Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 5/7/08 at 18:47 [ QUOTE ]

การถอดจิตไปดวงดาวต่างๆ (ตอนที่ 7 จุไรท่องเที่ยวดาวพฤหัส)


« ตอนที่ 6 จุไรชมดวงดาว


จุไรท่องเที่ยวดาวพฤหัส

โดย ส.ธ.

บรรดาลูกหลายที่รัก หลังจากคุณแม่และคุณลูกทั้งสองพักผ่อนสักครู่ ดูเวลาเห็นว่าเวลาพอสมควร จุไรจึงปรารภกับคุณแม่ว่า "คุณแม่เจ้าขา ลูกอยากจะไปเที่ยวดาวพฤหัส"

คุณแม่ก็ตอบว่า "เป็นของไม่ยาก ความจริงการทำสมาธิต้องฝึกให้คล่อง" แล้วคุณแม่ก็ถามว่า "เวลานี้ลูกเห็นภาพพระจะเป็นพระพุทธรูปก็ดี พระสงฆ์ก็ดี หรือรูปพระพุทธเจ้าก็ตามในอกมีไหม?"

จุไรก็บอกว่า "ขณะที่แม่คุยอยู่ก็ดี พักอยู่ก็ตาม เห็นสว่างอยู่ตลอดเวลา"

คุณแม่ก็ถามว่า "ถ้าคิดว่าจะไปดาวพฤหัสก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน จับภาพพระพุทธรูปภาวนาหายใจเข้านึกภาพท่าน หายใจออกนึกถึงภาพท่านให้ชัดเจน แล้วก็ภาวนาตามว่า พุทโธ ก็ตาม สัมมาอรหัง ก็ตาม หรือว่า นะมะพะธะ ก็ตาม ตามชอบใจ ลองจับ อานาปานุสสติ คือลมหายใจเข้าออกดู" จุไรก็เริ่มจับ พอนึกจะจับลมหายใจเท่านั้นเองก็ปรากฏว่า ภาพของจุไรไปลอยอยู่เหนือดาวพฤหัสพร้อมกับคุณแม่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ

จุไรก็ถามคุณแม่ว่า "นี่มาได้อย่างไรเจ้าคะ"

คุณแม่ก็ตอบว่า "การคล่องของสมาธิถ้าจิตมีอารมณ์ว่างจากกิเลส ภาพก็เป็นอย่างนี้ ถ้าเราคิดก่อนภาวนา คิดก่อนตั้งอารมณ์ คิดว่าจะไปไหน เวลาที่ภาวนาจริง ๆ ก็ไม่คิดถึงเรื่องนั้น จับอาการภาวนาตามปกติ เมื่อจิตมีสภาพมีกำลังเต็มอัตราจิตจะพุ่งออกมาเอง"

จุไรก็ถามคุณแม่ว่า "เวลาที่จิตพุ่งออกมาไม่รู้ตัวหรือ"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ไม่รู้ตัวแต่ความจริงที่จุไรทำนี่ยังถือว่าช้าเกินไป"

จุไรก็ตกใจถามว่า "ที่จับอานาปาคือจับลมหายใจเข้าไม่ทันหายใจออกช้าเกินไปหรือคุณแม่"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ใช่ ยังช้าเกินไป ถ้าคนมีการคล่องตัวจริง ๆ เขาคิดว่าจะไปไหนไปได้ทันทีทันใดโดยไม่ต้องตั้งอารมณ์ เพราะอารมณ์ทรงตัว"

คำว่า "อารมณ์ทรงตัว" หมายความว่าเวลาที่ต้องการจะไปไหน จะรู้อะไรก็ตาม เวลานั้นจิตจะว่างจากกิเลสทันที และความเป็นทิพย์เต็มกำลังก็จะเคลื่อนที่ได้ทันทีทันใดโดยไม่รู้สึกตัวเหมือนกัน

จุไรก็ถามคุณแม่ว่า "เวลาที่คุณแม่อยากจะรู้ เวลาที่คุณแม่อยากจะเห็น อยากจะไปไหนคุณแม่ตั้งใจอย่างไร"

คุณแม่ก็ตอบว่า "แม่คิดจะไปไหนแม่ไปทันที อยากจะรู้อยากเห็นอะไรก็เห็นได้ทันทีทันใด"

แต่การเห็นบรรดาลูกรัก จะต้องระมัดระวัง ถ้าเห็นภาพอย่างใดอย่างหนึ่งจงอย่าลืมนึกถึงพระพุทธเจ้า ทำจิตให้เห็นภาพพระพุทธเจ้าไว้ จับภาพพระพุทธเจ้าให้ทรงตัวให้มั่นคง แล้วก็ตั้งใจถามว่าภาพนั้นเป็นอย่างนั้นจริงไหม ให้ถือความรู้สึกของใจเป็นเกณฑ์ ถ้าความรู้สึกของใจบอกอย่างไรให้เชื่ออย่างนั้นทันที ทั้งนี้เพราะเวลานั้นใจเป็นทิพย์ใจว่างจากกิเลส ใจย่อมรู้ถูกต้องเสมอ

แล้วจุไรก็ถามคุณแม่ว่า "ขณะที่ใจว่างจากกิเลสใจเป็นทิพย์ การเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามาจริงหรือไม่"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ไม่มีความสำคัญ ท่านจะมาจริงหรือไม่มาจริงไม่ต้องคิด คิดแต่เพียงว่านี่คือพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน สร้างความมั่นใจเพียงเท่านั้นจะไม่มีอะไรผิด"

หลังจากนั้นไปจุไรก็มองไปดูโลกพฤหัส หรือดาวพฤหัสบดี ต้องถือว่าเป็นโลก เป็นดาวที่มีความใหญ่มากกว่าทุกดวง ถ้าจะเทียบกับดาวดวงอื่นก็ฌหมือนกับช้างสีดอ คือช้างใหญ่ยืนอยู่กลางฝูงวัว เช่นนั้นไม่ต่างกัน เมื่อมองดูรอบ ๆ ยืนอยู่ภายนอกยังไม่ถึงดวงดาว มองเข้าไปเห็นสิ่งที่หมุนรอบตัว เป็นคล้าย ๆ ละอองเมฆ บางส่วนก็เป็นก้อนเมฆ เป็นก้อนไม่หนาทึบ สามารถเคลื่อนไหวและกระจายตัวได้ มีสภาพของลมแรงจัด หมุนไปอย่างแรง

ก็รวมความว่าสิ่งที่มองจากโลกเห็นดาวพฤหัสมีหมอก หรือมีสภาพหมุนของลมเป็นความจริง แต่การหมุนของลมหรือเมฆที่ลอยไปเป็นหมอกอยู่ประเภทนั้น อยู่ไกลจากตัวดวงดาวมาก ถ้าจะนับเป็นฟิตก็ต้องบอกว่าหลายหมื่นฟิต มันจะมีสภาพไกลกว่าเครื่องบินจากเหนือโลกขึ้นไป ๓ หมื่นฟิต แต่ความจริงบินสูงขึ้นไป ๓ หมื่นฟิต มองลงมาก็จะเห็นเมฆเป็นก้อน เมฆดำก็ดี เมฆขาวก็ดี ลอยต่ำคล้ายกับติดพื้นดิน แต่บรรดาเมฆละอองทั้งหลายที่มีลมพัดแรงอยู่ไกลกว่าเมฆประเภทนั้นกับพื้นผิวดินของโลกมาก

รวมความว่า การมองจากที่ไกลย่อมไม่ทราบความจริง แต่ความจริงที่ทราบก็คือว่าหมู่เมฆ หรือละอองเมฆ หรือหมอกหมุนไปมาเร็วอันนี้เห็นชัด และก็ไม่เห็นตัวโลกจริง ๆ เป็นอันว่าโลกพฤหัสนี่อยู่ไกลดวงอาทิตย์

คำว่า "ไกล" ไม่ใช่สิ้นแสงหรือไม่มีแสงถึง มีแสงถึง คล้ายกับโลกมนุษย์ หรือโลกชมภู เมื่อเข้าไปภายในม่านของเมฆหมอก ก็เข้าไปใกล้ไปมุมเหนือ (ต้องถือว่าเป็นมุมเหนือ ถ้าจัดตามโลกมนุษย์ ( มุมนี้ปรากฎว่ามีหิมะมาก มีต้นไม้ ต้นหญ้าหนาทึบ เขียวชอุ่ม มุมนี้หนาวจัดบอกได้เลยว่ามุมนี้หนาวจัดคล้ายโลกพระศุกร์ แต่ความจริงโลกพระศุกร์ที่บอกนี่ เพราะมองเห็นมาแล้ว

จุไร เธอเห็นแล้วก็บอกว่า "คล้ายกับโลกพระศุกร์" หลังจากนั้นก็เข้าไปใกล้ เข้าไปใกล้ก็คิดว่า ถ้าเอาเนื้อมาด้วยวันนี้คงจะต้องแข็งตายที่นี่แน่เพราะร่างกายไม่ชินกับความเย็น

รวมความว่าทางด้านทิศเหนือของดาวพฤหัสก็ไม่ต่างกับขั้วโลกเหนือของโลกมนุษย์ หรือโลกชมภู มีน้ำแข็ง ไปดูน้ำค้างยังแข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างเย็นยะเยือก ไปดูสัตว์ก็หายาก และก็ปรากฏว่ามีทะเลใหญ่ตอนท้ายดาว ก็ควรจะเรียกว่ามหาสมุทร เป็นมหาสมุทรใหญ่ แต่มีสภาพเป็นน้ำแข็ง แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ท้ายดาวพฤหัสก็มีสัตว์ แล้วก็มีคน ๆ พวกนี้เดินบนน้ำแข็งได้แบบสบาย ๆ เขาเดินได้อย่างมีความสุข แล้วก็ไม่แสดงอาการหนาว มีสภาพเป็นปกติ แต่ว่าใช้เสื้อผ้าหนาเตอะ

แต่ดูหน้าดูตา หน้าเขาเปิด เขาไม่ได้ปิด ไม่ได้คลุม มีอาการร่าเริงมีหมวกหนา มีเสื้อหนา มีกางเกงหนา มีผ้าหุ้มเท้าหุ้มแข็งมีรองเท้าหนาเดินแบบสบาย ๆ ครั้นเข้าไปใกล้ พวกเขาแทนที่จะแสดงอาการแปลกใจหรือตกใจ เขาก็ยิ้ม จุไรแสดงกายเป็นมนุษย์ ทำภาพเหมือนสภาพมีเนื้อ ไปกับแม่ ๒ คน และภาพของจุไรจริง ๆ ก็เป็นเด็กไว้จุกตัวเล็ก ๆ แม่ตัวใหญ่ เข้าไปเขาก็ส่งภาษาของเขาโบกมือ โบกไม้ โบ๊เบ๊ ๆ ฟังไม่ออก ก็ต้องใช้กำลังใจฟัง ถ้าใช้กำลังใจฟังทุกอย่างก็รู้เรื่องกันหมด เกิดความเข้าใจเพราะมีอารมณ์เป็นทิพย์ ก็สามารถพูดภาษาของเขาได้ ก็ถามว่า เขาอยู่ที่นี่มีความสุขหรือ

พวกเขาก็บอกว่า "มีความสุขดี" ถามเรื่องการทำมาหากิน การปลูกข้าว เขาส่ายหน้า

เขาบอกว่า "ที่นี่ไม่มีการปลูกข้าว"

จุไรก็ถามว่า "กินอะไร"

เขาก็ชี้ไปที่ต้นไม้ ต้นไม้มีผล มีมาก มีตลอดปี อาศัยผลไม้เป็นอาหารบ้าง หัวพืชต่าง ๆ ที่อยู่ใต้ดินเป็นอาหารบ้าง เขามีความสุข ไปดูบ้านเขาอยู่ห่าง ๆ กัน รู้สึกว่าในสถานที่นี้จะไม่มีการรบราฆ่าฟันกัน เพราะทุกคนไม่มีใครถืออาวุธ แม้แต่เดินเข้าป่าเปลี่ยวก็เดินมือเปล่า ถ้ามอืถือก็หมายความว่าถือของกินของใช้

ก็รวมความว่าเห็นแล้วก็เลยไป จุไรกับแม่ก็พากันเดินต่อไป เดินคือลอย ๆ ไป เพราะโลกพฤหัสนี่ใหญ่มาก พอมาใกล้ ๆ จะกึ่งของโลกพฤหัสก็มีการแปลกใจที่เห็นบ้านเมืองใหญ่โตมาก มีความสวยสดงดงาม รู้สึกว่าเครื่องจักรกลต่าง ๆ มีมาก

คำว่า "พฤหัส" บรรดาม่านพุทธบริษัทหรือผู้ฟังเขาแปลว่า ครู แล้วคนในที่นี้ใส่เสื้อไม่หนา ไม่เหมือนขั้วโลก รู้สึกว่ามีความเย็นสบาย มีความอุ่นพอสมควร เย็นไม่มากนัก เขาก็ประกอบอาชีพต่าง ๆ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านการช่าง วิชาการทั้งหมด รู้สึกว่าเขามีความอุดมสมบูรณ์มาก เป็นดินแดนที่มีความรู้ทุกอย่าง

เป็นอันว่าบ้านเมืองของเขาก็มีความสุขมีความเจริญรุ่งเรือง ถ้าจะถามว่ามีไฟฟ้าไหม ก็ต้องตอบว่ามีมาก เต็มพรึบไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างเกือบไม่ต้องใช้กำลังคน ระบบต่าง ๆ เป็นเครื่องจักรกลหรือเป็นระบบไฟฟ้าหมด ถ้าจะถามว่าอาวุธยุทธโธปกรณ์มีไหม ตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นอาวุธยุทธโธปกรณ์ต่าง ๆ ก็เห็นแต่ว่าคนเขาทำมาหากินเป็นปกติ มีอาการยิ้มแย้มแจ่มใส พวกอุตสาหกรรมมีมาก ตลาดก็มีเยอะ รู้สึกว่าคนมีความสุข มองต่อไปตอนกลางของดวงดาวนี้รู้สึกว่าเป็นเขตอุตสาหกรรมมาก แต่สิ่งที่พอใจของจุไรยังไม่มี นั่นคือว่าวัตถุต่าง ๆ ที่มีคุณค่าเป็นพิเศษ

เธอก็หันมาถามคุณแม่บอกว่า "คุณแม่เจ้าคะ ดาวพฤหัสนี่ดวงใหญ่ ทำไมไม่มีแร่ธาตุที่มีคุณค่าสูง"

คุณแม่ก็ตอบว่า "การมีโรงงานลูกรักต้องถือว่ามีแร่ธาตุมาก ถ้ามีแร่ธาตุไม่มากโรงงานก็ไม่มี" ฉะนั้นจึงพากันไปดูโรงงาน ๆ ของเขาใหญ่เป็นโรงงานสำเร็จรูป โรงงานที่ขาดไปอย่างหนึ่งก็คือโรงงานฆ่าสัตว์ ในโลกนี้ไม่มีโรงฆ่าสัตว์ ถ้าจะถามว่าโลกนี้เป็นคนกินเจหรือ ก็ตอบว่าเห็นเขากินเนื้อสัตว์ แต่ว่าโรงฆ่าสัตว์ไม่มี ฉะนั้นแม่กับลูก ๒ คนจึงได้เดินเข้าไปาหากลุ่มคนเห็นที่เขาถือเนื้อสัตว์มา

ก็ถามเขาว่า "เนื้อสัตว์นี่ได้มาจากไหน"

คน ๔-๕ คนเดินถือเนื้อสัตว์มาเพื่อไปทำอาหาร เขาก็ตอบว่า "ได้มาจากร้านขายเนื้อสัตว์"

เธอทั้ง ๒ ก็ถามเขาว่า "ร้านขายเนื้อสัตว์เขาได้เนื้อสัตว์มาจากไหน ไม่เห็นมีโรงฆ่าสัตว์"

เขาก็ตอบว่า "ที่นี่ไม่มีโรงฆ่าสัตว์ และการฆ่าสัตว์ในโลกนี้ไม่มี เพราะว่าในโลกนี้ถือว่าคนกับสัตว์มีความรู้สึกเสมอกัน รักสุขเกลียดทุกข์ รักชีวิตความเป็นอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นจึงไม่มีใครข่มเหงกัน แต่เนื้อสัตว์ที่ได้มากินนี้ก็เป็นเนื้อสัตว์ที่ตายเอง สัตว์ป่าที่นี่มีมาก แต่ว่าเนื้อสัตว์ไม่ได้มีขายทุกวัน บางครั้งบางคราวที่มีสัตว์ตายคนไปพบเข้าก็นำมาขาย เวลาไหนที่ไม่มีเนื้อสัตว์จะขายเขาก็กินพืชพันธุ์ธัญญาหาร ผักต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์"

รวมความก็ทราบว่าคนโลกนี้กินเนื้อสัตว์ แต่กินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว ไม่รบกวนกัน สมศักดิ์สมศรีกับดาวพฤหัสที่ใช้นามว่าเป็นครู เพราะ ครูย่อมมีพรหมวิหาร ๔ คือ

1. เมตตา ความรัก
2. กรุณา ความสงสาร
3. มุทิตา มีจิตใจอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยากัน
4. อุเบกขา วางเฉยไม่ซ้ำเติมกัน

และครูก็ไม่มี อคติ ไม่ลำเอียงเพราะความรัก ไม่ลำเอียงเพราะความโกรธ ไม่ลำเอียงเพราะความหลง ไม่ลำเอียงเพราะความกลัว ไม่ลำเอียง ๔ อย่าง

ก็รวมความว่าเขามีการทรงตัว ความเป็นผู้ใหญ่ ความเป็นผู้คิดประทุษร้ายเอียงซ้ายเอียงขวาก็ไม่มี สมศักดิ์แห่งดาวครูแล้วจุไรกับแม่ก็เดินต่อไป ก็พบโรงงานที่มีความสำคัญ โรงงานนี้ใหญ่โตมาก คนทุกคนในโรงงานที่เกี่ยวกับรังสีต่าง ๆ ครั้นเข้าไปถามเขา เจ้าหน้าที่เขาอธิบายว่าโรงงานี้เกี่ยวกับงานของรังสี ๆ ใช้งานได้ทุกอย่างแต่ส่วนมากในโรงงานนี้เป็นโรงงานสันติ ใช้พลังงานต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนบ้าง ใช้ในงานทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการ

ก็รวมความว่าดูแล้วก็ยังไม่เป็นที่พอใจของจุไร จุไรก็ชวนแม่บอกว่า "ไปหาสิ่งที่มีค่ายิ่งไปกว่านี้"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ถ้าต้องการมากกว่านี้ลูกต้องนึกถึงพระ ขออาราธนาพระ ขอบารมีท่านช่วยว่าอะไรบ้างที่มีในโลกนี้ที่มีคุณค่ามาก และเทียบเท่ากับเงินและทองของสำคัญ มีที่ไหนขอให้ท่านดลใจและแนะนำให้รู้"

จุไรก็ยกมือไหว้คิดถึงพระ ก็ปรากฏว่าพระท่านมา ท่านยิ้มแล้วก็ตอบว่า "จุไรลูกรัก ถ้ามาในเมืองอย่างนี้นะ มันไม่พบของจริง หรือว่าที่เป็นวัตถุธาตุแท้ ๆ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นะมันไม่พบ การเข้ามาในเมืองทุกสิ่งทุกอย่างเขาก็ทำแล้วถลุงแล้วหมด ถ้าต้องการจริง ๆ ต้องเข้าไปในป่า"

จุดแรกที่พระพามาก็เป็นแดนใกล้ร้อน แดนใกล้ร้อนแดนนี้เป็นแดนมุมหน้าเรียกว่าเป็นแดนมุมใกล้พระอาทิตย์ มีความร้อน แต่ว่าร้อนไม่มากนัก จุดที่พระชี้ไปมองทีแรกนั่นก็คือมีแร่ขาวโพลน แร่สีขาว แต่ขาวเป็นมัน มองลงไปลึกไปนิดรู้สึกมีสภาพคล้ายแก้ว มีความแข็งมาก

พระท่านก็บอกว่า "แร่ประเภทนี้เป็นแร่ที่มีพลังงานหนัก ใช้งานในด้านสันติได้ดีมาก ถ้าใช้ในการรักษาโรคจะมีความเย็น ใช้ในการทำลายจะให้เย็นก็ได้ ให้ร้อนก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้กำลังของรังสีทำลายชีวิต มันจะทำลายได้ดีสนิทกว่าอย่างอื่นที่ปรากฏมา"

จุไรก็ถามพระท่านว่า "แร่ประเภทนี้ถ้าโลกมนุษย์เขาเรียกว่าอะไร?"

พระก็ตอบว่า "โลกมนุษย์ไม่เรียกอะไรทั้งหมด เพราะไม่มีในโลกที่เราอยู่กัน แร่ประเภทนี้ ถ้ามีในโลกที่เราอยู่ ก็ปรากฏว่าใครเป็นคนทำได้ก่อนก็ทำลายคนและสัตว์ในเขตอื่นหมด แต่ในที่สุดตัวเองก็ต้องตาย เพราะโลกทั้งโลกจะอยู่เฉพาะคนกลุ่มเดียว พวกเดียว คนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน รังสีนี้ร้ายกาจมาก ต้องถือว่าเป็นแร่จุดดับชีวิตของสัตว์ได้อย่างสนิท"

เธอก็มองดูรอบ ๆ บริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่ยังไม่ปรากฏร่องรอยว่ามีใครเอาไป เธอก็ถามพระว่า "แร่ประเภทนี้มีคนได้ไปแล้วหรือยัง มีคนรู้ไหมว่าอานุภาพเป็นประการใดในด้านทำลาย"

พระท่านก็ตอบว่า "เขาทราบ ในเมื่อเขาทราบเขาพิสูจน์แล้วเขาไม่ต้องการ เพราะเป็นของทำลายกัน เขาไม่เอา แล้วอีกด้านหนึ่งเป็นด้านของสันติ"

เธอก็ถามว่า "เขามีความต้องการไหม"

พระท่านก็ตอบว่า "เขามีความต้องการเหมือนกัน แต่ว่าเขาพิสูจน์แล้วว่ามีกำลังแรงมากเกินไป เขาจึงยับยั้งไม่เอา เอาแร่ที่มีกำลังพอดี ๆ ที่ดีกว่านี้มีอยู่"

หลังจากนั้นจุไรก็ถามพระว่า "ดินแดนทั้งหมดของโลกนี้จะมีเมืองที่ปกครองกันเองมีไหม"

พระท่านก็ตอบว่า "มี"

ในเมื่อพระตอบอย่างนั้น เธอก็นึกในใจว่า "แดนนี้ต่างกับดาวพุธ ดาวพุธไม่ต้องมีผู้ปกครองชาติ ไม่ต้องมีผู้ใหญ่บ้าน ไม่ต้องมีกำนัน ไม่ต้องมีนายอำเภอ ไม่ต้องมีผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่มีเมือง เป็นการปกครองกันเอง แต่ดาวพฤหัสซึ่งจัดว่าเป็นดาวครูต้องมีทุกอย่าง ก็หมายความว่าโลกนี้หรือดาวนี้ต้องมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จึงกราบเรียนถามพระท่านว่า
"โลกนี้มีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันไหม"

ท่านก็บอกว่า "ยังไม่มี เขาอยู่ด้วยกันเป็นสุข ที่ต้องมีผู้ปกครองเพราะต้องการรู้ขอบเขตให้อยู่ในการปกครองของขอบเขตของกฎข้อบังคับ แต่กฎข้อบังคับ หรือกฎหมายก็มีไม่มากเหมือนโลกของเรา โลกของเรามีคนสร้างความทุกข์มาก มีการข่มเหงคะเนงร้ายกันมาก จึงมีกฎข้อบังคับมาก โลกนี้เขามีอย่างเดียวคือเขตของใครอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่น ไม่รุกรานกัน ทำมาหากินกันอย่างเป็นสุข จะสร้างแต่สิ่งที่ประกอบไปด้วยสันติ ทุกสิ่งทุกอย่างอะไรจะเป็นความสุขเขาสร้างอย่างนั้น ยวดยานพาหนะเขาก็มีมาก"

เธอก็ถามว่า "โลกนี้มีจรวดไหม"

พระท่านยิ้ม ท่านบอกว่า "จรวดนี่โลกนี้เขามีมานานแล้วโลกชมภูเราเพิ่งจะมีเมื่อเร็ว ๆ นี้
โลกนี้เขามีมานับแสนปี"


เธอก็ถามพระว่า "จรวดเขาเอาไปไหนกัน เขายิงไปดาวไหน"

พระท่านก็ตอบว่า "ดาวใดที่เขามีความต้องการเขาก็ยิงจรวดไปดาวนั้นแล้วส่งเครื่องพิสูจน์ไปด้วย นอกจากนั้นยานพาหนะเรียกว่ายวดยานต่างดาว หรือพาหนะต่างดาว คือเขาสามารถมียานพาหนะไปโลกต่าง ๆ ได้ตามชอบใจ"

เธอก็ถามว่า "ในเมื่อเขาไปโลกต่าง ๆ ได้ เขารบกวนชาวโลกต่าง ๆ ไหม"

พระก็ตอบว่า "ดาวนี้เขามีพรหมวิหาร ๔ ืเขามีความรัก เห็นคนที่ไหน เห็นสัตว์ที่ไหนเขาก็รัก และมีความสงสารเห็นใครมีความทุกข์ เขาก็สงสาร เขามีมุทิตาเห็นใครได้ดีเขายินดีด้วย อย่างโลกของเราสร้างยานพาหนะไปในโลกต่าง ๆ ได้ เขาเห็นเขารู้เขาก็ดีใจที่เราทำได้ แต่เขามีความรู้สึกว่าของเราเด็กเกินไป เพราะมีอายุห่างจากเขาเป็นแสนปี"
เธอก็ถามพระท่านว่า ถ้าเช่นนั้นยานต่างดาว หรือพาหนะต่างดาวนี่ที่ร่อนลงที่จังหวัดจันทบุรีพวกนี้ใช่ไหม"

พระก็ตอบว่า "ไม่ใช่ พวกนี้เขาไปเพียงแต่แค่ชม"

พระก็เลยบอกว่า "ถ้าเธออยากจะรู้ยานพาหนะพวกนี้เขามีอะไรบ้างไปกับท่าน" ผลที่สุดท่านก็ชี้ให้ชมแร่ธาตุต่าง ๆ ไปในระหว่างทาง มีทั้งเงิน มีทั้งแก้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับโลกมนุษย์หรือโลกต่าง ๆ

ก็รวมความว่า เรื่องทรัพย์สินต่าง ๆ ก็ไม่ต้องว่ากัน เพราะเวลามันใกล้หมด ดวงดาวดวงนี้อยากจะให้หมดเสียวันนี้ ในที่สุดก็ไปพบโรงงานโรงหนึ่งใหญ่โตมาก เขาสร้างยานพาหนะซึ่งใช้ในโลกของเขา และก็ต่างดาวด้วย เรียกว่ายานต่างดาว สำหรับยานต่างดาวเท่าที่ปรากฎมีหลายประเภท บางประเภทมีสภาพคล้ายเครื่องบิน แต่ใหญ่โตมาก ใหญ่โตมโหฬารปิดมิดสนิทหมด ข้างในมีอากาศสบายมีความเย็น มีความสุข ที่นั่งที่นอนสบาย เครื่องมองไม่เห็นเขาปิด

แต่ความจริงอยากจะเห็นก็เห็นได้ แต่ว่าตามธรรมดาเข้าไปแล้วมองไม่เห็นเครื่อง เหมือนกับเครื่องบินของเรา แต่ที่น่าแปลกใจเขาไม่มีถังน้ำมัน อันนี้เป็นยานต่างดาวประเภทหนึ่ง คือไปเที่ยวในดาวต่าง ๆ มีความเร็วสูงมาก และอีกประเภทหนึ่งมีสภาพคล้ายจาน ด้านบนนี่มีสภาพคล้ายจาน แต่ใต้ของจานมีสภาพเหมือนกับเรือ มีสภาพคล้ายเครื่องบินแต่รูปร่างจริง ๆคล้ายเรือผิวน้ำ แต่ว่าเป็นยานพาหนะพิเศษมีสภาพต่าง ๆ คล้ายเครื่องบิน แต่รูปร่างคล้ายเรือ

แต่บนเรือจริง ๆ มีสภาพกลมคล้ายจาน (อันนี้แปลก) เข้าไปแล้วไอ้ยานประเภทนี้มีความสุขสำราญมากเป็นพิเศษ เนื้อที่กว้างขวางใหญ่โตมาก มีเจ้าหน้าที่เพียบพร้อม มีอาหารการบริโภคเพียบพร้อมมีความสุข และก็ยานพาหนะอีกประเภทหนึ่ง ประเภทนี้เล็กเป็นยานต่างดาวเหมือนกัน อันนี้คล้ายจานแท้ แต่ทว่าเวลาเคลื่อนไหวเป็นจาน ๒ ชั้น จานด้านบนจะหมุน

จานด้านล่างจะอยู่เฉย ถ้าจะว่ากันไปคล้าย ๆ เฮลิคอปเตอร์ เพราะว่าเฮลิคอปเตอร์ของเราปีกหมุน ใบพัดหมุน ตัวอยู่นิ่ง นี่เป็นสภาพจาน แต่มีสภาพคล้ายปีกหมุน ๆ ไปแต่มีความเร็วมาก และก็มีไอด้านท้ายมีรังสีขับ ก็รวมความว่าจุไรเห็นยานพาหนะ ๓ อย่างก็แปลกใจ

พระท่านก็บอกว่า "อยากจะถามความเร็วไหม" เธอก็อยากจะทราบ สมมุติว่าเขาไปโลกมนุษย์ จึงไปถามเจ้าหน้าที่ของเขา เจ้าหน้าที่เห็นแล้วก็แปลกใจ รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกับคน แต่ไม่เหมือนเขา ๆ ก็ถามว่า "มาจากโลกไหน"

พระท่านก็ตอบว่า "คนพวกนี้ สองคนที่มาจากโลกชมภู"

เขาก็ชี้ไปที่พระถามว่า "ท่านมาจากโลกไหน"

พระท่านก็ตอบว่า "ฉันมาจากโลกไม่รู้จักดับ" และท่านก็ถามว่า "ยานพาหนะทั้งหมดมีความเร็วมากไหม จากดาวดวงนี้ไปดาวดวงโน้น" ท่านชี้มาที่โลกมนุษย์
เขาก็บอกว่า "การไปดาวดวงนั้นจริง ๆ ไม่เกิน ๓๐ ชั่วโมงก็ถึง"

เอาละ บรรดาลูกรักทั้งหลายชมกันแค่นี้ก็แล้วกัน หมดเวลาแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์
พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดี

คลิกดูภาพประกอบ 1 - ภาพประกอบ 2 - ภาพประกอบ 3 - ภาพประกอบ 4 - ภาพประกอบ 5



ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์



เทพเจ้าประจำดาวพฤหัส คือ จูปีเตอร์ หรือ เซอุส
วงโคจร : 778,330,000 ก.ม. (5.20 AU ) จากดวงอาทิตย์
เส้นผ่านศูนย์กลาง : 142,984 ก.ม. (เส้นศูนย์สูตร)
มวล : 1.9 x 10 27 ก. ก.


ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเคราะห์ยักษ์ เพราะมีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าโลก 11.2 เท่า นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นดาวเคราะห์ก๊าซ เพราะมีองค์ประกอบเป็นก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียมคล้ายในดวงอาทิตย์ ความหนาแน่นของดาวพฤหัสบดีจึงต่ำ (1.33 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร)

เมื่อดูในกล้องโทรทรรศน์ จะเห็นเป็นดวงกลมโตกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ พร้อมสังเกตเห็นบริวาร 4 ดวงใหญ่เรียงกันอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตรด้วย กาลิเลโอเป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่ใช้กล้องส่องพบบริวารสี่ดวงใหญ่นี้ จึงได้รับเกียรติว่าเป็นดวงจันทร์ของกาลิเลโอ

ความเป็นที่สุดของดาวพฤหัสบดี ใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลาย โดยมีเส้นผ่านศุนย์กลางเป็น 11.2 เท่าของโลก ขนาดเชิงมุมใหญ่ที่สุดเท่ากับ 50.0 ฟิลิปดา มีมวลสารมากที่สุดโดยมีเนื้อสารเป็น 318 เท่าของโลก หรือ 2.5 เท่าของดาวเคราะห์อื่นและบริวารรวมกัน มีปริมาตรมากที่สุด

ถ้าดาวพฤหัสบดีกลวงจะสามารถจุโลกได้ 1,430 โลก หมุนรอบตัวเองเร็วที่สุด โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมงในการ หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ดังนั้น 1 วันบนดาวพฤหัสบดีจึงสั้นที่สุดด้วย การหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วของดาวเคราะห์ ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงหนีออกจากจุดศูนย์กลาง ดาวพฤหัสบดีจึงโป่งออกบริเวณเส้นศูนย์สูตร ซึ่งสามารถสังเกตได้แม้ในรูปขนาดเล็ก มีความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงที่ผิวมากที่สุด โดยมีค่าเป็น 2.53 เท่าของโลก

นั่นหมายความว่า ถ้าเราอยู่บนดาวพฤหัสบดีเราจะหนักเป็น 2.53 เท่าของน้ำหนักบนโลก มีความเร็วของการผละหนีที่ผิวมากที่สุด (60 กิโลเมตรต่อวินาที เทียบกับ 11.2 กิโลเมตรต่อวินาทีที่ผิวโลก) ดังนั้นก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซฮีเลียมที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำ จึงไม่สามารถหนีจากดาวพฤหัสบดีได้ เป็นราชาแห่งดาวเคราะห์ เพราะความเป็นที่สุดดังกล่าวข้างต้น

นอกจากนี้ยังเป็นระบบสุริยะย่อยๆ เพราะมีบริวารอย่างน้อย 16 ดวง เคลื่อนไปรอบๆ คล้ายดวงอาทิตย์ที่มีดาวเคราะห์โคจรรอบ 9 ดวง สมบัติอื่นๆ ของดาวพฤหัสบดีคือ มีจุดแดงใหญ่อยู่ที่ละติจูด 22 องศา มีขนาดโตกว่า 3 เท่าของโลก จุดแดงใหญ่เป็นพายุหมุนที่เกิดในบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี สังเกตุพบครั้งแรกโดย รอเบิร์ด ฮุค เมื่อ พ.ศ. 2207 และแคสสินี ในปีพ.ศ. 2208

จุดแดงใหญ่มีอายุอยู่ได้นานเพราะมีขนาดใหญ่ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และไม่มีใครบอกได้ว่าจุดแดงใหญ่จะหายไปเมื่อใด มีแถบและเข็มขัดขนานกันในแนวเส้นศูนย์สูตร เมื่อดูจากภาพถ่ายหรือดูในกล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูง จะเห็นแถบกว้างหลายแถบ ระหว่างแถบมีร่องลึกคล้ายแข็มขัดหลายเส้น เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดในบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี

ดาวพฤหัสบดีให้ความร้อนและคลื่นวิทยุออกมามากกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ และมากกว่าที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าใจกลางของดาวพฤหัสบดี มีอุณหภูมิสูงประมาณ 30,000 องศาเซลเซียส มีบริวารอย่างน้อย 16 ดวง และบริวาร 4 ดวงใหญ่ ที่ชื่อว่า ไอโอ ยูโรปา แกนิมีด และคัลลิสโต ค้นพบโดยกาลิเลโอ เมื่อ พ.ศ. 2153 ทำให้กาลิเลโอมั่นใจ และสนันสนุนทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสเกี่ยวกับระบบสุริยะว่า เป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง

ดาวพฤหัสบดีจึงเป็นระบบย่อยๆ ที่มีบริวารวิ่งวนอยู่โดยรอบ แบบเดียวกันกับที่ดาวเคราะห์ทั้งหลายต่างเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ การเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์เทียบกับดาวฤกษ์รอบละ 11.86 ปี หรือเกือบ 12 ปี ทำให้เห็นดาวพฤหัสบดีเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวจักรราศีได้ปีละ 1 กลุ่ม หรือผ่านครบ 12 ราศีในเวลาประมาณ 12 ปี

การสำรวจดาวพฤหัสบดีโดยยานอวกาศ มียานอวกาศหลายลำที่ได้สำรวจดาวพฤหัสบดี ทำให้ได้ภาพถ่าย ดาวพฤหัสบดีในระยะใกล้ และค้นพบบริวารเพิ่มเติมหลายดวง ยานอวกาศลำแรกที่ไปเฉียดดาวพฤหัสบดีคือ ยานอวกาศไพโอเนียร์ 10 ของสหรัฐอเมริกา ออกจากโลกเมื่อ พ.ศ. 2515 และไปเฉียดดาวพฤหัสบดีในปี พ.ศ. 2516

ยานได้ส่งภาพถ่ายดาวพฤหัสบดี กลับมาจำนวนมาก ยานอวกาศวอยเอเจอร์ 1 และ 2 เป็นยานอวกาศของสหรัฐอเมริกาอีก 2 ลำที่ออกเดินทางจากโลกเมื่อพ.ศ. 2522 จากภาพถ่ายในระยะใกล้นี้ ทำให้นักดาราศาสตร์ค้นพบวงแหวนบางๆ 3 ชั้นของดาวพฤหัสบดี ยานอวกาศกาลิเลโอ เป็นยานอวกาศที่ส่งออกจากโลก แล้วอาศัยแรงเหวี่ยงของดาวศุกร์ และของโลกก่อนที่จะไปถึงดาวพฤหัสบดี ซึ่งดึงยานกาลิเลโอไว้เป็นบริวาร ยานจึงวนรอบดาวพฤหัสบดี

ในขณะที่ส่งยานลำลูกฝ่าบรรยากาศของดาวพฤหัสบดีด้วย เส้นทางการเคลื่อนที่ของยานกาลิเลโอที่ต้องอาศัยแรงเหวี่ยงของดาวศุกร์ 2 ครั้ง ของโลก 1 ครั้งก่อนที่จะไปวนรอบดาวพฤหัสบดี จึงมีชื่อเส้นทางการเคลื่อนที่ว่า VVEJ (Venus Venus Earth Jupiter)

ขณะนี้ยานกาลิเลโอลำแม่ยังเคลื่อนที่รอบดาวพฤหัสบดี บางรอบผ่านใกล้บริวารขนาดใหญ่ของดาวพฤหัสบดี ซึ่งได้แก่ ไอโอ ยูโรปา แกนิมีด และคัลลิสโต ก่อนที่จะถึงดาวพฤหัสบดี ยานอวกาศกาลิเลโอได้ผ่านใกล้ดาวเคราะห์น้อย 2 ดวง คือ แกสปรา เมื่อ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2534 และไอดา เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2536

ยานอวกาศกาลิเลโอได้เข้าสู่วงโคจรรอบดาวพฤหัสบดีครั้งแรก เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 และได้ผ่านเฉียดบริวารไอโอเพียง 900 กิโลเมตร โดยมีกำหนดเข้าใกล้ไอโอมากกว่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 ไอโอ คือบริวารที่พบว่ามีภูเขาไฟกำลังจะระบิดอยู่หลายแห่ง เมื่อผ่านเข้าใกล้ยูโรปา ซึ่งเล็กกว่าดวงจันทร์ของโลกเราเล็กน้อย พบว่าพื้นผิวของยูโรปาปกคลุมด้วยน้ำแข็งที่หนาทึบ มีหลุมบ่อไม่มาก สันนิษฐานว่า

เมื่ออุกกาบาตวิ่งเข้าชนจนเกิดหลุมแล้ว น้ำที่เกิดขึ้นจะแข็งตัวกลบหลุมอีกครั้งหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสงสัยว่า กระบวนการที่น้ำแข็ง ละลาย -> แข็งตัว -> ละลาย อาจเกิดขึ้นบนยูโรปาด้วยสาเหตุอื่น เช่นแรงน้ำขึ้น - น้ำลง แกนิมีดเป็นก้อนน้ำแข็งสกปรกขนาดใหญ่ เป็นบริวารดวงใหญ่ที่สุดของดาวพฤหัสบดี และขอบระบบสุริยะ มีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ มีพื้นผิวที่ขรุขระเหี่ยวย่น และมีหลุมอุกกาบาตหลายแห่ง มีลักษณะไม่เหมือนบริวารดวงอื่น แกนิมีดอยู่ใกล้ดาวพฤหัสบดีจึงมีแรงน้ำขึ้น-น้ำลงจากดาวพฤหัสบดีค่อนข้างมาก

คัลลิสโตมีขนาดโตพอๆ กับดาวพุธ เป็นบริวารที่มีหลุมอุกกาบาตมากกว่าบริวารดวงอื่น พื้นผิวน้ำแข็งของคัลลิสโตอาจหนาแน่นกว่าของแกนิมีดหลายเท่า น้ำแข็งอาจลงไปลึกหลายร้อยกิโลเมตร อุณหภูมิของคัลลิสโตต่ำมาก เครื่องมือวัดอุณหภูมิในยานวอยเอเจอร์ วัดอุณหภูมิเวลากลางวันของคัลลิสโตได้ -118 องศา เซลเซียส ในขณะเวลากลางคืนอุณหภูมิเป็น -193 องศาเซลเซียส

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2538 ยานอวกาศกาลิเลโอผ่านใกล้ไอโอ โดยอยู่สูงจากภูเขาไฟของไอโอเพียง 1,000 กิโลเมตร แต่โชคไม่ดีที่เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค จึงไม่สามารถบันทึกข้อมูลที่น่าสนใจได้ ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ปีพ.ศ. 2543 ยานอยู่ห่างไอโอเพียง 200 กิโลเมตรเท่านั้น

ที่มา - www4.msu.ac.th

ตอนที่ 8 จุไรท่องเที่ยวดาวศุกร์ » 

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top