Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 5/7/08 at 18:27 [ QUOTE ]

การถอดจิตไปดวงดาวต่างๆ (ตอนที่ 3 จุไรท่องเที่ยวดวงจันทร์)


 « ตอนที่ 2 จุไรท่องเที่ยวดวงอาทิตย์


จุไรท่องเที่ยวดวงจันทร์


.......ลูกหลานที่รักพักจากการดื่มน้ำ พักผ่อนนิดหน่อย ความจริงที่เล่าเมื่อตอนต้นมันเหนื่อยมาก ร่างกายยังไม่ดี รู้สึกว่าเสียงแห้งๆ แล้วก็เหนื่อยจัด ตอนนี้ก็มาคุยกันใหม่ มาคุยกันถึงเรื่องจุไรเด็กอายุ ๕ ปี ไปเที่ยวดวงจันทร์ ตอนนี้ก็จะไม่ขอพูดถึงว่าไปกับใคร เอาไปคนเดียวก็แล้วกันเรื่องจะได้ไม่ยุ่ง

.......เมื่อจุไรกลับจากโรงเรียน มาถึงบ้านกราบมารดาแล้ว อันดับแรกรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ก็ไปช่วยพรวนดิน รดน้ำต้นไม้ต้นผักที่ปลูกไว้ ถึงแม้จะเป็นเด็กเล็ก ก็มีความกตัญญูรู้คุณ รู้จักความเป็นอยู่ของตนว่า ตนไม่ใช่ลูกหลานของคนร่ำรวย แม้แต่คนข้างบ้านเขารวย เขายังทำมาหากินเขายังไม่หยุด ฉะนั้นบ้านของจุไรจนกว่าเขา พ่อกับแม่มีความลำบากในการประกอบอาชีพ ต้องส่งให้ลูกเรียน

ถึงแม้แต่ลูกตัวเล็กๆ ก็รู้สึกมีความรับผิดชอบพยายามรดต้นไม้ตามที่จะทำได้ รดผักรดหญ้าพรวนดินตามกำลัง หลังจากนั้นเสร็จก็บูชาพระ จิตก็มีความรู้สึกว่าคุณแม่บอกว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้จุไรช่วยตนเอง ถ้าอยากจะไปเที่ยวที่ไหน ให้ปฏิบัติที่เคยสั่งไว้ ถ้าขืนให้แม่แนะนำอยู่เสมอ จุไรก็ไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ ถ้าอะไรเกินวิสัยก็ขอให้บอกแม่ แม่จะช่วย

เธอก็พยายามช่วยตัวเอง ทำการบ้านเสร็จ ตอนนี้มันเหนื่อยจากกลางวันมาก เพราะการเรียนหนังสือ แล้วก็ทำการงานก็นอน นอนก็เริ่มภาวนาว่า “พุธโธ” แล้วต่อไปพอพุธโธสบายใจ จิตใจนึกถึงพระพุทธรูป เมื่อเห็นพระพุทธรูปก็นึกถึงพระพุทธเจ้าก็ปรากฏ จิตมีความรู้สึกทางใจว่าพระพุทธเจ้าลอยอยู่ใกล้ๆ

หลังจากนั้นไป จุไรก็กราบทูลพระพุทธเจ้า คิดด้วยจิตว่า วันนี้อยากจะไปเที่ยวชมดวงจันทร์ ก็เห็นพระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษบ์ อย่าลืมนะว่า ลูกหลานที่รัก พระพุทธเจ้าที่เห็นอาจจะเป็น “พุทธนิมิตร” ถ้าใครเขาบอกว่า พระพุทธเจ้าองค์เดียวจะไปช่วยคนทุกคนได้อย่างไร เป็นอุปทานพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว

ลูกรักทุกคนก็จงจำคำนี้ไว้ว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรเมื่อวันจะนิพพาน พระอานนท์มีความเสียใจว่า ท่านเองก็เป็นพระโสดาบัน ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ถ้าพระพุทธเจ้านิพพานเวลานี้ ต่อไปก็ไม่มีครูสอน องค์สมเด็จพระชินสี จึงได้ตรัสว่า

“อานันทะ ดูก่อนอานนท์เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่ตรัสไว้จะเป็นครูสอนเธอ” โดยเฉพาะความจริงคำว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายเป็นแต่เพียงเรือนร่างที่อาศัยเท่านั้น พระพุทธเจ้าคือ “กายทิพย์” หรือที่เรียกว่า “อทิสมานกาย"

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อทิสมานกายที่มีความสะอาด ตัดกิเลสได้ผ่องใสเป็นกายทิพย์ ความเป็นทิพย์ลูกหลานทุกคนไม่มีการสลายตัว การจะเห็นพระพุทธเจ้าถือว่าเห็นความดีของท่าน ถ้าถามว่าทำไมเห็นตัวก็ต้องขอตอบว่า ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ เวลานั้น ถ้าใครนึกถึงองค์สมเด็จพระบรมครู หรือว่าตั้งใจปฏิบัติความดีเพื่อมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลอยู่ไกลแสนไกล ก็เปล่งฉัพพรรณรังสี คือรัศมีของพระองค์ ให้ไปถึงหน้าคนนั้น ก็ปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมของพระองค์ นั่งข้างหน้า แล้วก็เทศน์สอนเหมือนกับพระองค์นั่งอยู่ที่นั้นเอง

ก็รวมความว่า คนนั้นก็ฟังเทศน์จากพระองค์เองก็แล้วกัน อันนี้เหมือนกับลูกหลานทุกคนที่กำลังฟังอยู่ว่า เห็นภาพพระพุทธเจ้าของจุไร ก็ถือว่าเห็นฉัพพรรณรังสีก็เหมือนเห็นพระองค์นั่นเอง จะพูดอะไรกันก็ได้ จะสอนอะไรก็ได้ จะนำใครไปไหนก็ได้เหมือนพระองค์นำไปเอง ฉะนั้นแม่จึงได้สอนจุไรว่า ถ้าเห็นภาพให้นึกว่า นั่นคือพระพุทธเจ้าตรงไม่มีอะไรผิด

นี่คำว่าพระพุทธเจ้าจริงๆ ไม่ใช่เนื้อไม่ใช่หนัง พระพุทธเจ้าคลอดจากครรภ์มารดา ก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นี่ความเป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์ ต่อเมื่อบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็รวมความว่า คำว่า “พระพุทธเจ้า” คือความดีที่พระองค์ทรงบรรลุแล้ว ถ้าพวกเราเข้าถึงความดีของพระองค์เมื่อไร พระพุทธเจ้าก็อยู่กับเราเมื่อนั้น จะเห็นภาพได้ทันที

รวมความว่า จุไรเมื่อเห็นภาพพระพุทธเจ้า ก็กราบทูลให้ทราบว่า ต้องการจะชมโลกพระจันทร์ ภาพพระพุทธเจ้าก็นำจุไรไปยืนห่างโลกพระจันทร์ แล้วก็ทรงชี้ให้ดูโลกพระจันทร์ห่างจากโลกมนุษย์มาก แต่ว่าจุไรเคยไปจุฬามณี การไปจุฬามณีไปปั๊บเดียวก็ถึง มันไกลกว่าจากโลกพระจันทร์หลายแสนเท่า

เมื่อเข้าไปถึงโลกพระจันทร์จริงๆ ตอนที่อยู่ห่างเห็นพระจันทร์สว่างจ้า มีแสงออกจากโลกพระจันทร์ เป็นแสงสว่าง แต่เข้าไปใกล้จริงๆ พระจันทร์ไม่ได้มีแสง พระจันทร์กลายเป็นหินกลายเป็นดิน แตเป็นหินมากกว่าดิน พระจันทร์ไม่มีแสงสว่าง ไม่เกลี้ยงเกลาอย่างที่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กๆ สมัยโบราณท่านผู้ใหญ่มักจะบอกว่า ภาพเงาที่ปรากฏบนดวงจันทร์ ที่เรามองเห็นพระจันทร์เต็มดวงเวลากลางเดือน จะมีเงาๆ หนึ่ง ปะอยู่ที่พระจันทร์เล็กน้อย ผู้ใหญ่บอกว่านั่นกระต่ายที่นั่งชมจันทร์

ฉะนั้น จุไรเป็นเด็กฟังที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง ที่ว่ากระต่ายนั่งชมจันทร์ เวลาพระจันทร์วันเพ็ญ เธอก็อยากจะมองเห็นกระต่าย มองไปมองมาก็ไม่เห็นกระต่ายสักตัว โลกพระจันทร์เต็มไปด้วยความเงียบสงัด ไปถึงโลกพระจันทร์จริงๆความสว่างขาวนวลสวยสดงดงามก็ไม่มี หน้าพระจันทร์เท่าที่เห็นไม่ใช่นวล เต็มไปด้วยความขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง เป็นหินเป็นทรายบ้าง

มองดูแล้วโลกพระจันทร์เหมือนกับหน้าคนที่เป็นสิว หรือเป็นฝีดาษไม่เรียบร้อยตามที่เห็นเธอก็แปลกใจ นึกถึงพระพุทธเจ้า ภาพพระองค์ก็ปรากฏ อย่าลืมว่านี่นิทานและภาพที่ปรากฏก็เป็นพุทธนิมิตร จะบอกว่าพระพุทธเจ้ามาเองก็ได้ ตามใจชอบไม่ได้ขัดคอใคร หรือใครผู้ฟังที่เป็นมิจฉาทิฐิไม่เห็นชอบด้วย คำว่า “มิจฉาทิฐิ” คือเห็นไม่เหมือนกัน จะหาว่าเป็นภาพหลอนก็ตามใจอย่าลืมว่านี่คือนิทาน

เธอก็ถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่าโลกพระจันทร์ทำไมเป็นอย่างนี้ เวลาที่มองจากโลกมนุษย์ เห็นพระจันทร์มีแสงสว่างขาวนวล แล้วก็มีภาพกระต่าย แล้วพระจันทร์ก็ไม่สวยตามนั้น สมเด็จพระภควันต์ก็ตรัสว่า “พระจันทร์ไม่ได้มีแสงสว่างตามที่เห็น

แต่ที่เห็นพระจันทร์มีแสงสว่างนวลปรากฏ ก็เพราะว่า พระจันทร์ต้องแสงพระอาทิตย์ พระอาทิตย์สาดถึงแสงสะท้อนที่แสงพระอาทิตย์สาดถึง กลายเป็นแสงนวลออกจากพระจันทร์เหมือนกับกระจกถ้าตั้งอยู่เฉยๆ ก็ไม่มีแสงสว่าง

ถ้าเราเอาไฟฉาย ฉายเข้าไปหากระจกหรือตั้งกระจก หันหน้าเข้าหาแสงอาทิตย์ แสงสะท้อนจะสว่างออกมาก คือดูกระจกจริงๆจะไม่มีแสงสว่าง แต่อาศัยแสงสะท้อนจากความสว่าง ของดวงอาทิตย์หรือไฟฉาย ทำให้กระจกเป็นขึ้นสว่างมาก ข้อนี้ฉันใด พระจันทร์จริงๆก็ไม่มีแสง”

จุไรฟังพระพุทธเจ้าตรัสก็ทึ่งและเห็นเป็นจริง แล้วเธอก็ถามว่าในเมื่อพระจันทร์มีสภาพอย่างนี้แล้ว พระจันทร์ก็ไม่ใช่ดวงเล็กๆเป็นโลกใหญ่ เธอไม่ทราบว่าพระจันทร์ กับโลกมนุษย์ใครจะใหญ่กว่ากัน สมเด็จพระภควันต์ก็ตรัสว่า “โลกพระจันทร์เล็กกว่าโลกมนุษย์มาก” แล้วเธอก็ถามว่า “โลกพระจันทร์จะมีคนอยู่ไหม” สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า “คนก็ดี สัตว์ก็ดี อยู่ไม่ได้ แม้แต่ต้นไม้ก็ไม่มีในโลกพระจันทร์”

แล้วเธอก็ถามว่า “โลกพระจันทร์มีทะเลไหม” องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า “ในขณะที่เรายืนอยู่นี่ไม่มี แต่ความชุ่มชื้นในโลกพระจันทร์ย่อมมี ถ้าไม่มีหินแร่ธาตุต่างๆจะเกาะกุมตัวกันไม่ได้ถ้าขาดความชุ่มชื้น อย่างโลกพระอาทิตยจะเต็มไปด้วยแสงไฟความร้อน แต่ความร้อนกสามารถทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หลอมตัวเข้าเกาะกันได้คล้ายกับเป็นน้ำ พระจันทร์ก็เช่นเดียวกันมีความชุ่มชื้นอยู่บ้าง ถ้าจะมีน้ำขังเจิ่งเหมือนโลกมนุษย์ต้องดูกันก่อน ถ้าบอกก็บอกได้ แต่เพื่อคลายความสงสัยต้องดูกันก่อนเดินไปดูกัน”

ก็ปรากฏภาพพระเดินหน้า จุไรเดินตามหลัง เธอเดินไปก็มีความสงสัยบางจุดก็เป็นหลุมเป็นบ่อ บางจุดก็ราบเรียบ ผิวพื้นดินหรือแร่หินก็ไม่เหมือนกัน บางจุดก็เป็นสีเทา บางจุดก็เป็นผิวสีเหลือง บางจุดก็เป็นผิวสีขาว บางจุดดินเป็นประกายคล้ายกับเพชร เธอจึงถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมโลกพระจันทร์จึงเป็นอย่างนี้ ท่านก็บอกว่า เป็นธรรมดาของโลกแร่ธาตุต่างๆย่อมมี


.......เมื่อเดินไปทีแรกขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย ฟังแล้วเข้าใจว่า ไปถึงจุดแรกไปตอนกลางของพระจันทร์ เหมือนกับประเทศไทยเราอยู่ภาคกลาง หันหน้าเข้าหาพระจันทร์ ทางซ้ายเป็นภาคเหนือ ทางขวาเป็นภาคใต้ แล้วพระก็นำจุไรเดินไปทางภาคใต้ พอไปหน่อยหนึ่งก็พบสีดินเป็นทอง ปรากฏว่าทองอยู่ผิวดินส่วนใดที่ไม่มีฝุ่นมัวส่วนนั้นเห็นทองชัด เอามือจับหยิบขึ้นมาก็รู้สึกว่า เป็นทองคำธรรมชาติ เป็นเม็ดทรายเกลื่อนกลาดบริเวณกว้างมาก

........ต่อมาก็ใช้อารมณ์ใจที่เป็นทิพย์ เวลาที่ไปมีแต่กายทิพย์นะ อยากจะทราบว่าทองคำที่เห็นนี่ มันจะมีอยู่แต่ผิวดินหรือว่าลึกเข้าไปก็มี ดูแล้วจะเห็นว่าลึกเข้าไปเป็นโยชน์เป็นทองคำบริสุทธิ์แท้ บางจุดที่อยู่เหนือผิวดินเป็นเม็ดทรายเม็ดเล็กๆคล้ายทราย แต่เหลืองอร่ามเป็นบริเวณกว้างมาก ลึกลงไปหน่อยก็เริ่มจากก้อนเล็กๆลึกลงไปมากรู้สึกว่าเป็นก้อนใหญ่ ก้อนขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งใหญ่หลายสิบหรือหลายร้อยกิโล

เธอก็มีความแปลกใจตรัสถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ แผ่นดินหรือหินที่เห็นเหลืองๆนี่เป็นทองคำใช่ไหมเจ้าค่ะ” พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ใช่ เป็นทองคำธรรมชาติ”
เธอก็ถามว่า เวลานี้ฝรั่งเขามาเที่ยวโลกพระจันทร์กัน ฝรั่งเขาพบทองคำธรรมชาติไหม พระองค์ก็ทรงยิ้ม แล้วบอกว่า ฝรั่งก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขารู้ทุกอย่างแล้ว ว่าที่ผิวของโลกพระจันทร์มีอะไรบ้างฝรั่งเขารู้หมด เขารู้เกือบครบแต่สิ่งที่ไม่รู้ยังมีอยู่ แต่ต่อไปเขาก็จะรู้หมด เพราะเขามีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ดี เขาใช้ความพยายามดีมาถึงโลกพระจันทร์ได้ แล้วก็เวลานี้แร่ธาตุที่มีประโยชน์เขาก็เอาไปใช้กันเยอะแล้ว

เธอก็ถามว่า ทองคำมีมากๆอย่างนี้ เขาจะขนไปไหน ท่านก็ตอบว่า เป็นของธรรมดาทองคำนี่มีคุณค่าสำหรับคนเวลานี้ โลกถือทองคำเป็นสำคัญ การจับจ่ายใช้สอยเงินทองต่างๆขึ้นกับทองคำ ธนบัตรที่พิมพ์ขึ้นมาต้องใช้ทองคำรับรองจะแลกหาสิ่งของระหว่างต่างประเทศถือทองคำเป็นสำคัญ ฉะนั้นเรื่องทองคำที่ฝรั่งพบ จะเป็นฝรั่งอเมริกาก็ตาม ฝรั่งรัสเซียก็ตาม เขานำไปเยอะแล้วเขาก็นำไปมาก

เดินต่อไปอีก บริเวณกว้างมากทองคำ แธอก็ถามว่าทองคำในโลกพระจันทร์ กับทองคำที่มีในโลกมนุษย์ ที่ไหนจะมีมากกว่ากัน องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงตอบว่า ที่โลกมนุษย์มีทองคำไม่น้อย ถ้าคนไม่รบกวนไม่ขุดเอาไปใช้สอย ทองคำก็มีไม่น้อยกว่าโลกพระจันทร์ แต่เวลานี้คนขุดกันมานานแสนนาน ทองคำก็ร่อยหรอลงไป แต่สิ่งที่ธรรมชาติสร้าง ลูกรักท่านว่าอย่างนั้นนะ จะให้หมดเลยทีเดียวไม่ได้ มันก็ก่อตัวขึ้นใหม่ แต่ว่ากานก่อตัวช้ากว่าการถูกทำลาย

ฉะนั้นทองคำในโลกมนุษย์สมัยก่อนมีมาก เวลานี้จุไรลูกรักเธอเห็นว่าตามพื้นผิวแผ่นดิน เต็มไปด้วยเม็ดทรายเต็มไปด้วยทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จุไรเป็นคนไทย ถ้าถอยหลังจากนี้ไปอีกประมาณสักไม่ถึงพันปี หรือประมาณพันปีเป็นต้นมา ระยะนั้นประเทศไทยก็มีทองคำบนผิวดินเหมือนกัน

เพราะเวลานั้นคนยังมีบุญญาธิการมาก ความดีมีมากกว่าความชั่ว การข่มเหงคะเนงร้ายในข้อ “ปาณาติบาต ก็มีน้อย การยื้อแย่งคตโกงทรัพย์สินในข้อ “ อทินนาทาน” ก็มีน้อย การแย่งคนรักซึ่งกันและกันมีเหมือนกันแต่ก็มีน้อย การพูดปด พูดวาจาหยาบ ยุยงส่งเสรมให้เขาแตกร้าวกัน พูดวาจาไร้ประโยชน์ก็มีน้อย การดื่มสุราเมรัยก็มีน้อย จิตคิดประทุษร้ายกันก็มีน้อย จิตคิดอยากได้ทรัพย์สมบัติคนอื่นก็มีน้อย

แล้วส่วนใหญ่ของคนก็มีความเห็นถูกตามคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า คือเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระธรรม เชื่อพระอริยสงฆ์ ปฏิบัติความดีกันมาก คนชั่วก็มีคนดีก็มาก แต่คนดีมากกว่าคนชั่ว คนที่กำลังใจสูงมีมากกว่าคนที่มีกำลังใจต่ำ คนที่มีจิตเป็นบุญมากกว่าคนที่มีจิตเป็นบาป

ฉะนั้นทรัพย์สินในโลกจึงลอยอยู่เหนือพื้นดินใกล้ๆผิวดิน ถอยหลังไปไม่มากนักแค่สมัย “ท่านจามเทวี” เวลานั้นก็ปรากฏว่า ตามประวัติศาสตร์ของท่าน แค่ฝนตกชะลงมาทำให้ฝุ่นสลายตัวก็พบทองคำแล้ว การหาทองคำของคนสมัยนั้นหาไม่ยาก เพียงแค่เอามือไปคุ้ยเอาช้อนเอาทัพพีไปตักก็ได้ทองคำ ฉะนั้ตามพระเจดีย์ต่างๆ ก็ดีมีทองคำหุ้ม การสร้างพระพุทธรูปก็สร้างด้วยทองคำ วัตถุสิ่งของต่างๆ ที่ใช้กันก็เป็นทองคำมาก

รวมความว่าโลกมนุษย์ก็มีทองคำไม่น้อย แต่ว่าขุดกันมากเกินไป เวลานี้คนจิตใจเป็นบาปมากกว่าบุญ ฉะนั้นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคน จึงฝังลึกลงไปเพื่อหนีคนชั่ว แต่ก็ไม่หนีสุด ถ้าความดีมีอยู่บ้าง ก็สามารถจะได้สิ่งทั้งหลาย ที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ ก็รวมความว่าโลกมนุษย์ก็ยังไม่สิ้นทองคำ เธอมองไปมองมาเธอก็ยิ้มคิดว่านี่ฝรั่งเขามาได้ต่อไปฝรั่งก็รวยมาก ถ้าคนไทยมาได้คนไทยก็จะรวยมากเหมือนกัน แต่คนไทยเรายังไม่มีความสามารถ ด้านสร้างยวดยานพาหนะก็ไม่เป็นไร

แล้วเดินตามพระพุทธเจ้าท่านไปอย่าลืมว่านี่นิทานนะ นิทานจะจริงทุกอย่างไปไม่ได้ แต่ให้ถือว่า สิ่งทั้งหลายถ้าไม่เกินวิสัยที่พึงทำได้ ก็ลองทำดู เดินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็หลายสิบโยชน์นับเป็นร้อยโยชน์ เห็นความชุ่มชื่นความผ่องใสของโลกพระจันทร์ แต่ตอนนี้มีขาวนวลบางจุดก็ขาวจัด ขาวปร๊าบเข้าตาเป็นแสงสะท้อน มองไปมองมาทีแรกนึกว่าเงิน
ตอนแรกเธอคิดว่าเงินเห็นมันขาวๆ พอหยิบเข้าแต่สิ่งนั้นแข็งกว่าเงิน จึงได้ถามพระว่าสิ่งนี้อะไรพระเจ้าข้า ท่านบอกว่า นั่นทองขาว ทองขาวที่มนุษย์นิยมว่ามีค่ามากกว่าทองคำ

เธอก็ถามว่าบริเวณนี้มีไกลมากไหม ท่านก็บอกว่าไกลมาก บริเวณกว้างมาก เธอก็ถามว่าลึกขนาดไหน ท่านก็บอกว่า ใช้ทิพจักขุญาณ เวลานี้ลูกจุไรมาด้วยกายทิพย์ ตาของลูกจุไรก็เป็นทิพย์จะมองถึงไหนก็มองได้ เธอก็ใช้กำลังเป็นทิพย์ตาทิพย์มองลึกลงไป มันลึกลงไปเป็นโยชน์ๆมีทองขาวซับซ้อนกันที่อยู่เหนือผิวดิน ก็เป็นทรายเหมือนกับทองคำ แต่ลึกลงไปประมาณหนึ่งเมตร รู้สึกว่าจับก้อนเป็นก้อนย่อมๆลึกลงไปมากเท่าไรก็เป็นก้อนใหญ่เท่านั้น

รวมความว่าทองคำที่มีสีเหลือง ก็มีในโลกพระจันทร์ ทองขาวที่มีค่ามากกว่าทองคำก็มีในโลกพระจันทร์ เธอก็หันไปถามองค์สมเด็จพระทรงธรรมว่า ทองขาวนี่ฝรั่งเขาพบแล้วหรือยัง ท่านก็บอกว่าสิ่งที่ฝรั่งไม่พบไม่มี เวลานี้มันอยู่ผิวโลกฝรั่งเขาพบแล้ว ก็ใช้เครื่องมือทุ่นแรงไสเอาผิวๆไปใช้มากแล้ว
เธอก็คิดในใจว่าฝรั่งเขามีบุญจริงๆน่ะ เขาสามารถใช้ยวดยานพาหนะไปถึงได้ เขาเอาจริงเอาจัง ถ้าคนไทยเรามีวิริยะอุตสาหะอย่างนี้อย่างฝรั่ง ก็สามารถจะกอบโกยความร่ำรวยได้จากโลกพระจันทร์เหมือนกัน แต่ก็ไม่ทราบเวลาที่คนไทยเราเรียนวิทยาศาสตร์กับฝรั่งไปมาก ใครเขาสามารถมาเที่ยวโลกพระจันทร์นำวัตถุไปได้บ้างเราก็ไม่ทราบเหมือนกัน

ก็รวมความว่า อาจจะเชื่อความสามารถของคนไทยว่า บางท่านหรือบางกลุ่มที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านจะย่องๆไปโลกพระจันทร์นำทองคำมาบ้างนำทองขาวมาบ้าง มาเป็นประโยชน์กับประเทศชาติบ้างเรารู้ไม่ได้ เรื่องความสามารถของคนที่ประมาทกันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุไรเอง เธอไม่มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เธอก็เดาไม่ออก แต่ไม่ประมาทในบุคคลทั้งหลาย หลังจากนั้นไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็พาเธอเดินต่อไป

ต่อไปนี้ไปพบแหล่งบริเวณของแร่เงินมีบริเวณกว้างมากเหมือนกัน แล้วก็แร่ทองแดง แร่ตะกั่วก็มาก พอต่อไปเมื่อเดินไปอ้อมไปทางใต้ ปรากฏว่าโลกพระจันทร์นี่กลมเหมือนกันไม่ใช่แบน แล้วการเดินไปก็รู้สึกว่าแบนเพราะมันใหญ่ การเดินไปด้วยกายทิพย์ จะเปรียบเทียบกับกายเนื้อของฝรั่งไม่ได้ เพราะฝรั่งเอาเนื้อไปด้วย เนื้อมีความหนักแต่ความดึงดูดของโลกพระจันทร์มีน้อย ฝรั่งจึงรู้สึกว่าการดึงของโลกพระจันทร์เบาไป แต่กายทิพย์ไปที่ไหนก็มีอาการคล่องตัว ไม่ต้องอาศัยพื้นดินเท่าไรนัก ลอยไปก็ได้เดินไปก็ได้ตามชอบใจ

ต่อไปเจอะแหล่งสำคัญที่มีค่าสูงสุดในโลกพระจันทร์จุดหนึ่ง นั่นคือแหล่งแก้ว เห็นเป็นดินแพรวพราวเป็นระยับเหมือนเพชร ก้อนแร่เล็กๆที่วางอยู่บนโลกพระจันทร์เหมือนกับเพชรจริงๆ เด็กหญิงจุไรตัวเล็กๆจึงได้ก้มลงกราบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เธอก็ถามว่าแร่นี้มีคุณค่ามากใสเหมือนแก้ว ท่านก็ตอบว่าใช่ แต่นี่คือแก้ว เธอก็ถามว่า แม่มีแหวนเพชรแต่เพชรถือว่าดีที่สุดในโลกมนุษย์ แต่ก็ไม่สวยเท่านี้ ไม่ใสเท่านี้ ไม่เป็นประกายเท่านี้

สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงตอบว่า ใช่แก้วอันนี้จะถือว่าเป็นเพชร ก็เป็นเพชรที่มีความสำคัญมาก มีค่าสูงกว่ามีความแจ่มใสมากกว่า คือแก้วในโลกมนุษย์เราสู้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพชรที่เราใช้กัน ก็ไม่มีประกาย เวลาต้องแสงอาทิตย์ หรือต้องแสงไฟก็เป็นประกายเล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็มองกันเป็นแก้ว คนใส่แหวนเพชรก็เหมือนใส่ตูดขวด หมายความว่าคล้ายๆกับเอาแก้วตูดขวดไปทำแหวนเพชร มีค่าไม่ต่างกันเท่าไรนัก แต่แพรวพราวเมื่อถูกแสงไฟก็เล็กน้อย

แต่ว่าแก้วที่พบเวลานี้ยังไม่ต้องแสงอาทิตย์ ก็สามารถสะท้อนแสงออกมาได้ แพรวพราวเป็นระยับ เธอก็ถามว่าบริเวณกว้างยาวเท่าไร ท่านก็ตรัสว่า นับเป็นโยชน์ไม่ได้หรอกลูก มันต้องนับเป็นร้อยโยชน์พันโยชน์ ที่มีมากเพราะคนไม่กวน เธอก็ถามถึงความลึก ท่านก็ตอบว่า ให้ใช้อารมณ์ใจที่เป็นทิพย์หรือว่าใช้ดวงตาที่เป็นทิพย์มองดู

ในที่สุด เธอก็ใช้ความเป็นทิพย์มองดู ปรากฏว่าเพชรพิเศษที่มองเห็นนี่อยู่ลึกมาก และมีปริมาณมาก เธอจึงกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ฝรั่งเขาได้ไปหรือยัง ท่านก็ตอบว่า แร่ที่ฝรั่งได้ไปครั้งแรกฝรั่งได้แร่ผิวที่เป็นเพชรมีติดไปด้วย แล้วก็ฝรั่งเวลานี้ก็นำไปได้เยอะแล้ว

ก็รวมความว่าฝรั่งนี่เขามีบุญ เธอคิดในใจว่าทำอย่างไรคนไทยจึงจะได้บ้าง ถ้าใช้กำลังความเป็นทิพย์ ไม่สามารถจะหยิบเอาวัตถุที่มีน้ำหนักไปได้ แต่ถึงกระไรก็ดีเพียงรู้เท่านี้ก็ถือว่าเป้นบุญตัว ต่อจากนั้นไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า

จุไรเวลานี้โลกมนุษย์ดึกมาแล้ว พรุ่งนี้ต้องเรียนหนังสือลูกจะต้องกลับ แต่ก่อนจะกลับพ่อก็ขอเตือนว่า ความกตัญญูรู้คุณ การปฏิบัติคุณสนองความดีของผู้มีคุณตามคำแนะนำของท่าน และความเคารพในท่านอย่าลืม ถ้าไม่ลืมข้อนี้ พ่อจะสามารถนำเที่ยวได้ทุกภพแล้วข้อที่ ๒ ความเคารพในพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรม และพระอริยสงฆ์สอนอย่าลืม ประการที่ ๓ กรรมบถ ๑๐

๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์
๒. ไม่ลักทรัพย์
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม
๔. ไม่พูดมุสาวาท
๕. ไม่พูดหยาบคาย
๖. ไม่พูดส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน
๗. ไม่พูดวาจาเหลวไหล
๘. ไม่คิดประทุษร้ายใคร
๙. ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติใคร
๑๐. รักษาความดีให้ทรงตัว

ถ้าปฏิบัติได้เพียงเท่านี้ลูกรักจะสามารถไปได้ทุกภพทุกสถานที่ เวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว เอาละ..ลูกหลานถือว่าหมดคอร์ทของโลกพระอาทิตย์และโลกพระจันทร์ ความจริงเรื่องราวมีมากกว่านี้มาก แต่ขอยับยั้งเพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณพูนผล จงมีแก่ลูกรักทุกคน สวัสดี.

คลิกดูภาพประกอบ 1 - ภาพประกอบ 2 - ภาพประกอบ 3 - ภาพประกอบ 4 - ภาพประกอบ 5



ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์



เทพเจ้าประจำดวงจันทร์คือ เซเลเน่ และ อาร์เทมิส
วงโคจร : 384,400 ก.ม.จากโลก
เส้นผ่านศูนย์กลาง : 3476 ก.ม.
มวล : 7.35 x 10 22 ก.ก.


ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โคจรรอบโลกทุกๆ 27 วัน 8 ชั่งโมง และขณะเดียวกันก็หมุนรอบแกนตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียว ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของโลก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง มนุษย์เพิ่งจะได้เห็นภาพ เมื่อสามารถส่งยานอวกาศไปในอวกาศได้

บนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ และเย็นจัดในวริเวณเงามืด ที่พื้นผิวของดวงจันทร์มีปล่องหลุมมากมาย เป็นหมื่นๆหลุม ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่มีภูเขาไฟและทะเลทรายแห้งแล้ง

ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับดวงจันทร์
เส้นผ่าศูนย์กลาง 3,476 กิโลเมตร
มวล 0.012 เท่าของโลก
ความหนาแน่น 3.3 เท่าของน้ำ
ระยะห่างจากโลกโดยเฉลี่ย 384,400 กิโลเมตร
ระยะที่อยู่ใกล้ที่สุด 365,400 กิโลเมตร
ระยะห่างมากที่สุด 406,700 กิโลเมตร
เวลาหมุนรอบตัวเอง 27.32 วัน (นับแบบดาราคติ)
เวลาหมุนรอบโลก 29.53 วัน (นับแบบจันทรคติ)
เอียงทำมุมกับเส้นอีคลิปติค 5 องศา
เอียงทำมุมกับแกนตัวเอง 6 1/2 องศา


วัฏจักรของดวงจันทร์

เราทราบแล้วว่า ถ้านับเดือนทางจันทรคติ แล้วดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกหนึ่งรอบ กินเวลา 29 1/2 วัน ถ้าเรานับจุดเริ่มต้นของดวงจันทร์ที่วันเดือนดับ (New moon) เป็นช่วงที่ดวงจันทร์ อยู่เป็นเส้นตรงระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงจันทร์ทึบแสง คนบนโลกจึงมองไม่เห็นดวงจันทร์ แล้วก็เป็นวันข้างขึ้นทีละน้อย เราจะเห็นดวงจันทร์สว่างเป็นเสี้ยวทางขอบฟ้าตะวันตก และจะเห็นดวงจันทร์ขึ้นสูงจากขอบฟ้าทิศตะวันตก ไปทางทิศตะวันออก พร้อมกับมีเสี้ยวสว่างมากขึ้น

พอถึงช่วงวันขึ้น 7-8 ค่ำ ดวงจันทร์จะสว่างครึ่งซีกอยู่ตรงกลางท้องฟ้าพอดี (Quarter) วันต่อมาจะเพิ่มเสี้ยวสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันขึ้น 14-15 ค่ำ ดวงจันทร์จะมาอยู่ตรงเส้น ระหว่างดวงอาทิตย์และโลก ทำให้ดวงจันทร์เกิดสว่างเต็มดวง (Full moon)

หลังจากนั้นดวงจันทร์กลายเป็นข้างแรม ดวงจันทร์จะขึ้นช้าไปเรื่อยๆ จนหายไปในท้องฟ้าจะเห็นเดือนดับ แล้วก็เริ่มต้นใหม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม เนื่องจากดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1 รอบ เท่ากับมันโคจรรอบตัวเอง 1 รอบพอดี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ดังนั้นเราจึงเห็นดวงจันทร์เพียงซีกเดียวตลอดเวลา

ที่มา - www4.msu.ac.th

ตอนที่ 4 จุไรท่องเที่ยวดาวอังคาร » 

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top