Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 5/7/08 at 19:38 [ QUOTE ]

การถอดจิตไปดวงดาวต่างๆ (ตอนที่ 8 จุไรท่องเที่ยวดาวพระศุกร์)


« ตอนที่ 7 จุไรท่องเที่ยวดาวพฤหัส



สารบัญ

(เลือก "คลิก" อ่านได้แต่ละตอน)


•
จุไรท่องเที่ยวดาวพระศุกร์ (ตอนที่ ๒)
•จุไรท่องเที่ยวดาวพระศุกร์ (ตอนที่ ๓)
• ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์



จุไรท่องเที่ยวดาวพระศุกร์


โดย ส.ธ.

บรรดาลูกรักทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๐ ซึ่งตรงกับวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ วันนี้เรื่องของจุไรจะไปเที่ยวเฉพาะโลกพระศุกร์ เป็นอันว่า ๒ ตอนนี่ไปเฉพาะดาวพระศุกร์อย่างเดียว ขอรวบรัดตัดความ หลังจากที่คุณแม่ตำหนิหรือว่าเตือนจุไรว่าการทำสมาธิของจุไรยังช้ามากนัก ทั้งนี้เพราะว่ากว่าจะไปไหนได้ต้องขยับเขยื้อนตั้งสมาธิอยู่นาน คุณแม่แนะนำจุไรว่า ความจริงเรื่องสมาธิก็ดี การทรงกำลังจิตให้สะอาดก็ดีจะต้องมีเป็นระยะตลอดวัน

คำว่า "เป็นระยะ" บรรดาท่านพุทธบริษัท นั่นก็หมายความว่า วันหนึ่งจะมีเฉพาะจิตที่ว่างจากงานอื่น เวลาเดินไปธุระก็ดี เดินไปโรงเรียนก็ดี นั่งอยู่ว่างจากการงานก็ดี เวลานั้นเมื่อจิตว่างจากอย่างอื่นก็ให้ชำระจิตให้สะอาด
คือไม่นึกถึงอารมณ์นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ แกล้งทำลืมนิวรณ์ ๕ ประการเสีย แล้วก็จิตรู้ลมหายใจเข้าออก จิตนึกภาวนา จิตนึกเห็นพระพุทธรูปก็ดี พระสงฆ์ก็ดี หรือว่ารูปพระพุทธเจ้าตามที่เคยเห็นก็ตาม อย่างใดอย่างหนึ่งให้ทรงตัว วาระหนึ่งจะได้สัก ๒-๓ นาทีก็ใช้ได้

เมื่อทำอาการอย่างนี้จนชินภาพพระจะแจ่มใส จิตจะมีสภาพทรงตัวตามขณะที่ต้องการ และเมื่อต้องการจะรู้อะไรจริงๆ ให้รวบรัดตัดใจความ ไม่ต้องจับอารมณ์ภาวนาแค่กำหนดจิตจับลมหายใจปั๊บ ขึ้นไปปุ๊บ ไปไหนก็ไปได้ทันที

อยากรู้อะไรก็รู้ได้ทันที แต่ว่าเมื่อรู้แล้วเห็นแล้ว ถ้าต้องการความแม่นยำ เวลานั้นให้นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เห็นภาพของพระองค์ แล้วก็ใจนึกถามภาพนั้นว่าเป็นอะไร ถ้าความรู้สึกของใจบอกว่าเป็นอะไรให้เชื่อตามนั้นทันที เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้เป็นนิทาน แต่ว่าตอนปฏิบัตินี่ไม่ใช่เรื่องนิทาน ขอยืนยันว่ามีผลตามนั้น ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททำได้จะเป็นได้อย่างนั้นจริง ๆ

ต่อนี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง และบรรดาลูกรักทั้งหลายก็พากันฟังเรื่องราวของจุไร เมื่อจุไรฟังคำแนะนำของแม่ หรือว่าแม่ตำหนิกลาย ๆ เธอก็ต้องตั้งใจทำตามนั้น อาศัยอารมณ์ใจที่เป็นเด็ก แล้วก็เป็นเด็กดี เชื่อพ่อ เชื่อแม่ เชื่อครูบาอาจารย์โดยการใช้ปัญญา ลูกหลานที่รักพึงทราบ

ว่าคนที่มีสมาธิขนาดนี้สามารถได้ส่วนหนึ่งปลีกย่อยของอภิญญาสมาบัติ แต่ก็มีความสำคัญมากสามารถจะทบทวนความรู้สึกความประพฤติของผู้อื่นได้ คำแนะนำใด ๆ ของแม่ก็ดี ของพ่อก็ดี ของครูบาอาจารย์ก็ดี ของชาวบ้านก็ตามที จะถูกหรือจะผิดก็สามารถสอบได้ด้วยกำลังใจที่เป็นสมาธิ และก็จิตที่มีอารมณ์สะอาดถามภาพพระ นึกถึงพระแล้วก็ถามทันทีว่านี่ผิดหรือถูก แต่ความรู้สึกเกิดอย่างไรขณะนั้นจิตสะอาดจะบอกตรงตามความเป็นจริง และเชื่อตามนั้นได้

ก็รวมความว่าลูกรักที่เป็นเด็กทุกคนหรือว่าลูกที่เป็นผู้ใหญ่ก็ตาม ญาติโยมที่เป็นผู้ใหญ่กว่าก็ตาม ถ้าใช้กำลังใจอย่างนี้อารมณ์ผิดจะหายาก เราจะเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อหรือว่ามีท่านยืนยันว่าควรเชื่อเราก็เชื่อ ท่านยืนยันว่าสิ่งนี้ไม่ควรเชื่อเราจะได้ไม่เชื่อ จะได้ไม่มีคนมาโกงเราหลอกเราให้เชื่อ และทำความผิด เป็นอันว่าตอนนี้ก็เลยไปนิดเสียเวลามา ๕ นาที ต่อนี้ไปก็เข้าเรื่องของจุไร

วันนั้นจุไรว่างจากการงานก็มีความรู้สึกนึกถึงคำแนะนำของแม่ ความจริงตั้งแต่แม่เตือนเธอก็ปฏิบัติตามตลอดเวลาแต่ว่ามาตอนนี้มีอารมณ์ว่างก็คิดว่าคุณแม่เตือน การที่จะไปไหนจะรู้อะไรได้ทั้งทีก็ต้องตั้งจิตให้อารมณ์เป็นสมาธิอยู่ มันไม่ถูกต้อง มันไม่ผิด แต่ว่าช้าเกินไป ไม่ทันกับเหตุการณ์ แม่ต้องการให้เราต้องการจะรู้อะไรนึกรู้ได้ทันที ถ้าเห็นภาพนั้นแล้วก็นึกถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้วคือพระพุทธเจ้า เห็นภาพท่านชัดถามท่านทันทีอย่างนี้เร็วมากแล้วก็มีความถูกต้อง

วันนั้นเวลานั้นเธอมีอารมณ์โปร่งเธอก็มีความรู้สึก ว่าวันวานนี้ไปเที่ยวดาวพฤหัสบดี การชมดาวหลายดวงก็ดี ไปเที่ยวดาวพฤหัสก็ดี รู้สึกว่าอีโหลกโขลกเขลกมาก พร่องแพร่งมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกำลังใจไม่ปกติ มีความเหน็ดเหนื่อยจากการงานอย่างอื่น แล้วก็มีอารมณ์ค้าง คำว่า "อารมณ์ค้าง" ไม่ใช่ อารมณ์โกรธ มีจิตเป็นกังวล

วันนี้กำลังใจของตนเป็นอิสระ คือมีความเยือกเย็นก็ควบคุมกำลังใจเล่นโก้ ๆ คิดว่าวานนี้ไปดาวพฤหัสมาแล้ว วันนี้ถ้ามีโอกาสว่างจะชวนคุณแม่ไปเที่ยวดาวพระศุกร์ เพราะภาพดาวพระศุกร์ที่เห็นวานนี้รู้สึกว่ามีเมฆหมอก มีลมพัดแรง หมุนคล้าย ๆ กับมีพายุอยู่ภายนอก ไม่สามารถจะเข้าไปได้ นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาจะเข้าไปไม่ได้ และยานพาหนะธรรมดาจะเข้าไปได้ยาก

แต่ว่าถ้าเป็นจรวดของฝรั่งก็ไปไม่ยากเหมือนกันเพราะไม่กลัวกระแสลม อาจจะถูกลมต้านทานได้บ้างแต่ก็ไม่มาก แต่เราเป็นพวก ๒ ประเภท คือ รูปธรรมกับนามธรรม เราทิ้งรูปธรรมไว้ที่นี่คือรูปร่างร่างกายไว้ที่นี่ ใช้กายที่เป็นนามธรรมไปที่โน่น นามธรรมไม่มีอันตราย

เธอคิดในใจว่า ถ้าโปร่งดีวันนี้จะลองไปดูโลกพระศุกร์ และจะคอยคุณแม่สักนิดหนึ่ง คุณแม่จะว่างหรือยังก็ไม่ทราบ เธอคิดเท่านี้จิตก็เริ่มจับอารมณ์ นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น พอนึกปั๊ปก็ปรากฏว่าภาพพระพุทธเจ้าลอยอยู่ข้างหน้า ใสสะอาดมาก สว่างจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ เพียงเท่านี้บรรดาท่านผู้ฟัง ก็ปรากฏว่า อทิสสมานกาย ของจุไรลอยลิ่วไปใกล้โลกพระศุกร์

พอไปถึงที่ตรงนั้นแล้วเธอก็มีความรู้สึกว่าตายจริง วันนี้เรามาคนเดียวหรือแต่ก็ไม่เป็นไร ข้างหน้าเห็นภาพพระพุทธเจ้าอยู่ข้างหน้า ใสสะอาดสวยสดงดงามแพรวพราวเป็นระยับ ถ้าเรามีความกลัวเรายึดพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เป็นที่เคารพ เป็นที่พึ่ง วันนี้ตายจริง เราลืมชวนคุณแม่ ถ้าคุณแม่มาด้วยจะได้เป็นที่ปรึกษาง่ายๆ
สำหรับพระพุทธเจ้าเกรงใจท่านด้วยความเคารพ จะถามอะไรจุกจิกก็ไม่กล้าถาม แต่ว่าถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ต้องถาม คิดว่าคุณแม่มาด้วยก็จะดี พอเธอคิดเพียงเท่านี้ก็ได้ยินเสียงว่า

"จุไรลูกรัก แม่อยู่ที่นี่"

เธอมองซ้ายมองขวาหันหน้าไปไม่เห็นแม่ได้ยินแต่เสียง เงยหน้าขึ้นมานิดปรากฏว่า เห็นคุณแม่ลอยอยู่ข้างหน้าใสสะอาดสว่างมากแพรวพราวเป็นระยับใสสะอาดสวยสดงดงามกว่าเธอ ๆ ก็กราบคุณแม่ แล้วก็ถามว่า "คุณแม่ทราบหรือจ๊ะว่าหนูมา"

คุณแม่ก็บอกว่า "แม่ทราบทุกระยะตั้งแต่ลูกคิดว่าจะชวนแม่ ๆ ถือว่าเวลานั้นลูกชวนด้วยความเต็มใจ"

เธอก็ถามคุณแม่ว่า "ลูกคิดในใจเจ้าคะ ยังไม่ออกปากจะชวน คุณแม่ทราบได้อย่างไร"

คุณแม่ก็ตอบว่า "คำว่าสมาธิโดยการตั้งใจมั่น มีศีลเป็นพื้นฐาน มีพรหมวิหาร ๔ เป็นฐานใหญ่ และมีกำลังใจใสสะอาด สามารถจะทราบความรู้สึกในจิตของบุคคลอื่นได้ตามต้องการ ที่เรียกว่า เจโตปริยญาณ"

ก็รวมความว่าคุณแม่บอกว่า "แม่รู้ความรู้สึกของลูกจากเจโตปริยญาณ"

เธอก็ถามว่า "คุณแม่รู้เฉพาะเวลาที่ลูกนึก หรือลูกนึกนาน ๆ ไปแล้วคุณแม่ก็รู้" คุณแม่ก็ตอบว่า "ต้องการรู้เมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้น คือถ้าแม่ต้องการอยากรู้กำลังคิดอยู่ก็รู้ได้ทันที หรือว่าลูกคิดไปนานแล้วตั้งหลาย ๆ วัน หลายปีก็ตาม

ถ้าแม่มีความรู้สึกต้องการว่าลูกเคยคิดอะไรไว้เวลาไหนบ้างหรือปรารภกับใคร แม่จะเห็นภาพและรู้ทันที อย่างนี้ท่านเรียกว่า เจโตปริยญาณ บ้าง อตีตังสญาณ บ้าง ที่รู้จากที่ล่วงมาแล้วคิดหลาย ๆ วันเรียกอตีตังสญาณ แล้วก็เจโตปริยญาณรู้ใจคนอื่นด้วย และก็รู้เวลากาลที่ผ่านมาด้วยว่าทำเวลาไหน"

จุไรก็ดีใจทราบว่าคุณแม่รู้วาระน้ำจิตคิดอะไรคุณแม่ก็รู้ ฉะนั้นเธอจึงถามคุณแม่ว่า "คุณแม่เจ้าขา เวลานี้เรามาอยู่ใกล้โลกพระศุกร์แล้วใช่ไหม"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ใช่ ด้านหน้าโน้นไกลจากนี้ไปประมาณ ๑,๐๐๐ โยชน์ เป็นโยชน์ของโลกชมภู เราจะมองเห็นโลกพระศุกร์ หรือที่เรียกว่า ดาวพระศุกร์ ดวงแท้ แต่ว่าที่เรายืนอยู่นี่อยู่ไกลจากโลกพระศุกร์ออกมาประมาณ ๑,๐๐๐ โยชน์ แต่มองเข้าไปด้านหน้าของเราลูกรัก มีทั้งเมฆมีทั้งหมอกปกคลุมอยู่ภายนอกหุ้มห่อด้วยอากาศธาตุ"

คำว่า "อากาศธาตุ" ไม่ใช่แจ่มใส เป็นอากาศธาตุที่มีเครื่องประกอบ คือมีเมฆมีหมอกปกคลุมอยู่หนาทึบ แล้วก็มองขยับเข้าไปข้างในใกล้เข้าไปอีกนิดหนึ่ง ตอนนี้ก็จะเห็นกลุ่มเมฆใกล้ ๆ กับดาวพระศุกร์ คำว่าใกล้บรรดาท่านพุทธบริษัทและลูกรักทั้งหลาย จุไรก็มองเห็นว่าใกล้แต่วัดระยะจากโลกพระศุกร์จริง ๆ กับผิวพื้นที่มองเห็นจากเมฆหมอก อันนี้เป็นหิมะเป็นน้ำหนา ปรากฏว่าไกลออกมาประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ตอนนี้จะมีสภาพเป็นเมฆหนาขึ้นกว่าเดิม การล่องลอยของเมฆช้าลงไป ประกายแสงแพรวพราวเมื่อต้องแสงพระอาทิตย์

เป็นอันว่าโลกพระศุกร์จริง ๆ ที่เราเห็น หรือว่าดาวพระศุกร์จริง ๆ ที่เราเห็นแพรวพราวเป็นระยับจริง ๆ จับสายตาสว่างมากคล้ายดาวกัลปพฤกษ์ ดาวพระศุกร์จะเห็นตั้งแต่เวลาค่ำใหม่ ๆ ดาวกัลปพฤกษ์จะเห็นประมาณตี ๔ อยู่คนละทิศ ดาวพระศุกร์อยู่ด้านทิศตะวันตก ดาวกัลปพฤกษ์อยู่ด้านทิศตะวันออก ดาว ๒ ดวงนี้มีแสงสว่างคล้ายกัน แต่ดาวกัลปพฤกษ์เราจะมีความรู้สึกว่าอยู่ใกล้ตัวเรามาก ดาวพระศุกร์รู้สึกว่าอยู่ไกลตัวเราไปมาก แต่เวลาต้องแสงอาทิตย์แล้วรู้สึกแพรวพราวเหมือนกัน สว่างจ้าเหมือนกัน

ก็รวมความว่าเท่าที่เห็นดาวพระศุกร์ใสสว่างในเวลากลางคืน จุไรก็ปรารภกับคุณแม่ว่า "คุณแม่เจ้าขา ดาวพระศุกร์จริง ๆ ที่มองไปไม่สว่าง แต่แสงแพรวพราวเป็นระยับที่มองเห็นในเวลากลางคืนในโลกมนุษย์ เวลานี้จับได้แล้วว่าเป็นแสงแพรวพราวจากหิมะหมอกน้ำที่ลอยอยู่ใกล้ดวงดาวพระศุกร์ เมื่อแสงพระอาทิตย์พุ่งเข้ามาถึงก็ปรากฏว่ากระทบน้ำนั้นเข้า ดูไกล ๆ คล้าย ๆ กับกระจกสะท้องแสงพระอาทิตย์"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ใช่ แสงแพรวพราวใหญ่เป็นก้อนเมฆที่เป็นน้ำ แต่ว่าไม่ใช่น้ำ แท่งทึบเป็นน้ำแข็งเลยทีเดียว แพรวพราวเป็นระยับลอยอยู่ใกล้โลกพระศุกร์"

พอมองเข้าในถึงโลกพระศุกร์จริง ๆ เธอก็ต้องสะดุ้ง ก็ปรารภกับคุณแม่ว่า "คุณแม่เจ้าขา โลกพระศุกร์นี่ทำไมไม่เหมือนกับที่เราคิด"

คุณแม่ก็ถามว่า "ลูกคิดว่าอย่างไร"

จุไรก็ตอบว่า "โลกพระศุกร์นี่ความจริงคิดว่าจะมีสภาพเหมือนกระจก เมื่อสะท้อนแสงพระอาทิตย์ก็แพรวพราวเป็นระยับ แต่ความจริงเมื่อเข้ามาใกล้โลกพระศุกร์นี่ใกล้แล้วเวลานี้ อยู่ห่างจากโลกพระศุกร์จริง ๆ ไม่เกินหมื่นฟิต เข้ามาใกล้แล้ว สามารถมองเห็นโลกพระศุกร์ได้ชัดด้วยตาที่เป็นทิพย์"

เธอมองลงไปทีแรกก็รู้สึกว่าเห็นทั่วหมด ปรากฎว่าโลกพระศุกร์ด้านหน้าด้านดวงพระอาทิตย์กลายเป็นโลกหัวโล้น ต้นหมากรากไม้ก็ไม่มี บ้านเรือนคนก็ไม่มี เต็มไปด้วยความร้อน แต่โลกพระศุกร์จริง ๆ นี่ใหญ่กว่าโลกพระพุธมาก แล้วก็การอยู่ใกล้พระอาทิตย์ ก็ไกลกว่าโลกพระพุธที่อยู่ใกล้พระอาทิตย์ โลกพระพุธอยู่ใกล้พระอาทิตย์มากกว่าโลกพระศุกร์

โลกพระศุกร์ไกลกับพระอาทิตย์ออกมาห่างมากจัด แต่ว่าตอนหน้าของโลกพระศุกร์ยังถูกความร้อนของดวงอาทิตย์เผาอยู่ ดูแล้วเหมือน ๆ กับคน เหมือนกับหน้าคนประเภทหนึ่งที่ชาวบ้านเขาชอบเรียกว่า "ผมดกปรกไหล่ หน้าไร้เฉลิมทอง" (ฟังชัดไหม ถ้าฟังไม่ชัดก็ขออภัยลิ้นไม่ดีวันนี้)

"ผมดกปรกไหล่ หน้าไร้เฉลิมทอง" นั่นหมายความว่าส่วนผมที่ดกก็ยาวลงมาปรกไหล่ แต่หน้าไร้เฉลิมทองก็หมายความว่า หน้าผากยาวมากเกินไป คือว่าหน้าผากด้านหน้าคล้ายคน หัวล้านลึกเข้าไปมากมีผมอยู่ตั้งแต่ส่วน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของศีรษะไปถึงด้านหลัง แต่ด้านที่มีผม ๆ ก็สวยยาวมากจริง ๆ ชุ่มชื่นไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ถ้าเปรียบกับต้นไม้เขาจึงเรียกว่าผมดกปรกไหล่ แต่ว่าหน้าไร้เฉลิมทอง

เมื่อจุไรมองเห็นอย่างนั้นก็มีความรู้สึกว่า โลกพระศุกร์นี่ความจริงมี ๒ ศุกร์

ศุกร์แรกเบื้องต้นด้านหน้าเป็นความสุกจากการแผดเผาของดวงอาทิตย์ให้เป็นดินสุก เป็นดินสุกก็ขาดธาตุอาหาร ต้นไม้ก็ไม่มี คนและสัตว์ก็ไม่มีใครจะอยู่ได้ อยู่ก็ถูกเผาตาย เธอมองมาด้านกลางถึงด้านท้ายมีพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีต้นไม้ยิ่งไกลไปด้านเหนือมากเท่าไรก็ตามที ก็ยิ่งมีต้นไม้หนามากขึ้น มีความชุ่มชื้นมาก

จึงกราบเรียนถามคุณแม่ว่า "คุณแม่เจ้าขา คำว่า โลกพระศุกร์ น่าจะมีความสุขคือ ส. สระอุ ข. สุขจริง ๆ แต่ศุกร์ประเภทนี้ที่มองเห็นกลายเป็นศุกร์ ๒ ศุกร์ คือสุกประเภทถูกไฟเผาสุกประเภทหนึ่งตอนหนึ่ง อีกตอนหนึ่ง "สุขะ" ประเภทมีความสุขเยือกเย็น

คุณแม่ก็ตอบว่า "ใช่ลูก นี่เป็นธรรมชาติของโลก โลกเป็นธรรมชาติประเภทหนึ่ง ที่เราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ในเมื่อสภาวะของมันเป็นอย่างไรก็ต้องปล่อยไปตามนั้น เรามีหน้าที่อย่างเดียว ชม การวิพากษ์วิจารณ์วินิจฉัยไม่ใช่หน้าที่ของเรา "

จุไรก็ถามว่า "คุณแม่ว่าเราไม่มีหน้าที่วินินฉัยเรื่องของโลก ก็เรื่องของเรา ที่เรามาเที่ยวดาวต่าง ๆ ยังถูกคนวิพากษ์วิจารณ์วินิจฉัย"

คุณแม่ก็ถามว่า "เขาวินิจฉัยอย่างไร" ลูกสาวที่รักก็บอกว่า "ได้ยินข่าวเขาพูดกัน เด็กเพื่อนนักเรียนพูดกันว่ามีท่านบางท่านบอกว่านิทานเรื่องนี้นะโกหก ว่าโลกต่าง ๆ ที่จะมีสิ่งมีชีวิตนะมีอยู่โลกเดียวคือโลกมนุษย์ หรือโลกชมภูที่เราอยู่ โลกต่าง ๆ ทั้งหมดจะไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเลย"

คุณแม่ก็ตอบว่า "นั่นเป็นเรื่องของความคิดเห็นของแต่ละบุคคลย่อมเป็นไปได้ ความคิดเห็นนี่ห้ามกันไม่ได้ ใครมีความรู้สึกอย่างไหนก็เป็นเรื่องของคนนั้นแต่ว่าแม่ขอค้านนิดหนึ่ง"

คุณแม่ก็ถามว่า "ลูกรัก ลูกนะเชื่อพระพุทธเจ้าไหม"

จุไรก็ตอบว่า "เชื่อ ถ้าลูกไม่เชื่อลูกก็มาอย่างนี้ไม่ได้"

คุณแม่ก็ถามว่า "เธอมีความเคารพในพระพุทธเจ้าไหม"

จุไรก็ตอบว่า "มีความเคารพในพระพุทธเจ้า"

คุณแม่ก็บอกว่า "พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าโลกเป็นหมื่นโลกธาตุ หมายความว่าโลกที่เป็นวัตถุประเภทนี้ในจักรวาลนี้ทั้งหมดเรียกว่าหมื่นโลกธาตุ หมายความว่าอาจจะถึงหมื่นก็ได้ แต่ในหมื่นโลกธาตุนี้มีสิ่งที่มีชีวิตนับไม่ถ้วน บางโลกก็ขาดสิ่งที่มีชีวิต บางโลกก็มีสิ่งที่มีชีวิต อย่างกับโลกพระศุกร์ที่เรากำลังมาอยุ่นี่ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของพื้นโลกเบื้องต้นไม่มีสิ่งที่มีชีวิต เพราะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มีความร้อนมาก ๕๐ เปอร์เซ็นต์เบื้อหลังเข้าไปมีสิ่งที่มีชีวิต"

จุไรก็บอกว่า "ถ้านักวิทยาศาสตร์เขาค้านจะตอบเขาว่าอย่างไร"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ลูกไม่ต้องตอบเพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยัน เพราะมีความรู้ต่างกัน ความจริงนักวิทยาศาสตร์เขามีความรู้จริง เขามีเครื่องมือพิสูจน์ แต่ว่านักวิทยาศาสตร์ทุกคนไม่ใช่มีความรู้ทุกอย่าง สิ่งทั้งหลายที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ก็มีอยู่ ผู้ที่รู้ครบทั้งหมดก็มีองค์สมเด็จพระบรมครูคือพระพุทธเจ้า แต่ว่านักวิทยาศาสตร์จริง ๆ แม่คิดว่าเขาไม่ค้าน เพราะนักวิทยาศาสตร์จริง ๆ เขาเป็นคนมีปัญญา"

จุไรก็ถามว่า "คุณแม่มีความเชื่อมั่นแบบไหนจึงว่านักวิทยาศาสตร์จริง ๆ เขาไม่ค้าน ก็คนที่ค้านลูกมานี่เขาบอกว่าเขาเรียนวิทยาศาสตร์ แล้วก็มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์"

คุณแม่ของจุไรก็ตอบว่า "เรื่องนั้นแม่ก็ไม่ค้านเหมือนกันว่า ท่านผู้นั้นมีความรู้วิทยาศาสตร์อาจจะปฏิบัติด้านวิทยาศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อนก็ได้ แต่ที่แม่บอกว่านักวิทยาศาสตร์จริง ๆ เขามักจะตอบอย่างนี้ ถ้าสิ่งใดที่เขาไม่รู้ไปถามเขาเข้า เขาก็จะตอบว่าสิ่งนั้นยังค้นคว้าไม่พบ หรือยังค้นไม่พบ เขาไม่ยอมปฏิเสธและไม่ใช่ยอมรับ" คุณแม่ก็ยกตัวอย่าง เหลือเวลาเพียง 10 หรือ 5 นาที ลูกรักก็ขอพูดเสียเลยว่า

เวลานี้กำลังยืนอยู่ใกล้ ๆ ดาวพระศุกร์มองแล้วว่าด้านหน้าเป็นผมดกปรกไหล่ หน้าไร้เฉลิมทอง ด้านครึ่งกลางไปด้านท้ายมีพืชพันธุ์ธัญญาหารสมบูรณ์แบบ มีน้ำท่าบริบูรณ์มีความชุ่มชื้นมากมีสิ่งมีชีวิต

คุณแม่ก็ตอบจุไรว่า "ลูกรัก ในสมัยเมื่อแม่เป็นเด็ก มีเจ้าคุณปู่ คำว่า "เจ้าคุณปู่" หมายความว่า ปู่เป็นพระยา ท่านบอกว่าท่านอ่านหนังสือฉบับหนึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ แต่ว่าหนังสือพิมพฉบับนั้นอาจจะไม่เป็นประวัติศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ ท่านบอกว่าท่านพบว่านักวิทยาศาสตร์ประเภทหนึ่งของสงวนประเทศ ถูกชาวบ้านกล่าวขวัญกันเรื่องผีว่าบ้านผีดุ

เขาก็ไปถามนักวิทยาศาสตร์คนนั้นว่าผีมีจริงไหม ท่านนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้นก็บอกว่า คำว่า "ผี" ได้ยินข่าวเล่าลือกันมานานตั้งแต่เกิดมาก็ได้ยินคำว่า "ผี" แต่ว่าทางหลักวิชายังค้นไม่พบนี่จริง ๆ เป็นอย่างนั้น แล้วต่อมาท่านนักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ก็ทำการค้นคว้าเรื่องวิญญาณคือเรื่องผี ๆ

เป็นอันว่ามีบ้านหลังหนึ่งมีชาวบ้านเขาบอกเล่าให้ฟัง เป็นบ้านใหญ่โตสวยงามมาก เป็นบ้านของมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง เมื่อท่านมหาเศรษฐี ๒ คนผัวเมียตายแล้ว ลูก และหลานก็อยู่บ้านนั้นไม่ได้ถูกผีรบกวน จนกระทั่งใครจะมาเช่าอยู่ก็อยู่ไม่ได้ มาวันหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้นอยากจะพิสูจน์คำว่า "ผีมีจริงหรือไม่"

ท่านก็ยกคณะของท่านพร้อมด้วยวงดนตรีไปเล่นลีลาศเต้นรำกัน เปิดไฟสว่างชั้นล่างของบ้านนั้น แต่ปรากฏว่า ขณะที่กำลังสนุกอยู่นั้นชั้นบนเขาใส่กุญแจ ห้องทั้งหมดใส่กุญแจ หน้าต่างก็ปิด แต่ว่าบันไดขึ้นเปิด ช่องบันไดขึ้นนะเปิดไว้ ก็มีบรรดาพวกนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันออกมายืนนอกบ้าน มองเห็นชั้นบนไฟสว่างพรึบมีคนมาก มีดนตรีหรือมีการเต้นรำเหมือนกัน
ก็มาบอกพวกเพื่อน ๆ

พอพวกเพื่อนได้ฟังแบบนั้นก็คิดว่า ใครหนอเป็นคนขึ้นไป ต่างคนก็อยากจะทราบ แล้วทุกคนก็วิ่งขึ้นไปดูชั้นบน ปรากฏว่าขึ้นไปชั้นบนไฟดับพรึบ หน้าต่างก็ปิดทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดไม่มีอะไรเลย ครั้งวิ่งลงมาข้างล่างออกไปยืนข้างนอกก็เห็นข้างบนเต้นรำกันไฟสว่างอีก วิ่งขึ้นไปอีกแบบนั้น ๓ ครั้ง

ก็รวมความว่า ๓ ครั้งไม่พบอะไรผลที่สุดก็เปลี่ยนใหม่เปลี่ยนจากการเล่นลีลาศ เต้นรำกันจากชั้นล่างไปชั้นบน ชั้นล่างดับไฟหมด ตั้งยามบุคคลคุมไฟไว้ว่าสวิทซ์ไฟห้ามแตะต้อง เมื่อข้างบนกำลังสนุกข้างล่างก็แสดงอีกตามรูปเดิม เปิดไฟสว่างคนเต้นรำเต็มบ้านเหมือนกันพวกชั้นบนเขาตั้งยามไว้ เสียงยามข้างล่างตะโกนขึ้นไปบอกว่า ข้างล่างไฟสว่างแล้วคนมากเป็นพิเศษ มากกว่าพวกเรา ทุกคนก็วิ่งไปดู ปรากฏว่าข้างล่างไฟดับมืด

เป็นอันว่านักวิทยาศาสตร์คนนั้นยอมรับความเป็นจริงว่า คำว่า "ผี ๆ" นี่มีจริง แต่ตัวผีจริง ๆ ยังจับไม่ได้ คำว่า "ผี ๆ" ก็หมายความว่าเรื่องผี ๆ นั่นคือสิ่งที่ปรากฏแล้วจับไม่ได้เสียทีเรียกว่าผีก็แล้วกัน

คุณแม่พูดอย่างนี้จึงกล่าวกับจุไรลูกรักว่า "จุไร ถ้านักวิทยาศาสตร์จริง ๆ นะเข้าต้องค้นคว้าอย่างนี้ แล้วเวลานี้ลูกรักก็จงอย่าคิดว่านักวิทยาศาสตร์รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังมีหลายอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายยังไม่ทราบมีอยู่ แต่เรื่องของเรานี่ถ้าใครเขาถามลูกก็บอกว่าทุกคนไม่ควรเชื่อเพราะเป็นเรื่องนิทาน

ตัวเราเองทั้ง ๒ คน ทั้งแม่ทั้งลูกก็เป็นตัวของนิทาน ไม่ใช่คนจริง ๆ ไปหาคนจริง ๆ คนที่ชื่อจุไรอาจจะมีอยู่ แต่ตัวจุไรที่ไว้ผมจุกอายุ ๕ ขวบแบบนี้คงไม่มีในโลกนี้ และคนรูปร่างเหมือนแม่ก็คงไม่มีในโลกนี้"

ก็รวมความว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของนิทาน เขาจะเถียงกันทำไม เพราะว่าคำว่า "นิทาน" เป็น "อาจินไตย" ลูกรัก เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด คนใดถ้าคิดเรื่องนิทานคนนั้นก็มีความลำบาก นั่นหมายความว่า ประสาทของท่านผู้นั่นจะฟั่นเฟือนเพราะคิดมากเกินไป

"จุไรลูกรัก..แม่เตือนเวลานี้แม่เป็นคนแก่นะลูก พูดมานานแล้วประมาณ ๓๐ นาที ตอนนี้ขอพักสักนิดหนึ่งนะ ประเดี๋ยวคุยกันใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ลูกรักทั้งหลาย สวัสดี.

◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตาม จุไรท่องเที่ยวดาวพระศุกร์ ตอนที่ 2 ต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/1/09 at 14:40 [ QUOTE ]



จุไรท่องเที่ยวดาวพระศุกร์

(ตอนที่ ๒)


โดย ส.ธ.

"..บรรดาลูกรักทั้งหลาย ตอนนี้ "คุณแม่" กับ "จุไร" หลังจากพักเรียบร้อยแล้วก็เริ่มคุยกันใหม่ อย่าลืมว่าท่านผู้ฟังทั้งหลาย ท่านผู้อ่านก็ดี หรือท่านผู้ฟังข่าวต่อ ๆ กันก็ดี โปรดทราบว่าเรื่องนี้เป็นนิทาน วัตถุนิทานทั้งหมดห้ามเชื่อ หรือว่าท่านอยากจะเชื่อก็เป็นเรื่องของท่าน ให้ทราบว่าเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องที่สร้างขึ้น แต่ว่าธรรมะในเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง การคุยเรื่องนี้ต้องการอย่างเดียวคือธรรมะ

เป็นอันว่าธรรมะส่วนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เป็นหมวดที่ ๓ ของการเจริญพระกรรมฐาน คือด้านของอภิญญาสมาบัติ อันนี้เป็นของมีจริง แต่เรื่องของจุไรเป็นอภิญญาเล็กที่เรียกว่า "มโนมยิทธิ" มีฤทธิ์เฉพาะทางใจ ทางกายไม่มีฤทธิ์ จะไปไหนได้ก็ใช้ใจไป คุยกันแค่นี้ก็แล้วกันนะต่อไปก็เป็นเรื่องของจุไร คือจุไรกับแม่จุไรขณะที่คุยกับแม่ก็ค้างอยู่นิดหนึ่ง ที่คุณแม่บอกว่าเรื่องของนิทานเป็นอาจินไตย

เธอก็ถามว่า "คำว่า อาจินไตย หมายความว่าอย่างไร"

คุณแม่ก็ตอบว่า "เป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิด เรื่องนี้ไม่ควรคิดเพราะนิทานจะเอาอะไรก็ได้ เอาเรื่องจริงมาพูดก็ได้ เอาเรื่องไม่จริงมาพูดก็ได้ เอาสิ่งที่มีแล้วมาคุยก็ได้เอาสิ่งที่ไม่มีมาคุยก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของดวงดาว ดวงดาวมีจริงแต่มนุษย์ในดวงดาวอาจจะไม่มีก็ได้ สัตว์ในดวงดาวอาจจะไม่มีก็ได้ (ตามความรู้สึกของคน)

แต่ว่าพระพุทธเจ้ายอมรับว่า ดาวจำนวนมากในหมื่นโลกธาตุไม่ใช่ทั้งหมดมีสิ่งทีมีชีวิต มีคนบ้าง มีสัตว์บ้าง หรือมีแต่คนไม่มีสัตว์บ้าง มีความเป็นอยู่มากกว่าโลกมนุษย์ธรรมดาที่เราอยู่บ้าง อันนี้มีแน่โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกพระศุกร์ พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดไว้พวกเราคุยกันเอง

ฉะนั้นใครเขาเถียงในโลกที่มีมนุษย์จริงมีสัตว์จริงว่าไม่มีมนุษย์ ไม่มีสัตว์ก็จงอย่าค้านเขา ถ้าใครเขายอมรับว่าโลกที่มีมนุษย์จริงมีสัตว์จริงก็อย่ายืนยันกับเขา ก็รวมความว่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ถือว่าเป็นเรื่องของนิทานคุยกันไปแก้ง่วง

หลังจากนั้นไปจุไรกับแม่ก็ชวนกันชมโลกพระศุกร์ ไปชมส่วนหน้าของโลกพระศุกร์ ก็เห็นว่าใกล้ด้านหน้าจริง ๆ มีความร้อนมาก แต่ก็ไม่ใช่ถูกดินเผาจนแดงฉานไม่ใช่เห็นดินเป็นถ่าน เพียงแต่ว่ามีความร้อนสูง แล้วก็เรื่อย ๆ เข้าไปจนกระทั่งใกล้จะถึงกึ่งกลาง ก็ยังมีความร้อนสูงอยู่บ้างตามสมควร

พอถึงส่วนกลางของโลกพระศุกร์ตอนนั้นเริ่มมีความอุ่น อุ่นเรื่อยเข้าไปจนกระทั่งมีคน มีสัตว์ มีต้นหมากรากไม้เรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งสุดท้ายก็มีหิมะมาก หิมะทั้งหลายที่จับตามใบไม้ใบหญ้าก็ตามตอนท้ายสุดรู้สึกว่าเป็นน้ำแข็ง เวลาต้องแสงอาทิตย์ก็มีความแพรวพราว

รวมความว่าโลกของพระศุกร์จริง ๆ ส่วนหนึ่งเป็นโลกหัวโล้น เวลาที่ต้องแสงอาทิตย์ก็ไม่มีแสงแพรวพราว อีกส่วนหนึ่งของโลกพระศุกร์มีหิมะ มีน้ำ ปรากฏว่าต้องแสงอาทิตย์ก็เป็นประกายแพรวพราวเป็นระยับ ฉะนั้นเท่าที่คนเห็นโลกพระศุกร์ในเวลากลางคืนมีแสงสว่าง ก็อาจจะมาจากแสง ๒ จุด คือ หิมะหรือก้อนน้ำเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่รอบ ๆ โลกพระศุกร์ อันนั้นถ้าต้องแสงอาทิตย์เข้าก็แพรวพราวถึงลูกตาเราได้ หรืออีกประการหนึ่ง

ถ้าหากว่าพระอาทิตย์ส่องแสงเข้าถึงโลกพระศุกร์ตอนท้าย เอาแค่แสงแต่ความร้อนไม่ถึงแน่ แสงก็แพรวเป็นระยับเมื่อถูกต้องกระแสน้ำเข้าอย่างนี้เราอาจจะเห็นส่วนสว่างในส่วนนี้ของโลกพระศุกร์ก็ได้ แต่โลกพระศุกร์ที่เรามองจากโลกมนุษย์ หรือโลกชมภูจึงเห็นเป็นแสงสว่างกว่าดาวดวงอื่นทั้งหมด

ย้อนกลับมาด้านหน้ามองหาแร่ธาตุที่มีความสำคัญ อาศัยตาที่ไม่ใช่เนื้อ ก็มองดูตามจุดต่าง ๆ ส่วนของความร้อนมีแร่ธาตุต่าง ๆ มาก แต่เรื่องแร่ธาตุนี่บรรดาลูกรักทั้งหลายไม่ควรจะคุยกัน เพราะโลกพระศุกร์ก็ดื่นดาษไปด้วยแร่ที่มีประโยชน์ทั้งนั้น คุยไปแล้วเราก็ไม่ได้เอาไป จะเอาทองคำ ๆ ก็มีมาก

จะเอาแร่เงิน ๆ ก็มีมาก แร่ทองแดงก็มีมาก แร่ทุกอย่างก็มีและก็ยังมีแร่ที่ไม่เจอะในโลกอื่นมีอีกแร่หนึ่ง จุดนี้มีคุณค่าสูง แข็ง เป็นแร่ธรรมดา แต่ว่ามีสีใสคล้ายกระจก แต่ว่าไม่ใสมากเกินไปนัก เรียกว่าใสมากคล้ายกระจก แต่ไม่ใสมากถึงกับมองด้านหลังทะลุ

ท่านแม่กับลูกทั้งสองคนเกิดความสงสัยแร่ประเภทนี้ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ดูสภาพของแร่จริง ๆ คล้าย ๆ ไม่มีพิษ แต่เมื่อสงสัยก็ถามพระท่าน (ขอใช้คำว่าพระเฉย ๆ) พระท่านยืนอยู่ข้างหน้าท่านก็บอกว่า

"แร่ประเภทนี้มีพิษมาก คือในด้านสันติก็มีประโยชน์มาก ในด้านทำลายมีจุดทำลายสูงสุดทีเดียว ถ้าใช้รังสีของแร่ประเภทนี้ในการขับเคลื่อนก็จะมีความเร็วสูง ใช้ได้ทุกอย่างในสิ่งที่มนุษย์ต้องการ (ถ้ามีความรู้ถึง) และใช้รังสีนี้ในการทำลาย วัตถุธาตุทั้งหลายเมื่อถูกรังสีของแร่ประเภทนี้เข้าจะละลายในทันทีทันใด แม้แต่เหล็กก้อนใหญ่ ๆ ก็ไม่เหลือ มีความแรงสูงสุดกว่าแร่ในโลกอื่น"

แต่ทั้งสองแม่ลูกก็มองไปไม่เห็นร่องรอยในการใช้ ก็ถามพระท่านว่า "ชนชาวโลกแถวนี้เขาใช้หรือเปล่า"

พระท่านก็ตอบว่า "โลกพระศุกร์เขาเขียนว่า ศุกระ" (แปลว่าอะไรก็ไม่ทราบ ท่านบอกว่าอย่างนั้น ท่านคงจะแปลได้ท่านไม่แปล) ท่านบอกว่า "ให้ถือว่าเป็นสุขะ คือ ส. สระอุ ข. เป็นโลกที่มีความสุขจริง ๆ แร่ที่เป็นโทษเขาจึงไม่ใช้ ถ้ากระไรก็ดีเราไปดูในกลุ่มคนกันดีกว่า"

ท่านนำหน้า แม่ลูกทั้งสองคนก็ตามหลัง เข้าไปถึงแดนที่มีความอบอุ่น มีความร้อนคล้าย ๆ ตะวันออกกลางของเมืองมนุษย์ในแถวนี้มีคนผิวดำเพราะอาศัยความร้อนก็รู้สึกว่าจะดำเป็นหมึก ทุกคนดำไปหมดแต่เครื่องแต่งกายของเขาทุกคนจะมีเหมือนกัน นี่เป็นประเทศ ๆ หนึ่ง คือแต่งกายด้วยผ้าสีฟ้ากางเกงยาว เสื้อแขนยาวกางเกงก็ขายาว แต่มีแถบสีขาวเหมือนกันหมดสำหรับผู้ชาย

สำหรับผู้หญิงก็นุ่งเป็นผ้าโสร่ง สำหรับรองเท้าสวมเหมือนกันหมด ผ้าโสร่งที่นิยมใช้คือเป็นผ้าสีมอ ๆ จะขาวก็ไม่ขาว จะเหลืองก็ไม่เหลือง มีเป็นตา ๆ สำหรับเสื้อนิยมเป็นเสื้อสีขาว แล้วก็บาง และใช้แขนยาวเหมือนกัน สำหรับศีรษะทั้ง ๒ พวก คือทั้งผู้ชายและผู้หญิงไม่โพกผ้าเหมือนแขก แต่ว่าจะใช้หมวกประเภทหนึ่ง คล้าย ๆ กับหมวกของทหารพลร่ม แต่ว่าไม่เหมือนนักคลุมศีรษะเหมือนกันทั้งผู้ชายผู้หญิง ผู้หญิงหมวกเขาจะมีจีบสีสันวรรณะสวย ผู้ชายคล้ายกับหมวกของพลร่ม แต่ไม่เหมือนนักมีเชิงยาวกว่านิดหน่อย

ครั้นดูอาชีพของคนพวกนี้ คนพวกนี้มีความสุข การประกอบอาชีพจริง ๆ เป็นล่ำเป็นสันหายาก มองไปดูขณะนั้น จะเห็นว่าส่วนใหญ่ดีดสีตีเป่าสนุกสนานกันมีความรื่นเริง ไปมองการประกอบอาชีพจริง ๆ ก็เป็นชาวไร่ มีปลูกต้นหมากรากไม้ สัตว์เลี้ยงก็มี มองไปดูสัตว์เลี้ยง โคก็มี ควายก็มี หมูก็มี ไก่ก็มี มีหลาย ๆ อย่าง นกก็มีเหมือน ๆ กับมนุษย์เราเหมือนกับโลกมนุษย์ แต่ว่าที่นั่นเขาก็มนุษย์เหมือนกัน

ครั้นพิจารณาไปเดินไปใกล้ ๆ พิจารณาดูอีกทีว่าชาวบ้านนี่เขามีตุลาการศาลตัดสินไหม มีอะไรไหม ก็ปรากฏว่าดูแล้วเห็นเป็นหมู่บ้านธรรมดา แต่บ้านมีความสวยสดงดงามมีความสะอาด คนมีความสุขสำราญมาก ก็รู้สึกว่าเป็นหมู่บ้านที่ไม่ค่อยจะทันสมัย อยู่กันแบบไท ๆ คือแบบกันเอง เดินเข้าไปใกล้ด้านถิ่นความหนาวคือกึ่งระหว่างร้อนกับหนาว ไม่มากนัก ก็ไม่ค่อยจะมีความร้อน ความร้อนมีบ้างแต่พอสมควร ในเขตนี้รู้สึกว่าเป็นเขตที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก มีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีตึกรามบ้านช่องใหญ่โต มีไฟฟ้าสว่างไสว บ้านเรือนเป็นระเบียบ ถนนหนทางดี

รวมความว่าเดินไปรอบ ๆ ในกึ่งกลางของโลกส่วนนี้มีสภาพคล้ายคลึงกัน มีความเจริญรุ่งเรือง มีแม่น้ำ มีทะเล มีมหาสมุทร มีเรือยนต์กลไฟเหมือนกัน ครั้นเข้าไปดูยานพาหนะพิเศษ รถมีแต่รูปร่างของรถยนต์ ไม่เหมือนกับรถของเรา จะเป็นรถคล้าย ๆ รถสมัยเก่าหน้าหม้อสูง และก็ล้อก็โตกว่ารถของเรา สภาพของล้อคล้ายกับกงเกวียน ถ้าพูดจริง ๆ เป็นแบบคล้าย ๆ รถโลกของเราสมัยเก่า

หลังจากนั้นที่นั่งก็สูงกว้าง หลังคาไม่คลุมเหมือนรถโลกของเรา เขาปล่อยโปร่งนั่งบรรจุคนได้คราวละหลาย ๆ คน เขาไม่มีสภาพเป็นรถเต่าเหมือนบ้านเรา ถนนหนทางมีความราบเรียบ แต่สิ่งที่น่าคิดมองไปในประเทศที่เจริญแล้วไม่มีทหาร คนที่แต่งตัวคล้ายทหารคล้ายตำรวจไม่มี ความจริงแล้วไม่ต้องถือเครื่องแบบของเรา จะเป็นเครื่องแบบประเภทไหนก็ตาม ถืออาวุธอยู่เวรยามรักษาป้องกันภัยอันตรายก็ตาม หรือว่าเป็นการป้องกันเขตประเทศก็ตาม ยามประเภทนี้ไม่มี

ในเมื่อมีความสงสัย สองแม่ลูกก็ลงไปจากอากาศ ไปเจอะคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งเล่นตุ๊กตาเล็ก ๆ แล้ก็มีตาตะราง มองไปอีกทีก็คล้าย ๆ หมากรุกของเรา แต่หมากรุกของเขาไม่เหมือนของเรา เขาทำเป็นตัวคนบ้าง ทำเป็นตัวสัตว์บ้าง เป็นตัวจริง ๆ แล้วก็ทางด้านใต้ของตัวสัตว์ต่าง ๆ หรือตัวหมากรุกก็มีล้อ เวลาเล่นเขาไม่โขกเหมือนโลกของเรา เขาใช้เลื่อนไป จริง ๆ แล้วก็คิดว่าเขาเล่นหมากรุกนั่นเอง (คิดเอาอย่างนั้นนะเทียบเอา เขาเรียกอะไรก็ไม่ทราบ)

ในจำนวนคนที่นั่งอยู่ที่นั่นก็มีคนท่าทางเป็นผู้ใหญ่อยู่หลายคน สองคนแม่ลูกเข้าไปก็ตั้งใจคิดว่าร่างกายของเราเขาจงเห็นเพียงเท่านี้ร่างกายทั้งสองคนก็มีสภาพหนา เขาก็เห็นเป็นร่างกายของมนุษย์ธรรมดา แต่ว่าคนพวกนั้นเขามองมาเขาจะแปลกใจนิดหนึ่งเพราะรูปร่างมนุษย์ ของเขากับของเราไม่เหมือนกัน

คำว่า "ไม่เหมือนกัน" ก็หมายความว่า มีแขน มีขา มีหู มีตา มีปากเหมือนกัน แต่ผิวพรรณต่างกัน ของเขาผิวพรรณดีจริง ๆ เป็นคนเนื้อเต็มทั้งหมด (เนื้อนะส่วนร่างกาย) ผิวนวลมาก ไม่ใช่ขาวจั๊ว ขาวนวล ๆ แล้วก็สภาพร่างกายของคนสมบูรณ์แบบทุกอย่าง

มองไปจุดนั้นก็ดี ใช้ใจมองไปจุดทั่วโลกก็ตาม เขาไม่มีคนผอมกระย่องกระแย่งเหมือนโลกของเรา ร่างกายสมบูรณ์ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เข้าไปใกล้ยกมือไหว้เขาแล้วก็น้อมศีรษะลงเขาก็ทราบว่าทำความเคารพ แต่พวกเขาที่นั่งอยู่ ๔-๕ คน เขาไม่ยกมือรับไหว้ เขายกมือซ้ายข้างเดียวแล้วก็ก้มศีรษะรับนิดหน่อย แสดงว่ารับทำการเคารพ เขาก็ถามเป็นภาษาของเขา แต่ว่าใช้กำลังใจที่เป็นทิพย์ก็ฟังออก

เขาถามว่า "เธอมาจากไหน"

คุณแม่ของจุไรก็ตอบว่า "ฉันกับลูกมาจากโลกชมภู"

เขาก็ถามว่า "โลกชมภูอยู่ที่ไหน"

ทั้งสองคนแม่ลูกก็ชี้ให้ดูโลกชมภูก็ปรากฏว่าเห็นแสงแพรวพราวเป็นระยับ แต่ก็ไม่สุกปลั่งเท่ากับแสงของโลกพระศุกร์ที่เราเห็น เป็นดาวดวงเล็ก ๆ ดวงหนึ่งลอยอยู่ด้านทิศตะวันออกของโลกพระศุกร์

เขาก็ถามว่า "ทั้งสองคนแม่ลูกมาจากโลกชมภูมาได้อย่างไร ชาวโลกชมภูมาที่นี่ต้องใช้ยานพาหนะไหม"

คุณแม่ของจุไรก็ตอบว่า "ฉันไม่ได้ใช้ยานพาหนะ ฉันลอยมาเจ้าค่ะ"

เขาก็ถามว่า "คนโลกชมภูตัวเบาทุกคนหรือ"

คุณแม่ก็ตอบว่า "ไม่ทุกคน ชาวโลกชมภูมีตัว ๒ ตัว คือตัวในกับตัวนอก ถ้าจะมาที่นี่ ถ้าคนที่มีกำลังมากคือได้อภิญญาสมาบัติใหญ่ ก็จะมาทั้งตัวในและตัวนอก แต่คนที่มีกำลังน้อย ๆ อย่างฉันกับลูกเอาตัวนอกมาไม่ได้ มาได้เฉพาะตัวใน" พวกเขาก็สงสัยว่าตัวในกับตัวนอกเป็นอย่างไร

คุณแม่ของจุไรก็ตอบเขาบอกว่า "คำว่า ตัวนอก ก็ตัวที่มีเนื้อมีหนังอย่างท่าน ถ้าจับแล้วมีความรู้สึกสัมผัส ท่านลองจับตัวของท่านดูทีซิ" เขาก็จับตัวดู

คุณแม่ของจุไรก็บอกต่อไปอีกว่า "ที่จับถูกนั่นคือตัวนอก มือที่จับก็เป็นมือของตัวนอก ขาของท่านที่ท่านจับนั่นก็เป็นตัวนอก เนื้อก็เนื้อของตัวนอก หนังก็เป็นหนังของตัวนอก แต่ตัวในเราเห็นได้ เคลื่อนไหวได้ ถ้าจับจะไม่มีความสัมผัสเหมือนกับจับอากาศ"

เขาก็ย้อนถามว่า "เท่าที่เธอมาทั้งสองคนนี่เอาตัวในหรือเอาตัวนอกมา" (เขาย้อนถาม)

คุณแม่ของจุไรก็ตอบว่า "เอาตัวในมา" เขาถามว่า "จะลองจับได้ไหม"

คุณแม่ของจุไรก็บอกว่า "ได้"

เขาก็เอื้อมมือมาจับ เมื่อจับช่วงขาของคุณแม่จุไรและจุไร ก็ปรากฏว่ามือของเขาชนกัน หัวแม่มือกับนิ้วทั้ง ๕ นิ้วของเขาเข้ามาแปะกัน เขาก็ตกใจ

เขาจึงถามออกไปว่า "เนื้อของเธอไม่มีหรือ เวลาเธอพูดกับฉัน ๆ เห็นเธอมีเนื้อ แต่ว่าเวลาฉันจับฉันไม่รู้สึกว่าเธอมีเนื้อเลย"

คุณแม่ของจุไรก็บอกว่า "ฉันบอกแล้วว่าฉันเอาตัวในมา"

เขาก็ถามว่า "คนโลกพระศุกร์จะมีตัวในตัวนอกเหมือนโลกชมภูไหม"

คุณแม่ของจุไรก็ตอบว่า "ไม่ว่าโลกไหนก็มีตัวในตัวนอกเหมือนกัน"

เขาก็ถามว่า "เขาอยากจะศึกษาเรื่องตัวนอกตัวใน อยากจะเอาตัวในไปใช้บ้าง เพราะไปที่ไหนก็ได้"

เขาก็ถามแม่ของจุไรว่า "ไปโลกไหนมาบ้าง"

คุณแม่ก็ชี้มาที่จุไร บอก่า "จุไร จงตอบคุณลุงซิ"

จุไรก็บอกว่า "ไปเที่ยวมาแล้วหลายโลก คือโลกที่ ๑ ที่ไปก็คือโลกอาทิตย์" (เขาฟังแล้วก็ตกใจ)

เขาถามว่า "ไม่ร้อนหรือ"

จุไรก็ตอบว่า "ไม่ร้อน เอาตัวในไปไม่ร้อน เข้าไปในใจกลางของ โลกอาทิตย์ ก็ได้ ข้างในก็ไม่ร้อน ไปโลกที่ ๒ ก็โลกพระจันทร์ โลกที่ ๓ ก็โลกพระอังคาร โลกที่ ๔ ก็โลกพระพุธ โลกที่ ๕ ก็โลกพฤหัส แล้วก็มาโลกที่ ๖ ก็คือโลกพระศุกร์"

เขาก็เลยบอกว่า "คนโลกชมภูนี่เก่งจริง ๆ นะ"

จุไรก็ถามคุณลุงว่า "คุณลุงเจ้าขา (ฉันขอลัดตัดความเพราะเวลามีน้อยต้องรีบกลับ) อยากจะทราบว่าในประเทศนี้มีทหารไหม" เขาฟังแล้วก็แปลกใจ

เขาถามว่า "ทหารเป็นอย่างไร"

จุไรก็กราบเรียนว่า "ทหารเป็นนักรบเจ้าค่ะ"

เขาก็ถามว่า "หนูน้อย นักรบเป็นอย่างไรจ๊ะ"

จุไรก็บอกว่า "นักรบเขาถืออาวุธ เวลาไม่ชอบใจขึ้นมาเขารบกัน ยิงกันบ้าง ฆ่ากันบ้าง"

เขาก็ส่ายหน้าว่า "โลกนี้ไม่มีจ้ะ โลกนี้ไม่รู้กคำว่ารบ"

จุไรก็ถามว่า "โลกนี้มีเครื่องบินไหมจ๊ะ" เขาก็ตอบว่า "มี"

จุไรอยากดูเครื่องบิน คุณลุงก็แสนใจดีทั้ง ๕ คน ก็พาไป รู้สึกว่าเขาเดินเร็วมากมีการคล่องแคล่ว ไปถึงกลุ่มเครื่องบินที่เขาจอดอยู่ ไปดูเครื่องบินทั้งหมดไม่มีเครื่องบินรบ มีแต่เครื่องบินซึ่งเป็นยานพาหนะ

จุไรก็ถามว่า "เครื่องบินมีอาวุธไหมเจ้าคะ"

เขาก็ตอบว่า "ไม่ทราบจะเอาอาวุธไปทำไม"

หลังจากนั้นเรื่องแต่ธาตุต่าง ๆ นี่บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายจะไม่ขอพูดกัน แล้วจุไรก็ถามว่า "เครื่องบินของท่านบินไปได้กี่ประเทศ"

เขาก็ตอบว่า "ในโลกนี้ทั้งโลกมีประเทศจริง ๆ อยู่ ๔๓ ประเทศ เครื่องบินประเภทนี้จะไปกี่ประเทศก็ได้"

จุไรก็ถามว่า "บ่อน้ำมันมีไหม"

เขาก็ตอบว่า "แร่ธาตุที่สกัดน้ำให้เป็นน้ำมันนั่นมีอยู่ แต่ว่าโลกนี้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เพราะว่ามีแร่ที่มีรังสีใช้แทนน้ำมันมีมากมาย ฉะนั้นเครื่องบินที่ขับขี่จะบินไปทางไหนก็ได้ไม่มีการหมดน้ำมัน กำลังของแร่ธาตุจะไม่หมด"

จุไรก็อยากจะนั่งเครื่องบิน เขาก็ให้นั่งเครื่องบินลำใหญ่ แล้วก็บินไปในที่ต่าง ๆ ชมดูโลกพระศุกร์ ส่วนกลางของโลกพระศุกร์ก็ดี ส่วนท้ายของโลกพระศุกร์ก็ดี ก็มีทะเล มีมหาสมุทร มีน้ำใส มีปลาใหญ่ มีนกใหญ่นกเล็กเหมือนกันหมด รวมความว่าส่วนกลางของโลกพระศุกร์นี่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก เมื่อเที่ยวจบแล้ว (ขอเล่าลัด ๆ เวลามันเหลือนิดเดียว)

หลังจากนั้นจุไรกับคุณแม่ ทั้งสองก็ลาคุณลุงทั้ง ๕ คุณลุงก็ถามว่า "จะไปทางไหนอีกจะพาไป"

จุไรกับคุณแม่ก็บอกว่า "ไม่จำเป็นเจ้าคะ จะไปเอง"

เมื่อลาคุณลุงแล้ว ทั้งสองก็เดินชมถนนหนทาง รู้สึกว่ามีความราบเรียบมาก บ้านช่องมีความรื่นเริง มาทางด้านทิศเหนือใกล้จะสุด ปรากฏว่ามีหิมะหนาวจัด หนาทึบมีความหนาวสูง เจอะบรรดาสัตว์ทั้งหลายมีขนยาวทั้งหมด สัตว์ที่มีขนเกรียนอย่างโลกชมภู หรือโลกมนุษย์ไม่มีเลย ถ้าเจอะควาย ๆ ก็ขนยาว (ควายป่า) เจอะวัวป่าวัวก็ขนยาว ลิงค่างขนยาวหมด แต่รู้สึกว่าสัตว์ทั้งหลายมีความแข็งแรง

เมื่อเดินเข้าไปในป่าลึกก็ปรากฏว่าพบคนในป่า คนในป่าก็มีสภาพเหมือนกับคนป่าจริง ๆ ความเจริญรุ่งเรืองมีน้อย เขามีผ้าหนา ๆ เนื้อหยาบ ๆ และก็มีอาวุธที่ถือก็ไม่ใช่อาวุธ เป็นจุดแหลม ๆ ด้านหนึ่งมีง่าม อีกด้านหนึ่งมีความแหลม เขาถือเดินไปสำหรับยันพื้นเวลาจะลื่นเพราะถูกหิมะ

มองไปดูสัตว์กับคนในป่าเขาเป็นมิตรกันจริง ๆ สัตว์เห็นคน คนเห็นสัตว์ต่างคนก็ต่างเดินเข้าหากัน ที่มองเห็นคนเขาก็ใช้มือคือภาษากลางแล้วก็ส่งเสียงโบ๊โบ๊ ๆ สัตว์ก็มีความเข้าใจ เมื่อสัตว์ตัวใดส่งเสียงอื้ดอ๊าด ๆ ขึ้นมาคนก็มีความเข้าใจความต้องการของสัตว์

จุไรกับแม่ก็มีความสงสัย ว่าคนกับสัตว์ที่มีความเข้าใจกันอย่างนี้ ก็แสดงว่าคนก็ดีสัตว์ก็ดีไม่มีความเป็นศัตรูกัน จึงยกมือนมัสการพระ ทูลถามท่านว่า "คนโลกนี้เขามีเป็นศัตรูกันไหมเจ้าคะ"

พระท่านก็ตอบว่า "คำว่าเป็นศัตรูกันสำหรับคนที่มีกิเลสย่อมมี แต่โลกพระศุกร์นี้คนที่เป็นศัตรูกันร้ายแรงถึงกับฆ่ากันทำร้ายร่างกายกันไม่มี จะเป็นศัตรูกันบ้าง เพราะมีความเห็นไม่ตรงกันเล็กน้อย อาจจะมีความขุ่นข้องหมองใจบ้าง แต่ไม่ถึงกับทำร้ายกัน ไม่ถึงกับมีการกลั่นแกล้งกัน ชื่อว่าเขายังเป็นคนสะอาดอยู่มากกว่าคนในโลกชมภู"

ทั้งสองคนแม่ลูกจึงถามท่านว่า "ถ้าอย่างนั้นคนในโลกนี้ก็เป็นคนที่มีบุญมาก กุศลเก่าสนับสนุนอยู่มาก"

ท่านก็ตรัสว่า "เป็นตามนั้น แต่ว่ายังไม่ดีเท่าของโลกพระพุธ เพราะโลกพระพุธเขาดีกว่านี้ เขาไม่มีสัตว์เดรัจฉาน ที่นี่มีสัตว์เดรัจฉาน แต่ว่ามีเมตตาปรานี"

ก็รวมความว่า คนโลกนี้มี พรหมวิหาร ๔ มาก แต่ว่าขึ้นชื่อว่าคนที่มีกิเลสก็ย่อมมีความเศร้าหมองของจิตบ้างเป็นของธรรมดา แต่ไม่มากนัก ถ้าทะเลาะกันก็ทะเลาะในใจไม่ถึงกับออกปากด่ากัน ถ้าไม่ชอบใจกันบ้างก็อยู่ในใจไม่ถึงกับลงมือลงไม้"

คุณแม่ของจุไรจึงกราบเรียนถามพระท่านว่า "คนโลกนี้มีอายุขัยเท่าไร เจ้าคะ"

ท่านก็ตอบว่า "คนโลกนี้จริง ๆ มีอายุ ๒ หมื่นปี ซึ่งโลกพระพุธเขามีความดีกว่านี้มีอายุถึง ๘ หมื่นปี"

จุไรกับแม่ก็กราบทูลถามท่านว่า "คนที่แก่ที่สุดรูปร่างเป็นอย่างไรเจ้าคะ"

พระท่านก็นำไปอีกจุดหนึ่ง การไปเป็นของเร็วบรรดาท่านผู้ฟัง กำลังของฤทธิ์ไปเห็นคนที่แก่ที่สุดอายุใกล้ ๒ หมื่นปี เมื่อดูเข้าจริง ๆ ปรากฏว่าคล้าย ๆ จะสาวกว่าคุณแม่ของจุไร เป็นผู้หญิง

พระก็บอกว่าให้แม่กับจุไรเข้าไปถามหญิงคนนั้น ถามว่า "ท่านแก่หรือยัง"

หญิงคนนั้นก็ตอบว่า "ฉันแก่มากแล้วจ้ะ" แล้วก็ถามหญิงคนนั้นว่า "อายุเท่าไร"

เขาก็ตอบว่า "ใกล้จะ ๒ หมื่นปีเต็มที อีกไม่ถึงพันปีก็ ๒ หมื่นปีแล้ว โลกนี้มีอายุ ๒ หมื่นปีเป็นอายุขัย"

จุไรอยากจะทราบว่า "คนที่มีอายุเกิน ๒ หมื่นปีมีไหมเจ้าคะ"

คุณยายก็ตอบว่า "มี แต่ว่ามีไม่ไกลนัก ไม่เกิน ๓ พันปีก็ต้องตาย"

เอาละบรรดาลูกรักทั้งหลายและท่านผู้ฟัง เวลาหมดแล้ว ก็รวมความว่า จุไรกับแม่ก็ลาโลกพระศุกร์ไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาลูกรักทั้งหลาย สวัสดี.."

◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตามตอน จุไรท่องเที่ยวโลกพระศุกร์ ตอนที่ ๓ )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/1/09 at 14:45 [ QUOTE ]





จุไรท่องเที่ยวดาวพระศุกร์

(ตอนที่ ๓)


โดย ส.ธ.

ลูกหลานที่รัก..วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๓๐ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง มองดูท้องฟ้าใสสว่างเป็นที่สบายใจ วันนี้ก็มาคุยกันหรือเล่านิทานเรื่องของจุไร ก็เป็นการบังเอิญจริง ๆ ที่วันนี้เป็นวันพระ บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนา ต่างคนต่างก็ตั้งใจไปรักษาอุโบสถศีล ไปที่วัดตอนเช้านำอาหารไปทำบุญถวายพระ รับศีลแล้วก็ตั้งใจสวดมนต์เจริญภาวนา จุไรก็มีโอกาสได้ทำบุญกับแม่

แต่พอตอนเย็นสวดมนต์เสร็จถึงเวลาค่ำเล็กน้อยออกมาชมพระจันทร์เต็มดวงมีความสว่างมาก เธอก็มีความสุขใจ มองดูดวงดาวทั้งหลายเท่าที่เคยไปเที่ยวมา แต่ทว่าวันนี้จุไรสนใจเรื่อง "ดาวพระศุกร์" เพราะว่าดาวพระศุกร์นี่มองไปทางด้านทิศตะวันตกมีแสงสว่างมาก เธอก็มีความรู้สึกว่าดาวดวงนี้คงจะมีของมีค่ามาก เช่น เพชรนิลจินดา เป็นต้น จิตก็นึกอยากจะไปชมดูดาวพระศุกร์

เวลานั้นจิตของเธอกำลังอยู่ในห้วงของสมาธิเล็กน้อยที่เรียกว่า "อุปจารสมาธิ" จิตก็นึกถึงอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวกทั้งหลาย รวมทั้งผู้มีคุณทั้งหลาย โดยคิดว่าถ้ากำลังบุญใดไม่เกินวิสัยที่พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอริยสาวกก็ดี เทพเจ้าทั้งหลายหรือท่านผู้มีคุณทั้งหลายก็ดี จะช่วยให้รู้จักคือไปแดนดาวพระศุกร์ได้ก็ขอได้โปรดช่วยเวลานี้

เธอคิดสั้น ๆ แบบนี้แล้วก็จับอานาปานุสสติกรรมฐาน คือลมหายใจเข้าออกตั้งใจตามที่แม่เคยสอน ในที่สุดอารมณ์ใจของเธอก็เข้าสู่ฌาน ฌานที่เข้าถึงก็เป็นฌาน ๔ อาศัยที่ก่อนภาวนาหรือเข้าฌานจิตตั้งใจจะไปดูดวงดาวพระศุกร์ จิตก็ล่องลอยไปสู่เขตของดวงดาวพระศุกร์ทันที การไปอย่างนี้ลูกหลานที่รักไม่ต้องไปตามลำดับ ตามธรรมดาสภาพของจิตมีการคล่องตัวมาก ถ้าตั้งใจว่าจะไปที่ไหน ก็ไปตรงที่นั่นไม่ต้องเดินตามลำดับ

พอไปถึงใกล้ดวงดาวพระศุกร์ ยืนอยู่นอกเขตคือในอากาศ ไกลจากดวงดาวพระศุกร์ ก็เรียกว่าหลายร้อยหรือหลายพันโยชน์ แต่อาศัยอารมณ์ในที่เป็นทิพย์มีร่างกายที่เป็นทิพย์ เพราะการไปไม่ได้นำร่างกายเนื้อไปด้วย ก็พิจารณาดูดาวพระศุกร์ ความจริงดาวพระศุกร์นี้อยู่ไกล ๆ สว่างมาก

คนหลาย ๆ คน ถ้าไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ก็จะมีความรู้สึกว่า ดาวพระศุกร์จะมีความใสเหมือนแก้ว มีการสะท้อนแสงจากพระอาทิตย์ แต่ถ้ามองไปจริงๆ ก็รู้จากความจริงว่าความจริงดาวพระศุกร์ไม่ใช่แก้ว มองด้านไกล ๆ ก็เห็นดาวพระศุกร์ทุกดวง ดาวพระศุกร์ก็คือโลก ๆ หนึ่งนั่นเอง มองไปภายนอกของดาวพระศุกร์เห็นก้อนเมฆมหึมา ลอยเคลื่อนไปเคลื่อนมาเหนือหรือนอกดาวพระศุกร์

ต่อไปก็มองทะลุเมฆเข้าไปเห็นดวงดาวพระศุกร์ชัด ตอนนี้ถ้าเรียกว่าดาวพระศุกร์ก็ไม่ถูกแล้ว เพราะความแพรวพราวของดาวพระศุกร์ไม่มี หรือถ้าจะมีก็คล้าย ๆ กับหิมะจับอยู่บนยอดหญ้าหรือยอดไม้ต้องแสงอาทิตย์แพรวพราวพอสมควร ทีนี้ส่วนที่มีแสงแพรวพราวนั้นก็เป็นแสงด้านท้ายของดาวพระศุกร์ ดาวพระศุกร์หันหัวเข้าหาพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่ใช่อยู่ติดพระอาทิตย์เลยทีเดียว ห่างมาก

ด้านหัวของดาวพระศุกร์เข้ามาถึงประมาณกึ่งกลาง ในตอนนี้จะมีความรู้สึกว่าเลี่ยนเตียนโล่งเหมือนกับคนหัวล้าน อีกนัยหนึ่งถ้าไม่เคยเห็นคนหัวล้าน ก็ดูเขาหัวโล้นมีความโล้นไม่มีสภาพบ้านเรือน ไม่มีต้นหญ้า ไม่มีต้นไม้ ไม่มีธารน้ำ ถ้าจะเปรียบเทียบกับทะเลทราย ดาวพระศุกร์ตอนนี้ยิ่งกว่าทะเลทรายเสียอีก ต้องมีสภาพคล้าย ๆ กับทะเลเพลิงเพราะมีความร้อนมากด้านหัว เรื่อยเข้าไป ๆ ตอนกลางของดาวพระศุกร์จะรู้สึกจางจากความร้อน มีความร้อนไม่แตกต่างกับตะวันออกกลางเท่าไรนัก

ในช่วงที่อ่อนจากความร้อนนี่ ลึกเข้าไปหน่อยมีพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีต้นไม้ มีต้นหญ้า มีธารน้ำ มองไกลออกไปใกล้ ๆ ปลายดาวพระศุกร์ด้านเหนือ ก็รู้สึกว่าในตอนนี้ต้นไม้เขียวชอุ่มจัด มีหิมะมากปกคลุมดาวพระศุกร์ ยิ่งตอนท้ายดาวพระศุกร์ก็มีธารน้ำ มีต้นหญ้า มีน้ำค้าง และมีหิมะต่าง ๆ เกาะใบไม้แข็งตัว ธารน้ำที่เป็นทะเลก็เป็นทะเลแข็ง

รวมความแล้วดาวพระศุกร์นี้มีสภาพไม่เหมือนกัน ขอทุกคนผู้รับฟังพึงทราบว่านี่เป็นนิทาน ความรู้สึกต่าง ๆ จากนิทานกับความรู้กับนักวิทยาศาสตร์ต้องไม่เหมือนกัน หรือถ้าอาจจะเหมือนกันก็เรียกว่า นิทานเดาไปเหมือนนักวิทยาศาสตร์เข้า เมื่อมองดูแล้วเธอก็ทราบว่าดาวพระศุกร์มีสภาพคล้ายดาวพุธ แต่ว่าดาวพระศุกร์ดวงนี้โตกว่าดาวพุธมาก มองไปดูดาวพฤหัสดาวพระศุกร์ก็เล็กกว่าดาวพฤหัส

เธอจึงเข้าไปใกล้ดวงดาวพระศุกร์ อยากจะรู้ความจริง ตอนนี้ก็ยังไม่แวะลงพื้นดินของดาวพระศุกร์ ลอยละล่องไปในอากาศดูรอบ ๆ ตอนด้านหน้าใกล้ความร้อน เรียกว่ามีความร้อนอยู่มาก แต่ก็ยังพอเป็นที่อาศัยของสัตว์ทั้งหลายได้ ก็ปรากฏว่ามีบ้านช่องเรือนโรงน้อย น้ำก็หายาก บนผิวดินแห้งแกร่งจุดของการมีน้ำน้อย เธอก็เลยไม่ชอบใจ เลื่อนตัวไหลเข้าไปใกล้ ๆ เรียกว่าเข้าไปลึกเข้าไปอีกเกือบจะเป็นศูนย์กลางของความเย็นหรือตอนที่เย็น

ตอนนี้ก็เห็นต้นไม้งามชอุ่ม มีพืชพันธุ์ธัญญาหารมากมีผู้คนมาก ในดาวพระศุกร์มีบ้านเรือนโรงสวยสดงดงาม ไปดูถนน ๆ เขาก็เรียบดี ไปดูคนก็มีความเรียบร้อย คนทุกคนเท่าที่มองเห็นจากอากาศมีสภาพเรียบร้อย รู้สึกว่าความอันธพาลเกเรอาจจะไม่มีหรืออาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่มาก

มองดูไปรอบ ๆ อยากจะทราบว่ามีตำรวจไหม มีทหารไหม มีคนถืออาวุธเพื่อป้องกันอันตรายไหม มองดูจากอากาศลงไปดูภาคพื้นก็ไม่พบคนที่ถืออาวุธ ไม่พบคนที่แต่งตัวพิเศษเหมือนตำรวจทหาร ไม่พบการยืนยาม ไม่พบการอยู่เวร ไม่เห็นสภาพของกองทัพ

เธอก็ดูต่อไปว่า ดวงดาวพระศุกร์นี่มีอะไรเป็นที่น่าสังเกตบ้าง ยวดยานพาหนะของดาวพระศุกร์มีรถ รถยนต์มี แต่ว่าสภาพของรถยนต์มีสภาพไม่คล้ายคลึงกับรถของเราเท่าไรนัก คือล้อมีเหมือนกัน เครื่องยนต์มีเหมือนกัน แต่สภาพของรถจริง ๆ มีสภาพโปร่ง มีหลังคาสูงมีที่นั่งสูง

ขณะที่นั่งไปเรียกว่าโชยกับอากาศได้ดี ไปมองดูความเร็วของรถอาจจะมีมาก แต่ทว่าคนในดาวพระศุกร์เวลาขับรถขับไม่เร็วเกินไป ถ้าเทียบกับโลกชมภูคือโลกที่เธออยู่ ก็จะมีความรู้สึกว่าชาวโลกพระศุกร์ใช้ความเร็วจริง ๆ ของรถไม่เกิน ๔๐ ไมล์ต่อชั่วโมง เขาไปกันเรียบ ๆ ถนนก็โล่งไม่เบียดเสียดกัน การขับรถมีระเบียบ คนที่แต่งตัวสวยยิ้มแย้มแจ่มใส

ครั้นไปดูในน่านน้ำ ๆ มีมาก มีทะเล มีมหาสมุทร มีคลอง ในคลองในน่านน้ำเขาก็มีเรือยนต์ และก็มีเรือพาย (ประเภทเรือกรรเชียง) ใช้พายธรรมดาไม่เห็นมี หรือไม่มีก็ไม่ทราบแต่ไม่เห็น มองดูเท่าไรก็ไม่เห็น เรือพายธรรมดาก็ไม่เห็น เรือถ่อก็ไม่เห็น จะมีก็มีประเภทเรือกรรเชียงจับพาย ๒ ใบกรรเชียงถอยไปข้างหลังแล้วก็น่านน้ำก็มีความราบเรียบสวยสดงดงามสะอาด

ทางท่าน้ำก็รู้สึกว่ามีความราบรื่นมองดูไปในอีกด้านหนึ่ง เธอก็อยากจะทราบว่ากองทัพอากาศของโลกพระศุกร์มีหรือเปล่า มองไปแล้วก็ลอยไปรอบ ๆ ไม่ใช่มองที่เดียว มองแล้วก็ลอยไปรอบ ๆ ของด้านใกล้จะกึ่งความร้อนกับความเย็นก็ปรากฏมีเครื่องบิน ๆ มาตามสถานีต่าง ๆ มาก สถานีหรือท่าอากาศหนึ่งก็มีเครื่องบินมาก แต่มองไปดูอีกทีว่าเครื่องบินรบที่มีสภาพเหมือนเครื่องบินรบของเรามีการติดอาวุธติดจรวดมีไหม มองไปดูจริงๆ เท่าไรก็ไม่พบว่าเป็นเครื่องบินรบ

เธอก็สงสัยว่าบ้านเมืองนี้ขาดตำรวจ ถ้าขโมยมีมาก ๆ อย่างโลกชมภูก็เป็นอันว่าชาวบ้านทั้งหลายไม่มีของจะใช้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะขโมยเก็บหมด ไม่มีตำรวจปราบปราม และขอบเขตต่าง ๆ ไม่มีทหารระวัง ถ้าเกิดมีการรุกรานขึ้นมาก็จะถูกยึดประเทศเปล่า ๆ เธอก็คิดด้วยเหตุผลว่าในเมื่อคนทุกคนไม่มีใครเป็นตำรวจ คนทุกคนไม่มีใครเป็นทหารการขโมยกันการข่มเหงกันอาจจะไม่มี และการรุกรานกันด้านชายแดนก็คงจะไม่มี การยื้อแย่งดินแดนก็คงจะไม่มี

รวมความว่า ตอนนี้เห็นบ้านเมืองสวยสดงดงาม มีถนนหนทางมากติดต่อกันเป็นสายตลอดโลกพระศุกร์ ความจริงมองแล้วมีความสุขใจมาก ตอนใดที่มีแม่น้ำขวางก็มีสะพานลอยสูง เรือก็วิ่งไปราบเรียบ คนก็แต่งกายผ้าไม่หนาถ้าจะเทียบกันไปก็เหมือนกับคนในประเทศไทย แต่งผ้าบาง ๆ แบบธรรมดา ๆ

เธอก็คิดว่าตอนกลางส่วนนี้ ระหว่างความร้อนกับความเย็น หมายความว่าร้อนเข้ามาถึงประเภทเกือบอุ่น ในตอนที่เห็นนี้ก็เป็นส่วนกลาง ๆ คงจะมีความรอ้นไม่มาก มีความเย็นไม่มากเกินไป ฉะนั้นคนจึงมีผ้าบาง ๆ แบบประเทศไทย

เธอก็สงสัยคิดว่าตอนปลายของโลกพระศุกร์จะเป็นอย่างไร ก็ลอยต่อไปอีก ตอนนี้ก็พบว่าน้ำที่ติดกับใบไม้ยอดไม้มีมาก และยอดหญ้าก็ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำ เป็นเขตที่มีความหนาวมาก ผู้คนต่าง ๆ ก็แต่งกายด้วยผ้าหนา ๆ เหมือนกับในอเมริกาหรือในยุโรปบางประเทศ เธอก็มีความรู้สึกว่าตอนนี้คงจะหนาวจัด

มองดูโลกแถวนี้ก็ปรากฏว่า มีตึกสูงและก็มีโรงงานต่าง ๆ มาก พืชพันธุ์ธัญญาหารก็มาก แต่โลกนี้มองดูกันจริง ๆ ถ้าจะเทียบกับโลกชมพู ดาวพระศุกร์ก็มีเนื้อที่มากกว่าโลกชมพูเกือบเท่าตัว แต่ว่าส่วนที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ได้ก็ดูเหมือนว่าจะน้อยกว่าโลกชมพูเพราะตอนหน้าร้อนมากเกินไป

อันนี้ก็มองดูไปว่าตอนที่มีความหนาวมีอะไรเป็นพิเศษไหม ก็พบว่ามีโรงงานใหญ่ ๆ มีควันโขมง แสดงว่าคนทำงาน คนออกจากโรงงานก็มาก ในดินแดนแถบนี้รู้สึกว่าจะเป็นคนมีความร่ำรวยมาก ยานพาหนะก็มาก สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือมีลูกกลม ๆ ที่อัดลมข้างในหรืออัดแก๊สข้างใน คือ "ลูกบอลลูน" มีลอยอยู่มาก

สำหรับลูกบอลลูนนี้ด้านหน้าส่วนที่ห้อย หมายความว่าตัวอาคารที่ห้อยกับลูกบอลลูนมีใบพัด ด้านหางก็มีหางคล้าย ๆ เครื่องบิน แต่สภาพแตกต่างกันนิดหน่อย เวลาที่เขาต้องการจะบังคับให้เครื่องไปไหนก็เห็นหันหัวไปทางนั้น ใช้เครื่องเอาบอลลูนถ่วงข้างบนเป็นเครื่องเล่นสำหรับชาวบ้าน

ก็รวมความว่าเครื่องบินประเภทนี้ เรียกว่าเครื่องบินก็ได้ แต่จะเรียกให้ถูกจริงๆ ก็ต้องเรียกว่า "เครื่องเกาะบอลลูน" หรือ "เรือเกาะบอลลูน" เรือประเภทนี้ไม่มีการตกถึงกับเสียชีวิต เพราะบอลลูนมีสภาพถ่วง เวลาที่เขาจะขึ้นก็ปล่อยแก๊สหรือลมเข้าไป จนกระทั่งบอลลูนขยายเต็มตัวพาลอยขึ้นไป หลังจากนั้นก็มีเครื่องบินใบพัดที่เกาะอยู่ด้านล่างพ่วงอยู่ บอลลูนยกเครื่องก็พาบินไปตามทิศทางที่ต้องการ

ความจริงก็รู้สึกว่าดีปลอดภัยเป็นที่ใช้ของบรรดาชาวบ้าน ชาวบ้านใช้กันมาก รู้สึกว่ามีความสะดวก ความจริงถ้าประเทศไทยเรามีก็ต้องคิดเหมือนกัน ต้องตั้งตำรวจจราจรในอากาศละมั้ง ดีไม่ดีเครื่องบินบอลลูนอาจจะชนกันบนอากาศก็ได้ เพราะอาจจะมีมากเกินไป ของเขาถิ่นนี้มีมาก แต่ไม่มากถึงกับต้องชนกัน

รู้สึกว่าเครื่องบอกสัญญาณหลีกกันของเขาก็ชัดเจนแจ่มใส ใช้เป็นกระแสไฟสี ถ้าเปิดสีแดงเลี้ยวไปทางไหน เปิดสีเขียวไปทางไหน เปิดสีเหลืองขึ้นบน เปิดสีใสลงล่าง อันนี้เป็นต้น แสดงว่าเวลาบอลลูนหรือเครื่องที่เกาะบอลลูนสวนกันเขาจะให้สัญญาณว่าใครจะเลี้ยวทางไหน เปิดไฟด้านไหนไปด้านนั้น ก็รู้สึกว่าน่าจะมีความสุข

ต่อไปเธอก็ลอยมาด้านท้ายสุด ด้านท้ายสุดนี่มหาสมุทรเป็นน้ำแข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างหนาวจัด เย็นมาก แต่ก็มองไปเห็นกลุ่มสุนัขคล้าย ๆ กับสุนัขจิ้งจอก หรืออีกประการหนึ่งถ้าเรียกกันชัด ๆ ง่าย ๆ คล้าย ๆ "หมาจู" จะเรียกสุนัขจูเขาก็ไม่เรียก เขาเรียกกัน "หมาจู"

ชาวบ้านเรียกอย่างนั้น มีขนยาวมากเกือบจะปิดตาทั้งหมด เดินไปเดินมาบนก้อนน้ำแข็งแบบสบาย ๆ รู้สึกว่าหนาวขนาดไหนก็ตามเธอมีความสุข ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเธอเกิดในเขตของน้ำแข็ง เป็นของไม่แปลกที่จะเดินประเภทนั้น

ต่อมาเธอก็เลื่อนเข้าไปใกล้ในพื้นดินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ตอนนี้ก็เห็นมีคน แต่ก็น่าแปลกใจว่า คนถิ่นนี้แทนที่จะใส่เสื้อหนา ๆ แล้วก็เทอะทะกันความหนาว กลับกลายเป็นแต่งเสื้อผ้าบาง ๆ แต่มีรองเท้า มีพันแข้ง มีผ้าโพกหัสแต่ก็บาง เธอก็มีความสงสัยว่าผ้าบาง ๆ ของเขาอาจจะเป็นประเภทผ้าบางเนื้อแน่น ป้องกันความหนาวได้ดี อาจจะเป็นอย่างนั้น แล้วก็มองดูอีกทีบรรดาสัตว์ทั้งหลายในเขตนั้นก็มีขนยาว อย่างลิงหรือค่าง เป็นต้น นี่ขนยาวเป็นกรณีพิเศษ ยาวกว่าที่โลกมนุษย์เรามีมาก

เธอก็ลอยลงไปต่ำอยากจะทราบพื้นความเป็นจริงว่าดินแดนแห่งนี้มีบ้านใหญ่ ๆ ไหม เธอก็พบความเป็นจริงว่าดินแดนแห่งนี้บ้านใหญ่ ๆ ไม่มี โดยมากจะมีบ้านประเภทอยู่ในถ้ำหรือว่าขุดดินทำเป็นหลังคาอยู่ เข้าใจว่าจะมีความอบอุ่นดีกว่าอยู่บนพื้นดินมาก

ครั้นไปดูคน คนกับสัตว์มีความเชื่องกันมาก พบคนเดินในป่าสัตว์ป่าเห็นเข้าสัตว์ป่าไม่หนี คนก็ไม่หนีสัตว์ป่า ต่างคนต่างเดินเข้าหากัน คนตีใบ้ยกมือปล่อยเสียงโบ๊เบ๊ ๆ สัตว์ก็ทำหน้าเลิ่กลั่กมองไปมองมาก็เข้าใจกันวิ่งเข้ามาหาคน รวมความว่าคนกับสัตว์รู้ภาษากันคือเข้าใจในภาษาซึ่งกันและกัน

ทีนี้เธอก็มีความสงสัยว่าถ้าขืนลอยอยู่อย่างนี้คงไม่ทราบเรื่องดีอะไรกันแน่ อยากจะลงดูพื้นดิน ก็ลอยลงไปด้านหน้าด้านกลาง ๆ ที่ว่าเห็นคนใส่เสื้อผ้าบาง ๆ ทีแรกแต่งตัวบาง ๆ คล้ายประเทศไทย ลอยลงไปใกล้ไม่ถึงพื้นดินนัก เพื่อความเร็วก็ตรวจดูเขตก็รู้สึกว่ามีป้ายบอกชื่อประเทศเป็นจุด ๆ เป็นแห่ง ๆ อาณาเขตเขาราบเรียบมาก ไม่มีทหารรักษาการณ์ มีถนนติดต่อกันมีสายไฟฟ้าพ่วงถึงกัน

การเดินทางไปมาหาสู่กันไม่มีด่าน ไม่เหมือนกับประเทศไทยไปมาเลเซีย ก็ต้องไปกักอยู่ที่ด่านนานแสนนาน แขกพูดนานกว่าจะรู้เรื่อง หรือดีไม่ดีแขกก็แอ๊คท่ายังไม่ยอมให้ไป แต่ว่าไปดูของเขาเข้าโลกพระศุกร์เขาจะไปประเทศไหนรู้สึกว่าไปแบบสบาย ๆ ไม่มีใครกั้นไม่มีใครกาง ไปแบบมีอิสรภาพ แต่ละเขตเข้าไป ก็รู้สึกว่าทุกคนต่างคนต่างเป็นมิตรคิดว่าคนที่คิดเป็นศัตรูซึ่งกันและกันคงจะหายาก อันนี้เป็นจุดหนึ่งที่จะต้องพิจารณาว่าโลกนี้มีความสุข

ต่อไปเธอเห็นคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวสวย เข้าใจว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง ผู้ชายก็แต่งตัวสวย ผู้หญิงก็แต่งตัวสวย โลกนี้อุดมสมบูรณ์ด้วยเพชรนิลจินดา มีเครื่องประดับแพราวพราว รู้สึกว่าเขาจะประดับมาก แม้แต่กำไลข้อเท้าของเขา ก็มีเพชร กำไลมือของเขาก็มีเพชร ที่คอแทนที่จะเป็นสร้อยก็เป็นกำไลแท่งใหญ่แต่รู้สึกจะมีทองบางก็ประดับเพชร เพชรรูปร่างประดับลวดลายต่าง ๆ น่าเรียกว่าเขาทำสวยมาก เธอก็เข้าไปหาท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่าทีเป็นผู้ใหญ่มากในคนกลุ่มนั้น เธอก็ถามว่า

“ประเทศนี้ ในโลกนี้มีทหารไหม”

ชายคนนั้นเห็นเธอเข้าก็แปลกใจ เขาถามว่า “หนูมาจากไหน” จุไรตอบว่า “หนูมากจากโลกชมพู” เขาก็นั่งนิ่งนึกระเดี๋ยวหนึ่งก็ถามว่า “โลกชมพูอยู่ที่ไหน?” เธอก็ชี้ให้ดูดาวดวงหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลแสนไกลจากดาวพระศุกร์ เธอบอกว่า “นั่นคือโลกชมพูที่หนูอยู่”

เขาถามว่า “หนูมาได้อย่างไร” จุไร ก็ตอบว่า “หนูลอยมา” เขาก็ถามว่า “คนโลกชมพูลอยเก่งอย่างนี้ทุกคนหรือ” จุไรก็บอกว่า “หนูลอยไม่เก่ง หนูนะลอยสู้แม่หนูไม่ได้ และในโลกชมพูทุกคนจะลอยเก่งเหมือนกันหรือไม่หนูก็ไม่ทราบ แต่ที่บ้านหนูลอยได้ทั้งพ่อทั้งแม่และลูกลอยได้หมดทุกคน”

เขาก็แปลกใจ เขาถามว่า “โลกชมพูมีทหารตำรวจหรือ?” เธอตอบว่า “มี” เขาก็ถามว่า“ทหารตำรวจมีไว้ทำไม” เธอก็ตอบว่า “ทหารมีไว้ป้องกันประเทศ กันการรุกรานของข้าศึก ตำรวจมีไว้ปราบโจรผู้ร้าย” เขาก็แปลกใจ เขาถามว่า “ข้าศึกหมายถึงอะไร?” เธอก็ตอบว่า “มีการรบกัน” เขาถามว่า “รบกันเป็นอย่างไร?”

รวมความว่าจุไรงง จึงถามเขาว่า “ที่นี่ไม่มีเครื่องบินรบหรือ?” เขาก็ตอบว่า “คำว่า รบ ไม่รู้จัก มีแต่เครื่องบินที่เหาะไปเหาะมา ไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ถ้าไปไกลเกินไปนั่งรถเหนื่อยก็นั่งเครื่องบินไป แต่โลกที่มีความศิวิไลซ์กว่า คือด้านเหนือ (เขาชี้ไป) ที่นั่นเขามีบอลลูนสำหรับเที่ยว” เธอบอกว่า “ทราบแล้ว”

เขาก็ถามเธอว่า “ผมข้างหน้านี้หมายถึงอะไร” (ผมจุกของเธอมีปิ่น) เธอก็ตอบว่า “นี่เขาเรียกจุก” เขาก็ถามว่า “จุกมีไว้ทำไม” เธอก็ตอบว่า “ จุกมีไว้เพื่อแสดงความเป็นเด็ก” เขาก็ถามว่า “เธอเป็นเด็กหรือ?” เธอก็ตอบว่า “ เป็นเด็ก”

ก็รวมความว่า โลกพระศุกร์เต็มไปด้วยความโง่ของคนในโลกมนุษย์ แต่ว่าเป็นโลกที่มีความสุขที่สุดดีกว่าโลกมนุษย์มาก

เอาละ..บรรดาลูกรักทั้งหลาย มองดูเวลาเหลือนาทีกว่า ๆ ก็ขอจบ โลกพระศุกร์ แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาลูกรักทุกคน สวัสดี.

◄ll กลับสู่ด้านบน




ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์



วงโคจร : 108,200,000 ก.ม. (0.72 AU ) จากดวงอาทิตย์
เส้นผ่านศูนย์กลาง : 12,103.6 ก.ม.
มวลสาร : 4.869 x 10 24 ก. ก.
หมุนรอบตัวเอง 243.0187 วัน (หมุนกลับหลัง)
หมุนรอบดวงอาทิตย์ 225 วัน


ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 2 มีขนาดเล็กกว่าโลกเล็กน้อย จึงได้ชื่อว่าเป็นดาวฝาแฝดกับโลก เป็นดาวเคราะห์ที่ปรากฏสว่างที่สุด สว่างรองจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ถ้าเห็นทางทิศตะวันตกในเวลาค่ำเรียกว่า ดาวประจำเมือง และถ้าเห็นทางทิศตะวันออกในเวลาก่อนรุ่งอรุณ เรียกว่า "ดาวประกายพรึก"

ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกอย่างรุนแรง เพราะมีบรรยากาศหนาทึบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ดาวศุกร์จึงร้อนมาก อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยสูงกว่าดาวพุธ ดาวศุกร์มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกที่สุด ใกล้กว่าดาวพุธ ซึ่งนักดาราศาสตร์ยุคโบราณเข้าใจผิด คิดว่าอยู่ใกล้โลกที่สุด

ลักษณะพิเศษของดาวศุกร์คือ หมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลานานกว่าการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ และถ้าเราอยู่บนดาวศุกร์เวลา 1 วัน จะไม่ยาวเท่ากับเวลาที่ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ นี่คือลักษณะพิเศษที่ดาวศุกร์ไม่เหมือนดาวเคราะห์ดวงใดๆ

นอกจากนี้ดาวศุกร์ยังหมุนตามเข็มนาฬิกา หรือหมุนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ในขณะที่เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์จากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ดาวศุกร์จึงหมุนสวนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่น และหมุนสวนทางกับการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์

ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองรอบละ 243 วัน แต่ 1 วันของดาวศุกร์ยาวนานเท่ากับ 117 วันของโลก เพราะตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกยาวนาน 58.5 วันของโลก ดาวศุกร์เคลื่อนรอบดวงอาทิตย์รอบละ 225 วัน 1 ปีของดาวศุกร์จึงยาวนาน 225 วันของโลก

ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกบนพื้นผิวรุนแรงมาก ทั้งนี้เพราะดาวศุกร์มีก๊าซที่ช่วยดูดกลืนความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้มาก และ มีปริมาณสูง ก๊าซดังกล่าวคือ คาร์บอนไดออกไซด์ นอกจาากนี้ยังมีไอของกรดกำมะถัน ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของซัลเฟอร์ไดออกไซด์กับไอน้ำ บรรยากาศของดาวศุกร์มีอาร์กอน ไนโตรเจน คาร์บอนมอนอกไซด์ นีออน- ไฮโดรคลอไรด์ และไฮโดรฟลูออไรด์ ทำให้ความกดดันบรรยกาศสูงกว่าโลก 90 เท่า

ปรากฏการณ์เรือนกระจกบนพื้นผิวดาวศุกร์ ทำให้ดาวศุกร์ร้อนทั้งกลางวันและกลางคืน ตอนกลางวันอุณหภูมิสูงถึง 477 องศาเซลเซียส บนพื้นผิวดาวศุกร์มีร่องลึกคล้ายทางน้ำไหล แต่เป็นร่องที่เกิดจากการไหลของลาวาภูเขาไฟ ไม่ใช่เกิดจากน้ำอย่างเช่นบนโลก ร่องเหล่านี้ยาวนับร้อยถึงพันกิโลเมตร กว้าง 1-2 กิโลเมตร เช่น ร่องบอลติส วัลลิส (Baltis Vallis) ซึ่งยาว 6,800 กิโลเมตรนับว่ายาวที่สุดในระบบสุริยะ

บนพื้นผิวดาวศุกร์มีซากภูเขาไฟที่สูงชื่อ มาตมอนส์ (Maat Mons) ภาพที่สร้างขึ้นจากข้อมูลเรดาร์ของยานอวกาศแมกเจลแลนจากระยะ 550 กิโลเมตร สูงจากพื้นผิว 1.7 กิโลเมตร แสดงให้เห็นว่ามาตมอนส์เป็นภูเขาไฟที่สูงประมาณ 6 กิโลเมตร ปรากฏการณ์บนฟ้าเกี่ยวกับดาวศุกร์ การปรากฏเป็นเสี้ยวคล้ายดวงจันทร์เมื่อดูผ่านกล้องโทรทรรศน์

เนื่องจากวงโคจรของดาวศุกร์รอบดวงอาทิตย์เล็กกว่าวงโคจรของโลก ทำให้ด้านสว่างของดาวศุกร์ที่หันมาทางโลกมีขนาดเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วงที่อยู่ใกล้โลก จะมีด้านสว่างเพียงเล็กน้อยหันมาทางโลกทำให้เห็นดาวศุกร์เป็นเสี้ยวบางๆ แต่มีความยาวมากกว่าเมื่อดาวศุกร์อยู่ไกล ช่วงที่เห็นดาวศุกร์เป็นเสี้ยงบางๆ นี้เองที่ดาวศุกร์ปรากฎสว่างมากบนฟ้าด้วย

ส่วนเมื่อปรากฎเป็นเสี้ยวน้อยลงหรือเกือบเป็นเต็มดวง ขนาดปรากฏในกล้องโทรทรรศน์จะเล็กลงและสว่างลดลง ปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ เมื่อดาวศุกร์อยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ โดยอยู่บนเส้นตรงที่ต่อระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ แต่คนบนโลกจะเห็นดาวศุกร์เป็นวงกลมดำบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ เรียกว่า ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ (Transit of Venus) เกิดไม่บ่อย เกิดเป็นคู่ห่างกันประมาณ 8 ปี ใน 1 ศตวรรษจะมีเกิด 1 คู่ เช่น

คู่ที่เกิดในคริสต์ศตวรรษที่ 17 คือในปี ค.ศ. 1631 และ 1639 คู่ที่เกิดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 คือในปี ค.ศ. 1761 และ 1769 คู่ที่เกิดในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือในปี ค.ศ. 1874 และ 1882 คู่ที่เกิดในคริสต์ศตวรรษที่ 21 คือในปี ค.ศ. 2004 และ 2012

การสำรวจดาวศุกร์โดยยานอวกาศ ยานอวกาศลำแรกที่ถ่ายภาพเมฆดาวศุกร์ได้ คือยานอวกาศของสหรัฐอเมริกา ชื่อยานมารีเนอร์ 10 เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ยานอวกาศลำแรกที่ได้ถ่ายภาพพื้นผิวดาวศุกร์ได้ คือยานอวกาศเวเนรา 9 ของรัสเซีย ซึ่งลงสัมผัสพื้นผิวของดาวศุกร์เมื่อ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2518 ต่อมามียานอวกาศไปสำรวจดาวศุกร์อีกหลายลำ ลำล่าสุดที่ถ่ายภาพโดยอาศัยระบบเรดาร์ คือยานแมกเจลแลน เมื่อ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2534

เมื่อ พ.ศ. 2170 โจฮันส์ เคปเลอร์ เป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่คำนวณได้ล่วงหน้าว่า จะเกิดปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2174 ต่อมาในปี พ.ศ. 2259 เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ได้คำนวณการเกิดปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ในปี พ.ศ. 2304 และ 2312 พร้อมเสนอว่า สามารถใช้ปรากฏการณ์นี้ในการวัดระยะทาง 1 หน่วยดาราศาสตร์ได้

ที่มา - www4.msu.ac.th

◄ll กลับสู่ด้านบน

ตอนที่ 9 จุไรท่องเที่ยวดาวจามร » 

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top