Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 5/7/08 at 18:26 [ QUOTE ]

การถอดจิตไปดวงดาวต่างๆ (ตอนที่ 2 จุไรท่องเที่ยวดวงอาทิตย์)


 « ตอนที่ 1 นิทานเรื่อง "หนู 3 ตัว"

จุไรท่องเที่ยวดวงอาทิตย์

โดย ส.ธ.

ลูกหลานทั้งหลาย นิทานเรื่องนี้ ตอนแรก พูดไปมันเหนื่อยมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการป่วยไข้ไม่สบายมันยังไม่หมด ฟังเรื่องพี่ปากแกเล่าเรื่องหนูไปฟัง ฟังไป ๆ ก็รู้สึกชอบใจ ว่านิทานนี่ดี จะทำอะไรก็ได้ หนูก็เหาะได้ สามารถเดินน้ำดำดินได้ตามชอบใจ เพราะเรื่องของนิทาน แต่ความจริงนิทานนี่ไม่ใช่เรื่องก่อขึ้นเสมอไป บางทีก็เป็นเรื่องจริง แต่ว่าเป็นเรื่องจริงที่หาเหตุผลไม่ได้ก็ต้องบอกว่าเป็นนิทาน

ต่อนี้ไปก็จะเล่าเรื่องของจุไรท่องเที่ยวจักรวาลต่าง ๆ ประวัติความเป็นมาของจุไรเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่ แม่ชื่ออะไรไม่ต้องบอก แม่เก็เป็นคนดี มีความเคารพในพระพุทธเจ้ามาก เคารพในพระธรรม เคารพในพระอริยสงฆ์ มีศีล 5 ่บริสุทธิ์เป็นปรกติ มีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขาวาง
เฉย เมื่อใครเพลี่ยงพล้ำไม่ซ้ำเติม

แม่ตั้งอยู่ในความกตัญญูรู้คุณต่อท่านผู้ใหญ่มาก จึงสอนให้จุไรลูกสาวเป็นคนมีเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร วางเฉยไม่ซ้ำเติมใคร เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระอริยสงฆ์ และก็มีศีล 5 บริสุทธิ์ ลูกสาวที่น่ารักของคุณแม่ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง เพราะมีความกตัญญูรู้คุณ ตอบสนองคุณความดีของคุณแม่ด้วยการปฏิบัติตามทุกอย่าง แม่ไม่หนักใจ จุไรไปโรงเรียนก็มีความกตัญญูรู้คุณในครูบาอาจารย์ ไม่เคยดื้อด้าน ครูตั้งใจสอนแบบไหน จุไรตั้งใจเรียนทุกอย่าง เวลาครูสอนตาดู หูฟัง ใจติดตาม ถ้าสงสัยก็จดไว้ ตั้งใจทุกอย่าง

ฉะนั้นการศึกษาของจุไรจึงไม่น้อยหน้าใคร ครูก็ยกย่องสรรเสริญในสถานที่ทั้งหลายเมื่อไปพบผู้ใดเข้า ครูก็ยกย่องจุไรว่าเป็นเด็กแสนดี ตั้งใจเรียนดี มีความรู้ความฉลาด และครูก็ตั้งใจให้ความสะดวกสบายทุกอย่าง เธอต้องการอะไรถ้าไม่เกินวิสัยของครู ครูก็ให้ทุกอย่างตามที่เธอต้องการ

อันนี้เป็นผลของความดีที่เด็กตั้งใจเรียน มีความกตัญญูรู้คุณ ใครไปใครมาโรงเรียนก็อยากจะทรายว่าเด็กหญิงจุไรอยู่ที่ไหนรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อครูแนะนำให้เธอรู้จักกับใคร เธอก็ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ พูดจาไพเราะ ฉะนั้นบรรดาลูกหลานทั้งหลายก็ควรจะเอาอย่างจุไร เมื่อเธอกลับมาบ้านแม่ก็มีความปลื้มใจ จุไรก็มีความสุข เพราะลูกเป็นคนดี แม่เป็นคนมีศีลธรรม

วันหนึ่งหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ อาบน้ำอาบท่าทำการบ้านแล้ว จุไรก็นั่งคุยกับแม่ ความจริงคิดจะเล่าเรื่องนิทานความฝันของจะไร ตอนนี้ก็ไม่ฝันละ เพราะมีนิทานตัวอย่างแล้ว ขึ้นชื่อว่านิทานอะไรก็ได้ ใครจะหาว่าเป็นการมุสาวาทก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของนิทาน ขอเล่าว่าเวลาตอนค่ำ จุไรก็มานั่งนึกถึงหนุมานตอนที่พระลักษณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์ พระราม หรือ พระนารายณ์ ใช้หนุมานไปห้ามพระอาทิตย์ พระแสงพระอาทิตย์ถ้าต้องหอกโมกขศักดิ์เข้าพระลักษณ์จะตาย

จุไรก็คิดว่าหนุมานเป็นลิง ก็สามารถเหาะได้ แต่เป็นลิงของพระนารายณ์มีฤทธิ์มีฤทธิ์ก็เป็นของไม่แปลก แต่ก็น่าแปลกที่พระนารายณ์เป็นนายกลับไม่มีฤทธิ์จะเหาะสู้หนุมานไม่ได้ อันนี้ก็แปลกเหมือนกัน สงสัย และต่อไปจุไรก็มาคิดว่าหนู 2 ตัว พ่อผัวเมีย แล้วก็ลูกสาวหนู ที่เขาต้องการยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของพระอาทิตย์ทั้ง 3 ก็เหมาะไปได้ถึงดวงอาทิตย์

จุไรก็เกิดความสงสัย ว่าพระอาทิตย์ในเรื่องรามเกียรติ์เป็นไฟกองใหญ่ ที่พระสุริยะเทพบุตรเอาเชือกผูกท้ายรถ และผูกดวง พระอาทิตย์ลากออกไปให้โลกสว่าง เหมือนกับเป็นคบเพลิงส่องโลกให้สว่าง มีความร้อน พอหนุมานเข้าไปไฟไหม้หมด แต่ทว่าหนูทั้ง 3 ตัวเข้าไปไฟไม่ไหม้ ก็เกิดความสงสัย ถามคุณแม่ว่า

"อยากจะทราบว่าพระอาทิตย์ ความจริงเป็นไฟ หรือไม่เป็นไฟ อยู่ที่ไหน ไกลแสนไกล ทำไมหนุมานจึงไปได้ หนูจึงไปไม่ได้ และอยากจะทราบว่าทำไมหนูจึงไม่ไหม้ไฟ หนูมานไหม้ไฟแต่มีขนเพชร พระอาทิตย์ก็สามารถชุบให้เป็นตัวตนกลับเข้ามาได้"

แม่ฟังแล้วก็ยิ้ม ก็ถามว่า "จุไรลูกรัก ลูกอยากจะดูพระอาทิตย์หรือ หรือจะไปเที่ยวดวงอาทิตย์"

จุไรก็บอกว่า "แสงอาทิตย์ก็ดี ดวงอาทิตย์ก็ดี ลูกเห็นทุกวัน แต่ว่าเวลานี้แสงอาทิตย์หายไป มีแต่แสงจันทร์ขึ้นมาแทน เวลาตอนเช้ามีแสงอาทิตย์ ลูกคิดอยากจะไปดวงอาทิตย์ แต่ก็เกรงไฟจะไหม้อย่างหนุมาน แต่ว่าการที่หนูทั้ง 3 ตัวเข้าไปนั้น เขาเข้าทางไหนไฟจึงไม่ไหม้หนู"

แม่ฟังแล้วก็ยิ้ม แม่ถามว่า "ลูกอยากจะไปจริง ๆ หรือ?"

จุไรก็บอกว่า "หนูอยากจะไป"

แม่ก็บอกว่า "การไปดูดวงอาทิตย์หรือจักรวาลต่าง ๆ เป็นของไม่หนัก ถ้าลูกมีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง มีศีล 5 บริสุทธิ์จริง มีพรหมวิหาร 4 จริง และก็มีความกตัญญูรู้คุณจริง อย่างนี้พื้นฐานดีแล้ว ถ้าสามารถฝึกจิตอีกนิดหน่อย สามารถไปเที่ยวจักรวาลต่าง ๆ ได้"

จุไรฟังแม่แล้วก็ชื่นใจ อยากจะทำตามแม่ว่า ก็ถามว่า "การเคารพพระไตรสรณาคมน์ก็ดี รักษาศีลก็ดี เจริญพรหมวิหาร 4 ก็ดี มีความกตัญญูรู้คุณก็ดี ที่หนูทำอยู่เวลานี้สมบูรณ์หรือยัง"

แม่ก็บอกว่า "ตามที่แม่ดูจริยาของลูกสมบูรณ์ทุกอย่างแล้วลูก"

จุไรก็ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นหนูอยากจะไปดูพระอาทิตย์ อยากจะไปที่ดวงอาทิตย์เลย และก็ต้องการไม่ให้พระอาทิตย์เผาผลาญเหมือนหนุมานจะทำอย่างไร?"

คุณแม่ก็บอกว่า "เป็นของไม่ยาก จุไรลูกรัก เวลานี้จุไรยังเป็นเด็กอายุเพียงแค่ 5 ปี นิวรณ์ต่าง ๆ คือความชั่วร้ายที่เข้ามาสิงใจนี้ไม่มี จิตใจประกอบไปด้วยความบริสุทธิ์ ต่อนี้ไปถ้าตั้งใจ อยากจะไปดูดวงอาทิตย์จริงแม่จะพาไป"

จุไรฟังแล้วก็ยิ้มมองหน้าแม่ ถามว่า "คุณแม่ไปได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ"

แม่บอกว่า "จักรวาลต่าง ๆ แม่ไปได้หมด สวรรค์ก็ดี นรกก็ดี แดนเปรต อสุรกายก็ดี ในโลกนี้ทั่วจักรวาลแม่ไปได้หมด พรหมแม่ก็ไปได้ นิพพานแม่ก็รู้จัก"

จุไรก็ถามว่า "สวรรค์มีจริงหรือ?"

แม่ก็ตอบว่า "แม่ไปมาแล้วมีจริง ๆ พรหมก็มี นรกก็มี เปรตก็มี อสุรกายก็มี นิพพานก็ปรากฏจากดวงใจอันเป็นทิพย์ของแม่"

จุไรก็ถามว่า "เขากล่าวกันว่านิพพานสูญ"

คุณแม่ก็ตอบว่า "เรื่องนิพพานสูญเป็นของจริง แต่ว่านิพพานสูญจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สูญจากความชั่วทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าความชั่วนิดหนึ่งไม่มีในบุคคลที่เข้าสู่นิพพาน"

จุไรถามว่า "ถ้าอย่างนั้นนิพพานก็เป็นเมือง"

แม่ก็ตอบว่า "ถ้าจะถือว่าเป็นเมืองอย่างชาวโลกก็ไม่ใช่ จะถือว่าไม่มีเลยก็ไม่ถูก เพราะว่าขึ้นชื่อว่านามธรรม อย่างนรก เขาเรียกกันว่าเมืองนรก แต่คนเราขาดความเป็นทิพย์ของใจ ไปจะไม่เห็นเมืองนรก เทวดาเขาเรียกว่าเมืองสวรรค์ ถ้าคนที่ขาดความเป็นทิพย์ก็ไม่สามารถจะเห็นสวรรค์ได้ ไม่สามารถจะเดินไปชมสวรรค์ได้ พรหมโลกเขาถือว่าเป็นเมืองพรหม เราก็ไม่สามารถจะเห็นด้วยตาเนื้อได้ ขาดความเป็นทิพย์เห็นไม่ได้ ถ้าจิตใจไม่เป็นทิพย์ก็ไปสู่แดนพรหมไม่ได้ แต่ความจริงเขามีสถานที่อยู่กัน

สำหรับนิพพานก็เช่นเดียวกัน นิพพานเป็นดินแดนที่มีความบริสุทธิ์ที่สุด นั่นก็หมายความว่า เป็นเมืองเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี มีความบริสุทธิ์น้อย คือมีคุณธรรมเพียงแค่ 2 อย่าง ได้แก่ หิริ และ โอตตัปปะ "หิริ" อายความชั่ว "โอตตัปปะ" เกรงกลัวผลของความชั่ว ไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

ตายจากความเป็นคนหรือสัตว์ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้ แต่มีความดียังอ่อนอยู่ ถ้ามีความดีสูงกว่านั้น มีหิริและโอตตัปปะ เป็นฌานสมาบัติ คือจิตทรงตัว สามารถไปเกิดในแดนของพรหมได้ ก็เป็นเมืองพรหมเหมือนกัน แต่คนที่มีความเป็นสุขที่สุด กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมไม่มีอยู่เลยในใจ และก็จิตใจตัดความโลภ ตัดความโกรธ ตัดความหลงได้อย่างนี้ไปอยู่แดนนิพพาน ฉะนั้นแดนทั้ง 3 นี้เป็นนามธรรม จะถือว่าสูญก็ไม่ถูก ถ้าสูญก็ต้องสูญทั้งหมด ถ้าหากว่าถือว่าไม่สูญก็ต้องไม่สูญเหมือนกันหมด

คำว่า "สูญ" ก็หมายความว่า สมมุติว่าคนตาบอด ถ้าไปคลำจะรู้จักแค่มุม ฉะนั้นคนที่มีความเป็นทิพย์อย่างอ่อนจะรู้จักเทวดาได้ รู้จักความเป็นทิพย์อย่างกลาง จะรู้จักพรหมได้ ถ้าบริสุทธิ์ทั้งหมดความเป็นทิพย์ทั้งหมดเข้มแข็ง สะอาดหมดจดจะรู้จักนิพพานได้ ก็รวมความว่าเรื่องนี้หนัก ลูกรัก ของมีจริง แต่ว่าอย่าเพิ่งรู้เลย รู้สั้น ๆ ก่อน ไปจักรวาลต่าง ๆ ก่อน"

จุไรก็ยอมรับ ถามคุณแม่ว่า "ถ้าหนูอยากจะไปดูดวงอาทิตย์ คุณแม่จะนำไปได้ไหม"

คุณแม่ก็ตอบว่า "แม่นำไปได้เฉพาะคนที่มีความดีพถอ ความดีในการมีศีล พรหมวิหาร 4 เคารพไตรสรณาคมน์ เพราะลูกมีพอ แต่ยังขาดอะไรอยู่นิดหนึ่ง คือความเป็นทิพย์ของจิต ถ้าสามารถชำระจิตให้มีความเป็นทิพย์อย่างอ่อนได้ แม่พาไปได้ทุกภพ"

จุไรก็ถามว่า "จะให้หนูทำอย่างไร"

แม่ก็ตอบว่า "อันดับแรก ให้หนูนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วใช้คำภาวนาว่า "พุทโธ" และก็คำภาวนานี้ไม่จำกัด จะเป็น "พุทโธ" หรืออะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่เวลานี้อันดับแรกลูกภาวนานึกในใจว่า "พุทโธ" ก่อน เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" แล้วก็เวลาหายใจเข้า หายใจออกทำใจสบาย จิตใจนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง"
จุไรก็มองซ้ายมองขวา เห็นพระพุทธรูปที่บูชา ก็ถามคุณแม่ว่า "คุณแม่เจ้าขา องค์นี้ได้ไหม"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ได้ พระที่เราบูชาทุกวันนี้เป็นของดีเราจำได้แม่น"

จุไรถามว่า "ทำอย่างไร"

คุณแม่ก็บอกว่า "หลับตาซิลูก ก่อนหลับตากราบพระซะก่อน กราบครั้งแรกนึกถึงว่าเรากราบพระพุทธเจ้า กราบครั้งที่สองนึกกราบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กราบครั้งที่สามก็นึกว่าเรากราบพระสงฆ์

จุไรกราบสามครั้ง สามครั้งไปแล้วก็เลยกราบครั้งที่สี่ หันมาทางแม่บอกว่า "คราวนี้หนูขอกราบแม่ที่มีพระคุณใหญ่" แม่ก็ยกมือรับไหว้

หลังจากนั้นแม่ก็บอกว่าให้จุไรนั่ง นั่งท่าไหนก็ได้ หลับตา ก่อนหลับตาดูพระพุทธรูปก่อน นึกถึงภาพจำให้ได้ แล้วก็นั่งหันหลังให้พระพุทธรูป นั่งหลับตาหายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" นึกถึงภาพพระพุทธรูป แม่ก็ถามว่า "จำได้หรือยังลูก"

จุไรก็บอกว่า "จำได้ชัดจ้ะแม่ เห็นทุกวัน"

แม่ก็บอกให้จุไรลืมตา แต่หันหลังให้พระพุทธรูป "นึกถึงภาพพระพุทธรูป จำได้ไหมลูก"

จุไรก็ตอบว่า "จำได้"

ต่อจากนั้นไปแม่ก็บอกให้จุไรหลับตา "นึกถึงภาพพระพุทธรูป ขอพรท่านว่า ต่อนี้ไปลูกจุไรจะไปดูดวงอาทิตย์ แม่จะนำไป"

จุไรก็นึกตามนั้น พอนึกตามนั้นก็ปรากฏมีกาย ๆ หนึ่งออกจากกายเนื้อ จุไรก็มีความรู้สึกว่าเรามาอยู่นอกกายมองร่างกายเดิมเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก กายใหม่นี่สวยกว่า แพรวพราวเป็นระยับ มีเครื่องประดับเป็นเพชร เนื้อแท้ของจุไรจริง ๆ ก็เป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ หน้าตารูปร่างทรวดทรงสวยสดงดงามกว่ามาก ก็เห็นร่างกายของแม่ลอยอยู่นอกกายเหมือนกัน สวยกว่าจุไรมาก จึงได้กราบแม่ ถามคุณแม่ว่า "แม่ ทำไมเป็นอย่างนี้"

คุณแม่ก็บอกว่า "ลูกรัก การจะไปสู่โลกต่าง ๆ เราเอาเนื้อไปไม่ได้ลูก ต้องไปเฉพาะกายแท้ นี่กายของเราแท้ ๆ ร่างกายที่นั่งอยู่นั่นเป็นเปลือกหรือเรือนร่างที่เราอาศัยชั่วคราว"

หลังจากนั้น (เวลาเหลือน้อย ตอนนี้ก็ขอเล่าลัด ๆ) คุณแม่ก็พาจุไร อันดับแรกไปพระจุฬามณีเจดียสถาน ดินแดนของสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เข้าไปที่นั้น ก็พบพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์สาวกมากมาย เต็มพระจุฬามณี เป็นดินแดนที่มีความสวยสดงดงามมาก แม่ก็พาจุไรเข้าไปไหว้พระพุทธเจ้า ไหวพระสงฆ์ กราบท่าน

พระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ ถามว่า "จุไร ลูกอยากจะไปดูพระอาทิตย์หรือ"

จุไรก็กราลทูลว่า "ลูกอยากจะไปดูเจ้าค่ะ เพราะอาศัยแสงอาทิตย์สว่างมานานหลายปี ความดีของพระอาทิตย์มีมาก ลูกจะไปขอบคุณท่าน"

เมื่อพูดเท่านั้นพระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ท่านบอกว่า "เอาละ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดกัน ถ้าอยากจะดูดวงอาทิตย์ไปที่ดวงอาทิตย์ ตามตถาคตมา"

บรรดาท่านผู้ฟังและลูกรักทั้งหลายอย่าลืมว่านี่เป็นเรื่องนิทานนะ ถ้าใครทำใจแบบนั้นได้จริง ๆ ก็ไปได้จริง ๆ เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นนิทานก็เป็นนิทานตัวอย่าง การพบพระพุทธเจ้าเป็นพุทธนิมิต หรืออะไรก็ตามเถอะไม่ต้องพูดกัน เอาเป็นว่าพบได้ตามเรื่องของนิทานก็แล้วกัน อธิบายแล้วมันยุ่ง เดี๋ยวช้า

ต่อมาสมเด็จพระบรมศาสดาก็นำสองแม่ลูกมายืนอยู่ที่มุมจุฬามณี ชี้ให้ดูดวงอาทิตย์ว่า

"การมาที่นี่ไกลมาก จากโลกที่อยู่มาจักรวาลอาทิตย์ กลับมาจุฬามณีนี่ไกลกว่ากันหลายแสนเท่า ถ้าอยากจะดูก็พาไป"

ผลที่สุดท่านก็พาไปที่ดวงอาทิตย์ ทีแรกก็ลอยอยู่ข้างนอกก่อน เห็นโลก ๆ หนึ่ง แต่ความจริงที่โลกนั้นไม่มีแสง มันเป็นธาตุ ทั้งโลกเกลี้ยง และอาศัยความเป็นทิพย์เห็นไอระเหยริ้ว ๆ ๆ ออกจากโลกนั้น แล้วพุ่งออกมาไกล การเสียดสีของโลกนั้นกับอากาศ กับสิ่งที่กระแส กระจายออกมาจากโลกนั้นที่จริงระเหยกลายเป็นไฟ มีแสงสว่างมีความร้อนมาก แต่ไกลกว่าโลกนั้นมาก
แต่ท่านที่ยืนอยู่นั้นไม่มีใครร้อน เพราะความเป็นทิพย์ของร่างกายคือนามธรรม หรือที่เรียกว่า "อทิสสมานกาย" ที่ไปนั้นไม่รู้จักความร้อนไม่รู้จักความหนาวเพราะขาดธาตุที่จะพึงรับ ต่างคนต่างยืนดู ลอยดูดวงอาทิตย์ หรือโลกอาทิตย์ แต่ว่าดูแสงไฟอยู่ไกลมีความร้อนมาก

จุไรจึงกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคว่า "คนหรือสัตว์จะผ่านดวงไฟกองนี้เข้าไปได้ไหมมันอยู่ทั่วโลก มันอยู่รอบ ๆ ไปหมด"

พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า "ถ้ามาก็ไหม้เหมือนอย่างหนุมาน แต่สิ่งที่จะผ่านเข้าไปได้ต้องมีกำลังประมาณ 2 ล้านองศา จึงจะผ่านเข้าไปได้ แต่สิ่งที่อยู่ภายในจะเสียหมด เพราะความร้อนสูงมาก"


หลังจากนั้นไปท่านก็พาไปยืนอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ มองดูรอบ ๆ หมุนไปได้ตามรอบ ๆ ดวงอาทิตย์มีความหมุนไม่เหมือนโลก โลกนี่มีความหมุนกลิ้งคล้าย ๆ ส้มโอกลิ้ง แต่ว่าดวงอาทิตย์หมุนคล้าย ๆ กับของที่ตั้งขึ้นแล้วหมุนรอบตัวข้าง ๆ เหมือนกับแท่นที่หงายหน้าขึ้นหมุนแบบนั้น มองไปดูโลกมนุษย์ หมุนอ้อมดวงอาทิตย์ แต่ไม่ได้อ้อมข้าง อ้อมข้ามหัวไป ไปอย่างนี้ นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่าอย่างไรก็ช่าง นี่มันเรื่องนิทาน

ก็รวมความว่าไปยืนมองดูดวงอาทิตย์ ก็ไม่เห็นแสงไฟข้างใน เห็นแต่ไอระเหยริ้ว ๆ ออกมาก จุไรจึงกราบทูลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับบอกแม่ว่า "อยากจะเข้าไปดูข้างในว่าไฟอยู่ที่ไหน"

แม่ก็ดี สมเด็จพระจอมไตรก็ตาม ชี้ให้จุไรดูว่า "ไอระเหยรอบตัวของดวงอาทิตย์นี่พุ่งไปที่อากาศ อาศัยความเสียดสีของอากาศกับไอระเหย กับโลกที่หมุนเป็นประกายให้เกิดแสงสว่างพุ่งไปถึงโลกต่าง ๆ" นี่เรื่องนิทาน


หลังจากนั้นก็เข้าไปสู่ภายในดวงอาทิตย์ (เข้าไปในโลกอาทิตย์) เข้าไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าในนั้นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ท่านบอกว่า มีแร่ชนิดหนึ่งที่มีสภาพเหมือนคล้ายแร่แมงกานีส แต่เขาเรียกจริง ๆ ไม่ทรายว่าอะไร มันเป็นเชื้อไฟ มีความลุกโชนอยู่ตลอดเวลา แต่การลุกนาน ๆ น่าจะเผาผลาญตัวเอง ทั้งตัวนี่เป็นเชื้อเพลิงหมด
แต่ทว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงอธิบายว่า "ความร้อนต่าง ๆ ในโลกนี้มันแปลก มันไหม้ก็จริงแหล่ แต่ว่ามันสร้างตัวเอง แทนที่มันจะสลายตัว สิ่งที่ไหลเป็นเชื้อเพลิง แล้วมันก็สร้างตัวเองให้เกิดขึ้นมา และความร้อนที่ระเหยออกมาก็ไปเป็นดวงไฟตามที่ปรากฏ"

และองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงแนะนำว่า "ความร้อนแรงของโลกจะไม่มีการลดตัวลง จากนี้ไปจะร้อนขึ้นตามลำดับ ที่กล่าวว่าใกล้จะสิ้นกัป จะมีพระอาทิตย์ดวงที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ถึงที่ 7 เกิดขึ้นตามลำดับ ความจริงเวลานี้เกิดแล้วแต่ละดวงจับก้อนแล้วเป็นกลุ่มแล้วแต่ยังโตไม่พอ ถ้าดวงไหน อย่างดวงที่ 2 โตพอ ก็จะเกิดแสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ดวงนี้
แต่ดวงอาทิตย์ดวงเดิมก็จะร้อนมากขึ้นเป็นลำดับ ในที่สุด ถึงแม้ว่าดวงต่าง ๆ จะมีอานุภาพไม่มาก ยังไม่สมบูรณ์แบบ พระอาทิตย์ดวงเดิมนี้ก็จะร้อนขึ้นตามลำดับ ขึ้นชื่อว่าโลกจะเย็นกว่านี้ไม่มี ย้อนขึ้นไปโลกจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน"

ก็รวมความว่า หนูน้อยจุไรก็มีโอกาสได้เทื่ยวดวงอาทิตย์ ก็ดูไปรอบ ๆ ก็อยากจะทราบตามความจริงว่า มีบ้านไหน มีคนไหน พอเดินไปรอบ ๆ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็บอกว่า "มีไม่ได้ลูกเอ๋ย ขึ้นชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะมีที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด"

จุไรก็ถามว่า "ฝรั่งเขาว่ามีความสามารถ เขาสามารถจะมาปักหลังตั้งสถานีที่ดวงอาทิตย์ได้ไหม? ถ้าเขามาได้เขาสามารถจะใช้กระแสไฟจากดวงอาทิตย์ไปทำไฟฟ้าในโลกได้ไหม?"

สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วก็ตอบว่า "ถ้าฝรั่งสามารถจริง ก็สามารถมาได้ และสามารถนำไปได้ แต่ว่าคิดว่าฝรั่งไม่สามารถจะทำได้ในเวลานี้ ทั้งนี้เพราะว่าสิ่งที่ป้องกันความร้อนขนาดหนักฝรั่งยังหาไม่ได้ ต่อไปถ้าเขาหาได้เมื่อไหร่เขาก็มาได้เมื่อนั้น การที่จะนำความร้อนจากดวงอาทิตย์ หรือแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ไปช่วยโลกให้มีความสว่างอันนี้ทำได้แน่ถ้ามาได้ แต่ความจริงก็ไม่ต้องทำ พระอาทิตย์ช่วยอยู่แล้ว"

หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ตรัสว่า "จุไรลูกรัก และก็มารดาจุไร การมาเที่ยวที่นี่นานเกินไปเสียแล้ว เพราะเวลานี้โลกมนุษย์ใกล้สว่าง เวลานี้เข้าเวลาตี 4 คือเสียงนาฬิกาเช้ามืด ให้นำลูกกลับ ก็เป็นการบังเอิญว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ โรงเรียนหยุดไม่เป็นไร แต่ถ้าดึกเกินไปเด็กจะเพลีย"

หลังจากนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จหายไป จุไรกับแม่ก็กลับมาบ้านนั่นเรื่องของนิทานนะบรรดาลูกหลานทั้งหลาย พอกลับมาบ้านก็เข้าร่างกายเดิมแล้วก็หลับ หลับแล้วก็ตื่นเวลาสายนิดหน่อยปรากฏว่าพอถึงเวลาสาย ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูเรียก "จุไร ๆ" แต่เป็นเสียงผู้ชาย คือเสียงคุณพ่อ เสียงตะโกนถามขึ้นมาว่า

"ทำไม แม่กับลูกวันนี้นอนตื่นสายนัก อาหารเช้ายังไม่ได้ทำ" ท่านแม่ลืมตาขึ้นมา จุไรลืมตาขึ้นมา ปรากฏเวลาใกล้โมงเช้าสายไป จึงรีบลุกเข้า ไปทำอาหารไว้รับประทานในเวลาเช้า

ก็เป็นอันว่าลูกหลานทั้งหลายที่ฟังจงมีความเข้าใจว่านิทานเรื่องจุไรนี่ไม่ใช่ไร้ผล ที่กล่าวถึงองค์สมเด็จพระทศพลคือพระพุทธเจ้า และก็จำภาพพระพุทธเจ้ามีความสำคัญ ถ้าไม่รู้จักพระพุทธเจ้าก็ดูพระพุทธรูป จำภาพพระพุทธรูปได้เราก็นึกถึงท่าน ขอพร ถ้าความเป็นทิพย์เกิดขึ้นเมื่อไหร่โลกไหนก็ไปได้ และเด็กหญิงจุไรที่บอกว่าอายุ 5 ปี ความจริงเด็กรุ่นนี้นิวรณ์ยังไม่กินใจ นิวรณ์คือความชั่วของจิต สิ่งที่มัวหมองยังไม่พอกใจ สามารถทำอะไรก็ทำได้สะดวก และก็พื้นฐานเดิมมีความสำคัญ

1. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ
2. มีศีล 5 บริสุทธิ์
3. มีพรหมวิหาร 4
4. มีความกตัญญูกตเวที รู้คุณท่าน แล้วก็
5. มีความเคารพ คารวะ คือ ความเคารพ เป็นความสำคัญที่สุด เป็นเสน่ห์ที่ดีสำหรับทุกคน ถ้าคนที่มีความเคารพ มีความกตัญญูรู้คุณ ความยากจนจะไม่ปรากฎ เพราะว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก


เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็รู้สึกว่าจะหมดเวลาแล้ว ฉะนั้นขอบรรดาลูกรัก เมื่อฟังเรื่องขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว คือ พระพุทธเจ้าที่ต้องเอาเรื่องราวพระพุทธเจ้าเข้ามาด้วย เพราะว่าความเป็นทิพย์จะต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ
ฉะนั้นขอบรรดาลูกหลานทุกท่าน หรือทุกคน จงรู้และรับฟัง จงอย่าลืมพุทธานุสสติ คือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เวลานี้หมดเวลาแล้ว ขอความสุขสวัสดีพิพัฒนมงคลสมลูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี



จุไรท่องเที่ยวดวงอาทิตย์

ตอนที่ 2

.......ลูกหลานทุกท่านโปรดทราบ วันนี้วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๐ เป็นวันที่หลวงพ่อหลังจากป่วยมาแล้ว แต่วันนี้อาการดีขึ้นบ้างพอสมควร พอจะมีแรงบ้าง อาศัยที่มีความห่วงใยลูกรักทุกคน ที่มีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษา แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติความดี ในด้านพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนได้มโนยิทธิซึ่งเป็นหมวดหนึ่งของอภิญญา สามารถรู้ความเป็นจริง ตามพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
........การตายแล้วมีสภาพไม่สูญ การเกิดเป็นคนแล้วตายจากความเป็นคน เป็นผี เป็นเทวดา เป็นพรหม ไปนิพพาน หรือว่า เป็นสัตว์นรกก็ตาม ก็ชื่อว่าเป็นการเกิด มีสภาพต่อไปมีสภาพไม่สูญ และอีกประการหนึ่ง ลูกรักทุกคนมีความขยันหมั่นเพียร ในการงาน มีความดีพอที่บรรดาท่านทั้งหลายที่มีจิตเมตตาสงเคราะห์ ให้ทุนการศึกษาบ้าง แจกเสื้อผ้าบ้าง ให้อุปกรณ์การศึกษา มีหนังสือเรียนเป็นต้นบ้าง แล้วก็เลี้ยงดูให้ความเป็นสุขตามสมควร อาหารการบริโภคก็มีความอิ่มหนำสำราญ มีความสมบูรญ์ดี ทั้งนี้ก็อาศัยความดีของลูกรักทุกคน

ฉะนั้นขอลูกรักทุกคน จงรักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม ตามธรรมดาเกลือจะอยู่กับส้มเกลือก็เค็ม อยู่กับยาดำขมจัดเกลือก็เค็ม อยู่กับน้ำตาลซึ่งมีรสหวานเกลือก็เค็ม ข้อนี้ฉันใดขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีไว้อย่าปล่อยความดีให้สลายตัว ผลของความดีที่ลูกรักปฏิบัติเห็นแล้วว่า ได้ความเมตตาปราณีจากบรรดาท่านพุทธบริษัท พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ผู้ใหญ่ทุกคน จนกระทั่งมีความสุขยิ่งกว่านักเรียนโรงเรียนอื่น

วันนี้หลวงพ่อจะนำนิทานมาเล่ากับลูกหลานฟังเป็นวันต้น ความจริงร่างกายก็ไม่ดีนัก นิทานเรื่องนี้ถ้ากล่าวเป็นนิยาย ก็เป็นนิยายอิงพระพุทธศาสนา หรือว่าเป็นเรื่องจริงอิงนิทาน บางอย่างก็จริง บางอย่างก็เป็นนิทาน

เรื่องราวก็มีอยู่ว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งมีอายุย่างขึ้นเพียง ๕ ขวบ เธอเป็นคนที่มีบิดามารดาเป็นคนดี บิดามารดาเคารพพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระอริยสงฆ์ แล้วก็ทรงศีล ๕ ก็ดี กรรมบถ ๑๐ ก็ดีครบถ้วน นอกจากนั้นก็มีจิตหวังพระนิพพานเป็นที่ไป

เรื่องพระนิพพานนี่บรรดาลูกรักทั้งหลาย จงอย่าคิดว่าเป็นเรื่องปรำปรา เป็นของมีจริง ในฐานะที่ลูกชายและลูกหญิง เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าสอนความจริง และลูกรักทุกคนก็ปฏิบัติตามความเป็นจริงมาแล้ว ฉะนั้นขอลูกรักทุกคนจงรักษาความดีที่ตนมีไว้ นั่นก็คือความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสอนได้แก่ “มโนยิทธิ”

ต่อนี้ไปก็จะขอนำเรื่องราวต่างๆของนิทานมาเล่าสู่กันฟัง เด็กหญิงตัวน้อยๆคนนั้นชื่อว่า “จุไร” เธอปฏิบัติความดีตามบิดามารดาสอน

อันดันแรกมีความกตัญญูรู้คุณ บุคคลใดที่มีคุณแก่เธอๆ ไม่เคยลืม ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้มีคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิดามารดา เธอมีความเคารพมาก

วันหนึ่งเธอนั่งคุยกับมารดาก็มีความรู้สึกว่า มารดานี่สามารถพาไปโลกไหนก็ได้โลกนี้มีอะไรอยู่ที่ไหนมารดาก็สามารถจะบอกได้ แต่ทว่าเธอยังทำไม่ได้จึงได้ถามมารดาหรือคุณแม่ว่า ปฏิบัติอย่างไรแม่จึงมีใจเป็นทิพย์สามารถเห็นผีก็ได้ เห็นเทวดาก็ได้ ไปภพต่างๆได้ แม่ก็แนะนำให้ลูกสาวที่รัก ลูกสาวคนดีของเธอ มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ

เด็กหญิงจุไรซึ่งมีอายุ ๕ ขวบ ก็ตอบว่าทุกสิ่งทุกอย่างในการเคารพผู้มีพระคุณมีอยู่แล้ว แม่ก็ยืนยันว่าจริง

ข้อที่ ๒ ให้ความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก่อนจะหลับไหว้พระสวดมนต์ตามกำลัง แล้วภาวนาว่า “พุทโธ” จุไรก็ทำแล้ว

ประการที่ ๓ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกรรมบถ ๑๐ เป็นต้น เธอก็ทำแล้ว

ประการที่ ๔ ให้จิตว่างจากนิวรณ์ ๕ ประการ ในขณะที่บูชาพระพุทธเจ้าคือ

๑. ไม่ติดในความสวยของโลก
๒. ไม่คิดประทุษร้ายใคร
๓. ทำสมาธิบูชาพระแต่หัวค่ำอย่าให้ง่วง
๔. ตั้งใจตรงนึกถึงพระพุทธเจ้าตรง นึกถึงพระพุทธรูปตรง พระพุทธเจ้าก็ได้ พระพุทธรูปก็ได้ จับภาพพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปให้มั่นคง ให้ทรงอยู่ในจิตเธอก็ทำได้
๕. ไม่สงสัยในความรู้สึกที่เกิดขึ้นเธอก็ทำได้

เมื่อเธอทำได้แล้วแม่ก็แนะนำว่า ต่อนี้ไปตั้งใจนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง จะเป็นพระพุทธรูปนั่งก็ได้ นอนก็ได้ ที่ชอบใจเธอก็นึกถึงภาพพระที่เธอบูชา แม่ถามว่าเวลานี้จำภาพพระได้ไหม เธอก็บอกว่าจำได้แม่นยำชัดเจนมาก เอาจิตนึกเห็น หลังจากนั้นแม่ก็แนะนำให้ภาวนาว่า “พุทโธ” บ้าง บางครั้งก็ “นะ มะ พะ ธะ” บางครั้งก็ “นะโมพุทธายะ” ตามใจชอบ

ต่อมาเมื่อจุไรเด็กเล็กอายุ ๕ ปี อยากจะไปชมโลกต่างๆ โดยเฉพาะดวงอาทิตย์ที่เธอเห็นทุกวัน ก็อยากจะทราบว่าดวงอาทิตย์จริงๆอยู่ไกลจากโลกเท่าไร แล้วก็เป็นไฟดวงใหญ่จริงอย่างเขาว่าหรือไม่ ตามประสาของเด็กก็หันมาถามแม่ว่า “อยากจะไปเที่ยวดวงอาทิตย์” แม่ก็ตอบว่า “ไม่เกินวิสัยของแม่ที่จะแนะนำลูกได้ แต่ว่าลูกต้องปฏิบัติตามแม่สั่ง” เธอก็ยอมรับหลังจากนั้นแม่ให้บูชาพระเสร็จ เอาจิตใจจับให้เห็นภาพพระพุทธรูปที่สามารถจะจำได้

เธอก็บอกแม่ว่า “ชัดเจนแจ่มใสเจ้าค่ะ เพราะลูกบูชาทุกวัน” หลังจากนั้นแม่ก็แนะนำว่าจงตามแม่มา เวลานั้นแม่ก็ใช้กำลังความเป็นทิพย์ เอาจิตออกจากร่างเดิมที่เรียกว่า “อทิสมานกาย” จุไรก็ทำได้เพราะเด็กไม่มีนิวรณ์ พอออกจากร่างกายแล้วก็มีร่างกายสวยสดงดงาม มีชฎามีเครื่องประดับแบบนางฟ้า ร่างกายก็เป็นแก้ว เห็นแม่เป็นแก้วมีความสว่างไสวมาก

หลังจากนั้นแม่ก็แนะนำให้ตามพระพุทธรูปไป เวลานั้นพระพุทธรูปที่เธอนึกถึงกลายเป็นพระสงฆ์ มีความสวยงามมาก มีรัศมีกายสว่างมาก เห็นภาพพระนำเธอไป ในที่สุดก็ไปพักอยู่ที่ “พระจุฬามณีเจดียสถาน” ในเขตสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พระจุฬามณีสวยสดงดงามมาก ใสประกายเป็นเพชรเหมือนกันหมด เข้าไปไหว้องค์กลางที่ใหญ่ที่สุดก็คือ “พระพุทธเจ้า” พระพุทธเจ้าองค์นี้ (ถ้าหากใครเขาบอกว่าเป็น “พระพุทธนิมิตร” ก็จงอย่าเถียงเขา)

เมื่อจุไรมนัสการแม่ มนัสการพระแล้ว ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า “อยากจะไปชมดวงอาทิตย์” ท่านก็ตรัสว่า “เธอปฏิบัติอย่างนี้ไม่เกินวิสัยที่จะพึงพาไปได้” หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร (อันนี้เป็นนิทานนะ อย่าลืมว่าเป็นนิทาน) ก็นำจุไรกับแม่มายืนที่หน้าพระจุฬามณี

สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงชี้ให้เห็นว่า พระอาทิตย์หรือดวงอาทิตย์ที่ต้องการจะไปนั้นอยู่ใกล้กับโลกมนุษย์อยู่ในจักรวาลเดียวกัน ที่ทั้งสองคนมาที่นี่นั้น ไกลเกินไปหลายแสนเท่า ถ้านับจากโลกมนุษย์ไปหาดวงอาทิตย์ แล้วก็นับจากโลกมนุษย์มาหาพระจุฬามณี คือ “ดาวดึงส์” ไกลกว่าโลกมนุษย์ ไปโลกอาทิตย์หลายแสนเท่า

แล้วพระองค์ก็ทรงชี้ให้ดูโลกอาทิตย์ว่า ก่อนที่จะไปดวงอาทิตย์ดูสียก่อน ดูที่นี่จะเห็นชัดว่าสภาพของดวงอาทิตย์จริงๆ ที่โลกอาทิตย์จริงๆ นั้นไม่มีไฟ มันมีสภาพเป็นแร่ธาตุทั้งลูก สำหรับสิ่งที่เป็นไฟ ไฟอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มาก แต่ไฟจะเกิดขึ้นได้เพราะไอระเหยจากดวงอาทิตย์มีสิ่งระเหยออกมาแล้วพุ่งออกมาไกลแสนไกล สัมผัสกับอากาศกลายเป็นไฟดวงใหญ่ขึ้นมา มีความร้อนสูงมาก

หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงให้ดูการหมุนของโลกอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ที่หมุนเหมือนลูกข่างๆ ที่เราปั่นไป มันจะมีเหล็กปักกับพื้น แล้วก็หมุนข้างรอบๆ ข้อนี้ฉันใด ดวงอาทิตย์ก็มีสภาพหมุนอย่างนั้น เรามองไปดูที่โลกมนุษย์โลกที่เราอาศัยอยู่นี่ มองจากจุฬามณีจะเห็นโลกนี่เล็กนิดเดียว ลอยวนขึ้นด้านเหนือของดวงอาทิตย์ ขึ้นทางด้านหัววนไปวนมา ขึ้นหัวลงข้างล่างวนไปวนมาแบบนั้น (นึกภาพเอาแล้วกัน)

จุไรเห็นก็นึกแปลกใจว่าโลกมนุษย์มันเล็กนิดเดียว แต่โลกพระอาทิตย์นี่ใหญ่มาก โลกมนุษย์ลอยอยู่ห่างดวงไฟมาก ไฟที่เกิดจากความเร่าร้อน กับ โลกมนุษย์ มันต่ำกว่าความร้อนที่ดวงไฟใกล้ดวงอาทิตย์หลายสิบล้านเท่า หรือหลายร้อยล้านเท่า เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็นำทั้งสองคนไปใกล้ดวงอาทิตย์ เมื่อเข้าไปใกล้แล้วก็ชี้ให้ดูว่า โลกอาทิตย์นี้ความจริงมันเป็นแร่ธาตุทั้งหมด มีความแข๊งตัวมาก แล้วก็หมุนรอบตัวเองช้าๆ ในโลกอาทิตย์ทั้งหมดหาดินแท้ๆไม่ได้เลย เป็นแร่ทั้งหมดแต่แร่อะไรบ้าง อันนี้ก็ไม่ต้องพิสูจน์กัน

เป็นอันว่าไปดูดวงอาทิตย์แล้ว ไม่เห็นแสงไฟที่ดวงอาทิตย์ แต่ว่ากระแสหรือไอระเหยเกิดเป็นแสงไฟภายนอกเป็นไฟดวงใหญ่ นี่เรียกว่า “รู้จักโลกอาทิตย์” แต่ความจริงเรื่องของนิทานนี่ลูกรักทั้งหลาย จะให้ตรงกับนักวิทยาศาสตร์เสมอไปไม่ได้ เพราะว่านิทานก็ต้องเป็นนิทาน บางอย่างของนิทานก็เป็นความจริง บางอย่างก็เป็นเรื่องคิดขึ้นมา

ฉะนั้นท่านผู้ฟังก็ดีผู้อ่านก็ดี ก็จงคิดว่าเรื่องที่เล่านี่เป็นนิทาน จุไรจึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่า “ความร้อนของแสงอาทิตย์หรือว่าไฟที่ล้อมดวงอาทิตย์อยู่นี่ มีความร้อนขนาดไหน” องค์สมเด็จพระจอมไตรบอกว่า “ประมาณไม่ได้ จะเปรียบเทียบไม่ได้มันร้อนจัด” เธอก็ถามองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ว่า “ถ้าหากว่าคนจะเข้ามาในเขตนี้จะเข้ามาได้ไหม” พระท่านก็บอกว่า “เข้ามาก็ตาย เพราะร้อนกว่าไฟในโลกมนุษย์มาก”

เธอก็ถามว่า “ถ้าคนจะทำยานพาหนะอย่างใดอย่างหนึ่งผ่านกระแสไฟเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์จะเข้ามาได้ไหม” (ขอใช้คำว่า “พระ” อย่างเดียวก็แล้วกันนะ) พระท่านก็ตอบว่า “วัตถุที่สามารถจะเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ได้ จะต้องสามารถทนความร้อนได้หลายร้อยล้านเท่าหลายล้านองศา”

สมมุติว่าทนความร้อนได้ ๒ ล้านองศา อย่างนี้วัตถุจะเข้าถึงดวงอาทิตย์ได้ แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในวัตถุนั้นจะสลายตัวหมดถ้าคนก็ตายวัตถุวิทยาศาสตร์ก็เสียหมด ผิวของวัตถุหรือตัววัตถุหรือจรวดก็ตาม จะเข้าถึงดวงอาทิตย์ได้ หรือว่าผ่านไฟเข้าไปในดวงอาทิตย์ได้ นี่เป็นเรื่องของ “โลกพระอาทิตย์” จงมีความเข้าใจว่าพระอาทิตย์จริงๆ ไม่ไช่มีไฟก่อตั้งขึ้น พระอาทิตย์คือล้อมรอบๆเป็นไฟทั้งหมดไม่ไช่อย่างนั้น ไฟอยู่ไกลจากโลกอาทิตย์นี่เข้ามาเล่าซ้ำน่ะ เพราะคาสเซทก่อนเล่าไว้เหมือนกัน แต่ว่าฟังไม่ถนัด

หลังจากนั้นจุไรก็มีความสงสัยกราบเรียนถามพระว่า “ภายในดวงอาทิตย์มีอะไรบ้าง” พระท่านก็ตอบว่า “ภายในดวงอาทิตย์มีแร่ธาตุที่มีความสำคัญมาก แต่ทว่าแร่ธาตุทั้งหมดก็มีการเผาตัวเอง มันมีแร่ชนิดหนึ่ง ที่มีสภาพคล้าย “แมงกานีส” เป็นเชื้อไฟแตไม่ไช่แมงกานีสโดยตรงคล้ายกันเป็นเชื้อไฟก่อตัวให้เป็นไฟ ขึ้นแล้วก็เผาผลาญตัวเอง

หลังจากนั้นพระท่านก็นำทั้งสองคนเข้าไปในโลกพระอาทิตย์ ถ้าจะถามว่าต้องขุดไหม ก็ต้องตอบว่ากายไปเป็นกายทิพย์ ที่เราเรียกว่า “อทิสมานกาย” ไม่ได้เอาเนื้อไปด้วย เหมือนกับบรรดาลูกหลานทุกคนที่ฝึกมโนยิทธิการจะไปไหนใช้กายทิพย์ไป แล้วเวลาที่ฟังอยู่นี่จะตามเสียงไปก็ได้ เสียงไปถึงไหนปล่อยจิตหรือว่ากายทิพย์ไปถึงนั่น ก็จะรู้ความจริง เข้าไปภายในแล้ว ก็พบแร่ธาตุมาก แต่ไปพบเชื้อเพลิงอันร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา เป็นไฟแต่ไฟมาได้แลบออกมาข้างนอก มันเผาผลาญตัวเอง มีความร้อนมาก

พระท่านก็แนะนำ ๒ คน คือ “จุไรกับแม่” ว่าการเผาผลาญของไฟอันนี้มันก็เป็นเรื่องแปลก เพราะว่ามันเผาผลาญแทนที่จะสลายตัว เผาร้อนมากเพียงใดสลายตัวมากเพียงไหนก็ตาม มันก็จะสร้างตัวมันเองอยู่เสมอ แล้วความเร่าร้อนของดวงอาทิตย์ ไฟในดวงอาทิตย์จะลุกหนักขึ้นมาทุกทีกระแสความร้อนจะเผาผลาญโลก

รวมความว่าความร้อนของดวงอาทิตย์ มีความร้อนต่ำกว่านี้ไม่มี มีแต่ทวีสูงขึ้น จุไรกราบทูล ถามพระว่า “ดวงอาทิตย์นี่ใครสร้าง” พระท่านก็บอกว่า “อย่าไปถามเลยเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนสร้าง มันเกิดของมันเองตามสภาพของมัน จะถือว่ามีชีวิตจิตใจก็ม่ไช่ ถ้าถามถึงคนสร้างไม่มีใครสร้างแน่”

แล้วเธอก็ถามพระว่า “ตามที่ผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่า กัปแห่งโลกมนุษย์เมื่อใกล้จะหมดกัป จะมีไฟบรรลัยกัลป์เกิดขึ้นต่อไป จะมีพระอาทิตย์ขึ้นเป็นดวงที่สอง แล้วก็ดวงที่สาม แล้วก็ดวงที่สี่ ดวงที่ห้า ดวงที่หก แล้วก็ดวงที่เจ็ด ตอนนั้นไฟจะลุกท่วมโลก จะไหมโลกทั้งหมด เป็นความจริงไหม”

พระก็ตอบเธอว่า “เป็นความจริง” แล้วเธอก็ถามว่า “อาทิตย์ดวงที่ ๒ ถึงดวงที่ ๗ เวลานี้อยู่ที่ไหน” พระท่านก็ตอบว่า “เริ่มก่อตั้งแล้ว แต่ความสมบูรณ์แบบยังไม่มี มันค่อยๆก่อตัวขึ้น ดวงที่ ๒ จะเต็มดวงก่อน ความร้อนจะเริ่มเผาผลาญโลกมนุษย์ต่อไป ต่อไปก็ดวงที่ ๓ ดวงที่ ๔ ดวงที่ ๕ ดวงที่ ๖ ดวงที่ ๗ เพียงแต่ ๒ ดวงก็ปรากฏว่าน้ำในมหาสมุทรแห้งหมดแล้ว สัตว์ก็ตายหมด เมื่อความร้อนปรากฏทุกดวงอย่างนี้ สิ่งทั้งหลายที่แห้งจะกลายเป็นไฟลุกท่วมโลก

รวมความว่าโลกมนุษย์ต้องสลายตัว คือคนก็ตายหมด น้ำแห้งหมดสัตว์ก็ตายหมด ต้นไม้ก็ไหม้หมดเป็นโลกที่กลายเป็นดินถูกเผาผลาญ คือดินถูกเผาจะมีความหอมระอุขึ้นมา ตอนนั้นก็ถือว่าสิ้นกัป หลังจากนั้นไปจุไรก็กราบทูลพระว่า “เมื่อสิ้นกัปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป” พระท่านก็บอกว่า “นั่นมันเรื่องที่หลัง” แล้วผู้ที่จะมาเกิดในกัปนี้ ชุดแรกเป็นพรหม พรหมที่หมดบุญวาสนาบารมีในการเป็นพรหม คือว่าหลังจากที่ไฟไหม้หมดแล้วไฟดับฝนก็ตก ทำน้ำในมหาสมุทรให้เต็ม น้ำในคลองบึงหนองเต็มหมด ดินก็ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำ พืชพันธุ์ธัญญาหารบางอย่างเริ่มเกิดขึ้น

ตอนนั้นพรหมที่หมดบุญวาสนาบารมีหาพ่อแม่เกิดไม่ได้ ก็อยากจะกินง้วนดิน ลงมากินง้วนดินเพราะดินหอมจากไฟเผา ร่างกายก็เลยหนักมีเนื้อมีหนังขึ้นมา ในระหว่างตอนแรกพรหมพวกนี้ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีความเป็นผู้หญิง ยังไม่มีความเป็นผู้ชาย พระอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏในเวลานั้น ไม่ทราบพระอาทิตย์หายไปไหน

จุไรก็ถามว่า “พระอาทิตย์ตั้ง ๗ ดวงหายไปไหน” ท่านก็บอกว่า “ ๖ ดวงสลาย ตัวดวงเดิมที่ปรากฏก็จะอยู่ห่างมาก ยังลอยเข้ามาไม่ใกล้กัน ดวงเดิมนี่ทรงตัวไม่ได้สลายตัวไปด้วย ดวงที่สลายตัวก็ไม่ได้แตก เพียงแต่ว่าความร้อนกระแสไฟภายในดับมีความเยือกเย็นตามเดิมแต่ว่าดวงเก่านี่ก็มีกระแสไฟอ่อนลง มีความร้อนแต่น้อยลง ฉะนั้นยังไม่เผาผลาญโลกให้บรรลัย ไม่เหมือนเก่า”

หลังจากนั้นบรรดาพรหมทั้งหมด ที่มาเกิดเป็นคน มากินง้วนดินก็กลายเป้นคนมีเนื้อมีหนังขึ้นมา อาศัยที่บุญบารมียังมีอยู่ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีการเสพกาม ตัณหาอุปทาน ยังไม่ปรากฏ แสงสว่างจากตัวก็ยังมี ไปที่ไหนก็มีแต่แสงสว่าง เหมือนกับมีพระอาทิตย์ตอนฟ้าสางตอนเช้า แล้วก็สว่างมาก แต่ไม่มีดวงอาทิตย์ไม่มีความร้อน มีความสุขเพราะอาศัยบุญยังมีมาก อาหารการบริโภคที่ปรากฏก็เป็นอาหารสำเร็จรูป

รวมความว่ากินง้วนดินกันมาเรื่อยๆ ต่อไปง้วนดินความสุขค่อยๆสลายตัว พืชก็เกิดขึ้นที่เป็นอาหาร ข้าว เกิดขึ้นข้าวก็เป็นเม็ดข้าวสาร เพราะบุญ เก็บข้าวมาแล้วก็มาหุงมาต้มได้ทันทีทันใด กับที่จะพึงกินก็ไม่ต้องหา นึกอยากจะกินอะไรอย่างนั้นก็เกิดเพราะบุญเก่า รวมความว่าหลังจากนั้นมาโลกก็มีความเยือกเย็น ต่อมาภายหลังความเป็นเพศปรากฏขึ้น คือมีเพศหญิงเพศชาย ก็อยากจะมีสามีภรรยามีผัวมีเมียอารมณ์อย่างนี้ เกิดขึ้น แสงสว่างในกายก็ดับ เมื่อแสงสว่างในกายดับ โลกก็ดับแสงสว่างในโลกก็ดับเกิดความมืด

บรรดาคนทั้งหลายเหล่านั้นก็ตกใจว่ามืดเสียแล้ว ต่อจากนั้นไปแสงอาทิตย์ก็ปรากฏ ความสว่างปรากฏขึ้นเธอก็ดีใจ แต่พระอาทิตย์เกิดขึ้นไม่นานตอนเย็นก็ลับหายไป พวกเขาก็ตกใจว่าโลกจะมืด ต่อนั้นมาพระจันทร์ก็ปรากฏ เป็นแสงอ่อนๆนวลมีความเย็นสว่างเธอก็ดีใจ พระจันทร์เดิมทีเดียวเขาเรียกว่า “ฉันทะ” แปลว่า “ดีใจ พอใจ” แต่ตอนหลังเรียกเพี้ยนกันมาว่า เป็น จันทระ
ก็รวมความว่าเรื่องราวของพระอาทิตย์ก็ดี ความเป็นมาของพระจันทร์ก็ดี เล่าโดยย่อเพียงเท่านี้ ขอบรรดาลูกหลานทั้งหมด อย่าลืมว่า นี่เป็นนิทาน หลังจากนั้นพระก็เตือนจุไรกับแม่ ๒ คนกลับบ้านได้ เวลานี้ใกล้สว่างแล้ว ก่อนที่เธอจะลากลับ พระก็แนะนำว่า ทั้งแม่ก็ดีลูกก็ดีให้ทรงความดีไว้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม

อันดับแรก หนึ่งมีความกตัญญูรู้คุณ เพราะคนที่มีความกตัญญูรู้คุณ ใครเขาสงเคราะห์เคารพคนนั้น ปฏิบัติตามคนนั้น ตามคำแนะนำของเขา ทุกคนจะมีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั้งหมด ไปไหนไม่อดตาย ไปทางไหนก็มีคนรัก จะพบแต่ความยิ้มแย่มแจ่มใส

ปราการที่ ๒ ให้เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สำหรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติครั้งแรกก็คือ “กรรมบถ ๑๐”

๑. มีเมตตาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์หรือคน
๒. ไม่ลักไม่ขโมยของใคร
๓. ไม่แย่งความรักของคนอื่น (นี่ทางกาย)

ทางวาจามี ๔ คือ
๑. ไม่พูดปด ไม่พูดคำไม่จริง
๒. ไม่พูดวาจาหยาบคาย
๓. ไม่ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน
๔. ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์

ทางด้านจิตใจ
๑. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม
๒. แล้วไม่คิดประทุษร้ายใคร
๓. สร้างความเห็นถูกตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วเวลาที่ต้องการจะให้จิตเป็นทิพย์ต้องการจะไปไหน โลกอื่นก็ตามให้พยายามระงับอารมณ์ชั่ว ๕ ประการ
๑. ความสวยสดงดงามของโลกถือว่ามันไม่ใช่ของจริง
๒. อารมณ์ไม่พอใจโกรธคนอื่น
๓. ความง่วง
๔. อารมณ์ฟุ้งเกินไป จับภาพพระให้มั่นคงให้แจ่มใส
๕. ไม่สงสัยอารมณ์ที่เกิดขึ้น

เพียงเท่านี้ ถ้าเธอทั้งสองคนปฏิบัติได้อย่างนี้เป็นปกติ เธอสามารถจะไปไหนก็ได้ ถ้าไม่แน่ใจจะไปไหนได้ก็นึกถึงฉัน ฉันจะช่วยทันที

เอาล่ะลูกหลานที่รักฟังเรื่องนี้แล้ว ขอทุกคนจงจำไว้ว่า ความดีที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแนะนำ ลูกทุกคนปฏิบัติได้แล้ว จงปฏิบัติให้ครบถ้วนตลอดกาล อย่าทิ้งความดีนี้ ต่อไปลูกรักทุกคนจะศึกษาอะไรก็ตาม จะสำเร็จผลทุกประการ

เวลานี้รู้สึกว่าครบเวลา ๓๐ นาที เรื่องพระอาทิตย์นี้เคยเล่ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่ามาเล่าย้อนหลังเพื่อเป็นการให้ติดต่อกัน ระหว่างคาสเซท ต่อไปนี้หลวงพ่อก็ขอพักประเดี๋ยวนะ ประเดี๋ยวจะเล่าเรื่องพระจันทร์ต่อไป พักดื่มน้ำกันสักหน่อย เพราะเวลา ๓๐ นาทีพอดีหยุดไว้เพียงเท่านี้ สวัสดี.

คลิกดูภาพประกอบ 1 - ภาพประกอบ 2 - ภาพประกอบ 3 - ภาพประกอบ 4 - ภาพประกอบ 5

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/1/09 at 09:16 [ QUOTE ]


ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์



ชื่อในเทพนิยายกรีก คือ เฮลิออส หรือ ซอล
เส้นผ่านศูนย์กลาง : 1,390,000 ก.ม.
มวล : 1.989 x 10 30 ก.ก.
temperature : 5800 K (พื้นผิว) 15,600,000 K (แกน)


ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ศูนย์กลางของระบบสุริยะ เนื้อสารส่วนใหญ่ของระบบสุริยะอยู่ที่ดวงอาทิตย์ คือ มีมากถึง 99.87% เป็นมวลสารดาวเคราะห์รวมกันอย่างน้อยกว่า 0.13% ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับดาวฤกษ์อื่น ๆ บนฟ้า แต่เป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกที่สุด จึงปรากฏเป็นวงกลมโต บนฟ้าของโลกเพียงดวงเดียว ดาวฤกษ์อื่นปรากฎเป็นจุดสว่าง เพราะอยู่ไกลมาก ขนาดที่แท้จริงโตกว่าโลกมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 109 เท่าของโลก

ดวงอาทิตย์สร้างพลังงานขึ้นมาเองโดยการเปลี่ยนเนื้อสารเป็นพลังงานตามสมการของไอน์สไตน์ E = mc2 (E คือพลังงาน, m คือ เนื้อสาร, และ c คือ อัตราเร็วของแสงสว่างในอวกาศซึ่งมีค่าประมาณ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที) บริเวณที่เนื้อสารกลายเป็นพลังงาน คือ แกนกลางซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านองศาเซลเซียส

ณ แกนกลางของดวงอาทิตย์มีระเบิดไฮโดรเจนจำนวนมาก กำลังระเบิดเป็นปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ ที่ไฮโดรเจนหลอมรวมกันกลายเป็นฮีเลียม ในแต่ละวินาทีไฮโดรเจนจำนวน 4 ล้านตันกลายเป็นพลังงาน ใน 1 ปีดวงอาทิตย์เมื่อเทียบกับมวลสารของดวงอาทิตย์ทั้งหมด 2 x 1027 ตัน หรือ 2,000 ล้านล้านล้านตัน หรือ 332,946 เท่าของโลก

ที่ผิวของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิประมาณ 5,700 องศาเซลเซียส หรือประมาณ 6,000 เคลวิน ดวงอาทิตย์จึงถูกจัดเป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีอายุประมาณ 5,000 ล้านปี เป็นดาวฤกษ์หลัก อยู่ในช่วงกลางของชีวิต ในอีก 5,000 ล้านปี ดวงอาทตย์จะจบ ชีวิตลงด้วยการขยายตัวแต่จะไม่ระเบิด เพราะแรงโน้มถ่วงมีมากกว่าแรงดัน ในที่สุด ดวงอาทิตย์จะยุบตัวลงอย่างสงบกลายเป็นดาวขนาดเล็ก เรียกว่า ดาวแคระขาว

การถ่ายทอดพลังงานจากแกนกลางสู่ผิวต้องผ่านชั้นที่อยู่เหนือแกนกลางที่ เรียกว่า แถบการแผ่รังสี ซึ่งเป็นแถบที่กว้างไกลมากเหนือแถบการแผ่รังสีคือ แถบการพา โดยการหมุนเวียนของก๊าซร้อน จุดบนดวงอาทิตย์ ผิวของดวงอาทิตย์ที่เราสังเกตได้เรียกว่า โฟโทสเฟียร์ ความร้อนและแสงสว่าง ตลอดทั้งพลังงานในช่วงคลื่นอื่น ๆ แผ่กระจายจากดวงอาทิตย์สู่อวกาศ โดยการแผ่รังสีบนผิวระดับโฟโทสเฟียร์มีบริเวณที่อุณหภูมิต่ำกว่าข้างเคียง จนสังเกตเห็นเป็น จุดดำ เรียกว่า จุดบนดวงอาทิตย์

จุดเหล่านี้ไม่ใช่ลักษณะที่มีอยู่อย่างถาวร เกิดแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและขนาดเป็น กลุ่มจุด (spot groups) ซึ่งอาจมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวถึง 100,000 กิโลเมตร ถ้าขยายจุดที่พัฒนาเต็มที่แล้วจะพบว่ารอบนอกของจุดมีความสว่างมากกว่าส่วนใน เรียกส่วนในที่มืดกว่าว่า อุมบรา (umbra) และเรียกส่วนรอบนอกที่มัว ๆ ว่า พีนุมบรา (penumbra) บริเวณอุมบรามีอุณหภูมิประมาณ 2,000 องศาเซลเซียส บริเวณพีนุมบรามี อุณหภูมิสูงถึง 4,000 องศาเซลเซียส ในขณะที่ข้างเคียงอุณหภูมิสูงถึง 5,700 องศาเซลเซียส

จุดบนดวงอาทิตย์จึงไม่ใช่จุดดับอย่างที่อาจจะเข้าใจกัน เพราะยัง ร้อนอยู่มาก จุดดวงอาทิตย์เกิดขึ้นและหายไปตามลำดับรูปร่างซึ่งเรยกว่าแบบซูริค A จนถึง J ของกลุ่มจุด (A-J Zurich Classification) ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเกิดขึ้นถึงหายไป ยาวนานมากที่สุด 200 วัน เป็นกลุ่มจุดที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2486 แต่ละกลุ่มจุดมีอายุต่าง ๆ กัน จุดเล็ก ๆ อาจมีอายุน้อยกว่า 1 ชั่วโมง

จุดบนดวงอาทิตย์มีประโยชน์ในการวัดอัตราการหมุนรอบตัวเองของดวงอาทิตย์ ซึ่งพบว่ามีคาบ 27.3 วัน (อัตราการหมุนรอบตัวเอง ณ บริเวณเส้นศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์ยาว 24.6 วันต่อรอบ ที่ละติจูด 30 องศา 25.8 วัน ที่ละติจูด 60 องศา 30.9 วัน และที่ขั้ว 34.0 วัน) ในปี พ.ศ. 2433 มอนเดอร์ (E.W.Maunder) นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษได้ตรวจสอบข้อมูลเก่า ๆ เกี่ยวกับจุดบนดวงอาทิตย์ และพบว่าระหว่างปี พ.ศ. 2188-2258 เป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ไม่ค่อยมีจุดเลย จีงไม่มีปีซึ่งมีจุดมากและปีซึ่งมีจุดน้อย การศึกษาต่อมาทำให้เชื่อว่า ช่วงเวลาดังกล่าว ดวงอาทิตย์มีบรรยากาศที่เรียกว่า คอโรนา น้อยหรือไม่มีเลย

มีเรื่องน่าสนใจที่อาจเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ คือ การผันแปรของภูมิอากาศในประเทศอังกฤษในทศวรรษปี พ.ศ. 2223 กล่าวคือ น้ำในแม่น้ำเทมส์กลายเป็นน้ำแข็งอยู่เป็นประจำ และไม่เห็นแสงเหนือเลยฮัลเลย์ บันทึกไว้ว่าเขาเห็นแสงเหนือเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2259 หลังจากเผ้าคอยดูมาเป็นเวลา 40 ปี อาจเคยมีช่วงที่ดวงอาทิตย์ไม่มีจุดในระหว่าง พ.ศ. 1943 ถึง 2053 แต่หลักฐานการบันทึกไม่สมบูรณ์

อย่างไรก็ตามมีผู้ตรวจสอบวงปีของต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งมีอายุอยู่ระหว่างประมาณ 268 ปีก่อนพุทธศักราช ถึง พ.ศ. 2457 พบว่าการเจริญเติบโตของต้นไม้ได้รับผลกระทบจากจุดบนดวงอาทิตย์ด้วย และมีช่วงที่ดวงอาทิตย์มีจุดน้อยดังการพบของมอนเดอร์ ดังนั้นจึงเรียกช่วงระยะเวลายาวนานราว 100 ปี ที่ดวงอาทิตย์ไม่มีจุดหรือมีจุดน้อยนี้ว่าจุดต่อของมอนเดอร์

ที่มา - www4.msu.ac.th

ตอนที่ 3 จุไรท่องเที่ยวดวงจันทร์ » 

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top