Update 4 เม.ย. 2552
ทิพจักขุญาณ
.เรื่องที่ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ สามารถทายสิ่งของที่อยู่ภายในโดยมีสิ่งภายนอกปกปิดอยู่
เป็นเรื่องที่คุณตาสามารถท้าใครต่อใครให้มาพิสูจน์ได้ทุกเวลาทุกโอกาส เรียกว่าถามปุ๊บก็จะตอบปั๊บ ไม่มีการรีรอหรือลังเลใจ ไม่ต้องหลับตา เพียงแต่
คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ออกจะรำคาญ เพราะยังเด็กมาก และก็คงจะเบื่อละครับ และมีคนมาขอให้ทาย ขอให้พิสูจน์แบบนี้อยู่บ่อย ๆ
จึงไม่รู้สึกสนุกเพราะถูกชวนเล่นซ้ำ ๆ กันอยู่อย่างนั้น
แต่พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่เห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ และรู้สึกสนุกกันจัง โดยเฉพาะคุณตา ไม่รู้จักเบื่อเลยที่จะชวนคุณหลานทั้งสองเล่นทายของในห่อ
หรือทายว่าที่ห้องโน้นที่ห้องนี้มีอะไร ต้นไม้นี้มีผู้ใดสถิตย์อยู่
บ้านหลังนี้บ้านหลังโน้นมีใครปกปักรักษาอยู่ ท่านชื่ออะไร ถ้าคุณหลานไม่รู้จักชื่อคุณตาก็สอนให้ถาม ซึ่งคุณหลานก็ตอบและทำตามอย่างเสียไม่ได้
เพราะตอนแรกก็ดีอยู่ แต่ตอนหลังเบื่อแล้วไม่เห็นสนุกตรงไหน แต่ก็ตอบถูกทุกครั้ง (เป็นร้อย ๆ พัน ๆ ครั้ง) โดยไม่เคยผิดพลาด
เท่าที่ผมสังเกต ผมรู้สึกว่าเวลามีผู้ใหญ่ไปพูดคุยกับ คุณจักร ฯ หรือคุณศาสน์ ฯ
อากัปกิริยาของทั้งสองจะสำรวมและเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที คำพูดคำจานั้นเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เกินเด็ก
และด้วยท่าทางที่สุภาพอ่อนน้อมที่แฝงไปด้วยอำนาจในตัว ทำให้ผู้ใหญ่กว่าที่เข้าไปพูดจาด้วยดูเหมือนจะกลายเป็นเด็กไปเสียเอง
แต่เมื่อปล่อยเขาเอาไว้ตามลำพัง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันซุกซนกันเหมือนกับเด็กธรรมดา ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกันนั้นนั่นเอง
แต่มักจะชอบเล่นด้วยกันเพียง ๒ คนมากเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะเขาทั้งสองสามารถพูดจากันรู้เรื่องได้ดีกว่ากับเด็กอื่น ๆ (ผู้ใหญ่ด้วยครับ แฮ่ม
)
เนื่องจากสามารถเห็นในสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาคนอื่น ๆ ไม่เห็น สามารถพูดคุยกับสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาคนอื่น ๆ ไม่สามารถพูดคุยด้วยได้ด้วยกันพร้อม ๆ กัน
เขารู้เขาเห็นด้วยตนเองทั้งสองคน เขาจึงไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย
ผมจะเปรียบเทียบกับอะไรดีหนอ เหมือนนายแพทย์คุยกับนายแพทย์ ทหารคุยกับทหาร หรือตำรวจคุยกับตำรวจด้วยกันนั่นแหละ รู้และเข้าใจกันได้ในเวลาอันสั้น
เขาจึงสนิทสนมกันเป็นพิเศษ เขาจะหารือสอบถามกันเมื่อคนใดคนหนึ่งไม่เข้าใจ เมื่อได้รับการเตือนหรือการสั่งสอนจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น
(ซึ่งเขาทั้งสองติดต่อได้) ถ้ายังไม่เข้าใจอีก บางครั้งเขาจึงจะมาถามกับคุณพ่อคุณแม่ ส่วนใหญ่เป็นคำศัพท์สูง ๆ ที่เด็กในวัยเขาไม่เข้าใจ
ในระยะแรก ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็รู้สึกวิตกกังวลใจมากที่บุตรชายทั้งสองคนรู้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น จึงกลัวว่าจะไม่ปกติธรรมดาเหมือนผู้อื่น
และไม่ทราบว่าจะเป็นอันตรายกับบุตรหรือไม่ ในที่สุดก็สบายใจว่า ก็แค่ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เท่านั้นเอง
ครั้งหนึ่งคุณตา (พล.อ. ทวนทอง ฯ) มาเล่าให้ผมฟังว่า คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เคยต่อว่าต่อขานกันเล็กน้อยด้วยเรื่องการเล่นซ่อนหา
เนื่องจากต่างคนต่างก็มีทิพจักขุญาณ ดังนั้น เมื่อใครไปซ่อนอยู่ที่ไหน อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรู้ได้โดยไม่ต้องไปเดินหา ทำให้การเล่นซ่อนหาระหว่าง
คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ จะต้องมีสัญญาต่อกันเป็นพิเศษมากกว่าเด็กอื่น ๆ
คือต้องสัญญากันว่าจะต้องเล่นกันแบบธรรมดา ๆ ที่ชาวบ้านเขาเล่นกัน ห้ามใช้ทิพจักขุญาณไม่งั้นหมดสนุกแน่ แต่แล้วไม่ทราบว่าใครผิดข้อตกลง
อีกคนหนึ่งจึงหัวเสียบ่นพึมพำไปทั้งวันเลยว่าเล่นแบบนั้น (แบบใช้ทิพจักขุญาณ) ไม่เห็นสนุกเลย
ส่วนอีกคนก็ทำหน้าเจื่อน ๆ (เหมือนเด็กที่เล่นโกงแล้วถูกจับได้แถมโดนฟ้องแม่นั่นแหละ) ท่านผู้อ่านลองนึกวาดภาพดูเด็กชายตัวเล็ก ๆ ๒ คน
พูดจาต่อว่าต่อขานกันในเรื่องนี้อย่างหัวเสียจริง ๆ ซิครับ ว่าเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูและน่าทึ่งปานใด
ความสามารถพิเศษของ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นี้ ทำให้ผมยิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อ ฯ นำมาถ่ายทอดว่า
วิชาต่าง ๆ ในกรรมฐาน ๔๐ นั้น สามารถทำได้ ปฏิบัติได้ ฝึกฝนได้และพิสูจน์ได้จริง
สำหรับท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ก็คงจะเช่นเดียวกัน เมื่อท่านเห็นหลานของท่านมีความสามารถเช่นนี้ ท่านจึงเชื่อว่าครูบาอาจารย์ของทั้งสอง
คือ หลวงปู่พล ฯ ต้องเป็นพระสุปฏิปันโนแน่ ๆ เพราะ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เพียงแต่จำคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ
แล้วนำมาปฏิบัติแบบเล่น ๆ กัน ก็ได้ทิพจักขุญาณและยังสามารถพูดคุยกับพระกับพรหมกับเทพ หรือกับสัตว์ก็ได้
แต่สำหรับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมคิดว่าในขณะนั้น ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าใด
เรียกว่ายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่างั้นเถิด แต่ท่านก็ไม่เคยปรามาสหรือดูถูกดูแคลน ได้สนับสนุนและกรุณาให้ผมกับทหารไปดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับหลวงพ่อ
ฯ เสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด
และแล้วในวันสำคัญที่ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ จะเชื่อถือและหมดความสงสัยข้องใจในหลวงพ่อ ฯ ของพวกเราอย่างสนิทใจก็มาถึง
วันนั้นท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ นิมนต์หลวงพ่อ ฯ ไปฉันเพลที่บ้านของท่านที่ลาดพร้าว หลวงพ่อ ฯ ได้กรุณาไปบวงสรวงให้ด้วย
มีแขกไปร่วมงานไม่มากนักไม่ถึง ๒๐ คน ส่วนใหญ่ใกล้ชิดกับท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ รวมทั้ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ด้วย
ซึ่งก็ไปคอยต้อนรับ แล้วก็แว่บไปเล่นซุกซนกันไปตามประสาเด็ก
หลังจากพิธีบวงสรวงเสร็จแล้ว จังหวะที่หลวงพ่อ ฯ กำลังสนทนากับผู้ใหญ่หลาย ๆ คนอยู่ที่ห้องรับแขก
(โดยผมเองนั้นหลบมานั่งอยู่ที่ห้องรับประทานอาหารซึ่งอยู่ถัดออกมา มีห้องโถงคั่นกลางระหว่างห้องรับแขกกับห้องรับประทานอาหาร) ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ
ได้ปลีกตัวออกมาจากห้องรับแขก และเข้ามาที่ห้องรับประทานอาหาร นัยว่าเพื่อมาดูความเรียบร้อยในการจัดภัตตาหารสำหรับถวายหลวงพ่อ ฯ
แต่ปรากฎว่า ท่านได้แอบทดสอบหลวงพ่อ ฯ โดยได้ให้คนไปเรียก คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เข้ามาพบท่านทีละคน แล้วท่านก็ซักถามแต่ละคนว่า
ทั้งสองเห็นอะไรบ้างในตอนที่หลวงพ่อ ฯ ทำพิธีบวงสรวง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ตอบตรงกันว่า เห็นแสงเต็มไปหมด เห็นเทวดา เห็นพรหม
และเห็นพระหลายองค์
และมีพระอยู่องค์หนึ่งซึ่งทั้งสองติดใจเป็นพิเศษเพราะเกล้าผมมวย ซึ่งทั้งสองไม่เคยเห็นพระเกล้าผมมวยมาก่อน จึงรู้สึกแปลกตาไปกว่าองค์อื่น ๆ
(ซึ่งต่อมาทราบว่าหลวงพ่อ ฯ ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ รวมทั้งสมเด็จองค์ปฐมด้วย และท่านก็มา)
เวลาที่ซักถาม คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เป็นเวลาที่หลวงพ่อ ฯ บวงสรวงเสร็จแล้ว
คุณตาเซ้าซี้ให้คุณหลานถามกับทุกองค์ที่มาว่าท่านชื่ออะไร เพราะคุณหลานยังเด็กไม่รู้จักชื่อพระและท่านที่มา คุณหลานก็ตอบว่าท่านกลับไปหมดแล้ว
คุณตาก็เซ้าซี้อีกว่าลองดูอีกทีซิ ยังเหลือใครอยู่กับหลวงพ่อ ฯ บ้าง
คุณหลานก็ชะเง้อมองไปที่ห้องรับแขก บอกว่ายังเหลือมีพระอยู่อีก ๑ องค์ ยืนอยู่ข้างหลังของหลวงพ่อ ฯ แต่คุณหลานไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร
แต่ได้อธิบายรูปร่างหน้าตาให้ทราบ ผมกระซิบบอกคุณตาว่า เห็นทีจะเป็นหลวงปู่ปาน ฯ แน่ ๆ คุณตายังไม่เชื่อผม จึงให้คุณหลานถามให้ที
คุณหลานก็ถามให้แล้วตอบคุณตาว่า ท่านว่าท่านชื่อหลวงพ่อปาน อยู่วัดบางนมโค
คุณหลานขยายความอีกว่า พระองค์ที่ชื่อปาน ฯ นี้มาพร้อมกับหลวงพ่อ ฯ ตั้งแต่ต้น ผมเห็นคุณตายังทำท่าสงสัยอยู่อีก
จึงได้ไปเอารูปพระเกจิอาจารย์หลายองค์ที่ผมมีอยู่ในรถมาให้คุณหลานดู คุณหลานชี้มั๊บไปที่รูปหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค แล้วบอกว่าพระองค์นี้แหละ
และยังอยู่กับหลวงพ่อ ฯ ที่ห้องรับแขก
เมื่อซักถามคุณหลานจนสิ้นสงสัยแล้ว คุณตานั่งเงียบไปเลย และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คุณตาก็สิ้นสงสัยในหลวงพ่อ ฯ
และสนใจอยากฝึกให้ได้ทิพจักขุญาณตามคำสอนของหลวงพ่อ ฯ เพราะเกรงใจที่จะต้องไปคอยถามอะไร ๆ จากคุณหลาน
และท่านก็สามารถฝึกได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็วมากจนน่าอิจฉา และนอกจากจะฝึกเองได้แล้ว ท่านยังได้กรุณาเผื่อแผ่และสอนให้ผู้อื่นฝึกเช่นเดียวกัน
โดยอุทิศบ้านของท่านให้เป็นสำนักสาขาหนึ่งของหลวงพ่อ ฯ เลยทีเดียว
สำหรับ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น หลวงพ่อ ฯ ได้กรุณาอธิบายภายหลังว่า เป็นของเดิมที่ทั้งสองเคยฝึกมาก่อนแล้วในอดีตชาติ
พอได้มาทบทวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถจะระลึกได้ แต่เมื่อเจริญวัยขึ้นก็จะเสื่อมถอยไปบ้าง แต่เขาทั้งสองจะอยู่ในศีลในธรรมตลอด
คุณพ่อคุณแม่และคุณตาไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อถึงวัยกลางคนก็จะกลับมาคล่องเหมือนเดิมอีก
เรื่องราวที่ผมเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ๒๕๑๙ เกือบจะ ๒๐ ปีแล้ว และผมไม่ได้พบกับ คุณจักร ฯ คุณศาสน์ ฯ อีกเลย
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของผม เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ยังจำได้ถึงท่าทางฉุน ๆ นิด ๆ ของคุณตา
เมื่อถามคุณหลานว่าชาติก่อนตาเป็นอะไร แล้วคุณหลานตอบว่า ชาติก่อนคุณตาเป็นรุกขเทวดา ทำเอาคุณตาย้ำเสียงหลงว่า ห๊า
รุกขเทวดาที่อยู่ตามต้นไม้น่ะเหรอ
คุณหลานก็ยืนยันว่าใช่
คุณตาก็พาลหันรีหันขวาง พาลหันมาชี้มั๊บมาที่ผม แล้วถามว่า แล้วชาติก่อนคุณอาเป็นอะไร คุณหลานก็ได้ตอบให้คุณตาทราบ
(ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับใครที่จะต้องรู้ รู้ไปก็ไลท์บอยว่างั้นเถิด
แต่เป็นประโยชน์สำหรับผมเองที่จะต้องระมัดระวังมิให้ตกต่ำกว่าปัจจุบันและอดีตเป็นอันขาด)
อนึ่ง ผมต้องกราบขออภัยเป็นอย่างสูง สำหรับท่านที่ผมได้กล่าวอ้างถึงมาแล้วหลายคน โดยที่ผมไม่ได้ไปกราบขออนุญาตก่อน และทุกท่านก็ยังมีชีวิตอยู่
สามารถอ้างอิงได้ และถ้าเรื่องที่ผมเขียนไม่น่าเชื่อถือหรือคิดว่าไม่เป็นความจริง ท่านที่อ่านและรู้จักกับท่านที่ผมเอ่ยนามมาแล้ว
กรุณาไปสอบถามได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ งานนี้ผมเอาชื่อเสียงและชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริงเป็นความอาญาครับ
(ก็ติดตารางน่ะซีครับ ถามได้)
สำหรับบางท่าน ผมก็จำชื่อเต็มของท่านไม่ได้ เช่น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ก็ต้องกราบขออภัยเป็นพิเศษ
เพราะในครั้งกระนั้นคุณทั้งสองได้กรุณามาบอกชื่อกับผม และยังกรุณาบอกด้วยว่าท่าน (ผมไม่บอกว่าท่านไหน) ให้จดเอาไว้ด้วยนะคุณอา (โดยผมก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องจด
แต่ก็จดให้ตามใจท่าน แต่บัดนี้พอจะเข้าใจแล้วครับ)
ผมไม่อยากจะแก้ตัว แต่ด้วยความจำเป็นที่ต้องย้ายไปรับราชการที่แห่งใหม่อยู่เรื่อยไป ชนิดที่ต้องเรียกว่า ชีพจรเทอร์โบ (ไวเสียยิ่งกว่าลงเท้าอีกครับ)
เพราะบางแห่งอยู่ได้เพียง ๔ เดือนกับ ๘ วันก็ยังเคย (แต่ให้ย้ายไปที่ดีกว่าชนิดที่เทียบกันไม่ได้) หลักฐานเอกสารต่าง ๆ ที่บันทึกเอาไว้ เชื่อว่ายังอยู่
แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนเพราะฝากเอาไว้หลายแห่งด้วยกัน บัดนี้ จึงจำเป็นต้องเขียนเอาด้วยความทรงจำเท่านั้น แต่ก็ยังดีและมีไฟอยู่
หมายเหตุ - โดย..คณะผู้จัดทำ "เว็บวัดท่าซุง"
หลวงปู่พล ธมมปาโล คือ อดีตเจ้าอาวาส วัดหนองคณฑี ต.พุกร่าง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ต่อมาได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสังวรธรรมานุวัตร
เป็นพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่ พล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัต ให้ความเคารพนับถือ ท่านได้ถึงกาลมรณภาพเมื่อ วันที่ ๒๒ พ.ย. ๒๕๓๔
<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>
◄ll กลับสู่ด้านบน
|