Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 3/7/08 at 18:12 [ QUOTE ]

การถอดจิตไปดวงดาวต่างๆ (ตอนที่ 11 จุไรท่องเที่ยวดาวกุรุและดาวสิปปัง)


<< ตอนที่ 10 จุไรท่องเที่ยวดาวเสาร์และดาวสูตู

จุไรท่องเที่ยวดาวกุรุและดาวสิปปัง


โดย ส.ธ.


ลูกหลานที่รัก ว..นนี้ก็มาฟังนิทานเรื่องของ "จุไร" กันใหม่ สำหรับวันนี้หรือตอนนี้ก็ถือว่าจะเป็นการลุยเรื่องดาวกันให้หมดไป ความจริงดาวไม่หมดแต่ก็จะหยุดคุยเรื่องดาว เราจะคุยกันอีก ๒ ดาว

หลังจากแม่และลูกสองคนออกจาก "ดาวสูตู" แล้ว ทั้งสองคนก็ตรงแน่วไป ดาวกุรุ “ดาวกุรุ” นี่ท่านเรียกว่า “อุตรกุรุ” คำว่า “อุตร” คือเหนือ “กุรุ” ท่านแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบ

รวมความว่าดาวกุรุนี่อยู่ด้านเหนือของโลกชมพู ถ้าจะดูทิศทางกันจริงๆ ระยะห่างก็ไม่ไกลจากโลกชมพูไปดวงจันทร์เท่าไรนัก แต่ว่าทิศทางเยื้องๆ กันไป ดวงจันทร์เยื้องไปทางด้านทิศเหนือ (เฉียงเหนือ) แต่ว่าดาวอุตรกุรุนี่อยู่เหนือจริงๆ ไปทางด้านทิศเหนือของโลกชมพู คือโลกที่เราอยู่ ดาวดวงนี้เป็นดาวที่มีความศิวิไลซ์มาก เป็นดินแดนของบุคคลผู้มีบุญ

"อุตรกุรุ” แปลว่า "โลกกุรุ" อยู่ทางทิศเหนือของโลกมนุษย์คือโลกที่เราอยู่ ถ้าถามว่าทางจะไปไกลไหม ถ้าเทียบระยะกันจริงๆ จากโลกที่เราอยู่นี้ไปโลกพระอังคารกับโลกเรา ไปโลกกุรุระยะทางพอกัน แต่ว่าอยู่กันคนละทิศ อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ไม่ถึงแต่โลกนี้ก็มีความสว่างไสวทั่วโลก เพราะมีแก้วมณีทั่วโลก จะไปที่ไหนก็ตามมีภูเขา แก้วมณีตลอดไป แก้วมณีทำแสงสว่างให้เกิด

รวมความว่า โลกนี้ถ้าเราจะเรียกว่าโลกแก้วมณีคงจะไม่ผิด แต่อย่าเรียกกันเลยนะ จะเป็นการแปลงศัพท์ (วันนี้ก็ชักจะเสียงไม่ดีอีกแล้ว คอไม่ดี) โลกนี้มองดูอีกทีมีความสวยสดงดงามมาก คนทุกคนก็แลดูสวย แล้วคนทุกคนมีแก้วมณีติดตัว แสงสว่างจากแก้วมณีเหมือนรัศมีเป็นประกายออกจากร่างกาย

หญิงและชายทั้งหมดแลดูสวยงาม ร่างผู้หญิงเป็นร่างพื้นผิวขาวนวล หรือค่อนข้างเหลืองหน่อย ๆ หน้ากลม ๆ มีรูปไข่นิด ๆ ผมสลวย ตาสวย แล้วก็หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เต็มไปด้วยความสุข

ผู้ชายก็มีความสุภาพราบเรียบ เรียกว่าเป็นบุรุษชั้นดี เรียก “สุภาพบุรุษ” มองไปที่ไหนไม่เห็นมีใครถืออาวุธ มีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน จะดูพื้นฐานของโลกมีลำน้ำ มีต้นไม้ มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นข้าวเต็มไปหมด และข้าวที่เขาจะนำมาบริโภคก็ไม่ต้องซ้อกมไม่ต้องสี ไม่ต้องดำ นำมาทั้ง ๆ ที่เป็นข้าวสารจากต้น

เมล็ดข้าวก็รู้สึกจะใหญ่กว่าเมล็ดข้าวของเรานิดหน่อย เป็นเมล็ดข้าวสีสวยเนื้อนุ่มรับประทานอร่อย ท่านโชติกเศรษฐี ซึ่งมีบุญมากจนกระทั่งบ้านของตัวเองมนุษย์ก็ไม่สามารถจะสร้างให้ได้ ต้องพระอินทร์สร้าง กำแพง ๗ ชั้น ก็เป็นกำแพงแก้ว ๗ ประการ ประตูแต่ละประตูก็มีเทวดายืนยาม (เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช) อำนาจของพระอินทร์สั่ง

ท่านโชติกเศรษฐี ต่อมาก็เป็นพระอรหันต์ เป็น พระโชติกเถระ เป็นคนมีบุญมากก็เลยรวมความว่าโลกนี้มีแต่ความสวยสดงดงาม หาสิ่งที่สุดุดตาสะดุดใจในด้านไม่ดีไม่ได้เลย ก็รวมความว่า มีดีทุกมุมของโลก ถ้าจะไปดูอาหาร คือการบริโภคปรากฏว่าชาวโลกนี้หุงข้าวเป็นอย่างเดียว ทำกับข้าวกินไม่เป็น

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเวลาจะหุงข้าวกิน ก็นำเมล็ดข้าวสารที่นำมาจากต้น แต่ความจริงเขาก็นำมาสำรองไว้นิดหน่อย ไม่ต้องมียุ้ง ไม่ต้องมีฉางอย่างโลกของเรา เพราะว่า ต้นข้าวใกล้บ้านเต็มไปหมด ต้องการเมื่อไรก็ไปเด็ดเมล็ดข้าวเอามารับประทานกัน

วิธีเด็ดขอดูของเขาหน่อย เขาทำอย่างไร เขาเกี่ยวข้าวเป็นรวงมาเป็นกำมือแล้วก็เคาะกับขัน หรือว่าเคาะกับโตก โตกก็ดีขันก็ดี เป็นทองคำที่ประดับประดาลวดลายเต็มไปด้วยแก้วมณีมีแสงสว่างสวยมาก เขาเคาะเบา ๆ เมล็ดข้าวสารก็หล่นก็ไม่มีเปลือกติดมา หลังจากนั้นก็นำมาบ้าน นำหม้อทองคำ โอ้โฮ บ้านนี้เมืองนี้มีทองคำเป็นภาชนะใช้ นำหม้อทองทำมีฝาปิดสวยก็เหมือน ๆ กับหม้อบ้านเรา

แต่ก็สวยงามมากประดับประดาสวยสดงดงาม เอาไปวางบนแก้วมณี เอาข้าวสารใส่ เอาน้ำใส่ แล้วก็ปิดฝา หลังจากนั้นแก้วมณีก็ทำหน้าที่เหมือนไฟฟ้า (เหมือนกับหม้อไฟฟ้าบ้านเรา) ทำการหุงข้าวให้สุก เมื่อสุกแล้วก็ระงับความร้อน การร้อนมากหมดไปเหลือแต่ไออุ่น ทำให้ข้าวมีความอุ่นอยู่เสมอ เจ้าของผู้บริโภคจะมารับบริโภคเมื่อไร เปิดขึ้นมาเมื่อไรก็มีไอน้ำปรากฏขึ้น หมายความว่า ข้าวยังร้อนอยู่

เมื่อตักข้าวใส่จาน ก็นำภาชนะเปล่า ๆ มาวางข้างหน้า ต้องการรับประเภทใด นึกด้วยกำลังใจ กับประเภทนั้นก็ปรากฏในจาน กับข้าวก็เหมือนกับกับข้าวบ้านเรากับใครปรุงดีแล้ว ถ้าจะถามว่าแลงอะไรบ้างก็จ้าจะไม่ต้องถาม มันเป็นกับข้าวตามใจชอบของเขา แล้วเขาก็บริโภค ร่างกายคนในโลกกุรุก็เหมือนกับร่างกายคนธรรมดา แต่ว่าอาการป่วยไข้ไม่สบายอย่างเราเขาอาจจะมีบ้าง ก็คงมีน้อยเต็มที ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะชาวกุรุเป็นคนที่มีบุญมาก

ก็รวมความว่าคนที่มีเศษบาปติดอยู่ที่จะเป็นเหตุให้ต้องป่วยไข้ไม่สบายก็ดีของหายก็ดี ว่ายากสอนยากก็ดี แล้วก็พูดไม่รู้ประสาคนก็ดี เป็นคนโรคเส้นประสาทเป็นโรคบ้าโรค ปวดศีรษะก็ดี ไม่มีในโลกกุรุ รวมความว่าโลกกุรุเป็นโลกที่มีความสุขสบายมาก

ฉะนั้นอาหารการบริโภคจึงเกิดตามใจเขาถ้าจะถามว่า “ชาวโลกกุรุเขาดีกว่าโลกชมพูอย่างไร” ก็ต้องตอบว่า “สิ่งแวดล้อมทั้งหมดดีกว่าโลกชมพูมาก” ประการแรก เราจะไม่พบโรงพยาบาล เขาไม่มีหมอ ไม่มีโรงพยาบาล และคนที่แก่จริง ๆ ก็มองไม่เห็น คนทุกคนมองดูแล้วเต็มไปด้วยความเป็นคนหนุ่มคนสาว มีร่างกายพริ้งเพรามีความคล่องตัว อาการทุพพลภาพทางกายไม่ปรากฏในสายตาที่มองเห็น

สองแม่ลูกก็แปลกใจต่างก็มีความสงสัยว่าชาวกุรุก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไม จึงหาคนแก่หง่อมไม่ได้ จะพบคนแก่หง่อมจริง ๆ ถ้าจะเทียบกับคนทีอยู่ในโลกชมพูหรือโลกของเรานี้ ก็จะเหมือนกับคนที่อายุ ๒๘ ปีเป็นอย่างมาก (คนแก่ที่สุดของเขาขนาดนั้น) จะไปดูคนป่วย ๆ ก็มีบ้างแต่รู้สึกว่าป่วยเล็กน้อย

อาการป่วยของเขาแค่เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ลุกขึ้นมาบิดไปบิดมากประเดี๋ยวหนึ่งเขาก็ไปได้ ทั้งสองคนก็มีการแปลกใจว่า คนโลกกุรุทำบุญฯอะไรมา จึงตั้งใจนึกถึงองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะเปลื้องความสงสัยของสองแม่ลูกเอง เมื่อนึกถึงพระพุทธเจ้าอารมณ์ใจก็เกิด ความรู้สึกที่เกิดด้วยปัญญา ก็ทราบด้วยกำลังญาณที่กล้า ญาณนี่เกิดจากกำลังญาณที่มาได้เพราะอาศัยญาณ (ญาณและญาณประจำใจอยู่แล้ว)

เมื่อนึกถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว บารมีของพระพุทธเจ้าก็เข้าท่วมใจ หรือเข้าประทับใจ เวลานั้นก็มีความรู้สึกทางใจทันที เห็นภาพในอดีตของชาวกุรุว่า คนชาวกุรุนั้น ในสมัยที่เกิดในโลกชมพู (แต่ความจริงเขาก็เป็นคนโลกชมพูเหมือนกัน) ทุกคนมีความมุ่งมั่นในการบำเพ็ญบุญบารมี

๑.ทานบารมี ของเขาไม่เคยขาด จิตใจของเขาหนักในจาคานุสสติกรรมฐาน แล้วก็หนักในพรหมวิหาร ๔ ข้อ คือ
๑.มีเมตตา ความรัก
๒.กรุณา ความสงสาร
๓.มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร ยินดีกับความดีของคนอื่น
๔.อุเบกขา วางเฉยเห็นใครเพลี่ยงพล้ำไม่ซ้ำเติม ไม่ทำให้ใครมีทุกข์ จิตคิดอย่างเดียวว่าเราเป็นที่รักของคนทั้งหลาย แล้วคนทั้งหลายก็เป็นที่รัสำหรับเรา ทั้งคนและสัตว์เรารักหมด


ฉะนั้นชาวกุรุเกิดมาจึงเป็นคนมีรูปร่างหน้าตาสละสลวยหมดจดด้วยกันทุกคน การมีรูปร่างอัปลักษณ์ไม่มีในชาวกุรุประการที่หนึ่ง
ประการที่ ๒ โรคภัยไข้เจ็บไม่มี (หายาก)
ประการที่ ๓ ร่างกายถูกทรมานด้วยทุกขเวทนาหายาก เพราะทรงศีลข้อที่ ๑ มีเมตตากรุณาเป็นเหตุ ทรัพย์สมบัติของชาวกุรุไม่ต้องการระวัง คือไม่มีใครมาลักขโมย ทุกคนอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน ทรัพย์สินในโลกนี้ความจริงไม่จำเป็นต้องหา

สิ่งที่มีความจำเป็นต้องหาจริง ๆ อย่างเดียวคือเม็ดข้าว เมล็ดข้าวก็หาไม่ไกลหาติด ๆ กับบ้าน ข้าวที่ถูกเกี่ยวไปตายแล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ทันกินทันใช้ แล้วก็มีดื่นดาษมาก ความจริงกินเท่าไรใช้เท่าไรก็ไม่หมด อันนี้เขามีความสุขเรื่องทรัพย์สิน ความต้องการในสิ่งต่าง ๆไม่มี ขนาดเอาทองคำมาทำหม้อข้าว เอาทองคำมาทำจานข้าว เอาทองคำมาทำกระโถน ก็น่าสงสัยว่า ในส้วมโถส้วมเขาทำด้วยทองคำหรือเปล่าอันนี้สงสัยไม่ได้เข้าไปดู ก็มีความรู้สึกว่าโลกนี้อาจะใช้โถส้วมทองคำก็ได้เพราะอะไร

เพราะว่าเขาเป็นทองคำเหมือนกับดินเหนียว สิ่งที่เขามีความต้องการอย่างเดียวก็คือแก้วมณี แก้วมณีก็ไม่ต้องไปหาจากที่ใด ข้าง ๆ บ้านเกลี่ยนกลาดไป ภูเขาลูกใหญ่ ภูเขาลูกเล็กเป็นภูเขาแกวมณี เกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นก็หมายความว่า ภูเขาทั้งหมดในโลกนี้เกือบจะเป็นแก้วมณี ใกล้ หมู่บ้านทั้งหมดก็มีภูเขาใหญ่บ้างเล็กบ้าง ภูเขาก็ส่องแสง ให้ความสว่าง

ต้องการแก้วมณีก้อนเล็ก ๆ ก็ไปหยิบมาตามใจชอบเหมือนกับเศษหิน คนโลกนี้มีบุญที่ไม่จนเพราะมี จาคานุสสติกรรมฐาน ตั้งใจคิดจะให้อยู่เสมอในสมัยที่เป็นชาวโลกชมพู โอกาสมีก็ให้ ให้อภัยแก่ชีวิตสัตว์ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักทรัพย์ของใคร ไม่ทำชู้ลูกเขาเมียใคร ไม่พูดวาจามุสาวาท ไม่พูดส่อเสียดไม่พูดคำหยาบ ไม่พูด วาจาไร้ประโยชน์ และก็ไม่ดื่มสุราเมรัย

กำลังใจเต็มไปด้วยความเมตตาปราณี คิดจะพิฆาตเช่นฆ่าใครไม่มี กำลังใจพร้อมไปด้วยความกรุณา คือความสงสารอยากให้เสมอ รักษากำลังใจตรงกับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่กำลังจิตของบรรดาลูกและแม่ทั้งสองคน เมื่อคิดถึงพระพุทธเจ้า กำลังใจก็เกิดขึ้นตามนี้

ก็รวมความว่า กำลังใจที่คิดนี้เป็นกำลังใจจากบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสงเคราะห์ เมื่อชมโลกกุรุแล้ว (เหลือเวลาอีก ๑๒ นาที) ก็ขอย้ายจากโลกนี้ไปโลกอีกโลกหนึ่ง คือโลกนี้เป็นโลกอาบังเหมือนกัน เป็นโลกแขก แต่แขกแปลก เป็นแขกที่มีแต่ความชอบความสวยสดงดงาม ไม่ใจเหี้ยมเหมือนแขกสูตู โลกนี้ถ้าวัดจากโลกกุรุมาโลกชมพูจะต้องเดินทาง ๒ เที่ยว ไปเที่ยวมาเที่ยวหนึ่งจึงจะพอดีกับโลกกุรุไปโลกสิบปัง

โลกนี้เรียกว่า โลกสิปปัง “สิปปัง” ท่านอธิบายว่า “ศิลปะ” (เสียงไปอีกแล้ว) รวมความว่า สองแม่ลูกออกจากโลกกุรุตรงไปโลกสิปปังซึ่งเป็นดาวดวงใหญ่ เห็นจากโลกกุรุไกลแสนไกล ก็อยู่ในมุมมืดเหมือนกัน แต่อาศัยกำลังใจที่เป็นทิพย์สามารถมองเห็นได้ แต่คำว่า “มืด” ในที่นี้ไม่ใช่มืดตื๋อ มีสภาพเหมือนเวลากลางคืน

แต่ถ้าเราอยู่ในที่ห้องปิดประตูหน้าต่าง ๆ ทำด้วยไม้ ปิดทั้งหมดมีสภาพมืดขนาดนั้น ท่านทั้งหลายที่ฟังก็ดีอ่านก็ดี ถ้าไม่แน่ใจว่ามืดหรือสว่างขนาดไหน ถ้าบ้านของท่านมีประตูหน้าต่างทำด้วยไม้ลองปิดดูให้หมด จะปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรามองเห็น แต่มันไม่สว่างเหมือนกับเปิดประตูหน้าต่างเท่านั้นเอง คนในโลกนี้นิยม "แก้ว"

ก็ปรากฏว่าโลกนี้ก็มีแก้วเหมือนกัน แก้วที่ทำให้โลกนี้สว่างก็คือภูเขาแก้วมณี มีเป็นจุด ๆ มีเป็นหย่อม ๆ ไม่หนาแน่นเหมือนโลกกุรุ แต่ว่าแสงสว่างของแก้วมณีสาดถึงกัน โลกทั้งโลกนี้จึงมีสภาพเหมือนกับกลางวันแต่ก็มีแสงไม่แก่กล้า ไม่มีความร้อนเหมือนกับแสงพระอาทิตย์ มีความสุข มีความเยือกเย็นสบาย (ลืมบอกไปว่า "โลกกุรุ" มีแต่ความเยือกเย็น ร้อนรุ่มกลุ้มใจไม่มี ร้อนกายก็ไม่มี)

ก็รวมความว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความสุขสำราญ มาโลกสิปปังนี้ก็เช่นเดียวกันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสุข ครั้นไปดูอาหารโลกนี้ต้องทำอาหารกิน นั้นคือต้องปลูกข้าว แต่พืชพันธุ์ธัญญาหาร เช่น แตงก็ดี ผักหญ้าก็ดี เขามีเต็มหมด ก็มีข้าวเท่านั้น ที่บรรดามนุษย์ทั้งหลายต้องทำ ต้องสร้าง ต้องปลูก

แต่การปลูกของเขาปลูกไม่มากเหมือนประเทศไทย ประเทศลาว ประเทศเจ๊ก ประเทศฝรั่ง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะปลูกแล้วไม่รู้จะไปขายใคร ทำไว้แค่พอกิน ถ้าเผอิญข้าวขาดไปผลไม้ก็พอ เยอะแยะดื่นดาษไปหมด ดูแล้วโลกนี้ช่างมีความสุข

ครั้นไปดูร่างกายของมนุษย์ในโลกนี้ ก็ปรากฏว่ามนุษย์โลกนี้มีรูปร่างเหมือนแขก แต่เป็นแขกที่มีเนื้อ สองสี จะขาวก็ไม่ใช่ ดำก็ไม่เชิง แดงก็ไม่สนิทนักรวมความว่ามีผิวดำแดงแกมขาว มีทรวดทรงดีเนื้อเต็มค่อนข้างผอมชะลูด เป็นประเภทเพรียว ผู้ชายก็เหมือนกัน ผู้หญิงก็เหมือนกัน หน้าตาไม่เหี้ยมเหมือนกับชาวโลกสูตู ชาวโลกสูตูหน้าแกร่งมาก หน้าเหี้ยมหน้าดุ แต่โลกนี้เต็มไปด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน

ไปดูเครื่องแต่งกาย บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย หรือลูกหลานที่รัก มองเครื่องแต่งกายของเขาแล้วก็ตกใจที่ว่าตกใจเพราะอะไร เพราะว่า พวกนี้หนักกว่าโลกกุรุมาก เครื่องแต่งกายของเขาเป็นแก้ว จะพูดว่าเป็นแก้วล้วนก็ไม่ผิดเหมือนกัน

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเสื้อผ้าของเขา เขามีเสื้อ เขามีผ้าเป็นพื้นฐานรองรับ แต่ประดับประดาไปด้วยแก้วและเพชรนิลจินดา ร่างกายทั้งหมดเต็มแพรวพราวไปด้วยแก้วมีเพชรนิลจินดาประดับ (น่าสงสัยเหมือนกัน) ด้านหน้าก็มีแก้ว ด้านข้างก็เป็นแก้ว ด้านหลังก็แก้ว ๆ คือเพชร บางรายก็มีสีต่าง ๆ อีตอนที่แกนั่งตูดแกนั่งทับแก้วนะ แกเจ็บหรือไม่เจ็บก็ไม่ทราบ อย่างนี้ต้องพิสูจน์ดู หรือว่าเวลาที่แกนั่งแกอาจจะแก้กางเกงออกให้เลยตูดไปก็ได้

ก็รวมความว่า กางเกงทั้งตัวเต็มไปด้วยแก้วมณีบ้าง เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาบ้าง แพรวพราวไปหมด ขอดูต่ำก่อน มาดูรองเท้า ทั้งชายทั้งหญิงประดับเพชรในด้านศิลปะต่าง ๆ มีสวดลายต่าง ๆ กัน น่ารักน่าชมมาก สำหรับผู้หญิงนุ่งผ้าคล้าย ๆ กระโปรงแต่ไม่ใช่กระโปรงเขาเรียกอะไรก็ไม่ทราบ ตอนบนลีบ ๆ ตอนปลายบาน ๆ เห็นผู้หญิงเขานุ่งเหมือนกันในโลกของเรา แต่จำไม่ได้เรียกชื่อกับเขาไม่ถูก

แต่ว่าผ้าทั้งผืนก็ประดับประดาเหมือนกับผู้ชายเหมือนกัน แต่มีสีแตกต่างกันไป แพรวพราวผู้หญิงชอบสวย ผู้หญิงนอกจากผ้ามีเพชรเต็ม รองเท้ามีเพชรเต็ม ข้อเท้าเขาก็มีกำไล บางรายก็มีกำไลกลม ๆ บางรายก็มีกำไลแบน ๆ เป็นปื้นใหญ่ ประดับประดาเพชรสีสันวรรณะต่างกัน ขึ้นมาดูที่นิ้วไม่ต้องว่ากัน เว้นไว้แต่นิ้วเท้านั้นที่ไม่มีแหวน ความจริงแกน่าจะใส่นิ้วเท้าด้วย

แต่ความจริงสวมรองเท้าแล้วก็ไม่ต้องใส่แหวน ก็ได้ เพราะรองเท้าเป็นเพชรประดับ นิ้วแพรวพราวไปด้วยแก้วมณี และก็เพชรพลอย ข้อมือของผู้หญิงเต็มไปหมด ปื้นใหญ่ บางคนก็หลายเส้น บางคนก็เส้นเดียว แต่เส้นใหญ่ประดับประดา ดูตามตัวก็แพรวพราวเป็นระยับเช่นเดียวกัน ครั้นมาดูที่คอ ก็เหมือนกัน ผู้หญิงมีต่างหู

แต่น่าเสียดาที่คานจมูกน่าจะมีตุ้มหูด้วย ที่คานจมูกไม่ยักมี น่าจะมีแหวนใส่ หนังตาแกก็ไม่ได้เลี่ยมทอง เลี่ยมแก้วมณี (น่าเสียดาย) บนหัวไม่ต้องพูดถึง ประดับประดาใหญ่ ผู้ชายใช้เหมือนกับแผ่นใบลานตั้ง ๆ รอบหัวประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดา ผู้หญิงก็มีหลากหลาย ตั้งบ้าง ทรงเรียบ เหมือนกับมงกุฏบ้าง ทำหลายแบบ หลายแผ่น

ก็รวมความว่าเมืองนี้ประดับประดาแพรวพราวไปหมด เมื่อสองแม่ลูกมองดูแล้วก็งงว่า คนเมืองนี้อยากจะทราบว่าใครสวย เพราะทุกคนรูปร่างหน้าตาก็สวยมีความยิ้มแย้มแจ่มในดี คนยิ้มมากสวยมาก ยิ้มน้อยสวยน้อย แต่ทว่าเครื่องประดับไม่มี

ใครแพ้ใคร ถ้าประกวดความงามด้วยร่างกาย อาจจะเฉียดกันบ้างเฉือนกันบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ว่าเครื่องประดับทางกายแล้วไม่มีใครแพ้ใครแน่ กำลังเขาดี นึกถึงองค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า คนโลกนี้กับโลกกุรุใครมีบุญมากกว่ากัน ก็ทราบจากกำลังญาณว่า โลกนี้มีบุญน้อยกว่าชาวโลกกุรุ เพราะว่า

๑.ข้าวก็ต้องปลูก
๒.กับข้าวก็ต้องหา
(ประกอบด้วยข้าว)

ก็รวมความว่าโลกนี้มีบุญก็จริงแหล่ แต่ทว่าสู้โลกกุรุไม่ได้ เอาละบรรดาทั้งหลาย หลานรักทุกคน พูดกันมาทั้งสองรายการนี่มันแย่จริง ๆ คอก็เจ็บ ท้องก็ร้อน ร่างกายก็ซวน เรื่องดวงดาวต่าง ๆ จริง ๆ แล้วพูดกันไปสัก ๓๐ ปีมันก็ไม่จบ เพราะดาวในโลกนี้มีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวกุรุดาวเดียวเราจะคุยถึงความเป็นมาของดาวกุรุสักหนึ่งปีก็ไม่จบ

ก็รวมความว่า เวลานี้มองดูนาฬิกาเหลือเวลาไม่ถึง ๑ นาที ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ของความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาลูกหลานที่รัก สวัสดี



ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์



เทพเจ้าประจำดวงจันทร์คือ เทพเจ้าแห่งเมืองบาดาล
วงโคจร : 5,913,520,000 ก.ม. (39.5 หน่วยดาราศาสตร์ ) จากดวงอาทิตย์ (โดยเฉลี่ย)
เส้นผ่านศูนย์กลาง : 2274 ก.ม.
มวล : 1.27 คูณด้วย x 10 22 ก. ก.


เมื่อมีการค้นพบดาวเนปจูน ได้ประมาณขนาดและการหมุนรอบของมัน แต่ผลที่ออกมาไม่ได้เป็นไปตามที่คาดคิด ผลที่ได้ไม่สามารถอธิบายการหมุนที่ผิดปกติของดาวยูเรนัส บางทีอาจมีดาวเคราะห์อีกดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูน บางทีอาจเป็นแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ดวงนี้ดึงดูดดาวยูเรนัส ได้มีการเริ่มค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่เก้าในระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ถูกค้นพบในปี 1930 ชาวอเมริกันชื่อ Clyde Tombaugh ได้ถ่ายภาพของมันบนท้องฟ้า ดาวเคราะห์ดวงนี้มีชื่อว่าดาวพูลโต สามารถมองเห็นได้โดยการใช้กล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่เท่านั้น

เวลาส่วนใหญ่แล้วดาวพูลโตจะเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด ในระหว่างการหมุนบางช่วงจะใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าดาวเนปจูน และอยู่ห่างไกลที่สุดในปี 1999 ดาวพูลโตเป็นดาวขนาดเล็ก โดยมีขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ และยังเล็กกว่าดวงจันทร์ของโลก บนดาวมีความหนาวเย็นมากและอาจไม่มีชั้นบรรยากาศ พื้นผิวของมันอาจปกคลุมด้วยน้ำแข็งหรือก๊าซของแข็ง เราคิดว่าดาวพูลโตประกอบขึ้นด้วยน้ำแข็งโดยมีแกนเป็นหิน ลักษณะอาจจะเหมือนดาวบริวารของดาวยูเรนัส บางทีครั้งหนึ่ง ดาวพูลโตอาจเคยเป็นดาวบริวารของดาวเนปจูนซึ่งหนีการหมุนรอบดาวเนปจูน

ดาวพูลโตมีดาวบริวาร 1 ดวงชื่อดาว Charon ซึ่งพบโดยการดูด้วยกล้องโทรทัศน์ในปี 1978 ดาว Charon มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 725 ไมล์ ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของเส้นผ่าศูนย์กลางของดาวพูลโต ดาว Charon หมุนรอบดาวพูลโต โดยมีระยะทางห่างจากดางพูลโต 12,125 ไมล์ มันใช้เวลาหมุนรอบดาวพูลโต เท่ากับการหมุนรอบตัวเองของดาวพูลโต ดังนั้นถ้าหากเราอยู่บนดาวพูลโตเราจะมองไม่เห็นดาว Charon ปรากฏบนท้องฟ้า

ที่มา - www4.msu.ac.th

ตอนที่ 12 >> จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top