกบอก ผมไปถามเจ้าอาวาสแล้วว่า ไม่มีสตางค์ ถ้าจะมีต้องเดือน ๔ บอก เอ้า...เมื่อวานนี้ฉันให้ไป ๔,๐๐๐ เมื่อตอนเย็นวานนี้เองนะ เขาบอก ถามเขาแล้วไม่มีสตางค์แน่ ก็เป็นอันว่า เงินถูกเขายืมไปแล้วทีนี้มีคนหนึ่ง ไม่ขอออกนาม

เขาบอกว่า ท่านขอรับ ผมขอพยากรณ์ว่า เงิน ๔,๐๐๐ นี่สูญ ถามว่า ทำไมจึงทราบ บอกว่า ผมทราบปฏิปทาของท่านองค์นี้ดี และพวกของเขาดีมาก การเงินนี่ ถ้ามันไม่สูญตามที่ผมว่า วัดเจริญนานแล้วครับ เพราะการเรี่ยไรทุกปี ได้ปีละมาก ๆ ทั้งข้าว ทั้งเงิน แต่ว่าพอมาถึงเขาแล้ว ต่างคนต่างแบ่งกันต่อมาอาตมาก็เริ่มทำหอสวดมนต์ที่จะพึงทำได้ และทำให้เป็นหลังขึ้นมา แต่ว่าช่างที่มาช่วยก็แสนดี

วันพระหนึ่ง มาช่วยครั้งหนึ่ง แต่งานช้าเหลือเกิน ขนาดจะตั้งวงกบหน้าต่าง บางทีวันหนึ่ง ๒ - ๓คราวยังไม่เสร็จเลย วงกบหน้าต่าง ก็เลยคิดว่า ถ้าเป็นแบบนี้ การที่เราหาเลี้ยงมันแพงกว่า แพงกว่าที่จะจ้างเขามาเป็นประจำ ก็เลยจ้างช่างเขามาทำประจำ ทำให้ทรงตัวได้ก็เท่านั้นเอง แค่นั้นก็ต้องเป็นหนี้เขาหลังจากนั้น ก็ได้ เจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ (ท่านพล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) ที่ไปใช้บ้านของท่านเป็นที่เจริญกรรมฐานเวลานี้

เป็นผู้นำกฐินมา กับภรรยา คือ คุณอ๋อย (เฉิดศรี)ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา และคุณอ๋อยก็ติดต่อพรรคพวก ทอดกฐินกันเรื่อย ๆ มา ได้เงินกฐินเป็นหมื่น เป็นแสน แต่ว่าทางวัดไม่ได้ผลหรอกเพราะว่าอาตมาใช้วิธีแบบนี้ ถ้าจะมีเทศน์ เมื่อเทศน์ก่อนจะจบ ให้เจ้าหนี้มานั่งรอรับสตางค์ ได้เท่าไรไม่หักต้นทุน มอบเงินชำระหนี้เจ้าหนี้ต่อหน้าชาวบ้าน ส่วนที่ยังค้างอยู่ เจ้าหนี้บอก ไม่หนักใจ

เมื่อถึงคราวทอดกฐิน ก็ให้เจ้าหนี้มารอรับ รับเงินจากกฐินปั๊บ ชำระหนี้ทันทีใช้วิธีนี้ และก็ไม่มีการหักค่าใช้จ่าย เรื่องค่าใช้จ่ายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เราต้องใช้อยู่แล้ว คนที่เขามา เขาไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตามากินล้างกินผลาญ เขากินแค่อิ่ม ถ้าเราไม่เลี้ยงเขา เขาก็ไม่ว่าอะไร ที่เราเลี้ยงเขาก็ไม่เหมือนภัตตาคาร กฐินจริง ๆ ก็มาจากกรุงเทพฯ มาจากคุณอ๋อยมาก มาจากเจ้ากรมเสริมด้วย

ชวนคนนั้นบ้าง ชวนคนนี้บ้าง ในที่สุดผลที่ได้รับก็คือว่า ไม่เป็นที่ถูกใจของเจ้าอาวาส และบรรดาทายกทั้งหลายทายกทายิกาประจำวัด ก็มีคนอยู่ ๓ คน คือ โยมพวง โยมน้อย และก็โยมอะไรหนอ นึกชื่อไม่ออกเสียแล้ว มี ๓ คนด้วยกันส่งของมาเป็นประจำ เอากล้วย เอาอ้อย เอาผักบ้าง เอาปลาบ้างมาถวายเป็นประจำ โยมน้อยคนนี้เจริญกรรมฐานเก่งมาก เวลานั้นก็เจริญกรรมฐานอยู่ ๓ คน

นี่คนประจำ บางวันก็มีคนอื่นมาร่วมด้วยบ้าง จริง ๆ แล้วก็ ๓ คนนี่เป็นประจำแน่นอน แต่ว่าโยมน้อยเก่งตอนหลังท่านเป็นโรคมะเร็งที่ท้อง อาตมาก็จะเข้ากรุงเทพฯ วันก่อนที่จะเข้ากรุงเทพฯ หนึ่งวัน ก็ไปเยี่ยมท่านที่บ้าน ท่านก็นอนเฉยไม่แสดงอาการอะไรทั้งหมด

ถามว่า โยมปวดไหม
บอกว่า ปวดมากเจ้าค่ะ
ถามว่า โยมเวลานี้นึกถึงอะไร
โยมก็บอกว่า นึกถึงนิพพานอย่างเดียวเจ้าค่ะ

ถามว่า โยม เห็นพระไหม
บอกว่า เห็นเจ้าค่ะ
เห็นรูปร่างเป็นอย่างไร
บอกว่า รูปร่างใสเป็นแก้ว

ถามว่า พระองค์นั้นเป็นใครโยมทราบไหม
แกบอกว่า ทราบ
ถามว่า ใครล่ะ
โยมก็เลยบอกว่า พระพุทธเจ้าเจ้าค่ะ

บอกว่า วันพรุ่งนี้อาตมาต้องไปกรุงเทพฯ อาตมาไม่อยู่ เพราะว่าจะต้องไปสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม บ้านเจ้ากรมเสริม แกก็พยักหน้า
เลยบอกว่าโยมอย่าลืมนิพพานนะ อย่าลืมภาพพระนะ ให้นึกว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ขอไปที่นั่น

หลังจากนั้นมา พอรุ่งขึ้นอาตมาก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พอตกกลางคืน เวลาสอนกรรมฐาน เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ก็ปรากฏภาพโยมน้อย เห็นเป็นขบวนใหญ่ นั่งรถแก้วแพรวเป็นระยับ และมีขบวนนางฟ้าบ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง เยอะแยะ แพรวพราวเป็นระยับ ผ่านไป พอผ่านหน้าไปก็เห็นยกมือไหว้ บอกว่า ท่านเจ้าคะ ฉันขอลาไปนิพพานเจ้าค่ะ

ก็นึกในใจว่า ภาพนี้เราไม่ได้สร้างขึ้น เราไม่เคยคิด เรื่องเสียงนี่เสียงโยมน้อย แต่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนแล้วสวยมาก เลยนึกในใจ
ถามว่า ชื่อน้อย ใช่ไหม
บอก ใช่ค่ะ ที่เป็นมะเร็ง ท่านไปเยี่ยมวานนี้ วันนี้ไปแล้วเจ้าค่ะ ฉันมีความสุขแล้ว ขอท่านมีความสุขด้วยนะ
แล้วก็ผ่านไปพอกลับมาวัด ก็ทราบข่าวว่า โยมน้อยตายคืนนั้นจริง ๆ เวลานั้นเป็นเวลาที่โยมพวงกำลังเจริญกรรมฐานเหมือนกัน

โยมพวงก็บอกว่าเห็นขบวนเหมือนกัน ได้ยินแจ๋ว ๆ ว่า พวงเอ๊ย พวง น้องเอ๊ย พี่ลาแล้วนะ พี่ลาไปนิพพานนะพวงนะ อย่าลืมนิพพานนะน้องนะ พี่ลาละ โยมพวงบอกว่า จำได้แต่เสียง แต่ตัวจำไม่ได้ สวยมาก แล้วต่อมาอีก ๒ - ๓ วันก็ปรากฏว่า เด็กสาว ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันเลยอยู่ในตลาดอุทัยธานี เธอนอนฝัน ฝันว่า โยมน้อยตายไปแล้ว เห็นขบวนที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ตรงกันหมดทุกอย่าง

ก็รวมความว่า ถ้าการเห็น การได้ยินคราวนั้นไม่ผิด ก็แสดงว่าคณะของเรา คนที่ไปนิพพานก่อนเพื่อนนั่นคือ โยมน้อย คนที่เป็นกำลังใหญ่ของอาตมาในสมัยที่มาอยู่วัดท่าซุง ต่อมา พล.อ.อ.อาทรพรรษาที่สองท่านก็มาบวชที่นี่ ก็มาช่วยไว้มาก แล้วต่อมาก็หลังจากนั้น ก็ได้อาศัยทุก ๆ คนช่วยกัน หลังจากคณะกฐิน แล้วต่อมาบรรดาลูกหลานทั้งหมด ก็ต่างคนต่างช่วยกัน

อาตมาก็ไปสร้างกระท่อมอยู่โคนต้นโพธิ์ กระท่อมหลังนั้นไปตั้งไว้ที่กลางสระ แต่มันสวยกว่าเก่าเก่ามันไม่สวยเท่านั้นหรอก นั่นเขาทาสีสันสวย ทำรั้วรอบขอบชิด เดิมไม่ดีเท่านั้น สร้างไปสร้างมาในที่สุดก็ไม่เป็นที่พอใจของเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสด้วย ทายกด้วย เขาก็ใช้เครื่องขยายเสียงด่า บางทีเจริญกรรมฐานกัน แกเปิดเพลงเสียงเจี๊ยว ๆ ๆ ดังโจ้ง ๆ ๆ แกล้งด้วยประการทั้งปวง

ทั้งทายกทั้งเจ้าอาวาสพร้อม ๆ กัน ก็หาทางทุกอย่าง ทุกเรื่อง มีคนเป็นกลุ่ม เรียกว่า กลุ่มใหญ่ โน่นเขาเปิดเครื่องขยายเสียงด่าที่โรงเรียนในตัวจังหวัด รู้สึกว่าเป็นมากในตอนต้น แต่ว่าที่ทรงตัวอยู่ได้อย่างนี้ก็เพราะว่า พระผู้มีคุณ ตอนนั้นก็มีความรู้สึกว่า เราจะไปจากที่นี่ มันก็เป็นของไม่แปลก แต่ว่าเรารับปากหลวงปู่ใหญ่ว่า จะทำ และสิ่งใดถ้าหวังว่าจะทำ ก็มีคนช่วยอยู่เสมอ ก็ต้องเชื่อท่าน

ต้องเชื่อท่าน ทั้งนี้เพราะว่า ทุกอย่างตรงตามเป็นจริงไปหมด ก็เลยอดทน คิดในใจว่า ถ้าบังเอิญเป็นคดีเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องการเป็นคดี ก็สร้างโบสถ์น้ำขึ้นมา สร้างแพขึ้นมาหลังหนึ่ง เขียนว่า แพโบสถ์น้ำ และความจริงไม่ได้ใช้ เป็นโบสถ์หรอก โบสถ์เขามีแล้ว ต้องการให้มีเรื่อง ถ้ามีเรื่องจะได้รู้ความจริงว่าใครผิดใครถูก เรารู้ว่า เราเป็นคนถูก แต่ว่าเรื่องนี้ เขาบอกว่าทางกรมการศาสนาเขาบอกว่า ได้รับเรื่องเยอะแยะ

มีคนร้องเรียนเข้าไป แต่ไม่มีใครจะเชื่อกระมัง แต่ว่าในที่สุด เป็นอันว่าเจ้าอาวาสก็สึก ทายกก็เจ๊ง เจ๊งเพราะอะไร เพราะว่าตอนนั้นอาตมาก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเราเป็นคดีกับเขาที่บ้านนอกคงไม่ชนะเขาแน่ แพ้เขาแน่ ก็ไปหาพระในกรุงเทพฯ ไปหาพระในกรุงเทพฯ ก็ไปหาที่วัดสระเกศ สมเด็จพระพุฒาจารย์ องค์ปัจจุบัน

ท่านบอกว่า ผม ตำแหน่งผมมันก็เลยมาเสียแล้วครับ ไม่ใช่เจ้าคณะภาค มันต้องเจ้าคณะภาค ไปหาเจ้าคณะภาค เจ้าคณะภาคก็รู้สึกว่า ท่านก็ดีมาก แต่ว่ามันก็ลำบากอยู่ ในที่สุดก็ไปหา สมเด็จวัดสามพระยา เวลานั้นยังไม่ได้เป็นสมเด็จ เจ้าคณะหนกลางยังอยู่วัดสังเวชฯ ไปคุยกับสมเด็จวัดสามพระยาท่าน คุยไปคุยมา

ท่านก็บอกว่า ผมเอาด้วย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รอผมก่อน
กราบเรียนท่านบอกว่า หากว่าโกงผมแบบนี้ ผมทนไม่ไหวนะขอรับ ในเมื่อผมทนไม่ไหว เมื่อเห็นใครไม่เป็นพระ ผมก็ไม่เป็นพระได้เหมือนกัน
ท่านบอก เฮ้ย ๆ เอากันแค่พระธรรมวินัย

บอกว่า เวลานี้เขาไม่ใช้ธรรมวินัยแล้วครับ เขาใช้อย่างอื่นกันแล้ว ถ้าโกงผมเข้ามาเมื่อไร ผมก็ต้องสู้ คติของผมมันคนสู้คนอยู่แล้ว
ท่านบอกว่า รอผมก่อน ต่อมาไม่ช้า ท่านก็ส่งพระมา ๓ องค์ คือ เจ้าคุณราชรัตนกวี วัดอนงค์ เจ้าคุณราชรัตนโมลี วัดแก้วแจ่มฟ้า พระราชรัตนโสภณ วัดสังเวชฯ รองเจ้าคณะภาค

ขึ้นมาหาเจ้าคณะจังหวัดขึ้นมาครั้งแรก ให้อาตมาไปที่วัดเจ้าคณะจังหวัดด้วย อาตมาบอก ไม่ไป เขียนหนังสือไปบอก เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย พวกเขาก็ด่ากันใหญ่ แต่เจ้าคณะจังหวัดไม่ได้ด่านะ แต่พวกเจ๊กด่า วันนั้นท่านทั้ง ๓ ไปเจรจาไม่ตกลง ไม่ตกลงก็ต้องกลับวัดสามพระยา อีกไม่กี่วันหลวงพ่อวัดสามพระยาก็ส่งลงมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ตกลงก็เป็นอันว่า อาตมาอยู่ได้เพราะหลวงพ่อวัดสามพระยา

และสร้างให้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ เพราะอาศัยบุญคุณ หลวงพ่อวัดสามพระยา คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ องค์ปัจจุบัน ฉะนั้นการที่ทำบุญ ทำกุศลทุกอย่าง บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเห็นว่า อาตมาจะทุ่มเทไปหาวัดสามพระยาหนัก แต่หนักตามกำลัง ไม่ใช่ส่งไปเป็นล้าน เป็นโกฏิ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ จิตใจทุ่มเทอยู่ที่นั่นมาก ท่านก็มีความเมตตามาก

ทั้งนี้เพราะว่า ถึงแม้ว่าจะทำอะไรก็ตามที จะเท่ากับความดีที่ท่านให้ คือ ให้ชีวิตไว้นี้ ไม่มีอีกแล้ว บุญคุณครั้งนี้ชำระเท่าไรก็ไม่หมดเอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต วันนี้ก็เสียงไม่มี หมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/8/13 at 12:48 [ QUOTE ]


5
พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๐๗ อยู่จังหวัดชัยนาท


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ฟังเสียงแล้วก็รู้สึกว่า ยังมีเสมหะอยู่มาก ก็ไม่เป็นไร เพราะหนังสือเล่ม ๒๐ จะไม่ครบ เป็นอันว่า วันนี้ขอลัดตัดทางเข้าวัดท่าซุง ก่อนที่จะมาวัดท่าซุง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ตอนนั้นอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตั้งใจไปช่วยพระครูวิชาญชัยคุณ ๒ ปี ก่อนที่จะไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ก็ยังอยู่ที่วัดโพธิภาวนาราม จังหวัดชัยนาท ก่อน

ที่วัดโพธิภาวนา หรือว่าอะไรก็ไม่ทราบ อยู่หลังจังหวัดชัยนาท ที่ตรงนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานั้นราคาที่ดิน ไร่ละประมาณ ๑,๐๐๐ บาท ก็คิดในใจว่า มีทุ่งอยู่สองด้าน ด้านทิศตะวันออกของวัด กับด้านทิศตะวันตก ถ้ามีโอกาสจะพึงทำ ก็จะสร้างวัดนั้นให้เจริญรุ่งเรือง แต่โอกาสก็ไม่มี บรรดาท่านทั้งหลาย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านเจ้าของที่ แต่ไม่ใช่เจ้าของนาคือ เจ้าของวัด เกรงว่าคนอื่นจะดีกว่า

และประการที่สอง ท่านเจริญกรรมฐานแบบเบสิค คำว่า เบสิค อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เป็นอย่างไร เขาบอกว่า แบบสมัยใหม่ แต่อาตมาเจริญกรรมฐานในสายกรรมฐาน ๔๐ มาก่อนกับ มหาสติปัฏฐานสูตร ท่านคิดว่า เป็นกรรมฐานคนละทาง ท่านมีความเห็นไม่ตรงกัน ท่านก็เลยคิดว่าเราจะมาทำลายความดีของท่าน ในที่สุดก็เบื่อ ขอพูดตามความเป็นจริง ก็คิดว่า

พระถ้าห่มจีวรเป็นกรัก จะต้องเป็นพระดี เพราะจีวรสีกรักเป็นสีจีวรของพระธุดงค์ พระธุดงค์เป็นพระดี หรือมิฉะนั้นบรรดาพระที่ห่มจีวรกรัก ก็เป็นพระเจริญกรรมฐาน พระที่เจริญกรรมฐานนี่ อย่างน้องที่สุด

๑. ต้องมีพรหมวิหาร ๔
๒. ละอคติ ๔
๓. ทรงศีลบริสุทธ์
๔. ระงับนิวรณ์
๕. ทรงฌาน
๖. ใช้ปัญญาพิจารณาวิปัสสนาญาณ อย่างนี้เป็นต้น
และ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีอารมณ์หวังพระนิพพานเป็นอารมณ์ เอาจิตเข้าตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการ จะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ก็พยายามตัด พยายามลด พยายามเตือนใจว่าของทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นอุปกิเลส เราไม่ควรคบหาสมาคม แต่ว่าท่านไม่เห็นด้วย ก็มีความจำเป็นก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะว่าไม่ปฏิบัติ ท่านมีแต่สีอย่างเดียวเอาแต่สีกรักอย่างเดียว แต่ใจไม่ได้กรักไปด้วย และขณะที่เข้าไปอยู่ใหม่ ๆ ก็มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง

คือ วัดนี้อยู่หลังตลาดจังหวัดชัยนาท แต่ว่าการบิณฑบาตของพระไม่พอฉัน คือพอฉันแต่เวลาเช้า เวลาตอนกลางวันต้องหุงข้าวกิน ทำอาหารเสริมก็รู้สึกสลดใจ มีความรู้สึกว่า เราอยู่กรุงเทพฯ ถ้าต้องหุงอาหารกินในเวลาสงคราม ก็ไม่ใช่ของแปลก เลิกสงครามแล้วก็ไม่ต้องหุงกิน เพราะว่ามีคนถวายพอ แต่พระบ้านนอก และอยู่หลังตลาดด้วย ต้องหุงอาหารกินแบบนี้ ก็หนักใจ

เมื่อมาพักอยู่ได้ ๒ - ๓ วัน ก็รับอาสาว่าจะขอไปบิณฑบาตด้วย การบิณฑบาตของวัดนั้นมี ๒ สายคือ สายใต้กับสายเหนือ สายเหนือ คือตลาดเทศบาล และก็สายใต้ ตอนแรกก็ไปตลาดสายใต้ก่อน ในตอนแรก วันแรกจริง ๆ ไป มีเด็กหิ้วปิ่นโตชื่อ นายเย็น เด็กนี่เรียนหนังสือที่จังหวัดชัยนาท เวลานี้ทราบว่า ทำงานอยู่ที่เขื่อนชัยนาท เมื่อไปวันแรก ตามธรรมดาเขาถือปิ่นโต ๒ เถา ไม่เต็ม

ไปวันแรก ปรากฏว่า ปิ่นโต ๒ เถาเต็ม ล้น แกงจืดต้องปนกับแกงจืดแกงเผ็ดต้องปนกับแกงเผ็ด อย่างนั้นยังไม่พอ ยังต้องขอยืมปิ่นโตเขามาอีก ๑ เถา เต็ม วันที่สองเลยให้เด็กนำปิ่นโตไป ๔ เถา ปรากฏว่า ปิ่นโต ๔ เถา ก็เต็มอีก ล้นอีก วันที่สามให้เด็กนำปิ่นโตไป ๖ เถา เพิ่มเด็ก ให้ถือคนละ ๒ เถา เป็นอันว่า วันที่สามปิ่นโต ๖ เถาก็ยังล้นอีก ต้องขอยืมเขามาอีก ทั้งนี้เพราะอะไร

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านถามว่า ด้วยอานุภาพอะไร ก็ต้องขอตอบว่า อานุภาพของพุทธานุภาพ คืออานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์นั่นเอง แต่ว่าไม่ใช่อาตมาเป็นพระอริยสงฆ์ อย่าเข้าใจผิด บางคนมาเรียกว่า ท่านเป็นพระอริยเจ้าบ้าง ท่านเป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านเป็นพระโสดาฯบ้าง สกิทาคาฯ บ้าง อนาคาฯ บ้าง อันนี้ไม่ถูกทั้งหมด

แต่พระบางองค์ก็พยากรณ์ว่า มหาวีระ ไม่ใช่พระอริยเจ้า เป็นพระผู้ทรงฌาน ก็ไม่ถูกอีก ที่ตอบว่าไม่ถูก เพราะอะไร เพราะว่าอาตมาไม่เคยมีความรู้สึกว่า ๑. เป็นพระผู้ทรงฌาน ไม่เคยมีความรู้สึก ประการที่ ๒. เป็นพระอริยเจ้า อริยเจ้าชั้นใดชั้นหนึ่งก็ตาม ไม่มีความรู้สึก มีความรู้สึกแต่เพียงว่า เราก็คือ สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คอยนั่งแคะบารมี ๑๐ ประการ และแคะสังโยชน์ ๑๐ ประการ ว่าจะครบ หรือไม่ครบเท่านั้นเอง ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่มีความเข้าใจต่าง ๆ นี่ผิดหมด ขอกล่าวตามความเป็นจริง แต่ว่าการไปบิณฑบาต เมื่อไปบิณฑบาตสายใต้ได้ ๗ วันก็ปรากฏว่า ตลาดสายเหนือขอให้ไปบิณฑบาตบ้าง ก็ไปบิณฑบาตสายเหนือ ๗ วัน ก็มีสภาพตามเดิม คือ ได้กับข้าวจากสายใต้ ๗ เถาได้กับข้าวจากสายเหนืออีก ๗ เถา

เป็นอันว่า ได้ปิ่นโตมากินวันละ ๑๔ เถา ต่อมาช่วงกลางไม่ได้บิณฑบาต เขาขอร้องบอก ขอให้ไปบิณฑบาตตอนกลางบ้าง ไปสายเหนือก็ผ่านตอนกลางเข้าวัดได้อีก ๒ เถา เป็นอันว่า ได้ปิ่นโต ๑๖ เถาต่อ ๑ วัน พระเหลือกินเหลือใช้ที่จังหวัดชัยนาท ก็มีโรงเรียนมัธยมชาย โรงเรียนมัธยมหญิงและก็มีโรงเรียนราษฎร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กนักเรียนหญิง ชอบดูหมอดูมาก ไปขั้นแรกเธอมาหา ก็มาถามเรื่องหมอดู

ก็คิดในใจว่าเด็กพวกนี้ เราจะต้องหาทางให้เรียนดีให้ได้ เมื่อถามครูบาอาจารย์ถามว่า ปีหนึ่งนักเรียนสอบได้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไหม มีพระท่านหนึ่งชื่อ ปลัดเจือ เคยเป็นปลัดอำเภอมา ท่านบอกว่าอย่างเก่งก็ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ เด็กตกมาก ก็เลยคิดในใจว่า ในเมื่อเด็กมาก็ดีแล้ว ต้องหาทางให้เด็กเรียนให้ดีให้ได้ ทางที่จะให้เด็กเรียนดีก็มีทางเดียว คือ หมอดู หมอดูก็ใช้การดูจริง ๆ ไม่ลงเลข

ถ้าลงเลข เขาต้องเรียก หมอเลข ไม่ใช่หมอดู อย่างนี้เราเรียกกันว่า หมอดู จริง ๆ คือเมื่อเธอมาถามว่าปีนี้จะสอบได้ไหม ก็มองหน้าเธอนิดหนึ่ง แล้วก็ตอบว่า ปีนี้สอบได้ เธอถามว่า การศึกษาของเธอไม่ดีจะทำอย่างไร ตอนนี้ต้องหลอกเด็กหลับตานิดหนึ่ง แล้วก็ลืมตา บอกว่า ความจริงการศึกษาของเธอนี่ดี มันสมองก็ดี ปัญญาก็ดีมาก สติสัมปชัญญะก็ดีมาก แต่ทว่า ดูหนังสือน้อยไปหน่อย

และอีกประการหนึ่ง นอนดึกไปนิดหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็คือ ชอบเที่ยวคืนวันอาทิตย์ ฉะนั้นถ้าหากว่าจะเรียนหนังสือให้ดีสอบให้ได้ไม่พลาดพลั้ง จะได้ทุกปี ก็คือ อย่านอนดึก ตั้งใจดูหนังสือช้า ๆ ด้วยความเต็มใจ ตั้งใจจำ อย่านอนให้ดึก ถ้ารู้สึกว่าง่วง ให้เลิกดูหนังสือเสีย แล้วก็นอนหลับไป ประการที่สอง คืนวันเสาร์เป็นวันหยุดเที่ยวได้ แต่วันอาทิตย์จงอย่าเที่ยว เพราะจะอดนอน

ประการที่สามการเคารพบิดามารดา มีความสำคัญ เคารพครูบาอาจารย์ มีความสำคัญ ถ้าทำอย่างนี้ละก็ หลวงพ่อช่วยได้ และเธอถามว่า ถ้าก่อนจะสอบ จะมารดน้ำมนต์ได้ไหมก็บอกว่า ได้ พรมน้ำมนต์ให้ได้ เด็กที่พรมน้ำมนต์ให้ทุกคนรับรองว่าต้องสอบได้ แล้วจึงให้ คาถาของพระอินทร์ ไว้ทุกคน ที่พระพุทธรูปวัดประยุรวงศ์ฯ ท่านบอก เพราะตอนนั้นอยู่วัดประยุรวงศ์ฯ

ย้ายจากวัดอนงคาราม มาอยู่วัดประยุรวงศ์ฯ เรียนเปรียญ ๔ ประโยค นอนอยู่ในพระอุโบสถ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นอนฝันไปว่า มีพระประธานท่านลงมาจากแท่น ท่านบอกคาถาให้ บอกว่า ปีนี้ครูสอนได้ภาคเดียว ความจริงเขาเรียนกัน ๓ ภาค ครูสอนได้ภาคเดียวระเบิดลงวัด ก็ปรากฏว่า ครูเหาะออกจากวัด หนีไปเลย ก็เรียนแค่ภาคเดียว ท่านก็บอกว่า ปีนี้เขาจะออกภาค ๓ มงคลทีปนี

เขาจะออกภาค ๓ ท่านก็เลยบอกคาถาให้ว่า สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ ท่านบอกว่า เวลาที่ข้อสอบออกมา ให้อ่านดูข้อสอบว่า แปลได้ไหม ตอบได้ไหม ถ้าคิดว่า แปลไม่ได้ ตอบไม่ได้ให้คว่ำกระดาษข้อสอบลง แล้วก็นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระอินทร์ว่าคาถาบทนี้ ๓ จบ แล้วก็หงายกระดาษขึ้นมา ดูข้อสอบว่า ตอบได้หมดไหม ถ้าตอบไม่ได้หมด คว่ำกระดาษไปใหม่

และว่าคาถาบทนี้อีก ๗ จบ แล้วหงายกระดาษขึ้นมา คราวนี้ไม่ต้องดูแล้ว ให้ตอบตามความรู้สึก ผลก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ปรากฏว่าเวลาเขาสอบ ออกภาค ๓ จริง ๆ พระที่สอบปีนั้น เหงื่อแตกไปตาม ๆ กัน ก็มีพระองค์หนึ่ง ท่านเห็นเป่ายานัตถุ์ ท่านเลยบอก ขอยานัตถุ์ผมหน่อยครับ ความจริงผมไม่ติด แต่ความจริงการสอบเปรียญ กรรมการเขาเคร่งครัดมาก เขานั่ง ๔ ด้าน ถ้ามองหน้า พูดกัน คุยกัน

หรือส่งกระดาษให้กัน เขาเอาเป็นตก คราวนั้นสอบที่วัดบวรฯ ที่ไหนก็เหมือนกัน ก็ค่อย ๆ ส่งยานัตถุ์ไปให้ท่านแล้วก็ชำเลืองดู เห็นท่านเหงื่อแตกพลั่ก ท่านบอกว่า ผมไม่รู้เรื่องเลยครับ ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมก็เขียนตามเรื่องของผมจะพึงเขียน ก็เขียนไป ๑๕ นาที แล้วก็นำไปส่ง เมื่อนำไปส่ง ปรากฏว่า

หัวหน้าคณะกรรมการหัวหน้าชั้น ได้แก่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอรุณฯ เวลานั้นเป็น เจ้าคุณศากยมุนี เจ้าคุณชั้นสามัญ เวลาเขาให้จริงๆ ๔ ชั่วโมง แต่เขียน ๑๕ นาที ท่านก็แปลกใจ ท่านคงคิดว่า ทำไม่ได้ เขียนส่งเดชมาให้ ท่านบอกอย่าเพิ่งไปเลยเอากลับไปเขียนใหม่ ไม่เป็นไรหรอกผมเป็นหัวหน้าห้อง ผมไม่ถือเป็นความผิด บอกไม่เป็นไรขอรับ ผมถือว่า หมดความสามารถผมแค่นี้

ท่านก็ชวนกินน้ำร้อนก่อน ชวนฉันน้ำร้อนนิดหน่อย แล้วก็บอก ไปเข้าห้องใหม่ซิ ไปดูใหม่ ไปทำให้เรียบร้อย เวลาเหลืออีกเยอะแยะอีกตั้ง ๓ ชั่วโมงกว่า ก็บอกว่า ผมทำได้แค่นี้แหละครับ จะนั่งอีกก็นั่งเสียเวลาเปล่า ท่านก็เลยขอจดชื่อ ฉายา วัด และคณะไว้ ก็ไม่ทราบว่าท่านจะจดเพื่ออะไร คิดว่า อาจจะเอาตกก็ได้ ปรากฏว่าผลการสอบปรากฏ เขาประกาศขึ้นมา ปีนั้นได้คะแนนเอก

คำว่า คะแนนเอก หมายความว่า ไม่ผิดสักศัพท์เลย แปลได้ทั้งหมด วิชาอื่นก็ได้ดีทั้งหมด และต้องใช้ทุกวิชาเหมือนกัน ฉะนั้นคาถาบทนี้จึงให้เด็กนักเรียนหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ไปส่วนใหญ่ก็เป็นนักเรียนหญิง นักเรียนชายไม่ค่อยมี เป็นอันว่า เวลาพักเวลาเที่ยง เธอก็ไปกัน นั่งกันเต็มกุฏิ กุฏิก็เล็ก เป็นกุฏิเล็ก ๆ บางทีนั่งกันไม่ไหว ก็ไปนั่งข้างล่าง ได้เวลาเธอก็กลับ

ให้คาถาบทนี้ไป ทุกคนก็ไปท่องจำ บอกว่าเวลาก่อนที่จะดูหนังสือ ให้ไหว้พระ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ นึกถึงบิดามารดาความดีของท่าน นึกถึงครูบาอาจารย์ และนึกถึงพระอินทร์ เจ้าของคาถาแล้วว่าสัก ๑ จบ แล้วก็ดูหนังสือ เมื่อจะเลิกจากอ่านหนังสือก็ว่าอีก ๑ จบ วันแรก ๆ ก็อาจจะจำไม่ได้ แต่วันต่อไปอาจจะคล่องตัวขึ้นมาเอง เธอก็ทำตามนั้น

เวลาจะสอบจริง ๆ ทุกคนก็มากันเกือบทั้งโรงเรียน ยกทัพกันมาเลย ถนนขาวพรึ่บด้วยเสื้อนักเรียนหญิง ต้องนั่งอยู่บนกุฏิ ให้เธออยู่ข้างล่าง เดินพรมน้ำมนต์ให้ บอกว่า ทุกคนต้องสอบไล่ได้ ไม่มีใครสอบไล่ตก กำลังใจเธอก็มี ในที่สุดปีนั้นได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นักเรียนไม่ตกเลยสักคนแต่ว่าตอนกลาง ๆ ปี อาจารย์ใหญ่ที่เป็นสตรี ได้ข่าวมาจากคนอื่นบอกว่า เขาเห็นว่านักเรียนมาที่วัด เกรงว่าจะมาติดไสยศาสตร์

แต่คนที่เขารับฟัง เขาเคยมา เขาบอก ไม่ใช่ไสยศาสตร์ พระมาจากกรุงเทพฯ มาแนะนำในการเรียน ให้สังเกตการเรียนของนักเรียนให้ดีว่า ปีนี้นักเรียนจะเรียนดีกว่าปีก่อน ๆ อาจารย์ก็สังเกตและก็สงสัยในเมื่อนักเรียนสอบได้จริง ๆ อาจารย์ใหญ่ก็เลยมาบ้าง พอปีที่ ๒ ก็ปรากฏว่า ไม่มาแต่นักเรียนแล้ว ครูเธอก็มาด้วย ครูบางคนก็จะสอบเลื่อนชั้น ครูก็มาเหมือนกัน เป็นอันว่าในเมื่อนักเรียนเข้ามามาก ทีนี้ความดีของเธอ

๑. นอนไม่ดึก
๒. ขยันดูหนังสือ
๓. ไม่เที่ยวไม่เตร่
๔. กลับบ้านมีความเคารพบิดามารดา กลายเป็นคน ว่านอนสอนง่ายตามประสาของโบราณ


พ่อแม่ก็แปลกใจ บรรดาพ่อแม่ทั้งหลายก็เลยพากันมาทำบุญที่วัดนี้ บางคนก็บอกว่า ท่านฉันยกให้เลย เฆี่ยนได้ ตีได้ตามชอบใจ ถ้าไม่พอใจ ถ้าเธอทำผิดบอก เอาแค่ยกให้ก็แล้วกัน ยกให้เป็นลูก เป็นอย่างอื่นไม่รับ เพราะมากด้วยกัน รับไม่ไหวเป็นอันว่า ไม่มีหน้าที่ต้องเฆี่ยน ต้องตี เพราะว่าทุกคนเป็นคนว่านอนสอนง่ายอยู่แล้ว เป็นคนดีอยู่แล้ว ก็รวมความว่าปีต่อ ๆ มาทุกปี

นักเรียนไม่มีใครสอบตก ถือระเบียบไปตามนั้น ก็ได้เหตุผลว่าพ่อแม่ทั้งหลายมาบอกให้ฟังว่า ท่านพูดไปอย่างไรมันฟังหมด มันเชื่อหมด เวลาฉันเลี้ยงมันมา ฉันสอนมัน มันไม่ยอมรับฟัง มันไม่ยอมเชื่อ ถามว่า เรื่องอะไรล่ะ ก็บอกว่า บางทีจะชวนไปเที่ยว เวลากลางคืน บอก ไม่ไปหรอก หลวงพ่อห้าม หลวงพ่อห้ามเที่ยวกลางคืน หลวงพ่อห้ามนอนดึก ให้เที่ยวได้เฉพาะคืนวันเสาร์ ห้ามกลับดึก

คืนวันอาทิตย์ห้ามเที่ยว อาทิตย์หนึ่งให้เที่ยวได้คืนเดียว คือ คืนวันเสาร์ แต่ดึกไม่ได้ หลวงพ่อบอกว่า ให้ขยันดูหนังสือ เธอก็ดูหนังสือ พ่อแม่ก็เลยชอบใจ ในเมื่อพ่อแม่ชอบใจ ก็เลยมาทำบุญกันที่วัดล้นศาลา ศาลาที่เคยมีคนพร่องนั่งไม่กี่คน เป็นคนล้นศาลา นอกศาลาออกมามากนี่เป็นผลมาจากอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท จะถามว่าอาตมามีคาถามหาเสน่ห์หรือ ก็ต้องตอบว่า ไม่มีแน่

ถ้ามีคาถามหาเสน่ห์ ก็บวชอยู่นานไม่ได้ ต้องสึก เพราะถ้ามีเสน่ห์จริง ๆ ก็ต้องมีคนรัก เมื่อเขารักเรามา เราก็ต้องรักเขา เป็นของธรรมดา เมื่อรักกันไปรักกันมา ก็ต้องออกไปอยู่ด้วยกัน นี่เพราะไม่มีคาถามหาเสน่ห์ จึงไม่มีคนรัก เขาอาจจะรักเหมือนกัน อาจจะรักเหมือนญาติ อย่างนี้มีมาก รักเหมือนญาติ รักเหมือนพี่ รักเหมือนน้อง รักเหมือนพี่ ป้า น้า อาลูกหลาน อย่างนี้มีเยอะ

แต่รักแบบต้องการเป็นคู่ครอง ไม่เคยมีใครบอก นั่งรอมาตั้งหลายปีให้คนบอกว่า ต้องการท่านไปเป็นคู่ครอง ไม่มีใครบอกเลย ถ้ามีคนบอกอย่างนั้นก็คิดเหมือนกัน สงสัยเหมือนกันว่าจะไปกับเขาหรือไม่ไป ก็หนักใจอยู่นิด อยู่ ๆ เธอมาชวนไปเฉย ๆ ก็หนักใจเหมือนกัน ดีไม่ดีไปอยู่ด้วยกันแล้ว เธอก็บอก ต่อแต่นี้ไป เธอกลับไปได้ ฉันไม่ต้องการเธออีก เราก็เจ๊งกันเท่านั้น

ก็รวมความว่า คาถามหาเสน่ห์ไม่มี มีคาถาสำคัญอยู่บทเดียว คือ อิติปิโสฯ เวลาจะไปบิณฑบาต ตั้งแต่ก้าวแรก หรือก่อนจะก้าวออกเดินทาง ก็นึกถึง อิติปิโสฯ ตลอดบท ทั้งจบ นึกตลอดไป ตลอดเวลาบิณฑบาต เวลาเขาใส่บาตรก็มีความรู้สึกนึกว่า นึกถึงบารมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ขอจงดลบันดาลให้ท่านผู้มีคุณผู้นี้ ที่อุปการะ จงมีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ ทีนี้เวลาที่เขาทำบุญที่วัดก็เหมือนกัน

เวลาก่อนจะกินข้าว ถวายข้าวพระก่อน เราก็นึกอย่างนี้เหมือนกันว่า ขอทุกท่านที่มีเมตตาปรานี จงมีความเป็นอยู่เป็นสุข มีความคล่องตัวในการครองชีพ ไม่ฝืดเคืองในการครองชีพก็เป็นอันว่า ความรู้สึกอย่างนี้ได้ผล ก็มีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อค้า เป็นช่างสังเกต มาบอกว่าอาศัยในการใส่บาตรถวายท่าน เอาของมาถวายท่าน ความเป็นอยู่ของพวกกระผมมีการคล่องตัวขึ้นมาก

อาศัยที่มีความเคารพนับถือมากอาศัยเด็กมามาก ผู้ใหญ่มามาก ตอนนี้ก็เลยเป็นที่ไม่ถูกใจของเจ้าของวัด ฉะนั้นการห่มผ้าสีกรัก บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อันนี้อาตมาไม่ตำหนิ ผ้าสีกรักเป็นสัญลักษณ์ของพระธุดงค์ ผ้าสีกรักเป็นสัญลักษณ์พระเจริญกรรมฐาน ถ้าหากว่าจิตใจของเราไม่สามารถทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ และก็ไม่สามารถจะระงับอคติ ๔ ได้ ก็ไม่ควรจะห่มสีกรัก ห่มผ้าสีเหลือง ๆ เป็นพระธรรมดา ๆ ดีกว่า

และการห่มผ้าสีกรักเป็นการแสดงออกของพระที่มีคุณวิเศษ แต่ว่าเวลานี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท รู้สึกว่าห่มกันมาก มันจะเป็นประเพณีกันแล้ว ก็ไม่ว่ากัน นี่พูดถึงสัญลักษณ์เดิมนะ ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ก็ย้ายจาก วัดโพธิภาวนารามหรืออะไรไม่ทราบ ชื่อเพราะ ๆ ไม่ค่อยได้อ่านเขา ไปวัดปากคลองมะขามเฒ่า บอกท่านพระครูวิชาญชัยคุณไว้ว่า จะช่วยอยู่ ๒ ปี เวลานั้นพระครูวิชาญชัยคุณก็กำลังเป็นหนี้

มีเรื่องมีราว เรื่องการสร้างโรงเรียน ก็มีพระอีกนั่นแหละ ยุให้เจ๊กฟ้อง เพราะยังเป็นหนี้ค่าโรงเรียนอยู่ ก็เลยช่วยกันหาสตางค์ด้วยการสร้างศรัทธา แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท การสร้างศรัทธาต้องทำอย่างไร การสร้างศรัทธาเบื้องแรกที่ดีที่สุด ก็คือ หมอดู เขาเรียกกันว่า หมอจำเป็น และต่อมาในการสร้างโรงเรียน เงินค่าโรงเรียนก็สลายตัวไป ก็มี นายเนียม อยู่ที่คลองท่าซุงนี่ ถูกล๊อตเตอรี่ รางวัลที่ ๑

เขาให้ยืมสตางค์ใช้ เอาไปชำระหนี้เขา ก็เป็นอันว่าหนี้หมดไป ท่านพระครูวิชาญก็ค่อย ๆ หาสตางค์ส่งนายเนียมต่อไป อย่างนี้ก็ถือว่า นายเนียมเป็นคนที่มีความดี ช่วยสงเคราะห์วัดเช่นเดียวกัน ในขณะที่อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่านั้น ก็ปรากฏว่า เป็นวันไหว้ครู ท่านพระครูวิชาญชัยคุณ ก็นิมนต์พระไปหลายวัด มี พระอรุณ อรุโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง ไปด้วย ในเมื่อเธอไปพบเข้า เธอก็ชวนให้มาอยู่ที่วัดท่าซุงด้วย

มาช่วยกันสร้าง ก็ไม่รับปากเธอ และต่อมา มาฉันที่บ้าน นายจัน เธอนิมนต์อีกครั้งหนึ่ง อาตมาก็ไม่รับ และต่อมาอาตมาย้ายไปอยู่วัดสะพาน เวลานั้น ท่านพล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต กับสิริรัตน์ โรจนวิภาต ภรรยา และคุณพงศ์ และคุณพิมพา นั่งอยู่ด้วยกันหลายคน และ พันเอกแสวง ด้วย ท่านไปรับรองว่าจะให้ความสะดวกทุกอย่าง ขอให้มาช่วยในการก่อสร้างก็แล้วกัน

ในที่สุด ทีแรกก็ยังไม่รับปากทีเดียว ต่อมาตอนกลางคืน ก็ปรากฏว่านอนฝัน ครึ่งหลับครึ่งตื่น จะเหมือนว่าฝันก็ไม่แน่นัก จะมีความรู้สึกเองก็ไม่ใช่ เพราะว่าตอนนั้นยังไม่รู้จักวัดท่าซุง ก็มีความรู้สึกว่า มีพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง อ้วนใหญ่ และก็ไม่สูง เดินตุ๊ต๊ะ ๆ ๆ เข้ามาถึงไปบอกว่าฉัน เขาเรียกกันว่า หลวงพ่อใหญ่ อยู่วัดท่าซุง เป็นคนสร้างวัดท่าซุง คำว่า สร้าง หมายความว่า สร้างจากวัดร้าง

สมัยก่อนมีการรบราฆ่าฟันกัน แล้ววัดก็สลายตัวกันไป เป็นวัดร้าง ท่านธุดงค์มาถึงเช้า ก็มีชาวบ้านเขาขอให้อยู่ที่วัดนั้น ก็เลยสร้างขึ้นเป็นองค์แรก ชาวบ้านช่วยสร้างกุฏิ ๙ ห้อง ๙ ห้องนี่ไม้ดีมาก ตอนนี้เลยทิ้งไปก่อน ท่านก็เลยบอกว่า เธอเคยเป็นน้องของฉัน เธอเคยทำวัดนี้ให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว ๒ สมัย ในชาติก่อน ๆ สมัยไหนบ้างก็ไม่ขอบอก สมัยนี้ขอให้มาช่วยอีกครั้งหนึ่ง เพราะมันจะหมดแล้วจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไปช่วยให้เจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง

ถามว่า เจริญขนาดไหน
ท่านบอก ขนาดนี้ ท่านทำแบบให้ดู ทำภาพให้ดู ก็ปรากฏว่า เหมือนภาพวัดปัจจุบันนี่เอง
ก็ถามท่านว่า ผมจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างครับ เวลานี้ตัวผมเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอด

ท่านบอกว่า ถ้าเราช่วยกันเสียอย่างหนึ่ง ผมจะช่วย และผมจะนิมนต์พระจะเชิญเทวดา จะเชิญพรหม จะใครต่อใครก็ตาม ช่วยกันทั้งหมด ให้เจริญรุ่งเรืองตามภาพนี้ให้ได้
ในที่สุดก็รับปากท่านเมื่อรับปากก็มาดูวัด วันที่มาดูวัด สิริรัตน์ ภรรยา พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต มาด้วย และก็มีใคร เจ๊เฮี้ย มาด้วย วันนั้นก็อัศจรรย์ใจฉันข้าวเพลเสร็จ

หลังจากเที่ยงแล้วก็ปรากฏมีฝนตก แดดกำลังออกจัดแดดไม่หลบ แดดไม่สลัว ฝนตก ไม่มีแต่ฝน มีลูกเห็บก้อนโตกว่าหัวแม่มือ หล่นมาเป๊ง เกลื่อนบริเวณวัด เรียกว่า ทั้งวัดเต็มเกลื่อนซ้อนกันเลย ก่อนที่จะเข้ามาถึงก็อธิษฐานก่อนว่า ถ้าหากที่นี้ควรจะมาอยู่ ก็ขอมีอะไรสักอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฏ ก็ปรากฏตามนั้น

ก็เป็นอันว่า หลังจากนั้นมา ก็รับปากว่า จะมาช่วย มาดูสภาพของวัดก็คือ มีกุฏิเจ้าอาวาสที่อยู่ได้อยู่หลังเดียว มีกุฏิอีกหนึ่งหลังคนเดินมาตามทางก็มองเห็น เพราะฝาโปร่ง นกบินมาก็มองเห็นเพราะหลังคาโปร่ง นอกจากนั้นก็มี หอสวดมนต์เย้จะพับฐาน ศาลาก็โย้จะล้ม วิหารก็หลังคาผุ โบสถ์ก็จะพัง ไม่มีอะไรดีเลย มีสภาพอย่างเดียวกับวัดร้าง

อย่างที่ พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป เขียนไว้ไม่ผิด เธอเขียนตามความเป็นจริง แต่ทว่าในฐานะที่พระท่านเป็นผี ท่านไปรับ ก็ยอมรับเอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า เวลานี้ ก็ขอหยุดก่อน ทั้งนี้เพราะหมดเวลา ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/8/13 at 14:47 [ QUOTE ]


6
พ.ศ. ๒๕๑๑ มาอยู่ที่วัดท่าซุง


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้คงยังเป็น วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ก็มาคุยถึง เรื่องวัดท่าซุง ต่อไป ในเมื่อถึง วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๑๑ ก็เดินทางมา อาศัยเรือเจ๊ครอบ เจ้าของชื่อ ครอบ มีเรือต่อ และก็มีเรือยนต์จากจังหวัดอุทัยธานี จำชื่อเจ้าของไม่ได้ขออภัยด้วย ท่านเคยให้พยากรณ์อะไรต่าง ๆ ก็ตรงตามความเป็นจริง ท่านก็เลื่อมใส ท่านไปรับมา คณะชาววัด ชาวบ้านนี้ก็ไปรับกัน พอขึ้นมาถึงวัด

ตามลีลาที่หลวงพ่อปานท่านไปไหน ต้องเข้าพระอุโบสถก่อน จะไปช่วยสร้างวัดไหนก็ตาม ท่านต้องเข้าพระอุโบสถ ไปไหว้พระในพระอุโบสถก่อน แล้วจึงขึ้นศาลา นี่ตามระเบียบ ตามระเบียบของท่าน อาตมาก็ทำตามนั้นเมื่อเข้าไปไหว้พระแล้วก็อธิษฐานว่า ถ้าอยู่ที่วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง ก็ขอให้ท่านเจ้าของที่ เทวดาก็ดี พรหมก็ดี หรือพระก็ตาม ที่ท่านคุ้มครองสถานที่อยู่ แสดงองค์ให้ปรากฏ

ก็มีพระ คือ หลวงพ่อใหญ่เป็นหัวหน้า ก็มีพระอีกหลายองค์ จำนวนมาก มานั่งข้างหน้าเต็มไปหมด ตอนนั้นอาตมาเห็นคนเดียว ชาวบ้านไม่เห็นหรอก พอท่านแสดงให้เห็น ท่านก็ยืนยันว่า ท่านจะช่วย แต่มีอีกองค์หนึ่งไม่ยอมเข้าโบสถ์ เดินไปเดินมา วนไปวนมาอยู่หน้าโบสถ์ ไม่ยอมเข้าประตูก็นึกแปลกใจ

จึงถามว่า ท่านองค์นั้นมีความเห็นอย่างไรขอรับ เห็นว่าผมควรจะมาอยู่ หรือไม่ควรมาอยู่ ถ้าท่านเห็นว่า ผมควรจะมาอยู่ก็ขอให้มา เข้ามาในโบสถ์ ถ้าไม่ควรมาอยู่ ก็อย่าเข้ามา และผมจะเดินทางกลับทันที

ท่านก็เข้ามา ท่านก็บอกว่า คุณควรมาอยู่ แต่ว่าการอยู่ต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเงิน ที่นี่ทั้งคน ทั้งพระ เขาต้องการเงิน ที่เขาให้คุณมานี่ เขาหวังจะได้เงินจากคุณ แต่ว่าคุณเป็นพวกเถรตรง ตรงไปตรงมา จะไม่น้อมนำไปตามเขา จะไม่น้อมใจไปตามเขา ต่อไปเขาจะประกาศตนเป็นศัตรูกับคุณ เขาจะมีความดีกับคุณอยู่ประมาณครึ่งปี หลังจากนั้นก็ไม่มีดีอีกแล้ว เพราะว่าเขาไม่ได้รับผลตามที่เขาต้องการ

ก็เลยถามท่านว่า แล้วอาการอย่างนั้น จะเป็นอย่างไรต่อไป
ท่านก็เลยบอกว่า ในที่สุดเขาก็จะแพ้ไปเอง คำว่า แพ้ หมายความว่า เขาจะเลิกราไปเอง เราก็จะเป็นอิสระ
ถามว่า การจะเป็นอิสระ เขาจะแพ้ไปด้วยอำนาจอะไร

ท่านบอกว่า จะมีพระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ วัดไม่โตนัก แต่ยศสูง รูปร่างผอม สูงโปร่ง เป็นพระผู้ใหญ่ เป็นพระตรงไปตรงมา เก่งในกรรมฐานมาก หรือจะว่าไปอีกที กำลังใจของพระองค์นี้ ก็เป็นพระที่ควรแก่การเคารพอย่างยิ่งจะเข้ามาอุ้มชูคุณ ให้เป็นไปตามความเป็นจริง
ถามว่า เป็นเพราะอะไรครับ

ท่านก็เลยบอกว่า เพราะเขาจะฟ้องคุณ เขาจะร่วมมือกัน เว้นเจ้าคณะจังหวัดชั้นเดียว ชั้นรองลงมาทั้งหมด เขาจะร่วมมือกันกำจัดคุณ ไม่ใช่เฉพาะในเขตอำเภอนี้เรียกว่า เขาจะรวมตัวกันทั้งหมด
ถามว่า เขาจะกำจัดผมอย่างไร
ท่านก็บอกว่า วัดที่คุณเห็นเวลานี้ที่มันไม่พอจริง ๆ และที่จริง ๆ มันตกคลองยาง แต่เขาสร้างโรงเรียน ทางวัดกับทายกเลยยกให้เป็นที่ของโรงเรียนไป เป็นอันว่า วัดติดโรงเรียน ไม่ใช่วัดติดคลองยาง และประการที่สองโบสถ์ไม่ดี ถ้าคุณจะสร้าง เขาก็ไม่ยอมให้สร้าง เพราะเขาไม่ได้สตางค์

เพราะเขารู้ว่า ถ้าคุณสร้าง เขาไม่ได้เงินแน่ เพราะว่าคุณมีนิสัยชอบเป็นหนี้ก่อน ชำระทีหลัง หามาได้แล้วก็ผ่อนส่ง เขาจะได้ที่ไหนต่อมาคุณก็จะซื้อที่ใหม่ ฝั่งข้างโน้น ฝั่งตรงข้ามถนน แต่ความจริงถนนเขาตัดผ่านที่ของวัด ที่ฝั่งทางโน้น ที่เป็นที่ของชาวบ้านเวลานี้ก็เป็นที่ของวัด ก็มีบรรดาเจ้าอาวาสที่สึกไปแล้ว กับเจ้าอาวาสปัจจุบันร่วมมือกันขาย ขายแก่ชาวบ้าน ที่วัดจึงเหลือแค่ ๖ ไร่ เนื้อที่ของวัดจริง ๆ มี ๓๗๐ ไร่

รู้สึกหนักใจเหมือนกัน พระผีท่านพูดนะ และถามท่านบอกว่า แล้วจะมีอะไรต่อไปอีก
ท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คืนนี้เขาจะมีลิเกฉลองคุณ แล้วผมจะมาเล่าให้คุณฟัง คุณไม่ชอบลิเกแต่เขาจะมี เป็นเรื่องของเขา เพราะการมีลิเก ทายกเขาได้กำไร ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการหาลิเกมา ๘๐๐ บาท เขาจะเรี่ยไร ชาวบ้านมาได้เกินกว่า ๘๐๐ และนอกจากนั้นเป็นของเขา เขาหากินกันแบบนี้ทุกอย่างที่ทำมา เขาจะต้องมีส่วนได้ ในเมื่อคุณตรงไปตรงมา เขาไม่ชอบใจแน่

เลยถามท่านว่า ควรจะอยู่หรือควรจะไม่อยู่
หลวงพ่อใหญ่ท่านยืนยันว่า ควรจะอยู่ แล้วเขาจะแพ้พ่ายไปเอง การอยู่บรรดาท่านพุทธบริษัท การมาของอาตมาก็ไม่มีใคร มีเณรมา ๒ องค์ คือ มหาเปีย ชื่อมหาอะไรก็ไม่ทราบ เรียก เปีย ๆ มาตั้งแต่เด็ก เดี๋ยวนี้เป็นกำลังสำคัญของวัดปากคลองมะขามเฒ่า เรียนเปรียญ ๖ ประโยค และสามเณรสมควร และมีสุนัข ๑๒ ตัวมาด้วยกัน

เจ้าสุนัขนี่ก็แปลก เมื่อมาอยู่แล้ว ก็ปรากฏว่ามีคนเอาสุนัขมาปล่อย รวมแล้วทั้งหมดเป็น ๕๐ ตัวด้วยกัน การฉันภัตตาหารในเมื่อรู้เท่า ท่าทางไม่ดี ก็ไม่ฉันร่วมกับเจ้าอาวาส ขอแยกวงฉันทำอาหารกินเอง มีสตางค์ติดตัวมาแค่ ๑๐๐ บาท ๑๐๐ บาทนี่ก็ไม่ได้สร้างวัด แต่ซื้อกับข้าวกินหมด ก็มีญาติโยมเขานิมนต์ไปฉันเพลบ้างฉันเช้าบ้าง นิมนต์ไปเทศน์บ้าง

และที่เป็นกำลังใหญ่เวลานั้นก็ สิริรัตน์ โรจนวิภาต ภรรยา พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต แล้วก็พิมพา และฉลวย ปินินทรีย์ แล้วก็ (อู๊ด) วาสนา หุตะสิงห์เป็นต้น เมื่อนิมนต์ไปกรุงเทพฯ ที ต่างคนก็ต่างให้ ต่างให้มากิน ส่วนคนประจำถิ่นก็มี ครูนนทา อนันตวงษ์ เป็นเจ้าของโป๊ะข้ามฟาก เวลานั้นยังรับราชการอยู่ สงเคราะห์อนุเคราะห์ด้วยประการทั้งปวง

ก็มีกินมีใช้ เขาให้มากิน แต่ว่าเอาไปใช้ นั่นคือ ซื้อทรายบ้าง ซื้อหินบ้าง ซื้ออิฐบ้าง เจ้าอาวาสเขาก็นอนเฉย เรื่องจับจ่ายใช้สอยไม่ต้องรู้เรื่องกันมา ทีแรกก็มาอยู่กุฏิหลังโกรงเกรงก่อน ต่อมาเมื่อสร้างกระท่อมอยู่โคนต้นโพธิ์ หลังปัจจุบันนี้ไม่ใช่กระท่อมหลังนั้น หลังปัจจุบันนี้คุณหญิงเยาวมาลย์ มาสร้างให้ หลังเก่าย้ายไปไว้กลางสระ ข้างพระอุโบสถ เป็นอนุสรณ์

เวลานั้นพล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต ท่านเป็นผู้บังคับกองฝึกอยู่นครราชสีมา เป็นนาวาอากาศเอก ท่านได้เอาช่างช.ย. ช่างของอากาศโยธิน มาช่วยทำการสร้าง เมื่อเขามาช่วยก็ให้เขาคนละ ๒๐ บาททุกวัน ความจริงก็ไม่พอกับค่าแรงเขา แต่เราก็ไม่ค่อยมีสตางค์ สร้างกระท่อมเป็นที่อยู่แล้วต่อมารุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง ปีนั้นก็มี ท่านพล.อ.อ.พะเนียง กานตรัตน์

คือว่าสิริรัตน์ โรจนวิภาต ไปติดต่อกับท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ ให้มาทอดกฐิน เป็นหนี้จริง ๆ อยู่หมื่นบาท กฐินปีนั้นได้ ๑๔,๐๐๐ บาท เมื่อชำระหนี้ไป ๑๐,๐๐๐ บาทแล้ว เอาเงินอีก ๔,๐๐๐ บาทไปให้เจ้าอาวาส เพราะเจ้าอาวาสเป็นหนี้อยู่ ๖,๐๐๐ บาท แต่แกไม่หาอะไรเลย ให้เจ้าอาวาสบอกว่า อีก ๒,๐๐๐ เป็นเรื่องของท่าน ๔,๐๐๐ นี่ผมให้

แต่ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเจ๊กเจ้าของไม้ที่เจ้าอาวาสไปซื้อ มาถามว่า เงินทอดกฐินเหลือไหมครับ บอก ทำไมล่ะ บอก ค่าไม้ยังไม่ได้จ่ายผม บอกค่าไม้เป็นเรื่องของเจ้าอาวาสเขา เจ้าอาวาสเขาเป็นคนสั่ง เขารับผิดชอบ แต่ให้สตางค์ไปแล้ว ๔,๐๐๐ บาท เหลืออีก ๒,๐๐๐ บาท เป็นเรื่องเจ้าอาวาสต้องหา เจ๊กก็เลยบอกว่า ผมไปหาเจ้าอาวาสแล้ว บอกว่าไม่มีครับจะมีเอาเดือน ๔ นั่น

แสดงว่า มีคนกู้ไปแล้ว ก็ไปแล้ว หรือว่าไปใช้อะไรแล้วก็ไม่ทราบ จะต้องได้เดือน ๔ เป็นอันว่า ที่หลวงพ่อขนมจีนบอก ตรงตามความเป็นจริง ทีนี้เวลากลางคืน ย้อนกลับมาถึงวันแรกใหม่ ขณะที่เขามีลิเกอาตมาก็นอนในกุฏิโกรงเกรงหลังนั้น ไม่ได้ดูลิเก เพราะนิสัยไม่ดูละครมันมีมาตั้งแต่อายุ ๒๕ ปี ดูละคร ลิเก หรือหนังไม่สนุก ก็จึงนอนเฉย ๆ ก็มีพระองค์หนึ่ง ก้าวเข้ามาทางหน้าต่าง พูดสำเนียงเป็นเจ๊กชัด ๆ

ก็ถาม ท่านชื่ออะไร
ท่านบอก ท่านชื่อ เส็ง
ถามว่า ท่านอยู่ที่ไหน

ท่านบอก ผมเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง รองจากหลวงพ่อใหญ่ เมื่อหลวงพ่อใหญ่ท่านมาอยู่ที่นี่ ท่านมาธุดงค์ มีชาวบ้านเขานิมนต์ ท่านเลยมาอยู่ที่นี่ ผมเป็นคนแจวเรือค้าขาย มีความเลื่อมใสจึงมาอยู่กับท่าน ช่วยท่านในฐานะเป็นช่าง แล้วต่อมาก็บวช เมื่อหลวงพ่อใหญ่มรณภาพไปแล้ว ท่านก็เป็นเจ้าอาวาสแทน

ถามว่า ที่วัดนี้เคยมีพระอริยเจ้าบ้างไหม
ท่านบอกว่า มี ตอนก่อนมีใครบ้างท่านบอกท่านไม่ทัน แต่ตอนหลัง ๆ ท่านบอกว่า หลวงพ่อใหญ่เป็นพระอริยเจ้า
ถามว่า เป็นพระอริยเจ้าชั้นไหน
ท่านบอก เป็นพระอนาคามี แต่ว่าก่อนจะตายท่านเป็นพระอรหันต์

ถามว่า หลวงพ่อล่ะเป็นอะไร
บอก ข้าก็ไม่รู้โว้ย ท่านพูดภาษาไทยเป็นเสียงเจ๊ก หลวงพ่อใหญ่ไปไหนข้าก็ไปที่นั่นแหละวะ ก็เป็นอันว่า ท่านยอมรับว่า ท่านเป็นพระอรหันต์
ก็ถามว่า หลังจากนั้นมีใครบ้างเป็นพระอริยเจ้า

บอก นับเรื่อยมาหลายสมัย จนกระทั่งถึง หลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้ สององค์พี่น้อง ทั้งสององค์พี่น้องในขณะที่ทรงชีวิตอยู่กำลังยังดีอยู่ เป็นผู้ทรงฌาน แต่ก่อนจะตาย ทั้งสององค์เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เพราะทุกขเวทนามันหนัก เห็นโทษของการเกิดแก่ เจ็บ ตาย เห็นโทษของร่างกาย จึงเป็นพระอรหันต์ไป หลังจากนั้นต่อมาก็เป็น ภิกขุพานิช

คำว่า ภิกขุพานิชก็หมายความว่า ขายกินกันละ ขายกุฏิ ขายฝาบ้าน อาตมามาใหม่ ๆเห็นฝากระดาน ฝาเรือนสมัยเก่า ยังใหม่เอี่ยม อยู่ ๑๐ กว่าฝา คิดว่าการสร้างที่วัดนี้เป็นของง่าย เพราะที่ก็แคบ ฝาก็มีแล้ว เพียงแต่หาเสาหาโครงนิดหน่อยมาเสริม ก็ไม่ยากนัก ใช้ฝาเก่าแทน แต่ที่ไหนได้พอคืนที่สามตื่นขึ้นมาจากที่นอน ปรากฏว่ามองไปที่ฝา ฝาหายไปหมดแล้ว ฝาเขาวางอยู่ไม่ไกล ใกล้กุฏิเจ้าอาวาส

ก็รวมความว่า ที่วัดนี้ขโมยมาก เมื่อดูต่อไปก็เห็นว่า คนที่มีศรัทธาจริง ๆ ก็มี ก็มี โยมน้อย โยมพวง แล้วก็ โยมทองดี สามคนนี่แหละ เป็นคนส่งข้าวส่งน้ำ ต่อมาก็มี คุณโยมโต๋ว เจ๊กิมกี ส่งอาหาร ตอนก่อนก็จ้างเขาทำ แต่ต่อมาท่านเห็นว่าต้องจ้างเขาทำ ท่านก็เลยส่งอาหารส่งปิ่นโตเอง ปิ่นโตใหญ่ ต่อมาก็เลยให้เจ๊กิมกีมาตั้งร้านอาหารในวัดเพราะท่านเป็นผู้มีคุณ เวลานี้ท่านก็ยังส่งปิ่นโตอยู่ทุกวัน

หลังจากนั้นมา ปีที่สอง ท่าน พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสด์และ คุณอ๋อย (คุณเฉิดศรี) ศุขสวัสด์ ภรรยา มาพบเข้า ก็ให้การสนับสนุนเรื่อยมา ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้ วัดก็เริ่มเจริญรุ่งเรืองตลอดมา เอาละ ท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า ยังไม่จบ คอมันแห้งเต็มที เป็นอันว่า การสร้างวัดเริ่มต้นด้วย หุงข้าวกินเอง แล้วต้องเลี้ยงหมา ๖๒ ตัว หมาที่เขานำมาปล่อย เป็นหมาดีทั้งหมด เป็นสุนัขดีทั้งหมด

จะขอเล่าถึงความอัศจรรย์สักนิดหน่อย เหลือเวลา ๑๔ นาที เมื่อมาถึงได้ ๒ - ๓ วัน ตอนค่ำใหม่ ๆ ก็นอนอยู่ใต้ถุน กำลังเคลิ้ม ๆ จะหลับ ก็มีคนมาจับนิ้วหัวแม่เท้ากระตุก ลืมตาขึ้นมาเห็นคนรูปร่างใหญ่ ผิวดำ ผมหยิก ล่ำสัน ก็ทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช
ถามว่า กระตุกเท้าทำไม
ท่านบอกว่า คืนนี้ขโมยจะเข้าลักพระในโบสถ์ ให้บอกเจ้าอาวาส

เวลานั้นมีนาค คือ มีคนที่จะบวชพระมีอยู่หลายคน ก็บอกกับ นาคเอนก ซึ่งเป็นลูกของท่านกำนันองุ่น มากมี คนนี้ก็ดีเหมือนกัน เป็นคนสนับสนุนตลอดมา แต่ว่าเป็นคนละตำบล แต่สนับสนุนดีมาก ช่วยเหลือทุกอย่างถ้ามีอะไรไม่เกินวิสัย กำนันองุ่นช่วยทุอย่าง เรียกว่า สละชีวิตและร่างกายเพื่อวัดจริง ๆ แต่ต่างจากทายก ทายกไม่เอาไหนเลย ก็ต้องการอย่างเดียว

คือขนออก กำนันองุ่นขนเข้า แล้วก็ทางปากคลอง ซึ่งมีศรัทธาดี ก็มี เจ๊กิมกี โยมโต๋ว เจ๊กิมลั้ง อะไรพวกนี้เป็นต้นและทางบ้านเกาะลูกมอญอีกชุดหนึ่งและฝั่งตรงข้ามก็มี คุณทองชุบ กับภรรยา ลืมชื่อเสียแล้ว ก็เรียกว่า มันก็ปนกัน สีขาวกับสีดำก็ปนกัน คนที่เขามีศรัทธาจริง ๆ เขาก็ช่วย คนที่มีศรัทธาเพื่อหวังรวยเขาก็ไม่ช่วยทีนี้เรื่องตอนที่ หลวงพ่อขนมจีน มาเล่าให้ฟัง คือ หลวงพ่อเส็ง

ท่านบอกว่า วัดนี้ที่ตั้งอยู่เวลานี้ ความจริงมันตั้งอยู่ในป่าช้าเก่า แม่น้ำเดิมจริง ๆ แม่น้ำสายนี้มันเล็ก ศาลาการเปรียญอยู่กลางแม่น้ำ เสาหงส์ก็อยู่กลางแม่น้ำในปัจจุบัน และต่อมา เมื่อมีเรือเมล์วิ่งเข้าละลอกมันก็ตี ลูกคลื่นมันก็ตีตลิ่งพัง เขาจึงต้องย้ายกุฏิมาอยู่ที่นี่และเมื่อก่อนแม่น้ำสะแกกรังตอนหน้าแล้ง น้ำก็แห้ง ก็ต้องกินน้ำในบึงเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ท่านก็ชี้ให้ดู ในที่สร้างกุฏิกลางน้ำนั่นแหละ

บึงอยู่ที่นั่น เป็นบึงเล็ก ๆ ท่านก็เล่าความเป็นมาทุกอย่าง ท่านก็บอกว่าถ้าไม่เชื่อผมก็ถาม ไอ้อ่อง ดู คำว่า ไอ้อ่อง อาตมาก็คิดว่าเป็นคนเด็ก หรือเป็นคนหนุ่ม พอรุ่งขึ้นถาม เอี่ยม อ่อนคำ ว่า รู้จักคนชื่อ อ่อง ไหม บอกรู้จัก อยู่ที่อำเภอมโนรมย์ ก็ให้ไปเชิญตัวมาปรากฏว่า ท่านมีอายุ ๙๓ ปี ก็ถามความเป็นมาของวัดว่า วัดเดิมจริง ๆ อยู่ในแม่น้ำจริงไหม ท่านบอกว่า จริง

ท่านบอกว่า เมื่อตอนผมเด็ก ผมยังวิ่งเล่นแถวเสาหงส์ อยู่กลางแม่น้ำ เวลานั้นเป็นตลิ่งทีนี้อาศัยที่เรือมาวิ่ง ตลิ่งพังมา แม่น้ำก็กว้างขึ้นมา แต่ว่าเวลาหน้าแล้งจริง ๆ แม่น้ำตอนด้านหน้านี่แห้ง ต้องกินน้ำในบึง ก็ตรงกับที่หลวงพ่อขนมจีนเล่าให้ฟัง ในตอนนั้นก็มีเหตุอัศจรรย์หลาย ๆ อย่าง คือว่า คืนหนึ่ง นายโต พี่ของเอี่ยม อ่อนคำ มานอนเป็นเพื่อน เธอมีปืนมาหนึ่งกระบอกมีไฟฉายหนึ่งดวง

ตอนดึกประมาณตี ๒ ก็มีคน ๆ หนึ่ง เดินไปเดินมาอยู่กลางบริเวณ ที่โล่งใกล้ ๆ กับเธอนอน
เธอถามว่า ใคร
เขาตอบ กูเองว่ะ
ถามว่า มาทำไม

กูมาเดินยาม มาอยู่ยาม ทีแรกเธอจะหยิบปืน ก็หยิบไม่ขึ้น จะหยิบไฟฉาย ก็หยิบไม่ขึ้น คนนั้นก็บอกว่า ไอ้ปืนกับไฟฉาย มึงอย่าหยิบมาเลย ไม่มีความหมายหรอก มึงหยิบยังไม่ขึ้นจะยิงกูได้อย่างไร
ถามว่า ท่านเป็นใคร
ท่านเลยบอก กูเป็นเทวดาอยู่ที่ข้างต้นโพธิ์นี่ว่ะ

เวลานั้นอาตมานอนอยู่ข้างต้นโพธิ์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นายโตก็เลยไม่ยอมมาวัดกลางคืนต่อไป กลัวผี ก็เป็นอันว่า คืนวันนั้น ที่ท่านบอกว่า ขโมยจะเข้าวัด ก็ให้พวกนาคไปบอกเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็ทำเฉย เป็นอันว่า ขโมยเข้าวัดจริง ๆ เข้ามาในโบสถ์ งัดเอาพระพุทธรูปอายุประมาณ ๓๐๐ ปีไปเอาไปหนึ่งชุดละ แล้วต่อมาอีกคราวหนึ่ง เจ้าสุนัขที่มาอยู่ด้วย ถือว่ามาช่วยจริง ๆ อาตมาก็ไม่มีสตางค์ ต้องซื้อเศษอาหารมาเลี้ยง

ในที่สุดเศษอาหารที่เป็นเนื้อก็ซื้อไม่ไหว เอาผักบุ้งมาผัดกับน้ำมันหมู ใส่น้ำปลาเค็ม ๆ แล้วคลุกให้กิน มันก็กินกันแบบเอร็ดอร่อย กินได้แบบอัศจรรย์ ผักบุ้งธรรมดา ผัดให้เนื้ออ่อน ๆ หน่อย ให้สุกมาก ๆ น้ำปลาใส่เค็ม ๆ กับน้ำมันหมู คลุกข้าว ก็กินกันอย่างตั้งอกตั้งใจและก็อ้วน มีประโยชน์มาก คืนหนึ่ง อาตมาไปเดินจงกรม ระหว่างหน้าศาลา ถึงพระอุโบสถไปตั้งแต่เวลาตี ๒

พอถึงเวลาตี ๔ พระจะสวดมนต์ อาตมาก็กลับ เมื่ออาตมากลับมาแล้ว ปรากฏมีเจ้าสุนัขตัวหนึ่ง มันดำใหญ่ มันไม่ยอมกลับมาด้วย ไม่รู้มันนอนที่ไหน ทุกตัวเดินกลับมาหมด หมาทั้งหมด ๖๒ ตัว มาถึงเห็นเจ้าดำหายไปตัวหนึ่ง ก็บอกว่า เจ้าดำมันหายไป อาตมาก็เข้านอน พอเข้านอนก็ปรากฏว่าประเดี๋ยวเดียวได้ยินเสียง โฮก...หน้าประตูพระอุโบสถ เจ้าหมาอีก ๖๑ ตัว ก็วิ่งออกเป็น๓ สาย

เพราะว่าที่รับแขกปัจจุบันนี้ เวลานั้นเป็นกอไผ่ วิ่งไล่ออกเป็น๓ สาย ไล่กวดขโมย ปรากฏว่าตอนเช้า ได้ผ้าขาวม้า ได้มีด ได้ปืนและก็ได้กลิ่นคาวเลือดที่ติดผ้า กางเกงหลุด มันกัดเสียจนผ้าหลุด แต่คนไปได้ เข้าใจว่าจะไปทางหน้า อาจจะมีเรือมารับ แต่ว่าในตอนนั้นปรากฏว่า เจ้าอาวาสโกรธมาก โกรธสุนัขมาก เพราะว่าเจ้าสุนัขมันกัดขโมยที่หน้าประตู เขาก็เริ่มบิดกุญแจแล้ว พอเข้าจับกุญแจบิดเท่านั้นใช้เหล็กบิด

เจ้าดำมันกัด พอกัดแล้วก็โฮก ส่งเสียงเรียกพวกมัน พวกมันก็วิ่งไปฉะนั้น บรรดาท่านทั้งหลาย สุนัขที่จะถือว่ามันเป็นสัตว์ที่เลวที่ไม่น่าคบค้าสมาคม แต่ความจริงเป็นสัตว์ที่รักษาทรัพย์สินของสงฆ์ได้อย่างดีมาก ถ้าเรารู้จักเลี้ยง รู้จักใจสุนัข บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะรักสุนัขมาก เพราะอะไร เพราะว่า มันมีความกตัญญูรู้คุณ จะตีจะด่า จะว่าอย่างไรก็ตามทีเถอะ

มันก็ประจบประแจงอยู่เสมอ ไม่ยอมโกรธเจ้าของ ไม่ยอมทำอันตรายเจ้าของ แล้วมันก็มีแค่ปาก ศัตรูมีอาวุธมีไม้ มีมีด มีปืน มันก็ไม่กลัว มันพร้อมพลีชีพเพื่อเจ้าของของมันเพื่อทรัพย์สินของเจ้าของ ก็เป็นที่น่ารัก ทีนี้ในกาลต่อมา ในการก่อสร้าง บรรดาท่านพุทธบริษัท ในการก่อสร้างครั้งแรก ก็รู้สึกว่าเป็นการยากนิดหน่อย ทีแรกอาตมาอยู่กระต๊อบ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ปีนั้นซื้อเสามา ๔ ต้น

เวลานี้ยังทำประตูอยู่ ๒ ต้น หายไป ๒ ต้น ที่เป็นประตูเหล็ก เสาหน้าแปด ๔ ต้นจะมาทำโรงสูง ๆ คร่อมเครื่องสูบน้ำ แล้วนอนข้างบนให้ลมพัดเย็น ๆ ตอนเวลากลางคืนก็เห็นหลวงพ่อปาน
หลวงพ่อปานท่านถามว่า เธอจะทำอะไร
บอก จะทำกุฏิหลังเล็ก ๆ สักห้องเดียว ให้สูง ๆ ได้รับลม
ท่านบอกว่า ปีนี้น้ำจะท่วมกุฏิหลังนี้ ที่อยู่นี่ ถ้ายืนอยู่น้ำจะเลยจมูก ให้สร้างตึก แล้วรีบสร้างให้ทัน

ก็รีบสร้าง ก็มี ครูนนทา อนันตวงษ์ เป็นเจ้ามือใหญ่ ก็มีฉลวย ปินินทรีย์ มี สิริรัตน์ ภรรยา พล.อ.อ.อาทร และก็มีพิมพา และก็วาสนา หุตะสิงห์ก็ทำการสร้างตึกขึ้นมา สร้างให้มันทัน เวลานั้นก็ไม่ค่อยสบาย ช่างก็แสนจะดีมาก เพราะอะไร เพราะว่า ถ้าหันหลังให้ ช่างก็ชักมือช้าลงจ้างเป็นรายวัน รีบทำเอาดีไม่ได้ เอาแค่อยู่ได้เท่านั้นเอง พอทำเสร็จได้ ๓ วัน น้ำก็ท่วมถึงพื้นพอดี

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การก่อสร้างเวลานั้นก็แสนจะยาก เงินก็หาไม่ค่อยได้ อาตมาก็อาศัยพระ อาศัยเทวดาอาศัยพรหม ปีแรก ขณะที่เริ่มสร้างกุฏิ ท่านก็มาบอกคาถาให้บทหนึ่งบอกว่าคาถาบทนี้ เป็น คาถาหาเงินคล่อง แล้วต่อมาอีกปีหนึ่งก็ให้คาถาบทที่สอง เป็น คาถาเงินแสน พอให้คาถาเงินแสน ปีนั้นทอดกฐินได้เงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท

และทอดผ้าป่า คุณประสิทธิ์ ตัณฑเศรษฐีผู้จัดการใหญ่เป๊ปซี่ มาทอดผ้าป่า ๒ คราว คราวละแสนกว่า และต่อมา ท่านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสด์ กับเฉิดศรี สองสามีภรรยา มีพวกมาก ก็ช่วยเรื่อยมา จนกระทั่งเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดนี้เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เสียงก็ไม่ดี คอก็แห้งมาก จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะหนังสือมันจะไม่พอ ก็ขอเล่ากันเพียงย่อ ๆ ว่า

การมาอยู่วัดท่าซุงนี่ แสนจะยากลำบากมาก แต่ในที่สุดเมื่อสร้างพระอุโบสถฝั่งนี้ไม่ได้ ก็ซื้อที่ฝั่งโน้น ที่ของบุญส่ง ทีแรกเธอซื้อไร่ละเท่าไรก็ไม่ทราบ เธอมาปรึกษา ก็บอกว่า ซื้อเถอะแล้วต่อไปเธอจะขายได้ไร่ละหมื่น แล้วต่อมาอาตมาเองก็เป็นคนไปซื้อต่อไร่ละหมื่น ทีแรกเธอจะขาย งานละหมื่น ก็มีคนจองแล้ว ๒ รายก็เรียกสามีมา สามีชื่อ ครูเสถียร บอกอยากจะสร้างโบสถ์

อยากจะซื้อที่ตรงนั้น ขอให้ไร่ละหมื่นได้ไหม เขาบอกว่า เวลานี้คนให้แล้วครับ งานละหมื่น ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็คงจะซื้อไม่ได้ ก็เลยให้ไปตามภรรยามา ภรรยาก็บอกว่า หลวงพ่อบอกไว้แล้ว บอกว่าให้ซื้อเถอะ ฉันซื้อไร่ละ ๓,๐๐๐ หลวงพ่อบอกซื้อไว้ ต่อไปจะได้ไร่ละหมื่น แล้วหลวงพ่อจะให้ไร่ละหมื่น หนูขายค่ะ แล้วก็ถามสามีพี่ยอมไหม

อาจารย์เสถียรก็บอก ถ้าเธอให้ ฉันก็ให้ ฉันพร้อมจะให้อยู่แล้ว แต่ฉันกลัวเธอจะด่าฉัน เป็นอันว่า ซื้อที่ฝั่งโน้นจากบุญส่ง๑๒ ไร่ แล้วก็ซื้อเรื่อยมา เวลานี้มีที่ทั้งหมดจริง ๆ ประมาณ ๒๐๐ ไร่เศษ คนนั้นซื้อบ้าง คนนี้ซื้อบ้างเอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย โปรดทราบ การสร้างวัดท่าซุง ไม่ได้มีเงินก้อนมาจากไหน มาจากศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท มากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังศรัทธา

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 26/8/13 at 13:29 [ QUOTE ]


7
ธุดงค์ภาคอีสาน


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ การบันทึกวันนี้ก็จะบันทึกความเป็นมาของธุดงค์ เพราะว่าบรรดาพระทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระในวัดชอบอ่านเรื่องเวลาที่ออกธุดงค์ แต่ว่าก่อนที่จะพูดถึงเรื่องธุดงค์ ขอพูดเรื่องวัดท่าซุงก่อน การพูดเรื่องประวัติความเป็นมาของวัดท่าซุงก็ดี ประวัติต่าง ๆ ก็ตาม รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ

แต่ก็จำเป็นต้องพูดย่อ ๆ ไว้ในตอนต้นที่มาถึงใหม่ ๆ คณะที่ช่วยเหลือจริง ๆ ก็คือ ครูนนทา อนันตวงษ์ สิริรัตน์ โรจนวิภาต และก็พิมพา และก็ฉลวย ปินินทรีย์ ทางกรุงเทพฯ และทางจังหวัดชัยนาท ก็มี เสริมศรี ด้านแรงงานและทรัพย์สินก็ได้แก่ คณะของ พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป เวลานั้นเป็นหัวหน้าแผนกสื่อสาร อยู่ที่สนามบิน กองบิน ๔ ได้ส่งบรรดานายทหารชั้นประทวนมาช่วยกันหลายคน

แต่ละคราว ถ้ามีงานอะไรก็ตามเกิดขึ้น คณะทหารกองบิน ๔ ต้องมาช่วย ก็มี พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป เป็นหัวหน้า วัดในตอนต้นจึงก้าวหน้ามาถึงขณะนี้ ต่อไปก็จะขอพูดถึง เรื่องการธุดงค์ ธุดงค์ในตอนก่อน ได้พูดไปถึงเมืองกำแพงเพชร ทีนี้จะต่อไปอีกทีหนึ่ง ก็คิดว่า ช่องว่างที่พูดไว้ยังมีอยู่ นั่นคือว่า เมื่อ ๒ - ๓ วันที่ผ่านมา มีพระ ๓ องค์ท่านมาถามว่า การธุดงค์ควรปฏิบัติอย่างไร ตอนนั้นเป็นเวลารับแขก

และประการที่สอง กำลังป่วยไข้ไม่สบาย และก็มีอาการเหนื่อยมาก ก็บอกว่า ถ้าครูบาอาจารย์แนะนำมาแบบไหน ให้ปฏิบัติตามนั้น ความจริงก็ควรเป็นแบบนั้น ทีนี้ตอนนี้มาคิดได้ว่า การไปธุดงค์ของอาตมากับแต่ละคณะ ย่อมมีการปฏิบัติไม่ค่อยจะเหมือนกันอยู่บ้างเป็นบางประการ คือ พิธีกรรม แต่สำหรับวิธีปฏิบัติย่อมเหมือนกัน คือ พระธุดงค์ทั้งหมดย่อมหวังในการตัดกิเลส

แต่ว่ากิเลสจะตัดได้เพียงใดหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก เป็นการฝึกในการตัดกิเลส และค่อย ๆ ตัดกิเลสไปทีละน้อย ๆ แต่ว่า การตัดกิเลสที่ไม่มีคน บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน มันตัดไม่ค่อยได้จริงนัก คือว่าบางคราว จิตอยู่ในขั้นของฌานโลกีย์ แต่ว่ามีอารมณ์หลง คิดว่าเป็นโลกุตตระ เป็นพระอริยเจ้า อย่างนี้ก็มีถมไป แม้แต่ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่

ในสมัยขององค์สมเด็จพระบรมครู ก็มีพระบางองค์ที่ได้เพียงแค่ฌานโลกีย์ เข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเวลานั้น ความรักก็ดี ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันไม่เกิด ก็พยากรณ์ตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์ ต่อมาเมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ก็ตกใจคิดว่า ตัวเองเป็นผู้อวดอุตตริมนุสสธรรม จึงเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า ไม่เป็นไร เป็นเรื่องการเข้าใจผิด ไม่มีเจตนาที่จะหลอกลวงเขา

นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัทฯ การอยู่ว่างคนเดียวไม่มีใครรบกวน เราจะถือว่า เราไม่มีความรักในเพศ ประการที่สอง เราไม่มีความโลภเพราะของที่จะโลภไม่มี เพราะอยู่ในป่า ประการที่สาม เราไม่มีความโกรธ เพราะไม่มีใครทำให้เราโกรธ ประการที่สี่ ไม่มีความหลง เพราะว่าเราไม่มีวัตถุเป็นเครื่องหลง ในเมื่ออยู่ในเขตของการวิเวกอย่างนี้ จิตมันก็สงัด อาจจะเป็นการสงัดชั่วคราวก็เป็นไปได้ และบางท่านก็ตัดกิเลสไปได้เลย ก็มีถมไป

แม้แต่ในปัจจุบันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย นักธุดงค์ที่มีสมรรถภาพจริง ๆ ยังมีอยู่ ก็ยังเป็นพระหนุ่ม ๆ อายุไม่มากนัก ๓๐ เศษ ๆ ๔๐ ก็มี ไม่ถึงก็มี เวลานี้ที่ท่านทรงอภิญญาก็ยังมีกระมัง เพราะเคยมาหาที่วัด ท่านแสดงอาการออกนิดหน่อย ก็ทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้ทรงอภิญญา แต่ทว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ทีนี้เราก็มาพูดถึงว่า การออกธุดงค์ แต่ละวัด คณาจารย์อาจจะสอนไม่เหมือนกัน

ในตอนต้น คือพิธีกรรม อย่างการปักเสาอัพโภกาส (เสาสำหรับผูกเชือก ที่ผูกมาจากยอดกลด แล้วก็มาผูกกับหลัก) การตอกหลักนี่ บางวัดมีคาถาว่า ถ้าจะถามอาตมาว่า ว่าอย่างไร คาถาบทนั้น ก็ต้องตอบว่า ไม่รู้หลวงพ่อปานไม่ได้บอก เอาแต่เพียงว่าขณะที่จะออกธุดงค์ อันดับแรกหลวงพ่อปานให้ร่วมกันบวงสรวง และชุมนุมเทวดา

ขออำนาจท้าวมหาราชทั้ง ๔ พร้อมไปด้วยบริวารทั้งหมด อินทกะทั้งหมดและอากาสเทวดาทั้งหมด แล้วนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอความปลอดภัยจากท่าน ขอความคุ้มครองจากท่าน เมื่อทำพิธีการบวงสรวงเสร็จ รุ่งขึ้นก็ออกเดินทาง ทีนี้การที่จะออก ก่อนเดินทางท่านก็สั่งว่า สิ่งที่มีความสำคัญ ก็คือ บทเมตตัญจะ สัพพะโรฯ

คือ กรณียฯ บทเล็ก เมตตัญ จะ สัพพะโร นี่จะต้องว่า ก่อนออกเดินทาง ขณะที่เดินทางอยู่ก็ว่า คำว่า ว่านี่หมายถึง นึกนะ ขณะเดินทางอยู่ ถ้านึกมาได้ก็นึกไปด้วย เมื่อเข้าที่พักก็ต้องสวดบทนี้ คำว่า ว่า ก็คือ สวด สวด ก็คือ ว่า ให้สวดด้วยความเคารพ เพราะว่าคาถาบทนี้ เป็นคาถาที่มีความสำคัญมาก ด้วยเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคมีพระชนม์อยู่ ได้บอกกับพระว่า

การที่เข้าไปอยู่ในป่า ถูกเสียงสัตว์ก็ดี ผีหลอกก็ตาม ทำให้หวาดกลัว นั่นคือ เทวดา ที่เขาคิดว่า ท่านจะไปอยู่ ๒ - ๓ วัน แต่บังเอิญท่านไปอยู่ตั้ง ๓ เดือน พวกรุกขเทวดาอยู่บนต้นไม้ ก็เกรงใจพระว่า สูงกว่าพระ ถ้าขืนปล่อยไว้ บรรดาพระพวกนี้ก็ไม่กลับก็ทำเสียงให้หวาดกลัว แต่ยังไม่ออกพรรษา เมื่อยังไม่ออกพรรษา พระก็กลับไม่ได้ พระก็ทนอยู่ถึงออกพรรษา เมื่อออกไปแล้ว

ก็เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็กราบทูลให้ทรงทราบถึงความเป็นมา ถึงเสียงน่ากลัวที่เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าบอกว่า เธอเข้าป่า เธอไม่ถืออาวุธไปด้วย พระก็ถามว่า ในพระพุทธศาสนามีอาวุธหรือ พระพุทธเจ้าบอกว่า มี คำว่า อาวุธ ไม่ใช่หอก ไม่ใช่ดาบ นั่นคือบทเมตตา คือ พรหมวิหาร ๔ ให้ภาวนาในบท เมตตัญ จะสัพพะโรฯ คำว่า เมตตัญ จะ สัพพะโรฯ นั่นหมายถึงว่า การแผ่เมตตาจิตไปในคน ในสัตว์ ในอมนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด

เมื่อพระทั้งหลายได้แล้วแบบนั้น ก็กลับไป พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าสวด เมตตัญ จะ สัพพะโรฯ อยู่ปฏิบัติตามนั้นด้วย เอาจิตนึกน้อมไปตามกระแสเสียง ไม่ใช่สวดเฉย ๆ จิตต้องมีเมตตาจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เราทราบกันง่าย ๆ คือพรหมวิหาร ๔ แผ่เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ยินดีในความดีของท่าน อุเบกขา มีความวางเฉยในเมื่ออุปสรรคเกิดขึ้น

อย่างนี้ ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ และอมนุษย์ทั้งหลาย คำว่า อมนุษย์ หมายถึงว่า สัตว์ก็ดี ผีก็ดี เทวดาก็ดีพรหมก็ตาม เปรตก็ตาม เป็นอมนุษย์ บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นกลับไปใหม่ ก็ใช้ตามนั้น ก่อนออกเดินทางสวดเมตตัญ จะ สัพพะโรฯ ขณะที่เดินทางอยู่สวด เมตตัญ จะ สัพพะโรฯ ตามที่พระพุทธเจ้าสั่ง เมื่อเข้าถึงที่ก็สวดเมตตัญจะ สัพพะโรฯ เมื่ออยู่ประจำแล้วก็ใช้เมตตัญ จะ สัพพะโรฯ

เป็นเหตุให้บรรดาเทวดานางฟ้าทั้งหลาย มีความรัก นำภัตตาหารอันเป็นทิพย์มาถวาย พยายามมาปฏิบัติต่าง ๆ เท่าที่จะพึงทำได้ ให้ความสะดวกทุกอย่าง ถ้าไม่มีน้ำก็บันดาลให้ปรากฏขึ้น ผลไม้หายาก ก็บันดาลให้ผลไม้หาง่ายขึ้น อย่างนี้เป็นต้น พระพวกนั้นก็เป็นพระอริยชน ไม่เหมือนกันหมด ทีนี้บทนี้หลวงพ่อปานบอกว่า จะลืมไม่ได้ ก่อนออกเดินทางต้องสวดก่อน

เวลาสวดให้ใช้อารมณ์ของกรรมฐานสวด เห็นภาพเทวดา เห็นภาพอมนุษย์ทั้งหลาย ขณะที่เดินทางไป ใกล้จะถึงสถานที่ ก็สวดนึกสวดในใจ เมื่อถึงที่แล้วก็สวด ฉะนั้น ในการเดินทางไปธุดงค์คราวนั้น จึงไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งหมด แต่ว่าอีกประการหนึ่งก่อนจะออกเดินทาง ท่านบอกว่า ทุกองค์ให้มีสมุดดินสอติดไปด้วย อันนี้ก็ต้องขอย้อนต้น ที่ให้มีดินสอติดไปด้วยก็เพราะว่า

ขณะที่เดินทางไปให้ใช้ อตีตังสญาณ ดูว่าสถานที่ที่เราผ่านไปนี้ มีอะไรบ้างในอดีต แต่ละองค์อาจจะมีความรู้สึก มีความรู้ไม่เสมอกัน ก็ไม่เป็นไร แต่ให้มันถูกก็แล้วกัน เพราะแผ่นดินผืนเดียว ก็มีสมัยหลายสมัย จุด ๆ เดียว อาจจะมีประเทศตั้งอยู่หลายสมัยหลายประเทศ หลายชาติ สลับกันไป เพราะแผ่นดินมีอยู่นาน คนมีอายุน้อย แผ่นดินมีอายุมาก บางทีที่เป็นป่า เป็นพงอาจจะเคยมีบ้าน

มีเมือง มีตึก มีราม มีบ้าน มีช่อง มีตลาด มาแล้วก็ได้ รวมความว่า ท่านต้องการให้ทราบว่า มีอะไรบ้างในที่ที่เราผ่านไปในสมัยในอดีต และเมื่อถึงสถานที่พัก เมื่ออาบน้ำอาบท่าเสร็จพักผ่อนดีแล้ว ท่านก็บอกว่า คืนนี้ทุกองค์ไปบันทึกสิ่งที่สัมผัสมา ที่เดินมาจากตอนต้น ถึงปลายทาง ว่า พบอะไรกันบ้าง วันพรุ่งนี้มาอ่านให้ฉันฟัง พวกเราก็ต้องปฏิบัติกันตามนั้น

แต่ความรู้สึก ความเห็น ความรู้สึกต่าง ๆ อาจจะคล้ายคลึงกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้างแล้วแต่ใครเป็นใคร สำหรับอาตมาเอง ก็ขอพูดเล่าย่อ ๆ เท่าที่พอจะนึกได้ เมื่อจะออกจากวัด แทนที่จะใช้อตีตังสญาณ เพราะความไม่มั่นใจในตัวเองว่า ถ้าใช้อารมณ์ของตัวเอง อาจจะมีอารมณ์เฝือ หมายความว่าจะมีอุปาทานเกิดขึ้นได้ จึงไม่ใช้ สิ่งที่ใช้ก็คือ ถามเทวดา เพราะก่อนจะไป ก็เชิญเทวดาเป็นผู้อารักขาไปแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช อยู่ใกล้ชิดมาก เป็นหน้าที่โดยตรงของท่านองค์ที่ถูกถามองค์แรกก็คือ ท้าวเวสสุวัณ อยากจะทราบว่า สถานที่กำลังผ่านอยู่นี้มีอะไรอยู่บ้างในอดีต ท่านท้าวเวสสุวัณ ก็มอบให้เป็นหน้าที่ของท่านอินทกะท่านหนึ่ง เป็นผู้อธิบายให้ฟัง พร้อมกับแสดงภาพให้ดูขณะที่เดินมาจากวัดบางนมโค ถึงสีกุก ก็จะไม่ขอเล่าเรื่องให้ย่อย ๆ คำว่า ย่อย ๆ ไม่มีความสำคัญ

เมื่อถึงสีกุก ก็เจอะสถานที่นั้นมีขอบเขต มีรั้ว เรียกว่า มีคันคู แสดงว่าเป็นค่ายของพม่าเก่า ก็ถามท่านอินทกะว่า นี่เป็นอะไรท่านบอก นี่ค่ายพม่าที่มาตีกรุงศรีอยุธยา ก็ขอดูภาพพม่าในสมัยนั้น เห็นภาพทหารพม่ามากมาย มีกำลังมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เบื้องหลังค่ายพม่ามา เป็นของพม่าหมด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกองทัพเขาล้อมอยุธยาไว้หมด เขาตั้งค่ายล้อมทุกด้าน

ทางอยุธยาก็มีทหารเรียกคนเข้าไปประจำการภายในกำแพงเมือง เกณฑ์พืชพันธุ์ธัญญาหารเอาไปไว้ในกำแพงเมือง จะได้กินในนั้น ออกมาหากินกันไม่ได้ แค่สีกุกกับอยุธยา เวลานี้รถวิ่งประมาณแค่ ๑๐ นาที ถ้าเดินก็เห็นจะเป็นประมาณสัก ๒ - ๓ ชั่วโมง แล้วก็มาทุกด้าน ก็มีเขตพม่าล้อมรอบ ทีนี้ในค่ายของพม่า ก็มีคนไทยอยู่ด้วย ก็ถามท่านว่า ในเมื่อพม่ามารบไทย ทำไมจึงมีคนไทยอยู่ในค่ายพม่า

ท่านก็บอกว่า หลังจากค่ายนี้ออกไป เป็นดินแดนของไทยก็จริงแล แต่ทว่าพม่ามีอำนาจ พม่ามีทหารมาก มีอาวุธมาก ชาวบ้านไม่สามารถจะสู้ทหารได้ ก็ต้องยอมทนมารับใช้พม่า ถ้าพม่าไปเกณฑ์มาใช้ ก็ต้องทำงานให้แก่พม่า พม่าใช้ทำงานบ้าง ใช้ทำนาบ้าง พืชพันธุ์ธัญญาหาร มีข้าวมีปลา พม่าเกณฑ์ ก็ต้องให้พม่า วัวควายที่มีอยู่ พม่าอยากจะกิน ก็ต้องให้พม่า ไม่ให้พม่า พม่าก็ฆ่าตาย

ก็เป็นอันว่า ค่ายพม่าก็มีคนไทยอยู่ด้วย มองเห็นภาพแล้วก็สลดใจ มองเข้าไปในกรุงศรีอยุธยา ดูภาพในกรุงศรีอยุธยา ก็มีแต่ความวุ่นวาย มีทหารตั้งอยู่บนเชิงเทินบ้าง บางครั้งก็มีทหารพม่าไปเดินรอบ ๆ กำแพงเมือง ใกล้ ๆ กำแพงเมืองอยุธยา อยุธยาก็ส่งกำลังออกมาต่อตีกับพม่า บางทีคนไทยก็แพ้ บางครั้งพม่าก็แพ้ พม่าแพ้ พม่าก็เข้าค่าย ไทยแพ้พม่า คนไทยก็เข้าเมือง รวมความแล้วก็ไม่ได้เรื่อง

ความจริงถ้าพม่าตั้งล้อมอย่างนั้นเฉย ๆ โดยที่ไม่ต้องต่อตีเลย คนไทยภายในกำแพงเมืองไม่ช้าก็อดตาย วิธีรบแบบนี้ เป็นวิธีรบที่เสียทีข้าศึกอย่างมาก ฉะนั้นในสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราชพระองค์จึงไม่ยอมให้พม่าเข้าไปประชิดพระนคร ยกทัพกองทัพไปต่อสู้ข้าศึกกลางทาง ถ้าเขามาล้อมบ้าน มันมีหวังตายแน่นอน เมื่อเห็นภาพในสมัยนั้น ก็มีความสลดใจ ก็บันทึกไว้ จะไม่ขอพูดละเอียดแล้วก็เดินต่อไปถึงอยุธยา

แล้วเดินออกไปภายข้างนอก พอไปถึงเขตเลยอยุธยาออกไป ไม่มากนัก ก็พบค่ายพม่าอีก ก็ขอดูภาพเดิมก็เป็นตามเดิม เดินไปอีก ใกล้ถึงชอนสรเดช ก็ปรากฏว่าพบพม่าค่ายใหญ่ตั้งอยู่นั่น เป็นค่ายของบุเรงนอง จึงถามท่านอินทกะว่า คำว่าบุเรงนอง นี่เป็นแม่ทัพอยากจะดูภาพ ท่านก็ให้เห็นภาพ เห็นกำลังกองทัพ เห็นกองทัพเข้าโจมตีกัน อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็บันทึก และหลังจากนั้นก็ถามท่านต่อไปว่า

ก่อนหน้านั้นมีอะไรบ้างไหม ท่านก็ให้ดูภาพ เป็นสมัย ๆ ไป แล้วท่านก็เล่าความเป็นมาให้ฟังเมื่อถึงที่พัก อาตมาก็บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เท่าที่จะพอจำได้จากที่ท่านอินทกะบอก ถ้ามีอะไรสงสัย ก็ถามท่านอินทกะ ท่านอินทกะท่านก็บอกให้ บันทึกไปถวายหลวงพ่อปาน ปรากฏว่าอีก ๒ องค์เขาก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน เขาบอกว่า ผมก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน เพราะผมไม่เชื่อตัวผมเองว่า ผมดี

เรายังไม่มีความดีพอที่จะรู้จริงได้ต้องถามเทวดา ฉะนั้นการบันทึกจึงคล้ายคลึงกันมาก จะแตกต่างก็เพียงแค่ถ้อยคำเท่านั้น เรื่องราวต่าง ๆ ก็เหมือนกันหมด ทีนี้การที่หลวงพ่อปานสั่งว่า ทุกคนขณะที่เดินทางไป จะต้องใช้อตีตังสญาณ กำหนดสถานที่ทั้งหมดว่า ที่ตรงนี้ เดิมทีก่อนหน้านี้มีอะไรมาบ้าง สมัยไหนมีอะไรบ้าง อันนี้เป็นเหตุให้เกิดความสำรวมก็เป็นอันว่า

ทุกองค์ที่เดินไปทั้งหมด ไม่มีใครคุยกันเลย มันหาเวลาคุยไม่ได้ เพราะจิตต้องรู้ ต้องรู้ถึงภาพของคน รู้ถึงภาพของบ้านเมืองแต่ว่าการรู้ ไม่ใช่รู้เอง ถามเทวดาท่าน ก็ต้องเอาอารมณ์ตั้งไว้แค่อุปจารสมาธิ อันดับแรก ทำจิตให้ทรงฌานก่อน จิตจะได้มีความมั่นคง เมื่อจิตทรงฌานดีแล้ว ก็ลดมาถึงขั้นอุปจารสมาธิ เพราะความเป็นทิพย์อยู่ตรงนั้น เมื่อลดกำลังมาถึงขั้นอุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์ก็เกิด

ก็เห็นภาพเทวดาชัด ก็เหมือนกับเห็นคนธรรมดา หลังจากนั้น ก็คุยกันไปคุยกันมา ตามเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง เราต้องการอะไร ท่านก็พูดให้ฟังตามนั้น ก็จำเอาไว้ แล้วก็ไปบันทึกให้หลวงพ่อปานทราบ นี่เป็นวิธีการธุดงค์ครั้งแรก ที่หลวงพ่อปานนำเมื่อตอนก่อนได้พูดว่าไปถึง จังหวัดกำแพงเพชร ตอนนั้นกลับหรือยังไม่กลับก็ไม่ทราบ หลังจากนี้ต่อไป ก็ขอเลี้ยวไปตรงนั้นก่อน ไปทางด้านภาคอีสาน

กับภาคตะวันออกก่อน ถ้าจะถามว่า ที่ตรงไหนเขาเรียกว่าอะไร อันนี้ก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าเวลานั้นไม่มีป้ายบอก การเดินของคณะธุดงค์คณะนี้ เดินเฉพาะในป่าโดยตรง ถ้าได้ยินเสียงสุนัขเห่า แสดงว่ามีบ้าน เดินให้ห่างออกไป ห่างออกไป จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงสุนัขเห่า และต้องการความสงัดจริง ๆ ไม่ใช่กลัวเสียงสุนัข แต่ว่ากลัวจิตจะไปติดบ้าน เพราะว่าเป็นการธุดงค์แบบอุกฤษฏ์

ถือว่า ถ้าไม่ดีพอ ก็ให้มันตายในป่าไปเสียเถอะ ความจริงการธุดงค์แบบนี้ก็ทำกันได้ ไม่ได้ได้เฉพาะคณะอาตมาคณะเดียว หลาย ๆ คณะท่านก็ทำได้เหมือนกัน รุ่นก่อน ๆ ท่านก็ทำกันมาแล้ว ในสมัยเดียวกันก็มีหลายคณะ ท่านก็ทำเหมือนกัน คือ บางท่านก็ทำตนเหมือนฤาษี คือ กินผลไม้ในป่า ไม่กินอาหารจากบ้าน บางคณะก็อยู่ด้วยธรรมปีติ บางคณะก็บิณฑบาตกับเทวดา

อย่างคณะของอาตมา เพราะยังไม่เก่งพอที่จะอยู่ด้วยธรรมปีติได้ ถ้าอยู่ด้วยธรรมปีติเป็นปีเป็นเดือนนี่ ต้องอาศัยเก่งจริง ๆ และร่างกายจะไม่ทรุดโทรมก็ขอเลี้ยวไปจุดหนึ่ง เอาแค่เป็นจุด ๆ ก็แล้วกันนะ ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็น จังหวัดขอนแก่น หรือจังหวัดสุรินทร์ อาจจะเป็นจังหวัดสุรินทร์ขอโทษด้วยนะ เพราะว่ามีต้นลานมาก ขณะที่ไปถึงดงลานก็ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่จะปักกลดได้ไหม

ท่านบอกว่า ที่ไหนก็ปักได้ในเมื่อพวกกระผมคอยคุ้มครองท่าน อันตรายย่อมไม่มี
ก็ถามว่า ในเขตนี้จวนจะหมดเขตประเทศไทยหรือยัง
ท่านก็บอกว่า ยัง ถ้าหมดเขตประเทศไทยต้องเดินไปอีกนานหน่อย แต่ใกล้จะถึงแม่น้ำโขงอยู่แล้ว ก็เป็นอันว่าปักกลดที่นั่น เมื่อปักกลดตอนกลางคืน ตอนนี้ไปเดี่ยวหลวงพ่อปานไม่ได้ไปด้วย ความจริงหลวงพ่อปานท่านพาไปด้านเชียงตุง อาตมาขอเลี้ยวไปด้านนี้ก่อน

ในปีต่อมานะ ก่อนที่จะปักกลดก็ชุมนุมเทวดาบวงสรวงตามที่เคยปฏิบัติ แล้วก็อาบน้ำอาบท่ากันตามสบาย สิ่งที่พวกเราชอบใจมากก็คือ ช้าง ในเขตนั้นรู้สึกว่ามีช้างมาก ขณะที่กำลังปักกลดอยู่ ก็มีช้างโขลงหนึ่งประมาณ ๖๐ ตัวมายืนมองอยู่ ไกลประมาณสัก ๒๐๐ เมตรไม่ห่างนัก แต่พวกเราก็มัวมุ่งอยู่กับการปักกลด ไม่ได้ไปสนใจช้าง ไม่รู้ว่าช้างมา พอหันหน้าไปเห็นเข้า ช้างหัวหน้าโขลง

ซึ่งเป็นช้างสีดอมีงาสั้น ตัวใหญ่มาก คุกเข่าลงยกงวงขึ้นชู แสดงว่าทำความเคารพ ช้างทั้งโขลงก็ปฏิบัติตนเหมือนกันหมด ก็รวมความว่า เบาใจ เมื่อปักกลดเสร็จก็ถามว่า พ่อปู่ คือย่าเคยบอกว่า ช้างนี่เขาชอบให้เรียกว่า พ่อปู่ ถ้าเรียกว่า พ่อปู่ จะเป็นที่พอใจของเขามากถามว่า พ่อปู่ น้ำมีที่ไหนบ้าง ท่านสีดอท่านลุกขึ้น ท่านก็หันหน้าไปเดิน ๒ - ๓ ก้าว แล้วหันหน้ากลับมาใหม่ พวกเราก็เดินตามไป

ท่านเดินนำไปข้างหน้าประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงหนองน้ำใหญ่ น้ำใสสะอาดมาก ท่านก็เอางวงชี้ว่า ที่นี่มีน้ำ ในเมื่อพวกเราเห็นน้ำแล้ว ก็อาบน้ำ สรงน้ำกันแบบสบาย ๆ บรรดาช้างทั้งหลายก็มายืนล้อมบ่อ หันหน้าออกทั้งหมดแสดงว่าที่นั่นยังมีอันตรายมาก เพราะเป็นป่าทึบ อาบน้ำเสร็จก็ขอบใจท่าน ท่านก็เดินทางกลับ พวกเราก็เข้ากลด ตอนเข้ากลดแล้วนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท

ก็นั่งกรรมฐานกันตามธรรมดา ๆ อย่าลืมว่า พวกเราไม่ใช่พระอริยเจ้า จะเป็นพระอะไรนั่นไม่สำคัญ เป็นพระธุดงค์ก็แล้วกัน ความกลัว ถามว่า มีไหม ก็ต้องตอบว่า ทุกคนถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ต้องกลัว ถ้าไม่มีความกลัว ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องไปธุดงค์ การไปธุดงค์ก็เป็นการฝึกเพื่อทำลายกิเลส แต่ว่าจะทำลายได้ขนาดไหน ก็เป็นเรื่องของจิตใจเมื่อปักกลดไปแล้ว กลางคืนนั่งกรรมฐาน

ปรากฏว่าเวลาประมาณตี ๒ มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ยอดกลด ก็รู้สึกแปลกใจว่า ตามธรรมดานกอะไรจะมาตอนเวลาตี ๒ จะว่าเป็นนกแร้งก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นนกกระเรียนก็ไม่ใช่ จะเป็นเหยี่ยวก็ไม่ใช่แน่ เพราะโตกว่าเหยี่ยวมาก ก็มีความเข้าใจว่า ที่นี่มีไสยศาสตร์มาก จึงถามท่านอินทกะว่า นกนั่นคืออะไร

ท่านก็บอกว่า หนังควาย เขาทำมาเพื่อให้เข้าตัวพวกท่าน แต่ผมกันไว้ ถ้าท่านอยากจะรู้ ก็เอาไม้แหลม มันมีไม้แหลมเล็ก ๆ อยู่ ๒ - ๓ อัน สำหรับไว้แคะเล็บบ้าง อะไรบ้าง เพราะมีมีดไปไม่ได้ก็แทงทะลุกลดขึ้นไปถูกนก นกก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่ หล่นลงมา เป็นอันว่า อีก ๒ กลดก็เหมือนกัน เขาก็ถูกนกจับเหมือนกัน พร้อม ๆ กัน เขาก็ทำแบบเดียวกัน

เขาก็ถามท่านอินทกะเหมือนกันพอตอนเช้า ก็ไม่ทราบว่าที่นั่นใกล้บ้าน เพราะเป็นป่าทึบบังเอิญเป็นเขตใกล้บ้าน กำลังจะออกบิณฑบาตกับต้นไม้ ท่านอินทกะก็บอกว่า ไม่ต้องบิณฑบาตกับต้นไม้ เพราะว่าที่นี่ประเดี๋ยวคนจะมาทำบุญ ก็ถามท่านว่า คนเขารู้ได้อย่างไรว่า คณะของเรามา

ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร พวกผมบอกเขาเอง เขาอยู่ใกล้ ๆ แถบนี้ ให้รับบุญรับกุศลกับเขาหน่อยหนึ่ง แล้วท่านจะรู้ว่า เมื่อคืนนี้ที่นกบินมา นั่นคือใคร ใครเป็นคนทำให้นกบินมา แต่ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะบิน ตั้งใจจะเข้าตัว ถ้าเข้าตัว ก็หมายถึง ตายทันที เพราะหนังควายผืนใหญ่

ก็นั่งรอคน ไม่ไปบิณฑบาต คนเขาก็นำอาหารมา พวกเราทั้ง ๓ คนก็เอาหนังควายที่ได้เมื่อคืนนี้ มารองนั่งเป็นพรมรองนั่ง แต่ว่าคนที่มาก่อนคณะอื่นทั้งหมด ก็มีคนแต่งตัวดี ๒ คน นุ่งขาว ห่มขาว ท่าทางเรียบร้อย มีข้าวสุกสีขาวมาก และมีต้มยำพุงกับไข่ปลา ไม่เป็นอาหารของภาคอีสาน เป็นอาหารของภาคกลาง แต่คนอื่นทั้งหมดแต่งตัวรุงรังมากกว่า แต่ใช้อาหารของภาคอีสาน มีข้าวเหนียว แล้วก็มีปลาร้าปลาจ่อม และมีส้มตำ เป็นต้น

เอามาถวายคณะที่นั่งฉันข้าว ท่านเจ้าของข้าวก็บอกว่า ท่านเป็นพระภาคกลาง นิมนต์ฉันข้าวเจ้าครับ ผมนำมาถวายข้าวสวยมาก นิมนต์ฉันต้มยำ ทั้ง ๓ องค์ก็มองดูหน้ากัน สงสัยว่าคน ๒ คนแต่งตัวเรียบร้อยมาก ลีลาดีกว่าคนอื่นทั้งหมด ก็ถามท่านอินทกะ

อินทกะท่านบอกว่า ไอ้เจ้า ๒ คนนี่แหละ ที่มันทำให้นกมาจับบนหลังคากลดของท่านเมื่อคืนนี้ และข้าวนั่น ท่านจะฉันไม่ได้นะ มันเป็นทราย และพุงปลากับไข่ปลา ก็ฉันไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นหนาม หนามผูกไขว้กันไว้ ถ้าฉันเข้าไปลำไส้จะทะลุ เอาวางไว้เฉย ๆ ก่อน แล้วก็ฉันอาหารของคนอื่น เมื่อฉันอาหารของคนอื่นเสร็จ

ท่านอินทกะท่านก็บอกว่า ให้ตั้งนะโมฯ ๓ จบ ว่า อิติปิโสฯ ๑ จบ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่ง ขณะที่นั่ง ๆ อยู่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ไอ้หนังที่รองนั่งมันค่อย ๆ เล็กมาทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงเข่า ท่านอินทกะก็เตือนบอกว่า นี่มันเริ่มทำแล้วนะ จะให้หนังเข้าตัว เอาน้ำสำหรับจะฉันมาพรมซิ

ก็พรมน้ำลงไป ปรากฏว่าหนังยืดไปตามเดิมเมื่อฉันอิ่มเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า เอาน้ำที่ฉันนี่ไปพรมข้าว พอพรมข้าว รู้สึกว่าข้าวเป็นทรายทั้งหมด พอพรมต้มยำ ต้มยำก็เป็นน้ำธรรมดา มีหนามผูกไขว้ คนทั้งหลายพอเห็นเข้าอย่างนั้น ก็เข้าใจว่า คน ๒ คนนี่ทำมาเพื่อจะฆ่าพระธุดงค์ เขาถือว่า ถ้าฆ่าพระธุดงค์ได้ เป็นความดีมาก เป็นคนเก่ง

ชาวบ้านต่างคนก็ต่างโกรธ จะทำร้ายร่างกายสองคนนั่น อาตมาก็เลยขอร้องบอกว่า อย่าทำร้ายเขาเลยเป็นเรื่องของกฎของกรรม ตามธรรมดา พระธุดงค์ต้องมีของป้องกันตัวเป็นของธรรมดา เอาละ ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า เสียงก็แห้งเต็มที วันนี้เวลาหมดเสียแล้ว ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/9/13 at 16:18 [ QUOTE ]


8
ธุดงค์ภาคอีสาน (ต่อ)

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็คงเป็น วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ตามเดิม บันทึกคืนเดียวกัน คอก็แห้งเหลือเกิน หลังจากที่ห้ามบรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว คนทั้งหมดก็พากันขับไล่คน ๒ คนไป

ก็ถามว่า คน ๒ คน เป็นคนที่นี่หรือที่ไหน
ชาวบ้านบอกว่า ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ก็มีอยู่ ๒ – ๓ คน บอกว่า ผมจะต้องตามล้างให้ได้คนนี้
ก็เลยบอกว่า โยมอย่าทำเลย ในเมื่อเขาทำอาตมาไม่ได้ แล้วก็แล้วกันไป เขาจะได้ทราบว่า พระธุดงค์ไม่ใช่เหยื่อของไสยศาสตร์ ไม่ใช่ว่านักไสยศาสตร์จะทำได้ง่าย ๆ

ชาวบ้านก็ขอนิมนต์ให้อยู่ถึง ๓ วัน จึงถามท่านอินทกะว่า ตามสัญญาของเรา จะต้องอยู่ในป่าไม่พบกับคน
ท่านอินทกะก็บอกว่า ที่นี่เป็นชาวป่า ไกลวัดมาก หาวัดทำบุญยาก ควรจะอยู่สงเคราะห์ ในเมื่อเราอยู่ของเรา เขาก็เข้าบ้านของเขา ถึงเวลาอาหารเขาก็นำมาให้ เราก็รับประเคน ก็ไม่เป็นไร เราจะได้รู้ใจตนเองว่า เราติดอาหารชาวบ้าน หรือไม่ติด

แต่ความจริงอาหารของชาวบ้านก็มีรสอร่อยดี อย่างพริกเผา เขาก็ไม่มีกะปิ โดยมากจะเป็น พริกเผา หรือพริกแห้ง ตำมาให้ อาหารต่าง ๆ ก็มีอะไรบ้างล่ะ บางวันก็มีแย้มาด้วยจะมีอะไรบ้าง พวกเราก็ไม่สนใจ แต่ว่าที่สนใจมากที่สุดก็คือ ผัก อาหารประเภทผัก กับน้ำพริก ชอบฉัน เพราะหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ ความจริงไม่ได้กินเจ แต่เกรงว่าจะติดเรื่องเนื้อสัตว์มากเกินไป และอีกประการหนึ่งถ้าเราชอบอย่างไหนเข้า เขาจะหาอย่างนั้นมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวป่าเขาก็ต้องหาแย้บ้าง หาอึ่งบ้าง อะไรเป็นต้น พวกนี้ ถ้าเขารู้ว่าพระชอบ เขาจะหามาให้มากก็เป็นอันว่า ทั้ง ๓ องค์ชอบเหมือนกันคือ ชอบผัก อย่างผักบุ้ง ผักอะไรต่าง ๆ ที่เขานำมาให้ก็จิ้มกับน้ำพริก
เขาถามว่า ทำไมถึงไม่ฉันเนื้อสัตว์
บอกว่า ตามธรรมดาก็ฉัน และฉันมามากแล้ว แต่ว่าน้ำพริกอย่างนี้ก็ดี ผักประเภทนี้ก็ดี ไม่ได้ฉันมานาน ชอบฉัน อย่างส้มตำ เป็นต้น ก็นำมาเป็นอาหารได้อย่างดี

เมื่อกินเสร็จ เรากินกันเวลาเดียว ชาวบ้านก็กลับ ตอนเย็น ท่านก็นำน้ำมาถวาย มีน้ำอัดลมเป็นต้น เราก็อยู่กันแบบสงัด ขณะที่อยู่แบบสงัด ก็ปรากฏว่า เวลากลางคืน คืนหลังนี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์ เป็นสัตวศาสตร์ คำว่า สัตวศาสตร์ ก็หมายความว่า สัตว์ที่มีความรู้ นั่นคือ เสือ เสือจริง ๆ พอเวลาประมาณสัก ๓ ทุ่มเศษ ๆ นั่งเจริญกรรมฐานกันอยู่ เมื่อเลิกจากการเจริญกรรมฐานแล้ว ก็นั่งคุยกัน พอนั่งคุยกัน แต่ว่าคุยกันในกลด ต่างคนต่างอยู่ในกลด

เพราะออกนอกกลดไม่ได้ ยุงกัดยุงมันมาก ยุงจะกัด หรือไม่กัด เราก็ไม่อยากออกจากกลด ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ออกจากกลด ปรากฏว่า มีเสือมาตัวหนึ่ง กลางคืนเห็นเป็นสีขาว เพราะเดือนหงาย ตัวยาว ใหญ่มาก เดินดมฟึดฟัด ๆ ๆ อยู่รอบกลดเดินสัก ๓ - ๔ รอบ เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป

ก็ถามท่านอินทกะว่า เสือนี่จะทำอันตรายได้ไหม
ท่านบอก ไม่ได้หรอก ท่านเฉยไว้ก็แล้วกัน ถ้าหากว่า ท่านไม่เฉย ท่านก็ไม่มีอะไรจะสู้
ก็ถามว่า คาถา ภะสัม สัม วิ สะ เท ภะ ตวาดป่าหิมพานต์ จะใช้ได้ไหม

ท่านบอก ใช้ได้ แต่ไม่ควรใช้ ให้ใช้แต่เวลาที่มีความจำเป็น ในเมื่อประจันหน้ากันจริง ๆ เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ใช้คาถาบทนี้แล้วตวาด ออกเสียงตวาด เสือก็ดี ช้างก็ดี จะหนีไป และเวลานี้เสือกำลังคิดจะทำร้าย แต่เดินวนมาวนไป แต่เข้าในเขตกลดไม่ได้ ก็ไม่ควรจะว่าคาถาบทนี้ ให้เฉยไว้ เรื่องอันตรายต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของคณะของผม

แต่ว่าเสือเดินวนมาวนไปอยู่พักหนึ่ง ก็คุ้ย แกไม่รู้จะทำอย่างไร แกก็คุ้ยดินเข้ากลด หันหลังมาคุ้ยดิน เพื่อให้เราออกจากกลดพวกเราก็ไม่ออก แกเล่นเอาย่ำแย่เหมือนกัน เล่นเอามุ้งตุงไปด้านหลังคุ้ยดิน คุ้ยเอามาก ในที่สุดก็บอกท่านอินทกะว่า นี่จะทนไม่ไหวแล้วนะ

คำว่าทนไม่ไหว ไม่ได้หมายความว่า จะไปสู้กับเสือ เพราะดินเข้าหู เข้าตาเข้าหัว เข้าตัว มุ้งก็กระจุยกระจายไปหมด ท่านอินทกะก็เลยเอามือชี้ไปที่เสือ เพียงแค่ท่านชี้ไปเท่านี้เอง เสือก็วิ่งโชน วิ่งเข้าป่าหายไป ถ้าหากว่าพระทั้งหลายที่อ่าน หรือฟัง คิดว่า ใช้คาถาบทไหนคาถาจริง ๆ คือบท เมตตัญ จะ สัพพะโรฯ ต้องใช้กับ อิติปิโสฯ นี่ทิ้งไม่ได้ ต้องขึ้น อิติปิโสฯ ก่อน ก็สวดมนต์ธรรมดานี่เอง

และนอกจากนั้นก็แผ่เมตตาจิต คือ ใช้พรหมวิหาร ๔ แผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง ถ้าถามว่า แผ่เมตตาแล้ว ทำไมเสือจึงมาเล่นงาน ก็ต้องตอบว่า นั่นเป็นหน้าที่ของเสือ ไม่ใช่หน้าที่ของพระ เสือมันจะมากิน ถ้าถามว่า ทำไมจึงเข้าในเขตของกลดไม่ได้ ก็ต้องตอบว่า ด้วยอำนาจของท้าวมหาราช กับบริวารของท่าน ทำให้เสือเข้ามาในเขตของกลดไม่ได้ หลักเราปักตรงไหน เสือเข้าถึงหลักนั้นไม่ได้

หลักผูกสายกลด เป็นอันว่า ตอนเช้าชาวบ้านมาเห็นเข้า ก็ทราบว่า อันตรายเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
ถามว่า เมื่อคืนนี้มีอะไรมารบกวนท่านหรือขอรับ
ก็บอกว่า มีเสือตัวใหญ่

เขาบอกว่า เสือตัวนี้ พวกผมตามล่ามาหลายครั้งแล้ว ไม่พบมันสักทีหนึ่ง ถ้าพบเมื่อไร ต้องยิงมันเมื่อนั้น มันร้ายกาจเหลือเกิน เคยเข้าไปขโมยสุนัขมากินบ้าง ขโมยไก่ไปกินบ้างหรือลูกวัวตัวเล็ก ๆ มันก็คาบเอาไปกิน มันเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ผมก็คิดไม่ถึงว่า มันจะเข้ามาทำร้ายท่าน คืนนี้ผมจะมานอนเป็นเพื่อน

ก็เลยบอก ไม่ต้องหรอกโยม อาตมาเสี่ยงแล้ว ถือว่า ถ้าไม่ดีมันก็ตายไปเอง เทวดา หรือพระไม่ช่วย ถ้าหากว่าเรามีความดี เทวดากับพระท่านช่วย ก็ไม่เป็นไร หลังจากฉันเสร็จ ก็ลาญาติโยมทั้งหลาย ถอนกลดเดินทางต่อไป ไปคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าไปถึงไหน ไปพบกุฏิหลังหนึ่ง เป็นบ้านเรือนไทยแบบธรรมดา ๆ แต่เก่าแล้ว หลังใหญ่หน่อย เป็นบ้านร้าง

จะเป็นบ้านร้าง หรือวัดร้างก็ไม่ทราบ มันมีหลังเดียวจริง ๆ ก็พากันปักกลดรอบบ้านหลังนั้น
ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่จะมีอันตรายไหม
ท่านบอก ขึ้นชื่อว่าอันตราย มันมีทุกแห่ง ให้คิดไว้เสมอว่า ทุกแห่งมีอันตรายจะต้องระวังตัวไว้

ก็ถามว่า อันตรายอื่นใดจะมีไหม อย่างเสือเป็นต้น ช้างเป็นต้น
ท่านบอก เสือกับช้างไม่ต้องห่วง ไม่มี เพราะผมกันได้ แต่คืนนี้จะมีอันตรายแตกต่างจากเมื่อก่อนนี้
ก็ถามว่า จะเป็นอะไร

ท่านบอก เอาไว้ดูเมื่อถึงเวลานั้น
ก็เป็นอันว่า ในเมื่อคิดว่าจะมีอันตราย ก็ใช้สวด เมตตัญ จะสัพพะโรฯ เพื่อเป็นที่รักของเทวดา มนุษย์ และอมนุษย์ทั้งหลายเสร็จก็นั่งภาวนากันตามปกติ ใช้จิตตามสบาย ๆ ถือว่า อันตรายใด ๆ ถ้าจะพึงมีกับเรา ก็ต้องเป็นอันตรายที่เกินวิสัยของเทวดาที่ควบคุม ขนาดอินทกะ ถ้าสู้ไม่ได้ เราก็ควรจะตาย

ตัดสินใจว่า ถ้าตายเมื่อไรอย่างน้อยที่สุด เราก็ไปเกิดบนสวรรค์ หรือเป็นพรหม หรือถ้าบังเอิญกำลังใจเราดี เราก็อาจจะไปนิพพาน แต่ความจริง เวลานั้นไม่ได้หวังอะไรทั้งหมด คิดแต่เพียงว่า เราต้องการบุญอย่างเดียว เมื่อเรามีบุญอยู่ จิตมีเฉพาะบุญ ไม่คิดเป็นศัตรูกับใคร อารมณ์ใจเป็นกุศล อย่างน้อยก็ไปสู่สุคติ มีสวรรค์ เป็นต้น

หลังจากนั้น เวลากลางคืน เวลาประมาณตี ๒ ลุกขึ้นมาเจริญกรรมฐานอีก ตอนนี้ได้ยินเสียงผู้หญิง เสียงประมาณนับเป็นร้อยคน ไม่ใช่คนสองคน คุยกัน หัวเราะเกรียวกราว ๆ ก็มองไป มองมาทีแรกก็มองไม่เห็น หนักเข้า ๆ ก็เห็นพวกเธอเดินใกล้เข้ามา ๆ มากมายเหลือเกิน ประมาณ ๒๐๐ คน ล้อมบริเวณกลดของเรา ก็เฮฮา ๆร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน แต่ว่าเป็นผู้หญิงสาวล้วน ๆ

ก็มองดูว่า ถ้าเป็นชาวบ้าน เวลานี้มันตี ๒ แล้ว ชาวบ้านจะมากันทำไมในป่า มาร้องรำทำเพลงในป่าเพื่ออวดใคร อวดต้นไม้ก็ไม่มีประโยชน์ หรือว่าบางที เขาอาจบนบานศาลกล่าวเจ้าที่เจ้าทางไว้ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ้านหลังนี้ อาจจะเป็นศาลก็ได้ ก็คิดในใจ ถามท่านอินทกะว่า คนที่เห็นประมาณสัก ๒๐๐ คนที่ร้องรำทำเพลง เป็นพวกอะไร

ท่านบอกว่า ชาวบ้านธรรมดา เขาเรียกว่า ผี แต่ความจริง พวกนี้ไม่ใช่ผี เป็นพวกรุกขเทวดา กับภุมเทวดา ให้ท่านสังเกตให้ดีว่า ทุกคนผิวสวยหมด ทรวดทรงสวยหมด แต่งตัวก็สวยทั้งหมด เครื่องประดับก็สวยทั้งหมด เขาจะมาทดลองพวกท่านว่า พวกท่านจะติดในรูปเขาไหม ประการที่สอง พวกท่านจะติดในเสียงเขาไหม ประการที่สาม พวกท่านจะติดในลีลา ในการแสดงของเขาไหม ถ้าท่านติดทั้ง ๓ อย่างนี้ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเขาก็จะกลับ ก่อนจะกลับ เขาจะโห่ หัวเราะเยาะท่าน หากว่าท่านไม่ติด ประเดี๋ยวเขาก็เลิกไปแล้ว

ท่านอินทกะก็ถามว่า ท่านมีความรู้สึกอย่างไร
ก็ตอบ จะมีความรู้สึกอย่างไร ในเมื่อรุกขเทวดาก็ดี ภุมเทวดาก็ดี ก็เคยเป็นคนมาก่อน ในเมื่อพวกนี้เคยเป็นคนมาก่อน เคยมีร่างกายที่แสนสกปรกมาก่อน เวลานี้ตายแล้ว ตายมาเป็นผี มีสภาพเป็นลม ร่างกายเธอก็จับไม่ถูก ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ราคะ จะเกิดเพราะอะไร ก็ไม่น่าจะเกิด

โลภะ ความโลภ อยากได้ทรัพย์สินของเธอ ก็ไม่น่าจะมี เพราะเราทิ้งมาแล้ว โทสะ ความโกรธ เธอก็ไม่ได้สร้างโทสะให้โกรธ เธอมาร้องรำทำเพลง จะถือว่าเป็นการขัดกับการเจริญกรรมฐาน ก็ไม่ถูกต้องก็ต้องถือว่า เรื่องของใคร ก็เรื่องของใคร เขาจะร้องรำทำเพลง ก็เป็นเรื่องของเขา เราเจริญกรรมฐาน ก็เป็นเรื่องของเรา หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกว่า

ขึ้นชื่อว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ก็บอกท่านอินทกะ บอกว่า อาตมาคิดอย่างนี้
ท่านบอก ถูกแล้ว พอท่านอินทกะบอกว่า ถูก เท่านั้นละ พวกนั้นหยุดรำ นั่งลงคุกเข่า กราบ ๓ ครั้ง ต่างคนต่างไป

อินทกะก็บอกว่า เห็นไหมล่ะ พอท่านคิดถูก เห็นว่าพวกเขาเป็นคนสกปรกมาก่อน มีน้ำเลือดน้ำเหลือง น้ำหนอง อยู่ในร่างกาย มีอุจจาระปัสสาวะ เป็นคนมาก่อน แล้วก็ตาย หลังจากตาย ก็เหลือสภาพของจิต ที่เรียกกันว่า อทิสสมานกาย แล้วก็ในเวลานี้เขามาทดลองท่าน ท่านไม่สนใจในรูปร่างของเขา ท่านไม่สนใจในผิวพรรณของเขา ท่านไม่สนใจในเสียงของเขา

ท่านไม่สนใจในลีลาของเขา และท่านก็มีความรู้สึกว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง คนทุกคนต้องตายเหมือนกันหมดแบบนี้ เมื่อตายแล้วก็เป็นผีเหมือนกัน เขารู้ความรู้สึกของใจของท่าน โดยที่ท่านไม่ต้องพูด เมื่อเขาเห็นอย่างนี้แล้ว เขาก็เลยคิดว่า การที่จะมาพิสูจน์ เป็นผลสำหรับเขา คือ วันพรุ่งนี้เช้าเขาจะใส่บาตร เขาต้องมาพิสูจน์ก่อน ถ้าบังเอิญคณะของท่าน องค์ใดองค์หนึ่ง ไปชอบผิวพรรณก็ดี ทรวดทรงก็ตาม ลีลาก็ตาม หรือสุ้มเสียงก็ตาม พรุ่งนี้อดแน่

ก็ถามว่า อีก ๒ องค์ท่านมีความรู้สึกอย่างไร
ท่านอินทกะก็บอกว่า อีก ๒ องค์ ท่านก็มีความรู้สึกเหมือนท่านเหมือนกัน ต่างคนต่างปลงอนิจจังว่า บรรดาผีทั้งหลายเหล่านี้ ต่างเน่ามาก่อนแล้ว มันเน่ามาก่อนตาย คือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองในร่างกาย มันเน่ามันเหม็นมาก่อนตาย เมื่อตายแล้วก็เน่า เน่าแล้วก็มาเป็นผี เป็นผีแล้วก็มาล้อพระธุดงค์ ทั้ง ๒ องค์ก็ไม่มีจิตประสงค์ใน ราคะ โทสะ โมหะ เหมือนกัน ในเมื่อเขาทราบความเป็นจริงอย่างนั้นแล้ว เขาก็กลับไป

ในเมื่อกลับไปแล้ว ก็ปรากฏว่าตอนเช้าคิดว่า จะออกบิณฑบาตกับต้นไม้
ท่านอินทกะบอกว่า ไม่ต้องไปหรอก ประเดี๋ยวพวกเมื่อคืนมันมา
แล้วก็ถามท่านว่า เมื่อคืนนี้เขาเห็นท่านไหม

ท่านอินทกะก็เลยบอกว่า เทวดานี่มีกำลังไม่เสมอกัน ภุมเทวดา มีร่างกายหยาบกว่า รุกขเทวดา รุกขเทวดา ก็มีร่างกายหยาบกว่า อากาศเทวดา อากาศเทวดา ละเอียดกว่า เมื่อคืนนี้ผมไม่ยอมให้เขาเห็นผม ถ้าเขาเห็นผม เขาจะไม่แสดงอะไรทั้งหมด เพราะเขากลัวพวกผม ผมปล่อยเขาตามปกติ ประเดี๋ยวเขาจะมาท่านไม่ต้องไปบิณฑบาต

ก็เป็นอันว่า อีกสักครู่เดียว ประมาณโมงเช้า คราวนี้มีทั้งผู้หญิง มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิงมีแต่สาวทั้งหมด ทรวดทรงดีทั้งหมด ถ้าพูดตามส่วน คือ พวกเมื่อคืนนี้ แต่งตัวก็ดี ไม่น่าจะเป็นคนภาคอีสาน ไม่น่าจะมาอยู่ในป่า นำอาหารมาถวาย แล้วก็มีอะไรก็ไม่ทราบ ที่เขาใส่ข้าวเหนียว ถือมาคนละกล่อง ๆ เหมือนกันหมด แต่ว่าอาหารทั้งหมดไม่มีกับ เป็นข้าวมีสีเหลืองน้อย ๆ มาใส่บาตร เมื่อตักบาตรเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็นั่งคุย สำหรับผู้ชายรู้สึกว่ามีท่าทางขรึม ๆ เรียบร้อยสงบเสงี่ยม

แต่พวกผู้หญิงนี่สิ ใช้ตาเป็นสื่อ แสดงอาการออกทางตามาก ทางปากก็แสดง พูดลีลาก็ดี ไพเราะอ่อนหวาน ทางตาก็แสดงอาการเจ้าชู้ พวกเราก็รู้แล้วว่าผี จะไปยุ่งกับผีก็ไม่มีประโยชน์ ยุ่งกับคนก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยทำเฉยไว้ ทำใจเฉย ๆ ก็คิดว่า เมื่อเธอตายแล้ว ก็เชิญตายไปเถอะ ต่อไปฉันก็จะตายบ้างเหมือนกัน ตายไปฉันก็จะไม่ไปยุ่งกับพระอย่างพวกเธอนี่หรอก

เราก็กินข้าวไป เมื่อกินข้าวเสร็จก็ ยถา สัพพีฯ ให้พรเขา เขาก็รับพรแล้วต่างคนต่างลา ต่างก็หายไป
หลังจากนั้น ท่านอินทกะก็บอกว่า เดินจากนี้ไปประมาณสัก๒ กิโลเมตร จะมีถ้ำเป็นที่พัก ไม่ทราบว่าจังหวัดไหน ในป่าลึก ให้ท่านพักในถ้ำน้ำประมาณสัก ๗ วัน พวกผมจะอยู่คุ้มครองท่าน แล้วท่านอินทกะก็นำหน้าเดินทางไป พอเข้าไปถึงถ้ำ

ท่านก็ชี้แจงเรื่องความเป็นมาต่าง ๆ ว่า ดินแดนแถวนี้ เดิมทีเดียวเคยเป็นเมือง เป็นบ้านเป็นเมือง แต่เวลานี้เป็นป่า ก็ดูสภาพบ้านเมืองต่าง ๆ สมัยก่อนเป็นเมืองย่อม ๆ เล็ก ขนาดใหญ่ก็ประมาณสักหนึ่งอำเภอ เขตอำเภอในเวลานี้เป็นกลุ่มของคน บางครั้งบางคราวเขาก็ยกทัพมารบกันบ้าง บางครั้งบางคราวเขาก็ดีกันบ้าง มีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันเป็นปกติ

บางคราวก็ดีกัน มันเป็นเรื่องของบุคคลคนเดียว คือ พ่อเมือง ถ้าพ่อเมืองกับพ่อเมืองดีกัน ชาวบ้านก็ดีกัน ถ้าพ่อเมือง กับพ่อเมืองเขาขัดใจกัน ชาวบ้านก็ต้องขัดใจกับเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่อง ในเมื่อเขาสั่งให้รบก็ต้องรบกัน ก็ยกทัพตีกันนั่นเอง ยกพวกตีกัน ดูแล้วก็น่าสลดใจ

ก็เลยถามท่านว่า เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ พวกฉันเคยมาร่วมกับเขาบ้างหรือเปล่า
บอก ยังท่าน สมัยท่านไม่มี ในเขตนี้ไม่มี เมืองเล็ก ๆ ประเภทนี้พวกท่านไม่เคยเกิด เกิดเมืองใหญ่กว่านี้ เมื่อดูไปจนเพลิน ก็คิดในใจว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยงในสถานที่นี้ เคยมีคน คนมีเนื้ออ่อน กระดูกถึงแม้จะแข็ง ก็ยังอ่อนกว่าไม้

ในที่สุด คนก็ตาย บ้านเรือนที่สร้างสวย ๆ ในที่สุดก็สลายหายตัวไปหมด ปรากฏว่ามีแต่ป่าไม้ใหญ่ เป็นป่าทึบ บ้านเมืองทั้งหลายเหล่านี้ คงจะผ่านพ้นไปเป็นร้อย ๆ ปีในที่สุดก็อยู่ในถ้ำ พอเข้าไปนอนในถ้ำ อินทกะก็บอกว่า ความปลอดภัยมีกับท่านแล้ว หน้าที่ต่อไปนี้ ก็จะเป็นหน้าที่ของคนอื่น ผมขอลาท่านไปสักครู่หนึ่ง

ถามว่า จะไปไหน
ท่านบอกว่า จะไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณ เพราะว่าท่านท้าวเวสสุวัณตรัสเรียก ก็เป็นอันว่า ท่านอินทกะก็ไป ลูกน้องอินทกะก็ไป เหลือแต่พวกเรา ๓ คน กำลังนอนเพลิน ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึง เวลาประมาณสัก ๔ทุ่ม สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาก็คือ มีคนมายืนหน้าถ้ำ ๔ - ๕ คน คน ๔ - ๕คนทีแรกก็ตัวเล็ก ๆ คล้าย ๆ กับเด็กสัก ๔ - ๕ ขวบ เมื่อมองดูแล้วหนัก ๆ เข้า

เด็กคนนั้นค่อย ๆ โตขึ้นทีละหน่อย ๆ จนกระทั่งหัวยันพื้นของถ้ำ แต่ว่าเธอยังอยู่นอกถ้ำ ในที่สุด ตัวก็ใหญ่ขึ้น สูงขึ้นจนกระทั่งสะดืออยู่พ้นหลังคาของถ้ำ ก็มองดูเธอ เธอทำอะไร เราก็มองดู ด้านจิตใจก็เฉย ๆ คิดว่า เป็นเรื่องธรรมดา ท่านที่ปรากฏร่างกายอย่างนี้ ก็คือ ผี แต่ว่าผีที่จะเกิดขึ้นมาได้ ก็มาจากคน และคนประเภทนี้ ทำไมถึงเกเรมาก ในเมื่อเป็นผีแล้วมาเกเรกับพระ พระที่มาธุดงค์ ต้องการความสงัด

ก็นึกในใจว่า ทางที่ดี ถ้าผีมีความฉลาดก็ควรจะนั่งลงกราบและยกมือไหว้พระด้วยความเคารพ สร้างบุญสร้างกุศลต่อ ให้มีบารมีสูงขึ้น มีความสุขความสบายมากขึ้น มีวิมานสูงขึ้น ร่างกายสวยขึ้น พอคิดเพียงเท่านี้ ผีก็ลดตัวลง พอลดตัวลงมาต่ำ นั่ง เป็นปกติร่างกายของคนก็ค่อย ๆ กลายเป็นสุนัขใหญ่ เป็นสุนัขค่อย ๆ ใหญ่มาทีละน้อย ๆ ทำท่าแยกเขี้ยว เห็นขาวโพลน จะกัดละสิ

แต่ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง แกทำท่าอยู่นอกถ้ำ ไม่เข้ามาในถ้ำ ก็เลยนั่งกันเฉย ๆ พวกเราก็นั่งคุยกันบอก ปล่อยเขา เมื่อผีคนกลายเป็นหมาได้ เราจะสนใจอะไรกับหมา เพราะหมาเป็นสัตว์ที่เลวกว่าคน นี่เป็นคนแท้ ๆ กลับกลายเป็นหมา แสดงว่าคนนี้เป็นคนเลว เมื่อตายจากความเป็นคนแล้วจึงกลายเป็นหมา และเป็นหมาโต และเป็นหมาที่ดุ ดุใครไม่ดุ มาดุพระ ซึ่งไม่เคยเป็นศัตรูกัน พวกเราเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน

แผ่เมตตาจิตว่า บรรดาสุนัขทั้งหลาย เธอจงมีความสุขตามสภาพของสุนัข เธออยากกินอะไร ขอให้ได้กินตามชอบใจ แต่ห้ามกินฉัน พอพูดเท่านี้ สุนัขหัวเราะกั้ก ๆ ๆ เป็นเสียงคน ประเดี๋ยวภาพสุนัขก็หายไป กลายเป็นพระเดินเข้ามาในถ้ำ องค์ที่เดินนำหน้าคือหลวงพ่อปาน องค์ที่สองคือ หลวงพ่อจง องค์ที่สามคือ หลวงพ่อเนียม องค์ที่สี่คือ หลวงพ่อโหน่ง

ถามว่า เมื่อกี้แกแช่งหมาหรือ หลวงพ่อปานถาม
บอก ผมไม่รู้ว่าเป็นหลวงพ่อนี่ครับ ก็ลุกขึ้นมากราบท่านความจริงที่ท่านอินทกะท่านหลีกไป
ท่านบอกว่า ฉันจะมา ฉันจะมาลองพวกเธอว่า พวกเธอจะกลัวไหม อินทกะท่านจึงหลีกทาง แต่ความจริงท่านไม่ได้ไปไหน ท่านอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ

หากว่าท่านอยู่ ถ้าหากให้ฉันแสดงให้เธอพบ ให้เธอเห็น ก็จะหาว่าท่านไม่มีฤทธิ์ไม่มีอำนาจ จึงได้บอกว่า ท่านต้องไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณ ซึ่งความจริงท้าวเวสสุวัณเวลานี้ก็อยู่ใกล้ ๆ ไม่ได้อยู่ที่ไหน การทำใจแบบนี้ดี ฉันติดตามพวกเธอมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ถูกหนังควายที่คนเขาทำเป็นนกมาจับ แต่ความจริงมันไม่ใช่นก เขาส่งมาเพื่อให้เข้าตัว แต่ไม่สามารถเข้าเขตสายอัพโภกาสได้ ก็จับบนยอดกลด

ลงมาไม่ได้ กลายสภาพเป็นนก และถูกเขาเอาทรายมาเป็นข้าว เขาเก่งมากเอาหนามมาผูกทำเป็นต้มยำไข่กับพุงปลา ฉันก็ติดตามสังเกตเธอว่า เธอจะเผลอไหม ถ้าเธอเผลอเมื่อไร ฉันจะเตือนเมื่อนั้น แต่บังเอิญท่านอินทกะท่านเตือน ฉันก็เลยเฉยไว้หลังจากนั้น เมื่อมาพบกับนางฟ้าของรุกขเทวดาทั้งหลายก็ดีภุมเทวดาทั้งหลายก็ดี เธอก็ไม่สนใจ มาวันนี้เธอเห็นภาพคนใหญ่ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นทันหูทันตา ก็ไม่ตกใจ อย่างนี้ใช้ได้

ในการธุดงค์จงมีความรู้สึกไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ ถ้าหากว่า ถ้าเราตายอยู่กับธรรมะอย่างนี้ เราจะไปสวรรค์เป็นอย่างน้อย ถ้าเราอยู่กับอธรรม จิตที่เป็นอกุศล มีความโกรธ เป็นต้น เราจะลงนรก พวกเธอทำกำลังใจถูกต้อง ขอให้ปฏิบัติตามนี้ต่อไป แล้วทั้ง ๔ องค์ท่านก็บอก จะกลับก็กราบท่าน ขอบคุณท่าน แล้วท่านก็กลับไป

พอท่านกลับไปแล้วท่านอินทกะก็มา ท่านอินทกะก็ถามว่า เห็นอะไรไหม
ก็เลยบอกท่านว่า ไม่น่าจะหลอกกันเลย บอกว่าจะไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณ แล้วปล่อยให้หลวงพ่อปาน หลวงพ่อทั้ง ๔ เข้ามา ท่านก็บอกว่า ผมไม่ได้โกหกนะครับ ท่านท้าวเวสสุวัณท่านอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ท่านเรียกผมไป ผมก็ไป บอกต้องปล่อย ถ้าเราอยู่ที่นั่น จะหาว่าเราไม่มีเดช ไม่มีอำนาจ กันผีไม่ได้ ก็ต้องปล่อยดูกำลังใจ

เป็นอันว่า พักที่นั่น ๗ วัน ก็มีความสุข ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่ามีคนมาใส่บาตรเป็นปกติ แต่คนที่มาทุกคน ไม่มีใครแต่งตัวสวย นุ่งกางเกงปะ ใส่เสื้อปะ บางคนก็ไม่มีเสื้อ ผู้ชายนะ ผู้หญิงก็พอมีเสื้อ บางคนไม่มีเสื้อ ก็มีผ้าคาดอกมา เป็นคนรูปร่างรกรุงรังแต่ว่าข้าวที่กิน เป็นข้าวสีเหลืองน้อย ๆ มีรสหวานหน่อย ๆ เวลาเขาใส่บาตร เขาจะมีดอกไม้สวย ๆ

ก็รวมความว่า พวกที่มาทั้งหมดเป็นนางฟ้า กับเทวดา ไม่ใช่คนธรรมดา เราก็จับได้ แต่ว่าเราไม่พูดเรามีหน้าที่รับ เขามีหน้าที่ให้ เราก็รับ มีหน้าที่รับ รับแล้ว เราก็กินเราก็ฉันก็รวมความว่า การไปธุดงค์คราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็มีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ ถ้าจะถามว่า ถ้าปวดอุจจาระปัสสาวะทำอย่างไร ก็ไม่ต้องห่วงหรอก

เพราะส้วมมันใหญ่คือป่า จะถ่ายที่ไหนก็ได้ ไม่ถ่ายใกล้ตัวเราก็แล้วกัน ก็เป็นอันว่า วันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เสียงก็แห้งเต็มที เวลาก็จะหมดพอดี ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


จบเล่มที่ ๒๐


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top