"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 4 (ตอน 1 )
puy - 15/9/10 at 10:19

ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ►



ลูกศิษย์บันทึก เล่ม๔


...ในหนังสือเล่มนี้มีภาพเหตุการณ์หลังจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มรณภาพได้เพียงวันเดียว คือหลวงพ่อมรณภาพเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2535 แล้วอัญเชิญจากโรงพยาบาลศิริราชมาที่วิหารแก้วร้อยเมตร

วันรุ่งขึ้นคือ วันที่ 31 ตุลาคม 2535 จึงได้จัดขบวนแห่เคลื่อนย้ายศพของท่านออกจากพระวิหารร้อยเมตร เพื่ออัญเชิญไปจัดงานพิธีสรงน้ำและบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 12 ไร่ นับเป็นเวลา 100 วัน ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียด โดยท่าน ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย และคณะ พร้อมกับพิมพ์ภาพประกอบลงในหนังสือ ซึ่งในขณะนั้นกำลังจัดพิมพ์หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๔ พอดี

ซึ่งพระมหาเถระหลายรูปที่เคยเดินทางไปในคราวนั้น ท่านได้มรณภาพไปแล้วหลายรูป เช่น หลวงปู่บุดดา ถาวโร เป็นต้น ท่านได้มาร่วมงานบำเพ็ญกุศลครบ 100 วันเท่านั้น

หลังจากนั้นท่านก็ได้อาพาธที่โรงพยาบาลศิริราชแล้วได้มรณภาพไปในที่สุด เหตุการณ์เหล่านี้เป็นความทรงจำที่ผ่านมานาน 18 ปีแล้ว ทีมงานเวปวัดท่าซุงจึงได้นำมาย้อน เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านอีกครั้งหนึ่ง.


สารบัญ

01.
ประมวลงานพิธีบำเพ็ญกุศลถวาย พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มรณภาพ
02. การบำเพ็ญกุศล "สัตตมวาร" (ทำบุญครบ ๗ วัน)
03.
การบำเพ็ญกุศล "ปัญญาสมวาร" (ทำบุญครบ ๕๐ วัน)
04.
การบำเพ็ญกุศล "สตมวาร" (ทำบุญครบ ๑๐๐ วัน)
05. "ขบวนรถเที่ยวสุดท้าย" โดย..พระชัยวัฒน์ อชิโต
06. "ขบวนรถเที่ยวสุดท้าย (ตอนที่ 2 )" โดย..พระชัยวัฒน์ อชิโต
07. "ขบวนรถเที่ยวสุดท้าย (ตอนที่ 3 )" โดย..พระชัยวัฒน์ อชิโต
08. "พระพงษ์ศักดิ์ คัมภีรธัมโม"
09. "พระเกรียงศักดิ์ ปภากโร"
10. "พระชลอ โฆสธัมโม"
11. "แป้งร่ำ บัวเผือก"
12. "พวง เทียนน้อย"
13. "อัญเชิญ มณีจักร"
14. "นิภา คงสุข"
15. "มัชฌิมา เดชะวรรธนะ"
16. "อุบาสิกา ชาตรี ทาประสิทธิ์"
17. "อุบาสิกา สุรินทร์ สาระยิ่ง"
18. "วิมาลี ศิรประภาชัย"
19. "สมชาย (มานพ) แช่มเดช"
20. "วิวัฒน์ เดชสาหร่าย"
21. "พัฒน์ สันทัด"
22. "แพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์"
23. "จ.ส.อ.ณรงค์ ระวีวรรณ"
24. "วัฒนา ชีรานนท์"



ประมวลภาพงานพิธีบำเพ็ญกุศล "สตมวาร" (ทำบุญ ๑๐๐ วัน)

ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ณ ศาลา ๑๒ ไร่




วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖

เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ



วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖

เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธชินวงค์ วัดเบญจบพิตรดุสิตวนาราม
มาเป็นองค์ประธานในพิธี และแสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์





หลวงปู่บุดดา ถาวโร มาร่วมพิธีและรับสังฆทานจากลูกหลาน นานนับชั่วโมง


วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖
เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา มาเป็นองค์ประธานในพิธี




เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์มาร่วมงาน และแสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์



พระมหาเถรานุเถระนำขบวนแห่



วงโยธวาทิตจากคณะนักเรียน โรงเรียนพระสุธรรมฯ นำกระบวนแห่



กระบวนแห่ของศิษย์คณะแต่ละภาค



ขบวนศิษย์จากจังหวัดต่างๆ



มีทั้งภาคกลาง, ภาคเหนือ, ภาคใต้, ภาคอีสาน, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันตก


puy - 15/9/10 at 10:24


ขบวนแต่งกายชุดนางฟ้า และเทวดา อัญเชิญเสลี่งพระพุทธรูป
พระธรรม พระสงฆ์ และรูปพระเดชพระคุณหลวงพ่อ



ขบวนอัญเชิญตราตั้ง พัดยศ รถพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
และขบวนพระเถรานุเถระ นำโดยท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร



ขบวนพระเถรานุเถระ และท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี นายสุดจิต นิมิตกุล
นำขบวนข้าราชการของจังหวัด



กระบวนแห่เข้าสู่บริเวณมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร



คณะศิษย์ยืนตั้งแถวรับกระบวนแห่



พิธีภายในมหาวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร



เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์เทศน์หน้าศพ พระสงฆ์ ๑๐ รูป สวดรับเทศน์



ถวายจตุปัจจัยไทยทานและทอดผ้าบังสุกุล



ถวายธูปแพเทียนแพ ดอกบัวเงิน ดอกบัวทองบูชาพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
และถวายปัจจัยแด่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์



บุษบกจัดทำโดยคณะศิษย์ เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเดชพระคุณหลวงพ่อ


◄ll กลับสู่สารบัญ



1

ประมวลงานพิธีบำเพ็ญกุศล


ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน



วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2535

เวลา 14.17 น. อัญเชิญศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อจากมหาวิหาร 100 เมตร ไปยังศาลา 12 ไร่ โดยมีวงโยธวาทิตของโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยานำขบวน ตามด้วยคณะพระสงฆ์วัดท่าซุง

อัญเชิญพระพุทธรูป ตู้พระอภิธรรม รูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พร้อมด้วยพัดยศและตราตั้งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ถัดจากนั้นจึงเป็นขบวนพระชักศพ นำโดยท่านพระครูอุทัยคณาภิรักษ์ รองเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี และพระครูอุทัยธรรมโกศล เจ้าคณะอำเภอเมือง พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์วัดท่าซุง

ศพของหลวงพ่อได้อัญเชิญขึ้นรถฟอร์ดแวนสีน้ำเงิน ถวายโดย คุณสุภรณ์ ลีละยุทธโยธิน รถประดับตกแต่งด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม ขบวนแห่ออกจากมหาวิหาร 100 เมตร เคลื่อนออกสู่ถนนใหญ่ (ถนนอุทัย-มโนรมย์) ผ่านโรงพยาบาลแม่และเด็กวัดท่าซุง ผ่านทางเข้าพระจุฬามณี ผ่านทางเข้าศาลา 2 ไร่, 3 ไร่ และเลี้ยวเข้าทางเข้าศาลา 12 ไร่ เมื่อหัวขบวนไปถึงอาสนสงฆ์หน้าพระประธาน รถที่อัญเชิญศพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจอดเทียบใกล้บันไดทางขึ้น

ฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่จัดสถานที่สำหรับสรงน้ำศพหลวงพ่อ จัดแท่นสำหรับศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ประดับดอกไม้สดอย่างวิจิตรงดงามอหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้อัญเชิญศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นบนแท่นเรียบร้อย วันนี้ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ จะมาเป็นประธานในพิธีสรงน้ำศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ในช่วงเวลาที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังมาไม่ถึงนั้น คุณนภดล (เอี้ยง) ได้อาราธนานิมนต์พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง และ พระปลัดวิรัช โอภาโส ให้เล่าเรื่องและเหตุการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ก่อนหลวงพ่อเข้าโรงพยาบาลและจนหลวงพ่อมรณภาพ

ในวันเดียวกันนั้น เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ได้โปรดเมตตาให้ ท่านเจ้าคุณโสภณศีลวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพลับพลาชัย มาช่วยตกแต่งสถานที่ ท่านกำชับว่าขอให้ตกแต่งให้สมเกียรติ

ซึ่งท่านเจ้าคุณพร้อมด้วยคณะของท่านได้ช่วยกันตกแต่งประดับประดาบริเวณพิธีทั้งหมดด้วยผ้าสีขาว-เหลือง ทั้งในศาลา 12 ไร่ และด้านหน้าศาลา 12 ไร่ อีกทั้งสองข้างทางถนนทางเข้าศาลา 12 ไร่ด้วย ทั้งกลางวันและกลางคืน และเจ้าประคุณสมเด็จฯ วัดสามพระยา ยังมีเถรบัญชาให้ท่านเจ้าคุณพระอุดรคณารักษ์ วัดพระเชตุพนฯ ติดต่อกับทางสำนักพระราชวังเรื่องน้ำสรงศพ

และวันเดียวกันนี้ พระเถารานุเถระจากกรุงเทพฯ เดินทางมาเคารพศพหลวงพ่อ มี ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค 3 วัดพระเชตุพนฯ หรือที่พวกเรารู้จักกันในนามว่า “หลวงเตี่ย” ท่านเจ้าคุณพระเทพมุนี รองเจ้าคณะภาค 3 วัดบพิตรพิมุข ท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลี วัดชนะสงคราม พระครูวิมลจริยาภรณ์ พระเลขาของเจ้าคณะภาค 3 และหลวงพี่มหาดำ (พระมหาสันติ สันติญาโณ) วัดสุวรรณคีรี พระครูพิศาลวุฒิธรรม วัดดาวดึงษาราม (หรือพระมหาเวก น้องชายของหลวงพ่อ)

เวลา 16.30 น . เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เดินทางมาถึง พระผู้ใหญ่และพระสงฆ์วัดท่าซุงยืนเข้าแถวต้อนรับ ท่านขึ้นไปกราบพระประธานและกราบศพหลวงพ่อ นั่งพิจารณาหลวงพ่ออยู่พักหนึ่ง สังเกตเห็นสีหน้าท่านเศร้าสลดมาก สักครู่หนึ่งท่านลงมายังที่รับแขกและสนทนากับพระครูปลัดอนันต์ พระปลัดวิรัช และพระอาจินต์

ท่านแนะนำว่า “งานบางอย่าง ที่หลวงพ่อเคยจัดทำมาก่อน ก็ควรจัดต่อไป เช่น งานประจำปี หลวงพ่อเคยจัดมาทุกปีอย่างไร ก็ควรจัดอย่างนั้นต่อไปนะ” พระครูปลัดอนันต์และพระปลัดวิรัชก็รับคำท่าน

เจ้าประคุณสมเด็จฯ พูดให้ฟังอีกว่า “ผมกับหลวงพ่อมีความคุ้นเคยกันดี หลวงพ่อมีอะไรก็มักจะเล่าให้ผมฟัง และผมรู้สึกคุ้นเคยกับพวกท่าน พวกท่านมีอะไรก็โทรไปปรึกษาผมได้โดยตรง ไม่ต้องเกรงใจนะ” ท่านพระครูปลัดอนันต์ และพระปลัดวิรัชกราบขอบคุณท่าน

เมื่อสนทนากับเจ้าประคุณสมเด็จฯ อยู่สักพักหนึ่ง จึงอาราธนาท่านสรงน้ำศพหลวงพ่อ พระสมปอง สุธัมมสันตจิตโต น้อมถวายน้ำอบให้ท่าน สมเด็จ ฯ รับน้ำอบมาแล้วอธิษฐานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ ราดลงไปร่างซึ่งต่อไปถึงมือของหลวงพ่อด้วยความนอบน้อม เสร็จแล้วท่านกลับมานั่งยังที่รับแขกอีกครั้ง

หลังจากนั้นก็เป็นวาระของพระสงฆ์ และฆราวาสที่จะได้มีโอกาสสรงน้ำหลวงพ่อต่อไป ซึ่งวันนี้มายืนเข้าแถวคอยสรงน้ำยาเหยียด ตั้งแต่ก่อนเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะเดินทางมาถึง สำหรับพระนั้นให้สรงก่อนฆราวาส

การสรงน้ำศพหลวงพ่อใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งจึงเสร็จ เวลา 18.00 น. เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เดินทางกลับ ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค 3 และ ท่านเจ้าคุณพระเทพมุนี ก็เดินทางกลับเช่นกัน

ตอนกลางคืน วันที่ 31 ตุลาคม 2535 เวลา 19.00 น. พระพิธีกรรม จากวัดสระเกศ 4 รูปขึ้นสวดพระอภิธรรมทำนองสรภัญญะ สวดเสร็จแล้ว เจ้าภาพถวายจตุปัจจัยไทยทาน แล้วทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลเสร็จ แล้วทายกนำอุทิศส่วนกุศลถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระสงฆ์ให้พรเป็นเสร็จพิธี

ต่อจากพระสวดพิธีธรรมแล้ว พระสงฆ์วัดท่าซุงทั้งวัดขึ้นสวดพระอภิธรรมเสร็จแล้ว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททอดผ้าบังสุกุล ถวายสังฆทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระสงฆ์ให้พรเป็นเสร็จพิธีในวันนี้

วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๕

เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นองค์ประธานสรงน้ำหลวงพระราชทานศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ก่อนที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ จะเดินทางมาถึงวัดท่าซุง มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดอุทัยธานีมาร่วมพิธีคือ นายสุดจิต นิมิตกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี นายพจน์ ภู่อารีย์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี นายกำธร กิตติภูมิชัย ศึกษาธิการจังหวัดอุทัยธานี และคณะของท่าน

สำหรับพระเถรานุเถระที่มาร่วมพิธีสรงน้ำศพพระราชทาน มี
๑. พระธรรมปัญญาบดี วัดปากน้ำภาษีเจริญ
๒. พระธรรมวิมลโมลี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
๓. พระธรรมราชานุวัตร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๔. พระเทพมุนี วัดบพิตรพิมุข

๕. พระโสภณรัตนาภรณ์ วัดสังเวชวิศยาราม
๖. พระสุนทรมุนี วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๗. พระศรีวิสุทธิดิลก วัดประยุรวงศาวาส
๘. พระศรีวิสุทธิโมลี วัดราชบูรณะ

๙. พระศรีปริยัติบดี วัดสามพระยา
๑๐. พระสุธีปริยัตยาภรณ์ วัดปทุมคงคา
๑๑. พระครูสาราณียคุณ วัดประยุรวงศาวาส
๑๒. พระครูอุทัยคณาภิรักษ์ วัดพิชัยปุรณาราม

๑๓. พระครูวิมลจริยาภรณ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๑๔. พระครูวิบูลกิจจาทร วัดประยุรวงศาวาส
๑๕. พระครูอุทัยธรรมโกศล วัดสังกัสรัตนคีรี
๑๖. พระครูอุเทศสาธุกิจ วัดอุโปสถาราม

๑๗. พระครูอุทัยธรรมสาร วัดธรรมโฆษก
๑๘. พระปลัดจรูญ วัดใหม่จันทาราม
๑๙. พระครูวิจารณ์วิหารกิจ วัดสุขุมาราม
๒๐. พระครูปิยรัตนภรณ์ วัดโขงขาว

๒๑. พระครูวรวงศ์มนูญ วัดสามพระยา
๒๒. พระมหาบุญมา อาคมปัญญา วัดประยุรวงศาวาส
๒๓. พระมหาสันติ สันติญาโณ วัดสุวรรณคีรี
๒๔. พระมหานิพนธ์ สุภธัมโม วัดธรรมโสภิต


เวลา ๑๕.๔๕ น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเดินทางมาถึง อัญเชิญพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ลงจากรถพร้อมด้วยน้ำสรงศพพระราชทาน นำขึ้นไปประดิษฐาน ณ โต๊ะหมู่บูชาบนอาสนสงฆ์ หน้าพระประธานองค์ใหญ่

เวลา ๑๖.๐๐ น. เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เดินทางมาถึงวัดท่าซุง พระผู้ใหญ่จากกรุงเทพฯ และในจังหวัดอุทัยธานี และพระสงฆ์วัดท่าซุงทุกรูปยืนเรียงแถวต้อนรับ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ขึ้นกราบพระที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา เสร็จแล้วไปนั่งที่อาสนะที่จัดเตรียมไว้ข้างแท่นที่เคยทำพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร

เวลา ๑๖.๑๐ น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ถวายน้ำหลวงแก่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ค่อยๆ รดน้ำหลวงพระราชทานลงตรงกลางองค์หลวงพ่อเสร็จแล้วยืนสงบครู่หนึ่งจึงเดินกลับมายังอาสนะ

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ของพระราชวัง ก็อัญเชิญศพของหลวงพ่อลงในโลงแก้วที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว และยกหีบศพขึ้นประดิษฐานบนแท่น

เวลา ๑๖.๒๐ น. นายสุดจิต นิมิตกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี อัญเชิญพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปวาง ณ ที่วางพวงมาลา อักษร ภปร. และ สก. เด่นเป็นสง่าอยู่กลางพื้นผ้ารูปไข่สีเหลืองและสีน้ำเงิน และมีดอกไม้ประดับรอบด้านล่าง เป็นที่ปลื้มปีติแก่ศิษยานุศิษย์และลูกหลานของหลวงพ่อเป็นอย่างมาก ในพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์

เวลา ๑๖.๒๕ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ขึ้นบนอาสนสงฆ์ เพื่อสวดพระพุทธมนต์ มีรายนามดังนี้
๑. พระเทพมุนี วัดบพิตรพิมุข
๒. พระอุดรคณารักษ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๓. พระสุนทรมุนี วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๔. พระศรีปริยัติบดี วัดสามพระยา
๕. พระสุธีปริยัตยาภรณ์ วัดปทุมคงคา
๖. พระครูวิบูลกิจจาทร วัดประยุรวงศาวาส
๗. พระครูวิมลจริยาภรณ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๘. พระมหาบุญมา อมตัมปัญโญ วัดประยุรวงศาวาสฃ
๙. พระมหาสันติ สันติญาโณ วัดสุวรรณคีรี
๑๐. พระครูประทีปกิจจาทร วัดสุทัศน์เทพวราราม


เมื่อพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป นั่งเรียบร้อยแล้ว นายสุดจิต นิมิตกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เสร็จแล้วทายกนำกราบพระ และอาราธนาศีล ต่อจากนั้นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป เจริญพระพุทธมนต์ พุทธบริษัทและลูกศิษย์ลูกหลานของหลวงพ่อตั้งใจฟังด้วยความสงบ

เสร็จจากการสวดพระพุทธมนต์แล้ว พระสงฆ์ ๔ รูป จากวัดสุทัศน์เทพวราราม ขึ้นพิจารณาผ้ามหาบังสุกุลปิดศพ พิธีเสร็จสิ้นเวลา ๑๖.๕๕ น.

เสร็จพิธีแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ให้ท่านเจ้าคุณโสภณศีลวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพลับพลาชัย และท่านเจ้าคุณพระอุดรคณารักษ์ วัดพระเชตุพนฯ เข้าพบ สนทนาครู่หนึ่งจึงขอลากลับ หลังจากนั้นพระผู้ใหญ่จากกรุงเทพฯ ทยอยกลับ

เวลา ๑๙.๐๐ น. พระพิธีธรรมจากวัดสระเกศ ๔ รูป ขึ้นสวดพระอภิธรรม ทำนองสรภัญญะ เสร็จแล้วเจ้าภาพถวายจตุปัจจัยไทยทานและทอดผ้าบังสุกุล หลังจากพระพิธีธรรมชักผ้าบังสุกุลแล้ว ทายกนำอุทิศส่วนกุศลแล้วรับพรพระ หลังจากนั้นก็เป็นการสวดอภิธรรมของพระสงฆ์วัดท่าซุงทั้งวัด เสร็จแล้วบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททอดผ้าบังสุกุลและถวายสังฆทาน หลังจากนั้นก็อุทิศส่วนกุศลถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระสงฆ์ให้พรเป็นเสร็จพิธี (เวลา ๒๐.๐๐ น. พอดี)

วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๕

ตอนเช้าถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์วัดท่าซุง จำนวน ๔๔ รูป โดยคณะเจ้าหน้าที่จากร้านอาหารกองทุนฯ เป็นผู้จัดเลี้ยง ตอนเพลก็เช่นเดียวกัน ในช่วงเวลาบำเพ็ญกุศลถวายทั้ง ๑๐๐ วันนี้ พระสงฆ์วัดท่าซุงงดบิณฑบาต เจ้าหน้าที่กองทุนได้จัดอาหารและน้ำต่างๆ ถวายพระทุกมื้อ ยกเว้นมื้อที่มีเจ้าภาพ

เวลา ๑๒.๔๕ น. หลวงปู่บุดดา ถาวโร แห่งวัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี พร้อมด้วยคณะศิษย์เดินทางมาเคารพศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ลูกศิษย์ลูกหลานของหลวงพ่อเห็นหลวงปู่มารู้สึกปลาบปลื้มใจ เข้าไปกราบและร่วมทำบุญ บางท่านก็ถวายสังฆทาน นับเป็นความเมตตาของหลวงปู่ต่อลูกศิษย์ลูกหลานของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง

พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ได้กราบเรียนถึงอาการของหลวงพ่อว่า “หลังจากมรณภาพแล้วหมอก็ไม่ได้มาฉีดยา แต่ว่าร่างกายไม่มีกลิ่นเหม็น เนื้อตัวก็ยังนิ่ม ข้อมือและนิ้วก็ยังงอได้ เล็บที่ตัดก็ยาวขึ้น ผมก็งอกยาวขึ้น ก่อนตายหลวงพ่อเคยพูดว่า ถ้าฉันตายให้สังเกตดูให้ดี ใน ๓ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน หลวงพ่อพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรครับ”

หลวงปู่บุดดามองไปที่ศพหลวงพ่อ แล้วหลับตานิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วก็หัวเราะ หึๆ หึๆ แต่ไม่พูดอะไร พระครูปลัดอนันต์จึงไม่เข้าใจว่าหลวงปู่ได้คุยกับหลวงพ่ออย่างไรบ้าง หลวงปู่นั่งอยู่สัก ๑ ชั่วโมงจึงกลับ (หลวงปู่พูดพร้อมกับมองไปทางหลวงพ่อว่า "อ้าว..ทำไมมานอนเสียแล้วละ ไม่ลุกมาคุยกันก่อนหรือไง" - ทีมงานฯ)

วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๕

วันนี้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เจ้าคณะภาค ๓ เป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม แต่ท่านไม่ว่างจึงมาไม่ได้ แต่มอบให้ท่านเจ้าคุณพระสุนทรมุนี เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานีมาเป็นประธานแทน เริ่มสวดพระอภิธรรมเวลา ๑๓.๐๐ น. โดยพระวัดท่าซุง ๔ รูป มีพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงเป็นหัวหน้านำสวด เสร็จแล้ว

ท่านเจ้าคณะจังหวัดให้พระครูอุทัยคณาภิรักษ์ รองเจ้าคณะจังหวัด, พระครูอุทัยธรรมโกศล เจ้าคณะอำเภอเมืองเป็นผู้ถวายเครื่องไทยทานและทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาและให้พร หลังจากนั้นพระสงฆ์วัดท่าซุง จำนวน ๔๓ รูป ขึ้นสวดมาติกา เมื่อสวดเสร็จแล้วพระครูวิมลจริยาภรณ์ เลขาเจ้าคณะภาค ๓ ได้นำปัจจัยและผ้าบังสุกุลถวายแด่พระสงฆ์ทุกรูป เสร็จแล้วพระให้พร เป็นเสร็จพิธี

ตอนกลางคืน เวลา ๑๘.๓๐ น. หลวงปู่บุดดา ถาวโร เดินทางมาวัดท่าซุงอีกครั้งหนึ่ง เป็นเจ้าภาพในการสวดพระอภิธรรมในคืนนี้ มีพระสงฆ์จากวัดต่างๆ มาฟังสวดพระอภิธรรมในคืนนี้ จำนวน ๔๙ รูป ฆราวาสก็มากันมาก

เวลา ๑๙.๐๐ น. พระพิธีธรรมจากวัดสระเกศ ๔ รูป เริ่มสวดพระอภิธรรม เสร็จแล้วพระมหาทอง ลูกศิษย์ของหลวงปู่บุดดาขึ้นทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาแล้วให้พร เป็นเสร็จพิธี
เวลา ๒๐.๐๐ น. พระสงฆ์วัดท่าซุงทั้งวัด สวดพระอภิธรรมอีกรอบหนึ่ง เสร็จแล้วผู้ที่มาร่วมฟังสวดพระอภิธรรมในวันนี้ถวายผ้าบังสุกุลและถวายสังฆทาน เสร็จเรียบร้อยแล้วอุทิศส่วนกุศลให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อและให้พร เป็นเสร็จพิธี

◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 21/9/10 at 13:27

02

(update 21-09-2553)

การบำเพ็ญกุศล "สัตตมวาร" (ทำบุญครบ ๗ วัน)

ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕


วันนี้เป็นวันบำเพ็ญกุศล "สัตตมวาร" (อ่าน สัตตะมะวาร) ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน โดยมีเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธาน
เวลา ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์ในจังหวัดอุทัยธานี จำนวน ๑๐ รูป ขึ้นสวดมาติกา มีรายชื่อดังนี้

๑. พระครูอุทัยคณาภิรักษ์ วัดพิชัยปุรณาราม
๒. พระครูอุทัยธรรมโกศล วัดสังกัสรัตนคีรี
๓. พระครูแทศสาธุกิจ วัดอุโปสถาราม
๔. พระครูอุทัยธรรมสาร วัดธรรมโฆษก
๕. พระครูอุทิตศุภการ วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๖. พระปลัดจรูญ ฐานสุโภ วัดใหม่จันทราราม
๗. พระมหานิพนธ์ สุภธัมโม วัดธรรมโสภิต
๘. พระปลัดสำราญ กาญจโน วัดพิชัยปุรณาราม
๙. พระมหาชะลอ อัคคปญโญ วัดพิชัยปุรณาราม
๑๐. พระสมพงษ์ ปสันนจิตโต วัดพิชัยปุรณาราม


เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ทั้งหมด จำนวน ๖๐ รูป

เวลา ๑๒.๓๐ น. ถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ที่สวดมาติกา ๑๐ รูป ผู้แทนคณะศิษย์ที่ถวายสังฆทานคือ พล.ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน, คุณสานิตย์ อุชชิน, คุณนิพัทธา อมาตยกุล, คุณอัญชัญ ศุทธรัตน์, คุณวัฒนา ไชยเสนะ, คุณแสงเดือน พร้อมพันธุ์, คุณเยาวลักษณ์ (ขวัญ) มิตรศรัทธา, คุณวิมาลี ศิรประภาชัย, คุณพรนุช คืนคงดี, คุณพิมพา วงศ์งามนิจ เมื่อถวายสังฆทานเสร็จแล้ว อุทิศส่วนกุศลถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นเสร็จพิธี

ในตอนบ่าย ๔ โมง พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป จากกรุงเทพฯ มาสวดพระพุทธมนต์ และพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดสุวรรณาราม แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์

๑. พระเทพวิสุทธิโสภณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
๒. พระเทพมุนี วัดบพิตรพิมุข
๓. พระเทพวรเวที วัดแก้วแจ่มฟ้า
๔. พระราชปริยัติโมลี วัดชนะสงคราม
๕. พระราชสิทธิมงคล วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
๖. พระสุนทรมุนี วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๗. พระโสภณรัตนาภรณ์ วัดสังเวชวิศยาราม
๘. พระวิมลปัญญาภรณ์ วัดสุวรรณาราม
๙. พระโสภณศีลวงศ์ วัดพลับพลาชัย
๑๐. พระมหาสันติ สันติญาโณ วัดสุวรรณคีรี


เวลา ๑๖.๑๗ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ขึ้นบนอาสนะสงฆ์ เพื่อสวดพระพุทธมนต์ เนื่องจากท่านเจ้าคุณพระวิมลปัญญาภรณ์ยังเดินทางมาไม่ถึง จึงได้อาราธนาพระครูวิมลจริยาภรณ์ เลขาเจ้าคณะภาค ๓ ขึ้นสวดพระพุทธมนต์แทน หลังจากพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป สวดพระพุทธมนต์เสร็จแล้ว ผู้แทนคณะศิษย์ขึ้นถวายเครื่องไทยทาน พระสงฆ์ให้พรเป็นเสร็จพิธี

เวลา ๑๗.๐๐ น. พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เดินทางมาถึงวัดท่าซุง วันนี้ท่านมาแสดงพระธรรมเทศนาแทนเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ การแสดงพระธรรมเทศนาเริ่มเวลา ๑๗.๒๐ น. และเลิกเวลา ๑๘.๑๙ น.

หลังจากเทศน์จบแล้ว พระสงฆ์วัดสระเกศ ๔ รูป สวดรับเทศน์เป็นการสวดทำนองสรภัญญะ จบแล้วตัวแทนคณะศิษย์ถวายเครื่องกัณฑ์เทศน์และถวายเครื่องไทยทาน พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ถวายผ้าบังสุกุล เสร็จแล้วอุทิศส่วนกุศลแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระสงฆ์ให้พรเป็นเสร็จพิธี

ตอนกลางคืน เวลา ๑๙.๐๐ น. พระพิธีธรรมจากวัดราชสิทธาราม ๔ รูป ขึ้นสวดพระอภิธรรม จบแล้วผู้แทนคณะศิษย์ ๔ คน ขึ้นถวายมหาบังสุกุล คือคุณแสงเดือน พร้อมพันธุ์, อาจารย์บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์, คุณสุมิตร มหันตคุณ, และคุณโศภิษฐ์ สดสี เสร็จแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล พระสงฆ์ให้พรเป็นเสร็จพิธี

หลังจากนั้นเป็นการสวดพระอภิธรรมของพระสงฆ์วัดท่าซุงทั้งหมด เสร็จแล้วญาติโยมพุทธบริษัทที่มาในงาน ถวายผ้าบังสุกุลและถวายสังฆทานอีกเช่นเคย วันนี้คนมามากกว่าทุกวัน เพราะเป็นวันทำบุญครบ ๗ วัน

วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๕


เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เดินทางมาถึงวัดท่าซุง
เวลา ๙.๓๐ น. พระเถรานุเถระทั้งในกรุงเทพฯ และในจังหวัดอุทัยธานี และพระสงฆ์วัดท่าซุงยืนเข้าแถวต้อนรับสองข้าง ขณะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินผ่านแถวพระต้อนรับ ท่านพนมมือรับไหว้ไปตลอด

พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ และพระปลัดวิรัช โอภาโส และพระศักดิ์พิยาชัย ธัมมวโร พระติดตามเจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินตามอย่างใกล้ชิด และพระผู้ใหญ่อีกหลายองค์เดินตามหลังไปช้าๆ จนถึงอาสนสงฆ์หน้าพระประธาน เจ้าประคุณสมเด็จฯ ขึ้นไปกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วลุกไปดูหลวงพ่อภายในโลงแก้วด้วยความสงบครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินกลับมานั่งบนอาสนะที่จัดไว้ ข้างแท่นเป่ายันต์เกราะเพชร

การที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินทางมาวันนี้เพราะท่านถือว่าเป็นวันชัยของหลวงพ่อ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป รวมทั้งพระสงฆ์ในจังหวัดอุทัยธานีที่นิมนต์ไว้ ๗ วัด รวม ๗๖ รูป ก็เดินทางมาถึง

เวลา ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ขึ้นนั่งบนอาสนสงฆ์เรียบร้อยแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ ลุกขึ้นไปจุดธูปเทียนที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ทายกนำญาติโยมพุทธบริษัทกราบพระและอาราธนาศีล ๖ ประธานสงฆ์ที่นำสวดพระพุทธมนต์ในวันนี้คือ ท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิโสภณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม สำหรับพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์อีก ๙ รูป คือ

๑. พระเทพมุนี วัดบพิตรพิมุข
๒. พระราชปริยัติโมลี วัดชนะสงคราม
๓. พระราชสิทธิมงคล วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
๔. พระสุนทรมุนี วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๕. พระโสภณรัตนาภรณ์ วัดสังเวชวิศยาราม
๖. พระวิมลปัญญาภรณ์ วัดสุวรรณาราม
๗. พระโสภณศีลวงศ์ วัดพลับพลาชัย
๘. พระครูวิมลจริยภรณ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๙. พระมหาสันติ สันติญาโณ วัดสุวรรณคีรี


เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ยกสำรับภัตตาหารโตกมุกเข้าไปถวายเจ้าประคุณสมเด็จฯ และถวายพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จนครบ ๑๐ องค์

สำหรับพระสงฆ์ที่นิมนต์มาจากวัดในจังหวัดอุทัยธานี พระอาคันตุกะ และพระวัดท่าซุง ฉันภัตตาหารเพลที่โต๊ะม้าหิน โดยแผนกจัดอาหารเป็นคณะแม่ครัวของวัดท่าซุง เป็นที่น่าปลื้มใจมากที่ได้มีโอกาสถวายอาหารพระจำนวนถึง ๑๕๐ รูปในวันนี้

หลังจากพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ผู้แทนของพระสงฆ์วัดท่าซุง ๑๑ รูป นำโดย พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ขึ้นถวายปัจจัยและเครื่องไทยทานและถวายผ้าบังสุกุล นอกจากนี้ท่านเจ้าคุณราชปริยัติโมลี ได้นำหนังสือของสถาบันบาลีศึกษาพุทธโฆสะ และหนังสือคัมภีร์มูลกัจจายน์ ทั้งพากย์บาลีและพากย์แปลมอบให้ทางวัดท่าซุง ถวายแด่พระเถรานุเถระที่มาสวดมนต์ทั้ง ๓ งานด้วย

เมื่อถวายเครื่องไทยทาน และผ้าบังสุกุลเสร็จแล้ว พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูปพิจารณาผ้าบังสุกุล เสร็จแล้วให้พร

หลังจากนั้นพระเถระในจังหวัดอุทัยธานี ๑๐ รูป มีพระครูอุทัยธรรมโกศล เจ้าคณะอำเภอเมือง เป็นหัวหน้า ขึ้นอาสนสงฆ์ เพื่อสวดมาติกา เมื่อสวดจบแล้ว ผู้แทนคณะศิษย์ฝ่ายฆราวาส ๑๐ คน มี พล ต.ท.นายแพทย์ สมศักดิ์ สืบสงวน เป็นหัวหน้า ขึ้นถวายปัจจัยและทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้าแล้วให้พร

ต่อจากนั้น พระในจังหวัดอุทัยธานีที่นิมนต์มา ขึ้นบนอาสนสงฆ์ ชุดละ ๑๐ รูป รวม ๗ ชุดด้วยกัน และชุดที่ ๘ เป็นพระอาคันตุกะที่มาช่วยงานอีก ๖ รูป รวมทั้งหมด ๗๖ รูป ขึ้นรับปัจจัยและพิจารณาผ้าบังสุกุล ผู้แทนคณะศิษย์ฝ่ายฆราวาสขึ้นไปถวายปัจจัยและถวายผ้าบังสุกุล รวม ๘ ชุด ๗๖ คน เช่นกัน

เมื่อถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังเมตตาอยู่รับสังฆทานจากพุทธบริษัทและลูกศิษย์ลูกหลานของหลวงพ่อ ที่รอถวายสังฆทานกับเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นจำนวนมาก โดยเข้าแถวยาวเหยียด เจ้าหน้าที่จัดเป็นแถวเรียงหนึ่ง ค่อยๆ เดินขึ้นไปถวายบนอาสนสงฆ์ วางที่โต๊ะที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ นั่งอยู่

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็ใจดี นั่งเคี้ยวหมากและยิ้มตลอดเวลา หลวงพี่มหาดำ (มหาสันติ สันติญาโณ) บอกว่า การที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ นั่งนานๆ เพื่อรับสังฆทานอย่างนี้ไม่ค่อยมีที่ไหน เคยเห็นที่วัดพลับพลาชัยที่นั่นก็นั่งนาน อย่างนี้แสดงให้เห็นชัดว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ โปรดเมตตาต่อพุทธบริษัทและลูกศิษย์ลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างมาก ทำให้มีความรู้สึกว่า ถึงแม้หลวงพ่อไม่อยู่ ก็ยังมีเจ้าประคุณสมเด็จฯ อีกองค์หนึ่งที่เป็นที่พึ่งแก่ลูกศิษย์ลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้

เจ้าประคุณสมเด็จฯ มาถึงวันนี้ ได้พูดให้ฟังว่า
“หลวงพ่อบอกว่า ท่านมีที่อยู่แล้วนะ”

และได้ขอประทานกราบเรียนปรึกษาเกี่ยวกับการจัดงานครบรอบ ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วัน เจ้าประคุณสมเด็จฯ บอกว่า “พระที่มีความสำคัญให้จัดงาน ๒ วัน คือ สวดพระพุทธมนต์ตอนเย็น แล้วฉันเพลในวันรุ่งขึ้น” การถวายสังฆทานเสร็จสิ้น เวลา ๑๓.๓๐ น. ก่อนที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ จะกลับ พระครูปลัดอนันต์, พระครูสมุห์พิชิต, และพระอาจินต์ ขึ้นไปกราบลาท่าน

ท่านบอกว่า “หลวงพ่อก็ไม่อยู่แล้วนะ ขอให้ช่วยกันดูแลวัดให้ดีนะ”
ท่านลุกจากอาสนะแล้วก็ไปกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วลุกไปยืนพิจารณาดูหลวงพ่อก่อนกลับอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงลงบันไดไปที่รถ

ขณะที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินไปที่รถ พระผู้ใหญ่ทั้งในกรุงเทพฯ และในจังหวัดอุทัยธานี และพระสงฆ์วัดท่าซุงเข้าแถวสองแถว ยืนรอส่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ ลูกศิษย์ลูกหลานของหลวงพ่อฝ่ายฆราวาส ก็นั่งเข้าแถวรอส่งด้วยเช่นกัน และเตรียมปัจจัยใส่ย่ามเจ้าประคุณสมเด็จฯ ด้วย เหมือนอย่างที่เคยทำกับหลวงพ่อ

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ และพระปลัดวิรัช โอภาโส เข้าไปกราบขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งในเมตตาที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้โปรดเดินทางมาทำบุญถวายหลวงพ่อในวันนี้ สำหรับเงินที่ญาติโยมใส่ย่ามถวายเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านมอบให้กับพระครูปลัดอนันต์ทั้งหมด เพื่อช่วยงานศพหลวงพ่อ

หลังจากนี้แล้วพระผู้ใหญ่ทั้งหลาย อาทิเช่น พระเดชพระคุณพระธรรมราชานุวัตร และพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ก็ทยอยเดินทางกลับ

วันที่ ๗ พฤศจิกายน – วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๓๕


ศิษยานุศิษย์และญาติโยมหลายร้อยคณะฯ ทยอยกันมาทำบุญถวายสังฆทาน ถวายผ้าบังสุกุล และเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อทุกวัน วันละหลายๆ รอบในตอนกลางวัน บางวันโดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์ มีเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมมากถึง ๓๐ กว่ารอบ ส่วนในตอนค่ำพระสงฆ์วัดท่าซุงทั้งหมดสวดมาติกา ๑ จบ แล้วญาติโยมทอดผ้าบังสุกุล และถวายสังฆทานทุกคืน.

◄ll กลับสู่สารบัญ



03

การบำเพ็ญกุศล "ปัญญาสมวาร" (ทำบุญครบ ๕๐ วัน)

ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๕


งานนี้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นองค์ประธาน คณะพุทธบริษัท, ศิษยานุศิษย์และลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ต่างช่วยกันเตรียมงานอย่างเต็มความสามารถ งานนี้ท่านเจ้าคุณโสภณศีลวงศ์ มาช่วยเป็นเจ้าพิธีอีกเช่นเคย พร้อมด้วยคณะศิษย์ของท่าน โดยเดินทางมาตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม มาช่วยจัดดอกไม้ และอาสนะสำหรับพระสงฆ์และเจ้าประคุณสมเด็จฯ

เวลา ๑๕.๐๐ น. เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เดินทางมาถึง ท่านมาที่ศาลา ๑๒ ไร่ แล้วไปพักที่ตึกอินทราพงษ์
เวลา ๑๖.๐๐ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ขึ้นบนอาสนะเพื่อเจริญพระพุทธมนต์
รายนามพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป มีดังนี้

๑. พระธรรมปัญญาบดี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
๒. พระธรรมวิสุทธาจารย์ วัดประยุรวงศาวาส
๓. พระธรรมกิตติวงศ์ วัดราชโอรสาราม
๔. พระราชปริยัติโมลี วัดชนะสงคราม
๕. พระสุนทรมุนี วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๖. พระอุดรคณารักษ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๗. พระสุธีปริยัตยาภรณ์ วัดปทุมคงคา
๘. พระครูพิศาลญาณวงศ์ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
๙. พระครูอุทัยคณาภิรักษ์ วัดพิชัยปุรณาราม
๑๐. พระครูอุทัยธรรมโกศล วัดสังกัสรัตนคีรี


หลังจากที่พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูปเจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้ว พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ และพระปลัดวิรัช โอภาโส ขึ้นถวายเครื่องไทยทาน

เวลา ๑๖.๒๙ น. เจ้าประคุณสมเด็จฯ ขึ้นบนธรรมาสน์ เพื่อแสดงพระธรรมเทศนา พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ขึ้นจุดธูปเทียนที่เครื่องทองน้อย เมื่อเทศน์จบ พระสงฆ์ ๔ รูป สวดรับเทศน์ เมื่อพระสงฆ์สวดจบ พล อ.อ.อาทร โรจนวิภาพ, พล ต.ท. นายแพทย์ สมศักดิ์ สืบสงวน, คุณอัญเชิญ มณีจักร, คุณเดือนฉาย คอมันตร์ เป็นผู้แทนคณะศิษย์ขึ้นทอดผ้าบังสุกุล

เวลา ๑๗.๕๗ น. เจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินทางกลับกรุงเทพฯ พระเถระและพระสงฆ์วัดท่าซุงทุกรูป เข้าแถวรอส่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ กลับ พร้อมทั้งคณะลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ขณะที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินจะไปขึ้นรถ คณะลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็เอาปัจจัยใส่ย่าม เหมือนกับที่เคยใส่ย่ามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็รับด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายไปตลอด ก่อนจะขึ้นรถเจ้าประคุณสมเด็จฯ หันมาทางพระที่เดินตามมาส่ง ยกมือและกล่าวขอบคุณ
ท่านบอกว่า “วันทำบุญ ๑๐๐ วัน จะมาร่วมงานอีก” แล้วท่านก็ขึ้นรถเดินทางกลับวัด

เวลา ๑๘.๐๗ น. หลังจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินทางกลับแล้ว หลวงปู่บุดดา ถาวโร เดินทางมาถึงวัดท่าซุง พระสงฆ์วัดท่าซุงยืนเข้าแถวต้อนรับ คณะศิษย์ยกเก้าอี้มารอรับหลวงปู่

เมื่อหลวงปู่นั่งเรียบร้อยแล้ว บรรดาพุทธบริษัทและลูกศิษย์ลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเข้าแถวยาวเหยียด เพื่อถวายสังฆทานกับหลวงปู่ หลวงปู่นั่งเฉยไม่พูดอะไรมีแต่รอยยิ้ม และดวงตาที่บ่งบอกถึงความสุขใจ

เวลา ๑๙.๐๐ น. พระพิธีธรรมจากวัดประยุรวงศาวาส ๔ รูป มีพระครูวิบูลกิจจาทรเป็นหัวหน้าขึ้นสวดพระอภิธรรม
เวลา ๑๙.๔๗ น. สวดพระอภิธรรมจบ ผู้แทนคณะศิษย์ ๔ คน ขึ้นทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์ ๔ รูปให้พรเป็นเสร็จพิธี
เวลา ๒๐.๐๐ น. พระสงฆ์วัดท่าซุงทุกรูปขึ้นสวดพระอภิธรรม จบแล้วญาติโยมพุทธบริษัททอดผ้าบังสุกุลและถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแล้วพระสงฆ์ให้พรเป็นเสร็จพิธี

วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๕

วันนี้เป็นวันทำบุญครบ ๕๐ วัน ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน อีกวันหนึ่ง
เวลา ๑๐.๐๕ น . เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เดินทางมาถึงวัดท่าซุง พระเถระทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยพระสงฆ์วัดท่าซุง ยืนเข้าแถวต้อนรับ

เจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินขึ้นบนอาสนสงฆ์ แล้วเดินไปที่โลงแก้วหลวงพ่อ ยืนนิ่งดูหลวงพ่ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินมาที่โต๊ะบูชากราบพระ หลังจากนั้นเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั่งบนอาสนะที่จัดไว้ เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั่งเรียบร้อยแล้ว พระเถรานุเถระพร้อมด้วยพระสงฆ์วัดท่าซุง เข้ามากราบเจ้าประคุณสมเด็จฯ โดยพร้อมเพรียงกัน

เวลา ๑๐.๑๕ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ขึ้นบนอาสนสงฆ์เพื่อสวดถวายพรพระ ก่อนที่จะเริ่มสวดได้มีพิธีมอบใบแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดท่าซุงองค์ใหม่ให้พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ในพิธีนี้พระสงฆ์วัดท่าซุงทุกรูปขึ้นบนอาสนสงฆ์ เมื่อกราบเจ้าประคุณสมเด็จฯ และนั่งเรียบร้อยแล้ว

พระมหาสันติ สันติญาโณ อ่านประกาศแต่งตั้งเจ้าอาวาส อ่านจบแล้วถวายเจ้าประคุณสมเด็จฯ เพื่อมอบให้กับพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาสองค์ใหม่น้อมรับใบแต่งตั้ง พระสงฆ์ทุกรูปสวดชยันโตโดยพร้อมเพรียงกัน เสร็จแล้วกราบเจ้าประคุณฯ

เวลา ๑๐.๒๕ น. เจ้าประคุณสมเด็จฯ ลุกจากอาสนะเดิมไปที่โต๊ะบูชาเพื่อจุดธูปเทียน และพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ จุดธูปเทียนที่เครื่องทองน้อยหน้าโลงแก้ว หลังจากนั้นทายกนำกราบพระและอาราธนาศีล

พระเถระที่เป็นหัวหน้าสวดในวันนี้คือ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมญาณมุนี วัดเศวตฉัตร พระเถระอีก ๙ รูป มีรายนามดังนี้

๑. พระวิสุทธาจารย์ วัดประยุรวงศาวาส
๒. พระราชปริยัติโมลี วัดชนะสงคราม
๓. พระสุนทรมุนี วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๔. พระอุดรคณารักษ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๕. พระสุธีปริยัตยาภรณ์ วัดปทุมคงคา
๖. พระครูอุทัยคณาภิรักษ์ วัดพิชัยปุรณาราม
๗. พระครูอุทัยธรรมโกศล วัดสังกัสรัตนคีรี
๘. พระอุทัยธรรมสาร วัดธรรมโฆษก
๙. พระมหาสันติ สันติญาโณ วัดสุวรรณคีรี


เมื่อพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ถวายพระพระจบแล้ว เจ้าหน้าที่นำภัตตาหารเช้าไปถวาย สำหรับพระสงฆ์ที่นิมนต์มาจากวัดในจังหวัดอุทัยธานี ๗ วัด ๗๐ องค์ ฉันภัตตาหารที่โต๊ะหิน ผู้ที่ทำหน้าที่เลี้ยงพระในวันนี้ก็ได้แก่ คณะลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีคุณวัฒนา ไชยเสนะ และคุณแสงเดือน พร้อมพันธุ์ เป็นต้น

เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ และพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระคณะกรรมการสงฆ์วัดท่าซุง ๑๐ รูป ขึ้นไปถวายเครื่องไทยทานและทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลแล้วให้พร เสร็จแล้วลงจากอาสนสงฆ์ หันมากราบเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก่อนจะลงไปนั่งยังที่พัก

เวลา ๑๑.๔๒ น. พระสงฆ์จากจังหวัดอุทัยธานี ๑๐ รูป มีพระครูอุเทศสาธุกิจเป็นหัวหน้าขึ้นบนอาสนสงฆ์เพื่อสวดมาติกา เมื่อสวดเสร็จแล้ว ผู้แทนคณะศิษย์ฝ่ายฆราวาส ๑๐ คน มี ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นหัวหน้า ถวายเครื่องไทยทานและทอดผ้าบังสุกุล แล้วให้พรเป็นเสร็จพิธี

หลังจากเสร็จงานทำบุญครบ ๕๐ วันแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังไม่กลับ ได้ทราบว่าเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะเดินทางต่อไปจังหวัดลพบุรี ไปงานศพเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ในช่วงที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังไม่กลับนี้ นาคที่จะบวชพระในวันที่ ๒๐ จำนวน ๑๘๐ คน และบวชสามเณร ๑๒ คน มี ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นหัวหน้า ขึ้นมากราบเจ้าประคุณสมเด็จฯ ดร.ปริญญา นำธูปเทียนแพไปถวาย เจ้าประคุณสมเด็จฯ รับแล้ว ก็โปรดเมตตาให้โอวาทแก่นาคที่จะบวชถวายกุศลแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ใจความโดยย่อมีว่า

“ขออนุโมทนายินดีแก่นาคทั้งหลาย ที่ตั้งใจบวชถวายกุศลแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เพื่อตอบแทนพระคุณความดีแก่หลวงพ่อ ความตั้งใจและทำอย่างนี้ ความเจริญรุ่งเรืองและความยั่งยืนจะปรากฏแก่เราตลอดไป...”

หลังจากนั้นพวกเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ พร้อมทั้งพระสงฆ์วัดท่าซุงและฆราวาสเตรียมส่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ นึกว่าเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะกลับ แต่ว่าคาดการณ์ผิด เจ้าประคุณสมเด็จฯ อยู่ต่ออีก เพราะได้ทราบรายงานจากพระครูปลัดอนันต์ว่า “ญาติโยมเขาอยากถวายสังฆทานกับเจ้าประคุณสมเด็จฯ แต่กระผมสั่งยับยั้งไว้ เพราะทราบว่าเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะเดินทางไปจังหวัดลพบุรี”

รายงานเพียงเท่านี้ เจ้าประคุณสมเด็จฯ บอกว่า จะไปยับยั้งเขาทำไมล่ะ เอาละ ฉันจะอยู่ต่ออีก ๑ ชั่วโมง แล้วท่านก็ลุกจากอาสนะ เดินมาที่นั่งอาสนะสำหรับรับสังฆทาน ซึ่งอยู่ข้างแทนเป่ายันต์เกราะเพชรด้านทิศเหนือนั่นเอง

ญาติโยมรู้ข่าวว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ อยู่ต่อ ก็เลยผาติกรรมสังฆทานถวายกันใหญ่ เรียกว่า เจ้าหน้าที่จำหน่ายแทบไม่ทัน ในขณะที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ รับสังฆทานก็ยิ้มตลอดเวลา จึงเป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจแก่ญาติโยมพุทธบริษัท และลูกศิษย์ลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างมาก

เวลาบ่าย ๒ โมงแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ยังไม่กลับ ท่านเห็นคนมาถวายสังฆทานกันเรื่อยๆ จึงอยู่ต่ออีกหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จะเดินทางกลับ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม กรุงเทพฯ ก็เดินทางมาวัดท่าซุงอีกองค์หนึ่ง เป็นที่ปลื้มปิติยินดีแก่พระสงฆ์วัดท่าซุงและลูศิษย์ลูกหลานเป็นอันมาก

ปกติได้ทราบข่าวว่าท่านไม่ค่อยสบาย เท้าบวม เดินไม่ได้ แต่วันนี้ท่านมาได้ ฉะนั้นเมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯนั่งบนอาสนะที่จัดไว้เรียบร้อยแล้ว พุทธบริษัทและลูกหลานของหลวงพ่อก็ผาติกรรมสังฆทานมาถวายเจ้าประคุณสมเด็จฯ อีกองค์หนึ่ง นึกว่าท่านจะเหนื่อย แต่ท่านก็ดีใจที่ได้เห็นพุทธบริษัทและลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทำบุญกันแข็งขัน

เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ อยู่รับสังฆทานชั่วโมงเศษ ท่านจึงขอลากลับ พระครูปลัดอนันต์ เจ้าอาวาสองค์ใหม่และพระสงฆ์วัดท่าซุงไปส่งท่านที่รถ

วันที่ ๒๐ – ๒๘ ธันวาคม ๒๕๓๕

คณะศิษยานุศิษย์ได้พร้อมใจกันบวชพระ ๑๘๐ องค์ บวชเณร ๑๒ องค์ และบวชชีกรรมบถอีก ๑๐๐ คนเศษ เพื่อน้อมถวายกุศลทั้งหมดแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผู้มีพระคุณยิ่ง หลังจากบวชแล้ว พระนวกะทั้งหมดได้ร่วมกันสวดพระอภิธรรมถวายหลวงพ่อทุกๆ คืน
ในคืนต่อๆ มา ชีกรรมบถได้ร่วมสวดพระอภิธรรมด้วย ความสุขใจและความอบอุ่นใจอันเกิดจากความสามัคคีของหมู่คณะนี้ ให้ผลเป็นที่ประจักษ์ทันตาเห็นทีเดียว

วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๕ – ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖

ศิษยานุศิษย์, ญาติโยม, และท่านที่เคารพนับถือในพระเดชพระคุณหลวงพ่อหลายร้อยคณะฯ มาทำบุญถวายสังฆทาน ถวายผ้าบังสุกุล และเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อทุกวัน วันละหลายๆ รอบในตอนกลางวัน ส่วนในตอนค่ำพระสงฆ์วัดท่าซุงทั้งหมดสวดมาติกา ๑ จบ แล้วญาติโยมทอดผ้าสุกุลและถวายสังฆทานทุกคืน

◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 22/9/10 at 14:02

04

(update 22-09-2553)

การบำเพ็ญกุศลสตมวาร (๑๐๐ วัน)


ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖


เวลา ๑๕.๑๐ น. เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เดินทางมาถึงศาลา ๑๒ ไร่ วัดท่าซุง หลังจากท่านสนทนากับพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาสสักครูหนึ่ง ก็โปรดเมตตาให้ญาติโยมพุทธบริษัทและลูกศิษย์ลูกหลานหลวงพ่อถวายสังฆทาน โดยเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้รับ เมื่อทุกคนได้ทราบข่าวนี้ต่างก็ผาติกรรมสังฆทานมาถวายกับเจ้าประคุณสมเด็จฯ เข้าแถวยาวเหยียดเช่นเคย

เมื่อญาติโยมถวายสังฆทานเสร็จแล้ว พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ กราบอาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯ ขึ้นบนอาสนสงฆ์เพื่อทอดผ้ามหาบังสุกุล เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯพิจารณาผ้ามหาบังสุกุลแล้ว กล่าวโมทนากถาประมาณ ๑๐ นาที เสร็จแล้วให้พร

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ลงจากอาสนสงฆ์ แล้วลงบันได เดินอ้อมขึ้นบันไดอีกด้านหนึ่งทางปลายเท้าศพหลวงพ่อ ขึ้นไปกราบศพหลวงพ่อด้วยกริยาอันอ่อนน้อมงดงาม เสร็จแล้วสนทนากับพระอยู่ครู่หนึ่งก็ขอไปชมที่วิหาร ๑๐๐ เมตร โดยขอขึ้นรถรางไปเพื่อชมวัดโดยทั่วถึง

ระหว่างที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินไปขึ้นรถ ญาติโยมพุทธบริษัทต่างถวายปัจจัยใส่ย่ามเจ้าประคุณสมเด็จฯ กันอีกเช่นเคย ท่านก็ยิ้มรับด้วยความเมตตาอย่างสูง เสร็จแล้วเจ้าประคุณสมเด็จฯ ขึ้นรถรางเดินทางไปวิหาร ๑๐๐ เมตร เมื่อรถผ่านวิหารสมเด็จองค์ปฐม ท่านขอลงและขึ้นไปกราบสมเด็จองค์ปฐม

เมื่อไปถึงวิหาร ๑๐๐ เมตรแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปกราบรูปหล่อหลวงพ่อที่ข้างบุษบกและทอดผ้าไตร เสร็จแล้วท่านมายืนที่ด้านหน้าบุษบก มองดูพระที่ประดิษฐานบนบุษบก พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ กราบถวายรายงานการสร้างบุษบกให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ ทราบ ครู่หนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงเดินทางกลับ

วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖

วันนี้เป็นวันทำบุญครบ ๑๐๐ วัน ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน มี เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นองค์ประธาน ตอนเพล ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์วัดท่าซุง พระในจังหวัดอุทัยธานี และพระอาคันตุกะที่มาร่วมงาน

เวลา ๑๖.๐๐ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป สวดพระพุทธมนต์
เวลา ๑๘.๐๐ น. มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ โดย เจ้าประคุรสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นองค์แสดง พระสงฆ์ ๔ รูป สวดรับเทศน์
เวลา ๑๙.๐๐ น. พระพิธีธรรม ๔ รูป สวดพระอภิธรรม

งานนี้คณะศิษยานุศิษย์เตรียมงานใหญ่เป็นกรณีพิเศษ เพราะในวันพรุ่งนี้ต้องอัญเชิญศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปประดิษฐานที่มหาวิหาร ๑๐๐ เมตรด้วย ฉะนั้นที่มหาวิหาร ๑๐๐ เมตร จึงได้ตกแต่งเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่บุษบกซึ่งเป็นที่ประดิษฐานศพของหลวงพ่อ

โดยมี ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นผู้ออกต้นแบบถวายให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดู ท่านบอกว่า ตามใจเถอะ อย่าถามคนตายเลย แต่ท่านก็ชี้มาที่บุษบก ๓ องค์ว่า ให้ไว้พระพุทธรูปตรงกลาง และพระโมคคัลลาน์ และพระสารีบุตรสองข้าง หลังจากนั้นหลวงพี่สามารถ ฐานิสฺสโร เป็นผู้ถอยแบบ, เก็บรายละเอียด, ปั้นหุ่น และควบคุมการก่อสร้าง

(หมายเหตุ: "โลงแก้ว" และดอกไม้แก้ว พร้อมด้วย "ผ้าห่มทองคำ" คุณอภิชาต สุขุม และ คุณแสงเดือน พร้อมพันธุ์ พร้อมด้วยคณะ เป็นผู้ประสานในการจัดสร้างอีกด้วย - เพิ่มเติมโดย..ทีมงานเวปวัดท่าซุง)

ส่วนห้องกระจกล้อมรอบบุษบกมี คุณอภิชาต สุขุม เป็นผู้ริเริ่มและควบคุมงานนี้ หาช่างมาจัดทำเอง เสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ใช้เวลาทำเพียง ๓ วันเทานั้น พรมที่ปูในวิหารนั้นได้ คุณธเรศ สดสี น้องชายคุณโศภิษฐ์ สดสี มาปูให้ ที่จะขาดไม่ได้ก็คือ การตกแต่งด้วยดอกไม้ มีคุณดาว ธรรมวรมล และคณะคุณศุภาพร ปุศยนาวิน และลูกหลานหลวงพ่อช่วยกันจัดทำ

สำหรับโต๊ะหมู่ตั้งดอกไม้และเครื่องบูชา และการผูกผ้าระบายภายในวิหารและนอกวิหาร ตกแต่งโดยเจ้าหน้าที่ของ ท่านเจ้าคุณโสภณศีลวงศ์ วัดพลับพลาชัย

สิ่งที่ทำให้บุษบกมีความสวยงามยิ่งขึ้นคือ โคมไฟรูปกลม ประดับแก้วเจียระไนขนาดใหญ่แขวนในบุษบก โคมไฟแก้วนี้ คุณมาลินี โชติเลขา และลูกชาย (คุณจิรเดช โชติเลขา) เป็นผู้ถวาย

อีกอย่างหนึ่งก็คือรถอัญเชิญศพหลวงพ่อจาก ๑๒ ไร่ ไปมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร ควบคุมการก่อสร้างโดย พระสามารถ ฐานิสฺสโร

เวลา ๑๕.๕๘ น. พระทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รุป เดินทางมาถึงวัดท่าซุง พร้อมแล้วก็ขึ้นบนอาสนสงฆ์เพื่อสวดพระพุทธมนต์ มีรายนามดังนี้

๑. พระธรรมกิตติโสภณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
๒. พระเทพวรเวที วัดแก้วแจ่มฟ้า
๓. พระราชสุธี วัดอนงคาราม
๔. พระราชสิทธิมงคล วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
๕. พระศรีปริยัติบดี วัดสามพระยา
๖. พระศรีวิสุทธโมลี วัดชนะสงคราม
๗. พระครูอุทัยธรรมโกศล วัดสังกัสรัตนคีรี
๘. พระเมธีธรรมานันท์ วัดไร่ขิง
๙. พระวิสุทธิรังสี วัดท่ามะขาม
๑๐. พระครูอุทัยธรรมสาร วัดธรรมโฆษก


เมื่อพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป นั่งเรียบร้อยแล้ว พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ขึ้นจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และจุดธูปเทียนที่เครื่องทองน้อยหน้าศพหลวงพ่อ สาธุชนทุกท่านพนมมือ เสร็จแล้ว ดร.ปริญญา นุตาลัย ทายกในวันนี้นำกราบพระและอาราธนาศีล ๕

เมื่อพระอาราธนาให้ศีลจบแล้ว ทายกอาราธนาพระปริตร ต่อจากนั้นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป สวดพระพุทธมนต์ หลังจากสวดพระพุทธมนต์แล้ว พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ขึ้นถวายไทยทาน

เวลา ๑๖.๓๐ น . ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค ๓ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เดินทางมาถึงวัดท่าซุง

เวลา ๑๖.๔๔ น. เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ออกจากห้องพักที่ศาลา ๑๒ ไร่ เดินลงมาเพื่อแสดงพระธรรมเทศนา เจ้าประคุณสมเด็จฯ นั่งที่โต๊ะรับแขกสนทนากับพระเถรานุเถระ ในเวลาเดียวกันนี้ ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้ประกาศให้ญาติโยมร่วมทำบุญติดกัณฑ์เทศน์ ซึ่งเป็นแถวคอยคิวยาวเหยียดอีกเช่นเคย

เวลา ๑๖.๕๒ น. ทายกกราบอาราธนานิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ ขึ้นบนธรรมาสน์เพื่อแสดงพระธรรมเทศนา พระสงฆ์วัดอนงคาราม ๔ รูป ขึ้นนั่งบนอาสนะเพื่อสวดรับเทศน์ เจ้าประคุณสมเด็จฯ นั่งบนธรรมาสน์เรียบร้อยแล้ว พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ถวายน้ำดื่ม ทายกกราบเรียนเชิญ คุณสุดจิต นิมิตกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีจุดธูปเทียน

ท่านผู้ว่า ฯ จุดธูปเทียนที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วก็มาจุดธูปเทียนที่หน้าอาสนสงฆ์ และจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าศพหลวงพ่อ เมื่อท่านผู้ว่าฯ จุดธูปเทียนและลงมานั่งเรียบร้อยแล้ว ทายกอาราธนาศีล ๕ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้ศีล

เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้ศีลจบแล้ว ทายกได้กราบเรียนเชิญท่านผู้ว่าฯ จุดเทียนที่เครื่องทองน้อย เจ้าหน้าที่นำไปตั้งที่บนธรรมาสน์ หลังจากนั้นทายกอาราธนาธรรม พระธรรมเทศนาที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ แสดงวันนี้เป็นเรื่องพรหมวิหาร ๔

เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ แสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว ลงจากธรรมาสน์และมานั่งเป็นประธานบนอาสนะที่เดียวกับพระสงฆ์สวดรับเทศน์
เมื่อพระสงฆ์สวดรับเทศน์จบแล้ว ทายกได้อาราธนานิมนต์ พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ถวายเครื่องกัณฑ์เทศน์แด่เจ้าประคุณสมเด็จฯ และฆราวาส ๔ ท่าน ถวายเครื่องไทยทานแด่พระสงฆ์ สวดรับเทศน์ มี

- คุณสุดจิต นิมิตกุล
- พ.อ.(พิเศษ) สถาพร พงษ์พิทักษ์
- คุณธวัช สวนศิลป์พงศ์
- นายแพทย์วิสุทธิ์ หิรัญยูปกรณ์


เมื่อถวายเครื่องไทยทานเสร็จแล้วก็ถวายผ้ามหาบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้ามหาบังสุกุลแล้วให้พร

วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖

วันนี้เป็นวันทำบุญครบ ๑๐๐ วันถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานอีกวันหนึ่ง เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นองค์ประธาน

เวลา ๙.๔๙ น. เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เดินทางมาถึงวัดท่าซุง พระเถรานุเถระทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอุทัยธานี และพระสงฆ์วัดท่าซุงยืนเข้าแถวต้อนรับ

เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินขึ้นบนอาสนสงฆ์ แล้วกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วนั่งบนอาสนะที่จัดไว้ข้างแท่นพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร พระมหาเถระมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค ๓ ท่านเจ้คุณพระราชปริยัติโมลี วัดชนะสงคราม พระมหาสันติ สันติญาโณ พร้อมด้วยพระสงฆ์วัดท่าซุง และพระอาคันตุกะเข้าไปกราบเจ้าประคุณสมเด็จฯ

เวลา ๑๐.๓๓ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ขึ้นบนอาสนสงฆ์เพื่อสวดพระพุทธมนต์ มีรายนามดังนี้

๑. พระวิสุทธิวงศาจารย์ วัดเทพธิดาราม
๒. พระธรรมวโรดม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
๓. พระธรรมกิตติโสภณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
๔. พระเทพวรเวที วัดแก้วแจ่มฟ้า
๕. พระราชสุธี วัดอนงคาราม
๖. พระศรีวิสุทธิโมลี วัดราชบูรณะ
๗. พระโสภณธรรมวงศ์ วัดอินทรวิหาร
๘. พระครูอุทัยธรรมโกศล วัดสังกัสรัตนคีรี
๙. พระอุเทศสาธุกิจ วัดอุโปสถาราม
๑๐. พระครูอุทัยธรรมสาร วัดธรรมโฆษก


เมื่อพระสงฆ์นั่งเรียบร้อยแล้ว ทายกคือ ดร.ปริญญา นุตาลัย นำญาติโยมพุทธบริษัทกราบพระและอาราธนาศีล ประธานสงฆ์ให้ศีลจบแล้วก็สวดถวายพรพระ จบแล้วเจ้าหน้าที่นำภัตตาหารเข้าไปถวาย มีพระเถรานุเถระที่นิมนต์มาฉันเพลและรับถวายไทยทานอีก ๑ ชุด พระสงฆ์ที่นิมนต์มาจากกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่นิมนต์มาร่วมงาน ๑๐๐ วันและฉันเพลและรับไทยทาน

๑. พระเทพมุนี วัดบพิตรพิมุข
๒. พระราชปริยัติโมลี วัดชนะสงคราม
๓. พระสุนทรมุนี วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๔. พระอุดรคณารักษ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๕. พระครูอุทัยคณาภิรักษ์ วัดพิชัยปุรณาราม
๖. พระโสภณศีลวงศ์ วัดพลับพลาชัย
๗. พระครูประทีปกิจจาทร วัดสุทัศน์เทพวราราม
๘. พระครูวิมลจริยาภรณ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๙. พระมหาสันติ สันติญาโณ วัดสุวรรณคีรี
๑๐. พระมหาเกรียงไกร เศรษฐกิตติ วัดบพิตรพิมุข
๑๑. พระศักดิ์พิตชัย ธัมมวโร วัดสามพระยา


สำหรับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา และเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม นั่งบนอาสนะพิเศษข้างแท่นเป่ายันต์เกราะเพชร

หลังจากฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่นำเครื่องไทยทานเพื่อเตรียมถวาย พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เป็นผู้แทนฝ่ายคณะสงฆ์ถวายเครื่องไทยทาน และถวายผ้ามหาบังสุกุลแด่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์

ผู้แทนฝ่ายฆราวาส ถวายเครื่องไทยทานและผ้ามหาบังสุกุลมี
๑. พล ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์
๒. พล อ.อ.อาทร โรจนวิภาต
๓. พล อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์
๔. พล ต.ท. นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน
๕. พล อ.ต.มนูญ ชมพูทีป
๖. คุณสุดจิต นิมิตกุล
๗. พล ต.ต.วิฑูรย์ ศิริพาภ
๘. พ.อ.(พิเศษ) สถาพร พงษ์พิทักษ์
๙. น.ต.ประชา สิกวานิช ร.น.
๑๐. ดร.สุวรรณ วีระผล


เมื่อทอดผ้ามหาบังสุกุลเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ให้พร เจ้าประคุณสมเด็จฯ และผู้แทนฝ่ายฆราวาส ๑๐ ท่าน กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ทายกนำกราบพระ เสร็จแล้วพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป ลงจากอาสนสงฆ์ ต่อจากนั้นพระสงฆ์จากจังหวัดอุทัยธานี ๑๐ รูป ขึ้นบนอาสนสงฆ์เพื่อสวดมาติกา มีรายนามดังนี้

๑. พระครูอุเทศพัฒนโกศล วัดกลางเขา
๒. พระมหานิพนธ์ สุภธัมโม วัดธรรมโสภิต
๓. พระมหาสมคิด โชติโก วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๔. พระครูอุทิตศุภการ วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๕. พระครูอุทัยกาญจนคุณ วัดพิชัยปุรณาราม
๖. พระธรรมธรสมจิต ธัมมทินโน วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม
๗. พระปลัดจรูญ ฐานสุโภ วัดใหม่จันทราราม
๘. พระปลัดสุราษฎ์ ธัมมิโก วัดสังกัสรัตนคีรี
๙. พระสมพงษ์ ปสันจิตโต วัดพิชัยปุรณาราม
๑๐. พระมหาชลอ อคัคปัญโญ วัดพิชัยปุรณาราม


เมื่อพระสงฆ์ ๑๐ รูป สวดมาติกาจบแล้ว ตัวแทนฝ่ายฆราวาส ๑๐ ท่าน ขึ้นทอดผ้าบังสุกุล มีรายนามดังนี้

๑. คุณนวลน้อย โลห์พันธ์ศรี
๒. คุณนิพัทธา อมาตยกุล
๓. พ.อ.(พิเศษ) แพทย์หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ
๔. พ.ต.อ.(พิเศษ) แพทย์หญิงวิรัตนา เจริญพงศ์
๕. น.ต.อรุณ สิกวานิช ร.น.
๖. คุณอุ้มพร ประมุขสวรรค์
๗. ม.ล.เอื้อมสุขย์ กิติยากร
๘. คุณเดือนฉาย คอมันตร์
๙. ม.ล.จีรศักดิ์ ศุขสวัสดิ์
๑๐. (ไม่ทราบชื่อ)


เมื่อพระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลแล้ว ให้พรเป็นเสร็จพิธี
พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ได้อาราธนานิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปพักที่มหาวิหาร ๑๐๐ เมตร โดยมีพระปลัดวิรัช โอภาโส และพระอาจินต์ ธัมมจิตโต ตามไปคอยปรนนิบัติรับใช้

เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปแล้ว ทางด้านศาลา ๑๒ ไร่ ก็เตรียมจัดกระบวน เพื่อที่จะแห่อัญเชิญศพหลวงพ่อออกจากศาลา ๑๒ ไร่ ทางประตูด้านทิศเหนือ เลี้ยวขวาออกสู่ถนนหน้าศาลา ๑๒ ไร่ เลี้ยวซ้ายออกถนนอุทัย – มโนรมย์ รูปกระบวนจัดเป็นดังนี้

ชุดที่ ๑ วงโยธวาทิตของนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา
ชุดที่ ๒ ขบวนอัญเชิญธงชาติและธงธรรมจักร
ชุดที่ ๓ คณะศิษย์แต่ละจังหวัดแต่ละคณะที่มาในงาน รวมทั้งศูนย์ฯ และสาขาของหลวงพ่อด้วย ถือป้ายชื่อของแต่ละจังหวัดแต่ละคณะ ถือธงชาติ และธงธรรมจักรนำขวนแต่ละชุด

รายชื่อคณะศิษย์ชุดต่างๆ มีดังนี้

1.คณะศิษย์ภาคเหนือ
2.คณะศิษย์ภาคอีสาน
3.คณะศิษย์ภาคตะวันออก
4.คณะศิษย์ภาคใต้
5.คณะศิษย์สายลม (ภาคกลาง)
6.คณะศิษย์กาญจนบุรี
7.คณะศิษย์ฉะเชิงเทรา
8.คณะศิษย์ตาก
9.คณะศิษย์นครราชสีมา
10.คณะศิษย์ประจวบคีรีขันธ์
11.คณะศิษย์พิษณุโลก
12.คณะศิษย์ราชบุรี
13.คณะศิษย์สมุทรปราการ
14.คณะศิษย์สุราษฎร์ธานี
15.คณะศิษย์ค่ายธนะรัชต์
16.คณะศิษย์ท่าชัย
17.คณะศิษย์ท่าลาน
18.คณะศิษย์บ้านฉาง
19.คณะศิษย์ปลาร้าโคราช
20.คณะศิษย์วัดพระแก้ว
21.คณะศิษย์หัวหิน


ชุดที่ ๔ ขบวนชุดไทยโบราณ ถือดอกบัวเงิน ดอกบัวทอง
ชุดที่ ๕ ขบวนชุดเทวดา นางฟ้า พรหม ถือธูปแพ เทียนแพ ทั้งสองชุดนี้เป็นนักเรียนของโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา จำนวน ๔๐ คน

ชุดที่ ๖ ชุดอัญเชิญพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ประดิษฐานบนเสลี่ยง มีคนหาม ๔ คน ถือสัปทน ๑ คน
ชุดที่ ๗ ชุดพระนำศพ มีพระธรรมวโรดม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม โปรดเมตตาทำหน้าที่นี้ ท่านนั่งบนเสี่ยง มีคนหาม ๘ คน ถือสัปทน ๑ คน และมี น.พ.วิสุทธิ์ หิรัญยูปกรณ์ เป็นผู้อัญเชิญพระ

ชุดที่ ๘ ชุดอัญเชิญพวงมาลาพระราชทาน มี

๑. พล ต.ศรีพันธ์ วิชชุพันธ์
๒. พ.อ.(พิเศษ) สถาพร พงศ์พิทักษ์ เป็นผู้อัญเชิญ


ชุดที่ ๙ ชุดอัญเชิญรูปหลวงพ่อ มีคุณรัฐฎา บุนนาค และม.ล.จีรเศรษฐ์ ศุขสวัสดิ์
ชุดที่ ๑๐ ชุดอัญเชิญตราตั้ง พัดยศ และบริขารของหลวงพ่อ มี

- พล อ.ต.มนูญ ชมพูทีป อัญเชิญตราตั้ง
- พล อ.อ.อาทร โรจนวิภาต อัญเชิญพัดยศ
- พล ต.ท. นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน อัญเชิญผ้าไตรบนพานแว่นฟ้า
- น.ต.ประชา สิกวานิช ร.น. อัญเชิญบาตร
- ดร.สุรรณ วีระผล อัญเชิญเครื่องทองน้อย


ชุดที่ ๑๑ ขบวนรถศพหลวงพ่อ โดยอัญเชิญโลงแก้วหลวงพ่อประดิษฐานบนรถที่ตกแต่งสวยงาม มีคณะนายทหารจูงเชือกหน้ารถศพหลวงพ่อ พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา เป็นพลขับบังคับเลี้ยว มีคณะศิษย์หลวงพ่อที่เคยปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อใกล้ชิด นำโดย พล อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ เดินขนาบข้างซ้ายข้างขวา มีสารวัตรทหารคุ้มกันทั้งสองข้าง และด้านหลังมีลูกศิษย์หลวงพ่อผู้ชายแต่งชุดขาวถือเชือกรั้งหลัง

ชุดที่ ๑๒ ขบวนพระเถระนุเถระ, พระสงฆ์ วัดท่าซุง พระอาคันตุกะ โดยมีพระเดชพระคุณพระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค ๓ และพระเดชพระคุณพระราชปริยัติโมลี ถือธูปเทียนแพเป็นผู้นำขบวน

ชุดที่ ๑๓ ขบวนข้าราชการในจังหวัดอุทัยธานี มีคุณสุดจิต นิมิตกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีเป็นผู้นำขบวน
ชุดที่ ๑๔ขบวนแขกผู้ใหญ่, แขกรับเชิญ, แขกทั่วไปแต่งชุดขาว ถือธูปเทียนแพ มีคุณเดือนฉาย คอมันตร์ ถือเครื่องทองน้อยนำขบวน
ชุดที่ ๑๕ คณะพุทธบริษัท ศิษยานุศิษย์ เดินตามขบวน

ขบวนอัญเชิญศพหลวงพ่อ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ วงโยธวาทิตเดินแบบสโลว์มาร์ช หัวขบวนถึงโรงพยาบาลแล้ว แต่ท้ายขบวนเพิ่งออกจากประตูศาลา ๑๒ ไร่ ขบวนยาวมาก ในขณะที่เคลื่อนขบวนอัญเชิญศพหลวงพ่อ มีรุ้งปรากฏบนท้องฟ้า ทอดข้ามจากฝั่งแม่น้ำสะแกรัง ด้านตรงข้ามวัด ครอบคลุมมาถึงมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร เป็นที่อัศจรรย์มาก

วงโยธวาทิตผ่านโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางเข้ามหาวิหาร ๑๐๐ เมตร แล้วมาหยุดอยู่ที่ข้างบันไดหน้ามหาวิหาร ๑๐๐ เมตร ยังบรรเลงเพลงตลอดไป
ขบวนธงชาติ ธงธรรมจักร แยกออกสองข้างรอรับศพหลวงพ่อ
ขบวนชุดไทยโบราณ เทวดา นางฟ้า พรหม มาถึงหน้าบันไดแล้ว แยกออกสองข้างยืนหันหน้าเข้าหากัน ถือดอกบัวพนมมือ และถือธูปเทียนแพคอยรับรถศพหลวงพ่อเช่นกัน

ขบวนอัญเชิญพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมมาถึงหน้าบันไดแล้ว ลดคานหามเสลี่ยงลง นายแพทย์วิสุทธิ์ หิรัญยูปกรณ์ อัญเชิญพระสมเด็จองค์ปฐมเข้าไปในมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร ประดิษฐานไว้บนโต๊ะหมู่บูชา

ท่านเจ้าคุณพระธรรมวโรดม ลงจากเสลี่ยงแล้ว เดินเข้าไปพักภายในมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร พระปลัดวิรัช โอภาโส ให้การต้อนรับและอยู่สนทนากับท่าน
ชุดอัญเชิญพวงมาลาพระราชทาน ได้อัญเชิญพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขึ้นวางที่ที่ตั้งด้านหน้าบุษบก
ชุดอัญเชิญรูปหลวงพ่อ นำรูปไปตั้งไว้ด้านข้างของบุษบก
ชุดอัญเชิญตราตั้ง พัดยศ เครื่องอัฏฐบริขาร นำเข้าไปไว้ในห้องกระจกด้านฐานของบุษบก

เมื่อรถศพหลวงพ่อมาถึงหน้าบันไดแล้ว เจ้าหน้าที่ได้อัญเชิญหีบศพเข้าภายในมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร และอัญเชิญขึ้นบนบุษบก เจ้าหน้าที่ปิดม่าน เมื่อประดิษฐานศพหลวงพ่อบนบุษบกเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่เปิดม่าน

ตอนนี้เองใครเห็นก็ต้องตะลึง เพราะบุษบกทำอย่างวิจิตรบรรจง สีทองประดับเพชรสุกปลั่ง มีโคมไฟช่อใหญ่แขวนอยู่เหนือโลงแก้วของหลวงพ่อ และมีพระพุทธรูปอยู่ในบุษบกกลาง เหนือโลงแก้วของหลวงพ่อ มีพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวาอยู่ในบุษบก ข้างซ้ายและข้างขวาของบุษบกพระพุทธรูปมีห้องกระจกล้อมรอบบุษบกอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อพระสงฆ์และฆราวาสนั่งในมหาวิหาร, ที่ระเบียงพระปัจเจกพุทธเจ้าและตามเต็นท์ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เวลา ๑๔.๐๕ น. เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เดินออกมาจากห้องพัก พระเถรานุเถระแสดงความเคารพ เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านจ้องมองดูแต่ที่บุษบกหลวงพ่อ

เวลา ๑๔.๑๐ น. เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เดินออกมาจากห้องพัก ท่านนั่งพักที่โต๊ะรับแขกครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเดินไปที่ธรรมาสน์ เพื่อแสดงพระธรรมเทศนา พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป มีพระเดชพระคุณพระธรรมราชานุวัตร เป็นหัวหน้าขึ้นนั่งบนอาสนสงฆ์ อีก ๙ รูปมีรายนามดังนี้

๑. พระราชปริยัติโมลี วัดชนะสงคราม
๒. พระราชสุธี วัดอนงคาราม
๓. พระศรีวิสุทธิโมลี วัดราชบูรณะ
๔. พระมหาสันติ สันติญาโณ วัดสุวรรณคีรี
๕. พระประจวบ สันติปัภสโส วัดโพธิ์สุทธาวาส
๖. พระหย่งศรี ฐิตวีโร สำนักสงฆ์เขาพวงทอง
๗. พระบุญเริ่ม ธัมมกาโม วัดสุขุมาราม
๘. พระบรรพต ฐิตปัญโญ วัดโพธิ์สุทธาวาส
๙. พระทองหล่อ สุจิณณธัมโม วัดสุขุมาราม


เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ และพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูปนั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ลุกจากอาสนะ เดินไปจุดธูปเทียนที่โต๊ะหมู่บูชา ทุกคนในที่ประชุมพนมมือ เสร็จแล้วเจ้าประคุณสมเด็จกราบพระ แล้วมานั่งยังที่รับรองอีกครั้ง

ทายกคือ ดร.ปริญญา นุตาลัย นำกราบพระและอาราธนาศีล เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ให้ศีล จบแล้วทายกอาราธนาธรรม ต่อจากนั้นก็เป็นการเทศน์ของเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นการเทศน์ปิดศพ (คือปิดการบำเพ็ญกุศลครบ ๑๐๐ วัน)

เวลา ๑๔.๔๘ น. เทศน์จบ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ลงจากธรรมาสน์มานั่งหัวแถวที่อาสนะที่พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป นั่งอยู่ก่อนแล้ว

ต่อจากนั้นเป็นการสวดรับเทศน์ โดยใช้บทสวดคาถาศราทธพรต จบแล้วพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เป็นผู้ถวายเครื่องกัณฑ์เทศน์แด่เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ มีธูปเทียนแพและบายศรีด้วย ผู้ถวายฝ่ายฆราวาสถวายเครื่องไทยทานแด่พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ มีรายนามดังนี้

๑. พล ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์
๒. พล อ.อ.อาทร โรจนวิภาต
๓. พล อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์
๔. พล ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน
๕. พล อ.ต.มนูญ ชมพูทีป
๖. คุณสุดจิต นิมิตกุล (ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี)
๗. พล ต.ต.วิฑูรย์ ศิริพาภ
๘. พ.อ.(พิเศษ) สถาพร พงษ์พิทักษ์
๙. น.ต.ประชา สิกวานิช ร.น.
๑๐. ดร.สุวรรณ วีระผล


เมื่อถวายเครื่องไทยทานและผ้าบังสุกุลแล้วพระสงฆ์ให้พร ผู้แทนฝ่ายฆราวาส ๑๐ ท่าน กรวดน้ำอุทิศกุศลถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เวลา ๑๕.๐๑ น. พระสงฆ์ให้พรจบ

หลังจากนั้นจึงเปิดโอกาสให้บรรดาพุทธบริษัท และลูกศิษย์ลูกหลานของหลวงพ่อทำบุญกับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ โดยจัดเข้าแถวเรียงหนึ่ง ผู้ที่ทำบุญได้รับแจกพระรุ่นพิเศษคนละ ๑ องค์

เวลา ๑๖.๐๐ น. เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เดินทางกลับ พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ พระปลัดวิรัช โอภาโส พระอาจินต์ ธัมมจิตโต ไปส่งที่รถ หลังจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ กลับแล้ว พระเถรานุเถระต่างทยอยกลับ

นับได้ว่าคณะศิษยานุศิษย์และลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้มีกตัญญูกตเวทีต่อองค์ท่านผู้เป็นบุพการีได้สำเร็จลุล่วงไปส่วนหนึ่งแล้ว

จบประมวลงานพิธีบำเพ็ญกุศลครบ ๗ วัน, ๕๐ วัน, ๑๐๐ วัน

ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ณ ศาลา ๑๒ ไร่



◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 6/10/10 at 15:36

05

(update 6-10-2553)

ขบวนรถเที่ยวสุดท้าย


พระชัยวัฒน์ อชิโต


ณ สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง

ภายในบริเวณ เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ต่างก็ทยอยกันมาเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปกับขบวนรถ ซึ่งจอดเทียบชานชาลาสถานีอยู่ เพื่อรอเวลาที่จะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี ไปยังจุดหมายปลายทางตามที่ตนต้องการ

ผู้โดยสารชายหญิง ต่างพากันเข้าแถวเพื่อรอซื้อตั๋วโดยสาร ผู้ที่มีตั๋วแล้วได้พากันไปขึ้นขบวนรถ เพื่อจับจองหาที่นั่งของตนให้เป็นที่เรียบร้อย โดยเฉพาะขบวนรถนี้ เป็นขบวนรถเที่ยวสุดท้ายจำเป็นต้องพ่วงตู้โบกี้ไว้หลายตู้ด้วยกัน จึงเป็นภาระหนักของผู้นำขบวนรถนี้

แต่ผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางไปกับขบวนรถเที่ยวนี้ ต่างก็มีจุดหมายปลายทางไม่เหมือนกัน ทั้งนี้แล้วแต่ทุนรอนของแต่ละคนว่าจะมีพอไปได้แค่ไหน บางคนก็ไปได้ถึงจุดหมายปลายทาง บางคนต้องลงพักระหว่างทาง เพื่อสะสมทุนไว้รอรถขบวนเที่ยวต่อไป

ขณะที่ยังไม่ถึงเวลานั้น ทุกคนต่างก็นั่งรอด้วยใจจดใจจ่อ มองเห็นผู้ที่มาภายหลังก็กำลังยืนรอซื้อตั๋วอยู่ สังเกตได้ว่ามีผู้คนทยอยเข้ามาภายในสถานีแห่งนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ จนภายในสถานีแทบจะไม่มีที่จะเดิน ชานชาลาแออัดไปด้วยฝูงชน เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังเซ็งแซ่ไปหมด...

ขออภัย...! ระหว่างรอเวลาอย่าเพิ่งนั่งหลับเพลิน ที่อารัมภบทมาเสียยืดยาวนี้ ผู้อ่านทุกท่านคงจะพอเดาได้ ผู้นำขบวนรถที่จะนำผู้โดยสารไปกับท่านนี้มิใช่ใครอื่น ต้องเป็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเรา ตู้โบกี้ของท่านที่พ่วงไปจึงมีหลายตู้ เพราะผู้โดยสารมีหลายประเภทด้วยกัน

โดยเฉพาะขบวนรถเที่ยวสุดท้ายของท่านนี้ นอกจาก
คณะของท่านเองแล้ว
ยังต้องมีภาระคณะของท่านปู่พระอินทร์
คณะของหลวงปู่ปาน
คณะของสมเด็จองค์ปัจจุบัน
และในเวลานี้จะมีภาระคณะของพระศรีอาริยเมตไตรย
นับเป็นแสนคนอีกด้วย จึงนับว่าเป็นขบวนรถที่ยาวไม่ใช่น้อย...

คุณประโยชน์ของหนังสือ “ลูกศิษย์บันทึก”

เรื่องนี้ทำให้นึกถึงวันที่ ท่านศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา นุตาลัย ซึ่งเป็นผู้ริเริ่ม พร้อมทั้งผู้ร่วมงานหลายท่าน เช่น คุณโศภิษฐ์ สดสี (เหมี่ยว) เป็นต้น ได้นำหนังสือ “ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓” ไปถวายหลวงพ่อดูเป็นตัวอย่างที่บ้านสายลม ในโอกาสที่หนังสือเพิ่งจะพิมพ์เสร็จ

หลวงพ่อท่านได้กล่าวกับท่าน ดร.ปริญญา ว่า
“หนังสือเล่มนี้ จะช่วยให้คน ๗๐๐,๐๐๐ คน ไปนิพพานได้ง่ายขึ้น...”

จึงเป็นอันว่า การระดมนักเขียน (จำเป็นทั้งหลาย) เพื่อร่วมกันเปิดเผยความประทับใจในคุณวิเศษของพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา นับว่ามีผลอย่างมหาศาล จัดว่าเป็น “ธรรมทาน” อันยิ่งใหญ่ ในการช่วยกระตุ้นกำลังใจ ให้เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น

อีกทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อกัน ช่วยสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ในคณะศิษยานุศิษย์ ทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันกว่าพวกเราทุกคนต่างก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักครูบาอาจารย์เดียวกัน เหมือนกับว่าทุกคนได้เคยเดินทางร่วมกันไปกับขบวนรถเดียวกันฉะนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกศิษย์ของหลวงพ่อมีมากเหลือเกิน ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ตลอดทั่วทุกภาคของประเทศไทย บางคนอยู่ไกลไปถึงต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถจะรู้จักกันได้อย่างทั่วถึง บางท่านก็เพียงรู้จักหน้าตากันเท่านั้น

แต่เพราะอาศัย “หนังสือลูกศิษย์บันทึก” เป็นสื่อสัมพันธ์ จึงทำให้ได้รู้จักกันโดยปริยาย ทำให้ทราบประวัติความเป็นมา ก่อนที่จะได้มาเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน แต่บางท่านเห็นรูปถ่ายในหนังสือแล้ว ต้องนั่งนึกภาพอยู่นานจึงจะถึงบางอ้อ...! เพราะรูปถ่ายนี้คงจะถ่ายไว้เมื่อ ๒๐ – ๓๐ ปีก่อนเห็นจะได้...

จึงนับว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง จะบรรยายความจริงไปก็คงจะไม่หมด จึงขอลงเอาดื้อๆ ว่า
... ขอโมทนากับทุกท่านก็แล้วกันนะ ทั้งท่านที่เป็นผู้ริเริ่มจัดทำ และท่านผู้เขียนที่ส่งมาร่วมกัน มีบางท่านก็ถวายทุนทรัพย์มาช่วยจัดพิมพ์ด้วย

แต่ความจริงหลวงพ่อเป็นองค์อุปถัมภ์อยู่แล้ว ท่านจึงสั่งพิมพ์ไว้ให้มากๆ เพื่อให้เหลือไว้เป็นประวัติของวัดต่อไป จึงนับว่าเป็นสารประโยชน์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างดี

ด้วยเหตุนี้เอง “ผู้เขียน” ซึ่งได้ทำหน้าที่ไว้ในเล่มแรกมาบ้างแล้ว ต่อมาในเล่มที่ ๒ และเล่มที่ ๓ ได้ทำหน้าที่เป็นแต่เพียง “ผู้อ่าน” เท่านั้น จำเป็นต้องจับปากกาขึ้นมาเขียนอีก

ทั้งนี้ เนื่องจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ถึงแก่กาลมรณภาพไปตามอายุสังขาร ผู้เขียนจึงถือโอกาสนี้เขียนขึ้นเพื่อน้อมถวายกุศล แทนเครื่องสักการบูชาอีกครั้งหนึ่ง จึงขอเริ่มเรื่องกันเลยดังนี้...

ช่างไฟจำเป็น

ตามปกติผู้เขียนไม่เคยมีความรู้ในทางช่างไฟฟ้ามาก่อน แต่สาเหตุที่จะต้องมาเป็น “ช่างไฟจำเป็น” นั้น ก็เพราะการตายของ “เจ๊จันทนา” เป็นเหตุ (ต้องขออภัยที่เรียก “เจ๊” เพราะเขานิยมเรียกกันอย่างนั้น)

โดยในปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๒ หลังจากทราบข่าวเสียชีวิตแล้ว มีผู้มาเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อได้บอกไว้ที่บ้านสายลมว่า
เจ๊จันทนาสามารถไปนิพพานได้ ขณะที่จิตออกไปจากร่างกายนั้น มีรัศมีกายสวยสว่างมาก ด้วยอานิสงส์ทีได้ถวายโคมไฟระย้าไว้ภายในวิหาร ๑๐๐ เมตรนั่นเอง

เรื่องนี้ทุกคนคงจะทราบดี บางคนที่ได้มโนยิทธิก็ยืนยันว่าเป็นจริงตามนั้น ส่วนพระบางองค์ท่านปรารภว่า เราเป็นพระคงจะไม่มีทุนพอที่จะทำให้เหมือนเขาได้ ถึงกับคิดกันว่า การที่โคมไฟระย้าจะสว่างขึ้นได้นั้น จะต้องอาศัยเครื่องปั่นไฟฟ้า

บางองค์ท่านก็บอกว่า เครื่องปั่นไฟฟ้าถ้าไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ไม่สามารถทำงานได้ รวมความว่าต่างองค์ต่างหาวิธีตามที่กล่าวมานี้

ส่วนผู้เขียนก็ได้ร่วมทำบุญทุกอย่างเหมือนกัน แต่ยังไม่จุใจ จึงคิดในใจว่า ถ้าเราได้มีโอกาสทำด้วยแรงกาย เช่นเดินสายไฟด้วยก็จะดี จะได้มีอานิสงส์ในด้านแสงสว่างยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้หวังอะไร จึงมิได้คุยให้ใครฟังเลย

เพราะว่าในขณะนั้น ทางวัดได้ว่าจ้างช่างไฟฟ้าไว้ประจำ และทำกันมานานนับสิบปีแล้ว เราคงจะไม่มีโอกาสเสียแล้ว หลังจากที่คิดไว้ในใจอยู่ไม่นาน วันหนึ่งผู้เขียนก็ได้ทราบข่าวจาก หลวงพี่พระใบฎีกาประทีปมาบอกว่า

“หลวงพ่อให้พระเดินสายไฟ...”

ผู้เขียนได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสตามที่คิดไว้ ทั้งที่ไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ ตามเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว และรู้สึกฉงนใจเป็นอย่างมาก ที่เรื่องนี้เราคิดไว้แต่เพียงในใจเท่านั้น ไม่เคยปรารภกับใครในเรื่องนี้เลย

ดังนั้น เมื่อท่านเปิดโอกาสให้เช่นนี้ ผู้เขียนจึงได้ถือโอกาสนี้ไปหัดเดินสายไฟรอบทางเดินวิหาร ๑๐๐ เมตร และที่อาคาร ๒๕ ไร่ โดยเริ่มงานในพรรษาปี ๒๕๓๒ หลังจากนั้นทางวัดก็มิได้จ้างช่างไฟฟ้าไว้เลย โดยให้พระภายในวัดทำแทนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...

ถวายสังฆทานเพราะนางฟ้า

เหตุเกิดต้นเดือนกันยายน ปี พ.ศ.๒๕๓๓ เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปที่บ้านสายลม หลังจากหลวงพ่อสอนกรรมฐานประจำเดือนแล้ว ในตอนเช้าของวันอังคารที่จะเดินทางกลับวัด ขณะที่พระกำลังนั่งฉันภัตตาหารเช้าอยู่ภายในบ้านท่านเจ้ากรมเสริม

คุณโยมปรุง ตุงคะเศรณี ได้ลงมาจากห้องของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นเวลาที่ท่านฉันเสร็จแล้ว ได้มาเล่าให้พระที่กำลังนั่งฉันฟังว่า

ในตอนกลางคืนของวันจันทร์ หลังจากหลวงพ่อสอนกรรมฐานเสร็จแล้ว ก็มีการถวายสังฆทาน ก่อนที่จะมีการถามตอบปัญหาธรรมต่อไป ปรากฏว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งใส่ชุดขาว หิ้วของสังฆทานเข้ามาถวายหลวงพ่อ

หลวงพ่อท่านได้เล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นท่านมองเห็นผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามาแต่ไกล ก็มีความสงสัย จึงคิดว่าเป็นท่านแม่ศรี หรือเป็นเจ๊จันทนา (เวลานั้นเจ๊จันทนาเสียชีวิตแล้ว) แต่ทว่าท่านแม่ศรีและเจ๊จันทนาก็ยังอยู่ข้างๆ ท่าน

ในเวลานั้นใกล้ที่จะถามปัญหากันแล้ว คนที่ถวายสังฆทานยังเดินมาเรื่อยๆ แต่ไม่มาก ในขณะที่หลวงพ่อนั่งก้มหน้ารับสังฆทาน ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้ามาถวาย เมื่อเธอถวายแล้วก็หมุนตัวเดินตามคนอื่นออกไป หลวงพ่อแหงนหน้าขึ้นมาจะมอง ปรากฏว่าไม่เห็นตัวเสียแล้ว

รุ่งขึ้นเช้าของวันอังคาร หลวงพ่อกำลังจะเข้าห้องน้ำ ท่านย่ามาถามหลวงพ่อว่า
“รู้ไหมว่าคนเมื่อคืนนี้เป็นใคร?”
เมื่อหลวงพ่อตอบว่าไม่รู้
ท่านย่าจึงบอกว่า “เธอเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กำลังจะตัดไปนิพพานเลย แต่ขาด “ทานบารมี” อยู่นิดหน่อย จึงได้ลงมาถวายสังฆทานกับท่าน...”

เรื่องนี้ผู้เขียนก็ได้สอบถามท่านอาจินต์ ซึ่งในเวลานั้นนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อ ท่านอาจินต์บอกว่าเห็นเหมือนกัน เป็นผู้หญิงหน้าตาดีใส่ชุดขาว

โยมปรุงเป็นผู้เล่าถึงกับบอกว่า ต่อไปถ้าผมมาบ้านสายลมทุกเดือน ผมจะต้องถวายสังฆทานทุกครั้ง หลังจากหลวงพ่ออกจากสมาบัติแล้ว ซึ่งรวมทั้งผู้เขียนเองด้วย บางทีก็ฝากเขาเข้าไปด้วยคิดว่า

นางฟ้าท่านมีใจเป็นทิพย์ ท่านต้องรู้วาระดีว่า เวลาไหนควรจะทำบุญแล้วได้อานิสงส์มาก ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ของมาก จะเป็นของน้อยหรือของมากไม่สำคัญ ขอให้ทำบ่อยๆ ให้ถูกกาลเวลา ก็จะได้อานิสงส์มาก เช่นเดียวกับท่านเป็นตัวอย่าง

ผู้เขียนถือเรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจ โดยคิดว่า ท่านเป็นนางฟ้ายังอุตส่าห์ย่องมาทำบุญได้ เราเป็นคนทั้งทียังมีชีวิตอยู่ ยังมีโอกาสสร้างความดี บางทีอาจจะมีมากกว่าท่านก็ได้ ทำไมถึงจะต้องปล่อยโอกาสให้พลาดไปเช่นนี้ ใช่ไหมล่ะ...ท่านผู้อ่าน!

หลวงพ่อสงเคราะห์ผู้ที่จะลงข้างล่าง

อีกประการหนึ่ง ในเรื่องการสงเคราะห์ของหลวงพ่อ ท่านมิใช่จะสงเคราะห์เฉพาะเพียงแค่นี้ แม้แต่ผีที่ตายไปแล้ว ที่ได้รับความทุกข์ยากลำบาก ท่านก็มีส่วนช่วยอนุเคราะห์ด้วย ยกตัวอย่างเช่น

ในวันทำบุญออกพรรษาเมื่อปี ๒๕๓๓ ขณะที่ท่านเทศน์บนธรรมาสน์ให้ญาติโยมทั้งหลายฟังที่ศาลาพระพินิจอยู่นั้น ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ในเวลานี้มีผีมาขอส่วนบุญจำนวน ๗๐๐,๐๐๐ คนเศษ

หลวงพ่อจึงได้ถามหัวหน้าที่มาว่า “วันนี้ตามวัดต่างๆ เขาก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย ทำไมไม่ไปที่อื่นกันล่ะ?”
ผู้เป็นหัวหน้าตอบว่า “กลุ่มอื่นที่เขาแยกไปก็มีบ้าง ไปตามแต่ละสายของเขา แต่ส่วนใหญ่พวกผมตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะครับ”

เมื่อพวกเขาเหล่านั้นอนุโมทนาส่วนกุศล ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายอุทิศให้แล้ว หลวงพ่อจึงได้บอกว่า “จำนวนทั้งหมดที่มานี้ ๑ ใน ๔ ส่วนไปอยู่ชั้นยามา ส่วนที่เหลือทั้งหมดไปชั้นดาวดึงส์”

ต่อมาได้มีการบำเพ็ญกุศลเนื่องใน วันมาฆบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน อันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หลวงพ่อบอกว่า “วันนี้พระยายมไม่ทำงาน ได้ปล่อยบรรดาพวกที่ตายไปแล้ว ที่รอการสอบสวนมาคอยรับการโมทนา ประมาณล้านคนเศษ”

เมื่อทุกคนที่บำเพ็ญกุศลแล้ว ได้อุทิศส่วนกุศลนั้นให้ทันที หลวงพ่อจึงได้บอกว่า “๓ ใน ๔ ส่วนนี้ เป็นเทวดาและนางฟ้าทั้งหมด แต่มีอีก ๓ คน มีกรรมหนักเพราะฆ่าควายไว้ หลวงพ่อต้องแผ่บุญพระกรรมฐานให้ จึงพอจะช่วยได้” (ข้อมูลเหล่านี้บันทึกไว้โดย พระใบฎีกาเล็ก)

จึงจะเห็นได้ว่า หลวงพ่อมีความเมตตาอนุเคราะห์ ไม่ว่าผีหรือคน หรือแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน อย่างน้อยก็สงเคราะห์ให้ไปเกิดบนสวรรค์ได้ ในวัดนี้ท่านจึงสั่งให้พระเลี้ยงสุนัข ท่านบอกว่า “มันเป็นด่านป้องกันเราไม่ให้ลงนรกได้...”

หลวงพ่อสงเคราะห์ผู้ที่มาจากข้างบน

ส่วนอีกกรณีหนึ่ง คือผู้ที่มาจากสวรรค์หรือพรหมอีกล่ะ ท่านมีส่วนช่วยสงเคราะห์ด้วยหรือไม่...ท่านผู้อ่านคงจะคิดว่า พวกที่มาเกิดเป็นคนใช่ไหมล่ะ.... เรื่องมาเกิดเป็นคนนั้นไม่มีปัญหา แต่มาเกิดเป็น “หมา” หรือสุนัขนี่ซิ...ที่มีปัญหา

เพราะอะไรล่ะ.. เพราะเหตุว่าท่านมิได้มองแต่กายภายนอกของมันเท่านั้น แต่ท่านมองเข้าไปถึงใจ โดยย้อนกลับไปถึงในอดีต ถ้าท่านผู้อ่านได้อ่านบันทึกในตอนนี้แล้ว ท่านจะเข้าใจยิ่งขึ้นว่า “ทำไมหลวงพ่อจึงให้ความอนุเคราะห์เป็นอย่างดี ทั้งที่อยู่หลับนอน ถึงกับตั้งกองทุนไว้สำหรับเป็นค่าอาหารสุนัข โดยแยกบัญชีไว้ต่างหาก...?”

ก่อนที่จะอ่านบันทึกของท่านนั้น จะขอเริ่มแนะนำดารา ๒ ท่านแรกเสียก่อน มีชื่อว่า “เจ้านาก” และ “เจ้านิล” เจ้านากเป็นสุนัขเพศเมียมีลักษณะสีแดง ส่วนเจ้านิลเป็นสุนัขเพศผู้มีลักษณะสีดำ

ทั้งสองได้ให้กำเนิดลูกเป็นครอกแรก นับตั้งแต่มาอยู่กับหลวงพ่อที่ตึกกลางน้ำ เป็นจำนวน ๖ ตัว อันมีรายละเอียดที่ท่านบันทึกไว้ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ดังนี้

ประวัติยามรักษาการณ์

เจ้ายามต้นทั้งสอง คือ “เจ้านาก” และ “เจ้านิล” และยามต้นที่มาภายหลังอีก ๖ ทั้งหมดเคยเป็นทั้งลูกและพาหนะในการรบ จึงสามารถสู้ศึกสงครามได้ เพราะเธอจะไม่กลัวตายเมื่อเข้าทำการรบ ทั้งนี้เพราะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข

แต่นิสัยมันไม่เหมือนกัน เจ้านากมันเจ้าอารมณ์ เจ้านิลเป็นคนมีนิสัยเป็นนักพรต แต่ทว่ายามทั้งสองตัวนี้ฉลาดในการดูคน ดังนั้นพวกเราควรระมัดระวังเรื่องอาการทางกายและวาจาของเรา เพราะเธอรู้ภาษาคนทุกถ้อยคำ

ขอให้ทุกคนจงสนใจเอาใจใส่ อย่าให้เธออดอยากและลำบากใจ ด้วยการทำทางกายและการกล่าวทางวาจา ด้วยทั้งหมดละที่อยู่อาศัยอันแสนสุขลงมาช่วยงานสงฆ์ เธอจะทำได้ตามความสามารถของเธอ ให้มีความรู้สึกว่าเป็นพี่น้องกันมาทั้งหมด

ความสัมพันธ์กันจริงๆ นั้น หลายแสนชาติ เอาชาติที่ใกล้ที่สุดก็คือ “ชาติเชียงลาว และเชียงแสน”

เชียงลาวนั้น ลาว แปลว่า มหาอำนาจ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเชียงใหม่ บริเวณกองพันสัตว์ ต่างเป็นที่พระราชฐาน เรามาครองก่อนครองเชียงแสน เธอทั้ง ๖ มาเป็นลูกในวงศ์ของพ่อเดียวกันกับพวกเธอ จึงควรนับทั้งหมดกับเธอเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน ให้ถนอมน้ำใจกันเหมือนพี่น้องที่รักกัน

ที่มาของยามต้นทั้ง ๖ ที่มาภายหลังคือ
๑. แก้วสีเทา สีขาวปน มาจากพรหมชั้นที่ ๔
๒. พลอยสีเทา มาจากพรหมชั้นที่ ๔
(ทั้งสองนี้เดิมอยู่ชั้นยามา บำเพ็ญเพียรจนไปอยู่ชั้นพรหม เธอรับอาสา “ท่านปู่โกสีห์” มาช่วยอารักขา)

๓. กาญจน์สีแดง มาจากพรหมชั้นที่ ๗
๔. มณีสีดำสนิท เป็นตัวเอก มาจากพรหมชั้นที่ ๗
(ทั้งสองนี้ขึ้นไปพรหมด้วยกำลังฌานตั้งแต่เริ่มต้นไป)

๕. เงินสีขาวดอก เดิมอยู่เวชยันตวิมาน เธอไปบำเพ็ญเพียรจนไปอยู่ชั้นยามา
๖. แหวนสีขาว เธออยู่ชั้นยามาโดยตรง
(ทั้งสองนี้รับอาสาท่านปู่ยามา มารักษาของสงฆ์)

๓๐ ไมล์สวรรค์
๓๐ ไมล์สวรรค์ หมายถึงชั่วโมง (แม่ว่ามาอย่างนี้ พ่อเขียนตามคำบอก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน) “๓๐ ไมล์สวรรค์แกน่ะแหละ.”

สำหรับบริวารก็มาเกิดกันมาก ภายในวัดมีหลายครอก แต่บางตัวก็แซมมาจากพันธุ์อื่นบ้าง ควรให้ความเมตตาปรานีเสมอกัน อย่าคิดว่า...“เธอเป็นหมา...!”

จงคิดว่าเธอเป็นยามรักษาความปลอดภัย ควรหาของที่ชอบใจให้รางวัลเสมอ จะมีประโยชน์ทั้งมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว ตายจากโลกนี้เมื่อไร จะรู้ว่าการสงเคราะห์เธอเหล่านั้นเรามีกำไรมหาศาล

“เจ้าเจ๊” กับ “เจ้าม่วย” เจ้าสองตัวนี้มาจากดาวดึงส์ทั้งคู่ ปกติมันช่างพูด แต่เจ้าม่วยจะช่างพูดมากกว่า เจ้าเจ๊อารมณ์เข้มข้น อย่าให้มันโกรธ มันเอาจริงจัง

“เจ้าตุ้ม” หรือ “เจ้าตุ้ย” นั้นมันก็มาจากดาวดึงส์ แต่เป็นเทวดาขี้โอ่หน่อย งานดี แต่ชอบสวยงาม ทั้งนี้เป็นวงศ์วานเผ่าพันธุ์เดียวกันทั้งนั้น

“เจ้าม่วย” กับ “เจ้าเจ๊” เป็นพี่น้องกับ “คุณตี๋” มาหลายสิบชาติ จึงรักกันมาก เขาตั้งใจมาช่วยคุณตี๋ พ่อเรียก.. .“ตี๋” นั้นถูกแล้ว เพราะเกิดกี่ชาติเป็นลูกแม่ เธอก็อยู่ในสภาพ...ตี๋ ทุกชาติ

ศรีระจิตสั่งลูก...(ลูกคน!)
“บอกเจ้าลูก...มันด้วยว่า เจ้าเหนื่อยเพื่อพ่อมาก แม่จะช่วยเจ้าทุกอย่างที่เจ้าต้องการ เรื่องความจนจริงๆ เหมือนคนอื่นไม่มี ถ้าเจ้าทำดีเพื่อพ่อ มีแต่จะรวยมากขึ้นตามลำดับ บางคราวคับขันบ้างจงอย่าบ่น เพราะเป็นกรรมใหญ่ที่เข้ามาตัดลิดรอน แต่ทำอะไรมากไม่ได้ ทำได้แต่เพียงให้กลุ้มบ้างพอควร

ลูกคนอื่นก็เหมือนกัน ใครเหนื่อยเพื่อพ่อมากคนนั้นรวยมาก ใครเหนื่อยน้อยก็รวยน้อย... แม่จะให้รวยตามกำลังเหนื่อยให้เหมือนกันไม่ลำเอียง ทั้งนี้ไม่ใช่เกณฑ์ให้เหนื่อย

แม่หมายถึงเหนื่อยมาแล้วและเต็มใจต่อไป เมื่อลูกเหนื่อยเพื่อพ่อแทนแม่ แม่ก็ต้องมีรางวัลให้ตามความเหนื่อยเหมือนกันทุกคน มีทางได้เงินเรื่อยไม่ต้องกลัวจน แต่ถ้าใช้ไม่ประหยัดก็ไม่เหลือ...”

เป็นอันว่า ประวัติของยามรักษาการณ์ (อาสาสมัครมาเป็นพิเศษ) ก็ต้องยุติลงตรงโอวาทของ “ท่านแม่” ไว้เพียงแค่นี้ แต่เนื่องจากตามบันทึกได้กล่าวถึง “เชียงลาว” หรือ “เชียงใหม่” ในปัจจุบันนี้ ผู้เขียนจึงอยากจะวกเข้าหาเรื่องของ “ประวัติศาสตร์” กันบ้าง

ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์
ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง “ฤาษีทัศนาจร” โดยจะคัดเฉพาะตอนสำคัญที่หลวงพ่อเล่าไว้มาให้อ่านกันก่อน แล้วผู้เขียนจะนำเรื่องที่ปรากฏเป็นหลักฐานในทางประวัติศาสตร์ เช่น พงศาวดาร เป็นต้น มาเทียบเคียงกัน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้วินิจฉัย

ก่อนจะถึงตอนนั้น ต้องขอย้ำอีกสักครั้งว่า การบันทึกเทปหรือการเทศน์ของหลวงพ่อนั้น พวกเราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ท่านไม่ได้เปิดตำราพูด ส่วนท่านจะถ่ายทอดมาจากใครนั้น คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องกล่าวอีก แต่จะขอนำมาแสดงไว้เป็นตัวอย่าง ดังนี้...

ประวัติพระธาตุดอยสุเทพ

“...มองๆ ดูที่ดอยสุเทพว่า พระธาตุที่ดอยสุเทพน่ะ ปรากฏขึ้นมาได้ยังไง หันไปดูประวัติ ใครเขาเล่าให้ฟังก็ไม่รู้ จริงหรือไม่จริง ก็เป็นเรื่องของคนที่เล่าให้ฟัง แกโกหกมา ลิงก็โกหกไป ถ้าแกพูดจริงมาลิงก็พูดจริงไป เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้นะ จะเล่าให้ฟังตามที่เขาพูดมา...

เขาว่ามีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระนามว่า พระเจ้ากือนา เป็นโอรสของ พระเจ้าผายู หรือพระเจ้าตายู แล้วก็ พระนางจิตราราชเทวี ซึ่งเป็นราชธิดาของ เจ้าวัวเถลิง เจ้านครเชียงของในเวลานั้น

พระองค์ทรงมีพระอนุชาร่วมพระอุทรอีกองค์หนึ่ง คือ ท้าวมหาพรหม หรือ เจ้ามหาพรหม พระเจ้ากือนานั้นประสูติเมื่อ พ.ศ.๑๘๘๓

เมื่อทรงพระเยาว์ทรงพระนามว่า “พ่อท้าวพันตู” ต่อมาเจริญวัยแล้วมีนามว่า “พ่อท้าวเวสภู” พระราชบิดาพระราชทานที่ดิน ที่ดินพันนาให้หนึ่งตื้อ จึงมีพระนามเปลี่ยนไปอีกว่า พ่อท้าวตื้อนา

เมื่อพระเจ้าผายูพระราชบิดา เสด็จมาประทับอยู่ที่นครเชียงใหม่ พอพ่อท้าวตื้อนาหรือพ่อท้าวกือนาเจริญพระชันษายิ่งขึ้น ก็โปรดให้ไปครอง เมืองชัยบุรีเชียงแสน

ครั้นพระเจ้าผายูสวรรคต เมื่อ พ.ศ.๑๘๙๙ พ่อท้าวกือนาก็เสวยราชย์ มีพระนามว่า “พระเจ้ากือนา” ขณะนั้นมี พระชันษาได้ ๑๖ ปี มีพระมเหสีชื่อว่า สุนทราราชเทวี

เมื่อพระเจ้ากือนาเสวยราชย์แล้ว ก็โปรดให้พระอนุชา คือพ่อท้าว หรือพระเจ้ามหาพรหมไปครอง เมืองเชียงราย

ในสมัยของพระองค์นั่นเอง ได้ทรงกระทำสัมพันธไมตรีกับ พระเจ้าเลอไทย กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยเป็นอันดี ทรงมีพระราชประสงค์จะได้พระสงฆ์ ฝ่ายอรัญวาสี คือพระนิยมอยู่ป่ามาอยู่ในเมืองเชียงใหม่

ครั้นได้ทราบว่า พระสุมนเถระ แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งเป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี เพราะได้ศึกษาพระธรรมจากสำนักครูหลายสำนัก ครั้งสุดท้ายยังเคยได้ไปศึกษาพระธรรมกับท่านท้าวมหาสามีอุทุมพร ซึ่งขณะนั้นกลับจากลังกาทวีปมาอยู่ ณ รัมนประเทศ คือที่เมาะตะมะอีกด้วย...”

เนื้อความที่ท่านเล่ายังมีอีก แต่ของดไว้เพียงเท่านี้ ต่อไปจะนำ “หนังสือประวัติศาสตร์” มาเทียบเคียงกับเรื่องที่หลวงพ่อเล่าไว้นี้ ซึ่งมีอยู่ในแต่ละเล่มไม่เหมือนกัน ดังนี้...

จากหนังสือ “พงศาวดารโยนก”

“...ท้าวผายู (แต่ใน “ตำนานพระพุทธสิหิงค์” ชื่อ พระเจ้าตายุมหาราช) ให้ราชบุตรของตนชื่อ “พ่อท้าวตื้อนา” อยู่รักษานครพิงค์เชียงใหม่ต่างพระองค์

พระยาผายูเจ้านครพิงค์เชียงใหม่ มีราชบุตร ๒ องค์ เกิดแต่ พระนางจิตราเทวี ราชธิดา เจ้าวัวเถลิง ผู้ครองนคร เชียงของ

ราชบุตรองค์โตนามว่า “พ่อท้าวตื้อนา” ภายหลังเรียกว่า “พ่อท้าวกือนา” พระราชบุตรองค์น้อยนั้น ทรงนามว่า “พ่อท้าวมหาพรหม”

เมื่อพระเจ้าผายูได้ครองราชย์สมบัติ ณ เมืองนครพิงค์เชียงใหม่แล้ว จึงให้ราชบุตรองค์ใหญ่ ชื่อพ่อท้าวกือนาไปครอง เมืองชัยบุรีเชียงแสน ให้พ่อท้าวมหาพรหมราชบุตรองค์น้อยไปครอง เมืองเชียงราย... ”

จากหนังสือ “ชินกาลมาลีปกรณ์”

หนังสือเล่มนี้ ท่านรัตนปัญญาเถระ ชาวเมืองเชียงใหม่ ได้รจนาเป็นภาษาบาลี เมื่อ พ.ศ.๒๐๖๐ ซึ่งแปลโดย ศาสตราจารย์ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร มีใจความเฉพาะตอนนี้ว่า

“...พระเจ้าผายูครองราชย์สมบัติได้ ๒๐ ปีเต็ม สวรรคตเมื่อ จุลศักราช ๗๑๗ (พ.ศ.๑๘๙๙) พระเจ้ากือนาประสูติเมื่อ จุลศักราช ๗๐๑ (พ.ศ.๑๘๘๓) ได้ทรงกระทำราชาภิเษกเมื่อพระชนมายุ ๑๖ ปี และพระเจ้ากือนาโปรดให้ เจ้ามหาพรหม ผู้เป็นอนุชาของพระองค์ครองเมืองเชียงราย

ครั้งนั้น เมื่อสุโขทัยสยามประเทศ มีกษัตริย์พระนามว่า “ธรรมราชา” (ผู้แปลหนังสือเล่มนี้วินิจฉัยว่า หมายถึง พระเจ้าเลอไทย) ครองราชสมบัติอยู่

ฝ่ายพระเจ้ากือนามหาราช ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีพระประสงค์จะให้พระภิกษุ อรัญวาสี มาอยู่เชียงใหม่ ทรงพระดำริมาช้านานแล้ว

ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระสุมนเถระ ชาวเมืองสุโขทัยไปเมืองอโยชชปุระ แล้วเล่าเรื่องพระธรรมในสำนักครูหลายครู แล้วกลับมาเมืองสุโขทัยอีก ครั้งนั้น พระมหาสามี ชื่อ อุทุมพร มาจากลังกาทวีปสู่ รัมนประเทศ...”

การนำข้อมูลที่เป็นหลักฐานในทางด้านประวัติศาสตร์ ต้องขอยุติไว้เพียงแค่นี้ ท่านผู้อ่านพอจะวินิจฉัยได้ว่า ตามที่หลวงพ่อใช้ความรู้ในทางพุทธศาสตร์ สามารถย้อนวิชาประวัติศาสตร์ได้อย่างถูกต้องที่สุด

ตามที่ได้เน้นตัวอักษรไว้เป็นที่สังเกตนั้น แม้แต่ชื่อและ พ.ศ. ก็ไม่มีการคลาดเคลื่อนเลย แถมได้ความรู้ที่นอกเหนือจากตำราอีกหลายอย่าง เช่น พระนามของพระมเหสีของพระเจ้ากือนา คือ “สุนทราราชเทวี” และยังมีเรื่องอื่นอีกมากที่ตรงกันอย่างนี้ แต่ต้องของดไว้เพียงนี้

ฉะนั้น การที่นำเรื่องนี้มากล่าว ก็เพื่อความเข้าใจของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ส่วนใหญ่ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมีความเข้าใจดีแล้ว แต่ก็เผื่อบางท่านในกาลต่อไปที่ยังไม่เข้าใจ อาจจะคิดว่าท่านเล่าไว้เป็นนิยาย จะเล่ายังไงก็ได้ไม่มีใครพิสูจน์

เพราะเหตุนี้ เพื่อความมั่นใจของท่านทั้งหลาย ผู้เขียนจึงได้นำเอามายืนยัน อันเป็นหลักฐานในทางโบราณคดี ซึ่งเป็นที่นิยมของนักค้นคว้าทางด้านประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป บางทีความรู้ “นอกตำรา” ของท่านก็มีเหตุผลดีกว่า

อีกประการหนึ่ง ถ้าหลวงพ่อเล่าไปตามตำราในขณะนั้น ก็เป็นไปได้ยาก เพราะคงจะต้องเปิดตำรากันหลายเล่ม แล้วจึงนำมาเรียบเรียงต่อเนื่องกันอย่างนี้ โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านเล่านี้ ผู้เขียนจะต้องไปค้นคว้าหาหลักฐานมาประกอบ ๒ – ๓ เล่ม จึงจะได้ครบตามที่ท่านเล่าไว้

เรื่องนี้จึงเป็นอันว่า หลวงพ่อเล่าไว้ตรงกับตำรา ซึ่งได้บันทึกไว้ตรงตามความเป็นจริง แต่ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ไม่สามารถจะบันทึกได้ นั่นก็คือ...เรื่องของ “พระเจ้าตากสิน” เรื่องนี้พวกเราทุกคนคงจะทราบความจริงจากหลวงพ่อไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมากล่าวอีก

แต่ที่อยากจะเพิ่มเติมอีกสักนิด คือเมื่อวันทำบุญเพ่อถวายพระราชกุศลให้พระเจ้าตากสิน ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๓๔ ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ในขณะนั้นหลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า

ท้าวเวสสุวัณมาบอกว่า พระเจ้าตากสินเคยเกิดในสมัยพุทธกาล ชื่อว่า “พันธุลเสนาบดี” ในขณะที่เล่า พระเจ้าตากสินท่านก็ยอมรับว่าเป็นความจริง แต่เรื่องราวของท่านที่บันทึกไว้ ยังไม่ตรงตามความเป็นจริงนัก

สำหรับตอนนี้ผู้เขียนขอย้อนประวัติ ของท่านพันธุลเสนาบดีสักเล็กน้อย เพื่อท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะไม่ค่อยจะรู้จักท่าน จะได้นำเรื่องราวมาประกอบในการพิจารณา จึงขอนำมาจาก “ธรรมบท” ให้ทราบไว้ดังนี้...

ประวัติท่านพันธุลเสนาบดี

ท่านพันธุละเป็นโอรสของ เจ้ามัลละ ในเมืองกุสินารามหานคร เป็นพระสหายร่วมสำนักอาจารย์เดียวกันกับ พระเจ้าปเสนทิโกศล ตั้งแต่ครั้งที่เสด็จไปเรียนศิลปะที่เมืองตักศิลา ต่อมาเห็นว่าพวกตระกูลมัลละไม่จริงใจต่อตน จึงเสด็จมาเป็นเสนาบดีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่กรุงสาวัตถี

ท่านเสนาบดีพันธุละมีภรรยา ชื่อว่า “นางมัลลิกา” (ชื่อเดียวกับพระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล) นางมัลลิกามีเครื่องมหาลดาปสาธน์ เช่นเดียวกับนางวิสาขา หลังจากสมเด็จพระบรมศาสดาปรินิพพานแล้ว ขณะที่ขบวนแห่พระบรมศพเข้าไปในเมืองกุสินารานั้น นางมัลลิกาได้นำเครื่องมหาลดาปสาธน์ของตน เข้าไปคลุมพระบรมศพเป็นพุทธบูชา

ในธรรมบทเล่าเรื่องต่อไปว่า ท่านพันธุลเสนาบดีกับนางมัลลิกาเทวี มีบุตรด้วยกัน ๓๒ คน บุตรทั้งหมดมีความแกล้วกล้าเช่นเดียวกับบิดา

วันหนึ่ง พวกชาวเมืองที่แพ้คดี เพราะการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมของอำมาตย์ผู้พิพากษา ท่านพันธุละจึงได้พิจารณาคดีใหม่ให้เป็นผู้ชนะ ต่อมาจึงได้เป็นผู้วินิจฉัยคดีแทน

อำมาตย์ผู้วินิจฉัยเดิมขาดผลประโยชน์ ยุยงพวกราชตระกูลว่า พันธุละปรารถนาจะเป็นพระราชา พระราชาทรงเชื่อคำอำมาตย์เหล่านั้น จึงออกอุบายให้ท่านพันธุละพร้อมกับบุตรทั้ง ๓๒ คน ไปปราบโจรที่ชายแดน แล้วสั่งทหารผู้ใหญ่ติดตามไปด้วย

เมื่อท่านพันธุลเสนาบดีปราบปรามโจรผู้ร้ายแล้ว ทหารเหล่านั้นก็ตัดศีรษะพันธุละพร้อมกับบุตรทั้งหมด ในที่ใกล้พระนครนั้น

เรื่องที่มีมาขอนำมาให้ทราบไว้เพียงเท่านี้ แต่ท่านมาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า เหตุการณ์จริงๆ นั้นทุกคนไม่มีใครตาย เป็นละครฉากหนึ่งที่รู้กันทั้งนั้น ซึ่งละครฉากนั้นก็กลับมาคล้ายกับ ละครฉากสมัยที่เกิดเป็นพระเจ้าตากสินอีก

เมื่อหลวงพ่อฟังท่านเล่าจบ ถึงกับปรารภเป็นเรื่องแปลกจริงๆ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเช่นกัน ทั้งนี้ท่านคงหมายถึงว่า คงไม่ใช่อุปาทานอย่างแน่นอน จึงขอฝากเรื่องนี้ไว้ในวิจารณาญาณของท่านผู้อ่านไว้เพียงเท่านี้.

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 20/10/10 at 10:25

6

(Update 20-10-53)


โอวาทที่มีความประทับใจ

ต่อไปจะเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์เหมือนกัน แต่เป็น “โอวาท” เก่าๆ ของท่าน ซึ่งควรจะนำมาเทิดทุนไว้เป็นหลักฐาน อันเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เผื่อท่านผู้อื่นชอบใจจุดไหน ก็จะได้บันทึกไว้เป็นความประทับใจของตนเอง เอาเฉพาะใจความสั้นๆ ดังนี้...

มหาสติปัฏฐาน ปี ๒๕๑๗

“เมื่อคืนนี้กลับไปที่กุฏิ ตอนหัวค่ำพระท่านมาบอกว่า การสอนศีล สมาธิ ปัญญา ให้รู้จักเอาศีลขังตัณหา สมาธิกดคอตัณหา ปัญญาห้ำหั่นตัณหา คือฟันเป็นท่อนเป็นตอน ท่านว่าอย่างนั้น ผมก็ยังต้องเรียนเหมือนกันนะ

แต่ว่าตอนเช้ามืดท่านมาบอกอีกจุดหนึ่งว่า คนที่เห็นอริยสัจนี่ ถ้าเราพูดตามแบบแล้วเห็นยาก ให้หาจุดปลายจริงๆ ก็คือ มรณานุสสติ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์... ”

พยากรณ์ คืนวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๑๘

“...ถ้าพระไม่บอก ก็ไม่บอก อาตมาไม่พูด สำหรับวันนี้ตอนท้ายท่านมาสั่งบอกว่า... “อารมณ์ ๓”

๑. พิจารณาว่าเราต้องตายเป็นปกติ เพราะความตายเป็นธรรมดา ความเกิดแล้วต้องตาย ทำอารมณ์ใจไว้
๒. เราจะทรงศีล ๕ บริสุทธิ์
๓. มีนิพพานเป็นที่ไป
๔.
การกำหนดจิตไว้ทั้ง ๓ นี้ พระท่านบอกว่า พุทธบริษัทที่มานั่งอยู่ที่นี่เกือบทั้งหมด หรืออาจทั้งหมดก็ได้ มีโอกาสทุกคน คือตั้งใจไว้วันละเล็กละน้อย คือวันๆ หนึ่งให้นึกถึงอารมณ์ ๓ ประการนี้ไว้

ท่านถือว่าผลจะเกิดขึ้นแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าหากว่าอารมณ์ทั้ง ๓ นี้ มีปรากฏกับใจ สำหรับท่านพุทธบริษัทที่มาอยู่แล้ว มีอยู่ ท่านบอกว่าอารมณ์ ๓ อย่างนี้มีอยู่แล้ว ที่คนทรงแล้วมีอยู่

การพยายามทำใจให้สูงยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณา กายคตานุสสติกรรมฐาน และ อสุภกรรมฐาน เป็นปกติ ที่ว่าสภาวะของความเกิดเป็นของน่าเบื่อ ร่างกายเป็นของสกปรก

แล้วก็พิจารณาให้ใช้ พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ เป็นการตัดอารมณ์ของความโกรธ ความพยาบาท ท่านบอกว่าคุณธรรม ๒ ประการอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทที่นั่งอยู่ก็มีโอกาสเหมือนกัน

เป็นอันว่า การเจริญกรรมฐานของพุทธบริษัทที่มานั่งทั้งหมดไม่ไร้ผล เป็นไปตามความตั้งใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เว้นไว้แต่ว่าถ้าใครประมาท ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แล้วก็ดีใจที่บรรดาญาติโยมทั้งหลาย เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้าย พระท่านมาพยากรณ์ดีมาก อย่างนี้ได้ฟังยาก...”

พยากรณ์ คืนวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๑๘

“...พระท่านสั่งมาหน่อยเดียว ถ้าไม่สั่งก็ไม่พูด ทุกคนที่มาที่นี่ทั้งหมด เป็นผู้ที่มีจิตศรัทธาตั้งใจเป็นกุศลจริงๆ สิ่งที่ท่านทั้งหลายตั้งใจไว้ จงมั่นใจว่าจะได้รับผลสมความปรารถนา

ทั้งนี้ ต้องมีเงื่อนไขว่า สุดแล้วแต่กำลังใจ ถ้าใครต้องการชาตินี้ ก็ได้ชาตินี้ ถ้าไม่แน่ใจก็อาจจะหลายชาติหน่อย...”

ศาลานวราช ธันวาคม ๒๕๒๐

“...พวกคุณนี่ตั้งใจดีแล้ว แต่การตั้งใจของพวกคุณ ถ้าไม่ตัดขันธ์ ๕ ได้เพียงใด การตั้งใจของพวกคุณก็ไม่สัมฤทธิ์ผล จึงขอให้ทุกคน...

พยายามอย่าสนใจกับขันธ์ ๕ ของตนเอง
อย่าสนใจขันธ์ ๕ ของคนอื่น
อย่าสนใจวัตถุธาตุทั้งหมด

เท่านี้พอ มันไม่ยากที่จะตัด แต่วันเวลาเท่านั้นนะ เราจะเร่งรัดเร็วเกินไปไม่ได้ ถ้าวันเวลายังไม่ถึงเพียงไร ก็ทำไปเพื่อถึงเวลานั้น ถ้าวันเวลาถึงเมื่อไร ก็สิ้นสุดกันเมื่อนั้นแหละ...”

โอวาทคล้ายวันเกิดหลวงพ่อที่บ้านสายลม เมื่อ ๕ กรกฎาคม ๒๕๑๘

“...ที่ท่านทั้งหลายเคยปรารภให้อาตมาฟังว่า บารมียังน้อยเกินไป ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้บ้าง ไม่สามารถจะเข้าถึงพระนิพพานได้บ้าง อย่างนี้อาตมาไม่เชื่อ ทั้งนี้เพราะอะไร...

เพราะว่าถ้ามองหน้าบรรดาท่านทั้งหลายแล้ว สร้างบุญบารมีกันมามาก และเคยพบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายสิบวาระ จนกระทั่งมีจิตใจตั้งมั่นอยู่ในปรมัตถบารมีเป็นส่วนมาก

ทำไมบรรดาพุทธบริษัทจึงจะกล่าวว่า การเข้าพระนิพพานเป็นของยาก อันนี้อาตมาไม่เห็นด้วย หากว่าบารมีของบรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นว่าน้อยไป ก็ช่วยสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ มันสร้างใหม่ขึ้นมาได้

บารมี ๑๐

คือตั้งใจไว้ว่าเราจะให้ทานไม่เกินกำลังใจ ไม่เกินทรัพย์สินความพอดีของเรา เราตั้งใจจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เราจะระงับนิวรณ์ ๕ ประการ คือไม่ทำจิตให้รุ่มร่ามในด้านอกุศลกรรม

เราจะมีสัจจะความจริงใจ ตั้งเข้าไว้ว่าจะทำอะไร ให้ทำตามความจริงทุกอย่าง เรามีความพากเพียรอดทนต่ออุปสรรคที่พึงเกิดขึ้น เรามีปัญญาพิจารณาว่าสิ่งใดควรไม่ควร เรามีความเมตตา ความรัก มีความปรารถนาดีต่อคนและสัตว์นอกจากตัวเรา

ตั้งใจไว้ว่าเวลาที่เราทำความดีนี้ เราประสงค์อะไร ตั้งจิตไว้โดยเฉพาะ และมีความอดทนในเวลาที่ทำ ทำใจวางเฉยเมื่อทุกข์มันเกิดขึ้น

เท่านี้แหละ...บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจของท่านครบถ้วนบริบูรณ์เมื่อไร ขึ้นชื่อว่า “บารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้” ของท่านทั้งหลายเต็มครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว สมเจตนาที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตั้งใจเทศน์สอนบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้เป็นผู้มีบารมีเต็ม และก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้โดยไม่ยาก...”

โอวาทคล้ายวันเกิดหลวงพ่อวัดท่าซุง คืนวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๒

“...บรรดาลูกๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชายที่มีเจตนาดี และลูกพวกนี้ก็ดี และพวกท่านก็ดี ก็ติดตามกันมาแล้วทั้งหมด ถ้าเราจะใช้ปุพเพนิวาสนุสสติญาณกำหนด ก็ถือว่าเราติดตามกันมาแล้วอย่างน้อยก็ ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป เป็นการบำเพ็ญบารมีร่วมกันมานาน

ฉะนั้น ในชาตินี้คณะพวกท่านทั้งพระภิกษุสามเณร และลูกหญิงลูกชายทั้งหมดทั้งหมด ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในชาติก่อนๆ ต่างคนต่างก็มารวมกัน มาช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา”

“...ส่วนมากพวกท่านที่ได้มโนมยิทธิ ซึ่งเป็นอภิญาที่มีความสำคัญ กรรมฐานวิชาสามก็ดี อภิญญาก็ดี คนที่จะก้าวเข้ามาในเขตนี้นะ มันยากเหลือเกิน ถ้าไม่บำเพ็ญบารมีมาแล้วด้วยดีนะ ให้ฝึกไปจนตายมันก็ไม่ได้

และนอกจากจะไม่ได้แล้ว บางคนก็บังเอิญจะได้ ได้แล้วก็ไปทิ้ง นี่การได้แล้วไม่ทิ้ง ฝึกฝนด้วยดีแสดงว่า บารมีของเราเต็ม การฝึกฝนมาแบบนี้ ก็แสดงว่าพวกท่านสร้างความดีไว้มากตั้งแต่ชาติในอดีต

จงถือว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของพวกเรา จำไว้ให้ดีนะ แต่ว่าใครจะเกิดอีกต่อไปก็ตามใจเถิด ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอก...

เป็นว่า การติดตามกันมาเป็นระยะเวลา ๑๖ อสงไขยและแสนกัป ทีนี้ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องตามกันอีกแล้ว จะไปตามในเมืองนรกจะพบหรือไม่พบ ก็ไม่บอกนะ เป็นอันว่าเราก็เลิกเกิดกันเสียที

พวกท่านนี่ความจริงถ้าหากว่าจะว่ากันโดยบารมี และบรรดาลูกๆ ก็เหมือนกัน การบำเพ็ญบารมีมานี่...มันก็เกินไปเสียแล้ว..มันล้น เขาเรียกว่า “บารมีล้น” เพราะว่า “สาวกภูมิ” นี่เขาบำเพ็ญบารมีกันเพียง ๑ อสงไขยกับแสนกัป สำหรับผมที่ต้องว่ากันถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ก็เพราะว่าตอนนั้นได้ปรารถนาพระโพธิญาณ...

“...ฉะนั้น ชีวิตของผมจะอยู่ไปนานหรือไม่นาน ก็เป็นภารกิจของคนภายใน ผมได้กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาแล้วว่า ถ้าภารกิจใดก็ตาม ยังเกื้อประโยชน์ให้แก่บรรดาประชาชนส่วนใหญ่ ผมก็จะอยู่ แต่ว่ากิจอันนี้ไม่มีความหมายเมื่อไร ผมไปเมื่อนั้น

ฉะนั้น หากว่าเวลานี้บรรดาลูกหญิงก็ดี ลูกชายก็ดี ภิกษุสามเณรก็ดี ยังเห็นภารกิจในพระพุทธศาสนามีความสำคัญ ผมก็คงจะอยู่ได้อีกหลายวัน ถ้าหากว่าพวกท่านไม่เห็นความสำคัญเมื่อไร ผมก็ไม่อยู่...

“...ผมจะตายหรือผมจะมีชีวิตอยู่ ขอพวกท่านทั้งหมดให้ตั้งใจไว้ว่า เราเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จงอย่าทำตนเหมือน ภิกษุโกสัมพี ในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์ยังมีชีวิตอยู่ ต่างคนต่างก็อวดเลว แตกกันเป็นสองพวก อย่างนี้เป็นการทำลายตัวเอง

การศึกษาของบรรดาท่านทั้งหลาย นอกจาก คันถธุระ ก็ยังมี วิปัสสนาธุระ เรื่องวิปัสสนาธุระนี่ เป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเราจะดี ว่าจะทรงวิปัสสนาธุระไว้ได้หรือไม่ได้ ก็อาศัย ความสามัคคี เป็นเหตุ

ฉะนั้น ขอทุกท่านถ้าเห็นแก่ชีวิตผมก็ดี และเห็นแก่องค์สมเด็จพรชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผมรู้ตัวว่ากำลังกายมันไม่ดี แต่ว่าได้พยายามสร้างทุกอย่าง เพื่อวางพื้นฐานไว้ให้แก่พวกท่าน

เพราะว่าในสถานที่นี้ก็ได้รับการพยากรณ์ว่า จะเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญต่อไปในเบื้องหน้า วัดนี้ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็ต้อง พ.ศ.สิ้นไป ๔,๕๐๐ ปีเศษ คือ ๔,๕๐๐ ปีเศษ วัดนี้จึงจะสลายตัว

ฉะนั้น ในวัน ฝังลูกนิมิต บรรจุของในหลุมนิมิต องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร์ก็ทรงตรัสว่า แดนของวัดนี้เป็นแดนของพระอริยเจ้ามาในกาลก่อน แต่ก็มาสิ้นแสงของพระอริยเจ้าลงไปประมาณ ๔๐ ปีนะ นับแต่ปีนี้ย้อนขึ้นไป

แต่ความจริงตอนนั้นก็ประมาณ ๔๐ ปี นับแต่ปีนี้ไปก็เป็น ๕๐ ปี ขาดตอนพระอริยเจ้ามา ๔๐ ปี แต่ใน ๑๐ ปีต้น ก็ยังมีพระผู้ทรงฌาน หลังจากนั้นมา ๓๐ ปี ต้องถอยหลังไปนะ ถ้านับเวลานี้มันก็ ๕๐ – ๓๐ ปีนั้น เป็น “ภิกขุพานิช” คือ จิตหยาบสะสมกิเลสกันขนาดหนัก แล้วต่อมานี่เราก็รื้อฟื้นขึ้นมา

ท่านเล่าว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลังจากฝังลูกนิมิตในปี พ.ศ.๒๕๒๐ แล้ว ท่านบอกว่า จากนี้ไป ๓ ปี วัดนี้จะมีพระอริยเจ้าประจำตลอดไป จนถึงพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๔,๕๐๐ ปี หลังจากนั้นจึงจะขาดพระอริยเจ้า...”

ในตอนสุดท้ายหลวงพ่อได้สรุปไว้ว่า“...งานทั้งหมดที่ทำนี่ ขอท่านทั้งหลายจงอย่าถือว่าเป็นงานของผม เพราะงานทั้งหมดเป็นงานของพระพุทธเจ้า ผมทำเพื่อพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

ในที่สุดนี้ ผมในฐานะที่เป็นสาวกของ องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็มาด้วยกำลังของ “พุทธภูมิ” ต้องลำบากยากกาย ทั้งกายและใจมาสิ้นเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป บุญบารมีอันใดที่บำเพ็ญมาแล้วในตอนต้นจนถึงอวสาน จัดว่าเป็นชาติสุดท้ายในชาตินี้

ขอบุญบารมีนี้ ที่ผมบำเพ็ญมาแล้วก็ดี และขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบุญบารมีของบรรดาพระสงฆ์อริยสาวกทั้งหลาย จงปกป้องบรรดาท่านทั้งหลาย ช่วยกำลังกาย กำลังใจของท่าน ให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามระบอบของพระพุทธศาสนา

และขอให้ทุกท่านโดยถ้วนหน้า จงบรรลุผล กล่าวคือตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้

และอีกประการหนึ่ง กิจอันใดก็ตาม ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระประสงค์ ขององค์สมเด็จพระพุทธองค์ จงบันดาลจิตใจของบรรดาภิกษุสามเณร และลูกหญิงลูกชาย ให้ปฏิบัติเหตุนั้นให้เต็มที่ มีผลตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระพุทธประสงค์

ในที่สุดนี้ ขอท่านทุกองค์ และบรรดาคนทุกคน จงประสบแต่ความสุขสวัสดิพิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ขอบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงบรรลุธรรมนั้น ตามที่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ในชิตปัจจุบันนี้เทอญฯ...”

ย้อนอดีตงานฝังลูกนิมิต วัดท่าซุง (จัดงานครั้งที่ ๓)

เมื่อวันที่ ๑๖ – ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐


ตามโอวาทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ถึงแม้จะเป็นอดีตนานมาแล้ว แต่ก็คงจะส่งผลมาถึงท่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ด้วย และโอวาทของท่านมีตอนหนึ่งที่กล่าวถึง “งานฝังลูกนิมิต” เรื่องนี้จึงมาสะกิดใจผู้เขียน จึงอยากจะย้อนรอยถอยหลัง ถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นบ้าง แต่มันก็เลือนรางเต็มที เอาเฉพาะที่พอจะนึกได้ก็แล้วกันนะ

โดยทั่วไป “งานฝังลูกนิมิต” เขาถือว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะแต่ละวัดกว่าจะสร้างพระอุโบสถได้เสร็จ ต้องผ่านอุปสรรคนานัปการ และชาวพุทธนิยมทำบุญงานฝังลูกนิมิต ถือว่าได้บุญได้กุศลมาก เพราะเป็นการวางรากฐานไว้นขอบเขตของพระพุทธศาสนา คือเป็นสถานที่ที่พระสงฆ์มาประชุมกันเพื่อทำสังฆกรรม

ทีนี้ขอย้อนกล่าวถึงงานสำคัญที่ผ่านมา คณะญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย อันมีท่าน พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ และภรรยาของท่านที่ล่วงลับไปแล้ว คือ คุณโยมอ๋อย หรือ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงานกับคณะของท่าน

โดยกราบถวายบังคมทูลอัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาทรงตัดลูกนิมิต (ซึ่งล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ เสด็จมาเป็นวาระที่ ๒ วาระแรกเสด็จมาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ปาน)

แต่ก่อนที่จะเริ่มงาน ขอนำกำหนดงานที่หลวงพ่อพิมพ์แจกไว้ล่วงหน้า มีเนื้อความดังต่อไปนี้

กำหนดงานฝังลูกนิมิตและฉลองศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน


ตำบลน้ำซึม อำเภอเมืองฯ จังหวัดอุทัยธานี


วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๐ เริ่มงาน อาราธนาพระสุปฏิปันโนมามากที่สุดเท่าที่จะรวบรวมได้ (มากเป็นพิเศษ)
เวลา ๒๐.๐๐ น. เริ่มทำพิธีปลุกเสกพระเครื่องและพระบูชา
เวลา ๒๑.๐๐น. ถึงเวลา ๒๑.๓๐ น. เสร็จพิธี เริ่มแจกของที่ปลุกเสก แล้วแต่ท่านที่บำเพ็ญกุศลช่วยในงานก่อสร้าง
ในงานนี้ มีพระสุปฏิปันโนอยู่ประจำเพื่อเจริญศรัทธาตลอดงาน และจะอาราธนาพระสุปฏิปันโนมาให้มากที่สุดเท่าที่จะนิมนต์มาได้

วันเสาร์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๐ เวลา ๒๐.๐๐ น. พระสงฆ์สวนนิมิต
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. ตัดนิมิต

ในงานนี้เลี้ยงอาหารแบบกันเอง (ข้าวราดแกง) แก่ท่านผู้มาในงานตลอดงาน เว้นไว้แต่ท่านที่ไม่ประสงค์จะรับประทานอาหารที่ทางวัดเลี้ยง ก็มีร้านอาหารราคาถูก เพื่อสะดวกแก่ท่านที่ประสงค์จะรับประทานอาหารตามใจชอบ

คณะศิษย์หลวงพ่อปาน ขอเชิญท่านที่ร่วมทำการก่อสร้างโดยบริจาคทรัพย์มาเพื่อการก่อสร้างโดยตรงบ้าง ถวายมาตามอัชฌาศัยบ้าง เงินส่วนใหญ่ที่ได้มาตามอัชฌาศัย ก็ได้นำมาร่วมในงานก่อสร้าง

จึงถือว่าทุกท่านที่บริจาคมาแล้วทั้งสองประเภท เป็นเจ้าของอาคารที่สร้างนี้เหมือนกัน และท่านที่มีศรัทธาใคร่ร่วมบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานฝังลูกนิมิต และฉลองอาคาร มาร่วมโมทนาโดยทั่วกัน

พระมหาวีระ ถาวโร ผู้ประกาศ


ก่อนวันเริ่มงานมีการจัดเตรียมสถานที่ และมีการซ้อมขานนาคที่จะอุปสมบท ในพระอุโบสถแห่งใหม่นี้ หลวงพ่อบอกว่า ใครท่องขานนาคไม่ได้จะไม่ให้บวช พวกนาคเลยต้องซ้อมกันขนานใหญ่ ส่วน “พระสุปฏิปันโน” ที่นิมนต์ไว้ ท่านได้เดินทางมาถึงโดยพักที่กุฏิ ๑๐ หลัง หลังพระอุโบสถในปัจจุบันนี้

เริ่มงานวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๐

ในตอนกลางคืนเริ่มทำพิธีพุทธาพิเษกในพระอุโบสถ พระสงฆ์ที่เข้าร่วมพิธีรายชื่อดังต่อไปนี้คือ
๑. หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร
๒. หลวงปู่คำแสน (เล็ก) คุณาลังกาโร วัดดอนมูล จ.เชียงใหม่
๓. หลวงปู่ครูบาอินทรจักรรักษา วัดบ่อน้ำหลวง จ.เชียงใหม่
๔. หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่

๕. หลวงปู่ครูบาชัยวงษาพัฒนา วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน
๖. หลวงปู่บุดดา ถาวโร สำนักสงฆ์สองพี่น้อง จ.ชัยนาท
๗. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี
๘. หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ

๙. หลวงปู่พระธรรมวราลังการ (กล่อม) วัดบุปผาราม กรุงเทพฯ
๑๐. หลวงพ่อลักษณ์ วัดศรีรัตนาราม จ.ลพบุรี
๑๑. พระอาจารย์วิชา วัดศรีมณีวรรณ จ.ชัยนาท

๑๒.
ก่อนที่จะถึงเรื่องราวต่อไป ขอย้อนบันทึกการจัดงานของวัดที่ผ่านมาอีก ๒ ครั้ง ไว้โดยย่อดังนี้...

งานยกฉัตรมณฑปหลวงปู่ปาน (จัดงานครั้งที่ ๒)


วันที่ ๑๙ – ๒๘ มีนาคม ๒๕๑๙


พระสงฆ์ที่ร่วมพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถสำหรับงานนี้คือ
๑. หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร
๒. หลวงปู่พระธรรมวราลังการ (กล่อม) วัดบุปผาราม กรุงเทพฯ
๓. หลวงปู่บุดดา ถาวโร สำนักสงฆ์สองพี่น้อง จ.ชัยนาท
๔. พระครูปัญญาโสภิต วัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ

๕. หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ
๖. หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน
๗. หลวงปู่คำแสน (เล็ก) คุณาลังกาโร วัดดอนมูล จ.เชียงใหม่
๘. หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่


เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธานพิธียกฉัตรยอดมณฑปหลวงปู่ปาน

งานเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน (จัดงานครั้งที่ ๑)

เป็นงานทำบุญครบรอบ ๑๐๐ ปีของหลวงปู่ปานด้วย

วันที่ ๖ – ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘
พระสุปฏิปันโนที่หลวงพ่อนิมนต์มาเป็นครั้งแรก มีรายชื่อดังนี้คือ

๑. หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน
๒. หลวงปู่ครูบาชัยวงษาพัฒนา วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน
๓. หลวงปู่คำแสน (ใหญ่) (พระครูสุคันธศีล) วัดสวนดอก จ.เชียงใหม่
๔. หลวงปู่คำแสน (เล็ก) คุณาลังกาโร วัดดอนมูล จ.เชียงใหม่
๕. หลวงปู่สิม พุทธาจาโร (พระครูสันติวรญาณ) ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
๖. หลวงปู่บุดดา ถาวโร สำนักสงฆ์สองพี่น้อง จ.ชัยนาท
๗. หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ


และในวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอสองพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมา ได้ทรงกระทำพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเกตุมาลาของพระประธานในพระอุโบสถ

ในตอนนี้ขอย้อนกลับมาสู่การจัดงานครั้งที่ ๓ ต่อไป หลังจากพระสุปฏิปันโนปลุกเสกของเสร็จแล้ว ญาติโยมต่างรอถวายปัจจัยอยู่ภายนอกพระอุโบสถกันเป็นจำนวนมาก แต่หลวงพ่ออุตตมะจำเป็นต้องเดินทางกลับก่อน

ส่วนทุกท่านทุกองค์ได้อยู่เจริญศรัทธาบรรดาท่านสาธุชนจนตลอดงาน ผู้คนเดินทางมาบำเพ็ญกุศลทั้งใกล้และไกล โดยหลวงพ่อรอรับแขกอยู่ที่ศาลานวราช ญาติโยมบางคนก็ได้ซื้อดอกไม้ธูปเทียนทองปิดลูกนิมิต ที่วางเตรียมไว้รอบๆ บริเวณพระอุโบสถ และมี ใบคำอธิษฐาน พิมพ์แจกไว้ให้ทุกคน มีใจความว่า

“ขออานิสงส์กุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญในโอกาสนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้
หากข้าพเจ้ายังไม่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่า “ไม่มี” จงอย่าได้เกิดแก่ข้าพเจ้า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ชื่อ.........”

ปรากฏว่าในหลุมลูกนิมิตทุกหลุม จะมีกระดาษพิมพ์คำอธิษฐานนี้อยู่มากมาย
เหตุการณ์ตอนหนึ่งที่น่าประทับใจมาก คือในตอนเช้าทุกวันตลอดงานนี้ หลวงปู่ทุกองค์ได้มานั่งบนเก้าอี้ ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมเอาไว้ให้เป็นแถว เพื่อนั่งรับบิณฑบาตที่ญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง นำอาหารของตนมาใส่บาตร

โดยทุกคนเดินเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ในมือถือขันข้าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ปลื้มใจที่ได้เห็นท่านมานั่งรวมกันอย่างนี้ โอกาสเช่นนี้มิใช่จะมีได้ง่ายๆ ใบหน้าของหลวงปู่แต่ละองค์ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ผิวพรรณก็ผ่องใสไปด้วยความเมตตา ทุกองค์นั่งสงบคอยวาระที่ท่านสาธุชนจะเดินเข้ามาใส่บาตร

ในตอนเช้าตื่นขึ้นมาอากาศก็บริสุทธิ์ ทำให้ทุกคนมีจิตใจชุ่มชื่นสดใส แม้จะผ่านความเหน็ดเหนื่อยมาจากการงาน แต่ทุกคนก็มีจิตใจชื่นบาน ยิ่งได้ตื่นขึ้นมาเห็นหลวงปู่ทุกองค์ นั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนักพิง ห้อยขาตามสบายของพระอาวุโส กำลังอุ้มประคองบาตรอยู่ในมือทั้งสอง

จิตใจของพวกเราก็ยิ่งมีความสุขเยือกเย็น เพราะกระแสแห่งเมตตาธรรมของท่าน ผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ เป็น “พระสุปฏิปันโน” อันชนควรเคารพบูชาอย่างแท้จริง บรรยากาศในเวลานั้น จึงสดชื่นแจ่มใสยิ่งนัก

เวลาผ่านไปคนแล้วคนเล่า ที่ได้บรรจงตักข้าวของตนใส่ลงในบาตรของท่าน จริยาของท่านในขณะนั้นมีความสำรวม คล้ายกับจะบอกอาการให้พวกเรารู้ว่า ท่านกำลังใช้สมาบัติเพื่อสงเคราะห์พวกเราอยู่ ทุกคนจึงทำบุญใส่บาตรด้วยความสงบเรียบร้อย ตั้งใจอธิษฐานเอาตามความปรารถนา เช่นว่า

“ธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอพวกเราได้เห็นธรรมโดยฉับพลันนั้นเทอญ สาธุ...”

เมื่อขณะใดที่บาตรของท่านเต็ม จะมีเจ้าหน้าที่คอยถ่ายเทบาตรให้ท่านอยู่ด้านหลัง บางท่านก็ได้ถวายปัจจัยไปด้วย ใครที่ได้เห็นภาพเหล่านั้น คงจะมีความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ยากที่จะลืมเลือนไปจากใจได้

หลังจากทุกคนได้ใส่บาตรเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติพระจะประคองท่านเข้าไปในกุฏิ ฝ่ายแม่ครัวก็ช่วยกันจัดทำอาหาร เตรียมนำอาหารไปถวายท่าน สำหรับ หลวงปู่ชัยวงษ์ และคณะชาวกระเหรี่ยง จะมีเจ้าหน้าที่จัดเตรียมอาหารเจอีกต่างหาก

ต่อมาสถานที่ที่ท่านนั่งรับบาตรในตอนเช้านั้น หลวงพ่อได้สร้างเป็นห้องพักผู้ปฏิบัติธรรม จำนวน ๑๗ ห้อง เพื่อไว้ให้เป็นอนุสรณ์ เพราะเวลานี้ภาพเช่นนั้น ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นกันอีกแล้ว นอกจากภาพถ่ายที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง ที่พอจะเป็นอนุสรณ์ในการระลึกถึง ดังจะเห็นได้ว่า เวลานี้หลวงปู่บางองค์ที่เคยมาวัดนี้ ท่านได้จากเราไปแล้วหลายท่าน

◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 31/10/10 at 15:09

7

(Update 31-10-53)

วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๐

หลวงปู่ครูบาชัยวงษ์ พร้อมกับชาวกระเหรี่ยง และชาวเราทั้งหลาย ร่วมกันจัดขบวนแห่ “ผ้าป่าเรือทาน” (หลวงปู่ให้ชาวกะเหรี่ยงทำเรือมาถวายหลวงพ่อ โดยนำเรือลำแรกมาถวายเมื่อปลายปี ๒๕๑๘ เพื่อแสดงให้เห็นว่าชาวป่าชาวดอยก็สามารถทำเรือให้ชาวเมืองใช้ได้)

และเรือลำนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่ากับความเหนื่อยยากจริงๆ (เหนื่อยเพราะทำ และเหนื่อยเพราะลากมาจากวัดพระบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน) เพราะในปี ๒๕๒๓ น้ำท่วมใหญ่ที่วัดท่าซุง

ทางวัดจึงได้อาศัยเรือของหลวงปู่ลำนี้แหละ ช่วยบรรทุกปูนซิเมนต์และสิ่งของอื่นๆ ที่ศาลาพระนอน อพยพมาไว้ที่ตึกอำนวยการ ต่อมาหลวงปู่ก็นำมาให้อีก ๒ ลำ เวลานี้จอดอยู่บนโรงลิเกฝั่งด้านวัดเก่า

การจัดขบวนแห่นี้ถ้าจำไม่ผิด คิดว่าลูกศิษย์หลวงพ่อและหลวงปู่ ได้ร่วมกันจัดเสลี่ยงมีคานหามทั้งหลวงพ่อและหลวงปู่ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นปีไหน เพราะวัดจัดงานติดต่อกัน ๓ ปี แต่มีอยู่ปีหนึ่งแน่นอนที่จัดขบวนแห่หลวงพ่อและหลวงปู่ดังกล่าวนี้ ทั้งหมดได้แห่ไปรอบด้านนอกกำแพงพระอุโบสถ

เมื่อขบวนแห่นำโดยชาวกะเหรี่ยงครบรอบแล้ว ก็นำผ้าป่าเรือทานมาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ให้ศีลให้พรจึงเป็นอันเสร็จพิธี การถวายทานของทางภาคเหนือ ซึ่งไม่ค่อยจะมีโอกาสจะได้เห็นบ่อยนัก งานวันนั้นจึงเป็นที่ประทับใจของคนภาคกลางยิ่งนัก

และในงานนี้มีพิเศษอยู่อีกอย่างหนึ่งคือ หลวงปู่มหาอำพัน ด้วยจิตของท่านที่มีความศรัทธา ในบรรดา “พระสุปฏิปันโน” ทั้งหลาย ท่านจึงได้เตรียมเครื่องถวายสังฆทาน นำเข้าไปถวายหลวงปู่ถึงในห้องพักทุกองค์

เมื่อท่านเข้าไปแล้วนั่งพับเพียบ ก้มลงกราบไปที่เท้าของหลวงปู่แต่ละองค์ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเคารพเลื่อมใสอย่างจริงใจ เหมือนกับจะขอพรหลวงปู่ทั้งหลาย ขอให้ได้เห็นธรรมในปัจจุบันนี้เช่นกัน และตามที่พวกเราได้ทราบในภายหลังว่า หลวงปู่มหาอำพันท่านก็ได้สมความปรารถนาของท่านอย่างนั้นจริงๆ

วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๐

หลังจากมีการใส่บาตรพระสุปฏิปันโนอย่างเช่นเคยทุกๆ วัน ในตอนเช้าก็มีการแสดงพระธรรมเทศนา จะเป็นหลวงพ่อเทศน์เองหรือใครเทศน์ ผู้เขียนจำไม่ได้เสียแล้ว และในวันนี้หลวงปู่มหาอำพันมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ส่วนในตอนกลางคืน พระสงฆ์ที่อาราธนามาจากกรุงเทพฯ ได้ร่วมกันกระทำพิธีสวดนิมิต

ในงานของวัดมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ ม.ล.วรวัฒน นวรัตน ในตอนนั้นท่านเป็นผู้อำนวยการโรงไฟฟ้า จ.กระบี่ ได้นำ “มโนราห์” จากปักษ์ใต้มาแสดง และลูกชายของ “โยมแป้น” ซึ่งเป็นแม่ครัวกองทุน ได้นำเพื่อนๆ จากกรมศิลปากร มาแสดง “โขน” กันให้ชมฟรีตลอดงาน

วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐

วันนี้เป็นวันสุดท้ายและเป็นวันสำคัญของงาน ในตอนเช้าของวันนี้ ญาติโยมทั้งหลายมาใส่บาตรพระสุปฏิปันโนกันมากมาย เพราะเป็นวันสุดท้ายที่ได้มีโอกาสเช่นนี้ มีพระสุปฏิปันโนทั้งหมดประมาณ ๑๐ องค์ และมีพระติดตามอีกบ้างนั่งคอยรับบาตรเป็นแถว

ส่วนหลวงพ่อนั่งรับแขกตั้งแต่ตอนเช้า ท่านพุทธบริษัทต่างทยอยกันมาบำเพ็ญกุศล จนถึงเวลาบ่ายใกล้ถึงเวลาเสด็จพระราชดำเนินกลับ

เหตุการณ์ที่อัศจรรย์

ก่อนที่จะถึงเวลานั้น ปรากฏว่าท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส อากาศร้อนอบอ้าวตามประสาหน้าแล้ง ได้ลดความร้อนที่แผดเผาลง แสงแดดที่เคยเจิดจ้า ได้ลดแสงลงอย่างแปลกประหลาด เพราะท้องฟ้ากลับมืดครึ้มด้วยปุ้ยเมฆ ที่ลอยผ่านไปมาอยู่เกือบทุกขณะ

ปรากฏว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ ฝนที่ไม่เคยตกลงมาเลยตลอดงาน ก็ได้โปรยปรายลงมาเป็นละอองฝน สร้างความเยือกเย็นให้เกิดขึ้นได้ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งนี้ คงจะเป็นด้วยพระบารมีล้นเกล้าฯ ของชาวไทย

เมื่อพระองค์จะเสด็จไปที่แห่งหนตำบลใด มักจะปรากฏเหตุอัศจรรย์อย่างนี้เสมอมา คล้ายกับจะลงมาเป็นสักขีพยานแห่งพระจริยาวัตร บอกความที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรทั้งหลายของพระองค์ฉะนั้น

สายฝนได้โปรยปรายลงมาชั่วขณะหนึ่ง ช่วยผ่อนคลายให้มีความสบายขึ้น แก่บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มานั่งเฝ้ารอรับเสด็จบริเวณหน้าพระอุโบสถ ตลอดออกไปถึงด้านหน้าถนนของวัด

ในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร ได้เสด็จมาถึงบริเวณงานพอดี

หลังจากเสด็จเข้าประทับในปะรำพิธี ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พระสงห์ทรงสมณศักดิ์ อันมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นต้น ได้ถวายศีลแล้วคณะกรรมการจัดงานทูลเกล้าถวายรายงาน ทรงมีพระปฏิสันถารกับหลวงพ่อและหลวงปู่ทั้งหลายแล้ว

ต่อจากนั้นจึงได้ทรงกระทำพิธีปิดทองลูกนิมิต ทรงตัดลูกนิมิตที่หลุมกลางพระอุโบสถแล้ว ได้เสด็จออกมาจากพระอุโบสถ ขณะเสด็จพระราชดำเนินไปรอบๆ บริเวณพระอุโบสถนั้น บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความจงรักภักดี ต่างก็โดยเสด็จพระราชกุศล ถวายเงินของตนกับพระหัตถ์ของล้นเกล้าฯ ทั้ง ๓ พระองค์

ต่างคนต่างยื่นถวายกัน ทั้ง ๓ พระองค์ทรงช่วยกันรับแทบไม่ทัน ต้องให้ผู้ติดตามคอยถือถุงพลาสติกใส่เงินเดินตาม พระองค์จะเสด็จไประหว่างทาง ซึ่งมีผู้นั่งรอถวายทั้งสองข้างทาง

เมื่อเสด็จพระราชดำเนินรอบนอกพระอุโบสถจนครบรอบแล้ว ทรงนำเงินที่มีผู้บริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลนั้น มาถวายหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ ยังความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ล้นเกล้าฯ ทั้ง ๓ พระองค์ ทรงเป็นกันเองอย่างไม่ถือพระองค์เลย

พิธีอุปสมบทนาคชุดแรก

ตอนนี้ก็เป็นพิธีอุปสมบทหมู่ อันเป็นชุดแรกของพระอุโบสถแห่งนี้ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ คน ได้เริ่มบวชกันไปแล้วเสร็จในตอนรุ่งเช้าของวันที่ ๒๕ หลังจากบวชเสร็จแล้ว ได้มากราบนมัสการหลวงพ่อ หลังจากท่านให้โอวาทแล้ว ท่านบอกว่า

“ชุดนี้มันเหลือแค่ ๔ บาทเท่านั้น...”

ถ้าท่านทั้งหลายได้ยินในเวลานั้น ก็คงจะไม่คิดอะไร เพราะเห็นท่านพูดเรื่อยๆ ธรรมดา แต่พอมาถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ.๒๕๓๖) ผ่านมาได้ ๑๖ ปีแล้ว เวลานี้พระที่บวชรุ่นแรกทั้งหมด ๔๒ องค์ ต่างก็ได้สึกไปบ้าง ตายไปบ้าง ที่เหลืออยู่เวลานี้จริงๆ จำนวน ๔ องค์เท่านั้น คือ

พระบรรจง พระสมชาย หลวงน้าเกษม (เวลานี้ย้ายไปอยู่วัดในกรุงเทพฯ แล้ว) และผู้เขียน

พระบรรจงกับพระสมชายถึงกับพูดว่า ที่หลวงพ่อพูดไว้ตั้งแต่วันบวชนั้น มีความหมายว่า พระนั้นมีค่าตัวแค่ ๑ บาทเท่านั้น หมายความว่า ถ้าไปขโมยของเขาตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป ก็ขาดจากความเป็นพระทันที ฉะนั้นคำว่า “เหลือแค่ ๔ บาท” ของท่านนั้น คงจะหมายถึงเหลือแค่ “๔ องค์” ในปัจจุบันนี้นั่นเอง

พลับพลาอนุสรณ์

ขอบันทึกสถานที่สำคัญไว้อีกจุดหนึ่ง นั่นคือบริเวณด้านหน้าศาลาพระพินิจอักษร ได้จัดเป็นพลับพลาที่ประทับชั่วคราว ในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมา ณ วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ได้ทรงประทับ ณ ที่นี้ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘

ภายหลังหลวงพ่อจึงได้จัดสร้างเป็นศาลาจัตุรมุข ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ และสำหรับประดิษฐานพระพุทธชินราช และรูปหลวงพ่อปาน (ไว้สำหรับปิดทองได้)

เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อ ๘ เมษายน ๒๕๑๙ ก่อนหน้านั้นท่านได้นำพระบรมสารีริกธาตุที่จะบรรจุมาให้ญาติโยมทั้งหลายได้ชมและสรงน้ำกันที่ศาลานวราช

หลังจากนั้นหลวงพ่อได้เริ่มพิธีบรรจุไว้ในผอบ แล้วถวายให้เจ้าพระคุณสมเด็จนำไปติดบนยอดฉัตร แล้วใช้สายโยงติดรอกดึงฉัตรขึ้นไปจากศาลานวราช โดยมีคนคอยรับอยู่บนหลังคาศาลาจัตุรมุขนั้น แล้วทำการบรรจุไว้เป็นที่เรียบร้อย

พุทธพยากรณ์ ณ พระอุโบสถ วัดท่าซุง

หลังจากงานพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตผ่านไปแล้ว วันต่อมาอันเป็นวันสำคัญของประวัติวัดท่าซุง ภายในพระอุโบสถแห่งนี้ หลวงพ่อพร้อมด้วยญาติโยมพุทธบริษัทบางท่าน อันมี “คุณโยมอ๋อย” เป็นต้น ส่วนพระก็มีหลวงพ่อ พระสมชาย (ออกไปจากวัดนานแล้ว) และผู้เขียน

ทุกท่านได้ร่วมกันกล่าวคำถวายอาคารสถานที่ต่างๆ ภายในบริเวณวัดทั้งหมด เพื่อถวายไว้เป็นสมบัติในพระพุทธศาสนา โดยตั้งใจถวายตรงต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า หลวงพ่อเป็นผู้กล่าวนำแล้วให้ทุกคนว่าตาม พอจะสรุปใจความได้ดังนี้...

ตั้งนะโม ๓ จบ โดยว่าพร้อมกัน
“ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายอาคารสถานที่ก่อสร้างทั้งหลายเหล่านี้ อันมีพระอุโบสถ ศาลา วิหารการเปรียญ เป็นต้น แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไว้เป็นศาสนสมบัติในบวรพระพุทธศาสนา
ขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด...”

เมื่อทุกท่านกราบพร้อมกัน ๓ ครั้งแล้ว หลังจากนั้นหลวงพ่อจึงได้เล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดา ได้ทรงเสด็จมาเป็นสักขีพยาน และได้ทรงตรัสพยากรณ์สถานที่นี้ต่อไปในอนาคตว่า

“นับจากนี้ไปอีก ๑๘๐ ปี จะมีพระอรหันต์องค์หนึ่ง มีอายุ ๒๗ ปี รูปร่างสูงขาวท้วม พร้อมกับพระเจ้าธรรมิกราช ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้อีกครั้งหนึ่ง
ต่อจากนี้ไป ๑๐ ปีแรก จะมีพระอรหันต์ ๓ องค์ และอีก ๗ ปีหลัง จะมีพระอรหันต์ ๕ องค์...” ดังนี้

อันนี้เป็นพระพุทธพยากรณ์ที่ผู้เขียนยังพอจำได้ แต่อายุของพระอรหันต์องค์นี้ จำไม่ได้ว่าท่านบอกอายุ ๒๗ หรือ ๒๘ ปี ประมาณนี้แหละ

ต่อมาหลวงพ่อได้ให้ทำ “แผ่นทองคำจารึก” มีผู้ร่วมบริจาคกันมากมาย หลวงพ่อให้โยมแอ๊ (คุณยุพดี จักษุรักษ์) เป็นผู้จัดทำ แล้วท่านได้นำบรรจุไว้ภายในพระอุโบสถ พร้อมกับได้บันทึกเรื่องนี้ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบด้วย

ส่วนข้อความที่จารึกไว้ ส่วนใหญ่ท่านผู้อ่านก็คงจะทราบบ้างแล้ว แต่ขอนำมาบันทึกไว้เป็นหลักฐานในหนังสือเล่มนี้ด้วย มีใจความดังต่อไปนี้...

“เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมภ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้ไว้เป็นพุทธบูชา
เมื่อศักราชล่วงไปได้ ๒๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนบวกสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์ จะมาบูรณะวัดนี้สืบพระศาสนาต่อไป คณะเราขอโมทนาด้วยแต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมด
เริ่มสร้างเมื่อ ๒๕๑๗ แล้วเสร็จเมื่อ ๒๕๑๙”

ใครจะเป็นผู้มาบูรณะ...?

เรื่องพระพุทธพยากรณ์นั้น ภายหลังมีผู้โจษขานกันมาก บางคนถึงกับล้อเล่นในหมู่ลูกศิษย์ โดยเฉพาะพวกที่ชอบปรารถนาพุทธภูมิ บอกว่าให้ลงมาเกิดในสมัยนั้น คืออีก ๑๒๘๐ ปีข้างหน้า ตามพุทธพยากรณ์

ต่อมาหลวงพ่อบอกว่า ท่านที่จะต้องมารับช่วงต่อไปนั้น จะต้องมาจาก “พุทธภูมิ” เดิมเหมือนกัน แล้วขอลาพุทธภูมิในภายหลัง เพราะผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน ย่อมมีความเข้มแข็งเป็นพิเศษ สามารถที่จะอดทนต่อสู้อุปสรรค เพื่อดำรงไว้ซึ่งอายุพระศาสนาให้สืบต่อไปได้อีก

อีกหลายปีต่อมา เมื่อหลวงพ่อพร้อมด้วยคณะของท่าน ได้มีโอกาสเดินทางไปยุโรป จำนวน ๗ ประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น (เรื่องนี้ผู้เขียนได้รับคำบอกเล่าจากพระที่ร่วมเดินทางไปด้วยว่า) ครั้งนั้นหลวงพ่อได้สงเคราะห์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งในอดีตเป็นนักรบผู้แกล้วกล้า สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่เอง จึงเรียกกันว่า “๕ ทหารเสือ”

ท่านเหล่านั้นพลาดไปอยู่ในนรก หลวงพ่อจึงจำเป็นต้องช่วยอย่างเต็มที่ โดยพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาเป็นประธาน แล้วให้หลวงพ่อเข้าสมาบัติเต็มกำลัง พร้อมกับคณะเดินทางทุกท่าน ช่วยกันอุทิศแผ่ส่วนกุศลทั้งหมด ให้พ้นจากขุมนรกอันร้อนแรงนั้น

ท่านกล่าวว่า โอกาสที่จะช่วยนั้นมิใช่จะมีได้ง่ายๆ ทั้งนี้ต้องเคยเกี่ยวเนื่องถึงกัน และเขาก็ได้เคยสร้างสมบุญกุศลไว้แล้ว เมื่อวาระมาถึงจึงจะช่วยได้

เมื่อกลับมาถึงวัดแล้ว หลวงพ่อจึงได้เป็นเจ้าภาพบวชพระให้ ๑ องค์ บวชเณรให้ ๒ องค์ โดยลูกชาย ๒ คนของ พ.อ.(พิเศษ) สถาพร พงษ์พิทักษ์ เป็นผู้รับอาสาบวชเณร ส่วนพระฉัตรชัยเป็นผู้รับอาสาบวชพระ เวลานี้ยังบวชอยู่ที่วัดนี้

ผู้ที่จะมาบูรณะวัดในกาลข้างหน้า

ท่านบอกว่าในจำนวน ๕ ทหารเสือนี้แหละ ในจำนวน ๒ คนนี้ ซึ่งมีเชื้อสายมาจาก “พุทธภูมิ” ในอดีตทั้งสองคนนี้เคยอยู่ที่ อิตาลี และ เยอรมัน คนหนึ่งจะได้มาเป็นพระอรหันต์องค์นั้น ส่วนอีกคนหนึ่งจะมาเกิดเป็นพระเจ้าธรรมิกราช ตามพระพุทธพยากรณ์นั้น

และสถานที่แห่งนี้ หลวงพ่อได้เคยเล่าให้พระฟัง หลังจากทำสังฆกรรมในพระอุโบสถเมื่อประมาณ ๒ – ๓ ปีก่อนว่า
สถานที่บริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว ได้มีผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ๗๒ องค์ โดยท่านทั้งหมดได้มาปรากฏแล้วบอกให้หลวงพ่อทราบ

พุทธพยากรณ์ที่ตึกกองทุน


คืนวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๑


“...สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านพูดว่า ดีแล้ว...เรื่องเบื้องต้นไม่ต้องห่วง...เรื่องฌานโลกีย์พวกแกนะไม่มีหรอก ไม่ต้องห่วงสั้น ตียาวเลย พวกของแกไม่มีใครเหลือหรอก
ถามว่าเมื่อก่อนนี้ล่ะ
ท่านบอกว่า เมื่อก่อนนี้ยังไม่ถึงเวลา ท่านสอนยากมาเรื่อย เพราะยังไม่ถึงเวลา

ถามว่าถ้าเขามาใหม่ล่ะ
ตอบว่า มาใหม่ก็เหมือนกันมันเต็ม การฟักตัวแม้จะอยู่ที่อื่นก็ตาม มันก็เต็ม เวลานี้เทปและหนังสือสั่งมาซื้อกันตั้งเยอะ เทปนี้มีประโยชน์มาก

สมเด็จท่านทรงตรัสต่อไปว่า

“อีก ๒๐ ปีข้างหน้า จะมีพระอรหันต์นับแสน”

ไม่ใช่เราผู้เดียวเป็นผู้สอน คือว่าทั่วๆ ไป กลุ่มเรานี่จะมาก คำว่า “กลุ่มเรา” นี่ อาจจะไม่มีตัวมาอยู่นะ เขาอาจจะมีหนังสือมีเทป

แล้วท่านตรัสต่อไปว่า
“ที่ฉันให้บันทึกเสียงใหม่ ทำเป็นตำราใหม่ เพราะว่าถึงเวลา เวลานี้คนที่จะถึงเวลาเข้าถึงมุมง่ายแล้ว นี่เป็นเวลานะ คำว่า “เวลา” หมายถึงกำลังใจมันดีขึ้นมา มีแรงขึ้นๆ”

ก็เลยถามท่านว่าตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้
ท่านบอกว่าสอนไม่ได้หรอกคุณ...! คนมันหาว่าง่ายเกินไป เลยไม่เอาเลย ต้องยากๆ...”

ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ก่อนหน้านั้นหลวงพ่อสอนวนเวียนเฉพาะ “อารมณ์ฌาน” เท่านั้น พอเริ่มกลางปี ๒๕๒๑ จึงเริ่มสอนเข้าสู่ “อารมณ์พระอริยะ” พอถึงเดือนกันยายน ๒๕๒๑ หลวงพ่อเริ่มสอน “มโนมยิทธิ” แบบครึ่งกำลัง ในตอนนี้หลวงพ่อเล่าว่า สมเด็จทรงตรัสว่า

“ต่อจากนี้ไปอีก ๒๐ ปี อภิญญาใหญ่จะเข้า”



ฉะนั้น เมื่อ ๒ – ๓ ปีที่ผ่านมา หลวงพ่อบอกว่าเวลานี้ เกณฑ์ “อภิญญา” จะเริ่มเข้า ให้พระไปฝึก “กสิณ” ชอบกสิณกองไหน ให้ฝึกกองนั้นก่อน แล้วกองอื่นๆ จะตามมา แล้วท่านได้สั่งให้พระเจ้าหน้าที่เปิดเทป “การฝึกกสิณ” ที่หลวงพ่อเคยสอนไว้แล้ว นำมาเปิดเสียงตามสายอยู่พักหนึ่ง

ในตอนงาน “หล่อสมเด็จองค์ปฐม” วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕ ได้มีอาจารย์นำเด็กนักเรียนชั้น ป.๒ มาจากโรงเรียนแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จำนวนหลายสิบคน เฉพาะที่ได้มโนมยิทธิสามารถขอสิ่งของจากเทวดานางฟ้าได้ มีอยู่ประมาณ ๓ – ๔ คน

เธอได้มากราบนมัสการหลวงพ่อที่ตึกรับแขก แล้วขอเหรียญ ๑ บาทจากหลวงปู่ปาน ปรากฏว่าเธอสามารถขอมาได้จริงๆ ต่อหน้าญาติโยมทั้งหลายในขณะนั้น ปรากฏว่าหลังจากกลับไปแล้ว อาจารย์เขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังว่า

มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่เคยมาวัดนี้ เธอสามารถลอยขึ้นไปในขณะยืนอยู่ โดยลอยสูงขึ้นไปพอพ้นหัวเพื่อนๆ ด้วยกัน แล้วจึงค่อยๆ ลงมา เธอได้เล่าให้ฟังว่า นางฟ้าเอา “เกือกแก้ว” จากสวรรค์มาให้ใส่ จึงสามารถลอยขึ้นได้ แต่ตอนนี้ต้องขอเอากลับไปก่อน ไว้เวลาไม่มีใครเห็น จะเอามาให้ใส่อีก

ในขณะที่บันทึกอยู่นี้ ก็ได้รับทราบข่าวเพียงแค่นี้ ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์อะไรอีก ไว้คอยติดตามข่าวต่อไป อีกไม่นานเกินรอใกล้เวลาที่จะครบ ๒๐ ปี ตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ เราก็คงจะได้พบเห็นสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านี้ (ถ้าไม่ตายจากกันไปเสียก่อนนะ...สำหรับท่านที่ชอบฤทธิ์เดชทั้งหลาย...)

พุทธพยากรณ์ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๑


(จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑)

พระที่จบ ป.๔ มี ๔ องค์
พระจบ ป.๓ กำลังเรียน ป.๔ มี ๑๗ องค์
พระจบ ป.๓ ยังไม่เข้าเรียน ป.๔ มี ๑๓ องค์
ป.๒ ที่เป็นพระจบ ๑ องค์ ที่เป็นฆราวาสจบ ๓๒ คน
ป.๑ พระ ๑๓ องค์ ฆราวาส ๑๓๗ คน

“อีก ๑๐ ปี พระจบ ป.๔ อีก ๗ องค์ นอกนั้นจบเมื่อใกล้ตาย ฆราวาสจะจบ ป.๔ เมื่อใกล้ตายจากนี้ไปอีก ๕๐ ปี อีกนับแสนคน..”

พุทธพยากรณ์ วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๔


(บ้านสายลม กรุงเทพฯ)

...สัญญาต่ออายุหมดไปเมื่อวันที่ ๑๘ แล้วก็ต่อมาวันที่ ๒๖ เสมหะก้อนใหญ่มันออก ทุกอย่างหายหมด แล้วท่านก็บอกว่า“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปให้สอนเฉพาะสังโยชน์”

ท่านบอกต่อไปว่า ขอให้อยู่ต่อไปสักหน่อยหนึ่ง
ถามท่านว่า ถ้าอยู่แล้วจะมีประโยชน์อะไร
ท่านบอกว่า “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (ท่านไม่บอกกำหนด) จะมีคนบรรลุอรหันต์ถึง ๗๐๐,๐๐๐ คนเศษ”

คำพยากรณ์ วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๓๕


(บ้านสายลม กรุงเทพฯ)

“...เมื่อคืนนี้ท่านลุงบอกว่า คนจะไปนิพพานกันได้ทั้งหมด ความจริงคนทุกคนนี่ไปนิพพานหมดไม่มีใครเหลือ แต่จะไปก่อนไปหลังอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ใครขี้เกียจมากก็นานหน่อย ขี้เกียจน้อยก็เร็วนิด ถ้าธุรกิจมากเห็นจะนานมากหน่อย เพราะอะไรรู้ไหม...เพราะจิตมีกังวล แต่ว่าเราก็ต้องแบ่งเวลา.. .

คำสัญญาจากท่านพระยายมราช(หลวงพ่อเล่าที่สายลม เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๓๕)

“...เมื่อกี้นี้เขาอุทิศส่วนกุศลนะ แล้วลุงทั้งสองท่านก็มายืนอยู่
ท่านเลยบอกว่า ให้ทุกคนนึกว่าร่างกายมันไม่ดี และที่เรามีทุกๆ อย่าง เพราะอาศัยร่างกายอย่างเดียวนะ คราวนี้ ท่านบอกให้นึกไว้เสมอ

ถ้าเวลาจะตายให้สังเกตดู ถ้าใครยังเห็นว่าร่างกายดี “จะปวดท้อง” เอาอย่างนั้นนะ เอาหมดเลย ท่านบอกทั้งหมด เพราะว่าถ้าไม่ใช่พวกเก่า ไม่มา พวกนี้เป็นพวกเก่า และมีบุญล้นแล้ว ควรจะไปนิพพานได้แล้ว”

“ท่านบอกว่า ทุกคนทำบุญล้นแล้ว แต่ต้องทำเรื่อยไปนะ ถ้าบุคคลใดยังมีความประมาทอยู่ เพียงคิดว่าร่างกายดี “จะปวดท้อง” ปวดมากด้วย ปวดจนกระทั่งเห็นว่าร่างกายดี จึงจะตาย ทำไมจึงปวด...ท่านทำให้ปวด ท่านจะไล่นะ...วิธีไล่ของท่าน!”

(หมายเหตุ ผู้เขียนขอเสริมจากคำบอกเล่าจากผู้อื่น ที่ได้รับฟังมาจากหลวงพ่อที่บ้านสายลมเช่นกันว่า ในขณะที่ป่วยหนักใกล้จะตายนั้น ท่านปู่พระอินทร์ก็จะมาปรากฏให้เห็นด้วย)

เป็นอันว่า ผู้เขียนก็ได้รวบรวม “โอวาท” เก่าๆ รวมทั้ง “คำพยากรณ์” ต่างๆ ที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงใกล้วาระสุดท้ายของท่าน คือการสอนกรรมฐานที่บ้านสายลม และงานทำบุญวันเกิดของท่าน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ โดยนำข้อมูลเหล่านี้มาลำดับไว้แต่เพียงโดยย่อ พอที่ผู้อ่านจะค้นคว้าได้สะดวก

จึงหวังว่าคงจะเป็นที่พอใจแก่ผู้อ่านทุกท่าน หากมีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด ขอได้โปรดช่วยทักท้วงด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ ขอสรุปไว้แต่เพียงย่อๆ ว่า เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ เวลา ๕.๐๐ น. พระกาล มาบอกหลวงพ่อว่า เป็นเวลาที่จะต้องไปจากโลกนี้แล้ว
ครั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ตลอดถึงเทพพรหมทั้งหลายมาห้อมล้อมไว้ หลวงพ่อจึงมีชีวิตอยู่ได้อีก

ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันมรณภาพ นับเป็นเวลาเกือบ ๑ ปีพอดี หลวงพ่อคงจะทราบไว้ก่อนตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ท่านถึงได้เร่งรัดงานต่างๆ พร้อมทั้งมอบหมายภารกิจไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาท่านก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ คงทิ้งไว้แต่สังขารที่เป็นทุกข์ เพื่อไปสู่แดนที่เป็นเอกันตบรมสุขอย่างแท้จริง

ฉะนั้น ก่อนที่จะยุติข้อเขียนนี้ ขอนำ “จดหมายของหลวงพ่อ” มาปิดท้ายรายการ เพื่อนำมารวบรวมไว้เป็นประวัติ มิใช่จะมีเจตนาเป็นอย่างอื่น แต่เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นความวิริยะอุตสาหะ ในฐานะที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ ท่านยังได้เสียสละเวลาตอบจดหมายแก่ลูกศิษย์ทุกคน ที่มีความขัดข้องใจในธรรมะ

ซึ่งในเวลานั้นผู้เขียนยังมีความสับสนในข้อปฏิบัติ เพราะศึกษาจากแต่ละสำนักแล้ว ท่านสอนไม่เหมือนกัน จึงทำให้ต้องเขียนจดหมายไปรบกวนหลวงพ่อ และท่านก็ได้กรุณาตอบให้ทราบไว้ดังนี้...

วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท
๑ กรกฎาคม ๒๕๑๗

คุณชัยวัฒน์ นาคสวัสดิ์

จดหมายของคุณมาคอยฉันที่วัดนานแล้ว แต่ฉันไม่มีเวลาอ่าน ทั้งนี้เนื่องด้วยการเดินทางเป็นเหตุ มาวันนี้พอมีเวลาบ้าง จึงค้นจดหมายที่คั่งค้างประมาณ ๕๐ ฉบับเศษ ออกมาตรวจ ปรากฏว่าจดหมายของคุณแอบมานอนกับกองจดหมาย อาศัยที่จดหมายมีมากจัด ขอตอบสั้นๆ ดังนี้

(๑) การได้ทิพยจักขุญาณ ไม่จำเป็นต้องได้พระโสดาบัน เมื่อฝึกอารมณ์เข้าถึง
อุปจารสมาธิ ก็ทำให้เกิดได้ แต่ไม่ใคร่สว่างหรือชัดเจน ต่อเมื่อฌานสูงขึ้น และทรงตัวได้ดี
ก็จะสว่างและชัดเจนขึ้นตามขนาดของฌาน
ถ้าเป็นพระอริยเจ้า ก็จะชัดเจนมากขึ้น อุปาทานจะไม่ใคร่ล้อเลียน แต่ก็เอาแน่ไม่
ใคร่ได้นัก ทางที่ดีเมื่อได้แล้ว ควรหาทางติดต่อกับพระพุทธเจ้า ผลจะสมบูรณ์แบบ

(๒) สวรรค์มี ๖ ชั้น พรหมมี ๒๐ ชั้น คือ รูปพรหมมี ๑๖ ชั้น พรหมที่ไม่มีรูปมี
๔ ชั้น รวม ๒๐ ชั้นพอดี

(๓) ถ้าเราให้เป็นกสิณโดยตั้งใจไว้เดิมว่า เพ่งสีเขียว ก็เป็นนิมิตกสิณ ถ้าไม่ได้
ตั้งใจไว้เดิมมันปรากฏเอง เป็นนิมิตของอานาปานุสสติ

(๔) เรื่องการเพ่งนิมิต จะเอาไว้ภายในหรือภายนอก ก็มีผลเสมอกัน

(๕) ดวงปฐมมรรค ที่แท้ก็คือดวงกสิณ เมื่อมีสมาธิดี และอารมณ์ตัดสังโยชน์
สามได้ ก็เป็นปฐมมรรค ถ้าอารมณ์ตัดสังโยชน์ไม่ได้ก็เป็นกสิณธรรมดา ดูแต่ดวงไม่ได้
ต้องดูใจที่ละกิเลสด้วย

ขอตอบเท่านี้นะ หวังว่าคงจะเข้าใจ ด้วยจดหมายที่จะตอบมีมาก และเห็นว่าตอบเท่านี้ก็พอแล้ว

ขอได้รับความนับถือ
(พระมหาวีระ ถาวโร)

บทสุดท้าย


พบกันที่สถานีรถไฟ


ขอวกกลับมา ณ บริเวณชานชาลาสถานีอีกครั้ง เพราะมัวไปเสียเวลาย้อนอดีตเสียยืดยาว ไม่รู้ว่าท่านผู้อ่านจะรำคาญบ้างหรือเปล่า ขอให้อดทนเรื่องอนาคตกันอีกนิดนะ ในตอนนี้ใกล้เวลารถจะออกแล้ว ท่านผู้โดยสารจะเตรียมไปกับรถขบวนไหนกันล่ะ...?

ถ้าจะไปกับรถขบวนเที่ยวนี้ ซึ่งเป็นขบวนรถเที่ยวสุดท้าย ก็รีบไปซื้อตั๋วกันเลย ประเดี๋ยวจะไม่มีที่นั่ง ที่ช่องขายตั๋วเขามีให้เลือก สำหรับใครจะไปลงที่ไหน ก็ตัดสินใจกันเอาเอง เพราะรถเที่ยวนี้คนเยอะเหลือเกิน

ใครจะไปยังจุดหมายปลายทาง คือจะไปชาตินี้เลย ก็หล่อ “สมเด็จองค์ปฐม” ไว้ไงล่ะ ส่วนใครจะลงพักระหว่างทาง คือจะรอไปสมัย “พระศรีอาริยเมตไตรย” ก็เตรียมตัวไว้ได้ ในปี ๒๕๓๗ จะจัดพิธีหล่อพระศรีอาริย์ ซึ่งเป็นไปตามกำหนดการเดิมก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ใครจะไปลงยังที่ใด โปรดติดต่อจองตั๋วไว้ได้เลย

เก๊งๆๆ...เสียงระฆังดังเป็นสัญญาณเตือนแล้ว ขอหยุดเขียนเพียงเท่านี้ เพราะรถไฟเตรียมเคลื่อนขบวนแล้ว ปู๊นๆ ... พร้อมกับเสียงหวูดรถไฟ เตือนให้ผู้โดยสารเตรียมขึ้นนั่งบนรถให้เรียบร้อย

ผู้โดยสารทุกคนต่างก็มีตั๋วไว้เป็นของตนเองแล้ว ขบวนรถได้เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากชานชาลาสถานีอย่างช้าๆ ทุกคนนั่งหลับตาผ่อนลมหายใจอย่างสบายๆ คลายความตึงเครียดทุกอย่าง ภาระต่างๆ ที่แบกไว้ บัดนี้ได้วางไว้เบื้องหลังทุกอย่าง จิตใจจึงปลอดโปร่งโล่งไปหมด กลับมาจดจ่ออยู่เฉพาะจุดหมายปลายทางเท่านั้น...ที่ได้คืบคลานเข้ามาแล้ว...ใกล้เข้ามาแล้ว...ทุกขณะ!

ขอโทษ...อย่าเพิ่งนั่งหลับเพลิน ประเดี๋ยวจะเลยสถานี เพราะเมื่อตื่นขึ้นจึงรู้ว่าฝันไป ถึงแม้จะเป็นความฝันหรือไม่เพียงใด ก็ขออวยพรให้ผู้อ่านหรือผู้โดยสารทุกท่าน จงประสบกับความจริงคือ “อริยสัจจธรรม” ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้มีพระคุณใหญ่ของพวกเรา ได้นำมาปูพื้นฐานไว้เป็นแนวทาง เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาตลอด ๕,๐๐๐ พระวัสสา

เป็นอันว่า ในกาลอวสานอันเป็นชาติสุดท้ายนี้ หลวงพ่อท่านได้ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครบถ้วนทุกประการแล้ว จึงขอให้ผู้อ่านทุกท่านที่ได้มีโอกาสร่วมสร้างบารมีมากับท่าน นับตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ ได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อความพ้นทุกข์เช่นเดียวกับท่าน

ทั้งนี้ จะเป็นชาติปัจจุบันก็ดี หรือสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยก็ดี จงสำเร็จ...จงสำเร็จ...และจงสำเร็จ...โดยรวดเร็วและฉับพลัน ทุกท่านทุกประการเทอญฯ

◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 17/11/10 at 16:00

8

(Update 17-11-53)

เลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงพ่อ


พระพงษ์ศักดิ์ คัมภีรธัมโม



...เมื่อปี ๒๕๓๔ ข้าพเจ้าได้รับรูปหล่อเหมือนองค์จริงหลวงพ่อมาเก็บไว้ไม่ถึงเดือน ปรากฏว่ามีพระธาตุงอกออกมาจากตาท่าน และมีงอกเพิ่มให้เห็นกับตา ซึ่งมีพระที่อยู่ด้วยก็เห็นด้วย ข้าพเจ้าได้บูชาพระรุ่นนี้และได้อาราธนาจนหลับไป และฝันว่ามีพระมาบอกคาถา แล้วให้ท่องตามหลายครั้งจนจำได้ คาถามีดังนี้

...“ราหูนายาจาติ”

...แล้วต่อมาข้าพเจ้าได้ไปกราบเรียนหลวงปู่ครูบาชัยวงษาพัฒนา ท่านทำสมาธิแปลให้ ท่านบอกว่า “ขันธ์ ๕ เป็นของหนัก ให้พิจารณาปล่อยวางจึงจะเบา” เหมือนคาถาที่ให้ท่อง “ราหูนายาจาติ”

...ในสมัยที่เป็นฆราวาสได้เคยไปฝึกมโนมยิทธิที่ซอยสายลม ยังไม่เห็นอะไร แต่จะเห็นพระพุทธรูปใสเป็นแก้ว ค่อยๆ ชัดขึ้นๆ แต่เกิดความสงสัย เพราะเห็นพระก่อนที่จะฝึกมโนมยิทธิ พอกลับมาที่พักก็ได้ฝึกเองอีก โดยนั่งในท่าที่สบาย ประมาณ ๕ นาที ก็เห็นแสงพุ่งมาด้านขวา แล้วเห็นหลวงพ่อยืนถือไม้เท้า มือซ้ายถือย่าม อยู่หน้าบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ หลวงพ่อยืนยิ้มให้สักครูหนึ่งก็หายไป

ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่ามโนมยิทธิเป็นของจริง แต่การที่จะฝึกให้ได้ผลนั้นต้องปฏิบัติตามที่หลวงพ่อแนะนำ โดยเฉพาะอย่าเครียดจนเกินไป และถ้านั่งกรรมฐานก็นั่งในท่าที่สบายที่สุด กำหนดลมหายใจเบาๆ สบายๆ

แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมากราบหลวงพ่อนั้น มีคนว่าท่านในทางไม่ดี ข้าพเจ้าจึงอยากมาหาท่าน และได้ไปกราบท่านครั้งแรกที่ซอยสายลม พอเห็นท่านแล้วก็เกิดความเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อขึ้นมาในใจ ตอนท่านลงมารับแขกที่บ้านซอยสายลม ท่านได้จ้องมองหน้าข้าพเจ้านานๆ พอข้าพเจ้าหลับตาลง ทันใดก็เห็นแสงสว่างกลมๆ ๔ – ๕ ดวงขนาดเท่าลูกส้มโอ พุ่งมาจากองค์หลวงพ่อ ข้าพเจ้าจึงเกิดความเชื่อมั่นว่า หลวงพ่อไม่ใช่พระธรรมดาแน่ จึงเกิดความศรัทธาและเคารพบูชาท่านตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ผลบุญใดที่ลูกได้บำเพ็ญมาแล้วในพระพุทธศาสนา ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ลูกขอน้อมอุทิศถวายเพื่อบูชาพระคุณแด่องค์หลวงพ่อ ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตารับเพื่อประโยชน์ของลูกในสัมปรายภพ คือพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด

◄ll กลับสู่สารบัญ



9

คุณวิเศษของมโนมยิทธิ


พระเกรียงศักดิ์ ปภากโร



...ผมเคยไปจำพรรษาที่วัดท่าซุง ปี ๒๕๑๘ – ๒๕๒๐ (๒ พรรษา) จากนั้นผมก็กลับมาอยู่วัดมหาธาตุ พอทราบข่าวว่าที่วัดท่าซุงมีการสอนมโนมยิทธิปลายปี ๒๕๒๑ จึงไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๒๒ ฝึก ๒ วันจึงได้ วันที่ได้คือวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๒ (วันที่ฝึกได้นี่ผมจำได้เลย) จากนั้นผมก็ปฏิบัติแบบมโนมยิทธิเรื่อยมา จนกระทั่งหลวงพ่อ (พระราชพรหมยาน) อนุญาตให้ผมสอนวิชานี้ได้ และได้เปิดสอนอยู่ที่วัดมหาธาตุ (ที่กรุงเทพฯ) ประมาณ ๑ ปี

...ต่อมาก็มีเหตุการณ์ที่ผมอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง ถึงคุณวิเศษของมโนมยิทธิ ให้ผู้ร่วมฝึกมโนมยิทธิเห็นคุณค่าของวิชานี้ อย่าได้ทอดทิ้งเมื่อได้แล้ว ดังเรื่องราวที่ผมจะเล่าดังต่อไปนี้

เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๒๔ ผมไปทอดผ้าป่าที่อำเภอโขงเจียม จ.อุบลราชธานี ผมไปกับพระอาจารย์ทองสุก อนาลโย ไปกันสององค์ เมื่อทอดผ้าป่าเสร็จแล้ว ผมและพระอาจารย์ทองสุกก็แวะไปกราบหลวงพ่อชา สุภัทโท ตอนไปคราวนั้น หลวงพ่อชาร่างกายยังปกติ รับแขกได้ (วัดหนองป่าพง) ตอนที่ไปถึงปรากฏว่ามีคนกลุ่มใหญ่ประมาณ ๓๐ คนเดินสวนทางออกมา

พอเขาเห็นผมและพระอาจารย์ทองสุกเดินมา เขากลุ่มนั้นก็บอกว่า หลวงพ่อชาไม่รับแขกแล้ว ท่านขึ้นกุฏิพัก ผมก็ไม่ใส่ใจ ก็เดินสวนเข้าไป ซึ่งขณะนั้นตอนที่ผมไปถึงวัดหนองป่าพง ก็มีญาติโยม ๑๐ กว่าคน ซึ่งทราบภายหลังว่า มาจากจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ เห็นผมและพระอาจารย์ทองสุกเดินเข้าไป ก็เลยเดินตามหลัง (ทั้งๆ ที่ได้ยินคำพูดจากคนกลุ่มนั้นว่า หลวงพ่อชาไม่รับแขก ขึ้นกุฏิพักแล้ว)

เขาคงนึกว่าผมคงมีเส้นหรือมีทางอะไรก็ได้ ขณะที่ผมเดินเข้าไป ในฐานะที่ผมเคยฝึกมโนมยิทธิมาจากวัดท่าซุง ก็เลยถอดกายทิพย์ล่วงหน้า เข้าไปกุฏิหลวงพ่อชา กราบเรียนท่านว่า “หลวงพ่อครับ ผมขอกราบหน่อย”

พอเดินไปถึงกุฏิท่าน มองไปที่ชั้นบนเห็นท่านกำลังห่มผ้าจีวรยังไม่เสร็จเลย
พอเข้าไปถึง ท่านก็ห่มเสร็จพร้อมกับเดินลงมาพอดี
ลีลาท่านแปลก ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ท่านลองใจดูว่าจะทำอย่างไรกับท่านต่อไป
พอท่านลงมาถึง ท่านก็นั่งเก้าอี้หวาย (ดังภาพที่ผมขอถ่ายกับท่านในวันนั้น) ท่านรับแขกอยู่ใต้ถุนกุฏิ ผมนั่งทางซ้ายมือของท่าน และมีญาติโยมจากจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ นั่งอยู่ด้านขวาของหลวงพ่อชา

หลวงพ่อชาท่านก็หันมาถามผมว่า “มาจากไหน?”
ผมก็ตอบว่า “มาจากกรุงเทพฯ ครับ”
ท่านถามคำเดียว แล้วท่านก็หันหน้าไปคุยกับพวกที่มาจากจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ตั้งนาน ประมาณ ๕ นาทีได้ แล้วค่อยหันมาถามผมว่า “มาจากวัดไหน?”
ผมตอบไปคำเดียวว่า “มาจากวัดมหาธาตุ”

แล้วหลวงพ่อชาก็หันกลับไปคุยกับคณะญาติโยมอีกตั้งนาน
แล้วจึงหันมาถามผมอีกว่า “มาทำอะไร?”
ผมก็ตอบว่า “มาทอดผ้าป่าที่อำเภอโขงเจียม เลยถือโอกาสแวะมากราบหลวงพ่อ”
แล้วท่านก็หันกลับไปคุยกับพวกญาติโยมอีก ทำให้รู้สึกว่าท่านไม่ได้ใส่ใจในการที่มาพบท่าน ผมเลยโพล่งออกไปว่า “หลวงพ่อครับ ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” (หลวงพ่อพระราชพรหมยานในขณะนี้)

เท่านั้นแหละ ท่านกำลังคุยๆ อยู่ทางคณะญาติโยม ท่านหันกลับมาจ้องผมแล้วถามขึ้นว่า “หลวงพ่อฤาษีอยู่ในป่าหรืออยู่ในเมือง?”
ถ้าในวันนั้นผมไม่ได้ทรงอารมณ์ของมโนมยิทธิเอาไว้ คงตอบท่านไม่ได้ เมื่อท่านถามเสร็จ อารมณ์จิตของผมตอบมา ๑ คำว่า
“หลวงพ่อฤาษีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเรียบร้อยแล้วครับ”
หลวงพ่อชาเลยหัวเราะใหญ่ หัวเราะลงลูกคอ ชอบใจในคำตอบ ท่านตบเข่าหัวเราะใหญ่ (แสดงว่าผมตอบถูก)

ต่อจากนั้น หลวงพ่อชาก็คุยกับผมดี ไม่หันไปทางอื่น
ท่านก็ถามว่า “หลวงพ่อสอนอะไร?”
ผมก็ตอบว่า “หลวงพ่อสอนตัดขันธ์ ๕ ครับ”

ท่านพูดว่า “เออดี คนที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ก็ต้องตัดขันธ์ ๕ ได้ ถ้าคนไหนตัดขันธ์ไม่ได้ ก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้”
แล้วท่านก็ย้อนถามผมพร้อมกับชี้หน้าว่า “คุณตัดได้หรือยัง”
ผมก็ตอบว่า “บางทีก็ได้ บางทีก็ไม่ได้”

ท่านก็ร้องว่า “ว่ะ เป็นถึงครูบาอาจารย์เขา ตัดขันธ์ ๕ ไม่ได้ก็แย่ซิวะ” (ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยบอกท่านว่าผมสอนกรรมฐาน ซึ่งตอนนั้นผมเริ่มสอนมโนมยิทธิมาได้ ๑ ปีแล้ว”
แล้วท่านก็ถามผมว่า “เรียนบาลีหรือเปล่า? เป็นมหาหรือเปล่า?”
ก็เลยกราบเรียนท่านว่า “เรียนน่ะเรียนครับ แต่ไม่ได้สอบกับเขา”
ท่านก็พูดว่า “เออดี พระนักปฏิบัติอย่างเราไม่จำเป็นต้องเรียนมาก ยิ่งเรียนมากยิ่งโง่”

ผมก็เลยกราบเรียนท่านว่า “ผมสอบได้นักธรรมเอก”
ท่านก็พูดว่า “เอ้ย! เรียนเกินไป นักปฏิบัติอย่างเราแค่นักธรรมตรีก็พอ ไม่ต้องเกินนักธรรมตรี”
จากนั้นท่านก็สอนวิธีปฏิบัติแบบพุท-โธ แบบสายพระอาจารย์มั่น หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ก็กราบลาท่าน

ไขปริศนา เมื่อเริ่มต้นตอนที่หลวงพ่อชาถามว่า
“หลวงพ่อฤาษีอยู่ในป่าหรืออยู่ในเมือง?”
ผมก็ตอบว่า “ท่านอยู่ริมฝั่งน้ำ”
ตามปกติผู้ฟังอาจนึกว่า มันเป็นคนละเรื่อง แต่ความจริงมันเป็นเรื่องเดียวกัน
ขณะที่เดินออกมา คณะญาติโยมจากจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ก็ถามผมว่า หลวงพ่อชาถามผมอย่างหนึ่ง ทำไมผมตอบอีกอย่างหนึ่ง ผมจึงต้องอธิฐานให้ฟังว่า
คำถามนั้นเป็นคำถามปริศนาธรรม หากผมตอบว่าหลวงพ่อฤาษีอยู่ในเมือง แสดงว่าท่านเป็นพระระดับสุกขวิปัสสโกหรือเตวิชโช

แต่ถ้าตอบว่า ท่านอยู่ในป่า แสดงว่าท่านเป็นพระระดับอภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณ
แต่ในฐานะที่ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยาน) รับคำสอนจากท่าน สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างมั่นใจ และแน่ใจว่าหลวงพ่อเป็น คือท่านเป็นพระอรหันต์แน่ จึงตอบว่า หลวงพ่อฤาษีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเรียบร้อยแล้วครับ ความหมายของคำตอบนี้ก็คือ พระอรหันต์นั้นคือผู้ข้ามห้วงน้ำแห่งวัฏสงสารได้แล้วนั่นเอง
คำตอบที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ได้จากการที่ผมได้ฝึกมโนมยิทธิขอให้ทุกๆ คนอย่าทิ้งไป จะได้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง

◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 4/12/10 at 13:20



10

ลูกศิษย์ล่าสุด


พระชลอ โฆสธัมโม



...สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต


...ข้าพเจ้าได้ยินชื่อ “วัดท่าซุง” มานานแล้ว ใครๆ หลายคนก็ชวนมาเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรบ้าง ชวนมาเรียนมโนมยิทธิบ้าง ข้าพเจ้าก็เฉยๆ เพราะไม่มีบุญนั่นเอง เคยมาเหมือนกัน ว่าจะมาดูว่าเขาทำกันอย่างไร แต่พอมาเห็นรถบัสจอดซ้อนกันเป็นสิบๆ คัน (หรืออาจจะร้อยคันก็ได้) รู้สึกว่าตัวเราคงจะเข้าไม่ถึงหลวงพ่อ ก็เลยผลัดไปก่อน เมื่อไรมาก็ได้ เราคงไม่ตายเร็ว หลวงพ่อก็คงจะเช่นเดียวกัน นี่แหละ...ความประมาท

จนถึง พ.ศ.๒๕๓๔ ได้ทราบข่าวว่า เกสาหลวงพ่อเป็นพระธาตุ และชานหมากของหลวงพ่อก็เป็นพระธาตุ รวมทั้งได้แรงกระตุ้นจาก นายแพทย์ปัญจะ ไม้เกตุ ก็เลยเริ่มเกิดสนใจ พอสนใจก็ต้องรีบ “ลุย” กลัวว่าจะไม่ทันคนอื่นเขา คนประมาทมันก็ต้องอย่างนี้แหละ หนังสือต่างๆของหลวงพ่อใครมีบ้าง ก็ขอยืมเขามาอ่าน

โชคดีจริงๆ พ.ต.เยี่ยม – คุณวรรณี จันทรวงศ์ ขนเอามาบำรุงห้องสมุดวัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก (ตอนนั้นข้าพเจ้าอุปสมบทอยู่วัดจุฬามณีแล้วได้ ๓ พรรษา รับหน้าที่เป็นบรรณารักษ์) และนายแพทย์ปัญจะ ยังส่งเทปมาให้อีกกล่องใหญ่ของหลวงพ่อทั้งนั้น ก็เลยได้ทราบประวัติและผลงานของหลวงพ่อพอสมควรทีเดียว คิดอยู่ในใจว่า วันหนึ่งจะต้องมากราบหลวงพ่อให้ได้ มีหลายเสียงว่า หลวงพ่อเข้าพบยาก ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาก และท่านก็เป็นพระผู้ใหญ่ พระเล็กๆ อย่างเราจะเข้าถึงหรือ?

ต่อมาได้ยินวิทยุประกาศว่า หลวงพ่อจะมาโปรดชาวพิษณุโลกที่บ้านคุณสันต์ ภู่กร ก็ดีใจ ชวนเพื่อนพระด้วยกันไปรับฟังธรรมะจากท่าน ก็ได้แต่เห็นท่านห่างๆ ได้ยินเสียงท่านไม่จุใจเท่าไร เวลาท่านนั่งรถออกมาจากบ้าน เพื่อมาต่อรถบัสคันใหญ่ที่ถนนนอก ได้ออกมาดักรอท่านอยู่ระหว่างทาง ยังไงๆ ต้องขอให้เห็นหน้าท่านให้ชัดๆ สักหน่อยเถอะน่ะ ก็ได้เห็นจริงๆ

เราสองรูป ยืนพนมมือรอท่านอยู่ รถท่านผ่านมา ท่านพนมมือรับไหว้พร้อมด้วยดวงหน้าที่ยิ้มละไม ดวงตาทั้งคู่ของท่านฉายแสงความเมตตากรุณาเป็นอย่างยิ่ง เอ ท่านไม่ดุนี่ ใครว่าท่านเข้าพบยาก นี่แหละ...สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น เอาละ ต้องเข้าพบท่านใกล้ๆ ให้ได้ เราจะโชคดี มีบุญหรือไม่หนอ? จากวัดจุฬามณี พิษณุโลก ถึงวัดท่าซุง อุทัยธานี ก็ไม่ไกลเท่าไร

แต่เงินเราขาดแคลน ก็เหมือนไกล อย่างน้อยก็ต้องมีสัก ๒๐๐ บาท เราจะหาได้ที่ไหนหนอ? คิดอยู่เรื่อยมา ทำวัตรสวดมนต์และนั่งกรรมฐานเสร็จทีไร ก็คิดถึงแต่หลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อบันดาลให้มีใครนำเงินมาถวายสัก ๒๐๐ บาทเฮอะ จะได้มีโอกาสเข้ากราบชมบารมีของท่าน และแล้ว...ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น

วันหนึ่ง นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องสมุด มีโยมคนหนึ่งมาอาราธนาให้ไปแสดงธรรมแก่นักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลพิษณุโลก ข้าพเจ้าเทศน์ไม่ค่อยได้
ถามว่า ใครให้มาอาราธนา เขาว่าหลวงพ่อพระครูพิทักษ์จุฬามณีเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของข้าพเจ้าสั่งให้มาเพราะท่านไม่ว่าง ก็จำเป็นอยู่เองที่ข้าพเจ้าจะขัดหาได้ไม่ จำต้อง “ด้น” เรื่องอิทธิบาท ๔ ซึ่งเป็นยาหม้อใหญ่สำหรับนักศึกษาทุกระดับ

พอถึงวิทยาลัยจึงได้ประจักษ์ปาฏิหาริย์ คือวิทยาลัยอาราธนาพระอีกรูปหนึ่งวัดอื่นไว้ก่อนแล้ว ล่วงหน้าหลายวัน วัดนั้นอยู่ก่อนถึงวัดจุฬามณีอีก แต่เจ้าหน้าที่เจอแรงบันดาลอย่างไรก็ไม่ทราบ เรื่อยเฉื่อยเลยวัดนั้นมาจนถึงวัดจุฬามณี เพราะข้าพเจ้ามาทีหลัง (ความจริงมาก่อน แต่ได้รับอาราธนาภายหลัง) ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้แสดงธรรมแก่นักศึกษา และได้รับถวายปัจจัย ๒๐๐ บาทพอดี รุ่งเช้า ก็รีบเดินทางมาวัดท่าซุงทันที ทีแรกก็ไม่คิดอะไร คงไม่ใช่ปาฏิหาริย์อะไร อาจบังเอิญก็ได้ ขอให้ท่านทั้งหลายอ่านต่อไป

วันนั้นได้เข้ากราบท่านที่อาคารรับแขก ซึ่งมีญาติโยมอยู่เต็มไปหมด พอถวายสังฆทาน ๑๐๐ บาทแล้ว ก็มานั่งเก้าอี้ทางขวามือของหลวงพ่อ ไม่ไกลกันนัก หลวงพ่อทักทายปราศรัยกับคนโน้นที คนนี้ที บางทีก็ตอบปัญหาธรรมะที่มีผู้สงสัยนำมาถาม ข้าพเจ้าก็ฟังเพลิน

แล้วหลวงพ่อก็หันมาทางข้าพเจ้าถามว่า มาจากไหน
ข้าพเจ้าพนมมือตอบว่ามาจากวัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก
ท่านถามว่า วัดใหญ่ไหม
ข้าพเจ้าตอบว่า วัดไม่ใหญ่หรอก แต่โบสถ์ใหญ่ (สร้างมาตั้งเกือบ ๒๐ ปีแล้ว ยังไม่เสร็จ...ใหญ่จริงๆ ท่านผู้อ่านไปพิษณุโลก ขอให้แวะดูได้)

มีคำถามหนึ่งที่มาแปลก ท่านถามว่า ให้หวยได้หรือเปล่า?
ข้าพเจ้าตกใจมาก เอ๊ะ หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร (ไม่ใช่ข้าพเจ้าให้หวยได้หรอก) ว่า มีคนมาขอหวยจากข้าพเจ้ามากมาย แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ เพราะให้ไม่ได้
ท่านยิ้มๆเมื่อข้าพเจ้าตอบท่านว่า ให้ไม่ได้หรอกครับ
ท่านพยักหน้าถามต่อว่า ไม่ได้เรียนหรือ

ข้าพเจ้าไม่ทันได้ตอบ ท่านถามต่ออีกว่า มีพระเท่าไร
ข้าพเจ้าตอบว่า ๒๘ รูป
ท่านหัวเราะ แล้วหันไปทางญาติโยม ไม่ใช่ให้หวยนะ จากนั้น ท่านก็พูดกับคนอื่นต่อ ข้าพเจ้านำเรื่องนี้มาเล่าให้หลายคนฟัง เขาจะเอาไปตีเป็นหวยหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่เที่ยวนั้นเลขท้ายหวยไม่ใช่ ๒๘

หลวงพ่อคงห้ามข้าพเจ้ากลายๆ ว่า อย่าได้ริบอกหวยให้ใครเลย ถึงแม้จะบอกก็คงไม่ถูก แล้วยังผิดวินัยอีกต่างหากข้าพเจ้าไปวัดท่าซุงอีกประมาณ ๓ – ๔ ครั้ง และได้รับการศึกษาวิชามโนมยิทธิที่วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรด้วย (ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าข้าพเจ้าเรียนได้แค่ไหน บอกไม่ถูก แต่ที่แน่ๆ คือยังไม่สำเร็จเท่าที่ควร) คิดอยากจะมาอยู่วัดท่าซุงให้ใกล้ๆ ท่าน จะได้เรียนรู้อะไรต่ออะไรมากขึ้นอีก อย่างน้อยก็สัก ๓ วัน ๗ วัน ฉะนั้น

พอมีโอกาสได้ใกล้ท่านอีกครั้งต่อมา ก็ได้เรียนถามท่านว่า “กระผมจะขอมาเรียนมโนมยิทธิที่นี่ได้ไหมครับ?”
ท่านเมตตาข้าพเจ้ามาก ตอบว่า “ไม่มีปัญหามาได้”
“จะต้องใช้เวลาสักเท่าไหร่ครับ?”
“๓ วันก็ได้แล้ว อย่างมากก็ไม่เกิน ๗ วัน มาเลย เอาหนังสือสุทธิและหนังสือรับรองจากเจ้าอาวาสมาด้วย”

จนแล้วจนรอดข้าพเจ้าก็ไม่ได้มาเรียนต่อ ระหว่างนั้น ไม่ทราบว่าอะไรทำให้ข้าพเจ้าท่องคาถาเงินล้าน ไม่ใช่คิดอยากจะรวย เป็นพระ ไม่รู้จะรวยเอาไปทำไม ศรัทธาญาติโยมถวายข้าวปลาอาหารและเครื่องใช้ต่างๆ ให้ ก็พออยู่ ไม่ขาดแคลนอย่างใด ที่ท่องอาจจะเป็นเพราะว่าอยากจะท่อง และอยากจะ “ลอง” ความศักดิ์สิทธิ์ของคาถามากกว่า ทั้งๆ ที่มีตัวอย่างมามากแล้ว แต่สำหรับเรา มันจะเป็นไปได้อย่างไร ท่านผู้อ่าน เดี๋ยวก็รู้ “ผล” ของการลอง

ปกติข้าพเจ้าอยากอยู่เงียบๆ อ่านหนังสือสวดมนต์และนั่งกรรมฐาน คุยบ้าง ไม่ชอบกิจนิมนต์ ปัจจัย (เงิน) ไม่จำเป็นเท่าไร ไม่เหมือนฆราวาส แต่บางคราว ก็ต้องมีเหมือนกัน เพราะข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือธรรมะ ซึ่งจะได้มาก็ด้วย “เงิน” เท่านั้น แปลกดี หลังจากท่องและสวดคาถาเงินล้านแล้ว มีญาติโยมบ้าง ลูกศิษย์บ้าง นำข้าวของมาถวาย พร้อมปัจจัย (เงิน) พอซื้อหนังสือเสมอๆ

เท่านั้นยังไม่พอ สำหรับความศักดิ์สิทธิ์ของคาถา ที่วัดจุฬามณี ข้าพเจ้ารับหน้าที่บรรณารักษ์ดังกล่าวข้างต้น แล้วยังงานสารบรรณ รวมทั้งการเงิน – การบัญชีด้วย ค่อนข้างหนักสำหรับพระอายุ ๗๐ อย่างข้าพเจ้า ต้องรับเงินจ่ายเงินทั่วไปเป็นประจำ แล้วยังเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างโบสถ์อีก ข้าพเจ้าเข้ามาบวช ต้องการศึกษาพระศาสนาทั้งทางด้านปริยัติและปฏิบัติให้รู้ติดตัวไปโลกหน้าบ้าง อีกไม่กี่ปีก็อาจจะ “ไป” แล้ว ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงปรารถนาจะอยู่เงียบๆ กับกรรมฐาน ชำระล้างจิตใจให้สะอาดเท่าที่จะทำได้

พอย่างเข้าพรรษาที่ ๔ จึงขออนุญาตหลวงพ่อพระครูพิทักษ์จุฬามณี ขอขึ้นไปจำพรรษาทางลำปางที่วัดเจดีย์ขาว ปัญหามีอยู่ว่า จะต้องเคลียร์บัญชีและการเงินให้เสร็จเรียบร้อยไปสักช่วงหนึ่งก่อน ซึ่งมีพระรูปหนึ่งมาช่วย คือ พระพงษ์อนันต์ ตปสีโล ระหว่างนั้นข้าพเจ้ายังสวดคาถาเงินล้านอยู่ (แม้กระทั่งบัดนี้)

ตอนนั้นก็ใกล้จะเข้าพรรษา (ที่แล้ว) จึงต้องรีบจัดการเรื่องการเงินการบัญชีให้เรียบร้อยก่อน รีบทำกับพระพงษ์อนันต์ฯ จนดึกๆ หลายคืน เสร็จแล้วจะได้มอบให้คณะกรรมการฯ รับทราบ รับมอบต่อไป ข้าพเจ้ากับพระพงษ์อนันต์ฯ ไปเบิกเงินจากธนาคารมาเพื่อจ่ายให้เจ้าหนี้ห้างร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง

วันนั้นเป็นวันศุกร์ ไปเบิกตอนบ่ายนำมาจ่ายได้ไม่กี่แห่งก็หมดเวลา วันเสาร์ – อาทิตย์ชำระไม่หมด ต้องรอจนถึงวันจันทร์ ชำระเสร็จวันหนึ่ง ก็มาเคลียร์บัญชีกันครั้งหนึ่ง ดูเหมือนวันอาทิตย์จะไม่ได้เคลียร์ เพราะยังไงๆ วันจันทร์ชำระเสร็จ ค่อยเคลียร์ก็ได้

ถึงวันจันทร์ กว่าจะชำระเสร็จก็ตกเย็น พระพงษ์อนันต์ฯ บอกว่า ยังเหลือเงินอีก ข้าพเจ้าตอบว่า ต้องเหลือ เพราะเบิกเงินมาเกินกว่าที่จะต้องใช้จ่าย ต้องสำรองเอาไว้บ้าง คืนวันจันทร์เราก็ช่วยกันเคลียร์ ปรากฏว่า...เงินเกินบัญชี ๗,๘๐๐ กว่าบาท เป็นไปได้อย่างไร?

ข้าพเจ้าถามพระพงษ์อนันต์ฯ ว่า เงินเกินมาได้อย่างไร เวลารับเงินจากธนาคาร นับหรือเปล่า มีคนมาเบิกเงินหลายคน หยิบเอาเงินกองอื่นของคนอื่นมาหรือเปล่า? จ่ายเงินให้เจ้าหนี้ครบหรือเปล่า? และอีกหลายคำถามที่สงสัย ที่อาจจะเป็นไปได้ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าหยิบเงินกองอื่นของคนอื่นมา เจ้าของเขาก็จะต้องโวย จ่ายเงินให้เจ้าหนี้ไม่ครบ เขาก็จะต้องโวย หรือกรณีอื่นก็เหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น แล้วจะทำอย่างไรกันนี่

เรื่องเงินนี่สำหรับพระแล้ว บาทเดียวผิดพลาดไปปาราชิกแน่นอน มันวุ่นอยู่ในสมอง ๒ – ๓ วัน ไม่รู้จะทำอย่างไร จัดการเรื่องนี้ไม่เสร็จ ข้าพเจ้าก็ไปลำปางไม่ได้ เงินตั้ง ๗,๘๐๐ กว่าบาท เงินของใคร ไม่ใช่ของข้าพเจ้าแน่นอน ถ้าจะเข้าบัญชีของวัดมันมาจากไหน ทำบัญชีไม่ได้ ในที่สุด ได้คำตอบว่า เป็นเงินจากคาถาเงินล้าน แล้วจะทำอย่างไรกับเงินนี้?

ยังไงๆ ข้าพเจ้าก็ต้องไปลำปาง มีทางเดียวเท่านั้น เมื่อเงินมาจากคาถาเงินล้านได้มาเมื่อไร? ได้มาเมื่อข้าพเจ้าอยู่วัดจุฬามณี ก็ต้องเป็นของวัดจุฬามณี ถูกหรือเปล่า? ถูกหรือไม่ถูกก็ไม่รู้ละ ข้าพเจ้าจะถือว่าเป็นเงินของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ถวายวัดไป ปลอดภัยที่สุด ข้าพเจ้าก็นำเงินเข้าบัญชีของวัดจุฬามณีไป (โดยไม่มี “ที่มา” ให้เห็นชัดแจ้ง)

แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ยังค้างอยู่ในใจของข้าพเจ้าต่อมา ก็คือ เงินจำนวนนั้นลอยมาได้อย่างไร? มาจากไหน? เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย มีหมายเลขประจำแผ่นธนบัตรทุกแผ่น มาจากท้องพระคลังของรัฐบาลหรือ? ถ้ามาจากท้องพระคลัง เงินจำนวนนั้นจะต้องขาดไปจากท้องพระคลัง มาจากใคร

ก็ต้องหายไปจากของคนนั้น เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้า “แว่บ” ขึ้นในสมองแล้วว่ามาจากไหน (โดยอำนาจของคาถาเงินล้าน) ใครอยากทราบ ถามข้าพเจ้าได้ (แต่เป็นความเห็นของข้าพเจ้าเองนะ ไม่รับรองว่าถูกต้อง)

ข้าพเจ้าศรัทธาและเคารพนับถือพระเดชพระคุณหลวงพ่อมากที่สุด ใจบอกแล้วว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน (อาจจะติดตามท่านอยู่ไกลๆ มาแล้วกี่ชาติก็ไม่ทราบ) จะบอกกับท่านตรงๆ ว่าขอถวายตัวเป็นศิษย์ท่านก็ไม่กล้า เวลาถวายสังฆทานครั้งหนึ่งต่อมา จึงเขียนใส่ซองพร้อมกับปัจจัยว่า “กระผมขอถวายตัวเป็นศิษย์ล่าสุดของพระเดชพระคุณ” แล้วก็ลงชื่อไว้ด้วย แต่ก็คงยังไม่ได้มาฝึกมโนมยิทธิติดต่อกันตามที่ตั้งใจไว้ แม้จะได้กราบเรียนท่านไว้แล้วด้วยก็ตาม ศิษย์ที่ดื้อรั้นอะไรอย่างนี้!

วันนั้น อากาศที่ลำปางขมุกขมัว เยือกเย็นวังเวงพิกล ข้าพเจ้าเพิ่งมาทราบภายหลังว่า เป็นวันที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพนับถืออย่างที่สุดของพวกเราได้จากไป ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ในวันต่อมา ใจโหวงเหวง รู้สึกขาดสิ่งสำคัญของชีวิตไปอย่างหนึ่งที่จะซื้อหา หรือเสาะแสวงมาจากที่ใดๆ มิได้เลย แม้จะไม่มีทางได้เห็นหน้าพระคุณท่านอีก แต่พระคุณท่านได้กล่าวเสมอว่า พระคุณท่านอยู่กับพวกเราตลอดเวลา หากพวกเราปฏิบัติตามคำตักเตือนสั่งสอนของพระคุณท่าน

แต่ข้าพเจ้านี่สิ เป็นศิษย์ล่าสุดที่ดื้อด้านอะไรอย่างนี้!

◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 20/12/10 at 15:51

11

ฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ


แป้งร่ำ บัวเผือก



...เดิมทีเดียวเมื่อราวๆ ปี พ.ศ.๒๕๐๓ ลูกสาวฉันชื่อ สุมาลี เป็นนักเรียนจะไปสอบเข้าทำงาน ก็ไปดูหมอดูกับหลวงพ่อว่า เขาจะเข้าได้หรือไม่ได้ จะเข้าทำงาน สอบอะไรไม่ติด หลวงพ่อท่านว่าไว้อีก ๓ ปีจะได้งาน พอถึง ๓ ปี ก็ไปสอบที่กรุงเทพฯ ก็ได้เป็นทหารหญิง ได้งานตรงตามที่หลวงพ่อพูด (เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นทหารอยู่)

...ฉันมาอยู่บ้านที่จังหวัดชัยนาท บ้านที่ฉันอยู่นี่แหละ ฉันโค่นต้นไม้หมด เพื่อจะปลูกบ้าน แล้วไปเอาต้นมะม่วงที่เจ้าที่เขาอยู่ เขาไม่ยอมให้กินและนอน เวลาขึ้นนอนเตียงก็เหมือนมีไฟลนอยู่ จึงนอนไม่ได้ เวลากินก็กินไม่ได้ นอนไม่ได้ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันป่วยเป็นอะไร

... ก็สงสัยว่าทำไมตัวเองจึงมีอาการอย่างนี้ ลูกสาวฉันก็บอกฉันว่า มีพระดูหมอได้ เขาบอกว่า พระองค์นี้ดูหมอแม่น พระองค์นี้ก็คือ หลวงพ่อ พระมหาวีระ ถาวรโร หรือหลวงพ่อเรานี่เอง

เมื่อลูกสาวเล่าให้ฟังเช่นนั้นแล้ว ฉันก็ไปดู ตอนไปหาท่าน ฉันก็เอาดอกไม้ ธูปเทียน ไปกราบท่านที่วัดโพธิ์ภาวนาราม
ท่านก็ถามฉันว่า “โยมมายังไง?”
ฉันก็เล่าให้ฟังว่า “ฉันกินไม่ได้ นอนไม่ได้”

หลวงพ่อก็เข้ากุฏิประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็ออกมา
แล้วก็ถามว่า “ที่บ้านโยมมีศาลพระภูมิหรือเปล่า?”
ฉันตอบว่า “ไม่มีค่ะ”
แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า “โยมไปโค่นต้นไม้ ต้นที่พระภูมิเจ้าที่เคยอยู่ โค่นไป ๕ ปีแล้ว ไม่สร้างศาลให้พระภูมิเจ้าที่อยู่ เขาเลยมาทรมาน ไม่ให้กินไม่ให้นอนเลย”

ท่านก็ถามพระภูมิเจ้าที่ว่า “จะเอายังไง?”
พระภูมิเจ้าที่ก็บอกว่า “ให้...สร้างศาลให้อยู่”
ฉันก็ตกลงสร้างให้
หลวงพ่อก็แนะนำฉันอีกว่า “ให้สร้างศาล ๔ เสาอีก ๑ ศาล แล้วต่อไปจะมีกินมีใช้”

หลวงพ่อดูให้ฉันถูกตรงๆ หลายอย่าง ตอนท่านย้ายจากวัดโพธิ์ภาวนารามไปวัดปากคลองมะขามเฒ่า ก็ตามไปส่งท่าน
ท่านเคยบอกว่า “อีกหน่อยจะสบาย อีกหน่อยจะมีกินมีใช้” ต่อมาก็ตรงอย่างที่ท่านว่า
ท่านให้คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้ามา ฉันก็ใช้ประจำตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ เวลาใส่บาตรก็ใช้ เวลาฉันจบเงินจบทองก็ทำอย่างที่ท่านบอก อย่างเงินจะไม่มีใช้ พอใกล้เปิดเทอมลูก เงินก็มา เพราะลูก ๗ คน ส่งเข้าเรียนหมด ลูกฉันเดี๋ยวนี้เรียนจบหมด มีเงินเดือนกินกันทุกคน

ก่อนจะฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ฉันก็พูดกับหลวงพ่อว่า “ถ้าหลวงพ่อรับลูกศิษย์ ฉันจะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ”
ท่านพูดว่า “หลวงพ่อปานยังไม่สั่งให้ท่านรับลูกศิษย์”
พอวันแต่งงานลูกสาวคนโต หลวงพ่อก็มาบอกว่า “หลวงพ่อปานสั่งให้รับลูกศิษย์ได้แล้ว”

หลวงพ่ออยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม แต่พาพวกฉันไปรับเป็นลูกศิษย์ในโบสถ์วัดงิ้ว เพราะที่วัดโพธิ์ภาวนารามยังไม่มีโบสถ์ วันที่รับลูกศิษย์นั้นมี ๖ คนคือ ๑.ครูจันทร์นวล นาคนิยม ๒.จ.ส.ต.สง่า บัวเผือก (สามีฉัน) ๓.แป้งร่ำ บัวเผือก (ตัวฉัน) ๔.คุณสมบุญ กุหลาบศรี (น้องสาวฉัน) ๕.สุดใจ หรือชื่อเล่นว่า “กิมลุ้ย” แซ่ตั้ง แต่หลวงพ่อชอบเรียกว่า “แจ๋ว” เพราะท่านบอกว่าชาติก่อนชื่อ “แจ๋ว” ๖.เสริมศรี ส่งศิริ (สำลี)

พอหลวงพ่อรับลูกศิษย์เสร็จ ท่านก็พูดว่า รับลูกศิษย์ ๖ คน จะใช้ได้แค่ ๕ คน
ฉันมีความประทับใจหลวงพ่อหลายอย่าง
1. ท่านทำนายอะไรหรือพูดอะไรเป็นอย่างนั้น มันตรงหมด อย่างเช่น พวกครูหรือใครต่อใครอยากดูอะไร ท่านก็มาดูให้ โดยพวกนั้นนัดกันมารวมกันที่บ้านฉัน แล้วท่านก็ดูให้
ท่านดูให้คนอื่น มีคนหนึ่งปวดหัวมาก แพทย์ตรวจดูแล้วบอกว่า ต้องผ่าตัดสมอง ครั้นพามาหาหลวงพ่อ
ท่านพูดว่า “คนนี้ไปทุบหัววัวมา ไม่ต้องผ่าตัดก็ได้ หรือจะผ่าก็ได้”

ท่านแนะนำให้คนนี้ไปแก้กรรมเรื่องวัว
ท่านพูดว่า กรรมเรื่องนี้มาจากการกระทำในชาตินี้แหละ กรรมที่ไปทุบหัววัว
เขาก็ยอมรับว่าจริง เขาบอกว่าตอนเด็กๆ ไปทุบหัวลูกวัวเขาตาย
อันนี้หลวงพ่อก็พูดได้ตรง
คนนี้ก็ทำตามหลวงพ่อแนะนำ ไปแก้กรรมเรื่องวัวตามที่หลวงพ่อบอกก็หาย แล้วเขาก็ไม่ต้องผ่าตัดสมอง และหายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง (ฉันจำไม่ได้ว่าหลวงพ่อบอกไปให้แก้กรรมอย่างไร เขานั่งดูกันบนบ้าน ฉันนั่งทำขนมขาย)

2. ฉันชอบท่าน เวลามีคนถวายเงินท่าน ท่านไม่เก็บไว้ ท่านทำบุญหมด เวลาถวายส่วนตัว ท่านบอกเหมือนกันแหละ ถวายไปก็เอาไปทำบุญหมด ท่านชอบไปเอาของมาก่อสร้างก่อน แล้วเอาเงินไปใช้หนี้ภายหลัง เวลามีงานก็ให้เจ้าหนี้มารับ หรือให้ธนาคารมาเก็บให้เจ้าหนี้หมด
3. ท่านพูดอะไรพูดเต็มตัว ว่าง่ายๆ ท่านเป็นพระเต็มตัว ท่านไม่โลภ ไม่โกรธ แต่ท่าทางเหมือนโกรธ
4. ฉันเคารพนับถือท่านเหมือนพ่อเลย ท่านสอนอะไรก็จำ

5. ฉันมีความศรัทธาท่าน มีอยู่คราวหนึ่ง ฉันเป็นมะเร็งที่คอ ที่กล่องเสียง ฉันบนบวชชีแบบโกนหัว ไปผ่าตัดมะเร็งออก ก็ไปเอายาสังกรณี ที่เขาสรรพยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เอาคนทรงไปเอายา ก็รักษาหายขาด จึงไปบวชชีโกนหัว ที่วัดปาน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ที่ไม่อยากไปบวชวัดท่าซุงเพราะมีลูกขี้เมา กลัวไปกวน แต่เวลาสึกไปสึกที่วัดท่าซุง สึกกับหลวงพ่อ

หลวงพ่อได้เมตตาบอกว่า เจ้ากรรมเขาเป็นควายเผือก เขามาทวงว่า ชาติในอดีตเคยไปเชือดคอเขา เลยต้องเอาคอฉันไปขึ้นเขียง
หลวงพ่อถามเจ้ากรรมว่า จะหายไหม?
เขาบอกว่า หาย หมดหนี้กรรมกันแล้ว นี่ก็ผ่าตัดมา ๑๐ กว่าปีแล้ว เวลานี้ฉันก็อายุ ๗๒ ปี ก็แก่แล้ว

สรุปแล้วฉันก็พยายามทำตามคำสอนของหลวงพ่อ ก็มีความเชื่อมั่นหลวงพ่อ พยายามทำตามที่ท่านสั่งสอน ท่านสอนอธิษฐานให้เข้านิพพานเลย ก็ตั้งใจแบบนั้น

◄ll กลับสู่สารบัญ



12

เจริญธรรมที่วัดท่าซุง


พวง เทียนน้อย


ตอนพบหลวงพ่อ


...ปัจจุบันนี้ ฉันอายุ ๘๓ ปี ตอนที่พบหลวงพ่อ ตอนนั้นประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๐ เขานิมนต์หลวงพ่อกับหลวงพ่อพระครูสำราญ (พระมงคลชัยสิทธิ์) มาเทศน์คู่กัน มาเทศน์ที่วัดท่าซุง ฉันก็มาทำบุญ มากับแม่น้อย (แม่น้อยอายุมากกว่าฉัน) ฉันมองหลวงพ่อ ก็เห็นแสงสว่าง พุ่งออกมาจากองค์หลวงพ่อหลายสี ดูแล้วมีความสว่าง ก็มีความแปลกใจ

...พอหลวงพ่อเทศน์จบ ฉันกำลังรับประทานอาหารอยู่ หลวงพ่อก็เดินมาหาฉัน
แล้วท่านก็ถามฉันว่า “โยม...อร่อยไหม?”
ฉันก็ตอบว่า “อร่อยเหมือนกันเจ้าค่ะ”
นั่นเป็นการพบกันครั้งแรก แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไร ท่านก็เดินผ่านฉันไป

...ฉันจึงเอ่ยปากถามแม่น้อยที่มาด้วยกันว่า
“แม่น้อย มองดูหลวงพ่อแล้วเห็นอะไรไหม?”
แกบอกว่า “ไม่เห็นอะไร ก็เห็นอย่างกับพระธรรมดาทั่วๆ ไป”


ฉันก็เถียงแกว่า “ไม่ใช่ธรรมดา”
แกก็พูดว่า “คงตาฝาดละมัง”
ฉันก็ยืนยันว่า “ตาฉันไม่ฝาด”
นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันสนใจ และศรัทธาหลวงพ่อขึ้นมา

หลังจากนั้นไม่นาน หลวงพ่อก็ย้ายมาอยู่ที่วัดท่าซุง
ฉันจึงชวนแม่น้อยมาอยู่กับหลวงพ่อ บอกว่าสงสารท่าน ตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีคนมาก
แล้วหลวงพ่อก็ชวนให้ฉันมาอยู่ที่วัด ท่านพูดว่าจะได้มาปฏิบัติพระกรรมฐานด้วย

ต่อมาฉันและแม่น้อยและคุณละเมียด วุฒิยากร ก็มาอยู่ด้วยกันที่วัด หลวงพ่อสร้างที่พักให้ฉันอยู่รวมกัน แต่ฉันและแม่น้อย บ้านอยู่ใกล้วัด ก็ไม่ได้มาอยู่ประจำ มาตอนเย็น ทำวัตร นั่งกรรมฐาน มานอนค้างคืน แล้วเช้าก็กลับบ้าน เพราะว่าพ่อบ้านหุงข้าวได้ แต่ทำกับข้าวไม่เป็น และฉันต้องกลับไปช่วยทำกับข้าวใส่บาตรพระตอนเช้า และเฝ้าบ้านช่วงเช้า ตอนเย็นจึงจะมาวัดได้

เมื่อก่อนที่วัดยังไม่ค่อยมีอะไรอุดมสมบูรณ์เหมือนสมัยนี้ เรียกว่าวัดยังจนอยู่ ไม่ค่อยมีอะไร ฉันก็ไปหาผักบุ้ง ดอกแค ยอดฟักทอง มะม่วง หามาแล้วก็หาบมาถวายที่วัดเป็นประจำ ใครขอซื้อก็ไม่ขาย ฝนตกฟ้าร้องก็หาบมาถวายวัดทุกวัน หาบมาแล้วก็ให้คุณละเมียดเป็นคนทำอาหารถวายหลวงพ่อ

ตอนที่วัดมีงาน ฉันก็ไปนอนที่อาคารสื่อสาร (เป็นอาคารยาว ต่อมาอาคารสื่อสารถูกรื้อออกแล้วสร้างตึกเสริมศรีขึ้นมาแทน) เพราะว่าคณะของ พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ นำกฐินมาทอดที่วัด กลางคืนมีหนังมาฉาย มีลิเก ยายเอียดที่อยู่จังหวัดชัยนาทเขาเล่นลิเกเอง เอาลูกน้องมาผูกโรงลิเก กลางคืนฉันก็กางมุ้งไว้ที่อาคารสื่อสาร คิดว่าจะไปซื้อของกินกับคุณละเมียดแล้วค่อยกลับมานอน ปรากฏว่าพอกลับมายายดีพาหลานมานอนเต็มมุ้งหมด ฉันกับคุณละเมียดก็ไม่มีที่นอน เพราะยายดีกับหลานนอนเต็มไปหมด เลยต้องนอนตากยุง คุณละเมียดบอกให้เอาผ้าห่มคลุมหัว ฉันคลุมไม่ได้เพราะอึดอัดหายใจไม่ออก คุณละเมียดนอนหลับ ฉันนอนไม่หลับ

ตื่นเช้าขึ้นมา ฉันยังไม่ทันเล่าให้หลวงพ่อฟัง แต่ท่านก็รู้ก่อน
ท่านถามขึ้นว่า “เป็นไง โยมพวง เมื่อคืนนอนหลับไหม?”
ฉันตอบว่า “ไม่หลับเจ้าค่ะ”
หลวงพ่อก็พูดว่า “นอนตากยุง ซูบไปเลย”
นี่ท่านรู้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง ท่านพูดแล้วก็ยิ้ม แล้วเดินเข้าครัวไป

ตอนฝึกสมาธิได้แจ่มใสโดยไม่รู้ตัว

พอฉันมาอยู่วัด (มาตอนเย็นนอนกลางคืน เช้าก็กลับบ้านเป็นประจำเช่นนี้เสมอ) หลวงพ่อก็สอนให้นั่งสมาธิภาวนา พุท – โธ ก็มาฝึกหลายครั้ง

จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันพระ ตอนเช้าหลวงพ่อขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ฉันก็ไปฟังหลวงพ่อท่านเทศน์ พอตกกลางคืน หลวงพ่อก็สอนนั่งสมาธิ เวลาท่านสอน ท่านจะขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ คืนนั้น พอฉันนั่งหลับตาภาวนาไปก็เห็นภาพหลวงพ่อ แล้วก็เห็นท่านเปลี่ยนแปลงไปคล้ายกับเป็นองค์เณรองค์น้อยๆ เดินลงมาจากธรรมาสน์ ลงมายืนอยู่ข้างหน้าฉัน สักประเดี๋ยวภาพเณรก็หายไป แล้วก็มีภาพเด็กอายุประมาณ ๗ ขวบ มายืนอยู่ข้างหน้าฉัน

ฉันก็ถามเด็กว่า “หนูจะไปไหน?”
เด็กก็ตอบว่า “ก็มาหาป้าน่ะแหละ”
แล้วเด็กก็วิ่งเข้ามาหาฉันเลย ฉันก็เอามือโอบเด็กเลย
เด็กก็บอกว่า “ลุก ๆ ๆ” ให้ลุกยืน บอกให้ไปดูบ้านเราเสียที

ก็ไปเห็นภาพ “เป็นวังใหญ่โตมาก” เป็นภาพในอดีตชาติ เป็นวังสมัยบารณ ไม่มีไฟนีออนเลย มีแต่ตะเกียงเจ้าพายุแขวนเต็มไปหมด
เด็กก็ขอให้ฉันพาแกไปอาบน้ำ
ฉันก็ถามอย่างสงสัยว่า “อ่างน้ำอยู่ไหน? นี่ไม่ใช่บ้านเรา อ่างน้ำจะไปอยู่ที่ไหน?”
เด็กก็ชี้บอกว่า “อยู่ตรงนั้น ตรงนี้”

ฉันบอกเด็กให้เดินไป ก็ไม่ยอมเดิน เด็กจะให้ฉันอุ้มไป ฉันก็อุ้มไป ไปถึงอ่างอาบน้ำ ฉันก็อาบน้ำให้ ในอ่างน้ำมีดอกไม้เต็ม หอมกรุ่นมาก อาบน้ำให้ ทาแป้งให้แล้ว ก็ไม่ชอบใจอีกเสียแล้ว จะอาบน้ำอีก ฉันก็ต้องอุ้มแกลงอ่างอาบน้ำอีก เสร็จแล้วก็เช็ดเนื้อเช็ดตัว แล้วก็ทาแป้ง ใส่เสื้อผ้าให้ เด็กก็หิวข้าวอีกแล้ว

ฉันก็ถามเด็กว่า “ข้าวมีอยู่ตรงไหน?”
เด็กก็ตอบว่า “ไปตรงนั้นแหละมี”
ฉันก็ค้านว่า “ใครเขาจะหาไว้ให้ ไม่มีคนสักคนหนึ่งเลย”
เด็กรับรองว่า “ให้ไปเถอะ มี”

พอไปถึง ก็มีสำรับทอง ฝาชีทองครอบไว้ให้เสร็จ ฉันจะให้เด็กรับประทานอาหารเอง เด็กก็ไม่ยอมรับประทานเอง ต้องป้อนให้จึงจะรับประทาน พอรับประทานแค่ ๓ คำเอง เด็กก็ง่วงนอนอีกเสียแล้ว ให้ฉันอุ้มลงอู่ จะนอน อู่นั้นก็เป็นทองทั้งหมด ฉันก็ไม่รู้ว่ามันที่ไหนกัน

พอลงเปลแล้ว ให้นอนเฉยๆ ก็ไม่ได้ ต้องให้ร้องเพลงกล่อมด้วยจึงจะยอมนอน ฉันก็กล่อมเสียงดังลั่น ใจก็กลัวคนอื่นเขาจะได้ยิน (เพราะวันนั้นผู้คนมานั่งสมาธิอยู่เต็มห้องกรรมฐาน)
เด็กบอกฉันว่า “ให้กล่อมดังๆ จึงจะหลับได้”
ฉันก็กล่อมเสียงดังลั่นเลย ก็เผอิญกริ่งสัญญาณนาฬิกาดังขึ้น บอกหมดเวลาพอดี
เด็กก็บอกฉันว่า “กลับเฮอะ ๆ ๆ”

พอฉันลืมตาจากการนั่งสมาธิ ฉันเห็นหน้าหลวงพ่อไม่ได้เลย ฉันร้องไห้ดัง ร้องแทบตาย
จนคุณเอี่ยมถามฉันว่า “ยายร้องไห้ทำไม?”
ฉันก็ตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน มันอยากจะร้อง”
ต่อมาวันหลัง อยู่ๆ หลวงพ่อก็พูดกับฉันว่า
“ฉันไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคุณป้าเป็นป้าฉัน โยมเขาบอกมาว่าเคยอาบน้ำป้อนข้าวฉันมา โยมเขาสั่งมาว่าเวลาจะไป (หมายถึงเวลาจะตาย) เขาจะมารับเอง”

เรื่องที่เล่าผ่านมา เป็นเรื่องที่หลวงพ่อแปลงเป็นองค์คล้ายเณร แล้วแปลงเป็นเด็กอายุประมาณ ๗ ขวบ พาฉันไปดูภาพของอดีตชาติ ซึ่งชาตินั้นอยู่พระราชวังใหญ่โต มีของใช้ทำด้วยทองเสียส่วนมาก ฉันเป็นป้าของเด็ก เด็กก็คือหลวงพ่อ และที่หลวงพ่อบอกว่า โยมเขาสั่งมา... โยมในที่นี้หมายถึงท่านพระอินทร์ ท่านพระอินทร์เป็นพ่อของหลวงพ่อ ฉันก็คือพี่สาวของท่านพระอินทร์ ในตอนท้ายที่หลวงพ่อพูดว่า ถ้าฉันตายโยมเขาจะมารับ หมายถึงพ่อของหลวงพ่อหรือท่านพระอินทร์นั่นเองจะมารับฉันไป

ดังนั้น การได้วิชามโนมยิทธิครั้งแรกของฉันเป็นการได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อโดยตรง ท่านมาสงเคราะห์ฉันเริ่มตั้งแต่เห็นภาพ จนกระทั่งหมดเวลาท่านก็ชวนกลับ

นั่งสมาธิไปพบเทพ ต่อมาเทพองค์นี้มาเกิดเป็นหลานชาย

ตอนฝึกสมาธิใหม่ๆ ฉันก็มักจะไปท่องเที่ยวเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อนั่งสมาธิแล้วฉันก็ไปพบสถานที่ว่างเปล่า ไปถึงก็ไปยืนเอามือท้าวเอวทั้ง ๒ ข้าง ยืนหันไปหันมา ก็นึกว่าที่นี่เขาเรียกว่าที่ไหน? ฉันไม่เห็นเนื้อเห็นตัว ได้ยินแต่เสียง
มีเสียงบอกมาว่า “ที่นี่เขาเรียกว่า แดนนิพพาน”
ฉันก็แปลกใจว่า “เอ๊ะ มาได้ยังไง?”
ก็นึกขึ้นมาว่า “เราจะกลับทางไหนดี?”
ก็ได้ยินเสียงพูดลอยมาว่า “ให้ย้อนกลับไปทางเก่า”

ฉันก็ย้อนกลับมาทางเก่า ก็มาเจอเด็กคนหนึ่ง จะเป็นหญิงเป็นชายก็ไม่รู้ มีผมจุกปักปิ่นทอง นุ่งกางเกงสีแดง เสื้อก็สีแดง นั่งเขี่ยดินเล่นอยู่
ฉันก็ถามว่า “หนู...บ้านอยู่ที่ไหน?”
เด็กก็ชี้มาที่วิมานของหลวงพ่อ

เด็กก็ถามฉันว่า “ยายมาจากไหน?”
ฉันก็ตอบว่า “ยายอยู่วัด”
เด็กบอกว่า “หนูขอไปด้วยคน”
ฉันบอกว่า “ไปไม่ได้หรอก”
เด็กไม่ยอมฟัง เด็กคนนั้นก็วิ่งขึ้นหน้ามาเลย

ต่อมาเด็กคนนั้นได้มาเกิดเป็นหลานชายฉัน ชื่ออเนก มาเป็นลูกของลูกสาวฉัน หลานฉันเวลานี้อายุ ๑๗ ปี ที่ฉันมั่นใจเช่นนั้นเพราะฉันจำได้ว่าเด็กที่ฉันพบกันข้างบนได้ตามมาเกิดเป็นลูกของลูกสาวฉันเอง เด็กคนนี้ฉลาดมาก พูดจาเฉลียวฉลาด เรียนหนังสือเก่งมาก ไม่เคยสอบตกเลย มีนิสัยผิดพี่ผิดน้อง ผิวก็ผิดกับทุกคน มีผิวขาว และบอกว่าต่อไปจะขอเรียนแพทย์อย่างเดียว

แม่น้อย ลาจาก

ต่อมาแม่น้อยไม่สบาย ฉันก็ไปนอนเฝ้าไข้ให้ที่บ้าน ไปเช็ดอุจจาระ ไปล้างกระโถนให้ แกลุกขึ้นจากที่นอนไม่ได้ ต้องนอนแช่อยู่บนที่นอน แต่ว่าหมุนตัวได้ ถ่ายปัสสาวะแฉะไปหมด แม่น้อยป่วยเป็นมะเร็งตรงขมับ ดูแล้วคล้ายๆ ปานใหญ่ มีเลือดซึมไหลออกมาเรื่อยๆ เป็นมะเร็งที่สมองด้วย และขมับด้วย แกผอมมาก ลุกไม่ไหว

ตอนนั้นฉันยังอุ้มแกไหว แกผอมเหลือตัวนิดเดียว (ตอนตายแม่น้อยอายุประมาณเจ็ดสิบกว่าปี) ฉันไปเฝ้าไข้แม่น้อยที่บ้านหลายวัน ฉันอดหลับอดนอนทุกคืน กลางคืนแทบไม่ได้นอนเลย ก็เพลียมาก ก็กลับไปนอนพักที่บ้าน

พอกลับมาถึงบ้านก็นอน กำลังเพลีย ก็ทำท่าเคลิ้มๆ จะหลับ ก็ได้ยินเสียงแม่น้อยมาตะโกนเรียก ก็ลืมตาขึ้น ก็เห็นแม่น้อยขี่เกวียน แต่เป็นสีทองคำ (ความจริงเป็นราชรถ แต่ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร เพราะราชรถที่ฉันเห็นมีลักษณะปลายงอนๆ คล้ายเกวียน) มีธงปักข้างหน้า มีนางฟ้าห้อมล้อมเต็มไปหมด

แม่น้อยมาตะโกนเรียกฉันว่า “แม่พวงเอ้ย แม่พวงเอ้ย ฉันไปก่อนละนะ แล้วเอ็งค่อยตามไปทีหลังนะ”
ภาพแม่น้อยก็ขึ้นลอยลิ่วๆ ไปเลย ฉันเห็นด้วยตาเปล่า สวยงามมาก พอเห็นภาพดังกล่าวจนกระทั่งภาพหายไปแล้ว
ฉันก็บอกสามีฉันว่า “ไปดูแม่น้อยซิ แม่น้อยตายเสียละมั่ง แกมาเรียกเหวยๆ อยู่ก็แปลกใจ”
สามีฉันก็ไปดูที่บ้านแม่น้อย ไปถึงแม่น้อยก็ตายไปแล้ว

ตอนเช้าฉันก็เล่าให้เขาฟังกัน ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าราชรถที่เขาเอามารับแม่น้อย เขาเรียกอะไรกัน ฉันก็เล่าให้เขาฟังกันว่า แม่น้อยตายไปแล้ว ขี่เกวียนด้วยนะ แต่เป็นสีทอง มีนางฟ้าห้อมล้อมเต็มไปหมด
ฉันก็มาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า “เห็นแม่น้อยตาย แล้วมาตะโกนเรียก และเห็นแกขี่เกวียนผ่านไป”
หลวงพ่อก็หัวเราะ แล้วบอกว่า “ไม่ใช่เกวียน เขาเรียกว่าราชรถ”
เวลานี้คุณน้อยสบายไปแล้ว ไปอยู่แดนนิพพาน

เคยเป็นลูกสมเด็จพระทีปังกร

วันหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ในศาลา ๔ พระองค์ นั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ ฉันเห็นยักษ์รูปร่างใหญ่มาก ๓ องค์ๆ หนึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูงมาก หน้าตาน่ากลัว มีเขี้ยวโง้ง สีขาว แต่ท่านยิ้มและยักษ์อีก ๒ องค์ นั่งอยู่ข้างๆ องค์ที่นั่งสูง ๒ องค์นี้ไม่มีเขี้ยว ฉันกราบท่านแล้วก็มานั่งที่หน้าธรณีประตูศาลา ๔ พระองค์

อยู่ๆ ก็มีพระสงฆ์องค์หนึ่ง แต่งตัวแบบกายพระสงฆ์ อายุประมาณค่อนๆ คน คือ บ่ายไปเยอะแล้วนะ ผิวท่านขาวๆ เดินมาที่ฉัน (ฉันยังคงนั่งอยู่ในสมาธิ)
พระสงฆ์องค์นั้นถามฉันว่า “เมื่อไรจะขึ้นเสียที”
ฉันก็ตอบไปว่า “เดี๋ยวฉันก็จะขึ้นไปแล้ว”
ท่านก็ถามว่า “รู้จักพ่อไหม?”
ฉันตอบว่า “ฉันไม่รู้จัก”

ท่านก็บอกให้ฟังว่า “ฉันชื่อพระทีปังกร ให้จำชื่อพ่อไว้นะ อย่าลืมนะลูกนะ ถ้าไปได้ให้ไปหาพ่อมั่ง เคยเป็นพ่อองค์แรกมาตั้งแต่อดีตชาติ” ท่านบอกมาอย่างนั้น
พอออกจากสมาธิ ฉันถามหลวงพ่อ เรื่องยักษ์อย่างเดียว ถามท่านว่ายักษ์มีไหม?
ท่านก็ตอบว่า “มี”
ท่านพูดว่า “นี่ย่องไปยังไง ถึงไปเห็นยักษ์”

ฉันบอกว่า “ไม่รู้ไปยังไง จึงไปเห็น ก็เล่าว่าเห็นยังไง”
ท่านพูดว่า “เขามาเฝ้าทรัพย์”
ส่วนเรื่องพระทีปังกร ฉันไม่ได้เล่าให้หลวงพ่อฟัง
แต่ว่าฉันก็เที่ยวถามใครต่อใคร ถามชาวบ้านว่ารู้จักชื่อพระทีปังกรไหม? เขาบอกไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยิน ฉันก็นิ่งไป

จนกระทั่งภายหลัง ได้ยินหลวงพ่อพูดกับคนอื่นว่า องค์สมเด็จพระทีปังกร ฉันจึงคิดในใจว่า อ๋อ มีแน่ๆ ชื่อนี้ จึงรู้ว่าฉันก็เคยเป็นลูกขององค์สมเด็จพระทีปังกร รู้สึกว่าภูมิใจมากที่ได้เคยเป็นลูกของพระองค์

สมเด็จองค์ปฐมบวชให้

เวลาฉันนั่งสมาธิ มีหลายคราวไปกราบสมเด็จองค์ปฐม กราบ ๒ คราวแรก ท่านก็ตักน้ำมนต์ให้ดื่ม แล้วก็รดศีรษะให้ฉัน พอไปกราบท่านครั้งที่ ๓ ไปถึง
สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสกับฉันว่า “บวชเสียทีเถอะลูก โตแล้ว”
ฉันก็นึกว่า “ฉันเป็นผู้หญิง จะบวชได้ยังไง?”
พอมาดูร่างกายตน “มันไม่มีเพศ”

พอสมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสเช่นนั้น ฉันนั่งสงบนิ่งสักประเดี๋ยว
ฉันก็กราบทูลว่า “ตามใจหลวงพ่อ”
พอสักประเดี๋ยว ก็มีจีวรมาสวมใส่ให้เอง มีบาตร มีถุงย่าม มีร่มมาคล้องให้เสร็จ
สมเด็จองค์ปฐมก็ทรงตรัสกับฉันว่า “เสร็จแล้วลูก กลับไปบ้านเถอะ”

จากนั้นสมเด็จองค์ปฐม ท่านทรงพระเมตตาให้พระมาส่งฉัน มีพระเต็มไปหมด โอ้ย พระเยอะจริงๆ มาส่งที่วิมานฉัน วิมานฉันอยู่ข้างวิมานหลวงพ่อ พอมาถึงวิมานฉันแล้วพระก็พากันกลับหมด
ขณะนั้นสัญญาณกริ่งหมดเวลาก็ดังขึ้น หมดเวลานั่งกรรมฐาน ก็ลืมตา คืนนั้นจิตใจมันชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย แม้แต่หลวงพ่อฉันก็ไม่เคยเล่าให้ท่านฟัง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเล่าให้ฟังในลูกศิษย์บันทึก

ได้อุบายการพิจารณาธรรม

มีอีกครั้งหนึ่ง ฉันนั่งสมาธิอยู่ ได้ยินเสียงว่า “ให้กอดเข้าไว้ โง่นัก”
ได้ยินเสียงท่านว่าอย่างนั้น “ใครจะโง่เกิน ไม่มี”
ได้ยินเสียงท่านว่าเท่านั้น

พอเลิกนั่งสมาธิ ลืมตา อุทิศส่วนกุศล กรวดน้ำเสร็จแล้วในใจก็นึกว่า เดี๋ยวจะถามหลวงพ่อให้ได้ ยังไม่ทันถาม
หลวงพ่อก็ทักทายขึ้นว่า “เป็นไง ชื่นใจไหม ถูกองค์สมเด็จฯ ท่านดุให้”
ฉันก็ตอบท่านว่า “ฉันไม่รู้”

หลวงพ่อก็สวนกลับมาว่า “สมน้ำหน้าแหละ ให้ถลกหนังออก ทำไมไม่รู้จักยกคนตายขึ้นมาพิจารณา
ตายวันแรก ก็ลื้นๆ (บวม) ขึ้นมาหน่อย
ตายวันที่ ๒ ก็ลื้นๆ (บวม) ขึ้นมาอีก
ตายวันที่ ๓ – ๔ – ๕ – ๖ – ๗ ก็พองอืดขึ้นมามาก
ตายวันที่ ๘ – ๙ – ๑๐ ก็เน่าเปื่อย หนังแตกปริออก
ให้พิจารณาอย่างนั้นจึงจะได้ธรรมะ”


คืนนั้นเลิกกรรมฐานแล้ว (ปกติกลางคืนฉันนอนค้างวัด กลับบ้านตอนเช้า) นอนค้างคืนที่วัด คืนนั้นก็นั่งทำกรรมฐานต่อกลางคืนไม่นอน มันมีกำลังใจมาก ตั้งใจจะเอาจริงให้ได้ มันก็แปลกไม่รู้สึกง่วง นั่งสมาธิได้ทั้งคืน พอนั่งขัดสมาธิตั้งกายให้ตรง ก็เริ่มพิจารณากายว่า

“กายนี้ไม่ใช่ของเรา อาศัยเขาอยู่ชั่วคราว ตอนมาก็แก้ผ้ามาตอนตายก็แก้ผ้าไป ไม่มีอะไรเป็นของเราสักอย่าง ก็พิจารณาไปๆ
ถ้าตาย ๑ วัน มันก็เริ่มลื้นๆ (บวม) ขึ้นมาหน่อย
ถ้าตาย ๒ วัน ก็ลื้นๆ (บวม) ขึ้นมาอีก


พอตายหลายวัน มันก็พองมากขึ้นๆ จนกระทั่งมันอืดมากขึ้นๆ พอพิจารณามาถึงตอนนี้ ฉันมีความรู้สึกว่า หนังที่ศีรษะของฉันมันแตกชี้ตั้งโด่ขึ้นมาได้ยังไงไม่รู้ ฉันก็เลยจับหนังศีรษะตรงที่แตก ตรงที่แตกชี้ตั้งโด่นั้น จับลอกออกมา ๒ ข้าง ถลกออกมาได้ถึงหัวเข่าทั้งสองข้าง มองดูอกก็ผ่าออกหมดแล้ว ดูข้างในดูมันขยะแขยง มันสกปรกเหลือเกิน

ขณะนั้นก็มีพระองค์เล็กๆ (พระพุทธรูป) มีแก้วครอบ เป็นลักษณะยืนอยู่ในแก้วใสสว่าง ค่อยๆ หันออกมาจากอกทีละน้อย พอพ้นจากตัวก็ยิ่งหนักเข้า แล้วก็หมุนเร็วมาก พุ่งไปข้างบน ฉันก็ไม่รู้ว่าไปไหน ตั้งแต่ถลกหนังออก แล้วพระออกจากอกไปลิบลิ่ว

ครั้นพอจิตจะเข้าร่าง มันรู้สึกร่างกายสะเทือนไปหมด รู้สึกคล้ายเขาจับร่างกายฉันทุ่มลงไป มันดังครืนๆ รู้สึกตอนนั้นเสียวคล้ายตกเหว แล้วก็เข้าร่างดังครืดๆ พอเข้าร่าง หนังก็ปิดหมดเหมือนเดิม เหมือนร่างกายเราดีๆ อย่างเดิมเลย
คืนนั้นทั้งคืน ไม่ง่วง ไม่เมื่อย ไม่อะไรทั้งนั้น เอาจริงเอาจัง ฉันนั่งตั้งแต่หัวค่ำ ยันตี ๕ ตอนเช้าก็ไม่ง่วง ฉันต้องรีบกลับบ้านเพราะสามีหุงข้าวเป็น แต่ทำกับข้าวไม่เป็น

เรื่องนี้ ฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟัง และไม่ได้เล่าให้หลวงพ่อฟัง
ต่อมา ครูนนทา อนันตวงษ์ มาบอกว่า หลวงพ่อให้มาบอกในทำนองว่า ฉันตกนรกไม่ได้แล้วนะ
ฉันก็บอกว่า “ฉันเฉยๆ” เพราะใจฉันมันเฉยๆ จะดีใจ ก็ไม่ดีใจ ใจมันเฉยๆ
ครูนนทาก็พูดกับฉันว่า “ฉันทำอย่างไรจะได้อย่างนั้นมั่ง”

ตั้งแต่ฉันมาอยู่วัดหลวงพ่อ ฉันก็ถือศีล ๘ ตลอด ตอนมาอยู่กับหลวงพ่อที่วัดท่าซุงใหม่ๆ เวลาสามีเดินผ่านหน้าฉัน ฉันยังขยะแขยงเลย ไม่อยากจะแตะจะต้องกันเลย ความรู้สึกทางนี้ไม่มีต่อกันเลย แล้วก็ไม่เคยยุ่งกันอีกเลย สามีแก่กว่าฉัน ๒ ปี ปัจจุบันสามีฉันชื่อเง็ก ตายไป ๑๒ ปีแล้ว

แต่ฉันมีอารมณ์งอนลูกเต้า อย่างนี้มี เรื่องน้อยใจนี่ฉันมีอยู่ แต่ไม่โมโห ไม่โกรธ ชอบงอน เรื่องโกรธเคืองไม่โกรธ เพราะคิดว่าอยู่อีกไม่กี่วัน เดี๋ยวเราก็ตายแล้ว

การที่ฉันได้พบหลวงพ่อรู้สึกดีใจ ก็ยึดหลวงพ่อเป็นหลัก ฉันสั่งที่บ้านไว้เลยว่า เมื่อฉันตาย ขอให้เอาศพฉันมาเผาที่วัดของหลวงพ่อ อย่าเอาไปวัดอื่น เพราะฉันร่วมสร้างเมรุกับหลวงพ่อ (เมรุเผาศพโยมห้อย, โยมโต๋ว เมรุอันนั้นเวลาจะใช้เผาศพ ต้องนำมาประกอบกันขึ้นจึงจะใช้ได้)

ใจฉันก็ไม่อยากไปไหน เกาะอยู่กับหลวงพ่อ คนชวนไปทำบุญวัดอื่น ใจมันไม่อยากไปเสียเฉยๆ
ฉันมีความมั่นใจว่าชาตินี้ขอเข้านิพพาน เพราะเบื่อการเกิด เบื่อหมดทุกอย่าง เวลากรวดน้ำ ฉันอธิษฐานขอเข้าถึงนิพพานในชาตินี้ทุกคราวไป


◄ll กลับสู่สารบัญ



13

สุดบูชาอาลัยยิ่ง


อัญเชิญ มณีจักร


...ข้าพเจ้าภูมิใจตัวเองมาก ที่พระเดชพระคุณท่านแจกรูปของท่าน ให้แก่ลูกศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิด เมื่อประมาณปี ๒๕๑๗ เป็นรูปใหญ่ขนาด ๑๒ นิ้ว มีลายเซ็นของพระคุณท่านเขียนว่า มอบให้ “หมอประจำตัว” สมัยที่เป็นลูกศิษย์ท่านครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒

...ข้าพเจ้าถวายยาฉันบ้าง ยาฉีดบ้าง จากที่ พล อ.ต.น.พ.โกศล มณีจักร ได้ถวายท่านเป็นประจำ เมื่อหมอไม่อยู่หรือไม่ได้ติดตามท่านไปชายแดน ไปแจกของแด่ทหาร ตำรวจ หรือคนยากจนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตามรับใช้เกือบทุกครั้ง

... บางครั้งพระหลวงปู่อีกหลายองค์ร่วมเดินทางไปด้วย ข้าพเจ้าจะเตรียมยาฉีดพวกวิตามินไป หลายครั้งหลวงพ่อท่านสั่งให้ฉีดองค์ท่านเองและสั่งให้ฉีดถวายหลวงปู่องค์อื่นด้วย เช่น หลวงปู่ครูบาชัยวงค์ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย จังหวัดลำพูด หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข หลวงปู่มหาอำพัน บุญหลง วัดเทพศิรินทร์ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง เป็นต้น

บางองค์เมื่อข้าพเจ้าถือหลอดยาฉีดเข้าไป ท่านถามทำไม เรียนท่านว่าหลวงพ่อสั่งให้มาฉีดยาเจ้าค่ะ ท่านยอมให้ฉีด บางครั้งเป็นยาฉีดพวกฆ่าเชื้อ เช่น ลินโคซินเมื่อเป็นไข้หวัดด้วย ถุงน้ำเกลือจะต้องติดไปด้วยทุกครั้ง

บางครั้งหลวงพ่อท่านสั่งให้ฉีดเข้าเส้นเลือดบำรุงกำลัง แต่เมื่อท่านท้องผูกถ่ายเองไม่ได้ ข้าพเจ้าจะเอาถุงน้ำเกลือนั้นให้ท่านใส่เข้าไปทางทวารหนักเองเป็นการล้างท้อง ปีหลังๆ ต่อมาท่านมีลูกศิษย์ที่เป็นหมอเก่งๆ ใหม่ๆ หลายท่านได้ช่วยกันรักษาอาการป่วยของท่าน ผลัดกันเป็นรุ่นๆ รุ่นเก่าไปรุ่นใหม่มาแทน ยอมแพ้ความป่วยของท่าน สรุปอาการเหมือนกันทุกหมอและเป็นที่หนักใจของคุณหมอทั้งหลายมาก คือโรคที่พระคุณหลวงพ่อท่านไม่พักผ่อน หรือพักผ่อนไม่พอ แม้โรคกำเริบท่านก็ไม่ยอมพัก ถ้าท่านยังลุกเดินได้ หรือตอนหลังๆ เดินไม่ได้ยังนั่งเก้าอี้ให้คนหามออกไปรับแขกก็มี

ข้าพเจ้ายังติดตามรับใช้เสมอ เรียกว่าพระคุณท่านขึ้นเขาลงห้วยลูกขอตามไปด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศไปด้วย ท่านเคยสั่งข้าพเจ้าว่า ข้าไปไหนเอ็งไปด้วยทุกครั้งก็แล้วกัน ไม่ต้องให้บอกให้ชวน บางครั้งหลวงพ่อท่านพูดว่าโรคมันหนีหมอไปเรื่อยๆ หมอตามไม่ทัน มีโรคแปลกๆ ใหม่ๆ มาเรื่อย นานๆ ข้าพเจ้าจะถามคุณหมอที่รักษาท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพราะถามเมื่อไรใจเหี่ยวเมื่อนั้น เลยไม่อยากรู้หรือทำเป็นไม่รู้ จะได้หลอกตัวเองว่าหลวงพ่อท่านไม่เป็นอะไรมาก ยังจะอยู่กับลูกๆ ต่อไปอีกนานๆ

ผลที่สุดวันแห่งความวิปโยคโศกเศร้า ความกลัวว่าท่านจะจากลูกๆ หลานๆ พุทธบริษัทไปก็ได้มาถึงจริงๆ จนได้ หลายครั้งท่านไปแล้วกลับมาอีก แต่ครั้งนี้ท่านไม่กลับมา ขณะที่เขียนนี้ท่านสิ้นไปได้ ๑๓ วันแล้ว วันที่ข้าพเจ้าทราบว่าท่านป่วยหนักมากคือวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ ข้าพเจ้านึกสังหรณ์ใจว่าท่านคงสิ้นแน่ๆ เกิดแผ่นดินไหววันนั้นด้วย ความแน่ใจมีมากขึ้นอีก ท้องฟ้าเริ่มมัว ลมเย็นแบบสะท้านใจพัดมาแล้ว เริ่มวังเวงมากขึ้นๆ

รุ่งขึ้นเป็นวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๕ เป็นวันพรหมประสิทธิ์วันดี ข้าพเจ้าได้นิมนต์พระวัดท่าซุงไปฉันที่บ้านข้าพเจ้า รองเจ้าอาวาสวัดท่าซุงเป็นผู้ให้วันเวลานี้ ตอนตี ๕ กว่าๆ ของวันนั้น พระน้อย (พระอภิชัย สุธัมมธัมโม) โทรศัพท์จากโรงพยาบาลศิริราช บอกว่าหลวงพ่อท่านอยู่ในห้อง ไอ ซี ยู แล้ว ท่านนันต์สั่งบอกว่าพระฉันเสร็จให้กลับวัดเลยไม่ต้องเข้าสายลม จึงแน่ใจว่าไม่เตรียมอาหารเก้อ

เมื่อเสร็จจากรดน้ำมนต์ที่บ้านสนามกอล์ฟแจ้งวัฒนะสปอร์ตเซ็นเตอร์แล้ว ท่านไปเยี่ยมหลวงพ่อท่านที่โรงพยาบาลศิริราช ไปแล้วพักหนึ่ง ท่านวิรัชโทรศัพท์ให้ข้าพเจ้าตามหา คุณแดง (พล ต.ศรีพันธ์ วิชชุพันธ์) ว่าหลวงพ่อท่านต้องการเลือดมาก เพื่อจะเอาทหารไปได้หลายๆ คน ถามว่า พระไปถึงโรงพยาบาลแล้วยัง ท่านตอบว่าถึงแล้วกำลังให้เลือดพอดีเลย เลือดต้องการมากเพื่อสกัดเอาสารชนิดหนึ่งที่อยู่ในเลือด อย่างเลือดประมาณ ๕ – ๖๐๐ ซีซี จะสกัดได้ประมาณ ๑๐ ซีซี เท่านั้น ยังต้องการมาก

ต่อมา ทั้งโทรทัศน์ วิทยุประกาศว่า หลวงพ่อท่านพระราชพรหมยานหรือท่านฤาษีลิงดำกำลังอาพาธหนักที่โรงพยาบาลศิริราช ต้องการเลือดมาก ถ้าใครจะบริจาคให้ไปที่ตึก ๗๒ ปี โรงพยาบาลศิริราชด่วน จึงมีลูกศิษย์พระคุณท่านที่รู้ข่าวพากันไปถวายเลือดกันมากจนล้นตึก ๗๒ ปี เจ้าหน้าที่บอกว่า ครั้งนี้คนสละเลือดมากไม่แพ้เมื่อครั้งพฤษภาทมิฬ

เมื่อส่งพระไปแล้วข้าพเจ้าออกไปยืนนอกบ้านดูท้องฟ้าปิดหมด มืดมัว ลมสะท้านใจพัดมากขึ้น ชัดขึ้น ตะโกนคนเดียวลมแบบนี้มาอีกแล้ว ขออย่าให้เป็นองค์หลวงพ่อของเราเลย ลมแบบนั้นใครบอกข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้วเป็นภาษาจีน ถ้ามีลมแบบนั้นจะมีคนมีบุญหรือผู้ใหญ่จะตาย ข้าพเจ้าจึงเรียกเองว่าลมสะท้านใจ เมื่อครั้งพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิตจะสิ้น ลมแบบนี้พัด ข้าพเจ้าบ่นอยู่คนเดียว ลมไม่ดีไม่ดีแน่ๆ ใครจะตายหนอ บ่ายวันนั้นได้รับโทรศัพท์บอกว่าท่านสิ้นแล้ว โดยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ยิงเฮลิคอปเตอร์ ถูกองค์ท่านสิ้นที่สุราษฎร์ธานี และอีกหลายครั้งก็มีการตายทุกครั้ง

บ่ายที่ ๒๙ ตุลาคมนั้น ข้าพเจ้าพยายามคิดว่าเรารู้ผิด เป็นลมหนาวธรรมดาๆ แต่ออกไปสัมผัสทีไรใจสะท้านแบบขนลุกทุกที เข้าบ้านบอกลูกบอกเด็กว่า หลวงพ่อท่านคงสิ้นแน่ๆ ลูกเอ๊ยลมมาอีกแล้ว ท้องฟ้าปิดอีกด้วย คอยดูนะ ถ้าหลวงพ่อสิ้น ตั้งศพเรียบร้อยแล้วท้องฟ้าก็จะเปิดสว่างเป็นปกติ ฟ้าครึ้มอยู่ตั้ง ๒ – ๓ วัน กรมอุตุฯ บอกว่าเกิดจากพายุดีเพรสชั่นเข้าไทย คุณประดิษฐ์ไปถึงวัดร้องไห้ แถมยังด่ากรมอุตุฯ ว่าไม่รู้จริง ความจริงเป็นเพราะหลวงพ่อกูเป็นผู้วิเศษมีบุญใหญ่จะตายต่างหาก ร้องไห้กันทั้งเมืองที่เป็นลูกศิษย์พระคุณท่าน

คืนวันที่ ๒๙ ข้าพเจ้านั่งสมาธิ ถามองค์หลวงพ่อท่านเองเลยว่าท่านจะอยู่ต่อไปหรือจะไม่อยู่ ท่านยืนยันถึง ๒ ครั้งว่า ท่านไม่อยู่ ข้าพเจ้าเลยเปลี่ยนใจ จากที่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปดูลูกสาวที่ผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบที่โรงพยาบาลพญาไทหนึ่ง กำลังท้องได้ ๔ เดือนด้วย ท้องแรกแท้งไปแล้ว ท้องที่ ๒ ยังตัดไส้ติ่งอีก จึงเกรงว่าลูกจะแท้งอีก ไม่ห่วงแล้วลูก ไปกราบหลวงพ่อที่โรงพยาบาลศิริราชดีกว่า โทรศัพท์นัดให้คุณเสริมทรัพย์ไปรับที่บ้านแต่เช้า

ไปถึงโรงพยาบาล พบคุณหมอ พบลูกศิษย์พระคุณท่านอีกหลายท่านๆ ก็มีความหวังว่าหลวงพ่อท่านจะยังไม่จากพวกเราไป ท่านจะอยู่ได้ด้วยฤทธิ์ ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่พระคุณท่านมีอยู่ ข้าพเจ้ายืนยันอยู่คนเดียวว่าไม่อยู่ๆ รู้ว่าท่านไปแน่ๆ อารมณ์เลยไม่ดี เห็นใครทำไม่เข้าท่าว่าไปเลย ยิ่งฟังอาการจากคุณหมอชนะยิ่งชัดว่าไม่ไหวแน่ หมอชนะก็บอกว่าขึ้นไปกราบหลวงพ่อเหมือนกัน ได้คำตอบว่าท่านไม่ยอมกลับหรืออยู่ต่อ แต่ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าความรู้จะตรงหรือไม่

ข้าพเจ้าบอกลูกศิษย์ใกล้ชิดที่มีส่วนจะต้องจัดงานศพท่านตรงๆ เลยว่าอยู่ไม่ได้แน่ คือสิ้นแน่นอน โทรศัพท์ไปวัดท่าซุงพูดกับท่านสมพงษ์ บอกอาการตรงๆ ไปเลย คนอื่นๆ บอกว่าดีกว่าเมื่อวานก็แล้วกัน เพราะว่าความดันโลหิตสูงขึ้นดี เพราะใช้ยาเร่งเต็มที่ อาการป่วยของพระคุณท่านที่ทำให้สิ้น คงจะมีคุณหมอที่รักษาท่านโดยตรงเขียนให้ทราบดีกว่า เย็นนั้นท่านก็สิ้นเวลา ๑๖.๑๐ น.

เป็นอันว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสิ้น เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น. ที่โรงพยาบาลศิริราช ข้าพเจ้าอยู่ทั้งวันเกือบบ่าย ๔ โมง กลับบ้านคิดว่าพรุ่งนี้จะไปใหม่ ท่านคงไม่สิ้นเร็วขนาดนั้น ที่ไหนได้เมื่อถึงบ้านได้รับโทรศัพท์บอกว่าหลวงพ่อท่านสิ้นแล้ว ตกใจทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตะโกนว่าหลวงพ่อท่านสิ้นแล้ว หลวงพ่อท่านสิ้นแล้ว ทีนี้รับโทรศัพท์บ้าง เป็นฝ่ายโทรไปบอกข่าวบ้าง เครื่องไม่ค่อยว่างเลย ต่างคนก็บอกข่าวกันทั่ว

ข้าพเจ้าหมุนเบอร์โทรศัพท์ผิดๆ ถูกๆ เปิดสมุดส่วนตัวพบชื่อใครที่เป็นลูกศิษย์ท่านบอกหมด เชียงใหม่ พิษณุโลก ลำปาง จันทบุรี มีชื่อหนึ่งเขียนไว้ว่าป้อมคลองตัน โทรไปติดง่ายๆ ขอพูดกับป้อมหน่อย กำลังพูด พูดดังๆ หน่อย หลวงพ่อสิ้นแล้วอย่ามัวร้องไห้ จะสั่งงานนัดกันไปวัด เฮ้ย พูดชัดๆ ดังๆ รับปากให้มันชัดเจนหน่อย โทรบอกสุธีด้วย พูดๆ ไปนี้ฟังรู้เรื่องไหม? ตอบว่าไม่รู้เรื่อง อ้าว ดุผิดคน ไม่รู้ป้อมไหน ไม่ใช่ป้อมวลัยสักหน่อย ขอโทษนะโทรผิด วางหูเลย

เตือนตัวเองลูกจะไม่ร้องไห้จะไม่ร้องไห้ หลวงพ่อท่านไปสบายแล้ว ท่านอยู่ก็อยู่อย่างทรมานขันธ์ ๕ เราไม่ควรเห็นแก่ตัว เราทำดีที่สุดแล้ว รับใช้ท่าน รับคำสอนท่านมาฝึกตนเองเท่าที่จะทำได้เต็มความสามารถของเราแล้ว ไม่มีอะไรให้นึกเสียใจว่าไม่ได้ทำตอบสนองพระเดชพระคุณท่าน ไม่มีคำว่ารู้งี้ทำอย่างนั้นก็ดี รู้งี้ทำอย่างนี้ก็ดี ไม่มีคำว่ารู้งี้ เพราะทำหมดทุกอย่างแล้วเท่าที่โอกาสอำนวย และกำลังความสามารถของเรามีอยู่ทุกเมื่อ

ลูกภูมิใจที่ได้เป็นลูกของหลวงพ่อท่านคนหนึ่ง ได้รับใช้ท่านอย่างเต็มที่ มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิด มีอะไรที่ปฏิบัติแล้วยังข้องใจสงสัย พระคุณท่านจะแก้ไข และบอกให้ทราบว่าเป็นความจริงหรือผิดทำไม่ถูก บันทึกเรื่องทุกเรื่องที่เขียนในหนังสือ จะต้องเรียนให้ท่านยืนยันว่าใช่ก่อน ลูกจึงจะกล้าเขียน ทีนี้ลูกจะขอใครยืนยันให้อีกลูกคงไม่กล้าเขียนอีกแล้ว

บางครั้งความเปิ่น ความที่รู้เห็นไม่เหมือนชาวบ้านกราบเรียนเล่าตรงๆ ให้ท่านฟัง ท่านจะหัวเราะ บางทีอะไรที่ค้างอยู่ในใจไม่กล้าพูดท่านจะถามว่ามีอะไรหรือ? ลูกจะมีโอกาสได้ความรู้ หรือเรียนถามท่านหรือตอบท่าน ก็ตอนที่ท่านเข้าไปสอนที่บ้านในซอยสายลม ขณะที่ท่านฉันเช้าหรือฉันเพล เพราะได้จัดอาหารรับใช้เสมอๆ และดูว่าท่านว่างจากงานและสุขภาพดีจังหวะดีด้วย ถูกกาลเทศะด้วยจึงจะกล้าพูด

เมื่อ ๒ – ๓ เดือนก่อนทีท่านจะสิ้น ท่านเปลี่ยนเรียกข้าพเจ้าว่า เจ๊ใหญ่บ้าง พี่ใหญ่บ้าง ลูกคนโตบ้าง คงจะหมายถึงเป็นพี่ใหญ่เขาทั้งหมด แต่ก็ไม่กล้าเรียนถามจะเป็นการอาจเอื้อม เพียงแต่นึกว่าต่อนี้ไปเราต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่น้องๆ หลวงพ่อเคยพูดกับลูกขณะที่ลูกกำลังจัดโต๊ะอาหารว่า “อ้ายเชิญนี่ใครๆ ก็ชมว่ามันดี” ข้าพเจ้าทำถ้วยน้ำปลาหก จึงพูดว่า หลวงพ่อชมเข้าหน่อยทำน้ำปลาหกเลยเจ้าค่ะ ท่านหัวเราะ

ก่อนเดือนสุดท้ายที่สายลม สุนัขข้าพเจ้าตาย ตามไปดูอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจะทำบารมีต่อไปพระนิพพานได้ จึง ขึ้นไปที่พระนิพพานเห็นพระอรหันต์หลายองค์ที่ชาติสุดท้ายเกิดเป็นช้าง สุนัข แมว ถามท่านๆ บอกท่านทำต่อจากสวรรค์และพรหม เคยได้ยินแต่เขาว่า การจะทำบารมีไปพระนิพพานชาติสุดท้าย ต้องทำในเมืองมนุษย์หรือเป็นคนจึงจะไปนิพพานได้ เมื่อรู้เห็นแบบนั้น (แบบมโนมยิทธิ) จึงสงสัย ได้กราบเรียนถามพระคุณหลวงพ่อท่าน ท่านบอกว่ามีเยอะแยะไปนับไม่ถ้วน

เดือนสุดท้ายหรือครั้งสุดท้ายที่ทำให้พระคุณท่านหัวเราะคือ ข้าพเจ้าไปทำฟัน ซึ่งไม่เคยทำเลย ครั้งแรกกลัวมาก เวลาหมอกรอฟังเสียงดัง ทำสมาธิข้างบนไม่ได้ หลับตาเรียกหลวงปู่ปานและหลวงพ่อท่านในใจใหญ่เลย กลัวหมอเขาจะกรอฟันพลาดไปโดนเหงือก หลวงปู่ปานกับหลวงพ่อท่านไปลอยอยู่ข้างหน้า เดี๋ยวเห็นหลวงปู่ปานมองดูในปากที่กำลังอ้าให้หมอทำ แล้วเห็นเหมือนองค์หลวงพ่อทำเองแทนหมอเลย สบายใจหายกลัว มั่นใจว่าหมอทำไม่ผิดแน่ แล้วหลวงพ่อท่านตบมือให้เหมือนเราเป็นเด็กเล็กๆ หมอหยุดทำบอกว่าเสร็จแล้ว

ครั้งที่สองนัดไปทำอีก ทีนี้ตะโกในใจเรียกหลวงปู่ปานหลวงพ่อท่านอีก ช่วยลูกด้วย ช่วยลูกด้วยเจ้าคะ ท่านไปลอยให้เห็นอีกทั้ง ๒ องค์ หลวงพ่อท่านตบมือให้ ยังไม่พอขอท่านตบอีกตบอีกเจ้าค่ะ ท่านเลยตบ ๔ มือ คือเอาเท้าตบด้วย เห็นชัดมากเป็นองค์เลย ลืมกลัวกลับจะหัวเราะด้วยซ้ำ หมอพูดว่าหลับตาปี๋เลยจะไม่ปี๋ยังไง เดี๋ยวภาพหายไป เมื่อเห็นหลวงพ่อท่านไปบ้านซอยสายลมก่อนฉันเพล ท่านนอนให้ตุ๋ยบีบนวดขาและเท้าให้ท่าน

ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนเล่าเรื่องทำฟันท่านเอาเท้าตบให้ด้วย ท่านหัวเราะแล้วบอกว่าใช่แล้ว ถ้าคนใกล้จะตาย เทวดานางฟ้าจะมาทำภาพล้อให้หายกลัวหายเวทนา หรือทำให้เพลินลืมความเจ็บไข้แบบนั้น ลูกจะเขียนหนังสือ ต้องขอคำยืนยันจากหลวงพ่อก่อนเจ้าค่ะ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้กราบเรียนถามปัญหาท่านด้วยกายเนื้อ ชัดเจนถูกต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ต่อนี้ไปลูกไม่มีใครจะสอนลูกได้เหมือนองค์หลวงพ่อท่านอีกแล้ว ไม่มีแล้ว ไม่มีจริงๆ

เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคมนั้นเอง ยังจัดงานวันเกิดหลวงพ่อท่านที่ซอยสายลม ลูกหลานพุทธบริษัทของพระคุณท่านไปกันเยอะแยะล้นออกไปถึงนอกถนน เดินเข้าถวายสังฆทานแล้วเดินกลับออกไปเลยยังเต็ม เบียดกันแน่นตลอดเกือบทั้งวัน เสียงหลวงพ่อยังแจ่มใสเหมือนไม่ป่วย ความจริงป่วยมาอยู่แล้ว ขณะที่เข้าไปฉันเพล นภดล (เอี้ยง) กระเซ้าข้าพเจ้า หลวงพ่อถามอะไร เอี้ยงบอกว่าป้าเชิญนุ่งผ้ายกทองครับ ท่านว่าอัญเชิญซะอย่าง (ทำอะไรก็ได้) เจ้าประคู้ณขอให้สมกับที่ท่านว่าเถิด

คืนนี้หลวงพ่อสิ้นลูกไม่ร้องไห้ แต่หมดแรงที่จะจัดกระเป๋าเสื้อผ้าไปวัด ต้องเรียกเด็กขึ้นไปจัดให้ นอนหัวค่ำพยายามจะหลับให้สนิท หลับมากๆ เพื่อเตรียมกำลังไปทำงานศพของหลวงพ่อท่านที่วัดเต็มที่ นอนไม่หลับฝนตกซิกๆ อากาศหนาวๆ แบบสะท้านเข้าไปถึงอก เสียงน้ำฝนไหลทั้งคืนมากบ้างน้อยบ้าง ลูกคิดว่าลูกไม่ได้ร้องไห้ น้ำตาไม่ไหล ทำไมน้ำฝนไหลตลอด ฟ้าร้องไห้แทนหรืออย่างไร

กำหนดจิตดูหรือเคลิ้มๆ ไปเห็นเทวดา นางฟ้าร้องไห้เสียใจที่หลวงพ่อท่านสิ้นเหมือนกัน ลูกถามท่านว่าทำไมยังร้องไห้ได้หรือ ท่านตอบว่ายังร้องได้ เพราะเทวดานางฟ้ายังมีโลภ โกรธ หลง จุติแล้วลงนรกหรือเป็นคนได้ ถามว่าท่านร้องไห้ทำไม? ท่านตอบว่าท่านเป็นห่วงลูกหลานที่ยังเป็นคนเป็นมนุษย์ จะไม่มีใครสอนเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านอีกแล้ว สงสารเป็นห่วงลูกหลานในเมืองมนุษย์

ลูกเห็นอย่างนี้แล้วใครจะยืนยันให้ลูกทราบว่าลูกเห็นผิดหรือเห็นถูกต้อง แล้วถ้าเขาบอกมาลูกจะเชื่อได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เหมือนท่านพ่อบอกหรือไม่ ขนาดแผ่นดินยังสะเทือน ฟ้ายังร้องไห้ ลมยังสะท้านไปทั่วทิศ ท้องฟ้ายังปิด พระอาทิตย์ไม่โผล่ เมื่อพระคุณเจ้าจากไป จะไม่ให้พวกเราร้องไห้หวั่นไหวได้อย่างไร

หลวงพ่อเคยพูดหลายปีแล้วว่า จะปลูกต้นไม้ในวัดจะทำเป็นที่ธุดงค์ แล้วชวนลูกว่า เอ็งธุดงค์กับข้าไหม? ตอบท่านว่า “ธุดงค์เจ้าค่ะ” แล้วลูกเตรียมซ้อมกรรมฐานตัวเองให้เข้มขึ้นพร้อมเมื่อท่านเรียกทีนี้ไม่มีองค์หลวงพ่อคอยเรียกอีกแล้ว ไม่มีหลวงพ่อที่พวกเราทั้งรักทั้งเคารพบูชาสุดหัวใจ ท่านคอยเป็นห่วงสอบวิชาความรู้ แนะนำทั้งทางโลกและทางธรรมให้ลูกๆ อีกแล้ว ฝนเอ๊ย ทำไมไม่หยุดตกเสียที จงร้องไห้แทนข้าด้วยเถิด ที่เขาว่าคนเราเกิดมาร้องไห้มาแล้ว ถ้าเอาน้ำตามารวมกันทุกชาติจะมีมากกว่าน้ำในมหาสมุทรอีก

ห้าทุ่ม ข้าพเจ้าอาเจียนออกแต่ลมเสียงดังโอ๊กๆ ดังลั่นไปหมด ขันธ์ ๕ เอ๊ย ข้าไม่ได้เอาน้ำไหลออกทางตา ทำไมเจ้าเอาลมออกทางปาก ลมก็ร้องไห้ได้เหมือนกันหรือ เอาร้องไห้ไปเก็บไม่อยู่ฝืนไม่ได้ หมดแรง หลับได้ ตื่นเกือบตี ๔ ฟ้ายังไม่หยุดร้องไห้ ด้วยความวิเวกหดหู่อยากเห็นหลวงพ่อ ลูกนอนท่องคาถา “สุปินานัง” ที่หลวงพ่อบอกให้ว่าเป็นคาถาเห็นผี ลูกไม่กลัวผีหลวงพ่อ จงมาหามาหลอกลูกด้วย

ท่องเผลอหลับไปฝันว่า ลูกยืนที่ริมถนนเห็นองค์หลวงพ่อท่านเดินผ่านหน้าลูกไปอย่างเร็วมาก แบบไม่ทันให้ลูกได้กราบได้พูดด้วยสักคำ ท่านเดินหนีไปเลยลูกตื่นจากฝัน (เมื่อก่อนลูกท่องสุปินานัง สุปินานัง แล้วมองเห็นองค์หลวงพ่อ เห็นองค์ท่านขาวเป็นแก้วทั้งองค์ด้วยตาเนื้อ) รีบลุกขึ้นแต่งตัวคอยคุณเชาวฤทธิ์ อมรธรรม พี่ชอ คุณนิภา คงสุข คุณเสริมทรัพย์ วัฒนพฤกษา ไปพร้อมกันที่บ้านประมาณโมงเช้าออกรถไปวัดทันที ฝนตกตลอดท้องฟ้ายังปิดอยู่ตกทั่วไปหมดทุกแห่ง (๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕)

ถึงวัดเข้าไปกราบพระศพท่านพ่อที่ศาลา ๑๐๐ เมตร เมื่อเห็นองค์ท่านนอนไม่หายใจน้ำตาไหลออกมาเอง รีบกราบและจับเท้าท่าน เอาหัวมุดระหว่างเท้าทั้ง ๒ ข้าง แล้วว่าหลวงพ่อเอาลูกไปด้วยเอาลูกไปนิพพานด้วย ถ้าไม่ใช้ลูกอีกแล้วเอาลูกไปเลยลูกพร้อมไปด้วยเสมอ

ก่อนเคลื่อนศพท่านไปไว้ที่ศาลา ๑๒ ไร่ ของบ่ายวันนั้น ข้าพเจ้า พรนุช สุมิตรา นภดล (เอี้ยง) ช่วยกันจัดผ้าห่มองค์หลวงพ่อท่าน เอากระดาษทิชชูและผ้าก๊อสพันมือทั้ง ๒ ข้างที่พันจากโรงพยาบาล เพื่อป้องกันไม่ให้มือท่านงอหรือกำมือออก ลูกได้แกะพลาสเตอร์ที่ปิดตรงเข็มฉีดน้ำเกลือของพระคุณท่านออก มีเลือดติดนิดหน่อย ช่วยกันจัดผ้าคลุมให้เรียบร้อยให้ดูเหมือนท่านเคยทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่


webmaster - 5/1/11 at 15:51

องค์หลวงพ่อท่านนิ่มยังไม่แข็ง ไม่มีน้ำอะไรไหลออกมาทางปากทางจมูกเลย ไม่ต้องเอาอะไรอุดไว้ด้วย ผิดกับศพธรรมดาถึงเวลานั้นตัวจะแข็ง น้ำจะไหลออกทางปากทางจมูกจึงต้องเอาสำลีอุดไว้ ลูกได้รับใช้หลวงพ่อท่านเป็นครั้งสุดท้ายแน่นอนแล้ว จะไม่มีนาทีทองโอกาสได้รับใช้ท่านอีกต่อไปแล้ว เพราะพระคุณท่านจะไม่กลับมาเกิดอีก ไปพระนิพพานชาตินี้แล้ว และลูกก็จะไปพระนิพพานชาตินี้ให้ได้แน่นอนตามคำสั่งของพระคุณท่าน ที่เคยเป็นท่านพ่อของลูกมานับชาติไม่ถ้วน ลูกเชื่อและมั่นใจว่าเป็นความจริงเช่นนั้น

พวกเราเต็มใจทำงานตามหน้าที่ตามที่พระคุณท่านเคยสั่งให้ทำ เมื่องานเผาศพต่ออายุให้หลวงพ่อเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ ครั้งนั้นเป็นงานไม่จริง พวกเรายังร้องไห้เมื่อเห็นขบวนแห่ศพผ่านมา แต่ครั้งนี้เป็นความจริง จะไม่ให้เราร้องไห้ได้อย่างไร พวกเราเคยทำงานนั้นมาแล้ว โดยมีองค์หลวงพ่อท่านเป็นประธานสั่งงาน ครั้งนี้งานจึงไม่หนักเท่าไร ใครเคยทำอะไร ครั้งนั้นครั้งนี้ยังจำได้ก็ทำเหมือนเดิม

พวกเราได้รับ ความเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา มาเป็นองค์ประธานในงานศพให้พระคุณท่าน จัดการส่งเจ้าหน้าที่ไปจากกรุงเทพฯ ช่วยด้วยเป็นอย่างดี เป็นความกรุณามหาบุญคุณแด่พวกเราอย่างยิ่ง

นอกจากคนจะร้องไห้หงอยเหงา แม้แต่สุนัขยังรู้จักร้องไห้เหงาตามๆ กัน ตัวหนึ่งขณะที่จะเอาศพหลวงพ่อลงหีบแก้วน้ำตาไหลเอามือปาดน้ำตา ๒ ข้างเลย อีกตัวเคยเฝ้าเวลาหลวงพ่อรับแขกก็มาอยู่ที่นั่น ใครทักเรียกเฉยไม่รับรู้เบียดแทบจะขึ้นไปบนเวที ตัวหนึ่งนอนเอามือก่ายหน้าผากที่หน้าศพนั้น ตัวที่เริ่มแรกที่แพร่พันธุ์ออกมาเป็นร้อยๆ ชื่อนิล เมื่อเอาศพหลวงพ่อไปถึงวัดกลางคืน รุ่งเช้าเขานอนตายตัวแข็งแล้ว

อีกตัวหนึ่ง นาก ก็ไม่ยอมกินข้าว บางคืนหอนกันทั่ววัดและนานด้วย เหมือนกับจะร้องว่าหลวงพ่อกลับมาเท้อ – กลับม้า – กลับมา กลับมาเท้อ โหยหวนจนคนกลัวอยู่ในห้องคนเดียวไม่ได้ ซักเสื้อตากไว้ไม่ทันแห้ง หมาหอนต้องใส่เสื้อขึ้นไปฟังพระสวดตอนหัวค่ำ นักเรียนพระสุธรรมเป่าแตรนำขบวนแห่ เป่าไปน้ำตาไหลเป่าไม่ออก เพลงล่มตั้ง ๒ ครั้ง จำปีบอกว่าพอรับโทรศัพท์ว่าหลวงพ่อสิ้นแล้ว นักเรียนร้องไห้ดัง สุนัขที่เป็นร้อยๆ ตัวก็ร้องด้วยหอนด้วยฟังแทบไม่รู้เรื่อง

เช้ามืดของ ๕ วัน ที่ท่านสิ้นแล้ว ลูกอดร้องไห้ไม่ได้ มันเงียบเหงา มาทำงานหลายวันแล้วยังไม่ได้พูดกับหลวงพ่อเลย นึกว่า ถ้าเป็นหมาลูกจะร้องไห้ดังๆ ให้สะใจว่า ลูก – ลูก – ลูก – คิดถึ๊ง – คิด – คิด – ถึ๊ง – หลวงพ่อ นี่เป็นคนที่ได้รับการสั่งสอนจากหลวงพ่อมาว่า การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ท่านเคยสั่งไว้ว่าถ้าท่านตายอย่าร้องไห้ พวกเราพยายามไม่ร้องไห้ เข้มแข็งไว้

ห้ามร้องนำเดี๋ยวพากันร้องอีกหลายคน ลูกเดินร้องไห้คนเดียวจะไปช่วยกองทุนทำของเลี้ยงพระเช้า ตี ๕ กว่าๆ แล้ว พบหมาตัวหนึ่งนอนข้างทางเขาเห่าดุลูก ปกติลูกมีคาถากันหมาคือ “กันหะเนหะนโมพุทธายะ” หมาจะไม่เห่าและกัดเลย หมากัดกันเองว่าคาถานี้เขาก็เลิกกัดกันได้ เช้ามืดนั้นลูกไม่มีแก่ใจท่องคาถา เพราะเราทำไม่ดีเดินร้องไห้ เขาดุให้ต้องยอมเขา เปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่

ไปพบกันหลายๆ คนระงับใจได้ ที่น่าชื่นใจคือพบใครๆ ก็พูดเหมือนกันว่า เหมือนเดิม เหมือนเดิม เราจะทำตัวทำงานอย่างที่เคยทำเหมือนองค์ท่านยังอยู่กับพวกเรา ลูกเดินเข้าประตูศาลา ๑๒ ไร่ เห็นหลวงพ่อนอนในโลงแก้วใสเหมือนนอนหลับได้แต่ไกล มันสะท้อนใจอยากร้องไห้หรือหอนว่า คิดถึง – คิดถึง – กลับมาเท้อ – กลับมา แต่ทำไม่ได้ต้องฝืนใจ ต้องตัดใจนึกถึงภาพเมื่อท่านป่วยไข้ ท่านไม่ต้องลำบากเพราะขันธ์ ๕ อีกแล้ว เราอย่างเห็นแก่ตัว จะให้ท่านอยู่สอนจนเราตายหรือไง?

หลายท่านถามข้าพเจ้าว่าหลวงพ่อท่านจะฟื้นอีกไหม? ตอบไม่ฟื้น กายท่านจะเป็นพระธาตุ บางคนได้ข่าวมาบอกกันว่า พระอภิญญาเห็นว่าเวลานี้ (สิ้นไป ๓ – ๔ วัน) หลวงพ่อกำลังเที่ยวเพลิน จะเที่ยวให้ทั่วแล้วจะกลับเข้าร่างฟื้นอีก ได้ยินแล้วมันสะอึก โธ่เอ๊ย พูดมาได้ หลวงพ่อท่านเที่ยวได้โดยไม่ต้องตายก็ได้ ท่านเที่ยวที่ไหนเมื่อไรท่านก็ไปได้ บางคนก็ว่าเวลานี้ท่านพ่อหมอชีวโกมารภัจจ์ กับท่านวิษณุกรรม กำลังซ่อมร่างกายหลวงพ่ออยู่ถึง ๑๕ วันจะเสร็จ หลวงพ่อท่านจะฟื้น ที่ตลาดลือกันว่าหลวงพ่อยกมือขึ้นแล้วเมื่อสิ้นไป ๕ วัน หลายคนมีความหวังกันอยู่ สำหรับข้าพเจ้าหมดหวังแล้ว เพราะหลวงพ่อท่านพูดคำไหนเป็นคำนั้น

พวกเราจงอย่าลืมของขวัญปีใหม่ ที่ท่านมอบไว้ให้พวกเราลูกหลานพุทธบริษัทของท่านเมื่อ ๒ ปีก่อนคือ

ของขวัญจากพ่อ มอบแด่ลุกรักของพ่อทุกๆ คน ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูกทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ

ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำ และจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วยช่วยลูกทุกประการ

เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๕ นี้ ลูก พี่ชอ คุณนิภา คงสุข ได้ไปสอนมโมยิทธิที่สำนักงานหนังสือโลกทิพย์แล้ว ตามที่เขาเชิญมา และเมื่อทำบุญ ๑๐๐ วันเก็บพระศพพระคุณท่านหลวงพ่อแล้ว คุณนิภากับเล็กลูกสาวจะไปอเมริกาก่อน เพื่อเอาวิชาที่พระคุณท่านสอนพวกเราไว้ ไปเผยแพร่ที่วอชิงตันดีซี ที่หลวงพ่อท่านให้คุณลือชาทำสำนักไว้ สั่งเมื่อครั้งสุดท้ายที่ไปอเมริกาเมื่อเมษายน ๒๕๓๕ ก่อนสิ้นเพียง ๖ เดือนเท่านั้น

ถ้าพวกอเมริกายังสนใจวิชาของพระคุณท่านและอยากจะเรียน ลูก พี่ชอ ยินดีไปสอนให้โดยทุนส่วนตัว เพื่อสนองตอบแทนพระคุณขององค์หลวงพ่อท่าน ที่เคยทำและเคยสอนทางไปพระนิพพาน แก่พวกเราลูกหลานพุทธบริษัทของพระองค์ท่านมาแล้วด้วยความเต็มใจ ถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่แข็งแรงเหมือนเก่า คือความชราเข้ามา ธรรมดาย่อมอ่อนกำลังลงก็ตาม ก็จะไม่ย่อท้อที่จะรับใช้พระคุณท่าน ถึงแม้ท่านจะสิ้นไปแล้วก็ตาม ลูกอัญเชิญจะพยายามทำเพื่อที่จะได้สมกับคำที่ว่า ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วยช่วยลูกทุกประการ

กราบแทบเท้าด้วยความเคารพรัก กตัญญูรู้พระคุณหลวงพ่อท่านของลูกตลอดไป


◄ll กลับสู่สารบัญ


14

อาลัยท่านพ่อ


นิภา คงสุข


...ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ ก็เพื่อให้ญาติธรรมทั้งหลาย ได้รู้ว่า ท่านพ่อของเรา ได้ให้ชีวิตใหม่บนหนทางเก่าๆ ที่เราได้เวียนว่ายตายเกิดกันมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก ชีวิตที่ผ่านมาก็หมุนวนเวียน เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หมุนเวียนไปตามกฎแห่งกรรม อย่างเช่นเราดำรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ หมุนไปตามประสบการณ์ ในลักษณะที่แตกต่างกัน

...ไม่ว่าใครชีวิตใดในโลกนี้ ต้องเผชิญและต้องได้ผ่านอุปสรรคด้วยประการต่างๆ กัน ทุกข์สุข – สุขทุกข์ แตกต่างกันไป เรารู้ว่าท่านพ่อของเรามีทุกขเวทนาเพียงใด ท่านต้องทนต่อการขนลูกหลานเหลน ให้หลุดพ้นทุกข์จากการเวียนว่าตายเกิด ชั่วชีวิตขององค์ท่าน

.................... ท่านชี้แนะชีวิตใหม่ให้แก่ข้าพเจ้า
...เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องท่านพ่อครั้งแรกจากหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน ก็อยากพบท่านจึงอธิษฐาน เพราะตอนนั้นท่านไม่ได้บอกที่อยู่ รู้แต่ว่าศิษย์หลวงปู่ปานเท่านั้น จึงต้องอาศัยอธิษฐาน เมื่ออธิษฐานแค่ ๑ อาทิตย์ ก็เห็นผล และได้พบท่าน เมื่อพบท่านแล้วทุกอย่างยิ่งกว่าในหนังสือหลายสิบเท่า

วันนั้นเมื่อข้าพเจ้ามาพบท่านพ่อ ท่านพักอยู่กุฏิริมน้ำ จำได้ พ.ศ.๒๕๑๖ ท่านเร่งน้ำเกลือโดยองค์เอง คือให้เร็วช้า นอนรับแขกขณะให้น้ำเกลือด้วย ข้าพเจ้าไปกัน ๓ คน กับพระอีก ๒ องค์ พอกราบท่านๆ ก็พูดว่า เอ้า จะพาพระมาฝากหรือ ข้าพเจ้าและพระสะดุ้งกัน พระก็มีนายตำรวจ คือท่านอุกฤษฎ์ คำเฉย ท่านลาบวช ตอนนั้นท่านเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยสามพราน ปัจจุบันท่านเป็นสารวัตรใหญ่

ส่วนอีกองค์คือท่านอัมพร ท่านพ่อท่านพูดว่า มีมาขออยู่มากมาย ฉันไม่รับเพราะรู้ว่าไม่เอาจริง ไม่อดทน จากนั้นท่านก็พูดว่า เอ้า หลวงพ่อรับไว้ ไปลาอุปัชฌาย์เจ้าอาวาสก่อน
แล้วหันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า เอ้า ไหนๆ มาก็พักเสียที่วัดนี่ก็แล้วกัน
ข้าพเจ้าก็รีบตอบว่า ลูกได้มากราบหลวงพ่อแล้วลูกกลับทัน จะกลับวันนี้เลย

ท่านก็พูดอีกว่า ก็เห็นเตรียมผ้าผ่อนใส่รถมาแล้วไม่ใช่รึ
ข้าพเจ้าต้องตะลึงและน้ำตาคลอ เพราะท่านรู้ได้อย่างไร ข้าพเจ้าดีใจจนปวดใจ ที่พูดว่าปวดใจมันเป็นความรู้สึกของอารมณ์ตอนนั้น ที่พบพระรู้จริงๆ วันนี้เอง เพราะข้าพเจ้าโตมาก็เห็นพระเหมือนเป็นเพื่อนเล่น ชอบล้อเลียนพระหรือสั่งพระให้ต้อนรับเวลาจะไปวัด เพราะข้าพเจ้ามีญาติเป็นพระมาก

แม้ปัจจุบันก็ยังหลงเหลืออยู่ คือท่านเจ้าคุณเกตุ วัดเกาะหลักประจวบฯ และหลวงพ่อแก้ว วัดนาห้อย ปราณบุรีฯ จึงคุ้นเคยกับพระมาก ก็เลยเป็นเรื่องธรรมดาจนอายุตั้ง ๓๐ กว่าจึงพบพระอย่างหลวงพ่อของเรา การเรียกท่านพ่อก็ขอยืนยันอย่างเคยเขียนผ่านๆ มา เพราะหลวงพ่อนั้นมีมาก พระแก่ไม่ปฏิบัติกินๆ นอนๆ เขาเรียกกันว่าหลวงพ่อ จึงขอเรียกท่านพ่อมหาวีระ ถาวโร คือพระราชพรหมยานว่าท่านพ่อ เพราะท่านไม่เหมือนใคร และใครก็ไม่เหมือนท่าน

เพราะอะไรจึงปฏิเสธ เรื่องจะนอนวัดทั้งๆ ที่เตรียมมาจะนอน ก็เพราะเกิดมาจนอายุป่านนี้ไม่เคยนอนวัด เพราะแม่จะสอนว่า ไปทำบุญที่วัดกลับมาก่อน เข้าบ้านต้องอาบน้ำสระผมให้สะอาด เพราะที่วัดมีแต่ของไม่ดี มีแต่เสนียดกลัวจะติดมา เมื่อพูดแล้วก็ลาท่านพ่อ แต่ไปไหนรู้มั้ยคะ ไปมโนรมย์ ไปหาโรงแรมพักแล้วค่อยมานั่งกรรมฐานตอนค่ำตามที่ท่านพ่อชวน แต่เจ้ากรรมโรงแรมในมโนรมย์ไม่มี ก็วิ่งรถกลับวัดหวังว่ามาลาท่านพ่อกลับเพราะไม่มีที่พัก

ตอนนั้นท่านพ่อยังรับน้ำเกลืออยู่ พอเข้ามากราบท่านพ่อก็พูดทันทีว่า พักเสียที่วัดนี่แหละ สะอาดกว่าโรงแรมอีก โรงแรมไม่มีหรอกมโนรมย์ พร้อมกับพูดกับท่านอาทรว่า เอ้าอาทรไปเปิดห้องพักให้สองห้องไป ข้าพเจ้าต้องน้ำตาไหล และต้องหุบปาก (พูดแบบหนังจีน) จำต้องพักเพราะท่านรู้และดักได้หมด พร้อมกับน้ำตาไหล

ตั้งแต่นั้นจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าท่านอาทรอีกเลย ยังนึกถึงพระคุณอยู่เสมอจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ทราบข่าวว่าเป็นนายทหาร ถ้าท่านอ่านหนังสือนี้ก็ขอปวารณาตัวว่ามีอะไรที่จะใช้ก็ยินดี แต่ก็คงเพียงหนูช่วยราชสีห์เท่านั้น ขอขอบพระคุณท่านอาทรไว้ ณ ที่นี้ด้วย

คืนนั้นก็ได้นั่งกรรมฐาน พอนั่งข้าพเจ้าไม่ได้หลับตาหรอก ข้าพเจ้านั่งมองพระแก่ๆ บนธรรมาสน์ คิดในใจว่า เอ หลวงพ่อไปไหนยังไม่เห็นออกมา มีแต่พระแก่ๆ ดำๆ ผอมๆ เพราะไม่เหมือนที่เห็นตอนบ่าย ท่านยังหนุ่มไม่แก่อย่างนี้ ก็นั่งมอง แอบมองคนนั้นทีคนนี้ที เพราะทุกคนนั่งหลับตาเฉยเงียบ

แต่ขณะนั่งคิดมองเพลินๆ ก็เห็นภาพงูตัวหนึ่งมาขอบใจเราที่รถไม่ได้เหยียบเขาตายตอนไปกินข้าว แปลกมากเพราะตอนนั้นยังไม่มีมโนมยิทธิ ทั้งๆ ที่นั่งลืมตาอยู่พอเพลินๆ เท่านั้น สมาธิก็ยังไม่รู้ เลยนั่งเล่นเพื่อจะรอหลวงพ่อท่านออกมาเท่านั้น ข้าพเจ้าเชื่อเมื่อท่านพ่ออธิบายเรื่องมโนมยิทธิว่า เพียงสมาธิเล็กน้อยเท่านั้น ดังที่ข้าพเจ้าได้มา

พระจุฬามณี พ.ศ.๒๕๑๘
เมื่อข้าพเจ้ากลับบ้าน ก็ขยันขันแข็งนั่งสมาธิ พอจิตสงบก็เห็นพระราชินี มานั่งข้างๆ ข้าพเจ้าแล้วตรัสว่า เธออยากรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ก็ขึ้นไปพระจุฬามณีซิ ถึงจะรู้

จากนั้นก็นอนคิดๆ ไม่หลับ นึกดีใจในนิมิต พอเช้าก็ไปถามคุณพ่อของคุณชอ คุณเชิญ ซึ่งเป็นทนายความอุตรดิตถ์ ว่าพระจุฬามณีนั้นพระอะไร พร้อมกับเล่านิมิต (ขณะนั่ง) ให้ฟัง
ท่านก็พูดว่าพระจุฬามณีคือ พระเจดียสถานที่เก็บพระเมาลีของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจ ท่านก็อธิบายว่า คนตายที่เขาเอาดอกไม้ธูปเทียนใส่มือไปเพื่อไปไหว้พระจุฬามณี

ข้าพเจ้าไม่รู้จัก รู้จักแต่พระห้ามญาติ พระนาคปรก พระอุ้มบาตร เมื่อไม่เข้าใจก็ไปประจวบฯ ถามพระครูเกตุ (ตอนนี้เป็นเจ้าคุณ) ซึ่งเป็นญาติ ท่านก็พูดอย่างนี้อีก ก็กลับอุตรดิตถ์ แล้วเขียนจดหมายถึงท่านพ่อของเรา เขียนแล้วฉีก ฉีกแล้วเขียน หมดสมุดหลายเล่มเกือบตะกร้า เพราะคำพูดไม่เหมาะสมกับความเคารพท่าน จึงถามท่านอัมพรว่าจดหมายถึงหลวงพ่อควรขึ้นต้นอย่างไรให้สูงๆ เหมาะสม ท่านก็บอกว่า ขึ้นต้นด้วยคำว่า นมัสการหลวงพ่อด้วยเบญจางคประดิษฐ์

อ้อ เข้าท่า ก็เขียนมาหาท่าน ท่านก็ตอบจดหมายดังจดหมายที่แนบมา ต่อมาท่านพ่อของเราก็นำขึ้นพระจุฬามณี โดยสมาทานตั้งนะโม ๓ จบ แล้วกล่าวว่า พุทธัง เมนาถัง เมนาโถ กัมมัฏฐานะฯ เพื่อไปพระจุฬามณีเท่านั้นนั่นแหละ จึงรู้แน่ชัดว่า พระจุฬามณีมีจริง ท่านพ่อเราท่านคุมพระกรรมบานเอง เมื่อทุกคนนั่งเสร็จแล้วจะต้องนำเงินค่าครูใส่ขันคนละ ๓ บาท ไปถวายท่านพ่อ

แต่พอถึงข้าพเจ้าท่านพ่อจะพูดว่า เอ้า นิภา ลานทองมีทองเป็นแท่งๆ รวย ต้องขึ้นครู ๓ ตำลึง ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่เข้าใจความหมาย ตอนนั้นข้าพเจ้าคณะใหญ่ มีมหาทองปอนด์ วัดหาดเสี้ยว เป็นผู้นำขบวน ท่านมหาทองปอนด์ท่านก็พูดว่า โยม ต้องไปต้องขึ้นครูนะ หลวงพ่อสั่งขึ้นเท่าอาตมา ๑๒ บาท (๔ สลึง เป็น ๑ บาท ๔ บาท เป็น ๑ ตำลึง) ๓ ตำลึง เท่ากับ ๑๒ บาท

จึงร้องว่า อ๋อ และท่านพ่อก็ให้เป็นครูสอนตามบ้านนอก เพราะสู้เขาได้สบายมาก ก็เลยต้องเป็นครูบ้านนอกเสียหลายปี พอเข้าเมืองสายลมได้ ๓ เดือน ท่านพ่อก็มรณภาพ ก็เลยต้องเป็นภูธร – นครบาล ๒ ประเภท เลยกลายเป็นคนอยากดัง ก็อย่าหวังสงบ

เหตุเกิดที่ดอยตุง จ.เชียงราย
เมื่อบวงสรวงที่พระธาตุจอมกิตติ และพระธาตุดอยตุง ขณะเดินทางอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีชิ้นส่วนกลับมาได้ ก็คือขึ้นพระธาตุดอยตุงครั้งแรกในชีวิต ท่านพ่อจะไปบวงสรวงที่พระธาตุดอยตุง มหาทองปอนด์ก็นำคณะติดตาม ๒ คันรถบัส แต่ก่อนจะไปเรานัดกันว่าตี ๔ เคลื่อนขบวน พอถึงวันจะไป แม่ข้าพเจ้าเกิดเป็นไข้จับสั่นอย่างกะทันหัน ข้าพเจ้าก็ลังเลหงุดหงิด

ทางนี้ก็แม่บังเกิดเกล้ากำลังป่วย ทางโน้นก็มหากุศล เพราะท่านพ่อซึ่งเป็นพระอรหันต์ของข้าพเจ้า แม่ท่านไข้แรงมากสั่น คน ๓ คนขึ้นทับยังเอาไม่อยู่ นอนคราง เราก็คิดไป ดูไป ตั้งแต่ ๑๑ โมงจนถึงตี ๓ ครึ่ง ยังไม่ได้เก็บเสื้อผ้า นั่งทับแม่ไปคิดไป ฟังนาฬิกาตีบอกเวลาและอธิษฐานไป พอมองนาฬิกาอีก ๑๐ นาทีก็จะตี ๔ คิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าแม่จะตาย ถึงเราอยู่ก็ต้องตาย เราก็ช่วยอะไรไม่ได้

ก็ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า (ไม่ใช่พับใส่กระเป๋า) เมื่อเสร็จแล้วก็เอาเงินให้น้องชาย ๕๐๐ บาท เอาแม่ไปส่งคลินิกตอนเช้า แล้วกระซิบแม่ว่า หนูไปกับหลวงพ่อ แม่โมทนาเอานะ แม่จะได้หาย ได้บุญ หนูให้เงินน้องไว้แล้ว ให้พาแม่ไปหาหมอ ท่านก็ยกมือโมทนา ข้าพเจ้าก็ได้ไป

พอวันรุ่งขึ้นบวงสรวงที่พระธาตุจอมกิตติ ข้าพเจ้าขอเห็นท้าวพังคราช นึกว่าเป็นพญานาค ที่ไหนได้เป็นคนจนๆ นุ่งกางเกงขาก๊วย เสื้อไม่ใส่ เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ประวัติ ฟังชื่อเหมือนนิยายพญานาค เพราะข้าพเจ้าจบ ป.๔ พอขึ้นดอยตุง โอ้โฮ มาราธอน มีรถเกรดนำรถคันหนึ่ง (หมายถึงสองแถวนั่งได้เพียง ๔ คน) ฝุ่นตลบอบอวล ต้องเอาผ้าพันคอมาพับสามเหลี่ยมแล้วผูกหน้าผากรอบหัว ปล่อยชายลงมาที่จมูกเหมือนช้างกันฝุ่นเข้าจมูก

พอขึ้นไปถึงก็บวงสรวง ข้าพเจ้าก็เห็นอากาศเทวดา ร่ายรำทำเพลงเบาๆ เย็นๆ ไพเราะที่สุด นั่งฟังเพลิน วันนั้นคิดว่าอย่างน้อยๆ ฌาน ๔ แน่ แต่ยังไม่เอกัคคตา สุขเหลือคำบรรยาย พอบวงสรวงเสร็จ ท่านพ่อให้ไปพบกันที่ร้านกุ้งเต้นตอนค่ำ บนเวทีมวยเพื่อสอบอารมณ์ ข้าพเจ้าจะไปฟังท่านพ่อสอบ แต่ไม่ขอเข้าสอบ เพราะไม่แน่ใจในตัวเอง

พอค่ำไปตามนัด แต่ข้าพเจ้าเลือกที่นั่งสุดเลยท้ายเพื่อน เพราะกลัวท่านพ่อถามสอบอารมณ์ แต่ข้าพเจ้าจัดสังฆทานให้กับจ่าตำรวจ เพราะจ่าตำรวจคนนั้นไปติดม่านห้องพักท่าน ตอนกลับถูกรถสิบล้ออัดตายทั้งพ่อแม่ลูก ชื่อนก เมื่อจัดทำก็มีพวกเราๆ ช่วยกันได้เงินเยอะและกราบเรียนถวายท่านพ่อ พอถวายเสร็จท่านพ่อก็พูดว่าเขาได้เป็นเทวดาทั้ง ๓ คน เขามีพลังช่วยเราได้นะ ถ้าขอให้ช่วย

แต่ท่านพ่อก็สอบอารมณ์ต่อไป ท่านเรียกผู้หญิงคนหนึ่งว่า เอ้า ว่าไง หมอเห็นอะไรบ้าง หมอก็เล่าเรื่องเด็กร้องไห้ คือหลวงพ่อตอนเป็นลูกท้าวพังคราชถูกขอมไล่ และเล่าว่าเห็นท้าวพังคราชเหมือนข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้านึกในใจ (นึกในใจนะ) อยู่หลังสุดนึกในใจว่า หมอคนนี้เก่งกล้าตอบ ถ้าเป็นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคงไม่กล้าตอบ เพราะข้าพเจ้าไม่แน่ใจ

พอนึกเสร็จ ทันใดนั้นท่านพ่อพูดออกมาเลยว่า เวลาถามสอบอารมณ์นั่งรู้แล้วเห็นแล้ว พอถามไม่ตอบเพราะไม่แน่ใจ ก็ออกไปจากที่นี่ ต่อไปก็อย่ามาเป็นลูกศิษย์ลูกหากันเลย ไอ้ที่นั่งเห็นนั่นแหละของจริง ถ้าไม่แน่ใจก็กลับไปเสียเถอะ เชื่อมั้ยว่าข้าพเจ้านั่งน้ำตาไหล เพราะปีติในท่านพ่อของเรา พร้อมกับคิดในใจอีกว่า เออ ต่อไปเห็นอะไรจะพูดให้หมดคอยดู ต่อมาจะเห็นอะไรก็ถามท่านพ่อตลอด ท่านก็สงเคราะห์ตลอด

จนมอบวิชาหมอดูให้ต่อหน้าที่ท่านรับแขก และพอฟังท่านพ่อพูดเรื่อยๆ เราไปกัน ๑๓ คน เพื่อนชวนให้กลับที่พัก อ้างว่าเหนื่อย ข้าพเจ้าไม่ยอมกลับเพราะข้าพเจ้าไม่เคยกลับก่อนท่าน พอบรรยายเสร็จข้าพเจ้าต้องกลับหลังท่านพ่อขึ้นทุกครั้ง แม้ตั้งใจไปไหนรีบร้อนเพียงใดก็ต้องรอจนท่านพ่อขึ้นก่อน พอเพื่อนๆ เดินเรียงคิวกันออกมาผ่านท่านพ่อ ๑๒ คน ท่านพ่อก็พูดว่า พวกนี้มันไม่ได้อะไรหร๊อก ไม่มีความอดทนแม้จะฟังธรรม

ข้าพเจ้าใจหายแทนเพื่อน เพราะท่านพ่อพูดอีกว่า แค่จะมาบางคนพ่อแม่ป่วยก็ยังตัดใจมาข้าพเจ้าสะดุ้ง น้ำตาร่วงอีก นี่เป็นเราอีกแล้ว พร้อมกับดีใจที่เราตัดสินใจถูกที่ไม่ตามเพื่อนๆ แต่ใจหายแทนพวกเขา เพราะเราถือว่าท่านพ่อของเรามีวาจาสิทธิ์ ถ้าพูดแล้วต้องเป็นไปตามนั้น และข้าพเจ้าก็เฝ้าดูคนพวกนี้ตลอดมา ก็เป็นจริง พวกเขาเหล่านี้ตามล่าแต่พระหันไปหันมา จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เข้ามาหาท่านพ่อ จนท่านมรณภาพ น่าเสียใจชั่วชีวิต (ถ้าเป็นข้าพเจ้า)

นี่แหละที่เป็นจุดเด่นของท่านพ่อที่เรียกว่า ชี้ทางแห่งชีวิตใหม่ให้กับลูกๆ ได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถจะรู้เห็นได้ หรือขลาดเกินในคำว่าอวดอุตริมนุสธรรม ถ้ารู้จริงอย่างท่านพ่อของเรา เจตนาที่จะแนะแนวหรือยืนยันการหลุดพ้น เพื่อความเชื่อมั่นแห่งจิตของเราว่า กรรมนั้นมีจริง เราได้รู้ได้เห็นโลกวิญญาณนั้นยังมีอยู่ อย่างนี้จะเรียกว่า อุตริได้อย่างไร เห็นผิดก็ผิดหมด จงเห็นถูกไว้บ้าง

เมื่อท่านไม่กล้ายืนยัน มัวแต่กลัวอวดอุตริอยู่ แล้วเหตุผลมรรคผลนั้นจะเอาอะไรมายืนยัน ก็มีส่วนอยู่บ้างที่เรียกทำงมงาย เพราะทำไปก็ซื่อบื้อไม่รู้อะไร ข้าพเจ้าก็ได้วิชาท่านพ่อนี้แหละถึงได้มีชีวิตใหม่ ที่พูดนี้ก็เพราะข้าพเจ้าได้ยินมากับหูว่าท่านพ่อของเราสอนผิด สอนให้รู้เห็น อาจารย์ของเขาว่าไม่ดี และอาจารย์ของเขาอยู่ป่านนี้ไม่สร้างอะไร ทำสายตรง ใครองค์ไหนเป็นครูบาอาจารย์ของคนๆ นั้นก็พลอยซวยไปด้วย สอนศิษย์เลวอย่างนี้ ทำให้ครูบาอาจารย์เสียชื่อเสียง

ไหนว่าสวรรค์นรกรู้เห็นไม่ดี แล้วยังกล่าวเพ่งโทษผู้อื่นอีก แค่บารมีสร้างมาไม่เท่ากัน ยังรู้ไม่ได้แล้วจะไปรู้อย่างอื่นได้อย่างไร เตรียมตัวลงนรกได้เลยจ๊ะ และถ้าจะกลับตัวก็ยังไม่สาย ญาณดำญาณเลย มิจฉาญาณอย่าเอามาใช้ จงเปลี่ยนเป็นสัมมาญาณ ถ้าอยากรู้มาถามได้ อุบายแก้ความเลวไม่หวงและยินดี ถ้าอาจารย์ของท่านสอนท่านไม่เข้าใจ ป้านิภาแก้ให้ได้ อย่าปล่อยให้จิตฟุ้งซ่าน จงมองจงเพ่งไปในทางที่ดี คือละความชั่ว กระทำความดี ทำจิตให้ผ่องแผ้ว

อย่าทำตัวเป็นมงคลตื่นข่าว ใครว่าอะไรดี ดีด้วย เลว เลวด้วย ไม่ใคร่ครวญพิจารณาให้ดี จิตใจไม่ตั้งมั่น ต่อให้ทำนั่งหลับตาอีก ๑,๐๐๐ กัปก็อย่าหวังหลุดพ้นเลย และจงละอคติ ๔ คงรู้ว่าอะไร

ท่านพ่อสั่งไว้
เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ ท่านพ่อเคยพูดว่า ถ้าหลวงพ่อจะตาย ฟ้าจะไม่เปิด พระอรหันต์สิ้นฝนจะตก ๗ วัน ๑๕ วัน ตอนได้รับข่าวว่าท่านทวารเปิดมีเลือดไหลออกมาก็รีบถามลูกว่า ฟ้ามืดมากี่วันแล้ว ลูกก็พูดว่า ๒ – ๓ วันมานี่ไม่เห็นพระอาทิตย์ กว่าจะเห็นก็ ๑๐ โมงเช้า แต่เห็นได้แป๊บเดียวก็มืดอีก ข้าพเจ้าก็แน่ใจว่าครั้งนี้ท่านพ่อทิ้งขันธ์ ๕ แน่ๆ ที่มั่นใจก็เพราะท่านเคยพูดไว้ คนอื่นจะจำได้หรือไม่ แต่ป้านิภาจำได้เสมอ แม้เรื่องที่ท่านพ่อกล่าวไว้ถึง ๒๐ ปี ก็ยังจำไว้ได้

และเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ นี้ ข้าพเจ้าเตรียมจะเข้าพรรษาที่เมืองกาญจน์ แต่ยังเลือกวัดอยู่ เพราะตั้งใจจะทำนิโรธสมาบัติหนีคน เบื่อคน แอบกระซิบคุณชอ คุณเชิญ ทั้งสองคนก็พูดว่า เฮ้ย ถามหลวงพ่อก่อนนะ ข้าพเจ้าก็พูดว่าไม่ถามหรอก ถ้าถามท่านพ่อก็ต้องห้าม ไม่ถามดีกว่า เพราะถ้าทำได้ อยู่ได้ไม่เกิน ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน และอยู่ทำบุญกับเราก็จะได้ผลคล่องตัว หรือร่ำรวยในวันนั้น

พอถึงเวลาก่อนเข้าพรรษา ๑๕ วัน ข้าพเจ้าก็ไปวัดท่าซุง พอเดินเข้าไปถวายสังฆทาน ท่านพ่อก็พูดว่า เอ้า ภา ไปอยุ่วัดท่ามะขามเมืองกาญจน์นะ เข้าพรรษาที่นั่น ช่วยๆ กันไปก่อน ข้าพเจ้าก็ยิ้มรับว่าเจ้าค่ะ ก็ให้บอลลูนไปเคลียร์พื้นที่ ติดต่อท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิรังสี วัดท่ามะขาม ท่านก็ดีมาก และลูกศิษย์ที่เมืองกาญจน์ก็เป็นพวกที่น่ารักมากทุกคน ต่างเห็นว่าห้องน้ำห้องส้วมไม่สมบูรณ์ อุตส่าห์ลงทุนทำให้ใหม่

เมื่อรับปากท่านพ่อแล้วกลับมานั่งที่รับแขก ท่านพ่อก็พูดว่า ภาเอ้ย ไม่ต้องทำนิโรธสมาบัติหรอกนะ อยู่ช่วยๆ กันไปก่อน นิโรธพระอรหันต์ท่านเข้าพักเท่านั้น ทำสมาบัติเฉยๆ ก็พอ ช่วยๆ พวกเมืองกาญจน์ก่อน คนแถวๆ นั้นศรัทธาดี

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพวกเมืองกาญจน์หรือใกล้เคียงข้าพเจ้าคงดีใจ และสนองความดีของท่านพ่ออย่างถวายหัวเชียว นี่แหละข้าพเจ้าเป็นงงว่าท่านพ่อของเราท่านช่างรู้ระดับจิตอย่างยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน เพราะฉะนั้นจึงพูดได้เต็มปากว่าไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครในโลกของข้าพเจ้า

พอข้าพเจ้าไปเมืองกาญจน์ ก่อนจะเข้าพรรษา ๓ วัน ข้าพเจ้าก็ยังโอ้เอ้อยู่บ้านบอลลูน เพราะคนนั้นเลี้ยงคนนี้เลี้ยงก็เลยยังไม่เข้าวัด จนเหลืออีก ๒ วันจะเข้าพรรษา ขณะปฏิบัติอยู่ตี ๓ กว่าๆ ท่านก็ไปหา นิมิตเห็นท่านไปยืน และถามว่า ภายังไม่ไปอยู่วัดอีกหรือ พรุ่งนี้เข้าวัดนะ ศึกหนักนะวัดนี้ จะพบพระกินไก่ดิบๆ กระหัง

ข้าพเจ้ารีบถอนกรรมฐาน นอนคิดถึงท่านพ่อ ข้าพเจ้าก็รีบเข้าวัดในวันนั้นเลย บวชเนกขัมมะในโบสถ์ต่อจากบวชพระ ๓ องค์ ก็บวชข้าพเจ้าต่อเลย ศึกหนักจริงๆ มีปัญหาเสมอ แต่อาศัยความอดทนจิตใจตั้งมั่นไม่ท้อถอย ก็สอนกรรมฐานทุกคืน และเข้าออกสมาบัติอยู่เสมอ ตี ๓ เช้าดูหมอ ค่ำนั่งเสร็จสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ที่น่าแปลกคือ พระธาตุเสด็จทุกคืนมีหลายสี ถามคุณหมอนพพร คุณหมอเตือนใจดูได้ มีพยาน

๑ เดือนผ่านไป มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าจะออกจากกุฏิไปเข้าห้องน้ำ ก็เห็นดวงไฟเหมือนไฟฉายวนไปวนมาอยู่ตรงกองขยะ ข้าพเจ้าตกใจกลัว เพราะข้าพเจ้าจะไม่ลืมคำท่านพ่อ พอเห็นก็รู้ว่านั่นคือกระหังแน่ๆ ปิดประตูดึงกลอนเท่าไรก็ไม่เข้า รับว่ากลัว กลัวเพราะขาดสติ พอได้สติก็ไปหยิบมีดหมอมาถือไว้ ค่อยดึงประตูใส่กลอน ก็ใส่ได้ตามปกติ นี่คือขาดสติ นี่แหละที่เรียกว่ากลัวจนขาดสติ ก็ไม่มีอะไร แต่จะมีผีวิญญาณมากที่นั่น เขาจะมาขอบ่อยๆ มากด้วย

พอออกพรรษาก็มีพระรูปหนึ่งมานั่งปรึกษา ยังหนุ่มอยู่ ขอความช่วยเหลือจากข้าพเจ้า ท่านว่าท่านไม่รู้เป็นอะไรชอบกินขอบดิบๆ คาวๆ ท่านเคยไปหลังร้านก๋วยเตี๋ยวเพื่อเข้าห้องน้ำ พอเห็นเลือดไก่อยู่ในกะละมัง ท่านรีบเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวดิบๆ คลุกแล้วนั่งกิน มีคนเห็น ท่านอายแต่ไม่รู้จะแก้อย่างไร เคยไปให้พระแก้มาหลายแห่งที่ว่าเก่งๆ ก็ไม่หาย โยมช่วยแก้ให้ด้วยเถิด

พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็กำหนดหลวงปู่ปาน หลวงพ่อของเรา และพระพุทธองค์ แล้วถามท่านว่าท่านเคยกินไก่สดๆ ไหม ท่านบอกว่าเคยเห็นเด็กหิ้วไก่มา ขอซื้อเด็ก พอยังไม่ทันเข้ากุฏิก็ฉีกกินทันที พอถามพระพุทธองค์ ท่านบอกให้แก้ด้วยการทำน้ำมนต์ สวดนะโมตัสสะถอยหลังแล้วจะหาย ก็เลยบอกท่านไป ให้ไปทำเองหรือหาพระเก่งๆ ปฏิบัติทำให้ก็ได้ ท่านก็ทำตาม จากนั้นก็ยังไม่เจอกันเลย

นี่ก็ได้พบอย่างนิมิตที่ท่านพ่อบอก และท่านพ่อท่านสงเคราะห์ ท่านคงสงสารข้าพเจ้าที่จะต้องผจญภัยรอบด้าน ท่านบอกว่า ถ้าไปสอนให้เปิดเทปสมาทานพระกรรมฐาน ท่านก็จะไปคุ้มครอง เทปสมาทานนั้นเปรียบเสมือนสายสิญจน์ ศึกหนักหรือเบาก็คิดเอาเอง และยังมีอีกมากมาย ถ้ามีเงินก็อาจเขียนประวัติประสบการณ์เป็นเล่ม เพื่อจำหน่ายถวายเงินเข้าวัดท่าซุง ไม่หักค่าใช้จ่าย ใครจะร่วมก็เชิญ แต่ข้าพเจ้าต้องขออนุญาตทางวัดและให้ท่านเซ็นเซอร์ก่อนนะ

และใครๆ ก็ถามว่า หลวงพ่อมรณภาพไปแล้วใครจะแทนได้ เรื่องนี้ไม่ต้องวิตก เพราะท่านพ่อดูไว้แล้ว เตรียมพร้อมไว้แล้ว แม้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ ท่านยังมาบอกข้าพเจ้าที่วัดท่ามะขามว่า เราอยู่ได้อีกปีเดียวเท่านั้นนะ แต่ตอนนั้นข้าพเจ้านึกว่าท่านพ่อพยากรณ์ บอกให้ข้าพเจ้าเตรียมตัวตาย แหม เที่ยวบอกใครๆ ว่าข้าพเจ้าอยู่ได้อีกปีเดียวเท่านั้น

ลูกศิษย์ลูกหาตกใจ บางคนถึงกับบอกว่าหนูไม่ยอม หนูจะขอพระพุทธองค์ไว้ก่อน ท่านพระยายมด้วย ข้าพเจ้าแปลความหมายผิด คิดว่าตัวเองเก่ง เที่ยวบอกใครๆ อย่างภาคภูมิว่าจะถึงนิพพานอีกปีเดียว ยังบันทึกไว้เลย ที่ไหนได้พอถึงวันนี้จึงรู้ว่าท่านพูดถึงท่านเอง และท่านยังสั่งว่า อย่าร้องไห้นะภา ข้าพเจ้ายังถามท่านว่าไม่ร้องไห้ทำอย่างไร ท่านก็พูดว่า ก็หยุดปรุงแต่งซิ พอลองทำก็ได้ผล

ขอบอกทุกคนในที่นี้ว่า ท่านพ่อของเรายังเมตตาเราอยู่ ท่านไม่ได้จากเราไปไหน จะยิ่งศักดิ์สิทธิ์กว่ากายเนื้ออีก เพราะท่านอยู่เบื้องบนท่านจะทำอะไรๆ ก็ได้ยิ่งกว่าเก่า เพราะหมดโลกะวัชชะ ไม่มีใครปรับท่านได้ อุปมาอุปมัยเมื่อสมัยท่านพ่อกับหลวงปู่ปาน สิ้นหลวงปู่ปานท่านพ่อก็ยังทำอะไรๆ ศักดิ์สิทธิ์ได้ยิ่งกว่า คลื่นใหม่ย่อมแรงกว่าเก่า เพราะมีคลื่นเก่าหนุนเป็น ๓ ชื่อ คนก็เกิดพลัง ๓ เท่า

และพระวัดท่านพ่อก็รู้ๆ อยู่ ปฏิบัติตามท่านพ่ออย่างเคร่งครัด แผ่นดินไม่สิ้นคนดี พระทุกๆ องค์มีหน้าที่เหนื่อยยากกันมา ไม่ใช่เช้าเอนเพลนอน เย็นพักผ่อน กลางคืนกินมาม่า อย่างบางแห่งที่พบมาได้ยินมา วัดท่าซุงเราไม่มี และท่านพ่อของเราย่อมรู้รอบว่าองค์ไหนควรแก่หน้าที่ใด ไว้ใจเถิด ถ้าเรารักเคารพท่านพ่อ เราก็ต้องเชื่อถือท่านพ่อ ท่านมีวาจาสิทธิ์ ท่านพูดไว้อย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องห่วงวัด

อย่างน้อยก็ยังมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นองค์ประธานอยู่ สบายใจได้ พวกเราก็ปฏิบัติกันไปอย่างปกติ ยิ่งทำให้ยิ่งดี เพราะพวกเรายังมีพ่ออยู่เบื้องบนคอยเราอยู่ ข้าพเจ้าเคยพูดอยู่เสมอเมื่อบรรยายธรรม ถ้าเรามัวล่าช้ากันอยู่ เมื่อพระท่านเป็นพระอรหันต์ท่านก็ทิ้งเราไป เหงามั้ย ยิ่งนานวันยิ่งคิดถึง แต่อุ่นใจที่รู้ว่าพ่อเรายังดูพวกเราอยู่ ใช้มโนมยิทธิดูซิจ๊ะ ขึ้นไปกราบท่านทุกๆ วันแล้วจะสมหวังทุกประการ

วิชาท่านพ่อฤาษีทำประโยชน์แก่นักเรียนและวัด
ข้าพเจ้านิภา คงสุข ได้รับวิชาจากท่านพ่อฤาษี หรือพระราชพรหมยาน วิชาขององค์ท่านได้ทำประโยชน์มากมาย เช่น ตามโรงเรียน ตามวัด ที่มีนักบวช ก็มากมายที่แอนตี้ อ้อ ลืมไปพูดไทยๆ ต่อต้าน และยังมีอีกหลายพวกที่ต่อต้าน อย่างว่าแหละถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็คิดว่า ทำตัวให้เขาอิจฉา ดีกว่าให้เขาสงสาร

มาพูดถึงปาฏิหาริย์ เมื่อข้าพเจ้าไปอินเดียเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ เมื่อท่านพ่อมรณภาพได้ ๗ วันก็พบบอลลูนที่หน้าศาลา ๑๒ ไร่ บอลลูนก็ถามข้าพเจ้า หนูได้ข่าวว่าป้าจะไปอินเดียหรือ หลวงพ่อเคยสั่งไม่ให้เราไปอินเดียนะ ข้าพเจ้าก็ตอบบอลลูนว่าตอนนั้น พ.ศ.๒๕๓๔ ท่านห้ามเราก็งดไม่ไป นี่ พ.ศ.๒๕๓๕ ท่านก็มรณภาพไปแล้ว คำสั่งก็ตามท่านไปแล้ว คงไม่เป็นไรมั้ง

พอวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ออกเดินทางไปนั่งรอเครื่องอยู่ พนักงานก็ประกาศว่า เครื่องบินลำที่เราจะไปต้องช้าหน่อย เพราะสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชท่านเสด็จกลับจากต่างประเทศ จึงยังใช้สนามบินไม่ได้ ให้นั่งพักก่อน ก็รอไปอีกเพราะเครื่องนี้ต้องไปลงเชียงใหม่ รอสนามบินดอนเมืองว่า พอเย็นเครื่องมาแต่กัปตันพนักงานต้องพัก บินไม่ได้ เราก็เลยต้องพักที่โรงแรมเวลคัมที่กรุงเทพฯ ๑ คืน ค่าโรงแรมอาหารเป็นหน้าที่ของสายการบิน

อ้อพูดถึงเรื่องเครื่องขัดข้องเรื่องหนึ่ง พอเรื่อง ๒ ไปถึงที่อินเดีย เมืองกัลกัตตาจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองก็เกิดความยุ่งยากอีก แขกไม่ให้เข้า เพราะพาสปอร์ตไม่ได้ปั๊มไม่ได้แสตมป์ ๑๒ คน ทั้งพระและฆราวาสจึงต้องพูดจาอยู่นาน จึงพอให้ผ่านได้ พอขึ้นรถยนต์จะไปนาลันทา เครื่องยนต์ก็ไม่ติดอีก ต้องดับเครื่อง

ตอนนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงท่านพ่อมาก และขึ้นไปนมัสการขอขมา และมากระซิบท่านพระวิสุทธิรังสี รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีว่า ท่านจุดธูปบอกหลวงพ่อฤาษีหน่อยซี เพราะท่านห้ามโยมมาอินเดียท่านก็รู้ ท่านพระวิสุทธิรังสีบอกว่า จุดธูปบอกแล้ว ท่านจุดธูปจริงๆ และนั่งสมาธิ

ข้าพเจ้าทำสมาธิ มีคุณน้อยผู้เคารพท่านพ่อเรามา เขาก็ได้มโนมยิทธิ นำมีดหมอติดตัวไปด้วยก็นั่งสมาธิ ขอท่านพ่อเรา เพราะดึกแล้วเพียง ๑๕ นาที แขกก็ปล่อยให้ไปได้ ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่า ท่านพ่อยังอยู่คุ้มครองพวกเราอยู่ คำสั่งก็ยังเป็นคำสั่ง ข้าพเจ้าเป็นคนเลวรั้นมานาน ต่อนี้ไปจะไม่กล้าอีก จำทุกถ้อยคำของท่านจนตายนั่นแหละ

โอโฮยังไม่ได้เข้าเรื่องประโยชน์ของมโนมยิทธิ วิชาของท่านพ่อเราเลย ว่ามีประโยชน์สำหรับโรงเรียน วัด สำนักมากมาย เป็นวิชาทำคนให้เป็นพระ ข้าพเจ้าได้ไปสอนอบรมวิชาทำสมาธิตามโรงเรียน เช่น โรงเรียนชายอุตรดิตถ์ โรงเรียนเทคโนอุตรดิตถ์ วัดหมอนไม้ ทั้งนายทหารนายสิบจ่า จังหวัดกาญจนบุรี โรงเรียนเทศบาล ๒ โรงเรียนวัดท่าล้อ โรงเรียนรัตนราษฎรบำรุง บ้านโป่ง จ.ราชบุรี สำนักปฏิบัติธรรมคุณนิกร ตรีเนตร

ที่น่าสรรเสริญการต้อนรับหรือการยอมรับวิชาสมาธิก็คือ โรงเรียนรัตนราษฎรบำรุง ทั้งผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และคณะครูท่านอาจารย์ดีมาก ท่านรู้คุณค่าของคำว่าสมาธิเป็นวิชาของโลก ได้เชิญข้าพเจ้าสงเคราะห์นักเรียนถึง ๑๐ เสาร์ๆ ละ ๕๐ – ๔๘ คน เห็นมั้ยคะน่าสรรเสริญ แม้จะเป็นวันหยุดก็ยังเจียดเวลานำเด็กๆ มาเข้าฝึกสมาธิ จึงกราบท่านด้วยความเคารพ และยังให้กำลังใจแก่ผู้สอน ทำเกียรติบัตรดังได้แนบมานี้เพื่อเป็นเกียรติท่านพ่อของเรา ผู้ฝึกสอนข้าพเจ้าให้เป็นประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

บางแห่งบางที่อาจารย์และครูก็บ่นให้ฟังว่าผู้อำนวยการไม่ส่งเสริมก็มี แต่ช่างเถอะเราไปสอนเราก็สละเวลาอันมีค่า ไปเป็นวิทยากรไม่ได้รับเป็นเงิน เราภูมิใจในความมีค่าของเราและคณะท่านพ่อ (ไม่ใช่ความมีราคา) อ้อ ยังเคยไปบรรยายอีกคณะหนึ่ง เทคโนอยุธยา เชิญโดยอาจารย์อรุณี ส่วนมากเราจะไปเพื่อครูอาจารย์ เพราะท่านเหล่านี้ใกล้ชิดเด็ก รักเด็ก อยากให้เด็กมีคุณธรรม อยากให้เด็กได้รับวิชาของโลก (เป็นอย่างไรถ้าไม่เข้าใจมาถามได้)

คนจะเป็นใหญ่ระดับไหน ถ้าไม่รู้จักคำว่าสมาธิหรืออริยสัจ ๔ คนจบ ป.๔ เช่นเราที่ถือคำพระพุทธวัจนะ ก็ถือว่าเขาคนนั้นเป็นผู้มีปัญญาทราม เราก็ไม่สนใจจะต้องรู้จัก รู้จักแต่ครูอาจารย์ที่เชิญมาเพื่อนเด็กในวันนี้ เขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีระเบียบวินัยธรรมนูญชีวิตเท่านั้นเป็นพอ เพราะผู้สอนก็ไม่หวังสิ่งตอบแทน ผู้สอนเช่นข้าพเจ้ามีแต่ให้ ไม่หวังรับ

บางโรงเรียนผู้อำนวยการไม่เคยให้แม้เกียรติแถมยังแอนตี้ ผ.อ.แปลว่า ผัวอ้อนมั้ง เพราะพวกนี้คิดว่าการทำสมาธิเป็นของงมงาย สู้ไปนั่งตามร้านอาหารดีกว่า จึงแปลว่า (ผัวอ้อน) ถ้าเกิดไปกระทบใครเข้าก็ถือว่าวัวสันหลังหวะ เอาละเปลืองกระดาษเปล่าๆ สำหรับคนจำพวกนี้ปุถุชน จึงขอชมโรงเรียนรัตนราษฎรบำรุง บ้านโป่งอีกครั้ง และขอแนบตัวอย่างโรงเรียนที่ดีมีคุณธรรม มีระเบียบวินัยมาให้เป็นตัวอย่าง ว่าการทำดีมีน้ำใจเขาทำกันอย่างนี้ค่ะ

ท่านพ่อห่วงใยในลูกหลานต่างแดน
ก่อนท่านจะมรณภาพ ๗ เดือน ท่านพบหน้าข้าพเจ้าทีไร ท่านก็พูดทุกครั้งที่พบกัน อ้าว ภายังไม่ไปอเมริกาอีกหรือ ข้าพเจ้าก็พูดว่า “ก็ท่านพ่อพูดกับลูกว่า ภาเอ้ย ไปช่วยสงเคราะห์พวกลูกหลานทางอเมริกาฯ นะ หลวงพ่อคงไม่ได้ไปอีก ถ้ามีอะไรยุ่งๆ ก็ให้หนีไปที่วอชิงตัน นี่แหละทำให้ลูกไม่อยากไป เพราะลูกไปเป็นหนังสืออังกฤษ”

ท่านก็หัวเราะชอบใจแล้วพูดอีกว่า ไปเถอะไม่เป็นไร เปิดเทปสมาทานหลวงพ่อจะไปคุ้มครองเอง เปิดเสียงหลวงพ่อ จำไว้นะคะท่านที่อยู่ต่างแดน และเมื่อท่านมรณภาพ ก็มีลูกต่างแดน คือคุณลือชา ประทุมพันธ์ อยู่ ๑๗๓๑ – ๑๗๓๓ WILSON BOULEVARD ARLINGTON, VIRGINIA ๒๒๐๙ โทรศัพท์ (๐๗๓) ๕๒๗๕๗๗๒ – ๕๒๗๕๗๗๔ ท่านก็มางานศพครบรอบ ๗ วันท่านพ่อของเรา

ท่านลือชาก็ได้มาเชิญข้าพเจ้าไปช่วยทางโน้น โดยเขียนจดหมายมาขอจากท่านพ่อแล้ว และท่านก็อนุญาต และฝากลูกหลานของท่านพ่อต่างแดน และท่านได้สั่งคุณลือชา ประทุมพันธ์ ให้สร้างสำนักตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๓๕ คุณลือชาก็ทำตามสั่ง ตอนนี้คุณลือชาได้ขอให้ข้าพเจ้าไปสร้างความศรัทธาก่อน ๖ เดือน หรือ ๑ ปี

ต่อไปก็จะนิมนต์พระวัดท่าซุงครั้งละ ๒ องค์ ข้าพเจ้าก็คงจะต้องไปตามท่านพ่อสั่ง แม้ท่านมรณภาพไปแล้ว คำสั่งของท่านก็ยังคงเที่ยงอยู่ ดังพุทธวัจนะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าจะไปเดือนมีนาคม หรืออาจไปกลางเดือนกุมภาพันธ์ เพราะข้าพเจ้านัดว่า ๑๐๐ วันท่านพ่อแล้วจึงจะไป ข้าพเจ้าไปอยู่ตามที่อยู่ด้านบนที่เขียนมา คงจะอยู่ครั้งละ ๖ เดือน จะกลับมาครั้งหนึ่ง คงคิดถึงลูกหลานทั้งอดีตและปัจจุบันทุกๆ คนที่ข้าพเจ้าต้องจากไป และลูกหลานท่านพ่อในชิคาโก นิวยอร์ค แอลเอฯ ที่เคยมาพบท่านพ่อ มีอะไรจะใช้ก็ถามได้ตามเลขที่บอกมา

ห้องสมุดนวราชบพิตร
ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน
ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
วัดท่าซุง อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท

๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๐

ลูกสาวผู้โชคดี

ปกติจดหมายที่มาหาฉัน ต้องนอนค้างนานจึงจะได้รับคำตอบ เพราะปกติไม่ใคร่อยู่ ต้องเดินทางออกเยี่ยมชาวป่าชาวเขาเป็นปกติ วันนี้พอดีอยู่และจดหมายมาถึงพอดี จึงรีบตอบให้ทราบ


(๑) เรื่องมุสาวาท เท่าที่ปฏิบัติถูกต้องแล้ว เพราะมุสาวาทถ้าจะขาด ต้องเป็นวาจาที่ทำลายประโยชน์เขา สำหรับเรื่องที่รับฟังมาแล้วเป็นเรื่องร้าย แต่แก้ให้เป็นเรื่องดี อย่างนี้ไม่เรียกมุสาวาท เป็นเมตตากับกรุณา ควรทำต่อไป

(๒) เรื่องการค้า เกี่ยวกับเจ้าหนี้ที่มีการผัดผ่อนให้รอเวลา เป็นเรื่องปกติ เพราะเราไม่มีเจตนาฏกง เพียงหาทางผ่อนปรนให้มีเวลาหามาสมทบให้พอแก่การชำระหนี้ ทั้งนี้การชำระหนี้มิใช่ว่ามีเท่าไรชำระหมด จำต้องมีไว้กินไว้ใช้บ้าง การแจ้งว่าวันนี้ขายไม่ใคร่ดี เป็นทางออกที่ถูกต้องแล้ว ไม่มีอะไรที่ทำให้ศีลขาด

(๓) เรื่องการค้าราคาของกับการต่อรอง สมมุติว่าเราซื้อมาราคา ๒ บาท แต่ท้องตลาดขาย ๔ บาท เราจะขายตามนั้น ถ้าเขาขอลด เราก็ไม่บอกเขาว่าซื้อมาราคา ๓.๙๐ บาท เพียงบอกว่าราคาต้นทุนแพง จำต้องขายเท่านี้ ถ้าเขาพอใจเขาซื้อไปด้วยความเต็มใจของเขา อย่างนี้ไม่เรียกว่ามุสา

(๔) เรื่องความฝันนั้น รู้สึกว่าดีมาก คือ (๑) ฝันเห็นพระบรมราชินี ถือว่าเป็นมงคลใหญ่

(๕) เรื่องในฝันท่านบอกนั้นไม่เป็นไร ใจจะได้มั่นคง ตรงที่ท่านบอกว่า เพื่อความแน่ใจ ขอให้ไปถามพระจุฬามณี อันนี้ดีมาก เพราะตามคติในพระพุทธศาสนา ถือว่าลูกมีบุญญาธิการที่จะมีโอกาสไปพบพระจุฬามณีได้ ขอให้พยายามรักษากำลังใจให้เป็นกุศลไว้ ผลนี่จะมีแก่ลูกแน่
ขอลูกจงมีความสุขสมหวัง และเจ้าถึงพระจุฬามณีได้ตามที่นิมิตไปโดยเร็วเถิด
จากพ่อ

(พระมหาวีระ ถาวโร)

วัดท่าซุง อ.มโนมย์ จ.ชัยนาท (โทร. ๕๑๑๓๙๑ อุทัยธานี)

๑ สิงหาคม ๒๕๒๐

ลูกรัก
จดหมายของลูกลงวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๒๐ รับตอบช้ามากไปหน่อย ทั้งนี้พ่อไม่มีเวลาอยู่วัด ด้วยต้องออกไปเยี่ยมทางในป่า เพิ่งกลับมาก่อนหน้าวันอาสาฬหบูชาเพียง ๑ วัน เมื่อเสร็จงานเข้าพรรษาจึงรื้อจดหมายออกตรวจ พบของลูกเข้าจึงรีบตอบมาด่วน เรื่องทั้งหมดที่แจ้งมาล้วนเป็นเรื่องของธรรมปีติ

เมื่อธรรมปีติเข้าทรงใจของคนใด คนนั้นท่านเรียกว่า “ผู้เข้าถึงธรรม” ฉะนั้นขอลูกจงรักษาธรรมปิตินี้ไว้ให้มั่นคง อย่าหลงอารมณ์ของโลก ด้วยโลกไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ วัตถุ หรืออารมณ์ มันไม่มีอะไรยั่งยืน ล้วนเป็นเหตุของความทุกข์ทั้งหมด ไปยึดถือเข้าจะทำให้ใจว้าวุ่น มีอารมณ์เหมือนคนบ้า กายแก่ได้มีความเข้าใจว่าไม่แก่ ตายได้ก็เข้าใจว่าไม่ตาย เมื่อมันแก่และจะตายจริงๆ เข้า ก็เกิดความกลัดกลุ้ม ขอลูกจงพายเรือตามน้ำ คืออย่าฝืนกฎธรรมดาเท่านี้พอแล้ว แล้วลูกจะเข้าถึงความสุขที่ลูกคาดไม่ถึง

จากพ่อ
(พระมหาวีระ ถาวโร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 17/1/11 at 14:48

15

แสนอาลัยในดวงจิต


มัชฌิมา เดชะวรรธนะ



...รวย..รวย..รวย..รวย..นะลูกเอ๋ย

พรที่เคยได้ยินสิ้นขานไข
เหลือเพียงเสียงก้องกังวานสะท้านใจ
พ่อจากไปสู่นิพพานสราญรมย์
ลูกเคยคิดความร่ำรวยคงช่วยได้
ปลดทุกข์ในดวงจิตคิดสุขสม
เงินเป็นล้านเข้ามาพารื่นรมย์
แสนชื่นชมคาถาพ่อใช้ต่อดี

...พ่อเป็นห่วงลูกทุกคนลูกประจักษ์
ให้รวยรักรวยเงินตราหาใช้หนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อให้ในโลกนี้
คือความดีให้ก่อเกื้อเอื้อเฟื้อกัน
รักษาศีลให้ทานเจือจานไว้
แล้วจะได้พบทางสว่างสวรรค์
กรรมฐานอบรมจิตคิดทุกวัน
ทรงพรหมจรรย์รู้รอบกอปรเมตตา

...หมั่นสำรวจกายในกายจิตในจิต
ไม่ให้ติดยึดมั่นกันหนักหนา
ทั้งชั่วดีทรัพย์สินสิ้นราคา
ให้หมายหน้าหานิพพานกันทุกคน
เริ่มพื้นฐานทานศีลภาวนา
มุ่งโสดาปฏิบัติลัดมรรคผล
สกิทาคามิมรรคจักมาดล
เมื่อถึงผลอนาคาพามั่นคง

...อรหันต์นั้นยิ่งใหญ่ใจเพียรนัก
ถึงแสนหนักยึดมั่นไว้ไม่ไหลหลง
จิตฝันใฝ่แม้ชีวิตจะปลิดปลง
จะมุ่งตรงคำสอนพ่อขอสังวร
ถึงยามค่ำพร่ำเพรียกเรียกสติ
ฝึกมโนมยิทธิที่พ่อสอน
ท่องเที่ยวไปพรหมสวรรค์ชั้นอมร
หมั่นฝึกจรทั่วถึงซึ่งนิพพาน

...พ่อจากไปครั้งนี้เป็นที่สุด
มิอาจฉุดพ่ออยู่สู้สังขาร
ลูกขอฝึกต่อไปจนวายปราณ
ตามคำขานพ่อสอนให้ลูกใช้การ
จะบำเพ็ญความดีเป็นที่สุด
จวบจนหลุดพ้นวัฏสงสาร
ไปหาพ่อรออยู่ที่พระนิพพาน
สุขสราญพร้อมพ่อลูกทุกๆ คน

◄ll กลับสู่สารบัญ



16

กราบนมัสการแทบเท้าองค์หลวงพ่อที่เคารพรักสูงสุดบูชาของลูก


อุบาสิกา ชาตรี ทาประสิทธิ์


...การจากไปของหลวงพ่อ เป็นของธรรมดาของขันธ์ ๕ แต่ลูกก็อดเสียใจไม่ได้อยากให้องค์หลวงพ่ออยู่ต่ออีกสักระยะหนึ่งก่อน แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้จากลูกไปไหน คอยลูกอยู่บนพระนิพพาน

...วันหลวงพ่ออำลาขันธ์ ๕ ลูกไม่ทราบ แต่ว่าคืนนั้นขณะที่ลูกภาวนาอยู่กำลังเพลินๆ ก็มีแสงสว่างพุ่งยาวลงมาจากที่สูง ลูกคิดว่าองค์ใดองค์หนึ่งท่านเมตตาสงเคราะห์ รุ่งเช้าเพื่อนมาบอกข่าวหลวงพ่อตายรู้หรือยัง ถามว่าหลวงพ่อไหน หลวงพ่อฤาษี ใจหายตกใจมาก ถามว่าจริงหรือ จริง เมื่อคืนออกข่าวทีวีห้าทุ่ม ทำให้นึกถึงแสงสว่างพุ่งยาวตรงมาที่ตัวของลูกคืนนั้น

...ตกเย็นลูกไปกราบนมัสการสรงน้ำ เดินทางไปถึงก็นั่งลงพนมมือ บอกลูกมากราบนมัสการสรงน้ำองค์หลวงพ่อเจ้าค่ะ แล้วกราบลงนมัสการ พร้อมทั้งน้ำตานองหน้า

...หลังจากนั้น ๖ วัน ลูกเดินทางไปกราบนมัสการอีก ไปถึงมองเห็นภาพถ่ายภาพใหญ่แต่ไกล เดินเข้าไปใกล้ๆ นั่งลงพนมมือ ก่อนที่จะกราบนมัสการมองดูภาพของหลวงพ่อ หลวงพ่อก็มองมาที่ลูก ภาพของหลวงพ่อเหมือนยังมีชีวิตอยู่ (ตาสบตา) เท่านั้นแหละน้ำตาก็ไหลออกมาสุดที่จะห้ามได้ คิดถึงมาสังฆทานทุกครั้ง หลวงพ่อยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านให้พรรวยมากๆ ลูกเอ๊ย... รวยมากๆ ชื่นใจและมีความสุขใจเมื่อได้มาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ

สัญญาเดิม อายุ ๑๒ – ๑๓ ระลึกชาติได้จากการปฏิบัติกรรมฐาน ทราบว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง ได้อธิษฐานจิตลงตามพ่อมาสร้างบารมี เห็นพ่ออยู่ในรูปพระสงฆ์หนุ่มชื่อวีระ เห็นภาพล่วงหน้า ผู้คนมาหาหลวงพ่อมืดฟ้ามัวดิน และปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

การปฏิบัติกรรมฐานก่อนพบองค์หลวงพ่อไม่รู้อะไรเลย ปู่เป็นผู้สอนกรรมฐานให้ ถูลู่ถูกัง เอาชีวิตเข้าสู้ เสี่ยงตายกับเหตุการณ์เกิดขึ้นเฉพาะหน้า และบางครั้งก็ต่อสู้กับทุกขเวทนาปวดมากๆ ขณะที่นั่งภาวนาจนแดงเป็นไฟขึ้นมา แล้วก็ดับลงเหลือแต่ขี้เถ้า ความเจ็บปวดที่หายไปพร้อมกัน

การปฏิบัติธรรมมีทั้งทุกข์ มีทั้งสบาย เอาจริงๆ ก็จะรู้จริงๆ ระยะหลังๆ ก็ได้ยินเสียงแนะนำธรรมะบ้าง เทวดาบ้าง พระสงเคราะห์แนะนำบ้าง พระท่านแนะนำให้ทำน้ำเป็นน้ำแข็ง ภายใน ๓ วัน ถ้าทำไม่ได้จะไม่มาหาเลย ถ้าทำได้จะมา ทำได้วันสุดท้าย ดีใจนึกถึงท่าน ท่านก็ปรากฏทันที

นั่งภาวนาอยู่ ท่านปู่ท่านย่ามาหา ท่านสวยงามมาก แยกตัวเองให้ได้ ๒ คน แล้วยกมือไหว้ท่านทั้ง ๒ ท่านปู่ท่านย่าก็ยกมือไหว้ตอบ ท่านปู่ท่านย่าแนะนำการปฏิบัติธรรม นางฟ้าตามมาอีกจำนวน ๑๐ ท่าน หนักใจนิดหน่อยกลัวว่าจะแยกร่างไม่ได้ครบจำนวนที่ท่านมา ตั้งใจทำก็แยกร่างกายได้ครบจำนวน ๑๐ พร้อมยกมือไหว้ท่าน

นางฟ้าท่านก็ยกมือไหว้ตอบ ท่านสวยเหมือนกันเปี๊ยบเลย ต้องดูที่ใจของท่านจึงจะรู้ว่าใครเป็นใคร มารยาทของท่านช่างงามเหลือเกิน เมื่อท่านลากลับท่านเดินออกห่างพอสมควร แล้วก็ลอยขึ้นบนอากาศในลักษณะยืน เบาเหมือนนุ่นลอยขึ้นบนอากาศ ไกลขึ้นๆ ก็หายไปเลย

ขณะนั่งภาวนากำลังเพลินเบาสบายอยู่ พระอินทร์ท่านมาบอกว่า สมเด็จให้มาเชิญให้ไปพบ ก็ตามพระอินทร์ไปอย่างว่าง่าย เพราะเป็นคำสั่ง ทั้งที่ไม่ทราบว่าสมเด็จคือใคร เดาเอาว่าเป็นใหญ่มีความสำคัญในอีกโลกหนึ่ง เดินตามพระอินทร์ท่านไปอย่างเบาสบาย ทางเป็นเนินสูงขึ้นๆ พอถึงทางแยกขวา ท่านหยุดบอกว่าหมดธุระของท่านแล้ว

ท่านบอกว่าทางไปหาสมเด็จตรงไป ไม่รู้จักสมเด็จ ไม่เคยไป ไปไม่ถูกหรอ เจอะใครก็ถามซิ คนที่นี่รู้จักหมด เมื่อรู้ว่าจะต้องเดินทางคนเดียวก็หมดกำลังใจ เหนื่อย รู้อย่างนี้ไม่มาหรอก นึกในใจ จะกลับก็ใช่ที่เกือบถึงแล้ว และเป็นคำสั่ง พระอินทร์ท่านเลี้ยวขวา ลูกเดินสายตรงไปด้วยความอ่อนเมื่อยล้า ถึงศาลาก็พักเหนื่อยก่อนคนเดียวไม่มีใคร เลยเอนกายลงนอน ใจคิดว่ามีหมอนสักใบก็ดีซิ หมอนก็ปรากฏรองรับศีรษะพอดี

ครู่หนึ่งได้ยินเสียงคุยกันจึงลุกขึ้นนั่ง เห็นพระเดินมา ๓ องค์ ยกมือไหว้พร้อมถามว่า ทางไปหาสมเด็จไปทางไหนคะ พระท่านตอบว่ามาถึงที่นี่ก็ถึงแล้ว ได้ยินท่านพูดอย่างนี้จิตก็เป็นอิสระ พระท่านถามว่าอยากอยู่ที่นี่ไหม อยากอยู่เจ้าค่ะ ตามมา ก็เดินตามท่าน พอถึงกองไม้กระดาน องค์หน้าแบกหนึ่งแผ่น องค์สองแบกหนึ่งเผ่น องค์สุดท้ายแบกหนึ่งแผ่น

องค์หน้าสั่งโยมด้วยแบกหนึ่งแผ่น มองเห็นไม้แล้วเบาสบาย ใจคิดว่าเบา พอยกขึ้นแบกรู้สึกหนักยักแย่ยักยัน พระท่านบอกว่ายังอยู่ไม่ได้ กลับไปสร้างบารมีให้เต็มก่อน

พระพุทธเจ้าทรงประทับนั่งบนอาสนะดอกบัวใต้ต้นโพธิ์ พระเกสาดำนูนตรงกลาง หลังพระเศียรมีวงกลมขาวนวลคล้ายวงพระจันทร์ใหญ่ พระวรกายสวยงามมาก

เข้าไปกราบนมัสการ พระองค์ท่านตรัสถามว่า อยากบวชหรือ
เจ้าค่ะ อยากบวช แต่ลูกเป็นผู้หญิงหมดโอกาสเจ้าค่ะ
ทรงตรัสว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นในร่างกายว่าเป็นหญิง
พร้อมทั้งบรรยายสภาวธรรม ฟังไปคิดไปตามจิตพร้อมยอมรับ

ท่านทรงบวชให้ด้วย เอหิภิกขุ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เพียงเท่านี้ร่างกายก็เป็นพระสงฆ์เรียบร้อย
พระองค์ท่านทรงเรียกว่า ภิกษุน้อย ทั้งที่ร่างกายก็เท่าพระสงฆ์ทั่วๆ ไป
ตรัสว่าผู้เข้ามาบวชในพระศาสนา ยังไม่บรรลุมรรคผลเพียงใด ยังไม่เป็นพระที่สมบูรณ์ ทรงเรียกว่า สมมุติสงฆ์

ขอเล่าย่อๆ เดี๋ยวลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๔ เกิน ๒๐๐ หน้า นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ดวงพระอาทิตย์ ดวงดาว พระอังคารอีกต่างหาก
พระท่านถามว่าอยากเห็นนรกไหม
อยากเห็นเจ้าค่ะ
นั่นไง พร้อมชี้ให้ดูเพียงเท่านี้ก็เห็นแล้ว
ไปด้วยตัวเองอีกต่างหาก

สวรรค์ไปหลายครั้งใช่ว่าเก่งเปล่าค่ะ ถ้าตั้งใจว่าจะไปอยากจะไปก็ไปไม่ได้เช่นกัน ก็ไม่ทราบเช่นกัน วันไหนไม่สนใจก็ไปได้เอง การไปก็มีทั้งไปดีและไปขายหน้าตัวเองก็มี อย่างเช่นไปดีก็ได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า พระองค์กำลังเทศน์อยู่และสาวงามกำลังถวายงานพัดให้อยู่ ท่านย่ามองมาเห็น ท่านยกมือเรียกให้เข้ามานั่งอยู่รู้สึกมีความอบอุ่น ท่านย่าดีใจมากที่ขึ้นมาได้

การไปขายหน้าตัวเองก็เห็นนางฟ้าท่านสวยพร้อมเครื่องประดับ เห็นแหวนท่านสวยงามมาก อยากมีบ้าง แหวนก็ปรากฏทันที พร้อมตัวเองก็หกคะเมนตีลังกา ขายหน้าตัวเองมาก อายนางฟ้าท่านมาก
พรหมสวยกว่าสวรรค์ มีสภาวะเหมือนกัน ไมมีเพศหญิงชาย พบสามีในอดีตก็เหมือนเพื่อนที่สนิท
บนพระนิพพานสวยขาวนวลสว่าง เห็นแล้วสบายตาไม่แสบตา ถนนขาวแพรวพราว ระยิบระยับ พระพุทธเจ้าแนะนำพระองค์ในชุดพระนิพพาน

ท่านคือพระพุทธเจ้าทรงชุดพระนิพพาน ถามว่า จริงๆ หรือนี่เจ้าคะ (เพื่อความมั่นใจยิ่งขึ้น) ท่านทรงนิ่งเฉย
เทวดาท่านตอบแทน บนโลกนี้ไม่มีโกหก โกหกอยู่ในโลกเดียว มนุษย์โลก
รู้สึกอายมากที่สุด ตั้งแต่เกิดไม่เคยเห็นพระองค์ท่านทรงชุดพระนิพพาน ปี พ.ศ.๒๕๒๗ มาที่วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก เห็นพระวิสุทธิเทพเหมือนเปี๊ยบเลย

แด่หลวงพ่อพระผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของลูก


◄ll กลับสู่สารบัญ



17

หลวงปู่ปานสอนกัมมัฏฐาน


อุบาสิกา สุรินทร์ สาระยิ่ง


... เดินทางไปฝึกมโนมยิทธิต่อที่วัดท่าซุงเพื่อทดสอบ

ข้าพเจ้าเริ่มฝึกสมาธิที่บ้าน โดยมีหลวงปู่ปานมาฝึกให้ แล้วก็เกิดอยากจะไปทดสอบฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ว่าจะตรงกับที่หลวงปู่ปานมาฝึกให้หรือไม่ ก็ออกเดินทาง แต่วันจะออกเดินทางนั้น ท่านได้มาบอกว่า อยากจะลองฝึกที่โน่นบ้างก็ได้ ทุกอย่างท่านฝึกให้แล้ว

... แต่ข้าพเจ้าก็เกิดอารมณ์สงสัย ว่าท่านตายไปแล้ว แล้วท่านมาสอนได้อย่างไร อยากจะทดสอบแล้วก็รู้ข่าวว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีท่านสอนมโนมยิทธิ ว่าจะตรงกับที่หลวงปู่ปานสอนหรือเปล่า อันนี้ไม่ใช่ว่าจะดูถูกหรือดูหมิ่นประมาทที่ท่านมาสอนให้

... ข้าพเจ้ากับสามีก็เตรียมข้าวของออกเดินทาง ได้ข่าวว่าถ้าจะฝึกต้องไปค้างคืน เมื่อสมัยก่อนนั้นมีคนรู้จักกันไปบวชที่นั่น วันบวชข้าพเจ้าได้เดินทางไปร่วมการบวชพระที่นั่น ก็ได้เข้าไปกราบท่านเพราะเห็นเขากราบ ข้าพเจ้าก็กราบตามชาวบ้านเขาไป แล้วก็มีคนในคณะที่ไปบวชพระด้วยกันเข้าไปทำบุญกับท่าน แล้วท่านก็แจกแหนบให้

... มีอยู่คนหนึ่งเข้าไปทำบุญกับท่าน แล้วท่านก็จะให้ยื่นมือมารับของ คนนี้ก็ยื่นไปรับของ แต่พอของจะถึงมือก็ชักมือกลับ แหนบก็ตกลงพื้น
หลวงพ่อก็ดุว่า “บ้าหรือไง”
ถ้าจำไม่ผิด ข้าพเจ้าก็คิดในใจว่า “พระองค์นี้ด่าชาวบ้าน ไม่เคารพ ไม่เกิดศรัทธา”

แล้วก็ไม่เคยรู้จักคำว่าศีล ว่าทานก็กลับมาบ้าน ก็ทำมาหากินตามประสาชาวบ้านเรื่อยมา

ต่อมาสามีของข้าพเจ้าก็ถามข้าพเจ้าว่า ที่ไปร่วมการบวชพระวัดท่าซุงนั้น รู้ไหมว่าเขามีระเบียบอะไรบ้าง ข้าพเจ้าก็บอกไม่รู้ เพราะไม่ได้สนใจ สามีก็พูดว่า เราไปค้างคืนนี่ เขาจะให้เราเตรียมอะไรบ้างก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าก็พูดขึ้นว่า ไปเถอะทางวัดคงจะไม่มีอะไร เพราะเราไปหาพระ คงจะไม่มีอะไร แต่หลวงปู่ปานท่านบอกเวลาเดินทางไว้ บอกให้ไปตั้งแต่เช้าๆ ให้ถึงโน่นตอนบ่ายๆ เพราะจะได้เข้าไปกราบท่านได้ แต่อย่างอื่นท่านไม่บอกว่าจะต้องเตรียมอะไร

ข้าพเจ้าก็ขึ้นรถสายท่าช้าง แล้วกระเป๋ารถให้ต่อสายนครสวรรค์ บอกว่าไปได้ ก็ขึ้นไป แล้วก็บอกว่าถ้าถึงทางแยกให้บอกด้วย เพราะกระเป๋ารถบอกว่าต้องลงทางแยกแล้วจะมีรถต่อเข้าไป ไปรอตรงนั้น ตรงนั้นคงจะเป็นสะพานท่าน้ำอ้อยหรือเรียกว่าอะไรก็ไม่ทราบ ไม่ค่อยแน่ใจ ข้าพเจ้าก็ครุ่นคิดจิตสับสน กลัวจะถึงวัดไม่ทันช่วงบ่ายตามที่หลวงปู่ปานบอก

พอรอสักประเดี๋ยวรถก็ผ่านมา ข้าพเจ้าและสามีก็ขึ้นรถ เป็นรถสองแถวเล็กๆ พอรถแล่นออกไปได้หน่อยหนึ่ง ก็ถึงกลางสะพาน จะสุดสะพานก็มีภาพหลวงพ่อฤาษีลอยมาในวงกลม ห่มผ้าเหลือง ผิวพรรณแจ่มใจมาก
แล้วท่านก็บอกว่า “วัดฉันอยู่ทางนี้นะ”
แล้วพูดต่อว่า “ไม่ได้ขึ้นคันนี้คันเดียวนะโว้ย ต้องขึ้นต่ออีกสายหนึ่ง”

ข้าพเจ้าก็ดีใจที่ท่านมารับ แล้วก็มาชี้ทางบอกเรื่องรถ พอสักครู่รถที่นั่งไปก็ถึงที่จอดรถจังหวัดอุทัยธานี สามีของข้าพเจ้าก็เดินถามกระเป๋ารถเมล์ว่าจะไปวัดท่าซุง จะไปขึ้นรถคันไหน กระเป๋ารถก็บอกให้ขึ้นรถคันที่จะไปมโนรมย์จะผ่านหน้าวัดท่าซุง แล้วข้าพเจ้าและสามีก็ขึ้นรถไป บอกคนขับว่าถ้าถึงวัดท่าซุงให้บอกด้วย พอถึงวัดมีกำแพงเหลืองอร่าม

คนขับรถก็บอกว่า “นี่แนะ วัดท่าซุง” ข้าพเจ้าถึงแม้จะเคยมาตอนงานบวชพระครั้งหนึ่งแล้วก็จริง แต่มาเหมือนคนตาบอด เพราะไม่รู้อะไรเลย คราวนี้พอเห็นตัววัดก็ชื่นใจ มีปีติบอกไม่ถูก เกิดศรัทธา รถก็จอดให้ข้าพเจ้าและสามีลง

สามีก็ถามคนที่หน้าวัดว่า “หลวงพ่ออยู่ไหม?”
เขาก็บอกว่า “อยู่”
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปพบท่านได้ที่ไหน เพราะไม่รู้ว่าท่านพักอยู่ห้องไหน
คนที่นั่นก็เลยบอกว่า “เดี๋ยวหลวงพ่อจะลงมารับแขกที่ศาลาหน้าโบสถ์”

สามีกับข้าพเจ้าก็ถือกระเป๋ากันคนละใบ เพราะเป็นคนบ้านนอกนั่งรอจะเข้าพระเจ้าก็ไม่ค่อยจะถนัดเท่าไหร่ ก็เลยนั่งรออยู่ข้างนอกตรงเก้าอี้ พอนั่งรอสักพักหนึ่งก็เห็นทหารแล้วก็มีหมาตัวลายเป็นดอกวิ่งนำหน้า แล้วก็มีทหารกางร่ม ข้าพเจ้ากับสามีก็ไม่ได้ยกมือไหว้ ท่านเข้าไปข้างใน ข้าพเจ้าก็ตามไป เห็นคนข้างในกราบกันราบไปหมด

นึกในใจว่า “โอหนอ บารมีหลวงพ่อคนนับถือกันมากเหลือเกิน”
ข้าพเจ้าและสามีขัดๆ เขินๆ ก็เข้าไปกราบท่าน พอกราบแล้ว ท่านก็คุยกับแขกคนอื่นๆ
แล้วท่านก็พูดว่า “ถ้าใครมีปัญหาอะไรก็ถามได้”
ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า จะต้องถามให้ได้

พอได้จังหวะข้าพเจ้าก็ถามท่านว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกได้พบหลวงปู่ปาน ท่านยังไม่ตาย แต่คนอื่นเขาว่าท่านตาย ท่านบอกลูกว่าท่านตายแต่ร่างกายหยาบ ยังมีร่างอีกร่างหนึ่งเป็นร่างทิพย์”
หลวงพ่อดุว่า “อีขี้หมา ถ้าท่านตายจริงๆ ฉันจะเคารพท่านทำไมล่ะ ระวังนะ ถ้าไปพูดกับคนอื่นเขาจะหาว่าบ้า แต่พูดกับฉันไม่เป็นไรหรอก เพราะฉันเคารพหลวงพ่อปาน แล้วท่านก็ยังไม่ตาย เพราะท่านมีร่างทิพย์ ก็เพราะอย่างนี้นะซิ ฉันจึงเชื่อหลวงพ่อปาน”

พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็ล้วงเหรียญหลวงปู่ปานที่ข้าพเจ้าแขวนคออยู่ จะให้ท่านดูว่าใช่เหรียญหลวงปู่ปานจริงไหม
ทันใดท่านก็พูดว่า “ไม่ต้องถอดมาดูหรอกวะ พอนึกถึงท่านท่านมาหาก็ใช้ได้ละวะ เก็บเอาไว้ใช้ประจำตัวนะ”
แล้วข้าพเจ้าก็พูดว่า “ลูกจะเดินทางมาฝึกมโนมยิทธิที่วัดหลวงพ่อ


หลวงพ่อก็ถามข้าพเจ้าว่า “เอาบัตรประชาชนมาไหม”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ไม่ได้เอามาเจ้าค่ะ”
ท่านพูดว่า “ไม่รู้ระเบียบที่นี่หรือไง ว่าใครจะมาพักก็ต้องมีบัตรประชาชน เอายังงี้ก็แล้วกัน ปกติฉันไม่เคยให้ใครที่ไม่มีบัตรประชาชนค้างที่วัด เพราะระเบียบเขามีอยู่แล้ว ดีนะที่มาคุยกับฉัน ถ้าเจอพระที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ เอ็งจะไม่ได้ค้าง เพราะไม่มีบัตรมา ท่านบอกว่าอยู่ได้แค่คืนเดียวนะ”

แล้วข้าพเจ้าก็กราบนมัสการท่าน ที่ท่านเมตตาให้ข้าพเจ้าค้างคืน แล้วท่านก็ให้เจ้าหน้าที่ให้กุญแจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าและสามีก็ไปพักห้องที่ท่านให้พัก พอได้เวลาทำกรรมฐาน ข้าพเจ้าและสามีก็ไปฝึกมโนมยิทธิที่ห้องกรรมฐาน ก่อนจะฝึกเขาก็เปิดเทปหลวงพ่อ นำสมาทานเสร็จแล้ว เขาก็ให้ข้าพเจ้าพร้อมกับสามีนั่งภาวนา

สำหรับข้าพเจ้านั้นมีแม่ชีองค์อ้วนๆ (แม่ชีชุลี อาตมะมิศร์) มาเป็นครูฝึก พอได้สักครู่หนึ่งก็มีมือเบาๆ ของแม่ชีมาแตะ แล้วบอกให้หยุดภาวนา แล้วท่านก็ถามข้าพเจ้าว่า วันนี้จะฝึกไปสวรรค์กัน จะไปไหว้พระจุฬามณี พอได้ยินคำว่าพระจุฬามณี ดวงนิมิตของข้าพเจ้าก็เป็นแก้วประกายใสสว่าง เป็นร่างคนละร่างกับที่นั่งอยู่

ร่างนั้นก็นั่งอยู่ข้างๆ ฟังคำพูดที่แม่ชีพูด แล้วแม่ชีก็ให้ตามไปที่พระจุฬามณี ข้าพเจ้าก็ทำตามทุกอย่าง เพราะว่าเรื่องไปพระจุฬามณีนี้ ตอนอยู่ที่บ้านหลวงปู่ปานท่านเคยพาข้าพเจ้าไปมาแล้ว รู้สึกอารมณ์เบาสบาย กายทิพย์เบามาก ลักษณะเครื่องแต่งตัวข้าพเจ้าครบไปหมดเสื้อผ้าอาภรณ์ แล้วก็ได้ยินเสียงแม่ชีและเห็นร่างท่านด้วย

ท่านถามว่า “เห็นพระจุฬามณีไหม”
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า ” เห็น”
แล้วแม่ชีก็ถามว่า “เคยมาที่นี่ไหม?”
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “เคยมา เพราะหลวงปู่ปานท่านฝึกให้มากราบพระจุฬามณีเหมือนที่แม่ชีฝึก”

แม่ชีถามว่า “ถ้าอย่างนั้น หลวงปู่ปานเคยฝึกให้มากราบพระเมาลีท่านบ้างไหม?”
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “เคย”
แม่ชีก็พูดต่ออีกว่า“เอ มีบุญมากนะที่หลวงปู่ปานท่านสงเคราะห์”
แล้วแม่ชีก็ถามข้าพเจ้าว่า “เคยพบท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่าบ้างไหม?”

ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “เคยไปกราบท่านทั้งสองแล้ว เพราะหลวงปู่ปานท่านฝึกให้”
แม่ชีก็ถามว่า “ตอนนี้อยากไปไหน”
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “อยากไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นิพพาน”
แม่ชีก็บอก “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกราบท่านที่นิพพาน”

พอไปได้ไม่นานนัก ข้าพเจ้าและแม่ชีก็เข้าเขตพระนิพพาน แม่ชีก็ชี้ให้ข้าพเจ้าดูว่า ที่นั่นคือที่ประทับของพระพุทธเจ้า ที่นี่คือนิพพาน กายของข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าเบาๆ ยิ่งกว่าเดิมอีก มีรองเท้า มีชฎา มีเสื้อ พร้อมทั้งร่างของข้าพเจ้าก็กลายเป็นเพชรระยิบระยับไปหมด

แม่ชีบอกว่า “ก่อนจะเข้าเขตวิมานท่าน ต้องกราบท่านมเหสักขาที่หน้าประตูก่อน”
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า“ปกติที่หลวงปู่พามาก็บอกให้กราบเป็นประจำ”

ข้าพเจ้าก็ทำตาม แล้วข้าพเจ้าก็ก้าวเข้าไปกราบองค์สมเด็จ ท่านก็เอื้อมมือมาลูบศีรษะของข้าพเจ้าๆ ก็เงยหน้ามองดูพระพักตร์ของท่าน ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสสว่างไสวไปทั้งองค์ แล้วท่านก็เปล่งแสงรัศมีออกจากพระวรกายท่านสวยงามบอกไม่ถูก กลายเป็นเพชรทั้งองค์แพรวพราวไปหมด พร้อมทั้งกายทิพย์ของข้าพเจ้าก็สว่างมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก

แล้วข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกนึกถึงหลวงปู่ปาน เพราะว่าท่านเคยพามาประจำ แต่คราวนี้ข้าพเจ้ามากับแม่ชี พอนึกถึงท่านเท่านั้นเอง ท่านก็มายืนอยู่ข้างๆ ด้านขวาขององค์สมเด็จฯ พอข้าพเจ้ามองเห็น ข้าพเจ้าก็ดีใจเข้าไปกราบท่าน
ท่านพูดขึ้นว่า “ก็ฉันฝึกให้แล้วไงล่ะ เหมือนกันไหม มากับแม่ชี”
ข้าพเจ้าตอบท่านว่า“ก็อยากจะลองฝึกที่วัดท่าซุงดูบ้างว่าจะตรงกับหลวงปู่ปานมาฝึกให้ไหม?”

แล้วท่านก็ถามว่า “ตรงไหมล่ะ?”
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ตรงกันกับที่หลวงปู่ฝึกนั่นแหละ”
แล้วข้าพเจ้าก็คิดถึงท่านปู่พระอินทร์และท่านย่าอีก เพราะเคยกราบท่านเป็นประจำ

ทันใดนั้นก็เห็นท่านปู่พระอินทร์และท่านย่ามายืนอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบท่าน ท่านปู่พระอินทร์และท่านย่าก็เอื้อมมือมาลูบไหล่และศีรษะข้าพเจ้า
แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า“เจ้ามีคนไปฝึกให้แล้ว ทำไมจะต้องมาลองฝึกอีก”
ข้าพเจ้าก็พูดกับท่านปู่ท่านย่าว่า“ก็อยากลองดูว่าจะตรงกันไหม?”
ท่านก็บอกว่า“ทีหลังไม่ต้องลองอีกแล้วนะ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทำกรรมฐานให้ทุกวันตามที่ท่านสอนก็แล้วกันนะหลานนะ”

พร้อมกันนั้นเสียงแม่ชีก็พูดขึ้นว่า“เราน่ะ หลวงปู่ปานท่านอนุเคราะห์แล้ว ไม่ต้องฝึกอะไรมากหรอกนะ”
ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็มองเห็นท่านแม่ศรีเอื้อมมือเข้ามาจับมือข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบท่านแม่ศรี พร้อมกันนั้นก็กล่าวคำขอพรจากท่านทุกๆ พระองค์ เงยหน้าขึ้น ก็เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีท่านยืนอยู่ข้างหลวงปู่ปานด้วย

ข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบท่าน ทั้งที่ยังไม่ได้รับพร
แล้วท่านก็พูดขึ้นอีกว่า “ฉันให้มาฝึกแค่คืนเดียวก็พอแล้ว เพราะครูฝึกเป็นครูองค์เดียวกันกับที่ฝึกฉัน”
พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าก็กราบขอพรกับทุกๆ พระองค์อีกครั้งหนึ่ง

ท่านได้กล่าวคำให้พรว่า“สิ่งใดที่ปรารถนาแล้ว ถ้าไม่เกินกว่าบุญบารมีแล้วขอให้เธอจงสมหวังทุกประการ”
พร้อมกันนั้น แม่ชีที่ฝึกข้าพเจ้าได้พูดว่า“ก็ไม่รู้จะฝึกอะไรให้ ก็มีหลวงปู่ปานฝึกให้แล้วก็กลับกันแค่นี้นะ”
ข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและทุกๆ พระองค์ พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็กลับมาที่ร่างเดิมที่วัดท่าซุงพร้อมกับแม่ชีที่นั่งอยู่ข้างหน้า บอกว่า “เรามีบุญบารมีมาก ท่านฝึกให้แล้ว ถ้ากลับไปบ้านให้ทำประจำนะ”

ข้าพเจ้าก็รับปาก แล้วก็กราบขอบคุณแม่ชีที่ฝึกให้
ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องการเดินทางมาฝึกที่วัดท่าซุงเป็นครั้งแรกให้ทุกท่านฟัง เพราะการสัมผัสหรือฝึกของข้าพเจ้านั้น พอแม่ชีที่วัดท่าซุงฝึกตรงกับที่หลวงปู่ปานเคยฝึกให้ ข้าพเจ้าก็เลิกสงสัย เพราะว่าตรงกันทุกอย่างตามที่หลวงปู่ปานฝึกให้ข้าพเจ้าที่บ้าน

หลังจากฝึกมโนมยิทธิแล้ว พอวันรุ่งขึ้นประมาณ ๓ โมงเช้าก็จะเดินทางกลับบ้าน ก็เข้าไปกราบลารูปท่านที่ศาลาที่ท่านรับแขก เพราะตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะลงรับแขก พอก้มลงกราบ หลวงปู่ปานก็มายืนอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้า
พูดกับข้าพเจ้าว่า “อยากได้อะไรฉันก็ไปฝึกให้แล้วไงล่ะ บอกสามีเอ็งด้วยว่า ไม่ต้องน้อยอกน้อยใจที่หลวงพ่อไม่ได้ฝึกด้วยตนเอง แล้วให้อยู่แค่วันเดียว ไม่ต้องคิดมาก”

ข้าพเจ้าก็เงยหน้า แล้วก็เล่าให้สามีฟังว่า “ตอนนี้หลวงปู่ปานมาบอกอย่างนี้”
เวลานั้นสามีข้าพเจ้ากำลังก้มลงกราบเป็นครั้งที่สาม แล้วก็ก้มหน้าร้องไห้ ไม่อยากจะกลับบ้าน อยากจะอยู่ฝึกต่อ เพราะสามีข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเกิดศรัทธาอยากอยู่ใกล้ๆ หลวงพ่อ

แต่หลวงปู่ปานก็บอกว่า“กลับไปเถอะ แล้วฉันจะตามไปฝึกให้ทุกอย่าง ถ้าอยากได้อะไรก็ให้บอกฉัน”
แต่ใจข้าพเจ้าก็อาลัยในความดีของหลวงพ่อ ก็เกิดปีติร้องไห้ทั้งคู่ ความดีของหลวงพ่อนั้นมากมายเหลือที่จะประมาณ เพราะท่านได้ชี้แจงให้ข้าพเจ้าและสามีได้รู้จักรักษาศีล และนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมจนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ได้จดจำคำสั่งสอนของหลวงพ่อมาประพฤติปฏิบัติกับตัวเองมาโดยตลอด

เพราะข้าพเจ้ากับสามีฟังธรรมของหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อสอนละเอียดทุกอย่าง ในความคิดของข้าพเจ้าและสามีนั้น ได้คุยกันเสมอว่า “จะหาพระอย่างหลวงพ่อคงจะไม่มีอีกแล้วในชาตินี้”

ข้าพเจ้ามีความเห็นส่วนตัวว่า“ถ้าทุกท่านปฏิบัติแล้วมาฝึกที่วัดท่าซุง ก็ขอให้ท่านปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อเถอะ เพราะทุกอย่างข้าพเจ้าประสบมาแล้วกับตัวเอง คิดดูซิว่า หลวงปู่ปานไปฝึกให้ข้าพเจ้าที่บ้าน ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าและสามีไม่เคยรู้เรื่องปฏิบัติและการฝึกสมาธิมาก่อนเลย อยู่ๆ ข้าพเจ้าและสามีก็เปลี่ยนจากนิสัยโหดร้าย, ติดบุหรี่, กินเหล้า ก็กลับกลายมาเป็นคนละคน เมื่อได้รับคำสอนจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้รับฟังคำสอนหรือได้อ่านคำสอนของท่านแล้ว ควรจะกลับตัวกลับใจ หันมาไขว่คว้าหาแต่ความดี เพราะไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการมาปฏิบัติความดี เพราะว่าการฝึกมโนมยิทธิหรือการถอดกายในไปท่องเที่ยวยังภพต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปกราบพระสงฆ์แต่ละองค์ ที่ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านก็จะไม่ค่อยสอนเหมือนหลวงพ่อ

หลวงพ่อทนโดนด่า โดนว่าต่างๆ นานาสารพัด ก็เพราะว่าหลวงพ่อท่านต้องการสอนให้พวกเราได้พ้นจากกองทุกข์ต่างๆ ที่เกิดเป็นมนุษย์ ท่านต้องการให้เราพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด น้ำใจของหลวงพ่อนั้นช่างประเสริฐยิ่งนัก อุตส่าห์ลำบากฟันฝ่าหาธรรมะมาสอนเรา ดูซิว่าท่านลำบากขนาดไหน? ข้าพเจ้าและสามีจะไม่ลืมคุณงามความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจนกว่าชีวิตจะหาไม่

เพราะข้าพเจ้าคิดว่าท่านเป็นผู้ที่ชี้ทางให้ข้าพเจ้าและสามีพ้นจากทุกข์ทางกาย ทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางวาจา สามอย่างนี้หนา ถ้าไม่พบหลวงพ่อ ท่านลองคิดเอาเองก็แล้วกัน ปั้นหลายชีวิต คงจะไม่แคล้วลงอเวจีมหานรกทั้งคู่

เมื่อท่านชี้ทางให้แล้ว ข้าพเจ้ากับสามีทั้ง ๒ คน ก็จะขอฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ เพื่อจะเอาชนะกิเลสในตัวเองออกให้ได้ เพราะมันเป็นสัตว์สันดานชั่วติดตัวเรามานาน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าทั้งสอง ทุกวันนี้ก็กำลังปฏิบัติหนีความชั่ว มันเป็นตัวมารร้ายที่ทำลายความสุข ถ้าเราคบมัน มันก็จะทำให้เรามีแต่ความทุกข์ ตามที่หลวงพ่อได้สอนไว้

หลวงปู่ปานพาข้าพเจ้าไปให้หลวงพ่อฤาษีทดสอบพลังจิต
คืนวันหนึ่ง จำไม่ได้ว่าวันที่เท่าไหร่ หลวงปู่ปานได้พาข้าพเจ้าไปพบหลวงพ่อ หลวงพ่อยืนรอที่โคนโพธิ์
หลวงปู่ปานพูดว่า“ช่วยทดสอบพลังจิตคนนี้ให้หน่อยซิ”
หลวงพ่อก็บอกว่า “อ้าวก็มากับหลวงพ่อแล้ว ทำไมต้องมาให้ผมทดสอบอีกเล่าครับ?”
พร้อมกับเข้าไปกราบหลวงปู่ปาน

หลวงปู่ปานพูดว่า“ฉันบอกให้ทดสอบก็ทดสอบให้หน่อยเถอะ เพราะคนจะฝึกอภิญญาต้องให้คนที่ได้อภิญญาทดสอบ เพราะฉันอยากจะให้ทดสอบพลังจิตดูก่อน ก่อนที่ฉันจะพาไปให้เจ้าลิงขาว เจ้าลิงเล็กที่อยู่ป่าฝึกให้”
หลวงพ่อฤาษีก็ถามว่า “ทำไมต้องทดสอบด้วยครับ ก็พาไปฝึกซะเลยก็หมดเรื่อง เอาละถ้าจะให้ผมทดสอบ ผมก็จะทดสอบให้”

พร้อมกันนั้น หลวงพ่อก็สั่งให้ข้าพเจ้าไปยืนข้างต้นโพธิ์ ข้าพเจ้าก็ทำตามที่ท่านสั่ง ไปยืนแล้วท่านก็สั่งต่อให้ข้าพเจ้ารวบรวมพลังจิต
ข้าพเจ้าก็ถามท่านขึ้นว่า“จะทดสอบแบบไหน?”
หลวงพ่อก็พูดว่า“ให้ใช้พลังจิตต้านพลังจิต มันง่ายดี”

ข้าพเจ้าก็อธิษฐานรวบรวมพลังจิตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็มีดวงแก้วประกายใสสว่างไสวอยู่ติดกับต้นโพธิ์ ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อหัวเราะแล้วยิ้ม บอกข้าพเจ้าว่า “ระวังให้ดีนะ ถ้าพลังจิตอ่อนแล้วจะเซ”
ทันใดนั้นก็มีพลังเหมือนมีพายุใหญ่ พัดต้นโพธิ์ปั่นไปทั้งต้น ข้าพเจ้าก็พยายามรวบรวมพลังจิตประเดี๋ยวหนึ่ง ก็ปรากฏร่างหลวงพ่อมายืนอยู่ข้างหน้า ประมาณหนึ่งวาเศษเห็นจะได้ ก็มีแสงประกายสว่างไสวมากพุ่งออกจากร่างท่านเป็นดวงโตกลม พุ่งมาที่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทนไม่ไหวก็เซย่อเข่า ถอยหลังไปหน่อยหนึ่ง

ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหลวงพ่อ บอกว่า“อ่อนไป”
พร้อมกันนั้นเสียงหลวงปู่ปานบอกว่า “ให้นึกว่าตัวเราจงแข็งเหมือนเสาหิน”
ข้าพเจ้าก็อธิษฐานให้ตัวข้าพเจ้าจงแข็งเหมือนเสาหิน ตามที่หลวงปู่ปานบอก แล้วหลวงปู่ปานก็สั่งให้หลวงพ่อทดลองใหม่ซิ

ทันใดนั้นก็มีแสงเป็นประกายออกจากร่างของหลวงพ่ออีก เป็นวงกลมมีประกายสว่างไสวมากและมีพลังงานมาก พุ่งเข้ามากระทบกับร่างของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ตั้งใจยืนนิ่งๆ ด้วยพลังจิต แสงที่พุ่งออกจากร่างของหลวงพ่อก็เข้ามากระทบกับแสงที่อยู่รอบกายข้าพเจ้า ปะทะกันอยู่นานพอสมควร
หลวงพ่อฤาษีก็พูดขึ้นว่า “หยุดได้แล้ว แบบนี้ฝึกอภิญญาใหญ่ได้แล้วครับหลวงพ่อ”

หลวงปู่ปานหัวเราะชอบใจ แล้วพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวจะพาไปให้เจ้าลิงขาว กับเจ้าลิงเล็กที่อยู่ในป่าฝึกให้ ฉันไม่ฝึกเองหรอก”
พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อที่มีเมตตาทดสอบให้ ข้าพเจ้าก็ขอเล่าให้ท่านฟังเพียงเท่านี้ก่อน

เดินทะลุภูเขา
วันหนึ่งตรงกับวันที่เท่าไหร่ไม่ทราบ วันนั้นเป็นวันที่จิตใจสบายมาก ถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นปี พ.ศ.๒๕๒๘ ช่วงเวลานั้นว่างจากภารกิจ ข้าพเจ้าก็เดินเล่นบริเวณรอบๆ บ้าน แล้วก็ใช้อารมณ์ภาวนาพุทโธ รู้สึกจิตของตัวเองสงบนิ่งก็เกิดดวงนิมิต มีกายทิพย์อยู่ในดวงกลมใสสว่าง เป็นร่างของข้าพเจ้าเอง ในวงกลมนั้นเยือกเย็น มองแล้วเย็นตาเย็นใจ

พอข้าพเจ้าเพ่งกายทิพย์ในดวงนั้น แจ่มสว่างเจิดจ้าอยู่ในช่วงระหว่างหน้าอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เกิดเพลิดเพลินอยู่ในแสงสว่างนั้นเป็นเวลานานมาก รู้สึกสบายใจที่สุด ตัวเบา ทั้งที่ไม่มีลมภายนอก แต่เหมือนมีลมพัดอยู่รอบๆ ตัวข้าพเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่เวลานั้นเป็นเวลากลางวันแสดงแดดเจิดจ้า ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินรอบบ้านนั้นอากาศร้อนมาก

แต่ตอนที่ข้าพเจ้าเห็นกายทิพย์และเห็นดวงนิมิตสว่าง อากาศที่เร่าร้อนก็หายไป เหลือแต่ความเย็นสบาย ข้าพเจ้าเงยหน้ามองไปทางบ้านแม่ของข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือของบ้านข้าพเจ้า ไกลกันประมาณ ๑ กิโลเศษ แล้วก็ยังมีกองฟางบังอยู่สามกอง ข้าพเจ้าก็นึกแปลกใจว่า ดวงกลมสว่างพุ่งออกจากหน้าอกของข้าพเจ้า ไปชนกองฟางที่ขวางอยู่เป็นรูกลม ทะลุกองฟางโล่งสว่าง จนมองเห็นบ้านแม่ของข้าพเจ้าชัดเจน

แสงที่เกิดจากหน้าอกข้าพเจ้าทำให้เห็นบ้านนั้น ลักษณะเป็นแสงที่ออกจากอกแล้วก็ขยายใหญ่หรือเล็กลงได้ตามอารมณ์ที่ข้าพเจ้าต้องการ ข้าพเจ้าแปลกใจในตัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เลยทดลองมองตรงไปทางต้นไม้ใหญ่ๆ ที่อยู่ข้างบ้าน ดวงกลมสว่างที่อยู่ตรงหน้าอกก็พุ่งชนต้นไม้ทะลุเป็นวงกลม ข้าพเจ้าก็เกิดอยากจะลองไปยืนที่วงกลมที่ทะลุต้นไม้

พอข้าพเจ้าคิดเท่านั้น ร่างของข้าพเจ้าก็เคลื่อนไปยืนอยู่ในต้นไม้ที่วงกลมเจาะเป็นแสงสว่างนั้น ร่างข้าพเจ้ายืนสงบได้สักครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่ากลัวสามีจะมาเรียกหาว่าไปไหน ทันใดนั้นร่างของข้าพเจ้าก็มายืนอยู่ที่เดิม แต่ก็ไม่มีเสียงของสามีเรียก ข้าพเจ้าก็เลยยืนมองต้นไม้ ก็เกิดเห็นต้นไม้อยู่ในวงกลมเขียวชอุ่มไปทั้งต้นใหญ่มาก

ทันใดนั้น ต้นไม้ที่เขียวชอุ่มก็เปลี่ยนจากใบเขียวเป็นใบสีเหลือง ข้าพเจ้ามองนิ่งๆ อยู่สักพักหนึ่ง ใบไม้สีเหลืองก็ค่อยๆ ร่วงหล่นตามลำดับจนเหลือแต่ลำต้น ทีนี้ลำต้นนั้นก็เกิดสะเก็ด แตกร่วงหล่นแล้วกิ่งก็หักลงทีละเล็กทีละน้อยจนหมดต้น ทีนี้ต้นของมันก็โค่นลงไปนอนอยู่กับพื้นดิน ต่อจากนั้นต้นไม้ก็ค่อยๆ เปื่อยผุพังแล้วค่อยหายไป กลายสภาพเป็นดิน

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหลวงปู่ปานท่านพูดขึ้นว่า “นี่แหละคือดวงนิมิต สำหรับเอ็งจะต้องพิจารณาร่างกายของเอ็งให้เหมือนกับต้นไม้ที่เปลี่ยนสภาพหายไปกลายเป็นดิน”
พอข้าพเจ้ามองต้นไม้ต้นอื่นๆ ก็จะมีสภาพเหมือนกัน คือจะต้องกลายเป็นดิน แล้วหลวงปู่ปานให้ข้าพเจ้าเปรียบเทียบต้นไม้กับตัวเอง มันก็จะมีสภาพเหมือนกัน คือจะต้องกลายเป็นดิน

ท่านบอกว่า“เอ็งได้ดวงนิมิตอย่างนี้ เอ็งต้องปลงสังขารของเอ็งเหมือนที่เอ็งเห็นต้นไม้ต้นนี้อยู่เสมอๆ นะ”
หลวงปู่ปานก็พูดต่ออีกว่า “เรื่องวงกลมที่เอ็งเห็นทะลุกองฟางและต้นไม้นั้นมันเป็นฤทธิ์อภิญญา เอ็งได้มาหลายชาติแล้ว อยู่ว่างๆ อย่ามัวมองแต่ต้นไม้ใบหญ้านะ ให้หันไปมองดูภูเขาให้ทะลุบ้าง”
แล้วท่านก็พูดต่ออีกว่า “มาบอกแค่นี้ แล้วก็จะกลับก่อนนะ”

ข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบหลวงปู่ปาน ก่อนที่ท่านจะจากไปพร้อมกันนั้น
ข้าพเจ้าก็บอกกับท่านว่า“ลูกก็จะกลับเข้าบ้านเหมือนกัน”
พอตอนเย็นข้าพเจ้าก็ทำสมาทาน นั่งสมาธิตามปกติ ก็ใช้อารมณ์ภาวนาเบาๆ ก็เกิดวงกลม อารมณ์แบบตอนกลางวัน พอเกิดข้าพเจ้าก็นึกถึงที่หลวงปู่ปานพูดว่า “ถ้าว่างๆ ให้หันไปมองภูเขาบ้าง”

พอดีช่วงนี้ข้าพเจ้าเกิดอยากจะทำตามที่หลวงปู่ปานบอก กำหนดจิตให้วงกลมพุ่งออกจากร่างไปที่ภูเขาทางทิศตะวันตก วงกลมก็ไปชนกับภูเขาทะลุเป็นวงกลม ข้าพเจ้าก็เกิดอยากเดินตามทางวงกลมนั้น พอคิดเท่านั้น ร่างข้าพเจ้าก็เดินอยู่ในภูเขาเดินกลับไปกลับมาในภูเขาจนเพลิน พรอมกับความดีใจและตื่นเต้น ที่ตนเองสามารถเดินในต้นไม้ได้ ในภูเขาก็ได้ ตามอารมณ์ต้องการ

ทีนี้ก็เกิดอยากจะมองลงใต้ดินบ้าง พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็กำหนดจิตให้วงกลมพุ่งไปชนพื้นดิน วงกลมนั้นก็พุ่งลงไปรวดเร็วมาก พื้นดินก็เป็นรูทะลุลงลึกมาก จะนับเป็นวาก็ประมาณไม่ได้ พร้อมกันนั้นอารมณ์อยากจะลงไปดูว่าลึกขนาดไหน ทันใดนั้นร่าของข้าพเจ้าก็เข้าไปในรูกลมแบบเดียวกับที่เดินในภูเขา แต่คราวนี้ต้องเดินลงลึกมาก

อารมณ์ข้าพเจ้าต้องการจะให้วงกลมนั้นใหญ่ ช่องวงกลมก็ใหญ่ตามที่อารมณ์ข้าพเจ้าต้องการ เมื่อสำรวจความลึกเสร็จแล้วก็เกิดอารมณ์อยากกลับบ้าน ทันใดนั้นร่างของข้าพเจ้าก็ปรากฏมานั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลเสร็จแล้วก็เข้านอน ตอนนี้ขอจบเรื่องการเดินภูเขาและเดินลงใต้ดินไว้เพียงเท่านี้

หลวงปู่ปานพาไปฝึกอภิญญา
คืนวันหนึ่งที่ข้าพเจ้าสวดมนต์ ทำวัตรสมาทานเสร็จ ก็นั่งสมาธิเช่นเคยเหมือนทุกคืน หลวงปู่ปานท่านมาชวนให้ข้าพเจ้าไปฝึกอภิญญา
ข้าพเจ้าถามท่านว่า “จะไปฝึกที่ไหน”
ท่านบอกว่า “จะพาไปพบหลวงพ่อลิงขาวและหลวงพ่อลิงเล็กในป่าลึก”

ข้าพเจ้าก็บอกว่า“ทำไมต้องไปฝึกในป่าลึก”
หลวงปู่พูดขึ้นว่า“ไปฝึกครั้งนี้ฉันจะให้หลวงพ่อลิงขาวและหลวงพ่อลิงเล็กช่วยฝึกเอ็งด้วย ไม่ต้องมัวพูดให้ชักช้าอยู่ เอ็งจะฝึกหรือไม่ฝึก”
ข้าพเจ้าก็ตอบท่านว่า“อยากจะฝึก แต่กลัวจะทำไม่ได้”

ท่านพูดว่า “ยังไม่ได้ฝึกก็กลัวแล้วหรือ? ลองฝึกดูก่อนซิ ได้ไม่ได้เดี๋ยวก็รู้”
แล้วท่านก็บอกว่า “ไปได้แล้ว”
พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็เดินออกจากบ้านตามท่านไป พอพ้นประตู ท่านก็บอกข้าพเจ้าให้ยกเท้าขึ้นให้พ้นพื้นดิน ข้าพเจ้าก็ทำตาม

พอข้าพเจ้านึกเท่านั้น ร่างของข้าพเจ้าก็เคลื่อนเหมือนไปตามลมเบาสบาย ผ่านป่าไม้นานาพันธุ์ ตามท่านไปได้สักพักหนึ่ง
ท่านก็บอกว่า“ถึงที่ฝึกแล้ว”
ท่านก็บอกว่า“ตอนนี้ให้นึกว่าเราจะยืนบนพื้นดิน”

พอท่านพูดจบ ข้าพเจ้าก็นึกตามที่ท่านบอกว่า ทันใดข้าพเจ้าก็ยืนอยู่บนเนินดิน มีหินเจือปนอยู่ด้วย พอข้าพเจ้ามองไปข้างหน้า ก็พบลำธารผ่าน มีน้ำไหลเหมือนน้ำตกไหลมาแต่ไกล ข้าพเจ้ามองจนเพลิน ตกใจเมื่อได้ยินเสียงหลวงปู่พูดขึ้นว่า “เข้าไปใกล้ๆ แล้วกราบท่านซะ”

ข้าพเจ้าก็ทำตามหลวงปู่สั่ง เดินเข้าไปกราบท่าน แต่เถาไม้มันรุงรังไปหมด ตอนช่วงที่เดินไป พอถึงข้าพเจ้าก็กราบท่าน แต่ท่านนั่งนิ่งไม่ลืมหูลืมตา เหมือนไม่มีความรู้สึกว่าข้าพเจ้ากราบท่าน
แล้วหลวงปู่ปานก็บอกข้าพเจ้าว่า “เมื่อกราบแล้วต้องถามต้องพูดด้วย พระองค์นี้ดีไม่ดีนั่งเป็นหิน”
ข้าพเจ้าก็ถามว่า “จะพูดกับท่านว่าอย่างไรดี?”


หลวงปู่ปานก็บอกว่า“ให้เรียกชื่อท่านดูซิ”
ข้าพเจ้าก็ถามหลวงปู่ปานว่า “องค์นี้หลวงพ่อลิงขาวหรือหลวงพ่อลิงเล็ก”
หลวงปู่ปานก็ให้ข้าพเจ้าพูดว่า “หลวงพ่อลิงขาวกลายเป็นหินแล้วหรือ?”

พอสิ้นเสียงข้าพเจ้า ท่านก็ลืมตาขึ้น พอเห็นหลวงปู่ปานท่านก็รีบก้มกราบ
ท่านถามหลวงปู่ว่า “มีธุระด่วนอะไรหรือครับ ถึงได้มาหาศิษย์ถึงในป่า”
หลวงปู่ปานก็พูดว่า “มีซิ ถ้าไม่มีฉันไม่มาด้วยตัวเองหรอกว่ะ”
หลวงพ่อลิงขาวก็ถามหลวงปู่ว่า“โยมผู้หญิงที่พามาด้วยเป็นใครหรือครับ?”

หลวงปู่ปานก็บอกว่า “ที่ฉันมีธุระก็เพราะเรื่องโยมผู้หญิงคนนี้แหละ เพราะเขาเคยเป็นลูกศิษย์และเป็นผู้ที่มีบุญคุณ เคยช่วยเหลือตั้งแต่ฉันยังบำเพ็ญบารมีอยู่ในป่า ในด้านข้าวปลาอาหารและผลไม้ เขาเคยช่วยชีวิตฉันมาโดยตลอด ในชาติที่ฉันบำเพ็ญบารมีอยู่ในป่า เพราะฉะนั้นฉันจึงพามาให้ช่วยฝึกอภิญญาให้ด้วย”

หลวงพ่อลิงขาวท่านพูดตอบหลวงปู่ปานว่า “ทำไมหลวงพ่อเจาะจงเฉพาะให้ผมฝึกให้ละครับ? ศิษย์หลวงพ่ออยู่ในป่ามีถึง ๒ องค์ด้วยกัน ถ้า ๒ องค์มาช่วยกันฝึกก็น่าจะดีครับ?”
หลวงปู่ปานก็พูดว่า “เออ ดีเหมือนกันนะ”

พอพูดจบก็เห็นพระเดินมาอีกองค์หนึ่ง องค์นี้ไม่ถาม แล้วก็ไม่พูดอะไร เหมือนท่านรู้เรื่องราวหมดแล้ว พอมาถึงก็ก้มลงกราบหลวงปู่ปาน
หลวงปู่ปานก็พูดว่า“ไม่ต้องเล่านะ องค์นี้หูทิพย์”
แล้วความรู้สึกของข้าพเจ้าก็เกิดมีอารมณ์สงสัยขึ้นในใจว่า “เอ...ที่ข่าวเขาพูดกันว่าหลวงพ่อลิงขาวและหลวงพ่อลิงเล็กตามวัดต่างๆ”

ทันใดนั้น ท่านก็พูดขึ้นมาว่า“เรื่องที่เอ็งกำลังคิดอยู่ในตอนนี้ มันเป็นเรื่องของลิงคนละฝูงกับฉันนะ ไม่ใช่ลิงฝูงเดียวกัน ลิงเหมือนกันแต่ลิงคนละฝูง เอาละไม่ต้องมัวนึกมัวคิดเรื่องลิงเรื่องอะไรกันอยู่”
แล้วท่านก็พูดว่า“อันที่จริงหลวงพ่อก็ฝึกให้ได้ทำไมไม่ฝึกเองครับ?”
หลวงปู่ปานก็พูดว่า “ก็ทุกวันนี้มันมีลิงขาวระบาด ก็อยากจะให้เขารู้ด้วยว่าลิงขาวตัวจริงนั้นอยู่ในป่าลึกนี่ แต่มีฤทธิ์ดี เลยถือโอกาสให้ฝึกให้ด้วย ก็ดีแล้วที่ช่วยกันฝึกทั้ง ๒ องค์”

พอหลวงปู่ปานพูดจบ หลวงพ่อลิงขาวและหลวงพ่อลิงเล็กก็เอ่ยปากว่า “จะฝึกตรงไหนดี?”
ลืมเล่าเรื่องตอนกราบหลวงพ่อลิงเล็ก พอหลวงปู่ปานสั่งให้ข้าพเจ้าเข้าไปกราบ ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบ
ท่านพูดว่า “ถ้าหลวงพ่อปานต้องการ ผมจะฝึกให้โดยที่หลวงปู่ปานไม่ต้องถามอะไรเลย”

ขอเล่าต่อจากตอนที่จะฝึกตรงไหนดี
หลวงปู่ปานก็พูดว่า“ชายป่าที่มีก้อนหินใหญ่ริมน้ำ เพราะต้องใช้น้ำเป็นกสิณด้วย”
พอพูดเท่านั้นก็พากันเดินไปที่ริมน้ำมีก้อนหิน หลวงพ่อลิงขาวและหลวงพ่อลิงเล็กก็สั่งให้ข้าพเจ้านั่งอยู่ริมน้ำข้างก้อนหิน พร้อมกับสั่งให้ข้าพเจ้ารวบรวมพลังจิต ให้มองน้ำให้กลายเป็นหินพร้อมกับตัวข้าพเจ้าด้วย แล้วข้าพเจ้าก็ทำตาม

พอข้าพเจ้ารวบรวมพลังจิตเข้าสมาธิ แต่หลวงพ่อลิงขาวและหลวงพ่อลิงเล็กนั่งด้านซ้าย ด้านขวา ตัวข้าพเจ้าอยู่กลาง ห่างกันประมาณ ๓ ศอกเห็นจะได้ ท่านแผ่พลังจิตมากระทบร่างกายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เกิดมีพลังมากขึ้นอีก ๒ – ๓ เท่าตัว
แล้วท่านก็สั่งว่า “ให้มองไปที่สายน้ำที่ไหลผ่านข้างหน้าและอธิษฐานว่า ให้น้ำที่ไหลผ่านหยุดแล้วกลายเป็นหินพร้อมกับตัวข้าพเจ้าด้วย”

พอข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐาน น้ำนั้นก็หยุดไหล กลายเป็นหินทีละน้อยๆ แล้วก็ก้อนโตขึ้นตามลำดับ พอโตขึ้นสูงถึงหน้าอก
ท่านก็บอกว่า “พอแล้ว ให้เพ่งให้ใสเป็นแก้วประกายพร้อมกับตัวข้าพเจ้าด้วย”
พอข้าพเจ้าเพ่งไปแล้วอธิษฐานว่า“ขอให้ก้อนหินนี้จงเป็นแก้วประกาย”

หินก็เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าอธิษฐาน เป็นแก้วประกายสว่างมาก แล้วท่านทั้ง ๒ องค์ก็สั่งให้ข้าพเจ้ายกแขน ยกมือขึ้น แล้วใช้มือฟันลงไปบนก้อนหินที่เป็นแก้วประกาย ข้าพเจ้าก็ทำตาม พอลงมือฟันไปบนก้อนหิน หินนั้นก็กระเด็นเป็นเกล็ดเหมือนก้อนน้ำแข็ง แต่ไม่ละลายทันทีแรก ยุบไปครึ่งก้อน หลวงพ่อลิงขาวและหลวงพ่อลิงเล็กบอกว่า“ยังใช้ไม่ได้ กำลังจิตอ่อนไป”


สั่งให้ข้าพเจ้าตัดขันธ์ ๕ ให้เด็ดขาด แล้วรวบรวมพลังจิตขึ้นมาใหม่ ข้าพเจ้าก็ทำตาม คราวนี้ร่างกายสว่างไสวมาก มองไปได้หลายกิโล ท่านก็สั่งให้ข้าพเจ้าฟันใหม่อีก ข้าพเจ้าก็ฟันลงไปตามที่ท่านสั่ง อีคราวนี้ก้อนน้ำแข็งแบ่งออกเป็น ๒ เลี้ยง ขาดออกจากกัน ท่านชอบใจหัวเราะ

แล้วท่านก็พูดขึ้นมา “อย่าทำแล้วทิ้ง จงหมั่นทำบ่อยๆ จนกว่าพลังจิตจะแก่กล้า แต่อย่าไปทำอวดให้คนเห็นนะ แต่ถ้าคนแอบเห็นไม่เป็นไร ขออย่างเดียวอย่าอวด”
แล้วท่านก็บอกว่า “ต่อไปจะต้องฝึกมองหินก้อนใหญ่ให้เป็นแก้วประกาย แล้วก็ใช้มือฟันอีกเหมือนกัน”

ข้าพเจ้าก็ทำตามที่ท่านสั่งอีก แล้วก็อธิษฐานหินก้อนนี้ให้กลายเป็นแก้วประกาย แล้วก็ใช้มือฟันลงไป หินก็แบ่งออกเป็น ๒ เสี่ยง ท่านก็สั่งให้ฟันเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ข้าพเจ้าก็ฟันอย่างเพลิดเพลิน แล้วท่านก็สั่งให้หยุด และให้ข้าพเจ้าอธิษฐานจิตว่า “ขอให้หินนี้ประสานกัน”

พอข้าพเจ้านึกเท่านั้น หินก็กลับกลายเป็นก้อนเดิม ทีนี้ หลวงปู่ปานพูดขึ้นว่า“ทำไมไม่ฝึกให้จับก้อนหินอ่อนเหมือนขี้ผึ้งบ้าง”
ทันใด หลวงพ่อลิงขาวและหลวงพ่อลิงเล็ก ก็สั่งให้ข้าพเจ้าอธิษฐาน ข้าพเจ้าก็อธิษฐาน หินก็กลายเป็นแก้ว ท่านก็สั่งให้ข้าพเจ้าเอื้อมมือจับก้อนหินดู ข้าพเจ้าก็เอื้อมมือออกไปจับ ทันใดนั้นหินก็อ่อนเหมือนขี้ผึ้งตามที่ข้าพเจ้าอธิษฐาน

แล้วท่านทั้งสองก็สั่งให้สลับกันเป็นอ่อนบ้างแข็งบ้างคือ จับให้อ่อนเหมือนขี้ผึ้ง แล้วก็ให้แข็งเป็นแก้ว จะได้ฝึกฟันและฝึกหยิบได้ตามสบาย ข้าพเจ้าก็ทำสลับกันไปมาอยู่อย่างนั้น
ท่านก็สั่งว่า“ตอนนี้หยุดก่อน”
ท่านถามข้าพเจ้าว่า “ใครฝึกกสิณ ๑๐ กองให้”
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “หลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีฝึกให้มานานแล้ว”

“และการฝึกเข้าฌาน ใครฝึกให้?”
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “บางครั้งก็จะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านฝึกให้สลับกันไป”
ท่านก็พูดว่า “ดีนะมีครูฝึกให้หลายองค์ ฉันมาอยู่ในป่าหลวงพ่อก็ยังพามาให้ฝึกที่นี่อีก ที่ฝึกเมื่อตะกี้นี้อย่าลืมมาฝึกให้บ่อยๆ นะ จะได้เก่ง”


webmaster - 29/1/11 at 15:25

ข้าพเจ้าก็รับปากแล้วก็เอ่ยปากถามท่านว่า“ท่านเก่งอย่างนี้ ทำไมไม่ไปอยู่ที่เดียวกับหลวงพ่อ? จะได้ช่วยหลวงพ่อฝึกญาติโยม”
ท่านหัวเราะดังสนั่น แล้วพูดว่า “ทำไม่ได้หรอกอย่างนั้น เพราะฉันหมดภารกิจแล้ว”
ข้าพเจ้าถามท่านว่า “ที่ท่านอยู่นี่คือที่ไหน จังหวัดอะไร”

ท่านบอกว่า “ไม่ต้องรู้หรอกว่าจังหวัดอะไร รู้ว่าอยู่ป่าลึกก็แล้วกัน”
ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าถามท่านอีก เพราะท่านพูดสั้นๆ แต่ความรู้สึกของข้าพเจ้าเหมือนอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะหลวงพ่อลิงขาวและหลวงพ่อลิงเล็กท่านมีพลังจิตแก่กล้ามาก ระหว่างที่ฝึกท่านจะใช้พลังอภิญญาช่วยข้าพเจ้าด้วย เรื่องที่เล่ามานี้อยู่ในช่วงประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๘ หรือ พ.ศ.๒๕๒๙ ถ้าจำไม่ผิดเพราะไม่ได้จดไว้

พระประหลาดเข้ามาในวัด
มีพระ ๒ รูป เจ้าอาวาสสั่งว่าให้เฝ้าวัด ดูแลวัด เพราะท่านไปธุระหลายคืน แต่พระ ๒ รูปนั่น เมื่อเจ้าอาวาสไม่อยู่ ก็หนีออกไปเที่ยววัดอื่น แต่พอขากลับ พระ ๒ รูปนั้นก็มาเจอพระกลางทาง ก็ได้พูดคุยถามไถ่ว่า “ท่านจะไปไหน?”

พระประหลาดรูปนั้นก็บอกว่า“จะกลับไปเยี่ยมญาติ อยู่ทางภาคตะวันออก”
พระ ๒ รูปก็ถามท่านว่า “ท่านเป็นอะไรดูคล้ายไม่สบาย”
ท่านก็บอกว่า “ไม่ค่อยสบาย และก็ไม่ได้ฉันข้าวมา ๑๕ วันแล้ว”
พระ ๒ รูปนั้นก็หัวเราะกันและกระซิบกันบอกว่า “พระองค์นี้บ้า”

แต่ช่วงระหว่างทางมาวัด ธรรมดาจะมีรถเมล์ผ่าน แต่วันนั้นรถเมล์หมดเวลา พระ ๒ รูปก็เกิดสงสารพระประหลาดก็เลยโบกรถ แต่รถก็ไม่จอดรับ
พระประหลาดก็บอกว่า “ไม่ต้องโบกรถหรอก เดินไปก็ได้”
พระ ๒ รูปก็พยายามห้ามไม่ให้เดิน แต่ท่านก็ไม่เชื่อ แล้วท่านก็เดิน พระ ๒ รูปก็แปลกใจว่า “เอ...ทำไมข้าวก็ไม่ได้ฉันมา ๑๕ วัน แต่เดินเร็วเหมือนลมพัด”

ก็ไม่สงสัยอะไรมาก แล้วพระ ๒ รูปก็วิ่งตามไปเรื่อยๆ
พระประหลาดก็ถามว่า “ที่วัดน่ะ เจ้าอาวาสอยู่ไหม?”
พระ ๒ รูปก็บอก “ไม่อยู่ ไปแม่กลอง”
พระประหลาดก็บอกว่า“หลวงพ่อมาแล้วอยู่ที่วัด”
พระ ๒ รูปก็บอกว่า “ไม่จริงหรอก เพราะท่านไม่อยู่”

แต่ก็ไม่อยากเถียงกันมาก เลยเดินตามมาเรื่อยๆ จนถึงวัด พอถึงวัด พระ ๒ รูปก็ตกใจมาก เพราะเห็นเจ้าอาวาสนั่งรออยู่ที่หัวบันได เพราะพระ ๒ รูปนี้คิดว่ายังไม่กลับ จึงได้หนีไปเที่ยว ทันใดนั้น พระประหลาดก็ได้บอกกับพระ ๒ รูปว่า “นั่นไง หลวงพ่อมาแล้ว จริงไหมล่ะ?”
แล้วท่านก็ถามว่า “หลวงพ่อองค์ไหนเป็นเจ้าอาวาส เพราะตรงนั้นมีพระอยู่ ๒ – ๓ รูป”

พระ ๒ รูปก็ชี้บอก แล้วท่านก็เข้าไปกราบ พอตกตอนเย็น ตามปกติข้าพเจ้าและสามีก็เข้ามาสวดมนต์ที่วัด มาถึงวัดข้าพเจ้าก็เห็นพระนั่งคุยกัน ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบ
แล้วก็ถามว่า“อาจารย์กลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”
ก็คุยกันนานพอสมควร พระ ๒ รูป ก็บอกกับข้าพเจ้าและสามีว่า “มีพระเล็กๆ ตัวเหมือนเด็กๆ บ้าๆ บอๆ อยู่ในห้องนั้นองค์หนึ่ง

พอดีกับช่วงนั้นมีเด็กที่ตลาดเข้ามาเอากระสอบข้าว ซึ่งกระสอบข้าวสารก็อยู่ในห้องที่พระประหลาดพักอยู่ด้วย ข้าพเจ้าก็เลยเคาะประตูห้องที่พระประหลาดอยู่ เพื่อจะเอากระสอบข้าวสาร ท่านก็เปิดออกมา ข้าพเจ้าก็หยิบกระสอบให้เด็กพร้อมกับสามีข้าพเจ้าเข้ามาชะโงกดู พระประหลาดที่พระ ๒ รูปพูดถึง
พอเห็นแล้วข้าพเจ้าและสามีดูแล้วก็เฉยๆ ก็เลยออกไปคุยกับพระแล้วก็ได้เวลาทำวัตร ก็ทำวัตรโดยมีเจ้าอาวาสนำ ก็สวดมนต์กัน แล้วท่านก็ออกมาข้างหลังแล้วบอกกับสามีข้าพเจ้าว่า ท่านไม่สบาย ท้องเสียบ่อย สามีข้าพเจ้าก็บอกว่า ไม่สบายก็ไม่ต้องทำวัตรก็ได้”

ท่านก็เดินไปเข้าห้องน้ำ พอทำวัตรจบ ก็สมาทานกรรมฐานต่อ ทีนี้ท่านก็กลับมาจากห้องน้ำ เข้ามานั่งสมาทานด้วย ข้าพเจ้านั่งท้ายใกล้ๆ กับท่าน ข้าพเจ้าก็ได้ยินท่านพูดว่า “สมาทานสายเดียวกับหลวงพ่อ”
ท่านว่า“ตรงกับหลวงพ่อทุกอย่าง”

เพราะที่วัดนี้ เวลาสมาทานทั้งพระและฆราวาสจะว่าสมาทานพร้อมกันหมด ข้าพเจ้าก็แปลกใจกระซิบบอกกับสามีว่า “พระองค์นี้ว่าสมาทานตรงกับหลวงพ่อได้”
สามีข้าพเจ้าก็เฉยๆ เมื่อสมาทานเสร็จก็นั่งสมาธิ พอคลายสมาธิก็แผ่เมตตา เสร็จแล้วข้าพเจ้าและสามีก็มานั่งคุยกับเจ้าอาวาสต่อ เจ้าอาวาสถามข้าพเจ้าและสามีว่า “เรื่องทางวัดเป็นอย่างไรบ้าง?”

ข้าพเจ้ากับสามีก็เล่าให้ฟังว่า พวกที่คัดค้านการก่อสร้างได้ด่าเจ้าอาวาสต่างๆ นานา พอดีพระประหลาดท่านเข้าไปในห้อง แล้วก็เดินออกมา ท่านก็มานั่งใกล้ๆ ที่เรานั่งคุยกันอยู่ แล้วท่านก็ยกมือขึ้นตีที่แขน พร้อมกับพูดว่า “ที่เขาด่า ไม่เห็นถูกไอ้นี่สักทีหนึ่ง”
แล้วท่านก็พูดว่า “ผมโดนด่ามามากแล้ว ไม่เห็นมันถูกตัวสักที”

พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าและสามีก็ถามว่า“หลวงพ่อ อยู่จังหวัดอะไร”
ท่านบอกว่าท่านอยู่ทางจังหวัดกาญจนบุรี
แล้วข้าพเจ้าก็ถามต่อว่า “อยู่วัดอะไร?”
ท่านบอกว่า “อยู่ ๒ วัดนั่นแหละ ทั้งวัดเหนือและวัดใต้”

ข้าพเจ้าก็นึกว่า“พระองค์นี้พูดอะไร? วัดเหนือ วัดใต้”
ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ ถามตลกโปกฮาไปอย่างนั้น แล้วก็ถามต่อว่า “หลวงพ่อเคยมีเมียไหม?”
ท่านก็ตอบว่า “ไม่มีเมีย แต่เคยมีลูก”
ข้าพเจ้าก็นึกว่า “พระองค์นี้บ้าใหญ่”

แล้วท่านก็บอกว่า “พรุ่งนี้จะไปเยี่ยมลูกหลาน”
พอถึงเวลาพอสมควร ข้าพเจ้าและสามีก็ลงบันไดจะกลับบ้าน
สามีข้าพเจ้าก็พูดกับพระองค์นั้นว่า “หลวงพ่อไม่ต้องไปห่วงหรอกลูกหลาน ให้ห่วงตัวเองดีกว่า”

ข้าพเจ้าและสามีก็คิดในใจว่า ไม่อยากจะถวายเงินกับพระที่ห่วงลูกห่วงหลาน แต่จิตสำนึกยังมีความเมตตา ก็คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องถวายเงินค่ารถให้กับท่าน พอเช้ารุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็จะมาวัด แต่ก่อนจะขึ้นรถมาทำบุญ สามีข้าพเจ้าก็บอกกับหลานๆ ว่า “ให้ไปดูพระแคระที่วัดกันซิ ขี้หูขี้ตาเกรอะกรัง หูตาเปียกยำแหยะ นิ้วมือ นิ้วไม้ก่อนๆ แก่นๆ”

แล้วข้าพเจ้าก็มาวัด ข้าพเจ้าและสามีก็จัดกับข้าวเพื่อถวายพระที่วัด พร้อมกับท่านด้วย แต่ท่านบอกว่า ท่านไม่ฉัน สามีของข้าพเจ้าก็เข้าไปนิมนต์ให้ออกมาฉันให้ได้ ท่านก็ออกมา แต่ไม่นั่งที่วง นั่งข้างๆ วง สามีของข้าพเจ้าก็พูดอีกว่า “ท่าน ทำไมไม่นั่งในวง?”
ท่านบอกว่า “ถ้าจะให้ฉัน เอาข้าวเปล่าๆ กับน้ำก็พอ”

แล้วท่านก็เทน้ำใส่ข้าว แล้วก็ฉัน ๒ – ๓ ช้อน ก็หยุด ข้าพเจ้าและสามีก็นั่งรอพระฉัน พอพระฉันเสร็จ คนก็เริ่มทยอยกลับบ้านกัน สามีข้าพเจ้าก็คิดถึงพระประหลาดได้ว่า ท่านจะต้องกลับวันนี้ ก็เลยบอกบุญกับชาวบ้านที่ยังอยู่เพื่อหาค่ารถให้ท่าน ได้เงินพอประมาณก็เอาเงินเข้าไปประเคน ยื่นไปถวายท่าน แต่ท่านยังไม่รับ

สามีข้าพเจ้าก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้อธิษฐาน ต้องอธิษฐานก่อน พออธิษฐานเสร็จ ประเคนใหม่ ท่านรับทันที ข้าพเจ้าและสามีก็ไปส่งพระที่ศาลาริมทาง ก็พอดีไปเจอกับคนงานที่มารับจ้างตัดอ้อยอยู่ที่บ้านแม่ของข้าพเจ้า เขาก็จะกลับบ้านซึ่งเป็นทางเดียวกันกับท่านพอดี ข้าพเจ้าก็เลยฝากคนงานทุกคนให้ช่วยดูแลท่านด้วย

หลายวันต่อมา คนงานชุดนั้นก็กลับมาที่บ้านแม่ข้าพเจ้าเพื่อจะตัดอ้อยต่อ ข้าพเจ้าและสามีไปเจอคนงานชุดนั้น ก็เลยถามว่า “พระที่ฝากไปนั้น ลงที่ไหน?”
แต่คนงานทั้งหมดปฏิเสธ ไม่เคยเห็นพระและไม่เคยรับฝากจากข้าพเจ้าทั้ง ๒ คน ข้าพเจ้าและสามีเริ่มมีความคิดถึงฤทธิ์อภิญญา ก็เลยถามหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานท่านเลยบอก “ทำไมไม่ใช้ปัญญากันบ้าง ว่าคนธรรมดาไม่กินข้าว ๑๕ วันจะอยู่ได้หรือยังไง?”

ทีนี้ข้าพเจ้าและสามีก็ถามหลวงปู่ปานว่า“พระประหลาดนั้นเป็นใคร?”
หลวงปู่ปานบอกว่า “นั่นคือ เจ้าลิงเล็ก คงจะย่องมาดูการก่อสร้างเท่านั้นเอง”

ข้าพเจ้าและสามีก็สะดุ้ง นึกกลัวบาปที่ไม่ศรัทธาท่าน พอรู้เรื่องเท่านั้น ข้าพเจ้าและสามีก็จับกลุ่มคุยกันที่วัด พระมาคุยด้วยกันแถว พระ ๒ รูปที่หนีไปเที่ยวพูดขึ้นก่อนว่า “อือ...ผมเข้าไปในห้องท่าน แล้วก็ถามว่าหลวงพ่อบวชมานานหรือยัง? ท่านก็ยกยามแล้วเอาใบสุทธิให้ดูเอง ในใบสุทธินั้นมีรูปพระ ๓ รูปด้วยกัน”

แล้วท่านก็บอกว่า “ผมบวชด้วยกัน ๓ องค์ เรื่องบวชเมื่อไรนั้นท่านให้อ่านดูเอาเอง ฉันอ่านหนังสือไม่ออก”
ท่านพูดเท่านั้น พระ ๒ รูปก็อ่านดูเห็นเลขไม่ชัดเจน แต่ที่รูปถ่ายนั้นมีโบสถ์เก่าๆ อยู่ แล้วพระอีกองค์หนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า วันที่ท่านมาผมอยากจะสูบบุหรี่ เพราะอดบุหรี่มาหลายวันแล้ว พอท่านเดินผ่านมาทางผม ท่านก็พูดว่า “อยากจะสูบก็สูบซะ”

พร้อมกับส่งบุหรี่มาให้ แล้วก็ผมอีกนั่นแหละที่มองผู้หญิงนุ่งกางเกงขาสั้นเดินมาตักน้ำที่บ่อวัด แล้วก็คิดเป็นอกุศล พระประหลาดท่านชี้มือไปที่ผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับพูดว่า “อย่าไปสนใจเลย นั่นมันของเน่าของเปื่อย”
ผมก็นึกในใจว่ารู้ได้อย่างไร แต่ก็ไม่สนใจมากนัก

พอตอนนี้ก็มาเล่าให้กันฟัง แล้วข้าพเจ้าก็มีตอนหนึ่ง คือ ตอนที่ท่านใกล้จะกลับ ท่านเอามือกอดอกแล้วก็ยืนพิงเสา แล้วข้าพเจ้าก็เดินเข้าไป ท่านก็พูดขึ้นว่า “วัดนี้ถ้าจะก่อสร้างอะไร ก็จะสำเร็จ ฉันกลับไปบ้าน แล้วฉันจะกลับมาอีก”
ตั้งแต่นั้นมาจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เห็นท่านมาอีกเลย แล้วต่อมาหลวงปู่ปานท่านก็มาบอกข้าพเจ้าว่า “ดูพระ อย่าดูแต่ภายนอก ให้ดูด้วยตาในเสียบ้าง”
ก็นับว่าเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับข้าพเจ้าและสามี

ฝึกปลงสังขาร
วัน เดือน ปี จำไม่ได้ หลายปีมาแล้ว ข้าพเจ้าไหว้พระ สวดมนต์และสมาทานกรรมฐานตามปกติ หลวงปู่ปานท่านก็มาบอกว่า “วันนี้ฉันจะฝึกปลงสังขารให้”
แล้วท่านก็ให้ข้าพเจ้าตามท่านไป ข้าพเจ้าก็ตามไปได้สักพักหนึ่ง ก็พบทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม ท่านก็พูดไปเรื่อยๆ ว่า “หญ้าที่เราเดินเหยียบไปตอนนี้มันยังเขียวอยู่ ต่อไปมันก็ต้องเหี่ยว แล้วก็ตาย”

พอพูดจบท่านก็สั่งให้ข้าพเจ้านั่งลง แล้วให้คิดตามที่ท่านบอก ประโยคแรกที่ท่านพูด “เมื่อตอนเล็กๆ อยู่ ผมเราไม่ได้เป็นแบบนี้ แล้วก็ให้พิจารณาว่า ต่อไปผมเรามันจะต้องร่วงหล่นไปตามสภาพของมัน”
พอพูดเท่านั้น ข้าพเจ้าก็คิดตาม ทันใดนั้นผมข้าพเจ้าก็ร่วงหล่นมาที่หน้าเต็มไปหมด แล้วท่านก็พูดต่อว่า “ร่างกายของเราก็เหมือนกัน มันเต็มไปด้วยน้ำเลือด น้ำเหลือง เดี๋ยวมันก็เน่าเปื่อย”

พอท่านพูดจบข้าพเจ้าก็คิดตาม ปรากฏว่าร่างกายของข้าพเจ้าก็ทรุดโทรมตามความคิด ผมก็ร่วงหล่น เนื้อก็เริ่มเน่า หนอนก็ไต่ตัวข้าพเจ้าเต็มไปหมด แล้วหนอนก็กินเนื้อที่เน่า เนื้อบางส่วนก็หล่นลงบนพื้นดิน เหลือแต่โครงกระดูก แล้วท่านก็สั่งว่า “ให้เพ่งดูโครงกระดูกให้ชัดๆ แล้วให้ใสสว่าง”

ข้าพเจ้าก็ทำตามจนสว่างชัดติดตาติดใจ แล้วท่านก็สั่งให้พิจารณาจนโครงกระดูกพังหลุดออกไปทีละชิ้นสองชิ้นแล้วก็ลงไปกองรวมกันอยู่กับพื้นดิน หลวงปู่ท่านก็พูดขึ้นว่า “ไอ้ร่างกายเป็นของพังได้ แต่กายทิพย์ไม่พัง เพราะมีสภาพเป็นทิพย์”

ข้าพเจ้าเหลือสภาพอยู่เพียงกายทิพย์ยืนเฝ้ากองกระดูก แล้วก็ฟังหลวงปู่สอน
แล้วท่านก็สอนต่อไปว่า “ถ้าร่างการพังแล้ว มันก็จะมีสภาพเป็นแบบนี้”
ท่านสอนว่า “เรื่องของความรักในคู่ครองนั้น อย่ามัวไปหลงมันอยู่เลย มันจะมีสภาพเป็นแบบเดียวกันกับเอ็งนี่แหละ”

พอท่านพูดจบ ก็ปรากฏภาพของสามีข้าพเจ้าเดินมาข้างหน้ากองกระดูกของข้าพเจ้าที่กองอยู่ แล้วหลวงปู่ก็สั่งให้ร่างกายของสามีข้าพเจ้านั่งอย่างเดียวกับที่ข้าพเจ้านั่งตอนแรก แล้วร่างของสามีข้าพเจ้าก็เปลี่ยนแปลงสภาพตามลำดับ แบบเดียวกับร่างกายของข้าพเจ้า สุดท้ายก็เหลือเพียงกองกระดูก หลวงปู่ปานท่านก็บอกว่า “กระดูกนี้ก็จะไม่เหลือ”

แล้วท่านก็เนรมิตกองไฟมาเผาไหม้กระดูกทั้ง ๒ กองจนเหลือแต่ขี้เถ้า ทันใดนั้นก็เกิดพายุฟ้าฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักและมีใบไม้ปลิวมาตามลมทับถมขี้เถ้า พร้อมกับมีน้ำไหลมาอย่างแรง จนขี้เถ้ากับกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับดิน แต่กายทิพย์นั้นฝนตกมาเท่าไหร่ก็ไม่เปียก หลวงปู่ปานก็บอกว่า “วัตถุธาตุต่างๆ ในโลกนี้มันไม่มีอะไรจะจีรังยั่งยืน”

พร้อมกันนั้นกายทิพย์ของข้าพเจ้าก็เกิดความรู้สึกว่า “โอหนอ...ในโลกนี้มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรจะจีรังยั่งยืนเลย เหมือนที่หลวงปู่ท่านสอนจริงๆ”
ทันใดนั้นหลวงปู่ก็พูดขึ้นว่า “จำเอาไว้นะ แล้วก็หมั่นพิจารณาร่างกายบ่อยๆ จะได้เอาชนะกิเลสได้”

คำสอนของหลวงปู่นั้นทำให้ข้าพเจ้าได้สติ อยู่ต่อมาวันหนึ่งข้าพเจ้าก็ถูกเชิญไปงานเลี้ยง ที่งานเลี้ยงเขามีดนตรีด้วย แต่ข้าพเจ้านั้นไม่ได้กินข้าวเย็นมานานแล้ว ที่ไปเพราะว่าไปเพื่อเป็นเกียรติในฐานะที่เขานับถือ ก็ไปนั่งกินน้ำอย่างเดียว แล้วก็นั่งฟังดนตรี จิตก็เกิดเคลิ้มไปกับเสียงดนตรี ทันใดนั้นหลวงปู่ปานก็มาปรากกอยู่ข้างๆ แล้วท่านก็บอกข้าพเจ้าว่า“อย่ามองกายคนอื่นแต่ภายนอก”

พอท่านพูดจบ ข้าพเจ้าก็นึกถึงที่ท่านพาไปฝึกปลงสังขารได้ ก็พิจารณาร่างกายตัวเองที่กำลังนั่งถือแก้วน้ำอยู่ ก็เห็นร่างของตัวเองเหลือแต่กระดูก แล้วข้าพเจ้าก็หันไปมองพวกนักดนตรีและผู้ที่กำลังเต้นอยู่ ก็เห็นร่างกายของพวกนั้นและคนที่มาในงานนั้นเป็นโครงกระดูกเหมือนกันไปหมดทุกคน คนที่เป่าแตรอยู่นั้นก็มีแต่โครงกระดูกยืนอมเหล็ก พวกที่เต้นอยู่ก็เหลือแต่กระดูกเต้นไปเต้นมา พอมองลงมาทางกลุ่มคนที่ไปในงานก็เห็นเป็นโครงกระดูกนั่งกันสงบไปหมด

หลวงปู่ปานพูดกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าไปในงานที่เขาเชิญไปแล้วให้พิจารณาอย่างนี้ เพราะเรายังเป็นฆราวาสอยู่ ไม่สมควรหลีกเลี่ยง แต่ต้องพิจารราแบบนี้จิตจะได้ไม่เคลิ้มไปกับเสียงดนตรี”


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าจะไปในงานบวชหรืองานแต่งงานก็แล้วแต่ ข้าพเจ้าก็จะพิจารณาแบบนี้ แล้วก็จะเห็นคนในงานนั้นเหลือแต่โครงกระดูกทุกงานไป พอข้าพเจ้าเห็นสภาพอย่างนั้นแล้วก็ไม่ชอบเสียงเพลงเสียงดนตรี เพราะเห็นสภาพแล้วก็เกิดความเบื่อหน่ายแต่ก็ทนนั่งเพื่อเป็นเกียรติในงานนั้น จนกระทั่งข้าพเจ้าบวช

หลวงปู่ปานสอนเสกน้ำล้างหน้า
เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๘ ตอนเช้ามืดวันหนึ่ง ข้าพเจ้าทำสมาธิก็เห็นหลวงปู่ปานท่านมายืนข้างหน้า
ท่านพูดว่า“ตอนเช้ามืดให้เสกน้ำล้างหน้าด้วย อิติปิโส แต่ต้องตั้ง นะโม ๓ จบก่อน”

พอเลิกจากทำสมาธิ ข้าพเจ้าก็ทำตามที่ท่านบอก แล้วท่านก็ตามไปยืนอยู่ตรงที่ข้าพเจ้าถือขันน้ำ
ท่านก็บอกว่า“ให้รวบรวมพลังจิตตั้งใจอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ท่านประทับอยู่ในขันน้ำ”

ข้าพเจ้าก็ทำตาม ตั้งใจอาราธนา ก็ปรากฏภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในขันน้ำ แจ่มเป็นแก้วประกาย พร้อมทั้งน้ำในขันก็เป็นแก้วเหมือนองค์ท่าน ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสมาก น้ำในขันก็กระเพื่อมเป็นแก้วระยิบระยับทั้งขัน
หลวงปู่ปานท่านสอนต่อว่า“ต้องทำอย่างนี้ทุกวันนะ จะได้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง”

ข้าพเจ้าก็ทำตามที่ท่านสอนมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้ ส่วนมากข้าพเจ้าจะทำต้องให้พ้นชายคาบ้าน ถ้าใครจะทำตามก็ได้ ก็ขอเล่าเรื่องหลวงปู่ปานท่านสอนเสกน้ำล้างหน้าไว้เพียงเท่านี้

หลวงพ่อฤาษีมาด้วยปฏิสัมภิทาญาณ
เมื่อปลายเดือนมีนาคม ๒๕๓๕ คืนวันหนึ่งข้าพเจ้าก็เจริญกรรมฐานเป็นปกติ ก็ปรากกว่ามีวงกลมเป็นไฟประกายทั้งดวงมาตกอยู่ข้างหิ้งพระ ในวงกลมนั้น ตอนแรกๆ ก็เป็นเด็กอายุประมาณ ๔ ขวบ มาเดินอยู่ในวงกลม แต่สักประเดี๋ยว เด็กนั้นก็กลายเป็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี ยืนอยู่ข้างหิ้งพระบูชาที่บ้านข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าก็ลืมตาดูก็เห็นท่านยืนภาพชัดเจนมาก ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็หัวเราะ แล้วก็ยิ้มๆ
ท่านพูดขึ้นว่า “ฉันมาด้วยปฏิสัมภิทาญาณนะโว้ย”
ข้าพเจ้าก็เอ่ยปากจะพูด
แต่ท่านพูดขึ้นก่อนว่า “งานบวชของเอ็งทั้งสองนั้น จะมีพระและคนมาในวันนั้นจำนวนพันเศษ แล้วให้เตรียมดอกบัวไว้พันดอก”

แล้วท่านก็บอกอีกว่า “จะมีคนมาร่วมทำบุญกับเอ็งทั้งสองในงานนั้นจำนวนแสนบาทเศษๆ”
แล้วท่านก็พูดต่อไปอีกว่า“ให้เอารูปหลวงปู่ปานและรูปฉันถือไว้ด้วย แต่รูปหลวงพ่อนั้นต้องให้สูงกว่ารูปฉันนะ แล้วตั้งรูปฉันให้มีเก้าอี้นั่งได้ด้วย เพราะฉันอาจจะมาในงานนี้ ถ้ามาก็จะถึงเวลา ๓ โมงเช้า”
แล้วท่านก็พูดอีกว่า “ฉันมาวันนี้ มาตัวจริงๆ นะ”

ระหว่างที่คุยกับท่านอยู่นั้น ก็ดูผิวพรรณท่านผ่องใส หัวเราะร่าเริง
แล้วท่านก็พูดว่า“ฉันจะกลับแล้วนะ”
แล้วท่านก็บอกอีกว่า “เออ...ลืมไป ต้องจุดธูปนิมนต์ฉันกลางแจ้งด้วยนะ”

ข้าพเจ้าก็รับปากว่าจะทำตาม แล้วท่านก็เดินออกไป ข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบท่าน แล้วพอถึงวันงาน ข้าพเจ้าก็จัดทำตามที่ท่านบอก ไม่ว่าเป็นการตั้งรูปของหลวงปู่และหลวงพ่อ แล้วก็เรื่องดอกบัว ผลก็ปรากฏว่าทุกอย่างในวันงานก็เป็นไปตามที่ท่านบอกไว้ทุกประการ ก็ขอจบเรื่องที่หลวงพ่อมาแนะนำบางอย่างในงานบวช

บวงสรวงในงานบวช
เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ซึ่งตรงกับวันที่ข้าพเจ้าและสามีบวชทั้งคู่ ตอนเช้าข้าพเจ้าและสามีก็จัดพิธีบวงสรวงที่หน้าวิหารในวัดใหม่ฉายหิรัญ แล้วข้าพเจ้าก็เข้าไปตั้งจิตอธิษฐานอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน พร้อมทั้งหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษี

ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เห็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่เบื้องหน้า พร้อมทั้งหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษี ข้าพเจ้าทั้งสองก็ก้มลงกราบ เห็นแสงสว่างไสวเป็นแก้วระยิบระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
แล้วข้าพเจ้าทั้งสองก็กล่าววาจาว่า “ข้าพเจ้าบวชในครั้งนี้จะขอบวชกาย บวชใจ บวชวาจา ขอองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษี โปรดรับรู้ในการบวชของข้าพเจ้าทั้งสองด้วยเทอญ”

พร้อมกันนั้นท่านก็เปล่งวาจาว่า “ขอให้เธอทั้งสองจงสมความปรารถนาที่เธอต้องการ”
พรอ้มกันนั้นข้าพเจ้าทั้งสองก็ก้มลงกราบท่านด้วยความเคารพ แล้วข้าพเจ้าทั้งสองก็เดินออกจากวิหารมาทำพิธีบวงสรวงด้านหน้าของวิหาร ซึ่งจัดเครื่องสำหรับบวงสรวงเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าทั้งสองก็จุดธูปเทียน

พร้อมกันนั้นสามีข้าพเจ้าก็กล่าวคำบวงสรวงเสร็จ ก็นั่งสงบจิตบูชาอยู่ด้านหน้าเครื่องบวงสรวง ก็เห็นท้าวมหาราชทั้งสี่ แล้วบริวารของท่านมาเป็นขบวนพร้อมกันนั้นก็เห็นราชรถ แต่งเทียมด้วยม้าแก้ว มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งประทับมาด้วยราชรถ ราชรถแต่ละพระองค์มีทั้งหมดสี่ราชรถ ท่านก็มาด้วยกันสี่พระองค์

แต่ละพระองค์ก็เปล่งฉัพพรรณรังสี สว่างไสวเป็นแก้วประกายแพรวพราวทั้งพระวรกายทุกพระองค์ พระองค์ที่หนึ่งมาใกล้ท่านก็ยิ้มๆ แล้วก็ผ่านไป พอมาถึงพระองค์ที่สี่ผ่านมา ราชรถก็หยุดอยู่เบื้องหน้าของข้าพเจ้าทั้งสอง ท่านแย้มริมฝีปากน้อยๆ แล้วก็เปล่งวาจาออกมาว่า “วันนี้ลูกของตถาคตเกิดแล้วสององค์”

พร้อมกันนั้น ท่านก็ชี้มือให้ข้าพเจ้าดูราชรถที่ว่างอยู่สองราชรถ แล้วท่านก็เปล่งวาจาว่า “เป็นที่นั่งของเธอทั้งสอง เพราะเธอทั้งสองต้องนิพพานในชาตินี้ ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของเธอทั้งสอง ซึ่งเป็นลูกของตถาคตๆ ขอรับเธอไว้เป็นลูกในฐานะที่เธอทั้งสองบวชเข้ามาด้วยความศรัทธา ในคำสั่งสอนของเรา ทั้งๆ ที่เรานิพพานแล้ว”

ข้าพเจ้าเมื่อได้รับฟังพระวาจาของพระองค์ว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นลูกของท่าน ข้าพเจ้าก็เกิดปีติ น้ำตาไหลออกมาด้วยความดีใจ เลยกลั้นสะอื้นเอาไว้ในใจ กลัวคนอยู่รอบข้างจะเห็น ข้าพเจ้าและสามีมีแต่ความดีใจ ที่ได้บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ตั้งใจว่าจะประพฤติปฏิบัติแต่คุณงามความดีตลอดไป

หลวงปู่ปานสั่งให้ไปอยู่ป่า (ป่าตะเพินคี่)
เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าทำวัตรเย็นตามปกติ นั่งสมาทานกรรมฐานพร้อมกับคณะพระสงฆ์ที่วัดใหม่ฉายหิรัญ แล้วก็ทำสมาธิ ข้าพเจ้าก็เริ่มพิจารณาร่างกาย ว่ามันเป็นทุกข์ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีได้เคยอบรมสั่งสอนว่าขันธ์ ๕ มันเป็นตัวทุกข์

ทันใดนั้นภาพของหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีก็ปรากฏอยู่ข้างหน้า หลวงปู่ปานท่านพูดขึ้นว่า ให้ข้าพเจ้าย้ายไปอยู่ป่าจำพรรษาที่โน้น พร้อมด้วยให้นิมนต์เจ้าอาวาสไปด้วย แล้วให้พระประสิทธิ์ที่อยู่ป่าให้กลับมาจำพรรษาที่วัดแทนเจ้าอาวาส เพราะเจ้าอาวาสติดโลกภายนอกเสียแล้ว

ข้าพเจ้าก็บอกหลวงปู่ปานว่า“ลูกพูด เจ้าอาวาสจะเชื่อหรือเปล่า ลูกไม่อยากจะบอก”
หลวงปู่บอกว่า“ขอให้ช่วยสงเคราะห์เจ้าอาวาสนี้หน่อยเถอะ นึกว่าทำกิจแทนฉันก็แล้วกัน เพราะพระรูปนี้เมื่ออดีตชาติเขาเคยยกให้เป็นลูกฉันไว้ แต่ดื้อรั้นเหลือเกิน ความดีอยากได้แต่ไม่ค่อยปฏิบัติจริงจัง”

ข้าพเจ้าก็อึดอัดนั่งนิ่ง
แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า“ฉันช่วยเอ็งมาโดยตลอด ฉันขอให้ช่วยเรื่องแค่นี้จะไม่ได้เชียวหรือ?”
ข้าพเจ้าก็บอกว่า“เมื่อหลวงปู่ต้องการ ลูกจะบอกให้ แต่เจ้าอาวาสจะไปหรือไม่นั้นก็ไม่รู้”
หลวงปู่ก็บอกว่า“เอาเถอะ ฉันขอให้บอกให้อย่างเดียว”

ข้าพเจ้าก็นึกกลัวพระประสิทธิ์จะไม่กลับมาวัด
หลวงปู่ก็บอกว่า“ให้ไปดูในหนังสือประวัติซะว่าไม่ได้จำกัดว่าจะอยู่น้อยอยู่มาก ถ้าเชื่อฉันก็ต้องฟังฉันสั่งซิ”
ข้าพเจ้าก็บอกกับหลวงปู่ว่า “ลูกเชื่อแต่ลูกได้บอกกับพระและชาวบ้านที่นี้แล้วว่าลูกจะจำพรรษาที่นี้”

หลวงปู่พูดต่อว่า“ไปไม่เป็นไรหรอก เหตุการณ์มันเปลี่ยนแปลงได้ เหมือนความตายนี่แหละ แล้วคราวหน้าถ้าใครถามอะไรเกี่ยวกับวันข้างหน้า ก็อย่าเพิ่งรับปากอะไรกับเขา”
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า“เจ้าค่ะ หลวงปู่”
แล้วท่านก็บอกว่า “เวลาจะพูดกับเจ้าอาวาส ให้บอกว่าฉันสั่งว่า ถ้าอยากจะเอาตัวออกจากโลกภายนอก ให้ไปอยู่ป่า”
ข้าพเจ้าก็รับปากกับหลวงปู่ว่า “ลูกจะบอกให้”

เมื่อทำสมาธิเสร็จ ก็ก้มลงกราบท่านทั้งสอง
แล้วหลวงพ่อฤาษีก็พูดว่า ““เรื่องของชาวบ้านไม่ต้องไปกลัว กลัวความชั่วก็พอแล้ว”
แล้วท่านทั้งสองก็หายไป พอเลิกทำสมาธิ แผ่เมตตาเสร็จก็มีแขกมารอข้าพเจ้าอยู่ที่กุฏิ ข้าพเจ้าก็เลยบอกพระให้ช่วยบอกเจ้าอาวาสด้วยว่าเดี๋ยวจะมาคุยด้วย

แล้วข้าพเจ้าก็ลงไปรับแขกได้สักครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็ขึ้นมาหาเจ้าอาวาส เพื่อจะบอกเรื่องที่หลวงปู่ท่านสั่ง แต่เจ้าอาวาสไม่อยู่ ไปธุระที่บ้านโยมแม่ ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้บอก

พอเช้ารุ่งขึ้น ทำวัตรและกรรมฐานเสร็จ คณะแม่ชีก็ทำความสะอาดกัน แล้วข้าพเจ้าก็เดินมาเพื่อจะช่วยคณะแม่ชีทำความสะอาด พอดีเดินผ่านเจ้าอาวาสซึ่งนั่งอยู่ที่ข้างบันได ก็เลยได้จังหวะบอกเรื่องราวที่หลวงปู่ปานสั่งให้เจ้าอาวาสรู้ ปรากฏว่าได้ผลตามที่หลวงปู่ปานสั่ง ข้าพเจ้าก็จัดการหารถเพื่อไปส่งเพราะต้องไปวันนี้ (๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๕, วันเข้าพรรษาคือ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๕)

ข้าพเจ้าก็ถามคณะแม่ชีที่อยู่วัดซึ่งก็มีแม่ชีกะเหรี่ยงอยู่ด้วย แล้วก็มีแม่ชีกะเหรี่ยงที่เพิ่งจะมาถึงอีกหนึ่งรูป ว่าจะมาจำพรรษาอยู่ที่วัดใหม่ฉายหิรัญ ข้าพเจ้าก็บอกแม่ชีว่าจะไปจำพรรษาที่ป่าตะเพินคี่ แม่ชีกะเหรี่ยงรูปนั้นก็ไปด้วย แล้วข้าพเจ้าก็ถามคณะแม่ชีว่า จะมีใครไปกับข้าพเจ้าบ้าง ก็มีแม่ชีติดตามไปทั้งหมด ๔ รูป แล้วยังเหลือแม่ชีที่วัดอีกสามรูป เพราะไปไม่ไหว

พอได้เวลาฉันเพลเสร็จรถก็มาถึงหน้าศาลา เจ้าอาวาสและคณะแม่ชีที่จะไปอยู่ป่า ก็เก็บของได้เพียงของใช้ที่จำเป็นองค์ละย่าม แล้วก็เตรียมขึ้นรถ พระกะเหรี่ยงที่มาจากวัดคลองแห้ง จังหวัดอุทัยธานี ก็ตามลงมาแล้วพูดกับข้าพเจ้าว่า “อาตมามาอยู่นี่แล้วชีจะหนีไปอยู่ป่า”
ข้าพเจ้าก็บอกว่า “ไม่เป็นไร เจ้าอาวาสและชีไป แต่เดี๋ยวพระประสิทธิ์ก็คงจะมาอยู่แทน”

ทันใดนั้นคณะชาวบ้าน โยมแม่ของชีบางรูป ญาติพี่น้องของชีบางรูป แล้วก็โยมแม่และญาติพี่น้องของข้าพเจ้าก็คัดค้าน ห้ามปรามว่าอย่าไปเลยมันลำบาก ข้าพเจ้าก็ไม่ฟังเพราะยังคิดถึงคำพูดของหลวงพ่อฤาษีอยู่ ชาวบ้านก็โวยวายบอกว่า “แม่ชีคิดให้ดีๆ เสียก่อน”
ข้าพเจ้าก็บอกว่า “ข้าพเจ้าทำตามที่หลวงปู่ปานท่านสั่ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”

พร้อมกันนั้นเจ้าอาวาสและคณะแม่ชีที่ไปก็จะขึ้นรถ โยมแม่ของข้าพเจ้าน้ำตาคลอพร้อมกับให้เงินข้าพเจ้าติดตัวไปใช้ในเวลาที่จำเป็น แล้วก็ออกเดินทางโดยมีโยมตามไปส่งด้วยจากวัดใหม่ฉายหิรัญไปยังวัดบ้านกล้วย ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่รถจะวิ่งไปถึง ต่อจากนั้นเจ้าอาวาสและคณะแม่ชีต้องเดินกันไปเองระยะทางประมาณ ๑๔ กิโลเมตร (กะเหรี่ยงบอก)

พอจอดรถที่วัดบ้านกล้วย คณะที่ไปก็ลงแล้วบอกกับโยมที่ขับรถว่า “ให้รอก่อน เพราะจะต้องไปนิมนต์พระประสิทธิ์ แต่ท่านจะกลับหรือไม่กลับนั้น แม่ชีก็ไม่รู้ แต่หลวงปู่ปานท่านสั่งพระประสิทธิ์ๆ ก็คงไม่ขัด เพราะที่แล้วๆ มา ถ้าท่านสั่งแล้วพระประสิทธิ์ก็ปฏิบัติตามมาตลอด”

พอเวลาได้ประมาณ ๑๕.๓๕ นาฬิกา เจ้าอาวาสและคณะแม่ชีก็ออกเดินไป ระหว่างทางนั้นลำบากมาก เพราะต้องเดินขึ้นเขาหลายลูก ลัดเลาะเดินตามหุบเหว นึกกลัวเหมือนกันเพราะตอนที่มาคราวก่อนนั้นได้ยินเสียงเสือร้องดังก้องอยู่ในหุบเหว แล้วระหว่างที่เดินนั้น ป่ารกมาก บางทีทางก็มีเฉพาะคนเดินผ่าน แต่ก็มีจิตใจเชื่อมั่นในคำสั่งของหลวงปู่ ถึงจะมืดค่ำก็ต้องเดินไปให้ถึงในคืนนี้ เพราะจะต้องนิมนต์พระประสิทธิ์

แล้วถ้าท่านตกลงจะลงมา ต้องลงมาในคืนนี้ เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันพระไม่มีพระนำ แล้วพระที่อยู่ที่วัดส่วนมากก็เป็นพระใหม่ พอเวลาใกล้ค่ำ เจ้าอาวาสและคณะแม่ชีก็เดินทางไปถึงถ้ำที่พระประสิทธิ์อยู่ แต่มีแม่ชีบางรูปเดินทางไปถึงก่อน พอเจ้าอาวาสและข้าพเจ้าไปถึงก็ได้เล่าเรื่องราวตามที่หลวงปู่ปานสั่งให้ฟังโดยละเอียด

พระประสิทธิ์ก็เข้าใจ เพราะท่านก็เสี่ยงทายได้มานานแล้วว่า จะต้องย้ายออกจากถ้ำ แล้วท่านก็เดินทางมายังวัดใหม่ฉายหิรัญ ก็ขอจบเรื่องที่หลวงปู่ปานสั่งให้ไปอยู่ป่าไว้เพียงเท่านี้

อภินิหารหลวงปู่ปาน
ก่อนที่ข้าพเจ้าทั้งสองจะบวช หลวงปู่ปานก็สั่งให้ข้าพเจ้าทำหนังสือแจกในงาน ข้าพเจ้าก็ได้ติดต่อกับคณะที่ช่วยจัดทำหนังสือในวันบวช แล้วอยู่มาวันหนึ่ง คณะผู้จัดทำหนังสือก็มาที่วัดใหม่ฉายหิรัญ แล้วก็ถามเรื่องที่จะให้ลงในหนังสือว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เรื่องแบบไหน

ข้าพเจ้าก็ถามหลวงปู่ปานว่า “หลวงปู่จะให้ทำแบบไหน เพราะคณะผู้จัดทำอยากจะได้เรื่องมากๆ และทำเล่มใหญ่ๆ หน่อย”
หลวงปู่ท่านบอกว่า“แกงหม้อใหญ่มันไม่อร่อยหรอก ต้องหม้อพอเหมาะๆ”
แล้วท่านก็บอกว่า ให้เขียนเป็นประวัติโดยย่อ ให้เล่าได้เป็นบางเรื่อง และคณะผู้จัดทำก็มีความคิดว่าจะลงรูปภาพของหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีด้วย โดยจะลงเป็นภาพใหญ่ เต็มหน้ากระดาษเป็นหน้าๆ ไป แล้วส่วนรูปภาพของหลวงพ่อฤาษีนั้น

คณะจัดทำก็ให้ข้าพเจ้าไปขออนุญาตกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าก็ถามหลวงปู่ว่า “จะทำแบบไหน”
หลวงปู่ก็บอกว่า “ไม่ต้องเสียค่ารถมัวไปขออยู่หรอก เดี๋ยวจะไม่ทัน ให้เอารูปของฉันตั้งด้านขวามือของพระพุทธรูป และก็เอารูปของเจ้าลิงดำไว้ด้านซ้ายของพระพุทธรูป”

แล้วข้าพเจ้าและสามีนั่งด้านหน้าต่ำกว่า คณะผู้จัดทำก็จะทำอย่างที่เขาได้ร่ำเรียนมา คือจะจัดโต๊ะหมู่บูชา แต่ไม่ยอมตั้งรูปของหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษี ตามที่หลวงปู่ปานสั่ง เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็ถามคณะผู้จัดทำว่าจะทำกันอย่างไร? เขาบอกเขาทำได้เรื่องเล็ก และคณะผู้จัดทำก็ทำการแต่งหน้าข้าพเจ้าและสามีเป็นการใหญ่ บอกว่ารูปจะได้ชัดๆ

ส่วนข้าพเจ้าและสามีนั้นรู้สึกอึดอัดมาก แต่ไม่อยากจะขัดใจคณะผู้จัดทำ ก็เลยให้เขาถ่ายให้เสร็จๆ ไป
ต่อมาไม่กี่วันก็ได้ข่าวว่ารูปที่ถ่ายไปนั้นเสีย ไม่ติด ถึงติดก็เลือนราง ใช้ไม่ได้ ต่อมาคณะผู้จัดทำก็เดินทางมาหาข้าพเจ้าแล้วก็ให้ข้าพเจ้าถามหลวงปู่ปานใหม่
ข้าพเจ้าก็ติดต่อถามหลวงปู่ว่า“เรื่องรูปที่ถ่ายนั้นทำไมถึงไม่ติด”
ท่านตอบว่า“แล้วที่ฉันสั่งนะทำตามหรือเปล่าล่ะ ไอ้พวกนี้มันรั้น”
ข้าพเจ้าก็บอกกับท่านว่า“เขาไม่ได้ตั้งรูปตามที่หลวงปู่บอกหรอก”

หลวงปู่ปานท่านว่า“ไม่ทำตามฉันสั่งมันจะไปติดอย่างไรล่ะ ให้ของใช้มันดีขนาดไหน มันก็สู้พลังจิตฉันไม่ได้หรอกนะ”
แล้วท่านก็บอกว่า “ให้ทำตามที่ฉันสั่ง”
ข้าพเจ้าก็บอกกับท่านว่า “กลัวหนังสือจะไม่ทันวันงาน เพราะเรื่องก็ยังไม่เสร็จ แถมรูปของหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีที่ไปขยายไว้ก็ยังไม่เสร็จ”

หลวงปู่ปานท่านพูดว่า“มันทันอยู่แล้วละ ไม่ต้องไปกังวลหรอก”
แล้วท่านก็หายไปพอปฏิบัติตามคำสั่งหลวงปู่ปาน เรื่องก็สำเร็จตามประสงค์

ถ้ำตะเพินคี่
ไปอยู่ที่ถ้ำวันเข้าพรรษา ตกเย็นก็สัมผัสว่าหลวงปู่ปานท่านจะลงมาบรรยายธรรมให้ฟังทุกวัน แล้วท่านบอกให้ปฏิบัติกรรมฐานโดยการเดิน ยืน นั่ง อย่างละครึ่งชั่วโมงให้ถามคณะที่ไปปฏิบัติว่ามากไปไหม ถ้ามาก็ลดลงได้

แต่ปรากฏว่าคณะที่ไปปฏิบัติที่นั่นพร้อมใจกันว่า เอาตามที่หลวงปู่บอก ตกเย็นก็ทำวัตร สวดมนต์ สมาทานกรรมฐาน แล้วท่านก็ได้มาถ่ายทอดคำพูดของท่านให้แม่ชีเล่า มีอยู่วันหนึ่ง ท่านได้สอนคณะปฏิบัติธรรม ตัดเรื่องความรักระหว่างเพศออกไปจากใจ

ท่านบอกว่า“ผัว – เมีย เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ เมียของกู ผัวของกู ใครจะแตะไม่ได้ แต่พอตายไม่ถึงวัน พอเมียตายก็ไม่ทันถึงวันก็ยกให้สัปเหร่อเอาไปครอง ถ้าเป็นผู้หญิงถ้าผัวตายไม่ถึงวันยกให้สัปเหร่อ ความรักของพ่อแม่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ลูกของกู ใครจะว่าใครจะบ่นก็ไม่ได้ รักปานจะขาดใจ แต่พอตายไม่ทันไร ให้สัปเหร่อมัดตราสัง แล้วให้สะกดด้วยวิชาให้ดีๆ เดี๋ยวผีจะดุ

ดูซิความรักช่างไม่เที่ยงเหมือนละคร ขอให้ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ให้พิจารณาดีๆ ว่ามีบ้างไหมว่าใครที่รักเราจริง ไม่มีหรอก เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วเธอทั้งหลายจะพ้นทุกข์ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าไปหวังพึ่งผัว พึ่งเมีย พึ่งพ่อ พึ่งแม่ พึ่งลูก เพราะทุกคนรักกันเหมือนหลอกลวง เมื่อตอนอยู่ก็ห่วงโน่นห่วงนี่ พอตายเขาก็เอาไปป่าช้าหันหลังให้เรา หันหน้าเข้าบ้าน ฉะนั้นทุกคนเมื่อฟังฉันพูดวันนี้แล้ว ขอให้พระภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา จงจำไว้ ฉากสุดทายปิดฉากด้วยเชิงตะกอนเป็นแน่แท้”

นี่คือคำพูดของหลวงปู่ ให้แม่ชีถ่ายทอดคณะพระภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ฟัง ขณะปฏิบัติธรรมที่ถ้ำตะเพินคี่

วันหนึ่งขณะแม่ชีจะลงมาข้างล่างเพราะมีโยมเขาถวายปูนซีเมนต์ไว้ ๒ ลูก ทำกรรมฐานตอนค่ำ ก็มีเจ้าวัด (หัวหน้าหมู่บ้านกะเหรี่ยง) ชาวกะเหรี่ยงเขานับถือกันมาก เจ้าวัดนี้ท่านสั่งสอนคนในหมู่บ้าน ไม่ให้กินเหล้า ไม่ให้เล่นการพนัน เป็นหมู่บ้านที่ปลอดอบายมุข เป็นชาวกะเหรี่ยงที่อยู่กันยี่สิบกว่าครอบครัว แม่ชีไปอยู่ที่นั่นได้รับข้าวและอาหารพอได้เลี้ยงชีวิตอยู่ปฏิบัติธรรมจากชาวบ้านที่มีจิตศรัทธา

เจ้าวัดที่ตายไปแล้วได้มาหาแม่ชี บอกว่า“วันพรุ่งนี้ ถ้าลงไปโงของแล้วจะไปช่วย”
คำว่า “โง” นี้เป็นภาษากะเหรี่ยง คือ จะเอาย่ามไว้ข้างหลัง แล้วเอาสายย่ามไปรั้งไว้ที่หน้าผาก

พอเช้าแม่ชีก็ลงมาเอาของ พอถึงหน้าถ้ำเจ้าวัดก็มารอที่ปากถ้ำ แล้วปรากฏภาพให้แม่ชีเห็นชัดเจนมาก แล้วหันหน้าเดินมาทางแม่ชี แล้วร่างของเจ้าวัดไม่ทราบว่าหายไปตรงไหน แต่เดินมาตรงหน้า ตั้งแต่นั้นแม่ชีก็เดินเหมือนมีใครช่วยเป็นกำลัง การเดินทางนั้นมีคณะแม่ชีที่อยู่ถ้ำทั้งหมด ๗ รูป แต่เดินลงมากันไม่หมด ลงมาแค่ ๕ รูปพร้อมกับชาวบ้านอีกประมาณ ๓ คน

การเดินนั้นแม่ชีเดินนำหน้าจนชาวกะเหรี่ยงต้องวิ่งตาม ไม่รู้ว่าแม่ชีมีพละกำลังการเดินไม่เหน็ดเหนื่อย พอมาถึงวัดบ้านกล้วยประมาณ ๓ โมงเช้าก็กินข้าวที่นั่น ลืมบอกไปว่าอยู่ที่โน่นกินข้าวมื้อเดียว ตอนแรกก็คิดว่าจะเอาปูนขึ้นไปสักลูกเดียว เพราะมีญาติโยมไม่ได้เอาแต่ปูนมา มีของมาฝากอีกหลายอย่าง แล้วก็แบ่งเฉลี่ยกันพร้อมทั้งข้าวของ ก็ดูน้ำหนักมากพอสมควร แต่เจ้าวัดท่านคอยช่วยอยู่ตลอด ข้าวของหลายอย่างด้วยกัน ก็เดินทางขึ้นเขากลับถ้ำ

ทีนี้กะเหรี่ยงไม่ยอมให้แม่ชีอยู่หน้า เพราะกลัวเดินไม่ทัน แต่ตามปกติแล้ว แม่ชีจะขึ้นไปแต่ละครั้งมีของติดมือไปหน่อยๆ ก็ยังจะเดินไม่ไหว แต่คราวนี้ของน้ำหนัก ๒๐ กิโลเศษ แล้วหนำซ้ำ เป็นปูนซีเมนต์และของด้วย เรื่องทางนั้นไม่ต้องเล่า ลำบากอยู่แล้ว บางทีก็ต้องห้อยโหนกันไป พอไปถึงหน้าถ้ำ แม่ชีก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนเดินออกจากร่างไป ที่แท้ก็เป็นเจ้าวัดนั่นเอง นี้คืออานุภาพของเจ้าวัดที่ช่วยในการขนของวันนั้น

แล้วอีกคืน ข้าพเจ้านอนหลับอยู่ก็ได้ฝันไปว่ามีคนมาตีเกราะไม้ไผ่ เดินกลับไปกลับมา ข้าพเจ้าก็ตกใจลุกขึ้นนั่ง ทบทวนความจำว่าถ้าความฝันตื่นแล้วยังได้ยินเสียงนั้นอยู่ เพื่อความแน่ใจแม่ชีก็เลยเอามือแหวะฟางข้างฝาส่องดู ก็เห็นร่างนั้นเดินไปเดินมาก็ไม่รู้ว่ากี่ทุ่มกี่ยามแล้ว เพื่อความแน่ใจก็อยากจะหาพยาน จึงเรียกแม่ชีใจซึ่งอยู่คนละที่ ถามดูว่าตอนนี้ตีเท่าไร่ ก็ได้รับคำตอบว่า ๕ ทุ่ม

พร้อมกันนั้นแม่ชีก็คิดอยากจะบอกให้คณะแม่ชีที่กำลังจำวัดอยู่รู้ว่ามีคนเดินตีเกราะ แต่ก็ไม่กล้า กลัวจะตกใจก็เลยเงียบไว้ เออ...ลืมบอกไปว่า แม่ชีอยู่องค์เดียวเป็นกุฏิเล็กๆ พอนอนได้ เช้าจึงได้เล่าให้ฟัง คณะแม่ชีก็บอกว่าดีแล้วที่ไม่เล่าตอนกลางคืน แต่พออยู่ได้ประมาณ ๔ – ๕ วัน ทำกรรมฐานเสร็จยืนพิจารณาร่างกาย ก็ปรากฏภาพองค์สมเด็จฯ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ชัดเจนแจ่มใส

หลวงปู่ปานพูดขึ้นว่า “เสียงที่บ่นตอนกลางคืนที่ว่าชีทำดีกว่าพระ ทำไมไม่ใช้ปัญญา น่าจะตีความหมายออก ที่พูดอย่างนั้นเพราะพระมาอยู่ที่นี่ ไม่ได้บิณฑบาตออกโปรดสัตว์ ขาก็ไม่หัก แขนก็ไม่ได้ด้วน น่าจะออกบิณฑบาตนั่นแหละ เจ้าวัดเขามาบอกให้รู้ เพราะคณะแม่ชีเขาออกบิณฑบาต”
แต่อันที่จริงพระก็จะออกบิณฑบาต แต่บาตรมีน้อย มีแค่ ๔ บาตร คณะแม่ชีเลยไม่ให้หลวงพ่อสาธุออกบิณฑบาต แต่พอรู้เท่านั้น หลวงพ่อสาธุออกบิณฑบาตเป็นประจำ นี่ก็คืออานุภาพของเจ้าวัด

อ้อ...ลืมบอกไปว่าที่ถ้ำมีพระอยู่ ๒ องค์ องค์ที่หนึ่งคือ หลวงพ่อสาธุ องค์ที่สองคือเจ้าอาวาส หลวงปู่ปานสั่งไม่ให้พูดกับมนุษย์ ๓ เดือน แล้วหลวงปู่ปานยังสั่งให้คณะแม่ชีปวารณาตัวส่งข้าวส่งน้ำจนครบ ๓ เดือน ตั้งแต่บัดนั้นมาพระก็ออกบิณฑบาต ชีก็ออกบิณฑบาตตลอดจนทุกวันนี้

ข้าพเจ้าจะขอเล่าเรื่องการสัมผัสหรือการพบเห็น ส่วนมากข้าพเจ้าอาราธนาองค์สมเด็จฯ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อทุกครั้ง พออาราธนาเสร็จภาพวงกลมก็จะปรากฏชัดเจนแจ่มใส สว่างเป็นแก้วประกายแพรวพราวแวววาวไปเต็มดวง ก็จะเห็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีปรากฏเด่นชัด

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปท่องเที่ยวในภพต่างๆ ต้องขอความเมตตาของพระทั้ง ๓ องค์ไปได้ตามสบายทุกครั้ง แต่บางครั้งการเห็นนั้น ถ้าจิตของข้าพเจ้ามัวหมอง แก้วดวงนี้ก็จะไม่ใส มองเห็นเป็นสีดำมัวๆ เมื่อข้าพเจ้ามองเห็นอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะต้องเจริญกำลังจิต เจริญเมตตา ชำระล้าง วงกลมนั้นก็จะสว่างมาใหม่ เมื่อข้าพเจ้าเกิดมีความดีใจ วงกลมนั้นก็จะกลายเป็นแก้วสีทับทิมแดงๆ แต่ถ้าจิตของข้าพเจ้าแช่มชื่นและบริสุทธิ์เยือกเย็นเบาๆ ข้าพเจ้าก็จะมองเห็นวงกลมดวงนิมิตของข้าพเจ้าเป็นประกายแพรวพราวไปทั้งดวง

วงกลมนี้จะบอกได้เป็นอย่างดี เพราะหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีเคยสอนให้ดูไว้เรื่อยๆ ถ้าเป็นสีมัวหมองก็ให้ทำให้สะอาด ถ้าเป็นสีทับทิมแดงก็แสดงว่าตัวนั้นกำลังดีใจ ถ้าเป็นแก้วประกายแพรวพราวก็ถือว่าอารมณ์นั้นเป็นอารมณ์นิพพาน ท่านให้รักษาอารมณ์ที่เป็นแก้วประกายนั้นไว้ การเห็นหรือการสัมผัสของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเห็นชัดเจนแจ่มใสคล้ายๆ ถ้าจะเปรียบเทียบก็เปรียบเสมือนว่าเรานั่งคุยกันในห้องกระจกใสๆ มีแสงสะท้อนแวววาว

การสัมผัสในด้านเสียง พอข้าพเจ้านึกจะพูดอะไร ท่านก็ตอบตรงกับที่ข้าพเจ้าคิดไว้ทุกครั้ง น้ำเสียงจะไพเราะฟังแล้วจับใจ เต็มไปด้วยเมตตาปรานี ไม่มีมนุษย์ในโลกนี้ที่กล่าววาจาได้อย่างพระองค์ ข้าพเจ้าเมื่อไปพบท่านข้างบน เมื่อได้สัมผัสฟังคำพูดแล้ว บางครั้งนึกไม่อยากกลับลงมา แต่ก็ถูกไล่ทุกครั้ง เพราะว่ายังไม่ถึงวาระ

เมื่อข้าพเจ้าต้องการอยากจะทราบเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงปู่ปานก็ให้ข้าพเจ้าสงเคราะห์บุคคลทั่วไป โดยให้ติดต่อเห็นภาพในวงกลม ว่าบุคคลที่เกิดมาในชาตินี้มีบุญกรรมอะไรบ้าง แล้วการเจ็บไข้ได้ป่วยจะรักษาหายหรือไม่หายก็จะทราบได้ในวงกลม แม้กระทั่งวันตายของผู้ป่วย หลวงปู่ปานได้ให้ข้าพเจ้าพิสูจน์มาแล้วหลายราย แต่ท่านได้ห้ามเอาไว้ว่า ถ้าสัมผัสแล้วรู้ว่าเขาจะถึงวาระการตายก็ไม่ให้บอกเขา ให้รู้ได้เฉพาะตนเอง

นี่ก็คือความเมตตาของหลวงปู่ปาน แล้วแต่ละครั้งนั้นก็จะขอเล่าเรื่องสัมผัสที่ได้พบเห็นมาตามที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้
มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อปี ๒๕๒๗ ท่านได้ปรากฏมาในวงกลมที่ข้าพเจ้าทำสมาธิอยู่ที่บ้าน เมื่อข้าพเจ้าเห็นพระองค์ ข้าพเจ้าก็คลานคุกเข่าไปใกล้ๆ ก้มลงกราบนมัสการท่าน แล้วท่านเปล่งวาจาพร้อมด้วยฉัพพรรณรังสีเป็นแก้วประกาย ๗ ประการ สว่างเหมือนกลางวัน พร้อมกับพยากรณ์ว่า

“ขอให้เธอจำไว้นะ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ไปอีก ๑๕ ปี การปฏิบัติของเธอทั้งสองจึงจะได้มรรคได้ผลตามที่เธอต้องการ แต่อย่าลืมนะต้องบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้ครบ แล้วจะต้องทรงเพศพรหมจรรย์ยึดมั่นในคุณงามความดี แล้วให้เห็นโทษ เห็นคุณในร่างกายให้ถ่องแท้ นี่แหละคือการปฏิบัติ เธอจงจำไว้แล้วเอาไปทำตามที่ฉันบอกก็จะพ้นทุกข์ได้”

ที่ข้าพเจ้าเล่าเรื่องพระองค์พยากรณ์ไว้ตั้งแต่ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติใหม่ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ ข้าพเจ้าก็ได้จดจำเอามาปฏิบัติเพื่อจะขจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป ก็ขอเล่าเรื่องการสัมผัสและการพยากรณ์ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 9/2/11 at 15:16

18

อาลัย “หลวงพ่อ” ผู้เป็นที่รักเคารพอย่างยิ่ง


วิมาลี ศิรประภาชัย


... ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น. เป็นวันเวลาที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิตในการจากไปของหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าเคารพรัก เมื่อมานึกถึงช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน ๒๕๓๕ ได้ไปวัดได้พบหลวงพ่อ หลวงพ่อได้บอกว่าเมื่อคืนนี้ท่านเป็นไข้หนาวสั่นทั้งตัว พร้อมทั้งแสดงอาการให้ดูด้วย ในใจขณะนั้นรู้สึกเป็นห่วงมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่มีความรู้ทางแพทย์ ได้แต่คิดว่าจะหาหมอที่ไหนนะที่เก่งๆ มารักษาหลวงพ่อ

...จึงได้ปรึกษาจิง (สุกัญญา ตั้งศุภวัฒนกิจ) จิงบอกว่าพี่หมอนพพร กลั่นสุภา ที่อยู่เมืองกาญจนบุรีเคยรักษาหลวงพ่อ ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ไปเล่าให้พี่หมอฟัง พี่หมอเป็นห่วงหลวงพ่อมาก จึงได้ไปดูอาการหลวงพ่อที่วัด หลังจากนั้นพี่หมอได้เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อได้บอกว่าต่อนี้ไปเวลาของหลวงพ่อต้องดูเป็นวันต่อวัน ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมหลวงพ่อเกือบทุกอาทิตย์

ช่วงสุดท้ายที่ได้พบหลวงพ่อคือวันที่ ๒๓ – ๒๔ – ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๕ เป็นเวลาที่หลวงพ่อป่วยมากแล้วถึงขั้นออกปากบอก แสดงว่าอาการทางร่างกายของหลวงพ่อนั้นแย่มากแล้ว ไม่ได้นึกว่าวันเวลานั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบหลวงพ่อ ทั้งๆ ที่หลวงพ่อได้พร่ำสอนอยู่เสมอว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

ไม่รู้ว่าจะพรรณนาถึงหลวงพ่ออย่างไร รู้แต่ว่าหลวงพ่อได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลาที่ได้พบท่านมาสิบกว่าปี ที่ทำให้สามารถตั้งตนไว้ชอบ ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขตามอัตภาพในปัจจุบัน ทำให้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะในจิตในใจ ให้น้อมระลึกถึงเป็นปกติทุกๆ วัน และทำให้มีความมั่นใจในพระนิพพานว่า จะสามารถเข้าถึงได้ในชาติปัจจุบันนี้

ข้าพเจ้าขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย จะประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อจนกว่าจะตาย นิพพานัง ปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

◄ll กลับสู่สารบัญ


19

สะเดาะเคราะห์กับหลวงพ่อ


สมชาย (มานพ) แช่มเดช


...ผมเป็นคนอยู่ใกล้วัด ปัจจุบันอายุ ๓๓ ปี ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมาตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อเริ่มมาปลูกกุฏิอยู่ใต้โคนโพธิ์ สมัยนั้นแม้ผมยังเล็กอยู่ ผมก็มาช่วยงานหลวงพ่อเป็นประจำ ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อเริ่มสร้างตึกเสริมศรี ช่วยการก่อสร้าง ตอนฉลองโบสถ์ผมก็มาช่วยงาน ช่วยตำขนมจีน ช่วยหุงข้าว ขนข้าวมาเลี้ยงคนที่มางานหลวงพ่อ

...พ.ศ.๒๕๒๓ ผมได้มาอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดหลวงพ่อ ก่อนบวชผมก็มาฝึกมโนมยิทธิกับลุงปรุง ตุงคเศรณี ผมฝึกมโนมยิทธิได้แล้วก็ได้ใช้วิชามโนมยิทธิมาเรื่อย ไม่ได้ทิ้ง บางทีไปที่วัดพบลุงปรุงก็สนทนาธรรมกับลุงปรุงเสมอ พี่ชายผมชื่อสกุล ก็เคยมาบวชที่วัดประมาณปี ๒๕๒๔ หรือ ๒๕๒๕ นี่แหละ จำไม่ได้แน่ว่าปีไหน ส่วนน้องชายผมกลับมาจากประเทศซาอุดิอารเบีย ชื่อสมนึก ก็มาบวชอยู่ที่วัดท่าซุง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๓ ปัจจุบันก็ยังบวชอยู่

ครอบครัวผมตั้งแต่พ่อแม่พี่น้อง ก็เคารพศรัทธาในองค์หลวงพ่อเป็นอย่างมาก ตัวผมก็เช่นเดียวกัน ได้ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนมาตลอด ผมมีความเคารพหลวงพ่ออย่างสูงสุด และได้ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ มีหลวงพ่อเป็นที่สุด เป็นที่พึ่งแก่ผมและครอบครัวตลอดมา

มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและประทับใจผมอย่างไม่มีวันลืม ก็คือเหตุการณ์หลังวันสะเดาะเคราะห์เพียงวันเดียว คือเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๓๕ เป็นวันที่หลวงพ่อได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์รอบเช้าและรอบบ่าย ตัวผมมีอาชีพขายของอยู่ที่หน้าวัดท่าซุง วันนั้นผมก็ไปเข้าพิธีสะเดาะเคราะห์ในรอบแรก รอบ ๑๐.๐๐ น. ที่ศาลา ๑๒ ไร่

พอวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๓๕ เวลากลางคืน ประมาณ ๑ ทุ่ม ขณะนั้นผมกำลังเก็บของที่ขายอยู่หน้าวัด จะขนกลับบ้าน ขนใส่รถสามล้อแดงและรถไสของผม กำลังพ่วงรถและนำของมาใส่รถ เตรียมมัดของกับรถ ผมยืนอยู่ข้างรถสามล้อแดงของผม ขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บของ ก็มีรถปิกอัพ (รถกระบะ) คันหนึ่ง พุ่งเข้าชนที่สีข้างผม ชนซี่โครงข้างซ้ายหัก ๑ ซี่ เศษแก้วบาด (ถ้วยแก้วแตกกระจัดกระจาย) ตามแขนหลายแห่ง และบาดตามหลัง ที่ตัวผมมีเศษแก้วบาดเป็นริ้วๆ

ในขณะที่รถชนผมเปรี้ยง มีเสียงดังมาจากอากาศว่า “ลูกเบา ๆ ๆ ๆ ๆ” ประมาณ ๔ – ๕ ครั้ง พอได้ยินคำว่าลูกเบา ๔ – ๕ ครั้ง ผมก็สลบไป ขณะสลบไปจิตผมก็ออกจากร่างก็เห็นชาย ๒ คน รูปร่างใหญ่พอๆ กับพระยืน ๓๐ ศอก ของวัดท่าซุง (ที่หอไตรนั่นแหละ) ชายร่างใหญ่ ๒ คนนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีดำ ผิวเนื้อสีเหลือง คนร่างใหญ่ ๒ คน มาถึงผมทั้งคู่ก็จับแขนผม จะเอาตัวไปเลย

ขณะนั้น ก็มีชายผู้หนึ่งมีรูปร่างใหญ่โตมาก ใหญ่กว่าชาย ๒ คนนั้น พอผมเห็นปั๊บก็รู้ว่าท่านคือท่านลุงพุฒ ท่านลุงพุฒถือสมุดบัญชีเล่มเหลืองๆ อยู่ในมือซ้าย ท่านได้พูดกับชายร่างใหญ่ ๒ คนนั่นว่า “ยังเอาเขาไปไม่ได้ ให้เขาอยู่ก่อน เพราะว่าเมื่อวานนี้เขาไปสะเดาะเคราะห์กับหลวงพ่อ และทำบุญกับหลวงพ่อด้วย ยังเอาเขาไปไม่ได้ ให้เขาอยู่ไปก่อน”

ชายร่างใหญ่ ๒ คนนั้น ได้ฟังแล้ว ก็ไม่ว่ายังไง ก็ปล่อยแขนผม แล้วชาย ๒ คนนั้นก็หายไป ผมก็รู้สึกตัวเบา ตอนนั้นยังเห็นท่านลุงพุฒอยู่ ครั้นเมื่อผมรู้สึกตัวขึ้นมาภาพท่านลุงพุฒก็หายไป ก็รู้สึกดีใจที่ชีวิตผมยังไม่ตาย บารมีของหลวงพ่อได้ช่วยผมเอาไว้ ผมไปฟื้นที่โรงพยาบาล (ตอนเขาหามผมขึ้นรถนั้น ผมไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีความรู้สึกอะไร)

พอผมฟื้นขึ้นมา ก็บอกให้ไปเอาน้ำมันชาตรีของหลวงพ่อมาทาตามตัว ผมกลัวหมอจะไม่อนุญาตให้ใช้ ก็ต้องแอบเอามาใช้ แผลผมทั้งหมดก็เบา ชั่วเวลา ๑ อาทิตย์ แผลตามแขนตามหลังก็หาย ก็กลับมาบ้านได้ เมื่อหายแล้ว มีคนเล่าให้ผมฟังว่า ถูกรถกระบะชน ล้อหน้าเหยียบขาผม ๒ ขา แล้วล้อหลังจะเหยียบผมซ้ำอีก แต่อยู่ๆ พวงมาลัยรถกระบะก็หลุดออกมาเฉยๆ นับว่าแปลกมาก ถ้าล้อหลังเหยียบผมลงไปอีก น่ากลัวต้องตายแน่

แต่เพราะบารมีหลวงพ่อ และได้เข้าพิธีสะเดาะเคราะห์ของหลวงพ่อมาสดๆ ร้อนๆ เพียงแค่ชั่วข้ามคืน ทำให้ช่วยปัดเป่าเคราะห์หนัก ซึ่งน่าจะถึงกับเสียชีวิต แต่กลับแค่มีบาดแผลเล็กน้อย และซี่โครงหัก ๑ ซี่เท่านั้น นับได้ว่าพิธีสะเดาะเคราะห์ได้ช่วยผ่อนจากหนักเป็นเบาได้ทันตาเห็น

สรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมครั้งนั้น หลายคนในที่นั่นดูแล้วว่าผมน่าจะตาย ไม่น่ารอด ใครที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นแล้วก็บอกว่าตายแน่ ร้องไห้กันใหญ่ และตอนนั้นหมาที่วัดท่าซุงต่างหอนกันยกใหญ่ นี่ก็เป็นการยืนยันได้ว่า ที่ผมรอดชีวิตมาได้นี้ เพราะได้ไปเข้าพิธีสะเดาะเคราะห์กับหลวงพ่อ ดังคำยืนยันที่ท่านลุงพุฒพูดว่า “ยังเอาเขาไปไม่ได้ เขาพึ่งไปสะเดาะเคราะห์กับหลวงพ่อ และทำบุญกับหลวงพ่อ ให้เขาอยู่ไปก่อน”

นี่เป็นเพราะบารมีหลวงพ่อสามารถช่วยชีวิตผมรอดมาครั้งนี้ได้อย่างปาฏิหาริย์
ผมมีความมั่นใจว่าหลวงพ่อสามารถช่วยคุ้มครองพวกเราได้ ผมเคารพหลวงพ่อและมีความมั่นใจหลวงพ่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ และอยากไปนิพพานในชาตินี้กับหลวงพ่อ และมีความมั่นใจว่าผมจะไปถึงนิพพานในชาตินี้

◄ll กลับสู่สารบัญ


20

หลวงพ่อดูแลลูกเสมอ


วิวัฒน์ เดชสาหร่าย


...ผมมีโอกาสเข้าฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ช่วงวันเข้าพรรษาปี ๒๕๓๔ วันแรกก็เกิดอารมณ์คิดสงสัยว่า ทำไม หลวงพ่อถึงได้มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมากมายอย่างนี้ เพราะในไม่ช้าสิ่งเหล่านี้ก็ต้องเสื่อมต้องพังไปสิ้น เนื่องจากขาดงบประมาณและคนคอยดูแลรักษา

...ก็มีคำตอบผุดขึ้นในใจว่า “จริงอยู่สิ่งเหล่านี้ย่อมเสื่อมย่อมพัง แต่ก่อนที่มันจะพังก็ได้ใช้ประโยชน์จนคุ้มค่าแล้ว คือสามารถสร้างพระอริยบุคคลไว้มากมาย ลองคิดดูว่าพระอริยเจ้านั้นเกิดขึ้นได้ยากเย็นเพียงใด ในการเกิดชาติหนึ่งๆ แต่ละคนต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายมากมาย และต้องใช้เวลาหลายภพหลายชาติจึงจะเจ้าสู่กระแสพระนิพพาน วัดท่าซุงใช้เงินทองในการก่อสร้างเพียงไม่กี่ร้อยล้านบาท สามารถสร้างพระอริยบุคคลขึ้นมาได้เป็นเรือนหมื่นเรือนแสน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะต้องทุ่มเทเงินทองในการก่อสร้างมากกว่านี้ก็ยังสมควรและนับว่าคุ้มค่ายิ่ง

... ที่จริงแล้วพระสงฆ์ท่านไม่ได้ต้องการสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ แต่ที่ต้องทำก็เพราะญาติโยมถวายปัจจัยมาเป็นวิหารทาน เพื่อสั่งสมทานบารมี ดังนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงฉลองศรัทธา และเพิ่มพูนปสาทะให้แก่ญาติโยมศิษยานุศิษย์เหล่านั้น และเพื่อเอื้ออำนวยความสะดวก และให้เกิดความสบายแก่ญาติโยมและพุทธบริษัททั้งหลาย ช่วยให้ง่ายต่อการฝึกฝนอบรมและปฏิบัติธรรม”

ในช่วงวันมาฆบูชาปี ๒๕๓๕ ผมได้มีโอกาสมาร่วมงานที่วัดท่าซุงอีกครั้งหนึ่ง เพื่อช่วยงานที่วัดและฝึกมโนมยิทธิ ขณะเดินทางก็ใช้อารมณ์คิดเกือบตลอดทางว่า ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขารแล้ว ทรงเน้นการอบรมสั่งสอนพระภิกษุสงฆ์ในเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญา จะมีความแตกต่างจาก ทาน ศีล และภาวนาอย่างไร

ก็ได้คำตอบขณะนั้นว่า “พระภิกษุสงฆ์ท่านละความโลภโดยการมาถือบวช จึงมีศีลเป็นอภัยทาน และมีปัญญาเป็นธรรมทาน ส่วนคฤหัสถ์นั้นยังมีความโลภอยู่ จำเป็นต้องเริ่มต้นที่อามิสทาน เป็นการลดละความโลภ ตัดความตระหนี่ถี่เหนียวแน่นของจิตที่มีต่อวัตถุสิ่งของลงก่อน”

หลังจากฝึกมโนมยิทธิแล้วก็ได้ถวายสังฆทาน ตอนนั้นได้อธิษฐานอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้อโหสิกรรมและขอลาเจ้ากรรมนายเวร เพื่อเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ มีความรู้สึกว่า หลวงพ่อท่านมองตามเสมอ ไม่ว่าจะย้ายไปนั่งที่ตรงไหน เลยนึกในใจว่า การที่ได้มาวัดท่าซุง ได้นั่งชมบารมีหลวงพ่อก็จัดว่าดีแล้ว อย่างน้อยจิตก็ห่างจากกิเลสได้ชั่วคราว

เมื่อกลับถึงห้องพักก็ได้ฟังธรรมะออกอากาศสอนพระอาคันตุกะในจรณะ ๑๕ ตอนเย็นได้เข้าฝึกพระกัมมัฏฐานที่พระวิหาร ๑๐๐ เมตร ฟังคำสอนในอารมณ์พระโสดาบันพุทธจริต (จิตบอกว่าท่านสอนสด) ในคำสอนนี้รู้สึกว่าท่านจี้จุดของผมหลายแห่งทีเดียว เมื่อถึงเวลากรวดน้ำ ผมก็ตามไม่ทัน เลยนึกในใจว่า ลูกขอว่าตามหลวงพ่อทุกอย่างก็แล้วกัน พอกลับถึงห้องพัก ทันทีที่เท้าเหยียบพื้นห้อง เสียงกรวดน้ำก็ดังมาจากลำโพงออกอากาศ

ผมเลยต้องรีบลงไปนั่งพับเพียบและกรวดน้ำตามท่านจนจบ ทำให้แน่ใจว่า ขณะนี้หลวงพ่อกำลังอนุเคราะห์อยู่ รีบถือโอกาสกราบเรียนท่านในใจถึงคำดำรัสของพระพุทธองค์ที่ว่า คนยุคนี้ สัญญาและปัญญา ทรามลง ลูกขอพึ่งบารมีหลวงพ่อช่วยอบรมสั่งสอนให้มากหน่อย นับว่าได้ผล เพราะได้ฟังอุปสมานุสสติแทบทุกเวลาที่ออกอากาศ ยกเว้นช่วงเวลาที่สอนพระภิกษุสงฆ์บางวัน ได้แนวของการอบรมจิตโดยอุปสมานุสสติหลากหลายรูปแบบ

โดยสรุป หลวงพ่อสอนว่า ในการเดินทางเพื่อเข้าสู่พระนิพพานนั้น ต้องมีทานบารมี เพื่อเป็นเสบียงสำหรับใช้ในภพชาติที่ยังไม่ถึงพระนิพพาน เพื่อไม่ให้เกิดความยากจนหรือขัดสน ต้องมีศีล อย่างน้อยก็ศีล ๕ เพื่อป้องกันปัญจเวรไม่ให้ตกลงไปสู่อบายภูมิเสียก่อนที่จะถึงพระนิพพาน และจะต้องมีอิทธิบาท ๔ บารมี ๑๐ และจรณะ ๑๕ เพื่อเป็นกำลังต่อสู้กับกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม จนสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้

ตอนนั้นก็เกิดความสงสัยว่าในบารมี ๑๐ ไม่เห็นกล่าวถึงสมาธิเลย จะสอดคล้องกับพระอริยมรรคได้อย่างไร
ก็ได้คำตอบว่า “เนกขัมบารมี การถือบวช บำเพ็ญตบะ ละนิวรณ์ห้า เป็นสมาธิ” สำหรับอิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ ต้องมีความพึงพอใจในพระนิพพาน วิริยะ ต้องขยันหมั่นเพียรส่งจิตไปสู่พระนิพพานเสมอๆ เพื่อความคุ้นเคย จิตตะ ให้มีจิตฝักใฝ่จนแนบแน่นในพระนิพพาน และ วิมังสา ให้หมั่นทบทวนไตร่ตรองโดยแยบคาย ในวิธีหรือหนทางเข้าสู่พระนิพพาน

หลวงพ่อได้กรุณาตักเตือนว่า อย่าได้ท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง ต้องมีสติสัมปชัญญะ ประกอบด้วยวิปัสสนาปัญญา ไตร่ตรองให้เห็นโทษของการเกิด (กาย) แล้วจึงตั้งจิตปรารถนาเข้าสู่พระนิพพาน นี่คือพระคุณอันหาที่เปรียบมิได้ของหลวงพ่อที่มีต่อลูก ท่านคอยสอดส่องดูแลลูกทุกๆ คนอยู่เสมอ

◄ll กลับสู่สารบัญ


21

รับแขกวันสุดท้าย หลวงพ่อสอนศิษย์เรื่องอะไร


พัฒน์ สันทัด


... “คิดถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน พระผู้มีพระคุณต่อลูกหาที่สุดประมาณมิได้ หลวงพ่อชี้ทางพระนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุขหาความทุกข์เจือปนมิได้แม้แต่น้อย ชาตินี้ลูกขอเป็นชาติสุดท้าย จะไม่เกิดให้ทุกข์อีก ตายเมื่อใดขอไปพระนิพพานทันที ขออาราธนาบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้โปรดประทานพรให้ลูกสามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน มีจิตใสเป็นประกายพรึก และเข้าถึงพระนิพพานโดยฉับพลันทันทีด้วยเถิด ตราบใดที่ลูกยังมีชีวิตอยู่นี้ จะขอทำความดีสนองพระคุณของหลวงพ่อด้วยชีวิต”

...ก่อนที่จะเข้าเรื่องว่า หลวงพ่อพูดเรื่องธรรมะอะไรในวันรับแขกวันสุดท้าย เมื่อ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ นั้น ผู้เขียนขอเล่าอะไรบางอย่างให้ท่านผู้อ่านทราบก่อน อันดับแรกขอแนะนำตัวเอง ผู้เขียนเป็นข้าราชการ อายุเข้าไปกลางคน อีก ๒๐ ปีก็จะเกษียณ เพิ่งย้ายมาดำรงตำแหน่งที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดอุทัยธานี เมื่อต้นปี ๒๕๓๕ ทั้งนี้เพื่อจะได้มีโอกาสมากขึ้น ในการมารับใช้หลวงพ่อในงานด้านโรงเรียนผู้ใหญ่พระสุธรรมยานเถระวิทยา

ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เมตตา ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียน เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการย้าย ซึ่งปรากฏผลรวดเร็วปาฏิหาริย์ ภายในเดือนเดียวก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายได้
ผู้เขียนได้พบหลวงพ่อเมื่อปี ๒๕๒๕ โดยอ่านหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน ซึ่งท่านผู้อำนวยการอรุณ สิทธิพาที อดีตผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคกลาง จังหวัดราชบุรี เจ้านายของผู้เขียนให้ยืมมา อ่านแล้วติดใจมาก อ่านเสียหลายจบ จนร้อนตัวอยู่ไม่ได้ ต้องวิ่งไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ จากนั้นไม่นานก็สามารถเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ได้ ประหยัดได้มาก ชีวิตมีความผาสุกยิ่งขึ้น

ต่อมาท่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ ทำให้เงินทองคล่องตัว ปลายเดือนไม่ขาดมือเหมือนแต่ก่อน ปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงพ่อได้ประมาณ ๓ – ๔ ปี อยู่มาวันหนึ่งต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ ผู้เขียนฝันว่า หลวงพ่อมาเยี่ยมและพูดว่า “เวลานี้ลูกปฏิบัติได้ระดับ ป.๒ แล้ว ขอให้พยายามต่อไป” ผู้เขียนจำได้อย่างแม่นยำ ราวกับว่าหลวงพ่อได้มาบอกจริงๆ ดีใจมากที่ฝันเช่นนั้น จึงมั่นใจในแนวปฏิบัติของหลวงพ่ออย่างยิ่ง

เคยอ่านพบข้อความหนึ่งในหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับใดไม่ทราบ หลวงพ่อเขียนไว้ว่า “การปฏิบัติให้เข้าถึงพระโสดาบัน หากเอาจริงแล้วไม่เกิน ๑๕ วัน...” ผู้เขียนเป็นคนค่อนข้างกิเลสหนาปัญญาหยาบ มีความเลวมากมาย เลยต้องใช้เวลามากหน่อย มาถึงปัจจุบันนี้ ผู้เขียนได้ปฏิบัติตามแนวของหลวงพ่อมาประมาณ ๑๐ ปีแล้ว มีความรู้สึกว่า มีชีวิตอยู่นี่ช่างเป็นทุกข์จริงๆ ขัดข้องหนอ อยู่ครองเรือนด้วยความอึดอัด แต่ก็ถูกลองดีอยู่เรื่อย มีมารมาคอยผจญ โดยเฉพาะเรื่องกามฉันทะ ในช่วงใกล้จะหมดแหล่มิหมดแหล่นี้ร้ายนัก

เมื่อระหว่างปี ๒๕๓๓ – ๒๕๓๔ ได้ถูกมารผจญเพื่อพิสูจน์อย่างหนัก ในที่สุดความเลวก็ปรากฏถูกมารดึงลงข้างทางจนได้ แต่ด้วยความมั่นคงในหลวงพ่อ ขอบารมีพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระเดชพระคุณหลวงพ่อช่วยปราบมาร ในที่สุดก็ผ่านพ้นจุดวิกฤตแห่งชีวิตมาได้ สามารถเอาชนะใจตนเอง ด้วยพระบารมีของท่านจริงๆ

บัดนี้เห็นแล้ว ซึ้งแล้วในโทษแห่งกาม พอกันทีเจ้ากามฉันทะตัวแสบ เลิกคบกันเสียที ชาตินี้ขอยอมเป็นชาติสุดท้าย อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย ตายเมื่อไรขอไปพระนิพพานทันที จะไม่ขอเกิดมาเจอกับเธออีกแล้วเจ้ากามฉันทะเอ๋ย ใครก็ตามที่เคยมีเวรมีกรรมต่อกันมา ผู้เขียนขออุทิศส่วนกุศลให้ทุกคน ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ผู้เขียนตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด

ที่เล่ามานี้เป็นการยืนยันว่า คำสอนของหลวงพ่อนั้น ถ้าปฏิบัติตามด้วยความจริงจังจริงใจแล้ว จะเกิดมรรคเกิดผลอย่างแน่นอน วิธีปฏิบัติก็เดินตามมรรค ๘ ประการ ซึ่งย่อเหลือ ๓ คือศีล สมาธิ และปัญญา อันดับแรกปัญญาต้องมาก่อน คือเห็นว่าการรักษาศีลเป็นของดี ทำให้มีความสุข จากนั้นสมาธิก็ตามมา คือมีความตั้งใจที่จะรักษาศีล โดยค่อยทำค่อยไปทีละข้อสองข้อจนในที่สุดครบทั้ง ๕ ข้อ

เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางใจ ควรเจริญพระกรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อทุกวัน เริ่มด้วยบูชาพระ ขอขมาพระรัตนตรัย ขึ้นพระกรรมฐาน พิจารณาร่างกายตามแบบของหลวงปู่ปานวัดบางนมโค แล้วจึงจับลมหายใจเข้า – ออกพร้อมด้วยคำภาวนา เมื่อครบตามกำหนดเวลาที่ตั้งใจแล้ว ควรต่อด้วยคาถาเงินล้าน ๙ จบ แล้วจึงอุทิศส่วนกุศล ผู้เขียนได้ทำเช่นนี้แทบทุกวัน โดยใช้เวลาในช่วงกำลังเดินทางไปทำงานเป็นส่วนใหญ่ เพราะเวลาอื่นมีภารกิจมาก รวมทั้งต้องให้เวลาแก่ครอบครัวด้วย

เคล็ดลับอีกประการหนึ่งสำหรับผู้ที่หวังผลการปฏิบัติให้สำเร็จมรรคผล จำเป็นต้องเจริญมหาสติปัฏฐาน ๔ ให้มากๆ เวลาเข้าห้องน้ำก็ให้เห็นความสกปรกของร่างกายทั้งอุจจาระปัสสาวะ อาบน้ำ ก็พิจารณาให้เห็นความสกปรก เห็นคนตายเห็นสัตว์ตายก็พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และจะต้องดับสลายตายไปในที่สุด เรียกว่าพยายามพิจารณาให้เห็นแจ้งในสัจธรรมความจริงบ่อยๆ จนเคยชิน

นั่นก็เป็นแนวเจริญพระกรรมฐาน ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่อท่านรักพระกรรมฐานมาก ท่านสอนกรรมฐานจนวาระสุดท้ายแห่งขันธ์ ๕ ที่พิเศษก็คือ ท่านสอนครบทั้ง ๔ หมวด คือสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ และปฏิสัมภิทัปปัตโต โดยเฉพาะเตวิชโช และฉฬภิญโญ ลูกศิษย์ฝึกได้มโนมยิทธิ (มีฤทธิ์ทางใจ) กันมากมายเป็นแสนๆ คน

อีกไม่ช้าอภิญญาใหญ่ก็จะเข้ามาถึง เวลานี้หลวงพ่อได้ช่วยวางพื้นฐานไว้ในด้านอภิญญาพอสมควรทีเดียว เด็กๆ ฝึกได้อภิญญาใหญ่ที่เชียงใหม่ ลำปาง และที่สุราษฎร์ธานีก็มีแล้ว ต่อไปนี้คงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น่าอนุโมทนายิ่งนัก ผลจากการที่หลวงพ่อเน้นการสอนพระกรรมฐานควบคู่ไปกับการก่อสร้างวิหารทานเพื่อให้ลูกหลานมีโอกาสทำบุญตามนั้น เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองเข้าไปในจิตใจของเหล่าพุทธบริษัทอย่างมากมาย หน่อเนื้ออริยบุคคลได้เกิดเพิ่มขึ้นๆ อย่างชนิดที่ใครๆ ก็หยุดยั้งไม่ได้

หลักฐานพยานบ่งชัดว่าเหล่าบรรดาศิษย์ได้จบกิจเป็นพระอรหันต์กันมากหลาย ผู้เขียนได้เคยเห็นอัฐิของอริยบุคคลรุ่นพี่ได้กลายเป็นพระธาตุมาแล้ว จึงมั่นใจในผลการปฏิบัติตามแนวของหลวงพ่อจริงๆ
ด้วยเหตุที่หลวงพ่อได้ชี้ทางพระนิพพาน นำปฏิบัติเข้าถึงพระนิพพานได้จริง ผู้เขียนจึงถือว่าหลวงพ่อมีพระคุณอย่างสูงสุดต่อผู้เขียน นอกจากนี้หลวงพ่อยังได้เมตตาบุตรชายของผู้เขียนให้ทุนเรียนจนจบ ม.๖ ที่โรงเรียนผู้ใหญ่พระสุธรรมยานเถระวิทยา เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เมื่อพฤษภาคม ๒๕๓๕ หลวงพ่อก็ยังเมตตาสงเคราะห์ให้ทุนการศึกษาต่อจนจบปริญญาตรี เป็นเงิน ๗๒,๐๐๐ บาท (เจ็ดหมื่นสองพันบาทถ้วน) ซึ่งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระในการส่งเรียนแก่ผู้เขียนอย่างมาก

ขณะนี้หลวงพ่อได้ให้ทุนศึกษาจนจบปริญญาตรีไปแล้วจำนวน ๙๓ ทุน เป็นเงิน ๖,๖๙๖,๐๐๐ บาท (หกล้านหกแสนเก้าหมื่นหกพันบาท) ซึ่งจะก่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอย่างยิ่งในอนาคต
ท่านผู้อ่านที่เคารพ เรื่องเล่าให้อ่านก็พอแล้ว ขอเข้าเรื่องที่หลวงพ่อให้ธรรมะเรื่องสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ กันดีกว่า

วันนั้นหลวงพ่อลงรับแขกบ่ายโมงครึ่งตามเวลาปกติ แต่ร่างกายป่วยมากที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยพบมา ทราบว่าอาจารย์พรนุช คืนคงดี อาจารย์ใหญ่โรงเรียนผู้ใหญ่พระสุธรรมยานเถระวิทยา ได้ไปขอร้องหลวงพ่อขอได้โปรดงดการลงรับแขกสักวัน อาจารย์นนทา อนันตวงษ์ ก็ได้ขอร้องหลวงพ่อเช่นเดียวกัน แต่หลวงพ่อท่านไม่ยอม ท่านสงสารลูกศิษย์ที่ตั้งใจมากราบ มาทำบุญ และฟังธรรมจากหลวงพ่อ

ในที่สุดหลวงพ่อก็ลงรับแขกจนได้ ในวันนั้นผู้เขียนได้มากราบหลวงพ่อด้วย
หลวงพ่อหันมาถามผู้เขียนว่า “อาจารย์มีอะไรคุยบ้าง” ความจริงมีเรื่องอยากคุยหลายเรื่อง แต่สงสารหลวงพ่อมากจึงไม่กล้าคุย

ก่อนจะถึงเวลาสามโมงเย็นประมาณ ๑๕ นาที
หลวงพ่อก็หันไปคุยกับหลวงพี่บัญชาว่า “พวกทายกมักจะตกนรก เพราะบางคนชอบใช้พระ ใช้สามเณร เช่นใช้พระต้มน้ำ ใช้สามเณรอุ่นแกงบ้าง อันนี้ไม่ถูกต้อง บาปมาก ตกนรก”
ผู้เขียนได้ถามหลวงพ่อว่า “จะเป็นไปได้ไหม ถ้าเวลาจะตาย ทายกเขานึกถึงบุญกุศลได้ อาจจะไม่ตกนรก แต่ไปเสวยความดีก่อน คือไปสู่สุคติน่ะครับ”
หลวงพ่อตอบว่า “ไม่แน่”

จากนั้นก็เกือบบ่ายสามโมงแล้ว หลวงพ่อจึงให้หลวงพี่บัญชาช่วยพรมน้ำมนต์ให้ลูกหลานที่มา ขณะหลวงพ่อให้พรผู้เขียนใจแป้วเลย เพราะเสียงหลวงพ่อแกว่งมาก ขึ้นยถาไม่ไหวแล้ว ให้พรบทน้ำมนต์ ๗ วัฒน์ เลย คือ อายุวัฒโก... และในคืนนั้นเองหลวงพ่อก็ต้องเข้าโรงพยาบาลศิริราช
และในที่สุดหลวงพ่อก็ต้องกล่าวประโยคสุดท้ายเมื่อ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ ว่า “พ่อตัดสินใจแล้ว”

ธรรมะที่กล่าวมาข้างต้น จึงควรจะเป็นธรรมะเรื่องสุดท้ายที่หลวงพ่อให้แก่ผู้มากราบนมัสการในวันรับแขกวันสุดท้ายของหลวงพ่อ
แม้ว่าหลวงพ่อได้จากเราไปแล้ว จากไปแต่ร่างกายเท่านั้น เพราะหลวงพ่อสอนเราไว้แล้วว่า

“เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราคือจิต ผู้มาอาศัยร่างกายอยู่ชั่วคราวเท่านั้น”
ดังนั้นจิตของหลวงพ่อจึงอยู่กับพวกเราเหล่าศิษย์ที่เคารพนับถือในองค์ท่าน

ดังที่คุณอนงค์นาถ วรนุช ได้เขียนไว้ในเรื่อง “อาลัย ‘พ่อ’ ของเรา หลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยาน)” จากนิตยสารพ้นโลก ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๕ หน้า ๑ – ๖ ข้อความบางตอนว่า
“เมื่อข้าพเจ้าเศร้าใจอาลัยถึงท่าน วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๕ เพราะว่าเหตุยังใหม่อยู่ ยังงงๆ เมื่อถามท่าน ตามปกติที่เคยทำแล้ว น้ำตามันพาลไหลออกมาเอง”
พ่อจึงบอกว่า “ที่นอนอยู่ในโลงไม่ใช่พ่อ พ่อยังอยู่และสบายดี”
และพ่อฝากให้บอกทุกคนที่รักเคารพท่านด้วยว่า
“พ่ออยู่อย่างนี้สบายกว่า ไปไหนสะดวกกว่า ลูกที่รักพ่อ คิดถึงพ่อพร้อมๆ กัน พ่อก็ไปหาได้ตลอดเวลา บอกทุกคนด้วยนะ ลูกที่รักพ่อ คิดถึงพ่อ พ่อไปหาได้ ถ้าอยากเห็นกายหยาบของพ่อให้ไปดูที่วัดได้ ให้เข้มแข็งเข้าไว้.....งานทุกอย่างทำต่อไป”

ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดอุทัยธานี ถวายเหรียญโนมา แด่หลวงพ่อในฐานะที่มีพระคุณต่อศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนเป็นอย่างยิ่ง ถวายเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๕

คำกล่าวถวายเหรียญโนมา
แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่เคารพยิ่ง

เนื่องจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้มีเมตตาสงเคราะห์ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งด้านจิตใจและร่างกาย ด้านจิตใจนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้อบรมสั่งสอนประชาชนให้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ รักษาศีล ปฏิบัติธรรม เจริญกรรมฐาน และบริจาคทานทำบุญเป็นปกติ มีประชาชนทั่วประเทศแวะเวียนมาปฏิบัติธรรมกันอย่างมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากยิ่งสำหรับคนธรรมดาจะทำได้

การสงเคราะห์ด้านร่างกายนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ช่วยเหลือประชาชนทั่วไปอย่างมากมาย เช่น แจกเสื้อผ้า ข้าวสาร ยารักษาโรค แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และชาวบ้านคนยากจนในท้องถิ่นธุรกันดารมานานกว่า ๒๐ ปีแล้ว
ประการที่สอง พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สร้างโรงพยาบาลแม่และเด็กขึ้นภายในวัดท่าซุง เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วไป มูลค่าประมาณ ๓๐ ล้านบาท

ประการที่สาม พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ตั้งโรงเรียนผู้ใหญ่พระสุธรรมยานเถระวิทยา เพื่อสงเคราะห์ประชาชนในด้านการศึกษาตั้งแต่ ม.๑ – ม.๖ ให้ความอุปการะทุกอย่าง ไม่เก็บค่าเล่าเรียน ให้ทุนศึกษาต่อมหาวิทยาลัย พยาบาล ทหาร ตำรวจ จำนวน ๙๓ คน เป็นเงิน ๖,๖๙๖,๐๐๐ บาท (หกล้านหกแสนเก้าหมื่นหกพันบาทถ้วน)

สำหรับศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดอุทัยธานี นับว่าได้รับความอนุเคราะห์จากพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างมากมาย เช่น มอบโทรทัศน์จอยักษ์ ขนาด ๔๐ นิ้ว จำนวน ๑ เครื่อง มูลค่ากว่าแสนบาท นอกจากนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังได้มอบปูนซีเมนต์ให้จำนวน ๒๐ ตัน หรือเท่ากับ ๔๐๐ ลูก ให้เพื่อการสร้างเรือนอบสมุนไพร และอาคารวิชาชีพครบวงจร

ในโอกาสวันการศึกษานอกโรงเรียน ๘ กันยายน ๒๕๓๕ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดอุทัยธานี มีความยินดีอย่างยิ่งทีได้มีโอกาสถวายเหรียญโนมา แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ผู้มีพระคุณยิ่งกับงานการศึกษาของชาติ และขออาราธนาบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โปรดประทานพรให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีพลานามัยแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่ลูกหลานสืบไปด้วยเถิด

◄ll กลับสู่สารบัญ


22

อธิษฐานขอพระธาตุ


แพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์


... พระธาตุได้เสด็จมา และเปิดดูครั้งแรกเมื่อ เมษายน ๒๕๓๓

................ สาเหตุที่อธิษฐานขอพระธาตุ
...ประมาณปลายปี พ.ศ.๒๕๓๒ ได้ทำสมาธิอธิษฐาน ขออัญเชิญพระธาตุ ให้เสด็จมาเพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรม และเพื่อยืนยันผลการปฏิบัติธรรม ที่กำลังปฏิบัติอยู่ขณะนี้ ว่าเป็นไปในทางตรง ที่จะเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบัน
.................. การเตรียมผอบเพื่อรับพระธาตุ
...ได้อัญเชิญเหรียญลงยารูปหลวงพ่อล้อมเพชร (รูปในหนังสือสมบัติพ่อให้ หน้า ๑๑๑) จำนวน ๒ องค์ คือเหรียญรูปไข่ ๑ องค์ เหรียญรูปหัวใจ ๑ องค์ ลงในผอบ (ที่มีเฉพาะเหรียญหลวงพ่อไม่มีพระธาตุ) ใส่ในพานที่ประดิษฐานเจดีย์ไม้จันทน์ที่มีพระธาตุบรรจุอยู่แล้ว ๔ เจดีย์ และพานนี้ตั้งไว้บนหิ้งพระชั้นสูงสุด

ได้ทำสมาธิ อธิษฐานจิตต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมเพื่อปรารถนาพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบอาราธนาอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ให้เสด็จมาประดิษฐานในผอบที่มีเหรียญของหลวงพ่อสองเหรียญนี้ เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรมว่า ข้าพระพุทธเจ้ากำลังปฏิบัติธรรมเป็นทางตรงถูกต้องแล้ว ที่จะนำข้าพระพุทธเจ้าให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ดังที่พระพุทธเจ้าปรารถนา”

ทุกครั้งที่สวดมนต์ ก็ได้สวด
๑. คาถาอัญเชิญพระธาตุ
อัชชะตัคเค ปาณุเปตัง พุทธัง ธัมมัง สะระณังคะตา
สะมิมะหันตา ภินนะมุตตา จะ มัชฌิมา ภินนะตัณฑุลา
ขุททุกา สาสะปะมัตตา เอวัง ธาตุโย สัพพัฏฐาเน

๒. สวดบูชาพระธาตุ
อะหัง วันทามิ สาริกะธาตุโย
อะหัง วันทามิ ธาตุโย
อะหัง วันทามิ สัพพะโส

๓. คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า
อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ
อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติปิ

สวดคาถา ๓ อย่าง อย่างละ ๓ จบ ทุกวันหลังบูชาพระ

ปี พ.ศ.๒๕๓๓
วันสงกรานต์ ประมาณ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๓ ได้สรงน้ำพระทั้งหมดในห้องพระรวมทั้งพานบรรจุเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุลงมาสรงน้ำด้วย (สรงน้ำหอมนอกเจดีย์ ไม่ได้สรงตรงลงบนพระธาตุ) รวมทั้งผอบที่อธิษฐานขอพระธาตุ ซึ่งบรรจุเหรียญลงยารูปหลวงพ่อด้วย

ได้เปิดเจดีย์ทั้งสี่เจดีย์ที่เดิมมีพระธาตุเก่าบรรจุอยู่ และตลับเงินอีกใบซึ่งเป็นตลับเปล่า (แต่ไม่ได้อธิษฐานของพระธาตุ) ทุกๆ เจดีย์มีพระธาตุเพิ่มมากขึ้นทุกเจดีย์ และตลับเงินเปล่าก็มีพระธาตุเสด็จมามากพอสมควร และเห็นได้ชัดเจน

ส่วนผอบที่อธิษฐานจิตขอพระธาตุมีพระธาตุเสด็จมามาก อยู่ก้นผอบมาก และเสด็จเกาะติดข้างผอบ และฝาผอบเห็นได้ชัด
ลักษณะพระธาตุที่อธิษฐานจิตขอ จะเป็นพระธาตุชื้น ขยับผอบดูจะเห็นเกาะกลุ่มเป็นก้อนเพราะความชื้นและมีกลิ่นหอมคล้ายหยดน้ำมันจันทน์ลงในพระธาตุนั้น
ส่วนพระธาตุในเจดีย์ไม้จันทน์และตลับเงินจะมีลักษณะแห้ง ไม่เกาะกัน ร่อน และไม่มีกลิ่นหอม

การเปิดผอบพระธาตุที่อธิษฐานจิตขอ
ทุกครั้งที่เปิดผอบ พระธาตุที่อธิษฐานขอ จะมี
๑. จำนวนเพิ่มขึ้น
๒. มีกลิ่นหอม – เหมือนกลิ่นน้ำมันจันทน์
๓. มีความชื้น เกาะกลุ่ม ไม่แยกตัวเป็นองค์ นอกจากจะขยับผอบดูจึงจะแยกจากกัน
๔. มีหลายขนาด – องค์เล็กองค์ใหญ่ องค์ยาวเหมือนเมล็ดข้าวสาร
๕. มีหลายสี – สีขาว เหมือนไข่มุก สีอำพัน สีเทาเข้ม และบางองค์เป็นสีดำ

หมายเหตุ
๑. พระธาตุที่เสด็จมาตามคำอธิษฐานขอ เป็นพระธาตุที่เปียกชื้น กลิ่นหอมเหมือนชโลมหยดด้วยน้ำมันจันทน์ มีหลายสี หลายขนาด
๒. พระธาตุที่เสด็จมาเพิ่มในเจดีย์ไม้จันทน์ และตลับเงินซึ่งไม่ใช่จากการอธิษฐานจิตขอ จะมีลักษณะแห้ง ร่อน สีขาว ใส มัน เหมือนไข่มุก หรือสีนวลนิดๆ และสีไม่เปลี่ยน ไม่มีกลิ่นหอม และผิวพระธาตุมันคล้ายผิวไข่มุก
๓. พระธาตุเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดเจน
๔. เห็นแสงสีนวลเขียว ตอนดึกประมาณหลังเที่ยงคืน ตรงหิ้งพระชั้นที่บรรจุพานที่ประดิษฐานเจดีย์ และผอบพระธาตุที่อธิษฐานขอ ผู้เห็นคือหลานสาวซึ่งตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางตึก ต้องผ่านห้องพระ

ผู้เห็นเล่าให้ฟังตอนเช้าว่า เห็นแสงบนหิ้งพระชั้นบนสุด ซึ่งมีพระบูชาขนาด ๙ นิ้ว ๓ องค์ องค์หนึ่งในสามเป็นพระบูชา ภ.ป.ร. ผู้เห็นได้เข้าไปกราบและนั่งดูแสงนั้นแล้วจึงไปเข้าห้องน้ำ แต่ขากลับแสงเขียวนวลหายไปแล้ว เขาเข้าใจว่าเป็นแสงที่ออกจากพระบูชาทั้งสามองค์ ซึ่งตั้งติดกับพานพระธาตุ
แต่อันที่จริง คงเป็นแสงของพระธาตุมากกว่า

ความเห็นส่วนตัว (ของแพทย์หญิงวัชรี)
สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมอันควรแก่ธรรมที่ปฏิบัติ และปฏิบัติเพื่อดับกิเลส เพื่อความพ้นทุกข์ เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นทางที่ตรงแล้ว พระธาตุก็จะเสด็จปาฏิหาริย์มาเอง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้กราบไหว้บูชาสักการะ และเพื่อเป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ และเป็นการเพิ่มศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา เพิ่มกำลังใจในการปฏิบัติธรรมให้มากยิ่งขึ้นจากเดิม ทั้งยังเป็นศิริมงคลแก่ผู้ปฏิบัติอันเหมาะแก่ธรรมนั้นด้วย

และพระธาตุนี้เป็นเครื่องมือยืนยันผลการปฏิบัติธรรมว่า การปฏิบัติธรรมนั้นหากปฏิบัติจริง ผลที่ได้รับก็ย่อมเป็นจริง มีสิ่งยืนยัน จึงเป็นข้อสังวรสำหรับผู้บูชาและอัญเชิญพระธาตุ ควรจะระลึกนึกอยู่เสมอในจิตในใจด้วยความเคารพอย่างยิ่ง มิเช่นนั้น จะกลายเป็นการปรามาสไป

หางพลูหลวงพ่อเป็นพระธาตุ
หางพลูหลวงพ่อให้และเก็บตั้งแต่ประมาณหลังปี พ.ศ.๒๕๒๐ ที่ว่าประมาณหลังปี พ.ศ.๒๕๒๐ ก็เพราะว่าเก็บไว้ในซองเดียวกันกับวัตถุมงคลอีก ๓ อย่าง คือ
๑. หวายสาแหรกลูกนิมิตพระอุโบสถวัดท่าซุง (ซึ่งมีในหนังสือสมบัติพ่อให้ หน้า ๑๕๕)
๒. เหรียญรูปในหลวง ร.๙ สีเงิน ซึ่งเป็นเหรียญที่ระลึกโดยเสด็จพระราชกุศล งานผูกพัทธสีมา ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ (หนังสือสมบัติพ่อให้ หน้า ๗๖)
๓. พระนางพระยาเนื้อดินปางมารวิชัย สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๐ (หนังสือสมบัติพ่อให้ หน้า ๔๖)

ฉะนั้น จึงเข้าใจว่าหางพลูที่เป็นพระธาตุนี้ หลวงพ่อคงให้ราวๆ ปี พ.ศ.๒๕๒๐ หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย เพราะถ้าได้ห่างจาก พ.ศ.๒๕๒๐ นานๆ หลายปี คงจะไม่เก็บรวมกับวัตถุมงคลที่สร้างในปี พ.ศ.๒๕๒๐
ฉะนั้น หางพลูนี้ก็คงเก็บไว้ประมาณ ๑๕ ปี หรือน้อยกว่า ๑๕ ปีเล็กน้อย

หมายเหตุ
หมอวิสุทธิ์ ได้นำหางพลูที่เป็นพระธาตุนี้ถวายให้หลวงพ่อดู เมื่อวันวิสาขบูชาที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๕ หลังสะเดาะเคราะห์รอบแรก หลังท่านฉันเพลแล้ว ระหว่างที่หมอวิสุทธิ์ไปถวายการนวดเท้าให้ท่าน หลวงพ่อท่านเมตตาบอกหมอวิสุทธิ์ว่า หางพลูนี้ต้องเก็บอย่างต่ำ ๗ ปี จึงจะกลายเป็นพระธาตุ และท่านยังเรียก ดร.ปริญญา ดูด้วย

หมอวิสุทธิ์ยังได้เล่าให้ฟังว่า มีลูกศิษย์ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ อยากได้หางพลูหลวงพ่อ เพราะเคยได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อมาแล้ว แต่ไม่ได้เก็บเพราะกินไปหมดเพื่อเป็นยา พอได้จังหวะหมอวิสุทธิ์เลยกราบเรียนหลวงพ่อว่าผู้หญิงคนนั้นเขาอยากได้หางพลูหลวงพ่อ (คงจะเป็นขณะฉันหมาก) ท่านก็เมตตาให้หางพลูแก่ลูกศิษย์ผู้หญิงคนนั้น และบอกว่า เก็บไว้อีก ๑๐ ปีจึงจะกลายเป็นพระธาตุ

ได้พระทุ่งเศรษฐี เนื้อโลหะทอง
ขณะที่นั่งสวดมนต์ในห้องพระเวลาประมาณ ๖.๐๐ น. – ๗.๐๐ น. ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๓๕ เวลาสวดมนต์ ปกติมักจะหลับตา ขณะสวดมนต์เกือบจะจบ หูได้ยินเสียงคล้ายของแข็งหล่นจากข้างบนอากาศเหนือศีรษะ ลงกระทบพื้นดังแกร็ก สัมผัสเสียงได้แต่ไม่ได้ลืมตา และไม่ได้หยุดสวดมนต์

พอสวดมนต์เสร็จ ลืมตาขึ้น มีความรู้สึกว่ามีอะไรหล่นลงมาจากข้างบน มองรอบๆ ข้างก็ไม่พบอะไร จึงขยับหัวเข่าข้างซ้ายขึ้น ใช้มือคลำดูใต้เข่า จึงสัมผัสได้วัตถุเป็นเหล็กชิ้นหนึ่ง ครั้งแรกที่คลำได้และยกขึ้นดูไม่ได้นึกว่าเป็นพระ เพราะหยิบขึ้นมาเป็นด้นหลัง พอพลิกกลับอีกด้านก็เห็นรูปพระปางลีลา จึงรู้ทันทีขณะนั้นว่าเป็นพระทุ่งเศรษฐี

ความรู้ตอนที่แน่ใจว่าเป็นพระทุ่งเศรษฐีปางลีลานั้น รู้สึกปีติมาก น้ำตาไหล ตัวชาสั่นไปหมด เพราะอยู่ๆ พระทุ่งเศรษฐีก็ปาฏิหาริย์หล่นลงมาจากอากาศมาให้ โดยที่ไม่ได้อธิษฐานขอเลย

เพราะความที่ไม่ได้อธิษฐานขอพระหรือขอเครื่องรางต่างๆ เลยในชีวิต แล้วจู่ๆ เวลานั่งสวดมนต์ก็ได้พระที่ถูกส่งมาให้โดยปาฏิหาริย์ ก็เลยคิดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทวดาฟ้าดินคงจะเห็นที่เราทำความดีต่างๆ ทั้งทางโลก ทางธรรม ทั้งกำลังกาย กำลังใจ และกำลังทรัพย์ เท่าที่จะทำได้ตามฐานะกระมัง ท่านจึงให้เป็นรางวัลแก่เรา
ในใจยังคิดต่อไปอีกว่า หรือ “ท่าน” จะได้ยินคำอธิษฐานทุกครั้งที่สวดมนต์เสร็จทุกครั้งว่า

“ขอให้ข้าพเจ้ามีร่างกายแข็งแรง ปราศจากทุกข์ทรมานจากขันธ์ ๕ เพื่อที่จะได้มีพลังกายที่แข็งแรง พลังใจที่เข้มแข็ง ในอันที่จะประกอบภารกิจทางการแพทย์ทางพระศาสนา เพื่อสังคมส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์สืบต่อไป และขอให้มีกำลังใจเข้มแข็งเพื่อปฏิบัติจิต ดับกิเลสโดยสิ้นเชิง ดับทุกข์โดยสิ้นเชิง เพื่อพระนิพพานในชาติปัจจุบัน”

ปัจจุบันบางครั้ง เมื่อภารกิจทางสังคมประดังเข้ามาไม่ว่าทั้งทางโลกทางธรรม ทำให้คิดว่านี่เป็นเพราะแรงอธิษฐานของตัวเองหรือเปล่า หรือว่านี่คือข้อสอบที่ทำเพื่อให้เราสอบผ่านเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

หมายเหตุ
เมื่อวันวิสาขบูชาที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๕ หลังสะเดาะเคราะห์รอบแรก หลังหลวงพ่อฉันเพลแล้ว หมอวิสุทธิ์ได้เอาพระทุ่งเศรษฐีองค์นี้ถวายให้หลวงพ่อดู และเล่าให้ท่านฟังว่า หล่นลงมาจากอากาศ ขณะที่นั่งสวดมนต์
หลวงพ่อดูแล้วบอกว่า “พระ” ท่านให้

หมอวิสุทธิ์กราบถามหลวงพ่อว่า ใช่พระทุ่งเศรษฐีรุ่นแรกของหลวงพ่อใช่หรือเปล่า
หลวงพ่อตอบหมอวิสุทธิ์ว่า “ใช่”

◄ll กลับสู่สารบัญ


23

เวรกรรมมีจริง


จ.ส.อ.ณรงค์ ระวีวรรณ


...เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นมานี้ เป็นเรื่องจริงทั้งหมดซึ่งได้เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าและครอบครัว ทั้งตัวพยานบุคคลและพยานหลักฐาน ปัจจุบันนี้ยังมีอยู่ครบถ้วน ถ้าผู้อ่านคนใดสงสัย ติดต่อสอบถามโดยตรงกับข้าพเจ้าได้ตลอดเวลา

...ข้าพเจ้าเป็นคนจังหวัดอุตรดิตถ์โดยกำเนิด ตอนเล็กไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ จนจบ ม.๖ (เดิม) ที่โรงเรียนโยธินบูรณะ เมื่อต้นปี ๒๕๐๒ เข้าเป็นนักเรียนนายสิบเหล่าทหารม้า เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๓ และจบเป็นสิบตรี เมื่อปี ๒๕๐๔ รับราชการอยู่ที่จังหวัดสระบุรีเรื่อยมา ชีวิตในการเป็นทหารนั้นลุ่มๆ ดอนๆ จนถึงปี ๒๕๑๒ ข้าพเจ้าได้สมัครไปรบที่เวียดนาม ในรุ่นกองพลเสือดำ ผลัดที่ ๒ ส่วนที่ ๑ เดินทางเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๑๒

ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสนามรบ ได้เห็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย ส่วนมากเป็นกรรมชั่วที่สร้างกันขึ้นมา เช่น ฆ่าสัตว์โดยคะนองมือ ไม่กลัวบาปกรรม โดยการยิงเก้งที่หน้าผากด้วยปืนเอ็ม.๑๖ จนตาย ผลกรรมอันนั้น เมื่อผู้ยิงเข้าปะทะกับพวกเวียตกง โดนกระสุนปืนอาร์ก้าของเวียตกงเจาะหมวกเหล็กที่สวมหัวอยู่ ทะลุเข้าหน้าผากจนตายเหมือนกัน (ผู้อ่านลองพิจารณาดูเอาเองว่าผลของกรรมมีจริงหรือไม่)

ส่วนอีกคนหนึ่ง ก่อนออกเดินทางไปเวียตนามประมาณ ๑ สัปดาห์ หลังจากที่รับเงินสี่พันบาทมา ซึ่งทางราชการจ่ายให้เป็นค่าเครื่องแต่งกาย ได้ชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงตั้งวงดื่มเหล้าที่ร้านค้า ซึ่งอยู่ติดกับวัด เมื่อร่ำสุราจนเมามายได้ที่ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

ขณะที่เดินผ่านวัดไปถึงเมรุผาศพ ได้ตรงเข้าทำลายอิฐซึ่งวางเรียงขึ้นมาเป็นกองสองข้างสำหรับตั้งหีบศพตอนเผา (เมรุรุ่นเก่าที่มีเสาสูงสี่เสามีหลังคาอยู่ด้านบน) จนชำรุด จากผลของการกระทำวันนั้นเมื่อไปรบเวียตนาม จึงโดนกับระเบิดตาย ศพถูกกลับมาเมืองไทย และมาเผาที่วัดซึ่งตัวเองทำลายเมรุนั้น (ขอให้ท่านพิจารณากันเอาเองว่าเป็นเพราะกรรมอันใด)

หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับมาจากการรบที่เวียตนาม อยู่สระบุรีเรื่อยมา จนถึงปี พ.ศ.๒๕๒๐ ก็ย้ายไปรับราชการที่ ม.๒ จังหวัดอุตรดิตถ์ จนกระทั่งกลางปี ๒๕๒๔ ก็ได้พบกับหลวงพ่อฤาษี ซึ่งไปโปรดญาติโยมที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และพักอยู่ที่เรือนรับรองของค่ายพระยาพิชัยดาบหัก ข้าพเจ้าตอนนั้นยังไม่เคยรู้จักหลวงพ่อเลย ว่ารูปร่างหน้าตาท่านเป็นอย่างไร ก็ไปหาท่านพร้อมกับเพื่อนทหารหลายคน หลวงพ่อได้แจกพระเนื้อดิน ซึ่งเป็นพิมพ์พระรอดกับพวกทหาร

ขณะที่ท่านคุยสอนธรรมะกับทหารและญาติโยมอยู่นั้น หลวงพ่อได้หยิบพลูม้วนขึ้นมา ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่าหลวงพ่อกินหมาก
จึงได้เอ่ยกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ผมขอชานหมากหลวงพ่อด้วย”
ซึ่งขณะนั้นตัวข้าพเจ้าอยู่ห่างหลวงพ่อประมาณ ๕ เมตร หลวงพ่อหันหน้ามามองลอดแว่นตาจ้องหน้าข้าพเจ้าเขม็ง
แล้วถามข้าพเจ้าว่า “เอาไปทำไมวะ”

ข้าพเจ้าตอบว่า “เอาไว้ป้องกันตัว เพราะกำลังจะขึ้นชายแดนที่จังหวัดน่านครับ”
หลวงพ่อก็หันหน้าไปทางอื่น สักพักใหญ่ก็ยกพลูขึ้นกัด แล้วโยนพลูที่เหลือมาให้ข้าพเจ้า
พร้อมกับพูดว่า “เอ้า เอาไปไอ้หนู”
แล้วข้าพเจ้ากับเพื่อนทหารก็ลาท่านกลับบ้านพักในค่ายพร้อมกับหางพลู (ซึ่งข้าพเจ้าได้เก็บห่อผ้าขาวไว้บูชาจนถึงปัจจุบันนี้)

ข้าพเจ้าได้ถวายเงินกับหลวงพ่อ ๗๐๐ บาท สั่งซื้อหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ไตรภูมิพระร่วง กรรมฐาน ๔๐ พร้อมกับเทปฝึกมโนมยิทธิ ซึ่งตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนคนตาบอดคลำช้าง ทั้งเทปและหนังสือ มีคนแนะนำให้สั่งซื้อตามนั้น และให้ท่านส่งไปให้ข้าพเจ้าทางไปรษณีย์

พอเดือนตุลาคม ๒๕๒๔ ข้าพเจ้าก็ขึ้นราชการชายแดนที่จังหวัดน่าน ได้นำเทปและหนังสือของหลวงพ่อไปฟังและอ่านทำความเข้าใจเรื่อยมา จนถึงปลายปี ๒๕๒๕ ข้าพเจ้าก็กลับจากราชการชายแดนลงมาอยู่ที่อุตรดิตถ์ และฝึกกรรมฐานตามหนังสือ ยืน เดิน นั่ง นอน จนถึงจุดหนึ่ง ภรรยาของข้าพเจ้าหาว่าข้าพเจ้านี้บ้า (อ้อ! ลืมบอกไปว่าข้าพเจ้าแต่งงานแล้วเมื่อต้นปี ๒๕๑๔ และมีบุตรชาย ๓ คน)

คนที่รู้จักกันทักทายด้วยก็ไม่พูดไม่จา ข้าพเจ้าตอบว่าไม่รู้ ซึ่งอารมณ์ตอนนั้นบอกไม่ถูก มันเบลอๆ ร่างการเบาโหวงคล้ายกับจะลอย จะว่าอดนอนก็ไม่เชิง จิตมันดิ่งลึกมีแต่ความสุขอย่างประหลาด ดูคล้ายกับจิตเป็นโพลงๆ ตอนกลางคืนเวลาดึกๆ ก็ไม่ง่วงนอน หลับตาลงมองเห็นหมด ไม่ว่าของอะไรอยู่ที่ไหนเดินไปได้ ไม่มีการชนเลย หูได้ยินเสียงปี่พาทย์มโหรีลอยมาตามลม

นึกอยากเห็นเทวดาก็มีวิมานลอยมาให้เห็น อยากเห็นสวรรค์ชั้นไหนก็ได้เห็น ใครพูดอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่หูได้ยินหมด เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณเกือบ ๗ วันก็มีเพื่อนทางธรรมะคนหนึ่ง ชวนไปหาลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษี ซึ่งบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ได้ขึ้นมาเยี่ยมคุณแม่ที่พักอยู่บ้านทางสถานีรถไฟศิลาอาสน์ โดยที่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้จักเห็นหน้าเห็นตากันมาก่อน


webmaster - 19/2/11 at 17:42

พอพบหน้ากับข้าพเจ้าเห็นดวงจิตของพี่ทั้งสองสว่างขาวนวลเหมือนแสงนีออนอยู่ในอก และได้คุยธรรมะกันเรื่องต่างๆ พร้อมกับแนะนำตัวพี่ทั้งสองซึ่งเป็นฝาแฝดคนโตให้เรียกพี่ชอ คนน้องให้เรียกพี่เชิญ คุยกันอยู่จนดึกจึงได้ลากลับ

รุ่งขึ้นไปหาพี่ทั้งสองอีก พี่เชิญก็เล่าเรื่องต่างๆ พร้อมกับเปิดวิทยุฟังเพลง คุยกันเรื่องกิเลสทางโลก ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ามีอารมณ์เกิดชอบทางกิเลส ทำให้จิตถอนตัวออกมาจากความเป็นภวังค์ ซึ่งข้าพเจ้ามารู้ทีหลังว่า ที่พี่เชิญทำเช่นนั้นเพราะข้าพเจ้าฌานค้าง จึงเอากิเลสเข้าล่อเพื่อให้จิตคลายตัว (เรื่อตอนนี้เคยลงในหนังสือชาโดว์มาแล้ว) จากวันนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าทำฌานไม่ค่อยได้อีกเลย

พอเข้ากลางปี พ.ศ.๒๕๒๗ ข้าพเจ้าเริ่มเลี้ยงหมู มีทั้งพ่อหมูและแม่หมู่ เพาะลูกหมูเองประมาณ ๔๐ ตัว ข้าพเจ้าเอาไม้ไผ่ผ่าซีกมาล้อมรั้วเป็นรั้วใหญ่อีกชั้นหนึ่ง แล้วซื้อลูกเป็ดตัวผู้มาอีก ๑,๐๐๐ ตัว โดยเลี้ยงปนอยู่กับหมูรอบนอก ส่วนหมูอยู่ในคอก เป็ดหากินอยู่ด้านนอก โดยมีรั้วไม้ไผ่ล้อมรอบอย่างหนาแน่น มีบ่อให้เป็ดลงเล่นน้ำ

อยู่มาคืนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นวันลอยกระทง ข้าพเจ้าได้เดินเข้าไปดูลูกหมูซึ่งแม่หมูคลอดลูกใหม่ ข้าพเจ้าเดินสำรวจดูรอบๆ คอกหมู เอ๊ะ! แปลกใจ อะไรสีดำสลับน้ำตาล วางยาวเหมือนท่อนไม้อยู่ข้างคอกหมู ซึ่งตอนนั้นประมาณ ๒ ทุ่มเห็นจะได้ พระจันทร์เต็มดวงสาดลงมาที่พื้น

พอเห็นได้ลางๆ ก็เอาไฟฉายห้าท่อนส่องดู สะดุ้งตกใจหมด งูเหลือมตัวขนาดน่องผู้ใหญ่ ยาวประมาณ ๒ วา นอนพาดตามยาวอยู่ (มันคงได้กลิ่นสาบเป็ดจึงลงมาจากภูเขาข้างบ้านพักเพื่อจะมากินเป็ด) ข้าพเจ้าจึงเอะอะโวยวายเรียกคนมาช่วยกันจับงูใส่กระสอบ เพื่อให้เอาไปปล่อยที่อื่น

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เป็ดซึ่งมุดหัวเข้าไปกินอาหารในรางข้าวของหมู ถูกหมูกัดตายวันละหลายสิบตัวเรื่อยมา บางตัวหัวขาด บางตัวขาขาด แบบนี้อยู่เป็นประจำ ขายหมูก็ขาดทุน ช่วงนั้นราคาหมูเป็ดตก กก.ละ ๑๓ – ๑๔ บาท เท่านั้น ฆ่าหมูชำแหละเนื้อขาย ๔ กิโล ๑๐๐ บาท พวกยังเมินหน้าเพราะกินหมูราคาถูกกันจนเอียน

เหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับข้าพเจ้า เป็ดซึ่งเหลืออยู่ประมาณเกือบครึ่ง ถูกหมาซึ่งอาศัยอยู่บนภูเขา แหกคอกไม้ไผ่ลงมากินเป็ดอีก มันกินแปลกมาก ตัวไม่กิน แหวะอกควักกินแต่เครื่องใน มันฆ่าเป็ดอยู่อย่างนี้เป็นประจำวันละหลายสิบตัว ข้าพเจ้าต้องเอาซากเป็ดไปแจกทหารกินทุกวัน มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง เป็ดเล้าอื่นเลี้ยงกันเยอะแยะ เล่นน้ำร้องก๊าบๆ อยู่มันก็ไม่สนใจ จำเพาะต้องแหกรั้วของข้าพเจ้าเข้ามากินเป็ดในรั้ว

จนทนไม่ไหวคว้าปืนไล่ยิงหมาตายไป ๒ ตัว มันจองเวรกับข้าพเจ้าจนฝูงเป็ดบางตาลง พอจับเป็ดขายปรากฏว่าเหลือแค่ ๙๗ ตัว เหลือเชื่อจริงๆ ข้าพเจ้าขาดทุนจากการเลี้ยงหมูและเป็ดหมดไปแสนกว่า (พยานหลักฐานและพยานบุคคลยังมีอยู่ให้สอบถามได้)

จากการเลี้ยงสัตว์ตัดชีวิตคราวนั้น ทำให้ข้าพเจ้าองตกระกำลำบาก เป็นหนี้เป็นสินมากมาย มุ่งหน้าเข้าวัดทำบุญทำทาน ถือศีล ๕ ตั้งสัจจะตลอดชีวิต อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรตลอดมาทำบาปไม่ได้ ข้าพเจ้าตั้งหน้าตั้งตาฝึกมโนมยิทธิ จนถึงปี พ.ศ.๒๕๓๐ ลูกชายคนโตก็สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้

ข้าพเจ้าได้ย้ายมาอยู่ที ม.พัน ๒๖ เพชรบูรณ์ ตอนต้นปี ๒๕๓๔ พอต้นปี ๒๕๓๕ ลูกชายคนกลางก็สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้อีก ขอให้ผู้อ่านลองพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกันว่า ผลของบาป ผลของบุญมีจริงหรือไม่ ตามที่ข้าพเจ้าได้ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ มาด้วยตนเอง

ธรรมะของพระพุทธองค์เป็นสิ่งที่เราชาวพุทธควรหวงแหน ควรปฏิบัติตาม ซึ่งสามารถพิสูจน์กันได้เมื่อบุคคลผู้นั้นปฏิบัติจริง กฎแห่งกรรมมีจริงหรือไม่ขอให้ท่านผู้อ่านจงพิจารณากันเอาเอง

แต่ข้าพเจ้าคนหนึ่งล่ะที่เชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีจริง ผลบาปผลบุญมีจริง ซึ่งข้าพเจ้ายังต้องปฏิบัติต่อไป เพื่อตามรอยพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีที่พร่ำสอนพวกเรา อย่าหลงมัวเมาในกิเลส อย่ายึดติดในขันธ์ ๕ การเกิด การแก่ การเจ็บ เป็นของไม่เที่ยง แต่การตายเป็นของเที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นอนัตตา จงตั้งจิตมุ่งหน้าเข้าหานิพพาน

เรื่องทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ประสบมา ถ้าส่วนไหนเป็นคุณความดีแก่ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอมอบคุณความดีอันนั้นให้กับพวกท่านทั้งหมด ข้าพเจ้าขอขมาโทษต่อพี่ชอและพี่เชิญด้วย ที่ได้กล่าวอ้างอิงถึงชื่อของพี่ทั้งสองในเรื่องนี้ ถ้าส่วนไหนเป็นความผิดพลาดข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

◄ll กลับสู่สารบัญ


24

อารมณ์จิตของลูก


วัฒนา ชีรานนท์


...พุทธังชีวิตังยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ
...ธัมมังชีวิตังยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ
...สังฆังชีวิตังยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ

...ลูกขอเทิดทูนบูชา คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า พระคุณหลวงปู่ปาน พระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) และเทวดา พรหม พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ที่ได้โปรดเมตตากรุณาต่อลูก พระคุณของท่านจารึกอยู่ทุกขณะจิต ลมหายใจเข้า – ออกของลูก

...เป็นบุญของลูกอย่างล้ำเหลือ ที่ลูกได้มีบุญมากราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ในวันอาทิตย์ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๒ ผู้คนที่มากราบหลวงพ่อ มากจนแทบจะหาที่นั่งไม่ได้ ลูกได้ที่นั่งด้านนอก แต่ลูกก็มองเห็นหลวงพ่อ และในวันนั้นลูกนั่งสมาธิที่นั่น ลูกมีความรู้สึกว่า หลวงพ่อมองลูกด้วยความเมตตา ลูกมองหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา

...ในขณะที่ทุกคนหลับตา ลูกลืมตา ลูกมองเห็นแสงระยิบระยับอยู่รอบๆ หลวงพ่อ ลูกมองอย่างเพลิดเพลิน ลูกแปลกใจอยู่ครามครันแต่ไม่กล้าถามใคร ลูกมีความรู้สึกว่าใจลูกเย็นสงบสดชื่น อิ่มเอมกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ก่อนที่จะมากราบหลวงพ่อ ลูกก็นั่งสมาธิเองบ้างอยู่ที่บ้าน การได้มากราบหลวงพ่อครั้งนี้ น้องเฉลิมชัย บุญเสรี เป็นคนอนุเคราะห์พาลูกมา และหลังจากนั้นมา น้องเฉลิมชัยได้เอาหนังสือประวัติหลวงปู่ปานมาให้ลูกยืมอ่าน ลูกมีความรู้สึกรักและเคารพท่านมาก อยากเห็นท่าน และมีความตั้งใจมากที่จะปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ

ลูกจำคำหลวงพ่อขึ้นใจอยู่คำหนึ่งว่า
“ให้ตัดขันธ์ห้า คือร่างกาย”
ลูกก็ค้านอยู่ในใจว่า “หลวงพ่อขา ลูกรักมันเหลือเกิน ลูกจะตัดมันได้อย่างไรกันเจ้าคะ ให้ลูกถือศีลห้าลูกก็พอทำได้ ให้บำเพ็ญทาน ลูกก็ทำได้ ให้ระลึกถึงคุณเทวดา ลูกก็ทำได้ เพราะลูกรักเทวดา ให้ลูกตัดร่างกาย ลูกคงทำไม่ได้ ลูกจะทำอย่างไรดีหนอ มันยากจังเลยเจ้าค่ะ”

ลูกก็พยายามที่จะปฏิบัติ เพราะลูกอยากเห็นเทวดา อยากเห็นพระพุทธเจ้า ยืนลูกก็ท่องพุทโธ เดินลูกก็ท่องพุทโธ นั่งลูกก็ท่องพุทโธ นอนลูกก็ท่องพุทโธ ลูกก็ยังไม่เห็นพระพุทธเจ้าสักที ลูกก็อ้อนวอนขอหลวงพ่อ หลวงปู่ปาน ขอเทวดา ขอพระพุทธเจ้า ให้ลูกเห็นพระพุทธองค์สักครั้งเถิด ขอทุกวันแต่ก็เงียบเชียบเหมือนเดิม

จนกระทั่งมาถึงวันมาฆบูชา ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ ลูกสวดมนต์ไหว้พระเสร็จก็นั่งสมาธิ เวลาที่นั่ง ๓ ทุ่มเศษๆ จะนานเท่าไหร่ลูกไม่ได้คำนึงถึง ลูกมีความรู้สึกว่า ลมหายใจลูกไม่มี ร่างกายลูกเบา ลอยได้ และเย็นโปร่ง สบาย
“เอ๊ะ! กายลูกอยู่ไหน ลูกตายแล้วกระมัง?”
“เอ๊ะ! นั่น ลูกอยู่ตรงนั้น”
“แล้วนี่ก็ลูก...ลูกตกใจมาก...สะดุ้ง”
พอสะดุ้ง ลูกก็อยู่ในที่นั่งเดิม “ลูกกลัว”

ตั้งสติได้ ลุกมาเปิดไฟฟ้า ลูกตั้งใจใหม่ ไม่หลับตา มองรูปพระพุทธชินราชที่ติดไว้ด้านหัวนอนหลังหิ้งพระ มองท่านแล้วก็หลับตาแล้วก็มองท่าน

ลูกมองอยู่อย่างนั้นไม่เบื่อ ท่านสง่างามเหลือเกิน จิตลูกนิ่งดื่มด่ำเยือกเย็น และแล้วไฟฟ้านีออนในห้องค่อยๆ มืดลงอย่างช้าๆ มีแสงเย็น นวลละอองสว่างไสวทั่วห้องไปหมด ลูกไม่เคยเห็นแสงอะไรในชีวิตที่เย็นยะเยือกสวยจับใจขนาดนี้ มีรัศมีพุ่งออกมาจากรูปของพระพุทธชินราชเหมือนท่านยิ้มแย้ม

ลูกหยิกแขนตัวเองว่า
“ลูกเป็นอะไร นั่งหลับฝันอะไรหรือเปล่าคะ ลูกไม่ได้หลับเลย ลูกหยิกตัวเองยังเจ็บอยู่ ตาลูกก็จ้องมองไม่ละสายตา”
เสียงดังออกมาจากใจลูกว่า “อ้อนวอนขอทุกวันเมื่อสิ่งประเสริฐนั้นเกิดขึ้นแล้ว จงนมัสการกราบพระบาทเดี๋ยวนี้เถิด”

ลูกก้มลงกราบโดยที่กายไม่ได้เคลื่อนไหว หลวงพ่อมา หลวงปู่มา ลูกทำได้แล้ว ท่านมาโปรดลูกแล้ว ดวงแก้วของลูก สิ่งที่ลูกปรารถนาในชีวิตลูก ลูกอยากเห็นพระพุทธเจ้า ภาพที่ปรากฏกายส่วนครึ่งองค์ของท่านสง่างามเหลือเกิน จิตของลูกหยุดนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระองค์ท่าน

ภาพที่สวยสง่างดงามหาที่ติไม่ได้ ลูกมองอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานเท่าไหร่ ลูกไม่คำนึงถึง แสงสว่างค่อยๆ จางหายไป พร้อมภาพพระพุทธองค์จางหายไปรูปพระพุทธชินราช ไฟฟ้าในห้องไม่ได้ดับหรอก แต่เป็นรัศมีกายของพระองค์ท่านที่ปิดแสงไฟฟ้าให้กลายเป็นริบหรี่ลงไป ลูกคงจะไม่มีวันลืมคืนนี้ อันเป็นมงคลสูงสุดในชีวิตของลูก ความอิ่มอกอิ่มใจ ลูกไม่ได้หลับ นั่งสมาธิตลอดจนถึงเวลา ตี ๕ ครึ่ง จึงเตรียมสำรับไปใส่บาตร

และจากวันนั้นเป็นต้นมา ลูกจะมีความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งบางครั้งจะได้ยินเสียงสวดมนต์แต่ก็ไม่ทราบว่าดังมาจากไหน แต่พอตั้งใจฟัง เสียงนั้นก็หายไป จะเป็นอย่างนี้อยู่ประจำและหลังจากวันนั้น ลูกก็นั่งสมาธิ ก็อยากจะเห็นเหมือนเดิม แต่ก็ไม่เห็นอีก จะมีก็เฉพาะกระแสแห่งความเย็นและความสงบ

และต่อมาอีก ๑ อาทิตย์ ลูกตั้งจิตอธิษฐานขอให้หลวงพ่อ หลวงปู่ พระพุทธองค์ช่วย ลูกอยากเห็นพ่อของลูกที่ตายไปแล้วว่าท่านอยู่ที่ไหน? มีความสุขอยู่หรือเปล่าหนอ? เวลาประมาณ ๒๓.๐๐ น. ลูกสวดมนต์เสร็จ นั่งสมาธิจิตชุ่มชื่นเบิกบานเหมือนกับมีใครบอกว่า “ให้มองรูปหลวงปู่ปาน”

ลูกลืมตา และมองไปที่รูปหลวงปู่ที่ติดไว้บูชา รูปหลวงปู่เคลื่อนไหวได้
หลวงปู่ยิ้มให้และมีเสียงบอกว่า “พ่อเจ้า สบายดี”
มีแสงระยับที่รูปหลวงปู่ และค่อยๆ กลายเป็นกายเนื้อคุณพ่อของลูกที่ตายไปแล้ว มองเห็นเกือบไม่แจ่มชัดเจน มีความรู้สึกที่บอกลูกว่า

“หลวงปู่ปานพาพ่อมาอย่างที่ลูกขอ ประมาณ ๕ นาที ภาพของคุณพ่อค่อยๆ เลือนหายไป ลูกดีใจมาก เพราะสิ่งที่ลูกขอ หลวงปู่ดลบันดาลให้ลูกได้สมหวัง”
และหลังจากนั้น ลูกก็เฝ้าแต่คิดอยากจะให้พระพุทธองค์เสด็จมาโปรด ท่านก็ไม่มา ลูกจะทำยังไงดี ตัดสินใจปรึกษาน้องเฉลิมชัย เพราะวันแรกที่พระพุทธองค์ท่านเสด็จมาโปรดได้เล่าคร่าวๆ ให้น้องเฉลิมชัยฟัง

เขาแนะนำว่า “หลวงพ่อมีลูกศิษย์สอนให้ที่บ้านซอยสายลม (ที่กรุงเทพฯ) นี่แหละ เสาร์ อาทิตย์ ให้พี่มานะ”
พออาทิตย์ต้นเดือนต่อมา ลูกเตรียมดอกไม้เจ็ดสี ธูป เงิน ๑ สลึง และขึ้นไปฝึกช่วงบ่าย ชั้นสอง ครูผู้ฝึกสอนให้ลูกกำหนด นะ มะ พะ ธะ และลูกก็ทำตาม ประมาณ ๒๐ นาที ครูก็สอนให้ลูกพิจารณาทุกข์ การมีสิ่งไหนเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น และสอนให้ลูกตัดขันธ์ห้าอีกแล้ว ซึ่งลูกรักมันมาก พอบอกให้ตัดขันธ์ห้าลูกอึดอัด

เสียงหลวงพ่อดังขึ้นมาว่า “ทำตามครูสอนเดี๋ยวนี้ ความหิวทำให้ทุกข์มั้ย ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์มั้ย มีเวทนามั้ย ของง่ายๆ ความจริงแท้ๆ ต้องยอมรับสิ”
หลวงพ่อนั่งข้างล่าง แต่ท่านทำมั้ยดังอยู่ข้างๆ ลูก ในตอนนั้นลูกกลัวหลวงพ่อมาก “ใช้หลักความจริงสิลูก ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา”

ตอนนั้น ลูกทั้งร้อนทั้งหนาวในขณะเดียวกัน พิจารณาลงไปเดี๋ยวนี้และลูกก็เห็นความจริง ลูกไม่ตัดหรอกนะ จริงๆ ดื้อด้าน แต่เห็นจริงตามนั้น และก็วางเฉยในร่างกาย เอาจิตตามครูท่านไป และหลวงพ่อก็คงเมตตาลูกมาก ดุแล้วก็ยังพาลูกไปกราบพระจุฬามณี ไปกราบท้าวมหาราช ไปกราบท่านแม่ศรี ไปกราบท่านปู่พระอินทร์ และไปพระนิพพาน กราบองค์สมเด็จพระพุทธองค์

ครั้งนี้ต่างกับครั้งที่ท่านเสด็จมาโปรดลูก เพราะครั้งนี้หลวงพ่อพาไปเห็นกายละเอียดของพระพุทธองค์เป็นเพชรวูบวาบไปหมด สวยสง่างาม แดนนิพพานนี้มีแต่ความสงบสุข การไม่มีร่างกายเบาหวิวลอยละลิ่วไปเที่ยวที่ไหนก็สบาย ลูกจะต้องมาอยู่ให้ได้ค่ะ

เมื่อได้เรียนรู้พฤติกรรมของจิตอันเปรียบได้กับกายละเอียดของเรา ทำให้ลูกเกิดปัญญาพิจารณาลงไปอย่าถ่องแท้ถึงการเคลื่อนไหวของจิต การกระทบกับความสุขเกิดอารมณ์อะไร การกระทบอารมณ์ความทุกข์เกิดอาการยังไง ธรรมชาติของจิตลูกนั้น ต้องการแต่สิ่งที่ถูกใจค่ะ พอสิ่งที่ไม่ถูกใจเข้ามากระทบจะไม่เอา ไม่ยอมรับดื้อด้าน ซึ่งมันเป็นการฝืนธรรมชาติของมนุษย์โลกเขา ในเมื่อไม่ยอมรับความทุกข์จะหนักขึ้น อึดอัดคับแค้นใจไปหมด

ทำไมหนอลูกจึงโง่อย่างนี้ ลูกพยายามหาเหตุผลมาหว่านล้อมกล่อมเกลาจิตที่ดื้อด้านของลูกว่า
“เราเกิดมาเป็นคนเราหนีไม่พ้นหรอก ความสุขเปรียบได้กับกลางวัน ความทุกข์เปรียบได้กับกลางคืนนั้นคู่กัน จะเอาแต่กลางวันได้อย่างไรกันเล่า เจ้าตัวร้ายเอ๋ย ถ้าอยากถึงนิพพานหลวงพ่อให้ปล่อยวาง ให้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา”

มีเสียงดังจากที่ใดไม่ทราบค่ะ “เออแน่ มันไม่ใช่จะหัวขี้เลื่อยหรอกนะ มันมีปัญญา”
“อย่าพูดๆ เดี๋ยวมันจะอวดดี” มีเสียงพูดห้ามขึ้นมา
พอลูกตั้งใจจะฟัง เสียงนั้นก็หายไป

พอตกดึกประมาณตี ๔ ลูกผันเห็นหลวงปู่ปานท่านมา และบอกลูกว่า “เออ ตั้งใจทำดีๆ ทำให้แจ้ง แทงให้ตลอด รู้จักสุข และรู้จักทุกข์ รู้จักละ รู้จักตัด รู้จักปล่อยวาง นิพพานปัจจุบันมีจริง รู้ได้ ถึงได้ หลวงพ่อเอ็งเขาสอนให้อธิษฐาน ขอให้ถึงนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด ปัจจุบันคือทุกลมหายใจเข้า หายใจออก ปัจจุบันของเอ็งคือตอนจะตายใช่ไหม? เข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องนะลูกนะ”

“ใช่ค่ะ หลวงปู่ ลูกเข้าใจว่าหลวงพ่อสอนให้ลูกไปนิพพานตอนจะหมดลมหายใจ”
“ข้าว่าแล้วไหมล่ะ มันต้องคิดแบบนั้น”
“แล้วหลวงปู่จะให้ลูกเข้าใจว่าอย่างไรคะ”

“นิพพานในปัจจุบันคือ อารมณ์ที่เป็นสุข ปราศจากความกังวล ความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อารมณ์ที่เป็นกลาง ไม่ติดกับเห็นความสุขจีรังยั่งยืน และไม่หม่นหมองเมื่อความทุกข์เกิดขึ้น เพราะไม่มีใครในโลกหนีพ้นความทุกข์ได้เลย อันได้แก่ การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ รึว่าเอ็งจะหนีพ้นมันได้?”

“หนีไม่ได้ค่ะ หลวงปู่”
“เออ เอ็งต้องยอมรับกฎเกณฑ์ของเขา และยอมรับความจริง”
ลูกตื่นเพราะนาฬิกาที่ตั้งปลุกเอาไว้ เหมือนกับลูกไม่ได้ฝัน เหมือนได้ยินกับหูจริงๆ ค่ะ

ในกลางเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.๒๕๒๓ สามีของลูก ถูกเรียกตัวไปฝึกซ้อม ร.ด. (รักษาดินแดน) แถวๆ สระบุรี ลูกก็รู้สึกเป็นห่วงมาก นอนไม่ค่อยจะหลับ แม้จะนั่งสมาธิจนดึกแล้ว ก็ยังนอนไม่หลับ ก็ลุกปั๊บ นั่งมองรูปภาพพระพุทธชินราช จิตนิ่งสงบมีเสียงดังกังวานยังกับว่าออกมาจากพระโอษฐ์ของท่านว่า

“ลูกเอ๋ย จากกันตอนนี้ รึจากกันตอนไหนๆ ก็มีค่าเท่ากัน ทุกคนพบกันก็เพื่อจากกัน ไม่จากกันตอนเป็น ก็จากกันตอนตาย นี่คือสัจธรรม จะต้องทราบ ต้องกังวลทำไมอีก จงทำใจให้พร้อมที่จะรับมันได้ในการพลัดพรากจากกัน”

“ใช่เจ้าค่ะ ตอนลูกจากบ้านมาทำงานที่กรุงเทพฯ ตอนแรกๆ ลูกคิดถึงคุณแม่ – คุณพ่อใจแทบขาด บางวันก็นอนร้องไห้ แต่พอเกิดความเคยชินในการคิดพิจารณาว่าเราโตแล้ว ต้องต่อสู้ทำมาหากิน เลี้ยงตัวเอง และตอบแทนพระคุณท่านที่เลี้ยงเรามา ลูกเกิดความเคยชินกับการพลัดพรากจากอกพ่อแม่ และพลัดพรากจากสามี แค่ ๑ เดือน ทำไมลูกจะทำไม่ได้ ลูกจะต้องทำใจได้แน่”
ไม่ยากเท่าไหร่เลย กำลังใจแข็งแกร่งขึ้นมาทันที และลูกไม่ทุกข์ใจกับเรื่องนี้อีกเลยค่ะ

เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีใครหนีพ้นเลย นี่เป็นเรื่องปกติของคนที่เกิดมาในโลกนี้ ให้เราทำใจยอมรับ เราจะไม่ทุกข์ใจ ลูกอยากให้ทุกๆ คนรู้ให้แจ้ง รู้ให้จริงตามที่หลวงพ่อสอนค่ะ เราจะได้ไม่กังวล

และในเดือนธันวาคม ๒๕๒๓ อากาศในกรุงเทพฯ เย็นพอสมควร หลังจากสวดมนต์นั่งสมาธิแล้ว ในวันหนึ่งลูกนอนภาวนา พุทโธ พุทโธ ไปเรื่อยจนกระทั่งหลับไป ลูกมีความรู้สึกว่าตัวเองไปยืนอยู่เชิงเขาลูกหนึ่ง ซึ่งมองดูแล้วสูงมาก มีเสียงคนดังแตกตื่นมาใกล้เข้ามาหาที่ลูกยืนว่า “อยู่ตรงนี้ไม่ปลอดภัยนะ อันตรายจากฝูงช้างป่าจะมาทางนี้”

ทุกคนต่างวิ่งลงไปอยู่ข้างล่าง ลูกยืนงงๆ อยู่ มีผู้ชายคนหนึ่งไม่ทราบว่ามาจากไหน ยื่นมาให้ลูกจับ และบอกกับลูกว่า “ขึ้นไปบนภูเขาแล้วจะปลอดภัย อย่าลงไปข้างล่าง ข้างล่างนั้นร้อนมาก”
ลูกตอบท่านผู้ใจดีไปว่า “เขานี้สูงมาก ลูกปีนไม่ไหวหรอก”
ท่านบอกว่า “ไหวซิ ให้หาปัญญาขึ้นไปบนนั้นให้ได้ พอข้ามภูเขาลูกนี้ไปได้ก็จะสบาย”

ลูกเดินตามท่านไป เป็นทางสูงชันบ้าง เดินอ้อมเพื่อหลีกทางรกบ้าง เดินไปไม่หยุด ท่านเดินเก่งมากๆ เลย และเร็วด้วย ส่วนลูกทั้งช้าทั้งเหนื่อย เสียงท่านดังมา บอกว่า “การเดินทางด้วยร่างกายที่เรียกว่าขันธ์ห้านี้ ทั้งหนักและเหนื่อยล้า แต่การเดินทางด้วยใจ ด้วยจิต ไม่หนัก และไม่เหนื่อยเลย และถึงจุดหมายปลายทางเร็วมาก”

ลูกมองไปดูท่าน ท่านยืนอยู่บนยอดเขาแล้ว แต่ตัวลูกเองยังไม่ถึงครึ่งเลย โอย! ปลอดภัยแน่เลย อยากจะร้องไห้เสียให้ได้
เสียงท่านผู้ใจดีดังลงมาอีกว่า “เร็วๆ เข้านะ ขึ้นมาเร็วๆ จะให้ถึงเร็วๆ จงเลือกเอา จะมาด้วยวิธีไหนดี?”
ลูกหนักอึ้งไปหมดทั้งกายทั้งใจ ลูกคิดถึงหลวงพ่อ หลวงปู่ช่วยลูกด้วย ตัดร่างกาย ลูกบอกตัวเอง “เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราว เราจะไม่เอากายนี้ไป”

พอคิดได้แค่นี้ ลูกขึ้นไปอยู่บนยอดเขาทันที
ท่านผู้ใจดียืนยิ้ม และบอกลูกว่า “เก่งมาก ละอองทองแว่นฟ้า”
ลูกถามว่า ท่านบอกลูกหรือ?
ท่านตอบว่า “ใช่”

ลูกบอกว่า “ลูกไม่ได้ชื่อนี้”
เอาเถอะท่านอยากเรียกอย่างนี้
ท่านถามว่า “อยากลงไปข้างล่างโน่นไหม?”
ลูกส่ายหน้าแทนคำตอบ

ท่านบอกว่า “กลัวหรือ?”
“ค่ะ กลัวมาก”
แต่ถ้าจะอยู่บนนี้ตลอดไป ก็อยากกลับบ้าน

ท่านบอกลูกว่า “ให้กลับด้านหลังนี้จะปลอดภัย คือเร็วขึ้น ถ้ากลับทางเก่าจะไม่ปลอดภัยเลย”
ลูกตอบว่า “ทางใหม่ ลูกยังไม่เคยไป ไม่ทราบว่าจะเจอฝูงช้างป่าหรือเปล่า? แต่ถ้าทางเก่าช้างป่าไปแล้วลูกจะกลับลงไป”
ท่านบอกว่า “อย่าเลย กลับลงไปก็พบกับความร้อน กิเลสเผาผลาญใจให้อยู่ในกองทุกข์ ทางใหม่เป็นทางสงบเย็น เห็นธรรม อยากอยู่นิพพานไหม?”
“อยากค่ะ ลูกยังไม่ทราบว่าชาตินี้ลูกจะมาอยู่ได้รึเปล่า?”


“เมื่อกี้ขึ้นมาบนนี้ได้อย่างไร?”
“ลูกตัดร่างกายค่ะ อาศัยอยู่ชั่วคราว หลวงพ่อสอนเช่นกัน”
“มองไปรอบๆ ซิ ที่ไหน?”
“แปลกมากค่ะ นี่ลูกยืนอยู่บนยอดเขากลายเป็นวิมานที่สวยมาก แสงระยิบระยับเพริดพรายไปหมด”
ลูกหันหน้ามาทางผู้มีจิตเมตตา ลูกจะกราบขอพระคุณท่าน ไม่ทราบว่าหายไปไหนแล้วค่ะ

แดนพระนิพพานที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง แล้วอาศัยปัญญาพิจารณา ตัดและปล่อยวางร่างกาย จึงจะเข้ามาในแดนพระนิพพานได้

ประมาณเดือนมกราคม ปี พ.ศ.๒๕๒๔ ลูกปวดฟันมากเพราะสังขารไม่เที่ยง ฟันกรามข้างในผุและหัก ไปให้หมอตรวจที่โรงพยาบาลราชวิถี จะต้องผ่าเหงือก เอารากฟันออกถึงจะหายปวด เพราะมันอักเสบ หมอนัดวันถัดไป มันปวดอย่างรุนแรง ทรมานอย่างร้ายการมาก ปวดจนแทบจะนั่งสมาธิไม่ได้ ลูกไม่พูดกับใคร หงุดหงิด ขุ่นมัว เอาผ้าชุบน้ำอุ่นประคบแก้มด้านนอก พอค่อยบรรเทาได้และอมน้ำเกลือเค็มๆ เข้าไปอีก ค่อยยังชั่วขึ้นเยอะ

เข้าห้องนอน นั่งมองรูปพระพุทธชินราช ความเย็นแผ่กระจายไปรอบๆ ห้อง แสงสีรุ้งทอประกายออกมาจากรูปภาพพระพุทธชินราช เหมือนกับว่าเสียงดังออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์ว่า “นี่แหละ การมีร่างกายเป็นทุกข์อย่างนี้ มันไม่ใช่ของเรา ตอนนี้ฟันก็ผุแล้ว พังไปแล้ว และอีกไม่นาน ผมก็จะหงอก ตาจะฝ้าฟางมองอะไรไม่ชัดเจนแจ่มแจ้ง มันไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป”

“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ฟันผุแล้ว”
พอเสียงเงียบไป แสงสีรุ้งก็พลอยหายไปด้วยค่ะ
วันรุ่งขึ้น ลูกไปผ่าเหงือก หมอเย็บไหมเอาไว้ และพอลูกกลับมาพักผ่อน อาการปวดไม่มากนัก เพราะหมอฉีดยาชาไว้ และลูกหลับสนิท มันอาจจะเป็นเพราะไม่คุ้นกับยาชาที่ฉีด พอกลางวันนั่งสมาธิยังนั่งหลับ ก็เลยนอนต่อ

รุ่งเช้า ในช่องปากมีกลิ่นเหม็นเน่า จนลูกรังเกียจตัวเอง มันบอกไม่ถูก ลูกยังไม่ทันจะตายเลยยังเน่าได้ขนาดนี้ ร่างกายนี้มันสกปรกจริงหนอ ลูกรักมันมากเหลือเกิน ที่แท้มันก็มีแต่ความเน่าเหม็น ลูกขยะแขยงตัวเอง และพาลขยะแขยงคนอื่นๆ อีก ลูกไม่เข้าใจอารมณ์ตัวเอง ทำไมปรวนแปรแบบนี้ ไม่สนใจในใครๆ ทุกคนมีแต่เน่าๆ หมดเลย

ลูกคิดพิจารณาตามความเป็นจริงที่หลวงพ่อสอน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณาฟันที่หัก ที่ผุ เหงือกชักเจ็บและเน่า อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลือง น้ำหนอง ล้วนแต่เป็นของสกปรกอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน การคิดพิจารณาถึงหลักความจริงอันนี้ ทำให้ลูกคลายความรักในร่างกายลงไปได้มากโขเลยค่ะ

มีอยู่วันหนึ่งค่ะหลวงพ่อ ลูกเลิกงานแล้ว ลูกแวะไปซื้อของที่ห้างโรบินสัน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ลูกก็ซื้อชุดเสื้อยืด ชุดกระโปรง สำหรับลูกสาว ซึ่งขณะนั้นลูกสาวของลูกอายุ ๒ ขวบเศษๆ ซึ่งฝากคุณแม่คุณพ่อของสามีเลี้ยงให้ อาทิตย์หนึ่งลูกจะแวะไปหาลูก ๒ ครั้ง

ขณะที่เลือกซื้ออยู่ ลูกก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า “น้องกิฟท์ อยากได้ชุดเอี๊ยมค่ะ คุณแม่”
ลูกก็เลยซื้อชุดเอี๊ยมอีก ๑ ชุด และในเวลาเดียวกันนั้น คุณย่าก็จะพาน้องกิฟท์อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พออาบน้ำเสร็จจะใส่เสื้อผ้าให้ แกไม่ยอม และบอกคุณย่าว่า “กิฟท์จะรอใส่ชุดเอี๊ยมของคุณแม่ค่ะ” และคุณย่าบอกว่า “วันนี้วันจันทร์ค่ะ คุณแม่งานยุ่งมาก ไม่มานะคะ”

ซึ่งเป็นเรื่องจริง ปกติลูกจะไม่ไปหาลูกวันจันทร์ เพราะต้องเคลียร์งานกับธนาคาร แต่บังเอิญวันจันทร์นั้นเจ้านายลูกไปต่างประเทศ ก็เลยไม่ยุ่ง ต้องแวะหาลูก
คุณย่าก็บังคับจะให้ใส่ให้ได้ น้องกิฟท์ก็ดื้อใหญ่ ใส่แต่ชุดชั้นในของเด็ก คุณย่าก็กำลังหาไม้เรียวจะขู่ และลูกก็โผล่เข้าไปพอดี คำแรกลูกบอกว่า

“คุณแม่ขา ชุดเอี๊ยมกิฟท์อยู่ไหน กิฟท์จะใส่ค่ะ”
ลูกงงค่ะ ลูกไม่ได้บอกใครเลยว่า ลูกจะซื้อเสื้อผ้ามาให้น้องกิฟท์ แต่ตอนที่ลูกกำลังซื้ออยู่ ลูกก็รู้สึกว่า “น้องกิฟท์อยากได้ชุดเอี๊ยมค่ะคุณแม่ กระแสจิตกระมังคะ หลวงพ่อ ที่แม่ลูกสื่อถึงกันได้”
และอีกวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันพุธ ลูกจะต้องเข้าไปหาลูกประจำ แต่ก็บังเอิญอีกนั่นแหละที่จะต้องประชุมและอบรมพนักงาน ก็เลยจำเป็นจะต้องงดค่ะ คุณย่าก็จะทำแกงส้มหน่อไม้ดองที่ลูกชอบทาน

น้องกิฟท์ถาม “คุณย่าทำอะไรคะ”
คุณย่าก็บอก “ทำแกงส้มให้คุณแม่หนูค่ะ”
น้องกิฟท์ก็บอกว่า “คุณย่าขา ไม่ต้องทำ คุณแม่งานยุ่ง คุณแม่ไม่มาค่ะ”
คุณย่าก็ตอบ “มาค่ะ วันนี้วันพุธนะคะ”
“ไม่มาค่ะ คุณแม่บอกไม่มา”

“บอกเมื่อไรกันคะ น้องกิฟท์ อย่าโกหกจะบาป”
“ไม่บาปค่ะ แม่บอกเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
คุณย่าก็พร่ำบอกหลานว่าโกหก พูดปดกับย่าไม่ได้นะคะ

น้องกิฟท์ก็ยืนยันไม่ได้โกหก คุณย่าก็คอยทานข้าวเย็นกับลูก พอใกล้เวลาทานข้าวลูกโทรเข้าไปบอกคุณย่าว่า “ลูกงานยุ่งมาก เข้าไปไม่ได้ ขอโทษคุณย่าด้วย และน้องกิฟท์ว่า พรุ่งนี้คุณแม่จะไปค้างด้วยค่ะ”
พอทราบจากลูก คุณย่าก็งง ลูกก็งงค่ะหลวงพ่อ และบางครั้งน้องกิฟท์ก็จะเหมือนผู้ใหญ่ ซึ่งปลอบใจคุณป้าเปี่ยมสุข ไหมแพง ด้วยคำพูดของแกเอง

“คุณป้าขา คุณป้าเหงาหรือคะ ไม่ต้องเหงาค่ะ กิฟท์ยังไม่เหงาเลยค่ะ คุณแม่ไม่มากิฟท์ก็อยู่ได้ กิฟท์ก็อยู่กับคุณย่า คุณป้าโตแล้ว คุณป้าต้องเก่งนะคะ”
ซึ่งพี่เปี๊ยก เปี่ยมสุข อดที่จะหัวเราะไม่ได้
และก็แปลกอีกอย่างหนึ่ง ถ้าน้องกิฟท์ไม่สบาย ลูกจะรู้โดยไม่มีใครบอก จะมีความรู้สึกว่าลูกไม่สบาย จะต้องไปหาลูกค่ะ และเวลาที่ลูกพาน้องกิฟท์เดินผ่านศาลพระภูมิ เขาจะยกมือไหว้สวัสดีค่ะ พระพุทธองค์มาทุกครั้งเลยค่ะ

มีอยู่วันหนึ่งประมาณ ๖ โมงเย็น ลูกก็อุ้มน้องกิฟท์เดินผ่าน แต่เขาไม่ยกมือไหว้และไม่พูด
ลูกก็ถามว่า “น้องกิฟท์คะ ทำไม่ไหว้พระภูมิล่ะคะ”
“อ๋อ พระพุทธองค์ไม่อยู่ ไปข้างบนค่ะ”
“บนไหนคะ ลูก”
“บนสวรรค์ค่ะ คุณแม่”
ซึ่งก็จริง ลูกมองไม่เห็นกายละเอียดท่านค่ะ

ปกติลูกจะเห็นกายระยิบระยับสวนงามของพระภูมิ และปรากฏการณ์เกี่ยวกับพระภูมิอยู่บ่อยครั้ง ที่บริษัทจะมีศาลพระภูมิ ๒ ศาล แต่ไม่มีพนักงานคนไหนๆ จะขึ้นไปไหว้กัน มีลูกเท่านั้นที่คอยดูแลเปลี่ยนดอกไม้ ถวายอาทิตย์ละครั้ง และคอยเติมน้ำในถ้วยน้ำชาถวายท่านอยู่เป็นประจำ

พระภูมิช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ กรุงเทพฯ เกิดน้ำท่วม ลูกจำได้ว่าประมาณ ๓ เดือน จนไดบารมีพระเจ้าอยู่หัวของเรามาช่วยวางแผนสูบน้ำออก ระบายน้ำออกในเดือนธันวาคม ในวันก่อนน้ำท่วม ลูกไปถวายผลไม้ เปลี่ยนดอกไม้ ถวายน้ำชา มีกลิ่นหอมตลอบอบอวลบริเวณศาลทั้งสองศาลเพราะอยู่ใกล้ๆ กัน ลูกมองเห็นกายละเอียดท่านแวบๆ ไปมารอบตัวลูก

และจิตลูกสั่งตัวลูกเองว่า ท่านให้เตรียมเสื้อผ้ามาหลายๆ ชุด รวมทั้งชุดนอน ของใช้เบ็ดเตล็ด และอีกใจหนึ่งก็ค้านว่า จะเตรียมมาทำไมกัน ใจหนึ่งก็กลัวฝนจะตกหนักมาก จะกลับบ้านไม่ได้ เอ ก็นั่งรถแท็กซี่กลับได้ ไม่ได้ รถวิ่งไม่ได้ ลูกก็คิดอีกว่า เอ ทำไมรถวิ่งไม่ได้ ใจลูกเห็นภาพน้ำท่วมถนน แต่ลูกก็คิดไม่ถึงว่าจะท่วมมากมายขนาดนั้นค่ะ

รุ่งขึ้น ลูกเตรียมเสื้อผ้ามา ๓ ชุดเท่านั้น ใส่ถุงกระดาษมา ชุดทำงาน ๒ ชุด ชุดนอน ๑ ชุด แม่บ้านออฟฟิศจะคอยรับลูกตอนมาทำงานประจำถามลูกว่า “อ้าว ถุงเสื้อผ้าเอามาทำไมคะ”
ลูกก็ตอบว่า “ไม่รู้ซี อยากเอามาน่ะ”
เขาหัวเราะ และบอกลูกว่า “จะหนีแฟนไปไหนเอ่ย”
ลูกก็ตอบว่า “ไม่หนีหรอก แฟนไปดูงานต่างประเทศกลับเอาอาทิตย์หน้าค่ะ”

“จะไปค้างกับน้องกิฟท์หรือไงคะ”
“ยังไม่รู้ว่าเอามาทำไมหรอก พี่อุไร”
และวันนั้นเองประมาณ ๑ ทุ่มครึ่ง ลูกยังอยู่ออฟฟิศ ฝนตกหนักมากและทำท่าจะตกทั้งคืน อากาศก็เย็นมาก จนหนังรอบสุดท้าย ๓ ทุ่มครึ่ง พนักงานหอบเงินขึ้นมาส่งปิดบัญชีรอบสุดท้ายฝนก็ไม่หยุด ลูกเลยชวนเพื่อนที่ทำงานนอนค้าง!

“พี่เอื้อมพรคะ อย่ากลับเลย อันตราย นอนที่นี่เถอะค่ะ หนูเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน”
“อ้าวทะเลาะกับแฟนเหรอ เอาเสื้อผ้ามานอนรึเปล่าคะ”
“ไม่ได้ทะเลาะ อยากมานอนค่ะ”
“ฮึ แปลกคน นอนก็นอน”

หลวงพ่อคะ รุ่งเช้าปรากฏว่า มีลูกและพี่เอื้อมพรมาทำงานกันทันตามปกติ เพราะนอนค้างออฟฟิศ คนอื่นๆ มาทำงานกันตอนบ่าย ๒ โมง บางคนมาไม่ได้ เพราะรถวิ่งลำบากมาก เครื่องยนต์ดับค่ะ พี่อุไร แม่บ้านข้องใจมาก มานั่งซักฟอกถามว่า “เตรียมเสื้อผ้ามานอนเหมือนจะรู้ตัวล่วงหน้าใช่หรือเปล่า?”
ลูกก็นิ่งไม่ตอบ “รู้ได้ไงคะ คุณ”

ลูกก็ไม่ตอบ “คนรู้ แต่ไม่บอกอะไร?” ลูกก็เงียบ
หลวงพ่อคะ ลูกจัดเสื้อผ้ามา แต่ลูกเองก็ไม่มั่นใจค่ะ หลวงพ่อคะแถวพระโขนงท่วมมาก ต้องใช้เรือบนถนนเอาเลยค่ะ ลูกกินนอนในออฟฟิศเลยค่ะ ต้มมาม่ากิน เพราะออกไปซื้อของกินก็ลำบาก กลับบ้านอาทิตย์ละ ๑ ชั่วโมงค่ะ อาศัยรถกระบะของทหารบก ท่านผู้ใหญ่ให้เอาออกมาวิ่งบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนค่ะ ลูกกราบขอบพระคุณพระภูมิท่านที่เมตตาบอกลูกให้รู้ตัวว่าน้ำจะท่วม ลูกต้องลำบากในการเดินทาง

และอีกเรื่องหนึ่ง คือ หวยค่ะ ลูกมากราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลมตอนปี พ.ศ.๒๕๓๑ หรือ ๒๕๓๒ นี่แหละค่ะ ลูกเห็นพระแก้วองค์ใหญ่ทรงเครื่อง ลูกอยากจะได้มาไว้บูชาจังค่ะ แต่เงินไม่พอ เพราะจะต้องมีรายจ่ายในครอบครัวเยอะ พอดีวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ น้องเฉลิมชัยโทรศัพท์มาบอกว่า “พี่ซื้อหวยยี่กีไหม?”
ลูกก็บอกว่า “ไม่รู้จะซื้ออะไร กลัวเสียเงิน”
ก็บอกว่า “อีกสักครู่โทรมาใหม่”

ลูกก็ไปขอพระภูมิท่าน บอกกับท่านว่า “ลูกอยากได้พระแก้วมาบูชาค่ะ ลูกจะซื้อหวยเบอร์ ๗ ขอให้หวยออกเบอร์ ๗ นะคะ”
มีกลิ่นหอมอ่อนโชยมา ลูกกราบขอบคุณท่านล่วงหน้า น้องเฉลิมชัยโทรศัพท์มาอีก ถามว่าจะซื้อเบอร์อะไร
ลูกก็บอก “เบอร์ ๗”

ถ้าออกให้เอาเงินไปบูชาพระแก้วที่บ้านซอยสายลมมาให้ลูก และถ้าเหลือให้ถวายสังฆทานให้พระภูมิท่าน
และปรากฏว่า คุณเฉลิมชัยซื้อตาม ป้ายอมซื้อตาม หวยออกเบอร์ ๗ ค่ะ เจ้ามือเกือบเจ๊ง ถูกกันหมดทุกคนค่ะ และลูกได้พระแก้วมาบูชาสมใจนึกของลูกค่ะ

หลวงพ่อที่เคารพของลูก ขณะที่ลูกเขียนถึงผลการปฏิบัติธรรมอยู่ทุกวัน เพื่อจะมอบให้หลวงพี่วิรัชท่าน จะมีแสงเพชรระยิบระยับอยู่บนหน้ากระดาษอยู่ทุกวันค่ะ เทวดา ท่านคงมาสอนให้ลูกใช้คำพูดต่างๆ ลงในสมุดเล่มนี้น่ะค่ะ ลูกกราบขอบพระคุณท่านไว้ ณ ที่นี้ค่ะ

การปฏิบัติของลูกในแต่ละวัน ลูกจะฝึกพุทธานุสสติเป็นอารมณ์ เช้าก่อนออกจากบ้านก็อารธนาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ให้สิงสถิตอยู่กับลูกทุกลมหายใจเข้า – หายใจออก ให้จิตระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าทุกลมหายใจเข้า – ออกค่ะ โต๊ะทำงานของลูกก็ตั้งกรอบรูปพระพุทธเจ้าไว้บนโต๊ะทำงาน ให้มองเห็นพระพุทธองค์ท่านค่ะ

จิตลูกจึงสงบเย็นอยู่ทั้งวัน แต่ปัจจุบันนี้ลูกเปลี่ยนงานใหม่ มาทำเกี่ยวกับด้านบริหารไม่ได้นั่งโต๊ะทำงาน เดินไปเดินมาผู้คนวุ่นวายอยู่ตลอด ก็จะอาราธนาท่านให้ประทับอยู่ในสติของลูกทุกขณะจิตที่คิด ที่ทำอะไรลงไป ขออุทิศชีวิตให้ท่านทุกวันค่ะ

ผลการปฏิบัติธรรมที่ลูกเอามาใช้กับงานตลอดมา อย่างเช่นพนักงานที่จะถูกไล่ออกเพราเกเร ประพฤติไม่ดี ไม่งาม สงสารเขา คงไม่มีใครในโลกนี้อยากเป็นคนเลว อยากลักอยากขโมย ทุกคนคงต้องการเป็นคนดีกันทุกคน แต่คงจะมีเหตุ หรือกรรมบางอย่างที่ส่งผลให้เขาเป็นอย่างนั้น ลูกจะขออนุญาตเจ้านายทันทีที่จะช่วยเขาได้ ลูกให้ข้อคิดเขาเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา เสนอข้อคิดที่ลูกคิดให้เจ้านายทราบ

และอธิบายให้ข้อคิดกับพนักงานเหล่านั้นฟังว่า
“บริษัทคือเจ้านาย จะเปรียบแล้วเท่ากับเป็นพ่อแม่ที่สองของเรา ให้เรามีเงินเดือนใช้ในการครองชีพ เราควรจะรักเคารพ และรักษาบริษัทเอาไว้ เพราะเป็นหม้อข้าวที่เรากินทุกวัน อยากให้พนักงานทุกคนคิดว่า บริษัทคือพ่อแม่ของเรา เราเป็นลูกจ้าง เราคือลูกของบริษัท ถ้าทำงานดี พ่อแม่ คือบริษัท ก็ต้องรักเรา เมตตาเรา เหมือนพ่อแม่เราที่ให้ความรักความจริงใจกับเราตลอดมา”

และลูกก็เสนอให้เจ้านายควรจะรักลูกจ้างทุกคนเหมือนรักลูกของท่าน เอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขบ้าง ช่วยเหลือเวลาเขาเดือดร้อน ผ่อนคลายเวลาเขาตึงเครียด อย่าเอาแต่ประโยชน์จนเกินไปนัก ผลงานจะได้ออกมาอย่างดีมีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
และมันก็ได้ผลดีมากค่ะหลวงพ่อ

ลูกมองเห็นคุณค่าของการปฏิบัติธรรมได้อย่างแจ่มแจ้ง ธรรมแท้ไปได้ทุกสถานการณ์ อยากให้ทุกคนเข้าถึงสาเหตุของความทุกข์ รู้จักหาทางสิ้นทุกข์ ให้ถึงมรรค ให้ถึงผล มันเป็นความสุขสงบเย็น ปราศจากความอยากความเร่าร้อนจากกิเลสตัณหา อุปาทานทั้งปวง ลูกเองก็ไม่เก่งในการปฏิบัติค่ะ แต่ลูกเป็นคนที่มีนิสัยเบื่อหน่ายทุกข์ ไม่ชอบความทุกข์ ลูกเลยไม่แบก ไม่ยึด ไม่ถือค่ะ

เมื่อก่อนนะคะ เป็นคนใจน้อย ขี้งอน โกรธง่าย ร้องไห้เก่ง เดี๋ยวนี้หายหมดแล้วค่ะ รู้ทันมันหมด ไม่ให้ใจไปเสวยอารมณ์พวกนั้น ไม่คบมันค่ะ มันวิ่งมาหา ไล่มันไปเลยค่ะ อยู่อย่างสงบจริงๆ ค่ะ
ปกติจิตของลูกมันชอบดิ้นรน อยากได้โน่นอยากได้นี่อยู่ตลอดเวลา พอได้แล้วก็อยากได้อันใหม่ต่อไป ไม่รู้จักพอเสียที เจ้าจิตตัวร้ายนี้มันเที่ยวซอกแซก ชอบโน้นชอบนี้อยู่ร่ำไปน่าเบื่อ

แต่เดี๋ยวนี้ลูกบังคับมันได้บ้างแล้ว ให้มันหยุด ให้มันนิ่ง ไม่ให้อยากบ่อยนัก กว่ามันจะหยุดนิ่งได้ ต้องหาเหตุหาผลมาบังคับ โอโลมปฏิโลมบ้างตามเหตุตามปัจจัย ไม่ให้มันซัดส่ายไปมาหาทุกข์ใส่ตัว
คนทุกคนเกิดมามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ลูกจำที่หลวงพ่อสอนได้ว่า

“กรรม คือการกระทำของเราเอง เราทำดี ต้องได้ดี เราทำชั่ว ก็ได้ชั่ว ให้ยึดมั่นในการทำความดี”
ลูกปฏิบัติตามตลอดมา พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา วันละเล็กละน้อย ลูกไม่ใช่คนร่ำรวย และก็ไม่ถึงกับยากจน พอมีพอกินเท่านั้นเอง ลูกก็จะตั้งใจว่าเราฝากออมสินไว้ ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา ลูกจะต้องฝากออมสินให้ได้ทุกวัน สักวันหนึ่งข้างหน้ามันคงจะรวมยอดเป็นก้อนใหญ่เองค่ะ ทำดีที่สุดในวันนี้ ลูกจะตั้งใจอย่างนี้ทุกวันค่ะ

กรรมส่งผลในชาตินี้ที่เกิดกับลูก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ ลูกโดนคนร้ายจี้ในออฟฟิศ คนร้ายรูดเอาแหวน ทำให้นิ้วนางข้างซ้ายของลูกงอนิ้วเข้าเวลากำมือไม่ได้
ตอนเด็กๆ ลูกเคยหักขากบ ไม่ให้มันกระโดดออกจากข้องค่ะ ตอนนั้นลูกทำทั้งๆ ที่กลัวบาป กลัวมันเจ็บ สงสารมัน

และในขณะเดียวกัน คนร้ายคนนั้นคงทำทั้งๆ ที่สงสารลูก ความรีบร้อน ทำให้ปลายมีดของเขาเฉี่ยวเส้นเอ็นนิ้วมือลูกขาด เลือดไหลมาก คนร้ายหาผ้ามาปิดแผลให้ลูก และโทรศัพท์เข้ามาบอกพนักงานข้างล่างให้ขึ้นมาแก้มัดให้ลูก ซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่า คงทำไปเพราะความจำเป็น

ลูกกลัวเรื่องกรรมมากค่ะ ยิ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นทำให้ลูกกลัวการกระทำที่ไม่ดี มันพิสูจน์ให้ลูกเห็นว่า เขามาทวงเราแน่นอน ลูกจะแผ่บุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกวัน ขอให้อโหสิให้ด้วย
ทุกวันนี้ ลูกพบทางสว่างที่จะดำรงชีวิตได้อย่างมีความสงบสุข ร่มเย็น เห็นธรรมอยู่ตลอดเวลา แสงสว่างแห่งธรรมส่องใจลูก นำทางให้ลูกรู้แจ้งแทงตลอดในกฎของธรรมชาติได้อย่างถ่องแท้

คือการปลดปล่อย ละวาง ไม่แบก ไม่หามอารมณ์ของทางโลก สติรู้อยู่ทุกขณะ ควบคุมจิตไว้ไม่ให้ดิ้นรนค้นคว้าหาทุกข์มาใส่ใจได้ ลูกจะเดินสายกลาง กินเวลาหิว นอนเวลาง่วง พักเอนหลังบ้างเวลาปวดเมื่อย ไม่คร่ำเคร่ง ตึงเครียดจนเกินไปนัก ไม่กินเพราะความอยาก ไม่นอนเพราะอยากนอน ลูกจะถือกฎของธรรมเป็นหลัก ยึดความจริงเป็นสติ ระลึกรู้ดูตามเหตุผล ยอมรับกฎของความจริง ลูกชอบบทสวดมนต์ทำวัตรที่ว่า

“เรามีความเกิดเป็นธรรมดา เรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา เราต้องพลัดพรากเป็นธรรมดา เราทำกรรมอันใดไว้ เราต้องรับผลของกรรมนั้น ทุกอย่างคือธรรมดา คือปกติ เราจะไปฝืนกฎธรรมดาไม่ได้”

ลูกมีความรู้สึกว่า
“ถ้าเปรียบกับทางโลก เราจะต้องทำตามกฎหมายบ้านเมือง ระบุเอาไว้เป็นกฎเป็นเกณฑ์ ถ้าทำผิดกฎหมายก็จะถูกจับ ถูกปรับ ถูกจองจำ ทำโทษ แต่ถ้าเราทำถูกกฎหมาย เราก็จะอยู่อย่างอิสระ ไม่ถูกจองจำทำโทษด้วยกฎธรรมชาติ ลูกก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ลูกคิดผิดหรือถูก

แต่ลูกก็เป็นสุข ไม่เดือดร้อนวุ่นวายเหมือนแต่ก่อน พอคุณยายเสียชีวิต ลูกก็คิดได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา ลูกไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้เลยค่ะ ความรู้สึกของลูกเหมือนกับกระแสโลกครอบงำจิตใจของเราให้ติดอยู่ในกรงล้อมของความทุกข์ เช่น ความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง”

สรุปแล้วผลของการปฏิบัติสมาธิภาวนา นำมาซึ่งความสุขสงบอย่างแท้จริงตามที่หลวงพ่อ หลวงปู่สอน พระพุทธองค์ท่านทรงสอนไว้
“ทุกคนสามารถที่จะทำได้ ถ้าตั้งใจปฏิบัติอย่างแท้จริง ทำให้ถึงพระนิพพาน ทำให้แจ้งในอริยสัจสี่ รู้สาเหตุที่เกิดทุกข์ รู้สาเหตุที่ดับทุกข์ จิตเข้าถึงมรรค เข้าถึงผล เสวยนิพพานเป็นอารมณ์”

ความเข้าใจของลูกไม่ทราบว่าจะถูกหรือผิด ที่ลูกเขียนตามอารมณ์จิตของลูกคือ
๑. ลูกเกิดมาแล้วต้องยอมรับกฎของชาวโลกเขา คือลูกจะต้องมีทั้งความสุข และมีทั้งความทุกข์เกิดขึ้น ลูกจะไม่ยึดถือ เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทั้ง ๒ อย่าง
๒. ลูกเกิดมาแล้วลูกจะต้องเจ็บป่วยเป็นธรรมดาหนีไม่พ้น ลูกต้องยอมรับกฎเกณฑ์ของชาวโลกเขา

๓. ลูกเกิดมาแล้วลูกก็จะต้องตายเป็นธรรมดาของชาวโลกเขา ลูกก็เลยไม่กลัวตายค่ะ
๔. ลูกเกิดมาแล้วต้องมีการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก และจะต้องประสบกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ เหล่านี้เป็นต้น ลูกพิจารณาจากบทสวดมนต์ทำวัตรเช้า – เย็น ลูกชอบมากค่ะ

๕. ลูกคิดเสมอว่า ตายจากโลกนี้แล้ว ลูกจะไปอยู่พระนิพพานให้ได้ ลูกไม่อยากเกิด ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากแก่ ไม่อยากตายอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ ลูกเบื่อในการมีร่างกายแล้ว มันเป็นทุกข์ ลูกขอกราบขอพรจากหลวงพ่อ หลวงปู่ พระพุทธองค์ ขอให้ลูกพบความสุขสงบอย่างนี้ตลอดไปค่ะ

รักเคารพหลวงพ่อ
จากลูกวัฒนา

◄ll กลับสู่สารบัญ