Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 18/1/12 at 13:55 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ (ตอนที่ 6 )




ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๕


จัดพิมพ์โดย..คุณมาลิดา ปานทวีเดช และคุณทวีทรัพย์ ศรีขวัญ

( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )



สารบัญ

06.
สุนันทา วิทยาสุนทรวงศ์
07. พจมาน วุฒปัญญารัตนกุล
08. วิมาลี ศิรประภาชัย
09. คณิตพร บุณยเกียรติ
10. อัญเชิญ มณีจักร
11. พล.ต.ท. น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน
12. ฌานิศ วงศ์สุวรรณ
13. ปรีชา พึ่งแสง
14. ประพัฒน์ ทีปะนาถ
15. น.อ.ไชยณรงค์ เศรษฐสงวน ร.น
16. เฉลียว อาณาวรรณ
17. สุธี สุวรรณทัต
18. เทพ หงส์โตสวัสดิ์
19. วัชรพงศ์ ศรีหนองห้าง
20. วันชัย ศิริจารุวงศ์
21. นันทกานท์ สิริวัฒนเดชกุล
22. รณชัย แจวเจริญ
23. ทินกร วงศปการันย์
24. จงกล ทัดทอง
25. สุมาลี อนันต์พลังใจ
26. สุพรรณ สายแก้วลาด



06

กายคตานุสสติและอสุภกรรมฐาน


สุนันทา วิทยาสุนทรวงศ์


ข้าพเจ้ายังจำคำสอนของหลวงพ่อที่สอนลูกทุกคนว่า “ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”

ปีนี้เป็นปีที่ ๑๐ แล้ว ที่ท่านพ่อได้จากข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้ารักและคิดถึงท่านพ่อมาก แม้ขันธ์ ๕ ของท่านพ่อจะจากข้าพเจ้าไป แต่ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกอบอุ่นใจ เพราะข้าพเจ้าไปไหนก็เห็นท่านพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกครั้งที่มีปัญหา ยามใดที่ข้าพเจ้ามีความทุกข์ ท่านพ่อก็คอยสอนให้คลายทุกข์ ยามใดที่ข้าพเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ท่านพ่อก็ชี้แนะให้ข้าพเจ้าเดิน

พระคุณของท่านพ่อหาประมาณมิได้ อย่างเช่นเมื่อปี ๒๕๔๓ ข้าพเจ้ายังมีความโลภอยู่ จึงคิดจะทำงานต่ออีก ๑ ปี เพื่อจะได้เงินประจำตำแหน่งและเงินเดือน ขณะที่ข้าพเจ้าอาบน้ำอยู่เย็นชื่นใจ ท่านพ่อก็มาสอนว่า “รู้จักพอ มีสุขลูก” ข้าพเจ้าเชื่อท่านพ่อ ดังนั้นจึงลาออกโดยเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด เมื่ออายุ ๕๕ ปี ในเดือนกันยายน ๒๕๔๓

หลังจากนั้นก็มีเวลาปฏิบัติธรรมมากขึ้น และในปีเดียวกัน ก่อนธุดงค์ ท่านพ่อมาให้เห็นและบอกข้าพเจ้าว่า “ปีนี้ถือศีล ๘ นะลูก” เพราะเมื่อธุดงค์ปี ๒๕๔๒ ข้าพเจ้าถือศีล ๗ คือ ยังรับประทานอาหารเย็น ปี ๒๕๔๓ ธุดงค์ ข้าพเจ้าจึงถือศีล ๘ เคร่งครัด และไม่หิวด้วย ปรากฏว่าได้รางวัล ในวันฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง ออกด้วยฌาน ๔ ขึ้นไปบนพระนิพพาน

สว่างชัดเจนเหมือนกลางวัน ซึ่งทุกครั้งไม่เคยสว่างมากขนาดนี้ ต่อมาเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๔๕ ข้าพเจ้าได้ไปสนทนาธรรมกับอาจารย์นายแพทย์สมศักดิ์ กลับบ้านกลางคืนอ่านหนังสือธรรมของหลวงพ่อ จำไม่ได้แล้วว่าเล่มไหน แต่มาสะดุดกับคำว่า “อนุโลม ปฏิโลม” ในใจ ก่อนหลับตั้งใจไว้ว่า พรุ่งนี้ต้องถามอาจารย์หมอสมศักดิ์

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งรถสองแถวก็นึกถึงคำว่า กายคตานุสสติกรรมฐานแบบอนุโลม ปฏิโลม คิดไว้ว่า วันนี้จะต้องถามอาจารย์ให้ได้ ปรากฏว่าหลวงพ่อมาทำภาพให้เห็นอาการ ๓๒ เกี่ยวกับร่างกายของข้าพเจ้า ตั้งแต่ต้นจนทุกอย่างสลายหายไปหมดสิ้น มีแต่ความว่างเปล่า ท่านบอกว่า นี่คืออนุโลม

ต่อมาจากความว่างเปล่า ทุกส่วนของร่างกายค่อยๆ มาประกอบกันจนเป็นกายปัจจุบันใหม่ ท่านบอกว่านี่คือปฏิโลม ข้าพเจ้าได้ถามอาจารย์นายแพทย์สมศักดิ์ ในตอนบ่าย ท่านบอกว่าหลวงพ่อสอนแบบครบวงจร ต่อมาเดือนสิงหาคม หลังจากสนทนาธรรมกับอาจารย์ในตอนบ่ายที่บ้านสายลม พอ ๑ ทุ่ม ก็เจริญพระกรรมฐาน

พอขึ้นพระนิพพาน กราบพระพุทธเจ้าแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอรหันต์ขีณาสพ ครูบาอาจารย์ท่านผู้มีพระคุณ อันมีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อเป็นที่สุด ปรากฏภาพส้นเท้าพร้อมด้วยฝ่าเท้า มีนิ้วเท้าครบยื่นมาให้เห็นความสกปรกโสโครกของเท้า แล้วค่อยๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงอวัยวะเพศและก้น

ปรากฏว่าข้างหน้าก็ปัสสาวะออกมา ส่วนก้นก็ถ่ายอุจจาระออกมา ภาพเลื่อนสูงขึ้นไปเห็นอวัยวะภายใน ที่แสนจะสกปรกโสโครก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หลอดเลือด จนถึงรักแร้ ก็มีสิ่งสกปรกซึมออกมา มีกลิ่นเหม็น มองสูงขึ้นไปจนถึงปลายผม เห็นแต่ของสกปรกโสโครก จากปลายผม มองต่ำลงมาเห็นหน้าตา ขี้ตา ขี้หู น้ำมูก รูจมูก พอถึงปากกลับยิงฟัน ให้เห็นขี้ฟัน เสลด น้ำลาย

เห็นเข้าไปในหลอดลม หลอดอาหาร หน้าอก หน้าท้อง เรื่อยไปจนถึงปลายเท้า ทุกอณูของร่างกายสกปรกโสโครก ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่า ร่างกายนี่สกปรกจริงๆ ชาตินี้ขอมีร่างกายอันแสนสกปรกโสโครกเป็นชาติสุดท้าย ตายเมื่อใดขอไปพระนิพพานจุดเดียว วันหนึ่งขณะนั่งในรถเมล์ ท่านพ่อก็สอนธาตุ ๔ และอสุภกรรมฐานแบบครบวงจร

แต่ภาพอสุภกรรมฐานนั้นทุกครั้งข้าพเจ้าจะกำหนดเอง โดยให้กายของข้าพเจ้านอนตาย แต่ท่านพ่อสอนเห็นกายของข้าพเจ้ายืนอยู่ แล้วธาตุลมก็หยุด ต่อมาธาตุไฟหยุด กายเย็น ผิวออกสีแดงๆ ม่วงๆ แล้วต่อมาร่างกายก็เป็นสีเขียวจ้ำๆ เริ่มอืดเล็กน้อย ทวารทั้ง ๕ เปิดหมด มีธาตุน้ำเริ่มไหลออกมา มีแมลงวันตอมและวางไข่ ต่อมาเริ่มมีหนอนคลานบนร่างกาย

หลังจากนั้นร่างกายก็พองอืดมากขึ้น มากขึ้น ลิ้นจุกปาก ตาโปน แล้วร่างกายเริ่มพองมากจนปริออก แล้วอยู่ๆ ท้องก็แตกออกมา หนอนคลานยั้วเยี้ยไปหมด กำลังกัดกินร่างกาย อวัยวะทั้งหมดหลุดร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น มีแมลงสาป ปลวก หนู สุนัข แร้ง กา ช่วยกันกัดกินร่างกายจนเหลือแต่โครงกระดูก ต่อมาเอ็นที่เชื่อมข้อต่อกระดูกอยู่เปื่อยเก่า

กระดูกก็ร่วงลงมากองอยู่กับพื้นและกระดูกค่อยๆ แตกออกเป็นชิ้นโตๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เล็กลงๆ จนกลายเป็นดิน แล้วในที่สุดทุกอย่างก็หายไปหมด เหลือแต่ความว่างเปล่า จากนั้นก็มีฝุ่นมาเกาะอยู่ที่พื้น แล้วก้อนโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นกระดูกแต่ละท่อน แล้วกระดูกก็เชื่อมติดกันด้วยเส้นเอ็น ชิ้นส่วนอื่นๆ ก็ค่อยๆ มาทีละชิ้น จนกลายเป็นร่างกาย

ขณะที่พองอืดมีรอยปริ แล้วต่อมาก็ค่อยๆ ยุบจากอาการพองอืดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมาสู่ร่างกายที่เพิ่งตายใหม่ๆ แล้วธาตุไฟก็กลับมา ตัวเริ่มอุ่นขึ้นๆ ลมหายใจก็กลับมา ร่างกายหายใจได้เหมือนเดิม ท่านพ่อมรณภาพไป ๑๐ ปีแล้ว ท่านยังห่วงลูก มาสอนธรรมให้ลูกของท่าน เพื่อจะกวาดต้อนเด็กดื้อให้ไปพระนิพพานให้ได้

ลูกจะตอบแทนพระคุณของท่านพ่อ โดยตัดสังโยชน์ ๓ และสังโยชน์ ๑๐ ตัดอวิชชา ๔ ให้ได้ในชาตินี้ นี่เป็นความตั้งใจ ส่วนจะทำได้แค่ไหน รอเวลาตายเท่านั้น

ll กลับสู่สารบัญ


07

ปฏิบัติธรรมตามหลวงพ่อ


พจมาน วุฒปัญญารัตนกุล


หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ผู้มีพระคุณอันไพศาลหาประมาณมิได้ ท่านได้จากพวกเราไปเกือบครบ ๑๐ ปีแล้ว แต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้า ท่านยังอยู่กับเรา ถ้าเราไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรมตามคำสอน จะเป็นเทปหรือหนังสือ ถ้าเราตั้งใจจริงทำตามที่ท่านสอน ทาน – ศีล ภาวนานึกไว้ คิดไว้ทุกๆ วัน จะมากจะน้อยไม่เกินคำสั่งสอนของท่านผู้ที่ปฏิบัติ

ก็จะรู้ได้ด้วยตนเองตามที่ท่านบอก และจะเกิดความมั่นใจไม่ประมาทในชีวิต หลวงพ่อบอกว่า ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติให้ทานเพื่อตัดความโลภ รักษาศีลตัดความโกรธ ทำสมาธิเกิดปัญญา ตัดความหลงได้ ขอให้ทำต่อเนื่อง แม้จะทำวันละไม่มาก เปรียบเสมือนหยุดน้ำตกลงมาทีละหยดลงตุ่ม สักวันหนึ่งน้ำก็จะเต็มตุ่ม

เวลาใกล้จะตาย บุญทั้งหลายที่เราสะสมไว้นี้ก็จะมารวมตัวกัน จิตจะเป็นกุศล อกุศลจะเข้ามาไม่ได้ เวลาตายกุศลจะน้อมนำจิตไปสู่สุคติ ซึ่งถ้าเราทำตามคำสอนที่หลวงพ่อสอนแล้ว ก็จะเป็นดังคำที่หลวงพ่อบอกทุกประการ ข้าพเจ้าขอเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมา ผลจากการปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งรัดอะไร ข้าพเจ้าชอบอารมณ์คิดพิจารณา เห็นอะไรก็น้อมเข้าสู่ตัวเอง

ว่าเราอาจจะเป็นอย่างนี้ ทำตามที่หลวงพ่อสอน แล้วตั้งใจรักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วนทุกประการ เมื่อปฏิบัติไปแล้วก็จะพบสิ่งทดสอบอยู่เสมอ เท่าทันบ้าง ไม่เท่าทันบ้าง (ส่วนใหญ่ไม่เท่าทัน) แต่ก็คลายเร็ว ผลจากการปฏิบัติจะทำให้เรารู้กิเลสของตัวเองละเอียดขึ้น เราก็จะได้พยายามละ ขัดเกลากิเลสออกจากตัวเอง ปี พ.ศ.๒๕๒๒ ข้าพเจ้าได้ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ไปกับเพื่อนสองคน

ไปถึงทราบว่าหลวงพ่อไปต่างจังหวัด ภาคเหนือ จะกลับมาวันพรุ่งนี้ เย็นนั้นข้าพเจ้าไปที่ศาลานวราชเก่าข้างโบสถ์ มีครูฝึกซึ่งเป็นพระมาฝึกให้ ท่านนำไปกราบพระพุทธเจ้าและท่านปู่-ท่านย่า-บิดา-มารดา ในอดีตชาติที่พระจุฬามณีเจดียสถาน แล้วพาไปวิมานของพระพุทธเจ้า วิมานของตัวเองที่นิพพาน หลังจากฝึกเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าตื่นเต้นดีใจบอกไม่ถูก

คืนนั้นนอนไม่หลับทั้งคืน จิตมันโพลง เพื่อนที่ไปก็เหมือนกัน คืนนั้นประมาณตีสาม ข้าพเจ้าและเพื่อนออกมาเดินนอกห้องนอน พบกับพระที่ท่านเข้าเวรอยู่ ท่านถามว่าทำไมออกมาเดิน ยังไม่สว่าง บอกท่านว่า “นอนไม่หลับค่ะ” รุ่งเช้ามาเขาบอกว่า หลวงพ่อกลับมาแล้วตอนเย็นจะลงสอนด้วย พอตกเย็นข้าพเจ้ากับเพื่อนก็ไปที่ศาลานวราชเก่า

ครูฝึกเดินมาบอกให้ขึ้นไปนั่งบนพรม เดี๋ยวหลวงพ่อจะมาสอบ พอได้เวลาฝึก หลวงพ่อท่านสอบทีละคน ขณะที่หลวงพ่อสอบคนอื่นอยู่ ข้าพเจ้าเอาจิตขึ้นพระนิพพาน พอมาถึงข้าพเจ้า หลวงพ่อถามว่าขณะนี้อยู่ที่ไหน ก็ตอบท่านว่าอยู่นิพพาน ท่านสอบถามอยู่หลายอย่าง ตอนหนึ่งท่านให้ขอบารมีพระพุทธเจ้า เชิญท่านปู่พระอินทร์มา และถามว่าท่านปู่แต่งชุดสีอะไร

ข้าพเจ้าลังเลอยู่ ท่านพูดขึ้นว่า พระอินทร์ไม่ใช่ต้องแต่งชุดสีเขียวนะ เลยตอบท่านไปว่าสีขาว ท่านให้ความมั่นใจว่าที่ตอบมาถูกต้องทั้งหมด แล้วท่านให้ทูลถามองค์สมเด็จถึงอารมณ์ปกติของข้าพเจ้าอยู่ระดับไหน โดยขอให้ท่านยกพระหัตถ์ละชูนิ้วข้าพเจ้าตอบท่าน เห็นเป็นหนึ่งนิ้ว แล้วท่านให้ทูลถามองค์สมเด็จ ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างนี้ จะมาอยู่บนพระนิพพานได้อายุเท่าไหร่

ข้าพเจ้าคิดตามที่ท่านหลวงพ่อให้ทูลถาม แล้วหลวงพ่อก็พูดนำว่าสักห้าสิบกว่าใช่ไหม ข้าพเจ้าตอบท่านว่า หกสิบสองค่ะ หลวงพ่อถามว่า เคยไปวิมานของพระพุทธเจ้าไหม ตอบว่าเคยไป ท่านบอกว่าให้ขึ้นมาบ่อยๆ ให้ไปที่วิมานของพระพุทธเจ้า เพราะหลวงพ่อก็ชอบไป ท่านสั่งว่ากลับไปบ้านแล้ว ทำงานอยู่ ตำน้ำพริกอยู่ ก็ให้เอาจิตขึ้นพระนิพพานบ่อยๆ

หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับมาจากวัดแล้ว ประมาณปี ๒๕๒๓ ข้าพเจ้าก็มีครอบครัว ด้านมโนมยิทธิก็ทำบ้าง ไม่ได้ทำบ้าง แต่ก็ทำบุญตั้งใจรักษาศีลเป็นปกติ ช่วงยังไม่มีลูกก็ไปซอยสายลมเวลาหลวงพ่อมา เคยได้ยินหลวงพ่อบอกว่า ถ้าใครต้องการไปพระนิพพานในชาตินี้ ให้ฟังเทปปฏิปทาท่านผู้เฒ่าม้วนที่ ๑๑ – ๑๓ ให้มากๆ

ท่านบอกวิธีฟัง – หรืออ่าน ให้น้อมจิตคิดตาม ให้เห็นตามความเป็นจริงให้ได้ แล้วจะเกิดผล ข้าพเจ้าซื้อเทปม้วนที่ ๑๑ – ๑๓ และหนังสือปฏิปทาท่านผู้เฒ่า มาฟังกลับไปกลับมา และบางครั้งก็เอาหนังสือมาอ่าน คิดทำความเข้าใจ ในบรรดาหนังสือธรรมะของหลวงพ่อสอน ชอบทุกเล่ม อ่านเข้าใจง่าย

ชอบที่สุดคือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า โดยเฉพาะตอนท้ายๆ พระพุทธโอวาทสุดท้าย เพื่อจบกิจ องค์สมเด็จท่านให้พระโมคคัลลาน์มาสอนท่านผู้เฒ่าว่า ให้กำหนดใจไว้ในความมีของปัญจขันธ์ ได้แก่ ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ให้ถือว่าขันธ์ห้ามันไม่มี มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันมีแล้วก็เหมือนไม่มี

คือไม่สนใจมันเสียเลย แล้วทุกสิ่งทั้งหมด ให้เป็นเอกัคตารมณ์ คือให้ทรงอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่มีอารมณ์ที่สอง อารมณ์ที่เข้าใจว่ามีน่ะ ไม่มีอีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีสำหรับเรา ข้าพเจ้าขอให้ท่านได้โปรดไปซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่าน ทำตามที่หลวงพ่อบอก แล้วท่านจะรู้ได้ด้วยตัวท่านเอง

ปัญหาทุกอย่างทางโลกแก้ได้ทั้งนั้น คือแก้ที่ใจเราเอง ขอให้ทำตามที่หลวงพ่อสอน มีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริงๆ แล้วรักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วน ประมาณเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๓๖ ข้าพเจ้าป่วยตกเลือด ประมาณเดือนกว่า ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลพญาไท ๑ ตรวจอัลตร้าซาวน์ดู ปรากฏว่าเป็นเนื้องอกที่รังไข่และเยื่อบุมดลูกหนา

หมอได้ให้ยากินระยะหนึ่งก็ไม่หาย หมอนัดให้เข้าโรงพยาบาลเพื่อขูดมดลูก สามีได้พาข้าพเจ้าไปส่งที่โรงพยาบาล ปรากฏว่า ห้องพักคนไข้เต็ม ข้าพเจ้านอนบนรถเข็นอยู่ชั้นล่างส่วนกลางของโรงพยาบาล เพื่อรอห้อง ข้าพเจ้าบอกให้สามีกลับบ้านไปก่อน เพราะมีภาระลูก ๒ คนยังเล็ก และแม่ซึ่งแก่แล้ว ๑ คน บอกไม่ต้องห่วงข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าเห็นคนเจ็บคนป่วย เจ้าหน้าที่เข็นเข้าออก เริ่มคิดถึงตัวเองว่า ถ้าเราตายตอนนี้เราจะห่วงตัวเอง สามี ลูก และทรัพย์สินเงินทองไหม คำตอบคือ ไม่ห่วงอะไร เห็นทุกข์ของร่างกาย เวลานี้เราเอาร่างกายของเราเป็นเครื่องทดสอบธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงๆ ขณะที่นอนรอห้องอยู่ คำสอนของหลวงพ่อที่เคยฟังจากเทปหรือจากการอ่าน (ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า)

ผุดขึ้นมาในความนึกคิด (ตอนพระพุทธโอวาทจบกิจ) เป็นอัตโนมัติขึ้นมาเอง คิดวนไปวนมา เริ่มเห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง ไม่นานนักเจ้าหน้าที่เข็นรถที่ข้าพเจ้านอนไปเจาะเลือด เอาจิตตามดูเจ็บก็รู้ว่าเจ็บ ดึงเข็มออกเดี๋ยวก็หายเจ็บ เจาะเลือดแล้วได้ห้องพักเป็นห้องผู้ป่วยคู่ เข้าห้องพัก มีคนป่วยอยู่หนึ่งคน ถามข้าพเจ้าว่าเป็นอะไรมา ก็เลยบอกเขาไป เขาก็บอกว่าเวลาหมอทำจะเจ็บปวดมาก

ฟังแล้วก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไรมาก คืนนั้นคิดพิจารณาเห็นเป็นจริง จิตใจไม่กังวล ไม่หวั่นไหว ถ้าจะต้องตายก็ขอให้ไปพระนิพพาน ทั้งที่รู้ว่ามันอาจจะไม่ตายก็ได้ แต่ก็ไม่รู้เป็นอะไร พอเข้าโรงพยาบาลปุ๊บ ใจมันคิดถึงความตายไว้ก่อนเลย ตอนเช้าประมาณ ๘.๐๐ น. เจ้าหน้าที่มาเจาะมือให้น้ำเกลือ แล้วเข็นข้าพเจ้าเข้าห้องผ่าตัด หมอและพยาบาลมาดูข้าพเจ้าแล้วก็ออกไป ทิ้งให้ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว

ข้าพเจ้าตั้งจิตกราบพระ ขอขมาโทษพระรัตนตรัย และขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า ทำตามที่หลวงพ่อสอนทุกอย่าง ถ้าครั้งนี้จะต้องตาย ขอมีพระนิพพานเป็นที่ไป จิตพิจารณาเห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงของร่างกาย มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ความเสื่อมไปในท่ามกลาง ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเวลานี้ และถ้าตายตอนนี้ก็สลายตัวไปในที่สุด

คิดอยู่อย่างนี้วนไปวนมาจนเห็นเป็นสัจธรรม เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จนใจมันเฉย เฉยจริงๆ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่สุข ไม่ทุกข์ พอหมอและพยาบาลเข้ามาก็จับแขนข้าพเจ้ามัดผูกติดไว้ จับขายกขึ้นแยกออก ใจมันก็เฉยอยู่ สักครู่พยาบาลดึงงวงยาสลบ มาครอบจมูกข้าพเจ้าแล้วบอกให้สูดออกซิเจนเข้าไปนะคะ ข้าพเจ้าก็ทำตาม จริงแล้วที่บอกว่าออกซิเจนก็คือยาสลบนั่นเอง

จากนั้นก็ได้ยินเสียงนับ ๑๐ – ๙ – ๘ – ๗ – ๖ – ๕ – ๔ – ๓ – ๒ – ๑ เสียงหมอและพยาบาลคุยกันจากเสียงชัดดังไกลออกไปเรื่อยๆ จนไม่ได้ยิน ตาข้าพเจ้าเริ่มหลับลง ตัวสติตัวรู้ยังมีอยู่ ข้าพเจ้าขยับแขน ขยับขาตัวเองไม่มี ตัวก็ไม่มี ข้าพเจ้าจับคำภาวนาพุทโธได้สองคำ ปรากฏว่าเห็นแสงสว่างจ้า แล้วเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อชัดเจน

หลวงพ่อยิ้ม จิตข้าพเจ้ารับสัมผัสท่าน บอกว่าลูก ทำอารมณ์ถูกต้องแล้ว เหมือนกับช่วงเวลาเดี๋ยวเดียว ข้าพเจ้าเห็นหลวงพ่อนั่งอยู่ มีความรู้สึกว่าจะจากท่าน จึงร้องเรียกหลวงพ่อคะ หลวงพ่อคะ สองสามครั้ง ภาพหลวงพ่อก็หายไป หูข้าพเจ้าได้ยินคุณหมอบอกว่า พจมาน เสร็จแล้วนะคะ เอ๊ะ พูดอะไรอยู่ ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณหมอทั้งที่ตายังไม่ลืม

หลังจากฟื้นขึ้นมา จิตรำพึงกับตัวเองว่า โอ รู้แล้วๆ ทุกอย่างอยู่ที่สติและจิตเท่านั้น ถ้าเรามีสติมั่นคง เราจะอยู่เหนืออารมณ์ปรุงแต่งทั้งปวง และอยู่ตรงไหนก็ได้ทุกสภาวะ และสิ่งที่หลวงพ่อสอน ขอให้ทำให้จริงเถอะ จะเป็นตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการ มีคำถาม-คำตอบเกิดขึ้นในใจ ตราบใดที่ยังมีร่างกายเช่นนี้ มันต้องเจ็บต้องป่วย ต้องพลัดพราก และต้องตาย เป็นธรรมดา

ใจมันยอมรับซะอย่าง ไม่มีอะไร คำถามเกิดขึ้นเวลานี้มีเงิน ๒ กอง มีสิบล้านกับหนึ่งแสน เธอยินดีกองไหน คำตอบเท่ากัน ทำไมถึงยินดีเท่ากัน เพราะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นของสมมติทั้งนั้น จะรู้ใจคนไม่ยาก ถ้าทำตามคำสอนหลวงพ่อ แต่รู้เท่าทันกิเลสตัวเองกลับยากกว่าถ้าขาดสติ ถ้ามีสติมั่นคง อารมณ์น้อยใจ เสียใจ จะไม่เกิดขึ้นกับใจเรา

สติจะอยู่เหนืออารมณ์เหล่านี้ จะมีอารมณ์เมตตาเกิดขึ้นแทน เรื่องของการทำบุญทำทาน อยู่ที่ความพร้อมของจิต เงินมากน้อยไม่สำคัญ มีคำถามคำตอบเกิดขึ้นในใจ ถ้าปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนแล้ว ก็จะรู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องวิ่งไปที่ไหน หรือไม่ต้องถามใครอีกเลย หลังจากนั้นมา ข้าพเจ้ามีความพอใจคำสอนหลวงพ่อ ให้ตัดสังโยชน์สาม

หลวงพ่อสอนว่า การปฏิบัติธรรมต้องหาจุดลง ทำให้จับมุมพระโสดาบัน ถ้าตัดสังโยชน์สามได้ ก็จะเข้ากระแสพระนิพพาน ให้ทรงอารมณ์นี้อันดับแรก แต่อย่าคิดว่าเราเป็น เพราะความดีจะหยุดอยู่แค่นี้ ข้าพเจ้าขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อ ผู้มีพระคุณอันไพศาลหาประมาณมิได้ ที่ได้เมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้ามาตลอด ยามที่ข้าพเจ้ามีความทุกข์ หลวงพ่อก็ไม่เคยทอดทิ้ง

บางครั้งก็มาตักเตือนสงเคราะห์ในความฝันก็มี ทำให้แก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ได้ทุกครั้งไป ประสบการณ์เขียนมาทั้งหมดนี้ ส่วนหนึ่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพี่โอ (ท่านพระครูสมุห์พิชิต ฐีตวีโร) และหลวงพ่อวิรัช (ท่านพระปลัดวิรัช โอภาโส) หลวงพี่วิรัชท่านได้เมตตา บอกให้ข้าพเจ้าเขียนขึ้นมา เพื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ได้อ่านไม่มาก็น้อย

และขอให้ความมั่นใจ และกำลังใจกับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติ เพื่อละกิเลสจริงๆ และผลจะเป็นดังที่หลวงพ่อบอกทุกประการ สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สืบๆ กันมา มีหลวงปู่ปานและหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด

ท่านปู่ ท่านย่า และท่านพ่อ ท่านแม่ พรหม เทวดา ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ หากข้าพเจ้าจะดับจิตลงเมื่อใด ขอได้โปรดเมตตาสงเคราะห์ น้อมนำจิตของข้าพเจ้าและท่านผู้ปฏิบัติธรรม ลูกหลานหลวงพ่อ ให้มีสติสัมปชัญญะ สามารถตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


08

หลวงพ่อผู้เป็นที่รักยิ่งของลูก


วิมาลี ศิรประภาชัย


พี่ ดร.ปริญญา นุตาลัย ให้ลูกหลวงพ่อทุกคนเขียนลูกศิษย์บันทึกในวาระครบ ๑๐ ปี ของหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ ข้าพเจ้ารู้สึกโชคดี ภูมิใจ ที่ได้เป็นลูกของหลวงพ่อคนหนึ่ง พระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลของหลวงพ่อนั้นหาที่เปรียบมิได้ หลวงพ่อได้แนะนำอบรมทุกอย่าง ทุกแบบให้ลูกๆ ของท่านได้เลือกปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ เวลาที่ลูกๆ คุยกัน

ส่วนใหญ่จะบอกว่าถ้าไม่ได้พบหลวงพ่อพวกเราคงแย่ ข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่ซอยสายลม เมื่อพบหลวงพ่อก็รู้สึกในใจว่า ใช่เลย ที่นี่ ใช่เลย เหมือนพบคนที่เรารัก ผูกพันมาแต่กาลก่อน โดยที่ขณะนั้นยังไม่เข้าใจในการปฏิบัติเลย และก็ยังเป็นศิษย์หลวงปู่บุดดา ถาวโร ที่วัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด ตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็ไปหาหลวงพ่อที่ซอยสายลม

ช่วงนั้นคนที่ไปหาหลวงพ่อยังไม่มาก ข้าพเจ้าจะไปฟังคำสอนของหลวงพ่อ บางครั้งก็เข้าใจ บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ก็ไม่กล้าถาม เพราะเห็นหลวงพ่อดุ แต่ถ้าสงสัยหรือขัดข้องอะไร หลวงพ่อจะเทศน์หรือแนะนำในเรื่องนั้นๆ เสมอ เป็นอันว่าหลวงพ่อรู้ใจทุกคนและทุกเรื่อง แม้กระทั่งเพื่อนรัก ๒ คน ทะเลาะกันท่านก็ยังรู้ (วิมาลีกับเจี๊ยบ น้องคุณรัชนี)

หลวงพ่อทัก ข้าพเจ้ากับเจี๊ยบเลยต้องดีกัน เวลาที่หลวงพ่อฉันอาหาร ก็มีโอกาสเฝ้าหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ฉันไปคุยบ้าง และก็ส่งอาหารให้สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะเสมอ พวกเราคิดในใจว่า สุนัขมันโชคดีที่หลวงพ่อเมตตา หลวงพ่อพูดขึ้นมาว่า ไอ้ขี้หมา ไอ้พวกนี้มันอิจฉาหมา

หลวงพ่อเคยบอกตอนไปหาท่านที่ริมน้ำว่า ท่านดูที่ใจ ไม่ได้ดูที่กาย เพราะฉะนั้นเวลาไปพบหลวงพ่อก็ต้องล้างใจให้ดี และปฏิบัติตามที่หลวงพ่อแนะนำ อยู่ใกล้หลวงพ่อต้องรวบรวมสติสัมปชัญญะให้ดี เพราะหลวงพ่อจะถาม ก็ต้องตอบให้ถูกและเร็ว ตามความรู้สึกที่ได้มีโอกาสใกล้หลวงพ่อ หลวงพ่อมีความรักที่ท่วมท้น และความสงสารในลูกของท่านที่ตามเกิดกันมา

ท่านรู้ว่าโลกมีแต่ความทุกข์ ไม่มีความสุขจริง หลวงพ่อก็สงสารลูก จะขนลูกของท่านไปพระนิพพาน ทุกๆ เดือนข้าพเจ้าจะซื้อสาลี่ ๑ กิโลมาถวายหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อท่านบอกว่า ฉันดี และมีน้ำเยอะ ชุ่มคอ หลวงพ่อเคยสอนว่า เวลาจะบอกบุญอย่าทำให้คนอื่นหนักใจ และถ้าบอกบุญแล้วคนไม่ทำก็ต้องถือว่าเราได้บอกแล้ว เขาไม่ทำก็เป็นเรื่องของเขา

หลวงพ่อก็เล่าเรื่องมีผีมาขอส่วนบุญของหลวงพ่อเสมอ พอหลวงพ่อให้บุญผีก็สวยเลย ข้าพเจ้าอยากได้บุญบ้าง เวลามีโอกาสข้าพเจ้าก็ไปหาหลวงพ่อที่ริมน้ำ ไปขอโมทนาบุญของหลวงพ่อบ้าง จะได้มีอทิสมานกายสวย แม้กระทั่งเรื่องบัญชีตัวหนังสือสีทอง เนื่องจากอานิสงส์ในการสร้างสมเด็จองค์ปฐมที่วัดท่าซุงเป็นแห่งแรกของโลก หลวงพ่อบอกว่าพระท่านมาบอกมีบัญชีเพิ่มเป็นบัญชีสีทอง

ข้าพเจ้ากลัวจะตกสำรวจ จริงๆ ก็ร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมไปแล้ว แต่ต้องรีบไปหาหลวงพ่อที่ริมน้ำ เพื่อยืนยันว่ามีบัญชีสีทอง หลวงพ่อได้บอกว่า มีบัญชีทอง เพราการสร้างสมเด็จองค์ปฐมยังไม่มีใครเคยคิดสร้าง ทางวัดท่าซุงได้สร้างเป็นองค์แรกของโลก เพราะพระพุทธเจ้าองค์ปฐมตรัสรู้ได้ด้วยองค์ของท่านเอง ไม่มีแบบอย่างมาก่อน จึงมีอานิสงส์มากเป็นพิเศษ

เวลาที่มีโอกาสใกล้หลวงพ่อ มันมีความสุขบอกไม่ถูก ไม่อยากไปไหน ได้นั่งเฝ้าหลวงพ่อเฉยๆ ไม่ต้องพูดก็ได้ มันอิ่มใจไปหมด หลวงพ่อทักคำสองคำก็ชื่นใจไปตลอดชีวิต เวลาที่ท่านไม่รับแขก ได้พบหลวงพ่อเหมือนพ่อกับลูกได้อยู่ด้วยกัน เวลาหลวงพ่อรับแขก หลวงพ่อบอกว่า พระท่านคุมอยู่ ฉะนั้นเวลาพวกเราได้นั่งฟังธรรมของหลวงพ่อ ก็เปรียบเหมือนได้พบพระพุทธเจ้าด้วย

ถือว่าพวกเรานั้นโชคดีที่มีหลวงพ่อเป็นพ่อ หลวงพ่อเก่งทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเล็กๆ ที่ข้าพเจ้าอธิษฐานให้หลวงพ่ออย่าเรียก “อ้วน” เพราะตอนนั้นรู้สึกอาย พอพบหลวงพ่อท่านเรียก “ไอ้ตัวเล็ก” มีครั้งหนึ่ง หลวงพ่อทักว่าข้าพเจ้าเคยเกิดสมัยพระเจ้าปเสนทิโกศล (พระเจ้าปเสนทิโกศลก็คือหลวงพ่อ) ข้าพเจ้าปฏิบัติมาเรื่อยๆ ตามหลวงพ่อท่านสอน ท่านบอกให้ทำแบบโง่ๆ

ข้าพเจ้าได้ฝึกมโนมยิทธิ ทำให้มีประโยชน์กับชีวิตตัวเองมากขึ้น ทำให้ข้าพเจ้ามีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ พรหม เทวดา และเมื่อมีเหตุอะไรท่านจะบอกล่วงหน้า (แต่ต้องไม่เกิดกฎของกรรม) เวลาที่ข้าพเจ้าทำมโนมยิทธิ ก็จะได้พบกับหลวงพ่อ ท่านจะพาไปเที่ยวเมืองพระนิพพาน กว้างใหญ่สว่างสวยมาก

และท่านสอนว่า อย่าติดพ่อ ให้ติดพระพุทธเจ้า พอหลวงพ่อป่วยมาก ท่านบอกว่าจะดูใจว่าลูกๆ คนไหนจะมาเยี่ยมหลวงพ่อที่วัดบ้าง เพราะตลอดชีวิตหลวงพ่อไปสงเคราะห์ลูกหลานที่ซอยสายลมไม่เคยขาด พอข้าพเจ้าได้ฟังจึงได้ไปวัดเยี่ยมหลวงพ่อที่ริมน้ำ (ริมน้ำเป็นที่ทำงานช่วงเช้า และที่ฉันอาหารเพลของหลวงพ่อ)

หลวงพ่อบอกว่า ฉันอะไรไม่ได้เลย ได้แต่วุ้นเส้น เม็ดบัว ข้าพเจ้าสงสารท่านมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ถวายสังฆทาน สวดอิติปิโสให้เจ้ากรรมนายเวรของท่าน ข้าพเจ้าต้องไปฮ่องกง ๔ วัน ข้าพเจ้าก็ถามหลวงพ่อว่าต้องการอะไรที่สำหรับใช้ในกิจการของวัด หลวงพ่อก็ไม่ได้บอกให้ซื้ออะไร ปกติข้าพเจ้าจะซื้อมาถวาย ก็รู้สึกแปลกใจว่า คราวนี้หลวงพ่อไม่ได้สั่งอะไร แต่ก็คิดไม่ถึง

เพราะหลวงพ่อยังบอกข้าพเจ้าว่า ปีหน้าจะให้พี่พรนุชกับข้าพเจ้า ไปถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และจะปลุกเสกพระอีก ยังบอกกับข้าพเจ้าเรื่องการปลุกเสกพระว่า พระทองคำเวลาปลุกเสกจะสื่อพุทธานุภาพได้ง่าย พอกลับจากฮ่องกงถึงกรุงเทพฯ วันนั้นท้องฟ้ามีหมอกขาวคลุมทั้งวัน แปลกมาก

และวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าจึงไปโรงพยาบาลศิริราช หลวงพ่อท่านอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก ต้องดูแลพิเศษ ได้ดูหลวงพ่ออยู่ข้างนอก เพราะคนเยี่ยมมาก จึงกลับไปที่ซอยสายลมตอนเย็น พอถึงสายลมได้รับข่าวว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ข้าพเจ้าตกใจ คิดไม่ถึง ร้องไห้อย่างเดียว ข้าพเจ้าเคยอธิษฐานเกี่ยวกับหลวงพ่อว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้อยู่กับหลวงพ่อและวัดท่าซุงตลอดชีวิตจนกระทั่งตายจากกัน

และถ้าหลวงพ่อมรณภาพก็ขอให้ได้อยู่ใกล้หลวงพ่อด้วย (เพราะหลวงพ่อเคยซ้อมตายครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง) พอตกเย็นทางบ้านศุภชัยทัวร์ ก็โทรมาให้ไปวัดท่าซุงด้วย ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ปกติหมามีจำนวนมาก และจะเห่าถ้าจะเข้าไปด้านใน แต่คืนนั้นหมานอนร้องไห้ตามทางเดินไม่สนใจใครจะเข้าจะออกวิหาร ๑๐๐ เมตร ข้าพเจ้าได้เข้าไปกราบหลวงพ่อที่ปลายเท้า ขอขมาต่อหลวงพ่อ

และยังได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกสุดท้าย หลวงพ่อเหมือนนอนหลับแล้วยิ้ม ข้าพเจ้าคิดถึงคำอธิษฐานที่เคยขอให้ได้อยู่ใกล้หลวงพ่อตอนมรณภาพ คืนนั้นข้าพเจ้าไม่กลับกรุงเทพฯ ได้นอนเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อทั้งคืนที่วิหาร ๑๐๐ เมตร รุ่งเช้าจึงมีพิธีรับหลวงพ่อไปไว้ที่ ๑๒ ไร่ จากวันนั้นมาอยู่ที่บ้านร้องไห้คิดถึงท่านทุกวัน หลวงพ่อท่านก็มาหาตลอด หลวงพ่อท่านสวยมาก

ท่านให้เห็นเป็นชุดพระนิพพาน พอเห็นก็รู้เลยว่าเป็นหลวงพ่อ ข้าพเจ้าดีใจที่หลวงพ่อไม่ต้องทรมานกับร่างกายอีกต่อไป หลวงพ่อเคยบอกว่า ท่านอยู่พระนิพพานช่วยเราได้มากกว่าตอนมีชีวิตอยู่ และก็จริง เวลาที่เราติดขัดอะไรจะขึ้นไปหาหลวงพ่อที่พระนิพพาน หรือบอกหลวงพ่อที่หน้าพระก็ได้ หลวงพ่อท่านรู้และช่วยทุกครั้ง

แต่เราต้องรักษาศีล ๕ และปฏิบัติพระกรรมฐานให้สม่ำเสมอตลอดชีวิต เมื่อว่าตายเมื่อไร เราจะไม่พลัดพรากจากหลวงพ่ออีก เรื่องที่หลวงพ่อได้บอกลูกว่า ลูกรักของพ่อ รักษาอภิญญาสมาบัติได้ชื่อว่าหลวงพ่ออยู่ด้วยเสมอนั้น ข้าพเจ้าได้กับตัวเองจริงๆ อย่างที่หลวงพ่อบอก หลวงพ่อท่านอยู่กับเราตลอดเวลา ขอให้ลูกทุกคนมั่นใจทำความดี ท่านอยู่ช่วยด้วยเสมอ และรักลูกของท่านมากทุกคน

ข้าพเจ้ามั่นใจ มีคำสอนของหลวงพ่ออยู่ตอนหนึ่ง ท่านบอกว่า กิจที่จะทำมันเหนื่อยยาก ได้รับความขัดข้องใจ เราถือว่าเราทำตามหน้าที่ ว่าทำเต็มความสามารถแล้ว ใครจะติว่าดีหรือไม่ดีไม่ปรารถนาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าองค์สมเด็จพระทรงธรรมกล่าวว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต” คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก ฉะนั้นการจะถูกนินทาว่าร้ายอะไรก็ตาม ถือว่าช่างมัน เป็นธรรมดา

เรื่องการทำมโนมยิทธิ ส่วนใหญ่ลูกหลานหลวงพ่อทุกคนได้กันทั้งนั้น แต่จะทรงให้อยู่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าพเจ้าจะได้ยินว่าทุกคนต้องการพระนิพพาน รวมทั้งตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าคิดเสมอว่าไปได้แน่ เพราะหลวงพ่อสอนให้ทุกอย่างแบบละเอียดด้วย แม้กระทั่งฝากฝังไว้กับพรหมเทวดา แต่เมื่อข้าพเจ้าไปธุดงค์ครั้งแรกที่วัดท่าซุง ไปอยู่ ๑๐ วัน ประทับใจมาก มีความสุขในบุญตลอดเวลา

สมาธิทรงตัวดี ปัญญาพัฒนาขึ้น รายละเอียดในการปฏิบัติก็รู้เพิ่มขึ้น (เมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติได้จะตรงกับที่หลวงพ่อสอนทุกขั้น ทุกอารมณ์จิต ทำให้ยิ่งรักหลวงพ่อมาก) และอยากให้ลูกหลานปฏิบัติ จะได้รู้ด้วยตนเองว่า มโนมยิทธิมีประโยชน์มหาศาล ทั้งทางโลกและทางธรรม ตอนที่ธุดงค์ตื่นตี ๔ เจริญพระกรรมฐาน ใส่บาตรพระตอนเช้า ทำวัตรเช้า กลางวันฝึกมโนมยิทธิ

เย็นทำวัตรเจริญพระกรรมฐาน เป็นอย่างนี้ทุกวัน มีอยู่วันหนึ่งขณะที่พักอยู่ที่ห้อง ๘๓ ตึก ๒๕ ไร่ ตอน ๓ ทุ่ม เจริญพระกรรมฐาน ฟังเสียงตามสายของหลวงพ่อตามปกติ หลังจากเสียงตามสาย ข้าพเจ้าก็เห็นหลวงพ่อยืนอยู่ข้าหน้าแบบตาเนื้อ หลวงพ่อมาบอกว่า “ทำจริงได้จริงนะลูก”

ตามความเข้าใจในขณะนั้น รู้ว่าพระนิพพานไม่ง่ายอย่างที่พูดกัน เราต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ มีจิตใจที่ดี เจริญพระกรรมฐานให้สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง จึงจะมีปัญญารู้เท่าทันโลก และเมื่อเวลาตายมาถึง จะได้เข้าพระนิพพานได้ทัน

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/2/12 at 10:18 [ QUOTE ]


09

ความประทับใจในองค์หลวงพ่อของข้าพเจ้า


คณิตพร บุณยเกียรติ


ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องราวความประทับใจในองค์หลวงพ่อ ตั้งแต่วันแรกที่ได้มาพบท่าน เท่าที่พอจะจำได้นั้น ข้าพเจ้าขอกราบระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อที่มีเมตตา เจริญศรัทธา ชักจูง โน้มน้าวจิตใจข้าพเจ้า ให้หันมาปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ เพราะเดิมทีตั้งแต่เด็กจนเข้าทำงาน ข้าพเจ้าไม่เคยศึกษาและปฏิบัติธรรมหรือไปหาพระสงฆ์องค์ใดมาก่อนเลย แม้แต่ศีล ๕ ก็ไม่บริสุทธิ์

เนื่องจากตบยุงทุกวัน เพียงแต่บางครั้งคุณแม่จะพาข้าพเจ้าและน้องๆ ไปกราบพระพุทธรูป ไปทำบุญ และไปเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาตามวัดต่างๆ ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเท่านั้น จนกระทั่ง เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๙ เวลานั้นข้าพเจ้าทำงานอยู่ที่สำนักงานใหญ่ธนาคารออมสิน ถนนพหลโยธิน ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านสายลม วันนั้นตอนพักเที่ยงถึงบ่ายโมง

หัวหน้าข้าพเจ้าได้มากราบนมัสการหลวงพ่อที่บ้านสายลม เมื่อกลับมาได้นำผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม กับเหรียญเอกราชที่หลวงพ่อแจกมาให้ดู และได้บอกว่า หลวงพ่อท่านเป็นพระปฏิบัติดีมาจากจังหวัดอุทัยธานี” ทำให้ข้าพเจ้าและเพื่อนในแผนกอีก ๕ คน ขออนุญาตลางาน ๑ ชั่วโมง เพื่อไปกราบหลวงพ่อทันที

เมื่อไปถึงมีภรรยาท่านเจ้าของบ้านคือ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา กับลูกศิษย์ผู้ใหญ่นั่งอยู่ประมาณ ๕ – ๖ คนเท่านั้น พอข้าพเจ้ากับเพื่อนเข้าไปกราบหลวงพ่อ ท่านก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาร่มมาหรือเปล่า” ท่านหันมามองหน้าข้าพเจ้าเหมือนให้ข้าพเจ้าตอบ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาร่มมา จึงมองดูเพื่อนๆ ที่มาด้วยก็ไม่มีใครเอาร่มมาเลย จึงตอบท่านว่า “ไม่ได้เอามาค่ะ”

ท่านก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ตอนนี้กี่โมงแล้ว” ทำให้เพื่อนๆ ที่มาด้วยหัวเราะกันใหญ่ เพราะหลวงพ่อท่านหมายถึงพวกเราโดดร่ม เวลานั้นบ่ายโมงกว่าแล้ว เป็นเวลาทำงาน ส่วนข้าพเจ้าก็คิดในใจว่าเราคิดไม่ทัน หลวงพ่อท่านฉลาดมาก หลังจากนั้นท่านก็มองดูบนบ่าเสื้อแต่ละคน ทุกคนแต่งเครื่องแบบมีเครื่องหมายติดบนบ่าแสดงตำแหน่ง แต่มีอยู่ตนเดียวเป็นรุ่นพี่

ติดดาวบนบ่า นอกนั้นเป็นเสมียน ไม่มีดาวติด ท่านถามเพื่อนข้าพเจ้าที่ติดดาวว่า “ทำอย่างไร ทำได้ดาว” เพื่อนคนนั้นก็ตอบว่า “ไม่ต้องทำอะไร อยู่ไปนานๆ เขาก็ให้เองค่ะ” สมัยนั้นการเลื่อนตำแหน่งยังไม่มีการสอบเหมือนสมัยนี้ ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า “ที่หนูมาวันนี้ก็จะมาขอดาวหลวงพ่อค่ะ” พอพูดไปแล้วก็คิดว่าอยู่ดีๆ พูดออกไปได้อย่างไร

เพราะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย หลวงพ่อท่านก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เออ แล้วหลวงพ่อจะทำให้” ขณะนั้นคิดว่าท่านพูดเล่น แต่ในใจก็คิดว่า “หนูขอหลวงพ่อจริงๆ นะคะ” วันนั้นข้าพเจ้ามีความรู้สึกบอกไม่ถูก จิตใจเบิกบาน มีความสุขมาก แต่ก็ไม่ได้ไปหาท่านอีกเลย ต่อมาประมาณ ๒ เดือน หัวหน้าได้มาบอกข้าพเจ้าว่า “ถ้าไม่ได้ตำแหน่งไม่ต้องเสียใจนะ”

เพราะที่แผนกได้เพิ่มตำแหน่งเดียว และได้เสนอชื่อเพื่อนข้าพเจ้าที่เข้าทำงานวันเดียวกัน อายุก็เท่ากัน จบการศึกษาก็เท่ากัน ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของหลวงพ่อที่บอกว่า “หลวงพ่อจะทำดาวให้” จึงกลับมาหาหลวงพ่อใหม่ มาทำบุญ ถวายสังฆทานครบชุดเป็นครั้งแรกในชีวิต เพื่อขอให้บุญกุศลช่วยให้ได้ตำแหน่ง จากนั้นไม่นาน คณะกรรมการได้พิจารณารายชื่อการเลื่อนตำแหน่งใหม่ทั้งหมด

ในที่สุด วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๙ ข้าพเจ้าก็ได้เลื่อนตำแหน่งและได้ติดดาว พอดีวันนั้นได้ทราบว่าหลวงพ่อท่านมาพักที่บ้านสายลม เลิกงานตอนเย็นข้าพเจ้าไปซื้อพวงมาลัย และนำดาวที่เพิ่งได้รับใส่พาน เพื่อให้หลวงพ่อเสก เมื่อไปถึงหลวงพ่อท่านนอนให้น้ำเกลืออยู่ ข้าพเจ้าจึงนั่งคอยอยู่ห่างๆ พอน้ำเกลือหมดคุณหมอถอดเข็มน้ำเกลือออกแล้วท่านก็ลุกขึ้นนั่ง

เห็นข้าพเจ้าก็กวักมือเรียกเข้าไปทันที ข้าพเจ้าเข้าไปกราบและนำพานถวาย ท่านก็ยกพานขึ้นเสกให้ วันนั้นเป็นวันที่ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้ง และประทับใจในเมตตาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ที่สงเคราะห์ข้าพเจ้าในเรื่องหน้าที่การงานทางโลก ต่อมาวันหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งรถไปทำงานตอนเช้ารถติดมาก ขณะเคลิ้มคล้ายจะหลับ ได้เห็นหลวงพ่อห่มจีวรเหลืองอร่าม

มายืนใกล้เกือบชิดหน้าเห็นชัดมาก พอรู้สึกตัวจึงอยากไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงทันที เพรายังไม่เคยไป พอดีกับที่วัดกำลังจะมีงานทอดกฐินประจำปี ข้าพเจ้าจึงไปกับรถที่บ้านสายลมจัด สมัยนั้นทอดกฐินที่ศาลาพระพินิจอักษร พอไปถึงข้าพเจ้ารีบเข้าไปกราบหลวงพ่อ ท่านพูดว่า “เอ้า ลูกสาวมาแล้วหรือ” ข้าพเจ้าดีใจมากรีบหยิบเงินออกมาทำบุญ ขณะหยิบเงินนึกสงสัยว่า

ทำไมมือถึงสั่น ท่านมองดูแล้วพูดว่า “ทำให้หมดกระเป๋านั่นแหละ” ปกติข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ทำบุญ ถ้าทำแต่ละครั้งก็ไม่มาก นับว่าเป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อท่านเริ่มสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักทำบุญ เพราการทอดกฐินมีอานิสงส์มาก เวลานั้นโบสถ์เริ่มสร้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ฝังลูกนิมิต ข้าพเจ้ามองดูวัดแล้วก็คิดว่า เรามาพบหลวงพ่อช้าไป จึงไม่ได้ร่วมทำบุญสร้างวัด

ภายหลังได้ยินหลวงพ่อท่านพูดว่า วัดเรายังมีหนี้ค่าก่อสร้างอีกมาก ปีหนึ่งทอดกฐินเสร็จก็ใช้หนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้ข้าพเจ้าดีใจว่าเรามีส่วนได้ร่วมทำบุญสร้างวัดของหลวงพ่อด้วย หลังจากนั้นมาท่านก็แนะนำให้สร้างพระกรรมฐาน ๑ ห้อง สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ๑ องค์ โดยผ่อนส่งเป็นรายเดือน ให้ร่วมสร้างโรงพยาบาล ซื้อโต๊ะเก้าอี้นักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมวิทยา ๑ ชุด ซื้อพัดลม ๑ ตัว

ร่วมซื้อเรือสำหรับไปแจกของตอนน้ำท่วม และอื่นๆ อีกหลายอย่าง ท่านบอกว่าเวลาตายไปจะได้มีอานิสงส์ครบถ้วนทุกอย่าง ท่านยกตัวอย่างคนตายไปแล้วมาขอให้บวชเณรอุทิศส่วนกุศลไปให้ แต่เราเห็นว่าบวชพระมีอานิสงส์มากกว่าจึงบวชพระให้ ความจริงเขาขาดอานิสงส์บวชเณร บวชพระเขามีแล้ว เปรียบเหมือนมีน้ำอยู่ในตุ่ม แต่ไม่มีขันน้ำที่จะตักกิน ก็กินน้ำไม่ได้ฉันนั้น

เมื่อข้าพเจ้าเริ่มทำบุญมากขึ้นด้วยความเต็มใจ โดยที่หลวงพ่อไม่ต้องบอกให้ทำ ท่านก็สอนให้เก็บเงินไว้ใช้ในยามจำเป็นบ้าง ไม่ต้องทำบุญหมด จะทำอย่างหลวงพ่อไม่ได้ เพราะหลวงพ่อเป็นพระ มีคนทำบุญให้ แต่เราต้องเลี้ยงตัวเอง มีเงินเก็บไว้ใช้ในยามเจ็บป่วยบ้าง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในองค์หลวงพ่อ ที่มีความห่วงใยความเป็นอยู่ในการดำรงชีวิตของข้าพเจ้า

ต่อมาที่บ้านสายลม หลวงพ่อได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในองค์หลวงปู่ปานที่หล่อด้วยโลหะ โดยมีถาดรองเวลาบรรจุ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นพระบรมสารีริกธาตุ จึงเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นบางท่านได้เอานิ้วแตะพระบรมสารีริกธาตุที่อยู่ในถาด ข้าพเจ้าก็อยากจะจับดูบ้าง จึงยื่นนิ้วเข้าไปยังไม่ทันจะแตะ ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อค่อนข้างดุว่า “อย่าจับ” ข้าพเจ้าใจสั่นด้วยความกลัว

แต่ก็นั่งดูเฉยๆ พอท่านบรรจุเสร็จก็หันมาถามว่า “จะจับทำไม” ได้ตอบท่านว่า “หนูอยากได้ไว้บูชาค่ะ” ท่านก็พูดว่า “ไปหาตลับทองคำเล็กๆ ที่ห้อยคอได้มาแล้วจะให้” แล้วท่านก็หันไปพูดกับลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ท่านว่า “มันนั่งหน้าจ๋อยมานานแล้ว” พอท่านขึ้นพัก ข้าพเจ้ารีบไปหาซื้อตลับทองคำที่สะพานควายทันที

ตอนกลางคืนท่านลงรับแขก ข้าพเจ้าค่อยๆ คลานนำตลับทองคำไปถวายท่าน ท่านบอกว่า “พรุ่งนี้บ่าย ๒ โมงให้มารับ” วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้ารีบไป พอท่านเห็นก็กวักมือเรียกเข้าไปแล้วส่งตลับทองคำที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๕ องค์ให้ แล้วสั่งว่า “ถ้าไม่จำเป็นอย่าเปิดนะ เพราะท่านจะหล่น ให้ห้อยติดคอไว้”

ข้าพเจ้าก็ใส่ติดคอตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ และตั้งใจจะใส่ตลอดไป เป็นความประทับใจอีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อมีเมตตา สอนให้ข้าพเจ้ามีพุทธานุสสติกรรมฐานประจำใจ ปลายปี ๒๕๑๙ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ติดตามหลวงพ่อ และคณะศิษย์ของท่าน ไปนมัสการพระธาตุจอมกิตติ ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย และไปเยี่ยมทหารด้วย

การไปคราวนี้มีหลวงปู่ธรรมชัย และท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เสด็จไปด้วย ตอนเช้าได้ไปกราบนมัสการพระธาตุจอมกิตติ ฟังหลวงพ่อเล่าประวัติความเป็นมาของพระธาตุจอมกิตติ ข้าพเจ้ารู้สึกใจสบาย มีความสุขมาก พอวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปลงในค่ายทหารเพื่อเยี่ยมทหาร ท่านมีเมตตาให้ข้าพเจ้านั่งอีกลำหนึ่งที่มีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา และคณะศิษย์อีกไม่กี่คน

ส่วนข้าพเจ้าเป็นศิษย์ใหม่เพียงคนเดียว ยังไม่รู้จักกับใครมากนัก เวลานั้นข้าพเจ้ารู้สึกดีใจและปลื้มปีติมาก เพราะไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน พระเมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้า ตั้งแต่วันแรกจนถึงครั้งนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าอยากมาดูว่า ท่านสอนพระกรรมฐานนั้นเป็นอย่างไร ท่านสอนตอนกลางคืน ข้าพเจ้าจึงชวนน้องชายมาด้วย

เพื่อจะได้เป็นเพื่อนตอนกลับบ้าน พอหลวงพ่อเทศน์จบท่านก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก โดยหายใจเข้าภาวนาว่า “พุท” และหายใจออกภาวนาว่า “โธ” พอได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยะจริงๆ เพราะเราหายใจอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเลย สมัยนั้นเวลาภาวนาจะดับไฟมืดทั้งห้อง ข้าพเจ้าก็มองไปรอบๆ เห็นทุกคนหลับตากันหมด

จึงหลับตาแล้วภาวนาบ้าง แต่จิตก็ฟุ้งซ่าน คิดโน่นคิดนี่ตลอดเวลา เสียงสัญญาณบอกเวลาไฟก็เปิดสว่างขึ้น เห็นท่านหญิงวิภาวดีออกมาจากห้องข้างใน มานั่งคุยกับหลวงพ่อ เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าอยากมาเจริญพระกรรมฐานอีก ต่อมาได้รู้จักกับน้าดับ คือคุณประดับวงศ์ นิลประสิทธิ์ กับพี่แอ้ คือ คุณยุพดี จักษุรักษ์ ซึ่งทำงานที่ธนาคารออมสินเหมือนกัน และบ้านก็อยู่ทางเดียวกันด้วย

ได้ชวนข้าพเจ้าให้มาเจริญพระกรรมฐาน และไปส่งที่บ้านทุกครั้งเวลาหลวงพ่อมากรุงเทพฯ นับว่าทั้งสองท่านนี้เป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มาปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ติดตามหลวงพ่อไปจังหวัดสุโขทัย ขณะที่ทุกคนเข้าไปในศาลากราบท่านแม่ย่า วันนั้นท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เสด็จไปด้วย ข้าพเจ้านั่งอยู่ไม่ไกลจากท่านมากนัก

ได้ยินท่านพูดกับหลวงพ่อว่า “เดี๋ยวนี้หญิงไม่ขออะไรอีกแล้ว ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว” ข้าพเจ้าฟังแล้วคิดขึ้นมาทันทีว่า ท่านมียศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทาองมากมาย ท่านยังไม่ต้องการอะไรเลย อธิษฐานขอไปพระนิพพานอย่างเดียว ทำให้ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานขอไปพระนิพพานเป็นครั้งแรก เมื่อข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานขอไปพระนิพพานในวันนั้นแล้ว

ทำให้นึกถึงตอนข้าพเจ้าเป็นเด็กอายุประมาณ ๑๐ ขวบ คุณแม่จัดอาหารใส่ถาดเตรียมใส่บาตร เวลายกถาดขึ้นจบอธิษฐาน ท่านจะเรียกข้าพเจ้ากลับมาจับถาดด้วยแล้วพูดว่า “ชาติหน้าจะได้มาเกิดเป็นแม่ลูกกันอีก” ข้าพเจ้าพูดขึ้นทันทีว่า “ไม่อยากเกิดแล้ว” ทำให้คุณแม่พูดเสียงดุๆ ว่า “ทำไมเกิดมาเป็นลูกแม่ลำบากมากนักหรือ” ความจริงเวลานั้นข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร หรือต้องไปเกิดอีกหรือเปล่า สาเหตุที่ไม่อยากเกิดก็คือแต่ละวันภายในบ้านอยู่ด้วยกันไม่กี่คน

บางวันก็พูดจาปรองดองกันดี แต่บางวันก็โต้เถียงขัดแย้งกัน สลับกันไปสลับกันมาอยู่อย่างนี้ จริงๆ แล้วต่างคนก็รักใคร่ห่วงใยกันดี แต่ข้าพเจ้าไม่สบายใจเวลาเห็นการโต้เถียงขัดแย้งกันภายในครอบครัว จึงทำให้ไม่อยากเกิดมาพบกับความไม่สบายใจอย่างนี้อีก ได้เล่าให้หลวงพ่อฟัง ท่านบอกว่า “เป็นของเก่าที่เราเคยทำมาในอดีต จึงทำให้คิดอย่างนั้น”

ท่านได้บอกอีกว่า คนที่จะไปพระนิพพานได้ต้องบำเพ็ญบารมีถึงขั้นปรมัตถบารมี อย่างคนที่มาที่บ้านสายลม มาทำบุญ มานั่งฟังเทศน์ ฟังสนทนาธรรม มาเจริญพระกรรมฐานทั้งกลางวันและกลางคืน มากันเป็นประจำทุกเดือน ทั้งๆ ที่คนแน่นนั่งเข่าแทบจะชนกัน อากาศก็ร้อน ท่านบอกว่า “พวกนี้เป็นปรมัตถบารมี” และท่านบอกอีกว่า “การไม่อยากเกิดนี้ไม่ใช่เป็นกันได้ทุกคน” ไม่เชื่อให้ลองไปถามดูก็ได้

ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าไม่เชื่อหลวงพ่อ แต่มีวันหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งทำงานอยู่คนเดียวหลังเลิกงานแล้วยังไม่ได้กลับบ้าน เห็นพนักงานบริการเข้ามาทำความสะอาดในห้อง ข้าพเจ้ารู้จักและทราบว่าเธอมีหนี้สินมาก ชีวิตค่อนข้างลำบาก รูปร่างหน้าตาก็ไม่สวย ภายในครอบครัวก็ไม่ปรองดองกัน จึงถามเธอว่า “ถ้าตายแล้วอยากมาเกิดอีกไหม” เธอตอบทันทีว่า “อยากเกิดสิคะ แต่ขอเกิดเป็นคนสวย”

แสดงให้เห็นว่าคำสอนที่หลวงพ่อนำมาสอนนั้นเป็นความจริงทุกอย่าง และสามารถพิสูจน์ได้ วันที่หลวงปู่ธรรมชัย แห่งวัดทุ่งหลวง จังหวัดเชียงใหม่ มาทำพิธีต่ออายุให้หลวงพ่อที่บ้านสายลม เวลานั้นหลวงพ่อไม่ค่อยสบาย มีลูกศิษย์มาร่วมในพิธีกันมาก ข้าพเจ้าทราบข่าวจึงมาตั้งแต่เช้า มานั่งอยู่ใกล้ๆ ประตูทางขึ้นห้องพักของท่าน นั่งฟังท่านคุยกับลูกศิษย์ที่มาทำบุญจนถึงตอนบ่าย

โดยไม่ลุกออกไปรับประทานอาหารกลางวัน แต่ก็ไม่รู้สึกหิวเลย ท่านหันมาดูหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย จนกระทั่งตอนเย็นท่านหันมาทางข้าพเจ้าแล้วบอกกับลูกศิษย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่า “คนนี้ลูกสาวฉัน เขาตามแม่เขา” ตอนนั้นยังไม่มีการฝึกมโนมยิทธิ จึงไม่มีใครทราบว่าเคยเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อมาในอดีตบ้าง นอกจากลูกศิษย์รุ่นเก่าๆ ที่หลวงพ่อท่านบอกเท่านั้น ข้าพเจ้าดีใจมาก

คิดมาตลอดทางที่กลับบ้านว่า ท่านแม่อยู่ที่ไหน ท่านลงมาเกิดในเมืองมนุษย์หรือว่าอยู่ข้างบน แต่อารมณ์ใจบอกว่าท่านน่าจะอยู่ข้างบนมากกว่า หลังเลิกงานวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ไปเลือกซื้อพวงมาลัยมา ๑ พวง พอถึงบ้าน อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปจุดธูปกลางแจ้ง พร้อมถวายพวงมาลัย ตั้งจิตอธิษฐานขอท่านแม่ว่า “ลูกจะเจริญพระกรรมฐานไปเรื่อยๆ ขอเห็นท่านแม่ จะนานเท่าไรลูกก็คอยได้”

เพราะคิดว่าเรายังปฏิบัติไม่เก่ง คงไม่สามารถเห็นท่านได้ในวันนี้ พอไหว้เสร็จก็เข้าห้องนอน สวดมนต์ไหว้พระเสร็จก็นั่งกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมคำภาวนา “พุทโธ” ภาวนาไปได้สักครู่เดียว ไม่ถึงนาที ก็เห็นผู้หญิงสาวสวยท่านหนึ่ง แต่งชุดไทยห่มสไบ เป็นคนเนื้อเต็มแต่ไม่อ้วน หน้ารูปไข่ ผมดำยาวสลวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สวยงามมากจริงๆ สวยกว่าผู้หญิงที่สวยในเมืองมนุษย์

ท่านนั่งพนมมือไหว้หลวงพ่อ ความรู้สึกบอกว่าเป็นท่านแม่ โดยไม่มีความสงสัยเพราะเห็นหลวงพ่อด้วย นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่หลวงพ่อเริ่มให้ข้าพเจ้ามีความรัก และผูกพันในท่านแม่ จะได้มีใจรักในการเจริญพระกรรมฐาน จากนั้นมาเวลาหลวงพ่อมาสอนพระกรรมฐานที่บ้านสายลม เดือนละ ๓ วัน ข้าพเจ้าก็มาทุกครั้งไม่เคยขาด

เมื่อเจริญพระกรรมฐานเสร็จก็นำเงินบ้าง ยานัตถุ์และผ้าเช็ดน้ำมูกเข้าไปถวาย ท่านก็จะพูดว่า “เอ็งขยันๆ เข้านะ อย่าให้แม่เขามาว่าข้าได้” ทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจปรับปรุงตัวเองโดยเริ่มท่อง “โยโส ภควาฯ” และท่องศีลข้อที่ ๖ ถึงข้อที่ ๘ ขณะนั่งรถไปทำงานตอนเช้าทุกวันจนจำได้ เพราะเคยสวดแต่ “อิติปิโส” กับศีล ๕ ต่อมาวันหนึ่ง ขณะนั่งเจริญพระกรรมฐานตอนกลางคืน

ข้าพเจ้าเห็นประกายเป็นแฉกคล้ายดาวดวงใหญ่สวยงามมาก พุ่งลงมาพอใกล้กลายเป็นพระพุทธรูประทับยืนยกพระหัตถ์ข้างเดียว มีพระอัครสาวกทั้งสองประทับนั่งอยู่คนละข้าง พอเลิกพระกรรมฐานแล้ว หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่า “ไอ้เปี๊ยก ศีล ๕ เอ็งครบหรือเปล่า” ได้ตอบท่านว่า “หนูพยายามทำให้ครบค่ะ” เป็นอันว่าหลวงพ่อท่านเริ่มให้ข้าพเจ้ารักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ เพราะถ้าศีลบริสุทธิ์สมาธิก็จะเกิด

เมื่อมานานๆ เข้า ท่านก็เรียกข้าพเจ้าว่า “เปี๊ยก” ชื่อนี้เป็นชื่อที่หลวงพ่อท่านเรียก เพราะอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าไม่ได้ชื่อนี้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ตอนเป็นนักเรียนข้าพเจ้าอยากมีชื่อเล่นเป็นชื่อคำเดียวเหมือนเพื่อนๆ บ้าง แต่ปัจจุบันนี้น้องๆ และหลานๆ ที่บ้าน ตลอดจนเพื่อนๆ ก็เรียกว่า “เปี๊ยก” กันหมด มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้ารู้สึกดีใจและแปลกใจก็คือ ตอนที่ฝึกมโนมยิทธิได้ใหม่ๆ ขึ้นไป

กราบท่านปู่กับท่านย่าที่พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ท่านก็เรียกข้าพเจ้าว่า “เปี๊ยก” เหมือนที่หลวงพ่อท่านเรียก ทำให้ข้าพเจ้าดีใจ และประทับใจที่หลวงพ่อท่านตั้งชื่อให้ เรื่องการตั้งชื่อนี้ ท่านเคยบอกไว้ว่า ท่านไม่ได้ตั้งเอง ท่านฟังเสียงข้างบนบอก ส่วนมากจะเป็นชื่อของคนนั้น หลวงพ่อมีเมตตาตั้งชื่อให้หลานข้าพเจ้า ๒ คน พอบอกวันเดือนปีเกิดของหลาน

ท่านก็นิ่งสักครู่เดียว แล้วบอกชื่อพร้อมทั้งคำแปลของชื่อ ถ้าขอชื่อเล่นท่านก็บอกให้ด้วย นับว่าหลวงพ่อมีเมตตามาถึงหลานข้าพเจ้าอีกด้วย ขณะที่หลวงพ่อยังไม่ได้สอนมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อก็มีพี่แดงคือ พลตรีศรีพันธุ์ วิชชพันธุ์ ซึ่งปรารถนาพุทธภูมิ สามารถติดต่อกับท่านปู่ ท่านย่า และท่านแม่ได้ ทำให้พวกเราได้ทราบว่า ท่านสั่งอะไรมาถึงพวกเราบ้าง

วันหนึ่งข้าพเจ้าและเพื่อนๆ นั่งคุยกับพี่แดงที่บ้านสายลม พี่แดงก็บอกว่า ท่านแม่ข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าก็ถามถึงเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับท่าน พี่แดงรับฟังแล้วก็ถ่ายทอดให้ฟังสักครู่หนึ่ง ทุกคนที่นั่งอยู่ได้กลิ่นยานัตถุ์แรงมาก พี่แดงบอกว่า หลวงพ่อมาบอกว่า “อย่าไปบอกมันมากนัก” พี่แดงก็หยุดพูดเพราะกลัวหลวงพ่อ

หลังจากนั้นวันหยุดพวกเราก็ไปวัด พอลงจากรถหลวงพ่อเดินออกมาพอดี ท่านตรงเข้ามาพูดประโยคแรกว่า “ไอ้เปี๊ยก เอ็งไปฟ้องอะไรแม่เขา” พี่แดงหันมามองหน้าข้าพเจ้าทันที เราคุยกันที่กรุงเทพฯ แต่หลวงพ่อยู่ที่วัด ท่านทราบได้ ทำให้ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ต่างก็คิดว่า เราทำอะไรที่ไหนก็ตาม หลวงพ่อท่านทราบหมด ปิดท่านไม่ได้ เพียงแต่ท่านจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น

มีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อคราวที่เพื่อนข้าพเจ้าที่ออมสินได้นิมนต์หลวงพ่อไปพักผ่อนที่บ้านสวน เป็นสวนผลไม้ อยู่ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ตอนเช้าวันหนึ่ง เจ้าของบ้านจัดให้หลวงพ่อฉันภัตตาหารเช้าที่ศาลาในสวน ท่านต้องเดินผ่านสวน บริเวณทางเดินมีกรงนกหลายกรงที่เจ้าของบ้านเลี้ยงไว้ พอท่านเดินผ่านกรงนก ปรากฏว่ามีนกตัวหนึ่งส่งเสียงพูดภาษานกติดต่อกันนานกว่าปกติ

ทำให้หลวงพ่อต้องเดินกลับมายืนหน้ากรงนกตัวนั้นแล้วพูดทักทายด้วย เมื่อท่านฉันเสร็จแล้ว ขณะที่ทุกคนช่วยกันลำเลียงอาหารออกจากโต๊ะ ข้าพเจ้าเห็นท่านนั่งสบายๆ จึงเข้าไปถามท่านค่อยๆ ว่า “เมื่อกี้นี้หลวงพ่อเดินผ่านกรงนก นกส่งเสียงคล้ายพูดอยู่นาน นกพูดอะไรคะ” ท่านก็มีเมตตาตอบเบาๆ ว่า ขณะที่หลวงพ่อเดินผ่านกรงนก นกตัวนั้นได้ถามว่า

“หลวงพ่อจะไปไหน” และเมื่อเดินเลยไปโดยไม่หยุดพูดด้วย นกจึงพูดอีกว่า “ถามแล้วไม่ตอบ” หลวงพ่อจึงต้องเดินกลับมาพูดทักทายด้วย เรื่องนี้ข้าพเจ้าเก็บเป็นความลับมานาน ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพแล้ว จึงเล่าให้ฟังเป็นบางคนที่เข้าใจในเรื่องนี้เท่านั้น เรื่องราวต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้ประสบมากับตนเอง ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความเลื่อมใส ศรัทธา และมีความเชื่อมั่นในองค์หลวงพ่อมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

ไม่ว่าท่านจะสอน หรือบอกให้ทำอะไร ข้าพเจ้าเชื่อและพร้อมที่จะทำตามทุกอย่าง ปี พ.ศ.๒๕๒๑ หลวงพ่อได้นำวิชามโนมยิทธิมาสอนลูกศิษย์ สมัยนั้นท่านจะมีเก้าอี้ตัวเล็กๆ พร้อมไมโครโฟน และเครื่องบันทึกเสียงออกไปแนะนำ และสอบถามเป็นรายบุคคลด้วยองค์ท่านเอง การฝึกสมัยนั้นไม่ง่ายเหมือนสมัยนี้ เพราะเป็นการเริ่มฝึกใหม่ๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการฝึก

หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านย่ามาสั่งให้ดูพระพุทธรูปประทับยืนยกพระหัตถ์ขวาให้ติดตา จะทำให้ฝึกได้ง่ายขึ้น สำหรับข้าพเจ้านั้นฝึกได้ยากมาก หลวงพ่อมีเมตตาเข้ามาสอบถามถึง ๔ ครั้ง จึงไปถึงพระนิพพานได้ เพราะไม่ใช้ความรู้สึกรับสัมผัสก่อน คอยจะเอาตาเห็นอย่างเดียว หลวงพ่อเข้ามาสอบถาม ๒ ครั้งจึงฝึกไม่ได้ ฝึกครั้งที่ ๓ ที่บ้านสายลม วันนั้นตอนเช้า ขณะที่หลวงพ่อกำลังฉัน ข้าพเจ้านั่งอยู่ด้วย

ได้ยินท่านพูดว่า “แมลงวันตกลงไปในถ้วยน้ำปลา” ข้าพเจ้าลุกขึ้นดู เห็นแมลงวันอยู่นิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก จึงบอกท่านว่า “มันตายแล้วค่ะ” ท่านก็บอกว่า “เอ็งรีบหยิบมันขึ้นมา เดี๋ยวมันแสบตัว” พอได้ยินหลวงพ่อพูด ข้าพเจ้ารู้สึกละอายใจตนเองว่า จิตเรายังหยาบอยู่มาก ขาดความเมตตาปรานี

เพราะน้ำปลาก็เค็ม พริกขี้หนูก็ทั้งเผ็ดทั้งร้อน แมลงวันไม่ได้ตายทันที ยังมีความรู้สึกอยู่ก็จะแสบตัว หลวงพ่อท่านมีจิตละเอียดมาก เป็นการสอนให้ข้าพเจ้ามีจิตเมตตาปรานีมากขึ้นกว่าเดิม และยังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ วันนั้นอยู่ที่ทำงานตอนพักกลางวัน หรือว่างตอนไหน จิตก็จับภาพพระและคำภาวนา “นะมะพะธะ” ตลอดเวลา

เลิกงานแล้วก็มาบ้านสายลม ก่อนหลวงพ่อขึ้นพักท่านพูดว่า “วันนี้จะออกไปถามผู้ใหญ่บ้าง” ทำให้ข้าพเจ้าสบายใจ เพราะไม่ต้องกังวลว่าท่านจะเข้ามาถาม เมื่อหลวงพ่อขึ้นพักแล้ว ข้าพเจ้าก็นั่งมองพระพุทธรูป พร้อมรู้ลมหายใจเข้าออก และภาวนาในใจ ไดตั้งจิตอธิษฐานขอให้ฝึกมโนมยิทธิได้โดยเร็วที่สุด เพื่อตอบแทนพระคุณหลวงพ่อที่มีเมตตาต่อข้าพเจ้ามาก

เวลานั้นถ้าใครฝึกได้ หลวงพ่อจะชื่นใจและพอใจมาก ตอนกลางคืนขณะฟังหลวงพ่อเทศน์ ก่อนฝึกมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าตั้งใจฟังและคิดตามให้เห็นจริงทุกคำพูด ทุกประโยค ตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะฟังเทศน์รู้สึกใจเบาขึ้นๆ และภายในตัวสว่างขึ้นๆ พอเทศน์จบ เสียงหลวงพ่อขยับไมโครโฟน ความรู้สึกบอกว่าหลวงพ่อจะเข้ามาถามเรา และท่านก็เข้ามานั่งข้างหน้าข้าพเจ้าจริงๆ

พอท่านเข้ามา ใจข้าพเจ้าเริ่มสั่น ด้วยความกลัวว่าหลวงพ่อถามแล้วจะตอบไม่ได้ ท่านพูดว่า “เมื่อกี้เห็นจิตสว่างดี พอข้าเข้ามาไฟก็เริ่มหรี่ลง” บอกท่านว่า “ใจหนูสั่นเพราะหลวงพ่อค่ะ” ท่านก็พูดว่า “พ่อเข้ามาช่วยลูก ไม่ได้มาฆ่าลูก” ได้ยินท่านพูดอย่างนี้ก็รู้สึกชื่นใจ หายกลัว ท่านพาไปกราบท่านปู่กับท่านย่า

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/2/12 at 10:18 [ QUOTE ]


ที่พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เห็นท่านปู่ใสเป็นแก้วทั้งองค์ ประทับนั่งเห็นชัดมาก หลวงพ่อท่านบอกว่า “เราขึ้นมาบนนี้ได้ แสดงว่าเวลานี้เราไม่มีกิเลสเกาะใจ ถ้ามีกิเลสเกาะใจแม้แต่นิดเดียว ก็จะขึ้นมาไม่ได้” ทำให้ข้าพเจ้าดีใจมาก พอท่านบอกให้ไปพระนิพพาน ขณะนั้นข้าพเจ้าเกิดความลังเล ไม่มีความมั่นใจว่าจะมีความดีไปถึงพระนิพพานได้ จึงไม่สามารถไปพระนิพพานได้ในวันนั้น

มาคิดได้ภายหลังว่า ขณะฝึกอย่ามีอารมณ์ใจลังเล หรือสงสัยเด็ดขาด เพราะเป็นนิวรณ์ ความเป็นทิพย์ของจิตจึงไม่เกิด หลังจากนั้นพอถึงวันเสาร์ หลวงพ่อได้ส่งรถมารับลูกศิษย์ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ขณะนั่งรถไปวัด ข้าพเจ้าได้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมคำภาวนา และจิตก็จับภาพพระประทับยืนตามที่ท่านย่าบอกไปตลอดทาง ระหว่างทางพอเคลิ้มคล้ายจะหลับ

ได้เห็นพระพุทธรูปสีทองประทับนั่งองค์ใหญ่ปรากฏข้างหน้า อยู่ใกล้มากจนเห็นแววพระเนตรที่พระองค์ยิ้มให้ ข้าพเจ้ารู้สึกตัวด้วยความดีใจมาก จนเพื่อนที่นั่งข้างๆ ถามว่า “พี่เปี๊ยกเห็นอะไรหรือ” พอไปถึงวัดได้ขึ้นไปกราบหลวงพ่อที่ศาลานวราช วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าพยายามจับภาพพระพร้อมคำภาวนาบ้าง พิจารณาร่างกายให้เห็นว่าเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก น่ารังเกียจ

โดยไปดูรูปศพที่ถูกผ่าเห็นอวัยวะภายใน เป็นรูปฟิล์มสี จึงเห็นสีสันของอวัยวะต่างๆ อย่างชัดเจนที่ติดไว้บนศาลานวราช นอกจากนั้นพยายามควบคุมอารมณ์ใจให้สบายๆ ตลอดทั้งวัน เวลาที่กระทบกระทั่งกับความไม่ชอบใจทั้งหลาย ก็ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่เก็บมาคิด จึงไม่ทำให้มีความโกรธ เพื่อนเตรียมใจไว้สำหรับการฝึกตอนกลางคืน เพราะมีความต้องการไปถึงพระนิพพานให้ได้

เนื่องจากบรรดาพี่ๆ และเพื่อนๆ ฝึกกันได้หลายคนแล้ว วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๑ ข้าพเจ้าถือว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในชีวิต เป็นการฝึกครั้งที่ ๔ ที่หลวงพ่อเข้ามาแนะนำ และสอบถามข้าพเจ้าจนสามารถไปถึงพระนิพพานได้ วันนั้นข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจวิธีการฝึกบ้างแล้ว เมื่อท่านเข้ามาแนะนำตัดขันธ์ ๕ ท่านพูดสั้นๆ ได้ใจความเข้าใจง่าย ข้าพเจ้าฟังแล้วคิดตาม

เห็นจริงทุกอย่างโดยไม่ต้องคิดนาน ท่านให้นึกถึงบุญที่ได้บำเพ็ญบารมี ติดตามหลวงพ่อมาเป็นเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ฟังแล้วรู้สึกดีใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าเคยสั่งสมผลบุญมามาก พอเห็นพระพุทธเจ้าและท่านแม่ปรากฏข้างหน้า กราบท่านแล้ว ท่านให้ขอบารมีพาไปวิมานหลวงพ่อบนพระนิพพานเป็นอันดับแรก ข้าพเจ้ากำหนดจิตตามไปทันที ท่านถามว่า “ไปถึงหรือยัง”

ตอบท่านว่า “ไปถึงแล้วค่ะ” ท่านก็พูดว่า “ข้าเห็นเอ็งไปยืนป๋ออยู่หน้าวิมาน” ประโยคนี้ ทำให้ข้าพเจ้าดีใจมาก เพราะเป็นการยืนยันว่าข้าพเจ้าได้มาถึงพระนิพพานแล้ว หลังจากนั้นท่านก็พาไปวิมานข้าพเจ้าบนพระนิพพาน ไปวิมานสมเด็จพระพุทธกัสสป ซึ่งอยู่ใกล้กับวิมานหลวงพ่อ ไปดูการสอบสวนที่สำนักท่านพระยายมราช ก่อนจบการฝึกท่านถามว่า

“ดีใจไหมที่ฝึกได้วันนี้” ตอบท่านว่า “ดีใจมาก เพราะเป็นความหวังที่หนูต้องการมานานแล้วค่ะ” ท่านก็พูดว่า “ให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระองค์แม้แต่ศีลเราก็ไม่รู้” ข้าพเจ้าคิดในใจว่า นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีหลวงพ่อเป็นผู้มีพระคุณอีกท่านหนึ่ง เพราะถ้าข้าพเจ้าไม่ได้มาพบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็คงไม่ได้รักษาศีล ไม่ได้เจริญพระกรรมฐาน

ไม่ได้ขึ้นมากราบพระพุทธเจ้าและไม่ได้เห็นท่านแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้มาพบเห็นแดนพระนิพพานอย่างแน่นอน คืนนั้นข้าพเจ้ามีความปลื้มปีติมากจนนอนไม่หลับ นึกย้อนถึงตอนเป็นเด็ก เคยคิดแต่เพียงว่า ตายแล้วไม่อยากมาเกิดอีก เพราะไม่อยากพบกับความไม่สบายใจ แต่วันนี้หลวงพ่อได้พาข้าพเจ้ามายังแดนที่ไม่มีการเกิดอีกต่อไป เป็นแดนที่มีความสุขที่สุด

ความทุกข์แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี นั่นคือแดนพระนิพพาน ซึ่งข้าพเจ้าได้ขึ้นมาเห็นวิมานของข้าพเจ้าแล้ว ตายเมื่อใดต้องมาอยู่ที่นี่ให้ได้ ตอนเช้าขึ้นไปกราบหลวงพ่อที่วิมานท่านบนพระนิพพาน มองหน้าหลวงพ่อเห็นลูกตาท่านกลวงลึกเข้าไปน่ากลัวก็ตกใจ ไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกว่า “ท่านสอนให้พิจารณาร่างกาย ว่าไม่ช้าก็ต้องตาย มีสภาพไม่น่าดูอย่างนี้”

หลังจากนั้นได้มีคนมาฝึกมโนมยิทธิที่วัดกันมาก หลวงพ่อท่านสุขภาพไม่ค่อยดี จึงให้ลูกศิษย์ที่ฝึกได้แล้วออกไปช่วยสอน ข้าพเจ้ามองดูพี่ๆ ที่ฝึกได้ก่อนออกไปสอน ใจก็คิดอยากออกไปสอนบ้าง แต่ก็คิดว่าเรายังฝึกไม่เก่ง จะออกไปสอนเขาได้อย่างไร คืนวันหนึ่งที่ศาลานวราช พอหลวงพ่อเทศน์จบ แต่ละคนก็ออกไปสอน เหลือข้าพเจ้านั่งอยู่คนเดียว ท่านหันมาพูดว่า “ไอ้เปี๊ยก เอ็งทำไมไม่ออกไปสอน”

ตอบท่านว่า “หนูยังฝึกไม่เก่ง จึงไม่กล้าออกไปสอนค่ะ” ท่านก็พูดว่า “ถ้ารอให้เก่งเอ็งก็ตายเสียก่อน” แล้วท่านก็แนะนำ เวลาออกไปสอนให้ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วย อัญเชิญท่านประทับบนศีรษะ มอบถวายเป็นภาระของพระองค์ แล้วก็จะสอนได้ คืนวันรุ่งขึ้นพอฟังเทศน์จบ ข้าพเจ้าก็ตั้งจิตอธิษฐานตามที่หลวงพ่อสอน

และขอให้พระองค์ได้โปรดดลใจให้ทราบว่า สมควรจะออกไปสอนท่านผู้ใดจึงจะเกิดมรรคผล แล้วรีบออกไปสอนทันทีด้วยความกลัวหลวงพ่อ ถ้านั่งอยู่วันนี้โดนดุแน่ วันแรกของการสอน ข้าพเจ้าสอนผู้หญิงวัยกลางคน ไม่ถึงกับแก่ ผู้ฝึกน้ำตาไหลพรากๆ เห็นชัดเจนแจ่มใสมาก ทำให้ข้าพเจ้าดีใจมาก และได้สอนมาตั้งแต่ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๑ ต่อมาหลวงพ่อสอนท่องเที่ยวยังภพต่างๆ

พาไปสวรรค์ทุกชั้น พรหมทุกชั้น นรกทุกขุม เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าแดนต่างๆ นั้นมีจริง หลังจากนั้นก็สอนให้คณะครูฝึกได้ญาณ ๘ เพื่อนำไปเป็นแบบอย่างสำหรับการสอนต่อไป จึงมีการฝึกมโนมยิทธิขั้นต้นสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฝึกมาก่อน เมื่อฝึกขั้นต้นได้แล้ว ก็มาฝึกท่องเที่ยวยังภพต่างๆ แล้วจึงมาฝึกญาณ ๘ เพื่อให้จิตคล่องตัว เกิดความมั่นใจ ไม่สงสัยในการปฏิบัติ

เพราะได้ไปพบไปเห็นทั้งแดนที่มีความสุข และแดนที่มีความทุกข์ จะได้กลัวบาป รีบทำความดี สั่งสมบุญกุศลไว้ก่อนตาย เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๒๖ คณะศิษย์หลวงพ่อที่อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้นิมนต์หลวงพ่อพร้อมพระสงฆ์ และคณะศิษย์ที่เป็นครูฝึกไปสอนมโนมยิทธิที่ลอสแอนเจลิส ชิคาโก และเดนเวอร์ มีผู้มาทำบุญและฝึกมโนมยิทธิกันมาก

ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ท่านจึงรับนิมนต์อีกเป็นครั้งที่ ๒ คราวนี้ไปประเทศอังกฤษก่อน พักอยู่ ๒ คืน หลวงพ่อได้ไปเยี่ยมท่านสุเมโธ เป็นชื่อท่านสมัยนั้น วัดท่านอยู่ในป่าสงบเงียบ ร่มเย็นมาก ท่านพูดไทยได้ และสวดมนต์ชัดเจนไพเราะมาก หลังจากนั้นท่านให้คณะศิษย์ที่ติดตามได้ไปทัศนศึกษาชมภูมิประเทศความเป็นอยู่ของชาวอังกฤษ ไปนั่งรถไฟใต้ดิน

ไปชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง ไปชมศูนย์การค้าในกรุงลอนดอน เป็นการพักผ่อนก่อนเดินทางไปสอนมโนมยิทธิที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทั้ง ๓ เมือง การติดตามหลวงพ่อไปสอนมโนมยิทธิที่ประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งที่ ๒ นี้ ข้าพเจ้าได้ลาออกแล้ว ได้บำเหน็จมาจำนวนหนึ่ง จึงอยากนำหลานที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโตไปด้วย ได้เข้าไปขออนุญาตหลวงพ่อ

ขอนำหลานไปด้วยโดยออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ท่านก็มีเมตตาอนุญาตให้ไปได้ เป็นความประทับใจและซาบซึ้งในองค์หลวงพ่อ ที่ท่านสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปต่างประเทศ และที่สำคัญได้ไปสอนมโนมยิทธิ จัดเป็นธรรมทานซึ่งมีอานิสงส์มาก ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “การให้ธรรมเป็นทานชนะทานทั้งปวง”

นอกจากนั้น ท่านยังสงเคราะห์ไปถึงหลานข้าพเจ้าอีกด้วย ต่อมาคณะศิษย์ที่อยู่ประเทศนิวซีแลนด์ ได้นิมนต์หลวงพ่อพร้อมพระสงฆ์และคณะศิษย์ไปสอนมโนทยิทธิที่ประเทศนิวซีแลนด์ถึง ๒ ครั้ง ท่านก็มีเมตตาให้ข้าพเจ้าติดตามไปสอนมโนมยิทธิด้วย เมื่อไปถึงแล้ว วันหนึ่งตอนกลางวันยังไม่มีการสอน หัวหน้าทัวร์ได้นำคณะของหลวงพ่อทั้งหมด นั่งรถชมวิวทิวทัศน์

บ้านเรือนส่วนใหญ่ปลูกบนเขา ลดหลั่นกันลงมาทำให้ดูสวยงาม หลังจากนั้นก็พาไปชมการแสดง ปรากฏว่าเป็นการแสดงความสามารถการโกนขนแกะในเวลาอันรวดเร็ว โดยใช้กรรไกรปัตตาเลี่ยนที่คมมากโกนขนแกะจนติดผิวหนังออกหมดทั้งตัว มีเลือดออกซิบๆ นิวซีแลนด์อากาศหนาวเย็นกว่าบ้านเรามาก แกะจึงมีขนหนากันความหนาวเย็น

เมื่อโกนขนออกหมด ผิวหนังบางๆ ของแกะก็กระทบกับความเย็นทันที ทรมานมาก กว่าขนจะขึ้นใหม่ก็ใช้เวลาอีกนาน แกะถูกโกนขนออกหมดในเวลารวดเร็วมาก ชาวต่างชาติที่มาชมการแสดงต่างก็ตบมือให้คนแสดงด้วยความสนุกสนาน เมื่อหลวงพ่อออกมาข้างนอก ท่านพูดว่า “การแสดงอย่างนี้ไม่ต้องพามาดูอีกนะ ข้าไม่มาแล้ว”

ท่านสงสารแกะ และเล่าให้ฟังว่า ขณะที่ท่านนั่งดูอยู่ ท่านเห็นแกะตัวที่ถูกโกนขนนั้น ชาติก่อนเกิดเป็นคนได้โกนขนแกะ และแกะตัวที่ถูกโกนขนในชาติก่อน มาเกิดเป็นคนที่โกนขนแกะตัวนั้นในวันนี้ เป็นการชดใช้กรรมกันไป จะเห็นว่าการเดินทางไปต่างประเทศหรือไปสถานที่ใดก็ตาม หลวงพ่อไม่ได้ไปเพื่อความสนุกสนาน ท่านทราบแล้วว่าสถานที่นั้นพวกเราเคยเกิด

เคยอยู่กันมาก่อน ท่านจึงไปสงเคราะห์คนของท่านที่เคยติดตามกันมา ให้ได้มาร่วมทำบุญและปฏิบัติธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้ตั้งอยู่ในกุศล จิตใจจะได้สงบเยือกเย็น ถ้าตายเมื่อใดจะได้ไปเกิดในแดนที่มีความสุข นอกจากนั้นท่านยังสงเคราะห์คนที่ตายไปแล้วมาขอบุญกุศลจากท่านอีกด้วย

ขณะเดินทาง ถ้าท่านพอมีเวลาว่างจากการสอน ท่านก็จะเล่าประวัติความเป็นมาของสถานที่นั้นในอดีต มีสภาพเป็นอย่างไร เทียบกับปัจจุบันต่างกันมาก บางที่ที่เราเห็นเป็นภูเขา แต่ในอดีตเคยเป็นทะเลมาก่อนก็มี บ้านเมืองในอดีตเวลานี้จมอยู่ใต้ทะเลก็มี แต่ละแห่งที่หลวงพ่อพาไป ไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศหรือในประเทศ ส่วนใหญ่พวกเราเคยเกิดกันแทบทุกคน ท่านก็สอนให้เห็นว่า

ผู้คนในสมัยนั้น แม้แต่ตัวเราที่เคยเกิดก็ตายกันไปหมดแล้ว วัตถุธาตุ บ้านเรือน สถานที่ต่างๆ สมัยนั้นก็ไม่มีอะไรทรงตัวได้ตลอดกาลตลอดสมัย เปลี่ยนแปลงทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ในที่สุดก็สลายตัวหมด ไม่มีอะไรเหลือ รวมความว่า หลวงพ่อท่านสอนให้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ไปพบเห็นล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

นอกจากนั้นสถานที่ใดที่มีพระสุปฏิปันโน คือพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านก็จะพาลูกศิษย์ไปกราบ และให้ทำบุญพร้อมทั้งรับฟังคำสอนการปฏิบัติจากพระองค์นั้นด้วย เพราะมีอานิสงส์มาก เป็นการสั่งสมบุญบารมีให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อคราวที่ หลวงปู่คำแสนเล็ก แห่งวัดดอนมูล จังหวัดเชียงใหม่ ท่านมรณภาพ

หลวงพ่อได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “เปี๊ยก ไปลางานนะ ต้องไปกราบหลวงปู่ เพราะท่านเป็นพระปฏิบัติดี” เป็นการยืนยันให้ข้าพเจ้าทราบว่า การไปกราบหรือทำบุญกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ย่อมมีอานิสงส์มาก หลวงพ่อได้แนะนำสั่งสอนลูกศิษย์ให้ปฏิบัติตาม เพื่อการพ้นทุกข์แล้ว ท่านยังแนะนำปลูกฝังนิสัยที่ดีหลายๆ อย่างในการดำรงชีวิตในทางโลกอีกด้วย เป็นต้นว่า

๑. ท่านสอนให้เป็นคนตื่นแต่เช้า โดยบอกว่า “คนที่ตื่นเช้าจะไม่ยากจน” ตื่นมาทำอะไรให้เสร็จเรียบร้อย และจะไปนอนใหม่ก็ไม่เป็นไร
๒. ท่านสอนให้ทำอะไรเร็วๆ ไวๆ ไม่ชักช้ายืดยาด ถ้าท่านบอกให้ใครไปทำอะไร ต้องรีบลุกทันที จะใช้คำว่า “เดี๋ยวก่อน” ไม่ได้เลย การเดินทางติดตามท่านแต่ละครั้ง ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเวลานัดหมายประมาณ ๑ ชั่วโมง มีอยู่คราวหนึ่ง

ท่านนัดรถออกตี ๕ พอตี ๔ เศษๆ หลวงพ่อท่านออกมาแล้ว ข้าพเจ้าต้องรีบขึ้นรถทั้งชุดนอนแล้วไปเปลี่ยนที่ปั๊มน้ำมันเวลารถจอดเติมน้ำมัน ตั้งแต่นั้นมาการเดินทางทุกครั้ง พวกเราจะตื่นมาแต่งตัวและจัดกระเป๋าให้เรียบร้อยพร้อมขึ้นรถได้ทันที แล้วนอนคอยเวลา พอท่านมาก็ลุกไปขึ้นรถได้เลย เป็นการฝึกให้ลูกศิษย์มีนิสัยทำอะไรรวดเร็ว ไม่อืดอาดชักช้า และเป็นคนไม่ผิดนัด

๓. การเขียนหนังสือและตัวเลข ท่านสอนให้เขียนตัวโตๆ ให้อ่านง่าย อย่าไปเขียนตัวเล็กๆ หรือเขียนตัวหนังสือแบบเล่นหางเด็ดขาด เพราะทำให้อ่านยาก ท่านบอกว่า “คนที่เขียนหนังสืออ่านยาก แสดงว่าคนนั้นยังมีกิเลสมาก”

๔. พื้นห้องที่ปูด้วยกระเบื้องหรือหินอ่อนจะมีความเย็น ท่านสอนว่าอย่าไปนั่นนานๆ ให้หาอะไรมารองนั่ง เพราะจะทำให้เป็นโรคเหน็บชา
๕. เวลาท่านไปสอนพระกรรมฐาน ถ้าไปพักบ้านที่ติดชายทะเล หรือบ้านที่มีสระน้ำ ถ้าใครว่ายน้ำไม่เป็น ท่านให้ไปหัดว่าย ท่านบอกว่า การว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกาย ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง และถ้าเผอิญไปตกน้ำก็จะไม่จมน้ำตาย

๖. ท่านสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักขุดดิน ฟันหญ้า ปลูกผักสวนครัวที่วัดอยู่พักหนึ่ง ข้าพเจ้าคิดเองว่า ท่านสอนให้รู้จักสมบุกสมบันบ้าง และเป็นการออกกำลังกายด้วย เพราะทำงานนั่งอยู่กับโต๊ะมานานหลายปี
๗. เรื่องอาหารและผลไม้นี้ ท่านบอกว่า บางอย่างจะไม่ถูกกับบางคนเท่านั้น ไม่ใช่เสมอไปทุกคน เช่น แตงโมกับส้มโอ เห็นเป็นน้ำก็จริง แต่เส้นใยนั้นย่อยยาก คนที่เป็นโรคกระเพาะรับประทานเข้าไป จะทำให้ปวดท้อง

ส่วนปลาร้ามีประโยชน์ต่อร่างกาย พริกมีส่วนช่วยเรียกน้ำย่อยทำให้รับประทานอาหารได้ดี ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะมรณภาพไปหลายปีแล้วก็ตาม ท่านยังมีเมตตามาสงเคราะห์ข้าพเจ้า เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๔ ข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงพ่อมาบอก ห้ามรับประทานอาหารและขนมที่มีส่วนผสมของไก่ หรือไข่ไก่ทั้งหมด

๘. แม้แต่เรื่องสายตา ท่านบอกว่า อายุ ๔๐ ปีขึ้นไป ควรไปตรวจสายตาว่าสมควรใส่แว่นหรือยัง เป็นการถนอมลูกตาไม่ให้ใช้งานมากเกินไป
๙. ข้าพเจ้าเคยตรวจต้นฉบับหนังสือธัมมวิโมกข์ก่อนส่งโรงพิมพ์ สมัยที่ยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ ท่านก็สอนว่า ถ้าช่วยพระทำงานก็ไปติดต่อพูดคุยกับพระสงฆ์ได้ แต่อย่าไปอยู่นานๆ ถึงแม้ว่าเราไม่มีอะไรก็ตาม แต่คนจะตำหนิเราได้ ให้เอางานลงมาทำที่ห้องพัก

๑๐. สมัยที่ข้าพเจ้ายังทำงานอยู่ ท่านสอนให้ตั้งใจทำงาน โดยไม่ต้องไปคำนึงว่าปีนี้จะได้เงินเดือนขึ้นกี่ขั้น ให้ถือว่างานนั้นเป็นงานของเราเอง เพราะเราได้เงินจากการทำงานนั้นมาใช้จ่ายในการดำรงชีวิตให้ทรงอยู่ ให้ผู้มีพระคุณเป็นการตอบแทนพระคุณท่านบ้าง และนำมาทำบุญทำทานสร้างบุญกุศลให้ตัวเราเองด้วย

ถ้าไม่ได้ทำงานเราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย บางครั้งที่ข้าพเจ้าลางานติดตามหลวงพ่อไปสอนพระกรรมฐาน หรือไปแจกของในถิ่นทุรกันดารบ้าง ท่านก็สอนว่า เวลากลับมาให้ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของเรา ไม่ให้บกพร่อง อย่าเกียจคร้าน อย่างนี้หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานก็ว่าเราไม่ได้

สิ่งที่หลวงพ่อสอนไว้ยังมีอีกมาก ข้าพเจ้าเล่าเท่าที่ได้รับฟังมา และพอจะจำได้เท่านั้น เป็นความประทับใจที่หลวงพ่อมีเมตตา ปลูกฝังนิสัยที่ดีแก่ข้าพเจ้าและลูกศิษย์ทุกคน ได้ปฏิบัติจนชินมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนที่คุณแม่ข้าพเจ้าเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดถุงน้ำดีออก เนื่องจากเป็นนิ่วในถุงน้ำดี เวลานั้นข้าพเจ้าอยู่ที่วัด หลานโทรมาบอกว่าเข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่ตอนเช้า ๖ โมงเย็นแล้วยังไม่ฟื้น

ข้าพเจ้าจึงโทรศัพท์ไปที่ตึกริมน้ำ กราบเรียนให้หลวงพ่อทราบและขอให้ท่านช่วยคุณแม่ด้วย วันรุ่งขึ้นไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาล ท่านบอกว่ารู้สึกตัวตอนหัวค่ำ พอลืมตาก็เห็นหลวงพ่อยืนอยู่ข้างเตียง ได้เล่าให้หลวงพ่อฟัง ท่านบอกว่า “หลังจากรับโทรศัพท์แล้ว พระท่านบอกให้ไปดูซะหน่อย” ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คุณแม่เห็นหลวงพ่อ

ท่านพูดต่อไปอีกว่า “แม่เอ็งฝากเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อทุกเดือน จิตเกาะบุญอย่างนี้ ถ้าตายก็ไปดี ไม่ใช่ข้าอยากได้เงินนะ” ท่านบอกเวลาตั้งจิตอธิษฐาน ให้ขอพระท่านช่วยให้หายป่วยเป็นปกติเหมือนเดิมคือ นั่ง นอน ยืน เดิน ได้โดยเร็วที่สุด แต่ถ้าจะต้องตายก็ขอให้ไปดี หลังจากนั้นวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๙ คุณแม่ข้าพเจ้านอนเจ็บลุกไม่ได้มาประมาณ ๑ เดือน วันนั้นทานอาหารกลางวันได้เล็กน้อย

แล้วนอนหลับตาตลอด ไม่ยอมทานอะไรอีกเลย ข้าพเจ้านอนเฝ้าคุณแม่ทุกคืน คืนวันนั้นเวลาประมาณ ๕ ทุ่มเศษๆ ข้าพเจ้าสวดมนต์ไหว้พระเสร็จ พอจะล้มตัวลงนอน เห็นจีวรสีเหลืองสดลอยผ่านเหนือหัวคุณแม่ที่นอนอยู่ รู้สึกตกใจว่าเราเห็นด้วยตาเนื้อ แต่ไม่ได้เฉลียวใจ พอเวลา ๐๓.๓๐ น. คุณแม่เริ่มหายใจแรงและถี่ขึ้นๆ แล้วค่อยๆ ช้าลงๆ จนหยุดหายใจ จากไปด้วยอาการสงบ

ข้าพเจ้าขอกราบระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อที่มีเมตตาสงเคราะห์คุณแม่ ทั้งยามเจ็บป่วยและก่อนที่ท่านจะจากโลกนี้ไปด้วยอาการสงบ ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ข้าพเจ้าได้พบท่านเป็นครั้งสุดท้าย หลังงานทอดกฐินที่วัดท่าซุง ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ได้นำบัญชีรายการทำบุญทอดกฐินที่ศาลา ๑๒ ไร่ไปถวายท่านที่ตึกริมน้ำ พอดีงานนี้ข้าพเจ้าได้พบลูกศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่ง

ได้บวชเป็นพระแล้วมาบอกว่า โยมแม่ของท่านซึ่งอายุเกือบ ๘๐ ปีที่เคยมาฝึกมโนมยิทธิกับข้าพเจ้าได้ตายแล้ว ก่อนตายโยมแม่พูดถึงข้าพเจ้าเสมอ จึงอยากให้ข้าพเจ้าเขียนถึงโยมแม่เพื่อลงหนังสืองานศพ วันนั้นได้เล่าให้หลวงพ่อฟัง และท่านก็จำพระองค์นี้กับโยมแม่ของพระได้ จึงขออนุญาตท่านเขียนเรื่องลงหนังสือ เพราะผู้ตายชอบการฝึกมโนมยิทธิและฝึกได้ดีด้วย

ท่านก็พูดว่า “เขียนได้เลย” เป็นคำพูดครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อที่พูดกับข้าพเจ้าเมื่อกลางเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ หลังจากนั้นวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ท่านก็มรณภาพ เมื่อหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ท่านพระครูปลัดอนันต์ พัทฺธญาโณ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้ให้ข้าพเจ้ามาดูแลการนับเงินในงานบำเพ็ญกุศล ๑๐๐ วันหลวงพ่อ ที่ศาลา ๑๒ ไร่

เหมือนที่ข้าพเจ้าเคยทำในสมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดว่าหลวงพ่อไม่อยู่แล้วก็ไม่ต้องสอนมโนมยิทธิ จะตั้งใจทำงานคราวนี้เป็นครั้งสุดท้าย ให้ครบ ๑๐๐ วันถวายตอบแทนพระคุณหลวงพ่อ ถ้าคุณแม่ไม่มีธุระเรียกกลับบ้าน และก็อยู่ ๑๐๐ วันจริงๆ โดยไม่ได้กลับบ้านเลย ขณะที่อยู่วัด ข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงพ่อมายืนดูที่ห้องนับเงิน บางครั้งก็ได้กลิ่นยานัตถุ์

ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อพระศพหลวงพ่อ ขอให้ท่านมาหาและพูดด้วย พอครบ ๑๐๐ วัน ข้าพเจ้ากลับบ้าน เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าฝันว่านั่งอยู่แถวหน้ากับลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคน เห็นหลวงพ่อเดินมาแต่ไกล ตรงมานั่งข้างหน้าแล้วเอามือลูบศีรษะข้าพเจ้า ขณะที่ท่านลูบศีรษะข้าพเจ้าก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น

พูดกับท่านว่า “หนูคอยวันนี้มานานแล้วค่ะ” ท่านได้พูดว่า “หลวงพ่อเข้าใจทุกเรื่อง” รู้สึกตัวตื่นภาพนั้นยังชัดเจนติดตาไม่เหมือนความฝัน ข้าพเจ้าดีใจมากที่หลวงพ่อมาหาและพูดด้วยตามที่ได้อธิษฐานไว้ ข้าพเจ้าจะเก็บความซาบซึ้งและความประทับใจทั้งหมด ที่องค์หลวงพ่อมีต่อข้าพเจ้าให้อยู่ในความทรงจำตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่

และเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจข้าพเจ้าให้มีกำลังใจต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค และความทุกข์ทั้งหลายที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต หลวงพ่อเคยพูดไว้ว่า “เราเหนื่อยกันมามากแล้วถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ตายเมื่อใดเราไปพระนิพพานกันดีกว่า นอนให้เป็นสุข” ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้

ข้าพเจ้าไม่อยากเกิดมาเหนื่อยอีกต่อไป จึงขอสัญญาว่าจะตั้งใจปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อตัดกิเลสเข้าสู่พระนิพพานไปอยู่กับหลวงพ่อและท่านแม่ให้ได้ในชาติปัจจุบันนี้ วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เป็นวันครบรอบ ๑๐ ปี วันมรณภาพหลวงพ่อ ฟังดูแล้วเหมือนท่านจากไปนาน แต่สำหรับความรู้สึกของข้าพเจ้าเหมือนท่านยังอยู่ ไม่ได้จากไปไหน

เพราะข้าพเจ้าขึ้นไปกราบท่านและนึกถึงท่านทุกวัน ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ขอให้ท่านช่วยทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาออกไปสอนมโนมยิทธิ ก็ขอให้ท่านช่วยตลอดเวลาที่สอน ขณะที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จะใช้เวลาที่ยังเหลืออีกไม่มากนักของข้าพเจ้าเพื่อตอบแทนพระคุณหลวงพ่อ ด้วยการทำหน้าที่การงานที่ข้าพเจ้ามีความถนัดและชำนาญ กับงานที่หลวงพ่อเคยให้ทำสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนมโนมยิทธิซึ่งเป็นวิชาที่ข้าพเจ้ารักและชอบมาก ข้าพเจ้าพร้อมที่จะตั้งใจทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุด จนสุดความสามารถด้วยความเต็มใจเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้ทำ จนกว่าจะสิ้นลมปราณเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบัน และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสืบทอดและจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป

 ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/2/12 at 17:23 [ QUOTE ]


10

ระลึกถึงการตายของหลวงพ่อ


อัญเชิญ มณีจักร


เมื่อวันที่ ๒๔ – ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ได้ไปวัดท่าซุง เนื่องจากเป็นวันเข้าพรรษา ลูกหลานเขาจะไปเที่ยวนิวซีแลนด์ จึงพาไปกราบพระทำบุญที่วัดท่าซุง ขอความคุ้มครองป้องกันภัย ทำบุญที่ไหนๆ ก็ไม่เท่าทำที่วัดท่าซุง ได้ไปกราบศพ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านที่มหาวิหาร ๑๐๐ เมตร ซึ่งอยู่ในโลงแก้ว แห้งไปเฉยๆ ไม่เน่า เหมือนนอนหลับ ได้ถวายสังฆทานกันทุกคน ขณะนั่งรถกลับหลานเตยอายุ ๕ ขวบนอนหลับในรถละเมอลุกขึ้นมากราบ ๓ ครั้ง แล้วนอนหลับต่อ

ทำให้มั่นใจว่าหลวงพ่อท่านช่วยคุ้มครองป้องกันภัยให้แน่นอน ได้รับหนังสือ สารธรรมเล่ม ๒ กลับถึงบ้านอ่านพบว่า จะจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกครบวันมรณภาพของหลวงพ่อท่าน ครบ ๑๐ ปี จากลูกศิษย์บันทึก จึงได้เขียนส่งให้ ดร.ปริญญา นุตาลัย นายกสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง และเป็น บ.ก.หนังสือสารธรรมด้วย เนื่องจากเป็นหนังสือที่ระลึกวันสิ้นของหลวงพ่อท่าน

จึงตัดสินใจเขียนเกี่ยวกับที่หลวงพ่อเคยสิ้นหลายครั้งแล้วฟื้นขึ้นมาอีก จากที่ท่านเคยเล่าให้ฟัง ที่วัดเคยจัดงานเผาศพพิเศษติดกับวันมาฆบูชาปี ๒๕๓๐ หวังว่าลูกศิษย์ลูกหลานของพระเดชพระคุณท่านสมัยนั้นคงจะจำได้ วันมาฆบูชาปีนั้น ตรงกับวันพฤหัสที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ เช้าหลวงพ่อท่านลงเทศน์ที่ศาลา ๒ ไร่ เมื่อถวายภัตตาหารเช้า พระสงฆ์ให้พรแล้ว หลวงพ่อท่านประกาศว่า

๖ โมงเย็นจะมีพิธีลอยเคราะห์ที่หน้าโบสถ์ มีบวงสรวงใหญ่ มีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในโบสถ์ด้วย พิธีมี ๖ โมงเย็น ไม่ต้องไปนั่งตากแดดคอยตั้งแต่บ่าย ๔ โมงนะ บ่าย ๔ โมงข้าพเจ้าเข้าไปช่วยจัดเครื่องบวงสรวงใหญ่หน้าโบสถ์และในโบสถ์ เห็นหลายท่านนั่งจองที่ตากแดดแล้ว ตามที่หลวงพ่อท่านพูดตอนเช้า พื้นซีเมนต์ยังร้อนระอุ เลยกระเซ้ากันว่า คอยอย่างหลวงพ่อท่านพูดไว้เลยนะ หัวเราะกัน

๑๗.๓๐ น. หลวงพ่อท่านไปดูความเรียบร้อย วันนั้นท่านสั่งพิเศษเครื่องบวงสรวงให้แต่ด้วยสีแดง หัวหมู ไก่ต้ม ไข่ต้มทาสีแดงหมด มีบายศรีใหญ่วางไว้ซ้ายขวา ข้างกระถางธูปเทียนชัยอีก ๑ คู่ มีขันน้ำมนต์ใหญ่บรรจุได้ปี๊บหนึ่ง มีขวดน้ำอบไทยขวดใหญ่ ๕ ขวด วางไว้ใกล้ๆ เย็นนั้นมีโต๊ะพิเศษคือ วางแพสี่เหลี่ยมทำด้วยต้นกล้วยขนาด ๑ เมตร บรรจุกระทงข้าวตอก ๑๐๘ กระทง

ธูปเทียน ๑๐๘ เล่ม วางรวมอยู่ในแพเดียวกัน เอาเหรียญบาทใส่กันกระทงข้าวตอก เกิดมาเพิ่งเคยเห็นทำแบบนั้นครั้งเดียวเท่านั้น ให้ทุกคนเขียนชื่อ วันเดือนปีเกิด ใส่กระดาษไปลอยน้ำด้วย ๖ โมงเย็นหลวงพ่อท่านบวงสรวงที่หน้าโบสถ์ก่อน ให้ทุกคนทำสมาธิครั้งแรกให้ภาวนา พุทโธจนใจสบาย แล้วให้เปลี่ยนเป็น สัมปะติจฉามิ

ท่านบอกว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งว่า ก่อนจะเผาศพให้สะเดาะเคราะห์ใหญ่ วันจริงที่ ๑๕ ให้ลอยเคราะห์ ให้บอกกล่าวล่วงหน้าก่อน ท่านเขียนไปพักหนึ่ง บอกให้ทุกคนแก้อาถรรพ์ด้วยการให้เอาถั่วเขียนคั่ว ๑ กระทง ดอกไม้ ๓ สี ๑ กระทง บูชาพระภูมิเจ้าที่บ้าน เอาผ้าขาวปูโต๊ะด้วยเมื่อหลวงพ่อท่านทำพิธีหน้าโบสถ์เสร็จ ท่านเข้าไปทำพิธีในโบสถ์อีกนานมาก พวกเราให้ทำสมาธิด้วย

ท่านเคยบอกว่า ถ้าฝึกสมาธิใหม่ๆ ไม่แข็ง ยังบังคับกายไม่ได้ ต้องปล่อยก่อน ถ้ามีสมาธิแข็งแล้วถึงบังคับกายได้เอง พวกที่ยังบังคับกายไม่ได้ ก็อย่าเอากายหยาบของเราไปรบกวนกายคนอื่นเขา มันบาปมาก ทำสมาธินานและเงียบดีจนได้ยินหลวงพ่อท่านร้อง เฮ้ย! ออกมาดังๆ ได้หัวเราะกันอย่างชื่นใจ เป็นการจบทำสมาธิ หลวงพ่อและพระให้พรแล้วออกจากโบสถ์

ลูกหลานพุทธบริษัทก็เบียดกันเข้าไปถวายปัจจัย เพราะมีผลบุญมากเมื่อออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ เจ้าหน้าที่ได้เอาเครื่องบวงสรวง เครื่องบูชาที่เข้าในพิธีทั้งหมดไปลอยน้ำที่แม่น้ำ น้ำตาเทียนสะเดาะเคราะห์ ๑๐๘ เล่มที่หยดบนแผ่นสังกะสียังแกะออกหมดเลย ไม่ให้เหลือเคราะห์ไว้เป็นเชื่อต่อไป กำหนดทำบุญศพพิเศษคือเผาศพจำลอง มีธูป ชื่อ วันเดือนปีเกิด

เป็นการสะเดาะเคราะห์และต่ออายุ วันเสาร์ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ บ่ายโมง หลังจากที่พระสงฆ์ฉันเพลแล้ว ประกาศให้ไปรวมกันที่บริเวณพระจุฬามณี เพื่อจัดขบวนเคลื่อนศพพิเศษ จากตึกอำนวยการ ไปตั้งให้ลูกศิษย์ได้กราบที่ศาลา ๔ ไร่ มีแตรวงนักเรียนโรงเรียนสุธรรมวิทยานำหน้า ต่อด้วยพระสงฆ์คือ สายสิญจน์นำหีบศพหลวงพ่อท่าน องค์หลวงพ่อท่านนั่งรถเข็นตาม

แล้วมีพุทธบริษัทลูกหลานเดินตามขบวนยาวเหยียด ข้าพเจ้าต้องขายผ้าสบงกับผ้าไตรที่ศาลา ๔ ไร่ จึงไม่ได้ไปเดินร่วมขบวนด้วย เมื่อได้ยินเพลงพระยาโศก และเห็นหีบศพโผล่เข้าประตูมาเท่านั้น ลืมตัวร้องไห้โฮออกมาเลย กั้นไม่อยู่ เหมือนหลวงพ่อท่านสิ้นแล้วจริงๆ เห็นหลวงพ่อท่านนั่งรถเข็น มีพวกเราหลายคนช่วยกันเข็นรถหยุดร้องได้

ไปขอแทรกเข็นรถด้วยอีกคน เห็นพวกเราตาแดง ผ่านการร้องไห้ด้วยหลายคนเหมือนกัน เมื่อยกหีบศพตั้งบนแท่นเรียบร้อยแล้ว พระท่านสวดชักผ้าบังสุกุล ๙ องค์ โต๊ะยาวที่วางจำหน่ายผ้าไตรกับผ้าสบง ๕๐๐ ผืน ให้ผาติกรรมไปบังสุกุล หยิบขายไม่ทันเวียนเทียน แน่นไปหมด คิดว่าเตรียมไว้มากแล้ว

๑๖.๐๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เย็น หยุดขายผ้าไตรผ้าสบงก่อน ทุ่มครึ่งพระสงฆ์สวดชักบังสุกุล ชุลมุนอีกแล้ว เข้าแถวยาวสุดศาลา ๔ ไร่ แบ่งเป็น ๒ แถวๆ หนึ่งถวายผ้าบังสุกุล อีกแถวถวายปัจจัยถังสังฆทาน คิดว่าคงถวายกันทุกคน เพราะไม่มีที่ไหนมีโอกาสถวายผ้าบังสุกุลให้ศพตัวเอง ดนตรีแตรวงและฟ้อนรำของโรงเรียนสุธรรมวิทยามีเกือบตลอดงานเหมือนกัน

สังเกตเห็นว่าคนดูหลวงพ่อท่านมากกว่าดูการแสดง ๓ ทุ่มกว่าๆ มีจุดพลุที่ศาลา ๑๒ ไร่ มากมาย สวยงามตามที่เขาบอก ไม่มีโอกาสดู เพราะขายผ้าไตรผ้าสบง มีโต๊ะดอกไม้จันทน์ เขียนป้ายบอกไว้ว่า ฟรี ให้หยิบไปวางที่โลงศพ คงไม่มีใครคิดขโมยเอาดอกไม้จันทน์ไปบ้าน หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า อายุขัยของท่านจริงๆ หมดเมื่ออายุ ๒๗ แล้ว

หลวงปู่ปานท่านต่ออายุให้ด้วยการปล่อยปลาหนึ่งกะละมัง ปลา ๑ ตัว ต่ออายุ ๑ ปี ตอนนั้นท่านอายุ ๒๓ เมื่ออายุ ๒๗ ปี ท่านสิ้นไป ๘ ชั่วโมง ท่านรู้สึกว่าท่านอยู่ในถ้ำของร่างกายๆ ไม่ดี สกปรก มีทุกขเวทนาด้วย แต่กายที่อยู่ข้างในเป็นพรหม เนื้อเป็นแก้วใส เครื่องนุ่งห่มเป็นทองคำ มีแก้วประดับ

ท่านอธิษฐานนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าอยู่ต่อแล้วจะมีความดีสูงกว่านี้ ขอให้ฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ พุ่งมาแล้ววนเป็นทักษิณาวัตร ถ้ามีเท่าเดิมอย่าปรากฏ ปรากฏว่าพุ่งมาแล้ววนเป็นทักษิณาวัตรอยู่นาน ๑๐ นาที ท่านจึงตัดสินใจอยู่ แล้วท่านปู่พระอินทร์เอายามาให้ เม็ดเท่ากระสุน กินเหมือนดิน

บอกท่านว่ามะรืนนี้ไปเทศน์ที่สมุทรสงครามได้ ตอนนั้นท่านอยู่วัดประยุรวงศาวาส เมื่อถึง พ.ศ.๒๕๐๐ หมดกำลังบุญปล่อยปลา สิ้นอีกที่โรงพยาบาลทหารเรือ ๒ ทุ่ม เห็นท้าวสหัมบดีพรหมมาบอกท่านว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิมนต์ให้ไปเฝ้าท่าน ตามไปถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ ท่านท้าวมหาพรหมชี้ทางให้ท่านขึ้นไปคนเดียว พระพุทธองค์บอกหลวงพ่อท่านว่าเป็นแดนพระนิพพาน

ท่านจึงทราบว่า พระนิพพานไม่สูญ ท่านไม่มั่นใจว่าจะมาได้ชาตินี้เลย พระพุทธองค์จึงเนรมิตไม้ขึ้น ๑๐ ท่อน เรียกพระ ๙ องค์มาหยิบไม้ไป ๙ ท่อน เหลือให้ท่านเอาท่อนที่ ๑๐ ท่านนึกว่าจะหนักหยิบแล้วเบาเหมือนกระดาษ เดินตามไปประมาณ ๑๐๐ เมตร สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกกลับมาต่ออายุให้อีก

เมื่อท่านอายุได้ ๔๐ เศษ ท่านลาพุทธภูมิ พระพุทธองค์มาสอนหลวงพ่อตอน ๔ ทุ่ม มีเงื่อนไขว่า ถ้าทำได้ตามที่หลวงพ่อสอน จะต้องไม่ตายภายใน ๑๒ ปี หลวงพ่อท่านปฏิบัติได้ก่อนกำหนด พระพุทธองค์ให้เวลา ๓ เดือน หลวงพ่อท่านทำได้เดือนครึ่งก็สำเร็จ พระพุทธองค์ตรัสว่า ขึ้นชื่อว่าผลของการปฏิบัติ ไม่มีใครสามารถจะกำหนดได้แน่นอน

เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๕ ท่านสิ้นอีกที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้าได้มอบตัวเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว ๓ – ๔ ปี ท่านขึ้นไปพบพระพุทธเจ้าๆ ถามหลวงพ่อท่านจะไปไหน ท่านตอบว่า ครบกำหนด ๑๒ ปีแล้ว
พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ได้ คนของเธอที่เขาช่วยเธอในอดีตชาติยังไม่หมด ต้องอยู่ช่วยก่อน ของโยมหมายถึงท่านปู่พระอินทร์ และของตถาคตฝากเธอก็ยังไม่หมด

เวลานั้นคนเจริญกรรมฐานคืนหนึ่งไม่เกิน ๕ คน พระพุทธองค์บอกท่านว่า จะจัดการให้เขามาเอง ให้หลวงพ่ออยู่ต่ออีก ๑๐ ปี หมด พ.ศ.๒๕๒๕ เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ ท่านสิ้นอีกในห้องส้วม ท่านขึ้นข้างบน พระบอกให้ท่านรีบกลับลงมาข้างล่าง เดี๋ยวคนจะตกใจกัน หลังจากที่ท่านฟื้นแล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าท่านสิ้นแล้ว ให้นับว่าเกิดใหม่ ให้ตั้งศพจำลองไว้ที่ตึกอำนวยการ

และสั่งให้เผาศพจำลอง วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ คือวันที่ทำพิธีใหญ่นั่นเอง ให้ลูกหลานพุทธบริษัทที่เคยร่วมรบทัพจับศึก ทำบุญร่วมกันมาในชาติก่อนๆ ที่นั่งอยู่เต็มศาลา ๒ ไร่ ๔ ไร่ และ ๑๒ ไร่ สั่งให้ทำพิธีเผาร่วมกัน เป็นการตัดเคราะห์ที่ชาวบ้านเรียกกัน แต่พระพุทธองค์เรียกว่า ระงับกรรมใหญ่ ที่เป็นกรรมอกุศลให้ทรุดตัวลง บาทหนึ่งเหลือสตางค์ครึ่ง

วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ กำหนดเคลื่อนศพจากศาลา ๔ ไร่ไปที่เมรุ ๑๒ ไร่ บ่าย ๒ โมงทำพิธีเผา เมื่อเผาแล้วให้พระสวดบังสุกุลเป็น ทุกคนถือว่าเกิดใหม่ แล้วรับพรจากพระสงฆ์ งานพิเศษ ๒ วันนั้นคนมากมาย พระสวดชักบังสุกุลตลอดเวลาที่ว่าง หลวงพ่อท่านลงรับแขกที่ศาลา ๔ ไร่ โต๊ะจำหน่ายสังฆทานและผ้าบังสุกุลอยู่ติดกัน หยิบจำหน่ายแทบไม่ทัน

โต๊ะที่ข้าพเจ้าจำหน่ายมีภรรยา ดร.ปริญญา ลูกสาว ลูกชาย ดร. ช่วย คุ้นหน้าใครก็มาช่วยกันอย่างปลื้มปีติเต็มที่ บ่ายโมงแห่ศพไปเผาที่เมรุจำลอง ๑๒ ไร่ โดยมีแตรวงนักเรียนโรงเรียนสุธรรมวิทยานำหน้า เล่นเพลงพระยาโศก ท่านประทีปกับพระบัญชาถือรูปหลวงพ่อแผ่นใหญ่เดินนำหีบศพ แล้วเป็นองค์หลวงพ่อเดินนำหน้า พระสงฆ์ในวัดถือสายสิญจน์ตาม

ข้าพเจ้ามีโอกาสได้จับสายสิญจน์ต่อจากพระ น้ำตาไหล เพราะปีติว่าหลวงพ่อไปไหน ลูกขอตามไปด้วย มีส่วนไดรับใช้ด้วย บนฟ้ามีขบวนแห่ของเทวดานางฟ้าเต็มท้องฟ้า มีหลายคนที่ไม่เคยไปวัดท่าซุงมาก่อน เห็นด้วยตาเนื้อว่า มีช้างเผือกขาวทั้งตัวเดินหน้าขบวน เมื่อขบวนหยุดจะเข้าประตู ๑๒ ไร่ เด็กเห็นว่า ช้างหยุดกระพือหูขึ้นๆ ลงๆ

เขานึกว่าขบวนหยุดเพราะช้างหยุด นึกว่าวัดท่าซุงมีช้างเผือกจริงๆ หลวงพ่อท่านถามข้าพเจ้าว่า เห็นช้างหรือเปล่า ตอบเปล่าเจ้าค่ะ มันแต่ร้องไห้ ได้ความว่าพวกเราน้ำตาไหลกันทั้งนั้น ดีว่าไม่ได้อยู่ใกล้กัน ไม่งั้นคงร้องกันเสียงดังแน่ๆ ที่ศาลา ๑๒ ไร่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ได้กล่าวสัมโมทนียกถาว่า

พิธีสะเดาะเคราะห์อันนี้เคยมีในอดีตกาล มักเป็นพิธีเฉพาะบุคคลเฉพาะตัวไม่เหมือนวันนี้ ท่านเจ้าคุณพระสุธรรมยานเถระ ไม่รู้ท่านไปเอาตำรามาจากไหน เมื่อนิมนต์มายังนึกว่าเป็นความคิดที่แปลก บอกว่าจะประกอบพิธีที่ศาลา ๑๒ ไร่ นึกว่า ศาลา ๒ ไร่ก็ให้เต็มเถอะ อีก ๑๐ ไร่นั่นเหลือไว้ ครั้นถึงเข้าจริง ๑๒ ไร่ไม่พอ ไม่รู้ท่านไปขนเอาคนมาจากไหน มืดฟ้ามัวดินไปทั้งหมด นี่เป็นความรู้สึกด้วยความจริงใจ

เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๓ หลวงพ่อท่านสิ้นที่วัดท่าซุง ใกล้วันงานกฐิน พวกเราหลายคนไปวัดเตรียมงาน หลวงพ่อท่านสั่งให้ข้าพเจ้าไปฉีดยาถวายท่าน หลังจากท่านฉันเช้าเสร็จ ท่านฉันแล้วเดินเข้าห้องพัก ข้าพเจ้ายังไม่ตามเข้าไป คอยพี่นนทาก่อน ท่านเข้าไปนานได้ยินเสียงไอ เสียงอาเจียนชอบกล ไม่หยุดสักที รีบวิ่งตามหาพี่นนทาชวนเข้าไปดู เห็นท่านกำลังล้างอ่างน้ำ พี่นนทาขอล้างแทน

ท่านสั่งข้าพเจ้าให้จัดน้ำเกลือฉีดถวายด้วย แล้วท่านพูดว่า ขี้เดี๋ยว แล้วเดินเข้าห้องส้วมอีกนาน เมื่อท่านออกมานอนบนเตียง ฉีดยาและถวายน้ำเกลือแล้ว ท่านพูดว่าเบื่อ ตะกี้นี้สมเด็จพระพุทธเจ้ามาบอกว่า วันนี้นับว่าเกิดใหม่ กรรมเก่า ร่างเก่านับว่าใช้หมดแล้ว ฟังแล้วงงๆ ท่านอธิบายว่า เมื่อกี้เข้าห้องส้วมได้ตายอยู่ในนั้น แล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ ใจข้าพเจ้าเต้นแรงจะร้องไห้

ท่านบอกว่าไม่ให้ติดองค์ท่าน ให้ติดพระธรรมคำสอนของท่าน ใจจึงสงบได้ ท่านเล่าว่าเมื่อคืนถ่ายท้องหลายครั้งจนเป็นน้ำ เช้าฉันข้าว เหม็นอาหารลุกไปอาเจียน แล้วนั่งบนโถส้วม สายตาสั้นเข้าทุกทีๆ จึงทราบว่าจะสิ้นอีก จึงขอให้สิ้นนอกห้องส้วม ถ้าสิ้นในสภาพนั้นจะเป็นที่สลดใจแก่ลูกศิษย์ ลุกเดินไม่ทันถึงประตู หน้ามืด หมดสติ เมื่อฟื้นได้ยินพี่นนทาเรียกพอดี

ข้าพเจ้าเห็นท่านจะเหนื่อยมาก จึงขอให้ท่านหยุดพูด ท่านพูดว่า หมอเขาให้หยุดพูดแล้ว ท่านนอนเงียบไปอีก จนบ่าย ๒ โมง ชวนพี่หมอรำจวนเข้าไปถอดน้ำเกลือ ตาเนื้อข้าพเจ้าเห็นว่าท้องของหลวงพ่อโตแบบผู้หญิงท้องแก่ ใจรู้ว่าหลวงพ่อท่านเป็นมากอีกแล้ว จึงเรียกกันเข้าไปช่วยกันบีบนวด ให้ดมยา ป้าอาจเอาเหรียญบาทขูดไปตามแขนขา ซึ่งเป็นสีเขียว เมื่อขูดไปสีเริ่มแดงขึ้น

ใครมีความรู้อะไรก็ช่วยกันเต็มที่ เมื่ออาการดีขึ้นท่านบอกว่า ที่ป้าอาจขูดนั้นรู้สึกดีขึ้นจริงๆ ท่านยังมีอาการไม่น่าไว้ใจ ตามเอี้ยงคนขับรถเข้าไปเคี้ยวหมากแล้วพ่นใส่ทั่วองค์หลวงพ่อ ซึ่งมีเทวดาคุมด้วย ปกติเอี้ยงไม่กินหมาก พ่นอยู่หลายนาทีจนหลวงพ่อท่านมีอาการดีขึ้น ชุลมุนกันประมาณ ๒ ชั่วโมง วันที่ท่านสิ้นจริงๆ คือไม่ฟื้นนั้น เป็น วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ ที่โรงพยาบาลศิริราช

ข้าพเจ้าไปโรงพยาบาลได้แต่กราบท่านหน้าห้อง ไม่เห็นองค์ท่าน บ่ายนั้นท่านก็สิ้น ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านสิ้นแน่ ไม่กลับมาอีกแล้ว ใจหนึ่งดีใจที่ท่านจะได้ไม่ทรมานขันธ์ ๕ อีก ท่านสบายแล้ว อีกใจหนึ่งเสียใจว่า ต่อไปจะไม่เห็นท่านแบบเดิม ได้รับใช้ท่านๆ เมตตาสั่งสอนแนะนำทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อหลวงพ่อท่านพูดขณะที่สอนมโนมยิทธิให้ข้าพเจ้าครั้งแรก

ท่านว่า การที่มาช่วยกิจการวัด ช่วยทำงานศูนย์คนยากจนในแดนทุรกันดาร เป็นการเสียสละเงิน กำลังกายด้วยความเมตตานั้นเป็นบุญใหญ่ ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่ร่วมงานกับหลวงพ่อก็ต้องได้บุญใหญ่เหมือนกัน พวกเราพูดเป็นเสียงเดียวกันเมื่อหลวงพ่อท่านสิ้นใหม่ๆ ว่าจะขอทำงานหรือทำหน้าที่ๆ เคยทำสมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ทำต่อไปไม่หยุด ปีนี้เป็นปีที่ ๑๐ แล้ว

พวกเราก็ยังทำหน้าที่เหมือนเดิม ที่แปลกและจริงจังคือ หลวงพ่อท่านสิ้นแล้ว แทนที่ลูกศิษย์หรือคนจะทำบุญลดน้อยลงกลับมีมากขึ้นๆ ยิ่งนานยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านพระครูปลัดอนันต์ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงขณะนี้ ก็เจริญรอยตามหลวงพ่อทุกประการ หลวงพ่อท่านเคยไปไหน ก็จะไปเป็นประจำทั้งเมืองนอกและเมืองไทย มีครูสอนมโนมยิทธิไปด้วย สอนอย่างเคย ดร.ปริญญา ก็ไปและทำหน้าที่โฆษก

หรือพูดนำตามแต่จะเหมาะสมกับบรรยากาศว่าควรจะทำอย่างไรด้วย แก้สถานการณ์ได้ไม่มีจน อย่างที่ท่านเห็นนั้น วัดท่าซุงใหญ่โตกว้างขวาง เวลามีงานคนจะเยอะ ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ทำงานก็จะมาก มีหลายแผนกแล้วแต่ใครถนัดแบบไหน ก็จะช่วยกันทำแบบนั้น คือ เหมือนเดิม ไม่ต้องบอกกล่าวกัน ทำจนชำนาญ ที่สำคัญคือ ยังยึดคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน ที่สอนให้ไปพระนิพพานชาตินี้

ไม่มีใครลืม ตั้งใจไปแน่นอน หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า ท่านจะไปคอยที่นิพพาน และท่านจะมารับด้วยเมื่อถึงเวลาสมควรที่จะตาย จงมั่นใจว่า เราถึงนิพพานแน่นอน หลวงพ่อท่านสอนอีกว่า ถ้าเราโมทนากับคนที่เขาถึงนิพพานเราก็จะถึงด้วย ฉะนั้นพวกเราจะทำความดี ปฏิบัติธรรมตามที่หลวงพ่อท่านสอนไม่ลืม แล้วพบกันที่นิพพานแน่นอน

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/2/12 at 17:43 [ QUOTE ]


11

ธรรมะและเหตุการณ์บางตอนที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อ (พระราชพรหมยาน)


พล.ต.ท. น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ก่อนที่ท่านจะละขันธ์ ๕ และหลังละขันธ์ ๕ แล้ว

เรื่องโดยย่อมีดังนี้: ผมพบ หลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยาน) เมื่อปี ๒๕๑๗ และยึดท่านเป็นที่พึ่งทางธรรมตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ และได้เป็นหมอประจำองค์ท่านตลอดมาจนท่านละขันธ์ ๕ มีการประกาศแต่งตั้งให้ผมเป็นหมอประจำตัวท่านที่ซอยสายลม ด้วยวาจาของท่านต่อหน้าคณะศิษย์ของท่านในปีนั้น

โดยมีท่านอ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านและหัวหน้าฆราวาสฝ่ายหญิงของหลวงพ่อรับทราบ ต่อมาก็มีแพทย์อีกหลายท่านมาช่วยดูแลสุขภาพของท่านตามลำดับ จนถึงคณะแพทย์รุ่นสุดท้าย ๔ ท่าน คือ คุณหมอจรูญ คุณหมอแสงโสม คุณหมอชนะ และคุณหมอวัฒนะ ผมรับทราบรายงานจากท่านทั้ง ๔ ตลอดมา

จนถึงวาระสุดท้ายที่ท่านทิ้งเปลือกของท่านไป เมื่อ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น. แต่ตัวจริงคือจิตหรืออทิสมานการของท่านไม่เคยตาย เพราะจิตเป็นอมตะ ส่วนร่างกายซึ่งประกอบด้วยธาตุ ๔ เป็นสมบัติของโลก ไม่มีผู้ใดเอาไปได้ ผมลาออกจากราชการก่อนอายุครบ ๖๐ ปี เป็นเวลา ๓ ปีครึ่ง จุดประสงค์หลักคือ เพื่อเข้าวัดปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ (ในปี พ.ศ.๒๕๒๙)

และมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อตามที่ตั้งเจตนาไว้ ในระยะ ๖ ปีนี้ ผมอยู่ที่วัดมากกว่าอยู่ที่บ้าน ขณะที่เข้าพรรษาจะอยู่ที่วัดตลอดพรรษา ในพรรษาสุดท้าย ๓ เดือนนี้ มีอยู่ ๑ เดือนที่ร่างกายของท่านป่วยมากจนต้องของดไปสอนที่ซอยสายลม ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิตของท่าน ท่านคุยกับผมเป็นส่วนตัวว่า งานที่หนักที่สุดของท่านก็คือ การไปสอนพระกรรมฐานที่ซอยสายลม นี่แหละ

เพราะหาโอกาสพักผ่อนได้น้อยมาก และต้องใช้กำลังใจสูงมาก เมื่อกลับมาวัดร่างกายมันย่ำแย่มากทุกที จุดนี้แหละ เมื่อผมนำมาพิจารณาหลังจากที่ท่านละขันธ์ ๕ ไปแล้ว ผมก็รู้สึกดีใจและเสียใจ คือมีอารมณ์ ๒ (พอใจและไม่พอใจ) ที่ดีใจก็คือ ผมตัดสินใจถูกต้องที่ละโลกธรรม โดยขอลาออกจากราชการก่อนเวลาอันควร ๓ ปีครึ่ง เพื่อเอาเวลานั้นมาสู่โลกุตรธรรม โดยมาอยู่วัดรับใช้ท่านอย่างใกล้ชิด

และท่านได้เมตตาสอนธรรมะให้กับผมทุกวัน แต่เป็นธรรมะที่ท่านยังไม่อนุญาตให้เปิดเผย จึงขอเว้นไว้ก่อน (ไม่มีสมบัติใดที่มีค่าสูงสุดยิ่งไปกว่าพระธรรม) ส่วนอารมณ์เสียใจหรือไม่พอใจนั้นก็คือ ท่านได้แสดงธรรมให้ผมรู้ว่า ท่านจะละขันธ์ ๕ แล้วนะ เพราะในที่สุดทุกคนที่เกิดมามีร่างกาย ก็ต้องไปพ้นจากสภาวธรรมทั้ง ๕ นี้ไปได้ (สัทธรรมคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวังเป็นธรรมดา)

แต่ความผิดหรือความโง่อยู่ที่ใจผม ใจผมมีอุปาทาน คิดอยู่เสมอว่าท่านจะมีอายุ ๑๒๐ ปีจึงจะละขันธ์ ๕ ผมคิดว่าอุปาทานข้อนี้คงจะมีกับศิษย์ของท่านอีกจำนวนไม่น้อย เสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เป็นวันออกพรรษา เช้าวันนั้นผมห่วงท่านมาก เพราะท่านป่วย ไอและเสียงไม่ค่อยมี ท่านบอกกับผมว่า คุณหมออย่าวิตกเรื่องขันธ์ ๕ ของอาตมา พอถึงเวลาเทศน์ พระท่านจะช่วยสงเคราะห์เอง

ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะวันนั้น สมเด็จองค์ปฐมเสด็จมาคุมเอง เสียงของท่านแจ่มใส ไม่มีแม้แต่กระแอมไอตลอดการเทศน์ อาทิตย์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๕ วัน “ใส่บาตรเทโว” ผมไม่เขียนตามชาวโลก แต่เขียนตามพระพูด ท่านไม่เคยใช้คำว่า หรือพูดว่าตักบาตรเลย ทรงตรัสแต่คำว่า “ใส่บาตร” เสมอ และสอนว่า

ธรรมจุดนี้คือกรรมบถสิบ หมวดวาจา ๔ เราไม่มีเจตนาจะโกหกเขา แต่ก็เหมือนโกหก เพราะตักเป็นคำกริยา แปลว่า เอาออก ส่วนใส่เป็นกริยา แปลว่า เอาเข้า หรือทำให้เต็ม............... ทรงสอนเรื่องคำพูดที่พูดกันผิดๆ โดยไม่มีเจตนา เช่น เราอยู่กัน ๒ คน แต่กลับพูดว่าอยู่กัน ๒ ต่อ ๒ มันก็กลายเป็น ๔ เป็นต้น วิจารณ์ หากสมมติสงฆ์องค์หนึ่งถูกปรับอาบัติว่า

อยู่กับสีกา (ผู้หญิง) สองต่อสองในที่ลับหูลับตา สมมติสงฆ์องค์นั้นก็จะพ้นข้อหาทันที เพราะการอยู่สองต่อสอง ความหมายทางกฎหมายก็คืออยู่กัน ๔ คน แล้วมันผิดพระวินัยตรงไหน เป็นต้น (บุคคลใดที่ปรารถนาจะไปพระนิพพานในชาตินี้ แต่จิตยังไม่ละเอียดพอ ก็ไม่สามารถจะผ่านพระวินัยเรื่อง กรรมบถสิบ หมวดวาจา ๔ ไปได้ ผมขอยกเอาเรื่องไม่พูดคำหยาบที่พระท่านสอนผมดังนี้

ทรงยกเอาเรื่อง การบูชาคนที่ควรบูชาหนึ่ง การเคารพคนที่ควรเคารพหนึ่ง จัดเป็นอุดมมงคล ซึ่งเป็นมงคลภายใน (ในมงคล ๓๘ ประการ) พวกปุถุชนยังมีจิตหยาบ จึงไม่เห็นบุญคุณของผู้มีพระคุณ จึงชอบใช้คำสรรพนามนำหน้าว่ามันอยู่เสมอจนติดปาก ติดใจ พระแม่ทั้ง ๕ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และพระแม่โพสพ (ข้าว) เวลาเรามีอารมณ์ไม่พอใจ (ปฏิฆะ) เราก็จะพูดคำหยาบเสมอๆ ว่า

น้ำมัน ฝนมัน ลมมัน ไฟมัน พระอาทิตย์มัน ข้าวมันแฉะ มันแข็ง มันไหม้ ทั้งๆ ที่ท่านทั้ง ๕ มีพระคุณแก่เรามาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ขาดท่านเมื่อไหร่ก็แย่เมื่อนั้น และร่างกายของเราก็ประกอบด้วยธาตุ ๔ นี้มาประชุมกัน หากธาตุใดธาตุหนึ่งขาดไป หรือเกินไป เวทนาก็เกิดขึ้นกับจิตที่อาศัยร่างกายอยู่ เรื่องนี้ยาวและละเอียด ขอเขียนไว้เป็นข้อคิดพิจารณาสำหรับนักปฏิบัติเพื่อหวังพ้นทุกข์เท่านั้น)

เสาร์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๕ หนึ่งวันก่อนงานกฐิน คนมากันมากมาย ในปีนี้หลวงพ่อต้องรับแขกจนถึง ๒๑.๐๐ น. ท่านทั้งป่วยและเพลียมาก จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำชั้นสูงขึ้นไปอีกพอสมควร (หน้าพระประธานอยู่ด้านขวาของเวที) แล้วทอดผ้าลงมา ๓ สาย เพื่อไว้รับสังฆทานได้ครั้งเดียว ๓ ชุด ท่านไปอยู่ข้างบน ไม่ต้องออกแรงพูด ออกแรงแจกของ

อาทิตย์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ งานกฐินช่วงบ่าย ในช่วงเช้าท่านบอกกับผมว่า สมเด็จองค์ปฐมมาเตือนว่า ชาวบ้านเขาศรัทธาในตัวเธอ เธอไม่ควรขึ้นไปอยู่ข้างบน ให้ลงมาอยู่ข้างล่าง ท่านแม้จะเพลียแสนเพลีย เหนื่อยแสนเหนื่อย ก็ต้องทำเพื่อศรัทธาของชาวบ้าน (ผมคิดว่าท่านรู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย) วันนี้มีคนต้องการรับพระคำข้าวจากมือของหลวงพ่อ

โดยขอทำบุญองค์ละ ๑๐๐ บาท ทั้งๆ ที่ซุ้มจำหน่ายวัตถุมงคลก็มีพระคำข้าว ราคาแค่องค์ละ ๑๐ บาทเท่านั้น คุณภาพเหมือนกันทุกประการ แต่คนก็ไม่ไปเอา มาเข้าคิวรอรับพระจากมือหลวงพ่อ (เป็นครั้งสุดท้าย) ผมเป็นผู้ช่วย คอยเอาพระใส่มือท่าน แค่ผมจับพระใส่มือท่านผู้ยังเมื่อย ต้องขยับตัวหลายครั้ง จนต้องให้ผู้อื่นมาช่วยทำหน้าที่แทนผมชั่วคราว หายเมื่อยก็กลับมาทำหน้าที่ใหม่

แต่หลวงพ่อหาใครมาแทนไม่ได้ ผมคุยกับท่านว่า หลวงพ่อครับ หลายชั่วโมงแล้วผมยังมองไม่เห็นหางแถวเลยครับ ท่านก็ยิ้มพูดว่า พวกเขามีศรัทธากันมาก เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา...... ช่วงบ่ายก็ทำพิธีรับกฐิน ผมไม่ขอเล่ารายละเอียด เมื่อพิธีจบผู้คนก็ลาหลวงพ่อกลับบ้านกันเกือบหมดศาลา เพราะ ๑๕.๐๐ น. หลวงพ่อจะต้องเข้าในโบสถ์ เพื่อทำพิธีกรานกฐิน

ผมจึงถือโอกาสกราบลาหลวงพ่อในช่วงนั้น เพราะรุ่งเช้าจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เมื่อผมกราบท่าน ท่านยกมือขึ้นพนมแล้วพูดว่า “อาตมาขออนุโมทนบุญของคุณหมอด้วย” นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่หลวงพ่อให้กับผม (เพราะตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้พูดกับผมอีกเลย จนกระทั่งท่านละขันธ์ ๕ ไป) ผมลาท่านกลับที่พัก หลวงพ่อต้องรีบไปทำหน้าที่ต่อในโบสถ์

ผมงงและยังสงสัยธรรมะประโยคนี้มาก เพราะบุญผมมีนิดเดียวจนไม่รู้จะเอาอะไรไปเทียบบุญของท่านได้ กว่าผมจะเข้าใจและหมดสงสัยในธรรมประโยคนี้ ก็ต้องใช้เวลาเกือบ ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๕ ถึง ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๕ ผมมิได้อยู่กับท่าน จึงไม่เขียนตามคำบอกเล่า เพราะผมมิได้เห็นกับตา ไม่ได้ยินกับหูของผม การเขียนมีโอกาสผิดพลาดได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ขอแค่รับฟังเท่านั้น

หากผู้ใดสนใจให้ไปอ่านหนังสือ “พระราชพรหมยาน” มีผู้เขียนเอาไว้ในช่วงนี้ เหตุการณ์ในวันที่หลวงพ่อทิ้งขันธ์ ๕ (ผมเขียนจากประสบการณ์ที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู และสัมผัสด้วยมือของตนเอง แล้วจึงนำมาเขียน มิได้เขียนจากคำบอกเล่าหรือเขาว่า ซึ่งขัดต่อหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า)
ผมขอเล่าแต่เฉพาะตอนสำคัญๆ หลวงพ่อทิ้งหรือละขันธ์ ๕ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

ผมไปเยี่ยมท่านตามปกติ แต่มิได้เข้าไปในห้องซีซียู ทั้งๆ ที่ผมมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปได้ทุกเวลา เพราะอุปาทานในจิตผมมันบอกว่า ยังไม่ถึงวาระที่ท่านจะจากไป บวกกับผมพบเหตุการณ์หนักๆ ในขณะที่ท่านป่วยมากๆ มาหลายครั้ง ทั้งที่เมืองไทยและในต่างประเทศ หลวงพ่อท่านก็ไม่เป็นอะไรทุกครั้ง นี่คือความประมาท (ความเลว) ของผม พอเวลา ๑๕.๐๐ น.เศษ ผมจึงขับรถกลับบ้าน

ถึงบ้านยังไม่ทันดับเครื่องยนต์รถ ก็มีโทรฯ ด่วนให้ผมรีบกลับไปโรงพยาบาลศิริราช ผมรีบขับมาประมาณ ๒๐ นาที พบคุณสุมิตร มหันตคุณ รออยู่ พูดว่า ลุงหมอรีบเข้าไปพบหมอวัฒนะด่วน หมอวัฒนะสั่งให้เจ้าหน้าที่แผนกนิติเวชของโรงพยาบาลศิริราชมาฉีดยากันเน่าให้หลวงพ่อ ผมก็รีบเข้าไปพบท่าน และพูดว่า คุณหมอไม่จำเป็นต้องฉีดยาหรอก

เพราะหลวงพ่อท่านเคยพูดกับผมว่า “ร่างกายของท่านจะไม่เน่าเปื่อย เหมือนกับหลวงพ่อสดซึ่งนั่งตายมากว่า ๑๐ ปีแล้ว ท่านนั่งตายเฝ้าวัดของท่าน และท่านก็สามารถเลี้ยงวัดของท่านได้มาจนทุกวันนี้ แต่อาตมาไม่เอาอย่างท่าน เพราะการนั่งมันเมื่อย ขอนอนตายดีกว่า แล้วท่านก็หัวเราะชอบใจ” ธรรมที่หลวงพ่อกล่าวนี้ หลวงพ่อมิได้พูดกับผมเท่านั้น

ท่านพูดกับศิษย์คนอื่นอีกหลายคน ขอให้คุณหมอมั่นใจเถิด คุณหมอวัฒนะฟังผมพูดหนักแน่นเช่นนั้นท่านก็เบาใจ พูดว่า “ผมเชื่ออาจารย์” เหตุการณ์นี้มีหมอเป็นพยานทั้งหมด ๕ คน คือ ผม หมอวัฒนะ หมอจรูญ หมอแสงโสม และหมอชนะ ว่าขันธ์ ๕ ที่หลวงพ่ออาศัยอยู่ มิได้ฉีดยากันเน่าแต่ประการใด จากนั้นหมอวัฒนะก็เปิดผ้าคลุมร่างกายบริเวณหน้าของหลวงพ่อให้ผมดู

พูดว่า อาจารย์ดูผิวหนังหน้าท้องหลวงพ่อสิ (ขณะนั้นผิวหนังหน้าท้องของท่านมีจุดสีแดงเป็นหย่อมๆ หลายแห่ง) ผมเห็นแล้ววิตกว่าร่างกายท่านจะเน่าเปื่อย ผมฟังแล้วก็พูดยืนยันว่า ผมขอรับรองว่าร่างกายของท่านจะไม่เน่าเปื่อยอย่างแน่นอน คุณหมอวัฒนะจึงหยุดพูด จากนั้นผมให้คุณหมอวัฒนะ โทรศัพท์ต่อหน้าผมสั่งแผนกนิติเวชว่า ไม่ต้องมาแล้ว

นี่คือความจริงเรื่องร่างกายหลวงพ่อมิได้ฉีดยากันเน่า ขอเล่าความสำคัญอีกจุดหนึ่งคือ ประมาณ ๑๖.๓๐น. ผมมาอยู่ในห้องซีซียู เห็นร่างกายหลวงพ่อนอนหงาย มีผ้าคลุมจากคอลงมาถึงเท้า อยู่บนเตียงที่มีล้อเข็นไปมาได้ มีหมอ ๔ คนยืนอยู่ด้านหนึ่ง เมื่อผมเข้าไปสิ่งแรกที่ผมกระทำก็คือ คุกเข่าลงที่พื้นแล้วกราบที่เท้าของท่าน พร้อมขอขมาพระรัตนตรัยด้วยจิต

ขณะนั้นเอง ผมได้ยินเสียงคุณหมอทั้ง ๔ คนพูดพร้อมๆ กันด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “หลวงพ่อยิ้มๆๆ” แต่ผมเองกลับได้ยินว่า “หลวงพ่อฟื้นๆ” จึงรีบลุกขึ้นยืนพูดว่า หลวงพ่อฟื้นแล้วหรือ หมอทั้ง ๔ ท่านก็ชี้ให้ผมดูใบหน้าหลวงพ่อ ซึ่งท่านยิ้มอย่างมีความสุข จนมุมปากทั้ง ๒ ข้างยกขึ้นสูงมาก แต่ไม่เห็นไรฟัน นี่คือการยิ้มครั้งแรกของท่าน หลังจากละขันธ์ ๕

อีกเรื่องหนึ่งที่ควรเล่า พยาบาลที่เป็นหัวหน้าห้องซีซียู มาขออนุญาตผม พูดว่า “อาจารย์ หนูขออนุญาตเอาแป้งไปผัดหน้าหลวงพ่อได้ไหม หน้าท่านดำ” ผมก็อนุญาต เมื่อพยาบาลเอาแป้งเข้าไปจะผัดหน้าหลวงพ่อ (ขณะนั้นผมและคณะหมอคุยปรึกษากันอยู่นอกห้อง คืออยู่ในห้องโถง ซึ่งมีผู้ป่วยอื่นๆ อยู่หลายเตียง) สักครูผมได้ยินเสียงร้องวี้ดของพยาบาล

เธอวิ่งออกมาแล้วพูดว่า “อาจารย์คะ พอหนูจะเอาแป้งไปผัดหน้าท่าน หนูเห็นหน้าท่านขาว ขาวมาก เลยไม่ได้ผัดหน้าให้ท่าน” ผมและหมอทุกคนรีบเข้าไปดูหน้าท่าน ก็ขาวจริงๆ ตามที่พยาบาลบอก ผมเปิดผ้าคลุมร่างกายของหลวงพ่อออกเพื่อดูผิวหนังบริเวณท้อง ซึ่งมีจุดแดงๆ อยู่หลายจุด พบว่าจุดแดงๆ เหล่านั้นได้หายไปหมดแล้ว ซ้ำผิวยังขาวเนียนเป็นปกติ จึงเรียกให้คุณหมอวัฒนะมาดูกับตา

และผมให้หมอเอามือลูบคลำผิวหนังด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป แต่นี่เป็นของจริง คุณหมออุทานว่า “เอ๊ะ มันเป็นไปได้อย่างไร” ผมถามว่า คุณหมอหายสงสัยแล้วหรือยังว่าร่างกายของท่านจะไม่เน่าเปื่อย หมอตอบว่า “ผมมั่นใจแล้วครับ” ชั่วเวลาไม่ถึง ๑ ชั่วโมง หลวงพ่อท่านแสดงฤทธิ์ให้ลูกศิษย์เห็นกับตาถึง ๓ อย่างคือ

๑. ยิ้มให้เห็นอย่างชัดเจน
๒. ทำใบหน้าที่ดำให้ขาวได้ในพริบตา
๓. ทำผิวหนังซึ่งไม่น่าดู ทำให้หมอเห็นแล้วมีความวิตกกังวล กลับมาเป็นปกติ
ทั้งหมดนี้คือ สังโฆอัปปมาโณ ผมไม่ขออธิบาย เพราพระธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นปัจจัตตัง

หมายความว่า ผู้รู้ธรรม พึงรู้ได้ เห็นได้ เข้าใจได้ สัมผัสได้ด้วยจิตตนเอง เฉพาะตน จะพูด จะเขียน จะอธิบายอย่างไรก็ไม่หายสงสัย หากจิตของผู้นั้นยังปฏิบัติไม่ถึงธรรมข้อนั้น หรือจุดนั้น ถึงเมื่อไหร่ความสงสัยจึงจะหมดไปได้เอง ของใครก็ของมัน กรรมใครก็กรรมมัน ทำแทนกันก็ไม่ได้ เรื่องอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อมีอยู่เป็นปกติ ใน ๑๐๐ วันที่ผมเฝ้าและติดตามท่านตลอดมา

หากอยากจะทราบก็ขอให้ติดตามเรื่องนี้ต่อไป อีกจุดหนึ่งที่ควรเล่า มีคนสงสัยว่าขณะนั้นไม่มีพระวัดท่าซุงอยู่เลยหรือ คำตอบมีอยู่หนึ่งองค์คือ พระใบฎีกาประทีป ผมขออนุญาตพูดตรงๆ โดยมิได้มีเจตนาจะตำหนิท่าน (หากผมมาไม่ทันเวลาอะไรจะเกิดขึ้น ขอหยุดไว้เท่านี้) เพราเรื่องนี้เป็นอดีต ๑๐ ปีผ่านมาแล้ว มันจึงไม่ใช่ของจริงในปัจจุบัน (ผมหมายถึงอารมณ์ของหลวงพี่ประทีป)

ผมเห็นท่านตอนนั้นเหมือนคนใบ้ ไม่พูด ไม่ยิ้ม คือบึ้งตลอดเวลา ท่านคงจะมีสภาพช็อคทางอารมณ์ จึงไม่สามารถจะรับสภาวธรรมที่หลวงพ่อท่านละขันธ์ ๕ ไปต่อหน้าต่อตา ผมเห็นใจท่านมากๆ เพราะหากเป็นองค์อื่นก็คงจะมีสภาวะคล้ายๆ กับท่าน อีกจุดหนึ่งที่ควรเล่า คุณสุมิตรให้ผมโทรศัพท์ (มือถือ) ถึงลูกศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่ง ซึ่งรักและเคารพหลวงพ่อมาก ใครจะมากระทบหลวงพ่อไม่ได้เลย ทั้งกาย วาจา ใจ ท่านจะต้องขวางทันที จึงขอปิดนามของท่านไว้ด้วยความเคารพรักและนับถือเป็นการส่วนตัว

ผมแจ้งให้ท่านทราบว่า ขณะนี้หลวงพ่อท่านจากเราไปแล้ว ผลก็คือ ท่านพูดด้วยเสียงดังมากๆ ว่า “ผมไม่เชื่อๆ แล้วได้ยินเสียง...........” ที่ผมเขียนมานี้ล้วนเป็นสัทธรรม หรือ สัจธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านให้พวกเราพิจารณาเนืองๆ คือให้พวกเราเห็นทุกข์จากความปรารถนาไม่สมหวัง หลวงพ่อท่านได้แสดงธรรมครั้งสุดท้าย (สัทธรรม ๕ ซึ่งเป็นอริยสัจ เป็นธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้อย่างถาวร)

ก่อนท่านจากไปท่านได้พูดสอนพวกเรานับเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เราจำได้ดี แต่ลืมนำเอาไปปฏิบัติให้เกิดผล ของจริงอยู่ที่ผล เมื่อได้เวลาอันควร ตามกฎของกรรม ท่านก็ให้ข้อสอบกับศิษย์ของท่านทำ ผลที่ได้รับเป็นอย่างไร ผมขออนุญาตเขียนเองตอบเองว่า พวกเราต่างก็สอบตกกันเป็นธรรมดา (รวมทั้งตัวผมเองด้วย) หากบุคคลใดไม่เข้าข้างตนเองจนเกินไป

จิตย่อมหวั่นไหวไปกับแรงกระทบที่หลวงพ่อท่านแสดงธรรมครั้งสุดท้าย การไหวของจิตเมื่อถูกกระทบแล้วจึงเป็นของจริงที่ทุกคนจะต้องยอมรับ เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “ธรรมของตถาคตจะจริงหรือไม่จริง ต้องถูกกระทบก่อน” ทรงตรัสไว้อีกตอนหนึ่งมีความว่า

“จงอย่าสนใจเรื่องแผ่นดินไหว เพราะเป็นธรรมภายนอก ป้องกันและแก้ไขอะไรไม่ได้ พวกเธอจงสนใจแต่เรื่องแผ่นดินไหวภายใน คืออารมณ์จิตของเธอเอง เมื่อถูกกระทบด้วยอายตนะสัมผัสทั้งปวง..... ธรรมของตถาคตจะจริงต่อเมื่อถูกกระทบก่อนเท่านั้น” ดังนั้นจงดูแลแต่จิตตน กายตนเองเป็นหลักในการปฏิบัติ

เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. รถของวัดมารับขันธ์ ๕ หลวงพ่อกลับวัดท่าซุง เหตุการณ์ที่กระทบผมอย่างแรงทั้งทางตาและหู ในขณะที่เข็นรถนำขันธ์ ๕ หลวงพ่อออกจากห้องซีซียู ไปขึ้นรถกลับวัดท่าซุง พอรถเข็นโผล่ออกจากห้องซีซียู บรรดาศิษย์ทั้งชายและหญิงของหลวงพ่อ มารอดูหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย มากมายจนหาที่ว่างไม่ได้ พระครูปลัดอนันต์ฯ เป็นผู้นำให้รถเข็นเคลื่อนไปช้าๆ

พอรถพ้นจากประตูห้องซีซียู ผมก็พบมโหรีวงใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา พร้อมใจกันบรรเลงและร้องเพลงเพลงเดียวกันหมดทุกคน คือเพลง “โฮๆ ๆ ๆ.........” ประกอบกับเสียงหมาหอนอย่างโหยหวน ตลอดเวลาที่รถเข็นเคลื่อนผ่านไป เสียงหมาหอนประสานกับเพลง “โฮๆ ๆ ๆ...........” เข้าหูผมตลอดเวลา ทำให้จิตผมหวั่นไหวไปตามเสียงเหล่านั้น จนอยากจะร่วมบรรเลงเพลงไปกับเขาด้วย

จึงรีบตั้งสติให้มั่นคง เพื่อหยุดอารมณ์จิตของเราเองอย่าให้หวั่นไหว ไม่สนใจธรรมภายนอก ที่มากระทบทั้งทางตาและทางหู เพราะธรรมภายนอกแก้ไขอะไรไม่ได้ เมื่อเชื่อพระและปฏิบัติตามพระก็โชคดี รอดตัวไป ที่ไม่ต้องไปร่วมวงมโหรีกับเขาด้วย เมื่อรถพาขันธ์ ๕ หลวงพ่อกลับวัด เคลื่อนออกจากโรงพยาบาลศิริราชแล้ว ผมรีบหวนกลับมาที่ห้องซีซียูถามพยาบาลว่า โรงพยาบาลศิริราชเลี้ยงหมาไว้เยอะหรือ เมื่อกี้นี้ผมได้ยินเสียงมันหอนกันระงมหมด กะดูคงเป็นร้อย

พยาบาลฟังผมพูดแล้วงง ตอบผมว่าโรงพยาบาลศิริราชไม่มีหมาเลยสักตัวเดียว ผมจึงกำหนดจิตถามพระ จึงรู้ว่า เสียงหมาหอนนั้นคือเสียงของเทวดาที่ท่านมาร่วมวงมโหรีด้วย ผมหันไปถามคณะศิษย์ของหลวงพ่อที่ติดตามผมมาว่า พวกคุณได้ยินเสียงหมาหอนไหม ทุกท่านตอบเหมือนกันว่า ได้ยินชัดและมีความสงสัยเหมือนกับผมเช่นกัน

๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๕ ผมขับรถส่วนตัวมาคนเดียว ตั้งแต่ประมาณ ๔.๓๐ น. ถึงวัดประมาณ ๗.๐๐ น. ตรงไปวิหารแก้ว ๑๐๐ ม. เพื่อกราบหลวงพ่อ พบคุณศิริพร (เล้ง) มงคลชัยดิษฐ์ ซึ่งติดตามขบวนรถพระมาเมื่อคืนนี้ คุณเล้งเล่าว่า เธอเข้าไปในห้องที่หลวงพ่อ (ขันธ์ ๕) นอนอยู่ พระติดแอร์ให้ถึง ๔ ตัว ขณะนั้นไม่มีใคร เธอไปรำพึงรำพันพร้อมกับร้องไห้ ขอให้หลวงพ่อตื่นเถิดๆ แต่หลวงพ่อท่านก็ไม่ยอมตื่น

เธอก็ไม่สิ้นความพยายาม ขอให้หลวงพ่อหายใจให้หนูดูหน่อย คราวนี้ได้ผล เล้งบอกว่าท่านหายใจให้ดูชัดเจน อกกระเพื่อม เห็นด้วยตาชัดเจน ผล คุณเล้งร้องวี้ดวิ่งหนีหลวงพ่อออกไปยืนตัวสั่นอยู่นอกห้อง เพราะเล้งเธอกลัวผีเป็นที่สุด พวกเพื่อนเล้งที่เป็นผู้หญิง ๓ – ๔ คนซึ่งอยู่นอกห้องก็มาถามเล้งว่า ร้องทำไม เล้งก็เล่าให้ฟัง

เพื่อพิสูจน์ธรรมที่ตนเห็น จึงพาคณะเข้าไปกราบท่าน แล้วอธิษฐานของความเมตตาให้หลวงพ่อหายใจให้ดูอีกครั้ง ผล ทุกคนก็เห็นว่าท่านหายใจได้จริงๆ ผมขอสรุปว่า นี่คือสังโฆอัปปมาโณ คุณของพระอริยสงฆ์หาประมาณมิได้ เรื่องแบบนี้จริงๆ แล้วมีเกือบทุกวัน แต่จะขอยกเอามาเป็นบางเรื่องเท่านั้นมาเล่าให้ฟัง

เสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๕ หลังเพลเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. เคลื่อนขบวนนำขันธ์ ๕ ของหลวงพ่อออกจากวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร มาไว้ที่ศาลา ๑๒ ไร่ ฝนซึ่งตกมาทั้งวันทั้งคืนก็หยุดสนิท พวกชาวบ้านและศิษย์ที่มิได้ร่วมขบวน ตั้งแถวรอดูอยู่สองข้างทาง ก็ร้องไห้กันเป็นธรรมดา ประมาณ ๑๖.๐๐ น. สมเด็จพุฒาจารย์ วัดสระเกศ มาเป็นประธานในพิธีนี้

ขณะที่รอเวลาจะเอาขันธ์ ๕ ของหลวงพ่อบรรจุในโลงแก้ว สมเด็จท่านไม่รู้จะคุยกับใคร เมื่อท่านมองมาเห็นผมก็กวักมือเรียกผมมาเป็นเพื่อนคุยกับท่าน เพราะท่านรู้จักผมมาตั้งแต่สมัยยังเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ ท่านไม่ถือตัว ไม่ถือยศ เพราะหมดมานะแล้ว (พระบอกไม่ใช่รู้เอง) จึงคุยกับท่านอย่างภาษาลูกทุ่ง ด้วยการออกเสียงเต็มที่ หัวเราะกันเต็มที่เหมือนกับกำลังคุยกันแค่ ๒ คน

ผู้คนมากมายมารุมล้อมท่านและผม ชนิดบางคนเกือบจะมานั่งบนตักของผม คงสงสัยว่าท่านคุยอะไรกันหนอ จึงได้สนุกสนานขนาดนั้น เพราะมีเสียงหัวเราะบ่อยๆ ผมคิดว่าคงนานพอสมควรก็ต้องหยุด เพราะท่านพูดว่า คุณหมอ คุยกันวันนี้สนุกมาก แต่อาตมามีหน้าที่ที่จะต้องทำ ขอตัวขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำพิธีต่อไป โอกาสหน้าค่อยคุยกันต่อ เมื่อท่านขึ้นไปบนเวที ผู้คนทั้งหลายมาล้อมผม

ถามผมเหมือนกันหมดว่า “คุณหมอคุยเรื่องอะไรกับท่าน จึงได้หัวเราะกันบ่อยๆ” ผมตอบว่าพวกคุณก็อยู่ข้างๆ ท่านเหมือนกับผม แล้วทำไมจึงต้องมาถามผมอีก เขาเหล่านั้นตอบเหมือนกันหมดว่า “ได้ยินแต่เสียงคุยกัน แต่ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไร” ผมจึงเข้าใจโดยไม่สงสัยเลยว่า เพราะท่านไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้เรื่องที่สนทนากับผม ผู้อื่นย่อมไม่สามารถจะรู้ได้ ด้วย สังโฆอัปปมาโณ

เรื่องนี้สมัยหลวงพ่อท่านยังไม่ทิ้งขันธ์ ๕ ไป ผมก็ได้ประสบกับสภาวธรรมอย่างนี้มาก่อน จึงเข้าใจและไม่สงสัย ไม่ขอเล่ารายละเอียด ธรรมที่สมเด็จพุฒาจารย์พูดกับผมมีอยู่มาก ผมขอยกมาแค่ตัวอย่าง ๑ – ๒ เรื่องเท่านั้น เช่น

๑. ท่านพูดว่า “จิตของอาตมากับจิตของหลวงพ่อติดต่อถึงกันได้ พูดกันประโยคเดียวก็รู้แล้ว” ผมก็นึกในใจว่า สมเด็จไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ครับ ท่านก็ยิ้ม
๒. ท่านพูดว่า สมัยที่อาตมายังไม่ได้เป็นสมเด็จ หลวงพ่อท่านเป็นเพื่อนของอาตมา หลวงพ่อท่านชอบพูดเล่นเสมอ แต่ก็จริงทุกที (สมัยที่สมเด็จพุฒาจารย์องค์เก่าท่านกำลังป่วยหนักอยู่ ข้อความนี้ผมเพิ่มเติมเข้าไปเอง) หลวงพ่อท่านมาทักอาตมาว่า ผมขอแสดงความยินดีด้วยที่ท่านเป็นสมเด็จพุฒาจารย์

อาตมาก็ท้วงว่า หลวงพ่ออย่าพูดเล่นๆ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะเข้าใจผิด อย่างนี้เป็นต้น และมีเรื่องอื่นๆ อีกมาก ที่พระท่านยังไม่อนุญาตให้เขียน ธรรมในจุดนี้ผู้อ่านไปคิดต่อเอาเองว่า สมเด็จพุฒาจารย์องค์ปัจจุบันท่านเป็นพระระดับใด ใครไม่รู้ก็ให้ถามพระพุทธเจ้าจึงจะถูกต้อง ถ้าประมาทคิดเอาเองด้วยบารมีอันน้อยนิดของตน มีหวังถูกเหมือนกัน แต่เป็น “ถูกต้ม”

อาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ มีเรื่องหรือธรรมปรากฏหลายประการ ผมขอยกเอาแต่เรื่องเบาๆ มาเล่าให้ฟังสัก ๒ เรื่อง
๑. มีการประกาศแต่ตั้ง พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ ขึ้นรักษาการณ์เจ้าอาวาสวัดท่าซุง (มีข่าวเข้ามาว่า จะมีนักบวชที่อยู่นอกวัด วิ่งเต้นจะเข้ามาเป็นเจ้าอาวาส)
๒. เวลา ๑๔.๐๐ น. ท้องฟ้าแจ่มใส มีพุทธนิมิตเป็น “ทางช้างเผือก ประกายแก้ว” พุ่งเป็นลำตาลยาวจากวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร มายังศาลา ๑๒ ไร่

สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ผู้คนออกมาดูกันมาก แต่เห็นไม่เหมือนกัน และรู้ไม่เหมือนกัน เพราะมีจิตไม่เสมอกัน มีศีล สมาธิ ปัญญาต่างกัน และมีบารมี หรือกำลังใจไม่เสมอกัน ที่สำคัญที่สุดคือ มีกรรมไม่เสมอกัน (เป็นคำรวม เพราะกรรมแปลว่าการกระทำ ซึ่งอย่างหยาบคือกายกรรม อย่างกลางคือวจีกรรม อย่างละเอียดคือมโนกรรม ในกรรมทั้ง ๓ ระดับก็ยังแบ่งเป็นหยาบ กลาง ละเอียด

ซ้อนๆ กันอยู่อย่างนี้ ใครเข้าใจตามที่ผมเขียนนี้ก็จะเข้าเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ในระดับ จิตในจิต และธรรมในธรรมได้ตามความเป็นจริง) คนจิตดีท่านเห็นเป็นบันไดแก้ว หรือบันไดทางธรรม มีเก้าขั้นคือ มรรค ๔ ผล ๔ และนิพพานอีก ๑ ความจริงแล้วพิจารณาได้มากมายหลายวิธี คนที่ยังเกาะโลก เกาะทุกข์ของโลกอยู่ ท่านก็เอามาตีเป็นเลขเด็ด เป็นหวย ให้เจ้ามือรวยไปก็มี แต่หลวงพ่อฤาษี

(ผมขออนุญาตเรียกหลวงพ่อ ตามที่สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสเรียกหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อฤาษี”) มาสอนว่า “ให้จับภาพพุทธะนิมิตบันไดพระนิพพานนั้น แล้วจับภาพหลวงพ่ออยู่ที่ปลายบันได กำหนดจิตเห็นตัวเรา กราบอยู่แทบเท้าหลวงพ่อ เป็นทั้งสังฆานุสสติ และอุปสมานุสสติด้วย” ในทางปฏิบัติ ควรนึกถึงพระพุทธเจ้าแทนหลวงพ่อ แต่ในเหตุการณ์ปัจจุบัน

คนส่วนใหญ่ จิตยังคิด-เกาะร่างกายหลวงพ่ออยู่มาก หากให้เขายึดหลวงพ่อจะทำได้ง่ายกว่า เพราะเขามีอุปาทานอยากได้ขันธ์ ๕ ของหลวงพ่อคืนมา จึงเป็นอุบายให้เขาดึงเอาหลวงพ่อเข้าไปไว้ในจิต จัดเป็นสัมมาทิฏฐิ กล่าวคือ มีมรณานุสสติ เห็นความตายของหลวงพ่อเป็นของธรรมดา ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย แม้แต่พระพุทธเจ้า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง

มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นแหละ รักมาก เคารพมาก ย่อมเสียใจมาก ทุกข์มาก เพราะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ พบใคร พูดกับใครก็บอกเขาไปถึงจุดนี้ แต่คุณหมอควรจะบอกให้ทุกคนที่มาสนทนาธรรมกับคุณหมอ ให้ทำอารมณ์จิตอย่าให้เศร้าหมอง ตั้งใจไว้เลยว่าจะไปพบหลวงพ่อที่นั่น จะได้ไม่พลัดพรากจากกันอีก

จันทร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ขอสรุปโดยย่อว่า มีพระพุทธเจ้าเสด็จ มีพระที่ไม่มีขันธ์ ๕ มีพระที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ เช่น หลวงปู่บุดดา ถาวโร เป็นต้น มากันมาก จัดเป็นพระเมตตาที่ท่านให้กับพวกเราได้เห็น (ไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็นเพียงคนเดียว) ด้วยพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ

หากเขียนทีละวันๆ จนครบ ๑๐๐ วันคงจะไม่เหมาะ จึงต้องขออนุญาตรวบรัดโดยเขียนตามอัธยาศัย สุดแต่อุปาทานจะพาไป ใน ๑๐ วันแรก มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับวัดมากมาย ทั้งดีและไม่ดี เพื่ออ่านง่ายขอสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้

๑. มีพระที่ไม่มีขันธ์ ๕ และยังมีขันธ์ ๕ มาเป็นประธานในพีสวดอภิธรรมถวายกุศลให้หลวงพ่อทุกคืน
๒. การสนทนาธรรมมีทุกคืน จากหัวค่ำถึงประมาณ ๒๔.๐๐ น. พระท่านให้สนทนากันที่หน้าโลงแก้วที่บรรจุหลวงพ่ออยู่ ห้ามไปสนทนาที่อื่น
๓. ทรงเมตตาให้รู้ ให้เห็นธรรมได้ดี ในขณะพระสวดพระอภิธรรม เพราะหยุดการสนทนาธรรมชั่วคราว จิตก็สงบ เย็น เป็นสุข สามารถรับธรรมะได้ดีในขณะนั้น


๔. มีบุคคลเพศหญิงเข้ามาแสดงธรรมอันเป็นมิจฉาทิฎฐิ ทำให้พระในวัดจำนวนหนึ่ง ฆราวาสจำนวนหนึ่ง เชื่อถือ ผมถามพระ ถามหลวงพ่อ ท่านตอบว่า เป็นกฎของกรรมของวัด พระท่านเคารพในกฎของกรรมเพราะหมดกิเลสแล้ว แต่พวกเรายังไม่หมด กักตุนเอาไว้ในใจตนคนละมากบ้าง น้อยบ้าง จึงต้องหวั่นไหวไปกับเหตุการณ์นี้เป็นธรรมดา

แต่ในที่สุด ธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ คณะสงฆ์ของวัดมีมติให้ขับบุคคลผู้นั้นออกไปจากวัด ขอจบสั้นๆ แค่นี้ เพราะเป็นอดีตธรรม ไม่สมควรจะไปตามรู้เรื่องที่ไม่เป็นสาระอีก
๕. วัดค่อนข้างเงียบเหงา เพราะพวกเราเคยได้ยินเสียงของท่านตั้งแต่เช้ามืด ตอนตี ๔ เป็นระยะๆ จนสุดท้ายก็ ๒๑.๐๐ น. ก่อนจะเข้านอนจนชิน เพื่อจิตเป็นฌานในเสียงธรรมของหลวงพ่อ มันเหงาตรงนี้แหละ

พุธที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ วันนี้เป็นวันแรกที่มีเสียงหลวงพ่อมาตามสาย เหมือนยามปกติ เมื่อเวลา ๔.๐๐ น. ทำให้จิตใจสดชื่น แจ่มใส และสบายเป็นอัตโนมัติ รีบลุกขึ้นขอขมาพระรัตนตรัย แล้วก็สวดโยโส..... ตามท่านด้วยความสงบ วันนั้นท่านสอนกายคตานุสสติ มรณานุสสติ อสุภกรรมฐาน คลุมหมดเพื่อเข้าหาตัวตัด สักกายทิฏฐิ

เพราะจุดตัดสำคัญที่สุดก็คือ สักกายะนี่แหละ ใครตัดได้ทรงตัวก็จบกิจในพระพุทธศาสนา แต่สังเกตตนเอง จับผิดตนเองโดยอัตตนา โจทยัตตานัง ก็พบว่า ตัวเราอายุยิ่งมาก สักกายะยิ่งโตขึ้น ยิ่งอยู่ที่ไหนนานๆ สักกายะก็โตขึ้นตามเวลา พระพุทธองค์ทรงเห็นจุดนี้ก่อนใครๆ จึงทรงห้ามภิกษุติดที่อยู่ ไม่ให้เกาะหมู่ เกาะกลุ่ม เกาะพรรคพวก ไม่ให้เกาะสถานที่ ไม่เกาะบุคคล ไม่เกาะอาหาร

ไม่เกาะยารักษาโรค ไม่เกาะเครื่องนุ่งห่ม ไม่เกาะโลกธรรม ๘ ทรงสอนให้แกะหรือละ ปล่อยวางทุกสิ่งในโลก เพราะมันไม่เที่ยง ที่สุดมันก็พังหมด ไม่มีอะไรเหลือ และทรงจบลงที่ อริยสัจ บันทึกไว้ยาว ขอสรุปเอาส่วนที่เป็นสาระ คือ เมื่อมีกาย ทุกข์กายก็ติดมาด้วย เราต้องบริหารให้กับกายมาตลอดจนกว่าจะตายโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ตัดทุกข์ของกายทำไม่ได้ ได้แค่บรรเทาให้หายทุกข์ชั่วคราว

เช่น หิวกระหาย ปวดท้องขี้ ปวดท้องเยี่ยว ต้องทำมาหาเลี้ยงกาย ชำระความสกปรกจากกาย เป็นต้น วันนี้จิตดีมาก จึงพิจารณาธรรมได้มาก ขอเขียนไว้แค่ตัวอย่าง งานทำบุญ ๗ วันหลวงพ่อ ตรงกับวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ เป็นพิธีหลวง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา มาเป็นประธาน ผู้ที่ใช้จิตถึงจิต คือเอาอทิสมานกาย หรือกายของจิตไปกราบท่าน ท่านก็สอนมีความว่า

“จิตถึงจิตนั่นแหละดี ภารกิจใดๆ ที่กำลังทำอยู่ บางเรื่องก็เปิดเผยไม่ได้ในที่สาธารณะ ให้รักษาอารมณ์เบาๆ เข้าไว้ อย่าให้นิวรณ์เข้าแทรกเท่านั้นเป็นพอ มิฉะนั้นเวลาพระหรือหลวงปู่มา จะไม่รู้เรื่องกัน”

พฤหัสที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ มีการสร้างกรรมอันเป็นอกุศลกันไว้มาก เพราะเชื่อบุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ตามที่กล่าวไว้แล้วในตอนแรก ในช่วงทำวัตรเช้าที่ ๑๒ ไร่ ผู้ที่ใช้จิตถึงจิต หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านมาสอน มีความที่ควรเปิดเผยได้ ดังนี้ “กฎของกรรมมันผันผวนชีวิตและจิตใจคนที่เป็นปุถุชนเสมอๆ เพราะระดับจิตยังไม่เข้าถึงขั้นพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด

เป็นเพราะไม่รู้วาระกฎของกรรม ไม่รู้วงจรของกฎของกรรม ความเคารพในกฎของกรรมจึงไม่เกิด จิตปุถุชนจึงไหลขึ้นไหลลง ตามวาระแห่งกรรมอันเป็นกุศลและอกุศลนั้นๆ อย่าไปโทษใครว่าผิดถูก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นกฎของกรรมทั้งสิ้น คนผิดคนถูกนั้นไม่มี มีแต่วาระกรรมดี กรรมชั่วเท่านั้นที่ส่งผลให้มีการกระทำนั้นๆ ไป”

สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงตรัสว่า “นิสสัมมะ กะระณัง เสยโย ไว้นะ จะทำอะไร คิดอะไร พูดอะไร หมั่นใคร่ครวญไว้ด้วย อย่าต่อกรรม ให้ตัดกรรมสถานเดียวพอ”

ศุกร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ปรากฏมีดาวประหลาดส่องแสงอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของศาลา ๑๒ ไร่ เห็นได้ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. ดูครั้งแรกมีรัศมีออกเป็น ๔ แฉก แล้วออกเป็น ๘ แฉก สวยงามมาก กำหนดจิตขอบารมีพระก่อน จึงดูครั้งที่ ๒ เห็นรัศมีออกไปรอบดวง จึงไปพาให้คนอื่นๆ มาดูอีกหลายคน ทุกคนที่เห็นต่างก็คิดกันไปต่างๆ กัน

ส่วนใหญ่คิดว่าคงเป็นจิตของหลวงพ่อ กำหนดจิตถามพระ สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงตรัสว่า “เป็นของตถาคตเอง หากเป็นของท่านสัมภเกษีจะมีรัศมียาวกว่านี้ ใหญ่กว่านี้ เพราะบำเพ็ญบารมีมานานมากกว่า แต่ทว่าความสว่างจักน้อยกว่าดวงจิตตถาคตหน่อยหนึ่ง ด้วยถอนความปรารถนาลงมาแค่สาวกภูมิ” ในช่วงระยะแรกนี้ ทั้งพระและฆราวาสกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์

มีอุปาทานจิตติดในร่างกายของหลวงพ่อกันมาก จึงอยากให้จิตของท่านกลับเข้าร่างเดิม (เพื่อจะได้มาเป็นทุกข์กับพวกเราอีก) เรียกว่าหลงกันสุดๆ เหตุเพราะกฎของกรรมที่เป็นอกุศลให้ผล ตามที่หลวงพ่อปานท่านมาสอนไว้เมื่อวานนี้ พวกที่คิดว่าหลวงพ่อท่านจะกลับมาต่างก็นั่งรอ ยืนรอ บางคนนอนรอ เดินรอ โดยทำจิตให้ฟุ้งซ่าน คือฟุ้งเลว ทำจิตตนเองให้เศร้าหมองอยู่เสมอ

การกระทำของพวกเราล้วนอยู่ในกระแสจิตของพระท่านตลอดเวลา หลวงปู่องค์หนึ่ง (ขอสงวนนาม) ท่านสอนอดีตลูกของท่านมีความสำคัญว่า “เอ็งมากราบข้าแล้วเสือกร้องไห้คิดถึงหลวงพ่อ เอ็งมันวางใจไม่ถูก ทำจิตให้เศร้าหมองอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ รอนั้นรอได้ แต่ต้องรอให้เป็น คือรอแบบตั้งใจไว้เลยว่า ถ้าหากขันธ์ธาตุของเราพังก่อนหลวงพ่อมา เราก็ขอพังเป็นครั้งสุดท้าย จิตเราตั้งมั่นในแดนอมตะนิพพาน

แล้ววางจิตให้เฉยๆ สบายๆ หลวงพ่อท่านจะมาเมื่อไหร่ เราจะอยู่รับหน้าได้หรือไม่ ก็ไม่สร้างความกระวนกระวายให้เกิด ไม่สร้างความคิดถึงว้าเหว่ให้เกิด อย่างนี้แหละเขาถึงจะเรียกว่า คนรอเป็น จำไว้ อารมณ์ว้าเหว่คือตัวเศร้าหมองอย่างแท้จริง” (ผมโชคดีที่มีพระท่านเมตตามาบอกหัวข้อที่ผมควรยกเอามาเป็นเรื่องสนทนาธรรมกันในตอนกลางคืน ควรจะพูดเรื่องอะไร จึงจะเหมาะสมกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน)

เสาร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ดาวประกายขึ้นที่เดิม เวลาเดิม วันนี้พวกเราฉลาดขึ้น ก่อนจะดูก็กำหนดจิตขอบารมีพระก่อนแล้วจึงดู ทุกคนจึงเห็นประกายออกมารอบๆ ดาว สว่างมาก และยังทรงกลดด้วย ได้ชวนหลวงพี่วัดท่าซุงร่วม ๑๐ องค์มาดู ทุกองค์ก็เห็นดีหมด แต่มีคุณชอท่านเดียวที่ดูแล้วพูดเสียงดังฟังชัดว่า จิตพระอรหันต์ท่านสว่างดีจัง และทรงกลดด้วย ซึ่งก็จริงของท่าน เพราะเป็นจิตของ “จอมอรหันต์” หมายถึงพระพุทธเจ้านั่นเอง

อาทิตย์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ บุคคลผู้ใช้จิตถึงจิต หลวงปู่บุดดาท่านมาเทศน์สอน มีความสำคัญว่า ...ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง กายของท่านเจ้าคุณมหาวีระได้ตายไปตามวาระกฎของกรรม ให้ชาวโลกประจักษ์มาแล้วเป็นเวลา ๑๗ วัน กายนี้อยู่สงบมาแล้ว ๑๗ วัน อันหาสาระแก่นสารมิได้นั้น นอกจากจะนอนนิ่งให้คนมาสักการบูชา

ยังความโศกเศร้าให้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาอันทั่วถ้วนหน้ากัน... แม้ขณะทรงชีวิตอยู่ จิตพระอรหันต์ก็สงบอยู่บนพระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น กระแสจิตที่หยั่งลึกลงสู่พระนิพพานเป็นอย่างไร สมควรที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านเจ้าคุณ ควรจะศึกษาเป็นหลักการเอาไว้ บุคคลใดที่ยังจิตให้เศร้าหมอง สิ้นไร้ความผ่องใสแล้วไซร้ ย่อมห่างไกลจากความดี ความเศร้าหมองก็คือกิเลส

เพราะฉะนั้นการรักษาอารมณ์จิตจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักปฏิบัติกรรมฐาน และรักษาอารมณ์จิตสงบให้ยิ่งด้วยชีวิต จึงจะพบมรรคผลได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น แบ่งเป็นหลายหมวด หลายตอน ธรรมของชาวโลกก็อย่างหนึ่ง ธรรมพ้นโลกก็อย่างหนึ่ง ธรรมของชาวโลกย่อมหาสาระแก่นสารมิได้ ธรรมพ้นโลกอันยากที่ชาวโลกจะรู้ได้นั้น

กลับมาไปด้วยสาระและแก่นสาร ถ้าพวกเจ้าไม่ประมาท ก็สมควรดูแลร่างกายของท่านเจ้าคุณอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป (หลวงปู่ท่านหมายถึงให้ผมกับคุณสุรีพรฯ ๒ คน อยู่เฝ้าหลวงพ่อตลอดคืน เพราะหลัง ๒๔.๐๐ น. ไปแล้ว ผู้ที่มาเฝ้าหลวงพ่อตอนหัวค่ำ ต่างก็ทยอยหลับกันไปหมด หลวงพ่อท่านเลยต้องนั่งเฝ้าพวกเหล่านั้นแทนตลอดคืน)

และในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ นี้ ตอนช่วงเย็น มหาทองท่านพาหลวงปู่บุดดาใส่รถเข็นมาที่ศาลา ๑๒ ไร่ ให้พวกเราทำบุญกับท่าน เรา ๒ คนปฏิบัติตามคำสั่งพระด้วยความยินดี หลัง ๒๓.๐๐ น.แล้ว คนที่มาร่วมสนทนาธรรมกันต่างก็แยกย้ายกันกลับที่พักหมด มีบางรายท่านก็อยู่ฟังจนหลับไปกับเก้าอี้ ซึ่งเอามาต่อๆ กัน ก็ใช้เป็นที่นอนได้อย่างดี ก็นับว่าดีเพราะหลับไปกับพระธรรม

ประมาณ ๒๔.๐๐ น. ทั้ง ๒ คนก็แยกกันออกจงกรมไปรอบๆ ๑๒ ไร่ ในบริเวณหน้าพระประธาน ใช้สมาธิและวิปัสสนาสลับกันไป เมื่อยก็หยุดนั่ง หายเมื่อยก็เดินต่อ ระวังแต่ใจอย่างเดียวอย่าหยุด อย่าเมื่อยตามกาย เพราะพระกรรมฐานเขาปฏิบัติกันที่ใจ การเดินมรรคเพื่อไปหาผล เขาก็ทำกันที่ใจ เอาใจเป็นใหญ่ เอาใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จได้ที่ใจ คุมทวารใจ ประตูใจ อายตนะใจเป็นสำคัญ

อย่าให้มันคิดชั่ว พยายามให้ใจอยู่ในปัจจุบัน อย่าส่งออกไปยุ่งกับอดีต และอย่าปรุงแต่งไปหาอนาคต นี่คือหลักที่ใช้ปฏิบัติ แต่ทำจริงๆ มันไม่ง่ายเหมือนกับพูด เหมือนกับเขียนนี้ มันต้องใช้ความเพียรอย่างสูง บารมี ๑๐ ทิ้งไม่ได้ ชอบเผลอเป็นของธรรมดา เพราะขาดสติ หรือสติไม่ต่อเนื่อง หรือไม่ทรงตัว ต้นเหตุเพราะอ่อนหรือลืมอานาปานุสสติ ลืมกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเมื่อไรก็พังทุกที

ดังนั้น สมถะ ๓ กองจึงลืมไม่ได้ตลอดชีวิต คือ
๑. อานาปานุสสติ
๒. มรณานุสสติ ควรหรือจบลงที่อุปสมานุสสติ หมายความว่า หากคิดถึงความตายครั้งใด ให้คิดต่อไปว่า เราจะขอตายเป็นครั้งสุดท้ายไว้เสมอ เราเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยจากการเกิดมีร่างกายชัดเจนแล้ว ไม่สงสัยในธรรมจุดนี้แล้ว

จึงไม่ขอเกิดมามีร่างกายเพื่อพบกับทุกข์อย่างนี้อีก ขอไปพระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ใด หลวงพ่อท่านอยู่ที่ไหน เราก็ขออยู่ ณ ที่นั้น นิพพานะ สุขัง ทำให้จิตชินหรือเป็นฌานในมรณานุสสติ และอุปสมานุสสติ หากทำได้จนจิตทรงตัว เมื่อร่างกายพัง จิตก็จะมุ่งตรงสู่แดนพระนิพพานเองเป็นอัตโนมัติ

๓. กายคตานุสสติ ควบอสุภกรรมฐาน (ไม่ขอเขียนรายละเอียด)

สรุปว่า คืนนี้จึงเป็นคืนแรกที่ผมและคุณสุรีพรฯ อยู่เฝ้าหลวงพ่อที่ศาลา ๑๒ ไร่ตลอดคืน หมายความว่า อยู่ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตี ๔ (๔.๐๐ น.) เพราะพอเสียงตามสายหรือพระธรรมมา ทุกคนในศาลา ๑๒ ไร่ก็ตื่นกันหมด เพื่อทำหน้าที่ของตน ผู้คนจะขวักไขว่ เช่น พระท่านหลายองค์ถูพื้น ๑๒ ไร่

รวมทั้งฆราวาสด้วย ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป โดยหูอยู่กับเสียงธรรมที่หลวงพ่อท่านสอน เรา ๒ คนก็หมดหน้าที่ จะอยู่ต่อหรือจะกลับที่พักก็ตามใจ เพราะเสียงธรรมจากหลวงพ่อ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนอยู่ที่จุดไหนของวัด หากเจตนาของจิตต้องการฟังพระธรรมแล้ว ก็ได้ยินทุกจุด การกระทำของผมและเพื่อนได้ทำติดต่อกันจนครบ ๑๐๐ วัน (คืน)

ต่อมาก็มีเพื่อนคนที่ ๓ อาสามาอยู่เฝ้าหลวงพ่อด้วย คือ คุณหมวย ชื่อจริงท่านขอปกปิดก็ต้องตามใจท่าน ท่านมาได้ระยะหนึ่งแล้วก็มาบ้างไม่มาบ้าง เพราะท่านมีภาระทางครอบครัว แต่ส่วนใหญ่ท่านจะมาประมาณ ๑๐ วัน ต่อมาญาติทางธรรมจากจังหวัดนครสวรรค์ก็มาเป็นเพื่อน จำนวนร่วม ๑๐ คน หอบเอาหมอน มุ้ง เสื่อมาด้วย ใครง่วงมากก็นอนพัก ตื่นขึ้นมาก็จงกรมปฏิบัติธรรมกันต่อไป

พอถึงเดือนธันวาคม ลมหนาวก็พัดเข้าสู่ ๑๒ ไร่ ขนาดปิดประตูใหญ่แล้ว ลมที่พัดผ่านส่วนบนของศาลา มันหนาวอย่าบอกใคร เพื่อนๆที่มาก็เบาบางลงๆ จนเหลือแค่ ๒ คนตามเดิม พอความหนาวคลาย ตัวท่านก็ค่อยๆ กลับมาใหม่ ดังนั้น นับแต่นี้ไป ผมจึงไม่เขียนเป็นรายวันเหมือนตอนต้น จะเลือกเอาบางวันที่พิจารณาแล้ว เห็นว่าสมควรมาเล่าให้ฟัง

พุธที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ มีดวงแก้วประกายพรึกขึ้นอีก ๑ ดวง ใกล้กับดวงเดิม แต่อยู่สูงกว่า เปล่งรัศมีสวยงามมาก ผู้คนที่เห็นต่างก็วิจารณ์กันไปตามทิฐิของตน และตามระดับจิตของตน จิตใครเจริญแค่ไหนก็รู้ธรรม เห็นธรรมได้แค่ระดับนั้น จึงไม่ขอตำหนิใครว่าถูกหรือผิด ความจริงผมได้เขียนไว้ชัดแล้วในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงตรัสไว้แล้วชัดเจน ไม่ควรจะสงสัยกันอีกต่อไปว่า

ดาวหรือดวงแก้วดวงใหม่นี้คือจิตของท่านสัมภเกษี (หลวงพ่อฤาษี) ขอสรุปย่อๆ เกี่ยวกับดาวประกายพรึกทั้ง ๒ ดวงนี้ ดังนี้ ครั้งแรกที่ปรากฏ ท่านจะลอยอยู่เหนือศาลา ๑๒ ไร่ ไม่เคลื่อนที่ไปตามโลกที่หมุน ดาวจริงๆ จะต้องเคลื่อนที่ไปตามโลกหมุน ผมจงกรม (จงกรมแปลว่าเดิน) อยู่ พอเมื่อยก็จะออกมานอกศาลา ๑๒ ไร่ เพื่อดูดาวสักทีหนึ่ง

ดาวดวงแรกขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ขณะนั้นผมยังไม่ได้อยู่ตลอดคืน พอไม่มีเรื่องจะคุยกันก็ขอตัวออกไปดูดาว จึงบางคนติดตามมาดูด้วย ซึ่งก็ดี เพราะจะได้เป็นพยาน ยิ่งดึกเท่าไหร่เหมือนกับยิ่งสว่างเท่านั้นและไม่เคลื่อนที่ บางคนเล่าว่าตอนดึกผมขับรถกลับบ้านที่ จ.อยุธยา จ.นครสวรรค์ ดาวดวงนี้ก็ยังติดตามผมไป เหมือนกับอยู่ที่หลังคาบ้านผม บางคนเล่าว่า

ผมขับรถกลับกรุงเทพฯ ผมก็ยังเห็นดาวดวงนี้อยู่ที่บ้านผม และลอยอยู่ค่อนข้างต่ำมาก แต่ก็ยังมีพวกนักวิชาการบางคนวิจารณ์ว่า เป็นดาวประจำเมืองก็มี มันก็ต่างจิต ต่างใจ ต่างความคิด และสำคัญสุดคือ ต่างกรรมกัน (กรรมบถ ๑๐ ต่างกัน) เมื่อคนวิจารณ์กันมากๆ ผิดๆ ถูกๆ ซึ่งล้วนแต่สร้างกรรม หรือเป็นกรรมทั้งสิ้น แม้จะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ตาม ล้วนแล้วเป็นโทษทั้งนั้น

มีหรือที่ความคิดของบุคคลเหล่านั้นจะไม่เข้าสู่พระพุทธญาณ หรือสัพพัญญุตญาณของพระองค์ ต่อมาดาวทั้ง ๒ ดวงจึงเคลื่อนไปตามโลกหมุน ดังนั้นพอพระอาทิตย์ท่านลับขอบฟ้า ผมและผู้ที่สนใจดาว ๒ ดวงนี้ก็จะออกดูดาว เพราะความสว่างของท่านจึงเห็นได้ชัดเจน แม้แสงตะวันยังไม่หมดดี จุดนี้แหละคือการปฏิบัติกรรมฐานของผม โดยทำจิตให้สงบเร็วที่สุดด้วยอานาปานุสสติ

แล้วขอบารมีพระเพื่อดูดาว สิ่งที่ตาเนื้อเห็น และจิตผมสัมผัสได้ เห็นรัศมีเป็นสีรุ้งสวยงามมาก กระจายออกมาจากดาวดวงแม่ ออกเป็นดาวลูกเล็กๆ เป็นสายหลายสาย และลูกของดาวเหล่านั้นก็เปล่งรัศมีสีต่างๆ ออกมาโดยรอบ จิตผมจึงมีปีติ เป็นสุขสงบอยู่กับพระเมตตาของพระองค์ที่ทำให้ผมเห็นได้ สัมผัสได้เช่นนั้น ผมจึงต้องออกมายืนดูดาวด้วยความสุขทุกๆ วัน จนมีคนทักว่าคุณหมอดูอะไร

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/2/12 at 17:45 [ QUOTE ]


ผมก็แนะนำให้เขาปฏิบัติตามผม คืออย่าใช้บารมีหรือกำลังใจของตนเอง ให้ขอบารมีพระก่อนเสมอ เมื่อเขาทำตาม เขาก็เห็นคล้ายๆ กับผม (เพราะบารมีไม่เสมอกัน) สรุปว่าตกเย็นพอพลบค่ำ จะมีคนไม่น้อยที่ออกมายืนดูจิตของพระพุทธเจ้า และจิตของหลวงพ่อท่าน (ธรรมะในพระพุทธศาสนาเป็นปัจจัตตัง

หมายความว่า เห็นได้ รู้ได้ เข้าใจได้ สัมผัสได้ ด้วยจิตของตนเอง เฉพาะตน คือของใครของมัน กรรมใครกรรมมัน จะรู้ จะเห็น จะเข้าใจ จะสัมผัส หรือปฏิบัติแทนกันไม่ได้ ธรรมของตถาคตไม่ใช่ของหยาบ หากแต่ละเอียดประณีต ยากที่ปุถุชนคนธรรมดาๆ จักพึงเข้าใจได้ตามความเป็นจริง)

พฤหัสบดี ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาปรากฏองค์ให้เห็น (สมเด็จพระพุทธสิขีทศพล คือพระนามของพระองค์) “จุดประสงค์เพื่อสั่งหมอให้ตั้งวงสนทนาธรรม ควรจักอยู่ตรงหน้าโลงแก้วของท่านฤาษี คุยไปด้วย ช่วยกันดูแลไปด้วย ขอให้ปรับปรุงจุดนี้เสียใหม่ เพราะที่แล้วๆ มาประมาทเกินไป”

“อนึ่ง แม้การสนทนาธรรมจักได้บุญ ก็ย่อมต้องดูด้วยว่า ผู้รับๆ ได้หรือไม่ การคั่นเวลาด้วยการออกอุบายนั่งสมาธิเป็นระยะๆ จักได้บุญมากกว่า เพราะบุคคลทุกคนย่อมทำปัจจัตตังให้เกิด ต่างกับการสนทนาธรรม ผู้ให้ตั้งท่าจักให้ ในเมื่อผู้รับฟังแล้วไม่เก็บไม่นำมาปฏิบัติก็ไร้ผล เพราะฉะนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งให้บุคคลเหล่านั้นสนทนาธรรมแล้วประเด็นหนึ่งๆ

ควรจักให้ทุกคนทำสมถภาวนากันคนละ ๑๕ นาที แล้วหวนกลับมาทำวิปัสสนาในเรื่องที่สนทนากัน ในประเด็นนั้นๆ อีกครั้งละ ๑๕ นาที กล่าวคือ พอจบเรื่องหนึ่ง อาทิเช่น อายตนะหก กล่าวคือวิญญาณสัมผัส เอาประเด็นของตา พูดจบก็ให้นั่งสมาธิ ทำจิตสงบ ๑๕ นาที แล้วก็พูดว่า ไหนลองคิดเรื่องตาสัมผัสซิว่าเป็นอย่างไร ให้เขาคิดกันพอประมาณ ๑๕ นาที แล้วก็ถามความรู้สึกของแต่ละคน

จักได้ธรรมที่ละเอียดยิ่งขึ้น ถ้าจักให้ดี ควรเริ่มด้วยการเข้าใจในการตัดสังโยชน์ ๓ ก่อนเป็นเรื่องแรก คุณหมออย่าทำตัวเป็นผู้ให้โดยไม่รู้กำลังของผู้รับ จงใช้อุบายสัจจานุโลมิกญาณคือถอยหน้า ถอยหลังในสมถะ และวิปัสสนา เป็นลูกล่อลูกชนให้บุคคลผู้รับเหล่านั้นสามารถสัมผัสธรรมพระโสดาบันด้วยตนเองก่อน เรื่องอายตนะนั้นหนักเกินไป เอาเบาๆ ก่อน ออกตัวไปเลยว่า คุยกันมาหลายคืนแล้ว

คอชักแห้ง ขอให้ทุกคนฟังการสนทนาธรรมเป็นหัวข้อๆ แล้วทำสมาธิสลับแก จบแล้วถามความรู้สึกว่า ธรรมนี้เป็นอย่างไร (หมายถึงการปฏิบัติแบบนี้) อย่างนี้ซิ ผลมันจักบังเกิดขึ้นได้ เพราะฟังด้วย ปฏิบัติด้วย” ผมได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงพระเมตตารับสั่งอยู่ได้ไม่กี่คืน ทุกคนก็ชอบใจ เพราะฟังแล้วได้ปฏิบัติไปด้วย จิตก็ก้าวหน้าไปด้วยทั้งผู้ให้และผู้รับ

แต่ก็มีอุปสรรคมาขัดขวาง เพราะมีลูกศิษย์ของหลวงพ่อมาจากต่างจังหวัดกันมากเป็นกลุ่มๆ จากภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ มากันไม่เป็นเวลา ถึงเมื่อไหร่ก็เข้ามารุมล้อมวงสนทนาทันที ทำให้ไม่สามารถจะทำแบบที่พระองค์ทรงแนะไว้ต่อไปได้ จึงขออนุญาตพระองค์หยุดไว้ชั่วคราวก่อน แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด ความจริงมีเหตุการณ์ที่เข้ามาตัดอีกหลายเรื่อง แต่ไม่ทรงอนุญาตให้เปิดเผย

อาทิตย์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ที่ศาลา ๑๒ ไร่ ผมและคณะคุณพรนุช คุณจำปี และคุณลือชา ตามลำดับขึ้นไปทอดผ้าบังสุกุล และถวายสังฆทานให้หลวงพ่อ พระท่านว่าชุดนี้พุทธทั้งชุด ขอผ่านไปเล่าเรื่องคุณลือชา ซึ่งบินตรงมาจากอเมริกาเมื่อวานนี้ (ถ้าจำไม่ผิด) ท่านตรงมาหาผมและคุยให้ผมฟังเป็นส่วนตัว มีความว่าเมื่อทราบข่าวว่าหลวงพ่อทิ้งขันธ์ ๕ ไป

จิตท่านเศร้าหมองมาก เพราะคิดถึงหลวงพ่อ จึงใช้พระธรรมเป็นเครื่องปลอบใจ โดยการจงกรม เจริญอานาปานุสสติ พร้อมภาวนาพุท-โธ แต่จิตคิดถึงหลวงพ่อ เมื่อจงกรมอยู่ ตาเนื้อเห็นหลวงพ่อในรูปของพระสงฆ์เดินอยู่ข้างหน้า ทิ้งระยะพอสมควร ก็เดินตามท่านไป จิตก็เป็นสุขมาก แต่ในที่สุดหลวงพ่อเดินช้าลงๆ จนกระทั่งกายของท่านมาซ้อนกายของผม (คุณลือชา) กายของผมกลายเป็นหลวงพ่อไป

ผมตกใจมาก กลัวว่าจะเป็นบาป จึงตัดสินใจบินมาประเทศไทย แล้วตรงมาถามพี่หมอนี่แหละ ผมฟังปัญหาของคุณลือชาแล้วก็หัวเราะ ตอบว่า ทำไมจึงคิดอย่างนั้น มันเป็นอกุศลทำร้ายจิตตนเองให้เศร้าหมอง ทำไมไม่คิดว่า เราโชคดีแล้วหนอ ที่หลวงพ่อท่านเมตตาสงเคราะห์เราโดยตรง เวลาเรากำลังจะมีภัยอันตราย เราก็นึกถึงท่าน ขอบารมีท่านให้ครอบคลุมร่างกายของเราไว้ ศัตรูจะได้ตกใจกลัว

ไม่กล้าทำร้ายเรา เพราะเมืองที่คุณลือชาอยู่มีอเมริกันสัญชาตินิโกรอยู่มาก ตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น พวกเรายืนสูงแค่ไหล่ หรือต่ำกว่าไหล่ของเขาเท่านั้น หากคิดอย่างนี้เป็นคุณหรือเป็นโทษ ตอบว่าเป็นคุณ ผมก็อธิบายว่า การนึกถึงหลวงพ่อเป็นสังฆานุสสติ เป็นบุญหรือบาป ตอบว่าเป็นบุญ ผมถามว่า การเห็นพระ

จัดเป็นอุดมมงคลหรืออัปมงคล ตอบว่าเป็นมงคลใหญ่ ผมก็ถามว่า หายสงสัยแล้วหรือยัง ตอบว่า หายสงสัยแล้วครับพี่หมอ ผมก็แนะนำว่า ทุกสิ่งที่มากระทบใจเรา โดยผ่านทวารทั้งหก หรืออายตนะหก เราสามารถจะพิจารณาได้เป็นทั้งกุศล (บุญ) และอกุศล (บาป) แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ มักจะคิดไปทางอกุศลก่อนเสมอ มีผลทำให้จิตตนเองเศร้าหมอง (เป็นกิเลส เป็นบาป)

เราเองเป็นผู้สร้างกรรมนี้ให้เกิด คือชอบจุดไฟเผาใจตนเองโดยไม่รู้ตัว จุดนี้แหละเราได้ขาดเมตตาตนเอง เพราะเบียดเบียนตนเองเป็นประการแรก พอไฟภายในลุกขึ้น เราก็เที่ยวเอาไฟภายในของเราไปจ่อให้ผู้อื่นเขาไฟลุกตามเราด้วย อย่างนี้เขาเรียกว่านักวางเพลิง นักปลุกระดมให้ผู้อื่นไฟลุกเหมือนกับตน

ขอสรุปว่าบุญบาปอยู่ที่จิต เกิดที่จิตของเราก่อนเสมอ จงอย่าพยายามหาบุญบาปที่อื่น ทุกอย่างอยู่ที่กายเราและจิตของเราทั้งสิ้น พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้มีความว่า “วันหนึ่งๆ ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้มากเท่ากับอารมณ์จิตของเราทำร้ายตัวเราเอง” ขอจบจุดนี้ไว้แค่นี้

จันทร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ผมและคุณสุรีพรฯ เฝ้าหลวงพ่อตลอดคืนมาเป็นวันที่ ๙ กฎของกรรมก็ตามมาให้ผล คือ นินทา ปสังสา อันเป็นโลกธรรม ๘ ที่ทุกคนที่เกิดมาในโลกจะไม่ถูกระทบนั้นไม่มี จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของบุคคล ๒ กลุ่ม กลุ่มที่อกุศลกรรมกำลังให้ผล ก็คิดไปในทางไม่ดี หาบาปอกุศลเพิ่มให้กับตน จุดไฟเผาใจตนเอง

ส่วนกลุ่มที่ตัวกุศลกำลังให้ผลก็คิดไปในทางดี หาบุญเพิ่มให้กับตน เช่น ขอโมทนาสาธุ เป็นต้น ง่าย สะดวก เกือบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย นอกจากจะใช้กำลังใจ (บารมี) นิดหน่อยเท่านั้น (บารมี ๑๐ มีปัญญาบารมีเป็นหัวหน้า) ท่านก็ได้บุญไปมากมาย ธรรมภายนอกนั้นแก้ไขอะไรไม่ได้ พระองค์ให้สนใจแต่ธรรมภายใน ให้แก้ที่ตัวเรา จิตเราเองเป็นสำคัญ เพราะทำได้ง่ายและเร็ว (ถ้าเข้าใจในธรรมปฏิบัติ)

ขอย้อนเล่าถึง เรื่องในตอนดึกของวันเสาร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ และอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๑.๐๐ น. คณะสนทนาธรรมได้ขึ้นไปชั้นบนของศาลา ๑๒ ไร่ ด้านทิศใต้ เพื่อดูดาวประกายพรึก วันนี้ดาวลอยอยู่ต่ำมาก คือสูงกว่าพื้นดินเล็กน้อยในแนวคลอง มองเห็นแสงไฟจากบ้านคนที่อยู่ใกล้ๆ ชัดเจน ผมขอบารมีพระเพื่อให้เห็นภาพใกล้ๆ ปรากฏว่าดาวเหล่านั้น (มีอยู่หลายดวง)

ลอยเข้ามาหาแล้วมาหยุดอยู่ใกล้ๆ ขนาดเอามือเอื้อมถึง ยังความประหลาดใจให้กับคณะสนทนาธรรมเป็นอย่างมาก ในคืนนั้นมีสาวน้อยเมืองนนท์อยู่ด้วย ส่วนใหญ่เป็นพวกชาว จ.นครสวรรค์ บางคนพยายามเอื้อมมือออกไปพยายามจะจับดาวประกายพรึกนั้น แต่ดาวก็ถอยออกห่างทันที พวกเราสนุกสนานและเป็นสุขมาก ที่ได้เห็นดวงจิตของพระอรหันต์ (พระท่านเมตตาบอก)

แต่ไม่เห็นอทิสมานกายของท่าน ซึ่งท่านจะให้เราเห็นก็ได้ ไม่ให้เห็นก็ได้สุดแต่ท่าน คณะสนทนาธรรมในช่วง ๑.๐๐ น.ไปแล้วจะเหลือไม่มาก ส่วนใหญ่หลับหรือกลับไปนอนที่ห้องพัก จึงมีจำนวนคนประมาณ ๑๐ กว่าคนเท่านั้น แต่มีอยู่คืนหนึ่ง ผมพาคณะขึ้นไปดูก่อน ๒๔.๐๐ น. มีคนตามขึ้นไปกว่า ๓๐ คน ผมก็แนะนำให้ทุกคนนึกขอขมาพระรัตนตรัยก่อนแล้วขอบารมีพระ ดาวที่ส่องระยิบระยับอยู่ไกลๆ ก็จะเคลื่อนเข้ามาหาผู้นั้นเอง

บางคนเล่าว่าท่านวิ่งเข้ามาหาเร็วมาก จนนึกกลัวว่าจะมาชนเรา ต้องถอยหนีก็มี ข่าวนี้กระจายไปทั่วศาลา ๑๒ ไร่ มีชาวบ้านและนักบวชที่มาจากวัดอื่นๆ ตามขึ้นมาดู อยู่ข้างหลังเราเป็นกลุ่มใหญ่ ได้ยินเสียงเขาคุยกันว่ายืนดูอะไรกัน ไม่เห็นจะมีอะไรสักหน่อย แล้วก็พากันกลับหมด ผมกำหนดจิตถามพระ ทรงตรัสว่า พวกเหล่านี้ศีลไม่บริสุทธิ์ ทำให้จิตไม่บริสุทธิ์ จึงไม่เห็นอะไร

ที่มีดาวมากดวง เพราะพระเหล่านั้นท่านลงมาปักแนวเขตของวัดท่าซุง ซึ่งจะขยายออกไปในอนาคต ซึ่งขยายออกไปถึงแนวคลอง ท่านเมตตาทำนิมิต (พุทธนิมิต ธัมมนิมิต และสังฆนิมิต) ให้เห็นชัดเจนด้วยตาเนื้อ ผมไม่ได้เห็นคนเดียว แต่เห็นได้ทั้งกลุ่ม มีรายละเอียดอยู่มากจึงของดไว้ ตอนหัวค่ำคืนวันนี้ เด็กชายอายุ ๕ ปี หลานคุณเหลี่ยม จ.นนทบุรี ซึ่งชอบดูดาวกับเขาด้วย

(หมายถึงดาวพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน กับดาวหลวงพ่อซึ่งลอยอยู่เหนือเขตของวัดในแนวที่ขึ้นจากศาลาพระ ๔ องค์ ในปัจจุบันเรียกศาลาพระ ๕ องค์ และค่อยๆ เคลื่อนมาเขตวัดใหม่ เคลื่อนไปหาศาลา ๑๒ ไร่ แล้วก็ค่อยๆ ห่างไปตามโลกหมุน) ปกติคนไม่ค่อยจะสนใจเด็ก วันนี้พระท่านสั่งให้ผมพาเด็ก ๕ ขวบมานั่งกลางวงสนทนาธรรม แล้วผมเป็นคนถามเด็กว่า วันนี้หนูเห็นอะไรบนท้องฟ้า

เด็กพูดดังฟังชัดว่า “เห็นพระบินมาในอากาศ” พอมาถึงดาวก็หายเข้าไปในดาว พระก็กลายเป็นดาว เด็กเล่าอย่างภูมิใจ พูดวนไปวนมาอยู่แคนั้น เพราะสนุกกับภาพที่ตนเห็นด้วยตา พระบินมาแล้วก็บินไป แล้วก็กลายเป็นดาว ทำมือทำไม้ประกอบคำพูด ทุกคนต่างนิ่งฟังเด็กพูด ผมถามเด็กว่า พระที่เห็นนั้นจำหน้าท่านได้ไหม เด็กตอบว่าจำได้ซิ

ผมชี้ให้เด็กดูภาพขนาดใหญ่ของหลวงพ่อที่นั่งอยู่ข้างพระประธาน องค์นี้หรือเปล่า เด็กก็ยืนยันว่า พระองค์นี้แหละๆ เล่นเอาคนที่กำลังฟังขนลุก บางคนก็อุทานออกมาตามอุปาทานของตน และแย่งกันถามเด็ก เด็กก็ตอบวนเวียนอยู่อย่างเดิม แล้วถามท้ายว่า ท่านถือไม้เท้าด้วย (ผมไม่ได้ถามนำแต่อย่างใด เด็กพูดออกมาเอง) ขอจบสั้นๆ เรื่องพระบินมาในอากาศ ความจริงเด็ก ๕ ขวบนี้ เห็นอะไรๆ แปลกๆ ที่พวกเราส่วนใหญ่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ไม่เห็น แต่พระท่านห้ามเล่า จึงขอหยุดไว้แค่นี้

เด็ก ๕ ขวบจาก จ.นนทบุรี กับเด็กชาย ๙ ขวบจาก จ.นครสวรรค์ ๒ คนนี้พระท่านบอกว่า เคยได้อภิญญาโลกีย์มาก่อนในอดีต จึงรู้เรื่องในอดีตได้ดี มีทิพยจักษุญาณ ผู้คนจึงหันมาสนใจเรื่องฤทธิ์ของเด็ก ๒ คน ไม่สนใจพระธรรม ให้คุณหมอระวังจุดนี้ด้วย จักมีผลเสียแก่เด็กทั้ง ๒ คนในภายหลัง (ทรงหมายถึง อย่าให้ผมสนับสนุนเด็ก ๒ คนนี้มากเกินไปจนเกินพอดี)

ก่อนจะจบเรื่องเด็ก ๒ คนนี้ ขอแถมอีกนิดว่า เด็กชายอายุ ๕ ปีนี้ ฟังพระอภิธรรมแค่ครั้งเดียวก็สวดตามพระได้ โดยไม่ผิดแม้แต่คำเดียว จัดเป็นบุญเก่าของเด็กในอดีตชาติ ก็ขอจบไว้แค่นี้ เพราะผู้อ่านส่วนใหญ่ก็ยังติดฤทธิ์ สนใจเรื่องฤทธิ์มากกว่าพระธรรม ซึ่งเป็นตัวตัดกิเลสได้โดยตรง นำจิตให้พ้นทุกข์ได้โดยตรง แต่ส่วนใหญ่กลับไม่สนใจเท่าที่ควร สรุปว่า สนใจธัมเมามากกว่าธัมโม

(ธัมเมา หมายความว่า ชอบสนใจแต่สิ่งที่อยู่นอกตัว ชอบส่งจิตออกนอกตัว ชอบสนใจแต่เรื่องไร้สาระ เรื่องที่เป็นสาระไม่ค่อยสนใจ ชอบยุ่งกับจริยาของผู้อื่น ชอบยุ่งกับกรรมของผู้อื่น ชอบหรือยึดติดอดีตธรรม ชอบปรุงแต่งอารมณ์จิตไปหาอนาคตธรรม ไม่ยอมอยู่ในปัจจุบันธรรม เป็นต้น จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งมีโทษสูงมากในพระพุทธศาสนา ส่วน

ธัมโม ก็คือ อารมณ์ตรงข้ามกับธัมเมา พยายามให้จิตอยู่กับกาย อยู่กับจิตของตนเอง ไม่ไปยุ่งกับกายผู้อื่น จิตผู้อื่น ให้จิตอยู่กับธรรมปัจจุบันตลอดเวลา ไม่เกาะอดีตธรรม ไม่ฟุ้งไปหาอนาคตธรรม ในทางปฏิบัติแบบเบาๆ ง่ายๆ ก็คือ อย่าทิ้งอานาปาเป็นอันขาด จิตอยู่กับสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนาตลอด

โดยเฉพาะมรณานุสสติควบกับอุปสมานุสสติ และกายคตานุสสติควบอสุภกรรมฐาน หากทำไม่ได้เพราะหนักเกินไป ก็เอาแค่อานาปา + ภาวนา พุท-โธ หรือภาวนาคาถาเงินล้านตลอด ก็จัดเป็นธรรมปัจจุบันทั้งสิ้น) พระธรรมที่ทรงพระเมตตาสอนระหว่างช่วงดึก (ระหว่าง ๑.๐๐ – ๔.๐๐ น.) ขณะจงกรมพอสรุปได้ดังนี้

๑. “กิเลสเป็นตัวต่อกรรม แต่ปัญญาเป็นตัวตัดกรรม หากต้องการจะไปพระนิพพานต้องตัดกรรม ไม่ใช่ต่อกรรม” (หมายความว่า ให้จิตอยู่กับธัมโม ซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ อย่าอยู่กับธัมเมา ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ)

๒. “คนมีกิเลส กิเลสมันก็เป็นนาย สั่งการให้ต่อกรรม ติดกรรม ตำหนิกรรมของผู้อื่นอยู่ทุกๆ วัน เพื่อหวังให้จิตติดชาติ ติดภพ ติดกรรมที่ตนเป็นผู้สร้างไว้ ทำไว้เองทั้งสิ้น จึงวนเวียนอยู่ในวัฏจักรอย่างหาที่สุดมิได้ ผู้มีปัญญาเท่านั้น ท่านรู้โดยหยุดจิตตนเองไม่ให้ต่อกรรม ก่อกรรมขึ้นอีก แล้วหาวิธีตัดกรรมให้หมดไปได้ในที่สุดด้วยปัญญา”

๓. ท่านผู้หนึ่ง ท่านกำลังจงกรมอยู่ เกิดปวดท้องฉี่ ก็นึกว่า แหม ถ้าเอาใจไปฉี่ได้ก็จะดี “หลวงพ่อท่านก็มาเคาะกระบาลผู้นั้น แล้วสอนว่า “ไอ้ขี้หมา ทุกข์ของกาย ใจมันแก้ได้หรือ ให้มันรู้เสียบ้างว่า ทุกข์ของกายฝืนไม่ได้ ทุกข์ของใจฝืนได้ ใจมันฉี่แทนได้รึ” ทุกข์กายแก้ที่กาย ทุกข์ใจแก้ที่ใจ มัวแต่คิดบ้าๆ ก็เลยเอาดีไม่ได้สักที

อังคารที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๕ (คืนที่ ๑๗ ที่อยู่เฝ้าตลอดคืน) ขออนุญาตเอาเรื่องทางโลกมาเล่าให้ฟังสัก ๑ เรื่อง โดยไม่มีเจตนาตำหนิกรรมของท่าน เพราะเรื่องนี้คิดได้ทั้งเป็นทางโลกและทางธรรม สุดแต่ปัญญาของแต่ละคน คุณเหลี่ยม (เมืองนนท์ฯ) เกาหัวแต่ไม่หายคัน ความโดยย่อว่า

ขณะนอนอยู่ในห้องที่พัก ซึ่งมีคนมาพักกันมาก จึงต้องนอนชิดๆ กัน ขนาดต้องเอาหัวชนกัน จึงจะนอนได้พอดี คืนนั้นเธอนอนไม่ค่อยหลับ เพราะคนมาก รู้สึกคันหัว ก็ยกมือขึ้นเกาหัวตรงที่คัน แต่เกาเท่าไหร่ๆ มันก็ไม่หายคันสักที (ง่วงก็ง่วง คันก็คัน) จึงชักสงสัยว่าเพราะอะไร เลยตะแคงดูมือตนเองที่กำลังเกาหัวอยู่ ปรากกว่ามันไม่ใช่หัวกูนี่หว่า

มันกลายเป็นหัวคนอื่น มิน่า เกาเท่าไหร่มันถึงไม่หายคันสักที ในทางโลกมันก็น่าขำเป็นธรรมดา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา แต่ผู้มีปัญญาท่านฟังแล้ว ท่านเอาธรรมทางโลก อันเป็นธรรมภายนอกนั้นมาพิจารณาให้เป็นธรรมพ้นโลก หรือเป็นธรรมภายในได้หมด

(เอาทุกสิ่งที่มากระทบทางอายตนะทั้งหก ประตูทั้งหก ทวารทั้งหก คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มาพิจารณาด้วยปัญญาเป็นพระกรรมฐานได้หมด ทางโลกเขาพูดว่า เอายิกๆ ๆ มาเป็นโอกาส) เช่น พิจารณาเข้าสู่อริยสัจ กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ หากเราหาต้นเหตุแห่งกรรมนั้นไม่พบ เราก็แก้กรรม หรือแก้ปัญหานั้นไม่ได้ เป็นต้น

พุธที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๓๕ คืนวันนี้ ตำรวจ-ทหารช่วยกันจับขโมยได้ ๑ คน ที่พระจุฬามณี เวลา ๒๒.๐๐ น. แต่งตัวเป็นเพศหญิง มีบัตรประจำตัวเป็นนางสาว แต่รูปร่าง ท่าทาง การเดินเหมือนผู้ชาย ดัดเสียงให้เป็นผู้หญิง จึงให้นักสืบชื่อเหลี่ยม (สาวน้อยเมืองนนท์) ไปตรวจค้นตัว พบว่าแกไม่มีนม ให้ตรวจครั้งที่ ๒ ในห้องน้ำ เพื่อดูเพศ ผลเป็นตัวผู้

ไม่ใช่ตัวเมียตามที่คิดไว้ ขโมยคนนี้ปีนรั้วด้านหน้าเข้ามางัดตู้บริจาคเงินที่พระจุฬามณี ตำรวจ-ทหารจึงซุ่มรอเวลา พอใกล้ ๔ ทุ่มก็เข้ามางัดตู้บริจาคเงิน พวกทหารหนุ่มวิ่งตามจับกันหลายคนยังไม่ทัน ไวเหมือนลิง ต้องยิงขู่จึงจะจับได้ พอจับมาสอบสวนที่ ๑๒ ไร่ เธอร้องไห้เสียงดังมาก จนคิดว่าน้ำตาคงไหลออกมาสัก ๑ ขัน จึงให้คณะของเราไปดู

ผลปรากฏว่าไม่มีน้ำตาเลยแม้แต่หยดเดียว เอาเป็นว่าเป็นกฎของกรรมตามที่พระท่านบอก อาจารย์อนงค์ ท่านเมตตาอบรมให้เป็นชั่วโมงตัวต่อตัว (ไม่ใช่ ๒ ต่อ๒ ซึ่งกลายเป็น ๔ คนไป) แล้วก็ปล่อยตัวไป ตอนดึกคืนนั้นมีนิมิตให้เห็นหลายอย่างเกี่ยวกับหลวงพ่อ แต่พระไม่ให้เปิดเผย ส่วนธรรมะที่สอนบางตอนมีดังนี้

๑. “จงอย่าเก็บความเลวของบุคคลอื่นไว้ในจิต (เกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนหัวค่ำ) เพราะความเลวของตนยังต้องเพียรละอยู่ ขอให้เคารพกฎของกรรมให้มากๆ”
๒. “การไปพระนิพพาน พึงละที่ความเลว ประกอบแต่ความดี แต่ไม่ติดดี จึงจักไปพระนิพพานได้”
๓. “วันและกาลเวลานั้นเป็นสิ่งสมมติในโลกทั้ง ๓ และอบายภูมิ ๔ ซึ่งล้วนติดความสมมติแห่งวันและเวลาทั้งสิ้น ขอให้พวกเจ้าจงมีความภูมิใจในหน้าที่นี้เถิด จิตจักได้มีพลังต่อสู้

อดทนกับอุปสรรคใดๆ ทั้งปวง มุ่งมั่นกอบกิจนี้ด้วยความเพียร เพื่อพระพุทธศาสนาอันที่จักได้ดำรงสืบไป” ในคืนวันพุธนี้ หลวงพ่อท่านมาปรากฏให้เห็นเป็นองค์พระสงฆ์ ที่ด้านหลัง (ทิศใต้) ศาลา ๑๒ ไร่ คณะสนทนาธรรมประมาณ ๒๐ คน ต่างก็เห็นทั่วกันทุกคนด้วยตาเนื้อ หลวงพ่อมาพร้อมกับสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธาน สมเด็จองค์ปัจจุบัน พรหม เทวดา นางฟ้า ชั้นต่างๆ ลงมาเป็นสาย สีสวยมาก แดง เขียว ขาว เหลือง เป็นสาย

ทุกคนตื่นเต้นเป็นสุขมากที่พระท่านเมตตาให้เห็น บุคคลใดจิตถึงและเข้าใจธรรม เรื่องพุทโธอัปปมาโณ ธัมโมอัปปมาโณ สังโฆอัปปมาโณ แล้วก็จะไม่สงสัยในธรรมที่ผมเล่าให้ฟัง (เขียน) นี้ แต่จิตผู้ใดยังไม่ถึงก็ย่อมสงสัยเป็นธรรมดา จึงขอเล่าไว้สั้นๆ แค่นี้

อังคารที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๓๕ (คืนที่ ๒๔ ที่อยู่ตลอดคืน) ความหนาวเย็นของอากาศในหน้าหนาวปกคลุมศาลา ๑๒ ไร่เต็มที่ ตอนหัวค่ำมีฆราวาส พระ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร ต่างพร้อมใจกันมาเฝ้าหลวงพ่อ พอ ๒๒.๐๐ น. คนก็ซาไปมากจนบางตา (คงจะทนความหนาวไม่ไหว) พอ ๒๓.๐๐ น. ถึง ๒๔.๐๐ น. ก็ทยอยกันนอนเฝ้า ถึง ๒.๐๐ น. เหลือ ๔ – ๕ คน

ทุกคนพยายามเฝ้าตลอดคืน แม้จะหนาวเย็นสักแค่ไหนก็ตาม ใช้อิริยาบถ ๔ กันเป็นหลักปฏิบัติ ผมขอเล่าเฉพาะในส่วนของผม ผมยกเอาภาพถ่ายที่ได้รับรางวัลที่ ๑ ของกรมตำรวจมาคิดพิจารณาเป็นกรรมฐาน จิตเห็นนิมิตภาพนั้น เป็นรูปถนนราชดำเนินอันกว้างใหญ่ ยาวสุดสายตา ในเวลากลางคืนตอนดึกๆ มีตำรวจยืนอยู่แต่เพียงผู้เดียว คำบรรยายใต้ภาพเขียนไว้ว่า

“ยามเอ๋ยยามนี้ คงจะมีแต่เราเฝ้าถนน” จิตก็น้อมธรรมนั้นเข้ามาเป็นธรรมภายในว่า “ยามเอ๋ยยามนี้ คงจะมีแต่พวกเราเฝ้าหลวงพ่อ” ขณะที่จงกรมไปถึงรูปหลวงพ่อที่นั่งอยู่ก็หยุด เอาจิตไปกราบท่าน ท่านก็ยิ้มให้เห็นด้วยความเมตตา เมื่อผมเดินไปด้านซ้าย สายตาท่านก็มองตาม ผมเดินมาด้านขวา ท่านก็มองตาม เรียกว่าผมไม่คลาดสายตาของท่านเลยตลอดเวลา แม้จะเดินออกห่างจากรูปท่าน

ไม่ว่าจะอยู่จุดใดในบริเวณศาลา ๑๒ ไร่ ก็ยังอยู่ในสายตาของหลวงพ่อ ผมจึงเอาข้อสังเกตนี้ไปเล่าให้เพื่อนๆ ที่อยู่เฝ้าหลวงพ่อในยามดึกฟัง แล้วให้ทดลองใช้อุบายนี้ดู จะทำให้จิตเราโปร่งเบาและไม่ง่วงนอน เมื่อทุกคนนำไปใช้ก็ได้ผล พระท่านทรงเมตตามาสอนว่า เวลาจงกรมให้ขอบารมีพระ ขอบารมีหลวงพ่อให้ครอบคลุมกาย วาจา และใจของเรา

ให้อยู่ในสัมมาทิฏฐิ (สัมมาปฏิบัติจักได้เกิดกับเรา) ให้นิมิตเห็นองค์หลวงพ่อเป็นรูปพระสงฆ์เดินอยู่ข้างหน้าเรา แล้วการปฏิบัติของเราจะก้าวหน้าไปด้วยดี ทำไมจึงต้องเฝ้าหลวงพ่อ หรือเฝ้าทำไม คือปัญหาที่บุคคลบางกลุ่มสงสัยและถูกวิจารณ์หนัก ซึ่งเป็นจุดที่พระท่านมาสอนในระหว่างจงกรมในตอนดึก

ธรรมที่ทรงเมตตาแนะนำนั้นมีอยู่มาก จึงขอเล่าแค่หัวข้อ ดังนี้
๑. ให้เห็นทุกข์จากการเกิดมีร่างกาย หรือสัจธรรม ๕ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)
๒. เรื่องนัตถิโลเก อนินทิโต ไม่มีใครในโลกที่จะเว้นจากการถูกนินทา
๓. ให้เห็นกฎของกรรมโดยละเอียด ว่ากรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ หากเราไม่เคยทำกรรมเหล่านี้ไว้ในอดีต วิบากกรรมหรือเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขั้นกับเรานั้นเป็นไปไม่ได้ จึงให้ทุกคนเคารพในกฎของกรรม ซึ่งจัดเป็นอริยสัจขั้นสูง

๔. ที่ว่ามีดวงตาเห็นธรรมนั้น เขาเห็นกันอย่างไร เห็นกันตรงไหน
๕. ให้ยอมแพ้ความชั่ว หรือความเลวของผู้อื่น เพื่อที่จะได้ชนะความชั่วหรือความเลวของตนเอง หรือกล่าวสั้นๆ ว่า แพ้เพื่อที่จะชนะ ซึ่งรัชการที่ ๙ ทรงรับสั่งกับทูตเกาหลีว่า “เรายอมขาดทุน เพื่อที่จะได้กำไร” ล้วนเป็นธรรมอันเดียวกัน
๖. “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” และ “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

๗. “ตถาคตตรัสสิ่งใดแล้วไม่เคยคืนคำ ไม่จริงตถาคตไม่ตรัส”
๘. ทรงเน้นเรื่องความไม่ประมาทในความตาย ไม่ประมาทในธรรมปฏิบัติ โดยเฉพาะประมาทกิเลส แม้แต่กิเลสเล็กๆ น้อยๆ (เกลียดอย่างยิ่ง คือเพศตรงข้าม หากต้องการจะตัดราคะ กลัวอย่างยิ่ง เรื่องความผิดเล็กๆ น้อยๆ เพราะของใหญ่ย่อมเกิดจากของเล็กก่อนเสมอ

หากจิตชินต่อกรรมชั่ววันละเล็กวันละน้อย ที่สุดจิตจะชินต่อการทำชั่ว กลายเป็นฌานในมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งแก้ยากมาก ระวังอย่างยิ่ง เรื่องอายตนะหก ประตูทั้งหก ทวารทั้งหก ให้ระวังประตูจิต หรือประตูใจเป็นสำคัญ ตลอดเวลาเป็นอกาลิโก ตบะอย่างยิ่ง หรือให้มีความเพียรอย่างยิ่งในการเผากิเลส

ทำลายกิเลส ละกิเลส ที่ยังมีอยู่ในจิตของตน ด้วยความไม่ประมาท ให้ใช้อิทธิบาท ๔ แบบตอนที่พวกเธอเพียรรักษาศีล จนกระทั่งศีลรักษาเธอ ไม่ให้กระทำผิดศีลอีก ศีลเข้าถึงใจ กลายเป็นสีลานุสสติ จิตเกิดอัตโนมัติเองในการไม่กระทำผิดศีลอีกต่อไปตลอดชีวิต)

๙. อุปสรรคใดๆ ที่เกิดกับพวกเธอ เธอจงเอาอุปสรรคเหล่านั้นมาคิดพิจารณาให้เป็นพระกรรมฐาน ให้เกิดประโยชน์กับจิตของเธอเอง โดยจงอย่าทิ้งอริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา เพราะ “พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต่างก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยอริยสัจ และพระสาวกของตถาคตทุกๆ องค์ ต่างก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยอริยสัจทั้งสิ้น มีทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี”

๑๐. ขอยกตัวอย่างรายละเอียดสัก ๑ เรื่อง “....ขณะนี้เรารบกับอารมณ์ปฏิฆะโดยตรง ถ้าเราไม่พอใจบุคคลเหล่านี้ เท่ากับเราสอบตกในอารมณ์โทสจริต บุคคลเหล่านี้มาตามกรรมทั้งสิ้น เป็นครูทดสอบอารมณ์โทสะของเรา... ตถาคตสอนให้ละมิใช่ยึดอารมณ์โมหะ โทสะ ราคะ เพราะฉะนั้นผู้จะเข้าถึงพระพุทธศาสนาจิตย่อมเข้าถึงหรือเต็มไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

เมื่อมีศีลจะฆ่าเขาก็ไม่ได้ เมื่อมีสมาธิตั้งมั่น ก็โกรธหรือรักเขาไม่ได้ มีแต่ความกรุณาสงสารในความหลงผิดที่เขาเป็นไป เมื่อมีปัญญาตั้งมั่นอริยสาวกของตถาคตก็จักไม่หลงไปในกฎของกรรมอีก การกระทำใดๆ อันไม่มีอารมณ์หลง โกรธ โลภเข้ามาครอบงำ อันนั้นเรียกว่าเป็นการตัดกรรมนั่นเอง”

ศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๕ ระหว่างนี้การปฏิบัติธรรมของพวกเรา มักมีอุปสรรคเสมอ ทำให้พวกเราบางคนรู้สึกหนักใจ พระท่านทรงเมตตาตรัสสอนว่า
๑. “ธรรมของตถาคตมีแต่ปัจจุบัน มีเหตุจึงจักมีผล ผ่านไปแล้วก็ยังไม่ใช่ ยังไม่เกิดก็ไม่ใช่ ขอให้พวกเจ้าอย่าได้หวั่นไหวเถิด (หมายความว่า ให้ระวังจิตอย่าให้หวั่นไหวไปในอดีตที่ผ่านแล้ว และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ให้อยู่แต่ในธรรมปัจจุบัน)”\

๒. “พวกเจ้าจงรบอยู่แต่ในธรรมปัจจุบัน จะยังอารมณ์จิตให้คลายจากความวิตกกังวล กองทัพธรรมของพวกเจ้ามีตถาคตเป็นหัวหน้า จงมาพิสูจน์กันว่า ธรรมะจะชนะอธรรมได้หรือไม่ เป็นโอกาสแล้วที่จักพิสูจน์ความไม่กลัวตาย รบแค่สู้ตาย เพื่อมอบกายถวายชีวิตยังพระนิพพานจุดเดียว จงอย่ามีอารมณ์ มองกฎของกรรมให้ปรากฏ แพ้หรือชนะไม่มี มีแต่กฎของกรรม”

๓. “อนึ่ง จงดูการหวั่นไหวไปในโลกธรรมทั้งมวลของโลกียชน ไม่ว่าในหมู่ฆราวาสหรือนักบวช ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้นเยี่ยงไร เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เกิดขึ้นอย่างไร นี่คืออริยสัจ ควรที่จักศึกษาเอาไว้ จักได้ยอมรับกฎของกรรมทั้งปวง พวกเจ้าต้องการพ้นโลกธรรม ก็ต้องรู้จักโลกธรรม

เห็นทุกข์ในการถูกรุกราน ทางกาย วาจา ใจ จึงจักพ้นโลกธรรม พ้นสภาวะโลกียชนได้ ดูวามเกิดขึ้น ดูความเสื่อมไปของโลกธรรม ๘ ประการ ประเดี๋ยวสมหวัง ประเดี๋ยวผิดหวัง หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ ต่างกับความเป็นพระอริยเจ้า เป็นแล้วใครจักมาตั้งหรือปลดออกก็ไม่ได้ พวกเจ้าควรจักปรารถนาอันนี้ต่างหาก”

๔. “ข้าศึกแห่งพระพุทธศาสนา ก็ดุจข้าศึกที่ท้าทายในมรรคาทั้งปวง การต่อสู้สัประยุทธ์ครั้งนี้ จงเล็งเห็นประโยชน์เถิด ยิ่งถูกกระทุ้งมากเท่าไร ก็จักได้ดูอารมณ์จิตของเราว่าพร้อมแค่ไหน ในการให้อภัยทาน ตรวจสอบอารมณ์โกรธ โลภ หลง ยังมีอยู่สักเท่าใด ถ้าพวกเจ้าชนะด่านนี้ได้เมื่อไหร่ หมายถึงอารมณ์จิตของพวกเจ้าพร้อม ขอให้พ้นภัยตัวเอง”


เสาร์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๕ ครบ ๕๐ วันงานหลวงพ่อ สมด็จพุฒาจารณ์ วัดสระเกศ เป็นประธาน ท่านเทศน์ ๑ กัณฑ์ ท่านยกย่องหลวงพ่อเป็นอย่างมาก เกี่ยวกับผลงานในพระพุทธศาสนา มีรายละเอียดทั้งในเทป และในธัมมวิโมกข์ โปรดช่วยตนเอง ขอสรุปธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเมตตาสอนในระหว่าง ๕๐ วันแรก เท่าที่ผมเห็นว่าควรจะมีประโยชน์กับผู้อ่าน ดังนี้

๑. ทรงเน้นเรื่องการตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกเป็นสำคัญ ด้วยอุบายต่างๆ เพื่อปิดนรกให้ได้เร็วที่สุด เพราะความตายเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ไม่ขอเขียนรายละเอียด
๒. สังโยชน์ ๓ ข้อแรก ทรงเน้นเรื่องศีลเป็นสำคัญ คือ สีลัพพตปรามาส (สีลัพพตปรามาส ซึ่งแปลเอาความหมายทางธรรมว่า รักษาศีลให้บริสุทธิ์จนเป็นอธิศีล)
๓. “มีเหตุจึงจักมีผล” พิจารณาได้หลายระดับ หลายวิธี ตามบารมีธรรมของแต่ละคน ซึ่งไม่เสมอกัน เช่น

๓.๑ ศีลเป็นรากฐานหรือเป็นพื้นฐานของพระธรรม ผู้ใดไม่มีศีลอยู่กับจิต จิตผู้นั้นก็ไม่สามารถจะรองรับพระธรรมในพระพุทธศาสนาได้ตามความเป็นจริง
๓.๒ ศีลบริสุทธิ์เป็นเหตุ จึงมีผลทำให้จิตบริสุทธิ์ หรือ อธิศีลเป็นเหตุ มีผลให้เกิดอธิจิต อธิจิตเป็นเหตุ มีผลให้เกิด อธิปัญญา ตามลำดับ หรือศีลบริสุทธิ์เพียงใด จิตก็บริสุทธิ์เพียงนั้น

จิตบริสุทธิ์เพียงใด ก็เกิดปัญญาในการตัดกิเลสได้มากเพียงนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นธรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน แยกกันไม่ได้ในการปฏิบัติ จำเป็นต้องปฏิบัติไปพร้อมๆ กันตั้งแต่ต้นเข้ามาในพระพุทธศาสนา จนกระทั่งจบกิจ จิตดวงนั้นก็มีอัตโนมัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญาตลอดเวลา เป็นอกาลิโก

ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมาจากอริยมรรค ๘ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติเพื่อตัดกิเลสให้ขาดหรือตายได้อย่างถาวร เป็นข้อปฏิบัติในอริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นตัวปัญญาสูงสุดในพระพุทธศาสนา และมีแต่ในพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นๆ ไม่มี

๓.๓ ศีลจะขาดได้ต้องประกอบด้วยองค์ ๓ คือ
ก) มีเจตนาที่จะทำชั่ว
ข) ทำตามเจตนาที่ตนคิดชั่วไว้
ค) ทำแล้วก็สมตามเจตนา หากมีกรรม (การกระทำ)
ครบ ๓ ข้อนี้ ศีลขาด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

หากเพียงแค่คิดชั่ว แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ ศีลก็ยังไม่ขาด แต่ ศีลก็ด่าง เป็นความชั่วระดับมโนกรรม หากลงมือกระทำชั่วตามที่คิด แต่ไม่สำเร็จตามที่คิด ศีลก็ยังไม่ขาด ศีลทะลุเป็นรูๆ ยังไม่ถึงขาด เช่น วางแผนคิดจะโกหกเขา โดยเจตนาเพื่อเอาประโยชน์ใส่ตน แล้วก็ทำตามแผนคือ พูดโกหก พูดไม่ตรงกับความเป็นจริง เพื่อหวังผลประโยชน์ให้ตัวเอง

แต่บังเอิญผู้รับฟังไม่เชื่อ ศีลก็ยังไม่ขาด แต่ทะลุเป็นรูแล้ว เป็นความชั่วขั้นวจีกรรม โดยมีมโนกรรมเป็นหัวหน้า ขอให้ผู้อ่านเอาไปคิดพิจารณาต่อเอง ปัญญาจึงจะเกิดขึ้นจริงๆ หมายความว่าจริงที่เรา จริงที่ผลของการปฏิบัติของเราเองเท่านั้น การพูด การสนทนาธรรม

การอ่านหนังสือธรรมะมากๆ ยังไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงแค่แนวทาง เป็นแค่หนทางของการปฏิบัติเท่านั้น ของจริงอยู่ที่ผล ซึ่งไม่สามารถจะทำแทนกันได้ โมทนากันไม่ได้ ของใครก็ของมัน หรือกรรมใดกรรมมันทั้งสิ้น

๓.๔ พระโสดาบัน ท่านตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกได้แล้ว ความสำคัญอยู่ที่ศีล แต่ศีลก็ยังแยกออกเป็น ๓ ระดับคือ ศีลไม่ขาด แต่จิตยังหยาบอยู่เป็นเหตุ มีผลทำให้ต้องมาเกิดอีก ๗ ชาติ ศีลไม่ขาด แต่วจีกรรมยังไม่สมบูรณ์เป็นเหตุ มีผลทำให้ต้องมาเกิดอีก ๑ ชาติ สรุปในข้อนี้ก็คือ จะต้องใช้กรรมบถ ๑๐ เป็นหลักในการปฏิบัติร่วมด้วย

จึงจะทำให้ศีลบริสุทธิ์ขึ้น (กรรมบถ ๑๐ แบ่งเป็น ๓ หมวด มีกายกรรม ๓ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม วจีกรรม ๔ มีไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเรื่องไร้สาระ มโนกรรม ๓ มี ไม่คิดอยากได้ของผู้อื่นโดยมิชอบ ไม่คิดประทุษร้ายผู้อื่น ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า)

ในข้อนี้ทรงตรัสไว้ย่อๆ มีความว่า “ไม่ทำ ไม่พูด ไม่คิด (ชั่ว)” หมายความว่า ไม่เอากายไปทำชั่ว ๕ ประการ ก็คือ ศีล ๕ นั่นเอง ไม่พูดก็คือระวังกรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ นั่นเอง ไม่คิดก็คือระวังมโนกรรม ๓ เกี่ยวกับอารมณ์โลภ โกรธ หลง นั่นเอง ขอยกตัวอย่างเช่น ก.เราจะมาวัดท่าซุง และนอนค้างอยู่ที่วัดสัก ๒ – ๓ คืน ก่อนจะมาปากสั่งเด็กที่บ้านว่า ฉันจะไปค้างวัดสัก ๒ คืน

เธออยู่ทางนี้ทำความสะอาดห้องฉันให้ดี ยุง มด แมลงสาป เธอจัดการให้เรียบร้อยนะ ตนเองมิได้ทำบาปทำชั่ว แต่ปากไม่ดี สั่งผู้อื่นให้เขากระทำผิดศีลเพื่อเรา หรือแทนเรา เรื่องวจีกรรมนี้ละเอียดมาก ผมขอเขียนไว้แต่ตัวอย่าง โปรดช่วยตนเองในการปฏิบัติ ข.เราจะมาค้างสัก ๒ คืน แต่มิได้สั่งเด็กให้ทำความสะอาดห้องนอน พอเรากลับจากวัดเด็กรายงานว่า ตอนที่คุณไปค้างวัด

หนูทำความสะอาดห้อง พบยุง มด แมลงสาปมากมาย หนูเลยจัดการเสียเรียบร้อยแล้วค่ะ เราก็ตอบว่า เออ ดีๆ เอาไป ๒๐ บาทเป็นรางวัลเด็ก ผลของกรรมก็คือ จิตเรายินดีด้วยกับการกระทำผิดศีลของเด็กโดยตรง คือเท่ากับเราไปโมทนาบาปของเด็กที่กระทำผิดศีลข้อที่ ๑ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะจิตของเรายังหยาบเกินไป ดังนั้นศีลจะละเอียดขึ้นจึงอยู่ที่กรรม หรือการกระทำของเราเองเป็นเหตุ

ระดับแรก เราต้องไม่กระทำผิดศีลด้วยตัวเราเอง
ระดับสอง เราต้องไม่พูด ไม่สั่ง ไม่บอกให้ผู้อื่นกระทำผิดศีล
ระดับสาม เราต้องไม่ยินดีด้วยเมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัสด้วยใจ ได้อ่าน และรู้แล้วว่าเขาเหล่านั้นกระทำผิดศีล ข้อนี้ปฏิบัติจริงยากมาก

เพราะปกติปุถุชนแม้พระอริยเบื้องต่ำ (พระโสดาบัน – พระสกิทาคามี) ก็ยังมีอารมณ์เผลอได้ แต่เผลอไปไม่นาน หรือเผลอไม่บ่อย ต้นเหตุเพราะท่านยังตัดอารมณ์ ๒ ไม่ได้ขาด ส่วนปุถุชนไม่ต้องพูดถึง เพราะจิตยังหยาบ จึงเผลออยู่เป็นปกติ บางท่านนินทาคนอื่น (ยินดีด้วยในความชั่วของผู้อื่น) ได้หลายๆ ชั่วโมง ครึ่งค่อนวันก็ยังมี เพราะคิดว่าเป็นความดี ก็มันชั่ว มันด่า ก็ต้องด่ามัน แช่งมัน

นินทาว่าร้ายมัน แต่จริงๆ แล้วเราได้ทำร้ายจิตของเราเองตลอดเวลา โดยโหมไฟภายในให้ลุกโพลงตลอดเวลา วงนินทา ปสังสา จึงเป็นวงที่ไม่เห็นการเบียดเบียนตนเอง ทำร้ายตนเอง จุดไฟเผาตนเอง ด้วยโมหจริต และโทสจริตเป็นเหตุ จึงมีผลเป็นการจุดไฟเผาตนเอง ขาดเมตตา ความรักตนเอง ขาดกรุณา ไม่สงสารตัวเอง ขาดมุทิตา จิตแทนที่จะอ่อนโยน กลับกระด้างยิ่งกว่าหินเสียอีก

ส่วนอุเบกขาไม่ต้องพูดถึง เพราะหากไม่มีธรรมตัวแรก (เมตตา) ธรรมะ ๓ ตัวหลังก็ไม่มีด้วย ขอยกเอาพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้เกี่ยวกับศีลและปัญญาว่า “ปัญญาอบรมศีลให้บริสุทธิ์ ศีลอบรมปัญญาให้บริสุทธิ์ ศีลต้องอาศัยปัญญา ปัญญาต้องอาศัยศีล ศีลและปัญญาเป็นของคู่กัน ศีลและปัญญาเท่านั้นเป็นเลิศในโลก”

๔. ทรงตรัสว่า “หากคุณหมอต้องการให้ศีลละเอียด และบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ให้ศึกษาศีลของพระ แต่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามนั้นทุกข้อ ยกเอามาพิจารณาเฉพาะบางข้อ ทีละหมวดๆ แล้วศีลของคุณหมอก็จักละเอียดขึ้น และบริสุทธิ์ขึ้น” ทรงทราบดีว่า ผมมีพระไตรปิฎกเป็นส่วนตัว ๔๕ เล่ม และศึกษามาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๗ แล้ว และต่อมาศึกษาฉบับย่อ

ซึ่งย่อแล้วเหลือแค่ ๑ เล่ม หากสงสัยต้องการทราบรายละเอียดจึงเปิดฉบับใหญ่ ผมก็ปฏิบัติตามพระองค์ท่าน เรื่องนี้ขณะที่หลวงพ่อยังอยู่ ท่านเคยห้ามผมไม่ให้ศึกษาตำรามากนัก ให้หันมาหนักในทางปฏิบัติ ผมจึงวางตำรามาเร่งรัดในการปฏิบัติแทน หากสงสัยจึงเปิดดู และผมอยู่วัดมากกว่าอยู่บ้านในระหว่างนั้น จึงได้ฟังเทปเรื่องพระวินัยทุกวัน เวลา ๑๖.๐๐ น. จึงได้ประโยชน์จากการฟังเป็นอย่างมาก รายละเอียดจะไม่ขอเขียน

๕. ผมศึกษาและปฏิบัติตามข้อ ๔ เป็นเหตุ จึงมีผลทำให้เข้าใจอริยสัจได้ละเอียดขึ้น เข้าใจกฎของกรรมดีขึ้น เคารพในกฎของกรรมมากขึ้นๆ ตามลำดับ และเข้าใจคำตรัสที่เกี่ยวกับศีลว่า
“ศีลเป็นแม่ของพระธรรม ศีลเป็นมารดาของพระพุทธศาสนา ผมหมดสงสัยเพราะผลของการปฏิบัติ” ดังนั้นบุคคลใดที่โกนหัว ห่มผ้าเหลืองแล้วทำพิธีบวชให้ใจเป็นพระ หากใจของบุคคลนั้นไม่ยอมรักษาศีล (พระวินัย)

คือไม่มีเจตนาที่จะงดเว้น ไม่กระทำความชั่ว ๒๒๗ ข้อแล้ว เขาจะบวชนานเท่าไหร่ ใจเขาก็ไม่เป็นพระ ยิ่งบวชนานเท่าไหร่ บัญชีของกรรมชั่วที่ลุงพุฒก็ยิ่งมากขึ้นเพียงนั้น สรุปว่าความเป็นพระนั้นเป็นที่ใจ มิใช่เป็นที่กาย หรือเครื่องแบบ หรือเพศ พระพุทธเจ้าจึงเรียกพวกนี้ว่า นักบวช หรือสมมติสงฆ์
ผมเห็นจะต้องหยุดไว้แค่นี้ เพราะเขียนมามากพอควรแล้ว ได้แค่ ๕๐ วัน

หากร่างกายยังไม่พังก็อาจจะได้เขียนต่อ อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ก่อนจะจบผมขอยกปริศนาธรรม ผมขออนุญาตพระองค์ท่าน ที่ทรงตรัสสอนพวกผมไว้ในวันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๕ ข้อที่ ๔ ประโยคสุดทาย ที่ทรงให้พรกับพวกผมว่า “ขอให้พ้นภัยตัวเอง” เป็นหัวข้อพิจารณาให้เกิดปัญญากับตนเอง (ธัมมวิจยะ) ใครพิจารณาได้ความเป็นธรรมอย่างใด ช่วยกรุณาแนะนำหรือเล่าให้ผมฟังด้วย ขอให้ผู้อ่านทุกท่านจงโชคดี

 ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 14/3/12 at 14:53 [ QUOTE ]


12

ชีวิตเหมือนฝัน: อุทิศไว้ในพระศาสนา


ฌานิศ วงศ์สุวรรณ

คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม ๗๓๐๐๐


ผมรู้จักวัดท่าซุงครั้งแรกเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.๒๕๓๒ จากรายการ “ตามไปดู” ซึ่งได้นำภาพความวิจิตรงดงามอลังการของวิหารแก้วร้อยเมตรมาออกอากาศ ผมเห็นแล้วรู้สึกประทับใจความสวยงามของพระวิหาร ที่เป็นประกายระยิบระยับ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “หากแม้หลวงพ่อฤาษีลิงดำศักดิ์สิทธิ์จริง และผมมีกุศลต้องแก่วัดนี้แล้วไซร้ ขอให้ผมได้ไปที่วัดนี้ด้วย”

จากนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก ติดจะลืมไปเลยเสียด้วย เพราะความรู้สึกที่เป็นเด็กบ้านนอกในขณะนั้น (สุราษฎร์ธานี) การที่จะเดินทางไปถึงนครศรีธรรมราช ก็ออกจะไกลมากแล้ว ไฉนเลยจะพูดถึงอุทัยธานี ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ ปี พ.ศ.๒๕๓๓ ผมมีโอกาสได้ฝึกวิชามโนมยิทธิจากนักเรียน ป.๖ คนหนึ่ง แต่ไม่สำเร็จ ตอนนั้นไม่รู้จักเลยว่าคืออะไร รู้แต่เอาไว้ถอดวิญญาณดูผีดูสาง

กระทั่งจิตเป็นสมาธิลึกเกินไปก็ไม่รู้อีก (ย้อนกลับไปตอนนั้น คาดว่าอารมณ์น่าจะเป็นฌาน ๓ หรือฌาน ๔ ไม่แน่ใจนัก) การสนทนาธรรมหรือสื่อสารเรื่องอื่นใดกับหลวงพ่อในขณะนั้นก็ต้องสนทนาผ่านนักเรียน ป.๖ คนนั้น โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า หลวงพ่อที่เราสนทนาด้วยคือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ที่มีวิหารแก้ว ผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในปีการศึกษานี้เอง

ตอนนั้นได้บนหลวงพ่อว่าขอให้สอบเข้ามัธยมศึกษาตอนปลายได้ แล้วจะบวชให้หลวงพ่อ ๑๕ วัน แต่เมื่อบวชแล้วเกิด “ของขึ้น” จะไม่ยอมสึกเอาดื้อๆ ขณะที่บวชนั้นทำตัวไม่ดีนัก จนแทบจะเรียกได้ว่า “เสียข้าวสุกชาวบ้าน” ในที่สุดเมื่อนักเรียนประถมที่ว่านี้มาบอกว่า “พี่น้อย หลวงพ่อบอกให้สึก ไม่งั้นจะเลวกว่าเดิม สึกแล้วไปหาหลวงพ่อที่วัดด้วย”

ความรู้สึกตอนนั้นมันแปล๊บขึ้นมาทีเดียว คำพูดแทงใจดำของหลวงพ่อ ทำให้ผมรู้สึกว่าหลวงพ่อเตือนแล้ว สึกเสียเถอะ จะว่าไปแล้ว วัดที่ผมบวชก็ไม่ได้เอื้อให้ผมเป็น “คนดี” ขึ้นแม้แต่น้อย ภายหลังคุยกับแม่ แม่กับพ่อยอมลางาน ๑ สัปดาห์ เพื่อพาผมไปหาหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ผมเองก็ต้องลาเรียน ๑ สัปดาห์เช่นเดียวกัน ผมและพ่อแม่ ทั้งพี่สาว เดินทางไปถึงวัดท่าซุงในตอนเย็นวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๔

ก่อนช่วงหลวงพ่อจะเป่ายันต์เกราะเพชรไม่กี่วัน ครอบครัวของผมพักในห้องพักหมายเลข ๑๘ ข้างพระอุโบสถ แล้วได้เข้าพบหลวงพ่อที่ตักรับแขกในวันรุ่งขึ้น ครอบครัวผมนั่งอยู่ฝั่งซ้ายสุดของศาลา (ด้านขวาสุดของหลวงพ่อ) ขณะนั้นทุกคนไม่มั่นใจว่า พวกเราจะมาเสียเวลาเปล่าหรือไม่ ผมเองก็มีความพะวงอยู่ไม่น้อย กลัวว่าการสนทนากับหลวงพ่อผ่านนักเรียนคนนั้นจะเป็นการ “คิดเองเออเอง”

จึงระลึกอยู่ในใจตลอดเวลาว่า “หลวงพ่อ ผมอยู่ที่นี่ ผมมาแล้ว หลวงพ่อให้ผมสึก ผมก็สึกแล้ว ให้ผมมา ผมก็มาแล้ว จะให้ผมมาเสียเวลาเปล่าหรือ” ผมคิดเช่นนี้ตลอดเวลาที่หลวงพ่อกำลังรับสังฆทาน ส่วนหลวงพ่อก็เหมือนได้ยินที่ผมคิด หลวงพ่อเหลือบตามองอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน บางทีรู้สึกว่าหลวงพ่อเหลือบมามองแบบรำคาญเสียด้วย

ไม่รู้หลวงพ่อกำลังคิดว่า “แหม... เรียกอยู่ได้” หรือเปล่า เมื่อหลวงพ่อรับสังฆทานจากญาติโยมทั้งหลายเสร็จแล้ว หลวงพ่อก็หันมาเรียกผมและครอบครัวให้เข้าไปหาหลวงพ่อทันที ทั้งที่มีคนอยู่เต็มศาลาตึกรับแขก แต่หลวงพ่อก็ไม่เหลียวไปจะคุยกับใครที่ไหนก่อนเลย หลวงพ่อถามว่า มาจากไหน ธุระอะไร แม่ก็ตอบคำถามแล้วบอกว่า “เอามายกให้เป็นลูกค่ะ มันดื้อเหลือเกิน ว่ายากสอนยาก”

หลวงพ่อก็หัวเราะแล้วตอบว่า “เลี้ยงมันไปเถอะ” แล้วพรมน้ำมนต์ให้ผม น้ำมนต์ของหลวงพ่อเย็นอย่างอบอุ่น ไม่เหมือนน้ำเย็น ไม่เหมือนน้ำฝน น้ำมนต์นั้นเย็นก็จริง แต่กลับมีความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ จนบัดนี้ผมก็ไม่เคยสัมผัสน้ำหรือน้ำมนต์ที่ไหนมีความแปลกพิเศษ อย่างน้ำมนต์ที่หลวงพ่อพรมให้ ขณะที่หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ให้ผม หลวงพ่อตีหัวผมเอาแรงๆ หลายครั้งทีเดียว

แล้วบอกว่า “ตั้งใจเรียนนะ เรียนหนังสือเก่งๆ นะ อย่าดื้อนะ...” ตอนนั้นความพยศของผมไม่รู้มันหายไปไหนหมด แทบจะกอดหลวงพ่อแล้วร้องไห้อยู่ตรงนั้น เมื่อกลับถึงสุราษฎร์ธานี นักเรียนคนนั้นใช้มโนมยิทธิไปหาหลวงพ่อ แล้วบอกว่าครอบครัวผมไปพักห้องหมายเลข ๑๘ โดยที่พวกผมยังไม่ได้เล่าอะไรแก่เด็กคนนี้เลย แถมยังบอกอีกว่า หลวงพ่อเอาของไปวางไว้ให้หน้าห้องพัก

ในเช้าวันที่พวกเราจะเดินทางกลับ ทำไมไม่หยิบมา ใส่ห่อผ้าขาวไว้ วางไว้บนเก้าอี้หน้าห้อง ผมได้ยินแล้วรู้สึกอัศจรรย์เพราะห่อผ้านั้นมีอยู่จริงๆ วางอยู่ตรงนั้นจริงๆ แต่ผมไม่หยิบเพราะคิดว่าของใครลืมทิ้งเอาไว้ เกรงว่าจะเป็นการลักทรัพย์ ไม่นึกว่าจะเป็นความกรุณาของหลวงพ่อ (ผมเห็นห่อผ้าตอนเช้า พบหลวงพ่อตอนบ่าย กลับสุราษฎร์ธานีตอนเย็น)

อัศจรรย์กับมโนมยิทธิ

หลังผมกลับจากวัดได้ราวๆ ๒ เดือน ผมจึงฝึกวิชามโนมยิทธิได้สำเร็จ เมื่อครั้งแรกนั้นนอกจากไปเที่ยวสวรรค์ พรหม และพระนิพพานทุกวันแล้ว ก็ยังมักรบเร้าให้องค์ปัจจุบันหรือหลวงพ่อ พาไปเที่ยวป่าหิมพานต์เสมอๆ เหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ แม้ต้องนั่งสมาธิอยู่เป็น ๒ – ๓ ชั่วโมง ก็ไม่รู้สึกเมื่อยเลย มีแต่ความอิ่ม เย็น สุข สงบ หาสุขที่ไหนเทียบไม่ได้กับสุขในสมาธิจริงๆ ภายหลังเมื่อสนทนาธรรมด้วยพรหม เทวดา และพระอริยเจ้าทั้งหลายบ่อยเข้า

ก็เกิดความรู้สึก “บ้าวิชา” อยากจะมีความรู้ให้หมดทุกอย่าง อะไรที่ไม่รู้ต้องไม่มี ก็ถามองค์ปัจจุบันว่าทำอย่างไร
ท่านก็บอกว่า “เป็นพระพุทธเจ้าอย่างฉันซิ อยากเป็นไหมล่ะ” วินาทีนั้นผมไม่ได้ไตร่ตรองอะไรเลย
ตอบทันทีว่า “เอาครับ ผมอยากเป็น” ท่านก็หัวเราะ

แล้วถามผมต่อว่า “สมมติว่าเธอต้องเดินทางไกล ฝ่าไฟที่ร้อนดุจอเวจีมหานรกเป็นแสนโยชน์ แล้วมีพระโพธิญาณคอยเธออยู่สุดปลายข้างโน้น เธอจะเอาไหม”
ผมได้ยินดังนั้นก็หัวเราะทันที แล้วถามองค์ปัจจุบันว่า “มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือครับ ถ้าแค่นั้นผมทำได้แน่ๆ ให้ผมออกเดินลุยไฟอันนั้นในขณะนี้เลยก็ได้ แสนโยชน์แป๊บเดียวเอง”

อารมณ์ตอนนั้นคิดว่าแค่นั้นจริงๆ ดีใจแทบแย่ว่า “มันช่างง่ายดายอะไรอย่างนี้” องค์ปัจจุบันท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นใช้ได้” นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อผมกลับจากโรงเรียน ทำงานบ้านเสร็จแล้ว ก็ใช้กำลังมโนมยิทธิไปหาองค์ปัจจุบัน หลวงพ่อ รวมไปถึงพรหมเทวดาทั้งหลายทุกวัน ท่านเหล่านั้นก็สั่งสอนผมเพื่อ “บ่มเพาะ”

ในสิ่งที่ผมปรารถนาอยู่ทุกวันเช่นเดียวกัน เอากันตั้งแต่อสุภกรรมฐาน กายคตานุสติกรรมฐาน สังโยชน์ ๑๐ ประการ (อย่างหลังนี้ท่านบอกว่าตัดไม่ขาด แต่ต้อง “ข่มให้อยู่” อย่างน้อยก็ ๓ ประการ) และข้อธรรมอื่นๆ วันที่งงมากที่สุดก็คงเป็นวันที่ขึ้นไปจุฬามณี กราบองค์ปัจจุบันเสร็จ ท่านก็ให้การบ้านทันทีว่า “เธอจงพิจารณาเวทนาในเวทนา” ท่านไม่อธิบายอะไรเลย

ให้เวลา ๓ วันไปคิดมาให้ได้ ผมเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน สงสัยอยู่ว่า “เวทนาในเวทนา...มีด้วยหรือ...มันคืออะไรหว่า” จนในที่สุดก็ต้องไปให้ท่านเฉลย วิธีอธิบายของท่านก็พูดเพียง ๒ – ๓ คำ พอ “แนะ” ให้คิดต่อเองได้เท่านั้น คิดเสร็จแล้วถามท่าน ท่านก็ตอบว่า “ถูกแล้ว พิจารณาให้บ่อยๆ นะ ขันธ์ ๕ น่ะ พิจารณาให้หมดนะ” แล้วท่านก็ยิ้ม

เรื่องอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอีก อย่างเมื่อคราวคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) จัดให้มีการเลือกตั้ง ผมนั้นเชื่อในสัจจะทหาร มั่นใจว่า พล.อ.สุจินดา คราประยูร จะไม่ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อผมใช้วิชามโนมยิทธิขึ้นไปหาท้าวสหัมบดีพรหม (ผมเรียกท่านสั้นๆ ว่า “ท่านท้าว”) ท่านบอกว่า พล.อ.สุจินดา คราประยูร จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เป็นอยู่แค่ ๔๐ วันเศษก็ต้องลาออก

จะมีการปลุกระดมประชาชน คนไทยจะฆ่ากันเอง ทะเลาะกันเองอีกวาระหนึ่ง เมื่อลาออกแล้วก็จะมีการเลือกตั้งหาสภา “กระท่อนกระแท่น” การเมืองยังไม่แน่นอน แล้วจะมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยประชาชนเป็นผู้ร่วมกันร่าง จนในที่สุดก็จะมีเศรษฐีตั้งพรรคการเมือง พรรคนี้เพียงพรรคเดียวจะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา แต่ก็ยังดึงพรรคอื่นเข้าร่วมด้วยเพื่อความมั่นคงของรัฐบาล ประเทศไทยในระยะนี้ยังไม่ดีนัก

แต่ภายหลังจะดีขึ้นเรื่อยๆ คนในประเทศ รัฐบาล การเมือง จะดีขึ้น คนไทยจะสุขสบายมากขึ้น ขณะนั้นผมไม่เชื่อเลย คิดว่าต้องเฝือแน่ การณ์ทั้งหมดนี้หาใครพูดในสมัยปี พ.ศ.๒๕๓๕ ก็คงหาว่าบ้า ไม่มีทางเป็นไปได้ ทั้งการฆ่าประชาชน การร่างรัฐธรรมนูญโดยประชาชน การที่รัฐบาลมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งเพียงพรรคเดียว ฯลฯ “ไม่มีวันเป็นไปได้เลย” แต่ในที่สุดก็เป็นตามจริงนั้นทุกประการ

...เหตุมหัศจรรย์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งต้องการทราบเรื่องพระดังรูปหนึ่ง ใครๆ ก็เชื่อกันว่าเป็นพระอรหันต์ ผมเองก็พลอยฟ้าพลอยฝนถือมงคลตื่นข่าวเอากับเขาด้วย แต่เมื่ออารมณ์ได้ที่ปุ๊บ องค์ปัจจุบันท่านก็มาปรากฏต่อหน้าแล้วพูดทันทีว่า “พระรูปนี้ปาราชิกเสียแล้ว” แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดทั้งบนเรือไวกิ้ง ไม่ไวกิ้ง... ตอนนั้นผมก็ไม่เชื่อเช่นเคย คิดว่าคงเฝือ แต่หลังจากนั้นก็เป็นจริงตามนั้นอีก

ขออะไรท่านก็ให้

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ผมชอบอธิษฐานของบารมีหลวงพ่อ และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ให้ช่วยเหลือเสมอ ทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องอื่นๆ ก็ประสบผลสำเร็จแทบทุกครั้ง เช่น การสอบตรงเข้าศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกภาษาไทย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี ปีนั้นมีนักเรียนเขต ๑๔ จังหวัดภาคใต้เลือกสอบเข้าสาขานี้เกือบ ๑,๗๐๐ คน แต่รับเพียง ๗ คนเท่านั้น

ผมก็สอบเข้าไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้ภายหลังผมจะลาออกเพื่อไปเรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางเขน ครั้นสอบเข้าปริญญาโทที่คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ขณะนั้นผมต้องฝึกสอนตามหลักสูตรปริญญาตรี (มศว. บางเขน) ทำให้ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ มิหนำซ้ำวันที่ต้องไปสอบ ผมก็ยังนอนไม่ตื่น (ง่วงจัด)

เพื่อนที่สอบด้วยกันต้องมาปลุก แล้วพาขึ้นรถมาสอบทั้งยังงัวเงียอยู่ ผมระลึกถึงหลวงพ่อในใจแล้วบอกว่า “หลวงพ่อ ต้องให้ผมสอบได้นะ ไม่งั้นไม่มีใครเป็นยักษ์เฝ้าประตูห้องญาณ ๘ ให้หลวงพ่อนะครับ ถ้าผมสอบไม่ได้ ผมจะกลับปัตตานีนะครับ” ปรากฏว่าสอบได้ ได้ยังไงผมก็ยังประหลาดใจอยู่จนทุกวันนี้

กอดหลวงพ่อแล้วร้องไห้

ตลอดมานับตั้งแต่ที่ผมได้รู้จักกับหลวงพ่อ ผมรู้สึกว่าหลวงพ่ออยู่กับผมตลอดเวลา มีปัญหาอะไรที่หนักหน่วง หาที่พึ่งไม่ได้ ผมก็เอากรอบรูปภาพหลวงพ่อมากอด หรือเอาภาพหลวงพ่อออกมาดูแล้วร้องไห้ ผมร้องไห้กับหลวงพ่อได้โดยไม่ต้องอายใคร เพราะมีแต่ผมกับหลวงพ่อ และปัญหาร้ายๆ เหล่านั้นก็มักผ่านไปอย่างไม่น่าเชื่อ จะด้วยเหตุใดก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกอบอุ่นเสมอ เวลาแลภาพหลวงพ่อ

ครั้งแรกที่ผมร้องไห้ คือคราวที่ทราบข่าวการจากไปของหลวงพ่อ ตอนนั้นร้องไห้เพราะรู้สึกว่า หลวงพ่อทิ้งผมไปแล้ว แต่ครั้งหลังผมร้องไห้กับหลวงพ่อ แล้วได้แต่พร่ำบอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมเบื่อทุกข์ ถ้าไม่เพราะผมต้องเหนื่อยเพื่อคนอื่น ผมคงเข้านิพพานในชาตินี้ จะไม่ยอมเกิดอีก...”

สุดท้ายนี้ ผมอยากฝากบอกสหายธรรมรุ่นหลัง อย่าได้ลำพองกับวิชามโนมยิทธิที่ตนมี อย่าอวดข่มใครว่าฉันแน่กว่าเธอ ฉันดีกว่าเธอ แต่จงระลึกไว้ว่า เราต้องทำพระนิพพานให้ถึงที่สุด มโนมยิทธิมีไว้เพื่อให้เราเป็นคนดี ไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นคนเลว อยากดีอย่าเลว อยากเลวก็ไม่ต้องดี ถ้าสงสารหลวงพ่อ รักหลวงพ่อ ให้ระลึกเช่นนี้ไว้เสมอๆ

จงเตือนตนด้วยตนเอง
จงพิจารณาตนเองด้วยตนเอง
ภิกษุเอย ถ้าเธอคุ้มครองตนได้
มีสติรอบคอบ เธอจักอยู่เป็นสุข

ตนเป็นที่พึ่งของตนเอง
ตนมีทางเดินเป็นของตน
เพราะฉะนั้น ควรควบคุมตน
เหมือนพ่อค้าม้า ทะนุถนอมม้าดี

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/4/12 at 14:36 [ QUOTE ]


13

ปลาป่นที่หลังสวน


ปรีชา พึ่งแสง

วัดท่าซุง ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ๖๑๐๐๐


พี่เขา (ดร.ปริญญา นุตาลัย) บอกว่า อยู่กับหลวงพ่อ มีอะไรเล่าให้ฟังบ้าง เป็นเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยก็ได้ คนอื่นที่เขามาภายหลัง จะได้รู้เรื่องของหลวงพ่อ พูดถึงเกล็ดเล็กเกล็ดน้อย ก็ต้องพูดถึงปลา เพราะปลามีเกล็ด ไปพูดถึงเรื่องอื่นมันไม่มีเกล็ด จะหาว่าโม้ไป (ผมไม่ได้โม้) ครั้งหนึ่ง วันเดือนปี จำไม่ได้ ประมาณปี ๒๕๒๖ – ๒๕๒๗ ถ้าจำผิดไป ก็ขออภัยด้วย สัญญามันเริ่มเสื่อม แก่แล้ว

หลวงพ่อพาคณะศิษย์จำนวนหนึ่งไปทางภาคใต้ ตอนนั้นไปทางรถ ข้าพเจ้ามีหน้าที่ขับรถโตงเตง (ปัจจุบันรื้อเอาคัตซี (มาจากภาษาอังกฤษว่า chassis อ่านว่า แชสซี คนไทยเรียก คัตซี คือโครงเหล็ก) รถโตงเตงมาทำรถรางวิ่งรับคนภายในวัดไปแล้ว) มีผู้โดยสารประมาณ ๑๗ คน เพราะเป็นรถโดยสารขนาดเล็ก ทำไมจึงชื่อว่ารถโตงเตง ขณะนั้นวัดท่าซุงไม่มีใครถวายรถมากมายเหมือนขณะนี้

มีรถคันนี้ใช้อยู่คันเดียว โตงเตง ต่องแต่งไปทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย หลวงพ่อเลยเรียกว่ารถโตงเตง
รถโตงเตงมีพี่อู๊ด (รังสิต) พี่เอี๊ยง และข้าพเจ้า ๓ คนเป็นคนขับ คนไหนลางานได้ ก็สับเปลี่ยนผลัดกันขับ แต่ไปภาคใต้ครั้งนั้น ข้าพเจ้ารับหน้าที่เป็นคนขับ หลวงพ่อก็พาไปหลายจังหวัด ตั้งแต่จังหวัดอุทัยธานี ผ่านจังหวัดนครปฐม ราชบุรี ประจวบฯ สุราษฎร์ธานี จังหวัดยะลา เข้าอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ไปกันเป็นอาทิตย์ วิ่งเรื่อยไป

จากการที่ผ่านมาหลายจังหวัด หลวงพ่อจึงออกเทปให้เฉพาะศิษย์ที่ติดตาม เป็นเทปชื่อว่า ฤาษีสอนลูกภาคใต้ มี ๑๐ ม้วน ตอนที่ข้าพเจ้ายังมีหน้าที่จัดจำหน่าย ใครอยากทราบประวัติศาสตร์ เรื่องเก่าๆ มหากาลผ่านมหายักษ์ สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช หนีไปบวชที่จังหวัดราชบุรี และเดินธุดงค์ไปจำพรรษาในถ้ำที่วัดเขาขุนพนม อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช หลวงพ่อได้พาคณะศิษย์ไปดูถึงถ้ำที่พระเจ้าตากสินมหาราชปฏิบัติธรรมกรรมฐานจนมรณภาพ

เสียดายตอนนั้นยังไม่มีวีดีโอ เลยไม่มีหลักฐานให้คนรุ่นหลังได้ดูได้เห็น หรืออยากทราบความเป็นมา ของขุนช้างขุนแผนก็มี หลวงพ่อเล่าให้ฟังหลายเรื่อง ไม่มีในประวัติศาสตร์ ถ้าท่านสนใจก็หาฟังได้ ตอนนี้หาเทปฤาษีสอนลูกภาคใต้คงหาได้ที่วัด ไม่ได้โฆษณาขายเทป แต่บอกได้เลยว่า ฟังแล้วรู้เรื่องราวได้อย่างละเอียด หลวงพ่อสอดแทรกคติธรรมน่าคิด นิสัยของคนสมัยนั้น ความกตัญญู นึกถึงคุณคน และความรักชาติ

เห็นแต่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่สนใจประโยชน์ส่วนตัว น่าศึกษามากในภาวะสังคมปัจจุบันนี้ ตอนที่พักที่สำนักงานกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลวงพ่อเข้าเยี่ยมให้กำลังใจ นำสิ่งของไปมอบให้ หาเงินเข้าเป็นสวัสดิการช่วยเหลือตำรวจที่ประจำอยู่ที่นี่ เอาผ้ายันต์พิชัยสงครามแจกให้กับตำรวจตระเวนชายแดนทุกคนไว้ป้องกันตัว สมัยนั้นมีผู้ก่อการร้ายมีอยู่ทั่วไป

อำเภอเวียงสระขึ้นชื่อลือชาเป็นแดนอันตราย เจ้าหน้าที่ขาขาดบ้าง แขนขาดบ้าง ตายบ้างเพราะถูกกับระเบิดขณะออกลาดตระเวน เพื่อรักษาพื้นที่ของประเทศไทยไว้ หลวงพ่อเห็นความลำบากของตำรวจตระเวนชายแดน จึงพาพวกเราออกเยี่ยมให้กำลังใจ ทั้งทหารและตำรวจตระเวนชายแดน ออกเยี่ยมกันไปทั่วประเทศ ถ้ามีเวลาว่างก็นำของไปแจกผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร นี่คือปฏิปทาของหลวงพ่อด้านสาธารณประโยชน์

พวกเราก็สนุก ไม่กลัวตาย จะกลัวได้อย่างไร ก็ไปกับหลวงพ่อ คิดอย่างคนที่ประมาท ยังใหม่อยู่ หารู้ไม่ว่า หลวงพ่อท่านก็ตายเหมือนกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิด ทำงานกันไปอย่างสนุกสนาน คณะพวกเรานอนกันที่นั่น ตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านเมตตาให้เสด็จพ่อกรมหลวงพ่อชุมพรฯ ลงบ้าง พูดคุยสอนธรรมะกับลูกๆ ตอนถึงคราวที่หลวงปู่เสือลง คนประทับโฮกฮาก พวกเราก็สนุกขอหวย ท่านถามว่า จะขอหวยไปทำไม

พวกเราก็ตอบว่า จะเอาไปทำบุญ เอาเงินที่ถูกหวยไปถวายหลวงพ่อ เพื่อซื้อรถบัสคันใหญ่ (ตอนนั้นพวกเราอยากได้รถบัสคันใหญ่ไว้ที่วัด เวลาหลวงพ่อไปไหน พวกเราจะได้ไปกันมากๆ) นี่มีเพียงรถโตงเตงต่องแต่งคันเดียว บรรทุกคนได้แค่ ๑๗ คน ที่ไม่ได้มาด้วยเพราะรถเต็ม ก็ทำตาแดงๆ จะร้องไห้ ตอนนั้นพวกเราอยากได้รถบัสคันใหญ่มาก อยากให้ทุกคนได้มา

หลวงปู่เสือท่านก็เมตตา บอกใบ้ ใบ้หวย พวกเราดีใจ จดกันใหญ่ ตีเลขกันสนุก รวยคราวนี้ ได้เงินมาพวกเราตกลงว่าจะถวายให้หลวงพ่อครึ่งหนึ่ง รวมกันแล้วคงเอาไปซื้อรถบัสคนใหญ่ได้ แต่ทำอย่างไรดีล่ะ อีก ๒ วันหวยจะออก พวกเราก็ยังไม่ได้เดินทางกลับเสียด้วย อยู่อีกหลายวัน จะออกไปซื้อล็อตเตอรี่ก็ไม่มีที่ซื้อ
เอาอย่างนี้ดีกว่า แทงหวยใต้ดิน แทงกันทั้งหมด แทงกันคนละหลายร้อยบาท กะให้เจ้ามือเจ๊งไปเลย

ใบโพยหวยที่แทงมีความยาวยืด ไม่พอต่ออีก มีใบโพยหลายใบ จะเอาไปซื้อรถบัสคันใหญ่ให้ได้ ตกลงกับปู่เสือไว้แล้วนี่ เงินที่ถูกหวยจะถวายหลวงพ่อ ยังไงๆ ก็ต้องถูกแน่ แทงหวยที่นี่ถ้าเจ้ามือเจ๊ง ไม่พอจ่ายจะทำอย่างไร เดี๋ยวไม่ได้รถบัส เอาอย่างนี้ดีกว่า พรุ่งนี้มีลูกศิษย์ที่มาด้วยคนหนึ่งลางานไม่ได้ ต้องเดินทางกลับทางรถไฟไปทำงาน พวกเราทั้งหมดฝากโพยหวยไปกับเขาไปแทงที่กรุงเทพฯ เอากันหลายทาง

กะรวยใหญ่ นี่พอนึกถึงตอนนั้น เสียวหัวใจแทนลูกศิษย์คนนั้นจริงๆ ถ้าตำรวจจับได้ เห็นโพยหวยคงนึกว่าเป็นคนเดินโพยหวยเจ้ามือรายใหญ่ คราวนั้นรอดตัวไปได้ ไม่ได้ถูกจับ แต่พวกเราก็ถูกหวยกินหมด หมดความอยากไปเลย รถบ๊กรถบัสไม่อยู่ในจิตใจอีก แต่ข้าพเจ้าก็ได้ข้อคิดข้อหนึ่ง ตามที่พ่อปู่เสือบอกตอนท้ายไว้ก่อนลาลูกหลาน ติดสินบนเทวดา จะเอาเงินถูกหวยไปทำบุญอย่าทำเลยลูก มีอานิสงส์ไม่มาก

เงินถูกหวยเป็นเงินร้อน ไม่บริสุทธิ์ เราได้เงินมา แต่คนอื่นเสียเงินไป เขาเดือดร้อน เป็นทุกข์ เราได้เงินมาง่ายๆ ไม่ใช่น้ำพักน้ำแรง การสละเงินถูกหวยทำบุญใช้กำลังใจเบาหวิว แทบไม่มีอานิสงส์ สู้เราเอาเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง สักบาท สองบาท เอาไปทำบุญ ใช้กำลังใจมากกว่า มีอานิสงส์มากมาย ที่จะเอาเงินที่ถูกหวยไปทำบุญ เป็นหมื่นเป็นแสน เทียบกันไม่ได้ มีแค่ไหนทำบุญแค่นั้น ทำบุญตามกำลังศรัทธา

ออกนอกเรื่องนอกราว คงอยากต่อว่าแล้วสินะ ไม่เห็นเข้าเรื่องเข้าราว ไหนว่ามีเกล็ดเล็กเกล็ดน้อย ตามที่คุยไว้ เอ้า...! วกเข้าเรื่องปลา เพื่อหาเกล็ด ตอนขากลับ หลวงพ่อพามาแวะที่ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร บ้านเกิดหลวงพี่ชัยวัฒน์ พวกเราก็กางเต็นท์กันตามชายหาด อยู่ใกล้ทะเล บางท่านก็นอนในอาคารที่พัก สถานที่พักอยู่ติดกับโรงงานทำปลาป่น

ท่านคงทราบนะ ปลาป่นนั้นกลิ่นรุนแรงมาก มีกลิ่นเหม็นจนพวกเราแทบทนไม่ไหว แต่ก็อดใจไม่พูด พี่เอี๊ยงแกคงทนไม่ไหว บ่นออกมาเสียงดังๆ ว่า เหม็นจริงโว้ย... ทนไม่ไหวแล้ว นอนไม่หลับ หลวงพ่อท่านคงได้ยินเสียงพี่เอี๊ยง บอกมาว่า “เจ้าเอี๊ยง ปลามันไม่ได้เหม็น แต่จมูกมึงเหม็นเอง” ทุกคนเงียบ ข้าพเจ้าได้ยิน ได้ข้อคิด จริงสินะ ปลามันก็มีกลิ่นตามปกติของมัน เป็นกลิ่นของปลา

ส่วนพวกเราก็มีกลิ่นตามปกติของเรา กลิ่นมนุษย์ แต่ที่เราเดือดร้อน ก็เพราะเราเอาจมูกไปยุ่งในกลิ่นของปลาเอง แล้วจะมาบอกว่าปลาผิด มันไม่ถูก นี่ถ้าปลามันพูดได้ มันคงพูดว่า เหม็นกลิ่นมนุษย์จริงโว้ย ตอบโต้กันไปตอบโต้กันมา หาสาระไม่ได้ การที่จะแก้ก็ต้องแก้ที่ใจเราเอง อย่าเอาจมูกไปสนใจผู้อื่น มันก็ไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวาย

หลวงพ่อท่านสอนกรรมฐานแบบง่ายๆ ใครคิดได้ก็เอาไปใช้ คิดได้อีกมากมาย ถ้าจะคิด คำพูดของหลวงพ่อแต่ละคำมีความหมายทั้งนั้น บางครั้งท่านพูดสอนแบบคุยสนุกๆ ถ้าท่านฟังแบบสนุกๆ ไป แต่ถ้าท่านฟังแบบใช้ปัญญา ท่านก็จะได้ธรรมะไปปฏิบัติ เอาไปสอนใจตัวเองได้อีกเยอะ

เมื่อข้าพเจ้าอยากเป็นครูฝึกมโนมยิทธิ
มีข่าวมาว่า มีครูแนะนำรุ่นใหม่บางท่านสอนมโนมยิทธิออกนอกลู่นอกทาง มีการแนะนำให้ผู้ฝึกหกคะเมนตีลังกากันข้างบนเป็นที่สนุกสนาน ไม่ได้เน้นให้เอาวิชานี้ไปหาข้อเท็จจริงปฏิบัติเพื่อมรรคผล ทำให้นึกถึงคำสั่งของหลวงพ่อ ที่บอกกับครูผู้สอนในสมัยนั้นไว้ว่า ถ้าแกสอนเขาไปอย่างผิดๆ เขาเหล่านั้นนำไปปฏิบัติแบบผิดๆ แล้วเกิดมิจฉาทิฏฐิ พวกแกก็ลงอเวจี ข้อนี้ควรระวัง

พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง อุทัยธานี ท่านเล็งเห็นความสำคัญในข้อนี้ ท่านจึงเริ่มปฏิรูปครูฝึกสอนมโนมยิทธิ เนื่องจากครูรุ่นเก่าๆ ที่หลวงพ่อเคยสอนไว้ หายหน้าหายตาไปหลายคน จึงมีครูรุ่นใหม่ๆ เข้ามาสอนแทนกันมากขึ้น เพื่อพัฒนาการสอนให้ถูกต้อง ตามแนวที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยสอนไว้ ท่านจึงฝึกพระในวัดให้เป็นครู วันนี้ให้พระองค์นี้เป็นลูกศิษย์

พรุ่งนี้ให้พระองค์ที่เป็นลูกศิษย์เป็นครูผู้สอนบ้าง สลับกันไปสลับกันมา หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปแต่ละกลุ่ม เพื่อหาความชำนาญ สอนไปตามทางแนวเดียวกัน พระทุกองค์ท่านก็สนองนโยบายท่านเจ้าอาวาส ขวนขวายหาเทปเก่าๆ ที่หลวงพ่อเคยสอนไว้ นำมาเป็นแบบ สิ่งนี้เป็นนิมิตที่ดี ที่พระครูปลัดอนันต์ท่านเล็งเห็นความสำคัญ การสอนมโนมยิทธิเพื่อให้เป็นมาตรฐาน ก่อนที่จะพากันหลงทางไปจนกู่ไม่กลับ

ข้าพเจ้านึกย้อนถอยหลังไปถึงอดีต ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตานำมโนมยิทธิมาสอนให้พวกเราในครั้งนั้นว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ฉันจะฝึกมโนมยิทธิให้พวกแก เมื่อฝึกได้แล้ว จะได้เป็นครูช่วยสอนแทนพ่อ ต่อไปคนจะสนใจมาฝึกกันมากขึ้น พ่อคนเดียวคงสอนให้ไม่ไหว และท่านบอกต่ออีกว่า ในรุ่นแรกนี้จะมีอยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกจะฝึกได้ ไปนรก สวรรค์ นิพพานได้

ส่วนกลุ่มที่สองจะฝึกไปไม่ได้ จะหมดกำลังใจแล้วหยุดฝึกไปพักหนึ่ง แต่เมื่อมีกำลังใจขึ้นมาอีก มาฝึกอีกครั้ง กลุ่มนี้จะไปได้ พวกนี้ฉลาด ต้องฝึกตั้งแต่ ก.ไก่ ข.ไข่ จึงจะเกิดความมั่นใจ แล้วท่านก็ฝึกมโนมยิทธิให้กับลูกๆ หลวงพ่อท่านลงมาแนะนำเอง สอนเอง ถามเอง ตอนนั้นข้าพเจ้ามั่นใจว่า คงอยู่ในกลุ่มแรก จากที่เคยรักษาศีล ๕ เปลี่ยนมารักษาศีล ๘

แล้วก็เป็นจริงตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูดไว้ ข้าพเจ้าฝึกอยู่ทั้งพรรษาในเวลา ๓ เดือน ไปไหนไม่ได้ พอออกพรรษากำลังใจท้อแท้ ก็หยุดฝึก กลุ่มของผู้หญิงไปได้มาก พวกผู้ชายไปได้น้อยคน ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าเลิกรักษาศีล ๘ มารักษาศีล ๕ เหมือนอย่างเดิม ความอึดอัดลดลง เกิดมีกำลังใจขึ้นมาอีก กลับมาฝึกมโนมยิทธิอีกครั้ง ครั้งนี้ฝึกไปได้

ทำไมจึงฝึกไปได้ เพราะข้าพเจ้าฟังคำสอนแล้วพิจารณาตาม ห้ามใจ ดังนี้
๑. อย่าให้ใจ อยากไป ขณะฝึก คิดว่าไปได้ก็ไป ไปไม่ได้ช่างมัน พรุ่งนี้เอาใหม่
๒. อย่าใช้ตาเห็น ใช้ความรู้สึกของใจ (ใจนึกรู้ หรือใจรู้สึก)
๓. อย่าจับอานาปาฯ (รู้ลมเข้าลมออก) ปล่อยใจสบายๆ ขณะฟังครูผู้ฝึก
๔. อย่าภาวนา นะมะพะทะ (หยุดเลย) ขณะฟังครูผู้แนะนำ

๕. อย่าอวดฉลาด ให้ทำตัวแบบโง่ๆ ครูสอนอะไร กำหนดใจปฏิบัติตามนั้น
๖. อย่าสงสัย ใช้ความรู้สึกแรก ที่ใจนึกรู้ หรือใจรู้สึก
๗. ถ้าครูถามว่า เห็นอะไร ครูหมายถึง ใจรู้สึกอะไร ไม่ได้หมายถึงตาเห็น
๘. ค้นหาความทุกข์ให้พบ ถ้าท่านคิดว่าโลกมีแต่ความสุข ครูจะไม่สอน
๙. อย่ากลัวเรื่อง ศีล อย่าลังเล กำหนดใจรักษาศีลเลย ครูต้องการให้ใจของท่านบริสุทธิ์ ใจเป็นทิพย์ในขณะฝึก
๑๐. อย่าคิดว่าเราไม่ตาย ค้นหาความจริงตามครูสอนให้พบ ให้ใจยอมรับ

มีอยู่ ๑๐ ข้อเท่านั้น เอาไปทดลองทำดู เผื่อจะโชคดี อย่าลืม ครูเป็นเพียงผู้สอน ใครจะไปได้หรือไม่ได้ อยู่ที่ผู้ฝึก (เอาจริง และฉลาดคิดพิจารณา)

ทดสอบการระลึกชาติ
วันหนึ่ง พวกเราเดินทางไปแจกของผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ที่บ้านแฮะ จังหวัดเชียงราย กับหลวงพ่อ และพักที่ตึกศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ ในบริเวณสถานีวิทยุทหารอากาศ จ.เชียงราย หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว หลวงพ่อบอกกับพวกเราว่า วันนี้จะทดสอบมโนมยิทธิ ให้ทุกคนระลึกชาติกันคนละชาติ ชาติไหนก็ได้ แล้วให้ทุกคนมาเล่าให้ทุกคนฟังต่อหน้าองค์หลวงพ่อ

ทุกคนก็ไปนั่งระลึกชาติกัน แล้วมาเล่าให้ฟังต่อหน้าท่าน ตอนนั้นจำได้ว่า คุณพัชรี สว่างจิต (พี่แป๊ว) เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า นั่งระลึกชาติในสมัยเมืองโยนกนคร (เมืองเชียงแสน) อยากเห็นพระเจ้าพังคราช พระองค์ท่านมีรูปร่างอย่างไร ปรากฏภาพมีชายคนหนึ่ง นุ่งกางเกงสีดำขาสามส่วน ใส่เสื้อคอกลม แขนกระบอก นั่งชันเข่า (เหมือนคนมีทุกข์) พี่แป๊วเห็นว่าไม่ใช่พระเจ้าพังคราช จึงเพิกภาพ (เพิก หมายถึงละทิ้งไป)

ขอดูภาพใหม่แต่กลับมีม่านสีทองมาปิดแทน และไม่ปรากฏภาพอีกเลย ส่วนข้าพเจ้าขอบารมีองค์สมเด็จฯ ขอดูชาติไหนก็ได้ ปรากฏเป็นภาพควาย รูปร่างใหญ่ กำยำ ผิวสีดำเป็นมันเลื่อม มีเขาแหลมสวยโค้งขึ้น แต่น่าเกรงขาม ยืนเบิ่งมองข้าพเจ้าด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ ข้าพเจ้าตกใจ คิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร อุทิศส่วนกุศลให้ยกใหญ่ เล่าให้หลวงพ่อฟังตามที่ภาพปรากฏ

หลวงพ่อหัวเราะ บอกเออ... ดี อุทิศให้ตัวเอง ท่านบอกแค่นี้ ยังไม่รู้อะไรมาก ส่วนของพี่แป๊ว ท่านบอกว่า ภาพที่เห็นครั้งแรก ที่เห็นเป็นชายที่นั่งชันเข่าคือพระเจ้าพังคราช สมัยถูกขอมไล่ออกจากเมืองโยนก มาอยู่ที่เวียงสีทวง พี่แป๊วตอบว่า ไม่เห็นแต่งตัวอย่างกษัตริย์ เลยขอดูใหม่ ภาพเลยมืด วันนั้นหลวงพ่อถามคนไหน คนนั้นต้องเล่าการระลึกชาติให้หลวงพ่อฟัง

สุดท้าย หลวงพ่อสรุปว่า ให้ทุกคนจำไว้นะ ถ้าเราเห็นภาพอะไร ให้สงสัยที่มาของภาพนั้น ต้องถาม โดยเฉพาะต้องขอบารมีองค์สมเด็จฯ ช่วย เราจะได้รู้เรื่องราวในอดีตเป็นมาอย่างไร ดังตัวอย่าง แป๊ว อยากดูพระเจ้าพังคราช แต่เห็นเป็นชายแต่งตัวธรรมดา ไม่ถามท่าน เลยไม่เห็นภาพต่อเนื่อง เจ้ากะ... (ท่านชอบเรียกข้าพเจ้า) เห็นควาย ก็ไม่ขอบารมีฯ ถาม จึงไม่รู้ที่มา

ต่อไปพวกแกต้องหัดเป็นคนขี้สงสัย ไม่ใช่ให้ไปสงสัยในวิชาที่ฝึกนะ แต่ให้สงสัยในภาพที่เราอยากรู้ ถามเรื่องราวความเป็นมา อย่างนี้ถือว่าปฏิบัติได้ถูกต้อง

เริ่มหัดเป็นครูสอนมโนมยิทธิ
ต่อมาคนก็เริ่มมาฝึกมโนมยิทธิกันมากขึ้น หลวงพ่อเป็นผู้สอนก่อนฝึก ส่วนพวกเราเป็นครูผู้แนะนำผู้ฝึก ตอนนั้นครูแนะนำมีมาก เป็นของใหม่ ใครๆ ก็อยากสอน อยากแนะนำ อยากเป็นครู หลวงพ่อบอกว่า การเป็นครูสอนแนะนำ เป็นการเร่งรัดการปฏิบัติตัวเองให้ดียิ่งขึ้นๆ ขณะนั้น ข้าพเจ้าก็อยากเป็นครู งานด้านวีดีโอ ยังมีไม่มากเหมือนทุกวันนี้

วันหนึ่ง หลวงพ่อพาคณะพวกเราไปสอนมโนมยิทธิที่วัดดอนคนฑา อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา พอรถวิ่งไปถึง ข้าพเจ้าเห็นผู้คน หนุ่มบ้าง สาวบ้าง เป็นคนแก่บ้าง นั่งรอหลวงพ่ออยู่ในที่ทางวัดเขาจัดไว้ โดยเอาไม้ไผ่มาปักเป็นเสา เอาไม้พาด เอาใบทางมะพร้าวมาวางด้านบน พอกันแดดได้พอสมควร เห็นศรัทธาของเขาเหล่านั้น วันนั้นข้าพเจ้าอยากสอนเป็นที่สุด

เมื่อได้เวลา หลวงพ่อนั่งเป็นองค์ประธานในที่ที่เขาจัดให้ มีผ้าม่านกั้นเป็นฉากด้านหลังหลวงพ่อ ทุกคนที่ฝึกนั่งกันเป็นวงๆ ห่างพอสมควร มีวงหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มนั่งใกล้อยู่ด้านหน้าหลวงพ่อ หลวงพ่อเริ่มสอนก่อนฝึก แล้วก็ดำเนินไปตามขั้นตอน พอเริ่มให้พวกเราเข้าไปแนะนำตามวงต่างๆ วงที่ใกล้หลวงพ่อที่สุด หาครูไปแนะนำไม่ได้ ทุกคนเลือกแต่วงที่อยู่ไกลหลวงพ่อกันหมด

ครูที่เหลือแต่ข้าพเจ้ากับพี่แดง (พ.อ.ศรีพันธุ์ วิชชพันธุ์ ยศสมัยนั้น) เพียง ๒ คน เอาละซี... วงเด็กหนุ่มกลุ่มนี้อยู่ใกล้หลวงพ่อมากเกินไป เวลาสอนแนะนำ หลวงพ่อต้องได้ยินเสียง ใจเริ่มกลัวๆ กล้าๆ ลืมนึกถึงอารมณ์ตอนแรกที่อยากสอน จึงกระซิบกับพี่แดงให้ไปสอนวงนั้น พี่แดงทำหน้าเบ้ สั่นหน้า บอกกลับมาว่า ให้ข้าพเจ้านั่นแหละไปสอน ข้าพเจ้าหันไปมององค์หลวงพ่อ ท่านนั่งนิ่งหลับตาเฉย

เลยกระซิบกับพี่แดงว่า เรา ๒ คนออกไปหลบหลังม่านดีกว่า ค่อยๆ ย่องออกไปยืนอยู่หลังม่าน ๒ คน นึกว่าสบายแล้ว ประเดี๋ยวเดียวจ่าประมวลมาตาม บอกว่า หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าไปสอนวงที่อยู่ด้านหน้าหลวงพ่อ นี่ขนาดยืนหลบแล้วนะ คำสั่งครูบาอาจารย์ต้องปฏิบัติ ค่อยๆ คลานมานั่งอยู่กลางวง หลับตาชาร์จแบตเตอรี่ (กำหนดจิตเป็นสมาธิ) ไฟไม่เข้าเลย ใจมันตกหายไปไหนไม่รู้ เหลือบมองหน้าหลวงพ่อ

อารมณ์แรกรู้สึกหลวงพ่อให้สอนเรื่องศีล ศีล ศีล ก้องอยู่อย่างนั้น แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะพูดขึ้นต้นอย่างไรดี มันกลัวเสียจนนึกอะไรไม่ออก เอ้า... ชาร์จไฟใหม่ เสียเวลาตั้งนาน ค่อยๆ แนะนำเรื่องศีล ๕ พูดถึงคุณและโทษ ว่าไปเรื่อยๆ เสียงค่อยๆ ดังขึ้นๆ โดยไม่รู้ตัว ใจเริ่มมีความกล้าขึ้น เด็กหนุ่มยอมรับที่จะปฏิบัติศีล ๕ แนะนำไปตามลำดับ พอหมดเวลา วงของข้าพเจ้าไปไม่ได้ ข้าพเจ้านึกเสียใจ

เราคงเลว เพราะกลัวหลวงพ่อมากเกินไป ครั้งนี้จึงสอนไม่ดี หลวงพ่อรู้อารมณ์จิต หันมามองหน้า ยิ้มแล้วบอกว่า เราเป็นเพียงผู้แนะนำ ใครจะไปได้หรือไม่ได้ อยู่ที่ตัวของเขา การสอนไม่ต้องหวังผลสูงสุดเสมอไป เราแนะนำให้เขาเริ่มรักษาศีล เขาได้ก้าวเท้า ๑ ก้าว ถือว่าใช้ได้

ตัวสงสัยเริ่มเข้ามากวนใจ
ต่อมาไม่นาน ความสงสัยเข้ามา ใจเริ่มฟุ้งซ่าน มโนมยิทธิที่เราทำนี่ คิดไปเองหรือเปล่า นึกไปเองหรือเปล่า อีกอารมณ์หนึ่งก็ว่าจริง ต้องจริง เราเชื่อหลวงพ่อ อารมณ์เป็นทิพย์ต้องเป็นของจริง ดึงกันไปดึงกันมา อารมณ์เริ่มสับสน เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ใจฟุ้งซ่านหนักเข้าๆ เริ่มเบื่อไม่อยากฝึก อีกอารมณ์นึกเสียดายไม่อยากเลิก เอ... เอาอย่างไรดี เลยนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อ

ท่านบอกไว้ว่า ถ้าจะปฏิบัติให้ได้ดีต้องทำตัวเหมือนคนโง่ แต่นี่เราชักอวดฉลาด จึงมาตกลงกับใจของตัวเองว่า ต่อแต่นี้ไปเราจะยอมเป็นคนโง่ ภายใน ๑ ปีนี้ ถ้าไม่มีอะไรมาทำให้เราเชื่อมั่นมโนมยิทธิ เราจะเลิก ตกลงกับใจตัวเองอย่างนั้น ก็ดีไปอย่าง พอมีอารมณ์สงสัยในใจขึ้นมา เราก็บอกว่า อย่าเพิ่งเข้ามา ออกไป ยัง ยังไม่ถึงเวลา รออีก ๑ ปี ฉันจะเชื่อแก ตอนนี้ฉันขอยอมโง่ไปก่อน

คิดตอบไปอย่างนั้น อารมณ์สงสัยมันค่อยลด ไม่รุนแรง ถ้ามันมาอีกเราก็คิดอย่างนี้อีก สู้กัน ขอย้อนหลังไปสักนิด ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมาฝึกมโนมยิทธิด้านอภิญญา เดิมข้าพเจ้าเจริญกรรมฐานแบบสุกขวิปัสสโก มหาสติปัฏฐานสูตร ตั้งแต่อานาปานบรรพถึงอริยสัจ (บรรพหมายถึงกอง) บรรพที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุดคือ กองจิตตานุปัสสนา

การพิจารณาจิต พอจิตคิดอะไร เลว ดี ชั่ว ใจเรารู้ทันที ถ้าเราฝึกคล่องนะ มันรู้ทันกัน วันหนึ่ง ข้าพเจ้าขับรถเพื่อไปให้ทันเวลาทำงานตอนเช้า ขณะที่รถจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยก โรงพยาบาลวชิระ มีรถมอเตอร์ไซคล์คันหนึ่งมาจอดข้างๆ ด้านขวามือ ข้าพเจ้าหันไปเห็นคนขับแต่งตัวดี ความคิดผุดขึ้นมาทันทีว่า ถ้ารถเขาล้มจะช่วยเขาไหมนี่... พอความรู้สึกคิดอย่างนั้น ใจมันรู้ทันกัน (อารมณ์จิตตานุปัสสนา มหาสติฯ)

ก็ตอบไปในใจว่า จิตคิดไม่ดี แช่งเขาทำไม... เลิก ไม่คิด กำหนดจิตจับอานาปานุสสติ (รู้ลมหายใจเข้า-หายใจออก) ไม่ให้จิตคิดฟุ้งซ่าน พอเผลอนิดเดียว เอาอีกแล้ว คิดอีก ถ้าช่วยเราเข้าทำงานไม่ทัน ถ้าไม่ช่วยเข้าทำงานทัน เอาอย่างไหนดี เอาอีกแล้ว จิตเลว (ด่าใจตัวเอง) บอกไม่ให้คิด ยังคิดอีก จับอานาปานุสสติเป็นสมาธิใหม่ ทำได้นิดเดียวเผลออีก ใจคิดอีก เราช่วยเขาดีกว่า สงสารเขา

ไปทำงานไม่ทันก็ลางานสักหนึ่งชั่วโมง แพล็บเดียว คิดถึงสามครั้ง ไวมาก พอดีไฟเขียว รถก็เคลื่อนออกจากที่ ไปทางเดียวกันกับรถมอเตอร์ไซคล์คันดังกล่าวลื่นไถลล้ม คนขี่ไปทาง รถไปทาง ที่แลเห็นเพราะรถเขาอยู่ข้างหน้ารถเรา ข้าพเจ้าจึงหยุดรถริมถนน ลงไปช่วย เข็นรถมาไว้ข้างฟุตบาท ถามเขาว่าเป็นอะไรหรือเปล่า จะให้ช่วยอะไรไหม เขาตรวจดูรถแล้วบอกว่า

ขอบคุณครับ ไม่เป็นอะไรมาก แฮนด์เบี้ยวนิดหน่อย ดัดแล้วคงไปได้ ลองสตาร์ทเครื่องดู เครื่องติดไม่เป็นอะไรตามที่เขาบอก ข้าพเจ้าก็ขับรถออกมา จิตคิดไปคิดมาพิจารณา พอเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว ผลของการฝึกมโนมยิทธิ อย่างนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า อนาคตังสญาณ เป็น ๑ ในญาณ ๘ อย่าง ญาณที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่เพราะเราไม่เข้าใจ คิดว่าจิตเราเลว ไปแช่งเขา จึงไม่ยอมเชื่อในอารมณ์แรก

จากนั้นถูกทดสอบอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งเพิ่มความมั่นใจในจิตมากขึ้น ดันตัวความสงสัยออกไป ไม่สามารถเข้มารบกวนใจอีกเลย การฝึกมโนมยิทธิคงมีคนที่สงสัยเหมือนข้าพเจ้าบ้าง (คนที่ไม่สงสัยก็แล้วไป) แต่ถ้าสงสัย ท่านคิดจะแก้ไขอย่างไร ลองทำเหมือนคนโง่ตามที่หลวงพ่อสอนดูบ้าง อาศัยความอดทน อาศัยเวลา

ทำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อวานนี้ขึ้นไปเห็น วันนี้ขึ้นไปไม่เห็น เราไม่สนใจ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ได้ดีเอง หลวงพ่อท่านสอนว่า ถ้าขึ้นไปข้างบนแล้ว วันนี้มันมืด ไม่เห็นอะไร แต่เมื่อวานนี้ เราเห็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยประทับตรงนี้ ให้ก้มลงกราบเลย ไม่ต้องไปสนใจเรื่องภาพเห็น ไม่เห็น

อยากเรียนรู้ใจคน
เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ถ้าเราจะฝึกเจโตปริยญาณ (รู้ใจคน) จะทำอย่างไรครับ
หลวงพ่อตอบว่า ถ้าแกอยากจะรู้ใจคน แกต้องฝึกรู้ใจตัวเองก่อน เป็นคำตอบสั้นๆ เหมือนให้กลับไปปฏิบัติดู แล้วจะรู้เอง เป็นการบ้าน

ปฏิบัติกรรมฐานทางตรงและทางอ้อม
คราวที่ไปสอนมโนมยิทธิที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนศิษยานุศิษย์ที่นั่นว่า ฝึกกรรมฐานแบบมโนมยิทธิเหมือนเราเดินทางตรง ฝึกกรรมฐานแบบสุกขวิปัสสโก เหมือนเราเดินทางอ้อม เริ่มสงสัยอีกแล้ว จับประเด็น ตรงอย่างไร อ้อมอย่างไร เอามาคิด ข้าพเจ้านิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าสงสัยอะไร ต้องตีปัญหาให้แตก (ตีปัญหาคือ นำไปปฏิบัติให้รู้แจ้ง)

ถ้ารู้แล้วจิตมันเชื่ออย่างแนบแน่น ไม่อ่อนไหว เพราะได้พิสูจน์มาแล้ว หลวงพ่อท่านรู้นิสัยข้าพเจ้า ตอนที่ท่านเมตตา เล่าอดีตชาติของข้าพเจ้าสมัยสุโขทัย และสมัยรัชการที่ ๕ เขียนมาให้อ่าน ๑ แผ่นกระดาษฟุลสแก๊ป ตอนท้ายท่านขมวดข้อความว่า ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ สมเด็จฯ ทรงรับรอง แล้วลงลายมือชื่อของท่านไว้เป็นหลักฐาน

(ท่านเขียนประวัติมาให้หลายคนนะ ที่จะได้มี ท่านเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส หลวงพี่อาจินต์ คุณคณิตพร คุณพรนุช ฟ้าอิน ฟ้าดำ) พอมีโอกาส เรียนถามท่านว่า หลวงพ่อครับ มโนมยิทธิตรงอย่างไร สุกขวิปัสสโกอ้อมอย่างไรครับ
ท่านตอบว่า แกเคยไปเชียงใหม่ไหมล่ะ แบบนั่งรถไฟลอดถ้ำขุนตาลนั่นแหละ

โอ้... โฮ... ไม่เข้าใจแฮะ ท่านตอบคำเฉลยเป็นปริศนา คล้ายเชิญชวนให้เราไปลองปฏิบัติดู หลวงพ่อท่านสอนกรรมฐาน ทุกคนคงรู้แล้วว่าท่านสอนอยู่สองแบบ กลางวันท่านสอนแบบมโนมยิทธิ (อภิญญา) กลางคืนท่านสอนแบบสุกขวิปัสสโก พวกเราก็เลยได้เรียนทั้งสองแบบ ข้าพเจ้าจึงนำมาปฏิบัติทั้งสองอย่าง และเปรียบเทียบทางตรงและทางอ้อมเพื่อความเข้าใจ

ทางอ้อม (เป็นของยาก)
๑. การที่จะชวนใครสักคนไปวัดกับไปเที่ยว ไปวัดคงไปยากกว่าไปเที่ยว
๒. การที่จะชวนใครฟังเทศน์กับฟังเพลง ฟังเทศน์คงยากกว่าฟังเสียงเพลง
๓. การที่จะชวนใครเจริญกรรมฐานกับดื่มเหล้า เจริญกรรมฐานคงยากกว่าการดื่มเหล้า แค่เริ่มต้นนะ แค่ชวนคนมาวัด เห็น ความยาก มีมากขนาดไหน ต่อไปเอาแค่ย่อๆ

๔. ต่อมาเมื่อเจริญกรรมฐาน ต้องเรียนรู้อานาปาฯ กับจริต ๖ ประการ
๕. เมื่อเรียนรู้จริต ๖ ประการ ต้องเรียนรู้กรรมฐาน ๔๐ (วิธีแก้จริต) ด้วย ขออธิบายขยายความนิด เดี๋ยวมีคนสงสัยว่า เรียนกรรมฐาน ๔๐ กองไปทำไม ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมินี่ หมายความว่า คนทุกคนต้องมีจริตตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง เมื่อรู้ว่าเป็นจริตตัวไหน หลวงพ่อให้ฆ่าตัวนั้นตัวเดียว จริตตัวอื่นที่รองลงมา มันก็อยู่ไม่ได้ (จริต ๖ มีอะไรบ้าง หลวงพ่อสอนไว้แล้ว)

เช่น มีโทสะจริต ก็เอากรรมฐาน ๘ กองมาแก้ มีอะไรบ้าง พรหมวิหาร ๔ กสิณ ๔ อย่าง ไม่ต้องเอามาทั้งหมด ชอบกองไหนเอากองนั้นมา เอามากองเดียว หรือมีราคจริต ก็เอากรรมฐาน ๑๑ กองมาแก้วมีอะไรบ้าง อสุภ ๑๐ กายคตาสติ ๑ รวมเป็น ๑๑ กอง เอามากองใดกองหนึ่ง ที่กล่าวไว้ ๔๐ กอง เพราะคนเรามีจริตตัวใหญ่ไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ศึกษาไว้ เวลาปวดท้อง

เอายาแก้ไข้มากินมันก็ไม่หาย กรรมฐาน ๔๐ กองจึงเป็นกรรมฐานคู่ปรับของจริต ๖ ประการ
๖. ต่อมาก็เลี้ยวเข้าหามุม ศึกษาสังโยชน์ ๑๐ ทำได้ ๓ ข้อ ๕ ข้อ ๑๐ ข้อ ได้เป็นพระอริยเจ้า ตามลำดับชั้น ป้องกันนรก ไปนิพพานได้
จะเห็นว่า ถ้ากิเลสเป็นต้นไม้ กว่าเราจะโค่นได้ ฆ่ามันได้ ต้องริดใบ ริดกิ่ง ริดก้าน ตัดต้น ขุดราก กว่าต้นไม้จะตาย เราอาจตายก่อนต้นไม้ เป็นของยาก


ทางตรง (ปฏิบัติแบบง่าย)
๑. ถ้าใครมาชวนไปวัด เพื่อได้เที่ยวนรก สวรรค์ กับ ดูหนัง คนอยากไปวัดดูนรก สวรรค์ มากกว่าดูหนัง เพราะนรก สวรรค์ หาดูได้ยากกว่าดูหนัง
๒. เมื่ออยากเห็นนรก สวรรค์ ก็ต้องปฏิบัติตามครูผู้แนะนำ
๒.๑ ให้รักษาศีล ๕ (ศีลไม่บริสุทธิ์เข้าสวรรค์ไม่ได้) ก็ยอมรับปฏิบัติ
๒.๒ ให้เห็นการเกิด การเสื่อมสลาย การป่วย การตาย เป็นความทุกข์ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ยอมรับนับถือพระรัตนตรัย

๒.๓ ตายแล้วจะไปไหน สวรรค์ พรหม หมดบุญต้องกลับมาเสวยทุกข์อีก ดีไม่ดี ลงนรกทุกข์หนัก (มรณานุสสติ คิดถึงความตายเป็นอารมณ์)
๒.๔ นิพพาน เป็นดินแดนที่มีความสุขแน่นอน ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ทุกคนก็อยากไปนิพพาน (นิพพานัง ปรมัง สุขัง คิดถึงนิพพานเป็นอารมณ์)


นี่คือวิธีการสอนที่ฉลาดและเฉียบแหลมของครูบาอาจารย์ ที่นำเอาหมวดวิชชาสาม กับหมวดอภิญญามารวมกันเป็นมโนมยิทธิ ปฏิบัติกรรมฐานในทางตรงที่สุด นำทุกคนมานั่งปฏิบัติกรรมฐานรักษาอารมณ์พระโสดาบัน (สังโยชน์ ๓) โดยไม่รู้ตัว เสมือนหนึ่งยาถ่ายบรุ๊คแล็ค ที่ตัวยาเคลือบด้วยช็อคโคแล็ต ทุกคนกินเข้าไป เพราะมีรสหวาน แต่มีตัวยาที่รักษาโรค (ฆ่ากิเลส ป้องกันนรก) ที่มีผลอย่างมหาศาล

จากการที่ทราบผลเปรียบเทียบ ทางตรงและทางอ้อม ของการปฏิบัติกรรมฐาน มโนมยิทธิ จึงเป็นวิชาที่ทุกคนฝึกได้แล้ว ควรรักษาไว้เท่ากับชีวิต ท่านขึ้นนิพพาน ๑ ครั้ง เท่ากับท่านฝึกอารมณ์พระโสดาบัน ๑ ครั้ง แล้วหนึ่งวัน ท่านขึ้นนิพพาน ๑๐ ครั้ง เท่ากับว่า ท่านฝึกอารมณ์พระโสดาบัน ๑๐ ครั้งเช่นเดียวกัน แล้วท่านจะไปวิตกทำไม เมื่อขึ้นไปแล้วไม่เห็นภาพ หรือมีภาพที่ไม่แจ่มใส ถึงแม้วันใดท่านขึ้นไป ไม่ปรากฏมีภาพ แต่ท่านก็มีผลของสังโยชน์ ๓ แล้ว (อารมณ์พระโสดาบัน) โดยอัตโนมัติ

ll กลับสู่สารบัญ


14

ผองพระคุณปกปักรักษาใจ


ประพัฒน์ ทีปะนาถ

เขตจตุจักร กรุงเทพ

ประนมหัตถ์มนัสน้อมนมัสการ
องค์พระราชพรหมยานพ่อใหญ่
สิบปีแล้วท่านละสังขารไป
เหลือแต่คำสอนไว้ให้ทำตาม


ขันธ์ห้าอยู่ใต้พระไตรลักษณ์
จงมุ่งหักสังโยชน์ร้ายไฟทั้งสาม
หมั่นสั่งสมอบรมความดีงาม
เพิ่มพูนความพิสุทธิ์ตลอดไป


เคยอาศัยร่มบุญเกื้อหนุนอยู่
จะหาผู้ใดเหมือนมาแทนได้
ผองพระคุณปกป้องรักษาใจ

**************************


 ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 14/5/12 at 15:04 [ QUOTE ]


15

รำลึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ


น.อ.ไชยณรงค์ เศรษฐสงวน ร.น.


ลุเดือนตุลาคม ๒๕๓๕ พวกเราศิษยานุศิษย์ชายหญิง ยังคงจำกันได้ว่า วันนั้นเป็นวันที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ หรือในนามที่คนทั่วไปทั่วประเทศเรียกท่านว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือพระมหาวีระ ถาวโร แห่งวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ได้มรณภาพแล้วที่โรงพยาบาลศิริราช ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนเมื่อทราบข่าวแล้ว คงกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ อาลังอาวรณ์หมดเรี่ยวแรง อ่อนเพลียระเหี่ยใจไปหมด

ต่อไปนี้ไม่มีโอกาสพบหน้าหลวงพ่ออีกแล้ว ทุกคนต้องปลอบใจตัวเอง แต่จะทำอย่างไรได้ เป็นไปตามกฎธรรมดาของสังขาร แม้แต่องค์สมเด็จปรมาจารย์ ผู้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ยังดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์สาวกองค์หนึ่ง ก็ต้องดับล่วงไปตามธรรมดา ตามกาลเวลา แล้วพวกเราทั้งหลายใครบ้างที่จะหนีพ้นพระยามัจจุราช จะช้าหรือเร็วเท่านั้น

หลวงพ่อจากพวกเราไปแล้ว แต่ความเมตตากรุณาตามคำสั่งสอนของท่าน ให้แก่ลูกศิษย์ทุกคนเสมอเหมือนกันหมด โดยไม่มีอคติเลย ใครจะรับไว้ได้มากน้อย ก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมีของแต่ละท่านที่เชื่อ ศรัทธา และปฏิบัติจริง ตามที่หลวงพ่อสอนแล้วเท่านั้น ใครที่ยังไม่เคยรู้จัก แต่เมื่อได้พบทันองค์ท่าน ได้ฟังธรรม ได้สนทนาซักถาม หรือได้พูดคุยกับท่านสักครั้งหนึ่งแล้ว

ก็มีความปรารถนาอยากจะมาฟังธรรม อยากสนทนากับหลวงพ่ออีก อย่างไม่เบื่อหน่าย นับได้ว่าหลวงพ่อมีอัจฉริยะในการปลูกศรัทธาได้เยี่ยมยอดจริงๆ ผู้เขียนขอเล่าถึงการแสดงพระธรรมเทศนาของพระภิกษุสงฆ์ในยุคปัจจุบันนี้ กับที่หลวงพ่อแสดงในวันสำคัญ เช่น วันมาฆบูชา วิสาขบูชา เป็นวันอะไร มีความสำคัญอย่างไร พุทธบริษัทต้องทำบุญใส่บาตรและสมาทานศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ตามกำลังศรัทธา

จบคัมภีร์ก็ เอวัง ไม่เหมือนสมัยก่อนอย่างหลวงพ่อเทศน์ เช่น เทศกาลในเทป พ.ศ.๒๕๒๖ วันมาฆบูชา เมื่อหลวงพ่อเริ่มเทศนา หลวงพ่อจะบอกวันที่ หรือบอกศักราชทั้งสิ้น วันเดือนปีที่เทศนา และนับแต่องค์สมเด็จพระศาสดานิพพานล่วงมาเป็นเวลาเท่าไร ซึ่งบอกเป็นภาษาบาลีวรรค จบแล้วจึงเทศนาความสำคัญของวันนั้นๆ ตามลำดับจนจบ การเทศนาก็ไม่ต้องเปิดใบลานอ่านเหมือนทั่วๆ ไป

แต่เทศน์ด้วยปฏิภาณ ซุ่มเสียงดังกังวาน แจ่มใส แทรกซ้อนสาระธรรมที่น่าฟัง ยกตัวอย่าง บุคคลาธิษฐานชวนให้ขำและเพลิดเพลินในการฟัง ไม่ง่วงและเบื่อในการฟัง ที่ข้าพเจ้าพูดมานี้ ท่านทั้งหลายคงจะไม่ว่ามากเกินไปนะ มิฉะนั้นคนคงจะไม่แน่นขึ้นๆ ทุกที ขอเล่าย้อนหลังสักหน่อย สมัยปี ๒๕๑๖ บ้านสายลม เลขที่ ๙ พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ และคุณอ๋อย ศรีภรรยา เจ้าของบ้านผู้ใจดีและมีเมตตาสูง

ได้อาราธนาหลวงพ่อให้มาสอนธรรมะทุกต้นเดือน ข้าพเจ้าโชคดีมีโอกาสพบกับคุณอ๋อยและคณะของท่านที่วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก และกรุณาให้ข้าพเจ้ามาหาหลวงพ่อตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน บ้านสายลมสมัยนั้นมีห้องกลางเพียงห้องเดียว ยกพื้นไม้สูงประมาณ ๖ นิ้ว จากประตูทางเข้าไปเกือบชนโต๊ะหมู่บูชา มีธรรมาสน์ตั้งหันหลังให้ข้างฝา หันหน้ามาทางโต๊ะหมู่บูชา มีพื้นที่นั่ง กว้างxยาว ประมาณ ๔x๔ ม. เห็นจะได้

สมัยนั้นมีผู้ไปรับธรรมหลวงพ่อ มีท่านเจ้ากรมฯ เป็นประธาน พร้อมญาติมิตรและผู้ใกล้ชิดของท่าน และคนภายนอกที่ท่านเมตตาให้ไปรับธรรม รวมทั้งผู้เขียนไม่เกิน ๓๐ คนทั้งหมด เมื่อได้เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. เศษ หลวงพ่อออกจากห้องพักมาขึ้นธรรมาสน์ หลวงพ่อจะโอภาปราศรัย ทักทายผู้ที่มา เจริญศรัทธาให้จิตรื่นเริงที่จะฟังธรรมต่อไปแล้ว พอได้เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. เศษ

ท่านเจ้ากรมซึ่งนั่งอยู่หน้าธรรมาสน์ด้านขวามือ ก็จะอาราธนาศีล ๘ เมื่อหลวงพ่อให้ศีลเรียบร้อยแล้ว ก็จะให้ญาติโยมทั้งหมดตั้งนะโม แล้วก็สอนให้ว่า คำขอพระกรรมฐาน เมื่อกล่าวจบเรียบร้อยแล้ว ไฟก็จะดับ พวกเราทั้งหมดก็จะนั่งสงบ จับลมหายใจเข้าออกตามที่ท่านสอน ครึ่งชั่วโมงผ่านไป สัญญาณกริ่งของหลวงพ่อดังขึ้น แล้วก็นำอุทิศแผ่กุสล สมัยนั้นมีคนน้อย ทุกคนต่างนั่งกันอย่างเงียบสงบดีเหลือเกิน

ตอนนี้ไฟเปิดสว่างแล้ว บ่อยครั้งมากหลังพระกรรมฐานแล้ว หลวงพ่อจะเปิดเผยเล่าให้ฟังว่า วันนี้มีใครมาเยี่ยม มาพบหลวงพ่อ แนะนำให้หลวงพ่อสอนธรรมให้ตรงกับอัชฌาศัยของผู้ปฏิบัติ บางครั้งก็จะพรรณนาถึงท่านที่มา แต่งกายแพรวพราว มีรัศมีสวย ทำให้ผู้ที่มาหาหลวงพ่อปฏิบัติธรรมต่างตื่นเต้น และศรัทธามากขึ้น เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน มิช้านานห้องกลางก็ต้องขยาย ยกพื้น

รื้อออกขยายให้คนนั่งไปจนสุดห้อง เพราะจากกิตติศัพท์ที่คนมาพบหลวงพ่อแล้วได้พบปฏิปทาความเมตตากรุณาของหลวงพ่อ เล่าต่อๆ กันไปมากขึ้นอย่างที่เห็นอยู่แล้ว เมื่อสมัยที่ข้าพเจ้ามาหาหลวงพ่อใหม่ๆ นั้น หลวงพ่อเคยทักข้าพเจ้าว่า “คุณไชยณรงค์นี่ ถ้าไม่ติดในรส ไปนานแล้ว” ข้าพเจ้าสะดุดใจทันที หลวงพ่อรู้เข้าไปในจิตในของข้าพเจ้าได้อย่างไร ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็พยายามลดละไอ้ตัวติดในรสนี่เรื่อยมา

แต่ของที่มันเคยชินมาเป็นอสงไขยกัปนี้ละยากจริงๆ วันที่ผู้เขียนรำลึกถึงหลวงพ่อ คราวนี้ตรงกับวันที่หลวงพ่อจากพวกเราไปเป็นเวลา ๑๐ ปี เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน

ll กลับสู่สารบัญ


16

น้ำมันชาตรี


เฉลียว อาณาวรรณ


หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ได้ทำพิธีพุทธาภิเษกน้ำมันชาตรีไว้สงเคราะห์ลูกหลาน เพื่อใช้ในการรักษาโรค และอีกอย่างคือเรื่องลูกเบา ถ้าถูกอะไรทุกอย่างเบาหมด ก่อนใช้ให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคเป็นที่สุด แล้วตั้งนะโม ๓ จบ และว่า

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้ด้วยเถิด


หลวงพ่อท่านให้แตะที่ศีรษะทุกวันๆ ละหนึ่งครั้ง ดิฉันได้ทำตามหลวงพ่อแนะนำตลอดมา หลังจากเสกน้ำมันชาตรีได้ไม่กี่เดือน ขณะที่ดิฉันกำลังนั่งแยกเศษสตางค์อยู่ในห้องด้านหลังห้องที่หลวงพ่อรับแขกที่บ้านสายลม กล่องน้ำมันชาตรีที่วางซ้อนกันไว้สูงได้ล้มลง มีกล่องหนึ่งหล่นกระแทกกลางหลังดิฉัน รู้สึกว่าหนักและแรงมาก ใจก็นึกถึงน้ำมันชาตรีที่เจิมศีรษะทุกวัน และภาวนา นะโมพุทธายะ

โดยไม่สนใจเสียงที่ถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า ภาวนาสักครู่จนรู้สึกเบาโล่ง จึงลืมตาขึ้นทำงานต่อไปได้
ครั้งที่สอง ดิฉันหกล้มที่ลานจอดรถ ๑๐๐ ไร่ มือซ้ายยันลงไปที่พื้น ทุกคนที่ไปด้วยถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ขณะนั้นไม่รู้สึกว่าเจ็บส่วนไหนเลย จนมาถึงห้องพัก นั่งคอยเพื่ออาบน้ำ เริ่มรู้สึกปวดที่ข้อมือซ้าย ความปวดทวีขึ้นตลอดเวลา คิดว่าปวดมากๆ อย่างนี้ข้อมือคงหักหรือร้าว

แล้วจะทำอย่างไรดี ใจก็คิดถึงน้ำมันชาตรีทันที ดิฉันหยิบน้ำมันชาตรีมาอธิษฐาน ทาลงไปบริเวณที่ปวด ความรู้สึกที่ปวดอย่างมากนั้นหายไปทันที ครั้งที่สาม ราวต้นปี ๒๕๔๕ ดิฉันเดินอยู่บนขอบเทอเรส (เดินไปดูสุนัขที่นอนป่วยอยู่) พลันเท้าเดินไปในอากาศ ร่างกายตกลงไปข้างล่าง สูงประมาณฟุตกว่า

ไม่มีความรู้สึกว่าส่วนใดของร่างกายกระทบพื้นปูนซีเมนต์เลย เบาไปหมด เหตุการณ์ที่ดิฉันได้ประสบและปลอดภัยตลอดมา ก็เพราะน้ำมันชาตรีของหลวงพ่อสงเคราะห์ ถ้าทุกคนเชื่อมั่นและปฏิบัติตามที่หลวงพ่อแนะนำและสั่งสอน ก็จะปลอดภัยเช่นเดียวกัน

ll กลับสู่สารบัญ


17

ความระลึกถึง


สุธี สุวรรณทัต


เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ทุกครั้งที่หลวงพ่อเข้าสายลม เรา ๓ คน บี๋ (คัทริน ตัณฑ์ไพบูลย์ เพื่อนผู้แสนดีที่สุด) เษม (เกษมศรี พันธ์ปรีชา) และดิฉัน (ทั้ง ๒ ท่านหนีดิฉันไปนิพพานแล้ว) ต้องเข้าสายลมเพื่อจะกราบและฟังคำสอนจากท่าน บี๋จะมารับดิฉันก่อนแล้วถึงไปรับเษม เป็นอย่างนี้ประจำ ครั้งหนึ่งกลับจากทำงาน ก็อาบน้ำแต่งตัว เตรียมพร้อมเข้าสายลม ซองใส่เงินถวายก็เรียบร้อย พอถึงบ้านท่านเจ้ากรมฯ

พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ลงมาจากข้างบนพอดี กราบท่านเสร็จ เปิดกระเป๋าสตางค์หยิบซองเตรียมถวาย ก็มีเสียงติงมาจากท่าน เจ๊... เจ๊ ในซองมีเงินหรือเปล่า ใจหายวาบ เปิดซองดู จริงๆ ด้วย ลืมใส่เงิน ถ้าท่านไม่ท้วงมีหวังต้องย้ายบ้านไปไหนก็ไม่รู้ ฐานหลอกพระ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ อีก ๒๐ ปีต่อมา วันนั้นมีบวงสรวงที่สายลม ไปที่ทำงานก่อน เอาของเก็บ แล้วลามาบ้านท่านเจ้ากรมฯ บวงสรวงเสร็จ

พระเดชพระคุณทำน้ำมนต์ ดิฉันมองไปที่หลวงพ่อ ดูท่านอยู่ พร้อมทั้งนึกในใจว่า หลวงพ่อขาวขึ้นและอ้วนขึ้นนะ แล้วก็นั่งคอยน้ำมนต์ พอเสร็จพิธีท่านก็เดินพรมน้ำมนต์ พอถึงดิฉันท่านก็สะบัดที่พรม พรมให้ดิฉัน ๒ ที พร้อมทั้งบอกว่า “เอ้า อ้วน ๒ เท่า” ดิฉันก็ไหว้ท่าน เสร็จแล้วก็เข้าไปนั่งกันต่อที่ห้องที่ท่านนั่งประจำ คุยกันครู่หนึ่ง ท่านก็ว่า “ที่ฉันให้อ้วน ๒ เท่า จะเอามาคืนก็ได้นะ”

ดิฉันไม่ได้คืนท่าน รูปร่างเลยอุดมสมบูรณ์จนทุกวันนี้ และถ้ามีผู้หวังดีบอกว่า พี่ธีอ้วนแล้วนะ ลดได้แล้ว เมินเสียเถิด นี่เป็นการให้ของหลวงพ่อ ต้องอนุรักษ์ไว้ ประมาณ ๗ ปีที่ผ่านมา ไปทัศนศึกษากับพี่และน้องกลุ่มเดิม ไปอาฟริกากัน ไป ๗ วัน เที่ยวไป ๔ วัน เกิดอาการเพลีย และปวดท้องมากในตอนกลางคืน เดินไปหาพี่เชิญ พี่ตรวจอาการเสร็จ ให้หมากหลวงพ่อมารับประทาน ๑ องค์ อธิษฐานเอา ขออย่าเป็นอะไรมาก

พอตอนเช้าไปเที่ยวเหมืองเพชร เขาเข้าเหมืองเอาเพชรขว้างใส่กัน แต่ดิฉันนอนคอยที่บ้านพักพนักงาน เพลีย เดินไม่ไหว พอออกมาจากเหมือง มีผู้จัดการเหมืองตามมาด้วย พาตัวไปหาหมอ ตรวจเสร็จหมอบอกไส้ติ่งแน่นอน แกจะส่งไปโรงพยาบาลเพราะหมอไม่เชี่ยวชาญทางช่องท้อง พอถึงโรงพยาบาล โดนเอาขึ้นเตียงเข้าห้องเลย คอยหมอจะมาตอนบ่าย รีบทำสมาธิกราบหลวงพ่อทันที

หลวงพ่อเจ้าขา ขอลูกไปผ่าที่บ้านเรานะคะ อย่าผ่าที่นี่เลย เพราะอีก ๒ วันจะกลับบ้านแล้ว ถ้าผ่าลูกต้องอยู่คนเดียว ต้องเดินทางกลับคนเดียว คงแย่เจ้าค่ะ ช่วยลูกด้วยเจ้าค่ะ ขออย่างนี้เป็นหลายครั้งเลย เชื่อไหมคะ หมอที่เชี่ยวชาญทางช่องท้อง จบจากสวิตเซอร์แลนด์ตรวจดิฉัน คลำท้องถามอาการ คงงง เพราะไม่มีอาการบอกถึงไส้ติ่งอักเสบ ไม่ไข้ ไม่อาเจียน หมอเลยฉีดยาแก้ปวดและดูอาการอีกวัน ตกลงไม่มีการผ่าตัด

พอถึงเวลากลับบ้าน คณะที่โรงพยาบาลก็มารับดิฉันที่สนามบินกลับบ้าน พอถึงบ้านอาบน้ำสระผม แล้วก็ไปโรงพยาบาลกรุงเทพฯ หมอนัดผ่าบ่าย ๒ โมง วันรุ่งขึ้นหมอมาเยี่ยมบอกว่า ไส้ติ่งเป็นหนองแล้ว พี่เชิญบ่นว่าถ้ารู้ว่าเป็นไส้ติ่ง ไม่เอากลับมาด้วย ความกรุณาของหลวงพ่อครั้งนั้น เป็นความกรุณาที่ยิ่งใหญ่สุดที่จะลืมได้ ดิฉันระลึกตลอดเลยว่า ที่ดิฉันสบายและมีความสุขทุกวันนี้ เพราะดิฉันมีหลวงพ่อ

ถ้าไม่มีท่าน ไม่ได้มีโอกาสกราบท่าน ดิฉันจะไม่มีวันนี้ ไม่มีโอกาสรู้เลยว่า เราจะทำทุกอย่างเพื่อการเกิดครั้งนี้ ขอเป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ไม่ต้องมีทุกข์ มีการเกิด แก่ เจ็บ ตายอีก ลูกขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อ ด้วยความเคารพและรักอย่างสุดซึ้ง และขอกราบขอบพระคุณที่เมตตากรุณา และไม่เคยลืมลูกๆ เลย

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/5/12 at 15:14 [ QUOTE ]


18

หลวงพ่อไปหาข้าพเจ้าสองครั้ง


เทพ หงส์โตสวัสดิ์


ข้าพเจ้าขอน้อมกราบนมัสการพระ และขอขมาพระทุกวัน เพราะรู้สันดานของตัวเองว่า เป็นคนดื้อรั้นและชอบทดสอบ เสี่ยงต่อการปรามาสพระเป็นเวลายาวนานนับสิบๆ ปีแล้ว ด้วยความสำนึกผิดจึงขอบอกกล่าวประสบการณ์ที่ได้พบเห็นมาด้วยตนเอง เป็นการตอบแทนพระคุณอันสูงสุดของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในวาระครบรอบ ๑๐ ปี แห่งการทิ้งสังขาร ดังต่อไปนี้

ปี พ.ศ.๒๕๑๗ ได้มีโอกาสกราบนมัสการหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่วัดพระธาตุจอมกิตติและพระธาตุดอยตุง ที่จังหวัดเชียงราย ข้าพเจ้ามีความรู้สึกลึกๆ ภายในใจว่า พระอาจารย์องค์นี้จะต้องเป็นผู้ทรงอภิญญา คือ ตาทิพย์ หูทิพย์ รู้วาระจิตของศิษย์ มีฌานสมาบัติสูงกว่าลูกศิษย์ ไม่ใช่เป็นนักปริยัติที่ปฏิบัติไม่ได้ เป็นคนตาบอดสอนคนตาบอดเป็นแน่

ข้าพเจ้าได้พบพระเปรียญสูงที่ไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธองค์มามาก นอกจากไม่เชื่อแล้วยังแถมอวดอ้างตนเองว่า เก่งกว่าพระพุทธองค์อีกด้วย เช่น พระพุทธองค์ตรัสว่า ตายแล้วไม่สูญ แต่ท่านมหาโมฆะบุรุษก็บอกว่า ตายแล้วสูญ ผีหรือเทวดาก็ไม่มี... แม้แต่พระพุทธองค์ก็ไม่มี พูดมากไปชักจะไกลหัวข้อเรื่อง จึงขอสรุปความดื้อ ความหลงตัวเองว่า

แม้จะเคยเป็นอาจารย์และเป็นครูใหญ่โรงเรียนมัธยมธรรมสภามาเป็นเวลา ๗ – ๘ ปีแล้ว แต่ก็ยังมีความโง่ ความเซ่อบริสุทธิ์ไม่แพ้พระเปรียญสูงดังกล่าวเช่นกัน ปี พ.ศ.๒๕๒๐ ข้าพเจ้าได้กราบนมัสการหลวงพ่อที่ศาลานวราช คนนั่งกันเต็มศาลา ข้าพเจ้ามาทีหลังจึงได้นั่งแถวท้ายสุด ได้เอาคำถามตัวสงสัยมาอ่านทบทวนในใจ เผื่อจะคลานเข้าไปถามหลวงพ่อใกล้ๆ ในวันนั้น หลวงพ่อคุยกับลูกหลานเรื่อยๆ ไป

ขณะที่อ่านข้อสงสัยจบ เก็บคำถามใส่กระเป๋าเสื้อแล้ว หลวงพ่อก็ตอบคำถามทั้ง ๔ ข้อครบถ้วน ทำไมคำตอบจึงตรงกับคำถามของข้าพเจ้า อะไรจะบังเอิญตรงกันสุดสุดขนาดนั้น แต่ภายในใจก็ยังสับสนและอคติว่า บังเอิญหรือท่านใช้กุมารทองพรายกระซิบ จึงได้รู้ชัดเจน ถูกต้อง มันเป็นความโง่ของข้าพเจ้าเอง ประมาณ ๒ – ๓ ปีผ่านมา (พ.ศ.๒๕๒๓) เป็นวันทอดมหากฐินที่ศาลาพระพินิจอักษร

ด้านใต้พระอุโบสถ ข้าพเจ้ากับภรรยา พร้อมด้วยญาติพี่น้อง ได้ไปร่วมบุญมหากฐินในวันนั้นด้วย คนแน่นศาลาและได้นั่งแถวท้ายสุดอีก ขณะที่ภรรยายกผ้าไตรขึ้นอธิษฐานจิตเสร็จแล้ว ก็กระซิบบอกข้าพเจ้าด้วยความดีใจว่า “วันนี้หลวงพ่อแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ ใส่ชฎาเหมือนพระวิสุทธิ์เทพเลยนะพี่” ข้าพเจ้ามองไปที่หลวงพ่อ ซึ่งนั่งอยู่บนธรรมาสน์ ก็เห็นท่านนุ่งสบงทรงจีวรเช่นเดียวกับพระบนอาสนะสงฆ์

มิได้ใส่ชฎาสักหน่อย แต่ก็อนุโมทนากับภรรยา ในใจก็นึกน้อยใจตนเองว่า พลังสมาธิสู้แม่บ้านไม่ได้ และแม่บ้านเคยตำหนิข้าพเจ้าว่า หลงงมงายเคารพนับถือหลวงพ่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา และยังเคยตำหนิหลวงพ่อว่าพูดตลกมาก ไม่สงบ ไม่สำรวมเหมือนพระกรรมฐานทั่วไป ตั้งแต่ได้เห็นกายทิพย์ของหลวงพ่อก็นับถือ เคารพบูชาอย่างสูงสุดจนถึงปัจจุบันนี้

ข้าพเจ้านั่งกรรมฐาน “มโนมยิทธิ” มาสามปีเศษ นั่งมืด! นั่งมืด! ไม่เห็นพระ ยอมแพ้สุภาพสตรีเพศแม่มาตลอด ฉะนั้นในวันนี้หลังจากสมาทานพระกรรมฐานที่ห้องพระภายในบ้านที่อุตรดิตถ์แล้ว ก็อธิษฐานจิตว่า “สามปีแล้วไม่ได้พบเห็นพระในสมาธิเลย ในวันนี้จึงขอเลิกฝึกวิชชามโนมยิทธิ และขอนั่งกรรมฐานตามแบบหลวงปู่สด (พระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำภาษีเจริญ) ตามเดิม” เวลาผ่านพ้นไปประมาณ ๑๕ นาที

หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุงก็ปรากฏกายให้เห็นในสมาธิ เป็นพระสงฆ์สวยงามสดใสเหมือนภาพในปกหนังสือโลกทิพย์ของคุณปถัมภ์ เรียนเมฆ ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นก็ยังเห็น หลวงพ่อลอยสูงกว่าพื้นประมาณหนึ่งฟุต และกล่าวว่า “เรามันกิเลสหนา ปัญญาควาย บาปมาก จะได้มโนมยิทธิเต็มกำลังในวันตาย” แล้วเอามือลูบศีรษะ “อดทนนะลูก” แล้วหลวงพ่อก็หายไป นี่เป็นวันที่หลวงพ่อไปหาครั้งที่ ๑

ต่อไปเป็นเรื่องศรัทธาหัวเต่า หลังจากที่ได้ถวายสังฆทานที่ศาลา ๑๒ ไร่ ก่อนจะกลับก็อยากจะทำบุญกับหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง ๑๐๐ บาท ก็เข้าคิวตรงหน้าหลวงพ่อ เหลืออีกประมาณ ๘ – ๙ คน ก็จะถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นหลวงพ่อเป็นสามเณรเล็กๆ อาจประมาณ ๗ – ๙ ขวบ มานั่งแทนที่ ก็รู้สึกผิดหวัง จึงเก็บธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วเอาใบละ ๑๐ บาทมาพนมมือต่อ

แต่พอใกล้จะถึงอีก ๒ – ๓ คน สามเณรก็กลายเป็นหลวงพ่อ ข้าพเจ้าจึงรีบควักกระเป๋าเสื้อเอาใบละ ๑๐๐ บาทขึ้นมาพนมมือต่อ หลวงพ่อหัวเราะอย่างขำขันเสียงดัง มองข้าพเจ้าด้วยความเมตตาสงสาร ท่านคงจะนึกขำขันในความโง่เง่าเจ้าเต่าล้านปีของข้าพเจ้าแน่ เมื่อถึงคิวข้าพเจ้า หลวงพ่อก็เมตตาจับขอบขันและหัวเราะชอบใจ พฤติกรรมเช่นนี้น่าจะเรียกว่า “ศรัทธาหัวเต่า” จึงสาสมใจ....

ต่อมาในวันที่หลวงพ่อมรณภาพ ข้าพเจ้าพร้อมญาติพี่น้องจะเดินทางไปแต่งงานหลานชายที่ดอนเมือง ฝ่ายชายเป็นบุตรของคุณสมศักดิ์ คุณสุนันทา แย้มชื่น ซึ่งเป็นน้องของแม่ประชิด มนูศักดิ์ หงส์โตสวัสดิ์ เป็นสารถีผู้ขับรถยนต์ ก่อนสตาร์ทรถได้พูดขึ้นว่า “พ่อครับ! วันนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงมายืนรอบรถทั้ง ๔ ทิศเลย” ข้าพเจ้าก็รู้โดยอัตโนมัติว่า หลวงพ่อมาบอกลาจะไปนิพพานแน่

จึงได้พูดกับลูกว่า “หลวงพ่อมาให้พรลูกหลาน ขอให้โชคดีทั้ง ๔ ทิศทุกคน” พร้อมแล้วออกเดินทางได้การเดินทางในค่ำคืนนั้น อากาศครึ้มฝนและลมพายุพัดกรรโชกแรง พอพ้นเขตตะพานหิน จังหวัดพิจิตร กระจกหน้ารถยนต์แตกกระจายโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นผลให้ข้าพเจ้าและลูกชายซึ่งนั่งอยู่ตอนหน้าถูกน้ำฝนตกกระหน่ำตลอดทาง จนถึงจังหวัดสิงห์บุรี จึงได้เปลี่ยนกระจก เป็นครั้งที่ ๒ ในอาทิตย์เดียวกัน

ได้นึกถึงคำปรารภของหลวงพ่อว่า “ก่อนที่พ่อจะทิ้งสังขารไปนิพพาน อากาศจะวิปริตแปรปรวน ปั่นป่วนวิปโยคอยู่ประมาณ ๗ – ๘ วัน” เมื่อถึงดอนเมืองก็ได้ทราบข่าวหลวงพ่อมรณภาพในเวลา ๑๖.๐๐ น.เศษ ที่โรงพยาบาลศิริราช พอถึงเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. หลวงพ่อก็ไปปรากฏกายให้ลูกชายได้เห็น ซึ่งเป็นระยะห่างกันเพียง ๖ ชั่วโมง จึงนึกถึงคำบันทึกของคุณหมอสบสันต์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

ที่หลวงพ่อไปหาหมอพูดว่า “หมอไม่ต้องเสียใจ” พ่อมายืนอยู่ใกล้ๆ หมอแล้ว ......... คนนับสิบๆ ล้าน ถ้าคิดถึงหลวงพ่อในเวลาเดียวกัน หลวงพ่อก็แยกกายมาหาลูกได้ทุกคน คล่องตัวกว่าตอนมีกายสังขารหยาบมาก ปีนี้ผู้เขียนอายุ ๗๕ ปี บวกกับภรรยา ๗๒ ปี รวมเป็น ๑๔๗ ปีแล้ว ถ้าตายเมื่อใด ก็จะได้เป็นอาจารย์เมื่อนั้น เพราะคณะแพทย์ศาสตร์เชียงใหม่เขายกย่องเชิดชูให้เป็นอาจารย์ใหญ่

ผู้อุทิศร่างกายนักศึกษาแพทย์ได้เห็นของจริงจากสรีระมนุษย์ประกอบการศึกษาของแพทย์สืบไป ศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ต่างมีปณิธานมุ่งมั่นไปพระนิพพานในชาตินี้ทุกคน แต่สำหรับผู้ปรารถนาพุทธภูมิจะต้องเดินทางไกล ตามหลวงปู่ปานหรือพระศรีอาริยเมตตรัย อันเป็นสายของพระโพธิสัตว์ผู้มุ่งพระนิพพาน ก็จะต้องไปคอยคิวอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต อีกเป็นเวลายาวนานนับล้านปี จึงจะไปพระนิพพานได้

ในโอกาสนี้ ขออาราธนาบุญบารมีท่านปู่ (พระอินทร์) ท่านย่า หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อโยธยา ราชธานี พระศรีสรรเพชรมรกต สมเด็จองค์ปฐมบรมพระพุทธเจ้าทรงเป็นองค์ประธาน โปรดคุ้มครองให้ลูกหลานญาติมิตร เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ค้ำจุนพระพุทธศาสนา มีปัญญาสูงสุด สมบูรณ์ด้วยมนุษยสมบัติ ทิพยสมบัติ นิพพานสมบัติ

ll กลับสู่สารบัญ


19

บันทึกเบ็ดเตล็ด


วัชรพงศ์ ศรีหนองห้าง


ในการเขียนครั้งนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเขียน เพราะผมเคยเขียนเรื่องลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ แล้วเมื่อปี ๒๕๓๕ หลังจากบวชถวายกุศลให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อเดือนธันวาคม ๒๕๔๔ มาแล้ว จึงไม่ใคร่อยากจะเขียนอีก แต่ท่านอาจารย์ปริญญาบอกว่า ให้เขียนประสบการณ์อันระลึกถึงพระคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ หลังจากที่ผ่านมาแล้ว ๑๐ ปี แต่ก็เห็นว่าตัวเองยังเลวอยู่

หาความดีอะไรก้าวหน้าไม่ใคร่ได้เลย ไม่อาจเทียบกับการที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เมตตาเป็นล้นพ้น หาที่สุดมิได้ ที่ขุดจิตขุดใจของลูกหลานของท่านเป็นรายคนเลยทีเดียว ตัวผมเองได้ความรู้มากมายในทางพระศาสนา ก็เพราะพระเดชพระคุณท่านอบรมสั่งสอน และแก้ข้อสงสัยต่างๆ แม้บัดนี้ประมาณ ๒๐ ปีแล้วที่รู้จักคำว่าทำบุญ ก็ไม่ใคร่จะได้ดี เหมือนกับความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

แต่ถึงกระนั้นจิตใจก็ยังมั่นคงในพระไตรสรณคมน์ ไม่มีคลอน วันที่หลวงพ่อท่านสิ้น จำได้ว่าวันนั้นที่กรุงเทพฝนตกปรอยๆ อากาศเย็นติดต่อกันหลายวัน คืนก่อนวันที่ท่านจะสิ้นนั้น ฝันไปว่าได้เข้าไปในห้องโล่งห้องหนึ่ง เห็นหลวงพ่อท่านแต่งตัว ใส่เสื้อคอกลมนุ่งกางเกงแพร กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เป็นช่วงของห้องที่มีการยกพื้นขึ้นประมาณ ๒ – ๓ ขั้น ท่านกวักมือเรียกเข้าให้ไปหาว่า “ไอ้หนูมานี่มา”

ก็เดินเข้าไปหาท่าน แต่บนขั้นบันไดที่ยกพื้นนั้นมีพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๕ – ๙ นิ้ว วางอยู่เต็มไปหมด แต่ตอนนั้นในฝันก็เดินเหยียบขึ้นไป สักพักก็ตื่นขึ้นมา ต้องขอขมาเป็นการใหญ่เลย แต่ก็ดีใจที่ฝันถึงหลวงพ่อ เพราะปกติแล้วไม่เคยฝันถึงท่านเลย พอตอนเช้าก็ไปเรียนไม่ทราบข่าว เมื่อกลับถึงบ้านในตอนเย็น แม่บอกว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว รู้สึกว่าเราขาดที่พึ่งแล้วหนอ มันรู้สึกตื้อไป งงไปหมด

คิดทำอะไรไม่ถูก เพราะที่ผ่านมาเวลาทำบุญอะไรก็นึกถึงท่าน ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงเสมอ ท่านเป็นหลักยึดของจิตใจเรา สงสารท่านเวลาท่านเทศน์สอน ทั้งที่ท่านก็ป่วยมาก แต่ก็เมตตาต่อลูกหลานเสมอ จึงขึ้นรถเมล์ตรงไปซอยสายลมก่อนคนเดียว นั่งน้ำตาซึม ก็พยายามกลั้นไว้ อายเขา แต่พอถึงสายลมเจอพวกพ้อง ก็ต้องหามุมหลบไป เพราะเจอกันก็พาลจะร้องไห้ตามกันไป

แต่ส่วนใหญ่จะอยู่รอกันที่โรงพยาบาลศิริราช พ่อกับแม่ตามไปที่สายลมทีหลัง วันนั้นแม่เช่าพระพุทธรูปพระแก้ววิสุทธิเทพให้ เพราะเห็นว่าอยากได้มานาน และเมื่อพอสอบถามได้ความคืบหน้า และกำหนดการของทางวัดแล้วก็พากันกลับบ้าน เมื่อสองสามวันถัดไป คลายเศร้าไปได้ พิจารณาตามคำสอนของท่าน ว่ามันเป็นอนิจจัง ไม่แน่นอน เมื่อไปที่วัดก็ไปกราบพระศพท่านที่ศาลา ๑๒ ไร่

ไปเจอพี่ไอศูรย์นั่งถือขวดนมป้อนนมลูกอยู่ที่ศาลา (พี่ไอศูรย์คนนี้เป็นคนแรกที่เข้าไปกับพี่เซี้ยงเพื่อขออนุญาตหลวงพ่อในการจัดหาตุงมาปัก ในงานฉลองพระเจ้าพรหมมหาราช ถ้าจำไม่ผิดก็เมื่อปี ๒๕๒๗ จึงได้มีการปักตุงนับแต่นั้นเป็นต้นมา) จึงเดินเข้าไปทักทาย แต่ไม่ทันจะถึงดีก็ปล่อยโฮออกมา นั่งสะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ พี่เขา พูดอะไรไม่ออก จนพี่เขาต้องบอกว่า กูอยู่ดีๆ มึงจะมาทำให้กูพาลร้องไห้อีกคน

วันนั้นพอดีว่าหลวงปู่บุดดาท่านได้มาคารวะศพหลวงพ่อเหมือนกัน ท่านพูดกับหลวงพ่อทำนองหยอกเย้าให้ลูกหลานฟังว่า “มา... ลุกมาคุยกันก่อนสิ” คนที่มาในวันนั้นได้มีโอกาสทำบุญกับท่านเป็นอันมาก แววตาของหลวงปู่ท่านใส น่ารักมาก ท่านมาโปรดให้ได้ชื่นใจกันจริงๆ ได้ยินมาว่า สงสัยหลวงพ่อท่านจะเข้านิโรธ ก็ต้องดูไป ๗ วัน ๑๕ วัน เผื่อว่าท่านจะฟื้นขึ้นมาอีก และเพราะความที่มันโง่

บวกกับความไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความไม่ยอมรับในกฎธรรมดาตามที่ท่านสอน เลยอยู่ค้างวัดกับเพื่อนต่อ พอถึงวันที่ ๗ ก็ไปนอนรอกันที่ศาลา ๑๒ ไร่ รอดูว่าเมื่อไหร่ท่านจะฟื้นเหมือนทุกคราวที่ท่านเคยสิ้นไป เผื่อว่าอาจมีโอกาสทำบุญกับหลวงพ่อตอนออกจากนิโรธสมาบัติด้วย แต่คราวนี้ได้แต่นอนรอให้ยุงกัดไปทั้งคืนกับความหวังอันเล็กน้อย ตื่นเช้ามาท่านก็ยังนอนอยู่เหมือนเดิม (ดูสิคนมันบ้า)

หลังจากนั้นมาอีกสักสามสี่ปี ได้มีโอกาสบวชธุดงค์เมื่อเดือนธันวาคมอีก แต่เพราะว่าเมื่อคราวที่บวชปี ๒๕๓๔ นั้นมีเรื่องที่ค้างคาใจอยู่เกี่ยวกับอาบัติ (ได้เล่าไว้แล้วในเล่ม ๓) คือหลังจากบวชเสร็จแล้ว คุณลุงสมบูรณ์ (คุณลุงท่านนี้เคยทำงานที่การไฟฟ้า พอเกษียณแล้วมาอยู่ช่วยงานที่วัดเป็นประจำ ใจดีมาก เป็นที่รักของทุกคน ทำงานพระศาสนาเพื่อนิพพานจริงๆ ตอนนี้ท่านสิ้นไปแล้ว)

ที่บวชด้วยกัน ได้ฝากชุดนาคไว้กับผม จึงเอาไปเก็บไว้ที่ห้อง แต่ขณะที่กำลังจัดความเรียบร้อยอยู่นั้น อยู่ดีๆ มันก็คิดไปเองว่า เอ... ถ้าเราคิดเอาของของท่านไปจะเป็นอย่างไรหนอ เท่านั้นแหละ ที่เขาบอกว่าร้อนผ้าเหลืองนั้น มันร้อนจริงๆ มันรู้สึกวูบวาบขนลุกไปทั้งตัวเลย แต่ก็พยายามไม่คิดมาก เพราะมันเป็นแค่ความคิดที่แวบเข้ามาเองโดยไม่มีเจตนา แต่ก็ทำให้ใจเศร้าหมอง อดคิดอยู่ไม่ได้

เมื่อไปฟังเทศน์หลวงพ่อ ท่านได้บอกว่าการจัดของย้ายของให้เป็นระเบียบไม่เป็นไร และถ้าคิดมากก็ตกนรา อย่างเรื่องของพระนางมัลลิกาเทวี จึงสบายใจขึ้นและพยายามไม่คิดถึง แต่เมื่ออยู่ว่างๆ นานๆ ทีมันก็แวบเข้ามาให้คิดติดอยู่ในใจตลอดมาจนสึก เลยกลัวว่าบวชครั้งใหม่นี้แล้วจะไม่เป็นพระ แต่ก็พยายามไม่คิดถึงเพื่อไม่ให้ใจเศร้าหมอง จนกระทั่งวันที่จะสึก มีการจับสลากกันว่า

รูปใดจะได้เป็นผู้ถือพานธูปเทียนแพขอขมาตามสถานที่สำคัญต่างๆ รอบวัดท่าซุง จึงได้โอกาสขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นที่สุด ขออธิษฐานว่า “ถ้าหากว่าลูกนี้ไม่ได้ผิดตั้งแต่เดิมมาจริงแล้ว ขอให้จับสลากได้เป็นผู้ถือพานกับเขาคนหนึ่งด้วยเถิด เพื่อเป็นการขอขมาที่จิตมีความคิดสงสัย ตะขิดตะขวงในใจแม้เพียงเล็กน้อย ถือว่าไม่ยอมรับอย่างสมบูรณ์ในคำสั่งสอนของหลวงพ่อที่เคยเทศน์โปรดไว้ ควรที่จะขอขมาต่อพระรัตนตรัย”

เมื่อคิดอย่างนั้นจึงให้ท่านอื่นๆ จับสลากไปก่อน จนกระทั่งเหลือสองอันสุดท้าย เห็นว่ามีอีกท่านรอที่จะจับเป็นรูปสุดท้ายเหมือนกัน เลยจับเป็นคนรองบ๊วย แต่ปรากฏว่าจับได้เบอร์ ๑ เลยได้ขอขมาที่พระประธานในศาลา ๑๒ ไร่นั่นเอง (หมดสงสัยเสียที) ครั้งนั้นนับเป็นพระเดชพระคุณของหลวงพ่อ ที่ท่านโปรดสงเคราะห์อนุเคราะห์ ถึงแม้ร่างของท่านจะได้สิ้นไปแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ยังคงอยู่ด้วยช่วยทุกประการ

พระคุณของท่านที่มีต่อผมนั้น มากมายไม่อาจประมาณได้เลย จนกระทั่งบัดนี้ แม้จะทำการใดๆ ก็ต้องอาศัยท่าน นึกขอให้ท่านช่วยอยู่เสมอ ๑๐ ปีนี้สั้นเหลือเกิน อีกสักประเดี๋ยวก็คงจะอีก ๑๐ ปี ความตายใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว ไม่นานนัก พ่อ แม่ พี่ๆ ของผมก็ต้องจากไป แต่ก็ไม่แน่ว่าตัวเราเองอาจตายไปก่อนก็เป็นไปได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้ให้ความรู้แก่ลูกหลานของท่านทุกคนไว้ทุกอย่างแล้ว

อะไรดี อะไรชั่ว ผมว่าทุกท่านคงจะทราบกันแล้ว ผมไม่มีมีความดีอะไรพอที่จะไปตักเตือนสั่งสอนผู้อื่นได้เลย แต่จากสิ่งที่ประสบพบเห็นมา หลังจากหลวงพ่อท่านสิ้นไปได้ประมาณ ๑๐ ปีนั้น ก็คิดได้แต่ว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตนเอง เพราะตัวเองก็เอาตัวไม่ใคร่รอด อะไรๆ ท่านก็ให้ไว้หมดแล้ว ขอให้ทุกท่านมีที่สุดคือพระนิพพานตามความปรารถนา ได้ไปพบหลวงพ่อที่ท่านรออยู่แล้วทุกท่าน

ส่วนผมนั้นก็คงอีกนาน เพราะความเลวมันมีอยู่อีกมาก ลูกขี้แยคนนี้ต้องไปตามลำพัง ไม่มีหลวงพ่อเป็นที่พึ่งและพ่อแม่พี่น้องที่เคยเกิดร่วมกันมา คอยให้ปรึกษาเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ก็ดีใจที่ว่า ยังโชคดีที่เกิดมาชาตินี้ มีพ่อแม่พี่น้องที่ดี ได้พบหลวงพ่อ ได้พบคนที่ตนรัก

ได้ช่วยกิจการงานพระศาสนาบ้างพอสมควร ได้คุมรถไปวัด ส่งหนังสือธัมมวิโมกข์ทางไปรษณีย์ ช่วยงานสมาคมศิษย์วัดท่าซุง ไม่เสียหลายแล้ว แม้จะต้องไปมีลำบากอีกก็ตามที อย่างที่หลวงพี่ประทีปท่านเล่าให้ฟังถึงหลวงพ่อที่ท่านเคยปรารภไว้ว่า “ข้ารอบนนิพพานจนกระดูกผุ ไอ้พวกนี้มันก็ยังไม่ขึ้นมาเลย”

ขอองค์พระจงทรงช่วยปกปัก
ให้ใจรักอยู่ในพระศาสนา
สำรวมในศีลพรตทุกชีวา
เฝ้ารักษาสามสิบทัศบารมี


พระจงทรงบันดาลให้รู้มรรค
โพธิปักขิยธรรมอย่าหมองศรี
ธิติฌานวิชาครบจบวิธี
ญาณสามมีเป็นวิมุตติขุดใจคน


ll กลับสู่สารบัญ


20

ลูกชายเข้ามานะ


วันชัย ศิริจารุวงศ์


ข้าพเจ้ารีรอที่จะเขียนบันทึกนี้อยู่นานพอดู เคยร่างๆ ไว้แล้วก็เก็บเข้าลิ้นชัก จนกระทั่งได้อ่านลูกศิษย์บันทึกพิเศษ ที่ ดร.ปริญญารวบรวม และท่านก็กำลังจะจัดทำเล่ม ๕ ซึ่งจะเป็นเล่มที่ออกในวาระครบ ๑๐ ปี ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานมรณภาพ ก็เลยได้คิดว่าในฐานะที่ข้าพเจ้าได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ ได้ความรู้ทั้งทางโลกและธรรมจากหลวงพ่อมากมาย เลยขอโอกาสสนองคุณของท่าน

ซึ่งก็คงจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักพระศาสนาตั้งแต่ปี ๒๕๑๙ ขณะนั้นยังเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.๑ โดยข้าพเจ้าได้กราบหลวงปู่บุดดา ถาวโร ซึ่งท่านมาพักอยู่วัดอาวุธวิกสิตาราม และโรงเรียนของข้าพเจ้าก็อยู่ใกล้วัด ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ข้าพเจ้ามักจะแวะมากราบปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่อยู่เสมอ ซึ่งได้โยงให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบหลวงพ่อในเวลา ต่อมา

วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๐ ข้าพเจ้าได้ไปทำบุญปีใหม่ และงานวันเกิดของหลวงปู่บุดดา ตอนนั้นท่านมาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ในงานนั้นมีการแจกรูปพระสุปฏิปันโน ๗ องค์ยืนเรียงกัน โดยมีหลวงพ่อฤาษีอยู่หัวแถว ความรู้สึกตอนนั้นคิดว่า ทุกท่านต้องเป็นพระดีทุกองค์อย่างแน่นอน บังเอิญได้ยินผู้ใหญ่เขาพูดกันว่า ไปกราบหลวงพ่อฤาษีที่ซอยสายลมมา ข้าพเจ้าหูผึ่ง และคิดว่าต้องไปกราบหลวงพ่อให้ได้ในวันนั้น

สอบถามผู้ใหญ่ที่ไปมาได้ความว่า หลวงพ่อมาที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริม อยู่ซอยสายลม เลยห้างสรรพสินค้าไทยวายทีไปหน่อย (สมัยนั้นยังมีห้างนี้อยู่) ข้าพเจ้าเองก็เคยนั่งรถเมล์ผ่านห้างนี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยรู้จักซอยสายลม ค่ำวันนั้นประมาณ ๑๘.๓๐ น. ข้าพเจ้าได้นั่งรถเมล์ไปทางพหลโยธิน โดยกะว่าจะลงที่ป้ายตรงข้ามห้างไทยวายที แล้วจะเดินหาซอยสายลม หรือถามผู้คนเอา แต่เนื่องจากมืดค่ำ

ทำให้ลงรถเมล์เลยป้ายที่อยู่ตรงข้ามห้าง เลยมาลงที่ป้ายหน้ากองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน พอลงปั๊บก็เห็นซอยตรงข้าม มีป้ายเขียนว่า โรงเรียนพาณิชยการสายลม ก็เลยคิดว่าต้องเป็นซอยสายลมแน่ จึงข้ามถนนไปดู ก็ใช่ซอยสายลมจริงๆ (เรียกว่าขี้ลงช่อง – สำนวนหลวงพ่อ) สมัยนั้นยังไม่มีมอเตอร์ไซคล์รับจ้างจอดอยู่หน้าปากซอย ภายในซอยก็มืดมาก ไม่เห็นมีผู้คนเดินเข้าออกในซอยนี้เลย

รถราสักคันก็ไม่มี มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้า ซึ่งอยู่ห่างกันมาก ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินเข้าซอยนี้ไป เดินตรงไปเรื่อยๆ เอ๊ะ ทำไมไม่มีคน บ้านช่องแถวนั้นก็ปิดไฟมืด บ้านท่านเจ้ากรมเสริมเลขที่เท่าไรก็ไม่ทราบ คิดว่าเจอคนจะถามเอา ตอนนี้ชักกลัว ตั้งแต่ปากซอยจนถึงหน้ากรมไปรษณีย์โทรเลข มีเราเดินอยู่คนเดียว

ท่านเจ้าที่นำข้าพเจ้าเข้ากราบหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าเดินด้วยความกลัว ไม่รู้ว่าซอยนี้จะไปถึงไหน แต่การมาครั้งนี้เป็นการมาด้วยกำลังใจเต็ม เดินพลางก็มองสองข้างทางว่าบ้านที่คนมาเจริญพระกรรมฐานต้องน่าจะมีไฟสว่าง แต่นี่มืดมาตลอด พอถึงหน้ากรมไปรษณีย์โทรเลข ดันมีทางแยกซ้ายขวาอีก ไม่ยักมีคนหรือบ้านคนให้ถามเลย เดินเรื่อยเปื่อยไปคงหลงแน่ เลยคิดว่ากลับก่อนดีกว่า คราวหน้าค่อยมาตอนกลางวันดีกว่า ทันใดนั้นเอง พอข้าพเจ้าเลี้ยวทางปั๊บ

ก็พบผู้ชายคนหนึ่ง ใส่เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำ เหมือนหนุ่มออฟฟิศที่กำลังเดินกลับบ้านอะไรทำนองนั้น ข้าพเจ้าดีใจคิดว่าจะรีบจ้ำไปถามแก ชายคนนั้นเดินอยู่หน้าข้าพเจ้าประมาณ ๑๐๐ เมตร แกก็เดินของแกตามปกติ แต่ข้าพเจ้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งไม่ทันแก แล้วแกก็ถึงปากทางเข้าบ้านเจ้ากรมฯ คราวนี้ข้าพเจ้าวิ่งแล้วจะต้องตามให้ทัน พอข้าพเจ้ามาถึงปากทาง แกก็ไปยืนอยู่หน้าบ้านท่านเจ้ากรมฯ

แล้วก็เดินเข้าไปในนั้น ข้าพเจ้าวิ่งตามไปดู เอ๊ะ... หายไปไหน และเห็นบ้านนี้เปิดไฟสว่างโร่ ทำใจกล้าเข้าไปถามดู กลายเป็นว่าเป็นบ้านที่มีคนนั่งฟังธรรมกันเต็มจนถึงประตูกระจก สมัยนั้นยังไม่ได้มีการต่อเติมให้ใหญ่โตอย่างทุกวันนี้ ข้าพเจ้าเปิดประตูเข้าไป ผู้ใหญ่ท่านที่นั่งฟังธรรมก็ขยับให้ข้าพเจ้านั่งได้อีก ๑ ที่ ดีใจเหลือเกินที่มาถูกที่แล้ว ขณะที่ฟังเสียงหลวงพ่อเทศน์ฯ อยู่นั้น ข้าพเจ้าก็กวาดตามองหาชายคนเมื่อกี้นี้

ว่าแกต้องเข้ามาในนี้แน่ หาไม่พบ เป็นไปไม่ได้ที่แกจะเดินแหวกผู้คนเข้าไป เพราะลำบากมาก เป็นอันว่าความสงสัยนี้อยู่ในใจข้าพเจ้าหลายปี ไม่กล้าเรียนถามหลวงพ่อด้วยคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เมื่อทวนคิดดูคราใด ก็อดคิดไม่ได้ว่า แกน่าจะไม่ใช่คน เพราะข้าพเจ้าวิ่งกวดแกไม่ทัน ถ้าเป็นคนทั่วไปต้องทันแน่นอน จวบจนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าอยู่ตามลำพังกับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย

ตอนนั้นท่านมาพักบ้านคุณอาประดิษฐ์ – วิภาวรรณ ที่สำโรง ข้าพเจ้านั่งนวดหลวงปู่อยู่ ก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งปกติเรื่องลี้ลับ เรื่องที่ต้องใช้ญาณหยั่งรู้ ข้าพเจ้ามักจะรบกวนถามหลวงปู่อยู่เสมอ และท่านก็เมตตาข้าพเจ้าทุกครั้ง ข้าพเจ้าถามว่า “ชายคนที่เดินนำหน้าลูก ในวันที่ลูกได้กราบหลวงพ่อครั้งแรก เป็นใครครับหลวงปู่ ลูกคิดว่าคงไม่ใช่คน” ถามไม่ทันขาดคำ หลวงปู่ยิ้มและตอบว่า “ท่านเจ้าที่ ท่านมานำลูกไปกราบหลวงพ่อ”

ข้าพเจ้าขนลุกซู่ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าไปสายลมครั้งใด ก็ต้องมีมาลัยไปบูชาพระภูมิเจ้าที่เสมอ ด้วยเพราะท่านมีพระคุณต่อข้าพเจ้า และเพื่อเป็นการยืนยันว่าผีหรือเทวดามีจริง มาให้เห็นได้ด้วยตาเนื้อ และก็เป็นข้อคิดว่า ตนต้องช่วยตนเองก่อน แล้วเทวดาจึงจะสงเคราะห์ให้ตามสมควรนะครับ

หลวงพ่อทักลูกให้ชื่นหัวใจ
สมัยแรกๆ ข้าพเจ้ามักจะมากราบหลวงพ่อในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน จะรีบบึ่งรถเมล์มาให้ทัน ก่อนป้าอ๋อยนิมนต์หลวงพ่อขึ้นสรงน้ำ ตอนนั้นคนยังไม่มาก แขกที่มาก็ได้นั่งใกล้ชิดสนทนากับท่านได้ ข้าพเจ้ามักจะไปคนเดียว เพราะเพื่อนๆ เขาไม่มีศรัทธาเหมือนข้าพเจ้า ขณะนั้นข้าพเจ้าอายุ ๑๕ ปี เรียกว่าเป็นเด็กที่สุดในบรรดาญาติโยมที่มากราบหลวงพ่อก็ว่าได้

เวลาถือถาดใส่ซองทำบุญ พวงมาลัยดอกไม้เข้าไปกราบหลวงพ่อคราใด รู้สึกเหมือนเรามาเดี่ยวและเดียวดาย แต่ท่านเชื่อไหม หลวงพ่อท่านหยุดคุยกับแขก เมตตาทักข้าพเจ้าผ่านทางไมโครโฟนแต่ไกลทุกครั้งว่า “ลูกชาย เข้ามานะ” ข้าพเจ้ารู้สึกอุ่นใจ ตื้นตันใจเหมือนท่านสนใจเรา ต้อนรับและเอ็นดูเรา

หลวงพ่อรู้ใจคน: ไอ้หนูมารับพระ
สมัยก่อนเวลาข้าพเจ้าไปกราบทำบุญกับหลวงพ่อแล้ว ข้าพเจ้ามักจะนั่งฟังท่านสนทนากับญาติโยมนานๆ จนท่านขึ้นพักจึงจะกลับ เวลามีคนเข้าไปถวายเงินทำบุญ หลวงพ่อท่านก็ให้พระเป็นการตอบแทน เพื่อเป็นพุทธานุสสติดังที่พวกเราทราบกันอยู่ แต่ด้วยกิเลสมารหรือความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างไรไม่ทราบ เพราะเราเป็นเด็กนักเรียนก็ได้แต่ทำบุญคราวละไม่มาก ก็ได้พระจากหลวงพ่อแบบธรรมดา

พวกผู้ใหญ่ท่านทำบุญกันมาก จึงได้ล็อกเก็ตใส่กล่องกำมะหยี่สวยงาม มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้านั่งน้อยใจพาลให้คิดไปว่า “เอ๊ะ นี่ถ้าใครไม่ถวายปัจจัย หลวงพ่อก็คงจะไม่มอบพระให้ละซิ” ท่านทราบไหม ข้าพเจ้าคิดในใจแค่แว้บเดียวก็ผ่านไป ไม่ใส่ใจ จวบจนหลวงพ่อจะขึ้นพัก พวกเราก็เตรียมตัวรับพร ท่านรู้ไหม หลวงพ่อท่านหันมาทางข้าพเจ้า กวักมือเรียก “ไอ้หนูมารับพระ”

ข้าพเจ้าตกใจคลานเข้าไปรับพระจากท่าน เป็นอันว่าหลวงพ่อท่านเมตตา และกลัวจะเกิดบาปแก่ข้าพเจ้า ท่านจึงแสดงให้ดู และข้าพเจ้าก็ขอขมาต่อองค์หลวงพ่อท่านแล้ว พูดถึงเรื่องพระและวัตถุมงคลแล้ว ข้าพเจ้าขอเสริมอีกหน่อย ปกติข้าพเจ้าไม่นิยมบูชา (เช่า) วัตถุมงคล ด้วยมีนิสัยที่อยากได้รับพระจากมือครูบาอาจารย์หนึ่ง และก็อยากได้มาด้วยการถวายทำบุญ เพื่อเป็นอนุสสติด้วย

ข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยมีพระที่ทางบ้านสายลมวางให้บูชาเลย มีอยู่หนหนึ่ง ข้าพเจ้าเข้าไปถวายปัจจัยกับหลวงพ่อ ปกติท่านก็จะให้เป็นพระทุ่งเศรษฐี แต่คราวนี้ท่านล้วงเข้าไปหยิบพระในบาตร ซึ่งก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าก็เห็นหลวงพ่อหยิบพระทุ่งเศรษฐีแจกให้คนที่มาบุญทุกคน แต่พอทีของข้าพเจ้า ท่านหยิบพระมอบให้ข้าพเจ้า ๒ องค์ เป็นพระปิดตามหาลาภรุ่น ๑ ของกองทุน ด้านหลังมีรูปท่านและมีสีแดงๆ ป้ายอยู่ที่มุมบนด้านซ้าย เข้าใจว่าคงเป็นน้ำหมากของท่าน และอีกองค์หนึ่งเป็นเหรียญหลวงปู่ปาน

ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้พระแปลกไปจากเดิม พอคนหลังเข้าไปทำบุญ ก็เห็นว่าได้พระทุ่งเศรษฐีตลอด จนหมดเวลารับแขก บังเอิญข้าพเจ้านั่งอยู่ใกล้ๆ หลวงพ่อ พอท่านลุกขึ้น ข้าพเจ้าชะโงกหน้าเข้าไปดูในบาตร ก็เห็นมีแต่พระทุ่งเศรษฐีเหลืออยู่ ไม่รู้ว่าทั้งสององค์มาได้อย่างไร หลวงพ่อท่านคงรู้ว่าข้าพเจ้าไม่มีพระอื่นอยู่ และก็ไม่ไปบูชามาเก็บไว้ และพระทั้งสององค์นี้ ข้าพเจ้าก็เลี่ยมทองใส่บูชาด้วย

ได้กราบหลวงพ่อถึงตัว
ปกติเราจะเห็นว่า การได้กราบหลวงพ่อถึงตัวท่านนั้นยากมาก เพราะผู้คนมาก และที่นั่งของท่านก็ไม่อำนวย ข้าพเจ้ามีความประทับใจที่ได้กราบถึงองค์ท่าน ๒ ครั้ง ครั้งแรกในคราวตัดลูกนิมิตวัดท่าซุง ในเดือนเมษายน ๒๕๒๐ ขณะที่ท่านนั่งอยู่อาสนะสุดท้าย หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จกลับแล้ว ข้าพเจ้าได้เข้าไปถวายเงินทำบุญกับหลวงพ่อ

และได้กราบที่เข่าท่าน ครั้งที่สอง ณ บ้านสายลม ขณะที่ญาติโยมเข้าแถวถวายสังฆทานหลังเลิกนั่งกรรมฐาน หลวงพ่อท่านอยู่บนโซฟา ข้าพเจ้าเห็นเท้าทั้งสองข้างของท่านยื่นออกมาทางขวา และเป็นบริเวณที่ว่างผู้คน ข้าพเจ้าเลยรีบเดินเข้าไปกราบแทบเท้าทั้งสองของท่าน หลวงพ่อก็เมตตาก้มตัวมาตบที่ศีรษะของข้าพเจ้าเบาๆ ๒ ที ทำให้ข้าพเจ้าเกิดปีติอย่างมาก

ต้องรู้จักพระพุทธเจ้าก่อนถึงจะไปนิพพานได้
ตอนข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.๓ คุณย่าทวดซึ่งนอนป่วยมาหลายปี ได้เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลกลาง ข้าพเจ้าไปรับศพของท่านตอนเช้า พอเจ้าหน้าที่นำศพท่านออกจากที่เก็บ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นแก้มทั้งสองข้างของท่านแดงเรื่อ ริมฝีปากก็แดงเช่นกัน ญาติผู้ใหญ่ยังทักว่า ใบหน้าท่านสดใส มีเลือดฝาด ข้าพเจ้าคิดแบบเด็กๆ ว่า ใบหน้าที่แดงคล้ายคนแต่งหน้าบางๆ คงจะเป็นเพราะหายใจไม่ออก

หรือเลือดขึ้นข้างบนแล้วไม่ลง ไม่รู้ว่าท่านไปดีหรือไม่ เพราะท่านไม่รู้จักพระศาสนาเลย ตอนไม่ป่วยเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ แต่ตอนป่วยข้าพเจ้าเคยแอบเอารูปหลวงปู่บุดดาหันไปทางท่าน เพื่อให้ท่านเห็นพระสงฆ์ ปกติเป็นคนขี้เหนียว แต่พอป่วย เวลาตรุษจีน คุณพ่อของข้าพเจ้าเอาเงินใส่มือให้พอเป็นพิธีว่า “แต๊ะเอีย” ให้ น้องๆ ของข้าพเจ้ายังเล็ก วิ่งเข้าไปดึงเงินจากมือ ก็ไม่เห็นท่านว่าอะไร คล้ายๆ กับเงินทองไม่มีความหมาย

พอเสร็จงานศพ ข้าพเจ้าได้ไปทำบุญอุทิศให้ท่านกับหลวงปู่บุดดา ขณะนั้นหลวงปู่มาพักที่วัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด พอถวายเสร็จ ข้าพเจ้าถามหลวงปู่ว่า “คุณย่าทวดตายแล้วไปไหน” (ลืมบอกไปว่าคุณย่าทวดสิ้นคืนวันอาสาฬหบูชาพอดี) หลวงปู่ตอบว่า “อยู่กับธรรมะสิ” ข้าพเจ้าไม่ถามต่อ เพราะปกติหลวงปู่บุดดาท่านไม่พูดเรื่องลี้ลับให้ใครฟังง่ายๆ แต่ก็คิดว่าท่านคงไปดี

ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปกราบหลวงปู่ธรรมชัยที่สำโรง ตอนว่างคนข้าพเจ้าเข้าไปนวดเท้าถวายท่าน ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงถามหลวงปู่ธรรมชัยว่า “คุณย่าทวดเสียแล้ว ไปดีไหมครับหลวงปู่” ท่านหลับตาดูให้ข้าพเจ้าสักครู่ ท่านบอกว่า “ดี” ข้าพเจ้าเลยถามต่อว่า “ดีถึงที่สุดไหม” ท่านตอบว่า “ดีถึงที่สุด” ข้าพเจ้าย้ำถามท่านอีกครั้งว่า “นิพพานหรือครับหลวงปู่” ท่านตอบว่า “ใช่” ข้าพเจ้าขนลุกซู่

น้ำตาซึมว่าคุณย่าทวดของข้าพเจ้าไปนิพพานได้ ท่านคงเบื่อขันธ์ห้าเต็มทน และคงตัดได้ตอนเช้าของวันท่านสิ้น เพราะตอนเช้าคุณพ่อกับคุณย่าไปเยี่ยม กลับมาเล่าให้ฟังว่า คุณย่าทวดท่านยิ้มแย้มสดใสดี คล้ายคนไม่ป่วย หลวงพ่อฤาษีบอกว่า ฆราวาสเป็นพระอรหันต์แล้ว จะทิ้งขันธ์ไม่เกินวันรุ่งขึ้น เพราะความดีหนักเกินสภาพของคนธรรมดาจะรับได้ และพระอรหันต์ทุกท่านก็ไม่กลัวตาย ตอนคุณย่าทวดท่านป่วย

ข้าพเจ้าก็ไม่เคยคุยธรรมะอะไรให้ฟัง เพราะท่านก็เป็นคนจีน กลัวสื่อสารไม่เข้าใจ วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ไปกราบหลวงปู่บุดดาอีก เรียนถามท่านใหม่ว่า “บุคคลไม่รู้จักพระศาสนาเลย จะไปนิพพานได้ไหม” ท่านตอบว่า “ต้องรู้จักพระพุทธเจ้าก่อนซิ” ข้าพเจ้าเลยหมดสงสัย และคิดว่าคุณย่าทวดท่านคงบำเพ็ญบารมีมาเต็ม

โดนหลวงพ่อหลวงปู่ดุก็เคย
ท่านผู้เจริญครับ ข้าพเจ้าเล่าเรื่องคุณย่าทวด ก็เพื่อโยงเข้าหาเรื่องต่อไปนี้ จะได้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้แก่พุทธบริษัทที่จะพึงปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ในเรื่องกาละและเทศะ วันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อนั่งรับแขกในช่วงกลางวันที่สายลม ข้าพเจ้าดันทะลึ่งไปถามหลวงพ่อ ทั้งๆ ที่รู้แล้ว แต่เพื่อให้แน่ใจว่าหลวงพ่อจะตอบตรงกันกับหลวงปู่บุดดาและหลวงปู่ธรรมชัยไหม ว่าคุณย่าทวดตายแล้วไปไหน

หลวงพ่อหันมาดุข้าพเจ้าว่า “เรื่องใช้สมองอย่ามาถามตอนนี้” ข้าพเจ้านิ่งอึ้งไป มีข้ออรรถธรรมจะเรียนถามท่าน เลยไม่กล้าถามต่อ แต่หลวงพ่อก็พูดขึ้นเป็นระยะๆ ว่า ใครมีอะไรจะถามไหม มีอะไรจะคุยไหม สงสัยทำไมไม่ถาม แต่ทว่าข้าพเจ้าเจอนะจังงังแล้ว เลยหัวหด อีกวันหนึ่ง ขณะหลวงพ่อกำลังรับสังฆทานที่สายลมในช่วงบ่าย ข้าพเจ้าอยากให้หลวงพ่อตั้งชื่อให้หลานชายที่เพิ่งเกิดมา ข้าพเจ้าเดินแถวเข้าไปถวายสังฆทาน ขณะวางถวายเสร็จ ข้าพเจ้าบอกหลวงพ่อว่า จะขอชื่อให้หลานชาย

หลวงพ่อมองข้าพเจ้าพร้อมกับสายหน้า สะบัดมือไล่ งานนี้ภาษาสมัยใหม่ เขาเรียกว่า “หน้าแตก” ต่อหน้าธารกำนัล ถอยทัพกลับมานั่ง จะเรียกว่าน้อยใจก็น้อยใจอยู่ แต่ก็คิดว่าเรานี่มันไม่รู้จักกาลเทศะ โดนหลวงพ่อสอนอีกแล้ว คิดว่าไม่ได้ชื่อก็ไม่เป็นไร เรานี่มันไม่ดีเอง พอคิดเท่านี้หลวงพ่อพูดผ่านไมโครโฟนว่า “ใครมีอะไรจะคุยไหม” ข้าพเจ้าก็นิ่งเพราะไม่กล้าอีกแล้ว แต่เผอิญมีผู้ใหญ่หลายท่านที่รู้และเห็นเหตุการณ์นี้

หันมากวักมือเรียกข้าพเจ้าว่า “เร็วๆ ซิหนู ท่านว่างอยู่ เข้ามาซิ” เลยต้องแข็งใจเข้าไป ท่านก็เมตตาให้ชื่อว่า “สมหมาย” ท่านบอกว่า สมเด็จองค์ปฐมท่านตั้งให้ แต่น่าเสียใจเหลือเกินที่ภายหลังน้องชายของข้าพเจ้า “พ่อของเด็ก” ไม่ชอบใจชื่อนี้ ตัวเขาเองก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิด้วย หลานชายเลยได้ชื่อใหม่ ข้าพเจ้านั่งนึกทบทวนว่า เรามันเลวจริงๆ หลวงพ่อท่านคงรู้ล่วงหน้าว่า บอกไปก็ไร้ประโยชน์

แต่ท้ายสุดท่านก็เมตตา อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับกาลเทศะนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะไม่เล่าแล้ว แต่ก็คงจะเป็นประโยชน์ในอันที่จะรู้จักปฏิปทา และลีลาของพระอรหันต์จริงๆ ในอีกแง่หนึ่ง กล่าวคือ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้านำหมู่คณะไปกราบหลวงปู่บุดดา ที่สิงห์บุรี ไปถึงเป็นเวลาเพลพอดี เห็นคนทยอยออกจากห้องหลวงปู่ ข้าพเจ้าถามดูได้ความว่า ท่านฉันเพลเสร็จแล้ว แทนที่ข้าพเจ้าจะชวนหมู่คณะให้รีบเข้าไป

กลับระยำเห็นแก่ปากแก่ท้อง บอกให้หมู่คณะกินอาหารกลางวันก่อนแล้วจึงเข้าไป ปกติท่านฉันเพลเสร็จ ท่านมักจะพักสักครู่ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ตอนข้าพเจ้าเข้าไปท่านจำวัดแล้ว คงเป็นเพราะท่านชราภาพมากแล้ว อาจฉันได้น้อย อ่อนเพลียตามอายุวัยของท่าน ข้าพเจ้าเลยเข้าไปกราบ นำเครื่องสังฆทานที่เตรียมไป เข้าไปนั่งรอโอกาส เผื่อท่านจะพลิกตัวมาดู แต่ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นหลวงพ่อไม่ได้หลับสนิท

คงเป็นแบบพักผ่อน ข้าพเจ้าเข้าไปนวดปลายเท้าท่าน ท่านยังขยับให้นวด เวลาผ่านไปพอสมควรท่านก็มิได้ลืมตามาดู ข้าพเจ้าตัดสินใจเข้าไปเรียกปลุกท่าน บอก “หลวงปู่ครับๆ” ท่านลืมตาขึ้นมาดูแล้วก็หลับต่อ ข้าพเจ้าก็ชักใจไม่ดี รอไปอีกสักพัก ก็เอาใหม่ คราวนี้ยกของถวายไปตั้งข้างๆ เตียง พร้อมกับปลุกท่านอีกครั้งหนึ่ง ท่านลืมตาขึ้นมาดูอีกที คราวนี้ข้าพเจ้ายกของประเคนเข้าไปเพื่อถวาย

ทันใดนั้นเอง หลวงปู่ท่านแสดงอารมณ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เอามือผลักของประเคน แล้วท่านก็หลับต่อ คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าใจคอไม่ดี รีบขอขมาท่าน แล้วเอาของถวายอธิษฐานในใจ วางไว้ข้างๆ เตียง กราบลาท่านออกมาข้างนอก เกิดความไม่สบายใจอย่างมาก เพราะท่านไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ท่านคงปรับตัวให้เข้ากับธาตุขันธ์ของท่าน ที่ไม่ไปตามใจผู้คนเหมือนท่านยังแข็งแรงอยู่

อีกทั้งท่านคงจะสั่งสอนข้าพเจ้าให้หลาบจำ ให้รู้จักกาลเทศะกับครูบาอาจารย์ หมู่คณะที่ไปด้วยคงสงสัยว่าท่านอาจจะหลงหรือ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วไม่สงสัยติดใจในท่านเลย กลับกลัวจะเกิดบาปแก่ตัวเท่านั้น คิดเพียงว่าท่านแค่เอามือมาแตะๆ ก็พอแล้ว สมัยก่อนตอนหลวงปู่สี ฉันทสิริ มาป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ ข้าพเจ้าเคยไปกราบท่าน ๓ ครั้ง ท่านจำวัด แต่ลืมตาขึ้นมาดู ข้าพเจ้านำของและปัจจัยเข้าไปถวายท่าน

ท่านยังเมตตาเอามือมาแตะรับ หลังจากนั้นไม่นาน หลวงพ่อฤาษีมาสายลม ข้าพเจ้าไปนั่งกรรมฐานกับท่านตอนกลางวัน ก่อนท่านเริ่มเทศน์อบรม ท่านลงมาจากบนห้องพัก ก็จะมีการทักทายเล็กๆ น้อยๆ กับคนที่นั่งข้างหน้า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงผ่านทางไมโครโฟน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เผอิญได้ยินประโยคหนึ่ง หลวงพ่อพูดขึ้นว่า “ฉันนอนอยู่ ใครเอาอะไรมาถวาย ก็ไม่รับเหมือนกัน” ข้าพเจ้าสะดุ้ง

ท่านคงจะรู้เรื่องนี้ และเป็นการตอกย้ำ ว่ากล่าวสั่งสอนข้าพเจ้า โชคดีเหลือเกิน ไม่นานต่อมาหลวงปู่บุดดาท่านมางานวันเกิดของหลวงปู่ธรรมชัย ที่สำโรงอีกครั้ง (เข้าใจว่าเป็นครั้งสุดท้ายของหลวงปู่บุดดา เพราะท่านชราภาพมากแล้ว) พอว่างคน ข้าพเจ้ารีบคลานเข้าไปกราบแทบเท้าท่าน พร้อมกับขอขมาในใจ พอข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น หลวงปู่เงยหน้าขึ้นลงคล้ายรับรู้ และยังยิ้มให้ข้าพเจ้าด้วย นี่ก็เป็นลีลาของพระอรหันต์ที่แกล้งทำเป็นโกรธ เพื่อสั่งสอนลูกศิษย์

หลวงพ่อยังคงมาช่วยลูกๆ อยู่
บ่ายวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าเข้ารับการฝึกมโนมยิทธิที่สายลม ตอนนั้นหลวงพ่อท่านสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าพาคนใหม่ไปฝึก ก็เลยฝึกด้วย เพราะตัวเองก็ยังไม่ได้ดี ขณะที่เริ่มเข้ากลุ่มภาวนา ข้าพเจ้าไม่สนใจใคร ภาวนา นะมะพะธะ ไปก่อน ได้กลิ่นยานัตถุ์ฉุนเข้าจมูกอย่างแรง เหมือนสมัยที่หลวงพ่อท่านอยู่ ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นดู หาคนนัตถุ์ยาก็ไม่พบ เลยเกิดปีติว่าหลวงพ่อท่านคงมาคุมเอง และวันนั้นข้าพเจ้าก็ฝึกได้ดีพอสมควร ก่อนหน้านี้เคยอ่านพบว่า

ลูกศิษย์คนอื่นๆ เขาได้กลิ่นยานัตถุ์หลวงพ่อ แต่คราวนี้เกิดกับเราเอง ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งข้าพเจ้าอยากเล่า แม้มีเรื่องอื่นผสมผสานอยู่บ้าง แต่ก็เนื่องถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาก ข้าพเจ้ากราบขอขมาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระอริยสงฆ์เจ้า ถ้าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนมาล่วงเกินคุณพระศรีรัตนตรัย ขอท่านโปรดงดโทษให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด แต่ถ้ามีข้อคิดคติธรรมประโยชน์อยู่บ้าง ข้าพเจ้าขอยกความดีถวายบูชาคุณหลวงพ่อทั้งหมด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/6/12 at 14:40 [ QUOTE ]


21

ประสบการณ์ของข้าพเจ้า


นันทกานท์ สิริวัฒนเดชกุล

Denver, Colorado, USA.


ข้าพเจ้าได้ไปกราบองค์หลวงพ่อ ที่วัดพุทธวราราม เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ในปี ๒๕๓๐ จำได้ว่าหลวงพ่อท่านเคยไปโปรดลูกหลานที่เดนเวอร์ ในปี ๒๕๒๗ แต่ในช่วงนั้น ข้าพเจ้ายังไม่มีศรัทธาในองค์ท่าน ข้าพเจ้ามีความเข้าใจว่า พระก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ ไม่มีอะไรพิเศษ พระก็คือคนที่โกนหัวห่มผ้าเหลือง ถ้าจะให้ดีหน่อยก็ต้องดูหมอเป็น แล้วก็บวชตามประเพณี ข้าพเจ้าเคยเห็นมาแบบนั้น ญาติของข้าพเจ้าเองเมื่อเขาบวช เช้าขึ้นก็มาบิณฑบาตบ้านแม่

กินข้าวเช้าเสร็จก็ลงไปนอนต่อ พอถึงเวลาเพลให้เด็กวัดเอาอาหารปิ่นโตที่บ้านแม่ เป็นอย่างนี้ปกติทุกวัน ข้าพเจ้าไปงานบวชเพื่อน ก็ไม่ได้ให้ความเคารพพระเพื่อน แถมวันเสาร์และวันอาทิตย์พากันไปกินอาหารที่วัด เพราะมีอาหารมาก พระเพื่อนก็เมตตาเก็บของอร่อยๆ ไว้ให้กินเสมอ จึงไม่รู้ว่าพระจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร บวชเพื่ออะไร และคำว่ากรรมฐานยิ่งแล้วใหญ่ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยิน ไม่มีความรู้ ไม่เคยศึกษา เลยไม่ต้องรู้เรื่องกัน

จนวันหนึ่ง ข้าพเจ้ามีปัญหาจึงได้ไปวัดพุทธวราราม ที่เดนเวอร์ พระท่านเมตตาอีก ท่านนำเทปคำสอนของพระอาจารย์หลายๆ องค์มาให้ฟังสักหนึ่งกล่องใหญ่ คงเห็นว่าข้าพเจ้าตอนนั้นมีจิตใจฟุ้งซ่าน สอนเองคงไม่ได้เรื่อง ข้าพเจ้าหยิบเทปมาเปิดฟังไปอย่างเสียไม่ได้ ฟังไปอย่างงั้นๆ สัก ๓ – ๔ ม้วน ไม่ได้คิดอะไร ใจมันฟุ้งซ่านมาก แต่มีม้วนหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นคำพูดง่ายๆ ฟังแล้วชื่นใจ

เหมือนพ่อสอนลูก หยิบตลับเทปมาดูเห็นพิมพ์หน้ากล่องว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ จึงรื้อกล่องออกมาเลือกฟังเฉพาะเทปของหลวงพ่อ จิตใจค่อยๆ เริ่มสงบลงไปได้บ้าง ต่อมาข้าพเจ้าพบหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ก็เอามาอ่าน อ่านแล้ววางไม่ลง เริ่มเข้าใจพระ คนที่บวชพระ บวชเข้ามาเพื่ออะไร รู้เรื่องสวรรค์ รู้เรื่องนรก รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งๆ ที่เกิดมาเป็นคนไทย นับถือศาสนาพุทธ

แต่ไม่มีความรู้เรื่องของพระศาสนาเลยสักนิด เพิ่งเข้าใจต่อเมื่อได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานนี่แหละ หนังสือที่หลวงพ่อท่านเขียนขึ้น อ่านจบแล้ว ใจของข้าพเจ้าอยากไปพบหลวงพ่อท่าน อยากเป็นลูกของท่านสักคน ถึงขนาดปรารภว่า ถ้าไม่ได้เป็นลูก ก็ขอให้ได้เป็นคนรับใช้ขั้นปลายแถวของหลวงพ่อสักชาติก็ยังดี ร่ำร้องอยากพบหลวงพ่อท่านมาก จนมาปี พ.ศ.๒๕๓๐ หลวงพ่อท่านมีโอกาสไปโปรดลูกหลานที่เดนเวอร์อีกครั้ง

ข้าพเจ้ารีบไปกราบหลวงพ่อ ได้ฝึกมโนมยิทธิในครั้งนั้น ข้าพเจ้าฝึกได้ หลวงพ่อท่านเมตตาซักถามข้าพเจ้า และแนะนำสั่งสอนในเรื่องการเจริญกรรมฐาน การปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้หมั่นฝึกฝนในเรื่องการทำสมาธิ ท่านบอกว่าไม่มีเวลาว่างก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องใช้เวลามาก เพราะเราฝึกที่ใจไม่ไดฝึกที่กาย ไม่จำเป็นต้องเรื่องมาก เอาแค่ก่อนนอนและตื่นนอนตอนเช้า ทำแค่หนึ่งนาที สองนาทีก็ได้ ให้ทำทุกวันอย่าให้ขาด

ท่านบอกว่า การทำอย่างนี้อย่าคิดว่าเป็นของเล็กน้อย เพราะเมื่อเวลาเราจะตาย จิตของเราจะรวมตัวเพราะความชิน ทำให้ไปสู่สุคติ ชินเรื่องสวรรค์ก็ไปสวรรค์ ชินเรื่องพรหมก็ไปพรหม ชินเรื่องนิพพานก็ไปนิพพาน ท่านสอนให้ข้าพเจ้ารู้เรื่องนรก สวรรค์ นิพพานชัดเจนมากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่คิดตามที่คนชอบพูดว่า สวรรค์ในอก นรกอยู่ในใจ ตอนนี้ข้าพเจ้าเชื่ออย่างแนบแน่นว่า นรก สวรรค์ นิพพานมีจริง

คำสอนของหลวงพ่อ ท่านสอนแบบง่ายๆ สั้นๆ ไม่ยืดเยื้อ แต่ฟังแล้วเข้าใจ และมีผลอย่างใหญ่หลวง มีผลถึงนิพพาน อีกทั้งหลวงพ่อท่านเมตตาข้าพเจ้า เอ่ยปากชวนข้าพเจ้าไปที่ชิคาโกด้วย ท่านบอกว่า ท่านจะไม่มาที่เดนเวอร์อีก ถ้าอยากพบพ่อ ให้ข้าพเจ้าไปพบได้ที่ชิคาโก คราวที่หลวงพ่อท่านเดินทางไปสอนกรรมฐาน มโนมยิทธิ ที่อเมริกาในปีต่อไป และโปรดเมตตาให้ข้าพเจ้านำวิชามโนมยิทธิไปสอนสามีของข้าพเจ้าได้

ในปีต่อมา เมื่อองค์หลวงพ่อเดินทางไปโปรดลูกหลานที่อเมริกา ข้าพเจ้า สามี และลูก ก็จะขับรถไปกราบหลวงพ่อ ที่บ้านคุณไพโรจน์ ที่ชิคาโก ระยะทางไม่ต้องพูดถึง ใช้ขันติ วิริยบารมีถึงที่สุด ใช้เวลาขับรถประมาณ ๑ วันเต็มๆ คือ ๒๔ ชั่วโมง ไปถึงได้กราบองค์หลวงพ่อ เห็นหลวงพ่อ ทำบุญกับหลวงพ่อ ก็หายเหนื่อย เป็นบุญของข้าพเจ้าที่ได้พบองค์หลวงพ่อ ท่านไม่ได้เมตตาเฉพาะในเรื่องการสอนกรรมฐานเท่านั้น

บางครั้งข้าพเจ้าขัดสน เงินหมุนเวียนไม่ทันในเรื่องทำธุรกิจปั๊มน้ำมันบ่อยครั้ง ขึ้นไปขอให้ท่านช่วยในมโนมยิทธิ ท่านก็จะหาทางออกให้ทันทุกครั้ง หรือกับสามีข้าพเจ้า ซึ่งทำอาชีพเปิดอู่ซ่อมรถ บางครั้งรถที่เข้ามาซ่อม ตรวจดูสาเหตุไม่พบ จนปัญญา ขึ้นมโนมยิทธิไปบอกหลวงพ่อท่าน ท่านจะชี้ให้ดูจุดที่เกิดปัญหา สามีก็พบสาเหตุซ่อมรถได้ทุกครั้ง ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองได้เลยว่า ข้าพเจ้ารักและบูชาหลวงพ่อท่านมาก

ท่านสงเคราะห์ข้าพเจ้าตลอดมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพเจ้าได้มานั้นเป็นเพราะหลวงพ่อท่านเมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้ามาตลอด แต่ว่า เมื่อหลวงพ่อกลับประเทศไทย วิชาความรู้ที่หลวงพ่ออุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล นำมาให้ข้าพเจ้าถึงประเทศอเมริกา ก็ตามหลวงพ่อท่านกลับไปด้วย นี่คือความเลวของข้าพเจ้า ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้าๆ ข้าพเจ้าก็ละเลยการปฏิบัติ โดยอ้างกับตัวเองว่างานยุ่ง ไม่มีเวลา

เริ่มลืมคำสอนขององค์หลวงพ่อ ยิ่งเมื่อองค์หลวงพ่อละขันธ์ ๕ ไปเมื่อปี ๒๕๓๕ แล้ว ก็ไม่มีใครมาสอนมโนมยิทธิที่อเมริกาอีก ใจของข้าพเจ้าก็ยิ่งละเลยหนักเข้าๆ นั่นคือ ไม่เจริญพระกรรมฐานอีกเลย ลุ่มหลงไปกับความสนุกสนานในทางโลก สนุกสนานไปกับการทำงาน ข้าพเจ้าลืมคำสั่งสอนของหลวงพ่อไปอย่างสนิทใจ สนิทใจจริงๆ เมื่อก่อนข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมอยู่ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อไม่เคยขาด

ข้าพเจ้ามักจะฝันเห็นองค์หลวงพ่ออยู่เสมอ แต่เมื่อไม่ได้ปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าไม่เคยฝันเห็นองค์หลวงพ่ออีกเลย ข้าพเจ้าทิ้งหลวงพ่อไปได้อย่างไร อะไรหรือที่ทำให้ข้าพเจ้าลืมหลวงพ่อไปได้ขนาดนี้ ลูกทิ้งหลวงพ่อได้ แต่หลวงพ่อไม่เคยทิ้งลูก ถ้าท่านไม่ช่วย นรก... คือที่ไปของข้าพเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันหนึ่งข้าพเจ้านอนหลับฝันไปว่า แลเห็นหลวงพ่อมาในที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ใหญ่โตมาก

เมื่อข้าพเจ้าไปถึง เห็นมีคนไม่กี่คนอยู่ในห้องหลวงพ่อ คนเหล่านั้นนั่งอยู่กลางห้อง ข้าพเจ้ายังไม่ได้เข้าไปในห้อง ยังสนุกอยู่ข้างนอกห้อง ต่อมามีคนมากมายทยอยเข้าไปในห้อง ข้าพเจ้าก็ยังไม่สนใจที่จะเข้าไปในห้องเพื่อหาหลวงพ่อ ยังหลงระเริงสนุกอยู่นอกห้อง จนกระทั่งมีเสียงบอกว่า ประตูห้องจะปิดแล้ว ใครจะเข้าก็เข้ามา ประตูเริ่มปิดช้าๆ ข้าพเจ้าเริ่มละจากความสนุก รีบวิ่งจะเข้าไปในห้อง

แต่ทว่า... ข้าพเจ้าแทรกตัวเข้าประตูไปได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น เข้าไปได้ไม่หมดทั้งตัว ครึ่งหนึ่งอยู่นอกห้อง ครึ่งหนึ่งอยู่ในห้อง ตกใจตื่นพอดี ต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าเริ่มป่วย ไปหาหมอตรวจเช็คร่างกาย หมอบอกว่าข้าพเจ้าเป็นโรคมะเร็ง วันที่หมอบอกว่าข้าพเจ้าเป็นโรคมะเร็ง โอ๋ย... ใจมันสั่น ตกใจหน้าซีด กลัวอย่างบอกไม่ถูก ถ้าจะถามว่ากลัวอะไร ข้าพเจ้าขอบอกตรงๆ ว่า กลัวความตายที่จะมาถึง

กลัวที่จะต้องลงนรก ใจกระวนกระวาย ใจสั่นมาก ขณะนั้นข้าพเจ้านึกถึงหลวงพ่อ พยายามนึกถึงใบหน้าท่าน เท่าไรก็นึกไม่ออก นึกถึงพระพุทธเจ้าก็นึกไม่ได้ แม้แต่คำว่า พุทโธ ก็จำไม่ได้ จิตใจกระสับกระส่ายมาก ใจคิดอยู่อย่างเดียว กลัวตายแล้วไปนรก วันที่หมอนัดผ่าตัด ข้าพเจ้านึกถึงพระไม่ได้ นึกถึงพุทโธไม่ได้ ข้าพเจ้าได้นำรูปสมเด็จองค์ปฐมที่มีอยู่ไปด้วย เพื่อที่จะมองแล้วจดจำภาพนั้นไว้ในวินาทีสุดท้าย

หมอเริ่มวางยาสลบ ข้าพเจ้าไม่สามารถควบคุมสติให้มั่นคง ใจสั่น กระสับกระส่าย หัวใจเต้นแรง เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาข้างนอก พยายามคิดถึงพระก็คิดไม่ออก พยายามจะภาวนาคำว่า พุทโธ ก็นึกไม่ได้ จิตคิดอย่างเดียว กลัวตาย กลัวไปนรก นี่คือความรู้สึกก่อนที่ข้าพเจ้าจะหมดสติไป ข้าพเจ้าต้องการที่จะถ่ายทอดความรู้สึกของข้าพเจ้าในขณะนั้น ให้ทุกคนที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อทราบว่า

การทิ้งหลวงพ่อ ทิ้งคำสอน การปฏิบัติที่ไม่สม่ำเสมอ เป็นการกระทำที่ประมาทอย่างมาก ที่หลวงพ่อคอยพร่ำสอน คอยทบทวน ย้ำแล้วย้ำอีก ให้หมั่นฝึกฝนทำสมาธิทุกวัน ฝึกมโนมยิทธิทุกวัน ไปนิพพานทุกวัน นั่นเพื่ออะไร เพื่อให้จิตเราเป็นอนุสติ (อนุสติหมายถึงตามนึกถึง) เมื่อเราจะตายหรือใกล้ตาย จิตจะได้ชิน มีสติสัมปชัญญะ จับในส่วนกุศลผลบุญที่ทำไว้ นึกถึงบุญก็ไปสวรรค์

นึกถึงสมาธิก็ไปพรหม นึกถึงนิพพานก็ไปนิพพาน ไม่ใช่จะมารอทำสมาธิในวินาทีสุดท้ายเหมือนข้าพเจ้า มันเป็นไปไม่ได้ ประมาทในชีวิตมากไป ขนาดนำภาพพระสมเด็จองค์ปฐมมาดูแล้ว ก็จำภาพไม่ได้ เพราะขาดการซักซ้อม ขาดความชิน จึงขาดอนุสติ คนที่ขาดอนุสติความ จุดหมายปลายทางของชีวิตเขา ก็คือ อบายภูมิ นี่ยังดีนะ พระครูปลัดอนันต์ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน วัดท่าซุง ท่านไม่ทิ้งพวกเรา

ท่านนำคณะครูไปฝึกทบทวนมโนมยิทธิที่อเมริกาเป็นประจำ พวกเราจึงมีที่พึ่งทางใจ ข้าพเจ้าจึงมั่นใจและขอยืนยันว่า คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี คำสอนขององค์หลวงพ่อ ที่นำมาขยายความให้เข้าใจยิ่งขึ้นก็ดี เป็นสัจจธรรม ธรรมที่สอนให้ทุกคนพ้นทุกข์ เป็นจริงทุกประการ

ll กลับสู่สารบัญ


22

เราเป็นพวกเดียวกันแล้วนะ


รณชัย แจวเจริญ


ผมขอกราบบูชาพระรัตนตรัย และขอกราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ และขอกราบท่านพระครูปลัดอนันต์ด้วยครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่เคารพหลวงพ่อฤาษีมาก ก่อนจะเขียนเรื่องนี้มาก็ชั่งใจอยู่นาน ว่าจะเขียนดีหรือเปล่า เพราะผมเป็นลูกศิษย์ที่ห่างไกลและได้พบหลวงพ่อเพียงครั้งเดียว หลวงพ่อก็จากไปแล้ว แต่ระยะเวลาที่ผมได้รู้จักหลวงพ่อมาก็ ๑๐ ปีพอดีครับ

ผมจึงคิดว่า ถึงแม้ผมนี้จะได้พบหลวงพ่อแค่ครั้งเดียวก็ตาม แต่คำสอนที่หลวงพ่อได้สอนเอาไว้นี้ ได้ทำให้ผมคนนี้ได้เข้าใจในพระศาสนา และศรัทธาในพระศาสนามากขึ้นเป็นลำดับ เพราะว่าผมตอนอายุ ๑๔ – ๑๖ ปีนี้ ไม่ชอบพระเลย เพราะคิดว่าพระไม่ดี ผมไม่ไหว้พระสงฆ์หรอกครับ ผมว่าทำตัวไม่ดี จนมาวันหนึ่ง ผมจำต้องบวชเณรแก้บน

บวชแล้วก็ไม่สนใจอะไร เณรเก่าเขาฟังเพลง เราก็ฟังกับเข่า ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่กับบ้าน บวชได้ ๗ วันก็มาเจอพระหนุ่มๆ องค์หนึ่ง อยู่ๆ ท่านเดินมานั่งที่ศาลา ข้าๆ ศาลาที่ผมนั่งอยู่ แล้วก็พูดลอยๆ มาว่า เณร ของที่เรากินเข้าไปทุกวันนี้ ถ้าเราทำตัวไม่ดี ก็เท่ากับกินน้ำหรือหินที่อยู่ในนรกทั้งนั้น พอได้ยินคำพูดนั้นผมนั่งมึนไปเลยครับ

ตั้งแต่ตอนนั้นผมเข้าไปหาหลวงพี่องค์นั้น และเลิกนอกลู่นอกทางทันทีครับ หลังจากนั้นหลวงพี่ก็เอาหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาให้อ่าน ผมอ่านอยู่ ๒ วันจึงจบ ตั้งแต่เริ่มอ่านก็รู้สึกศรัทธาหลวงพ่อขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ทั้งอยากจะพบ อยากจะทำบุญกับหลวงพ่อมาก ตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มต้นเจริญภาวนา ผมชอบภาวนาว่าพุทโธครับ

ภาวนาแล้วใจมันเย็นดีครับ มีอยู่คืนหนึ่ง ผมภาวนาจนหลับไป ได้ฝันไปว่าหลวงพ่อมาหาผมที่วัดที่ผมได้บวชเณรอยู่ และได้ให้หลวงพี่ที่ผมนับถือไปตามผมมาหาหลวงพ่อ ในฝันนั้นผมดีใจมาก รีบมาหาหลวงพ่อทันที พอมาถึงเห็นหลวงพ่อนั่งบนเตียงไม้ ฉันหมากอยู่ พอผมเข้าไปกราบท่านๆ ก็หันมายิ้มให้ และท่านก็พูดว่า “เราเป็นพวกเดียวกันแล้วนะ”

ผมตื่นนอนขึ้นมาผมดีใจมากจนนอนไม่หลับอีก ถึงเช้าเลยครับ มันดีใจมากจริงๆ ต่อมาไม่นานผมก็ได้มีโอกาสไปวัดท่าซุง เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๓๕ ไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อท่าน พอถึงคิวผมถวายท่านๆ นั่งยิ้มๆ แล้วบอกผมว่า “เราเป็นพวกเดียวกันแล้วนะ” แล้วท่านมองหน้ายิ้มๆ ท่านก็บอก รวยๆ ต่อเลย ผมงี้ขนลุกซู่เลยครับ

มันดีใจสุดๆ เลยครับ ไม่เคยดีใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลย ต่อมาอีกไม่นาน ผมก็ฝันเห็นหลวงพ่ออีกหลายครั้ง แม้หลวงพ่อจะละสังขารไปแล้วก็ตาม หลวงพ่อก็ยังมาคอยสอน ให้มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย ครั้งหลังสุดนี้ หลวงพ่อท่านมาพร้อมกับพระพุทธรูป พระพุทธรูปท่านมาบอกให้ศึกษาตำราให้ดี แล้วจะสมหวังดังที่ปรารถนาไว้ครับ

แล้วในฝันหลวงพ่อท่านก็มายืนยันว่าจะได้ตามที่พระพุทธรูปท่านตรัสไว้จริง ขอให้เราตั้งใจปฏิบัติตามให้ดีๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังไปที่วัดท่าซุงอยู่ ทำบุญที่นี่สบายใจจริงๆ ครับ ความรู้สึกเหมือนหลวงพ่อยังอยู่เลยครับ ถึงจะผ่านมา ๑๐ ปีก็ตาม อยากจะกราบขอบคุณหลวงพ่อที่เมตตา และกรุณาสั่งสอนผมมาตลอด ๑๐ ปี เพราะหนังสือของหลวงพ่อได้เป็นครูสอนให้ผมมีความมั่นคงในพระรัตนตรัย

พระคุณนี้ยิ่งใหญ่จริงๆ ถ้าไม่มีหลวงพ่อ ป่านนี้ผมคนนี้คงจะเกเร หรืออาจจะติดคุกติดตาราง หรืออาจติดยาบ้าจนเสียคนไปแล้วก็ได้นะครับ เพราะตอนนั้นเริ่มจะเลวมากแล้ว ผมต้องขอขอบคุณหลวงพ่อ และขอกราบหลวงพ่อที่ผมบูชาตลอดมาและตลอดไป ธรรมที่หลวงพ่อเห็นแล้ว ขอลูกศิษย์คนนี้ได้เห็นธรรมนั้นบ้างเถิดครับ

พระพุทธนั้นดีเลิศ ประเสริฐนัก
พระธรรมนั้นดีเลิศ ประเสริฐศรี
พระสงฆ์นั้นดีเลิศ ประเสริฐดี
ในโลกนี้ไม่มีอะไรดี เท่านี้เอย


ll กลับสู่สารบัญ


23

บันทึกลูกศิษย์


ทินกร วงศปการันย์


ที่มา
ผมเป็นอีกคนหนึ่งในจำนวนแสนที่ได้รับหมายเกณฑ์ ผมมาวัดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ หลังจากที่ได้อ่านหนังสือโลกทิพย์ ที่ลงประวัติหลวงพ่อพร้อมทั้งมโนมยิทธิ ตอนนั้นผมเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๒ เพียงแค่อ่านหนังสือเกี่ยวกับหลวงพ่อจบลงเท่านั้นเอง ใจก็ทราบทันทีว่า ท่านคือคำตอบทั้งหมดที่สงสัย และท่านคือคำตอบสุดท้ายจริงๆ

หลังจากนั้น พอปิดเทอมผมก็เดินทางมาที่วัดทันที มาคนเดียวซะด้วย ตอนนั้นท่านรับแขกที่ศาลานวราช ผมไปลงทะเบียนที่นั้น พระท่านให้อยู่ ๕ วัน ประสบการณ์ครั้งแรกสำหรับมโนมยิทธิช่างดีเสียจริง แม้ว่าจะเป็นครึ่งกำลังก็ตาม ช่วงระหว่างที่ฝึกกรรมฐานอยู่นั้น ยามบ่ายก็ลงมาฟังหลวงพ่อเทศน์ช่วงรับแขก รู้สึกว่าท่านดุมาก จนไม่กล้าถามอะไร

เรื่องที่ท่านเทศน์ก็มีทั้งสนุกสนานและความรู้ รวมทั้งความรู้ยิ่งที่เกินสายตามนุษย์ เรื่องที่หลวงพ่อเล่า แม้แต่ในหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานที่เป็นเรื่องชวนหัวอย่าง งมลูกพรรษา หรือเรื่องอื่นๆ สารพัด พอได้อ่านแล้วก็หัวเราะขำกลิ้ง คือรับมุขท่านได้ ช่วงที่อยู่วัดครั้งแรกในชีวิตประทับใจมากจนไม่อยากกลับ พอครบกำหนดขอท่านอยู่ต่อ

พระที่ท่านเป็นเจ้าหน้าที่บอกไม่ได้ พลันความคิดก็แว้บขึ้นมาว่า “งั้นผมออกไปแล้วเข้ามาฝึกใหม่ได้ไหม” เป็นอันว่า ท่านยอมให้อยู่ต่อ เพราะคิดว่าหลวงพ่อไม่ได้ห้ามไว้ รวมความว่าได้อยู่อีกรอบด้วยความสุข นั่งเฝ้าหลวงพ่อเทศน์อีกหลายวัน

สัมผัสหลวงพ่อ
หลังจากนั้นก็ไปวัดอีกหลายครั้งหลายคราเรื่อยมา เพราะหลวงพ่อเป็นผู้ที่พวกเราค้นหามานาน ก่อนหน้านี้ก็ศึกษาและปฏิบัติธรรมมาแต่เด็ก ศึกษากับพระอาจารย์มาหลายท่าน ก็ยังมีความเคลือบแคลงบางอย่างเสมอ จนกระทั่งพบหลวงพ่อ ก็ทราบทันทีว่า ใช่แล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่ไปไหนอีกเลย ใครชวนไปไหนไม่ไปแล้ว ช่วงใหม่ๆ ที่พบหลวงพ่อ

การปฏิบัติรู้สึกว่าจะเอาจริงมาก แม้แต่พระเครื่องที่ท่านทำขึ้นมา ก็ไม่ได้สนใจมุ่งปฏิบัติอย่างเดียว (มาเกิดความเสียดายอย่างมากภายหลัง เมื่อตอนที่ท่านจากไป จนต้องบูชาไว้หลายองค์ทีเดียว) ช่วงนั้นพอปฏิบัติไปสักพัก มีอยู่วันฝันถึงหลวงพ่อท่านมาพยากรณ์เรื่องการปฏิบัติ ท่านชมเชยในฝันว่า “เอ็งยังอยู่ห่างจากนรกไม่ถึงหนึ่งนิ้วเลย”

มองลงไปก็เห็นนรกจริง เรียกว่า นั่งใกล้หน้าผาเลย สงสัยท่านจะเห็นว่าไปนรกมาหลายรอบ อย่าผยองไป จะได้ไปอีกเที่ยวไม่ว่า นั่นครั้งแรกที่ฝันถึงท่าน ครั้งที่สองเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ตอนนั้นไปต่างประเทศเพื่อประชุมวิชาการ เดินทางไปพร้อมกับภรรยา ไปที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันนี เป็นครั้งแรกที่เดินทางด้วยตัวเอง และเข้าร่วมงานประชุมระดับโลก

รู้สึกวิตกมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ไปเมืองนอก ไปถึงพอเข้าที่พัก จุดธูปหาท่านทันที ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ อย่าให้มีภัย ปรากฏว่าคืนนั้นเอง ท่านมาเลย มาทางฝัน ยิ้มแย้มแจ่มใสมาก ภรรยาของผมก็ถามคำถามท่านแต่ละคำถามล้วนไม่น่าถาม จนผมร้อนใจ เพราะเกรงท่าน ไปสะกิดแกว่าอย่าไปถามอะไรซี้ซั้ว แต่หลวงพ่อท่านกลับยิ้ม ไม่ว่าอะไรเลย

ก็ตื่นขึ้นมาด้วยความปีติ และอุ่นใจว่าท่านไม่ทิ้งเราแน่ การสัมผัสที่ผ่านมาเป็นไปในทางฝัน ยังไม่ใช่ทางเนื้อหนัง แต่ครั้งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นของจริง คือช่วงหนึ่งจำไม่ได้ว่าช่วงไหน ไปนั่งฟังท่านเทศน์ช่วงรับแขก พอหมดเวลาท่านจะกลับ พวกเราก็ตั้งแถวรับเสด็จ รอกราบอย่างเคย วันนั้นเอง คนที่อยู่ข้างๆ ถัดไปสักสองคนก็พูดขึ้น

ตอนที่หลวงพ่อท่านเดินมาใกล้ว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อสอนเท่าไหร่ ผมไม่ค่อยจำสักที ขอหลวงพ่อช่วยเคาะกะโหลกให้ผมด้วยครับ”
หลวงพ่อท่านบอก “เอ้า เอาซี” ว่าแล้วท่านก็ลงไม้ตะพด โป๊ก กลางกระบาลคนนั้น แต่ปรากฏว่าไม่หยุดเพียงเท่านั้น ท่านเคาะต่อ เรียงคิวไปเลย โป๊ก

คนถัดไปก็ โป๊ก (ไม่ใช่ป๊อกนะครับ) พอถึงผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านก็เว้นไป แล้วก็มาโป๊กลงกลางหัวผมอีก โอ้โห เจ็บน่าดู นึกว่าจะเป็นอภินิหารเคาะดังแต่ไม่เจ็บ ที่ไหนได้ แต่ตอนนั้นทุกคนก็ยิ้มแย้มอย่างปีติ ที่ท่านเมตตาขนาดนั้น นี่ สัมผัสจริงๆ ของผม

วันสุดท้าย
วันที่สุดท้ายที่ท่านจะจากลูกหลานไป ผมรู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้กราบท่าน ทั้งที่ไม่กี่วันหรือวันนั้นเองก็ไม่แน่ใจ ผมมีโอกาสไปแวะที่วัด ไปถึงเจ้าหน้าที่บอกหลวงพ่อป่วยมาก รับแขกไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ก็รับทราบอาการป่วยของท่านตลอดมา หลังจากนั้น พอกลับมา ทราบจากการคุยโทรศัพท์กับแม่ว่า หลวงพ่อท่านสิ้นแล้ว ผมแทบหมดลม ร้องไห้ไม่ออก

ทั้งๆ รู้ว่าเป็นธรรมดา แต่ก็เสียใจจนบรรยายไม่ถูก สงสัยว่าความรู้สึกนี้คงถูกเก็บกดไว้ เพราะหลังจากนั้นอีกหลายเดือน หลังจากที่มากราบศพท่านแล้ว ผมได้หนังสือที่ระลึกของหลวงพ่อไปอ่าน พออ่านไป อ่านไป ถึงตอนที่ท่านป่วยหนักขึ้น หนักขึ้น และสั่งเสีย ตอนนั้นมันเหมือนกับเห็นภาพอย่างชัดเจน จู่ๆ ความรู้สึกมันตื้นตันขึ้นมา

ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ร้องอยู่อย่างนั้น ร้องไปสติก็ยังมีก็คอยดูว่าใครจะโผล่เข้ามา (ตอนนั้นปิดร้านพอดี) ร้องอยู่ราวๆ สัก ๒๐ นาทีก็หยุด ก็ยังงงตนเองว่า อะไรจะขนาดนั้น เกิดมาก็ไม่เคยร้องไห้อย่างนี้ เป็นผู้ชายอีกต่างหาก ดีว่าวันนั้นไม่มีใครเห็นเข้า คิดถึงท่าน และสงสารท่านจริงๆ นึกขึ้นมาทีไร น้ำตายังพลอยจะไหลทุกที ขณะที่เขียนนี้ก็เหมือนกัน

ส่งท้าย
ผมเห็นเจตนาและหนังสือสารธรรม ที่ท่านอาจารย์ปริญญาและคณะทำขึ้นมาก็ขอโมทนาอย่างสูง ผมก็เหมือนกับทุกท่านที่ยังรักวัด รักสิ่งที่หลวงพ่อท่านทำไว้ให้ลูกหลาน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ยินดีที่จะร่วมมือและช่วยกันดำเนินตามเจตนาของหลวงพ่อที่ท่านทำไว้ ตามความสามารถที่มี ผมทราบว่าหลวงพ่อยังห่วงวัดและห่วงลูกหลาน คอยดูอยู่เสมอ

หลวงพ่อแก้ว จากไปแล้ว เหลือแต่ใจ ที่ประเสริฐ
ฝังรากรายที่กำเนิด ของความดี ที่นิรันดร์

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/6/12 at 12:42 [ QUOTE ]


24

ประสบการณ์เมื่ออยู่วัด


จงกล ทัดทอง


เมื่อหลวงปู่ปานไปตามข้าพเจ้า
เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๒๖ ข้าพเจ้าอยู่ที่จังหวัดหนองคายกับลูกสาว วันหนึ่งข้าพเจ้ายืมหนังสือสตรีสารจากเพื่อนของลูกมาอ่าน พออ่านถึงท้ายเล่ม พอเรื่องของคุณประยงค์ ตั้งตรงจิตต์ พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคาถาวิระทะโย และมีรูปหลวงปู่ พอเห็นเท่านั้น ในใจเกิดความรู้สึกรักและเคารพอย่างมาก ถึงกับขออนุญาตจากเจ้าของหนังสือ

ขอตัดเอารูปของท่านมาใส่กรอบไว้บูชาที่หัวนอน หลังจากนั้นอีกประมาณ ๖ – ๗ เดือน ข้าพเจ้าลงมากรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมพี่ชาย กำลังนั่งคุยกันอยู่ อยู่ๆ พี่ชายก็เอ่ยชวนไปวัดท่าซุง ทั้งที่พี่ชายเองก็ไม่รู้จัก ได้ยินจากเพื่อน ข้าพเจ้าตอบตกลงทันทีโดยไม่ได้คิดอะไร พอมากราบหลวงปู่ที่วัด ได้ถามท่านถึงอานิสงส์ของการถวายเทียนพรรษา

ท่านตอบว่าอานิสงส์นี้ทำให้เกิดจิตรู้ จึงได้ความรู้ว่า สิ่งที่ได้พบนั้นเป็นเพราะบุญจากสิ่งนี้เอง ได้ฟังท่านคุยและสอนธรรมะในบางครั้ง รู้สึกสนุกและเข้าใจ มาค้างอยู่ ๓ คืนเพื่อฝึกมโนมยิทธิ พอได้แล้วก็ไม่ไปทัวร์กับใครอีกเลย

พระคุณอันวิเศษของหลวงพ่อ
ข้าพเจ้ามาทำงานประจำที่วัดนี้ ชนิดทำตั้งแต่เช้ามาจนงานเลิกงาน ก็แล้วแต่ที่ไหนมีก็ไปช่วย มาทำประจำที่ ๑๐๐ เมตร เมื่ออายุ ๗๔ ปลายปี ประจำที่แผนกขายธูปเทียนแพด้านใน และได้ช่วยทำนาครั้งละ ๒ – ๓ เดือน จนรู้สึกเมื่อยมาก ก็กลับบ้านเพื่อพัก พอหายเหนื่อยก็กลับมาทำใหม่ จนปีนี้อายุได้ ๗๙ ปีแล้ว (พ.ศ.๒๕๕๐) ในระหว่างทำงานมีอยู่วันหนึ่ง

รู้สึกอายุประมาณ ๗๗ ปี วันนั้นเป็นวันหยุดแขกมาเที่ยวมาก จนเย็นก็ยังมาก หลวงพี่ท่านจึงสั่งขยายเวลาออกไปจนถึง ๑๗.๓๐ น. จึงเลิก ข้าพเจ้าเก็บงานจนเรียบร้อยแล้ว ออกมาข้างนอกก็ไม่มีใครแล้ว เพื่อนที่ร่วมงานก็แยกย้ายกันกลับหมด ห้องพักก็อยู่ข้างโบสถ์ ทั้งเมื่อยทั้งเหนื่อย เดินมาจนถึงหน้าประตูจะออกถนนใหญ่ก็มีรถรางของวัดผ่านมา

ข้าพเจ้าโบกมือขอขึ้นด้วย เขาไม่รับบอกว่าจะเข้าอู่ ข้าพเจ้าเดินมาจนถึงศาลาริมทางหน้าโรงพยาบาล เดินต่อไปไม่ไหวจึงยกมือพนมอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ ขอให้ท่านช่วยให้มีรถผ่านมาสักคัน ชั่วไม่ถึง ๕ นาที รถรางคันเดิมแล่นออกมาจากข้างใน ข้าพเจ้าดีใจมากขอขึ้น พอขึ้นไปนั่งเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็พนมมือขอบพระคุณหลวงพ่อ

พร้อมทั้งหลับตาทันทีก็เห็นหลวงพ่อกลับหลังหันไปทางโรงพยาบาล และรอดผ่านกำแพงโรงพยาบาลบ่ายหน้าไปทางวิหารแก้ว ข้าพเจ้าน้ำตาไหลด้วยความเต็มตื้นในความเมตตาของท่าน และตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าอธิษฐานขอเป็นต้องได้ทุกครั้ง แต่ข้าพเจ้าก็ขอเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น บางครั้งคนขับรถจะบอกว่าจะกลับบ้าน แต่ใจนึกอยากมาทางนี้

และบางครั้งในการทำงาน เหนื่อยจนจะเป็นลม กำลังยืนหายใจยาวๆ อยู่ จะมีกลิ่นยานัตถุ์หอมฟุ้งอยู่ที่จมูก แลรอบตัว ที่ศีรษะจะรู้สึกเย็น ทำให้หายมึนและหายใจสะดวกขึ้น พระคุณของท่านเหลือล้น หาประมาณไม่ได้เลย ลูกขอกราบแทบเท้าด้วยความสำนึกในพระคุณอันยิ่งล้นนี้เป็นอย่างสูง

อานุภาพของน้ำมันชาตรี
ในปี ๒๕๔๐ นี้ ข้าพเจ้าได้มาช่วยงานที่วัดตามเคย แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยแข็งแรงนัก วันหนึ่งกลับจากทำงานหิวจัด จึงทานข้าวจนอิ่มเต็มที่ พอสัก ๓ ทุ่ม เริ่มปวดท้อง จึงเข้าห้องน้ำ ก็ทั้งถ่ายทั้งอาเจียน ถ่ายและอาเจียนอยู่ประมาณ ๗ – ๘ ครั้ง พรอ้มกับเสียดแน่นขึ้นมาเรื่อยๆ จนปวดไปหมดทั้งข้างหน้าและข้างหลัง จนถึงบริเวณไหปลาร้า

ลมดันขึ้นอย่างเดียว เอากระเป๋าน้ำร้อนวางก็ไม่หาย กินยาลม กินยาแก้ท้องเสีย อาการก็ไม่เบาลงเลย จนตี ๒ (ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว) นึกได้ว่าลองกินน้ำมันชาตรีดู จึงลุกมาหยิบและว่าคาถาอธิษฐานขอให้หาย แล้วข้าพเจ้าก็กินและทาบริเวณที่ปวดจนทั่ว ทาเสร็จก็ไปถ่ายอีกครั้งๆ สุดท้ายนี้อาการปวดเสียดลดลงตามสิ่งที่ออกมาทั้ง ๒ ทาง

พอหมดก็หายเหมือนไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน ตัวเบานอนหลับได้จนเช้า นอกจากนั้นเวลาที่ปวดเมื่อยมากๆ ข้าพเจ้าทาทั่วบริเวณที่ปวดสักพักจะรู้สึกเย็นวาบและสบายเบา แต่จะสบายอยู่ได้ชั่ววันเท่านั้น พออาบน้ำแล้วรุ่งขึ้นก็จะเป็นอีก แต่อาการบางครั้งจะเบาลงบ้าง

ll กลับสู่สารบัญ


25

หลวงพ่ออยู่กับข้าพเจ้าเสมอ


สุมาลี อนันต์พลังใจ


ข้าพเจ้ามาวัดท่าซุงเพราะความอยาก... ประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๓ ข้าพเจ้าไปทำงานอยู่ทางใต้ อ่านหนังสือพิมพ์ทีไรจะเห็นโฆษณาของทัวร์สามแยกนำเที่ยววัดท่าซุง มีรูปหลวงพ่อประกอบทุกครั้ง เลยอยากรู้ว่า ท่านมีอะไรดี ทัวร์ถึงไปบ่อยๆ ถามคนรู้จักกันไม่เห็นมีใครรู้จักท่าน และก็ไม่ได้สนใจอีก จนกระทั่งมาพบญาติผู้พี่ เธอห้อยลูกแก้วเห็นสวยดี

เลยถามว่าซื้อมาจากที่ไหน เธอบอกว่าต้องไปเช่าที่วัดท่าซุงของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เธอบอกต้องมีคาถาด้วยนะ แล้วเธอก็บอกคาถาเงินล้านให้ ข้าพเจ้าชอบอยู่แล้วเรื่องรวยนี่ เลยอยากได้ไว้บูชาบ้าง คราวนี้ก็ขวนขวายหาทางไปวัดท่าซุงสิ ไปได้ความอนุเคราะห์จากเพื่อนของเพื่อนอีกที เขารู้จักจังหวัดอุทัยธานี แต่ไม่เคยไปวัดท่าซุง

เขาพาไปแล้วไปถามทางเข้าวัดกันอีกที พอนัดแนะกันเสร็จ ก็เดินทางไปวัดกันประมาณ ๘ คน ไม่เคยไปวัดกันเลย ถามทางกันไปจนถึงวัด เป็นช่วงบ่ายที่หลวงพ่อลงรับแขกที่ตึกรับแขก ก็เข้าไปนั่งบ้าง จำไม่ได้ว่าหลวงพ่อพูดว่าอะไร มัวแต่ถามคนอื่นที่เขามาว่า มาหาหลวงพ่อขออะไร เขาบอกว่าอยากถามอะไรก็ได้ เห็นเขาถวายสังฆทานก็ทำตาม แต่ไม่เห็นคนถามอะไรสักที

จนเพื่อนบอกให้เข้าไปถามอะไรก็ได้จะได้กลับ จำได้ว่าเข้าไปนั่งหน้าท่านกับเพื่อน จะขอโชคขอลาภก็กลัวถูกด่าเพราะหน้าตาท่านดุ เลยถามอาการป่วยของแม่ ท่านก็ตอบง่ายๆ ไม่มีอะไร เพื่อนถามเรื่องของเขา คำถามนี่สิน่าสนใจ เพราะท่านตอบจนข้าพเจ้าสนใจท่าน ที่ท่านตอบคำถามได้กระจ่างแบบไม่ต้องไปหาคำตอบใดอีกเลย

หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้ไปวัดท่าซุงอีกเลย เพราะไม่สะดวกเรื่องเวลากัน แต่ได้เช่าลูกแก้วกลับมาและห้อยติดตัวไว้ แล้วก็ไม่ได้สนใจว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง จนมาประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๔ เพื่อนที่เข้าไปถามคำถามด้วยกัน มาชวนไปวัดพุทธไชโยที่หัวหิน ซึ่งข้าพเจ้าสะดวกเนื่องจากใกล้ที่ทำงาน ได้พบกับพี่และเพื่อนใหม่อีกหลายคน

ซึ่งพี่และเพื่อนๆ เหล่านี้แหละคือผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับหลวงพ่อ ไม่ว่าคนมาหาหลวงพ่อเพราะอะไร หลวงพ่อสอนอะไร ถามไปก็สงสัยไปด้วยว่าจริงหรือ พี่ๆ บางคนที่รู้จักก็เป็นครูฝึกมโนมยิทธิ เขาเลยบอกให้ฝึก แต่ข้าพเจ้าไม่เอาด้วย เขาเลยบอกให้กราบพระแล้วภาวนา “พุทโธ” ไปก่อน ความอยากรู้เลยลองทำอยู่หลายครั้ง

จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง พอภาวนาแล้วมีความรู้สึกแปลกๆ เลยมาถามพวกพี่ๆ ดู ทำให้สนใจอยากลองฝึกมโนมยิทธิบ้าง ฝึกครั้งแรกยังสงสัยอยู่นะ เป็นความรู้สึกแบบนี้จริงๆ หรือ เชื่อกับไม่เชื่ออยู่ในตัวเอง เลยชอบเข้าฝึกครั้งแรกเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านสายลมหรือที่วัดสายลม จนพี่เขาบอกว่าไม่สอนแล้ว แกล้งโง่อยู่ได้ ข้าพเจ้าไปวัดท่าซุงตามคำชวนของพี่ๆ เหล่านี้แหละ

นับว่าโชคดีที่ข้าพเจ้าพบพี่และเพื่อนที่ดี คอยบอกคำสอนของหลวงพ่ออยู่เสมอ ข้าพเจ้าไม่เชื่อทั้งหมดหรอก เพราะเป็นคนขี้สงสัย แถมดื้อและหัวรั้นอีกต่างหาก พอเขาบอกทีต้องให้หนังสือหลวงพ่อแถมให้ข้าพเจ้าด้วยทุกครั้ง ตั้งแต่ต้นจนถึงเดือนตุลาคม ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าพูดกับหลวงพ่อครั้งเดียวตอนมาวัดครั้งแรก นอกนั้นนั่งดู นั่งฟังแต่ไปถามไปคุยกับคนอื่นๆ

จนกระทั่งวันที่ ๒๙ ตุลาคม พวกพี่ๆ โทรบอกให้ข้าพเจ้าไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อบริจาคโลหิตถวายหลวงพ่อ กว่าข้าพเจ้าจะไปถึงก็เป็นวันที่ ๓๐ ตุลาคมแล้ว ไปถึงยังไม่ทำอะไรก็ได้ยินว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ฟังแล้วเศร้าใจขึ้นมาทันที ยิ่งมาเห็นตอนเขานำหลวงพ่อเคลื่อนมาขึ้นรถกลับวัด รู้สึกถึงความเศร้าที่มีขึ้นมาทันที ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจอะไรเลย

ยังมีเรื่องอยากรู้อีกมากมายแต่ไม่กล้าเข้าไปถาม คิดแล้วเหมือนหมดโอกาสที่จะถามท่านอีกสักครั้ง จากวันนั้นถึงวันนี้ ๑๐ ปีแล้วที่หลวงพ่อมรณภาพ ทุกคำสอนและการปฏิบัติในแนวทางที่หลวงพ่อแนะนำไว้ ข้าพเจ้าพยายามทำและนำมาปฏิบัติอยู่ด้วยความอยากทุกๆ อย่าง ข้าพเจ้าบอกได้เลยว่า ทุกคำสอนที่หลวงพ่อสอนไว้เกิดกับข้าพเจ้า

และข้าพเจ้าได้ประสบถึงคำตอบนั้นๆ กับตัวเองเสมอๆ ทุกๆ เวลาคำสอนของหลวงพ่อใช้เป็นกิจวัตรประจำวันได้เลย อย่างเกิดข้าพเจ้าโมโหหรือโกรธที่เพื่อนพูดจาให้เราเสียหาย พอฟังเทปหลวงพ่อจะเจอเลยเรื่องอภัยทาน โกรธเขา โมโหเขา เขาไม่รู้เรื่อง แต่เรากลับกลุ้มใจอยู่ทั้งวัน อีกกรณีตอนน้องชายข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ข้าพเจ้าฝากคำถามไว้กับคณะญาณ ๘

คำตอบที่สะดุดใจก็คือ น้องชายบอกว่าญาติทำบุญให้ดี เพราะในงานศพทุกคืน เจ้าภาพร่วมงานถวายสังฆทานทุกคืน เหมือนกับที่หลวงพ่อบอกว่า ทำสังฆทานเป็นบุญใหญ่จริงๆ หรืออีกเรื่องตอนที่ข้าพเจ้าไปเยี่ยมคนแก่ป่วยเป็นเบาหวานเข้าโรงพยาบาล หมอบอกว่าต้องตัดนิ้วทิ้ง ข้าพเจ้าไปเยี่ยมตอนหมอตรวจแกพอดี

แกบอกหมอว่า ถ้าต้องตายแกก็จะไม่ยอมให้ร่างกายแกขาดส่วนใดไปเลย โอ้โห พอแกตอบคำนี้เท่านั้นแหละ คำสอนหลวงพ่อสะดุดใจขึ้นมาทันที ทุกข์เพราะขันธ์ ๕ นี้มันเรื่องใหญ่จริงๆ มันห่วงและหวงกันแบบยอมตายกันทีเดียว พระคุณของหลวงพ่อที่สอนคำสอนต่างๆ ให้รู้นี้ หาที่ประมาณมิได้จริงๆ เลย ทุกวันเวลาที่ข้าพเจ้าประสบหรือพบเห็นเรื่องอะไรแบบคิดไม่ออก

ก็ได้อาศัยคำสอนต่างๆ ของหลวงพ่อนี่แหละช่วยแก้ไขไปได้ มาวันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกสุขใจที่ได้พบหลวงพ่อ และก็ไม่คิดเสียใจที่ได้พูดกับหลวงพ่อเพียงครั้งเดียว เพราะข้าพเจ้ารู้สึกได้เลยว่า “หลวงพ่ออยู่กับข้าพเจ้าเสมอ” เพียงแต่ข้าพเจ้าคิดและทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างมีสติและไม่ประมาท ข้าพเจ้าก็จะคุยกับหลวงพ่อได้ตลอดเวลา ข้าพเจ้าก็จะต้องพยายามต่อไป

ที่จะทำและปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ แม้บางครั้งจะเผลอไปบ้าง ข้าพเจ้าต้องไม่ประมาท เพื่อที่จะได้ถึงซึ่งพระนิพพานให้ได้แม้จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตก็ตาม

ll กลับสู่สารบัญ


26

การเข้ามาสายหลวงพ่อฤาษี


สุพรรณ สายแก้วลาด


๑. เกิด
ข้าพเจ้าเกิดที่ริมแม่น้ำจังหวัดสุพรรณบุรี ที่จังหวัดนี้มีวัดมากมาย และอยู่ไม่ไกลกัน ชีวิตข้าพเจ้าคุ้นเคยกับวัดและพระสงฆ์มาตั้งแต่เด็ก ตอนเวลาเกิดคือตกฟาก แม่เล่าว่าพอพระที่มาบิณฑบาตตอนเช้าเดินมาถึงหน้าบ้าน ข้าพเจ้าก็เกิดพอดี ที่บ้านของข้าพเจ้าก็จะใส่บาตรพระที่มาบิณฑบาตเช้าเป็นปกติ วันเทศกาลและวันสำคัญทางศาสนาก็จะไปทำบุญที่วัด

ยามเด็กเวลาไปวัดก็ยังเป็นเรื่องสนุกสนาน เวลาผู้ใหญ่นั่งอยู่บนศาลา เด็ก ๆ ที่ไม่สามารถจะอยู่นิ่ง ๆ ได้นาน ก็จะพากันลงมาเล่นข้างล่างในบริเวณวัดนั้น ข้าพเจ้าไม่มีประสบการณ์มหัศจรรย์ทางจิตใด ๆ นอกจากการชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ เฉย ๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร รู้สึกชอบช่วงเวลานี้มาก ผู้ใหญ่มักพูดว่าข้าพเจ้าหูตึง เพราะเรียกก็ไม่ได้ยิน

แต่พ่อที่บวชมาหลายพรรษา แก้ต่างว่าข้าพเจ้ากำลังอยู่ในฌาน ข้าพเจ้าฟังก็ไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่า ฌาน คืออะไร เวลาหลับตามักเห็นแสงสีหรือดาวระยิบระยับ หรือรู้สึกว่านั่ง ๆ อยู่ ตัวก็บวมพองเป็นปกติ ข้าพเจ้านึกว่าคนอื่นเขาเป็นกัน จึงไม่ได้สอบถามใคร รู้สึกว่ามีน้องชายที่เป็นเช่นนี้ด้วย เมื่อยังเล็กนั้น ผู้ใหญ่ก็มักถามเด็กเสมอ ว่าฝันอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น

เช่น อยากเป็น หมอ พยาบาล ครู ตำรวจ ทหาร ฯลฯ เมื่อถูกถาม ข้าพเจ้าก็จะนิ่งวัดความรู้สึกของตน แล้วตอบไปว่าไม่อยากเป็นอะไรทั้งสิ้น ไม่อยากทำงานการ อยากอยู่เฉย ๆ คำตอบนี้ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้ถาม โดยเฉพาะแม่ของข้าพเจ้า เพราะเลี้ยงดูมาก็นานแล้ว

หวังจะได้เชิดหน้าชูตาตระกูลตามแบบที่โลกเขานิยม ก็เป็นอันหวังไม่ได้ แต่ความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ข้าพเจ้าไม่รู้สึกว่าอยากมีอยากเป็น ผลการเรียนของข้าพเจ้านั้นย่อมจะไม่ดี เพราะไม่มีความอยากจะเป็น ทำให้ไม่มีแรงจูงใจที่จะไปแข่งขันกับใคร

๒. พบ ดร.ปริญญา นุตาลัย
ข้าพเจ้าเรียนมาเรื่อย ๆ จนสอบเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อสอบติดที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว ถึงขั้นตอนการสอบสัมภาษณ์ ข้าพเจ้าได้ไปสอบที่สภาการศึกษาเก่าริมถนนศรีอยุธยา ปัจจุบันเป็นอาคารหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าหน้าที่ในที่สอบนั้นบอกว่า มีอาจารย์จากภาควิชาที่ข้าพเจ้าสอบติดมาสัมภาษณ์สองท่านด้วยกัน ให้เข้าไปได้เลย

มีอาจารย์ผู้หญิงหนึ่งท่าน และอาจารย์ผู้ชายหนึ่งท่าน ข้าพเจ้ากำลังจะเดินผ่านโต๊ะอาจารย์ผู้ชาย พอมองไปยังท่าน ท่านก็กำลังมองมาพอดี ข้าพเจ้ารู้สึกขึ้นมาฉับพลัน คล้ายท่านบอกว่า มาเป็นพวกกันสิ ข้าพเจ้าจึงทำความเคารพ แล้วนั่งลง ท่านก็สัมภาษณ์ไปตามกระบวนการ เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าไปศึกษาที่เชียงใหม่ ข้าพเจ้าจึงทราบจากรุ่นพี่ว่า

อาจารย์ที่สัมภาษณ์ข้าพเจ้าคือ ดร.ปริญญา นุตาลัย ซึ่งเป็นหัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยาในตอนนั้น ข้าพเจ้าเลือกเรียนวิชาธรณีวิทยา โดยไม่ได้มีความรู้มาก่อนเลยว่าเรียนเกี่ยวกับอะไร ทราบจากอาจารย์โรงเรียนเดิม ว่าเกี่ยวกับเหมืองแร่ก็เลยเลือก เพราะชอบอ่านเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์

ด้วยความรู้สึกว่าชีวิตเกี่ยวกับเหมืองนี้คงจะมีความเข้มข้นดี ในช่วงของการเรียนอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าได้มีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับทางศาสนาก็เพียงการศึกษาวิชาพุทธศาสนาเป็นวิชาเลือก อาจารย์ผู้สอน (อ.แสง จันทร์งาม) ได้นำผู้เรียนไปทำกิจกรรมที่วัดฝายหิน ด้านหลังของมหาวิทยาลัยทุกวันอาทิตย์ มีการบรรยาย และให้นักศึกษานั่งสมาธิเงียบๆ สัก ๑๐ – ๒๐ นาที

ข้าพเจ้านั่งหลับตาเฉยๆ ไม่ได้ธรรมะอะไร และไม่ได้รู้จักการมีสมาธิ รู้สึกแต่เพียงว่าในโบสถ์ที่นั่งกันอยู่นี้เย็น สงบ และสบายดี ตอนนั้นมีอาจารย์แนะให้พิจารณา (อ.องุ่น สุวรรณมาลิก) เพียงการพิจารณาเรื่องความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร ที่ทรุดโทรมตามเวลาที่ผ่านไป และได้ยกตัวอย่างจากตัวของท่านเอง ซึ่งเคยมีความสวยเป็นดาวเด่นของคณะอักษรศาสตร์

ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๗ เป็นช่วงที่หลวงพ่อฤาษีรวบรวมลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ข้าพเจ้าเริ่มจะได้เห็นชื่อของหลวงพ่อ และได้อ่านหนังสือของท่านบ้างแต่คงยังไม่ถึงเวลาอันควร แม้เพื่อนของข้าพเจ้าที่เรียนอยู่ด้วยกันมาเล่าว่า ได้ไปที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี กับ ดร.ปริญญา ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้สึกสะดุดใจ ตอนที่ได้อ่านหนังสือรู้สึกว่าท่านเขียนได้สนุกสนาน

อ่านแล้วเพลิดเพลิน ตอนนั้นเพื่อนบอกว่าอาจารย์จะไปทำพิธีบวงสรวงพ่อขุนผาเมืองกับหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็เข้าไปสอบถามเรื่องนี้กับท่าน เพราะข้าพเจ้าชอบอ่านเรื่องโบราณๆ และการรบทัพจับศึก จึงเข้าไปถามว่าท่านไปบวงสรวงทำไม ท่านคงเห็นว่าคงคุยกับข้าพเจ้าไม่รู้เรื่อง เลยลุกหนีไปและไม่ยอมตอบคำถาม

๓. ได้เข้ามาเพราะเพื่อน
ข้าพเจ้าได้ยินชื่อของหลวงพ่อปาน ที่เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อฤาษีมาก่อนตั้งแต่ยังเด็กอายุไม่กี่ขวบ เพราะเพื่อนมีเหรียญของหลวงพ่อปานคล้องคออยู่ โดยเธอบอกว่าผู้ใหญ่ให้คล้องคอไว้ บอกว่ากันยุงได้ แต่คิดว่าคงจะเป็นวิธีที่ผู้ใหญ่บอกให้เด็กรักษาเหรียญไว้ให้ดีก็อาจเป็นได้ แต่ชื่อของหลวงพ่อปานคงเป็นที่รู้จักกันตลอดลุ่มน้ำทางอยุธยามาจนถึงสุพรรณบุรีอยู่แล้ว

สมัยนั้นจำได้ว่าจะมีเรือยนต์นำรูปปั้นของหลวงพ่อหลายท่าน แห่ล่องไปบอกบุญตามลำน้ำต่างๆ ส่วนชื่อของหลวงพ่อฤาษีนี้ ดังที่กล่าวแล้วว่าข้าพเจ้าเห็นจากหนังสือตอนที่ศึกษาอยู่เชียงใหม่ รู้สึกว่าจะเป็นหนังสือ ฤาษีทัศนาจร และประวัติหลวงพ่อปาน คาดว่าเป็นหนังสือที่ ดร.ปริญญา นำไปไว้ที่ห้องสมุด ช่วงที่ข้าพเจ้าว่างงานหลังจากจบการศึกษา

ข้าพเจ้ามักเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดหลายแห่ง อ่านไปสารพัดเรื่อง ทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และทางศาสนา ข้าพเจ้าสนใจอ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์ของทางภาคเหนือเป็นพิเศษ เพราะมีมากในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเคยเรียนวิชาการท่องเที่ยวในท้องถิ่นเป็นวิชาเลือก

อาจารย์ผู้สอนก็จะสอนข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของภาคเหนือเป็นหลัก เช่น การสร้างเมือง ลำดับของกษัตริย์ แล้วยังพาไปดูสถานที่ต่างๆ ทั้งใน จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นตามวัดที่สำคัญ เช่น วัดจอมทอง วัดพระนางจามเทวี ก็เพียงแต่รู้สึกว่าเป็นวัดและสถานที่เก่า มีความสงบเยือกเย็นดีเมื่อเข้าไปในสถานที่นั้น

เมื่อข้าพเจ้าอ่านหนังสือทางศาสนาในห้องสมุด ได้อ่านพบคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ก็รู้สึกชอบในความเป็นเลิศทุกด้านของพระองค์ ข้าพเจ้าได้อ่านคุณของการถือศีลห้า ว่าจะมีผลได้เป็นคนที่มีรูปร่างสวยงาม ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ยังมีเทวดามาอุ้มชูอุปถัมภ์ ดูแลรักษา ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะถือศีล เพื่อความสุขสบายตามแบบทางโลก

ไม่ใช่เพื่อความเบื่อหน่าย หรือละกิเลสแต่อย่างใด การรักษาศีลเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควรในตอนแรกๆ เพราะเป็นของใหม่ และยังต้องอยู่ในกลุ่มคนที่แตกต่างกันทั้งความคิดและการกระทำ เวลาผ่านไปราวสี่เดือนหลังจบการศึกษา ข้าพเจ้าก็ยังไม่มีงาน รู้สึกอึดอัดและมีความกดดันน้อยๆ จึงไปคุยกับเพื่อน (นกโนรี) ที่เคยอยู่หอเดียวกัน

เคยเรียนวิชาศาสนาและไปทำกิจกรรมที่วัดมาด้วยกัน บ้านของเธออยู่ในซอยพระนาง ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไม่ไกลจากย่านราชเทวีที่ข้าพเจ้าพัก ข้าพเจ้าไปหาเพื่อนได้สองสามครั้ง วันหนึ่งขณะที่นั่งคุยกันอยู่ เพื่อนก็ส่งหนังสือของหลวงพ่อให้ดู ท้องฟ้าสดใสด้วยแดดจ้าในกลางเดือนกรกฎาคม ปี ๒๕๒๐ กลับมีฝนกระหน่ำลงมาเป็นเวลานานราวสองชั่วโมงเศษ

ทำให้ข้าพเจ้าติดอยู่ที่บ้านเพื่อน ได้ฟังเพื่อนคุยกับอ่านหนังสือ แล้วเพื่อนยังเปิดเทปคำสอนหลวงพ่อให้ฟังอีก จำได้ว่าเป็นเทปสัมภาษณ์เรื่องราวคุณยายท่านหนึ่ง และเทปเรื่องอารมณ์ของพระอริยเจ้า ข้าพเจ้าพลิกดูเรื่องราวในหนังสือเล่มนั้นคือ พระเมตตา และอ่านอย่างตั้งใจจนไม่ได้ฟังเพื่อนที่พยายามคุยไปด้วย
ข้าพเจ้าสะดุดใจตรงคำทำนายของพระอรหันต์สมัยอยุธยาถึงยุคต่างๆ ของกรุงเทพฯ หลวงพ่อท่านอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ คำทำนายนั้นเกิดขึ้นจริงมาแล้วในหลายรัชกาล ข้าพเจ้าจึงรู้สึกชอบเพราะชอบเรื่องการทำนายการพยากรณ์อยู่แล้ว เคยศึกษาการทำนายโชคชะตาจากพระวัดใกล้บ้านที่นับถือกัน ท่านสอนให้มานิดหน่อย

ข้าพเจ้ามาเข้าใจภายหลังว่าข้าพเจ้าไม่ได้ชอบหนังสือพระเมตตา ที่มีคำทำนายที่ตรงเท่านั้น ท่านคงทราบกันดีว่าเหตุการณ์เหล่านั้น พวกเราต่างได้เคยพบ เคยสัมผัสกันมาหลายสมัยหลายครั้ง จึงทำให้เกิดการสะดุดใจ ดึงดูดใจให้อ่านหนังสือของท่าน ซึ่งเขียนครอบคลุมไว้ทุกเรื่อง สามารถรวบรวมคนในสายของท่านให้เข้ามาได้มาก

ข้าพเจ้าเคยถามเพื่อนว่า ทำไมท่านถึงเขียนหนังสือมากมายเช่นนี้ ก็ได้ทราบจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว บางท่านอ่านก็จะชอบเรื่องนั้น บางท่านชอบเรื่องนี้ แต่ทุกเรื่องก็สามารถนำไปสู่สิ่งที่สูงสุดได้เหมือนกัน ข้าพเจ้าสนใจจะอ่านหนังสือของหลวงพ่อเล่มอื่นอีก จึงยืมหนังสือจากเพื่อนไปอ่านต่อหลายเล่ม รวมทั้งเทปคำสอน ข้าพเจ้าอ่านหนังสือ

และตั้งใจรักษาศีลอยู่ประมาณสามเดือน ในต้นเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.๒๕๒๐ จากนั้นข้าพเจ้าก็ไปที่ซอยสายลมทุกเดือนที่ท่านมา ข้าพเจ้าซื้อหนังสือที่ท่านเขียนมาอ่านทุกเล่ม และฟังเทปเกือบทุกม้วน พ่อและแม่ของข้าพเจ้าก็ได้อ่านและฟังเทปเป็นสมาชิกหนังสือธัมมวิโมกข์ แล้วท่านทั้งสองก็ได้ไปที่วัดท่าซุง เพื่อร่วมพิธีที่ทางวัดจัดสม่ำเสมอตลอดทั้งปี

เมื่อได้อ่านและฟังเรื่องเกี่ยวกับมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าก็พยายามจะฝึกด้วยตนเอง เช่น ช่วงเวลาที่นั่งสมาธิหลังจากท่านสอนที่สายลมในตอนหัวค่ำ แต่ไม่มีความสามารถและไปไหนไม่ถูก แม้ในตอนที่ไปฝึกรวมที่วัด ซึ่งท่านหลวงพ่อแนะนำลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ฝึกที่ศาลานวราช ข้าพเจ้านั่งในพิธีพร้อมกับเพื่อนอีกหนึ่งคน รู้สึกเหมือนจะเห็นเพียงเศียรพระประธานเท่านั้น

เพื่อนก็บอกว่าไม่ได้ไปไหนเหมือนกัน คงจะยังไม่ถึงเวลา และข้าพเจ้ามีความอยากมากเกินไป จิตเลยไม่สงบพอ ข้าพเจ้าได้งานทำหลังจากว่างงานอยู่ถึงหนึ่งปีเต็ม ในตอนที่ทำงานก็มีความรู้สึกเบื่อสิ่งที่อยู่รอบตัว ตอนนั้นรู้สึกอยากจะไปอยู่ที่วัดมากกว่า ข้าพเจ้าได้ปรึกษาเพื่อนคนเดิมเช่นเคย

เพื่อบอกว่าถึงจะรู้สึกว่าเบื่อก็ให้ทำอะไรตามสังคมไปตามปกติ ไม่ให้ผิดแปลก เพื่อนบอกว่าหลวงพ่อเคยแนะว่าควรจะทำงาน ไม่ควรไปอยู่วัด การไปอยู่วัดเลยในบางครั้งจะทำให้คนคิดในแง่ไม่ดี ควรอยู่ต่อสู้กับกิเลสที่นอกวัด จะแสดงได้ถึงควาเข้มแข็งของจิตมากกว่าการหลบหนีปัญหาไป

๔. การฝึกมโนมยิทธิ
หลังจากได้อ่านหนังสือ และฟังคำสอนหลวงพ่อมาเป็นเวลาราวหนึ่งปีเศษ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๒ ข้าพเจ้าก็ได้เข้าพิธีฝึกสมาธิแบบมโนมยิทธิที่สายลมในตอนค่ำ ตามพิธีนั้น หลวงพ่อจะสอนให้พิจารณาตามแบบที่ท่านคงได้ฟังกันจากเทปก่อน แล้วก็กล่าวนำคำขึ้นกรรมฐาน แล้วท่านจะให้คณะครูฝึกไปพบท่าน

ขณะนั้นผู้ที่จะเข้าฝึกนั่งหลับตาภาวนาไป หลังจากนั้นจะมีครูฝึกมาเดินถือไฟฉายส่อง แล้วครูฝึกท่านหนึ่งจะมานั่งที่เบื้องหน้า ตอนนั้นผู้ที่มาฝึกยังมีไม่มาก ราวครั้งละ ๒๐ – ๓๐ คน สมัยนั้นครูผู้ฝึกจึงมีจำนวนเพียงพอ และสามารถนั่งถามและนำผู้ฝึกกันแบบตัวต่อตัว ครูฝึกคนหนึ่งอาจต้องแนะนำผู้ฝึกหลายคนในเวลาที่ฝึกนั้น แต่ก็แนะนำทีละคน

ข้าพเจ้านั่งรออยู่สักครู่ ก็ได้ยินเสียงเพื่อนของข้าพเจ้านั่นเอง ที่มานั่งข้างหน้าและเรียกชื่อข้าพเจ้า เมื่อฝึกเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าลืมตาก็ได้เห็นน้องผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งคงฝึกได้แล้วและนั่งทำสมาธิดูตามไปด้วยตลอด แต่สำหรับการฝึกครั้งแรกนี้ ข้าพเจ้าไม่ค่อยมั่นใจว่าสิ่งที่ได้ทราบใหม่ๆ นี้เป็นเรื่องที่ได้พบได้เห็นจริงหรือไม่ เหมือนที่หลายคนมักจะสงสัยกันเสมอ

ในการฝึกครั้งแรกนี้ มีผู้ที่พบในสมาธิหลายท่านมาบอกว่าเป็นญาติ และเพื่อนให้ถามว่าข้าพเจ้าชื่ออะไรมาบ้าง ข้าพเจ้าก็ได้แต่รับทราบไว้ แล้วเพื่อนก็แนะนำข้าพเจ้าไปยังที่ต่างๆ เมื่อจบพิธีของวันนี้แล้ว ข้าพเจ้าไม่มั่นใจจึงมาเข้าพิธีฝึกอีกสองสามครั้ง มีครูผู้แนะนำอีกสองท่านมาสอนทั้งสองครั้ง ข้าพเจ้าได้พบอีกหลายท่านในสมาธิ มาบอกถึงความเกี่ยวพันกับข้าพเจ้าอีก

ข้าพเจ้าไม่ได้ยึดมั่นว่าจะเป็นเรื่องจริงตามนั้นหรือไม่ เพราะยากที่จะพิสูจน์ พอข้าพเจ้าไปเข้าพิธีฝึกเป็นครั้งที่สี่ เห็นก็ไม่มีครูผู้ใดมาสอนข้าพเจ้า ข้าพเจ้านั่งหลับตารออยู่ ได้ยินครูฝึกที่เดินผ่านเขาพูดกันว่า คนนี้ได้แล้วนี่ ปี พ.ศ.๒๕๒๔ ข้าพเจ้าเกิดปัญหาในหน้าที่การงาน และอาจถูกออกจากงานได้ถ้าผู้ใหญ่ไม่สนใจ ข้าพเจ้าผ่านภาวการณ์นั้นได้

โดยไม่เกิดอาการวิปริตทางจิต เพราะคำสอนหลวงพ่อ และมานะในสิ่งที่รู้จากมโนมยิทธิ ข้อคิดจากคำสอนของหลวงพ่อข้อหนึ่ง ที่ทำให้ข้าพเจ้าดับความรู้สึกที่ควรจะวุ่นวาย คือผู้ปฏิบัติที่ต้องการหนีเจ้าหนี้ คือเจ้ากรรมนายเวรไปในชาตินี้ เจ้าหนี้จะตามรุมทวงหนี้อย่างหนัก ถ้าได้ทำอะไรที่เป็นความผิดลงไป เช่น ผิดศีล แม้เล็กน้อย ผลร้ายจะเกิดมากมายหลายเท่า

เพราะเจ้าหนี้รู้ว่าจะหนี ข้าพเจ้าพบเหตุการณ์วิกฤติต่อมาอีกหลายครั้ง แบบที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาทำแล้ว ก็ไม่เห็นมีผลไม่ดีอะไรเกิดขึ้น แต่ของข้าพเจ้านี้มีแฟ้มประวัติที่บรรจุเรื่องราวเป็นคดีความที่ต้องพิจารณากันหนามากทุกแห่ง จนผู้หลักผู้ใหญ่ต้องเดินหนี เพราะทำให้ท่านเสียเวลาที่ควรจะไปทำเรื่องอื่นที่มีคุณค่ากว่านี้

ถ้าจะถามว่า ข้าพเจ้าเชื่อสิ่งที่พบเห็นในมโนมยิทธิหรือไม่ ข้าพเจ้าก็บอกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าคิด ไม่อาจมองข้ามหรือคิดว่าเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับการเวียนว่ายในภพในชาติ เพราะเมื่อมีผู้มาบอกว่าข้าพเจ้าเป็นอะไร และมีชื่ออะไรบ้างในสมาธิ ข้าพเจ้าก็เคยไปค้นคว้าหาข้อมูลว่าบุคลนั้นมีลักษณะอุปนิสัยอย่างไร ต้องยอมรับว่าลักษณะเด่นๆ

คล้ายกับตัวข้าพเจ้า และยังรวมถึงอุปนิสัยความชอบในสิ่งของต่างๆ เช่น ในการเลือกสิ่งของเครื่องใช้ การขอบสะสมวัตถุบางอย่างเหมือนกัน ทำให้ยอมรับได้ว่ามโนมยิทธิไม่ใช่สิ่งที่ปฏิเสธได้ทั้งหมด และทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจและยอมรับเช่นกันว่า การที่คนเราจะเลือกกระทำอะไรที่คนอื่นอาจดูแล้วไม่เหมาะสม

เช่นการเลือกคู่ครองก็เป็นเรื่องของความพอใจของบุคลนั้น ที่เคยอยู่เคยใกล้ชิดกันมาก่อน ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้เกิดการฝังตัวเข้าไปในจิตใจของคนข้ามภพข้ามชาติไปอย่างไร คำสอนหนึ่งของหลวงพ่อที่ติดอยู่ในใจของข้าพเจ้าคือ

“ใครเป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้นไปเป็นแสนๆ ชาติ” อาจจะเหมือนกับการบันทึกข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ได้ แล้วถ่ายเทข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ทั้งนี้ความรู้ข้าพเจ้าก็ยังไม่เพียงพอในการที่จะอธิบายให้ละเอียด ก็ขอผู้รู้พิจารณาต่อเอาเอง

๕. หลวงพ่อตอบปัญหา – จุดหมายของการปฏิบัติ
มีเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นและนับว่าแปลกเป็นพิเศษสำหรับข้าพเจ้า นั่นคือในวันลอยกระทงที่วัดท่าซุงครั้งหนึ่ง คาดว่าเป็นปีแรกๆ ที่ข้าพเจ้าได้มาที่วัดท่าซุง คงจะปี พ.ศ.๒๕๒๑ – ๒๕๒๒ ในงานนั้นวัดจะมีกระทงไว้จำหน่ายให้กับผู้ที่ต้องการจะลอย กำหนดนัดกันว่าจะลอยกระทงที่สระน้ำ ตรงกุฏิแม่ชีใกล้กับโบสถ์

ตอนประมาณหนึ่งทุ่มเป็นเวลาที่กำหนดว่าจะลอยกระทงพร้อมกันกับหลวงพ่อ ข้าพเจ้ามัวไปอยู่ด้านอื่นของวัด พอมาถึงที่สระก็ไม่ทันลอยกระทงพร้อมหลวงพ่อ เพราะเป็นที่ทราบกันว่าท่านเดินไปไหนมาไหนเร็วมาก พอมาถึงขอบสระก็เห็นกระทงใหญ่ของหลวงพ่อที่ลูกศิษย์ทำถวายนั้น ลอยอยู่เกือบกลางสระ องค์หลวงพ่อนั้นได้ไปยืนมองดูอยู่กับลูกศิษย์สองสามคนตรงชานเล็กๆ หน้ากุฏิแม่ชี

น่าแปลกที่กลางสระนั้น ข้าพเจ้าเห็นมีกระทงใบเล็กใบน้อยของลูกศิษย์ ลอยเกาะติดอยู่กับกระทงของหลวงพ่อนับสิบกระทงโดยไม่หลุดลอยแยกย้ายออกไป ข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากกลุ่มเจ้าของกระทงที่ยังคงอยู่บริเวณนั้น ต่างสงเสียงเชียร์กระทงของตน และยินดีที่กระทงสามารถเกาะติดอยู่กับกระทงของหลวงพ่อได้ เสียงพูดอย่างปลื้มใจว่า

คงมีหวังได้ตามท่านไปยังแดนอมตะอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าวางกระทงที่จุดธูปเทียนแล้วใกล้ของสระ แล้วใช้มือวักน้ำเบาๆ ด้วยความเกรงว่ากระทงจะพลิกคว่ำ เพื่อให้เกิดคลื่นดันกระทงลอยห่างออกไปกลางสระ กระทงของข้าพเจ้าเมื่อถูกวางบนผิวน้ำตรงไหนก็หยุดอยู่ตรงนั้นเอง ไม่ยอมลอยไปทางไหนทั้งสิ้น และท่าทางจะลอยกลับเข้าหาฝั่งเสียอีก

ข้าพเจ้ารู้สึกหมดกำลังใจคิดว่าชาตินี้ตนเองคงจะไปไม่ถึงไหนแล้ว จะตามไปแดนที่เขาจะไปกันได้หรือ พอข้าพเจ้าคิดอยู่อย่างนี้สักครู่ ทันใดข้าพเจ้าก็เห็นกระทงของข้าพเจ้าเลื่อนตัวลอยออกไปอย่างช้าๆ เหมือนกับถูกดึงหรือดันไปจากริมฝั่งไปทางกลางสระ ผิวน้ำที่ด้านหน้าถูกกระทงดันให้เป็นริ้วระลอกเล็กๆ ข้าพเจ้าจ้องมองดูสิ่งที่เกิดนี้อย่างไม่วางตา ลมก็นิ่งสงบ

ใบไม้ไม่มีกระดิกไหว จึงไม่มีลมที่จะพัดพากระทงของข้าพเจ้าไปอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น ถ้ามีลมพัดทุกกระทงต้องลอยไปในทิศทางเดียวกันหมด เพราะกระทงทำด้วยกระดาษ ย่อมมีความเบาเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าเห็นกระทงอื่นๆ รวมทั้งกระทงของหลวงพ่อนิ่งอยู่กับที่ กระทงของข้าพเจ้าลอยตรงดิ่งเข้าไปใกล้ และแตะกับขอบกระทงของท่านได้โดยที่กระทงอื่นๆ

ที่เกาะอยู่ก็ไม่หลุดลอยออกไปจากกลุ่ม ยังคงอยู่ชิดกับกระทงหลวงพ่อ เพียงแต่เมื่อกระทงของข้าพเจ้าเข้าไปถึง กระทงใบอื่นก็เลื่อนไปทางด้านข้าง พอมีที่ให้กระทงของข้าพเจ้าเข้าไปแตะกระทงหลวงพ่อได้ เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าพลันมองขึ้นไปยังหลวงพ่อที่ยังคงยืนอยู่ที่หน้ากุฏิคนละฝั่งของสระที่ข้าพเจ้ายืนอยู่

จากแสงไฟที่สลัวรางที่ส่องมาจากด้านศาลานวราช ข้าพเจ้าไม่อาจเห็นใบหน้าและดวงตาของท่านชัดเจนนัก แต่รู้สึกได้ว่าท่านกำลังมองดูด้วยสายตาที่เข้มเหนือปกตินิดหนึ่งอย่างเงียบๆ ข้าพเจ้าเข้าใจได้ทันทีว่า ท่านตอบปัญหาของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา คิดว่าวิถีที่สะเปะสะปะของตนเองคงมีทางถึงจุดหมายกับเขาบ้างได้เหมือนกัน

๖. ปัญหาจากหลวงพ่อ
ปี ๒๕๒๕ ข้าพเจ้าได้รับทุนไปศึกษาอบรมที่ทวีปยุโรปเป็นเวลา ๑ ปี ข้าพเจ้าได้ปรึกษากับเพื่อนคนเดิมเช่นเคย ว่าจะไปดีหรือไม่ ใจนั้นไม่ค่อยสนใจกิจกรรมทางโลกแล้ว เพื่อนก็เล่าว่าหลวงพ่อจะส่งเสริมเรื่องการศึกษาให้เรียนต่อถ้ามีโอกาส เพราะแสดงว่าศาสนาไม่ได้สอนให้คนมีความสันโดษผิดทาง ในทางตรงกันข้างศาสนาได้ช่วยเกื้อหนุนชีวิตของผู้ที่เข้ามาไปในทางที่ดีขึ้น

และยิ่งเรียนมากก็จะได้มีโอกาสช่วยศาสนาได้มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย ก่อนที่จะเดินทางข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อที่สายลม ในเดือนสิงหาคมปีนั้น ข้าพเจ้าไปในช่วงเวลารับแขกตอนกลางวัน จะมีคนไม่ค่อยมากนัก ตรงที่นั่งเบื้องหน้าของท่านมักว่างเสมอ ข้าพเจ้าเข้าไปกราบ รู้สึกเกรงๆ ด้วยไม่เคยพูดกับท่านมาก่อน

ข้าพเจ้ารายงานตัวว่าเป็นลูกศิษย์ของ ดร.ปริญญา นุตาลัย และกำลังจะเดินทาง ท่านก็ยกหัวข้อสนทนาเรื่องการหุงทองในสมัยโบราณขึ้นมา ข้าพเจ้ารับฟังอย่างงงๆ เพราะเคยอ่านที่ท่านเขียนในหนังสือถึงการทำทองมาบ้างว่า ในสมัยโบราณ เช่นสมัยพระเจ้าพรหมมหาราช ที่คนไทยต้องหาทองคำส่งส่วยพวกขอม ก็หุงทองขึ้นมาไม่ใช่ทองธรรมชาติ

ท่านระบุไว้ว่าต้องใช้สารปากนกแก้วและจะได้ทองที่สีไม่สุกปลั่งเหมือนทองคำธรรมชาติ ข้าพเจ้ารับฟังแล้วยังไม่ได้พิจารณาอะไร นึกว่าท่านคงสนทนาให้เหมาะกับความรู้ของแต่ละบุคคล แล้วท่านก็กรุณาอวยพรให้ข้าพเจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพและศึกษาอบรมได้สำเร็จ หลายปีผ่านไป ข้าพเจ้าได้นำเรื่องของสารที่บารณนำมาทำทองมาพิจารณาใคร่ครวญอีก

โดยความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้วคิดว่า การหุงทองน่าจะมีความเป็นไปได้ เพราะแร่ที่มีสีแบบปากนกแก้ว คือแดงเข้มอมแสดนั้นควรจะเป็นแร่ธรรมชาติที่เคยเรียนเคยเห็นมา คือแร่ซินนาบาร์ (Cinnabar) แร่นั้นมีส่วนประกอบของปรอทและกำมะถัน (HgS) ถ้าสามารถเปลี่ยนธาตุปรอทให้เป็นธาตุทองโดยวิธีการใดๆ เช่นทำให้อนุภาคประจุไฟฟ้าเล็กๆ

ในอณูของปรอทเคลื่อนย้ายเข้าหรือออก ก็อาจจะกลายเป็นทองได้ ธาตุทั้งสองมีคุณสมบัติทางเคมีใกล้เคียงกัน และถูกจัดให้อยู่ติดกันในตารางธาตุทางเคมี แต่คนมองเห็นเพียงความแตกต่างทางกายภาพ เมื่อปรอทในสารปากนกแก้วกลายเป็นทอง กำมะถันที่มีอยู่ในสารปากนกแก้วอาจยังคงปนในทองหุงนั้น ทำให้ทองสีไม่สุกปลั่ง

เป็นสีที่เรียกว่าสีดอกบวบ (ทองเนื้อเจ็ด) คือเหลือออกไปทางเขียวนิดๆ ไม่ใช่สีแบบทองคำแท้ที่จะมีประกายสุกกว่า แต่ทั้งนี้เป็นเพียงข้อคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ยังมิได้มีการทดลองเพื่อพิสูจน์แต่อย่างใด เพียงทำให้ระลึกว่า อย่าประมาทภูมิปัญญาคนโบราณที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ *

** หมายเหตุบรรณาธิการ
ในสมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก (พ.ศ.๒๔๙๐) มีญาติคนหนึ่งซึ่งเป็นคนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชื่อปู่แฟง อิ่มทั่ว บิดาข้าพเจ้าเรียกท่านว่าปู่ ข้าพเจ้าก็เรียกตาม) จะมาสอนวิธีหุงทองให้บิดาข้าพเจ้า ท่านว่าต้องใช้ทองบางสะพานเก้าบาท เมื่อหุงแล้วจะได้ทองทั้งหมดสิบบาท (เพิ่มขึ้นหนึ่งบาท) แต่บิดาข้าพเจ้าไม่สนใจ เข้าใจว่าตำรานี้น่าจะยังคงมีอยู่ ท่านที่สนใจลองสอบถามคนนามสกุล อิ่มทั่ว ทางบางสะพานดูว่าได้วิชานี้ไว้จากปู่แฟงหรือไม่ **

อีกยี่สิบปีต่อมา ข้าพเจ้าถึงเข้าใจที่หลวงพ่อยกเรื่องการทำทองมาสนทนา ในเดือนสิงหาคม ๒๕๔๕ ในยุคที่มีการติดต่อทางอินเตอร์เน็ต ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสนทนากับกลุ่มลูกศิษย์รุ่นใหม่ๆ ซึ่งเข้ามาทีหลัง และไม่เคยพบหลวงพ่อเลย แต่มีศรัทธาในคำสอนของท่านอย่างแท้จริง ถึงกับได้จัดทำเว็บอย่างเงียบๆ มีคำสอนของท่านปรากฏให้อ่านให้ศึกษากันได้หลายเว็บ

ข้าพเจ้าถูกผู้ทำเว็บผู้หนึ่ง (ใช้นามในเว็บว่า – โต) ถามถึงเรื่องการทำทอง ซึ่งคนที่เขาเคยไปถามคงจะบอกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ทำไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าตอบเขาไปว่าอาจทำได้ ในขณะที่โต้ตอบกันนั้น ก็มีผู้ที่ได้สนทนาอยู่ด้วยเป็นผู้ศึกษาแร่มาแบบเดียวกับข้าพเจ้า (ใช้นามในเว็บว่า – จีจี)

และคุยมาจากเชียงใหม่ ข้าพเจ้าก็ลองถามเขาว่าเป็นไปได้ไหมที่จะทำทองแบบที่ข้าพเจ้าว่ามานี้ เขาก็บอกว่าเป็นสิ่งที่น่าคิด ข้าพเจ้ามานึกแล้วถึงเข้าใจไดว่า หลวงพ่ออาจไม่ได้ยกเรื่องทองมาสนทนากับข้าพเจ้าเฉยๆ ท่านเตรียมการบ้านล่วงหน้าให้หาคำตอบ ไว้สำหรับตอบผู้สงสัยถึงยี่สิบปีทีเดียว

๗. หลวงพ่อช่วยลูกศิษย์
เดือนเมษายน ๒๕๔๕ ข้าพเจ้าได้บริจาคท่อน้ำพีวีซีให้กับโรงเรียนแห่งหนึ่งตามประกาศบอกบุญที่สายลม ข้าพเจ้านั้นเคยอยู่ในที่กันดารน้ำมาหลายครั้ง แล้วยังได้ทำงานที่เกี่ยวกับการหาน้ำอีก จึงเข้าใจความขาดแคลนน้ำได้ดี ข้าพเจ้าซื้อท่อส่งน้ำหนึ่งเส้น โดยถวายผ่านหลวงพี่พระครูปลัดอนันต์ ครั้งนี้ได้แหนบรูปหลวงพ่อมาอีกอันหนึ่ง

แม้ข้าพเจ้าจะมีแหนบอยู่เป็นจำนวนมาก แต่แหนบอันนี้มีขอบที่สวยงามพิเศษอีกหน่อย ข้าพเจ้าจึงนำแหนบนี้ติดตัวไปเป็นเครื่องเตือนจิตเมื่อออกไปทำงานต่างจังหวัดในกลางเดือนนั้นเอง เพราะตนเป็นคนไม่ค่อยจะเรียบร้อย ของมักตกหล่นประจำ ถ้าแหนบหล่นหายไปก็คงไม่เสียดายมากนัก

เมื่อไปถึงที่ทำงานในเขตอำเภอศรีสัชชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ตรงจุดนั้นอยู่ใกล้เชิงเขาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยม ไม่ห่างจากอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชชนาลัย ตรงด้านตะวันออกมีเขาลูกโดดๆ เป็นกลุ่มอยู่ เขาลูกหนึ่งมีชื่อว่าเขาพระศรี ทำให้ข้าพเจ้าระลึกถึงหลวงพ่อตลอด เพราะเรื่องที่ท่านเล่าในสมัยก่อน มักจะมีชื่อเกี่ยวกับคำว่า – ศรี เช่น พระศรี แม่ศรี ฯลฯ

วัตถุประสงค์ในการมาทำงานครั้งนี้ ข้าพเจ้าต้องการมาหาเส้นทางของแม่น้ำยมโบราณ ที่คาดว่าต้องไหลผ่านมายังบริเวณนั้น แต่จากข้อมูลที่มีอยู่เดิมจากการเจาะ รวมทั้งแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ ก็ไม่พอจะสรุปอะไรได้เป็นที่พอใจนัก ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะหาข้อมูลได้อีกจากที่ไหน

แต่คิดว่าต้องมีอะไรที่ต้องรู้ต้องค้นคว้าอีกแน่นอน เมื่อคิดอะไรไม่ออก ข้าพเจ้าจึงนำแหนบหลวงพ่อออกมาและตั้งใจน้อมจิตถึงหลวงพ่อ พรอ้มทั้งท่านที่ดูแลรักษาบริเวณนั้นอยู่ว่า ขอให้ช่วยแก้ปัญหาของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด จากนั้นข้าพเจ้าก็เดินสังเกตภูมิประเทศเก็บข้อมูลและถ่ายภาพไปรอบๆ บริเวณที่กำลังทำงานกันอยู่นั้น

เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง ก็มีคุณลุงคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ตรงมายังกลุ่มของข้าพเจ้า ข้าพเจ้านึกว่าเขาคงรู้จักกับเพื่อนร่วมงานที่ได้ทำงานตรงจุดนี้มาเป็นเดือนแล้ว คุณลุงมามองๆ พวกเราสักพัก ไม่มีใครทักทายหรือเคยเห็นคุณลุง ข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งกำลังดูแผนที่อยู่ จึงชวนคุณลุงดูแผนที่ และคุยถึงทางน้ำเก่า

ถามว่าคุณลุงรู้จักหรือเคยเห็นทางน้ำเก่าไหม คุณลุงซึ่งตอนนี้อายุ ๗๒ ปีแล้ว ตอบว่ารู้จัก คุ้นเคยกับแถวบ้านย่านนี้เป็นอย่างดี เพราะอยู่มาแต่เล็กแต่น้อย ตอบว่ามี และอาสาพาพวกเราไปดูทางน้ำที่ว่า เพราะคุณลุงบอกว่าทางน้ำเก่านั้นถูกรถไถไถดินมากลบ กลายเป็นที่ตั้งบ้านเรือน ที่ทำนา หรือถนนหนทางไปหมด ถ้าไม่มีคุณลุง พวกเราก็ไม่มีทางทราบเลย

ข้าพเจ้าไม่อาจหาพบจากข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ เพราะพื้นดินได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว คุณลุงเล่าว่า เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรก็มักมาให้คุณลุงพาไปยังสถานที่เก่าต่างๆ ในบริเวณนี้เช่นกัน ระหว่างการสำรวจ คุณลุงก็ชี้ให้ดูสถานที่ต่างๆ และเล่าประวัติของสถานที่นั้น เช่นทหารในยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งค่ายอยู่ที่ไหน ฝึกซ้อมรบกันที่ไหน เป็นต้น

เป็นเรื่องราวที่บันทึกไว้ในสมุดข่อยเก็บไว้ที่วัดเก่าแก่ของย่านนี้ ตามประวัติศาสตร์ของไทยที่เราทราบกันอยู่ ก็มีบันทึกไว้ว่าบริเวณเมืองสวรรคโลก และเมืองศรีสัชชนาลัยนี้เป็นเมืองหน้าด่าน และเมืองลูกหลวงที่มีความสำคัญมาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัย อยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์
เพื่อนร่วมงานข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ และพูดว่า เขามาที่นี่หลายหนไม่เคยเจอคุณลุงเลย

แต่พอข้าพเจ้ามาคุณลุงก็มาให้ข้อมูลเอง ข้าพเจ้านึกตอบในใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านผู้อ่านก็คงเข้าใจเช่นกัน พวกเราถามคุณลุงว่า ทำไมลุงถึงมาที่นี่ในวันนี้ เวลานี้ คุณลุงตอบว่า จู่ๆ ลูกชายของลุงก็อยากกินแกงขนุน คุณลุงก็จะมาเก็บขนุนอ่อนที่ต้นในสวน เลยไปไม่ไกลจากที่พวกเราปักหลักทำงานกันอยู่ เวลานั้นลูกชายคุณลุงอาจกำลังสงสัยว่า

คุณลุงมาเก็บขนุนเท่านั้นทำไมหายไปถึงเกือบสามชั่วโมง ข้อเขียนบันทึกนี้ ข้าพเจ้าขอทำเพื่อบูชาคุณพระรัตนตรัย คุณของหลวงพ่อฤาษี คุณบิดามารดาทุกภพทุกชาติ คุณครูบาอาจารย์ รวมถึงผู้มีพระคุณทั้งหมด และขออนุโมทนาคุณความดีของท่านผู้อ่าน ที่สร้างสมมาตลอดทุกภพชาติเช่นกัน

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top