Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 6/7/08 at 07:44 [ QUOTE ]

การถอดจิตไปดวงดาวต่างๆ (ตอนที่ 10 จุไรท่องเที่ยวดาวเสาร์และดาวสูตู)


« ตอนที่ 9 จุไรท่องเที่ยวดาวจามร

จุไรท่องเที่ยวดาวเสาร์และดาวสูตู


โดย ส.ธ.

ลูกหลานที่รักทุกคน วันนี้ตรงกับวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๐ เป็นวันจันทร์ตอนที่แล้วมาเสียงพูดแหบแห้งเต็มที เพราะเวลาพูดเกิดอาการเสียดท้องมีความร้อนภายใน เสมหะขึ้นบังหลอดลมเกือบจะทนไม่ไหวแต่ก็ต้องทำ

ถ้าลูกรักและหลานรักทุกคนถามว่า “ทำทำไมๆ จึงไม่หยุด” ก็ต้องขอตอบว่าขอบรรดาลูกรัก หลานรักทุกคนจงจำไว้ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

"อนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมัง คะละมุตตะมัง" ท่านบอกว่า บุคคลที่มีการงานไม่คั่งค้างเป็นอุดมมงคล

นั่นก็หมายความว่างานสิ่งใดที่ตั้งใจจะทำ จะมีอุปสรรคใดๆ เกิดขึ้นก็ตาม ถ้าไม่เกินวิสัยจริงๆ ต้องทำให้แล้วเสร็จ ถ้าไปยับยั้งไม่ทำให้แล้วเสร็จต่อไปจะเคยตัวในความขี้เกียจ การงานต่างๆ ที่ทำจำเป็นต้องมีอุปสรรค ในเมื่อมีอุปสรรคเราไม่ต่อต้านอุปสรรคต่อไปเราก็แพ้เรื่อย เป็นคนนี้แพ้ไม่ดี เป็นอัปมงคล

วันนี้ก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ดีมาก ตอนนี้ร่างกายทรุดโทรมมากแล้วก็ป่วยไข้ไม่หาย เรื่องของดวงดาวต่างๆ ก็สงสัยว่าลูกหลานทุกคนคงจะเบื่อ โผล่มาก็ดาวๆ ต่อนี้ไปวันนี้จะลุยดาวให้หมดจะเล่าเรื่องแต่เพียงย่อ เมื่อวันก่อนมาหยุดอยู่ที่ดาวจามร ก็เป็นเรื่องของ จุไร เหมือนกันอย่าลืมว่าทุกอย่างเป็นนิทาน แต่ว่าก็น่าแปลก ทั้งๆ ที่บอกว่าเป็นนิทานบางคนก็คิดว่าเป็นเรื่องจริง มันอาจจะตรงกับเรื่องจริงก็ได้เพราะเป็นการบังเอิญ

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลานี้ จุไร กับแม่ยังไม่กลับบ้านจวนจะออกจากดาวจามรเธอก็ปรารภกับแม่ว่า “คนที่ดาวจามรหรือโลกจามรนี่สวยจริงๆ ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็สวย ทุกคนมีเนื้อขาวเกลี้ยง สีขาวนวล ๆ ไม่ขาวซีด จะเหลืองก็ไม่เหลือง ขาวซีดก็ไม่ซีด ขาวนวล ๆ

ทุกคนเป็นคนเนื้อเต็มไม่ใช่คนอ้วนทึบ กริยาวาจาก็เรียบร้อยหน้าตานิ่มนวลยิ้มแย้มแจ่มใสทุกคน ทุกคนเลิกจากงานแม้จะมีอาการเครียด แต่หน้าตาก็ยิ้มแย้มเหมืนอกันทุกคน (รวมความว่าโลกนี้น่าจะมีความสุข)

ต่อไป จุไร เธอก็กราบเรียนคุณแม่ว่า “ต่อไปนี้จะไปโลกอะไร?”
แม่ก็ตอบว่า “ควรจะย้อนไปโลกเสาร์ หรือที่เรียกกันว่า ดาวพระเสาร์”

“ดาวพระเสาร์” นี่บรรดาลูกรักหลานรักทั้งหลาย เขาเรียกว่า “เทพเจ้าแห่งอันธพาล”เพราะว่าในมนุษยโลกในมหาทักษาท่านบอกว่า “ถ้าบุคคลใดพระเสาร์เข้าแทรก หรือพระเสาร์เสวยอายุบุคคลนั้นจะมีความสุขไม่ได้”

ต่อจากนั้นไปสองแม่ลูกก็ตัดสินใจตรงไปดาวพระเสาร์ ในวันที่พูดดาวพระเสาร์อยู่ตรงกับดาวพระพุธ แต่ดาวพระเสาร์อยู่ทางด้านทิศเหนือ ดาวพระเสาร์อยู่ในมุมอับ รู้สึกว่าดินแดนที่นี้ความสว่างไสวก็น้อยมาก เกือบจะเรียกกันว่า โลกมืด ก็คงจะไม่มืดมาก มากหรือไม่มากสภาพความเป็นทิพย์ของสองแม่ลูกก็เห็นสว่าง

เมื่อเธอทั้งสองลอยมาถึงดาวเสาร์ ก่อนจะเข้าไปถึงจุดดาวพระเสาร์ก็อยู่ไกลๆ ก่อน เพราะการอยู่ไกลมองเห็นได้ชัดแล้วก็มองดูได้รอบตัว จะดูทิศไหนก็ได้ มองไปเบื้องหน้าเห็นเมฆสีดำลอยทมึนอยู่เหนือดาวเสาร์ ต่ำลงมาข้างๆ เป็นเมฆสีขาว แล้วต่อไปด้านหัวด้านท้ายเป็นเมฆมีน้ำฉ่ำ ก็มองเข้าไปถึงดาสพระเสาร์จริงๆ

ดาวพระเสาร์นี่ความจริงไม่มีพระ มีแต่เสาร์ หรือมีแต่ดาวหรือว่าโลกของดาว (โลกของเสาร์) ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะมองลงไปเท่าไรก็ไม่เจอสิ่งมีชีวิต ในข้อนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท ผู้รับฟังจงอย่าเอานิทานไปเทียบกับวิทยาศาสตร์ นิทานย่อมพูดอะไรตามชอบใจอยู่เสมอ คำว่าผิดหรือคำว่าไม่จริงของนิทานไม่มี ถ้าไม่ผิดหรือจริงต้องไม่ใช่นิทาน เป็นสัจจธรรมหรือวิทยาศาสตร์

ก็รวมความว่านิทานมองเห็นสัตว์ไม่มีที่โลกพระเสาร์ มองไปมุมทุกมุมของโลกรู้สึกว่าเป็นแดนอับ เป็นโขดเป็นหินบ้างเป็นที่เรียบบ้างแต่พื้นเขาแกร่งมาก ดูรอบๆ ดาวเสาร์ไม่น่าชม แต่สิ่งที่สะดุดใจมีจุดหนึ่งนั่นคือดาวเสาร์มีแร่ประหลาดมองดูแล้วเห็นความใสคล้ายแก้ว ก็สงสัยว่าแร่ประเภทนี้จะมีประโยชน์อะไร

ทั้งสองแม่ลูกมองมามองไปก็ไม่สามารถจะคลายความสงสัยได้ ทั้งสองคนจึงนึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตร คือพระพุทธเจ้า แต่ความจริงผู้ทรงฌานก็ดี ทรงฌาณก็ตาม ทุกอย่างถ้ามีอะไรสงสัยเข้าต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยกันทุกคนเพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรที่พระองค์ไม่ทรงรู้ ย่อมรู้ทุกอย่าง

เมื่อนึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วความรู้สึกก็เกิดว่า แร่นี้เป็นแร่ที่มีอานุภาพมาก สามารถจะยันดาลสิ่งที่มองไม่เห็นให้เห็นได้ ของที่อยู่ไกลแสนไกลที่ใครไม่สามารถจะเห็นได้ ถ้าได้แร่ประเภทนี้สามารถจะเห็นได้ในแดนไกล

นี้สมมุติว่าฝรั่งมาที่นี่ได้ ถ้าได้แร่นี้ไปเขาจะมีสายตาไกลกว่าเท่าๆ ที่เป็นอยู่แล้วมาก เพราะแร่ประเภทนี้ในโลกชมภูไม่มี โลกอื่นที่ผ่านมาแล้วก็ไม่เหมือนกัน ไปมีจุดเดียวที่โลกเสาร์หรือดาวพระเสาร์ ก็รวมความว่าดาวพระเสาร์ไม่มีอะไรจะชม การชมหินการชมแร่ชมมากๆ ก็รำคาญ

หลักจากนั้นสองแม่ลูกก็ปรึกษากันว่าต่อนี้จะไปดาวดวงไหนดี (วันนี้ลุยดาวว่ากันเรื่องดาวอย่างเดียว ลุยสั้นๆ ตีไม้สั้นกัน) แม่กับลูกทั้งสองก็ปรึกษากันว่าดาวดวงหนึ่งที่เราน่าจะรู้นั่นคือ “ดาวสูตู” ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของโลกมนุษย์หรือโลกชมพู ที่ชาวโลกจามรเขาบอกว่า “โลกนี้หรือดาวดวงนี้เป็นดาวอันธพาล หรือเทพเจ้าแห่งอันธพาล”

คือว่าความอันธพาลต่างๆ ดาวโลกนี้มีคนประเภทอันธพาลมก สองแม่ลูกก็ตั้งใจไปที่นั่นความจริงการตั้งใจไปไหนย่อมถึงที่นั่นทันทีทันใด เพราะกำลังเป็นทิพย์ กำลังเป็นทิพย์นี่ไปเร็วไปช้าตามกำลังของใจ ถ้าใจต้องการเร็วนึกปั๊บก็ถึงปุ๊บ ถ้าใจต้องการไปช้าก็ไปเรื่อยๆ ตามกำลังของใจ ทั้งสองแม่ลูกเห็นว่าดวงดาวดวงนี้อยู่ไกลตั้งใจไปเร็ว ไปแล้วก็ถึง แต่ก่อนที่จะถึงผิวโลกต่างคนต่างก็ยับยั้งมองดูดาวสูตูว่ามีสภาพเป็นอย่างไร

ดาวสูตูจริงๆ ขณะที่อยู่โลกชมภูมองไม่เห็น ไม่เห็นประกายของดาวสูตู มองไม่เห็น ไม่เห็นประกายของดาวสูตูด้วยสายตาเนื้อ แต่ว่าถ้าใช้กล้องอาจจะมองเห็น อาจจะต้องเป็นกล้องดูดาว กล้องดูดาวเขาเป็นอย่างไรสองแม่ลูกก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฟังข่าวว่าเยอรมันดูโลกพระอังคารหรือดาวพระอังคารมาตั้งแต่สองแม่ลูกเป็นเด็กก็สามารถดูเห็น (การมองด้วยตาเปล่านี้จะเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่ทราบเพราะไม่รู้จัก)

โลกนี้ก็อยู่ไกลแสนไกล มองเข้าไปความแพรวพราวของโลกนี้หาได้น้อย มองดูจริงๆ แล้วสองแม่ลูกหญิงก็มีความรู้สึกว่าดาวดวงนี้หนักในด้านของความร้อน แต่ก็ไม่ใช่ร้อนเหมือนด้านหัวของดาวพระศุกร์ แต่อากาศรู้สึกมีการกร้านมากอยู่ แต่คนที่เขาอยู่ที่นี่ที่มีความชินก็ไม่เป็นไร

สองแม่ลูกจึงเคลื่อนตัวลงไปให้ต่ำ ดูรอบๆ ของดวงดาว ดาวดวงนี้จริงๆ เข้าใกล้ก็คือโลก เป็นโลกที่มีสัตว์ เป็นโลกที่มีคนเป็นโลกที่มีแม่น้ำลำคลอง มีทะเล มีมหาสมุทร เป็นโลกที่มีต้นไม้ต้นหญ้า ก็รวมความว่าเป็นโลกที่เหมือนโลกทั้งหมดพรรณาไปก็เหนื่อยเปล่าๆ ฟังแล้วรำคาญ

ต่อมาก็ดูเขตของคนในประเทศนั้นๆ ในดวงดาวนั้นๆ หรือโลกนั้นๆ ก็ปรากฏว่ามีเขตประเทศมาก แต่ละประเทศมีความเจริญหรือความเสื่อมไม่เสมอกัน บางประเทศก็มีความรุ่งเรืองมาก บางประเทศก็มีความเสื่อม โทรมมาก บางประเทศก็เป็นป่ารกชัฎ บางประเทศก็มีการเกษตรหนัก บางประเทศก็หนักในการประมง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกชาวเกาะ พวกชาวเกาะนี่มีความสามารถเป็นพิเศษ มองดูชาวเกาะก็เพลิดเพลินในการหาปลาของเขา การประมงเขาเก่งมาก วิธีการหาปลาประเทศเรานิยมใช้อวนลาก หรืออะไรบ้างก็ไม่ทราบ ใช้โป๊ะใช้อวน อวนตั้งที่บ้าง ใช้ที่ลากบ้าง แล้วก็เรือตังเกของเขา จะอย่างไรก็ไม่ทราบ

แต่ว่าชาวประมงโลกนี้เขาใช้ระบบวิทยาศาสตร์เบาๆ ขณะที่เจอะปลาเข้าเขาใช้ปืนยิงแต่ปืนนั้นไม่มีกระสุนแข็ง เป็นกระสุนแสง เขาเรียกว่าแสงอะไรก็ไม่ทราบ ก็รวมความว่าแสงปืนก็แล้วกัน เป็นแสงเป็นสายยิงไปพอยิงไปกระทบกับน้ำ จะมีรัศมีเรียกว่ากระจายไปกว้างขวางมาก บรรดาปลาที่กระทบกระทั่งกับรังสีเข้าก็จะตาย ตายแล้วก็ไม่จม (ลอย) เขาก็เข้าไปช้อนเอาตามสบาย ก็รู้สึกว่าชาวประมงของเมืองนี้หากินทำบาปแบบง่ายๆ

ก็รวมความว่าวิทยาศาสตร์แบบนี้ยังไม่เคยเห็นมาจากโลกอื่น เข้าใจว่าโลกนี้จะเก่งด้านรังสีมาก ก็ดูต่อไปเข้าถึงแผ่นดินใหญ่ ประเทศใดๆ ที่ยังไม่เจริญก็มีมากที่นักในวิทยาศาสตร์ก็มีมาก จิตรใจก็นึกว่า “จอมสูตู” อยู่ที่ไหน นั่นหมายความว่าประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ชาวจามรเขาบอกว่า “สูตูเป็นจอมอันธพาล” มียานพาหนะพิเศษสามารถไปโลกมนุษย์ได้ (อยากจะรู้)

ในเมื่อจิตอยากจะรู้ตามกำลังของจิตไม่มีใครต้องบอก ไม่มีใครต้องนำ สภาพกายที่เบาก็เลื่อนไปสู่ประเทศนั้นทันที (ไปลอยอยู่เบื้องบน) มองดูคนที่นั่นไม่นารักเหมือนในโลกพระศุกร์ หรือโลกจามร ชาวสูตูนี้มีรูปร่างเหมือนแขก ผู้ชายค่อนข้างสูงผิวดำแล้วเกร็ง ไม่ใช่เนื้อเต็มเหมือนชาวโลกจามร หรือโลกพระศุกร์หน้าเหี้ยมๆ แสดงถึงค่อนข้างจะมีอารมณ์ดุร้าย

สำหรับผู้หญิงก็ผิวคล้ายกัน ร่างท้วมๆ นิดๆ ไม่อ้วนมาก มีเนื้อมากกว่าผู้ชายนิดหน่อย สภาพของอาหารในประเทศนี้รู้สึกว่าชอบของดิบๆ กินผักก็กินผักดิบๆ ไม่ค่อยจะนิยมของสุก ปลาก็ชอบปลาพล่า หมูพล่า เนื้อพล่ามากกว่าของสุก ดูอาหารในสำรับของที่ทำสุกด้วยไฟหายากเต็มที แต่อาหารประเภทที่สุกด้วยส้มก็ดี หรือน้ำอย่างอื่นก็ดีมีมาก มิเช่นนั้นก็เป็นพล่าเป็นยำไปเลยก็คิดไปอีกทีว่าชาวโลกนี้มีความเป็นอยู่สะดวกอาศัยไฟน้อย

ในเมื่ออาหารที่เป็นกับข้าวมีแล้วก็ดูข้าว อาหารที่กินเป็นข้าวมองแล้วไม่ใช่ข้าว มองแล้วเป็นถั่วดิบ มีถั่วคล้ายๆ สภาพถั่วฝักยาวบ้าง คล้ายๆ ถั่วแปปบ้าง เป็นต้น (เขากินถั่วกัน) แต่ว่าข้าวก็มีเหมือนกัน ข้าวสุกเขาก็มีแต่รู้สึกว่าเฉพาะประเทศนี้จะนิยมข้าวสุกน้อย กินผักดิบๆ มากกว่ากินกับกับ โดยมากกินกับเนื้อพล่า ปลาพล่า ปลายำ มีกับข้าวอีกอย่างหนึ่งคือเนื้อเค็ม เขาหั่นจากเนื้อดิบๆ ปลาเค็มจากปลาดิบๆ ก็นำมากิน (สงสัยว่าเขาจะทำให้หมดความคาวแล้ว)

มองไปอีกทีสองแม่ลูกมีความรู้สึกว่าคนโลกนี้ขากรรไกรแข็ง ฟันก็แข็งของเหนียวๆ กัดได้สะดวก อย่างนี้ถ้าอยู่โลกชมภูคงจะกัดหิน กัดจอบ กัดเสียมได้แบบสบายๆ เรื่องอาการการบริโภคปล่อยไป เครื่องแต่งกายของคนโลกนี้ก็เหมือนแขก

ผู้หญิงก็มีผ้าห่มคลุมจนถึงส้นแต่ก็บาง ผู้ชายก็นุ่งกางเกงๆ ของเขาดูเหมือนจะไม่เหมือนกางเกงของเรา เป็นผ้าเนื้อเล่นรีบๆ เหมือนคล้ายๆ กางเกงที่นิยมใช้ตามธรรมดา แต่ปลายขากางเกงบานๆ คลุมเท้าทั้งหมด ก็ไม่ทราบความหมายไม่มีความจำเป็นต้องอธิบาย

ต่อไปก็เข้าไปดูในระบบวิทยาศาสตร์ไปดูแล้วระบบวิทยาศาสตร์ประเทศนี้เจริญมากไม่แพ้จามร สิ่งต่างๆ ที่เขาทำเรื่องวิทยาศาสตร์นี่ก็ไม่อยากอธิบายไม่รู้จักชื่อ ดูคราวเดียวแพรวพราวไปหมดการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแบบง่ายๆ สิ่งที่อยากจะดูคือยานอวกาศ ที่เขาเรียกว่ายานอวกาศเป็นความจริงเพียงใด เมื่อใจนึกก็ไปถึง

ยานอวกาศลำแรกที่เข้าไปถึงก็มีความแปลกใจ แต่ละโลกทำอะไรไม่ค่อยจะเหมือนกัน ลำแรกมีสภาพคล้ายเรือสำเภาก็คล้าย คล้ายเรือต่อที่เขาบรรทุกข้าวก็คล้าย คือหัวปุ้มปู้แต่มีสภาพยาวคล้ายเรือสำเภา มีเสากระโดงสูง ๓ เสา มีสภาพเหมือนมีใบแต่ไม่ใช่ใบมันเป็นโลหะ

เมื่อพิจารณาไปแล้วใจก็นึกว่า ใบนี่เขาใช้ทำอะไร แต่ปรากฏว่าทราบตามกำลังใจและอาศัยกำลังพระช่วยว่า ใบนี่ก็คือสื่อการติดต่อเหมือนกับเสาอากาศเขาจะดูได้ทั้งภาพและฟังดูได้ทั้งเสียงดูอากาศต่างๆ ความเป็นมา ๓ เสาด้วยกัน

ว่าถึงเรื่องอวกาศ หรืออุตุนิยมวิทยาเสียเสาหนึ่ง
ว่าถึงภาพเสียเสาหนึ่ง
ว่าถึงเสียงเสียเสาหนึ่ง


ไปดูสายของเขาไม่โยงเกะกะมีคล้ายๆ ทำเป็นตุ่มๆ ออกมาจากเสาและขอบๆ ของใบ เขาถือว่าเป็นสื่อติดต่อ

แต่คำว่า “ใบ”นี้ไม่ใช่ว่าสูงเหมือนเรือใบธรรมดา ไม่ใช่เหมือนเรือสำเภาเป็นใบขึ้นพ้นจากพื้นของเรือไม่เกิน ๒ เมตร ใบก็เป็นแผงไม่โต ยานอวกาศลำนี้ใหญ่มาก เข้าไปแล้วมีที่นั่งที่นอนสบายเต็มไปด้วยรังสี มีอาวุธ อยากจะดูอาวุธที่พวกจามรบอกว่ามนุษย์ก็ดี ยานพาหนะก็ดี ที่สูญหายไปในโลกชมภูเจ้าพวกนี้เป็นคนจัดการ อยากจะดูอาวุธของเขานั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้เดินไปก็พบสภาพต่างๆ

ก็รวมความว่าอาวุธของเขาก็ไม่มีกระสุนปืน มีสภาพคล้าย ๆ กับลำกล้องแต่ลำกล้องก็ไม่ยาว และมีสภาพเหมือนกับปุ่มกด (ปุ่มจิ้มน่ะ จิ้มเบาๆ) เป็นสีต่างๆ กัน ก็มีความเข้าใจว่าอาวุธนี้คงจะใช้ได้หลายแบบหลายอย่าง

ก็รวมความว่าชมไปแล้วยานอวกาศก็มีหลายรูปแบบ เมืองนี้ก็ไม่อยากจะชมมากเพราะว่าเป็นเมืองที่มีแต่ความแกร่ง มองไปทางไหนไม่มีความสุขใจเลย มองดูคนก็หาความชื่นใจไม่ได้ หน้านิ่วคิ้วขมวดบึ้งตึง ทำท่าเหมือนดุอยู่เสมอ ทั้งผู้ชายผู้หญิงก็หาทางยิ้มยาก อากาศก็ไม่ค่อยสดชื่นเหมือนโลกพระศุกร์หรือโลกจามรอย่างนี้เรียกว่า “โลกสูตู”

จุไร จึงชวนคุณแม่บอกว่า “ไปจากที่นี่ดีกว่าโลกนี้ไม่มีความสุข”

คุณแม่ก็บอกว่า “ก่อนที่จะไปเราควรจะพบใครสักคนหนึ่งดีกว่าไหม”
จุไร ก็บอกว่า “เขาดุขนาดนั้นจะคุยกับเขาได้อย่างไร”
คุณแม่ก็บอกว่า “ในเมื่อเราเป็นคนมาจากที่อื่นเหมือนแขก ๆ ผู้มาบ้านเขาเราไม่ใช่ศัตรูก็คิดว่าคงจะคุยกันได้ ถ้ากำลังใจของเขาเครียดเกินไปเราก็นึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคงจะช่วยเราได้เราต้องเชื่อบารมีของพระพุทธเจ้า”

ฉะนั้นสองแม่ลูกจึงลงไปในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีคนยืนอยู่เป็นกลุ่ม แล้วในที่นั้นก็มีผู้ชายเหมือนแขกแต่งตัวสวยกว่าทุกคน ยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาบริษัทของเขา เขากำลังให้โอวาท หลังจากเขาเสร็จจากการให้โอวาท หรือสั่งการก็ไม่ทราบเขาก็ไปนั่งที่พักตามลำพังคนเดียวในห้อง

ในห้องของเขารู้สึกมีเครื่องทำความเย็น ๆ มาก มีเครื่องทำแสงสว่างมาก อุปกรณ์จับภาพจับเสียงมีเยอะ สิ่งที่อยู่ต่างๆ ในโลกภายนอกปรากฏในจอภาพของเขา เขาตั้งไว้เฉพาะจุดต่างๆ ที่เป็นโลกแต่ละจุด

รวมความว่าโลกต่างๆ ไม่เป็นความลับสำหรับเขา การเคลื่อนย้ายต่างๆ อยู่ ในจอนั้นหมดมีภาพปรากฏเสียงก็ปรากฏ มีเจ้าหน้าที่ประจำแต่ละจอๆ และจุดกลางจอเป็นจอใหญ่แบ่งเขต หมายความว่าภาพทุกๆ จอจะเข้ามาอยู่ในจอใหญ่เป็นจุดๆ ผู้อำนวยการหรือผู้บังคับบัญชาผู้ใหญ่สามารถจะรู้อะไรได้ทันทีทันใดโดยที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ต้องรายงานเขาเห็นภาพได้เลย (ไม่ต้องรอรายงานอย่างเดียวรู้ทั้งภาพ รู้ทั้งเสียง รู้จักการเคลื่อนไหวทั้งหมด)

เมื่อเห็นเขาสบายแล้วแม่กับลูกก็เข้าไป เขาเห็นสองแม่ลูกเขาก็แปลกใจ เพราะเธอสองคนแสดงร่างกายเป็นมนุษย์ธรรมดา แม่ตัวใหญ่ลูกตัวเล็ก แม่มีผิวขาวนวลหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสผิวเนื้อเต็มๆ ค่อนข้างท้วม ลูกสาวมีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่ตัวเล็กมีหัวจุก

พอเข้าไปแขกผู้ใหญ่ก็มองหน้าถามว่า “เธอมาจากไหน?”
คุณแม่ของ จุไร ก็ตอบว่า “ฉันมาจากโลกชมพู”
เขาก็ถามว่า “โลกชมพูอยู่ที่ไหน”
คุณแม่ จุไร ก็บอกว่า “อยู่ทางด้านทิศนี้ ถ้าอยู่ที่โลกของท่านมองไปโลกสีชมพู แล้วจะอยู่ทางด้านทิศตะวันตก”

เขาก็ชี้ไปที่จอภาพว่า “นี่ใช่ไหม?”
คุณแม่ จุไร ก็มองดู ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่งที่เห็นภาพวัดพระแก้ว เห็นภาพพระบรมมหาราชวัง เธอก็ตอบว่า “ใช่” โลกนี้ แล้วก็ฉันอยู่ที่ประเทศนี้”
ชายคนนั้นก็ยิ้ม เขาบอกว่า “เขาสนใจประเทศนี้ แล้วก็สนใจหลายๆ ประเทศ”

คุณแม่จุไร ก็ถามเขา บอกว่า “จากที่นี่ไปโลกชมพูใช้เวลาเท่าไร?”
เขาก็ตอบว่า “ถ้าเวลาของโลกชมภู จากที่นี้ไปโลกชมพู เวลาของโลกชมพูบอกว่า ๑๗ ชั่วโมง”
คุณแม่ของ จุไร ถามว่า “ยานอวกาศของท่านเคยสังหารเครื่องบิน เคยสังหารเรือรบในโลกชมพูบ้างไหม?”

เขายิ้มแล้วก็ตอบว่า “เจตนาเพื่อสังหารไม่เคยมี เพราะโลกชมพูไม่ได้เป็นศัตรูกับโลกสูตู แต่ก็มีบางกรณีเท่านั้นที่พิสูจน์อาวุธเป็นการทดลอง อย่างเห็นเหล็กโปร่งลอยน้ำมา

คำว่า “เหล็กโปร่ง” คือเรือรบ ก็ลองยิงอาวุธไปแป๊บเดียวก็ละลาย หรือบางครั้งเห็นเหล็กโปร่งลอยมาในอากาศ ลองยิงอาวุธไปเหล็กโปร่งนั้นก็ละลาย เราทำการพิสูจน์เพียงเท่านี้ไม่เคยรบกับใคร” (ก็รวมความว่าความเป็นผู้ใจร้ายแสนโหดปรากฏแล้วกับชาวโลกสูตู)

เอาละบรรดาลูกรักทั้งหลาย มองดูเวลาหมดเสียแล้ว สำหรับตอนนี้ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ลูกรัก หลานรักทุกคน สวัสดี



ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์



เทพเจ้าประจำดาวเสาร์ คือ เทพเจ้าแห่งเกษตรกรรม
วงโคจร : 1,429,400,000 ก.ม. (9.54 AU ) จากดวงอาทิตย์
เส้นผ่านศูนย์กลาง : 120,536 ก.ม. (เส้นศูนย์สูตร)
มวลสาร : 5.68 x 10 26 ก. ก.


ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีความสวยงาม จากวงแหวนที่ล้อมรอบ เมื่อดูในกล้องโทรทรรศน์จะเห็นวงแหวน ซึ่งทำให้ดาวเสาร์มีลักษณะแปลกกว่าดาวดวงอื่นๆ ดาวเสาร์มีองค์ประกอบคล้ายดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะห์ก๊าซที่มีลมพายุพัดแรงความเร็วถึง 1,125 ไมล์ต่อชั่วโมง มีขนาดใหญ่รองจากดาวพฤหัสบดี ถ้านับวงแหวนเข้าไปด้วย จะมีขนาดเท่าดาวพฤหัสบดี

ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีความหนาแน่นน้อยที่สุด กล่าวคือมีความหนาแน่นเพียง 0.7 กรัมต่อลูกบาศก์ เซนติเมตร ซึ่งน้อยกว่าความหนาแน่นของน้ำ ดังนั้นหากมีน้ำจำนวนมากรองรับ ดาวเสาร์ก็จะลอยน้ำได้ เนื่องจากดาวเสาร์อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 2 เท่าของระยะดาวพฤหัสบดีจากดวงอาทิตย์ จึงใช้เวลานานเกือบ 30 ปีในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ แต่ดาวเสาร์หมุนรอบตัวเองเร็วมาก จึงทำให้โป่งออกทางด้านข้างมากกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่น สามารถสังเกตได้แม้ในภาพถ่ายขนาดเล็ก

วงแหวนของดาวเสาร์เป็นก้อนหินและน้ำแข็งสกปรก กล่าวคือ น้ำแข็งช่วยยึดฝุ่นและก้อนหินสกปรกเข้าด้วยกัน ก้อนน้ำแข็งสกปรกมีขนาดต่างๆ กัน และมีเป็นจำนวนมาก น้ำแข็งสะท้อนแสงดวงอาทิตย์ได้ดี เราจึงเห็นวงแหวนชัดเจน วงแหวนบางมาก และประกอบด้วยวงแหวนจำนวนหลายพันวง แต่สังเกตได้จากโลกเห็นเป็นชั้นๆ ชั้นนอกสุด เรียกว่า วงแหวน A วงสว่างที่สุดอยู่ใกล้ดาวเสาร์เรียกว่า วงแหวน B ช่องว่างระหว่างวงแหวนทั้งสองนี้เรียกว่า ช่องแคสสินี (Cassini Division)

ซึ่งตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลิ Giovani Cassini ซึ่งพบวงแหวนนี้เป็นคนแรกในปี 1675 ภายในวงแหวน B มีวงแหวนที่ไม่สว่างชื่อวงแหวน C ภาพจากการถ่ายของยานไพโอเนียร์และวอยาเจอร์แสดงให้เห็นว่า มีวงแหวนมากกว่าสามวง คือมีวงแหวน D ซึ่งมองเห็นเลือนๆ นอกจากนี้ยังมีวงแหวนชั้นนอกที่มีลักษณะแคบๆ เรียกว่าวงแหวน F และวงแหวน G ด้านหลังของวงแหวนทั้งสองนี้เป็นวงแหวนขนาดกว้าง แต่มีความเลือนคือ วงแหวน E วงแหวนทั้งหมดจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 375,000 ไมล์

วงแหวนแต่ละวงบางมากเมื่อเทียบกับความกว้าง เปรียจประดุจดังแผ่นกระดาษ ดังนั้นเมื่อด้านข้างของวงแหวนหันมาทางโลก เราจึงมองไม่เห็นวงแหวนของดาวเสาร์ วงแหวนดาวเสาร์เอียงจากระนาบทางโคจรของดาวเสาร์รอบดวงอาทิตย์เป็นมุม 27 องศา เมื่อดูจากโลกจึงเห็นวงแหวนไม่เหมือนกันในแต่ละตำแหน่ง ถ้าวงแหวนหันด้านข้างมาทางโลกเราจะมองไม่เห็นวงแหวนเลย แต่จะเห็นเป็นเส้นสีดำพาดผ่านดาวเสาร์

ยานอวกาศวอยเอเจอร์ 1 และวอยเอเจอร์ 2 ที่ผ่านเฉียดดาวเสาร์พบว่า วงแหวนของดาวเสาร์ด้านที่ได้รับแสงแดดมีอุณหภูมิ -180 องศาเซลเซียส ส่วนด้านมืดอุณหภูมิต่ำกว่านี้เป็น -200 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำขนาดนี้น้ำแข็งจะไม่ระเหยหรือกลายเป็นไอเลย วงแหวนที่เห็นจากโลกเป็น 3 ชั้นนั้น แท้ที่จริงประกอบด้วยวงแหวนเล็กๆ จำนวนเป็นล้านๆ วง วงแหวนก่อรูปร่างอย่างไรและเมื่อไร?

วงแหวน C และ B ได้ก่อตัวเมื่อดาวเสาร์หรือดาวเคราะห์อื่นๆ ในระบบสุริยะเริ่มเกิดขึ้น ดาวเคราะห์ก่อตัวด้วยแก๊ซและอนุภาคที่ลอยในอวกาศ วงแหวนอาจก่อตัวโดยอนุภาคน้ำแข็งที่ตกค้าง วงแหวน A อาจเป็นเศษที่เหลือของดาวบริวารที่เป็นน้ำแข็งของดาวเสาร์ ประมาณ 10 ล้านปีมาแล้ว ดวงจันทร์อาจแตกแยกออกจากกัน ชิ้นส่วนทั้งหมดของดวงจันทร์อาจกระจัดกระจายเป็นวงแหวนกว้าง ในขณะที่มันหมุนรอบดาวเคราะห์

ก่อนปี 1980 มีคนคิดว่าดาวเสาร์มีดาวบริวารสิบดวง หลังจากนั้นยานวอยาเจอร์ ได้พบดาวบริวารเพิ่มขึ้นอีกหลายดวง ปัจจุบันเราคิดว่าดาวเสาร์มีดาวบริวารอื่นๆ นอกเหนือจากดาวบริวารเหล่านี้ ดาวบริวารชั้นในประกอบขึ้นด้วยน้ำแข็ง และบางดวงก็ประกอบด้วยหิน มันปกคลุมด้วยหินและรอยแตกดาวบริวารชั้นในบางดวงมีการหมุนที่ผิดปกติ

ดาวบริวารที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ ดาว Inner Shepherd และดาว Outer Shepherd มันจะหมุนรอบแต่ละข้างของวงแหวน F แรงโน้มถ่วงของดาวบริวารมีผลกระทบต่อส่วนของวงแหวน F มันทำให้ลอนบิดเบี้ยวเป็นรูปเกลียวที่ประหลาด มีกลุ่มดาวบริวารชั้นในที่หมุนรอบดาวเสาร์เช่นเดียวกัน บ้างก็หมุนในระยะห่างกัน บ้างก็หมุนใกล้กัน บ้างก็หมุนไปข้างหน้าหรือข้างหลังของดาวอื่น แต่มันไม่ปะทะกัน

ดาวบริวารชั้นนอกดวงแรกของดาวเสาร์ มีชื่อเรียกว่า Titan เป็นดาวบริวารที่ใหญ่เป็นที่สองในระบบสุริยะ ดาว Titan มีชั้นบรรยากาศ มันเป็นสิ่งผิดปกติที่ดาวบริวารถูกล้อมรอบด้วยชั้นของแก๊ซเหมือนกับดาวเคราะห์ ยานวอยาเจอร์ 1 ได้เข้าไปใกล้ดาว Titan เมื่อมันบินผ่านดาวเสาร์ในปี 1980 ภาพที่ถูกส่งกลับมาแสดงให้เห็นว่าถูกปกคลุมด้วยหมอกสีส้ม แต่ไม่สามารถมองเห็นพื้นผิวได้เลย

บรรยากาศประกอบด้วยแก๊ซไนโตรเจนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นแก๊ซที่สำคัญในบรรยากาศของโลก เรามีแก๊ซออกซิเจนในโลกด้วย แต่ดาว Titan ไม่มีแก๊ซเหล่านี้ แต่มันมีแก๊ซมีแทนซึ่งเป็นแก๊ซธรรมชาติที่เราใช้สำหรับการหุงต้มในโลก หมอกเกิดจากการตกผลึกของของแหลวสีส้มในบรรยากาศของดาว Titan ของแหลวที่มีสีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อรังสีจากดวงอาทิตย์กระทบกับแก๊ซ พื้นผิวของดาว Titan มีความเย็นมาก

เป็นที่เข้าใจกันว่าพื้นผิวอาจปกคลุมด้วยมหาสมุทรของมีเทนแหลว หรือหิมะสีน้ำตาลที่ประกอบขึ้นจากมีเทน ภายในดาว Titan ประกอบด้วยน้ำแข็งซึ่งมีแกนเป็นหิน นักดาราศาสตร์ต้องการค้นหาสิ่งต่างๆ ให้มากกว่านี้เกี่ยวกับดาว Titan ยานอวกาศอาจไปถึงที่นั่นในศตวรรษหน้า มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ที่ครั้งหนึ่งโลกของเรามีสภาพคล้ายดาว Titan ถัดจากดาว Titan จะมีบริวารอีกสามดวง

ดาวดวงแรกคือ Hyperion ซึ่งเป็นดาวขนาดเล็กประกอบด้วยน้ำแข็งมีรูปร่างคล้ายถั่ว ดาว Hyperion อาจเป็นซากที่เหลือของดาวบริวารดวงใหญ่ที่แตกกระจายออกมา ถัดจากดาว Hyperion คือดาว Iapetus ดาวบริวารประหลาดดวงนี้จะมืดในด้านหนึ่งและสว่างอีกด้านหนึ่ง โดยสีที่เกิดจากหินซึ่งมาจากภายในดาว ดาวบริวารที่อยู่ชั้นนอกที่สุดเรียกว่า Phoebe มันจะหมุนไปรอบๆ Phoebe อาจจะเป็นดาวเคราะห์น้อยซึ่งถูกดึงดูดโดยแรงโน้มถ่วงของดาวเสาร์

ที่มา - www4.msu.ac.th


ตอนที่ 11 จุไรท่องเที่ยวดาวกุรุและดาวสิปปัง » 

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top