Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 5/7/08 at 18:45 [ QUOTE ]

การถอดจิตไปดวงดาวต่างๆ (ตอนที่ 6 จุไรชมดวงดาว)


 « ตอนที่ 5 จุไรท่องเที่ยวดาวพุธ

ตอนจุไรชมดวงดาว

บรรดาลูกหลานที่รักทุกคนหลวงพ่อหายหน้าไป ๒๕ วันหลังจากที่คุยกันมาเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๐ แล้วก็มาโผล่ขึ้นวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นเวลา ๒๕ วัน วันนี้ตรงกับวันแรม ๑๒ ค่ำเดือน ๘ เป็นวันพุธ

สำหรับวันนี้ก็จะขอเข้าเรื่องเลย เพราะว่าการอารัมภบทเป็นปัจจัยให้บรรดาลูกหลานรำคาญตอนนี้ ขอให้ชื่อว่า "ตอนจุไรชมดาว" สำหรับท่านผู้ฟังได้โปรดทราบเรื่องเสียงนี่อย่าเอาเป็นสำคัญนัก เพราะร่างกายยังไม่ดี และขณะที่พูดนี่ก็ยังไม่ดีมาก ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

"ร่างกายเป็น โรคะนิทธัง มันเป็นรังของโรคปะภัง คุณังจะต้องเปื่อยเน่าเป็นธรรมดา" เป็นเรื่องของมัน

ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นตอนที่ "จุไรชมดาว" เข้าเรื่องกันดีกว่าเป็นอันว่าจุไรหลังจากไปเที่ยวมาแล้วเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๐ หลังจากนั้นก็มาศึกษากับคุณแม่ในเรื่องของการทรงสมาธิจิตเพราะเธอปรารภว่าสมาธิของเธอไม่ทรงนานถ้าวันไหนได้มีโอกาสท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆด้วยกำลั งของใจเวลาที่ท่องเที่ยวอยู่จิตก็ทรงตัวแต่ว่าในยามปกติปรากฏว่าถ้าคุมอารมณ์หายใจเข้าออกก็ดีคุมภาวนาก็ดีใจอยู่ไม่ได้นานนักประเดี๋ยวก็เลื่อนลอยไปสู่อารมณ์ อื่น

สำหรับบรรดาท่านผู้ฟังก็ดีท่านผู้อ่านก็ดีท้องเรื่องของนิทานนี่โปรดอย่าเชื่อว่าเป็นความจริงให้ถือว่าเป็นเรื่องของนิทานจริงหรือไม่จร ิงก็พูดได้แต่เรื่องที่จะพูดทั้งหมดที่จริงคือข้อวัตรปฏ้บัติให้ถือเป็นเรื่องจริงได้ตัวเอกของนิทานก็ดี ตัวรองของนิทานก็ดีไม่ใช่ของจริง และก็จงอย่าเชื่อเนื้อเรื่องโ ดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิทยาศาสตร์ จงอย่าถือเรื่องดวงดาวนี่เป็นเรื่องจริงเรื่องจัง ให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องนิทาน

แต่ความจริงถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์แท้ก็ไม่น่าหนักใจ ทั้งนี้ก็เตือนใจบรรดาท่านทั้งหลายที่กำลังเรียนวิทยาศาสตร์ อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเรื่องดวงดาวต่างๆ ทำไมผู้พูดจึงพูดผิดกับความเป็นจริง ที่นักวิทยาศาสตร์ทราบ ก็ขอให้ทราบว่าเป็นเรื่องของนิทาน

ต่อไปก็เข้าเรื่องของจุไรมาวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๓๐เธอก็นอนอยู่ที่นอกชานวันนี้เป็นวันแรม ๑๒ ค่ำ ของวันบันทึก แต่ว่านิทานก็ต้องเป็นข้างขึ้น สมมุติว่าวันนี้เป็นวันข้างขึ้นของกลางเดือน (กลางเดือนนี่ไม่มีขึ้นมีแรมนะ) เป็นวันกลางเดือนพระจันทร์เต็มดวง หลังจากเสร็จภาระกิจทุกอย่างแล้ว เป็นเวลากลางคืนพระจันทร์แจ่มฟ้า จุไรจึงได้ชวนมารดาที่เคารพมานอนเล่นกลางนอกชาน และก็มองดูดวงดาวต่างๆ เธอยังถามแม่ว่า

"คุณแม่เจ้าคะ การทรงสมาธิจิตทำให้จิตทรงตัว และทรงสมาธิอยู่ได้นานๆ ขณะที่ไม่มองดูภาพต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาดูภาพหนูทรงสมาธิได้ดีใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็ทรงอยู่ได้ แต่ว่าเวลายามปกติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าก็ดีภาวนาก็ดีทรงตัวไม่ได้นาน ประเดี๋ยวอารมณ์อื่นก็เข้ามาแทรก ที่เรียกว่าอารมณ์ฟุ้งซ่าน ทำแบบไหนจึงจะทำให้อารมณ์ทรงตัวได้นาน"

ท่านแม่ก็เตือนว่า "ถ้าต้องการทรงตัวได้นานก็ให้ใช้เวลาน้อยๆ คุมอารมณ์ให้จิตรู้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้ลมหายใจเข้ารู้ลมหายใจออก และก็รู้การภาวนาให้นับ ๑ ถึง ๑๐ หายใจเข้าหายใจออกควบคู่กับคำภาวนา นับเป็น ๑ หายใจเข้าหายใจออกควบคู่กับคำภาวนานับเป็น ๒ อย่างนี้ให้ถึง ๑๐ ถ้ายังไม่ถึง๑๐ ถ้าบังเอิญจิตแลบไปสู่อารมณ์อื่นไปคิดอย่างอื่นนอกจากการรู้ลมหายใจเข้าออก หรือนอกจากรู้การภาวนาให้ลงโทษจิตเริ่มต้นนับ ๑ ใหม่

ถ้าทำอย่างนี้ไม่นานจิตก็จะมีการทรงตัวต่อไปทำจนชินไม่เกินครึ่งเดือนนับ ๑ ถึง ๑๐ จิตก็ยังไม่ไปไหน ๒๐ ก็ไม่ไปไหน ๕๐ ก็ไม่ไปไหน ๑๐๐ หรือ ๒๐๐ ก็ไม่ไปไหน การฝึกสมาธิให้ทรงตัวเขาทำอย่างนี้" และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่ปรารภกับจุไรว่า "การที่แม่เคยบอกไว้ว่าขณะใดที่มีอารมณ์ว่าง

เวลาเดินไปโรงเรียนก็ดี หรือไปเพื่อธุรกิจอื่นใดก็ดี นั่งอยู่ก็ตามให้จิตนึกถึงอารมณ์ภาวนาไว้ คาถาภาวนาว่าอย่างไรว่าตามถนัดทำใจสบายๆ เวลานั้นจะนึกถึงภาพพระพุทธรูปก็ดีภาพพระสงฆ์ก็ดีหรือภาพนิมิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตามให้ปรากฏอยู่ในอกหรือว่าเห็นอยู่ข้างนอกก็ได้ตามใจชอบจิต นึกถึงภาพพระพร้อมคำภาวนาให้ทรงตัว"

แม่ก็ถามจุไรว่า "อย่างนี้ลูกทำหรือเปล่า"
จุไรก็บอกว่า "ทำเจ้าค่ะ"

แล้วจุไรก็ถามคุณแม่ว่า "การทรงอารมณ์อย่างนั้นเวลาที่จิตจับภาพพระก็ดีรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดีภาวนาก็ดีตาม ถ้าจิตจับภาพจิตทรงได้นานมีสมาธินาน แต่ว่าขณะใดถ้าจิตไม่จับภาพจิตทรงไม่ได้นานเป็นเพราะอะไร"

คุณแม่ก็บอกว่า "ตามธรรมดาถ้าจิตไม่จับภาพจิตใช้อารมณ์ละเอียดมากไม่มีจุดเกาะ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนกสิณ กสิณเป็นนิมิต มีภาพท่านถือว่าเป็นกรรมฐานหยาบ สามารถทรงสมาธิได้ดี ฉะนั้นขอจุไรลูกรักจงพยายามทรงสมาธิด้วยกำลังจับภาพ" และแม่ก็ถามต่อไปอีกว่า "เคยใช้อารมณ์อย่างนี้บ่อยไหม?"

จุไรก็ตอบว่า "การจับภาพก็ดีภาวนาก็ดีใช้เป็นปกติเวลาจะเดินไปไหนก็ตามนั่งอยู่ก็ตาม ถ้าว่างจิตจะนึกเห็นภาพพระพุทธรูปก็ตามพระสงฆ์ก็ตาม บางครั้งก็เห็นเป็นภาพพระพุทธเจ้าสวยสดงดงามมากอยู่ในอก บางครั้งก็มีสภาพแจ่มใสมาก บางครั้งก็มีสภาพไม่แจ่มใสนัก"

แม่ก็บอกว่า "ขณะที่ภาพแจ่มใสนั้นเวลานั้น แสดงว่าจิตว่างจากกิเลสมากกิเลสไม่หุ้มห่อตัวไม่มีความสกปรกของจิต เวลาไหนที่จิตเห็นภาพพระหรือสว่างน้อย แสดงว่าจิตมีความมัวหมองอยู่บ้างแต่มีความบริสุทธิ์มาก"

แล้วแม่ก็ถามต่อว่า "ขณะที่จิตจับภาพพระเพลินอยู่มีภาพอื่นเข้ามาแทรกปรากฏว่าเป็นจริงมีไหม?"

จุไรก็นั่งนึกก็ตอบกับคุณแม่ว่า "ความจริงมีเจ้าค่ะ" เธอก็บอกว่า "วันหนึ่งไปคุยกับคุณป้าแดงบ้านข้างๆ กัน คุณป้าแดงเธอถามว่า "จุไรหลานรักหลานนะ ฝึกสมาธิกับแม่ไปเที่ยวดวงดาวได้ใช่ไหม?" จุไรก็ตอบว่า "ได้เจ้าค่ะ" แล้วคุณป้าก็ถามว่า "เวลานี้คุณลุงสามีของคุณป้าตายไปหลายปีแล้ว ป้าอยากจะถามว่าเวลานี้คุณลุงมีความสุขหรือความทุกข์ เกิดอยู่ที่ไหนหรือไม่"

จุไรเรียนกับคุณแม่ว่า "เมื่อป้าแดงพูดอย่างนั้นจิตก็ไม่ได้คิด แต่ปรากฏว่าจิตเห็นภาพชายคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหลังป้า ชายคนนั้นเป็นคนขาวเหลือง รูปร่างโปร่งแต่งเครื่องแบบนายทหารเรือ เห็นหน้าแล้วก็ยิ้ม"

จุไรก็กราบเรียนป้าบอกว่า "ตามธรรมดาหนูไปแต่ดวงดาวเป็นที่หยาบ การเห็นผีเห็นเทวดายังไม่เคยฝึกกับแม่ แต่เคยไปพระจุฬามณีเจดีย์สถาน ไปพบพระพบเทวดาก็เป็นวาระเดียวไม่เคยฝึกฝน อีกไม่แน่ใจว่าจะรู้หรือไม่รู้" คุณป้าฟังแล้วก็ยิ้มพยักหน้า

จุไรก็พูดต่อไปว่า "ที่คุณป้าถามถึงคุณลุงที่ตายความจริงคุณลุงนี่ตายก่อนจุไรเกิดไม่กี่วันนักก่อนจุไรคลอดไม่กี่วันจุไรเ ลยไม่รู้จักคุณลุง"

จุไรก็มองดูภาพชายที่ยืนอยู่ข้างหลังคุณป้าแล้วก็ถามว่า "คุณลุงน่ะรูปร่างโปร่งขาวเหลืองหน้าตายิ้มเสมอเป็นนายทหารเรือใช่ไหม"

คุณป้าหันมาทำตาโตก็แปลกใจว่า "ใช่จ๊ะจุไรลูกเห็นหรือ"

จุไรก็ถามว่า "คุณลุงเวลาที่มีชีวิตอยู่คุณลุงชอบบูชาพระใช่ไหมเวลาจะไปทำงานคุณลุงก็ไปบูชาพระก่อนกลับมาคุณลุงเข้าห้องบูชาพระก่อนจะรับประทานอาหารหรืออาบน้ำก่อนจะหลับค ุณลุงก็จะบูชาพระก่อนวันเสาร์-อาทิตย์คุณลุงชอบใส่บาตรเป็นความจริงไหมเจ้าคะ"

คุณป้าก็ตอบว่า "จริง" แล้วป้าก็ถามว่า
"จุไรหนูรู้ได้อย่างไร"

เธอก็บอกว่า "หนูไม่เคยฝึกเรื่องนี้แต่พอคุณป้าถามหนูก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังคุณป้ารูปร่างตามที่ว่านี้เป็นคุณลุงใช่ไหม" คุณป้าก็ยอมรับ

จุไรจึงกราบเรียนให้คุณแม่ทราบว่า "ลูกยังไม่เคยฝึกแต่ความจริงเมื่อคุณป้าถามเข้าจิตมันเห็นภาพนั้นถูกหรือไม่ถูกเจ้าคะ"

คุณแม่ก็บอกว่า "นั่นถูกการเห็นเป็นทิพจักขุญาณลูกทำได้คล่องแล้วโดยไม่นึกถึงก็ทราบทันที เพราะกิจใดก็ตามควรจะรู้ทิพจักขุญาณถ้าคล่องจะรู้ได้ทันที แล้วก็ประการที่สอง การรู้เรื่องของคนตายแล้วก็แดนเกิดใหม่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าจุตูปปตญาณ รู้การเกิดและการตายของสัตว์ ก็แสดงว่าลูกจุไรนี่มีการคล่องใน ทิพจักขุญาณและจตูปปาตญาณ แล้วความจริงญาณต่างๆ จะเป็น จุตูปปาตญาณก็ดีเจโตปริยญาณก็ดี ปุพเพนิวาสนานุสติญาณก็ตามทั้งหมดก็มาจากทิพจักขุญาณอย่างเดียว เมื่อได้ทิพจักขุญาณคล่องตัวแล้ว ทุกอย่างก็จะคล่องหมด เพราะเอาทิพจักขุญาณไปใช้ในกิจนั้น"

จุไรก็ถามว่า "การได้ญาณต่างๆ มีประโยชน์อย่างไร"

คุณแม่ก็ตอบว่า "หมดสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอะไร มีที่ไหนเราสามารถจะพิสูจน์ได้"

ต่อมาจุไรก็เบนเรื่องถามคุณแม่บอกว่า "เรานอนตรงนี้เวลานี้เวลานี้ยังไม่ไปเที่ยวดีไหมเจ้าคะ"

คุณแม่ก็ถามว่า "ไปเที่ยวที่ไหน"

เธอก็ตอบว่า "ตั้งใจจะไปโลกพระพฤหัสบดีโลกพฤหัสบดีก็ดีดาวพฤหัสบดีก็ตามยังไม่ได้ไปไปแต่ดาวพุธวันนี้อยากจะไปแต่หนูยังไม่อยากไปเจ้าค่ะอยากจะนอนชมดาวเล่นเพลินๆ เสียก่อน"

คุณแม่ก็ถามว่า "จะชมดาวอะไร?"

จุไรก็บอกว่า "เวลานี้เราอยู่ที่ดาวชมภูคือโลกมนุษย์ธรรมดานอนหงายแหงนหน้าขึ้นมาเห็นดวงจันทร์อันนั้นเป็นดวงจันทร์ที่เคยเป็นมาแล้ว แต่ดวงจันทร์จริงๆ นี่ เวลามองดูที่บ้านหรือที่ภาคพื้นเมืองมนุษย์เห็นดวงจันทร์สว่างมากคล้ายกับดวงใหญ่แสนเย็นตาสบายใจ แต่เวลาเข้าไปจริงๆ จันทร์ก็ไม่มีแสง ปรากฏว่าเป็นพื้นโลกประเภทหนึ่ง ถ้ามองจากที่นี่ไปถ้ามองจากจิตไม่ใช้ลูกตา เห็นว่าดวงจันทร์นี่เป็นดาวดวงใหญ่ แล้วก็เป็นดินเป็นหินเป็นทราย"

แต่ความจริงดวงจันทร์นี่จุไรปรารภกับแม่ว่า "ก่อนที่อเมริกาจะยิงจรวดไปที่ดวงจันทร์คุณแม่เคยเล่าให้จุไรฟังว่าก่อนหน้านั้นไม่กี่วันนักมีนักเจริญฌานพวกหนึ่งที่เรียกว่าพรหม ศาสตร์ คณะพรหมศาสตร์นี่ไปโลกพระจันทร์ก่อนหรือไปดวงจันทร์ก่อนไปถึงโลกพระจันทร์ ต่างคนก็ต่างไปชมกลับมาก็คุย บอกว่าที่โลกพระจันทร์นี่มีฝุ่นสีเทาอยู่ที่โลกพระจันทร์ ก็ปรากฏหนังสือเขาเขียนก็ลงเป็นข่าว หนังสือจะเป็นหนังสือรายปักษ์หรือหนังสือรายวันก็จำไม่ได้ แล้วต่อมาเมื่อฝรั่งไปก็ปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ"

จุไรก็ถามว่า "คนที่ได้ฌานสมาบัติในขณะที่พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วนี่มีมากไหมคะคุณแม่"

คุณแม่ก็ตอบว่า "มีมากอย่างที่พวกเราได้นี่เป็นของเล็กน้อยเป็นเศษๆ ของความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อย่างพวกพรหมศาสตร์เขาอาจจะดีกว่าพวกเราก็ได้ ต้องถือว่าเขาดีเพราะว่าเขาสามารถไปถึงดวงจันทร์ได้ แล้วก็บอกลักษณะฝุ่นสีเทาได้ตรงกับฝรั่ง"

จุไรก็มองต่อไปว่า "ถ้าเรานอนตรงนี้ดาวอังคารเรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อแต่ว่าดวงจันทร์เรามองเห็นแต่ว่าใช้จิตเป็นตาก็เห็นดาวอังคารดาวอังคารรู้สึกว่าอยู่ไกลไปมาก ตามภาพที่เห็นมาก็เป็นหินแล้วก็มีแร่ธาตุมาก ถ้ามองจากที่นอนตรงนี้โลกชมภูเห็นว่ารอบๆ ดาวอังคารเป็นหมอก แต่ไม่หนานักแต่ก็ไม่บางเกินไปคล้ายๆ กับแสงกระไอหรือว่าเศษของหมอกย่อมๆลอยอยู่รอบตัว"

คุณแม่ก็ตอบว่า "นั่นเป็นความจริง"

แล้วต่อมาจุไรก็มองไปดูดาวพุธชมดาว ความจริงฐานที่ตั้งของดาวที่ท่านผู้ฟังท่านฟังแล้วก็จงทราบว่า ฐานที่ตั้งของดาวอยู่ไม่แน่นอนอาจเคลื่อนไหวไปในที่ต่างๆ จากที่เดิมได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องนี้ก็เป็นนิทานจงอย่าเชื่อฟังกันสนุกๆ จะสนุกหรือจะรำคาญก็ตามใจ มองไปเห็นดาวพุธรู้สึกว่าดาวพุธนี่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าดาวดวงอื่น

เห็นว่าเห็นใกล้มากแต่ก็ไม่ใกล้หนักเกินไปอยู่ไกลจากดวงเพลิงที่รอบดวงอาทิตย์เรียกว่าเป็นล้านๆ ไมล์ไกลมาก แต่ก็ยังถือว่าใกล้กว่าดาวดวงอื่นที่อยู่ใกล้พระอาทิตย์ ถ้ามองด้วยกำลังของจิตจะเห็นว่า ส่วนหน้าของดาวพุธเกลี้ยงกลมเหมือนกับดาวหัวโล้น เพราะอาศัยถูกความร้อนแต่มองไปด้านท้ายของดาวพุธ ปรากฏว่ามีความเย็นเข้ามาปะทะดาวพุธนี่ ความจริงท่านผู้ฟังไม่ใช่ดาวดวงเล็กขนาดของดาวพุธก็ไม่ต่างกับโลกมนุษย์เท่าไรนัก ฉะนั้นเมื่อดาวพุธใหญ่ขนาดนี้ความร้อนก็คงไม่ทั่วตลอดดาวพุธ ฉะนั้นในตอนท้ายของดาวพุธจึงมองเห็นว่ามีความชื้นสูง

จุไรก็ถามคุณแม่ว่า "เท่าที่เราไปกันมา หนูไปมาแล้ว ดาวพุธมีสภาพด้านหน้าร้อนจัด ด้านหลังก็เย็นจัด ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ถ้าเราจะเอาบาตรลูกใหญ่ ๆ เอาวางไว้ใกล้ ๆ กองเพลิง แต่ก็ไม่ติดเลย สุมไฟกองย่อม ๆ เอาบาตรวางไว้ห่างไปสัก ๒-๓ วา ด้านหลังก็เอาน้ำฉีดเป็นละอองเข้ามาปะทะ อยากจะทรายว่าด้านหน้ากับด้านหลังจะร้อนเท่ากันไหม"

จุไรก็ตอบว่า "ด้านหลังถึงแม้ไม่มีน้ำก็ร้อนไม่เท่าด้านหน้า และประการที่สองถ้าถูกน้ำเข้าด้วยก็จะเย็นมากกว่า จะไม่มีความร้อนนัก จะร้อนบ้างก็ไม่มาก ส่วนปลายสุดที่ความร้อนลามไปไม่ถึงอาจจะเย็นเฉียบก็ได้"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ดาวพุธก็มีสภาพอย่างนั้น ลูกก็ไปมาแล้วก็ทราบตามความเป็นจริงว่าดาวพุธด้านหน้าร้อนจัด ด้านหลังค่อย ๆ มีความชุ่มชื้นเข้าไป เรียกว่า ๒ ใน ๓ ของดาวพุธร้อน ๆ เกินสมควรที่จะมีสัตว์อยู่ ๑ ใน ๓ ตอนปลายของดาวพุธสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ได้"

ก็รวมความว่าดาวพุธด้านหน้าร้อนก็จริงแหล่ แต่ทว่าด้านหลังเย็นจึงมีชีวิตอยู่ได้ เธอก็มองไปอีกทีก็เห็นดาวพฤหัสซึ่งอยู่เยื้องจากดาวพุธออกไปไกลมาก มองเป็นดาวดวงใหญ่ มองไปทีไรเห็นดาวพฤหัสไม่ชัดนัก เพราะว่าภายนอกรู้สึกว่ามีเมฆหรือมีละอองหมอก มีความหนามาก หมอกมีการหมุนตัวคล้ายพายุพัดไปพัดมาอยู่ตลอดเวลา
ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่าโลกมนุษย์เรามองเห็นเมฆลอยอยู่เบื้องบน เมฆก้อนขาวก็ตาม เมฆก้อนดำก็ตาม เป็นก้อนทึบที่เรียกว่ามองเห็นด้วยตาเปล่า จะเห็นว่าอยู่ไกลมาก และก็บางคราวจะเห็นเมฆทั้งหลายเหล่านั้นลอยลิ่วไปด้วยกำลังลมลอยเร็ว บางครั้งก็เร็ว บางครั้งก็ช้า

สำหรับดาวพฤหัสก็มีสภาพเหมือนกัน ข้างนอกรู้สึกว่ามีความหมุนของอากาศเยอะ จะกล่าวว่าเป็นเมฆหรือหมอกก็ได้ ลอยไปลอยมาหมุนอยู่ มีสภาพเหมือนว่าดาวพฤหัสไม่สามารถจะมีอะไรอยู่ได้ แต่เมื่อใช้กำลังใจมองเข้าไปจริง ๆ ก็ปรากฏว่าดาวพฤหัสกับความหมุนของลม หรือเมฆหมอกที่หมุนอยู่ภายนอกไกลกันมาก ซึ่งไม่ต่างกับโลกมนุษย์ที่เราเห็นเมฆขาวหรือเมฆดำลอยหนาทึบอยู่ไกลแสนไกล

แต่ว่าถ้าหากเราขึ้นเครื่องบินไป เครื่องบินบินขึ้นไปสัก ๒ หรือ ๓ หมื่นฟิต มองลงมาแล้วจะเห็นเมฆหมอกทั้งหลายเหล่านั้นคล้ายกับผืนแผ่นดินก็รวมความว่าดาวพฤหัสก็มีสภาพเช่นเดียวกัน

เธอก็บอกกับคุณแม่ว่า "คุณแม่เจ้าขาดาวพฤหัสนี่มองไกล ๆ คล้ายกับจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่ได้ แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้วดาวพฤหัสก็เป็นดาวดวงใหญ่โตและก็เกลี้ยง มีความร้อนน้อยกว่าดาวพุธมาก ทั้งดวงของดาวพฤหัสมีการหมุนตัว ความร้อนก็ไม่หนักคล้ายกับโลกมนุษย์หรือโลกชมภูที่เราอยู่ ฉะนั้นดาวพฤหัสนี่ฝรั่งเขาว่าไม่มีคน แต่ว่าเราเป็นนิทานก็ต้องมีคนเพราะพฤหัสเป็นสมพระเคราะห์ เป็นดาวที่ให้ความสุขก็ต้องมีคน"

เธอก็มองผ่านไปจากดาวพฤหัสก็มองไปเห็นดาวศุกร์ ดาวศุกร์นี่สีสุกจริง ๆ เวลากลางคืนสว่างจ้า เวลาธรรมดาที่เราอยู่ที่โลกนี้จะมองเห็นทางด้านทิศตะวันตก ดาวศุกร์สว่าง ดาวศุกร์นี่ก็มีความเยือกเย็นไม่เท่ากัน ด้านนอกถ้ามองเข้าไปจะเห็นว่าดาวศุกร์นี่มีหิมะมาก ปกคลุกมากตอนท้ายมีสภาพหนาวจัดสัตว์ทั้งหลายมีขนยาวมาก แต่มองเข้าไปให้ทั่วบางจุดก็มีความอบอุ่น บางจุดก็ค่อนข้างร้อนนิดหน่อย ก็รวมความว่าถ้าร้อนก็ร้อนพอทนได้

อย่างโลกชมพูที่เราอยู่นี่ ดาวศุกร์อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สินเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก เธอก็มองไปอีกเห็นดาวดวงเล็ก ๆ ไกลขึ้นสูงจากดาวพระศุกร์ ถ้ามองเห็นด้วยตาเปล่า ดาวพระศุกร์ก็ดี ดาวดวงเล็กก็ดีมองด้วยตาเนื้อมองเห็น แต่ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัส มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น

เธอก็ถามคุณแม่ว่า "ดาวดวงเล็ก ๆ นั่นที่พระท่านปรารภว่าเป็น ดาวจามร ใช่ไหม"
คุณแม่ก็ตอบว่า "ใช่"

เธอก็ใช้ตาใจมองไป ตาเนื้อมองเห็นเล็กนิดเดียว ตาใจมองไปรู้สึกว่าดาวดวงนี้ใหญ่เป็นโลกที่มีความใหญ่ไพศาลไม่น้อย มีผู้คนอยู่อาศัยเหมือนดาวศุกร์ดาวพฤหัสเหมือนกัน และก็ปรากฏว่าวิทยาศาสตร์เขาก็เจริญรุ่งเรือง เวลามันน้อยถอยลงมา วกจากดาวศุกร์ก็ถึงดาวพฤหัสแยกออกไปทางด้านทิศเหนือของโลกนิดหน่อย เจอะดาวเสาร์ ดาวเสาร์เวลานี้อยู่มุมอับ รู้สึกว่าอยู่ไกลแสงอาทิตย์มาก ดาวเสาร์นี่จริง ๆ เขาเรียกว่า "ดาวอันธพาล"

ก็รวมความว่าเป็นดาวอับจุดหนึ่ง แต่ยังไม่อธิบายอะไร มองแล้วก็เห็นว่าไม่น่าอัศจรรย์ใจ ก็กลับไปอีกทีหนึ่ง พุ่งขึ้นไปทางด้านทิศสูงขึ้นไป ถ้าว่าถึงโลกปัจจุบันก็ต้องเป็นด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โลกนี้เป็นโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งแสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง มีแสงสว่างจากแก้วและโลกนี้มีป่า มีคนเหมือนกัน

เธอก็ถามคุณแม่ว่า "คนประดับประดาเพชรนิลจินดาแพรวพราวมาก ร่างกายเขามีแสงสว่างมีเพชรประดับทั้งกาย ทั้งหมวก ทั้งกางเกง ทั้งรองเท้าก็มีเพชร แต่รูปร่างหน้าตาของคนเหมือนแขก ผิวดำ ๆ แต่ชอบสวย"

คุณแม่ก็ตอบว่า "โลกนี้เขาเรียกว่า โลกสิปปัง หรือศิลปะ" (ภาษาโบราณเขาเรียกว่า สิปปัง ถ้าพูดตามความเป็นจริงสมัยนี้เขาเรียกว่า ศิลปะ ชอบแต่งตัว เป็นคนชอบโก้) ถอยหลังลงมาทางด้านทิศตะวันออก ถึงกึ่งกลางพุ่งไปทางด้านเหนือ เป็นดาวมฤตยู ดาวนี้เขาเรียกว่า "ดาวผู้ฆ่า"
ดาวมฤตยูดวงนี้เป็นดาวที่แปลกไกลแสงอาทิตย์มาก แสงอาทิตย์ก็ส่องไม่ถึงเหมือนกัน แต่มีความแกร่งในนั้นมีอะไรบ้างก็จะว่ากันทีหลัง ไล่มาทางด้านทิศตะวันออกอีกใกล้ๆ กันระหว่างดวงจันทร์กับดาวอังคารใกล้ ๆ กันพุ่งไปทางด้านทิศเหนือ ดาวนี้มีแสงสว่างจ้าไพศาลมาก แพรวพราวเป็นระยับเหมือนแก้ว คนทุกคนก็มีแก้วประดับกาย มีแสง มีต้นหมากรากไม้มีพิชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์มาก คนก็สวย

จุไรก็ถามคุณแม่ว่า "โลกนี้หรือดาวดวงนี้เขาเรียกว่าอะไร"

คุณแม่ก็ตอบว่า "โลกนี้เขาเรียกว่า กุรุ ที่เป็นคนที่มีศีลธรรมมาก" (เวลามันใกล้จะหมด)

เธอก็ลดตัวลงมา มองไปอีกทีว่าดวงดาวที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออก เวลาเช้ามืดมีแสงสว่างจ้าคล้ายดาวพระศุกร์ตอนหัวค่ำ ดาวนี้ผู้ใหญ่คนแก่เรียกว่า "ดาวกระพริบ หรือว่า ดาวกัลปพฤกษ์" มีแสงสว่างมาก ถ้าพระก็ถือว่าเป็นดาวตีระฆัง ถ้าดาวดวงนี้ขึ้นตีระฆังเช้ามืดได้ พระทำวัตรสวดมนต์หรือท่องหนังสือเจริญพระกรรมฐาน ถ้าชาวบ้านก็เตรียมหุงข้าว ชาวนาก็เตรียมออกไถนา เป็นดาวยาม เป็นเครื่องสังเกตว่าถ้าดาวดวงนี้ขึ้นก็ใกล้สว่างประมาณตี ๔ ดาวดวงนี้อยู่ไม่ไกลโลกนัก มีแสงสว่างมาก

คุณแม่ก็บอกว่า "ดาวดวงนี้ก็ดี ดาวกัลปพฤกษ์หรือดาวกระพริบก็ตาม ดาวพระศุกร์ก็ตาม ดาวทั้ง ๒ ดวงนี้ถ้ามองห่าง ๆ จะเห็นว่ามีหิมะล้อมรอบ ประกายของหิมะต้องแสงอาทิตย์เข้าเกิดแสงสว่างจึงแปลกกว่าดาวดวงอื่น ถ้าสูงขึ้นไปอีกหน่อยหนึ่งเป็นดาวดวงไม่ย่อมนัก แต่อยู่ไกล ๆ มองดูเล็ก อยู่ในโลกมนุษย์สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่ดวงเล็กมาก ต้องตาดี ๆ"

คุณแม่ก็บอกต่อไปอีกว่า "ดาวดวงนี้มีคน และเป็นคนที่เก่งวิทยาศาสตร์มาก เขาเรียกว่า ดาวสูตู"

เธอก็มองตามไปเห็นคนรูปร่างเกร็งคล้ายแขกมีผิวดำ หน้าตาเหี้ยม เป็นคนที่ยิ้มยาก ต่างกันกับดาวจามร ดาวจามรเป็นคนสวย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นคนมีเมตตา แต่ดาวสูตูแปลกกว่าก็คือว่าหน้าตาดุร้าย ท่าทางเอาจริงเอาจัง

ก็เป็นอันว่าแม่กับจุไรก็คุยกันไปคุยกันมา แม่ก็เตือนว่า "จุไรลูกรัก นี่เราคุยกันมาครึ่งชั่วโมงแล้ว แม่ก็คอแห้งนะ ขอหยุดแต่เพียงเท่านี้"

ต่อไปนี้บรรดาลูกรักทั้งหลาย ขอพักชั่วคราว ประเดี๋ยวคุยกันใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ลูกรักทั้งหลาย สวัสดี

คลิกดูภาพประกอบ 1 - ภาพประกอบ 2 - ภาพประกอบ 3 - ภาพประกอบ 4 - ภาพประกอบ 5

ตอนที่ 7 จุไรท่องเที่ยวดาวพฤหัส » 

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top