Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 21/4/08 at 10:35 [ QUOTE ]

สู่แสงธรรม...โดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป (ตอนที่ 1 - D)




อภินิหารของหลวงพ่อและหลวงปู่สี


".......เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ข้าพเจ้าได้ซื้อรถวอลโว่ใหม่ ๑ คัน ก็ได้นำไปให้หลวงพ่อเจิมให้ที่วัดท่าซุง ต่อมาเมื่อได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่สีบ่อยๆ เข้าก็ได้รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สีมากขึ้น อาทิเช่นมีชาวไร่ข้าวโพดได้ ชานหมาก ของหลวงปู่สีไป และเกิดไปทำหายในขณะหักข้าวโพดในไร่ จะหาอย่างไรก็หาไม่พบเพราะดงข้าวโพดกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่เนื่องจิตมีความเสียดายในชานหมาก และเคารพนับถือด้วยความจริงใจ ตอนกลางคืนก็ฝันว่า

.......“หลวงปู่สีมาบอกว่าหากอยากได้ชานหมากให้เผาไร่ข้าวโพดเสีย แล้วจะพบเอง”

ชานหมากหลวงปู่สีห่อด้วยผ้าจีวร

พอรุ่งเช้าชาวไร่ข้าวโพดผู้นั้นก็จุดไฟเผาไร่ข้าวโพดทันที (ข้าวโพดในไร่หักหมดแล้ว) เมื่อไร่ข้าวโพดถูกไฟเผาราบเรียบหมดก็เห็นต้นข้าวโพดอยู่ ๒-๓ ต้นที่ไม่ไหม้ไฟจึงตรงเข้าไปดู ก็พบชานหมากของหลวงปู่สี ซุกอยู่โครข้าวโพดก็ดีใจมาก ตรงเข้าเก็บชานหมากหลวงปู่ไว้ แล้วนำไปเลี่ยมคล้องคอมาจนบัดนี้






(ภาพจากขวาไปซ้าย - หลวงตาวัชรชัยอยู่ใกล้หลวงปู่บุดดา ต่อไปคือ หลวงพี่สุรจิต (นั่งหลังสุด)
และ หลวงพี่ชัยวัฒน์ แล้วก็ คุณศุภาพร (ทำบายศรี) พร้อมด้วยลูกๆ ทั้งสามคนที่ยังเล็กอยู่)

ในตอนนี้ขอนำเรื่องที่ หลวงพี่ชัยวัฒน์ วัดท่าซุง และ หลวงตาวัชรชัย วัดถ้ำเขาวง (ถ้ำนารายณ์) มาเล่าเสริมสักเล็กน้อยว่า ทั้งสองท่านก็ได้ประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน

ท่านได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2519 ท่านทั้งสองพร้อมด้วยคณะอีกประมาณ 10 คน มี หลวงพี่พระครูสังฆรักษ์สุรจิต ด้วย ในขณะนั้นท่านเหล่านี้ยังไม่ได้อุปสมบทกัน ได้เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปกราบนมัสการ หลวงปู่บุดดา ที่วัดสองพี่น้อง อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท

วันรุ่งขึ้นก็ได้เดินทางต่อไป ณ วัดถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เพราะขณะได้ทราบว่า หลวงปู่สีเป็นพระสำคัญองค์หนึ่ง มีเรื่องเล่าในหมุ่คณะว่า ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ ประเภท วิริยาธิกะ มาก่อน (บำเพ็ญบารมี 16 อสงไขย) แต่ได้ลาจากพุทธภูมิ หลังจากนั้นท่านก็ได้จบกิจในพระพุทธศาสนา ได้ยินว่าหลวงพ่อบอกว่าเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ

ด้วยเหตุนี้ คณะที่เดินทางทุกคนจึงตั้งใจไว้ว่า จะเดินทางไปกราบท่านถึงที่วัดกันเลย ครั้นเดินทางไปถึงแล้ว ปรากฏว่าท่านนั่งอยู่องค์เดิม บนกุฏิไม้เก่าๆ ใส่อังสะตัวเดียว มีแมวอยู่เต็มกุฏิไปหมด ท่านก็มัวแต่วุ่นอยู่กับแมว หลวงพี่เล่าต่อไปว่า พวกเราทุกคนต่างก็เดินเข้าไปกราบท่าน ต้องระวังเพราะกลัวไม้กระดานกูฏิจะหักพังลงมาเสียก่อน

หลังจากได้กราบนมัสการและทำบุญกับท่านแล้ว พร้อมทั้งซักถามเรื่องของท่าน ท่านบอกว่าได้เที่ยวธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินทางมาถึงที่นี้ จึงได้อยู่ประจำมาจนถึงปัจจุบันนี้ ในขณะนั้นท่านก็มีอายุ 120 กว่าปีแล้ว ท่านรู้จักกับหลวงปู่แหวนเป็นอย่างดี ต่อจากนั้นก็ได้กราบลาท่านกลับกรุงเทพฯ

ในเวลานั้น ท่านก็ได้มอบ "ชานหมากที่ห่อผ้าจีวร" อย่างที่เห็นตามรูปภาพนี้ให้แก่ทุกคน นับจำนวนคนได้ 10 คนพอดี แต่มองเห็นยังเหลืออีก 1 อันวางอยู่ใกล้ตัวท่าน เป็นชานหมากที่เพิ่งทำใหม่ๆ เพราะมองเห็นรอยน้ำหมากที่ผ้าจีวรผันอยู่ และที่นิ้วมือของท่านด้วย

เมื่อคณะหลวงพี่ที่ไปนั้น เห็นว่ายังเหลืออยู่อีกอันหนึ่งก็แปลกใจ พอจะขยับถามท่าน ปรากฏว่ายังมีคนขับรถอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างล่าง เมื่อเขาเดินขึ้นมารับไปจากมือท่านแล้ว พวกคณะทั้งหมดถึงกับมองหน้าและยิ้มให้กัน เพราะรู้กันโดยนัยว่าได้มาเจอพระดีเข้าจริงๆ แล้ว



(ภาพจากซ้ายไปขวา - หลวงพี่พระครูสังฆรักษ์สุรจิต, หลวงตาวัชรชัย และหลวงพี่ชัยวัฒน์
พร้อมด้วยคณะที่ได้ไปกราบหลวงพ่อฯ ต่อที่วัดท่าซุง)


เรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่าท่านรู้ล่วงหน้าจริงๆ ว่าจะมีคนไปหาท่าน แล้วก็รู้ว่าต้องการจะไปขอ "ชานหมาก" จากท่าน และท่านก็เตรียมเกินไว้ 1 คนด้วย คือทำไว้เผื่อคนขับรถอีกด้วย รวมทั้งหมด 11 อัน นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่อยากจะนำมาเล่าเสริมจากท่านผู้บังคับการมนูญเล่าไว้นี้ แล้วท่านผู้อ่านจะรู้สึกว่ามีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด




".......อีกรายหนึ่งเป็นอาจารย์สตรี วัยกลางคนอยู่ที่สมุทรปราการได้ชานหมากหลวงปู่สีไปก็นำไปใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ มีวันหนึ่งเดินกลับบ้านตอนพลบค่ำ ในระหว่างทางที่เดินอยู่ในซอยเปลี่ยว ก็มีความรู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง ๓ คน ก็เร่งฝีเท้าหนี คนทั้ง ๓ ก็เร่งฝีมือตาม พอวิ่งหนีก็ถูกวิ่งตาม ด้วยความหวาดกลัวจึงหันหลังไปดู ปรากฏว่าชายฉกรรจ์ทั้ง ๓ คน ที่ตามมาหยุดชงักส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวแล้ววิ่งหนีไป

........อาจารย์สตรีวัยกลางคนผู้นั้นจึงกลับบ้านด้วยความปลอดภัย ด้วยชานหมากของหลวงปู่คุ้มกันภัยให้ และเมื่อตอนหลวงปู่ป่วย ข้าพเจ้าก็ได้ให้ลูกน้องพาหมอไปรักษา หากคราวใดหมอจะฉีดยาและหลวงปู่สีไม่ยอมให้ฉีด เข็มฉีดยาก็จะหักทุกครั้งไป เป็นต้น

........ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้นำรถวอลโว่คันใหม่ของข้าพเจ้าไปให้หลงปู่สีช่วยเจิมให้อีกด้วยคิดว่า “แม้หลวงพ่อเจิมให้แล้วก็ตามหากได้หลวงปู่สีช่วยเจิมทับลงไปอีกก็คงจะเป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น”

ชานหมากที่เลื่ยมพลาสติกแล้ว

เมื่อหลวงปู่สีได้ทราบความประสงค์ว่า ข้าพเจ้าขอให้ช่วยเจิมรถให้ก็ทำพิธีเสกแป้ง แล้วถือแป้งเสกลงกุฏิไปหยุดยืนบริกรรมอยู่หน้ารถวอลโว่ โดยมีข้าพเจ้า ภรรยาและลูกน้องอีก ๓-๔ คนยืนพนมมือรถให้หลวงปู่เจิมรถ แต่การณ์กลับปรากฏว่าหลวงปู่สีเกิดเปลี่ยนใจ วางถ้วยแป้งเสกไว้ที่กระโปรงรถด้านหน้า โดยไม่ยอมเจิมให้เสียเฉยๆ มิหนำซ้ำเดินขึ้นบันไดไปบนกุฏิ แล้วนั่งทำน้ำมนต์อยู่พักหนึ่ง

ก็ให้ พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ลูกน้องคนหนึ่งของข้าพเจ้าถือบาตรน้ำมนต์ลงบันไดตามหลวงปู่มาหยุดยืนอยู่ทางด้านท้ายรถวอลโว่ของข้าพเจ้า แล้วก็ประพรมน้ำมนต์ไปทางด้านกระโปรงหลังรถ อีกทั้งมีการสวดให้ศีลให้พรอีกด้วย ต่อเมื่อประพรมน้ำมนต์เสร็จ หลวงปู่จึงเดินไปด้านหน้ารอหยิบถ้วยแป้งเสก แล้วเจิมรถให้ข้าพเจ้าจนเสร็จ ซึ่งก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์ใจกับทุกผู้คนในที่นั้น เพราะตามปกติแล้ว หลวงปู่จะเจิมให้โดยไม่มีการรดน้ำมนต์เช่นนี้

สำหรับเรื่องนี้ หลวงปู่สีได้เมตตาอธิบายให้ทุกคนหายข้องใจว่า “รถวอลโว่คันนี้ มีพระระดับสูงที่ญาณบารมีแก่กล้าได้ทำพิธีเจิมไว้ให้แล้วอีกทั้งได้จัดเทพถึง ๔ องค์ อยู่คอยพิทักษ์รถคันนี้ เมื่อสักครู่พอจะเจิมรถให้ เทพทั้ง ๔ ก็มาขอให้หลวงปู่รถน้ำมนต์ให้ก่อน จึงต้องให้น้ำมนต์เขาก่อนแล้วจึงเจิมรถให้ทีหลัง”

ข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกปลื้มปิติยินดี และซึ้งในเมตตาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณาเมตตาส่งเทพมาคอยให้ความคุ้มครองป้องกันภัยให้ข้าพเจ้าตลอดเวลาถึง ๔ องค์ เช่นนี้ ดังนั้นลูกหลานของหลวงพ่อผู้ใดก็ตาม ที่ได้เข้าพิธีต่างๆ กับหลวงพ่อแล้วก็พึงอุ่นใจได้ว่าหลวงพ่อจะช่วยขจัดปัดเป่าภัยพิบัติต่างๆ ให้โดยไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน

ต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าได้ขับรถวอลโว่คันนั้นพาครอบครัวไปพักผ่อนที่บ่อฝ้าย หัวหิน ระหว่างทางขณะที่รถวิ่งผ่านไปทางกำแพงแสน จ.นครปฐม ข้าพเจ้าซึ่งกำลังขับรถไปอย่างสบายๆ ด้วยความเร็วประมาณ ๘๐-๙๐ กม. ต่อชั่วโมงก็เห็นรถบรรทุกอ้อยสิบล้อคันหนึ่งวิ่งสวนมาด้วยความเร็ว และทำท่าจะวิ่งชนจักรยานสองล้อของชาวบ้านที่ขี่อยู่ข้างทาง โดยผู้ขับสิบล้อมิได้คิดจะแซงหรือเบี่ยงหลบ จิตของข้าพเจ้าตอนนั้นบอกว่าคนขับสิบล้อคงหลับใน หากรู้สึกตัวเห็นจักรยานสองล้อ มันจะต้องหักหลบมาชนรถของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน

พอจิตบอกข้าพเจ้าก็ถอนเท้าจากคันเร่ง เปลี่ยนเป็นเกียร์ ๒ และเหยียบเบรคอย่างแรงพร้อมทั้งเตรียมหักพวงมาลัยหลบ ก็พอดีรถสิบล้อคันนั้นหักหลบจักรยานพุ่งเข้าจะชนรถข้าพเจ้าดังที่คิด ข้าพเจ้าก็พยายามหักพวงมาลัยหลบ แต่รถก็หาเลี้ยวไม่คงทื่อเข้าใส่รถบรรทุกที่ขวางลำรถข้าพเจ้าด้วยแรงเฉื่อย ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าและทุกคนในรถไม่มีผู้ใดตกใจเลย มองเห็นรถข้าพเจ้าและรถบรรทุกค่อยเข้าหากันเหมือนภาพสโลโมชั่น เสมือนจะหลบกันพ้นแต่ก็ไม่พ้นชนกันแบบสะกิดๆ จนได้

เมื่อรถจอดสนิท ข้าพเจ้าก็สำรวจดูทุกคนในรถ ปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บแม้แต่จะฟกช้ำดำเขียว ขัดยอก หรือเลือดตกยางออกเลย ก็โล่งใจจึงเปิดประตูรถลงไปเอาปืนจี้คนขับรถบรรทุกไม่ให้หนี แล้วสำรวจดูสภาพรถปรากฏว่า รถวอลโว่ของข้าพเจ้าชนบันไดรถบรรทุกขาดกระจุยหัวรถเข้าไปซุกอยู่ในใต้รถบรรทุก จนถึงกระจกหน้า ไม่สามารถจะถอยรถออกมาได้

สักครู่รถคันหน้า ที่ล่วงหน้าไปก่อนเห็นรถของข้าพเจ้าหายไปไม่ตาม ก็ฉุกใจวนขับรถกลับมาดู ทุกคนหน้าซีดแข็งขาอ่อนบอกเห็นแต่ไกลว่าคงต้องมีการตายกันบ้างแน่ แม้ชาวบ้านที่วิดปลาอยู่ตามคูน้ำข้างทางที่รถชนกัน ก็พูดว่ารถชนกันเสียงสนั่นหวั่นไหว จนไม่กล้ามองคิดว่าต้องตายทั้งคันแน่

เมื่อทุกคนในคณะของข้าพเจ้ามาพร้อม คนขับรถบรรทุกก็ยอมรับว่าตนผิดและขอไปตามเถ้าแก่เจ้าของรถมา และเมื่อเถ้าแก่มาก็พูดจาตกลงกันด้วยดี โดยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โดยไม่เกี่ยงงอน แต่เมื่อตรวจดูสภาพรถวอลโว่ของข้าพเจ้า เมื่อใช้แม่แรงยกรถสิบล้อออกแล้วเข็นรถออกมา ทุกคนก็แทบไม่เชื่อสายตากล่าวคือ ฝากระโปรงรถหน้าที่ยุบไป เพราะรับน้ำหนักรถบรรทุกสิบล้อ ซึ่งบรรทุกอ้อยเต็มกลับดีดคืนเข้าสู่สภาพเดิม มีเพียงสีถลอกนิดเดียว ไฟหน้าทุกดวงและกระจกหน้ารถซึ่งเป็นส่วนที่ชนกันอย่างประสานงา ไม่มีการแตกร้าวหรือแม้แต่ไส้หลอดไฟก็ไม่ขาด

เมื่อเห็นสภาพรถแล้ว เถ้าแก่เจ้าของรถ (มากับพรรคพวกนักเลงไร่อ้อยพก ๑๑ มม. คนละ ๑ กะบอก) ก็ขอจ่ายค่าเสียหายให้ข้าพเจ้า ๒๐๐๐ บาท ด้วยความเต็มใจอีก ทั้งยังถามว่าข้าพเจ้าและครอบครัวจะกลับผ่านมาทางนี้อีกเมื่อไร จะมารอส่งด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็บอกไป และตอนขากลับเขาก็มารอส่งข้าพเจ้ากันจริงๆ

เรื่องที่ข้าพเจ้าประสบมานี้ ไม่น่าเป็นไปได้ในหลายๆ อย่าง อาทิเช่น รถวิ่งสวนกันด้วยความเร็ว และรถบรรทุกสิบล้อหักหลบมาชนแบบประสานงา กับรถของข้าพเจ้าในระยะกระชั้นชิด ซึ่งแม้ข้าพเจ้าจะแก้ปัญหากระทันหันด้วยวิธีการดังกล่าว เพียงแต่ทำให้รถข้าพเจ้าช้าลงไปบ้างเท่านั้น แต่รถสิบล้อที่วิ่งมาชนหาได้ลดความเร็วลงไม่ และสิ่งที่เป็นพยานสายตาปรากฏแก่สายตาก็คือ บันไดรถสิบล้อขาดกระจุย และหัวรถของข้าพเจ้ามุดเข้าไปอยู่ใต้รถบรรทุก จนต้องใช้แม่แรงยกรถบรรทุกขึ้นจึงจะสามารถเข็นรถของข้าพเจ้าออกได้

แต่ปรากฏว่าทุกคนในรถของข้าพเจ้าปลอดภัย และรถของข้าพเจ้าก็มีสภาพปกติพร้อมที่จะวิ่งต่อไปได้ (มีสีถลอกตรงฝากระโปรงนิดหน่อย) อีกทั้งนักเลงบ้านไร่ซึ่งตามกิตติศัพท์ร่ำลือกันนักกันหนาว่าดุมาก กลับยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มิหนำซ้ำยังมาคอยส่งข้าพเจ้าให้ตอนขากลับเยี่ยงมิตรที่ดีอีกด้วยซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้วด้วยพระบารมีของหลวงพ่อและหลวงปู่สี เมตตาคุ้มครองภยันตรายต่างๆ ให้นั่นเอง

หลวงพ่อช่วยการกีฬา


เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๖ ทางกองบิน ๔ ได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬา ประจำปีเหมือนกันเช่นทุกๆ ปีที่ผ่านมา โดยให้หน่วยขึ้นตรงกองบิน ๔ ฝูงบิน ๔๓, แผนกซ่อมบำรุง กองพันอากาศโยธิน, และส่วนกลาง (แผนกอำนวยการ, แผนกสิ่งสาร, แผนกสวัสดิการ ฝ่ายขนส่ง และฝ่ายช่างโยธา) จัดส่งทีมนักกีฬาทั้ง ๔ ประเภท ได้แก่ ฟุตบอล, ตะกร้อ, วอลเล่ย์บอล และบาสเกตบอล เข้าแข่งขันชิงถ้วยของผู้บังคับการกองบิน ๔

แต่เนื่องจากข้าพเจ้า ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกสื่อสารในขณะนั้นเป็นผู้ที่ชอบการกีฬามาตั้งแต่เยาว์วัยอีกทั้งชอบในการต่อสู้มาก จึงเห็นว่าน่าจะแยกเอา แผนกสื่อสารออกมาจากส่วนกลาง เป็นอีกทีมหนึ่งต่างหากก็จะทำให้วงการกีฬาของกองบิน ๔ คึกคักยิ่งขึ้น จึงได้ทำเรื่องขออนุมัติผู้บังคับการกองบิน ๔ (ในขณะนั้นคือ นาวาอากาศเอก ประหยัด ดิษยศริน ปัจจุบันมียศเป็นพลอากาศเอก และเกษียณอายุราชการแล้ว) ขอแยกทีมจากส่วนกลาง ซึ่งท่านก็อนุมัติ แต่ก็ให้ข้อคิดว่า

“คุณจะจัดทีมไปสู้ทีมของหน่วยอื่นเขาได้อย่างไร ในเมื่อข้าราชการในแผนกสื่อสารของคุณมีเพียง ๗๐-๘๐ คน ในขณะที่หน่วยอื่นๆ เขามีข้าราชการตั้ง ๓๐๐-๔๐๐ คน แต่เมื่อคุณมั่นใจ ผมก็ไม่ขัดข้องนะ”

เป็นอันว่า ข้าพเจ้าสามารถจัดทีมนักกีฬาของแผนกสื่อสารเข้าแข่งขันได้ทั้งฟุตบอล, ตะกร้อ, วอลเล่ย์บอล และบาสเกตบอล ซึ่งนับเป็นปีแรกที่มีนักกีฬาของแผนกสื่อสาร เกิดขึ้นมาในกองบิน ๔ และเพื่อเป็นเกียรติประวัติ อีกทั้งต้องการลบล้างคำสบประมาทของหน่วยอื่นๆ ที่พากันดูถูกว่าทีมใหม่เป็นหมูสนาม (เพราะแต่เดิมมีแผนกสื่อสารไปรวมอยู่ในส่วนกลางก็ยังแพ้หน่วยอื่นเขา)

ข้าพเจ้าจึงตั้งปณิธานไว้แน่ชัดว่า ข้าพเจ้าจะนำทีมของแผนกสื่อสาร ชิงถ้วยผู้บังคับการกองบิน ๔ ให้ได้ทั้ง ๔ ประเภท คือฟุตบอล, ตะกร้อ, บาสเกตบอล และวอลเล่ย์บอล ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่หนักมาก แต่ข้าพเจ้าถือว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น

ข้าพเจ้าเริ่มคัดตัวนักกีฬาแต่ละประเภท โดยเริ่มจากทีมตะกร้อเพราะข้าพเจ้าถนัดมากนเองจากเล่นมาตั้งแต่อายุ ๑๐ ขวบ (พร้อมกับฟุตบอล) และได้เล่นขันแข่งระหว่างกองในโรงเรียนนายร้อย จปร. ชนะเลิศมาโดยตลอด ในที่สุดก็กำหนดตัวได้ โดยข้าพเจ้าเป็นแบ๊ค, พ.อ.อ.สนั่น ตันติวานิช และ จ.อ.สุรชาติ สุทธิวรรณเป็นกองหน้า ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ควบคุมการฝึกซ้อมให้ทุกวัน จนมั่นใจได้ว่า ทีมตะกร้อของแผนกสื่อสารเป็นทีมที่แข็งแกร่งมาก น่าจะคว้าถ้วยชัยชนะเลิศได้อย่างแน่นอน

ต่อมาก็จัด ทีมวอลเล่ย์บอล โดยคัดข้าราชการสื่อสารที่เป็นหัวหน้าวอลเล่ย์บอลจากโรงเรียนจ่าอากาศได้ ๒-๓ คน เอามาเป็นครูฝึกข้าราชการสื่อสารที่มีรูปร่างสูงเปรียวทั้งหลายแต่ก็ไม่เคยเล่นวอลเล่ย์บอลเลย เริ่มตั้งแต่ฝึกกำลังขาให้สามารถกระโดดสูงๆ แล้วชงลูกบอลให้ตบอย่างเดียว ฝึกกระโดดตบลูกอยู่เช่นนั้นเป็นเดือนๆ จนผู้ตบมีความชำนาญสามารถตบหยอด, ตบไซด์ได้และบล็อกลูกตบได้อยู่ในเกณฑ์ดี

ต่อมาข้าพเจ้าก็จัดให้มีการแข่งขันระหว่างหน่วยในแผนกสื่อสาร จนข้าราชการสื่อสารทุกคนติดกีฬา แม้เลิกงานแล้วก็ไม่ยอมกลับบ้านกันอยู่เล่นวอลเล่ย์บอลกันเองจนมืดจนค่ำ นับว่าข้าพเจ้าสร้างนักกีฬาวอลเลย์บอลชุดใหม่ขึ้นมา ในแผนกสื่อสารได้มากมายจริงๆ ในขณะที่นักกีฬาวอลเล่ย์บอลของหน่วยต่างๆ มีแต่หน้าเดิม รูปร่างเตี้ยๆ และตกอยู่ในความประมาทด้วยเหตุนี้ทีมวอลเล่ย์บอลของข้าพเจ้าจึงเป็นทีมที่มั่นใจได้ว่า น่าจะคว้าถ้วยชนะเลิศได้อย่างแน่นอนอีกประเภทหนึ่ง

ส่วนการจัดทีมบาสเกตบอลนั้น ข้าพเจ้าก็ใช้วิธีจัดการเช่นเดียวกับทีมวอลเล่ย์บอล โดยสร้างนักบาสเกตบอลใหม่ขึ้นมาอีก แต่เนื่องจากสนามฝึกซ้อมของแผนกสื่อสารไม่มีเป็นของตัวเอง ทำให้การฝึกซ้อมเป็นไปไม่สมกับที่ได้ตั้งใจไว้ แต่ก็มั่นใจได้ว่ามีสิทธิ์ได้ครองถ้วยชนะเลิศประมาณ ๙๐ เปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่ข้าพเจ้าหนักใจมากที่สุดก็คือ การจัดทีมฟุตบอล เพราะการสร้างนักฟุตบอลให้ได้แต่ละคนนั้นยากมาก เพราะฟุตบอลเล่นด้วยเท้าไม่ใช่เล่นด้วยมือเหมือนวอลเล่ย์บอลหรือบาสเกตบอล อีกทั้งต้องใช้ผู้เล่นเป็นจำนวนถึง ๑๑ คน และยังต้องมีผู้เล่นสำรองอีกอย่างน้อย ๔-๕ คน ไม่เหมือนตะกร้อข้ามตาข่าย ซึ่งใช้ผู้เล่นเพียง ๓ คน

อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็พยายามเฟ้นหานักฟุตบอลจริงๆ ที่พอมีฝีเท้าอยู่ในระดับเดียวกับนักฟุตบอลทีมอื่นๆ เข้าได้มา ๖ คนคือ จ.อ.บรรจง สุขเจริญ, จ.อ.ธนิต ธนะปลื้ม, จ.อ.สุรชาติ สุทธิวรรณ, พ.อ.อ.สมาน กลับทวี, พ.อ.อ.ประจวบ หิรัญปาน และตัวข้าพเจ้าเอง ส่วนที่เหลือก็คัดเอานักบาสเก็ตบอลมาฝึกเป็นประตูได้ ๒ คนคือ จ.อ.จำลอง จันทร์เพ็ญ และ จ.อ.ธวัช ธรรมสาคร นอกจากนั้นก็เลือกเอาผู้ที่วิ่งเร็ว แข็งแรงมีจิตใจนักสู้ และพอเตะฟุตบอลได้บ้างมาเข้าทีม

สรุปรวมความแล้วนักฟุตบอลในทีมข้าพเจ้าบางคนสวมรองเท้าฟุตบอลไม่ได้ เพราะรองเท้ากัด บางคนหยุดลูกบอลโดยใช้เท้ากระทืบ บางคนเลี้ยงลูกบอลไม่เป็น ลูกบอลมาถึงเท้าเมื่อไรก็เตะเปรี้ยงออกไปให้พ้นตัวเท่านั้นเอง แต่อาศัยที่ว่าทุกคนมีกำลังใจดีเพราะข้าพเจ้าร่วมเล่นด้วย อีกทั้งให้กำลังใจว่า บรรดาผู้เล่นกองหน้าเมื่อได้ลูกแล้วหากปล่อยให้ใครมาแย่งไปได้ถือว่าเสียเหลี่ยมมาก ต้องติดตามเอาลูกบอลคืนมาให้ได้

สำหรับกองกลางและกองหลังให้สำนึกว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเก่งกาจอย่างไรก็ตาม หากมาเจอข้าฯ สกัดแล้วอย่าได้หวังจะเลี้ยงลูกบอลผ่านไปได้ ส่วนประตูนั้นก็ให้สำนึกและมั่นใจว่าตราบใดที่ข้าฯยืนเป็นผู้รักษาประตูอยู่จะไม่มีวันที่ใครจะยิงลูกบอลผ่านมือเข้าไปได้ และด้วยการย้ำบ่อยๆ

ก่อนการซ้อมทุกครั้งทำให้นักฟุตบอลของข้าพเจ้าทุกคนคึกคะนอง มีกำลังกล้าแข็ง แม้จะเล่นบอลไม่อยู่ในขั้นมาตรฐานนักแต่ทุกคนวิ่ง แม้ฝ่ายตรงข้ามหลบไปได้ก็จะกลับตัววิ่งติดตามพัวพันไม่มีลดละ ช่วยเหลือด่านหลังที่เข้าสกัดแบบถึงลูกถึงคน ด้วยเหตุนี้ทีมนักฟุตบอลของแผนกสื่อสารแม้มี ๑๑ คนเท่าทีมอื่น แต่ดูเหมือนมีสัก ๒๐ คน

และแล้วฤดูการแข่งขันกีฬาประจำปี ๒๕๑๖ ก็มาถึง และทีมนักกีฬาแผนกสื่อสารของข้าพเจ้าก็ได้เข้าชิงชนะเลิศทั้ง ๔ ประเภท คือ ตะกร้อข้ามตาข่าย, วอลเล่ย์บอล, บาสเกตบอลและฟุตบอล ตามที่ข้าพเจ้าได้หวังไว้โดย

- ตะกร้อข้ามตาข่าย ชิงชนะเลิศกับแผนกซ่อมบำรุงฯและก็ได้ชนะเลิศได้ถ้วยใบที่ ๑ ไปด้วยชั้นเชิงการเล่นที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมาย

- วอลเล่ย์บอล ชิงชนะเลิศกับกองพันอากาศโยธินฯและก็ได้ชนะเลิศได้ถ้วยใบที่ ๒ ไปด้วยชั้นเชิงการเล่นที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมาย

- บาสเกตบอล เข้าชิงชนะเลิศกับทีมส่วนกลาง ปรากฏว่าบาสเกตบอลของแผนกสื่อสารทำแต้มนำมาโดยตลอด จ นกระทั่งเหลืออีก ๗ นาทีจะหมดเวลา ก็ยังนำ ๕ แต้ม (๒ ลูกครึ่ง) ต่อจากนั้นนักบาสเกตบอลตัวหลักๆ ของข้าพเจ้าก็หมดแรง เพราะมีผู้เล่นสำรองที่จะเข้าไปสับเปลี่ยนน้อยทำให้ทีมส่วนกลางทำคะแนนไล่มาเป็น ๖๖-๖๕ คือยังนำเขาอยู่เพียงแค่ ๑ แต้ม (ครึ่งลูก) ข้าพเจ้าดูนาฬิกาแล้วก็เห็นเหลือเวลาอยู่เพียง ๒ นาทีจะหมดเวลา และเมื่อดูสถานการณ์การเล่นแล้วเห็นว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงต้องแพ้แก่ทีมส่วนกลางแน่นอน

ข้าพเจ้าจึงกำหนดจิตถึงหลวงพ่อขอให้จัดส่ง "ท่านเทพฤทธิ์" (หลวงพ่อเคยบอกว่าท่านเทพฤทธิ์ เป็นเทพที่ปกป้องคุ้มครองกองบิน ๔ อยู่) มาช่วยนั่งอุดรูห่วงที่แป้นทางด้านของทีมแผนกสื่อสารไว้ ก็พอดีทีมของส่วนกลางชู๊ตลูกโทษ ๒ ครั้ง และคน ชู๊ตลูกโทษก็เป็นผู้ที่ชู๊ตลูกได้แม่นยำที่สุดเสียด้วย

ปรากฏว่าลูกบอลลงไปในห่วงแล้วก็กระเด้งกลับออกมาทั้ง ๒ ครั้ง และไม่ว่าทีมส่วนกลางจะบุกเข้ามาชู้ตทั้งไกล หรือใกล้ใต้แป้นอีกสักกี่หนกี่ครั้งก็ตาม ลูกบอลก็จะกระเด้งออกจากห่วงทุกครั้งไป เป็นปาฏิหาริย์ที่เห็นได้อย่างเด่นชัดจนกระทั่งเสียงนกหวีดเป่าหมดเวลาการแข่งขัน และทีมบาสเกตบอลของแผนกสื่อสาร ก็ชนะส่วนกลางไป ๖๖-๖๕ ได้เป็นทีมชนะเลิศได้ถ้วยใบที่ ๓ มาอย่างปาฏิหาริย์

สำหรับฟุตบอลนั้นทีมของแผนกสื่อสารได้เข้าชิงชนะเลิศกับทีมของแผนกซ่อมบำรุง ในวันปิดการแข่งขันกีฬากองบิน ๔ ประจำปี ๒๕๑๖ พอเริ่มการแข่งขันทีมของแผนกซ่อมบำรุงก็เปิดเกมรุกทันที ด้วยความสามารถในการคอนโทรลบอลและการจ่ายบอลที่เหนือชั้น บวกกับความสามารถเฉพาะตัว ของนักฟุตบอลแต่ละคนที่เหนือกว่า ทำให้นักฟุตบอลของแผนกสื่อสารวิ่งกันพล่านและตกเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา พูดง่ายๆ ก็คือพับสนามเล่นอยู่ในแดนของแผนกสื่อสารนั่นเอง

พอนาทีที่ ๒๐ แผนกซ่อมบำรุงก็สามารถยิงประตูนำไปก่อน ๑-๐ แล้วก็บุกพับสนามเล่นอยู่เช่นเดิม ข้าพเจ้าซึ่งเป็นหัวหน้าทีมของแผนกสื่อสารและได้ลงเล่นด้วยเข้าใจสถานการณ์ดีว่า หากขืนเล่นต่อไปเช่นนี้ มีหวังถูกทีมแผนกซ่อมบำรุงยิงถล่มนับไม่ถ้วยแน่ จึงกำหนดจิตขอให้หลวงพ่อสั่งท่านเทพฤทธิ์ หรือท่านใดก็ได้ช่วยบันดาลให้ฝนตกเถิด

บัดดลท้องฟ้าที่แจ่มใสก็เกิดมืดครึ้ม ลมพายุจัดและฝนก็ตกลงมาอย่างหนักโดยมิได้มีเค้ามาก่อนเลย น้ำเริ่มเจิ่งนองสนาม นักฟุตบอลของแผนกซ่อมบำรุงจับบอลเลี้ยง จ่ายบอลกันผิดพลาด มีการเสียหลักลื่นไถลไม่มีฟอร์มของการเล่นใดใดที่เหนือกว่าอีกต่อไป ผิดกับนักฟุตบอลของแผนกสื่อสารที่ทั้งใส่รองเท้าฟุตบอลและไม่ได้ใส่รองเท้า วิ่งลุยตัดลูกบอลของแผนกซ่อมบำรุงที่จ่ายพลาดไปเป็นขบวน คนหนึ่งพลาดคนหลังก็เตะลุยต่อพอนาทีที่ ๔๐ ก็ยิงประตูคืนมาได้เป็น ๑-๑ และพอเริ่มการแข่งขันในครึ่งหลังของแผนกสื่อสารก็ลุยต่อ

ในขณะที่ทีมของแผนกซ่อมบำรุงท้อแท้หมดกำลังใจ เพราะไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ตามแผนเนื่องจากสนามแฉะ เลี้ยงบอลจ่ายบอลไม่ได้ในที่สุดทีมของแผนกสื่อสารที่แรงดี กำลังใจดี ก็ยิงประตูนำไปได้อีก ๒ ประตู และก็ชนะทีมแผนกซ่อมบำรุงไป ๓-๑ ได้เป็นทีมชนะเลิศได้ถ้วยใบที่ ๔ มาครองอย่างปาฏิหาริย์ด้วยประการฉะนี้

เมื่อชนะเลิศฟุตบอลแล้ว ข้าพเจ้าก็จัดให้มีการเลี้ยงฉลองถ้วยทั้ง ๔ ใบในคืนนั้น และสั่งพ.อ.อ.ชลอ ผาสุก ให้รายงานหลวงพ่อว่า “การแข่งขันฟุตบอลชิงชนะเลิศที่ข้าพเจ้าหนักใจมากที่สุดนั้น บัดนี้ทางแผนกสื่อสารทำได้สำเร็จแล้ว โดยสามารถเอาชนะคู่แข่งขันได้ ๓ ประตูต่อ ๑”

ครั้นตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น พ.อ.อ.ชลอ ผาสุก ก็หน้าตาตื่นมาที่ทำงานข้าพเจ้า “หัวหน้าครับ เมื่อวานนี้เราชนะฟุตบอลเขาเท่าไร”

ข้าพเจ้าตอบ “ชนะ ๓-๑”

พ.อ.อ.ชลอ ผาสุก จึงเล่าว่า “ผมไปเรียนให้หลวงพ่อทราบเมื่อเช้านี้ว่าเราชนะฟุตบอลแล้ว ๒ ประตูต่อ ๑ แต่หลวงพ่อกลับบอกว่า เฮ้ยเมื่อคืนกรมหลวงชุมพรฯ มาบอกข้าฯ ว่าชนะ ๓ ประตูต่อ ๑ นี่หว่าผมจึงต้องรีบแจ้นกลับมาดู เอ๊ ทำไมผมจำผิดได้”

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ตัดเสื้อวอร์มสีม่วง (สัญญลักษณ์) ของแผนกสื่อสารแจกจ่ายราชการและคนงานทั้งหมด ทุกชั้นยศ เพื่อเป็นกำลังใจที่ทุกคนทั้งผู้เล่นและไม่ได้เล่นได้ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจทำชื่อเสียงให้หน่วยจนได้ถ้วยชนะเลิศมาครองทั้ง ๔ ประเภท และก็ได้นิมนต์หลวงพ่อ มาทำพิธีตั้งศาลเจ้าพ่อเทพฤทธิ์ ที่แผนกสื่อสารกองบิน ๔ ซึ่งก็เป็นที่เคารพบูชาของบรรดานักกีฬาสื่อสารตราบมาจนทุกวันนี้

ท่านผู้อ่านที่รัก ทั้งบาสเกตบอล และฟุตบอลนั้นข้าพเจ้าซาบซึ้งอยู่ในใจตลอดว่า หากไม่ได้บารมีของหลวงพ่อช่วยแล้ว ก็ไม่มีวันเป็นไปได้เป็นอันขาดที่แผนกสื่อสารจะเอาชนะเลิศชิงถ้วยมาได้ และชาวแผนกสื่อสารก็คงจะไม่มีวันภูมิใจได้มาจนถึงทุกวันนี้ ว่าครั้งหนึ่งสามารถคว้าถ้วยชนะเลิศกีฬาของกองบินทั้ง ๔ ประเภทมาได้.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 14/11/09 at 17:31 [ QUOTE ]


หลวงพ่อให้พรเทวดา


เมื่อประมาณปี่ พ.ศ.2517 ข้าพเจ้าได้พาภรรยาพร้อมด้วยผู้ที่ขอติดตามอีก 2 ท่านคือ พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์ และคุณแม่ภรรยา (แม่ยาย) ของ น.ท.บุญมาก สุขโชค ไปนั่งกรรมฐานที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เหมือน เช่นที่ได้เคยปฏิบัติมาในทุกคืนวันศุกร์ และคืนวันเสาร์ (ในขณะนั้นข้าพเจ้าไปเข้าเรียนฝ่ายอำนวยการสื่อสาร ที่ดอนเมืองจันทร์-ศุกร์)

ซึ่งการปฏิบัติก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง คือเริ่มจาก 2 ทุ่ม ไปจนถึง 3 ทุ่ม และต่อจากนั้นหลวงพ่อก็จะสอนและให้แนะนำเพิ่มเติมแก่ศิษย์เป็นส่วนรวม แล้วชี้แนะอุบายให้ศิษย์บางคนนำไปปฏิบัติเพื่อให้การปฏิบัติรุดหน้าไปได้เร็วยิ่งขึ้น

หลัง 3 ทุ่มของคืนวันหนึ่ง เมื่อสัญญาณออดหมดเวลาของการนั่งปฏิบัติพระกรรมฐาน หลวงพ่อได้พูดให้ศิษย์ทุกคนฟังว่า

“เมื่อเวลา 2 ทุ่มครึ่ง มีเทวดาองค์หนึ่งใบหน้าและผิวพรรณเศร้าหมองได้มากราบฉัน ท่านคงเห็นฉันงงๆ ก็เลยแนะนำตัวเองว่า ท่านได้เคยเป็นลูกศิษย์นับใช้ใกล้ชิดฉันมานาน ขณะนี้ใช้กรรมหมดแล้วจึงมากราบลาขอพรหลวงพ่อไปเกิด

ฉันก็งงใหญ่ จึงตรวจสอบดูก็รู้ชัดว่า เทวดาท่านนั้นหาใช่ผู้ใดไม่ คือ "เจ้าแดง" สุนัขที่คอยติดตามฉันอย่างใกล้ชิดมาตลอดเวลานั่นเอง และบัดนี้เจ้าแดงได้ถูกรถบรรทุกทราบทับตายอยู่ที่หน้าประตูวัด เมื่อเวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่งนี้เอง

ฉันก็ได้ให้ศีลให้พรเขาไป ใบหน้าและผิวพรรณของเขาก็แจ่มใสสวยงามมาก บัดนี้เขาไปดีแล้วนะขอทุกคนจำไว้ อย่าไปดูถูกสุนัข สุนัขนั้นไม่มีโอกาสตกนรก ตายแล้วอย่างเลวก็เป็นสุนัขอีก หากใช้กรรมหมดอาจไปเกิดเป็นคน หรือไม่ก็เป็นเทวดา อย่างเจ้าแดงไปเลย

ส่วนคนนั้นถ้าตาย ถึงแม้จะได้ปฏิบัติธรรมมา แต่ถ้าตกอยู่ในความประมาท ปล่อยให้จิตขณะที่แยกจากกายไปจับเอากรรมชั่วเข้า ก็จะต้องไปรับกรรมชั่วก่อน มีโอกาสตกนรกได้เหมือนกันนะ..อย่าลืม..!

ข้าพเจ้าซึ่งแม้ในขณะนั้น จะมีความเลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อสักเพียงไรก็ตาม แต่ก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ดี เพราะบังเอิญข้าพเจ้าได้เห็นเจ้าแดงอยู่หลัดๆ ก่อนขึ้นมากราบหลวงพ่อ และหลวงพ่อก็นั่งเป็นประธานคุมลูกศิษย์นั่งพระกรรมฐานอยู่ตั้งแต่ 2 ทุ่ม จนถึงบัดนี้หาได้ลุกไปที่ใดไม่ จะรู้ได้อย่างไรว่า เจ้าแดงถูกรถบรรทุกทรายทับตายตอน 2 ทุ่มครึ่งที่หน้าประตูวัด

ขณะที่คิดอยู่ในใจ จ่าสายซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็กระซิบพูดเป็นทำนองสงสัยเช่นเดียวกับข้าพเจ้า และเพื่อจะพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจึงให้จ่าสายแอบเลี่ยงลงไปดูเหตุการณ์ที่หน้าประตูวัด

สักครู่หนึ่ง จ่าสายก็กระหืดกระหอบหน้าตาตื่นมากระซิบบอกข้าพเจ้าว่า "เจ้าแดง" สุนัขของหลวงพ่อ ถูกรถบรรทุกทรายทับตายอยู่ที่หน้าประตูวัด เมื่อตอน 2 ทุ่มครึ่ง ตามที่หลวงพ่อบอกจริงๆ

ดังนั้น หากข้าพเจ้าจะคิดว่าหลวงพ่อได้ ทิพจักขุญาณ (ตาทิพย์) และ ทิพโสตญาณ (หูทิพย์) จึงสามารถเห็นและติดต่อกับเทพได้ ก็ไม่น่าจะผิดไปใช่ไหมครับ..?



หลวงพ่อรู้อารมณ์จิต


เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2518 ข้าพเจ้าได้พาภรรยาพร้อมด้วยผู้ติดตามอีก 2 ท่านคือ พ.อ.อ.สายศิริรัตน์และ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ไปร่วม งานพิธี 100 ปี หลวงปู่ปาน ที่วัดท่าซุง อุทัยธานี ในวันนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่ามี "พระสุปฏิบันโน" ระดับสูงจากภาคเหนือมาร่วมในงานพิธีมากมาย อาทิเช่น

หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก หลวงปู่คำแสน(เล็ก) วัดดอนมูล หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงปู่ครูบาวงศ์ หลวงปู่สิม หลวงปู่บุดดา และหลวงปู่มหาอำพัน จากวัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ เป็นต้น (ความจริงมีมากกว่านี้ แต่เนื่องจากกาลเวลาผ่านมานานมาก และข้าพเจ้าเกรงจะเกิดการผิดพลาดขึ้น จึงมิกล้าเอ่ยถึงท่านอื่นๆ อีก)

เมื่อใกล้เวลาที่หลวงพ่อจะขึ้นศาลา ข้าพเจ้าและผู้ติดามก็พากันรีบขึ้นไปรอหลวงพ่ออยู่บนศาลาร่วมกันบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ซึ่งมาชุมนุมกันอยู่อย่างแน่นขนัด และต่างก็ชะเง้อมองลงไปดูขบวนแห่ของหลวงพ่อ ซึ่งเมื่อเห็นก็บังเกิดอาการขนลุกซู่..!!!

เพราะภาพที่ปรากฏก็คือ หลวงพ่อของเราประทับนั่งอยู่บนเสลี่ยงเป็นสง่า และรอบๆเสลี่ยงนั้นมีหลวงปู่ทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วข้างต้นเดินตามมาด้วยอาการสงบเสงี่ยม เสมือนหนึ่งขุนศึกถวายอารักขาจอมทัพฉะนั้น (นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดขึ้นในจิตของข้าพเจ้าในขณะนั้นจริงๆ มิใช่มากล่าวเยินยอหลวงพ่อที่เป็นอาจารย์เกินเหตุ)

เมื่อเสลี่ยงของหลวงพ่อขึ้นมาบนศาลา และเคลื่อนใกล้มายังจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหลวงพ่อซึ่งนั่งอยู่บนเสลี่ยง "มีผิวสีดำ" และ "เคี้ยวหมาก" อีกด้วย (ตามปกติหลวงพ่อจะไม่ฉันหมาก)

จิตในตอนนั้นของข้าพเจ้า ก็บังเกิดความอยากได้ "ชานหมาก" ที่หลวงพ่อกำลังขบเคี้ยวอยู่ขึ้นมาอย่างรุนแรง และคิดว่าหากได้มาข้าพเจ้าจะกินและกลืนลงท้องทันที น่าจะเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นสิ่งที่เหลือเชื่อก็อุบัติขึ้น กล่าวคือ หลวงพ่อคายหมากที่กำลังขบฉับอยู่ลงในฝ่ามือแล้วพูดดังๆ ว่า “เอ้า..คุณมนูญ..เอาไป..!” พร้อมกับปาชานหมากนั้นมาทางกลุ่มของข้าพเจ้าซึ่งเบียดอยู่กับศิษย์อื่นๆ แน่นขนัด

ข้าพเจ้าในขณะนั้นทำอะไรไม่ถูก เพียงแต่ยกแขนแบมือขึ้นเหนือศีรษะ ท่ามกลางฝ่ามือของผู้อื่นเป็นจำนวนมาก ที่กระโดดขึ้นแย่งชานหมากที่ลอยมา แต่ทว่าหมากของหลวงพ่อคำนั้นกลับมาตกอยู่ในฝ่ามือของข้าพเจ้าที่ยกชูขึ้นเฉยๆ ทั้งคำ โดยมิได้กระจายหรือตกไปเป็นของผู้ใดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งข้าพเจ้าก็รับเอาใส่ปาก และเคี้ยวกลือลงไปตามที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกโดยทันที ท่ามกลางความประหลาดใจแก่ผู้ที่อยู่รอบข้างเป็นอย่างยิ่ง

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าดังกล่าวนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากคิดว่าหลวงพ่อรู้ถึงอารมณ์จิตของข้าพเจ้าในขณะนั้นว่า อยากได้ชานหมากที่ท่านกำลังขบเคี้ยวเป็นอย่างยิ่งจึงโยนให้มา และการที่หลวงพ่อจะรู้ถึงอารมณ์จิตของข้าพเจ้าได้ หลวงพ่อก็ต้องได้ เจโตปริยญาณ อย่างแน่นอน

นอกจากนั้นหลวงพ่อจะต้องทรงอภิญญาด้วย จึงสามารถบังคับชานหมากทั้งคำมิให้แตกกระจายและหลบเลี่ยงจากการไขว่คว้าของผู้อื่น จนกระทั่งมาตกลงบนฝ่ามือของข้าพเจ้าได้ดังที่ตั้งใจจะให้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์อีกด้วย

อีกครั้งหนึ่ง พออากาศตรีเรวัตร วิริยพงศ์ (ยศในตอนนั้นขณะที่เป็นเจ้ากรมจเรทหารอากาศ) และ นาวาอากาศเอกสมชาย ถึงพุ่ม (ยศในตอนนั้น ขณะที่เป็นรองเจ้ากรมจเรทหารอากาศ) ได้พากันมาที่บ้านพักของข้าพเจ้าในกองบิน 4 ตาคลี ตอนเย็นหลังจากการปฏิบัติภารกิจตรวจเยี่ยมกองบินของกรมจเรฯ

ทั้งนี้เพราะทั้สองท่านมีความศรัทธาธรรมเลื่อมใสในหลวงพ่อมาก และได้ทราบว่าข้าพเจ้าจะเดินทางออกจากกองบินฯในตอนพลบค่ำ เพื่อไปนั่งกรรมฐานที่วัดท่าซุง จึงอยากจะขอติดตามไปด้วย ระหว่างที่รอเวลาออกเดินทาง ท่านทั้งสองก็เล่าถึงความในใจให้ข้าพเจ้าฟังว่า

การไปคราวนี้ตั้งใจจะเรียนถามปัญหาธรรมะ ที่ยังเคลือบแคลงสงสัยในหลายๆ เรื่องจากหลวงพ่อ ซึ่งข้าพเจ้าก็แนะนำไปว่า ให้เรียนถามท่านหลังจากที่หลวงพ่อคุมศิษย์นั่งปฏิบัติกรรมฐานแล้ว เพราะจะเป็นช่วงที่หลวงพ่อสอนศิษย์ และให้ศิษย์สอบถาม ทั้งสองก็เข้าใจ

ปรากฏว่าในคืนนั้นหลังจากที่หลวงพ่อคุมศิษย์นั่งปฏิบัติพระกรรมฐานเสร็จ หลวงพ่อก็สอนทุกคนนานผิดปกติ และเมื่อสอนเสร็จหลวงพ่อก็หันไปพูดกับนาวาอากาศเอกสมชายว่า

“เป็นยังไง..จะคิดปฏิวัติใจหรืออย่างไร จึงมีปัญหามากมายนัก ยังจะมีข้ออันใดที่สงสัยอีกไหม? ”

นาวาอากาศเอกสมชายก็พนมมือตอบหลวงพ่อว่า

“ที่ผมและเจ้ากรมเรวัตร คุยถกเถียงกันถึงปัญหาธรรมะมาโดยตลอดนั่น หลวงพ่อได้ตอบไปทั้งหมดแล้ว จนไม่มีข้อสงสัยใดใดที่จะต้องสอบถามอีกแล้วครับ”

เป็นอันว่า หลวงพ่อรู้ถึงอารมณ์จิตของท่านทั้งสองหมดว่าสงสัยอะไรบ้างและการรู้อารมณ์จิตของผู้นั้น หลวงพ่อได้แสดงให้ศิษย์รุ่นต่อๆ มาเห็นมามากต่อมาก หากข้าพเจ้าจะนำมาเล่าก็คงไม่รู้จบ จึงขอยุติไว้เพียงแค่นี้.



หลวงพ่อช่วยงานศพหลวงปู่สี


เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2520 ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนเสนาธิการทหารอากาศ แต่ในวันหยุดก็ได้เดินทางกลับบ้านที่กองบิน 4 ตาคลี นครสวรรค์ ทุกครั้งและก็ได้ไปแวะเยี่ยม หลวงปู่สี ที่กำลังอาพาธหนักอยู่เสมอๆ ในบางครั้งที่เจอ คุณหมอโอ๊ด ซึ่งเป็นนายแพทย์ของกองบิน 4 (ชื่อจริงข้าพเจ้าต้องขอภัยที่จำไม่ได้เพราะเรียกกันแต่หมอโอ๊ดจนติดปาก) มาคอยให้การเยียวยารักษาอยู่

และด้วยเหตุนี้จึงได้รู้และเห็นกับตาว่า คราวใดก็ตามหากหลวงปู่สีไม่ยอมให้หมดฉีดยาแต่หมอจะฉีดให้ได้ เข็มฉีดยาก็จะต้องหักทุกครั้งไปเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง หมดโอ๊ดเองก็หนักใจเพราะไม่สามารถรักษาได้ตามกระบวนการแพทย์

และครั้นเมื่อหลวงปู่สีมีอาการหนักมาก ท่านเจ้าอาวาสก็คลานเข้าไปสอบถามว่า “หากหลวงปู่สีมรณภาพ จะให้ทางวัดจัดพิธีศพของหลวงปู่สีอย่างไร” ซึ่งหลวงปู่สีก็ได้ตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า

“หากข้ามรณภาพเมื่อใด ท่านฤาษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง”

ต่อจากนั้นมาอีกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับทราบจาก พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ว่าหลวงปู่สีได้มรณภาพ เมื่อเวลาประมาณตีสาม และหลวงพ่อก็ได้มาถึงวัดเมื่อเวลาประมาณตีห้า โดยมิได้รับการติดต่อจากผู้ใดทั้งสิ้น (ข้าพเจ้าต้องขอภัยอีกครั้ง ที่จำวันมรณภาพของหลวงปู่สีไม่ได้)

และเมื่อหลวงพ่อมาถึงวัด ก็ได้สั่งการและอำนวยการให้เก็บศพหลวงปู่สีไว้ในโลงแก้ว ในสภาพเสมือนหนึ่งหลวงปู่สีนอนหลับสนิทมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งคือรางของหลวงปู่สีไม่เน่าเปื่อย อีกทั้งเล็บมือเล็บเท้าและผมก็งอกยาวออกมาเช่นบุคคลธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทางวัดก็จะต้องเปิดโลงแก้วทุกๆ 15 วันเพื่อปลงผมและตัดเล็บมือเล็บเท้าให้หลวงปู่สีตลอดมา

หลวงปู่สีได้มรณภาพเมื่ออายุ 126 ปี บัดนี้ศพของท่านบรรจุอยู่ในโลงแก้ว วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หากท่านผู้ใดสนใจที่จะไปนมัสการกราบไหว้ก็ไปได้ตลอดเวลา

เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้จะเห็นได้ว่าทั้งหลวงปู่สี และหลวงพ่อจะต้องได้ญาณ และติดต่อกันได้ทางจิตมาโดยตลอด ซึ่งในทันทีที่หลวงปู่สีสิ้นลม หลวงพ่อก็รับทราบและเดินทางมาจัดการได้ในทันที

ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่ข้าพเจ้ามิได้หยิบยกมาเล่าไว้ ณ ที่นี้ แต่อาจจะสรุปตามที่ข้าพเจ้ามั่นใจเป็นส่วนตัวได้ว่า หลวงพ่อเป็น "พระอริยะระดับสูงสุด" ที่ทรงฌานและได้ญาณทั้ง 8 คือ ทิพจักขุญาณ, จุตูปปาตญาณ, เจโตปริยญาณ, ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ, อตีตังสญาณ, อนาคตังสญาณ, ปัจจุปปันนังสญาณ, และ ยถากัมมุตาญาณ อีกทั้งเป็นผู้มีฤทธิ์ได้ทั้งวิชชาสาม และทรงอภิญญา 6 ด้วย

และเมื่อข้าพเจ้าได้ศึกษาค้นคว้าเฝ้าติดตามหลวงพ่อมาโดยตลอด ก็แน่ใจว่าหลวงพ่อเป็นพระปฏิบัติคล่องในพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และพระวิปัสสนาญาณทั้ง 9 โดยแน่แท้

ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อได้เคยปรารถนา "พุทธภูมิ" มาจึงต้องปฏิบัติให้ได้ทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือชี้แนะแนวทางให้แก่ลูกหลานทั้งหลาย ที่มีจริตแตกต่างกันไปได้ (นักปฏิบัติธรรมดาเช่นพวกเราหากจับกรรมฐานกองดกองหนึ่งได้ ก็ย่อมเกิดปีติได้ และปีติที่เกิดแม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ย่อมทำให้การปฏิบัติสมถกรรมฐานรุดหน้า สามารถนำไปใช้เจริญวิปัสสนาญาณอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ซึ่งก็นับว่าเป็นการดีที่สุด)

ดังนั้นจึงย่อมเป็นการง่ายดายสำหรับหลวงพ่อ ซึ่งได้วิชชาสาม ทรงอภิญญา 6 และได้ญาณทั้ง 8 อยู่แล้ว จะได้นำเอาสิ่งที่ได้มาพิจารณาวิปัสสนญาณเพื่อละสังโยชน์ 10 จนบรรลุเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดคือพระอรหันต์ได้

และด้วยความมั่นใจส่วนตัวของข้าพเจ้ามาโดยตลอด ก็คือหลวงพ่อมิใช่เป็นพระอรหันต์แบบสุกขวิปัสสโก เตวิชชโช หรือฉฬภิญโญ แต่ต้องเป็นพระอรหันต์ประเภท "ปฏิสัมภิทาญาณ" อีกด้วยเพราะหลวงพ่อทรงปฏิสัมภิทา 4 คือ

1. อัตถปฏิสัมภิทา มีปัญญาแตกฉานในอรรถคือ ฉลาดในการอธิบายถ้อยคำที่ท่านอธิบายมาแล้วได้อย่างพิสดารถอดเนื้อความที่พิสดารนั้น ให้ย่อสั้นลงมาได้ชัดเจนไม่เสียความ

2. ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในการอธิบายหัวข้อธรรม ที่ท่านกล่าวมาแต่หัวข้อให้พิสดารเข้าใจ

3. นิรุตติปฏิสัมภิทา มีความฉลาดในภาษา รู้และเข้าใจภาษาทุกภาษาได้อย่างอัศจรรย์(ไม่ว่าจะเป็นภาษาของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์ หรืออสุรกาย)

4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปฏิภาณเฉลียวฉลาดสามารถแก้อรรถปัญหาต่างๆ ได้อย่างอัศจรรย์


ด้วยความศรัทธา และเชื่อมั่นในองค์หลวงพ่อดังกล่าว จึงทำให้ข้าพเจ้ายึดเอาหลวงพ่อเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงจัง โดยเริ่มต้นสอบถามปัญหาธรรมะต่างๆ ที่ข้าพเจ้ายังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ ช่วยตอบให้อย่างกระจ่างชัดเจนในทุกปัญหา จนทำให้ข้าพเจ้าซึ่งเคยเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิ หมดความเคลือบแคลงสงสัยใดใดอีกต่อไป

และเมื่อความเคลือบแคลงสงสัยหมดไป ข้าพเจ้าก็มุ่งปฏิบัติธรรมตามคำสอนของหลวงพ่อไปตามขั้นตอนเรื่อยมา จิตก็เริ่มเกิดปัญญาและเมื่อปัญญาเกิดความประพฤติของข้าพเจ้าแต่ดั้งเดิมที่เคยดื่มสุราเป็นอาจิณก็ดี การใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนสโมสรก็ดี ก็หมดไป เกิดความเบื่อหน่าย รักสันโดษ มองเห็นโทษของการผิดศีล อีกทั้งเกิดความสุขในการปฏิบัติธรรมและสนทนาธรรมเป็นอันมากอีกด้วย

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า มีนายทหารนักบินรุ่นหนุ่มๆ จำนวน 4 ท่านได้ไปหาข้าพเจ้าที่บ้านพักในกองบิน 4 เพื่อสนทนาธรรมด้วยและเมื่อข้าพเจ้าได้ช่วยตอบปัญหาข้อข้องใจต่างๆ ของท่านเหล่านั้นไปแล้ว (ปัญหาต่างๆ ที่ถามกันมาซ้ำๆ กับปัญหาที่ข้าพเจ้าเคยถามหลวงพ่อมาแล้วทั้งสิ้น) ก็พากันพออกพอใจหมดความเคลือบแคลงสงสัยโดยสิ้นเชิง

และได้พากันลาออกจากราชการไปขอบวชกับหลวงพ่อที่วัดท่าซุงทั้ง 4 ท่าน (จำได้ว่ามี พระสมศักดิ์ พระทรงฤทธิ์ พระไตรรงค์ และ พระชโลทัย) ซึ่งยังความปลาบปลื้มปิติยินดีให้แก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮากันมากในกองบิน 4 ตาคลีและทั่วทั้งกองทัพอากาศทีเดียว

นอกจากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าหลายคนที่ในอดีตเป็นนักเลงขั้นดาวร้าย และนักดื่มชนิดดื่มกันสามวันสามคืน อาทิเช่น พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์ พ.อ.อ.ชลอ ผาสุก พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ พ.อ.อ.เสรี เมฆจินดา และ พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ ซึ่งได้เคยติดตามข้าพเจ้าอยู่เสมอ ก็ได้เลิกเป็นนักเลงและนักดื่มกันหมด หลังจากที่ได้สนทนาธรรมกับข้าพเจ้าบ่อยๆ เข้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์ ได้รับอาสาไปอยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิดตลอดมา จนกระทั่งถึงแก่กรรม และหลังจากนั้น พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ ก็รับอาสาไปปรนนิบัติหลวงพ่อแทน พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์จนถึงปัจจุบัน

ส่วน พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์นั้น ก็รับอาสาคอยบันทึกเทปที่หลวงพ่อมาเทศน์ออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียง 04 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ที่ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าสถานีและเป็นผู้รับผิดชอบอยู่ ทั้งในเรื่อง ประวัติหลวงพ่อปาน ไตรภูมิ มหาสติปัฏฐาน 4 และอื่นๆ โดยตลอด

(ต่อมา พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ได้ขอไปถอดเทป จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ดังที่ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ได้อ่านกันอยู่ทุกวันนี้) ส่วน พ.อ.อ.ชลอ ผาสุก และ พ.อ.อ.เสรี เมฆจินดา นั่นก็ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วทั้งคู่ จึงไมมีโอกาสได้ช่วยเหลืองานของหลวงพ่อมากนัก

ในปัจจุบัน แม้ข้าพเจ้าจะไม่ค่อยได้มีโอกาสรับใช้หรือพบหลวงพ่อมากนักก็ตาม แต่จิตของข้าพเจ้าก็จับอยู่ที่หลวงพ่อโดยตลอด และตั้งปณิธานไว้อย่างแน่ชัดว่า จะต้องถวายสังฆทานกับมือหลวงพ่ออย่างน้อยที่สุดเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด

อีกทั้งขอยึดเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม และหลวงพ่อเป็นที่พึ่งที่ระลึก ตลอดกาลโดยไม่คิดจะแสวงหาที่พึ่งอื่นใดอีกต่อไปแล้ว ทั้งนี้ เพราะหลวงพ่อเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้เมตตาสงเคราะห์ชี้แนะหนทางปฏิบัติ จนข้าพเจ้าเกิดปัญญาและมีดวงตาเห็นธรรมได้ในที่สุด.



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top