Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 3/7/08 at 18:14 [ QUOTE ]

การถอดจิตไปดวงดาวต่างๆ (จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ ตอนจบ)


« ตอนที่ 11 จุไรท่องเที่ยวดาวกุรุและดาวสิปปัง

จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ


โดย ส.ธ.

คำปรารภพิเศษ


คุณสุทธิชาติ รัตนสุวรรณ มาบอกเจ้าหน้าที่ธัมมวิโมกข์ว่า น่าจะเอาเรื่องของจุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ จากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๑.๑๒ มาลงเป็นเล่มเดียวกัน ในหนังสือจุไรท่องเที่ยวดวงดาวต่าง ๆ ท่านบอกไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ ก็เห็นว่าความคิดของท่านดี เพิ่งมีโอกาสได้จัดทำในปีนี้ จึงได้จัดพิมพ์ต้นฉบับใหม่ และรวบรวมให้ตามความประสงค์ของ คุณสุทธิชาติแล้ว แต่นำมาเฉพาะ เล่มที่ ๑๒ เท่านั้น

เมื่อพิมพ์ต้นฉบับเสร็จแล้ว ปรากฏว่ามีท้ายเรื่องบางตอนหน้าว่างมาก ก็อยากจะลงภาพประกอบเรื่อง แต่ว่าวาดภาพไม่เป็น ฉะนั้น ถ้าหากท่านใดอ่านเรื่องดาวหลุมดำแล้วมีจินตนาการไปตามเรื่อง ที่จุไร เล่ามา ขอได้โปรดเขียนภาพส่งไปยังเจ้าหน้าที่ธัมมวิโมกข์ ถ้าหากนำลงแล้ว จะมีรางวัลให้พอสมควร

คณะธัมมวิโมกข์
๒๐ ก .พ. ๒๕๔๑




โปรด "คลิก" ตอนต่อไป...

•
จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ ตอนที่ 1 ll►
• จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ ตอนที่ 2 ll►
• จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ ตอนที่ 3 ll►
• จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ ตอนที่ 4 ll►
• จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ ตอนที่ 5 ll►
• จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ ตอนที่ 6 (ตอนจบ) ll►
• ความเห็นตามหลักวิชาการ ll►



จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ

(ตอนที่ ๑)


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกนี้เป็น วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๓๓ ที่บอกวันเดือนปีไว้ก็เพราะว่า จะได้ทราบว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้ มันเป็นเรื่องของความสับสนของสมอง แต่ก็เป็นเรื่องความจริงใจของบุคคลพวกหนึ่ง ที่บอกกว่า ท่านคณะจิตวิทยา

สำหรับคณะจิตวิทยานี้ ใช้จิตเป็นกำลังงาน ทำงานด้วยกำลังของจิต จิตมีสภาพรวดเร็วและไปได้ทุกแห่ง แม้แต่ในที่ปิดบังลี้ลับ ก็สามารถจะไปได้ เรื่องนี้ไม่ขออธิบาย ขืนอธิบายก็เฟ้อ รวมความว่า วันนี้จะคุยกันเรื่องดาวหลุมดำ

คำว่า ดาวหลุมดำ ความเป็นมาก็เป็นอย่างนี้ ผู้พูดหรือผู้เขียนเองก็ไม่ทราบมาก่อน เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๓ เดิน ทางเข้าไปกรุงเทพฯไปแวะที่บ้าน ท่าน พล.อ.อ. อาทร โรจนวิภาต อดีตรองเสนาธิการทหารแห่งกองบัญชาการทหารสูงสุด

ในตอนหนึ่งท่านคุยให้ฟังว่า เวลานี้ฝรั่งเขากำลังสนใจ เรื่องถุงดำ คำว่า "ถุงดำ" ก็หมายความว่าเป็นดวงดาวดวงหนึ่งในอากาศ มีสภาพเป็นถุง บรรดาดาวทั้งหลาย เข้าไปดูใกล้ มันก็ดูดเข้าไป ก็หายเข้าไปเลย เมื่อท่านพูดอย่างนี้ ความรู้สึกเวลานั้นก็มีความรู้สึกว่า ผิวของดวงดาวดวงนี้ ด้านหน้ากร้านมาก แล้วก็มีความร้อนพอสมควร ไม่ใช่มีความร้อนอย่างแสงอาทิตย์คือเรียกว่าร้อน

ถ้าหากว่าสัตว์ที่มีชีวิต สามารถทนความร้อนนั้นได้ ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริง ๆ ความร้อนด้านหน้าของดวงดาวดวงนี้ ถ้าจะเทียบกับตะวันออกกลางนิดหน่อย ร้อนกว่าไม่เกิน ๑๐ องศาเซนติเกรด เทียบกับตะวันออกกลางนะ เอาเฉพาะอย่างยิ่ง อียิปต์ ก็แล้วกัน จะร้อนกว่าอียิปต์ไม่เกิน ๑๐ องศาเซนติเกรด ก็เรียกว่าพอทนกันได้

ต่อมาเมื่อเดินทางไปถึงที่ซอยสายลม บ้านท่าน พล.อ.ท.ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ผู้พูดเองก็ป่วย รอรับการให้น้ำเกลือจากแพทย์ เวลานั้นก็มีแพทย์ คือมี หมอมนตรี นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ค่อยได้แล้วนะ อ้อ.. หมอมนตรี อมรพิเชษฐ์กูล นี่ พรนุช คืนคงดี เขาจดไว้ให้ มีหมอมนตรี มาคอยก่อน และต่อมาก็มีหมอแสงโสม คือ พญ.แสงโสม ปิรยะวราภรณ์ มา

ต่อมาก็มี นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ ผู้สามี ของ พญ. แสงโสม มา คือแสงโสมนี่ผู้พูดไม่ค่อยถนัด มักจะเรียกว่า อิ๋งๆ เป็นอันว่า หมอที่รักษาตัวอยู่จริง ๆ ก็คือ นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ พญ. แสงโสม ปิรยะวราภรณ์ ภรรยา และนพ.ชนะ สิริยานนท์ สำหรับหมอจรูญกับแสงโสมนี่ เป็นหมอประจำ ให้ยาเป็นปกติ

หมอชนะนี่เรียกว่า "หมอญี่ปุ่น" ไปเรียนญี่ปุ่นมา ตอนหลังไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น นี่เป็นหมอ คอ จมูก หู ลูกตาด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ กับท่าน นพ.วัฒนะ หิตะดิลก สองคนนี้เป็นลูกศิษย์อาจารย์กันหมายความว่า เป็นหมอที่ศิริราชเหมือนกัน แต่ฝ่ายคอ จมูก หู สำหรับ นพ.มนตรีนี่ เดิมประจำอยู่ที่ปากคลองสาน คงจะทราบว่าเป็นหมอชนิดไหน แต่เวลานี่มาอยู่ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา

รวมความว่า ถ้าใครคิดว่าผู้พูดหรือผู้เขียนจะบ้าก็ไม่เป็นไร เพราะมีหมอบ้าประจำอยู่แล้ว หมอรักษาบ้านะไม่ใช่หมอบ้านะ แล้วก็ พญ.พงศ์ภารดี (ปุ๊) เจาฑะเกษตริน คนนี้ตามปกติเป็นหมอนวด แต่ไม่ใช่นวดด้วยมือ เขาเป็นแพทย์ เป็นหมอดมยาเหมือนกัน เช่นเดียวกับหมอแสงโสม แต่ว่าใช้เข็มนวด คือเข็มจิ้ม เป็นหมอฝังเข็ม อาตมาเลยใช้สมญาว่า "หมอนวด"

เพราะว่าปวดเมื่อยที่ไหน ถ้าหมอคนนี้มาปักเข็มให้ เป็นหายทันที ใช้เวลาไม่เกิน ๒๐ นาที แล้วก็มี พ.ต.นพพร กับพญ.เตือนใจ กลั่นสุภา นครสวรรค์ นี่เป็นกองทหารนครสวรรค์อีก ๒ คน ประจำ แล้วก็มีหมอโอ๋ คำว่า หมอโอ๋ นี่ อาตมาเรียก หมอโอ๋ แต่ชื่อจริง อ. บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์ เป็นคนขับรถให้ และก็เป็นหมอยาไทย

ทีนี้ในเมื่อไปพลหมอมนตรีกับหมอทุกคนแล้ว ก็เป็นอันว่าสำหรับหมอหมอนี่คนขนยามามากที่สุดก็คือหมอวัฒนะ แต่อาตมาชอบเรียกว่า "ญี่ปุ่น" ก็เป็นอันว่ายาอะไรขาดก็ตาม หมอวัฒนะก็ขนมา หมอคนอื่นก็เอามาให้ แต่หมอวัฒนะขนมากหน่อย เมื่อพบหมอมนตรี ก็คุยกันถึงเรื่องเจ้าถุงดำในอากาศ หมอมนตรีก็อธิบายตามลักษณะที่ว่ามา ที่ท่านพล.อ.อาทรพูดมาเหมือนกัน

หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจ ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๓ ฟันมาเป็นหนองที่รากฟัน หมอเตือนใจรักษามานาน ทำมาเกือบ ๑๐ เที่ยว เขาค่อย ๆ ขูด ค่อย ๆ ดูดเอาหนอง ค่อย ๆ แคะเอาหนองออก ความจริงผู้พูดอยากจะให้เขาถอนทิ้งไป เพราะของไม่ดีไม่อยากได้ แต่หมอบอกว่า เสียดายฟัน ถ้าเกินวิสัยจริง ๆ จึงจะถอนทิ้ง นี่เป็นลีลาของหมอ

เพราะปกติเป็นอย่างนั้น หมอต้องรักษาของเดิมไว้ให้ได้ แต่เจ้าของของไม่อยากจะเก็บไว้ เราะมันปวด หมอเตือนใจทำให้เกือบ ๑๐ เที่ยว เธอนั่งรถหมอโอ๋มา และทุกสิ่งทุกอย่าง หมอก็ออกทั้งหมด โอ๋ออกเองทั้งหมด ผู้พูด หรือผู้บันทึก หรือผู้เขียนไม่ได้ออกสตางค์เลย

ก็เป็นอันว่า สำหรับแพทย์ฟันก็มีหมอจำนูน อีกคนหนึ่ง หมอจำนูนนี่ก็สำคัญมาก ช่วยเหลือมาในกาลก่อน เวลานี้ยังเป็นปกติ และยกขบวนมาช่วยบรรดาฟันเด็ก และฟันคนแก่คนหนุ่ม คนสาวก็ตาม ยกมาครั้งหนึ่งก็ฟรีทุกอย่าง ฟรีเหมือนกัน นอกจากฟรี หมอที่มาสงเคราะห์คณะผู้พูดมากนี่

คนฟุ้งนี่นะ โดยมากเขาไม่รักษาเฉย ๆ เขาให้สตางค์ด้วยก็เลยเอา หมอประเภทนี้ชอบและก็ชอบมาก ความจริงหมอที่ช่วยเหลือนั้นมีมาก ตั้งแต่เริ่มต้น พล.อ.ต. นพ.โกศล มณีจักร แล้วก็ต่อมา พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน ท่านก็การรักษาเรื่อยมาก หลายระยะ มามากด้วยกันหลายคน เยอะ

ก็รวมความว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พูดมากไปแล้ว หมดเวลาไปตั้ง ๑๐ นาที เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๓ ขณะที่หมอเตือนใจกำลังขูดฟันอยู่ ดูดเอาหนอง ขณะที่เขาขูดฟันอยู่เขาดูดหนอง ก็มีความรู้สึกว่า ขึ้นชื่อว่าความตาย มันเป้นของหาไม่ยาก ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง บางคนก็ตามด้วยเหตุที่ไม่ควรจะตาย แตะนิดต้องหน่อยก็ตาย ถึงวาระมันมา

เวลานี้การทำฟันดูดหนองมันปวด มันเสียว ดีไม่ดีระบบประสาทอาจจะตัดชีวิตของเราก็ได้ ก็คิดขึ้นมาในใจว่า ขึ้นชื่อว่าชีวิตมันต้องตาย จะตายเวลานี้ก็ตายจะตายเวลาอื่นก็ตาย ทำท่าเก่งไปอย่างนั้นเอง ความจริงแล้ว กลัวตาย แต่ในเมื่อคิดว่า เวลานี้ถ้ามันจะตาย เราก็ไปก่อน ร่างกายตายทีหลังเราจะไปก่อน

ก็รวบรวมกำลังใจจับ "อานาปานุสสติ" กับ "อุปสมานุสสติกรรมฐาน" คำว่า "อุปสมานุสสติ" นั้นหมายถึง นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ จะไปนิพพาน ได้หรือไม่ได้ เราก็ไป อย่างคนอยากไปนิพพาน ในเมื่อเราเป็นคนอยาก เมื่ออยากหนัก ๆ เข้า มันก็ต้องถึงเอง ไม่ละความอยาก

ใครเขาจะบอกว่า ความอยากเป็นกิเลส ก็เป็นเรื่องของเขา กิเลสของเขา เป็นธรรมะของเรา เราอยากไปนิพพาน แต่บรรดานักเทศน์ ท่านเทศน์บอกว่า การอยากไปนิพพาน ถือว่าเป็นธรรมฉันทะ คือมีความพอใจในธรรม ไม่ใช่กิเลส คนฟังแล้วก็ถึงกันเอง ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง

นี่คนพูด คนเขียน พูดตามความพอใจของตนเอง ไปรอคนอื่นไม่ได้ รอคนอื่นมันไม่ได้พูดไม่ได้เขียน ขณะที่รวบรวมกำลังใจ เวลานั้นจิตก็ตกวูบ เข้าสู่อารมณ์สงัด จิตมีอารมณ์เยือกเย็น เห็นท่านผู้มีคุณมากมาย แพรวพราว เป็นระยับก็ปรากฏล้อมอยู่ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอกยังไม่ตาม คุณ ยังไม่ตาย

ก็บอกท่านว่า จะตายหรือไม่ตายก็ไม่ทราบขอไปที่อยู่ก่อน ท่านก็บอก ตามใจ เรื่องของคนขี้ขลาด ขัดคอไม่ได้ อยากไปก็เชิญไปเถิด ก็เป็นอันว่า ท่านจะเชิญหรือไม่เชิญ ผู้พูดก็ไปแล้วนึกแว๊บเดียว แวะไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ ประเดี๋ยวเดียว กาบท่านบอกว่าเดี๋ยว ขอไปบ้านพักหนึ่ง หมอกำลังทำฟัน แม่ท่านก็บอกว่า ทำไมขลาดแบบนี้ล่ะ ก็เลยบอกท่านว่า คนที่อยากไปนิพพานเป็นคนขี้ขลาดหรือท่านก็เลยบอกว่า

ไอ้เรื่องปากแข็งเถียงเก่ง เป็นเรื่องของคุณ ไป ๆๆ ไปไหนก็ได้..ไปเถิด ไปได้ ถ้าอยู่ที่นี่เดี๋ยวก็ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา หมอเขาทำเสร็จไม่ได้ไปนิพพาน แล้วท่านพ่อก็ถาม จะไปนิพพานหรือ ก็บอก เปล่า ใจมันอยากไปนิพพานแต่ว่าจริง ๆ มันจะไปได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทราบก็ช่างหัวมัน แล้วท่านถามว่าจะไปไหน ก็บอกกับท่าน บอกว่าจะไปบ้าน ถ้าเจอะบ้านเขาสร้างไว้ที่ไหน จะไปที่นั่น ท่านก็ยิ้ม ท่านก็เลยบอกว่า

ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วย ชวนแม่เขาด้วยซิ ก็เลยยกมือไหว้แม่ท่าน แม่ท่านบอกว่า เอ้า ถ้าอย่างนั้น แม่ก็ไปด้วย ในเมื่อไปถึง ก็มีบ้านอยู่ ๓ หลัง แพรวพราวเป็นระยับ มีกำแพง แก้วผสมทอง ไม่อธิบายละ มันสวยก็แล้วกัน เข้าไปนั่ง ก็คิดในใจ ก็บอกท่านพ่อท่านแม่ บอกว่า เวลานี้ฉันอยากนั่งคนเดียว ให้อารมณ์มีความสงัด คำว่า สงัดไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย มันคิดเฉพาะนิพพานอย่างเดียว ตัดทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติไม่คิด อย่างนี้เรียกว่า สงัด สงัดจากกิเลส เฉพาะอารมณ์เวลานี้

ท่านก็บอกว่า ถ้าเป็นความประสงค์ของคุณ คุณนั่งตรงนี้ บ้านหลังนี้นะ พ่อท่านบอกว่า พ่อก็จะไปนั่งที่โน่น ที่แทนแก้วของสระ ท่านก็เรียกแม่ บอกมาด้วยกันเถิดแล้วปล่อยเขาลูกชายคนนี้นิสัยเป็นอย่างไรแม่เลี้ยงมาก็ย่อมรู้อยู่แล้ว ท่านแม่ก็เลยบอกว่า แค่นี้แหละ เด็กก็แค่นั้นแหละ หนุ่มก็แค่นั้นแหละ แก่ก็แค่นั้นแหละ ลีลาไม่ต่างจากเดิม นั่งตามสบายนะจ๊ะ แม่จะไปละ แล้วแม่ท่านก็ไป พอแม่ไปประเดี๋ยวเดียว สักอึดใจ ไม่ถึงดี คนแก่ไป สองแก่ พ่อก็แก่ แม่ก็แก่ ความจริง แก่ตามลักษณะที่เราเรียกกันนะ แต่ที่จริงท่านไม่แก่

ทีนี้มากลุ่มสาว ๆ มาหนักกว่านั้น กว่า ๑๐ คน แต่งตัวแพรวกพราวเป็นระยับมาถึง ต้องไม่รีรอ ไม่ต้องขออนุญาต ย่องเข้ามาเลย ถึงปั๊บ นั่งบนที่นั่ง ก็เลยบอกว่านี้เป็นผู้หญิง บ้านนี้ไม่รับผู้หญิงนะจ๊ะ เธอที่เป็นหัวหน้าก็บอกว่า ถ้าไม่รับผู้หญิงก็ไม่เป็นไร พวกฉันไม่ใช่ผู้หญิง ก็ถามว่าเธอเป็นกะเทยหรือ เธอก็ตอบว่า ฉันไม่ใช่กะเทย ถามว่า เป็นบัณเฑาะก์หรือ

บัณเฑาะก์มันมีสองเพศ ทั้งเพศผู้หญิง และเพศผู้ชาย เธอก็บอกว่าไม่ใช่ ก็ถามว่าเป็นผู้ชายหรือ เธอก็บอกว่าว่าไม่ใช่ ถามว่าเป็นอะไร เธอตอบว่า คนพวกฉัน ทั้งหมดที่มา ไม่มีอะไรเป็นเพศ ไม่มีทั้งผู้หญิง ไม่มีทั้งผู้ชาย ไม่มีทั้งกะเทย ไม่มีทั้งบัณเฑาะก์ ไม่มีทั้งหมด ก็เลยถามเธอว่า ถ้าเธอไม่เป็นกะเทย อย่างนี้เขาเรียก "กะทุย" ใช่ไหม

เธอหันมายิ้มถาม "กะทุย" เป็นอย่างไร ก็เปรียบเทียบให้ฟัง บอก เหมือนกับควาย ควายเขามันกางออก เขาเรียกเจ้ากาง ถ้าเขาลอมเข้ามา เขาเรียกว่า ลอม ถ้าหลุบลงข้างล่าง เขาใช้อะไรไม่ได้ เขาเรียก "ทุย" พวกเธอก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรจะใช้เลย เรื่องเพศ ก็เรียกเป็นพวกกะทุยก็แล้วกัน

เธอก็ตอบว่าช่างเป็นไร เรียกอย่างไรก็ช่าง ร่างของฉันไม่เปลี่ยนก็จบ เมื่อขณะนั่งคุยกันประเดี๋ยวหนึ่ง เธอก็ถามว่า เห็นพรหมโลกไหม มองลงต่ำ ก็มองลงดูตามเธอ เห็นพรหมโลก เธอถามต่อไปว่า เห็นสวรรค์ไหม ก็มองลงต่ำลงไป ก็เห็นสวรรค์ หลังจากนั้นเธอถามว่า เห็นจักรวาลต่าง ๆ ไหม ที่เรียกกันว่า จักรวาลมนุษย์ มีมนุษย์อยู่ แต่มีอยู่ไม่ทุกจุด มองลงมาเกลื่อนกลาดไปหมด เหมือนกับผลส้มลอยเกลื่อนกลาดไปหมด เหมือนกับผลส้มลอยเกลื่อนในอากาศ

ถ้านับ ก็คงจะนับได้ แต่ไม่กล้านับ ไม่มีเวลาจะนับ มันมากเหลือเกิน ลอยห่างกันไปบ้าง ใกล้กันบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอก็ชี้ให้ดูว่า จุดเล็ก ๆ จุดโน้นไกลสุดลงไป มันเป็นจุดที่คุณมีชีวิตอยู่ที่นั่น นั่นหมอกำลังทำร่างกายคุณอยู่ กำลังแคะฟัน กำลังดูดหนอง คุณเห็นไหม ก็ตอบกับเธอบอกว่า เห็น บอกไกลมาก

แล้วกลุ่มที่ลอยมาใกล้ ๆ อย่างโลกพระจันทร์ก็ดี โลกพระอังคารก็ดี โลกพระศุกร์ โลกพฤหัสก็ตาม มีนอยู่ใกล้ ๆ กลุ่มนั้น แต่เหนือขึ้นมา อีกมากมาย สูงสุด มีโลกเกลื่อนกลาด ที่เรียกกันว่า ดวงดาว มันเกลื่อนกลาดไปหมด มันสูงกว่านั้นมาก แต่สิ่งที่จะทำให้คุณดูวันนี้ จะให้ดูดวงดาวสักดวงหนึ่ง มันไม่ใช่ดาว มันเป็นโลก

แต่นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า เขาเรียกถุง มันเป็นถุงดำ ลอยอยู่เกือบจะเป็นผิวอากาศ เกือบเป็นผิวจักรวาลน่ะ สูงสุด มันดวงใหญ่มาก เธอก็เปรียบเทียบให้ฟังว่าโลกมนุษย์ มีสภาพเหมือนกับผลส้ม ไอ้เจ้าโลกถุงดำนี่ก็มีสภาพเหมือนกับพ้อมใหญ่ๆ พ้อมใส่ข้าว

ฉะนั้น ความใหญ่ของมัน ถ้าจะเอาโลกมนุษย์เข้ามาลอยภายในท้องของมัน ประมาณสักพันดวง ยังไม่ถึงไหนหรอก มันใหญ่โตมาก ก็ถามเธอว่า นั่นมันเป็นเรื่องของอนิจจังใช่ไหม เธอตอบว่าใช่ ก็ถามว่า ให้ฉันดูทำไม เธอบอกเวลานี้นักวิทยาศาสตร์เขาสนใจเจ้าถุงดำนี้ เขาเรียก "ถุงดำ"

แต่ความจริงมันไม่ใช่ถุงธรรมดา มันเป็นโลก คล้ายกับส้มฝานกลางทิ้งไป ส่วยหนึ่งทิ้งไป อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้ มีสภาพเหมือนกระทะคว่ำลงกลางมันโบ๋ขึ้น เป็นช่องใหญ่มาก ด้านหน้ามันแกร่ง ด้านข้างบนนี้เป็นพื้นพิภพของคนอยู่มีมหาสมุทร มีประเทศชาติ มีทุกอย่างอย่างโลกเขามีกัน แต่ชาวโลกนี้รู้สึกว่าแปลกกว่ามนุษยโลกที่เรามีชีวิตอยู่ เพราะมนุษยโลก ศีล๕ ไม่ค่อยครบ หาคนครบศีล ๕ ยาก

แต่โลกนี้เป็น.โลกของกรรมบถ ๑๐ เขารักษากรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วน พอเธอพูดจบเท่านี้ปรากฏว่า พระท่านมา พระนี้เป็นพระใหญ่มาก มีความเคารพนับถือท่านมาก ท่านก็ถามว่า อยากจะไปชมโลกนี้ไหม ก็กราบเรียนกับท่านบอกว่าอยากชม เพราะว่าน้องสาวเพิ่งพูดให้ฟังเดี๋ยวนี้เอง ความจริงไม่รู้มาก่อน

ท่านก็บอกว่า เธอเวลานี้ไม่มีความสนใจอะไรแล้วใช่ไหม สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี อะไรก็ตามเงียบหมด หยุดหมด ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนมันอยากทุกอย่าง อยากรู้นั่น อยากรู้นี่ ไปโลกนั้น ไปโลกนี้ ไปโลกโน้น เวลานี้เงียบสงัด ถ้าไม่จวนตัวแล้ว จนใจจริง ๆ ก็ไม่ไป ไม่อยากรู้ใช่ไหม ก็ตอบท่านว่า ใช่

ก็กราบเรียนท่านบอกว่า มันไม่เกิดประโยชน์ รู้ไปก็แค่นั้น มันก็แก่ทุกวัน ร่างกายก็เต็มไปด้วยทุกขเวทนา ท่านบอกว่า ก่อนที่มันจะตาย รู้เสียหน่อยซิ จักรวาลทั้งหมด น่าจะรู้ ก็เลยบอกท่านว่า ไม่เอาแล้ว ขอถวายบังคมลา เรื่องรู้แบบนี้ เอาเฉพาะจุด ถ้าท่านเห็นว่าควร ก็อาจะรู้

ท่านบอกว่าโลกนี้ คน แล้วก็ยังมีอีกหลายโลก อยู่ระดับเดียวกัน ควรจะรู้อย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นโลกทั้ง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่รู้อะไรเลย ความจริงเขาเข้าใจว่าเป็นถุงดำ และกลืนดวงดาวต่าง ๆ แม้แต่แสงสีเข้าไปก็มองไม่เห็น อันนั้นความจริงมันไม่ได้กลืน สภาวะจริง ๆ ของมัน เดี๋ยวไปดูกันแล้วกัน

เมื่อท่านพูดจบ ท่านก็ลุกขึ้น ทุกคนก็ลุกขึ้นพร้อมกัน ท่านพ่อ ท่านแม่ก็มาด้วย พอท่านก้าวนำหน้า ทุกคนก็ก้าวตาม ก้าวเดียวก็ถึง พอถึงที่แล้วก็ไปยืนอยู่หลังโลก ขอบ ๆ เกือบริม หมายความว่าห่างจากปากช่อง ปากทางเข้าข้างล่างจริง ๆ ไม่เกิน ๑ โยชน์ ก็พยายามเดินไปเดินมามันขรุขระ ทุกอย่าง ขรุขระเป็นโขด โขดสูง ๆ โขดต่ำ ๆ พื้นพิภพ เหมือนกับดินไหม้ สภาพเหมือนกับดินไหม้ แต่มันเข็งจัด ดูแล้วมันแข็ง เหมือนกับดิน ผสมเหล็ก

พอเดินไปได้หน่อยหนึ่ง พระท่านก็บอกว่า คุณ ถ้าคุณขืนอย่างนี้นะ อย่าลืมว่าโลกนี้มันโตกว่าโลกมนุษย์หลายพันเท่า ถ้าคุณเดินอย่างนี้ กี่ชีวิตของคุณมันก็เดินไม่จบ เราเดินแบบที่เราเดินมาแล้วก็แล้วกัน ก็ถามท่านว่า จะไปที่ไหน

ท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปดูกันเสียก่อนเลย เรื่องจริงๆ เราเลี้ยงไปที่อื่นก่อน วันนี้ขอตัดเข้าไปหาเลย ไปหาจุดนี้ ซึ่งเป็นจุดเดิม จุดจริง ๆ แล้วก็เป็นจุดที่พูดได้เต็มปากเต็มคอ แล้วต่อไปก็ไม่เรื่องใหม่ ไม่ค่อยจริง เป็นนิทาน ตอนนี้เป็นตอนที่เล่าให้ฟังธรรมดา ๆ ไม่ใช่นิทาน เป็นอารมณ์เคลิ้มดี ก็ดีไม่ดีก็บ้าไปเลย แต่ไม่กลัวบ้าหรอก เพราะมีหมอมนตรีรักษา

หมอโรงพยาลบาลบ้ามีรักษาอยู่ เขาอยู่ตั้ง ๒ โรงพยาบาล เขาเก่ง เมื่อปราบโรงพยาบาลปากคลองสานมาได้แล้ว ก็มาปราบที่ศรีธัญญา ก็ยังจะปราบคนวัดท่าซุงอีกคนหนึ่ง คือคนพูด ไม่เป็นไรไม่ต้องกลัวบ้า ก็เดินอีกก้าวเดียวก็ไปถึงปากโลก มันมีสภาพเหมือนกระทะคว่ำ หรือมีสภาพเหมือนผลส้ม หรือผลส้มโอถูกตัดกลาง ตัดเอาส่วนหัวทิ้งไป ส่วนของหางไว้ หรือส่วนของหางทิ้งไป เหลือส่วนหัวก็ได้ มันคว่ำแบบนั้น ข้างในโบ๋ แต่อย่านึกว่า ความกลวงผิวมันจะบางนะ ผิวมันเป็นแผ่นดินหนาเป็นโยชน์ พระอธิบายให้ฟัง

ท่านบอกว่าเข้าไปดูไหม ท่านบอกที่เขาเรียกว่า หลุมดำ เพราะว่าสีมันดำ ความไหม้ของดินนี่มันดำจริง ๆ สภาพดำเป็นดินไหม้ และแข็งจัด ก็มองไปดูรอบ ๆ มองไปทางซ้าย เวลานั้น หันหน้าไปทาวทิศตจะวันตก มองไปดูทางซ้าย พระท่านก็ชี้บอกว่า โน่นอีกโลกหนึ่ง เลยไปอีกโลกหนึ่ง แต่ทั้ง ๒ โลกนี้ เขามีสภาพเต็มไม่ใช่ครึ่งโลก หรือโบ๋กลางเหมือนโลกนี้แต่ว่า เราจะไปกันทีหลัง วันนี้คุยกันเรื่องโลกนี้ก่อน

ท่านก็บอกว่า โลกนี้ตรงกลางมันโบ๋ มันมีความร้อนพอสมควร เข้าไปดูไหม ก็เลยบอกกับท่านว่า ขอเข้าไปดู ทั้งหมดก็เข้าไปพร้อมกัน พอเข้าไปภายในโลกนั้นตกใจ มันเวิ้งว้างเหมือนกับฟ้า เฉพาะถ้าตาเนื้อธรรมดา ไม่มีโอกาสจะเห็นขอบฟ้าเลย อันนี้เยกว่า เป็นตาลม ลมก็หยาบไป เป็นตาอากาศ อากาศก็หยาบไป เป็นตาละเอียด สามารถจะมองอะไรถึงไหนก็ได้ จักรวาลนี้จักรวาลไหน จากนรกถึงนิพพานก็สามารถจะมองได้

เพราะเวลาที่พูดนั้น เป็นเวลาเป็นผี เพราะภาพ นั้น เป็นภาพของผี ไม่ใช่คน ทิ้งคนไว้ข้างล่าง ที่ขึ้นไปข้างบนแล้วก็มองลงมาก็ไม่พบอะไร เข้าไปภายใน เข้าไปภายใน อากาศก็ดี ท่านบอกสภาพดีมาก มีอาการดึงดูดของแผ่นดินเหมือนกับโลกธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรผิด จะเรียกว่าสุญญากาศไม่ได้ ยังมีอากาศอยู่

แล้วภายในนั้นมีอะไร ทราบไหม ในนั้น ปรากฏว่า ดวงดาวต่างๆ เท่าที่มองเห็นที่มองไม่เห็นก็ไม่ทราบ มันมีอยู่เกิน ๓๐๐ ดวง ไอ้เจ้าดวงดาวนั้น มันก็คล้าย ๆ กับผลมะนาวเล็ก ๆ อยู่ในพ้อมใหญ่ ๆ นั่นเอง มันก็ลอยอยู่ในนั้น ดวงดาวบางดวงก็มีแสงสว่างจ้า ทำให้ในพ้อมของโลกดำ หรือถุงดำนี่ เรียกว่า "โลกดำ" ดีกว่า

ในท้องของโลกดำมันก็สว่าง บางจุดก็สว่างจ้า เหมือนกับแสงไฟฟ้าที่สว่าง บางจุดที่ไกลออกไปก็เป็นแสงสว่างสลัว ๆ ก็รวมความว่า ทั้งท้องของดวงดาวดวงนี้ ภายในสว่างจริง ๆ ไม่ใช่มืด แต่ที่ฝรั่งบอกว่ามืด เพราะมันสุดสายตาของฝรั่ง สุดสายตาของกล้อง ระยะของกล้อง คือกล้องไม่สามารถจะมองเข้าไปข้างในได้

ถ้าเปรียบเทียบ เหมือนกับถ้ำ ถ้ำใหญ่ๆ ของภูเขาลูกใดลูกหนึ่ง ที่อยู่ข้างหน้าเรา ถ้าเรายืนอยู่ไกลจากภูเขาลูกนั้นประมาณสัก ๑๐ กิโลเมตร เราจะมองเห็นปากถ้ำ รู้สึกว่ามันมืดภายใน เราไม่เห็นแสงสว่าง ถ้าเข้าไปใกล้ ถึงถ้ำนั้น จะทราบว่าภายในถ้ำนั้นมีแสงสว่าง

ทีนี้พระท่านก็อธิบายให้ฟัง บอกว่าเท่าที่ฝรั่งมีความเข้าใจ มีความรู้สึก หรือเชื่อมั่นว่า ดวงดาวต่าง ๆ ที่เข้ามาในท้องของโลกนี้ในถุง ความจริงไม่ใช่ถุง มันท้องแบบโลก เข้ามาในท้องนี้ของโลกนี้ มันกลืนหายไปหมด แล้วแสงต่าง ๆ ก็กลืนหายหมด มองไม่เห็น แต่ความจริงมันไม่ได้กลืน เจ้าดวงดาวต่าง ๆ ที่เข้ามา มันมีโอกาสออก ไม่ใช่เข้าแล้วอยู่เลย

เพราะว่าดวงดาวต่าง ๆ หรือโลกก็ตาม มันไม่มีกำลังขับเคลื่อนของมันเอง มันลอยไปตรมกำลังของอากาศ ที่ดันมันเข้าไปก็ถามว่าถ้าดวงดาวนี้ไม่ดูดเขา เขาจะเข้ามาอย่างไร ท่านก็บอกว่า ก็ดู เหมือนแม่น้ำที่มีน้ำไหลเชี่ยว แต่ว่ามีถ้ำจระเข้ลึกเข้ามาข้างในเป็นกิโล และเป็นถ้ำใหญ่มากอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง

ด้านนั้นจะมีน้ำวน เพราะน้ำที่ไหลมาจะไหลเข้าไปในถ้ำก่อน แล้วก็วนออกมา ด้านหน้าถ้ำจะเป็นน้ำวน เมื่อเป็นน้ำวนแล้ว หญ้าต่าง ๆ ก็จะไม่ไหลไปไหน จะวนอยู่ด้านหน้าถ้ำบ้าง จะผลุบเข้าไปในถ้ำบ้าง ส่วนที่ไหลเข้าไปในถ้ำแล้ว จะไหลออกมาในภายหลังมันก็ใช้เวลาหน่อย

เอาล่ะ..บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน จะว่าไปอีกนิดก็ไม่ไหวแล้ว เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตาม ตอนที่ 2 ต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/1/09 at 15:30 [ QUOTE ]


(Update 5/02/52)

จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ


(ตอนที่ ๒)


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง "ดาวถุงดำ" คำว่า "ดาวถุงดำ" หรือว่า "โลกถุงดำ" ก็ตามใจชอบ แต่ว่าวันก่อนก็ลืมอธิบายไปว่า เมื่อมาถึงโลกนี้แล้ว พระท่านอธิบายบอกว่า โลกนี้เขาเรียกว่า ชินโลก คือ "โลกที่มีความชนะ" ชนะโลกต่าง ๆ

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะโลกต่าง ๆ ที่เป็นโลกที่มีความเล็กกว่า ก็ไหลเข้าท้องเจ้านี่เป็นแถว ๆ แล้วเจ้าโลกทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่สามารถจะท้ายเจ้าโลกใหญ่นี้ได้ มันลอยวนไปเวียนมา เป็นอาหารอยู่พักหนึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ๗ ปี - ๘ ปี มันก็ไหลออกมา พระท่านอธิบาย บอกว่า ตามที่ฝรั่งเขามีความรู้สึกว่า โลกนี้มันกินโลกกินดาว และแสงสีที่ไหลเข้ามาก็หายไปหมด

ท่านบอกว่าความจริงมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้กิน มันวิ่งเข้ามาในท้องมันเอง แล้วฝรั่งก็ไม่มีเวลาดูว่า โลกที่ไหลเข้าไปมันไหลออกมาเมื่อไหร่ ก็ใช้เวลาแรมปี อย่างเร็วที่สุดมันก็ต้องใช้เวลา ถึง ๓ ปี อย่างเร็ว และอย่างช้าที่สุด มันอาจจะใช้เวลา ถึง ๑๐๐ ปี ถ้ามันติดอยู่วงใน

ก็รวมความว่า โลกนี้ไม่ใช่ดุร้าย หรือว่าเจ้าถุงนี้ไม่ใช่ดุร้าย ตามความเข้าใจของฝรั่งนักวิทยาศาสตร์ เป็นโลกที่ใจดีมาก ความจริงต้องคิดว่าใจดี เพราะว่า ถ้าโลกไหนวนไปเวียนมาในอากาศชักเมื่อยเข้า ก็มาพักที่ท้องเจ้านี่ แสงดาวต่าง ๆ แสงสีต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน

ทีนี้ก็มาคุยกันถึงวัตถุที่มีอยู่ในท้องของโลกนี้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ผิวของโลกนี้ที่เป็นท้อง ตั้งแต่ปากเข้าไปถึงท้อง มันมีความแข็งและหนาเป็นสิบ ๆ เกือบจะถึงร้อยโยชน์ แข็งจัด และก็หนาจัด แกร่งจัด เพราะถูกเผาผลาญจากแสงอาทิตย์ ถ้าพิสูจน์กันจริง ๆ มองไม่เห็นดวงพระอาทิตย์ภายนอกข้างบนไม่มี มีแต่แสงสว่าง

แต่ว่าแสงอาทิตย์ขึ้นไปจากข้างล่าง กระทบถึงท้องเจ้านี่ก่อนแล้ว จึงได้ไหลเข้าไปคลุมหลังโลกนี้ ฟังแล้วคิดตามไป แต่ความจริงอย่าลืมว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือนิทาน ที่ว่าจริง ๆ นั่น ก็ขอยืนยันว่าเป็นนิทานจริง ๆ เรื่องทั้งหมดจริงตามเรื่องของนิทาน

ถ้าหากว่าท่านผู้ใด มีความคล่องตัวในหลักสูตรที่ ๒ และที่ ๓ ของหมวดกรรมฐานจะลองใช้พิสูจน์ดูก็ได้ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากว่าต้องการความจริงหรือไม่จริง แต่ที่พูดให้ฟังนี่ไม่ได้พูดให้ใครเชื่อ ต้องการมาคุยกันแบบประเภทที่เรียกว่า เอาเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง แทนที่จะคุยธัมมธัมโมเฉย ๆ ถ้าคุยธัมมธัมโมเฉย ๆ อย่างนี้มันง่วง ถ้าไม่ง่วงก็รำคาญ ถ้าคุยเรื่องราวต่าง ๆ อย่างนี้มันเพลินดี เพลินบ้าง รำคาญบ้าง ตามใจชอบ

ก็รวมความว่า มาคุยกันต่อไป ทีนี้พระท่านก็ชวนชม บอกเราไปชมดวงดาวต่าง ๆ ข้างในดีไหม ความจริงเวลานี้อยู่ช่วงช่องปาก มองดูรอบ ๆ เจ้าดวงดาวต่าง ๆ คือโลกต่าง ๆ ขอให้ศัพท์ว่าโลก หรือดวงดาวตามเขาก็ได้ ตามใจชอบ เจ้าโลกต่างๆ หรือดวงดาวต่างๆ ที่มันลอยอยู่ข้างใน มันลอยอยู่ห่างกัน ไม่มีการกระทบกัน

ทีนี้นอกจากดวงดาวหรือโลก มันก็มีสิ่งหนึ่งเล็ก ๆ มองดูแล้วมันเป็นเครื่องบิน มันเป็นเครื่องบินของคนกลุ่มหนึ่ง บินไปมากคนบ้าง น้อยคนบ้าง ส่วนใหญ่ไปมาก และตัวเครื่องบินจริงๆ ด้านข้างเป็นกระจกทั้งหมด เห็นคนชัด เจ้าเครื่องบินประเภทนี้มักจะมีกล้องส่องสังเกต แล้วเป็นกล้องถ่ายรูป อาจจะเป็นกล้องโทรทัศน์ก็ได้ อะไรก็ตามใจ ไม่ได้ถามเขา เขาอยู่ในประทุน ไม่มีโอกาสได้พูดกัน

เขาก็ส่องดูด้วยความพอใจ วิ่งไปใกล้ดวงดาวดวงโน้นบ้าง ใกล้ดวงดาวดวงนี้บ้าง แต่รู้สึกว่าไปไม่ไกลนักก็กลับ ถ้าจะถามว่าการใช้น้ำมันเชื่อเพลิง ประเดี๋ยวก็คุยกันได้ที่โน่นนะ ไปบนผิวโลกเสียก่อน ค่อยคุยกัน ตอนนี้มาคุยกันถึงการเข้าชมดวงดาว

ดาวบางดวงก็มีสภาพขรุขระ มีสภาพแกร่ง มีผิวขรุขระคล้ายหิน แล้วก็มีรังสี มันมีออกามาร้อน ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ เป็นของที่ไม่น่าดู แต่บางดวงก็ต้องคิด บางดวงมีแสงสว่างในตัวจ้าดาวที่มีแสงสว่างนี่สิ มันช่วยบันดาลให้ช่องท้องของเข้าโลกดำนี่ หรือเจ้าถุงดำ มันเกิดแสงสว่างขึ้น แสงสว่างจากดวงดาวก็มีอยู่หลายจุด ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง มันมีแสงสว่างในตัวของมันเอง เป็นเหตุให้เจ้าท้องของโลกดำนี่สว่าง

บางทีก็สว่างมาก บางทีก็สลัว ๆ ตามแสงที่ส่งมา ทีนี้ขณะที่แสงของดวงดาวมันส่อง สาดเข้าไปติดผิวของโลกดำ โลกถุงสีดำ หรือดาวถุงดำ ดาวถุงดำนี้ ในท้องของมันบางจุด ก็เป็นแสงแพรวพราว ทำให้เป็นแสงสะท้อนกลับมา เกิดแสงสว่าง แต่ก็แปลกกว่า ดาวที่อยู่ไกล ๆ เห็นแสงสว่างจ้าเหมือนกับดวงโคมไฟฟ้า

แต่เข้าไปใกล้ดวงดาวนั้นจริง ๆ มันก็เป็นหิน เป็นดินธรรมดา ก็ไม่เห็นมีแสงสว่าง แต่ถอยออกมาไกลพอสมควร เห็นแสงสว่างของมัน อันนี้แปลก มันไม่ใช่ดวงอาทิตย์ แสงสว่างจริง ๆ น่ากลัว จะอยู่ข้างนอกดวงดาว อาศัยการเสียดสีจากอากาศให้เป็นแสงสว่าง หรืออย่างไรก็ไม่ทราบอันนี้ไม่เถียงวิทยาศาสตร์ ให้นักวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์เอง

ทีนี้ดวงดาวบางดวงก็มีทรัพย์สินมาก เมื่อลอยเข้าไปแล้ว พระท่านก็บอกลงดวงดาวดวงนี้ เราเดินเที่ยวกัน ก็เป็นอันว่า ดาวทุกดวงที่เข้าไปนั้น ไม่มีสิ่งที่มีชีวิต พระท่านก็บอกว่า ถ้าจะมีสิ่งมีชีวิตติดเข้ามา สิ่งที่มีชีวิตมันก็ไม่ตาย ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าอากาศมันพอจะสู้กันได้ ความเป็นอยู่พอสู้กันได้ แต่เท่าที่ลงไปเป็นดวงดาวแกร่ง เดินไปสัมผัสกับหินบ้าง สัมผัสกับดินบ้าง สัมผัสกับทรายบ้าง

เมื่อถึงจุดหนึ่ง ท่านบอกว่า เอามือล้วงลงไปซิ พอล้วงลงไปใต้ทราย งัดขึ้นมามันเป็นแก้วติดมือมาท่านก็บอกว่าที่ใส ๆ นั่นคือ เพชร แล้วก็บางจุดก็ต้องทุบ บางจุดไม่ต้องทุบ บางจุดถ้าทุบแล้ว มันเห็นเป็นเพชร แต่ก็เป็นเพชรประเภทที่เขาต้องสกัด หรือเจียระไน แต่บางจุดมันก็เป็นเพชรใส ๆ เป็นเม็ดใหญ่ ๆ แพรวพราวเป็นระยับ

ก็ถามท่านว่า อันนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของคน เขาฝังไว้หรือไร ท่านบอกว่าไม่ใช่ หินที่คุณเห็นเมื่อกี้นี้น่ะ ความจริงมันไม่ใช่เพชรทั้งก้อน มันเป็นหินประกอบไปด้วยรังสี ใช้งานได้ ใช้งานทั้งในด้านสันติ และการรบ ราฆ่าฟัน แต่ว่าร่างกายของเรานี้ ที่เรามากันนี่ มันเป็นร่างกายประเภทที่รังสีทำอันตรายไม่ได้ และขณะที่มันมีเปลือกหุ้มอยู่ ท่านก็ชี้ให้ดูว่าก่อนนี้นะ มันมีสีเคลือบอยู่ข้างนอก สีมัวมาก

ไอ้ตัวเคลือบนี่ มันหุ้มรังสีอยู่ ถ้าจะใช้งานให้เป็นประโยชน์ เป็นพลังงานต้องทำลายตัวเคลือบนี้ให้หมดไป แล้วก็จัดสิ่งหนึ่งเข้ามาเคลือบแทน รังสีจะไม่กระจายออก จะออกไปตามที่เราจะใช้ ก็ถามท่านบอกว่า ในเมื่อมันมีรังสีแบบนั้น แล้วที่ท่านบอกว่า เพราะอาศัยหินประเภทนั้น แล้วที่นำมาเจียระไนเป็นเพชร มันใส ๆ ชอบกล ทำไมถึงจะเกี่ยวของกับเพชรชุดนี้

ท่านก็บอก อันนี้มันไม่ยาก ในเมืองไทยที่เธออยู่ มันก็มีอยู่แล้ว อย่างที่ภูเก็ต หินประเภทนี้ใช้อาศัยแรงงานได้ดี แต่ในเมื่อสภาพมันตายแล้ว มันจะกลายเป็นเพชร หลังจากที่เธอเขียน หนังสือพระเมตตา เสร็จไม่เกิน 2 เดือน ที่ตรงนั้นเขามีคนได้เพชร คนหน้าตะแกรงของแร่ดีบุก เขาเรียกกันว่า "เพชรซีก" แต่มีน้ำสวยมาก พวกเขานำมาขายที่ร้านค้า ที่นั่นมีได้ฉันใด เพชรพวกนี้ก็เช่นเดียวกัน

ถ้าแร่ประเภทนี้มันกลายสภาพหมดฤทธิ์ ตาย..มันก็จะกลายเป็นเพชร ตามที่เธอหยิบขึ้นมาเมื่อกี้นี้ พอฟังท่านอธิบายแล้ว ก็ดูเพชรพวกนั้น มันสวยจริง ๆ ถ้าเราเอามาแล้ว ก็มีอย่างเดียว คือ ทำให้เป็นเป็นหัวขึ้นมา จะทำหัวประเภทไหน ๆ ได้หมด แพรวพราวเป็นระยับ ยกขี้นมาส่องนี่ มันติดอกติดใจ

แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย มาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น เพราะอะไร เพราะเวลานี้ตัวอยาก มันก็อยาก แต่ไม่ใช่อยากได้เพชร มันอยากจะมีความสุข ชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องมีอะไรเข้ามาช่วย ไม่ต้องมีข้าวมาช่วย ไม่ต้องมีกับข้าวมาช่วย ไม่ต้องมีขนมมาช่วย ไม่ต้องมีเพชรนิลจินดาทองหยองมาช่วย ถ้ามันจะอยู่เฉย ๆ อย่างมีความสุข อันนี้ชอบอยากตัวนี้มันอยากกันคนละตัว เป็นที่น่าเสียดาย เมื่อสมัยที่ยังหนุ่ม ๆ มีแรง ถ้าพบอย่างนี้แล้ว ได้เพชรก็เพชรเถิด ทองก็ทองเถิด ขนกันแน่

แล้วต่อมาท่านก็พาเดินต่อไป แล้วชี้ให้ดูว่าจุดทั้งหลายนี้ มีทรัพย์สิน มีแร่ที่มีคุณค่ามาก ก็กราบเรียนถามท่านว่า อย่างนี้โลกมนุษย์มีไหม ท่านบอกว่า มีหลายจุด มีเหมือนกันแต่ว่าที่นี่เขามีอายุยืนยาวกว่า เขาแกร่งกว่า ใช้ได้ประโยชน์ดีกว่า ก็ถามท่านบอกว่า แร่อีกประเภทหนึ่ง คือ แร่ทองคำ มีไหม

ท่านบอกว่า มี แต่ว่าโลกที่เรายืนอยู่นี้มีเป็นจุด มีเป็นจุด ๆ มีเป็นหย่อม ๆ ไปดูโบกที่เป็นทองคำล้วนดีไหม แหม..น้ำลายหก ไม่ใช่ไหลหกจ๊อก ป๊อกลงไปเลย พอท่านบอกแบบนั้น..ยอมรับ ทุกท่านยอมรับ ก็ออกจากโลกนั้นไปโลกเล็กๆ ที่อยู่ในท้องโลกดำ

ออกจากโลกนั้นไป ไปด้านหน้านิดหนึ่ง ไม่ไกลนัก ข้ามโลกต่าง ๆ ที่ขวางหน้าไปประมาณสัก 3 โลก โลกนี้มีสภาพปุ่มลงไป มันมีแสงขึ้น แสงเรืองเหลืองอร่ามเป็นประกาย เพราะกระทบกับแสงสว่างของดวงดาวที่ไม่ไกลนัก ข้าไปไกล้ ๆ พอลงไปแล้ว ทองที่มองเห็นมันเป็นเม็ดทราย มันไม่ได้เป็นแท่ง หยิบขึ้นมาได้ทันที เหมือนกับกองทรายที่เรามีอยู่ ก็ถามท่านว่า โลกนี้มันเป็นทรายทั้งโลกเลยใช่ไหม

ท่านบอกว่า ไม่ใช่..มันเป็นเฉพาะผิว จากผิวนี่ลึกลงไป ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นทรายทองทั้งหมด ถามท่านว่าบริเวณ ท่านบอกว่า บริเวณรัศมีของมันที่อยู่ของมันจริง ๆ เฉพาะจุดนี้ ประมาณ 10 กิโลเมตร ระยะยาว ระยะกว้าง กว้างประมาณ 1 กิโลครึ่ง แล้วถามท่านว่าที่อื่น ท่านก็บอกว่าที่อื่นก็มีเป็นจุด ๆ อย่างนี้แหละ ก็เดินกันเรื่อย ๆ ไป ดูไปรอบ ๆ

เป็นอันว่า โลกนี้มีทองคำมาก เป็นโลกกิเลส เวลานี้ตำหนิว่าทองคำเป็นกิเลส หรือเวลาที่อยู่ที่ดวงดาวนี้ก็ตำหนิว่า ทองคำเป็นกิเลส เพราะอะไร เพราะว่าแบกหาม หยิบเอามาไม่ได้ จะใช้คำศัพท์แบบชักผ้าบังสุกุล
อิมัง วัตถัง อัสสามิกัง อุปเปมิ แปลว่า ผ้านี้ไม่มีเจ้าของ เราจะถือเอา หรือว่า
อิมัง สุวัณณัง อัสสามิกัง อุปุเปมิ เขาแปลว่า ทองคำนี้ไม่มีเจ้าของ เราจะถือเอา

จะถือว่าของนี้ไม่มีเจ้าของหรือทองไม่มีเจ้าของ แล้วถือเอา มันก็ไม่แน่ เขาอาจจะมีเจ้าของก็ได้ ถ้าไม่มีเจ้าของจริง ๆ เราก็เอามาไม่ได้ มือที่จะหยิบของที่เป็นวัตถุ มันก็ไม่ได้เอาไปเป็นที่น่าเสียดาย ที่ปล่อยให้หมอท่านรักษาแต่แค่ฟัน เราดันลืมมือไปเสียนี่ ทีหลังถ้าจะไปใหม่ต้องเอามือไปด้วย บอก หมอมีหน้าที่รักษาฟันก็รักษาไปเถิด ฉันจะเอามือไปด้วย ช่วยหยิบทองคำ และเพชรมาให้หมอ หมอจะเอาหรือไม่ก็ไม่ทราบ ถ้าหมอไม่เอาก็ไม่เป็นไร

ก็เอามาแจกเด็ก ๆ เด็ก ๆ ที่เลี้ยงไว้เวลานี้เกือบ 300 คน เลี้ยงด้วย ให้เสื้อผ้าผ่อนท่อนสไบเสร็จ เหมือนกับพ่อแม่เลี้ยงให้อาหารการบริโภค ให้วิชาความรู้ถึง ม.6 แล้วภาระต่าง ๆ ก็มีเยอะ วัด ก็มีพระ ก็มีคน การก่อสร้างก็มี ฉะนั้นถ้าบังเอิญเอามือไปได้ทองคำมา ได้เพชรมาก็ขายสร้างวัด แต่ว่าเป็นที่น่าเสียดายว่า ร่างการมันก็มาก อายุมากสำหรับคนโลกชมพู มันคงจะแบกมาได้ไม่มาก

ฉะนั้นใครที่เป็นหนุ่มเป็นสาว มีกำลังมาก ๆ เพราะร่างกายดี ช่วยไปโลกนี้ทีเถิด ไปขนทองมา แล้วขอแบ่งส่วนแค่ ๑ เปอร์เซ็นต์ก็พอ ตามน้ำหนัก เอ้า....กิเลสท่วมหัวคนเดียวไม่พอยุชาวบ้านเขามีกิเลสอีก นี่คำว่า "คน" มันแปลว่ายุ่ง ไม่ดีแบบนี้

หลังจากนั้นไป ท่านก็พาไปชมสถานที่ต่าง ๆ ไปถึงก้นของโลก มันไกลจริง ๆ ถ้าใช้กำลังตาหลบมานิดว่า เวลานี้ใช้กำลังตาเท่าเนื้อ ไม่มีความหมายเลย มันมืดตื้อ หมายความว่ามองไปแล้วสุดสายตา มันยังไม่หมดสถานที่ สถานที่มันกว้างจริง ๆ การเข้าไปอยู่ที่นั่น ก็มีสภาพเหมือนเข้าไปอยู่ท้องฟ้า

มองดูจากปากไปหาก้นมัน ด้านบนก็เหมือนฟ้าเราดีดี ไกลมาก มองไปข้างหน้าเจอะเป็นฝ้า มองตัดหน้าไปถึงฝ้า ก็มีฝ้าต่อขึ้นไป แล้วขึ้นไปที่เห็นเป็นท้องฟ้า พอเห็นแล้วสูง แต่ขึ้นไปแล้วมันก็ไม่สูง เลยเมฆไปก็มีฟ้า สูงไปเท่าไรอีก เลยฟ้าขึ้นไปอีก มันก็มีฟ้า ซ้อนฟ้า หรือฟ้าเหนือฟ้า อันนี้มีสภาพฉันใด แม้ในโลกนี้ มันก็เช่นเดียวกัน

เมื่อวนไปเวียนมา ๆ อยู่พักหนึ่ง ก็ถามพระท่านบอกว่า ยานพาหนะที่มีลักษณะกลม ๆ แล้วบินร่อนไปร่อนมานี่เขาเรียก "จานบิน" ใช่ไหม พระท่านก็บกว่า จานข้าวเอามาบินไม่ได้ มันต้องร่อน แต่นี่ลักษณะมันคล้ายกับยาน เป็นยานพาหนะของคน มองไปทางด้านซ้ายมือ เห็นเหมือนกับเรือยนต์วิ่งมา ลักษณะมันก็เหมือนๆ คล้าย ๆ กับเรือบินของเรา แต่รูปร่างหน้าตามันโตกว่า มันใหญ่กว่าเยอะ เทอะทะ แล้วก็มีปีก

ท่านบอกว่า นี่เครื่องบินของเขาบรรทุกคนมามาก ก็ถามพระท่านบอกว่า คนพวกนี้มาจากโลกไหน ท่านบอกว่า ที่เป็นเรือยนต์ เป็นเครื่องบินเป็นคนของโลกนี้เอง บนผิวโลกโน้นเขามากันแล้วเครื่องยนต์ของเขา เขาไม่ได้ใช้น้ำมัน เขาใช้แร่ ใช้รังสีของแร่ขับเคลื่อน เหมือนกับนิวเคลียร์กระมัง..แบบนั้น ถ้าใช้เป็นน้ำมันก็บรรทุกไม่ไหว ต้องใช้น้ำมันกันมาก ก็ชมกันไปชมกันมาอยู่พักหนึ่ง เห็นว่าทั่วไปรอบทั่วแน่ๆ ดูไปดูมาก็นึกสงสารดาวพวกนั้นว่า ดาวพวกนี้มันจะกินข้าวที่ไหน

แต่นึกในใจว่า ดาวมันเป็นวัตถุ มันลอยเข้ามาไม่ใช่กลืน ไม่ใช่ดูด เขาลือกันว่า มันกำลังดูดที่ดูดแม้แต่ดวงดาวเข้าไปน่ะ ไม่ใช่มันเหมือนกับผักที่ลอยผ่านหน้าถ้ำจระเข้ฉันใด ดาวพวกนี้ก็เหมือนกัน อากาศที่มันเคลื่อนที่เข้ามา มันก็ดันดาวพวกนี้เข้ามาใกล้ เมื่ออากาศไหลไปทางไหน ดาวก็ไหลไปตามไป มันไม่มีเครื่องขับเคลื่อนไม่สามารถจะฝืนได้

แต่บางดวงก็ใหญ่ บางดวงก็ไม่ใหญ่นัก แต่ดวงดาวแต่ละดวงที่เราเรียกว่า โลกก็ไม่เล็กว่าโลกมนุษย์ที่เราอยู่กัน เปรียบเทียบกันแล้ว แต่ละดวงนั้นไม่เล็กกว่า มีแต่โตกว่าบ้าง มีเสมอกันบ้าง เสมอกันนั้นก็น้อย แต่โตกว่านั้นมีมาก

เมื่อชมกันพอสมควร พระท่านก็ชวนบอกว่า ขึ้นไปผิวโลกดีไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า...ดี ตอนนี้อออกมาทางปาก มันก็ไม่ยาว ก้าวเพียงก้าวเดียวก็มาถึง อย่าลืมนะว่าเรื่องนี้เป็นนิทาน คนฟังทุกคนอย่าลืม สติสัมปชัญญะอย่าลืมว่า เรื่องนี้เป็นนิทาน

"นิทาน" นี่คุยแบบไหนก็ได้ แบบ "ยาขอบ" เขียนเรื่อง "ผู้ชนะสิบทิศ" เขาบอกว่าเรื่องราวจริง ๆ ท้องเรื่องจริง ๆ ประมาณ 2-3 บรรทัด หรือกี่บรรทัดก็ไม่ทราบ ไม่กี่บรรทัดหรอก..น้อย แต่ยาขอบแต่งไม่รู้กี่พันหน้า ก็เป็นเรื่องนิทานเหมือนกัน

เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เรื่องจริง ๆ มีแค่ดวงดาวดวงดำ ๆ เรื่องนิดเดียว มีดวงดาวถุงดำนี่แหละ ก็ลือกันไปลือกันมาว่า ฝรั่งส่องกล้องเห็นดาวดูดอะไรต่าง ๆ ดูดแสงเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถจะไหนออกมาได้ มันหายเข้าไปหมด ดูสภาพแล้วมันดุดันน่ากลัวเหลือเกิน

แต่ความจริง โลกนี้ก็มีสภาพเหมือนกับพระพุทธรูป พระพุทธรูปท่านั่งเฉย ๆ และก็ยิ้มตลอดเวลา แต่บางคนไปบนบานศาลกล่าว เมื่อบุญบารมีของตัวเองมี กำลังความดีของพระช่วยได้ก็ช่วย ถ้าบุญบารมีของตัวไม่ดี มีแต่ความชั่ว พระก็ช่วยไม่ได้..คนชั่ว

ทีนี้บนให้ถูกหวย หวยไม่ถูก บางคนถูกหวยไปแก้บนพระ พระพุทธนะ ถ้าพระสงฆ์นี่ไม่แน่ พระบอกหวยไม่ได้รวยทุกองค์หรอก..จน พวกถูกหวยนี่ไม่เคยแบ่งให้ ถ้าไม่ถูกด่า ไม่ถูกเมื่อไร ด่าเมื่อนั้น ถ้าถูกเมื่อไร เงียบ มีขันติ อดทนมาก มีอุเบกขาวางเฉย ไม่แบ่งไม่ปันให้ พระที่ให้หวยทุกองค์นะ..ซวย

ก็แบบเดียวกับที่เจ้าโลกดำนี้ เมื่อเข้าไปแล้ว ให้เขามีความสุข พัก ให้มีการไหลอยู่เฉพาะในขอบเขต ไม่ต้องไหลไปกว้างนัก แต่ว่าดวงดาวต่าง ๆ มันจะขอบใจบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ แต่ความจริง มันเฉย แต่ดวงดาวก็คงไม่บ่น ที่เข้าไปแล้วออกมา หรือเข้าไปยังไม่ออกมันก็ไม่บ่นแต่คนที่ไม่เกี่ยวข้อง มันบ่น มันหาว่าดวงดาวนี้ดุร้าย ดูดไม่ว่าอะไร ดูดแล้วเข้าเก็บหมด

แต่ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างไหลออกมาตามสภาพเดิม ดวงที่ออกไวที่สุด เข้าไปได้แค่ปากไม่ลึกนัก กระทบนั่นกระทบนี้ เข้ากลางไม่ได้ เข้าลึกไม่ได้ อย่างเร็ว ๓ ปี ออก แต่ดวงที่เข้าไปลึกจริง ๆ ๑๐๐ ปี ยังไม่ออก รอมันออก นั่งจ้องอย่างนั้น อย่าเลิก..จะเห็นว่าดาวมันไหลออกมาได้

ก็รวมความว่าคุยมากเกินไป เขาขยับขยายมาทางปากทางออกบากช่องล่องมาข้างนอก ลอยมานิดหนึ่ง แป๊บ..เดียวถึง ไปทางด้านใต้ของโลกนี้ ขึ้นไป ๆ เห็นสีดำ ๆ ๆ เข้ม ๆ แล้วก็แข็ง..เครียด ยังไม่มีต้นหญ้า ต่อไปไม่ช้าไม่นานนัก ประเดี๋ยวก็เจอะต้นหญ้าหรอมแหรม ๆ แสดงว่า ความชุ่มชื่นเริ่มจะมี

ต่อไปก็เจอะป่า ป่าเขียวชอุ่มไม่เหมือนป่าประเทศไทย ประเทศไทยป่าไม้แห้ง แต่ป่าทรายชอุ่ม..เขียว หรือไม่เขียวก็ไม่ทราบ ถ้าป่าไม่เขียว คนที่อยู่กลางป่าก็หน้าเขียว เพราะมันอด ป่าเขียวชอุ่ม มีความชุ่มชื่น ต้องลอยข้ามป่าระยะไกลมาก

ต่อมาก็มองเห็นมหาสมุทร เป็นน้ำเขียวอ่อน ๆ มองแล้วชื่นตาชื่นใจ ไม่เขียวเข้มเหมือนทะเลของเรา เป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลมาก ขึ้นไปทางทิศใต้นะ แล้วมองไปรอบๆ ไกลออกไปจากฝั่งมหาสมุทรพอสมควร มีเมืองอยู่หลายเมืองตั้งเป็นระยะ ๆ มันก็ไกลกันนะ ระยะแต่ละเมืองไกลกันไม่น้อยกว่าร้อยโยชน์ แล้วก็มีเส้นทางถี่ยิบ มีถนนถี่ยิบ มียานพาหนะพอสมควร

แต่เรื่องรถนี่แพ้ประเทศไทย รถยนต์เขามีน้อย นาน ๆ ถึงจะผ่านมาสักคัน ทุก ๆ สาย มองไปกลางเมืองเช่นเดียวกัน มองไปแล้วก็ เอ๊ะ...รถมันไม่มาก นาน ๆ จะมีสักคัน อย่างเร็วที่สุดก็ประมาณ สัก ๑๐ นาที ผ่านมาคันหนึ่ง ๒๐ นาทีผ่านมาคันหนึ่ง คนเดินกันเกลื่อนกลาด หมายความว่าคนเดินแต่ไม่เบียดเสียดเหมือนกรุงเทพ ฯ แม้จะเป็นเมืองหลวง ก็ลอยไปลอยมาต่ำ ๆ มันเห็นได้ชัด

พระท่านบอกว่าอย่าเพิ่งเดิน ลอยไปลอยมาก่อน ดูมันเสียก่อน ดูด้านผิวก็ลอยไปอยู่ไกลๆ มันเห็นชัดดี เหมือนกับนั่งเครื่องบินลอยไปลอยมา ลอยมาลอยไป เห็นบ้านเมืองเขามีความสวยงดงาม เขียวชอุ่มเหมือนกับต้นไม้ แต่มีตึกรามสวยงามมาก มีทางก็กว้างขวาง บ้านเมืองก็มีแต่ความสะอาด ชื่นใจ ทีนี้กิเลสมันยังมีในใจ ความอยากปรากฏ

ก็กราบเรียนพระท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นขอลงไกล้ ๆ ที่ฝั่งมหาสมุทรได้ไหม ท่านบอกว่าได้ ท่านถามว่า เธอจะลงตรงไหน ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ถ้าหากว่าท่านเห็นสมควรตรงไปก็ลงตรงนั้น ท่านบอกว่าไปตอนโน้นสิ หันหลังนิดหนึ่ง ไปจากนี้ประมาณ ๑๐ โยชน์ จะเข้าเขตเมืองท่า ๓ เมืองติดต่อกัน เป็นเมืองท่าของเมืองใหญ่ที่ขนของลงเรือทะเล เป็นอันว่า เมื่อท่านสั่งดังนั้นก็เห็นชอบด้วย เคลื่อนไปตามท่าน

เอาล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ผู้รับฟังและผู้อ่าน พอขยับกายจะไปเมืองท่า ก็พอดีหมดเวลา ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคงสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตาม ตอนที่ 3 ต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/1/09 at 15:33 [ QUOTE ]


(Update 16/01/52)

จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ


(ตอนที่ ๓)


ท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับตอนนี้ก็ทุกท่านฟังหรืออ่าน เรื่อง นิทานร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่า เป็นนิทานร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เพราะว่า เรื่องราวต่างๆ ที่นำมาพูดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักบุญนักกุศลพูด มักจะนำเอาเรื่องพระสูตร ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนมา มาพูดกัน เป็นการแนะนำในเรื่องการบุญการกุศล

แต่ทว่าเรื่อราวต่างๆ ของดาวทั้งหมดที่กล่าวมาจากเล่มที่ 11 ก็ตาม เล่มที่ 12 นี้ก็ตาม เป็นเรื่องนิทานจริง ๆ ฉะนั้นความเป็นมาของนิทานก็ถือว่า เรื่องต่างๆ จะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ เพราะว่าเรื่องจริงไม่มารถสอบสวนได้ก็เป็นนิทาน แต่เรื่องนิทานที่เป็นความจริงที่ไม่สามารถสอบสวนได้ ก็ต้องเป็นนิทานเหมือนกัน รวมความว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของนิทาน

ทีนี้ก็มาคุยกันว่า หลังจากที่ขึ้นมาจากท้องของดวงดาวนี้แล้ว ดวงดาวนี้ดุร่านมาก อะไรก็ตามถ้าเข้าไปมันจะดูดหมด และดูดหายเข้าไปหมด โลกต่าง ๆ ดาวต่าง ๆ ก็ถูกหายเข้าไปในท้อบง แม้แต่แสงสีต่างๆ ก็สามารถดูดหายเข้าไปในท้องได้หมด มองไม่เห็นแสง ความจริงจะว่าดูดก็ถูก หรือจะว่าสิ่งทั้งหลายไหลเข้าไปจากอากาศที่ดัน ก็ถูกอีกเหมือนกัน ถ้าพูดว่าดูด เป็นศัพท์ที่นิยมของชาวโลกพูดกัน เช่น น้ำดูดเข้าไปในโพรง น้ำดูดเข้าไปในถ้ำ น้ำดูดเข้าไปในวน

ความจริงจะว่าน้ำดูดก็ไม่ถูกนัก น้ำข้างหลังดันมา ข้างหน้าไหลเข้าไปในโพรง จะเรียกว่าน้ำดันก็ไม่ผิดเหมือนกัน เรื่องนี้ก็เหมือนกัน จะขอกล่าวว่า เป็นเองของอากาศดันเข่าไปและก็หายเข้าไป ความจริงการหายนี่ หายเข้าไปนาน ถ้าจะใช้เวลาดูกัน จะให้เวลาแรมปี ถ้าหากว่าเราจะสังเกตว่า ดวงดาวนี้ถูกดาวถุงดำดูดเข้าไป และตั้งหน้าตั้งตาสังเกตไว้ว่ามีตำหนิอะไร สีสันวรรณะเป็นอย่างไร ลักษณะเป็นอย่างไร สังเกตไว้

และก็ต้องถ่างตาดูกันเป็นปี ๆ ไม่ใช่ดูกันเป็นชั่วโง หรือไม่ใช่ดูกันเป็นวัน ใช้เวลาอย่างน้อย ๆ ที่สุดก็ต้อง 3 ปี หรือ7 ปี หรือ30 ปี หรือ 100 ปี บางที 100 ปียังไม่ออกมาก็มี ถ้าหากว่าจะมีใครตะโกนถามมาว่า รู้ได้อย่างไร ก็ขอตอบแบบไม่ต้องตะโกน กระซิบตอบว่ารู้ได้เพราะเป็นนิทาน เรื่องนิทาน พูดกันอย่างไรก็พูดได้ เมื่อออกมาจากท้องดาวเสร็จ ก็เหินตามอากาศ ไกล้ ๆ กับ พื้นแผ่นดิน วันนี้คุยกันให้เต็มที่ ใช้คำว่า "เหิน" คือไม่ใช่ "เหาะ" เหาะสูง เหินต่ำ นี่เป็นศัพท์ของคนสร้างนิทานเหมือนกัน ไม่ใช่ศัพท์ที่นิยมกันทั่ว ๆ ไป

ครั้นเมื่อมาถึงสถานที่ที่มีบ้านเมืองอยู่ ด้านทิศใต้ของดวงดาว คือ ด้านทิศใต้ของมหาสมุทร เห็นมหาสมุทรเข้าก็ลงต่ำ แล้วก็เหินเรื่อย ๆ ไป ชมเมืองต่างๆ ที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน ลึกมาก เป็นเมืองที่มีความสวยสดงดงามมาก มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม บางทีก็พร้อมกว่าโลกของเรา บางอย่างโลกของเราไม่มี แต่เขามีพร้อม มีอะไรบ้างก็ช่าง และต่อมา ในเมื่อจิตใจมีความพอใจในมหาสมุทร มหาสมุทรที่เห็นนี่สีเขียว มีความสวยสดงดงามมาก จึงย่องเข้าไปไกล้ ๆ ไหลเข้าไปชิด

เมื่อเข้ามาถึงแถวไกล้ฝั่งมหาสมุทร ก็เห็นเมือง 3 เมืองด้วยกัน มี 3 เมืองที่ตั้งอยู่ที่นั่น สวยสดงดงาม ห่างกันไม่ไกลนัก ก็ลงมาที่พื้นแผ่นดิน เมื่อลงมาที่พื้นแผ่นดินแล้วก็ตั้งอกตั้งใจว่าดูกันละ เอาให้เต็มที่ก็คิดว่า เมืองนี้มีความสวยงดงามดี หาทางลง การลงไม่ต้องลงหาสนามบินไม่ต้องมีรันเวย์ เพราะว่าผู้พูด และคณะไม่มีล้อ มีแต่ขา มองไปมองมา ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง ยืนอยู่ กลุ่มใหญ่ หลายคน แต่กลุ่มเล็ก ๆ ก็มี 2-3 คน อีกจุดหนึ่งมีคนเดียว ห่างจากกันประมาณ สัก 10 เมตร คนนี้ยืนอยู่คนเดียว กำลังเอามือจิ้มโน่นจิ้มนี่ อาการของเขาแสดงว่า เป็นคนบอกสัญญาณอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงลงไปที่นั่น

เมื่อลงไปที่นั่นแล้ว ก็เดินเข้าไปหาคนคนนั้น ก็พอดีถึงเวลาเขาว่างพอดี พอเข้าไปไกล้ ๆ โผล่หน้าไปหน้าประตู เขาก็ยกมือร้อง อีโละโก๊ะเก๊ะ..อะไรก็ไม่ทราบ ภาษาของเขา พูดเสียงสั้น ๆ หนัก ๆ คล้าย ๆ ภาษาญี่ปุ่น ถ้าฟังเป็นภาษาของเรา ก็ฟังได้ว่า..เชิญขอรับ เชิญท่านผู้มีเกียรติซึ่งมาจากโลกอื่น เชิญท่านนั่งบนเก้าอี้ซิขอรับ นี่ฟังเป็นภาษาของเรา เขาพูดยาว ทั้งหมดประมาณ 10 ท่านก็เข้าไปในอาคารของเขา

อาคารของเขาเรียบร้อย มีเก้าอี้ มีโต๊ะรับแขก มีทุกสิ่งทุกอย่างหมด เขาชี้ให้นั่ง พอนั่งเสร็จก็มีคน เจ้าหน้าที่ของเขา จะถือว่าเป็นคนรับใช้ก็ไม่ถูกนัก มีเจ้าหน้าที่ของเขานำเอาน้ำเย็นมาให้ และก็ส่งออกไม้ให้คนละดอก เขาบอกว่าเป็นอาการแสดงอาการต้อนรับท่านผู้มีเกียรติที่มาจากโลกอื่น เขาพูดเป็นครั้งที่ 2 จึงถามว่าท่านทราบได้อย่างไรว่า คณะของข้าพเจ้ามาจากโลกอื่น

เขาบอกว่า อันดับแรกที่จะมองเห็นคือ เครื่องแต่งตัวไม่เหมือนกัน ก็ถามเขาว่าก็มีผ้ามีเสื้อเหมือนกัน เขาบอกว่าเสื้อผ้า แต่ไม่เหมือนกัน เสื้อผ้าของท่าน ท่านจะเผลอไปกระมัง คณะของข้าพเจ้าใช้ผ้าธรรมดา แต่คุณของท่านใช้ผ้าประดับไปด้วยเพชร พอเขาพูดอย่างนั้นก็ตกใจ เพราะพวกเราลืมแปลงกาย ลืมเอาเครื่องแต่งกายเปลี่ยนตัวมา เรียกว่าลืมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก็แล้วกัน

ก็ลืมบอกไปว่า เครื่องแบบอย่างนี้เป็นปกติธรรมดาของคนไม่ใช่หรือ เขาบอกว่าใช่ แต่คนบางพวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองนี้ ในประเทศทั้งหลายเหล่านี้ หลาย ๆ ประเทศไม่มีเครื่องแต่งกายอย่างนี้ เพราะว่าแก้วที่ประดับเสื้อผ้าของท่านมีราคาแพงมาก ซึ่งไม่มีใครเขาแต่งกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนแถวนี้ถ้าจะมี ก็ใส่คอนิดหนึ่ง คล้องสร้อยหรือว่าทำแหวน หรือทำสร้อยข้อมือ อย่างนี้เป็นต้น แต่สิ่งที่ติดผ้าทั้งผืน ไม่มีใครเขาทำกัน ฟังแล้วเขาก็ยิ้ม

แล้วก็นึกในใจว่า ขอเครื่องแต่งกายสภาพที่ปกติให้หายไป มีเสื้อผ้าธรรมดา มันควรจะเป็นกางเกงกับเสื้อ กลับเป็นผ้าธรรมดา เป็นผ้าถุง มีผ้าคลุมตัว แล้วสีสันมันก็เป็นสีส้ม ๆ สีเหลืองๆ พอเขาเห็นเข้าเขาก็ตกใจ แสดงท่าตกใจ พอตกใจเขาทำอย่างไร เขาลงจากเก้าอี้ ก้มลงกราบถามว่า ท่านกราบทำไม คณะของข้าพเจ้าทั้งหมดก็มีสภาพเหมือนท่าน เป็นคนเช่นเดียวกัน และเป็นแขกผู้มา

พระโมคคัลลาน์เคยมาโปรดที่นี่

เขาบอกว่า แขกประเภทนี้ เขารู้จัก มาเป็นครั้งคราว คือไม่ได้มาบ่อยนัก ถ้ามาทีไร ทุกอย่างที่นำมาให้ก็คือความสุข พอดีพระท่านเตือน ท่านบอกว่าคุณ..คุณนึกอย่างนี้มันไม่ถูก เขาก็จับได้นะสิว่า คณะของเราเป็นใคร คุณนึกใหม่ดีกว่า นึกว่าให้เป็นเสื้อ เป็นกางเกงอย่างเขา ก็เลยนึกตามนั้น เขาเห็นเข้า เขาก็แปลกใจอีกว่า เมื่อกี้แต่งตัวชุดที่ 2 หายไปไหนอีก ทำไมถึงกลายเป็นเสื้อ กางเกง

ก็บอกเขาว่า ในเมื่อเรามีเสื้อ มีกางเกงเหมือนกันก็นั่งเสมอกัน ก็แล้วกัน เขาบอกว่ายังนั่งไม่ได้ เพราะอาการอย่างนี้ พระใหญ่เคยมาแสดง ถามเขาว่า พระใหญ่ ของท่านคือใครท่านจำชื่อได้ไหม เขาบอกว่า จำได้ ถามว่า ใคร เขาบอกว่า พระใหญ่ของเขา คือ พระโมคคัลลาน์

พอฟังแล้วก็ตกใจ ถามว่า พระโมคคัลลาน์เคยมาที่นี่หรอ ท่านรู้จักพระโมคคัลลาน์หรือ เขาตอบว่าท่านมาเป็นครั้งเป็นคราว แต่ว่าระยะนี้ห่างไปหน่อย ไม่เห็นท่านมา ถามว่า เวลาที่ห่างไปจากระยะนี้ ที่ท่านเคยมา เป็นช่วงนับตามปีของจักรวาลมนุษย์

พอพูดว่า "จักรวาลมนุษย์" เขาก็ยิ้ม เขาบอกว่า จะถามจักรวาลไหน จักรวาลนี้ที่คุยนี่ก็เป็นจักรวาลมนุษย์เหมือนกัน พวกข้าพเจ้าทั้งทั้งหมดก็เป็นมนุษย์ ก็เลยตกใจว่าพูดผิดอีกแล้ว คนขามีสติสัมปชัญญะมันเป็นอย่างนี้ ก็เลยบอกว่าจักรวาลมนุษย์มีมากใช่ไหม เขาบอกว่ามาก เท่าที่พวกเขารู้จักกันดี มี 4 จักรวาล คือ จักรวาลของเขานี่หนึ่ง เวลาคุยที่นี่หันหน้าไปทางทิศใต้

จักรวาลที่สอง ก็เป็นจักรวารที่มองเห็น ถ้าใช้กล้องระยะไกล ๆ ก็จะมองเห็นจักรวาลใหญ่ ลอยอยู่ด้านซ้าย แล้วต้อไป อีกช่วงระยะหนึ่ง ก็มีอีกจักรวาลหนึ่ง อยู่ทางด้านเหนือ เป็นจักรวาลเหมือนกัน ลอยอยู่ในผิวเดียวกันของจักรวาล ก็ถามเขาว่า จักรวาลนอกจากนี้มีที่ไหนอีก เขาบอกว่า เขาไม่ทราบ คิดว่าดวงดาวต่าง ๆ ทั้งหมดในจักรวาลเป็นจักรวาลที่อยู่ของคนบ้าง ปราศจากผู้คนบ้าง เป็นจักรวาลว่างบ้าง

แต่เท่าที่เขารู้จักจริง ๆ ก็มี 4 จักรวาล รวมทั้งจักรวาลนี้ด้วย ก็ถามความเป็นมาว่า คนบนจักรวาลนี้ทั้งหมด หรือทุก ๆ จักรวาล ท่านรู้จักคนไหม เขาตอบว่ารู้จัก ถามว่ารู้จักกันอย่างไร ท่านติดต่อทางวิทยุหรือทางไหน

เขาบอกว่า เมื่อกี้นี้ก็ลองติดต่อกัน เพราะว่ามนุษย์จักรวาลต่าง ๆ เขาจะมากัน เขาจะมาเที่ยวกัน มีสถานที่เป็นที่ลง มีสนามบินเป็นที่ลง ก็เลยถามเขาว่า ในเมื่อจักรวาลต่างๆ มีมาก เวลาเท่ากันไหม เขาบอกว่าไม่เท่ากัน ก็เลยยกนาฬิกาให้ดู ว่านาฬิกาเดินแบบนี้ วนไปรอบหนึ่งถือว่าเป็นครึ่งวัน ของจักรวาลโลกชมพู ถ้าหมุนไปอีกรอบหนึ่งแสดงว่าเป็นเวลาเต็มวัน เวลากลางคืนและเวลากลางวันรวมเวลา 24 ชั่วโมง เป็น 1 วัน เขาก็มีนาฬิกาเหมือนกัน มันเดินเหมือนกัน ถ้านับเวลาอย่างนี้นะ ต้องถอยหลังไปประมาณ 2,000 ปีเศษ ที่พระโมคคัลลาน์ท่านแวะมาบ่อย ๆ แต่ว่าระยะหลังจากนั้น ท่านก็มาบ้างเหมือนกัน แต่มานาน ๆ ครั้ง ถ้าจะเทียบตามเวลาของจักรวาลที่ยกนาฬิกาขึ้นดูนี้ ก็จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี จะมาครั้งหนึ่ง

ก็ถามเขาบอกว่า เวลาตั้ง 2,000 ปีเศษ คนที่นี่อยู่ได้อย่างไร จะมีใครมีชีวิตอยู่ เขาก็ตอบว่า ข้าพเจ้านี่เวลา 2,000 ปีเศษของท่าน มันเป็นเวลาเล็กน้อยเท่านั้นเอง ถ้านับเวลาตามนี้ คนในโลกนี้ทั้งหมด จะมีอายุถึง 12,000 ปี เลยถามว่า เวลานี้ท่านมีอายุเท่าไร เขาก็บอกว่า เวลานี้อายุของเขาตั้งแต่เกิดมา ประมาณ 8,000 ปี ก็เลยนึกสงสัยว่าคน 8,000 ปี นี่หนุ่มมาก ดูหน้าตาแล้วคล้าย ๆ กับคนอายุสัก 28 ปีของเรา ก็เลยถามเขาต่อไปว่า ในเมื่อพระโมคคัลลาน์ ท่านมาแล้วท่านทำอะไร ท่านเอาอะไรมาให้ เขาบอกว่า อันดับแรกที่ท่านมา ท่านเอาความดีมาให้ และทุกครั้งท่านก็มาย้ำความดีที่ท่านให้ไว้ ถามว่าความดีที่พระโมคคัลลาน์ให้มีอะไร ?

เขาตอบว่า หนึ่ง พรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตใจอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นใครได้ดี พลอยยินดีด้วย แล้วก็อุเบกขา วางเฉย ในเมื่อความไม่สบายใจเกิดขึ้นหลังจากนั้นท่านก็ให้ทรง กรรมบถ 10 คือ

ทางกาย 1 .ไม่ฆ่าสัตว์ 2. ไม่ลักทรัพย์ 3. ไม่ประพฤติผิดในกาม

ทางวาจา 4 คือไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

ทางด้านจิตใจ 3 คือ ไม่โลภอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นโดยไม่ชอบธรรม คือไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร ไม่จองล้างจองผลาญใคร มีความเห็นตรงตาม คติทั้งหมดที่สอนมาแล้วให้ปฏิบัติตรงตามนั้น

ก็ถามว่า คนในโลกนี้ปฏิบัติตามนี้หรือ เขาบอกว่าคนทุกประเภทในประเทศนี้ รัฐบาลตั้งกฎนี้เป็นธรรมนูญการปกครอง การปกครองของประเทศนี้จะต้องมี พรหมวิหาร 4 กับ กรรมบถ 10 เป็นพื้นฐานจริง ๆ ทุคนปฏิบัติตามนี้

เมื่อคุยกับเขาแล้ว ก็หันไปหาพระท่าน ท่านก็ยิ้ม แล้วท่านมองหน้า มีความเข้าใจว่า เท่าที่เขาพูดนี้เป็นความจริง ก็เลยถามว่า พระโมคคัลลาน์เคยแนะนำ พระที่มีความใหญ่กว่าท่านมีไหม เขาก็ตอบว่า มีองค์เดียว ถามว่า พระอะไร เขาตอบว่า พระพุทธเจ้า...พระพุทธเจ้าใหญ่ที่สุด จึงถามว่า เขาเคยเห็นพระพุทธเจ้าไหม เขาตอบว่า ถ้าตามปกติ ด้วยตาเนื้อนี่ไม่เคยเห็น แต่ทางตาใจนี่เคยเห็น เลยถามว่า ตาใจอยู่ไหน เขาบอกว่าอยู่ที่อารมณ์ ก็ถามเขาบอกว่า มีความเคารพพระพุทธเจ้า เรารพพระธรรม เคารพพระอริยสงฆ์ พระอริยสงฆ์

นี่มีพระโมคคัลลาน์เป็นประธานแน่ เขายึดแน่นอน เพราะทุกคนที่นี่ต้องปฏิบัติตามนั้น ถ้าใครละเมิดกฎ 4 ประการ คือ พรหมวิหาร 4 หรือกฎ 10 ประการ คือ กรรมบถ 10 คนนั้นมีโทษหนัก ก็ถามว่าในประเทศนี้มีการสั่งประหารชีวิตไหม เขาก็เลยตอบว่า ถ้ามีการสั่งประหารชีวิตก็ผิดจากปาณาติบาติ ไม่มีการสั่งประหารชีวิต ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไร เขาก็บอกว่า ก็ลงโทษไม่คบหาสมาคม ให้อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ (กักบริเวณ) กับบริเวณอยู่กว้าง ๆ หน่อย แต่ห้ามออกจากเขตนั้นเป็นการทรมานใจ

เมื่อคุยมาถึงตรงนี้ บรรดาท่านผู้ฟังหรือท่านผู้อ่าน สำหรับคนที่พูดมาก มันก็พูดมากไปเรื่อย ๆ พูดกันไป มันก็จบ เขาคุยไปเขาก็มองมา เขาสงสัย เขาหันมาถามว่า ขอประทานโทษ พูดภาษาเขา แต่เรานึกเอาเป็นภาษาของเรา และเวลาที่เราพูด ภาษาของเรา ก็นึกให้เป็นภาษาของเขา อย่าลืมนะท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่าน นี่เป็นเรื่องนิทาน นิทานจะพูดอย่างไรก็ได้ เอาอย่างไรก็ได้ทุกเรื่อง เพราะมันเป็นเรื่องไม่จริง

เขาถามว่า คณะท่านที่มาทั้งหมดนี่ประมาณ 10 ท่าน ท่านอาจจะมายานพาหนะ เวลานี้ยานพาหนะของท่านจอดที่ไหน ก็ถามเขาว่า ทำไมท่านสงสัยแบบนี้ เขาบอกว่ายานพาหนะต่างๆ อยู่ในสายตาของผม ผมเป็นเจ้าหน้าที่ดูยานพาหนะที่จะไปหรือจะมา ถ้าเครื่องบินมาถึงแล้วจะเลี้ยวทางไหน จะจอดที่ไหน จะมีอะไรที่ไหน มันเป็นการแนะนำจากผมทั้งหมด ต้องผ่านผม

แต่ว่ายานพานหะที่ท่านมานี้ รุ้สึกว่าไม่กระทบเครื่องสัญญาณของผม เมื่อสักครู่นี้ผมเป็นบรรดาท่านทั้งหลายลอยใจอากาศ ผมก็มีความรู้สึกว่า ท่านจะมีเครื่องทำกายให้เบา ช่วยพยุงกายลงมา ถ้ามันเป็นระบบวิทยาศาสตร์ มันต้องเข้าคลื่นของผม แต่ว่าของท่านไม่ผ่านคลื่นผมเลย ผมก็สงสัย ท่านผลักคลื่นหรืออย่างไร เอาอีกแล้ว

ก็เลยตอบเขาบอก ว่าคณะของข้าพเจ้าทั้งหมดที่มาที่นี่ ไม่ได้มาด้วยยานพาหนะ ไม่มีเครื่องบิน ไม่มีเครื่องพยุงตัวให้ลอย แล้วก็ไม่มีการขับเคลื่อน ลอยมาเองเฉย ๆ เขาถามว่า ลอยมาอย่างไร ฝึกการลอยได้อย่างไร ก็ตอบว่านี่เป็นเรื่องทางใจ ถ้าคณะท่านทั้งหลาย มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสนใจในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีความเลื่อมใสเคารพในพระสงฆ์สาวก ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง เวลาที่พระโมคคัลลาน์ท่านมา พระโมคคัลลาน์ท่านก็ไม่มีเครื่องหมายพาหนะมาเหมือนกัน

เขาก็ยอมรับว่าใช่ ก็ถามท่าน ศึกษาจากท่าน ท่านจะสอนให้ เขาหันมาถามว่า ถ้าอย่างนั้นคณะของท่านจะสอนข้าพเจ้าได้ไหม จึงหันไปหาพระท่าน พระท่านก็มองดูหน้าก็แสดงว่า ไม่ใช่โอกาสที่จะสอนกันก็เลยบอกเขาว่า เวลาที่สอนมันไม่มี เวลานี้ยังไม่ต้องการเป็นครูของใคร เพราะยังไม่มีความเข้าใจในศรัทธาและปสาทะของทุกคน ตอนนี้ขอชมสถานที่ก่อน

เขาก็ถามว่าจะชมที่ไหน ก็เลยบอกเขาว่า อันดับแรกขอชมในครัว เขาก็ยิ้มและทุกคนที่ไปด้วยกันยิ้ม เขาก็หันมาถามว่า ท่านหิวหรือ ก็ตอบเขาบอกว่า ไม่ได้หิว แต่อยากดูอาหาร เขาถามว่า ทำไมจะดูอาหาร ก็ตอบเขาว่า ในฐานะที่พวกท่านมีพรหมวิหาร 4 และมีกรรมบถ 10 ก็อยากจะดูอาหารของท่านว่า มีเนื้อสัตว์ไหม เขาก็บอกว่า แปลกใจหรือ คิดว่าพวกเขาจะกินหญ้าเหมือนวัวเหมือนควายใช่ไหม

ผู้พูดก็ยิ้ม แล้วบอกว่า คิดว่าอาจะกินผัก ไม่ใช่หญ้า หญ้ากับผัก มีสภาพไม่เหมือนกัน เพราะหญ้าเป็นอาหารของคนไม่ได้ มันต้องเป็นอาหารของวัวของควาย ของม้า ของช้าง แต่ผักเป็นอาหารของสัตว์ก็ได้ เป็นอาหารของคนก็ได้ คนกินผักแต่ไม่กินหญ้า วัวควาย กินหญ้าด้วย กินผักด้วย อยากทราบว่า คณะของท่านกินเนื้อสัตว์ได้ไหม

เขาก็ตอบว่า ปกติก็กินกัน ก็ถามว่าปกติท่านจะเอาเนื้อสัตว์ที่ไหนมากิน เขาบอกว่าสัตว์ที่หมดอายุขัยมันมีอยู่ และเวลาที่พบสัตว์ตาย เนื้อยังสด ก็เอามากินกันได้ ไม่แปลกไม่มีอะไรแปลก แต่ทว่าถ้าไม่มีเนื้อสัตว์ พวกข้าพเจ้าก็ชอบกินผัก แต่การปรุงอาหารด้วยผัก จะเอารสอะไรก็ได้ ให้เหมือนกับสัตว์ประเภทไหนก็ได้ ก็เลยบอกเขาว่าขอชมหน่อยได้ไหม อาหารมีไหม เขาก็บอกว่ามี เขาก็ให้สัญญาณกดออด ออดของเขากดเป็น 3 ระยะ อ๊อด..อ๊อด.. อ๊อด.. แล้วแถมท้ายอีกหนึ่งอ๊อด สั้น ๆ ถามเขาบอกว่า การกดออดแบบนี้ เป็นสัญญาณอะไร เขาบอกว่า เป็นสัญญาณนำอาหารมา คือจะนำอาหารมาเลี้ยงแขก

ถามเขาบอกว่า อาหารมีพร้อมอยู่แล้วหรือ เขาบอกว่าที่นี่ต้องพร้อมทุกเวลา เพราะเป็นสถานที่รับรองแขกผู้มาจากต่างประเทศอื่นด้วย เป็นสถานที่รับรองแขกผู้มาจากโลกอื่นด้วย พอเขาพูดก็ตกใจว่า เรานึกจะปลอมตัว ก็แบกความโง่เข้าไปทุกอย่าง อันดับที่สองพอเขารู้ตัว แบกเอาความสีเหลืองรุ่มร่าม ห่มจีวรเข้าไปอีก นุ่งสบง ทรงจีวรเขาก็จับได้ มาระยะที่ 3 แม้จะทรงกายแบบนี้ แต่ลักษณะท่าทาง ลีลาวาจา มันไม่เหมือนเขา เขาก็จับได้อีก ในเมื่อเขาจับได้ ก็ยอมให้เขาจับ มันเรื่องไม่แปลก ปฏิเสธไม่ไหว

พอเขานำอาหารมาให้ดู ดูแล้วอาหารทั้งหมดมีอยู่ 7 อย่าง เขาชี้ว่าอาหารถ้วยนี้เป็นอาหารที่มีการปรุงคล้ายกับเนื้อสัตว์ มีรสชาติอันนี้คล้ายเนื้อหมู อันนี้คล้ายเนื้อเก้ง อันนี้คล้ายเนื้อวัว ก็ลอง..สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลองกิน ก็ลองกินเข้าไป มันคล้ายคลึงจริง ๆ เขาบอกว่าประเภทนี้มีรสชาติเป็นผัก ผักโดยตรง แต่ว่าเขาไม่บอกว่า "มังสวิรัติ" เพราะคณะของเขาไม่ได้บอกว่า "มังสวิรัติ" ถือแค่มีเป็นสำคัญ ถ้าได้เนื้อมาโดยไม่บาป เขาก็กิน ก็ถามเขาว่าปกติเขาอยากกินเนื้อสัตว์ไหม

ถ้าบังเอิญมันไม่มี เขาบอกว่าไม่อยากกิน เพราะอาหารทุกอย่างมันเหมือนกันหมด จะปรุงให้คล้ายเนื้ออะไรก็ได้ ลักษณะสีสันวรรณะจะให้เหมือนเนื้อทุกอย่างได้หมด ความนิ่มนวลก็เหมือนกัน ดูแล้วก็เหมือนเนื้อ เขาก็ให้สัญญาณกับลูกน้องเขาว่า ยกมาอีกจานหนึ่ง จานนี้มันเหมือนเนื้อหมูซีกหนึ่ง เหมือนเนื้อวัวอีกซีกหนึ่ง เหมือนจริง ๆ เห็นเข้าแล้วก็คิดว่า เนื้อหมูหรือเนื้อวัว พอชี้ไปถาม เขาบอกว่า นี่ผักล้วน ๆ เขาให้เจ้าหน้าที่ของเขามาทำการปรุงให้ดู เอาผักธรรมดา ๆ มีเครื่องอะไรต่ออะไร ก็ไม่ทราบ ใส่กร๊อกแกร๊ก ๆ มันโผล่ออกมาเป็นเนื้อเสร็จ มีความนิ่มนวลเหมือนกัน มีสีสันวรรณะเหมือนกัน มีกลิ่นเหมือนกัน มีรสเหมือนกัน

เอาละ บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายและท่านผู้อ่าน เวลานี้ ถ้ามองสัญญาณไม่ผิด ก็หมดเวลาเสียทีแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี.

◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตาม ตอนที่ 4 ต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 6/3/09 at 09:21 [ QUOTE ]


(Update 6/03/52)

จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ


(ตอนที่ ๔)


ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็อ่านหรือฟังเรื่องราวของ "โลกดำ" หรือ "ดาวหลุมดำ" ต่อไป แต่ท่านทุกคนจงอย่าลืมว่าดาวหลุมดำ เป็นนิทาน แต่ว่าถ้าบังเอิญจะเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์เขาเห็นกัน แต่ว่านักวิทยาศาสตร์เขาเป็นของจริง แต่เวลานี้ท่านกำลังอ่าน หรือกำลังฟังเรื่องนิทาน นิทานกับของจริงจะต่างกัน

เมื่อชมอาหาร และลองชิมรสอาหารของเขาแล้ว ก็รู้สึกว่า รสอาหารของเขาน่าจะติดใจ ก็มาคิดในใจว่าถ้าโลกของเราในชมพู ถ้าหากว่าสามารถปรุงอาหารจากผักได้ มีรสชาติเหมือนเนื้อสัตว์ คนที่ชอบเนื้อสัตว์ ก็ให้กินเหมือนเนื้อสัตว์ คนที่ไม่ชอบเนื้อสัตว์ ก็กินเหมือนผัก อันนี้จะมีประโยชน์มาก และก็จะไม่ต้องทำบาปอกุศล

และอีกประการหนึ่ง ถ้าทุกคนอยู่ในเขตของพรหมวิหาร 4 ถ้า ทรงพรหมวิหาร 4 ได้ และประการที่สอง ทรง กรรมบถ 10 ได้ โลกก็จะเต็มไปด้วยความสุข ก็ถามเขาต่อไปว่า หลังจากท่านรับคำแนะนำจากพระโมคคัลลาน์แล้วหลังจากนั้น คิดว่า พระโมคคัลลาน์คงจะสอนคนไม่ทุกคน แล้วมีคนสอนสืบต่อไหม

ท่านบอกว่า มีสำนักเรียนเต็มประเทศ และหลาย ๆ ประเทศก็มีสำนักเรียนเหมือนกัน สอนวิชาที่พระโมคคัลลาน์สอน และให้ปฏิบัติตาม ฉะนั้นโลกนี้จึงมีความสุข ก็ถามเขาว่า โลกนี้มีคนจนไหม เขาบอกว่า โลกนี้และอีกหลายๆ โลก โลก 3-4 โลก ที่เป็นเพื่อนกัน ไม่มีใครจน ถามเขาว่า ทำไมจึงไม่จน

เขาบอกว่า คนจนไม่มี เพราะที่นี่มีแต่คนรวย ทุกคนพอกินพอใช้ ไม่มีการลำบากยากแค้น ไม่มีการเบียดเบียนกัน ค่าใช้จ่ายจ่ายก็ต่ำ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่ต้องสร้าง ก็ถามว่าเรื่องของคน ไม่ต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่เรื่องของประเทศชาติ ถ้าไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ละก็ บางทีชาติอื่นที่จะรุกราน เขาก็ถามว่า ที่ไหนมีการรุกรานกัน อันนี้แปลกอีกแล้ว

บอกว่า ที่นี่ไม่มีการรุกรานกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ที่ตัดตรงหมด ที่ของใครเดิมจะมีการลดคดเคี้ยวบ้าง อาณาเขตชายแดน แต่ว่าทั้งสองฝ่ายตัดสินใจว่า ทำให้ตรงดีกว่า เมื่อทำให้ตรง ก็ทำถนนทั้งสองข้าง ประเทศโน้นทำถนนข้างโน้น ประเทศนี้ทำถนนข้างนี้ ส่วนจุดกลาง ทำเป็นทางรถไฟ 2 รางคู่ จึงบอกเขาว่า ถ้าอย่างนั้น พาไปดูได้ไหมเขาบอกว่า

ได้เขาถามว่า ท่านจะไปยานพาหนะไหม ก็บอกว่า ไปสิ ท่านมีเราก็ไป ถ้ามีฟรีไปทุกอย่าง เขาบอกว่าในฐานะที่ท่านเป็นแขกบ้านแขกเมือง นี่โตไม่ใช่เล่นนะ เขาถือว่าเป็นแขกบ้านแขกเมือง ก็ต้องมียานพาหนะพิเศษ เขาก็นำไปข้างนอก บอกว่า คณะของท่านมาทั้งหมด 14 ท่าน แต่ความจริง คนพูดยังไม่ได้นับ..ลืม

หันไปลองนับดู นอกจากตัวคนพูดเอง 13 ท่าน แล้วก็ต้องเป็นตัวเอง 14 ท่าน เขาเก่ง เขาเรียบร้อยจริง ๆ เขาถามว่า ท่านต้องการไปรถ หรือต้องการเครื่องร่อน คำว่า เครื่องร่อน ก็หมายความว่า มันเป็นตัวกลม ๆ ที่เรานิยมเรียกกันว่า จานบิน หรือจะว่ากันไปเครื่องบิน เครื่องบินนี่มันยาว ๆ คล้าย ๆ เครื่องบินของเราแต่ลักษณะหัวของเครื่องบินจะมีสภาพสูงกว่าเครื่องบินของเรา ของเราหัวลู่ลง ของเขาหัวตั้งและมีด้านมุมหัวแหลม ๆ คล้าย ๆ กับเรือเมล์ แต่ไม่เหมือนนัก

ก็รวมความว่า ก็บอกเขาว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านเห็นว่า อย่างไหนดี เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน เขาบอกว่า ไปเครื่องร่อนดีกว่า ข้างล่างเป็นกระจกมองเห็นทุกอย่างนั่นแน่ ของเขาดีด้วย ทุกคนก็นั่งเครื่องร่อนเขาไป เขาร่อนไปนิดเดียว ไปชั่วขณะเดียวมองดูข้างล่าง มันก็เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม พอถึงเส้นระหว่างประเทศ เขาก็ลง

เขาบอกว่า ถนนฝั่งนี้ ถนนรถยนต์ มีเลนที่วิ่ง 8 เลน ถนนฝั่งโน้น ถนนรถยนต์ มีเลนที่วิ่ง 8 เลนเหมือนกัน เป็นถนนคอนกรีต นี่ไม่ใช่เมืองทิพย์นะ มันเป็นเมืองมนุษย์ จะว่าคอนกรีตก็ไม่เชิง มันมีสภาพเหมือนหิน เรียกว่าคอนกรีตก็แล้วกัน ของเราแข็งที่สุด คือคอนกรีต และก็ส่วนตรงกลาง เป็นทางรถไฟ เขาบอกว่ารถไฟนี่ใช้รถไฟร่วมกันได้ทั้งสองประเทศ รถไฟขบวนเดียว ใครจะลงประเทศโน้นก็ได้ ลงประเทศนี้ก็ได้ มีสถานีตรงกันหมด ไปถึงสถานีปั๊บก็ลงได้ทั้ง 2 ข้าง ใครจะลงประเทศไหนก็ตาม

ก็ถามว่า ผืนแผ่นดินที่จับจองกันในตอนก่อน มันมีการคดเคี้ยวแต่เวลานี้ทั้งสองฝ่าย ต่างคนต่างตัดให้ตรง อาศัยอะไรเป็นเหตุ เพราะบางประเทศต้องเสียเนื้อที่ไป อาจจะขาดทุน เขาก็ยิ้ม เขาบอกว่า คำว่าขาดทุน ในเมืองนี้ไม่มีเมืองนี้มีความต้องการอย่างเดียวคือ ความมีไมตรีซึ่งกันและกัน มีความรัก อะไรก็ตามจะเป็นจุดของความรักได้ ถ้าเหตุขอความรัก หรือการปฏิบัติกฎต่าง ๆ ไม่เกินกรรมบถ 10 หรือว่าไม่เกินพรหมวิหาร 4 ไม่นอกเหนือ ไปจากนั้น ไม่เป็นการรุก คือสร้างความเดือดร้อน ประเทศนี้เอาและประเทศทั้งหมดนี้ เอาทั้งหมด

ฉะนั้น ประเทศทุกประเทศจึงไม่มีอาวุธรบ ในเมื่อไม่มีทหาร ไม่มีตำรวจ ก็ไม่ต้องจ่ายเงินเดือน ไม่ต้องจ่ายเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งมันมีราคาแพงมาก แล้วก็ไม่ต้องจ้างตุลาการ ตุลาการคนตัดสินก็ไม่มี มีเจ้าหน้าที่คล้าย ๆ กำนัน ในเขตหนึ่ง ๆ ก็มีผู้ใหญ่บ้าน มีกำนันเหมือนกัน ก็มีแค่นี้ ต่อจากนั้นก็มีเมืองลูกหลวง เป็นเมือง ในเมืองแต่ละเมืองก็มีเจ้าหน้าที่ ก็มีเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนนัก งานที่เขาจะทำกัน ส่วนใหญ่เห็นคนรับภาษี

ก็เลยถามเขาว่าเมืองนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมาก รัฐบาลมีรายได้จากภาษีเยอะหรือย่างไร เขาบอกว่ามากอยู่ ถามว่ารัฐบาลเก็บภาษีแพงไหม เขาบอกว่า ถ้าจะใช้ศัพท์ว่าแพง มันก็ไม่ใช่ของค้าขายกัน แต่ถ้าจะถือว่าน้อย หรือมาก ต้องถือว่ารัฐบาลเขาเก็บมาก แต่คนที่เสียภาษีไม่เดือดร้อน ถามเขาบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ภาษีที่เก็บสูงสุดของที่จำหน่ายจ่ายแจก ต้องเสียให้รัฐบาล ต้องเสียร้อยละเท่าไร

เขาบกว่า อย่างคนต่อรถยนต์ขาย ต่อเครื่องบินขาย ต่อเรือเมล์ขาย เป็นต้น ของหนัก ๆ ประเภทนี้ ต้องเสียภาษีร้อยละสาม ฟังแล้วงง ทำไมว่างง เพราะร้อยละสาม มันนิดเดียว ของต่ำไปจากนั้น อย่างเครื่องอุปโภคบริโภค อย่างของกินของใช้ทั้งหมดไม่ต้องเสียภาษี เสื้อผ้าที่ขายส่งไปให้กันและกัน ของใช้ตามธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี นอกจากนี้ก็อาศัยโรงเรียน หมายถึงช่างที่รับเหมาทำโรง ทำเรือน อย่างนี้รัฐบาลเก็บ ร้อยละหนึ่ง

ก็ถามเขาว่า เมื่อรัฐบาล เก็บน้อย ๆ อย่างนี้ จะมีเงินไปจ้างข้าราชาการหรือ เขาก็ตอบว่ า ข้าราชการที่นี่ไม่ต้องจ้าง ทุกคนมีกินมีใช้ แต่ปีหนึ่งรัฐบาลจะมีรางวัลให้ จากผลประโยชน์ที่รัฐบาลจะพึงได้จากภาษีอากรร้อยละสิบ แล้วก็เฉลี่ยกันไป ระดับของพ่อเมืองได้ 3 เปอร์เซ็นต์ ระดับของลูกเมืองก็ว่ากันเป็นเปอร์เซ็นต์ ๆ ไป แบ่งเป็นร้อยละสิบ ออกมา ถ้าก็เฉลี่ยเป็นรางวัลต่อปี

ก็คิดในใจว่า เมืองนี้มีความสุขดีจริง ๆ ภาษีก็ไม่มีเดือดร้อน แล้วบ้านเมืองก็มีแต่ความสงบ ก็ถามเขาว่าอย่างนั้น ถ้าเกิดเรื่องร้ายขึ้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มี ตุลาการไม่มี แล้วจะใครจะไปจับ เขาบอกว่าไม่มีใครต้องจับใคร ทุกคนรู้ตัว ถ้าทำความผิดก็มาสารภาพผิดกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ตนขึ้นการปกครองของเขา เท่านั้นก็เลิกกัน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านสั่งการออกมาอย่างไร ปฏิบัติตามนั้น เป็นผู้พิพากษาไปในตัวเสร็จ นี่เป็นเรื่องนิทานนะ อย่าลืม ประเทศไหน ๆ ที่จะมีความสุขอย่างนี้ มันไม่มีหรอก

ก็รวมความว่า เป็นประเทศที่มีความสุขมาก ภาษีอากรก็เสียน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่จริง ๆ ไม่มีใครต้องเสียภาษี ก็ถามเขาว่าถนนหนทางก็ดี ตึกรามก็ดี โอ่โถง ใหญ่โตมาก ในเมื่อรัฐบาลมีรายได้น้อย แล้วสร้างได้อย่างไรเขาก็บอกว่า ไม่ใช่ของแปลก เขตไหนก็ตาม คนจะร่วมมือกัน ถ้าในตำบลนี้ต้องการถนน เขาก็ร่วมทุนกันสร้างถนน

ที่นี้ต้องการจะสร้างตึกที่ทำการ ต้องการสร้างอะไรที่เป็นส่วนกลาง ก็รวมทุนเข้ามา นอกจากนั้นก็เป็นเงินส่วนตัว ถามถึงราคาของ ตกใจ สิ่งที่จะเปรียบเทียบกับท่านผู้ฟังได้ ก็คือ ก๋วยเตี๋ยว อาหาร หรือก๋วยเตี๋ยว เอาธรรมดา ๆ ข้างถนนเหมือนกับของเรา ก๋วยเตี๋ยวอย่างดี ราคา 10 บาท อย่างต่ำลงมาก็ 5 บาท ต่ำมากกว่านั้นอีกนิดก็ประมาณ 4 บาท แต่ก๋วยเตี๋ยวของเขา ชามหนึ่งราคาประมาณ 10 สตางค์ของเรา เปรียบเทียบกับเงินเราก็เป็นการอัศจรรย์มาก และรู้สึกว่าทุกอย่างถูกหมด ไปดูของซื้อของขาย ราคาเขาก็ถูก

ก็รวมความว่า เป็นเมืองที่ทรงกรรมบถ 10 และพรหมวิหาร 4 ครบถ้วนจะเจอหน้าใครก็ตาม มีแต่อาการยิ้มแย้มแจ่มใส ก็บอกเขาว่า ถ้าอย่างนั้น ลอยไปดูรอบ ๆ ลอยมาดูที่เมืองท่าก่อน มีอะไรบ้าง ตรงนี้เป็นเมืองท่าของประเทศไหน ๆ เขาก็บอกหมด ก็ถามบอกว่า เมืองท่าของแต่ละประเทศ เวลาส่งของขายออกนอกประเทศจะต้องเสียภาษีไหม

เขาบอกว่า เรื่องภาษีออกกับเข้านี่ไม่มี ขนของออกไปเท่าไร ไม่ต้องเสียภาษี เสียภาษีตามจำเป็นต้องเสียตามกฎธรรมดา แต่การเสียภาษีเพื่อเป็นการส่งออกไม่มี ก็ถามว่าแล้วภาษีเข้าละ เขาก็บอกไม่มีเหมือนกัน ฉะนั้น ของในประเทศนี้จึงมีราคาถูก รวมถึงค่าจ้างแรงงาน

เขาบอกว่าค่าจ้างแรงงานก็มีเป็นของธรรมดา มีเป็นเปอร์เซ็นต์ การขนของทุกอย่างราคาเท่าไร ว่ากันมา เขาดูราคาแล้วคิดเปอร์เซ็นต์ ราคาค่าขนตั้งแต่เริ่มเข้าลาน จากลานบรรจุกล่อง จากกล่องก็บรรจุเรือ นำลงเรือทั้งหมด อย่างนี้ก็ นับร้อยละหนึ่ง ก็ถามเขาว่า พอไหม เขาบิกว่า ไม่เห็นใครเขาบ่นนี่ เขายิ้มแย้มแจ่มใสกัน ก็รวมความว่า ประเทศนี้มีความสุขทุกอย่า เพราะอาศัยพระโมคคัลลาน์ เป็นผู้นำ

หลังจากนั้น ก็ถามเขาว่า ถ้าต้องการไปเมืองหลวง จะพาไปได้ไหม เขาบอกว่าเมืองหลวงอยู่ใกล้ ๆ การเคลื่อนไปจากที่นี่ด้วยยานพาหนะประเภทนี้ ไปเพียงแค่ 5 นาทีก็ถึง เขาตอบว่า เวลาของท่านนะ ก็เลยตามใจ บอก ถ้าอย่างนั้นไป ไปเมืองหลวงกัน พอไปถึงเมืองหลวง เมืองหลวงมีความสวยสดงดงามจริง ๆ มีตึกราม มีถนนหนทาง มีผู้คนแต่งตัวสวยสดงดงาม ผิวคนทุกคนจะเหมือนกัน คือเป็นคนเนื้อละเอียด ผิวเหลือง หน้าอิ่ม เนื้ออิ่มทั้งกายเรียกว่าคนเนื้อเต็ม ทั้งรูปร่างไม่เว้าแหว่งไม่นูน เหมือนอย่างพวกเรา

คำว่า "เว้าแหว่ง" หมายความว่าผอมเกินไป บางจุดก็ลีบ บางจุดก็มีเนื้อ อย่างนี้เว้าหรือแหว่ง และก็ไม่อ้วนเกินไป คนอ้วนเกินไปไม่มี ลักษณะสมส่วนทั้งหมด ถือว่าเป็นคนสวยทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย ยิ่งไปกว่า นั้นสวยมากขึ้นไปคือ เห็นหน้ากันก็ยิ้ม เขาเจอะหน้าพวกเขากันเองก็ยิ้ม เขาเห็นพวกเราก็ยิ้ม ก็รู้สึกว่าไปที่นี่มีแต่ความสดชื่น ก็ไม่ชอบชมบ้านชมเมืองให้ฟัง รถราไม่ติดเหมือนกรุงเทพ ฯ

และเขาก็แพ้กรุงเทพ ฯ เราอยู่อย่างคือรถไม่ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถนนนอกเมืองของเรายังมีรถมากกว่าของเขา แต่ที่เขานิยมใช้จริง ๆ คือ เครื่องร่อน เครื่องร่อน หรือจานบิน ที่เราเรียกว่าจานบินนั้นแหละ เป็นที่นิยมของเขา รถยนต์เขาไม่นิยมใช้กัน แต่รถยนต์เขาก็ใช้ ถ้าไปสถานที่ใกล้ ๆ เขาใช้รถยนต์ถ้าไปไกล ๆ เขาก็ใช้เครื่องร่อน ถ้าถามว่าเครื่องร่อน หรือรถยนต์มีทุกบ้านไหม

ก็ตอบว่าเขาไม่นิยมเหมือนกัน บางบ้านก็นิยมรถยนต์ บางบ้านก็นิยมเครื่องร่อน แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยนิยมมี เพราะใช้เครื่องร่อนขนาดกลาง ราคาถูกกว่า คือค่าพาหนะก็ถูก มีความสะดวกสบาย รถยนต์กับเครื่องร่อนในเมือง มีสถานที่จอดอยู่ร่วมกัน แบ่งซีกกัน ซีกนี้เป็นของเครื่องร่อน ซึกนี้เป็นของรถยนต์ เป็นรถยนต์รับจ้าง เครื่องร่อนรับจ้าง ให้ความสะดวกสบาย เสียค่าพาหนะไม่มาก

จึงหันมาถามเขาว่า ที่นี่มีพระราชา หรือมีประธานาธิบดี เขาฟังแล้วเลยงง ทั้ง สองอย่าง เขาบอกว่าไม่รู้จักคำว่าพระราชา ไม่รู้จักคำว่าประธานาธิบดี ก็ถามว่าที่นี่ปกครองกันอย่างไร เขาก็บอกว่ามีพ่อเมือง ก็ถามว่าพ่อเมืองตามตระกูลรัชทายาทกันหรือ สืบต่อกันมาจากตระกูลต่าง ๆ หรืออย่างไร หรือเลือกตั้ง

เขาบอกว่า ไม่มีตระกูลเป็นรัชทายาท ไม่ใช่สืบต่อตามตระกูล แล้วไม่มีการเลือกตั้ง มีแต่การแต่งตั้ง ถามเขาว่า การแต่งตั้งเป็นอย่างไร เขาก็เลยบอกว่า จะต้องการคนที่มีคุณสมบัติสูงจริง ๆ สมกับตำแหน่งพ่อเมืองคือเป็นพ่อของคนทั้งประเทศเอามาเป็นพ่อเมือง ก็ถามเขาว่าลักษณะขอคนมาเป็นพ่อเมืองเขาทำอย่างไร เขาบอกว่า ทุกจุดจะต้องสังเกตคนไว้ สังเกตลักษณะของคน คนเกิดลักษณะนี้ เขามีตำราดู คล้าย ๆ ลักษณะของธิเบต

ปัจจุบัน คำว่าปัจจุบันก็หมายความว่า อดีตไกล้ปัจจุบัน ปัจจุบัน เวลานี้ ธิเบตก็คงไม่ได้ใช้หรือใช้ก็ไม่ทราบ เขาจะดูกันมาตั้งแต่เด็ก ดูลักษณะท่าทาง และดูความประพฤติ ดูความทรงธรรม และแต่ละหน่วยก็ตั้ง ต่างคนต่างตั้ง ต่างคนต่างมีไว้เลือกคนไว้ แต่ละจุด

ในที่สุด เมื่อพ่อเมืองของบ้านเมืองนี้ต้องตายไป จากไป เขาก็จำคนทั้งหลายนั้นมาแข่งกันอีกคำว่าแข่งขันกัน ก็คือรายงานลักษณะอาการ จริยา ความทรงธรรมของบุคคลนั้น แล้วมาไล่เบี้ยดูลักษณะให้ครบถ้วน ดูความประพฤติปฏิบัติให้ครบถ้วนตามที่เขาต้องการ เขาก็เชิญท่านผู้นั้นขึ้นครองเมือง เรียกว่า "พ่อเมือง" คนทุกคนมีความเคารพ ก็ถามว่า เขาว่า ถ้าใช้เวลา สมมติว่า ถ้าเวลาผ่านไป 2,000 ปีเศษ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้นมา จนบัดนี้ 2,500 ปีเศษ

เขาก็ยิ้ม เขาก็บอกว่า ตั้งแต่เขาเกิดมา เพิ่งมีพ่อเมืองคนเดียว 2,000 ปีเศษนี่ มีพ่อเมืองคนเดียว แต่เขาบอกว่าเขามีอายุ 8,000 ปีเศษ เขาเพิ่งพบพ่อเมืองคนเดียว ก็ถามเขาว่า ทำไมคนอายุยืนนัก เขาก็ตอบว่า ที่นี่ต้องมีอายุ 12,000 ปี ของจักรวาลโลกชมพู จึงจะตายกัน ทุกคนต้องอยู่เต็มอายุขัย ทั้งนี้เพราะอาศัยพรหมหาร 4 กับ กรรมบถ 10 คุ้มครอง แหม.. เขาช่างมีความสุขจริง ๆ เหลือเวลานิดหน่อย

ขอให้เขาพาไปสนามบิน เขาบอกว่า สนามบินระหว่างในประเทศหรือต่างประเทศหรือต่างโลก แหม.. ในประเทศเราก็เคยเห็น ต่างประเทศเราก็เคยเห็น แต่ต่างโลก นี่ไม่เคยเห็น ก็ถามว่า คนต่างโลกมาที่นี่กี่โลก เขาบอกว่าที่มาประจำจริง ๆ คือ 3 โลก โลกทางทิศเบ้องซ้าย ถ้าหันหน้าไปทิศใต้ อยู่ด้ายซ้ายมือถึง 2 โลก และโลกอยู่หลัง คือ ทิศเหนืออีก 1 โลก

ก็ถามว่าทั้ง 3 โลก นี้ลงสนามบินเดียวกันหรือ เขาก็ตาอบว่า ลงคนละสนาม ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นขอไปชม แล้วในระหว่างทางก็ถามเขาว่า แต่ละสนามมีลักษณะท่าทางแตกต่างกันไหม เขาบอกว่าไม่แตกต่างกัน เหมือนกันทั้งหมด ก็เลย บอกว่า ถ้าอย่างนั้น

ขอชมสนามเดียว เขาก็พาไปชม ในที่นั้น ก็มีเครื่องบินในประเทศอยู่ด้วย ก็เพราะว่ามีทั้งเครื่องบิน มีทั้งเครื่องร่อน เครื่องร่อนคือจานหมุน ๆ นั่นแหละ มีทั้งเครื่องบิน มีทั้งจานบินก็ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ฟังง่ายดี ลักษณะมันเหมือนจาน เพื่อรองรับชาวต่างโลกที่มาลง แล้วเขาต้องการไปที่ไหน ก็พาไปที่นั่น

ในขณะที่ไป ก็พบเครื่องร่อนมาจากต่างโลก แต่ว่าเครื่องร่อน หรือเครื่องบินลักษณะมันไม่เหมือนกัน บางลักษณะมาจากโลกเดียวกัน คือรูปร่างคล้าย ๆ เรือเมล์ แต่มีปีกก็มี รูปร่างลักษณะคล้าย ๆ กับจานบินก็มี และต่างคนต่างมี พอเครื่องร่อนนั่นลงปั๊บรู้สึกว่า เรียบร้อยดีมาก เขาเปิดเครื่องขึ้นมาคนก็ลงมา การแต่งกายมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จึงเข้าไปถามคนที่มาจากต่างโลก ถามว่า ท่านมาจากโลกไหน เขาก็ตอบให้ทราบว่า มาจากโลกนั้น ๆ ตอนนี้ท่าน

ผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่ารู้ภาษาเขาได้อย่างไร ก็ตอบว่ารู้ภาษาจากอารมณ์ คือคิดว่าภาษาเขาเป็นอย่างไร ให้เราฟังเข้าใจ รู้เรื่องเหมือนภาษาของเรา แล้วภาษาที่เราพูดไป มันอาจจะไม่เหมือนภาษาของเขา แต่ตั้งใจคิดว่า ให้เขาฟังแล้วเข้าใจเหมือนภาษาของเขา ให้เขามีความรู้สึกว่า เราพูดภาษาของเขา เขาก็ตอบภาษาของเขามา เราก็ตอบภาษาของเราไป มันก็ลงตัวกันได้

ในเมื่อทุกอย่างลงตัวกันได้ ก็ถามความเป็นมาของเขา เขาก็เล่าความเป็นมา ถามว่า การที่เขาเคลื่อนที่มาจากโลกโดยต้องใช้ระยะเวลาบินกี่ชั่วโมง เขาถามว่าเป็นเวลาของโลกชมพูใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ ที่ถามนั้นก็เป็นพวกที่มาจากโลกทิศตะวันออก เป็นโลกใหญ่ ใกล้ ๆ หน่อย ไม่ไกลนัก แต่ไกลกว่าโลกของเราไปดวงจันทร์

เขาก็บอกว่า การใช้เวลาเดินทางมาที่นี่ ถ้าใช้เวลาของโลกชมพู ก็ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง ก็ถามเขาว่า โลกของท่านจริง ๆ อยากจะทราบว่า มันมีมืด มีสว่าง เหมือนกับโลกชมพูไหม เขาก็ตอบว่าโลกของเขาไม่มีมืด มีแต่สว่าง

ถามเขาว่า เวลาการนอน การพักผ่อนจะมีไหม เขาบอกว่ามี แต่การพักผ่อนไม่เสมอกัน คนนี้นอนเวลานี้ ตื่นเวลานั้น คนนั้นนอนเวลานี้ ตื่นเวลานั้น ก็เรียกว่า ทั้งเมือง ทั้งบ้านจะมีคนตื่น และคนหลับอยู่ตลอดเวลา การงานที่เขาทำทั้งหมด จะไม่มีอะไรคั่งค้าง ฟังแล้วน่าก็น่าปลื้มใจ นอนต่างเวลากัน ทำงานต่างเวลากัน ของเขามีสงว่างตลอด ก็ถามถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ

เขาบอกว่า เขามีครบครัน อันนี้ไม่ต้องอธิบาย ก็รวมความว่า ที่นี่มีความสะดวก ไม่ต่างไปจากโลกก็ได้ คนละโลกก็พูดรู้เรื่องกัน หันไปดูเจ้าหน้าที่เขาทักทายปราศรัยกันแบบกันเองทุกอย่าง พูดก็เหมือนกัน คล้าย กับว่า เขาจะมีภาษากลางของเขา แต่ถ้าเราฟังภาษากลางของเขาแล้ว มันเหมือน คล้าย ๆ ภาษาญี่ปุ่น สั้น ๆ อีโละโก๊เก๊ะ..เสียงหนัก ๆ เหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น

ในเมื่อถึงจุดนี้แล้วก็ตาม เจ้าหน้าที่ที่นำไป ถามว่า นอกจาพาหนะบนผิวดินคือรถยนต์ แล้วก็บนอากาศ คือเครื่องบิน หรือเครื่องร่อน นอกจากนั้น พานหะของท่านมีที่ไหนบ้าง เขาบอกว่า นอกจากบนผิวดิน และนอกจากอากาศ ก็มีใต้ดิน ก็ถามว่า มีอะไร บอกว่า มีรถไฟ มีรถยนต์ มีเมืองใต้ดิน แต่ความจริง เรื่องนี้ไม่แปลก เพราะโลกชมพูเรามีอยู่แล้ว ใต้ดินหลาย ๆ ประเทศ อย่างที่ประเทศอเมริกาก็มี ประเทศญี่ปุ่นก็มี หลาย ๆ ประเทศ เขาก็มีรถไฟใต้ดิน มีรถยนต์ใต้ดิน มีสถานอาคารใต้ดิน เขาก็มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ของแปลก โลกเราก็มี โลกเขาก็มี

แต่ว่าอยากจะถามเขาว่า เมืองใต้ดิน เป็นเมืองใหญ่ไหม เขาก็บอกว่า ใหญ่พอดู ถามว่า เส้นทางของเมืองใต้ดิน ใช้ความกว้างประมาณเท่าไร เอาเฉพาะเส้นทาง เขาบอกว่า เส้นทางเมืองใต้ดิน มี คือ รถยนต์ใต้ดิน รถไฟใต้ดินก็ตาม เป็นเส้นทางเดิน ก็มีความกว้างถ้าจะเทียบกับของเราก็ประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นความกว้าง

ถามเขาว่า เวลาขุดทางมันผ่านภูเขา ผ่านหินไหม เขาบิกว่า ผ่าน ก็ถามว่า ทำได้อย่างไร เขาบอกว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคนสร้างเครื่องจักร บริษัทสร้างเครื่องจักรเขามีความรู้ความสามารถ เขาทำได้

เอาละท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง คุยกันไปคุยกันมามองดูเวลา เหลือ นาทีเศษ ๆก็คงต้องลาก่อน เพราะจะหมดเวลา ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคงสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/3/09 at 15:04 [ QUOTE ]



(Update 23/03/52)

จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ


(ตอนที่ ๕)


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายและท่านผู้อ่านทั้งหลาย ต่อนี้ไปก็มาพบกับเรื่องของดาวถุงดำ ขอท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟังทั้งหลายโ ปรดทราบและจงอย่าลืมว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องนิทานเรื่องจริงๆ ก็มีอยู่ว่านักวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเขาส่องกล้องเห็นดาวถุงดำใช้ศัพท์ว่าอย่างนี้ ไอ้เจ้าดาวถุงดำนี้พฤติการณ์มีอยู่ว่าอะไรก็ตาม ถ้าเข้าไปใกล้มันมันดูดเข้าไปหมด แม้แต่แสงต่างๆ ก็ดูดเข้าไปจนกระทั่งมองไม่เห็นมีแค่นี้

ต่อมาก็นำเอาเรื่องดาวถุงดำมาตั้งต้นเป็นนิทาน เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาแล้วก็ตาม ที่จะว่ากันต่อไปก็ตามเป็นนิทานทั้งหมด และเรื่องของนิทานอาจจะพาดพิงธรรมะบ้างก็เป็นของธรรมดา

ก็รวมความว่าต่อไปนี้ก็มาฟังกัน หลังจากได้ติดตามท่านเจ้าของถิ่นไปชมสถานที่เมืองต่างๆและยานพาหนะต่างๆ ตลอดจนกระทั่งยานไปโลกต่างๆ ด้วยได้ชมยานพาหนะที่โลกต่างๆ มาสู่โลกนี้ ความจริงฟังแล้วก็ครึ้มดี แต่ถ้าเป็นจริงตามนั้นจะดีมากเลย หลังจากนั้นก็ลงมาที่เกาะ ขอโทษยังไม่ถึงเกาะ ที่ชายมหาสมุทรที่เมืองท่า ก็ให้ท่านเจ้าของถิ่นพาชมเมืองต่างๆ ก็รวมความว่าความเป็นมาทุกสิ่งทุกอย่างของเรากับของเขาคล้ายคลึงกัน แต่ว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกชมพูนี้เอ งคนพูดก็ไม่รู้ทั้งหมดว่ามีอะไรมาบ้าง แต่เรื่องราวของวิทยาศาสตร์เราต้องยอมรับ

เป็นอันว่าเขามีการคล่องตัวทุกอย่าง ทั้งค้าและทั้งขายคล่องตัวทั้งหมด สิ่งที่อยากจะทราบก็คือว่า ทางใต้ดินที่เรียกกันว่าอุโมงค์ หรือเมืองใต้ดินที่เขาบอกว่า ของเขามีแต่ความจริงที่โลกสีชมพูเราก็มี เท่าที่ทราบอย่างอเมริกาเขาก็มี อย่างญี่ปุ่นก็มี และมีหลายๆ ประเทศมันก็เป็นของไม่แปลกสำหรับคนผู้ฟัง แต่สำหรับผู้พูดเองก็รู้สึกว่าแปลก เพราะไม่เคยไปเคยแต่ลงอุโมงค์ที่ฮ่องกง มันก็เป็นอุโมงค์ใต้น้ำเฉยๆ ก็เลยตามเข้าไปดู ก็ปรากฏว่าทางใต้ดินของเขามีความกว้างประมาณ ๔ กิโลเมตรจริง มันกว้างมาก ไม่ใช่เฉพาะรถ รถก็มีสองทาง ทางไปและทางมา รถไม่สวนกันเดินกันคนละทาง และก็เลนที่สำหรับใช้วิ่งรถก็หลายเลนด้วยกัน รถมีมาก

แต่ว่าใต้ดินนี้ถามเขาว่า ยานเหาะมีไหม เขาบอกว่าสถานที่มันต่ำยานเหาะไม่มี แต่ว่ารถของเขาก็ดีมีทั้งรถไฟมีทั้งรถรางมีทั้งรถยนต์ แต่ก็ขาดรถเจ๊กกับรถม้าของเขาไม่มี ของเราเคยมี ทั้งสองข้างทางไม่เปลี่ยว มีบ้านเรือนโรงมีตึกมีห้องแถวเป็นแถวๆ ไปก็มีคนมากบ้างน้อยบ้างไม่มากนัก แต่พอนั่งรถไปประมาณสัก ๓๐ กิโลเมตรก็จะเจอะเมืองใหญ่ๆ

ในเมืองนี้ท่านเจ้าของถิ่นบอกว่า จะมีพลเมืองในเมืองนี้ประมาณ ๒ แสนคน มันก็ไม่เล็ก คือว่าเขาขุดอุโมงค์ลึกออกไปข้างๆ ตั้งตึกแถวบ้านช่องเรือนโรง คนจริงๆ ที่อยู่รู้สึกว่าทุกคนมีความสดชื่นหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าจะถามว่ามีอะไรบ้าง ถ้าบอกไปเมืองเราก็มีหมดแล้ว เพียงแต่บอกว่าที่นี่เขามีตุ๊กตา ตุ๊กตาบ้านเราก็มีมีผู้ชายกับผู้หญิง ผู้ชายกับผู้หญิงบ้านเราก็มี แต่ก็ไม่ได้ถามเขาว่าเมืองนี้มีกระเทยหรือเปล่า

และหลังจากนั้นก็จะถามเขาอีกว่ามีอะไรบ้าง ก็ไม่น่าแปลกไม่น่าถาม แต่ว่าสิ่งที่ถามก็คือว่า เมืองนี้ขุดลงลึกใต้ดินประมาณเท่าไร เจ้าหน้าที่ที่นำไปเขาบอกว่า เขาก็ไม่ได้ถามช่างเหมือนกัน แต่รู้สึกว่ามันลึกมาก ถามเขาว่าเวลานี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเลไหม เขาบอกว่าไม่ใช่ใต้ระดับน้ำทะเล ใต้ท้องทะเลลึก ลึกกว่าท้องทะเลลงไปอีก เส้นทางนี้ทั้งหมดลอดมหาสมุทรลอดใต้เมืองพื้นแผ่นดินด้วย แล้วก็ลอดมหาสมุทรด้วยไปตามเมืองเกาะกลางน้ำต่างๆ ซึ่งมีหลายเมือง ก็ถามเขาว่าเมืองทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นเมืองขึ้นหรือเปล่า เขาบอกว่าเปล่าไม่ใช่ เป็นเอกราชเขาเป็นเมืองปกครองกันเอง

ก็เลยบอกเขาว่าอยากจะไปในเมืองนั้น เขาบอกไปได้จะนำไป แล้วก็นั่งรถไปชมทิวทัศน์ทั้งสองข้างอย่างสะดวกสบายมีความสุข พอไปถึงบริเวณอีกเมืองเมืองหนึ่ง ใต้บาดาลเมืองนี้ไม่โตนักเป็นเมืองเล็กๆ เขาบอกว่ามีพลเมืองประมาณ ๒ หมื่นคน เขาบอกว่าที่เมืองเมืองนี้แหละ เป็นทางมีทางขึ้นเมืองในเกาะในทะเล เมืองที่อยู่กลางมหาสมุทร ฃหรืออยู่กลางทะเล เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นหรือฟิลิปปินส์แบบนี้แหละ

แต่ก็มีทางขึ้นบก ก็บอกเขาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็อยากจะขึ้นบก ก็บอกเขาว่าถ้าอย่างนั้นก็อยากจะขึ้นบก เขาก็นำวิ่งรถไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าความเป็นเนินขึ้นทีละน้อยๆ ขึ้นสะดวกมากลาดชันน้อยๆ ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้สึก สักประเดี๋ยวหนึ่งก็ปรากฏว่าขึ้นเหนือพื้นแผ่นดิน ก็ปรากฏว่าไอ้ที่ตรงนั้นเป็นเมืองเกาะมีเกาะน้ำล้อมรอบ แต่ไม่ใช่เกาะเล็กๆ ที่ทราบว่าเป็นเกาะน้ำล้อมรอบ ก็เพราะว่าขึ้นชายเกาะเห็นน้ำเป็นแนวไกล แต่ว่าถ้าจะมองตัดผ่านศูนย์กลางให้ดูด้านเกาะทางโน้นไม่เห็นกันแน่มันไกลมาก

ถามเขาว่าเกาะนี้มีเนื้อที่กี่ตารางกิโลเมตร เขาบอกว่ามีเนื้อที่ประมาณ ๒ แสนตารางกิโลเมตร ก็เป็นเมืองใหญ่มากก็เป็นประเทศประเทศหนึ่ง และก็ถามเขาบอกว่าถ้าหากว่าเมืองนี้อยู่กลางเกาะลมพายุหนักๆ จะมีไหม เขาก็บอกว่าถ้าหากว่าลมพายุหนักๆ เข้ามาเมืองนี้มันไม่กลางเป็นเมืองใต้น้ำหรือ เขาก็บอกว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่เขาอยู่กลางทะเลมาเป็นประจำ เขามีการป้องกันกระแสน้ำไม่ให้น้ำมีกำลังแรงนัก เมื่อขึ้นไปบนเกาะของเขาแล้ว ผู้นำเขาก็พาไปชายทะเลไปไกลห่างกันประมาณ ๓ กิโลเมตร ก็เห็นกำแพงสูงตระหง่าน กำแพงมีความสูงมาก

ก็ลืมไปไม่ได้ถามเขาว่ากำแพงที่เห็นมันสูงกี่เมตรกันแน่ มันสูงกว่าศรีษะหลายๆ เท่าเป็นกำแพงกั้นรอบๆ เท่าที่ตาเห็นเป็นกำแพงกันรอบชายน้ำทั้งหมด เขาจึงพาเข้าไปทางประตูที่ออก พอถึงทางออกก็มีทางออกใหญ่ที่เรียกว่ารถขนาด ๕ - ๖ คัน เรียงเข้าไปยังไม่เต็มทาง เมื่อออกทางนั้นแล้วก็ไปสักครู่หนึ่งก็ไปเจาะกำแพงอีกด้านหนึ่งอีกชั้นหนึ่งหรืออีกตอนหนึ่ง เป็นกำแพงกั้นตรงเลี้ยวซ้ายไปนิดหนึ่งเดินไปสักครู่หนึ่งก็ไปเจอะประตูทางออกต่อไป เมื่อเดินตรงไปแล้วก็ไปเจอกำแพงอีกชั้นหนึ่งเป็นกำแพงสูงเหมือนกัน

ถามเขาบอกว่ากำแพงนี้เขาทำไว้ทำไม ผู้นำก็บอกว่ากำแพงนี้ชาวเกาะเขามีความฉลาดคลื่นลมตามธรรมดา ถ้าธรรมดาๆ แล้วเขาไม่กลัวกัน แต่ก็เป็นธรรมดาอยู่เองคลื่นลมที่มีความแรงมากมีอยู่ แต่คลื่นลมจะแรงมากจะขนาดไหนก็ตาม จะทำลายบ้านเรือนเขาไม่ได้ เพราะว่าเขาชินต่อการป้องกัน แต่ทว่ากระแสน้ำอาจจะตีขึ้นเกาะเขาได้ ฉะนั้นเขาจึงหาทางป้องกันกระแสน้ำ น้ำส่วนที่กระแทกกำแพง จะต้องสะท้อนกลับไปมหาสมุทร ส่วนที่เหนือขึ้นไปนั้นเหนือกำแพงขึ้นไปก็จะตกลงในช่วงช่องของกำแพง
ถ้าคลื่นมาอีกก็เป็นแบบนี้ จะทำให้กระแสน้ำมีกำลังอ่อนก่อนที่ไหลเข้าเกาะ การจะไหลเข้าก็ไหลลำบาก เพราะช่องไม่ตรงกันมันเยื้องกัน กระแสน้ำที่ไหลเข้าแล้วและตกแล้วก็ไหลออกมหาสมุทร เขาทำแบบนี้เขาบอกว่าเป็นการป้องกันแผ่นดินเขาเปียกน้ำได้ดีมาก คือว่าน้ำจะไม่เข้าถึงแผ่นดินใหญ่ ถ้าเข้าถึงบ้างก็มีเล็กน้อยมีแต่กระแสน้ำฝนกระแสน้ำของคลื่นจริงๆ ไม่สามารถจะเข้าถึง เพราะกำลังของคลื่นจะตกลงในระหว่ากำแพงที่เขากั้นไว้ มองดูเขาก็ชื่นใจในความฉลาด แต่ความจริงเรื่องความฉลาดอย่างนี้ก็ถือว่าไม่ใช่ความฉลาดเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนทุกคนย่อมคิดได้ คนทุกคนสามารถสั่งการได้แต่ทุนทรัพย์ที่จะพึงทำมันไม่มี

หลังจากนั้นก็ชวนเขาเข้าไปในเขตตลาดเข้าไปในเมือง ในเมืองก็มีสภาพเช่นเดียวกัน มีของทุกอย่างพร้อมมูลบริบูรณ์ทั้งหมด คนก็รูปร่างลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกัน ทั้งบนบกและในทะเลคล้ายคลึงกันมากไม่แตกต่างกัน อย่างคนไทยกับฟิลิปปินส์ก็มองยากเหมือนกันคล้ายคลึงกันมาก คนของเขาก็มีสภาพแบบนี้ไม่เหมือนเช่นเรากับญี่ปุ่น ของเราพอถึงญี่ปุ่นแตกต่างไปเยอะแล้ว พอเข้าไปในอินโดนีเซียก็รู้สึกว่าแตกต่างกันมากสังเกตง่าย แต่คนไทยกับฟิลิปปินส์สังเกตยากเว้นไว้แต่พูด ถ้าไม่พูดจะไม่รู้ว่าใครเป็นใครสังเกตกันยาก ข้อนี้ฉันใดเมืองของเขาเมืองนี้กับเมืองบนบกที่ผ่านมาแล้วก็มีสภาพเช่นเดียวกัน

ในเมื่อเขาชวนเดินไปบ้างนั่งรถไปบ้างชมตลาดของเขาก็ไม่หนาแน่นเหมือนของเราคนไม่มากเท่าเรา แต่สิ่งของที่ส่งมาทางเรือก็มีมาก โดยมากที่มาจากบนบกมักจะเป็นพืชไร่และของป่า แต่ของที่ชาวเกาะส่งไปขายบนบกเป็นของที่ประดิษฐ์ขึ้นทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ ก็รวมความว่าก็เป็นของธรรมดาอีก จึงเดินเข้าไปในจุดๆ หนึ่ง ในที่นั้นมีสถานที่แปลก ที่ว่าแปลกก็เพราะว่าเป็นตึกไม่สูงเท่าตึกอื่น ตึกเขาสร้างสูงๆ กว้างขวางใหญ่โตสวดสดงดงามมาก มีแสงสว่างแพราวพราวไปด้วยไฟฟ้า

เครื่องไฟฟ้าไม่ต้องห่วงของเขาดีแน่ แต่ว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือว่า สถานที่นั้นสร้างไม่เหมือนบ้านทุกหลังที่มีอยู่ที่เคยเห็นมามียอดแหลมๆ และก็มีหลังคาคล้ายๆ กับช่อฟ้า มีทรงแปลกๆ รู้สึกว่าสวยสะดุดตา จึงถามเขาว่าสถานที่นั้นเป็นอะไร เขาบอกว่าที่ตรงนั้นเป็นศูนย์ศึกษาพระศาสนา ก็ถามเขาว่าศาสนาที่เขานับถือเป็นศาสนาอะไร เขาบอกว่าเรื่องศาสนาทีนี้ไม่บังคับกัน ใครจะนับถือศาสนาอะไรก็ได้ แต่ว่าทุกคนต้องปฏิบัติให้เหมือนกันหมด นั่นคือ พรหมวิหาร ๔ และ กรรมบถ ๑๐ อันนี้ต้องเหมือนกันทุกคนในประเทศนี้และทุกๆ ประเทศ เรียกว่าในโลกนี้ต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด นอกจากนั้นคำสอนของท่านผู้ใดจะสอนไปแบบไหนก็ช่างเถิด แต่ว่าจะละเมิดพรมวิหาร ๔ กับกรรมบถ ๑๐ ไม่ได้

ก็ถามเขาว่านั้นเป็นเรื่องทั่วๆ ไปแต่ศาสนาจริงๆ ที่ยอมรับนับถือกันส่วนใหญ่ เขาบอกว่านั่นก็คือ "พระพุทธศาสนา" ก็ถามเขาว่าพระพุทธศาสนายอมรับนับถือกันมาตั้งแต่เมื่อไร เขาบอกว่าบรรพบุรุษบอกมาว่านับถือพุทธศาสนากันจริงจังเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีเศษ นับอายุหรือนับปีในจักรวาลของโลกชมพู แต่จักรวาลของโลกเขาเขาไม่ได้บอก แต่คนของเขาจริงๆ ถ้านับอายุในโลกสีชมพูแล้ว จะมีอายุถึง ๑๒,๐๐๐ ปีเป็นอายุขัย ฉะนั้นเวลานี้คนที่นำทางเขานับอายุในโลกของเราได้ ๘,๐๐๐ ปี ในเมื่อเขามีอายุตั้ง ๘,๐๐๐ ปี เขาก็ต้องพบพระพุทธศาสนาแน่เลย ถามเขาบอกว่าพระที่มาเทศส่วนใหญ่เป็นใคร เขาบอกว่าในสมัยนั้นจริงๆ ส่วนใหญ่เป็น พระโมคคัลลาน์

แล้วก็ถามว่าพระองค์อื่นมาบ้างไหม เขาก็บอกว่ามา ถามว่าการมาของท่านท่านมาอย่างไร เขาบอกว่าท่านก็ลอยมาแบบนี้แหละเป็นพระที่ลอยได้ ก็บอกกับเขาว่าเวลานี้พระโมคคัลลาน์นิพพานไปแล้วเขาทราบไหม เขาบอกว่าเขาทราบ ถามเขาว่าเขารู้จักพระพุทธเจ้าไหม เขาบอกว่าเขารู้จัก ถามว่าเคยเห็นตัวไหม เขาบอกว่าเขาไม่เคยเห็นตัวไม่เคยเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารูปร่างลักษณะอย่างไร เอาตัวจริงๆ กันแต่พระโมคคัลลาน์เคยทำปาฏิหาริย์ให้เห็น ให้เห็นพระพุทธเจ้ามีรูปร่างลักษณะสวดสดงดงามมาก ก็ถามเขาว่าเวลานี้พระอรหันต์ทั้งหลายท่านนิพพานไปแล้ว ยังจะมีพระอะไรมาสอนบ้างไหม เขาก็บอกว่ามี

ถามเขาว่าท่านมาบ่อยๆ หรือนานๆ มาครั้งเขาบอกว่าถ้าจะนับเวลาในโลกชมพูกันจริงๆ ก็จะประมาณ ๓ เดือนมีมาครั้งหนึ่ง ก็ถามเขาว่า ๓ เดือน ท่านมาครั้งหนึ่งรู้สึกว่านานไปไหม เขาก็ตอบว่าไม่นาน เพราะคำสอนของท่านแต่ละอย่างท่านสอนไว้ แม้จะน้อยแต่ว่าเราก็ปฏิบัติกันไม่ค่อยได้ ถ้าจะใช้คำว่านานก็หมายความว่าปฏิบัติได้แล้วนานแล้วท่านไม่มาต่อให้ อันนี้ควรจะว่านาน และความรู้การปฏิบัติที่ท่านสอนพวกเรา พวกเราปฏิบัติไม่ค่อยจะถึงท่าน

จึงถามเขาว่าในเมื่อทุกคนที่นี่ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ และกรรมบถ ๑๐ และคำสอนของพระโมคคัลลาน์ท่านสอนอย่างไรต่อไปอีกเขาบอกว่าท่านก็แนะนำให้ละสังโยชน์สังโยชน์มี ๑๐ อย่าง ถ้าพูดไปแล้วก็เหมือนของเรา ก็บอกว่าการละสังโยชน์ ๑๐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังโยชน์ ๓ เบื้องต้น ท่านทำได้ไหม เขาบอกว่าเขาทำได้แต่มันไม่หมด การทรงตัวยังไม่แน่แท้นัก ก็ถามว่าข้อไหนที่ถือว่ายากที่สุด เขาบอกว่าทุกข้อไม่ยาก แต่ก็ไม่มีความมั่นใจว่าทำได้จริงๆ อันนี้เขาไม่ประมาทจริงๆ

ก็เลยบอกว่าในเมืองโลกนี้ทั้งโลกบังคับว่าต้องปฏิบัติในพรหมวิหาร ๔ และกรรมบถ ๑๐ ในเมื่อสองอย่างนี้ครบถ้วนทุกคนก็เป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามีได้แล้ว คือว่าทุกคนยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และถ้าปฏิบัติในศีลและกรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วนก็เป็นพระอริยะเบื้องต้นคือ พระโสดาบันหรือสกิทาคามี เขาบอกว่า ๒ อย่างนี้ไม่หนัก แต่มันหนักอีกอย่างหนึ่ง ถามว่าหนักอะไร เขาก็ตอบว่าหนักในการเห็นตัวทุกข์ คนโลกนี้จริงๆ ไม่ค่อยจะเห็นทุกข์ ทุกอย่างมันสุขหมด จะกินเมื่อไหร่ก็มีกิน จะนอนเมื่อไหร่ก็ได้ อันตรายๆ ก็ไม่มีการระมัดระวังต่างๆ ก็ไม่มี นอนหลับตื่นขึ้นมาของหายแบบโลกชมพูก็ไม่มี นั่งอยู่ดีๆ ถูกจี้เอาเงินเอาทองไปแบบโลกชมพูนี้ เขาสรรเสริญโลกชมพูเราน่ะ

เป็นอันว่าโลกชมพูของเราเขาสรรเสริญมากกว่า นักจี้ก็มีนักปล้นก็มีนักล้วงกระเป๋าก็มี..มีทุกอย่าง เขาบอกว่ายิ่งไปกว่านั้นโลกชมพูยังมีความรู้พิเศษ คือความรู้บวก คำว่า "บวก" หมายถึงว่าหากำไร ของอย่างนี้ซื้อมาเท่านี้บอกราคาเท่าโน้น แล้วขายเท่าโน้น ต่อไปอีกของซื้อมาหนึ่งบาทบอกว่าหกสลึงขายสองบาท ในขณะที่บอกราคานี้เป็นกำไรในตัวอย่างนี้ เขาเรียกว่า "บวก" อย่างนี้โลกชมพูก็มี แต่ว่าชินโลกนี้ไม่มี พอเขาพูดให้ฟังก็มีความเข้าใจว่า คนโลกนี้ไม่เข้าใจในทุกข์

และเขาพูดต่อไปว่า ข้อหนึ่งของสังโยชน์นั้นคือ สักกายทิฏฐิ ที่พระโมคคัลลาน์สอนให้เห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา คือ "เรา" กับร่างกายแยกกันออกไป ร่างกายถ้ามันตายแล้วเราไม่ตาย เรามีความดีคือบุญทำไว้ไปสวรรค์บ้าง พรหมโลกบ้าง ไปนิพพานบ้าง ถ้าเรามีความชั่วมีบาป เช่นปาณาติบาตเป็นต้น ก็ไปเกิดเป็นเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัชฉานบ้าง ลงนรกไปบ้าง

และให้ถือว่าว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ความตายจะมาถึงเราเมื่อไรก็ได้ อย่างนี้คนโลกนี้ไม่เข้าใจ ก็ถามเขาว่าทำไมถึงไม่เข้าใจ เขาก็บอกว่าคนโลกนี้จริงๆ จะต้องมีอายุ ๑๒,๐๐๐ ปี มันไม่ตาย จะถือว่าความตายจะเข้าถึงเราเมื่อไรก็ได้ มันก็นึกไม่ออก นึกได้แต่เพียงว่า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีความตายเป็นที่สุด แต่ก็มองไม่เห็นทุกข์ คิดว่าถ้าเราเกิดมาเป็นคนต่อไปอีกเราก็มีความสุข อย่างนี้เวลานี้มีความสุข เราไม่มีรถใช้เราก็โดยสารรถได้ ราคารถก็ไม่แพง เราไม่มีเครื่องบินใช้เราก็โดยสารเครื่องบินได้ จะไปเมื่อไรก็ได้เครื่องบินมีเยอะ ค่าพาหนาะก็ถูกคือว่าประเทศนี้ไม่ได้ใช้น้ำมัน

ก็รวมความว่า คุยกันไปคุยกันมาเวลามันก็มาก คนฟังรำคาญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เมื่อสรุปแล้วคนโลกนี้คิดว่าพระโสดาบันเป็นของยาก และยากข้อเดียวคือ "สักกายทิฏฐิ" ก็น่าเห็นใจเขา แต่ความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ เขามีจริง หลังจากนั้นก็ชวนบอกว่า ถ้าอย่างนั้นอาคารหลังนี้เป็นอาคารสอนศาสนาใช่ไหม เขาบอกว่าใช่ ถามเขาว่าเวลานี้มีพระมาไหม เขาแลเห็นธงสีเหลืองยกขึ้นเขาบอกว่า เวลานี้พระกำลังเทศน์ แล้วก็บอกเขาว่าถ้าอย่างนั้นต้องขออภัยที่รบกวนท่าน ทำให้ท่านไม่มีโอกาสได้ฟังเทศน์

เขาก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร ที่นี่เป็นเมืองเกาะสำหรับเขา เขาฟังมาแล้วจากเมืองบนพื้นดิน พระท่านเทศน์ที่โน่นแล้วก็มาเทศน์ที่เมืองบนเกาะนี้ ก็ถามเขาว่าเวลาที่พระเทศน์ เราจะเข้าไปได้ไหม เขาบอกว่าพระท่านเทศน์ความจริงท่านไม่ได้พูดคนเดียว ท่านพูดกับคนเป็นแบบสนทนากัน เรียกว่า "เทศน์" ท่านถามถึงความเข้าใจในเรื่องที่ท่านพูดไหม อย่างนี้เข้าใจไหม อย่างนั้นเข้าใจไหม เรียกว่ารู้เรื่องกัน เราเข้าไปได้มาถึงเมื่อไรก็ฟังเทศน์ได้คุยเทศน์ได้ คำว่า "คุยเทศน์" ก็หมายความว่าเราถามได้ จึงชวนให้เขานำเข้าไปในสถานที่สอนศาสนา

พอเข้าไปในสถานที่นั้น ก็ปรากฏว่าที่บริเวณกว้างขวางจริงๆ ตึกด้านหน้าที่มองเห็นด้านหน้าเป็นมุข แสดงว่าที่นี่เป็นที่สอนศาสนา แต่เข้าไปข้างในเป็นตึกใหญ่มาก บริเวณกว้างขวางมาก มีแสงสว่างมีความเย็นดีมาก และเครื่องขยายเสียงเขาก็ดีมากจริงๆ ใครจะพูดเมื่อไรก็ได้ยินกันทั่วเมื่อนั้น ไมโครโฟนเขาก็ไม่ต้องตั้งให้ชูสูงอย่างไมโครโฟนของเรา อย่างที่คนพูดนี้ไมโครโฟนตั้งสูง ของเขามองไม่เห็นอยู่กับพื้นนั่งโต๊ะปุ๊บเป็นพบไมโครโฟน คือช่องเล็กๆ และก็พูดได้ทันทีใครพูดขึ้นมาคนอื่นได้ยินหมด

เมื่อเข้าไปในที่นั้นเจอะพระท่านกำลังนั่งอยู่บนธรรมาสน์งามสง่ามาก องค์โตกว่าคนธรรมดามากใหญ่มาก ก็ทราบได้ทันทีว่าการแสดงองค์แบบนั้น ต้องเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ ก็ถามคนที่เขานำว่าองค์นี้พระอะไร เขาบอกว่าองค์นี้คือ พระโมคคัลลาน์ ที่ท่านบอกว่า "พระโมคคัลลาน์นิพพานแล้ว" สำหรับโลกโน้นแต่โลกนี้พระโมคคัลลาน์ไม่เคยนิพพาน ท่านมาตามเวลาของท่านจริงๆ องค์ใหญ่ขนาดนี้คนในพื้นพิภพนี้ทั้งหมด เรียกว่าโลกนี้ทั้งหมดเขาเรียกองค์นี้ว่าเป็น "พระใหญ่" ที่บางคนในโลกชมพูเขามีคนมาแล้วนะ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะคณะของท่าน เขามีคนมาแล้ว

เขาเคยถามว่าโลกนี้มีพระพุทธศาสนาไหม ก็บอกเขาว่ามี เขาถามว่าพระอะไรมาสอน ก็บอกเขาว่าส่วนใหญ่พระองค์ใหญ่มาสอน คำว่า "พระองค์ใหญ่" ก็หมายถึงพระโมคคัลลาน์ เวลานั้นท่านกำลังเทศน์ เข้าไปด้านนั้นรู้สึกว่าท่านหันมาข้างหน้า แต่คนนั่งทุกๆ ด้านก็มีความรู้สึกว่านั่งข้างหน้าท่านทั้งหมด อันนี้เป็นปาฏิหาริย์ใหญ่ตามบาลีบอกว่าอาการอย่างนี้จะแสดงได้เฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่นั่นก็หมายความว่าทุกองค์ยังมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่ เวลานี้อัครสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู คือพระโมคคัลลาน์ท่านนิพพานไปแล้ว

คำว่า "นิพพาน" แปลว่า "สูญ" เมื่อวันที่ ๑๖ เด็กนักเรียน "สตรีวิทยา" มาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดท่าซุง เธอถามว่านิพพานเขาบอกว่าสูญใช่ไหม ก็ตอบว่าเขาแปลว่าสูญ เธอก็ถามว่าสูญหมายถึงสลายไปเลยหายไปเลยใช่ไหม ก็ตอบว่าใช่ เธอก็ถามว่าเวลาปฏิบัติกรรมฐานจริงๆ ทำไมจึงมีความรู้สึกสัมผัส นี่เป็นอันว่าเด็กนักเรียนเธอบอกว่านิพพานมีความรู้สึกสัมผัส สัมผัสรู้ว่านี่เป็นนิพพาน จะพูดกันง่ายๆ ก็หมายความว่านิพพานนี่ เธอสัมผัสมีตัวมีตน

ก็เลยบอกกับเธอว่า นิพพานก็ดี สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นต้น เขาเรียกว่า "นามธรรม" แต่สิ่งที่ประสบของเธอเป็นรูปขึ้นมา เขาเรียกว่า รูปในนาม คือส่วนที่เป็นนามก็มี "รูปของนาม" เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ก็ต้องใช้กำลังจิตสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องกล่าวว่า ต้องใช้ทิพจักขุญาณสัมผัสใช้ตาเนื้อไม่ได้ ต้องใช้ "ตาใจ" คือตาเป็นทิพย์

เอาละ..บรรดาท่านพุทธบริษัทมองดูเวลาเหลือนาทีเศษๆ ก็จะหมดเวลาแล้ว..ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน..สวัสดี

◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตาม "ตอนจบ" ต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/5/09 at 09:22 [ QUOTE ]



(Update 2/05/52)

จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ


(ตอนที่ ๖ ตอนจบ)


ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟังทั้งหลาย มาตอนนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง "เมืองชินโลก" หรือ "โลกถุงดำ" หรือ "ดวงดาวถุงดำ" กันต่อไปก็ขอท่านผู้อ่านก็ดี ท่านผู้ฟังก็ดี อย่าลืมว่าเป็น "นิทาน" แต่ว่านิทานพระพูดก็ธัมมะธัมโมที่น่ารำคาญผสมอยู่ด้วย เป็นของธรรมดาเพราะว่าสถานีวิทยุเขาถือว่า วันนี้เป็นรายการธรรมะ ก็ว่ากันเรื่อยๆ ไป เป็นธรรมะบ้างหรือเป็นอะไรบ้างก็ตามเรื่อง เป็นนิทานบ้าง เป็นธรรมะไปบ้าง แต่ว่าตอนท้ายๆ ธรรมะจะมากหน่อย เพราะเรื่องของโลกนี้มันหมด ถ้าคุยกันไปก็มีแต่เรื่องช้ำๆ เรื่องของคน

แต่ก็มีจุดๆ หนึ่งเป็นของที่โลกเราก็มีนั่นคือเรือนกระจก ในน้ำในมหาสมุทรเขาก็มีทางลงจากบก เหมือนกับอุโมงค์รถลอดอุโมงค์จากนี้ไปโน่นนั่นแหละ เหมือนกับที่ฮ่องกงคือลอดจากอีกฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่งลอดมหาสมุทรไป ลงไปในน้ำไปถึงเรือนกระจก เรือนกระจกเขาสวยสดงดงามมากมีไฟฟ้าสว่าง มีแสงสว่างมากมีเครื่องยิงเครื่องยิงให้ปลาคือไม่ใช่ยิงปลา เครื่องยิงอาหารให้ปลา ไปชมปลาต่างๆ มีความสวยสดงดงามมีสีหลากๆ กัน

ปลากับคนไม่เป็นศัตรูกัน เพราะคนไม่กินปลา ปลาก็เลยไม่กลัวคน ก็มีสถานที่บางจุด ถ้าคนจะออกไปว่ายน้ำเล่น ก็มีเครื่องประดาน้ำสำหรับหายใจได้ เพราะมันใต้ส่วนลึกของมหาสมุทรเขาก็มีเครื่องยิง ยิงปุ๊ปไปเหมือนกับทหารเรือยิงตอร์ปิโด แต่ว่ายิงไปแล้วขากลับก็เข้ามาถึงจุดที่เข้าก็ดูดเข้ามา อันนี้เป็นของไม่ยากโลกนี้ก็ทำได้ โลกโน้นก็ทำได้

แต่ว่าที่น่าแปลกใจก็คือ คนพูดไม่เคยลงเรือนกระจกในโลกนี้ แต่ก็ไปลงเรือนกระจกในโลกนั้น เรือนกระจกของเขามีมากจากเรือนนี้แล้ว ถ้าจะไปเรือนโน้นก็มีอุโมงค์ไป เป็นทางไปก็มียานสำหรับเป็นพาหนะเป็นรถย่อมๆ วิ่งไปได้ แล้วไปถึงเรือนโน้นแล้วก็ไปถึงเรือนโน้น

เรื่องอาหารการบริโภคไม่ห่วง เขามีพร้อมระบบอากาศหายใจเขาก็ดี ไม่เห็นมีอะไร เข้าไปในเรือนกระจกก็ไม่ต้องใส่หน้ากากไม่มีออกซิเจนไม่มีอะไรทั้งนั้น เดินกันแบบสบายๆ เพลิดเพลินจะพรรณนาความสวยสดงดงาม ดีไม่ดี ปลาในโลกชมพูเราอาจจะสวยกว่า เพราะว่าก็ไม่รู้จักปลาทุกประเภท

ถ้าจะถามว่าเห็นปลาทำอันตรายกันไหม ก็ขอตอบว่าเห็น เพราะปลาไม่มีพระเทศน์สอนให้ปลาไม่ทำอันตรายกัน ก็มีปลาทำอันตรายกันก็มีให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นปลามาล้อมรอบเรือนกระจก รับอาหาร คนที่ไปทุกคนต่างคนต่างก็ซื้ออาหารให้กับปลา ใส่เครื่องยิงยิงไปแล้ว อาหารก็พุ่งออกไปกระจายออก แล้วก็แย่งกันกินตามระเบียบของปลา

จุดนี้จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไร ถามเขาว่าเรือนกระจกยังมีอีกมากไหม ยังเห็นมีทางต่อไป เขาบอกว่ามีมากเพราะเมืองในมหาสมุทรเขาได้เปรียบ เขาไม่เก็บค่าผ่านประตูเข้ามาชมเรือนกระจก ค่าพาหนะที่จะมาส่งที่จะส่ง เขาก็ไม่เก็บ แต่ว่าเขาขายอาหารที่ให้กับปลา คนจะเลี้ยงปลาต้องซื้ออาหารจากเขา และอาหารที่ซื้อก็รู้สึกว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับโลกเรา มันต่างกันเยอะราคาของเขาถูกมาก เพราะความเป็นอยู่ของเขาดี

รัฐบาลเขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเก็บภาษีให้มาก เพราะบรรดาข้าราชการทั้งหมดข้าราชการเขาก็มีไม่มากอย่างของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรวจอย่างเดียวก็เข้าไปเป็นแสนแล้ว ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อบุคคลสูง เฉพาะเงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยงก็ยังแถมค่าพาหนะ ค่าโรงแรม ค่าห้องพักอีก นอกจากนั้นเครื่องอาวุธยุทธโธปกรณ์ก็ต้องมาก ก็ต้องจ่ายสตางค์แล้วยานพาหนะก็ต้องใช้ต้องใช้เยอะ

ของเขาก็มียานพาหนะเหมือนกัน แต่ว่ายานพาหนะของเขาไม่เปลืองสตางค์ เพราะเขาไม่ได้ใช้น้ำมัน เขาใช้รังสีของแร่ จะถามเขาว่าแร่อะไร เขาก็ไม่ได้บอกก็ไม่ได้ถามไม่ได้ซัก เพราะเห็นว่าโลกเราใช้ยูเรเนียมเป็นกำลังขับเคลื่อนกันอยู่แล้ว ของเขาอาจจะมีเหมือนเรา เราอาจจะมีเหมือนเขาก็ได้ ก็รวมความว่าไม่ได้ซักถามและจุดนี้อีกจุดหนึ่งเป็นสิ่งที่น่าเที่ยว หลังจากนั้นก็กลับ

เมื่อกลับขึ้นมาบนบกแล้วก็ชวนคนพาเจ้าของถิ่นว่า อยากจะขึ้นบนบกอีกฝั่งมหาสมุทรหนึ่ง เขาก็บอกว่าเมืองเกาะมีมาก จะไปแวะเมืองเกาะอื่นๆ ไหม ก็เลยบอกว่ามันมีสภาพแตกต่างกันไหม เขาบอกว่าแตกต่างกับบ้างนิดหน่อย ส่วนใหญ่ก็เหมือนกันก็เลยบอกว่า ถ้ามันเหมือนกันไม่ไปดูดีกว่า ไปดูแล้วก็ไม่ทราบว่าจะนำอะไรไปได้ ของสักชิ้นหนึ่งที่มาที่นี่ก็ไม่มีโอกาสจะนำไป

เขาก็บอกว่า เอ๊ะ..ก็เหมือนพระที่ท่านเทศน์ก็เหมือนกัน คนเขาก็มีศรัทธาเมื่อฟังเทศน์แล้วก็ถวายอย่างโน้นถวายอย่างนี้ แต่เวลาพระท่านจะไป ท่านบอกว่าทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นที่ไหนให้อยู่ที่นั่น นั่นก็หมายความว่า ท่านมอบไว้กับเจ้าหน้าที่ เจ้าของวัด เจ้าของสถานที่พระศาสนา

แล้วเจ้าของสถานที่พระศาสนาก็ทำการจัดสร้างบ้าง จัดของ หาซื้อของใช้ต่างๆ นานา ก็รวมความว่ามีทุกอย่างเท่าที่เกิดขึ้นมาแล้ว ที่เห็นเมื่อกี้นี้ ก็เพราะว่าเงินที่เหลือจากพระท่านเทศน์ พระท่านเทศน์แล้ว ท่านก็ไม่ได้นำไป ก็เลยบอกเขว่า การที่ไม่นำไปของพระท่าน ท่านอาจจะไม่นำไปเพราะจิตเมตตาก็ได้ หรือท่านไม่สะสมทรัพย์สิน ท่านไม่มีความจำเป็นในทรัพย์สินก็ได้ แต่สำหรับข้าพเจ้าที่ไม่นำไปก็เพราะว่าแบกไปไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าวัตถุชนิดหนึ่งก็ไม่สามารถจะแบกไปได้

เขาถามว่า ถ้าอย่างนั้นมาที่นี่อยากได้อะไรบ้าง ก็เลยตอบเขาตรงไปตรงมาว่า การมาที่นี่ไม่ใช่อยากได้อยากรู้อย่างเดียว มีความอยากเหมือนกัน อยากจะรู้ว่าไอ้ถุงดำในอากาศที่นักวิทยาศาสตร์เขามองเห็นมันคืออะไรกันแน่

เขาก็ย้อนถามว่า ท่านเข้าใจ "ถุงดำ" แล้วหรือยัง ก็บอกว่าเข้าใจแล้ว เพราะว่าไปในอุ้งของถุงดำ ในท้องของถุงดำ เคยเห็นอะไรบ้างก็บอกว่า เรือบินก็เห็น ยานพาหนะที่มีลักษณะกลมๆ อย่างของท่านมีก็เห็น แล้วก็ดวงดาวต่างๆ ที่ลอยเข้าไปก็เห็น

เขาก็ถามว่าดวงดาวต่างๆ มีลักษณะแตกต่างกันไหม ก็บอกว่าดวงดาวที่เข้าไปมันคล้ายคลึงกันก็มี มีลักษณะแตกต่างกันก็มี ดวงดาวบางดวงดาวก็มีขุมทรัพย์อยู่หลังดวงดาวนั้นบนผิวโลก ถามเขาว่าที่นั่นท่านเคยไปไหม เขาบอกว่าถ้าบินรอบโลกนั่งเครื่องบินก็ต้องผ่านจุดนั้น เขาบอกว่าบินรอบจากสูงไปต่ำถ้าบินรอบข้างๆ ก็ไม่ต้องผ่านก็ถือว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่ที่เที่ยวของคนโลกนี้ โอ้โฮ..น่าอัศจรรย์..!

ก็ถามเขาว่า เคยเห็นทรัพย์สินไหม เขาบอกว่าเคยเห็น ถามเขาว่าไอ้ธาตุเหลืองๆ อร่ามที่นี่เขาใช้ไหม เขาก็บอกว่าใช้ ถามว่าท่านไปที่นั่น ไม่อยากได้ทองคำที่นั่นบ้างหรือ เพราะมีโลกอยู่โลกหนึ่ง อาจจะมีหลายโลกก็ได้ ขึ้นไปที่โลกต่างๆ เพียงแค่ ๓ โลกเท่าที่มองเห็นมันเกิน ๓๐๐ โลก อยากจะถามว่าท่านอยากได้ทองคำไหม

เขาบอกว่าไม่เคยอยากได้ เพราะพื้นผิวพิภพนี้ก็มีเยอะ แล้วก็ถามเขาว่าพื้นพิภพนี้ทองคำเป็นวัตถุมีค่าสูง หรือว่าทองคำเป็นวัตถุมีค่าต่ำ เขาบอกว่าขึ้นชื่อว่าทองคำ โลกชมพูต้องการขนาดไหน เขาไม่ทราบแต่ทีนี่ถือเป็นมาตรฐานการเงิน การเงินต่างๆ แบงก์ต่างๆ ที่พิมพ์ออกมาต้องมีทองคำรับรองก็เลยบอกว่า

ถ้าอย่างนั้นโลกโน้นกับโลกนี้ก็มีสภาพเหมือนกัน ก็เลยล้วงกระเป๋าอีกนิดหนึ่ง ถามว่าที่นี่คนจนๆ มีไหม เขาถามว่า จนหมายถึงอะไร ก็ตอบว่าจนขนาดที่ไม่มีกิน ไม่มีใช้ต้องขอทาน เขาก็ยิ้มบอกว่าที่นี่ไม่มีความจำเป็นต้องขอ เพราะว่าถ้าบุคคลใดเขาเห็นว่า คนกลุ่มใดหรือบุคคลใดก็ตาม เห็นว่าคนใดมีความขัดข้องเรื่องความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการเงินก็ดี เสื้อผ้าก็ดี อาหารการบริโภคก็ตาม เขาก็รีบช่วยกันสงเคราะห์

แต่เขาบอกว่าเขาเกิดมา ๘,๐๐๐ ปีของโลกชมพูยังไม่เคยเห็นใครต้องสงเคราะห์กันด้วยวัตถุอย่างนี้ ที่มีความขัดสนจริงๆ มีแต่เพียงว่าเรามีอย่างนี้เขามีอย่างโน้น เรามีมากชิ้นไปแบ่งให้เขา เขามีอย่างหนึ่งที่เราไม่มีเขาแบ่งให้เรา มีแค่นี้คำว่ายากจนจริงๆ ไม่มี

ก็ถามเขาถึงอาชีพ เขาบอกว่าอาชีพส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไร ในประเทศที่ท่านจากมา ส่วนใหญ่ก็เป็นเกษตรกรรม หรือว่าอาชีพของป่าไม้ของในป่าและสิ่งประดิษฐ์ก็มีมาก โรงงานก็มีเยอะก็ไม่มีอะไร ต่างคนต่างก็ทำกันการใช้จ่ายนี่มันไม่เปลือง เพราะว่าที่นี่กินผักเป็นพื้นฐาน ในเมื่อกินผักเป็นพื้นฐานแล้วก็ปลูกผักกันของเรามีอย่างนี้ ของเขามีอย่างนั้น ถ้าใครไม่มีอย่างไหนก็แลกกัน ใครต้องการอย่างไหนก็ขอกันได้ ที่นี่เขาไม่มีการหวงกัน

เขาก็บอกว่าโลกนี้ พระท่านบอกว่าเป็นโลกมนุษย์ พอเขาพูดอย่างนี้ก็หนักใจเหมือนกัน ที่เคยศึกษาในพุทธศาสนาในธรรมะท่านมี ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติในมนุษยธรรม ถ้าปฏิบัติในมนุษยธรรมได้ก็สามารถจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ ก็ยังมีความสงสัยว่าคนทุกคนในโลกชมพู ต่างคนต่างก็เรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์ แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจึงมาสอนมนุษยธรรมอีก

ในเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว เมื่อตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นคน มันก็ต้องเป็นของไม่ยาก เพราะว่าเป็นสถานที่เดิมของตนที่เคยอยู่ แต่นี่เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูที่คนพูดไม่ทราบ แต่คนพูดเองมีความโง่ถนัด มีความเข้าใจว่าคนทุกคนที่เกิดมาในโลกชมพูเป็นมนุษย์

ครั้นมาเจอะมนุษย์ใน "ชินโลก" หรือว่า "ถุงดำ" นี่เข้า จึงมีความเข้าใจจริงๆ ว่าเขาเป็นมนุษย์แน่ ชาวโลกชมพูตามความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ถ้าพลาดไปก็ขออภัยด้วย ตามความรู้สึกของผู้พูดจริงๆ คือว่าที่โลกมนุษย์หามนุษย์ได้ยาก ที่โลกชมพูนี่นะ หาคนที่เป็นมนุษย์แสนจะยาก ไม่ใช่ไม่มี ปริมาณที่มีก็มีน้อย

แต่ว่าถ้าจะเป็นคนเสียจริงๆ เป็นคนมาก ในโลกชมพูเรา มีคนมากกว่ามนุษย์ แต่การพูดอย่างนี้บางท่านอาจจะร้องตะโกนถามว่า มนุษย์กับคนมันต่างกันตรงไหน ก็ขอตอบว่าในอาการ ๓๒ จริงๆ ไม่ต่างกันมีธาตุ ๔ เหมือนกันมีอาการ ๓๒ เหมือนกัน แต่ความรู้สึกของจิตใจไม่เหมือนกัน

สำหรับ "มนุษย์" ท่านแปลว่า ใจสูง คำว่า "ใจสูง" ก็คือมีอารมณ์ไม่ต่ำ อารมณ์ประเภทใดก็ตามที่นำมาซึ่งความเดือนร้อน มนุษย์เขาไม่ใช้กัน เช่น "ความโกรธ" การแสดงอาการโกรธเป็นศัตรูกัน เขาไม่มีเขามีแต่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร

มนุษย์เขามีแต่เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยากัน ใครได้ดีพลอยยินดีด้วย อุเบกขา ถ้าอะไรก็ตามเกิดความขัดข้องขึ้นมา ไม่สามารถจะแก้ไขได้ก็วางเฉยไม่ดิ้นรน คือไม่กลุ้ม ไม่กระวนกระวาย

และนอกจากนั้นขึ้นชื่อว่า ชีวิต เลือดเนื้อร่างกาย ทุกคนรักก็ไม่มีใครทำร้ายร่างกายกัน ทรัพย์สมบัติต่างๆ เรารัก ของเขาเขาก็รัก ไม่มีใครละเมิดความรักกัน และวาจาก็มีวาจา วาจาอ่อนหวานและก็วาจาแสดงความเป็นมิตร วาจามีหลักมีเกณฑ์มีเหตุมีผล เขามีวาจาสี่ด้าน

จิตใจเขาไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม เขาไม่ให้เราไม่เอา และก็ไม่ขอทำให้ใครสะเทือนใจ และก็ไม่คิดจองล้างจองผลาญ โกรธอาจจะมีบ้าง อารมณ์ไม่พอใจอาจจะมีบ้าง แต่ไม่แสดงออก และไม่จองล้างจองผลาญจองเวรจองกรรมกัน อารมณ์ใจคิดถูกตามความเป็นจริงด้วยเหตุผลเสมอ นี้ลักษณะของมนุษย์เขาเป็นอย่างนี้

สำหรับคนในโลกชมพูของเราไม่ต้องเอากรรมบถ ๑๐ เอาแค่ศีล ๕ อาจจะนับตัวได้ว่าใครทรงศีล ๕ บริสุทธิ์บ้างอย่าลืมว่า "ชินโลก" หรือว่า "ดาวหลุมดำ" เขาต้องฝึกกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔ กันมาแต่เกิดขณะอยู่ในท้องแม่ ถ้าลูกสามารถได้ยินเสียงแม่ได้ จะได้ยินเสียงแม่พูดเรื่องพรหมวิหาร ๔ กรรมบถ ๑๐ ให้ได้ยิน หรือว่าชาวบ้านคุยกัน คุยกันให้ได้ยิน ถ้าสามารถได้ยินนะ

รวมความว่าตั้งแต่อยู่ในท้อง ก็อยู่ในท้องของคนมีกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔ ออกมาแล้วก็อยู่ในแวดวงของคนที่มีพรหมวิหาร ๔ และกรรมบถ ๑๐ การที่จะทรงอารมณ์ตามนี้ จึงเป็นของไม่ยาก เพราะว่าชินมาตั้งแต่ลืมตาเห็น ก็เป็นอันว่า โลกชมพูของเราเป็นโลกของคน

คำว่า "คน" แปลว่า "ยุ่ง" มันผสมผเสทั้งความชั่วและความดี ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ เขาเรียกว่า "คน" เอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวก็ดีบ้างเดี๋ยวก็ชั่วบ้าง เช้าดี บ่ายชั่ว หรือเช้าชั่ว บ่ายดี อะไรก็ตามใจ กลางวันดี กลางคืนชั่ว กลางคืนดี กลางวันชั่ว มันก็อาจจะมีความชั่วขึ้นมาปะปน ก็รวมความแล้วว่าโลกของเรา ไม่ใช่มนุษย์แน่ ที่จะมีมนุษย์อยู่ก็จริงแหล แต่ว่าก็มีคนอยู่มาก ของเขามนุษย์แท้มีมนุษยธรรมคือกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔

เมื่อคุยกันมาตอนนี้คนฟังรำคาญหรือยัง เรื่องมันก็หมดแล้วนี่ รำคาญหรือไม่รำคาญก็ไมต่อไป ต่อนี้ไปก็ชวนกันขึ้นบกไปเมืองที่ถนนตรงไป มันมีถนนแยกไปหลายสายในมหาสมุทร ใต้มหาสมุทรก็บอกว่าไปในจุดที่ตรงไป มันมีถนนแยกไปหลายสายในมหาสมุทรใต้มหาสมุทร ก็บอกว่าไปในจุดที่ตรงไป ตั้งหน้ายืนจากเมืองท่าที่เราผ่านมาแล้ว หันหน้าตรงไปทางไหน ไปทางนั้น

เขาก็นำตรงไป ไปขึ้นเมืองท่าของอีกฝั่งหนึ่ง ไปนาน ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็ไปถึง ทางค่อยๆ ลาดขึ้นๆ สังเกตได้ยากเขาทำดีจริงๆ ไม่ใช่วิ่งถนนชันตั้งขึ้นไปตมเรื่องตามราว โผล่ปุ๊บถึงผืนแผ่นดินแล้ว ไปที่นี่เมืองท่าของเขาใหญ่มาก ใหญ่กว่าฝั่งโน้นเยอะ บริเวณกว้างใหญ่ไพศาล บ้านช่องเยอะบุคคลก็มาก บริเวณก็ไกล อาคารสูงๆ ก็มีเยอะ ตึกรามมียอดแหลมๆ ก็มีมากถ้าจะคุยกันไปก็ซ้ำแบบเดิม

ก็ถามเขาว่า ประเพณีนิยมหรือหลักเกณฑ์การปฏิบัติของคนเมืองท่านี้กับเมืองท่าโน้นเหมือนกันไหม เขาก็บอกว่าเหมือนกัน ถามว่าเงินตราที่ท่านใช้ ต้องไปแลกกันที่ไหน เขาก็ยิ้มถามเขาว่า ทำไมต้องแลก ก็บอกว่าโลกชมพูเงินตราที่ใช้มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน มีค่าไม่เท่ากัน อย่างเงินไทย ๒๕ บาทก็เป็นเงินอเมริกันเขา ๑ บาท ราคาไม่เท่ากันตามนี้ แล้วธนบัตรหรือแบงก์ที่ใช้ก็ลักษณะไม่เหมือนกัน แต่ละประเทศต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างทำต่างคนต่างมีความพอใจ

เขาบอกว่า "ชินโลก" หรือ "โลกดาวหลุมดำ" ท่านจะไปไหนก็ตามพกเงินไปอย่างเดียวใช้ได้หมดทั้งโลก แหม.. ทำไมสบายอย่างนี้ก็ไม่ทราบ เป็นโลกที่สบายจริงๆ ก็คงจะตอบกันได้กระมังว่า โลกจริงๆ มีการคล่องตัวทุกอย่าง เพราะมันเป็นโลกนิทาน โลกจริงๆ ถ้ามีอย่างนี้ก็คล้ายๆ กับเทวดา

แต่โลกนี้จะถือว่าเหมืนเทวดาไม่ได้ เพราะยังมีแก่ ยังมีตาย ยังมีผัว มีเมีย ผัวเมียก็มีไม่เหมือนเทวดาเขา เทวดาหรือนางฟ้าเขามีไว้ดูเล่น แต่ของเราต้องปฏิบัติตามระเบียบ ระเบียบการแต่งงาน แต่งงานแล้วต้องปฏิบัติแบบไหน ก็ต้องทำตามนั้นเหมือนๆ กันทุกคนเป็นระเบียบของโลกนี้

และอีกอย่างหนึ่ง โลก "ชินโลก" หรือโลก "ดาวหลุมดำ" ก็ดี "โลกชมพู" ก็ดี ก็ปฏิบัติเหมือนกันการแต่งงาน มีสามี ภรรยา เขาจะต้องปฏิบัติกันอย่างไร ต้องมีความรัก ต้องมีความซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน แต่ความรักจริงๆ ความสัตย์จริงๆ ของเขามีแน่ ก็ลืมถามหมอนี่ไปนึกไปนึกมาก็เห็นคนเขาเดินมา มีผู้ชายหนึ่งผู้หญิงสามบ้าง ผู้หญิงสี่บ้าง ผู้หญิงหนึ่งบ้างก็แปลกใจว่า ลักษณะการเดินแบบนี้เป็นระเบียบของชาวเมืองนี้หรือ

ก็ถามเขาว่า คนเมืองนี้รักษากรรมบถ ๑๐ ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ และก็ถามเขาว่าการแต่งงานจะต้องมีภรรยาสามีคู่หนึ่ง หรือภรรยาคน สามีคน ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ ก็ถามว่า คนที่เขาเดินไปเมื่อกี้นี้เขาหลีกเราไป ลักษณะท่าทางคล้ายๆ เขาเป็นสามีภรรยากันทั้งหมดมีผู้หญิงสี่ ผู้ชายหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นสามีภรรยากันจริง

ก็ถามว่าเมื่อกี้คุณบอกสามีคน ภรรยาคนใช่ไหม คุณตอบว่าใช่ แต่คณะนี้เขามีภรรยาทั้ง ๔ คน สามี ๑ คน ไม่กล่าวผิดจากความเป็นจริงหรือ เขาเลยบอกว่า ท่านถามในขณะแต่งงานโดยเฉพาะก็มีสามีหนึ่ง มีภรรยาหนึ่ง ผู้ชายเป็นสามี ผู้หญิงเป็นภรรยา แต่ว่าการแต่งงานที่นี่ เขามีหลายวาระได้

นี่แน่ะ.. โอ้โลกนี้มันน่าอยู่ก็ตรงนี้และนะ ก็ถามว่ากฎหมายของคุณไม่บังคับหรือ กฎหมายบังคับแต่เพียงว่า ห้ามแย่งสามี และภรรยาของคนอื่น ก็เลยถามเขาว่า ถ้าผู้ชายจะมีภรรยาหลายคน ก็แสดงว่าหญิงอื่นมาแย่งภรรยาของคนนี้ใช่ไหม เขาตอบว่า ไม่ใช่ เขาตอบว่า นั่นภรรยาเดิมเขาอนุญาต เขาถือว่าคนมาใหม่นี่เป็นน้อง

ยังมีน้องด้วยนะ คนที่มาใหม่ต้องมีความเคารพคนก่อนเหมือนพี่ มีความเคารพกันเหมือนพี่เหมือนน้องและก่อนที่จะแต่งงานกัน ถ้าสามีไปชอบหญิงคนใด นึกชอบยังไม่ได้แต๊ะอั๋ง และก็หญิงคนนั้นเกิดความรัก เกิดชอบในชายคนนี้เข้า ซึ่งมีภรรยาแล้วที่นี้ถ้าสามีไปชวน บอกว่า แต่งงานกับฉันไหม ผู้หญิงคนนั้นเขาบอกพร้อมที่จะแต่งงาน ถ้าภรรยาของคุณอนุญาต เขาก็ต้องพามาหาภรรยา

ภรรยาเมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความเป็นจริงว่า เขารักกันจริง ก็อนุญาต อนุญาตให้แต่งงานกันได้แต่ไม่ใช่เลิกกับเธอ เธอก็ยังเป็นภรรยาหลวงอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หามาได้ หรือจัดขึ้นมาได้ เธอต้องเป็นหนึ่ง หมายความว่าการนับหนึ่งนั่นคือเธอ ถึงเธอก่อนซื้อก๊วยเตี๋ยวมาสองชาม ชามที่หนึ่งเป็นของเธอ ชามที่สองเป็นของภรรยาคนต่อไปและชามที่สี่ ที่ห้า ก็เป็นของภรรยาคนต่อไปอะไรก็ตาม ขึ้นต้นเธอหนึ่งอยู่เสมอ อย่างนี้อย่างนี้เขาบอกว่าไม่มีการทะเลาะกัน ที่นี่คำว่าทะเลาะเบาะแว้ง การขัดข้องกันเรื่องนี้ไม่มี ความจริงโลกนี้มันก็น่าอยู่

ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้นคุณอยากจะมาเกิดโลกนี้อีกไหม เขาก็ตอบว่า มันก่ำกึ่งบางเวลาก็อยากมาเกิด แต่ส่วนใหญ่ของเวลาอยากมาเกิด แต่ว่าพระท่านก็บอกว่า ถ้าต้องการมาเกิดใหม่ในโลกนี้ให้ทุกคนปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ กับพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน ถ้าหากทั้งสองประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งพร่อง จะไม่มีโอกาสมาเกิดในโลกนี้ ก็ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้นพระท่านแนะนำว่าอย่างไรต่อไป

ท่านบอกว่า ถ้าบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องไปอบายภูมิ คนที่บกพร่องในกรรมบถ ๑๐ก็ดี ในพรหมวิหาร ๔ ก็ดี พร่องมีบ้างไม่ใช่ไม่มี ถ้าจะเกิดมีรูปร่างลักษณะอย่างนี้ใหม่ ต้องไปเกิดในโลกชมพู แหม.. ฟังแล้วก็ช้ำใจ นี่เขาจะด่าผู้พูดบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ และเขาก็รู้แล้วว่าเราเป็นคนโลกชมพู

ก็เป็นอันว่า ต้องยอมรับกับเขา เมื่อเห็นเวลามันใกล้จะหมด เวลาหมอทำฟันใกล้จะเสร็จ เขากรอแล้วกรออีก เจาะแล้วเจาะอีก เพื่อจะเอาหนองออก ดูดหนองบ้างนี้เป็นวาระที่ หมอเตือนใจ ทำ แต่งานนี้ หมอจำนูน ที่อยู่กรุงเทพฯ ก็อยากจะทำให้ แต่ว่าคลินิกอยู่นครสวรรค์ ใกล้หน่อย

เมื่อพูดถึง หมอจำนูน เวลาเหลือประมาณสัก ๒ นาทีก็ขอบอกข่าวว่า วันนี้คือ วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ หมอจำนูนโทรศัพท์มาถึง ครูนนทา อนันตวงษ์ ที่วัดท่าซุง อุทัยธานี เธอบอกข่าวดีว่า เธอฝันไปว่าต่อไปเบื้องหน้า คนที่เขามีโอกาสมีสตางค์มากๆ จะเอาเงินมาแจก

สมมติว่าเมื่อ ๔ ปีไปแล้ว ใครลงทุนไปหนึ่งบาท เขาจะแจกให้หกสลึง เฉพาะคนที่อยู่ในทะเบียนบ้านที่หนึ่ง สำหรับคนที่อยุ่ในทะเบียนบ้านที่สองไม่แน่ อาจจะแจกให้มากกว่านั้น แต่การที่หมอจำนูนเธอฝัน ไม่ทราบว่าฝันจะตรงกับความจริงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก้ดีความฝันของหมอจำนูน ทำให้เธอยิ่มแป้นหุบปากไม่ลงไปตามๆ กัน

เอาละ..บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี.

( หมายเหตุ : บุคคลที่หลวงพ่อกล่าวถึง "หมอเตือนใจ" นั้นคือ ทพญ.เตือนใจ กลั่นสุภา และ "หมอจำนูน" คือ ทพญ.จำนูน จารุจินดา ท่านทั้งสองเป็นหมอที่ทำฟันให้หลวงพ่อเป็นประจำ)

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/5/09 at 09:38 [ QUOTE ]



ความเห็นตามหลักวิชาการ


ความเห็นเพิ่มเติมที่ 1 วันที่ 30 ก.ค. 2548 (21:17) จากเว็บวิชาการ.คอม

รูปร่างของหลุมดำ หรือขอบฟ้าเหตุการณ์ครับ




(อธิบายภาพ - มุมมองจำลองของหลุมดำด้านหน้าของทางช้างเผือก
โดยมีมวลเทียบเท่าดวงอาทิตย์ 10 ดวงจากระยะทาง 600 กิโลเมตร)


หลุมดำ (อังกฤษ : black hole) หมายถึงเทหวัตถุในเอกภพ ที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก (ไม่ได้เป็น "หลุม" อย่างชื่อ) ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสง เราจึงมองไม่เห็นใจกลางของหลุมดำ หลุมดำจะมีพื้นที่หนึ่งที่เป็นขอบเขตของตัวเองเรียกว่า "ขอบฟ้าเหตุการณ์" (event horizon) ที่ตำแหน่งรัศมีชวาร์สชิลด์ (Schwarzchild radius) ถ้าหากวัตถุหลุดเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่าความเร็วแสงจึงจะหลุดออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง วัตถุนั้นจึงไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไป

เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลมหึมาแตกดับลง มันอาจจะทิ้งสิ่งที่ดำมืดที่สุด ทว่ามีอำนาจทำลายล้างสูงสุดไว้เบื้องหลัง นักดาราศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า "หลุมดำ" เราไม่สามารถมองเห็นหลุมดำด้วยกล้องโทรทรรศน์ใดๆ เนื่องจากหลุมดำไม่เปล่งแสงหรือรังสีใดเลย แต่นักดาราศาสตร์ก็มีวิธีอื่นในการค้นหา และจนถึงปัจจุบันได้ค้นพบหลุมดำในจักรวาลแล้วอย่างน้อย 6 แห่ง

หลุมดำเป็นซากที่สิ้นสลายของดาวฤกษ์ที่ถึงอายุขัยแล้ว สสารที่เคยประกอบกันเป็นดาวนั้นได้ถูกอัดตัวด้วยแรงดึงดูดของตนเองจนเหลือเป็นเพียงมวลหนาแน่นที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่านิวเคลียสของอะตอมเดียว ซึ่งเรียกว่า เอกภาวะ (singularity)

หลุมดำแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ หลุมดำมวลยวดยิ่ง เป็นหลุมดำในใจกลางของดาราจักร หลุมดำขนาดกลาง หลุมดำจากดาวฤกษ์ที่เกิดจากการแตกดับของดาวฤกษ์ และ หลุมดำจิ๋ว หรือ หลุมดำเชิงควอนตัม

แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นภายในหลุมดำได้ แต่ตัวมันก็แสดงการมีอยู่ผ่านการมีผลกระทบกับวัตถุที่อยู่ในวงโคจรภายนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ ตัวอย่างเช่น หลุมดำอาจจะถูกสังเกตเห็นได้โดยการติดตามกลุ่มดาวที่โคจรอยู่ภายในศูนย์กลางหลุมดำ หรืออาจมีการสังเกตก๊าซ (จากดาวข้างเคียง) ที่ถูกดึงดูดเข้าสู่หลุมดำ ก๊าซจะม้วนตัวเข้าสู่ภายใน และจะร้อนขึ้นถึงอุณหภูมิสูง ๆ และปลดปล่อยรังสีขนาดใหญ่ที่สามารถตรวจจับได้จากกล้องโทรทรรศน์ที่โคจรอยู่รอบโลก [1][2]การสำรวจให้ผลในทางวิทยาศาสตร์เห็นพ้องต้องกันว่าหลุมดำนั้นมีอยู่จริงในเอกภพ[3]

แนวคิดของวัตถุที่มีแรงดึงดูดมากพอที่จะกันไม่ให้แสงเดินทางออกไปนั้น ถูกเสนอโดยนักดาราศาสตร์มือสมัครเล่นชาวอังกฤษ จอห์น มิเชล ในปี 1783 และต่อมาในปี 1795 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ปีแยร์-ซีมง ลาปลาซ ก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน ตามความเข้าใจล่าสุด หลุมดำถูกอธิบายโดยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ซึ่งทำนายว่าเมื่อมีมวลขนาดใหญ่มากในพื้นที่ขนาดเล็ก เส้นทางในพื้นที่ว่างนั้นจะถูกทำให้บิดเบี้ยวไปจนถึงศูนย์กลางของปริมาตร เพื่อไม่ให้วัตถุหรือรังสีใดๆ สามารถออกมาได้

ขณะที่ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไปอธิบายว่า หลุมดำเป็นพื้นที่ว่างที่มีความเป็นเอกภาวะที่จุดศูนย์กลาง และที่ขอบฟ้าเหตุการณ์บริเวณขอบ คำอธิบายนี่เปลี่ยนไปเมื่อค้นพบกลศาสตร์ควอนตัม การค้นคว้าในหัวข้อนี้แสดงให้เห็นว่า นอกจากหลุมดำจะดึงวัตถุไว้ตลอดกาล แล้วยังมีการค่อย ๆ ปลดปล่อยพลังงานภายใน เรียกว่า "รังสีฮอว์คิง" (Hawking radiation) และอาจสิ้นสุดลงในที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับหลุมดำที่ถูกต้องตามทฤษฎีควอนตัม

ที่มา - http://th.wikipedia.org/wiki/



ความเห็นจาก.. "เนยสด"



(ภาพจำลองของ "หลุมดำ" จากนาซ่า)

ความจริงแล้ว หลุมดำก็คือซากดาวที่มีมวลมาก เมื่อดาวฤกษ์ตายไป ก็จะเหลือแต่แกนกลมๆ ที่ยังพอส่องแสง/ส่งพลังงานต่างๆ ออกมาได้อีกระยะหนึ่ง แล้วหลุมดำหละ ตัวกลางมันก็น่าจะกลมๆ อัดด้วยสสารอย่างแน่นมากๆ หรืออาจจะรีๆ หน่อยถ้ามันหมุนรอบตัวเองเร็ว ส่วนขอบฟ้าเหตุการณ์ คือระยะไกลสุด ที่หลุมดำมีอำนาจในการดึงดูดวัตถุและแสงเข้าไป แล้ววัตถุหรือแสงนั้น หนีออกมาไม่ได้ครับ.



ความเห็นเพิ่มเติมที่ 5 วันที่ 12 ส.ค. 2548 (02:46)



(ความประทับใจของช่างภาพเกี่ยวกับระบบดาวคู่ที่ประกอบไปด้วยหลุมดำและดาวหลัก
โดยที่หลุมดำกำลังดึงดูดสสารจากดาวหลักผ่านอะครีชั่นดิสก์รอบ ๆ มัน
และสสารเหล่านี้จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก๊าซในดาราจักร)



หลุมดำ

การเกิดซูเปอร์โนวาของดาวมวลสูงมาก จะระเบิดมวลส่วนใหญ่ของดาวออกไป แต่มวลส่วนหนึ่งจะตกกลับลงมายังดาวนิวตรอนที่เหลืออยู่ตรงกลาง (อิเล็กตรอนและโปรตรอนมารวมกัน กลายเป็นดาวนิวตรอนลักษณะนิวตรอนอัดแน่น) ซึ่งเศษซากที่ตกลงมาทำให้มีมวลเพิ่มขึ้น ซึ่งเกินกว่าที่นิมิตดาวนิวตรอน ความดันดีเจนเนอเรซีของนิวตรอน (แรงดันจากภายในดาวจะสู้กับแรงโน้มถ่วงของดาวในตัวมันเอง คือมีแรงโน้มถ่วงสูงมากกว่าแรงผลักดันจากภายในตัวดาวนิวตรอน พูดง่ายๆ สู้แรงบีบจากภายนอกไม่ไหวนั้นเอง) สูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ

ดาวนิวตรอนจึงยุบตัวลงอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะไม่มีแรงใด ในจักรวาลที่จะต้านการยุบตัวได้ ในที่สุดจะยุบตัวลงกลายเป็น หลุมดำ (Black hole) ซึ่งมีขนาดเป็นศูนย์ (ไร้รูปร่าง) แต่มีมวลเป็นอนันต์ หลุมดำมีแรงโน้มถ่วงสูงมากจนแม้แต่แสง (ความเร็ว300,000กิโลเมตร ต่อ วินาที) ก็ไม่สามารถออกจากหลุมดำได้

(วัดกันที่ความเร็วหลุดพ้นเช่นโลกของเราถ้ามีใครทำความเกิน 11.2 กิโลเมตรต่อวินาทีก็หลุดพ้นจากโลกได้เช่นกัน แต่ถ้าทำระดับระยะความสูงและความเร็วให้พอ หรือสมดุลกันการโคจรรอบโลก ก็จะทำให้วัตถุไม่ตกสู่พื้นและไม่หลุดพ้นไปไหน แต่กลับจะโคจรรอบโลกแทนเสมอเหมือนบริวารของโลกเช่น ดาวเทียม สถานีอวกาศนานาชาติ)

ในหลักการเดียวกันหลุมดำก็จะมีวัตถุหรือบริวารหมุนรอบหลุมดำ หรือบางทีหลุมดำและวัตถุต่างโคจรหมุนรอบซึ่งกันและกัน แต่ส่วนใหญ่ดาวมวลน้อย จะโคจรรอบดาวมวลมากการสังเกตหลุมดำค่อนข้างจะลำบาก เพราะจะไม่สว่างในช่วงคลื่นใดๆ (ช่วงคลื่นที่สายตามองเห็นคือ สีจากรุ้งกินน้ำ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ส่วนช่วงคลื่นที่สายตาไม่สามารถมองเห็นได้โดยตรง ต้องใช้กล้องในช่วงคลื่นต่าง)

ที่ใจกลางของแกแล็กซีของเราก็น่าจะเป็นหลุมดำ (อยู่ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องและกลุ่มดาวธนู) มหันตภัยจากหลุมดำ ไม่แน่สักวันระบบสุริยะอาจจะโคจรไปทับเส้นทางของหลุมดำพอดี วันนั้นละไม่อยากจะบรรยายแน่นอนจะต้องถูกดูด (แรงโน้มถ่วง เข้าไปในหลุมดำ ตราบใดดวงดาวยังมีการโคจร แต่ใช่ว่าจะเป็นไปตามที่เขียนมาก็ไม่ควรคิดมากหรือตกใจจนไม่ทำอะไร เพราะไม่มีอะไรแน่นอน ตราบใดที่โลกยังหมุนอยู่ชีวิตต้องสู้ต่อไป

สรุป.. "หลุมดำ" เป็นวัตถุที่ขนาดเป็นศูนย์แต่มีมวลเป็นอนันต์..

ครู...ชิต

◄ll กลับสู่ด้านบน



((( โปรดคอยติดตาม "การ์ตูนระบายสีสวยงาม" ชุด "จุไรท่องดวงดาว" ต่อไป )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top