Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 2/7/08 at 11:05 [ QUOTE ]

อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ (ตอนที่ 8 ครูบาชุ่ม โพธิโก)






โปรด "คลิก" อ่าน ตอนที่ 8

•
ครูบาชุ่ม โพธิโก ll►

• ใครที่ได้รับการฝึกการอบรม ll►

• พอหลวงพ่อฯลงมาจากรถ ll►

• ย้อนกลับมาเล่าเรื่องลูกแก้ว ll►

• เมื่อลูกแก้วหายไปแล้ว ll►






ตอนที่ ๘

ครูบาชุ่ม โพธิโก


วัดวังมุย จังหวัดลำพูน

พวกเราได้พบกับ หลวงปู่ครูบาชุ่มฯ ก็เพราะครั้งหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อฯ พาพวกเราไปนมัสการหลวงปู่ทืมฯ แต่แล้วปรากฎว่า หลวงปู่ทืมฯ ยังได้ไปนิมนต์หลวงปู่ชุ่มฯ มารอรับพวกเราด้วย เห็นไหมครับปฏิปทาพระสุปฏิปันโนไม่มีหวงลูกศิษย์ ไม่กลัวว่าจะถูกแย่งลาภสักการะ

อะไร ๆ ที่คิดว่าดี ท่านจะสรรหามาให้ลูกศิษย์ แตกต่างจากปุถุชนคนธรรมดามากทีเดียว เพราะปุถุชนกลัวถูกแบ่งลาภแบ่งความดีความชอบ ขี้งก ขี้ตืด และหวงแหนในลาภสักการะ เผลอไม่ได้ โกงตะพืด แถมแม้ไม่เผลอก็ยังโกงหน้าตาเฉย

(ผมอยากให้ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ไม่ว่าหลวงปู่ฯ องค์ไหนเมื่อได้พบกับหลวงพ่อฯ แล้ว ก็มักจะโยงกันพาเอาหลวงพ่อ หลวงปู่ฯ องค์อื่น ๆ ที่เราท่านต่างก็ยอมรับกันว่า เป็นพระสุปฏิปันโนออกมาจากที่หลบซ่อนมาหาหลวงพ่อฯ กันเป็นทอด ๆ เป็นทิวแถวไปเลย)

หลวงปู่ชุ่มฯ ท่านเป็นศิษย์ครูบาศรีวิชัยฯ รุ่นพี่ของหลวงปู่ทืมฯ เมื่อสิ้นบุญครูบาศรีวิชัยฯ แล้ว หลวงปู่ทืมฯ ได้โลงศพ หลวงปู่ชุ่มฯ ได้ไม้เท้ากับพัดขนนก ท่านเดินตามรอยเท้าของครูบาอาจารย์มาโดยตลอด ถนนทางขึ้น พระธาตุดอยตุง สมัยโน้นเป็นทางเท้า หลวงปู่ชุ่มฯ นี่แหละที่ไปนั่งหนัก (คือไปนั่งปักหลักคอยให้ศีลให้พรให้กำลังใจ) ระดมเอาทั้งไม่ว่าจะคนเมืองคนดอย ชาวเราชาวเขา มาช่วยกันกรุยถนนจนเป็นทางรถยนต์ขึ้นได้ถึงยอดดอย โดยรัฐบาลไม่ต้องออกสตางค์สักบาทหนึ่ง

เมื่อขึ้นไปอยู่บนยอดเขาบริเวณที่ตั้งเจดีย์ครอบพระธาตุแล้ว มองไปด้านหลังจะเป็นหน้าผาสูงชันแบ่งเขตไทยกับคู่ต่อสู้สมัยเก่าดึกดำบรรพ์ (ก็พม่านั่นไงล่ะ) หลวงพ่อฯ ของเราเคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหาทุนให้กรมศิลปากรเปลี่ยนฉัตรทองยอดพระธาตุ ซึ่งเดิมชำรุดเสียใหม่ และท่านก็ไปทำพิธีบวงสรวงให้ด้วย เหนือ-ใต้-ออก-ตก การใดเพื่อชาติ การใดเพื่อพระพุทธศาสนา การใดเพื่อพระมหากษัตริย์ หลวงพ่อของเราด้นดั้นฝ่าฟันไปมาหมด บางครั้งก็หลายรอบหลายครั้งเชียวครับกว่าภาระจะเสร็จสิ้น

นิวาสถานบ้านเดิมของหลวงปู่ชุ่มฯ ท่านอยู่ที่บ้านวังมุย อันคำว่า “มุย” นั้น เป็นภาษาทางเหนือแปลว่า ขวาน ส่วน “วัง” นั้น แปลว่า ชุม หรือ แหล่ง เมื่อรวมกันแล้วไม่ทราบว่าจะแปลว่าอย่างไรดี จะแปลว่าบ้านที่มีขวานขายเยอะก็แปลได้ เพราะอาจจะเป็นหมู่บ้านที่ประชาชนทำขวานขายมากมายก็อาจจะเป็นได้ดูเข้าท่า เพราะถ้าแปลว่า "ชุม" ก็น่าจะแปลว่าเป็น "หมู่บ้านขวานชุม" ซึ่งตรงและใกล้เคียงกับคำแปลในตอนแรก

แต่เมื่อสอบถามหลวงปู่แล้ว ท่านว่าไม่ใช่หรอก สมัยก่อนผู้คนในละแวกหมู่บ้านท่านดุมาก มีทั้งนักเลงและไม่นักเลงแต่เป็นอันธพาล แต่ไม่ว่านักเลงหรือไม่นักเลง ไม่ว่าอันธพาลหรือไม่อันธพาลก็เป็นคนดุทุกคน ทั้งหมู่บ้านชอบทำขวานและชอบพบขวานเป็นอาวุธ และใช้ในการเข้าต่อสู้ตะลุมบอนกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวต่อตัวหรือหลายตัวต่อหลายตัว หรือหลายตัวต่อตัว เขาถึงเรียกว่าหมู่บ้านวังมุย

ท่านยังเล่าให้ผมฟังด้วยนะครับว่า ผู้หญิงบ้านวังมุยสวยกว่าผู้หญิงบ้านอื่น ๆ ในละแวกใกล้และไกล สมัยที่พวกเราไป คนบ้านวังมุยไม่ดุแล้วครับ โดยหลวงปู่ฯ ท่านเล่าว่า เขาเลิกดุก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะท่านเสกเครื่องรางของขลังให้พวกเขาใช้ เขาตีเขาฟันกันเท่าไร ๆ ก็ไม่ยักกะถึงตาย หนักเข้าก็เบื่อละซีครับ

ตีกันฟันกันแล้วไม่มีใครตายมันก็เหนื่อยมากซิครับ ไม่รู้จักจบจักสิ้น พอเลิกตีกันฟันกันแล้ว มันก็มีเวลามากขึ้น เริ่มได้คิดจึงเข้าหาวัด หลวงปู่ฯ ก็ได้โอกาสเทศน์สั่งสอน เมื่อได้ฟังธรรมะบ่อย ๆ เข้า จิตใจก็อ่อนโยนเยือกเย็นลง ๆ จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ คนที่บ้านวังมุยกลับสงบเสงี่ยมเรียบร้อยกว่าคนที่อื่น ๆ



หลวงปู่เข้านิโรธสมาบัติ

ทีแรกผมก็ไม่เชื่อหลวงปู่ฯ หรอกครับ แต่เมื่อครั้งที่เอา ต.ช.ด. ไปดูแลไม่ให้ใครไปรบกวน ในคราวที่หลวงปู่ฯ เข้านิโรธสมาบัติ ตามคำอาราธนาของหลวงพ่อของเรา และผมได้ไปอาศัยนอนอยู่ที่วัดเสียหลายวันหลายคืน จึงมีโอกาสไปพูดไปคุยหาข่าวจากคนเฒ่าคนแก่ ก็เห็นจริงตามนั้น

พอพูดถึงคำว่า “นิโรธสมาบัติ” แล้ว เชื่อว่ามีคนสนใจอยากจะรู้เรื่องราวว่าเป็นมาอย่างไร เอาละ..จะเล่าให้ฟังเฉพาะที่เกี่ยวกับหลวงปู่ชุ่มฯ นะครับ

ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ (ประมาณ ๑๐ กว่าปีเท่านั้นเอง) หลวงพ่อฯ ท่านเทศน์ถึงอำนาจแห่งบุญที่พวกเราจะได้รับ หากได้ทำบุญกับพระอริยบุคคลที่เพิ่งจะออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ ว่าจะมีอานิสงส์เพียงใด ท่านจึงได้อาราธนานิมนต์หลวงปู่ฯ ให้ทำตามนั้น และในวันที่หลวงปู่ฯ ออกจากนิโรธสมาบัติ หลวงพ่อของเราท่านก็ได้นัดหมายให้พวกเราพากันไปทำบุญ

การไปทำบุญกับหลวงปู่ชุ่มฯ ในครั้งนั้น ได้รสชาติทุกอย่างเหมือนภาพยนตร์ไทยในสมัยนี้ คือครบทุกรส ทั้งสุขทั้งโศกตลกเศร้าเคล้าน้ำตาเฮฮาพาเพลินเจริญใจในที่สุด การที่ผมนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังถึงอุปสรรคและความเป็นไปต่างๆ นั้น ไม่ใช่เพื่อกล่าวโทษท่านผู้ใด แต่เพื่อเป็นอุทธาหรณ์เตือนใจพวกเราลูกศิษย์รุ่นหลัง (ต้องขออภัยที่ต้องใช้คำว่ารุ่นหลัง เพราะเป้าหมายของผมอยู่ที่รุ่นหลังของผม) เพื่อจักได้รู้รักสามัคคี

เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ ผมเองไม่อยากจะกล่าวแก้ตัวว่า การต้อนรับหรือการนัดหมายเวลาต่าง ๆ มันคลาดเคลื่อนและขลุกขลักไปหมด เนื่องจากเชื่อมือกันมากไปในส่วนของผู้ที่เตรียมการรับ และในส่วนของผู้ที่จะมาก็ขาดความเชื่อถือผู้ที่ให้การต้อนรับ ขาดวินัย และเห็นแก่บุญจนเป็นบาปไป

เพราะถ้ามีศรัทธาและเชื่อถือไว้วางใจกันและกันมากกว่านี้ ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีมาก เพราะฝ่ายต้อนรับเตรียมการไว้อย่างดีที่สุด เตรียมไว้ทั้งแผนหลักและแผนรอง ตั้งข้อสมมติฐานเอาไว้เผื่ออุปสรรคทุกข้อ เพื่อจะแก้ไขหากเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดอย่างพร้อมมูล เรื่องบนบานศาลกล่าวนั้นเอาไว้เป็นกรณีสุดท้าย

แต่เราลืมไปข้อหนึ่งว่า ลูกหลานที่ไปในวันนั้น ในปัจจุบันชาติมิได้เป็นทหารและตำรวจแล้วเป็นส่วนใหญ่ แม้จะดูเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าคนอื่นเขา แต่ก็ขาดการฝึกฝนให้มีวินัยมานาน พอแตกตื่นเข้า ก็เหมือนเจ๊กตื่นไฟ พอคนแตกตื่น อะไรก็ขวางไม่ได้ แสดงออกมาหมด อะไร ๆ ที่ซ่อนเอาไว้ไหลเลอะเปรอะเปื้อนออกมาหมด นี่ดีแต่ว่า..ยังเคยได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาจากหลวงพ่อของเราแล้วบ้าง และด้วยบารมีของทั้งหลวงพ่อฯ และหลวงปู่ฯ ร่วมกัน จึงได้ผ่านพ้นกลียุคนั้นมาได้ด้วยความเรียบร้อย

ผมน่ะเก็บอะไรไว้ในใจมาเกือบ ๒๐ ปี และที่นำมาพูดในวันนี้นั้น ไม่ใช่เพราะต้องการแก้ตัว หรือเคืองแค้น แต่เพื่อเป็นอุทธาหรณ์สำหรับน้องๆ ที่จะต้องรับภาระในวันหน้าต่อไปนะครับ..

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 15/1/09 at 21:57 [ QUOTE ]



........ใครที่ได้รับการฝึกการอบรมอย่างทหารและตำรวจ อย่าเอาระเบียบวินัยที่ตนได้รับการฝึกฝนมาไปใช้กับผู้ที่ไม่ได้รับการฝึก ผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกก็กรุณาให้อภัย หากผู้ที่นำกลุ่มอยู่อาจจะเฉียบไปบ้าง เพราะเขาเคยได้รับการฝึกและฝึกคนมาอย่างนั้น เรียกว่า..ควรจะประนีประนอมยอมให้อภัยกันบ้าง ผู้หลักผู้ใหญ่จะได้ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องออกมาแก้เกมส์ให้บ่อย ๆ เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

และไม่ว่าอะไรที่มีมาก มีบ่อย ๆ ไม่ช้าคนไทยก็จะเบื่อหน่ายอีก เมื่อถูกเบื่อหน่ายเสียแล้วสิ่งนั้นก็จะหมดความสำคัญไม่อาจนำมาใช้แก้ปัญหาได้อีกต่อไป เกิดความเสียหาย ที่ว่าอย่างนี้นั้นก็เพราะเมื่อหมดยุคของพวกพี่ ๆ แล้ว ต่อไปก็จะเป็นยุคของน้อง ๆ ที่จะต้องทำและนำคนแทน

พวกพี่ก็จะได้อาศัยความรู้ความสามารถของน้อง ๆ ที่นำเอาประสบการณ์จากพี่ไปเป็นข้อสมมติฐานใช้แก้ปัญหาในกาลต่อไป แล้วจะผิดพลาดน้อยลงเรื่อย ๆ จนไม่ผิดพลาดเลยได้ในที่สุด พี่ ๆ ก็จะได้เดินตามน้อง ๆ ได้อย่างสบายอกสบายใจว่า น้องจะไม่พาพี่ไปลงเหวลงห้วยขาแข้งหัก

นอกจากนั้น ในการนำคน จะต้องคำนึงทั้งความถูกต้องและความถูกใจ ไม่อาจเลือกเอาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นสุดโต่งไปด้านเดียว ต้องคำนึงถึงหลักจิตวิทยา ต้องขยันอธิบายทำความเข้าใจกับคนทุกระดับ อย่าเพิกเฉยไม่นำพาปล่อยปละละเลยคิดว่าไม่สำคัญ

ช้างม้าวัวควายแม้มีประโยชน์กับเรามากฉันใด แต่ถ้าไม่สบอารมณ์ มันก็อาจจะทำอันตรายเราได้ฉันนั้น ต้องรู้เป้าประสงค์ ต้องรู้เกมส์ ต้องรู้วิธีการ ต้องรู้มนุษยสัมพันธ์ รู้จักใช้จิตวิทยา ฯลฯ

เพราะมนุษย์ที่มีสมองเป็นเลิศแต่มีความอดทนน้อย สอนง่ายแต่นำยาก อย่าไปคิดว่าคนอื่นโง่กว่าเรา หรือฉลาดกว่าเรา หรือฉลาดเท่าเรา ต้องดำรงใจไว้ให้มั่นในพรหมวิหาร ๔ และต้องแน่วแน่มั่นคง บัวจึงจะไม่ช้ำ และน้ำก็จะไม่ขุ่น

นอกจากนั้น ก็จะต้องให้ความเคารพในระบบเก่า ๆ ประเพณีเก่า ๆ ที่ดีงามตามโบราณกาล แต่ไม่ใช่ว่า ถ้าโบราณไม่ได้ว่าไว้อย่างนั้นแล้วจะต้องเป็นผิดเป็นโทษเป็นภัยไปเสียหมด น่าจะต้องเปิดใจยอมรับฟังในเรื่องใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ ๆ ไม่ใช่ตะบึงตะบันเอาแต่ที่ใจเรานิยม เราคิดแต่เฉพาะเรา กลุ่มของพวกเราว่าดีว่างามเพียงอย่างเดียว พวกเดียว เหล่าเดียว จนต้องโดดเดี่ยวและเดียวดายไปตามหนทางที่เลือกเองนั่นแหละอย่าไปโทษใคร

และสำหรับคนที่ยึดมั่นในการกระทำดี แน่วแน่ในการรักษาคุณงามความดี แต่ความดียังไม่สนองตอบก็อย่าเพิ่งท้อใจ เรื่องที่เสียใจน่ะธรรมดา เรายังเป็นปุถุชน แต่ควรมีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่เอาแต่หลับตาแล้วมัวแต่สงสารตัวเอง จงลืมตาขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้า ความสำเร็จอาจจะอยู่แค่คืบแค่ศอกข้างหน้าเรานั้นนั่นเอง

ส่วนพวกที่คิดว่าตนนั้นล้มผู้อื่นได้แล้ว เป็นผู้ชนะแล้ว ก็เอาแต่เหยียบย่ำซ้ำเติมไม่เลิกไม่ราไม่หยุดเสียที ลองคิดดูซิว่าถ้าต้องไปนำคนหมู่มากร้อยพ่อพันแม่ต่างจิตต่างใจ แถมระดับความรู้ความเข้าใจความเป็นอยู่ ฐานะหรือก็ต่างกัน ตนจะทำได้ดีขนาดไหน ให้อภัยกันบ้างเถิดครับ

ในโลกนี้ไม่มีอะไรผิดอะไรถูก มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนี้ แต่จิตของเราซิครับ เราซักเราฟอกของเราดีแล้วหรือ จึงได้ไปเพ่งโทษเอากับผู้อื่น ไปตัดสินว่าเขาดีเขาไม่ดี เราด่าว่าซ้ำเติมกลุ่มคนที่เขาต้องปกครองพวกเราจำนวนถึง ๕๗ ล้านคน แต่ไม่ถูกใจเรา

ถ้าเราลองมามองดูในครอบครัวของเราบ้างซึ่งมีไม่กี่คนเลยว่า เราปกครองให้คนในครอบครัวแค่หยิบมือ โดยสามารถให้เขาเหล่านั้นพึงพอใจเราถ้วนทั่วทุกตัวคนได้บ้างหรือไม่ ถ้าได้นั้น เพราะความรัก ความเข้าใจ ความเชื่อถือศรัทธา หรือว่าอำนาจ หรือว่า ทั้งสองอย่างผสมผสานสอดคล้องกันอย่างพอเหมาะพอเจาะพอดี และพอควร จนส่วนใหญ่นั้นพอใจ

เหตุการณ์ในครั้งกระนั้น เรา หมายถึง ผมกับพี่ชวาล ฯ ทราบดีครับว่าถ้าฝนตกหนัก ขบวนจะเข้าไปลำบากเพราะรถใหญ่ รถมาก และถนนแคบ ถ้าคันหน้าแม้แต่คันเดียวเกิดติดอยู่ คันหลังทั้งหมดก็จะติดอยู่ตรงนั้น ถนนไม่ได้แคบอย่างเดียว ขอบถนนหรือก็สูงชัน ด้านหนึ่งเป็นตลิ่งบก แถ..ลงไปก็เจอบ้านคนหรือตอไม้

อีกด้านหนึ่งก็เป็นตลิ่งน้ำ ถลาลงไปก็มิดหลังคารถแน่ ๆ แถมน้ำยังไหลเชี่ยวดูราวกับน้ำมันพรายเดือดอยู่ปุด ๆ เมื่อบวกกับความลื่นด้วยแล้ว ลองนึกดูซิว่าน่ากลัวอันตรายขนาดไหน

และแล้วในคืนก่อนที่พวกเราจะเข้าไปทำบุญ ฝนก็ตกหนัก เรามีแผนแก้ว่า ถ้าเช่นนั้นเราจะหยุดขบวนเอาไว้ด้านนอกทั้งหมด เมื่อขบวนมารออยู่พร้อมกันแล้ว พี่ชวาล ฯ ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นถึง ผบ. นพค. เชียงใหม่และเชียงราย ๒ ตำแหน่งควบไปเลย มีเครื่องมือและทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถแก้ไขได้ เราจะเอารถขนหินซึ่งนำหน้าด้วยรถเกรดและตามด้วยรถเกรดอีก เทกันใหม่ ๆ สด ๆ ซิง ๆ เดี๋ยวนั้น เพราะถ้าทิ้งไว้นานก็จะลื่นอีก

เราขอความร่วมมือจากชาวบ้านตลอดเส้นทางว่า ในวันนั้นจะไม่นำรถออกมาวิ่งบนถนนเส้นนี้ ก่อนที่คณะของพวกเราจะเข้าไปเรียบร้อยแล้ว และจนกว่างานบุญจะเสร็จสิ้น ซึ่งพวกเขาก็รับปากจะให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ ตีสามครึ่งฝนปรอยมาอีกระลอกและหยุดปรอยเมื่อราวตีสี่ เรายังไม่เทหินเพราะไม่รู้ว่าจะตกซ้ำหรือไม่ เรารอเวลา

แต่อนิจจาเอ๋ย.. เพียงตีสี่ครึ่ง พวกเราที่มาเองไม่ยอมร่วมมากับหมู่คณะก็มาถึงเป็นระลอก ๆ ผมยืนอธิบายทั้งขอร้องจนคอแหบคอแห้ง เพื่อให้รอรวมและร่วมไปพร้อมกับคณะใหญ่ ตามที่ได้กำหนดเวลาเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครยอมฟังกัน หาว่ากีดกันบ้างละ เข้าได้น่าไม่มีปัญหาบ้างละ บางพวกไม่เอารถของตัวเองเข้า แต่ไปว่าจ้างรถของชาวบ้านแถวนั้น ทุ่มเงินเข้าไป ชาวบ้านที่เคยรับปากกับผมไว้ แต่ไม่ใช่ชาวบ้านวังมุย เป็นพวกอยู่ปากทาง เห็นเงินก้อนใหญ่ก็ลืมสัญญา มนุษย์นี่ครับ

คนที่ไปก็อยากจะได้ลาภจากการทำบุญ พวกเขาก็อยากได้ลาภจากคนที่ไปทำบุญ ความอยากมันตรงกัน ความมีวินัยก็หายไป มึงจะไป กูจะไป ใครจะทำไม มึงน่ะใหญ่แค่ไหน กูน่ะตราตั้งนะเฟ้ย เป็นอย่างนี้ทุกคนไม่ว่าจะแต่งตัวสวยขนาดไหน แล้วไอ้เป๋ ฯ เป็นใคร ก็เป็นแค่ลูกศิษย์หางแถวเท่านั้น ห้ามเขาไม่ฟังจะยิงทิ้งเขาเรอะ เขาจะไปทำบุญนี่ ไม่ใช่ภาวะสงคราม

ในที่สุดก็เละตุ้มเป๊ะ..ไปหมดทั้งคนทั้งถนน เพราะพวกที่ไม่มาตามเวลานัดหมาย และเอาแต่ใจตนทำเอาถนนเป็นโจ๊กไปแล้ว ผมเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามใช้การติดต่อสื่อสารด้วยวิทยุ แต่บริเวณนั้นเป็นที่ลุ่ม การติดต่อสื่อสารกระทำได้โดยยาก ผมกับพวกบางส่วนจึงต้องเดินลุยโคลนไปหาโคกกลางทุ่งไกลออกไปจากถนน เพื่อติดต่อสื่อสารรายงานเหตุการณ์ให้พี่ชวาล ฯ และผู้ที่ได้รับมอบหมายทราบ แต่แล้วการติดต่อสื่อสารก็ไม่เป็นผล เพราะอากาศแปรปรวน

เวลาเดียวกันนั่นเอง ขบวนของหลวงพ่อ ฯ ก็มาถึง ผมส่องกล้องมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เหาะไม่เป็น เดินก็ช้าครับ เพราะโคนลึกและขาก็เป๋ กว่าผมจะเดินไปถึงรถใหญ่ หลวงพ่อ ฯ ก็กลับไปแล้ว ทราบว่าได้ลองเขยิบเข้าไปแต่รถเกือบตกถนน ก็แน่นอนแหละครับ เพราะด้านหนึ่งของถนนมันเป็นคลองธรรมชาติ ถนนคือลูกรังที่เอามาถมทำเป็นคันคลองชลประทานนั่นเอง แล้วก็ยังมีรถที่คนขับดื้อแล้วไปติดขวางอยู่บนถนนแคบ ๆ นี้อีกหลายคัน

รถลูกรังกับรถหินที่พี่ชวาล ฯ สั่งให้มาแก้ปัญหาก็เข้าไปไม่ได้ ผมก็เซ็งและหัวหมุนอยู่ตรงนั้นเพราะติดต่อกับคณะใหญ่ไม่ได้ คณะที่มาเองก็เข้าไปยังสถานที่นัดหมายอยู่เรื่อย ๆ แบบตัวใครตัวมันและตามอำเภอใจ (ที่จริงอยากจะใช้คำว่า มือใครยาวสาวได้สาวเอานะเนี่ย....)

ครั้นพอเราแก้ปัญหาเหล่านี้ได้เสร็จ ถนนโล่งและรถสามารถเข้าได้แล้ว ผมก็ต้องรีบเดินทางกลับเข้าไปที่หลวงปู่ ฯ เพราะไม่ต้องการให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบ ไหน ๆ ก็ต้องถูกด่าแล้ว ก็อย่าให้ต้องถูกด่าทั้งม้วนเลย เอาแค่สักครึ่งม้วนก็ยังดี

เข้าไปนมัสการกราบเรียนเหตุการณ์ให้หลวงปู่ ฯ ท่านทราบ ท่านก็นั่งอมยิ้มเฉยอยู่ เลยนิมนต์อาราธนาให้ท่านรออยู่ในเพิงก่อน อย่าเพิ่งออกมา เจ้ากะเหรี่ยงก็จะไม่ฟังเสียง พูดไทยก็ไม่ได้ไม่ยอมเข้าใจกัน เชิญแคร่หามเข้ามารอ ทั้งฆ้องทั้งกลอง พากันตีเสียง มุ่ย..มง ๆ อยู่ระงมเซ็งแซ่ บ้างก็แถถาเข้ามาใกล้ จะอุ้มเอาตัวหลวงปู่ ฯ ไป พูดจากันหรือก็เข้าใจยาก เพราะว่ากันคนละภาษา ถึงตอนนี้เองที่ไอ้เป๋ ฯ ก็จำต้องใช้กลอุบายแสดงบทโหดระห่ำ แกล้งร้องตะโกนสั่งลูกน้องคู่ใจทันที

“เฮ้ย...พวกมึงฟังกู ไม่ว่าไอ้หรืออีตัวไหนมันล้ำเส้นที่กูขีดเอาไว้นี้ มึงยิงได้ทันที”

แล้วผมก็ทำทีเดินตึงตังก้มหน้าก้มตาเอาดาบปลายปืนขีดเป็นวงรอบเพิงที่หลวงปู่ ฯ เข้านิโรธสมาบัติ แถมทำตาเหล่ ๆ ปากเบี้ยวนิด ๆ โดยเอาแบบผู้ร้ายในหนังไทย แล้วตะคอกย้ำไปอีกหนหนึ่งว่า

“พวกมึงพูดกับกะเหรี่ยงให้เข้าใจภาษาคน ส่วนกูจะไปพูดกับกะหร่าง เอ๊ย ! กับไทยให้เข้าใจภาษาของกู ใครขัดขืนยิงแม่งเลย เรื่องจะติดคุกติดตะรางหรือลงนรก กูรับผิดชอบเอง นรกกูไม่กลัวหรอกเว๊ย กูเคยลงบ่อยไป เฮ้ย ! ไอ้น้อง ต่อไปนี้มึงฟังกูร้อยเอกคนเดียว นายพลนายพันกูไม่สน ใครขัดขืน เฮ้ย..ยิงแม่งให้เหมือนหมา”

ผมตวาดและแผดเสียงร้องที่คิดว่าตัวเองสามารถเลียนแบบพญาคชสารตกมันได้เหมือนเสียเหลือเกิน (ความจริงเหมือนหมาบ้าเห่า แถมสำรากขี้ออกไปมากกว่า ฮ่า ๆ)

เมื่อระเบิดตูมตามออกไปดังนั้นแล้ว ก็ให้นึกเศร้าเสียใจเป็นกำลัง ด้วยพยายามรักษาน้ำใจกันมาโดยตลอด กลั้นน้ำตาที่ปริ่ม ๆ จะไหลออกมาเสียให้ได้ ด้วยเสียดายในไมตรีจิตที่ไม่อาจจะถนอมเอาไว้ได้อีกต่อไป ลูกน้องของผมทุกคนรู้ใจแกล้งกระชากลูกเลื่อนปืนพร้อมกันทันทีทุกกระบอก เสียงดังคร๊อกแคร๊กแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน ผมถมึงและเขม้นตาซ้ำเติมเข้าไปอีก

เออแฮะ...ประหลาดเว๊ย ! ประหลาดจริง ๆ ไอ้เสียงที่ดัง มุ่ยมง ๆ ก็หยุด เสียงกระจองอแงของคนกรุงก็เงียบอย่างกับเป่าสาก ผมเดินรี่เข้าไปทางไหน ทางนั้นก็ถอยร่นไม่เป็นขบวน ฮ่ะ ๆ ก็ถ้าไม่กลัวคนบ้าก็ต้องบ้าด้วยกันละวะ เออ ๆ เอ็งยังเป็นคนดีอยู่ รู้จักกลัวคนบ้า พอทำให้ผู้คนเขากลัวได้แล้ว ผมก็สั่งซิครับ ให้ทุกคนไม่ว่าไทยหรือกะเหรี่ยงไปรออยู่ที่โบสถ์ หลวงพ่อ ฯ หรือหลวงปู่ ฯ มีคำสั่งอย่างไรแล้วจะให้คนไปบอก เท่านั้นแหละครับ วิ่งกันขาขวิด

เออ..แปลก คนดี ๆ พูดไม่ฟัง ยอมเชื่อฟังคนบ้า และนี่ก็เป็นความรู้อีกอย่างหนึ่งของผมที่ได้นำมาใช้ในโอกาสต่อมาโดยตลอด เมื่อเวลาเจอคนบ้าหรือเจอพวกที่ไม่ค่อยยอมเชื่อฟัง คือจำเป็นจะต้องบ้า หรือบ้ากว่ามันนั่นเอง และก็มักจะประสบความสำเร็จมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เสมอไปทุกครั้งนะครับ เจอที่บ้ากว่า ผมก็ต้องถอยเหมือนกัน จะนำวิธีไปใช้บ้างก็ไม่ขัดข้องนะโยม เท่าที่ผ่านมายังไม่เห็นมีใครบ้าเท่าผมแฮะ

เอ้า..มาเข้าเรื่องต่อไป ต่อมาก็เป็นการเจรจาระหว่างท่านทั้งสอง (คือผู้แทนของหลวงพ่อ ฯ กับหลวงปู่ ฯ) โดยผู้แทนหลวงพ่อ ฯ จะให้หลวงปู่ ฯ ออกไปรับคณะที่วัดดอนมูล โดยยืนยัน นั่งยัน นอนยัน หัวชนฝาราน้ำดะ ว่ารถจะเข้ามาไม่ได้ ถึงเข้ามาได้ก็จะไม่เข้ามาแล้วเพราะไม่สะดวก (ถ้าจะให้สะดวกสบายก็น่าจะนอนอยู่ที่บ้านนิพวกนิ)

เมื่ออีกามาบอกข่าวอย่างนั้น หลวงปู่ ฯ จึงหันมาหารือกับผม ผมก็ไม่มีความเห็น แต่รายงานไปว่าขณะนี้รถสามารถเข้าได้แล้วนะขอรับ หลวงปู่ ฯ ก็ว่าอย่างนั้น หลวงปู่ ฯ ไม่ออกไป ให้หลวงพ่อ ฯ เข้ามา ผู้ส่งข่าวทางหลวงพ่อ ฯ ก็ปล่อยข่าวลือแถมขู่ออกมาอีกว่า ถ้าหลวงปู่ ฯ ไม่รีบออกไป คณะใหญ่ที่ยังอยู่กับหลวงพ่อ ฯ ก็จะพากันกลับ โถพ่อคุณพ่อทูนหัว จะมาทำบุญหรือจะมาขู่พระ ผมงี๊แทบไม่ได้บุญแล้ว อกมันกลัดหนอง ทำอะไรไม่ถูก

คราวนี้หันพึ่งพระพุทธเจ้าแล้วครับ ขอพรท่านดัง ๆ เลยว่า ขอได้โปรดดลบันดาลให้งานบุญนี้เป็นบุญแท้จริงเถิด พระพุทธองค์จะทรงทดลองกำลังใจผู้ใดอยู่ก็สุดแท้แต่ แต่ตอนนี้มันจะเกิดการแตกหักอยู่แล้ว งานใหญ่ที่ผู้คนจำนวนมากเสียสละทั้งแรงกายแรงใจ จำจะต้องมาล้มคว่ำล้มหงาย เพราะไอ้คนขี้เบ่งคนเดียวนั้น ไม่เป็นการสมควรเลย

แถมไอ้เป๋ ฯ อาจจะต้องไร้สำนักเสียแล้วก็จะให้ทำอย่างไรดี เพราะไอ้เป๋ ฯ นั้นรักทั้งหลวงพ่อ ฯ และหลวงปู่ ฯ แต่ถ้ากู่ไม่กลับก็จะต้องยอมเสียกันไป เพราะหลังพิงฝาแล้วนี่ เฮ้อ ! เอาน่ะ ข่มใจคลานเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ ฯ อ้อนวอน

“หลวงปู่ ฯ ออกไปเถิดครับ”

อ้าว..หลวงปู่ ฯ สั่นหัวแถมหัวเราะลงคอเอิ๊ก ๆ หน้าบานยิ้มแฉ่งไม่มีแวววิตกแม้นิดเดียว บอกว่า

“หลวงปู่ ฯ ไม่ออกไป เดี๋ยวหลวงพ่อ ฯ เข้ามา นพ ฯ ไปดูแล ไปเตรียมการให้พร้อมนะ”

เอ้า..เมื่อกี้ที่ถามผมในตอนนั้น หลวงปู่ ฯ ทำท่าจะออกไปนี่ ไหงตอนนี้พอผมขอให้ออกไป หลวงปู่ ฯ กลับไม่ยอมออกไป ท้อแล้วผม หมดกำลังทั้งกายและใจ มืออ่อนตีนอ่อน เดินเตร่ออกมาที่ถนนนึกไม่ออกว่าจะตั้งชื่อสำนักใหม่ของตนเองว่าอย่างไรดี เมื่อเล็กก็กำพร้าพ่อ กำพร้าแม่ เมื่อแก่ยังจะต้องมากำพร้าครูบาอาจารย์อีก อ้าว เฮ้ย นั่นเราตาฝาดหรืออย่างไร

“เฮ้ย ๆ รถหลวงพ่อ ฯ โว้ย รถหลวงพ่อ ฯ เอ้อเฮอ วิ่งลิ่วยังก๊ะเหินลมมา แต่โคลนกระจุยกระจายเชียว เอ้า ! ไอ้เวร เอาร่มเอาผ้าไปต้อนรับ มึงนั่นแหละเร็ว ๆ เข้า ยังเสือกจะทำตาเหลือกยืนเซ่ออยู่ได้”

“เอ้า..มึงไปบอกกะเหรี่ยงกับกะหร่างว่า ไม่ต้องร้องงอแงแล้วเว๊ย...พ่อมึงมาแล้ว”

ผมร้องตะโกนสั่งลูกน้องเสียเสียงหลง เนื้อตัวสั่นไปด้วยความดีใจ คนอื่น ๆ ที่มามุงรอฟังข่าวอยู่ก็ฮือฮา แล้วก็มีเสียงเฮ เสียงไชโยโห่หิ๊วด้วยความดีใจตามมาติด ๆ แถมด้วยเสียงมุ่ยมง ๆ อยู่อึงอล ตรงกันข้ามกับเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ ที่เงียบเสียจนแทบจะเรียกว่า ถ้าใครทำเข็มตกลงพื้นสักเล่ม เสียงคงจะดังราวกับฟ้าผ่ากลางอเวจีเลยทีเดียวเชียวน้อง...

กลับสู่ด้านบน

<< โปรดติดตามตอนต่อไป >>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/2/09 at 16:35 [ QUOTE ]


(Update 4 ก.พ. 2552)


.......พอหลวงพ่อฯลงมาจากรถ ผมก็กรากเข้าไปกราบน้ำตาไหลพราก ๆ ด้วยดีใจ พอเงยหน้าจะลุกขึ้นมาก็มึนหนึบเห็นดาวกระจายเต็มท้องฟ้าเวลาเช้าแสก ๆ จะไม่เห็นดาวเห็นเดือนได้อย่างไร เจอมะเหงกหลวงพ่อฯ เข้าไป ๓ ทีหนัก ๆ ครบเลยครับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เฮ้อ..เป็นอันว่าแฮปปี้เอนดิ้งขอรับ ทุกคนได้ทำบุญทำทานสมใจอยาก ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคนเลย

แหม..อยากจะเล่าซ้ำนะครับ น่าชื่นใจน่าปลื้มใจจริง ๆ วอหามหลวงปู่ฯ เราเตรียมไว้ให้กระเหรี่ยงหามหลวงปู่ฯ แต่กระเหรี่ยงก็กระเหรี่ยงเถิดครับ ถูกกระหร่างผลักจนกระเหรี่ยงกลายเป็นกระเด็นไปหมด แย่งเอาไปหามกันเอง ยังดีอยู่นะที่ไม่มีใครไปแย่งกลอง แย่งฆ้องเขามาล่อเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยังนึกไม่ออกว่าจะตีจะบรรเลงเป็นทำนองแบบเชิดสิงโตไหม คงจะต้องตีเป็นทำนองนี้นะครับ ม๊ง แซ่ง ม๊ง ๆ แซ่ง ม๊งแซ่ง ม๊ง ๆ แซ่ง

ทีนี้ผู้คนหลามไหลกันเข้ามา สาดเงิน สาดธนบัตร เข้ามาที่ตัก ที่เท้าของหลวงปู่ฯ ที่เข้ามาใกล้ไม่ได้ ก็ใช้วิธีโยนเอา เงินทองหกเรี่ยหกราด ไอ้ภาพฯ ต.ช.ด. ลูกน้องของผมก็เก็บก็กวาดเข้ากระสอบ แค่โกยเงินเข้ากระสอบก็เหงื่อไหลไคลย้อย หอบแฮ่ก ๆ ยังก๊ะหมาหอบแดด

“ไม่เป็นไร ๆ ผมชอบเหนื่อยแบบนี้จังเจ้านาย ผมชอบจริง จริ๊ง...เงินทั้งนั้นเลยนาเจ้านาย อู้ฮู๊ ของจริงไม่ใช่ของเก๊ เป็นกระตั้ก”

มันดัดจริตพูกเสียงเล็กเสียงน้อย แล้วสูดปากดังซู้ดแถมแลบลิ้นเลียปากแพล่บ ๆ เหมือนหมาเห็นขี้ใหม่แล้วอยากกิน ผมร้องด่าและกระเซ้ามันอย่างอารมณ์แสนจะจอยเต็มแก่ (ขนาดถูกเตะตอนนั้นก็ไม่โกรธ) ว่า

“เฮ้ย ไอ้บ้า เงินของพระนะโว๊ย ลงนรกกูไม่รับผิดชอบ”

มันยังคงยียวนกวนประสาทย้อนผมมาอีกว่า
“โธ่ เจ้านาย ผมรู้น่ะว่าอะไรเป็นอะไร แล้วนรกน่ะผมไม่กลัวหรอก ก็ตอนนั้นเจ้านายยังตะโกนเสียลั่นเลยว่า เคยลงไปบ่อย ๆ”

แหม..ไอ้เวร! มันย้อนอีกว่า
“แต่ก็เชิญเจ้านายตามสบายเถิดครับ ผมก็เบื่อเหมียนกัลล์”

รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางด้านของหลวงพ่อฯ ไปหาอ่านเอาเองเถิดครับ เราต่างก็ลืม ๆ กันไปหมดแล้วเรื่องข้อบาดหมาง พี่ชวาลฯ ห้ามผมนักหนาไม่ให้พูด แต่นี่มันเกินอายุความ ๑๐ ปีแล้ว ผมจึงพูดเพื่อประโยชน์ในโอกาสต่อไปรุ่นน้องจะได้รู้ไว้ และจะได้อาศัยเป็นตัวอย่างเพื่ออุดช่องโหว่ในการวางแผนการทำงาน จะได้ไม่มีข้อผิดพลาดขึ้นอีก เช่นในสมัยรุ่นพี่เช่นผมที่ประสบพบเห็นมา

และต่อไปนี้ผมก็คงจะไม่มีโอกาสมายุ่งด้วยแล้ว เพราะใกล้จะหมดหน้าที่ ใครที่จะต้องมาเกิดอีกมาทำอีกก็เอาไปเป็นตัวอย่างได้ และขอให้พัฒนาให้ดีเชียวนะ ที่สำคัญอย่าเอาแต่ปากทำงาน งานบุญครั้งกระนั้นทำให้ถนนสายเข้าวัดวังมุยมีไฟฟ้าเดินสายเข้าไปให้ชาวบ้านชาวช่องแถวนั้นได้ใช้ทั่วหน้ากัน มาจนตราบท่าวถึงทุกวันนี้

ทีนี้ เมื่อเล่าถึงบางเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่ฯ ไปแล้ว เชื่อว่ามีหลายคนที่กำลังอยากจะฟังเกี่ยวกับเรื่อง ลูกแก้วสารพัดนึก ต้นแบบที่หลวงพ่อฯ ของเราได้มาจากหลวงปู่ฯ แล้วในที่สุดก็มาเป็นลูกแก้วสวย ๆ ที่พวกเราห้อยคอกันอยู่อย่างไรล่ะ อยากจะฟังประวัติความเป็นมาของลูกแก้วเหล่านี้บ้างไหม ถ้าอยากฟังก็กรุณาตามมาฟังผมโม้ได้เลยครับ

หลวงปู่ชุ่มฯ นั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัยฯ เมื่อแรกเริ่มเดิมทีที่พวกเราไปนมัสการท่านนั้น ท่านจะแจกเครื่องรางของขลังประเภท พระรอด ตะกรุดเหน็บ ตะกรุดหนัง (ลูกวัวตายในท้อง ตายเองโดยธรรมชาตินะครับ ไม่ใช่จงใจไปทำให้แม่ของมันตาย แล้วเอาหนังลูกในท้องของมันมา) และตะกรุดปรอท

สำหรับพระรอดที่ว่านี้ พวกนักเลงพระเรียกกันว่า “รอดเณรจิ๋ว” เป็นพระรอดที่หลวงปู่บุญทืมฯ ออกแบบและสร้างถวายให้หลวงปู่ชุ่มฯ แล้วหลวงปู่ชุ่มฯ ก็นำไปถวายให้หลวงปู่ครูบาศรีวิชัยฯ ปลุกเสก จำนวนที่สร้างคราวนั้นเต็มบาตรพระ จากนั้นหลวงปู่ชุ่มฯ ท่านก็แจกเรื่อยไป และบางส่วนก็เก็บเอาไว้นานเหมือนกับจะรอเวลาเพื่อแจกพวกเรา ผมเห็นท่านเก็บเอาไว้ในบาตร ฝุ่นงี๊หนาปึ้ก

เมื่อจะเอามาแจกพวกเรา ท่านเอาน้ำล้าง พวกที่นิยมของเก่าร้องโวยวายเพราะหลวงปู่ท่านไม่เข้าใจ ท่านเห็นว่ามันสกปรกท่านก็อุตส่าห์ล้างให้ เพราะกลัวลูกศิษย์ชาวกรุงเทพฯ เขาจะรังเกียจ พระบ้านนอกละก็ถ่อมตัว น่ารักจริง ๆ

ตอนหลังผมจึงไปอธิบายให้ท่านทราบว่า พวกนิยมของเก่าเขานิยมฝุ่น เขาโมเมเรียกฝุ่นว่า ขี้กรุ (ทั้ง ๆ ที่พระชุดนี้ไม่ได้อยู่ในกรุแม้แต่น้อย) ผมเรียนว่าหลวงปู่ฯ จะล้างก็ไม่ขัดคอหรอกครับ แต่ขอให้เขย่า ๆ พอสังเขปก็พอ ท่านก็เชื่อ

พระชุดนี้ปัจจุบันไม่เหลืออยู่ที่วัดแม้แต่องค์เดียว ผมรับรองได้ เพราะตอนหลังผมเอามาให้กับวัดจามเทวีจนหมด ตามที่เล่าให้ฟังไปแล้วตอนหลวงปู่ทืมฯ ตอนนี้ผมเองก็เหลืออยู่แค่ ๓ องค์ ห้อยอยู่ที่คอลูก ๆ และภริยา (ซึ่งปัจจุบันมีคนเดียวอั๊บ)

ตะกรุดหนังลูกวัวก็เหมือนกับตะกรุดปรอท เป็นเครื่องรางเฉพาะตัวของท่านเอง ท่านได้ตำรามาจากใครผมจำไม่ได้ ว่าง ๆ จะลองไปถาม ร.ต.อ. วิวัฒน์ สุวัฒนะกุล อดีต หน.สภ.ต. สาวชะโงกดู เขาเคยอยู่ที่ลำพูน ตอนที่พวกเราไปนมัสการหลวงปู่ฯ กันในคราวนั้น เขาเคยเกเรมาก่อน เป็นนักเลงการพนันตัวยง แต่เดี๋ยวนี้เขาเลิกแล้ว

แต่แม้สมัยที่เขาเกเร เขาก็เข้าหาพระเข้าหาเจ้า และองค์ที่ทำให้เขาเลิกเล่นได้ก็คือ หลวงปู่หล้าตาทิพย์ เวลานี้ในกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้างของเขาจะพองตุ่ย ถ้าลองไปนั่งคุยด้วย ไม่ว่าคนไม่ว่าลิงจะพากันหลับหมด ประวัติศาสตร์มันยาวรู้ไปหมดทุกเรื่องทุกราว พูดไปก็ควักวัตถุมงคลออกจากกระเป๋ามาอวด นี่กาฝากมะขาม นี่กาฝากรัก นี่กาฝากมะรุม เออ ระวังจะถูกรุมเตะ

ทีนี้หลวงปู่ฯ ท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า อาจารย์ของท่านนั้นเก่งเหลือหลาย เก่งกว่าลูกษิษย์อย่างท่านมากมายนัก ท่านทำได้แค่ซัดปรอทให้แข็งตัวทำเป็นตะกรุดปรอท แต่พระอาจารย์ของท่านนั้นเก่งเหนือไปกว่านั้น ซัดปรอทต่อไปอีกจนปรอทนั้นกลายเป็นแก้ว ถ้าเป็นตัวเมียจะมีรูเรียกว่า แก้วราหู แต่ตัวผู้ผมจำไม่ได้ว่าท่านเรียกว่าอย่างไร ใครรู้และจำได้ช่วยบอกที

ท่านได้รับเป็นมรดกตกทอดมา ๓ ลูก เป็นตัวผู้ใหญ่ ๒ ลูก ตัวเมีย ๑ ลูก ลูกใหญ่ที่สุดท่านถวายพระเจ้าอยู่หัว รองลงมาท่านถวายหลวงพ่อของเรา ก็ลูกที่หลวงพ่อฯ ท่านเคยแช่อยู่ในอ่างน้ำมนต์ของหลวงพ่อฯ นั่นแหละครับ ลูกเล็กสุดหลวงปู่ฯ ขวั่นเชือกทำเป็นสายร้อยและคล้องคอให้กับผม หลังจากคณะของหลวงพ่อฯ กลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว ๒ วัน เพราะผมกับลูกน้องยังต้องอยู่ต่อ เนื่องจากจะต้องดูแลจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยจริง ๆ

ในตอนแรกผมไม่ยอมรับ เพราะกลัวจริง ๆ ครับ กลัวว่าวาสนาจะไม่ถึงไม่คู่ควรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ แต่หลวงปู่ฯ ท่านยืนยันจะให้ และท่านว่าท่านถามผู้ดูแลรักษาแล้ว ทางนั้นยืนยันไม่ขัดข้อง ผมงี้น้ำตาไหล ดีใจน่ะดีใจมากครับ แต่ไม่เท่ากับความภาคภูมิใจ รู้สึกหัวใจพองโตมาก ๆ จนบอกไม่ถูก มีความรู้สึกว่าเทพยดาฟ้าดิน ตลอดจนปรมาจารย์รวมทั้งหลวงปู่ฯ หลวงพ่อฯ และพระเบื้องบนท่านให้ความกรุณาต่อผมมากจริง ๆ

ความจริงแล้วของศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ปุถุชนคนธรรมดาหน้าไหนบ้างที่ไม่อยากจะได้มาไว้ครอบครองจนเนื้อตัวสั่น แค่เห็นก็เรียกว่าเป็นบุญตาแล้ว ผมเองก็เช่นเดียวกัน อยากได้ แต่ยังสงสัยว่า ตัวผมเองนั้นมีคุณงามความดีแค่ไหนเชียวจึงจะได้ของศักดิ์สิทธิ์นี้มาเป็นกรรมสิทธิ์

จำได้ว่าครั้งแรกผมไม่ยอมรับ และได้อ้อนวอนหลวงปู่ฯ ว่าขอให้หลวงปู่ฯ กรุณาถามเบื้องบนด้วยว่าให้ผมจริง ๆ หรือ และถ้าผมรับไว้แล้วจะมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง หลวงปู่ฯ ท่านว่าถามแล้วและอนุมัติมาแล้ว ผมก็ยังดึงดันขอให้หลวงปู่ฯ ถามให้อีกครั้งหนึ่ง ท่านก็กรุณาตามใจถามให้ เมื่อหลวงปู่ฯ ท่านยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ผมจึงยอมรับเอาไว้

เรื่องที่เล่านี้ ถ้าท่านที่ไม่เข้าใจผมอาจจะคิดว่า ไอ้นี่มาดมากเจ้าท่า ไม่เป็นเรื่อง ซึ่งผมต้องขอความกรุณาชี้แจงในตอนนี้เสียเลยว่า ในขณะนั้นจิตใจของผมระลึกอยู่ตลอดเวลาว่า ผมนั้นเป็นเพียงลูกศิษย์หางแถวของหลวงพ่อฯ หลวงปู่ฯ ผมมีฐานะยากจน ไม่มีเงินทองหลามไหลเหมือนใครเขา

แต่ถ้าเป็นงานเพื่อหลวงพ่อฯ หลวงปู่ฯ หรือเพื่อการพระศาสนาแล้ว ผมจะทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ มีเงินผมก็จะเอาเงินช่วย ไม่มีเงินผมจะเอาแรงกายแรงความคิดทุ่มเทเข้าช่วย แต่อย่างว่าแหละครับ การช่วยเหลือถ้าไม่เป็นเงินก้อนโต ๆ ก็ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครให้ความสำคัญ

ในงานทำบุญที่หลวงปู่ชุ่มฯ เข้านิโรธสมาบัตินี้ก็เหมือนกัน ผมเป็นเพียงร้อยตำรวจเอกที่พิการ มีฐานะยากจน ไม่มีพื้นที่ปกครอง ไม่มีลูกน้องบริวาร และไม่มีอำนาจราชศักดิ์ แต่ผมนั้นได้รับเป็นธุระอย่างขันแข็งในเรื่องการติดต่อประสานงานเตรียมการทางด้านของหลวงปู่ฯ ต้องขึ้น ๆ ล่อง ๆ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ เชียงใหม่ – กรุงเทพฯ ไม่รู้ว่ากี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว และรับภาระเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นเองโดยตลอด ไม่ทราบว่าหมดเท่าใดต่อเท่าใด

ครั้นถึงเวลาที่จะทำบุญ เมื่อตอนที่หลวงปู่ฯ ออกจากนิโรธสมาบัติ ก็ไม่มีโอกาสเหมือนใครอื่นเขา เพราะจะต้องคอยดูแลความปลอดภัยให้กับคนส่วนใหญ่นั่นเอง เรียกว่าแม้จะอยู่ใกล้แต่เข้าไม่ถึง สำนวนจีนกำลังภายในเขาว่า แม้ชายคาจะเกยกันแต่ก็เหมือนไกลอยู่สุดขอบฟ้า ไม่ใช่ว่าหยิ่งแต่ทว่าเจียมใจเจียมกาย

ลูกน้องเคยถามผมว่า ถ้าการทำบุญกับพระอริยะสงฆ์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติจะให้ผลมากอย่างรวดเร็วและประเสริฐจริง คนอื่น ๆ ที่ไปกันก็คงจะได้รับผลที่ประเสริฐนั้นไปกันถ้วนทั่ว แต่พวกเราคงจะไม่ได้ ผมค้านว่า เฮ่ย ไม่จริง แล้วย้อนถามเขาไปว่า สบายใจไหม? ปลื้มใจไหม? ที่ได้มาร่วมงานทำบุญในครั้งนี้ พวกเขาตอบว่า ยอดจริง ๆ มีทั้งใจหายใจคว่ำ สนุก ตื่นเต้น และในที่สุดก็ลงท้ายด้วยความอิ่มใจ ปลาบปลื้มสบายใจ เรียกว่ามีครบทุกรส

ความประทับใจนี้ พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีวันได้พบประสบพบอีก และจะไม่มีวันลืมเลือนไปเลย ผมได้โอกาสจึงพูดกับพวกเขาว่า นั่นไง ผลตอบแทนของพวกเราก็คือ ความสบายใจ ความสุขใจที่ได้รับ ซึ่งก็น่าจะถือได้ว่าเป็นผลบุญอย่างยิ่งแล้ว คนมีเงินมีทอง มีทรัพย์สมบัติมหาศาล ไม่มีความสุขเท่ากับที่พวกเราได้รับและมีอยู่ในครั้งนี้

พวกเขาก็อึ้งไป แต่ก็อ้อมแอ้มกันนิด ๆ หน่อย ๆ ว่า แหม ลูกพี่ ทางใจพวกผมยอมรับว่าได้กันอย่างเต็มปรี่ แต่ถ้าได้ทางโลกมาจุนเจือพอให้บรรเทาความเดือดร้อน ไม่ถึงกับขอให้มีมากจนถือได้ว่าสะสมเกินไปก็น่าจะดีกว่านะครับ ซึ่งผมก็เห็นด้วยเต็มร้อย แต่ก็ได้แต่อ้อม ๆ แอ้ม ๆ ตอบไปไม่เต็มเสียงว่า อืม......

ผมว่าท่านคงจะเห็น ซึ่งความจริงผมไม่ทราบและไม่แน่ใจเลยว่า ท่านที่ผมว่านี้จะเห็นอย่างที่ผมเห็นหรือไม่ เพราะคนเรายิ่งแก่เฒ่าก็ยิ่งหูตามัว ยิ่งเป็นใหญ่ ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งแล้วใหญ่ มักจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอคติ ๔ ทำให้หน้ามืดหูตาลายมืดมัว ในไม่ช้าหูก็จะหนวก ตาก็จะบอด ความทุกข์ยากของคนเป็นแสนเป็นล้านก็ไม่เห็น คนทั้งประเทศทั้งโลกร้องตะโกนก็ไม่ได้ยิน

แต่กลับไปได้ยินพวกเปรตที่สอพลอเอาแต่เป่าหูอยู่ ก็แหม ! เปรตมันปากเล็กนี่ครับ เขาว่ากันว่าปากเปรตเท่ารูเข็มจึงสามารถสอดปากเข้าไปเป่าอยู่ที่แก้วหูของท่านผู้มีอำนาจได้โดยสะดวก เอาเถิดครับ ไม่แสบไม่คันรูหูบ้างก็ให้มันรู้ไป ให้มันไชจนหนวกไปเล้ย........

หลังจากที่ผมได้พูดคุยกันเรื่องผลบุญ และงานบุญของหลวงปู่ชุ่มฯ กับลูกน้องไปแล้ว ก็ไม่นานเกินรอ เพียงวันสองวันต่อมาหลวงปู่ชุ่มฯ ท่านก็มอบลูกแก้วดังกล่าวให้กับผม เห็นไหมครับทันตาเห็นจริง ๆ

กลับสู่ด้านบน

<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/2/09 at 17:58 [ QUOTE ]


(Update 24 ก.พ. 2552)


…………ย้อนกลับมาเล่าเรื่องลูกแก้วกันต่อดีกว่า หลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านบอกผมว่า ลูกแก้วนี้ ครูบาอาจารย์ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาลูกแก้วนี้เต็มใจให้ผม ท่านว่าเป็นแก้วสารพัดนึก โดยมีพระคาถากำกับ แต่เจ้าของและผู้ปกปักรักษาเขาขอสัญญากับผมว่า การที่จะขออะไรกับลูกแก้วนี้ จะต้องขอสิ่งที่อยู่ในศีลในธรรม เช่น ถ้าขอให้ผู้หญิงรัก เมื่อได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นภริยาแล้ว จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู

นอกจากนั้นมีเงื่อนไขพิเศษก็คือ ท่านว่าผู้ดูแลรักษาท่านหนึ่งขอว่า ห้ามใช้กับหญิงโสเภณี และถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว อย่าพกลูกแก้วนี้เข้าไปหรือผ่านไปในแหล่งหญิงนครโสเภณี เพราะผู้ดูแลท่านรังเกียจ ผมก็รับสัญญานั้น

หลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านลงมือขวั่นเชือกด้วยมือท่านเอง ร้อยในรูของลูกแก้วผูกทำเป็นห่วงเชือกคล้องคอให้กับผม ต่อมาผมกลัวเชือกขาดลูกแก้วจะหาย จึงมาดัดแปลงให้ดีขึ้น โดยให้แม่นิดถักเชือกไนล่อนเป็นตาข่ายล้อมลูกแก้วเอาไว้ และขนาดเชือกก็เปลี่ยนใหม่ให้โตขึ้น จนพอไว้ใจได้ว่า ไม่อาจขาดได้โดยง่าย แต่ก็คิดไว้ในใจว่า ถ้ามีเงินเมื่อใด ก็จะเอาไปเลี่ยมทองให้คู่ควรเหมาะสมเสียที

แต่แล้วก็ไม่มีโอกาส เพราะระยะนั้น ยอมรับกันอย่างตรง ๆ เลยครับว่าชะตาชีวิตในตอนนั้นเป็นเหมือนที่หมอดูเขาว่า พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก แต่ที่ผมประสบนั้นเรียกใหม่ได้เลยว่า พระศุกร์กระทืบจมเบ้า พระเสาร์กระแทกมิดธรณี จวนเจียนจะอยู่ จะไปหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเรื่องทอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตครอบครัว บ้านแตกสาแหรกขาดกระจุย

ขนาดหลวงพ่อ ฯ ของเราท่านอุตส่าห์ทำพิธีบังสุกุลเป็นให้ถึง ๒ ครั้ง พาไปปล่อยปูกับท่านอีก ๑ ครั้ง ก็ประทังได้แค่ร่อแร่ จะตายก็ไม่ตาย จะเป็นก็ไม่เป็น

ตอนนั้นผมออกจากบ้านที่ผมอยู่มาตั้งแต่เกิดจนเป็นร้อยเอก โดยมีเครื่องแบบไป ๒ ชุด ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อฉายาที่บรรดาลูกศิษย์เก่า ๆ เรียกกันว่า “ไอ้ตี๋เล็ก” สำหรับผมนั้นเขาเรียกกันว่า “ไอ้ตี๋ใหญ่” (ฉายานี้หลวงพ่อ ฯ ของพวกเราตั้งให้นะครับ) ในตอนนั้นถ้าไม่ได้ไอ้ตี๋เล็ก ผมคงแย่แน่ ๆ

จำได้ว่าในตอนนั้น ผมถูกพรากทั้งลูกทั้งเมีย และเป็นความกันอยู่กับบรรพสตรีของเมีย ก็แม่ยายนั่นแหละครับ และโดยเพียงเพื่อให้ชนะผม เขาก็สาดโคลนผมจนเลอะเทอะหมดทั้งชีวิต ฝ่ายเขามีพวกมากด้วย เคยเป็นภรรยาของคุณพระท่านหนึ่งซึ่งเป็นอดีตคนใหญ่คนโตในกระบวนการยุติธรรม

แหม....เวลาเรียกเข้าไปพบและตกลงกันนอกบัลลังก์ ผมงี้กระดิกตัวแทบไม่ได้เลยครับ ขยับตัวหน่อยถูกท่านตวาดแว๊ด ขนาดอยู่ข้างหน้าโต๊ะทำงานของท่าน ผู้แทนของเขาซึ่งเป็นผู้หญิงยังกล้าถอดรองเท้าส้นสูงขึ้นมาเงื้อจะเคาะกะโหลกผม โดยท่านทำเป็นนั่งก้มหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไม่เห็น

พอผมเตือนท่าน กว่าท่านจะเงยหน้า เขาก็เก็บรองเท้าเสร็จแล้ว และท่านก็ตวาดขู่ฟ่อ ๆ เอากับผมอีกว่า อะไรเป็นถึงร้อยตำรวจเอกจะมาทำนิสัยเที่ยวพาลหาเรื่องคนอื่นเขาต่อหน้า....นะเนี่ย ไอ้ผมก็ยืนนึกปลงอนิจจัง อื้อฮือ....นี่ขนาดผมแต่งเครื่องแบบด้วยนะครับ ท่านก็ไม่ยอมให้เกียรติ ไม่รู้ว่าตุ้มเงินตุ้มทองหรือตุ้มอะไรมันถ่วงอยู่ ถึงได้เอียงกะเท่เร่ขนาดนี้

ถ้าเป็นแม่ค้าละก็ ขายอะไรก็รวยครับ ก็โกงตาชั่งนี่ครับ ผมก็นึกในใจอีกว่า อีแบบนี้เราแพ้ความแน่ เพราะไอ้บ้านี่ตาบอด ไม่เห็นความดีความชั่ว (ต่อมาท่านนี้ประสบอุบัติเหตุตาบอดครับ ต้องออกจากราชการทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย คงไม่ใช่กรรมจากที่ทำกับผมเรื่องเดียวหรอกครับ คงทำบ่อย ๆ กับคนอื่น ๆ ด้วย ส่วนผมก็ให้อภัยทานไปแล้ว แต่บังเอิญอ่านหนังสือพิมพ์เจอเข้าพอดี)

ฝ่ายผมมีผู้ที่เลี้ยงดูอุปการะผมมาตั้งแต่เกิด ซึ่งเข้าใจและเห็นใจผมอย่างแท้จริง ก้คือคุณย่าของผมเท่านั้น แต่เวลานั้นท่านก็แก่มากแล้ว และผมคิดว่าถ้าผมอยู่ที่บ้านคุณย่า คุณย่าก็คงจะต้องทุกข์ร้อนไปกับผมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมจึงตัดสินใจบากหน้าไปอาศัยอยู่กับไอ้ตี๋เล็ก เพื่อความสะดวกในการวางแผนและต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

เรื่องราวการต่อสู้ของผมในตอนนี้ มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่คำแสนใหญ่ ฯ หรือพระครูสุคันธศีล ฯ แห่งวัดสวนดอก ซึ่งกรุณาสอนผมในเรื่อง แม่ทัพแขนด้วน และเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ครูบาวงษ์ ฯ หรือพระครูใบฎีกาชัยยะวงษาพัฒนา แห่งวัดพระบาทห้วยต้ม ที่กรุณาเตือนผมด้วยเรื่อง ไอ้วัวหำคด ซึ่งขออนุญาตเก็บเอาไว้เล่ารายละเอียดในตอนที่เขียนถึงหลวงปู่ ฯ ทั้งสองนะครับ

และผมยอมรับครับว่า ในตอนนั้นมีความกลัดกลุ้มใจมาก ๆ ทำให้บางครั้งผมก็หาทางออกโดยไปเที่ยวเตร่แบบที่ผู้ชายทั่ว ๆ ไปเขาเที่ยวกัน แต่ถ้ามีรายการพรรค์อย่างนั้น ผมจะถอดลูกแก้วทิ้งไว้ในรถทุกครั้ง ลืมล็อคประตูรถเป็นสิบ ๆ ครั้งก็ไม่เคยหาย หลาย ๆ ครั้งที่ผมลืม ถอดลูกแก้วเอาไว้บนหัวเตียงในโรงแรมตามต่างจังหวัดที่ไปปฏิบัติราชการ กว่าจะรู้ว่าลืมเอาไว้ก็กลับมาถึงกรุงเทพ ฯ แล้ว

ครั้นโทรศัพท์ทางไกลไปให้คนไปตามไปหาให้ก็ไม่มีใครพบใครเห็น ผมก็ได้แต่จุดธูปเทียนขอขมาและอธิษฐานว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมรีบร้อนจริง ๆ ผมผิดไปแล้ว หมดปัญญาแล้ว แต่ถ้ายังมีบุญบารมีอยู่ก็ขออให้มีผู้พบเห็น ส่วนผมก็จะพยายามติดตามให้ได้คืนมาให้จงได้ แล้วผมก็เข้านอน รุ่งขึ้นเช้าผมไปกราบพระก็พบว่าลูกแก้วนี้กลับมาอยู่ที่หน้าหิ้งพระของผมทุกทีไป บางครั้งก็ ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง

ต่อมาไอ้ตี๋เล็กประสบปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจการค้า แต่ขณะนั้นก็มีช่องทาง คือ ถ้าลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่ติดต่อกันอยู่ยอมตกลงข้อเสนอตามโครงการของไอ้ตี๋เล็ก ไอ้ตี๋เล็กก็จะได้งานที่สามารถกอบกู้สถานภาพเอาไว้ได้ และอาจจะร่ำรวยมหาศาลเลยทีเดียวแหละ แต่การที่อุตส่าห์ลงทุนเชิญไอ้ญุ่นปี่ญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทย เพื่อจะได้มีโอกาสมีเวลาได้ชี้แจงเรื่องงาน เรื่องโครงการดังกล่าวนี้นั้น

ปรากฏว่าไอ้ญุ่นไม่สนใจ เลยจำเป็นต้องวางแผนพาไปเที่ยวต่อที่เชียงใหม่ เพื่อเป็นการเอาใจ และเพื่อยืดเวลาหาโอกาสในการเจรจาต่อไปอีก ก่อนเดินทางไปเชียงใหม่ ไอ้ตี๋เล็กวุ่นวายใจมาก เพราะภริยาก็ท้องแก่ใกล้คลอด ท่าทีที่หยั่งเชิงไอ้ญุ่นไปแล้วนั้น นอกจากไอ้ญุ่นจะไม่สนใจเอาเสียเลยแล้ว ยังแทบจะหัวเราะเยาะเอาเสียด้วย ตั้งท่าจะไม่ไปแล้ว เพราะปรารภกับผมว่าไปก็เท่านั้น เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา

ผมจึงได้ตัดสินใจมอบลูกแก้วให้กับไอ้ตี๋เล็กไป เพื่อให้เป็นกำลังใจ และหวังขอให้ท่านช่วยให้ไอ้ตี๋เล็กประสบความสำเร็จในการเจรจาครั้งนั้น และก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เหลือที่จะกล่าว เพราะระหว่างการเดินทางบนเครื่องบินนั่นเอง นายทุนญี่ปุ่นซึ่งเคยแสดงท่าทีสนใจน้อยมาก กลับขอเซ็นสัญญาตกลงกันบนเครื่องบิน โดยไม่ยอมอ่านสัญญาเลย

ทีนี้ไอ้ตี๋เล็กก็ดีใจซิครับ แทบจะคลุ้มคลั่งเลยทีเดียว พาญี่ปุ่นเที่ยวอย่างหามรุ่งหามค่ำ เที่ยวเตร่กินเหล้าเมายาเฮฮากันทั้งวันทั้งคืน ด้วยมองเห็นเงินเป็นร้อย ๆ ล้านวางแบบอยู่แค่เอื้อม

ผมโทรศัพท์ทางไกลไปเตือนสติอยู่ทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ ครั้ง ให้ระวังเรื่องเงื่อนไขของเจ้าของลูกแก้ว ไอ้ตี๋เล็กก็สักแต่ว่ารับปากอู้อี้มาทุกครั้งว่า ไม่มีปัญหา ไม่ได้ทำอะไรผิดเงื่อนไข ถ้าจะมีรายการซึ่งขัดกับเงื่อนไข ก็จะเก็บไว้ในกระเป๋าเอกสาร จะไม่นำติดตัวไปเป็นอันขาด

แต่แม้ผมจะได้รับการยืนยันมาอย่างแข็งขันทุกครั้งที่โทรศัพท์ไปถาม ผมก็ไม่ได้มีความสบายใจเลย เพราะไอ้ตี๋เล็กมักจะขาดสติสัมปชัญญะ และขาดความรับผิดชอบอยู่เสมอ การรับปากสั่ว ๆ แต่ไม่สนใจจะปฏิบัติตามคำพูดของเขาเป็นที่ร่ำลือระบือไกล

และในคืนวันก่อนที่ไอ้ตี๋เล็กจะต้องเดินทางกลับตามกำหนดการ ผมก็ฝันร้ายว่าได้พบกับผู้หลักผู้ใหญ่หลาย ๆ คน และหลาย ๆ องค์ ทุกท่านตำหนิผมน่าดูเรื่องลูกแก้ว ผมตื่นขึ้นมากลางดึก นอนต่อไม่หลับตลอดคืน กังวลใจตลอดเวลา

ตั้งแต่เช้ามืด ผมได้พยายามติดต่อทางโทรศัพท์กับไอ้ตี๋เล็ก แต่ติดต่อไม่ได้ เจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่ไอ้ตี๋เล็กพักอาศัยแจ้งให้ทราบว่า ในห้องพักไม่มีคนอยู่ ผมจึงเดินทางไปรอรับเขาที่สนามบินดอนเมืองในตอนบ่าย

พอไอ้ตี๋เล็กเดินออกมาจากห้องผู้โดยสารขาเข้า ผมก็กรากเข้าไปถามหาลูกแก้วทันที ไอ้ตี๋เล็กหัวเราะก๊าก ๆ มันมองผมด้วยสายตาที่ผมแปลความหมายได้ความว่า แหม....ท่านพี่ ช่างงกเสียจริ๊ง แล้วมันก็พูดเสียงกลั้วหัวเราะดังลั่นแอร์พอร์ตว่า

“นี่ไงพี่ ลูกแก้วของพี่อยู่ในคอผม ยังอยู่ดี ไม่หายไปไหน”

พูดจบ มันก็เอามือคลำที่คอของมันอย่างมั่นใจเต็มที่ ผมเองก็จ้องมองตามมือของมันอย่างเขม้นเขม็ง ในใจภาวนาว่า ขอให้จริงอย่างที่มึงพูดเถิดวะ จริงไม่กลัวกลัวไม่จริง แต่แล้วผมก็เห็นมันหยุดชะงัก เสียงหัวเราะที่ดังกั๊ก ๆ หยุดกึ๊ก หน้าที่บานปานตูดหมาของมันซีดเผือดแล้วหุบลง ๆ จนเล็กเหลือเท่าจู๋มด มันลุกลี้ลุกลนล้วงโน่นควักนี่อุตลุดอลหม่าน ล่วงไปปากก็ร้องไปบ่นไปว่า

“เฮ้ย....ๆ ตายห่า.... เฮ้ย....ๆ ตายห่า.....” อยู่เป็นนานสองนาน แล้วในที่สุดก็พูดอย่างแหย ๆ แต่หน้าตาเฉยตามฟอร์มถนนมิตรภาพ

“พี่ ลูกแก้วไม่รู้หายไปไหนแล้ว”

พอได้ยินมันพูดเช่นนั้น ผมก็แทบสลบ ตาเบิกโพลง แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากแสงระยิบระยับคล้ายดวงดาวเป็นหมื่นเป็นแสน ๆ ดวงหมุนติ้วอยู่รอบศีรษะ หูก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร นอกจากเสียงดัง หวิ๊ง ๆ หวิ๊ง ๆ อื้ออึงราวกับลมพายุสลาตันพัดหมุนอยู่รอบกาย มีอาการอย่างนี้อยู่นานเท่าใดไม่ทราบ แต่ในความรู้สึกเหมือนนานแสนนาน

มารู้สึกตัวอีกที เมื่อได้ยินเสียงไอ้ตี๋เล็กตะโกนร้อง เรียกว่า

“พี่ ๆ พี่ ๆ”

พอรู้สึกตัว ผมก็กระโจนพรวดเดียวถึงตัวไอ้ตี๋เล็ก เปิดกระดุมคอเสื้อของมันเกือบจะเป็นกระชาก ล้วงเอาไถ้ที่เคยใส่ลูกแก้วที่ผมแสนรักพร้อมเชือกห้อยคอออกมาจากคอของมัน รู้สึกจุกแน่นไปหมดที่หน้าอกและคอหอย พาลวิงเวียนเหมือนกับจะเป็นลมเสียให้ได้ เมื่อเห็นว่าไถ้นั้นว่างเปล่า ผมกำไถ้เปล่านั้นแน่นติดมือที่เปียกเหงื่อจนชุ่ม อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ได้แต่กลอกตาไปมา คิดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงได้แต่ยืนเซ่อ ไอ้ตี๋เล็กยืนหันรีหันขวางอยู่ครู่ใหญ่ มันก็ร้องโวยวายออกมาอีก

“สงสัยตกอยู่ในเครื่องบินแหงเลย ก็เมื่อเช้านี้ยังอยู่ในคอผมเลยนี่นา พี่คอยผมหน่อย เดี๋ยวผมจะไปหาเพื่อน มันทำงานใน บ.ด.ท. จะลองให้เขาช่วยให้เจ้าหน้าที่หาให้”

ไอ้ตี๋เล็กยังมีความหวังและอดโม้ไม่ได้ตามนิสัยเดิม ผมก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามแกน ได้พยายามตามและค้นหากันทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะโทรศัพท์ทางไกลไปที่เชียงใหม่ ให้ญาติช่วยกันไปหาที่สนามบินก็แล้ว ที่โรงแรมก็แล้ว ตั้งรางวัลเสียสูงลิ่วก็หาไม่พบ

ระหว่างที่โกลาหลกันอยู่นั้น ผมก็เดินทางกลับ เพราะผมสังหรณ์เหลือเกินว่า เขาไปแล้ว และคราวนี้คงจะไม่มีหวังที่จะกลับคืนมา เพราะนอกจากที่ผมจะฝันเหมือนเป็นลางบอกเหตุ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริง ๆ แล้ว

เมื่อผมได้พิจารณาดูไถ้ที่เคยใช้หุ้มลูกแก้วนี้อย่างละเอียด ก็ไม่พบว่ามีร่องรอยฉีกขาดแต่ประการใด ยังคงเป็นไถ้ที่สมบูรณ์อยู่เหมือนไถ้อันเดิม ที่แตกต่างกันก็มีเพียง ไม่มีลูกแก้วของศักดิ์สิทธิ์ที่ผมแสนจะหวงแหนอีกต่อไปแล้ว

เมื่อผมกลับไปถึงบ้านไอ้ตี๋เล็กแล้ว ผมก็เก็บเสื้อผ้าเตรียมกลับบ้านของผม เพราะผมเชื่อว่า ไอ้ตี๋เล็กต้องกระทำการอย่างใด ๆ ที่เป็นการละเมิดต่อสัญญาที่ผมเคยกำชับเอาไว้ไม่ให้ละเมิด และไม่นำพาต่อคำพูด คำมั่นสัญญาที่รับปากผมไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ คนประเภทนี้ถ้าจะคบหาต่อไป เห็นทีจะไม่ต้องตามตำรามงคล ๓๘ ประการเป็นแน่แท้ อย่ากระนั้นเลย ขืนอยู่ด้วยก็ซวยเปล่า ๆ กลับบ้านเราดีกว่า

แบบนี้เขาไม่เรียกว่า หนีเสือปะจระเข้นะครับ เข้าตำรา หนีนรกตกอเวจีมากกว่า แต่ผมก็ยังไม่กลับบ้านของผมในทันที ผมรอเพื่อที่จะถามว่า ไปทำอะไรมาที่เป็นการผิดสัญญาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาลูกแก้วนี้ แต่คืนนั้นเขาไม่กลับบ้าน คืนต่อมาก็ไม่กลับอีก

ผมรออยู่สองวันสองคืนจึงได้พบ ก็แก้ตัวว่า ไปนอนที่บ้านพ่อเพราะสะดวกในการติดตามหาลูกแก้วที่หายไปนั้น และเขาตามมาโดยตลอดแต่ติดตามคืนมาไม่ได้ แล้วมันก็ทำหน้าทะเล้นร้องว่า

“แน่ะ....ลูกแก้วกลับมาอยู่ที่พี่แล้วซิ หลอกให้ผมไปหาเสียเกือบตาย”

ผมโมโหสุดขีด ตะโกนให้อวัยวะเบื้องต่ำกว่าเข็มขัดมันไปหลายอย่างและหลายอัน ในที่สุดมันจึงสารภาพว่า ในคืนวันก่อนที่จะเดินทางกลับได้เข้าไปเที่ยวในบาร์ ไปพบนักร้องสาวสวยถูกอกถูกใจเสียเหลือหลาย แต่จีบผู้หญิงคนนั้นสู้คนอื่นเขาไม่ได้ มันเกิดอาการหน้ามืดสุดขีด จึงเอาลูกแก้วขึ้นมาอธิษฐาน

ตอนที่อธิษฐานนั้น แม่นักร้องคนนั้นก็ได้เดินไปนั่งอยู่บนรถของเพื่อนที่จีบแข่งกันแล้ว แต่พอมันอธิษฐานเสร็จ จู่ ๆ แม่นั่นก็เดินมาขึ้นรถมันเสียดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ

เป็นอันว่ามันได้ผู้หญิงคนนั้นมาเชยชมเพียงชั่วคืน แต่ผมต้องสูญเสียลูกแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว

แถมมันยังแก้ตัวอีกว่า มันใช้กับนักร้อง ไม่ใช่โสเภณี ผมฟังมันแก้ตัวก็ปลงอนิจจังคิดในใจว่า เจ้าตี๋เล็กเอ๋ย....เอ็งเห็นทีจะเจริญยาก แล้วในกาลต่อมา เจ้าตี๋เล็กก็เจริญยากจริง ๆ ทรัพย์สมบัติที่เคยมีนับสิบล้าน (เมื่อประมาณปั พ.ศ. ๒๕๑๘ นะครับ) ก็หมด ตัวเองก็ระเห็จเข้าไปดัดสันดานอยู่ในคุกเสียระยะหนึ่ง ปัจจุบันออกมาแล้วแต่ก็ยังห่วยเหมือนเดิม

เมื่อลูกแก้วหายไปแล้ว ผมก็กลับบ้านสวดมนต์ภาวนาขอให้กลับมา จากอาทิตย์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็น ๑๖ ปี (ไม่ใช่ ๑๖ ปีแห่งความหลังนะครับ) ลูกแก้วก็ไม่กลับมาเสียที หมดหนทางหมดปัญญาก็จำต้องตัดใจ

ผมคิดปลง ๆ เอาว่า ท่านที่ปกปักรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้คงจะน้อยใจที่ในตอนแรก ผมก็ทำท่ายึกยักเหมือนไม่เต็มใจจะรับมาจากหลวงปู่ชุ่ม ฯ ต่อมาก็ทำหลงลืมทิ้งไว้ตามโรงแรมที่ไปพักหลายครั้ง เหมือนไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นความสำคัญ ต้องให้ท่านนำมาคืนให้ก็หลายครั้ง

แล้วในที่สุด ก็ได้ให้คนที่เหลาะแหละไม่น่าเชื่อถือขอยืมไปอีก แม้จะแก้ตัวว่าเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณก็คงจะรับฟังไม่ขึ้น ท่านก็เลยไม่อยากอยู่กับผม ผมก็ตัดใจไม่คิดมาก ด้วยในส่วนลึกก็ยอมรับในความผิดและเห็นว่ายังไม่คู่ควรที่จะได้ท่านไว้เป็นกรรมสิทธิ์

◄ll กลับสู่ด้านบน

<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/3/09 at 21:29 [ QUOTE ]


(Update 3 มี.ค. 2552)



…………เมื่อลูกแก้วหายไปแล้ว ผมก็ยอมแพ้ความ เลิกสู้ความเสียดื้อ ๆ ยึดเอาหลัก “อภัยทาน” เป็นที่ตั้ง มุมานะก้มหน้าก้มตาพากเพียรสร้างสมคุณงามความดี ชั่วก็มีบ้าง แต่ได้พยายามมีให้น้อยที่สุด ผมได้ก้าวหน้าในชีวิตราชการมาเรื่อย ๆ แม้จะเทียบเทียมกับบรรดาเพื่อนฝูงชั้นแนวหน้าไม่ได้ แต่ก็สามารถรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้โดยตลอด แม้บางครั้งกว่าจะรอดก็อึแทบจะเล็ดก็ตาม

ในที่สุดลูกทั้งสองคนก็กลับมาอยู่กับผม ศัตรูที่เคยพรากลูกผมไปนั้น ก่อนเขาจะตาย เขายกมือไหว้ขอโทษผมได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว คนที่จะเอาส้นสูงเคาะกระบาลผมระเห็จไปอยู่ต่างประเทศ ไปทำงานเป็นขี้ข้าเขาด้วยความสมัครใจ ทั้ง ๆ ที่มีทรัพย์สมบัติอยู่ในเมืองไทยนับสิบล้าน

เจ้ากุนซือคนที่แนะนำให้โกงทรัพย์สมบัติที่ผมควรจะได้ เมื่อคุณพ่อของผมถึงแก่กรรมไปแล้วอย่างไม่ละอายต่อบาป ทำให้ทรัพย์มรดกที่ควรอย่างยิ่งที่จะต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผม ต้องถูกยื้อแย่งไปโดยการกระทำเยี่ยงฝูงสัตว์ในอเวจีมหานรก และผมก็เฉยเสียไม่ต่อสู้ เพราะผมได้ฝันถึงหลวงปู่ทืม ฯ มาทำภาพในอดีตชาติให้ผมได้เห็นว่า

ผมกับคนกลุ่มนี้ได้สร้างเวรก่อกรรมทำเข็ญต่อกันมานานแสนนาน ซึ่งผมรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่น่าเบื่อเสียนี่กระไรที่จะต้องไปต่อสู้กับกลุ่มคนที่ไร้คุณภาพทางศีลธรรมอย่างนั้น และช่างไร้ค่าสำหรับผมเสียจริง ๆ

สิ่งที่ยืนยันและสร้างความเชื่อมั่นในจิตใจของผมว่า ที่หลวงปู่ทืม ฯ มาเล่าในฝันของผมนั้นน่าคิด น่าพิศวงก็ตรงที่ว่า เจ้ากุนซือแก่คนที่เป็นต้นคิดให้คนกลุ่มนั้นยื้อแย่งประโยชน์ไปจากผมอย่างหน้าด้าน ๆ ได้รับบทเรียนหรือการตักเตือนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างเบาะ ๆ ก็คือ ตาแก่คนนี้รับอาสาอาราธนาศีลและพระปริตรแทนผม ในวันงานทำบุญหลังจากที่ได้ลอยกระดูกคุณพ่อผมเสร็จสรรพไปแล้ว จึงจะต้องรับศีลจากพระสงฆ์ด้วย

ปรากฏว่า พอพระท่านให้ศีลถึงข้ออทินนาทานากับข้อมุสาวาทา ตะแกรับศีลสองข้อนี้ออกมาไม่ได้ อึกอัก ๆ อยู่อย่างนั้นจนหน้าเขียวหน้าหลือง กว่าจะหลุดปากออกมาได้แต่ละคำ ทั้ง ๆ ที่พระสงฆ์ท่านก็บอกซ้ำให้ตั้งหลายครั้ง แกก็พูดไม่ออก ตั้งท่าจะกระอักเลือดตายอยู่อย่างนั้น ในท่ามกลางสายตาของแขกที่เชิญมา และรู้จักกับแกเป็นร้อยคน พากันหันมาดูเหตุการณ์เป็นตาเดียวกัน

ตะแก..ซึ่งก่อนหน้านี้รื่นเริงเสียไม่มี เมื่อได้เห็นผมเซ็นต์มอบทรัพย์สมบัติของผมให้ กับพวกของแกโกงแต่โดยดี กลับกลายเป็นเศร้าซึมเงียบขรึมไปจนผิดหูผิดตา ก้มหน้างุด ๆ พูดน้อยลงและพูดไม่กล้ามองหน้าคน ทำเอาผมไม่กล้าคิดว่า ถ้าแกตายจากโลกนี้ไป แกจะเกิดเป็นอะไร ถ้าเมื่อยังอยู่ในโลกแกก็ไม่กล้ามองหน้าคนแล้ว น่าสงสารจริง ๆ พวกมนุสเปโตพวกนี้

ที่ผมเล่ามาถึงตอนนี้ จะเห็นว่าสิ่งที่ผมควรจะได้ ผมกลับถูกยื้อแย่งไป แต่ผมได้วางเฉยเสียนึกว่าใช้หนี้ไปและไม่พยาบาทตอบ แต่สิ่งที่ผมไม่น่าจะได้ ผมก็กลับได้ เช่น อยู่ดี ๆ คนที่เพิ่งจะรู้จักกันเพียง ๒-๓ ชั่วโมง จู่ ๆ ก็พอใจเมตตาผมขึ้นมา ได้ควักเงินช่วยเหลือผมด้วยจำนวนเงินเป็นแสน ๆ เพราะรู้ว่าผมรับราชการมา ๒๐ กว่าปี ไม่มีบ้านของตนเองอย่างนี้ เป็นต้น

และปัจจุบันผมก็มีบ้านอยู่เป็นสัดส่วนของตนเองและสวยงามสะดวกสบายตามควรแก่อัตภาพของผม และดีกว่าของเก่าที่ถูกยื้อแย่งเอาไปเสียอีก

มาเข้าเรื่องลูกแก้วต่อกันดีไหมครับ เถลไถลออกไปไกลเดี๋ยวจะลืมเรื่องลืมประเด็นเดิม เมื่อครั้งที่ลูกแก้วยังอยู่กับผม ผมมักจะประสบความสารพัดนึกทุกอย่าง ผมสามารถสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนที่ประสบเคราะห์กรรมเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุแห่งความบกพร่องของกายสังขาร หรือเพราะจากการกระทำทางไสยศาสตร์

วิธีช่วยก็อย่างง่าย ๆ เพียงให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมนต์ที่ได้นำเอาลูกแก้วนี้แช่ไว้กับน้ำธรรมดาเท่านั้นเอง คนที่ป่วยและไม่ถึงฆาตจริง ๆ ส่วนใหญ่หายเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว ผู้ที่ป่วยเรื้อรังและด้วยโรคร้ายแรงก็ต้องมีกรรมวิธีเพิ่มขึ้นไปตามส่วน แล้วแต่ท่านเจ้าของจะสั่งการโดยตรง หรือผ่านมาทางใดทางหนึ่ง แม้ไม่อาจหายขาด ก็ทุเลาเบาบางลง แต่ถ้าเป็นเรื่องคุณไสยอะไรทำนองนี้แล้ว ไม่เคยเกิน ๓ ครั้งก็หายสบายดี

ครั้งหนึ่ง เคยมีเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ท่านหนึ่งของผมที่กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้าได้หัวเราะเยาะผม แล้วบอกว่า ผมเอาลูกแก้วโป่งข่ามที่ไม่สวยเอาเสียเลยมาห้อยใส่คอเอาไว้ทำไม ผมบอกว่าไม่ใช่โป่งข่าม ท่านก็เลยขอท้าให้เอามายีกับเพชรหัวแหวนที่ท่านกำลังสวมใส่อยู่

ผมเห็นว่าท่านดูถูกและอยากลอง ก็ยินยอมให้ทำเช่นนั้น พอนำของสองสิ่งมาถูยีกัน ก็เกิดเป็นขุยละเอียดสีขาว ๆ คละเคล้ากันไปหมด ใจผมนั้นคิดว่า แย่แล้ว....เจ๊งเขาแน่ เพราะว่าแก้วไหนเลยจะแข็งไปกว่าเพชร

ส่วนเจ้าของแหวนเพชรก็หัวเราะฮ่า ๆ อย่างสะใจ แต่ครั้นพอลูบผงลูบฝุ่นออก ลูกแก้วนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย แต่หัวแหวนเพชรนั้นเหลี่ยมเพชรถูกบดมนไปหมด ที่เคยหัวเราะเยาะ..ฮา ฮา ก็กลับกลายเป็นคราง..ฮือ..ฮือ เสียดายของ..!

เลยสงสัยและพากันไปร้านค้าเพชรให้ช่วยตรวจดู อาเฮียแกก็อุตส่าห์ตรวจสอบให้ แล้วก็ตอบมาอย่างง่าย ๆ ว่า ไม่ทราบว่าเป็นหินอะไรไม่เคยเห็น จึงพากันเอาไปให้กรมทรัพยากรธรณีตรวจกันอีก เขาตอบมาว่า เป็นธาตุและสารประกอบที่ไม่มีในโลกนี้ สันนิษฐานว่าเป็นส่วนหนึ่งจากสะเก็ดดาว

ก็เลยต้องอนุมานเชื่อเอาไว้ก่อนว่า น่าจะเป็นจริงตามที่หลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านเล่าว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านฤาษี อาจารย์ของท่านเสกน้ำปรอทจนแข็งและเสกปรอทที่แข็งนั้นจนกลายเป็นลูกแก้วที่ว่านี้จริง เชื่อหรือไม่...ไม่รู้นะ

สำหรับลูกแก้วองค์ที่หลวงปู่ชุ่ม ฯ ถวายให้กับหลวงพ่อ ฯ ของพวกเรานั้น ผมจำได้ว่าเป็นลูกแก้วตัวผู้เพราะไม่มีรูกลางลูก ใหญ่กว่าที่ผมได้มาประมาณ ๓ เท่า ข้างในมีแก้วสีสันอื่น ๆ ปะปนอยู่ด้วย ดูเผิน ๆ ก็จะเหมือนกับแก้วโป่งข่าม แต่รับรองว่าไม่ใช่โป่งข่ามแน่นอน

ลูกแก้วองค์ที่อยู่กับหลวงพ่อของเรานี้ หลวงพ่อ ฯ เคยเอาแช่น้ำไว้ทำน้ำมนต์อยู่ในอ่างน้ำมนต์ที่บ้านสายลม ซึ่งวางเอาไว้อย่างเปิดเผย ไม่ยักกะกลัวหาย แม้จะเป็นที่หมายปองของบรรดาศิษย์จำนวนมากเป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นเพราะว่าหลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านให้กับหลวงพ่อ ฯ เป็นการเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง

และเป็นเพราะว่าหลวงพ่อ ฯ ของเราท่านรักศิษย์เสมอกันอีกประการหนึ่ง ท่านจึงไม่สามารถที่จะมอบให้กับใครเพียงคนใดคนหนึ่งได้ ท่านจึงได้สร้างเลียนแบบเป็นลูกแก้วที่มีรูปร่างและสีสันคล้ายคลึงกันกับองค์ที่ท่านมีอยู่ เพื่อแจกจ่ายให้กับบรรดาลูกศิษย์ที่อยากจะได้เอาไว้บูชากันอย่างทั่วถึง ไม่น้อยหน้ากัน โดยได้ทำแจกอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ต่อมาทราบเลา ๆ ว่าพระท่านได้แนะนำหลวงพ่อ ฯ ให้ทำลูกแก้วที่ดีกว่าเดิมทั้งคุณภาพและความงดงาม จนปัจจุบันนี้ได้พัฒนามาเป็นแก้ว “มณีรัตนะ” ให้พวกเราได้ห้อยคอกันอยู่ทุกวันนี้

เรื่องของลูกแก้วราหู ที่มีความเป็นมาและวิวัฒนาการเรื่อยมา จนกลายมาเป็นแก้วมณีรัตนะนี้ ผมได้เขียนเล่าเอาไว้มาก่อนหน้านี้ คือ ก่อนที่จะนำมารวมเป็นหนังสือเล่มนี้ โดยเรื่องตอนลูกแก้วสารพัดนึก ตอนต้น ๆ ผมได้เขียนเสร็จเมื่อประมาณเดือนกันยายน ๒๕๓๓ และท่านที่จัดพิมพ์หนังสือที่ให้ชื่อว่า “ลูกศิษย์เขียน” ได้นำไปพิมพ์รวมกับข้อเขียนของลูกศิษย์ท่านอื่น ๆ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ ฯ

และต่อมา เมื่อหลวงพ่อ ฯ ได้อ่านต้นฉบับเรื่องนี้ของผม ท่านจึงได้ทราบว่า ลูกแก้วนี้หลวงปู่ชุ่ม ฯ มอบให้ผม และนึกได้ว่า ลูกแก้วองค์ที่ผมเคยมีนั้น บัดนี้ท่านได้ย้ายนิวาสถานไปอยู่กับหลวงพ่อ ฯ แล้วอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้ เมื่อแม่นิดมาเล่าให้ผมฟังว่า ลูกแก้วของผมไปอยู่กับหลวงพ่อ ฯ ผมก็ยังทำเฉย ๆ

ต่อมาเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๔ หลวงพ่อ ฯ ไปเยี่ยมผมที่โรงพักบางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งขณะนั้นผมเป็นสารวัตรใหญ่อยู่ ท่านได้กรุณาไปแจ้งให้ผมทราบว่า ลูกแก้วองค์เล็กไปอยู่ที่ท่านแล้วด้วยตนเอง โดยได้มีหญิงวัยกลางคนที่คงจะไม่ใช่คนนำไปถวายท่าน

ซึ่งเมื่อผมทราบอย่างนั้นก็รู้สึกดีใจเป็นอันมาก วันนั้นผมจำได้ว่าเมื่อ “ท่านปู่ใหญ่” รสบัสที่เป็นพาหนะมาจอดที่โรงพัก ผมเข้าไปต้อนรับและไม่ทันที่หลวงพ่อ ฯ จะนั่ง ท่านก็พูดและสั่งผมในระหว่างที่เดินอยู่ ๓ ประการ คือ

๑. “ไอ้เป๋...เอ็งเขียนหนังสือให้ข้า ฯ ๑ เล่ม ข้า ฯ จะพิมพ์เอาเป็นเรื่องที่เอ็งเขียนล้วน ๆ ทำขนาดนี้”

ว่าแล้วท่านก็ส่งหนังสือขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คที่ท่าน พล.อ.ต. มนูญ ชมพูทีป เขียนให้เป็นตัวอย่าง ๑ เล่ม

๒. “ลูกแก้วของเอ็งที่หายไป ตอนนี้อยู่ที่ข้า ฯ มีผู้หญิงวัยกลาง ๆ คน นุ่งซิ่นเก่าสีมอ ๆ สวมเสื้อแขนกระบอกปอน ๆ เอามาถวายข้า ฯ พูดกับข้า ฯ ว่า

“คุณ ๆ โยมเอาแก้วองค์น้องมาให้ เป็นองค์น้องเจ้าค่ะ รักษาเอาไว้ดี ๆ มีอานุภาพไม่แพ้องค์พี่ เก็บไว้ให้ดี”

แล้วก็ลาไป ข้า ฯ ก็ไม่รู้ว่าโยมเป็นใคร แล้วไม่ทันนึกว่าเป็นแก้วอะไร เห็นอมยิ้ม จนข้า ฯ มาอ่านหนังสือที่เอ็งเขียน จึงได้รู้ว่าเป็นลูกแก้วของเอ็ง โยมคงไม่ใช่คน”

นอกจากนั้น หลวงพ่อ ฯ ยังบอกผมว่า ทีแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นแก้วอะไร แต่เมื่อรู้เรื่องแล้ว ท่านจึงสงสัยว่า ผู้หญิงคนที่ว่านี้จะไม่ใช่คนเสียแล้ว

๓. สั่งให้เจ้าบัง (คุณนที) นำเอาชานหมากจำนวน ๙ ก้อน ที่ท่านได้ทำพิธีบวงสรวงแล้วที่จันทบุรี ก่อนหน้าจะมาบางละมุงมอบให้ผม กำชับให้เก็บไว้ให้ดี เพราะอาจจะมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นกับชานหมากชุดนี้ก็ได้

เมื่อหลวงพ่อ ฯ กลับไปแล้ว ผมก็เริ่มต้นรวบรวมเรื่องที่เขียน จนกระทั่งวันที่เขียนถึงบรรทัดนี้รวมเวลาได้ปีเศษ ก็ยังไม่เสร็จ แต่ใกล้แล้วละครับ และเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ผมได้ไปพบหลวงพ่อ ฯ เพื่อรายงานถึงความคืบหน้าของการรวมเรื่องหนังสือเล่มนี้

หลวงพ่อ ฯ จึงได้กรุณาเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ผู้หญิงคนนั้นนำลูกแก้วมาถวายที่บ้านสายลม เมื่อประมาณ ๔ ปีมาแล้ว (พ.ศ. ๒๕๓๑) ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ หญิงคนนี้ก็กลับมาอีก นำพระพุทธรูปโลหะเก่า ๆ เปื้อนฝุ่นมอมแมมมาถวายหลวงพ่อ ฯ ที่วัดท่าซุง ๑ องค์

ซึ่งเมื่อหลวงพ่อ ฯ ให้พระทำความสะอาด แล้วปรากฏว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำแท้ ปางมารวิชัย สมัยเชียงแสน และเป็นเชียงแสนแท้แต่ยุคเก่า หน้าตาจึงไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา คือ มีพระพักตร์ยาวกว่าพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนปกติที่เคยเห็น

คราวนี้หลวงพ่อ ฯ อดรนทนไม่ได้ จึงได้ไปถามโยมท่านพ่อพระอินทร์ แต่โยมท่านพ่อพระอินทร์ไม่ตอบเอง เลี่ยงให้ไปถามโยมท่านแม่ จึงได้ความว่าหญิงกลางคนที่นำลูกแก้วและพระทองคำมาถวายนั้น คือ โยมแม่ของท่านนั่นเองที่แปลงมา

เล่ามาถึงตอนนี้ หลวงพ่อ ฯ ก็อดหัวเราะไม่ได้ บอกว่าใครจะไปจำได้ ก็โยมเล่นนุ่งห่มเสื้อผ้าเสียกะรุ่งกะริ่ง และเหตุที่นำมาถวายก็เพื่อจะช่วยอาการป่วยของหลวงพ่อ ฯ นั่นเอง เพราะเป็นระยะที่หลวงพ่อ ฯ ร่อแร่เอามาก ๆ

ทำให้ผมยิ่งรู้สึกยินดีมากยิ่งขึ้น ที่ลูกแก้วของผมมีส่วนช่วยให้อาการป่วยของหลวงพ่อ ฯ หายและร่างกายสบายขึ้น เพราะในวันนั้นผมสังเกตว่า หลวงพ่อ ฯ สบายเป็นปกติ และดูแข็งแรงกว่าที่เคยเห็นอยู่เสมอ ๆ และไม่ต้องให้น้ำเกลือ

สำหรับพระพุทธรูปนั้น โยมแม่ท่านเล่าว่า เป็นพระพุทธรูปที่พระเจ้าพรหมมหาราชทรงสร้าง โดยตั้งจิตปรารถนาเพื่อขอบังเกิดเป็นพรหม ก่อนหน้านั้นพระพุทธรูปองค์นี้บรรจุอยู่ในกรุโบราณ โยมแม่ไปนำมาจากกรุแล้วนำมาถวายทันที จึงได้เปื้อนฝุ่นเลอะเทอะอย่างนั้น และหลวงพ่อ ฯ ยังได้รำพึงออกมาว่า

“เมื่อตายตอนเด็ก มีพระทองคำ ๑ องค์ แต่เมื่อตายตอนแก่ มีพระทองคำ ๒ องค์”

ผมได้กราบเรียนถามหลวงพ่อ ฯ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้อีกว่า จะให้พิมพ์กี่เล่ม เพราะผมเกรงว่าถ้าพิมพ์มากแล้วจะจำหน่ายไม่ออก จึงเสนอความเห็นว่า ควรจะพิมพ์สักสองพันเล่มก็พอ และผมจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

หลวงพ่อ ฯ มองลอดแว่นมาที่ผมอยู่ครู่หนึ่ง บอกว่า
“สองพันเล่มคงจะไม่พอ เพราะหนังสือเล่มนี้ต่อไปเมื่อหลวงพ่อ ฯ ตายไปแล้ว จะมีคนต้องการมาก”

แบบนี้ก็ชื่นใจเป๋ไปละซีครับ หน้าบานเป็นกล้วยโดนรถบดถนนทับ กราบเรียนขออภัยไปอีกว่า โดยปกติแล้ว ไม่มีความถนัดในการเขียนเรื่อง และไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเขียนให้ เพราะลูกศิษย์ที่ทรงคุณวุฒิ และมีความพร้อมมากกว่าก็มีตั้งหลายท่าน จึงขาดการเตรียมการที่ดี

นอกจากนั้น แม่นิดก็มาป่วยหนัก รูปภาพต่าง ๆ ที่ได้เคยขอให้ท่านเป็นผู้เก็บรวบรวมก็กระจัดกระจายไป ซึ่งถ้าสามารถหามาประกอบและพิมพ์อยู่ในหนังสือเล่มนี้ได้ ก็จะทำให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น เช่น รูปหลวงพ่อ ฯ หลวงปู่ ฯ ครูบา ฯ ต่าง ๆ เสกสังฆาฏิให้ รูปหลวงปู่แหวน สุจิณโณ เสกพระเครื่องโดยให้ผมทูนพระที่ให้เสกไว้บนศีรษะ ในขณะที่ท่านกำลังเสกอยู่

รูปที่หลวงปู่วงษ์ ฯ ให้กะเหรี่ยงนำเสลี่ยงมาหามผมเข้าวัดนาเลี่ยง รูปที่ผมในขณะที่บวชเป็นพระภิกษุถ่ายคู่กับหลวงพ่อ ฯ ที่น้ำตก ที่เมืองลับแล จ. อุตรดิตถ์ โดยต่างก็ถือไม้เท้าด้วยกัน ดูแล้วตลกดี เป็นต้น รูปดี ๆ อย่างนี้ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ดีกว่าข้อเขียนเป็นไหน ๆ ใครยังพอหามาให้ได้ก็จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง เพราะเคยอัดแจกกันไปไม่ใช่น้อย

สำหรับผมนั้น เดิมไม่มีบ้านช่องเป็นของตนเอง ขณะนี้แม้จะมีแล้วก็กำลังต่อเติมอยู่ สิ่งของก็นำไปฝากบ้านคนอื่นเขาเอาไว้สามบ้านแปดบ้าน..หาไม่เจอ ไม่ทราบว่าอยู่ในกล่องไหนและอยู่ที่ไหนบ้าง ช่วยทีเถอะครับ นึกว่าทำบุญคราวนี้ไม่ทัน คราวหน้าก็ยังดี ถ้าได้ก็สุดสวยเลยครับ..นับว่าสมบูรณ์..!

ตกลงหลวงพ่อ ฯ ให้พิมพ์หนังสือนี้เป็นปฐมฤกษ์หนึ่งหมื่นเล่ม ผมปวารณาออกสตางค์ค่าพิมพ์สองพันเล่ม ที่เหลือหลวงพ่อ ฯ ออก คงไม่สิ้นเปลืองเท่าไรเพราะผมทำเองเกือบทุกอย่าง..แฮ่ะ..แฮ่ะ

◄ll กลับสู่ด้านบน



ตอนที่ 9 คุณจักรฯ กับ คุณศาสน์ »



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top