Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 6/4/08 at 07:40 [ QUOTE ]

สู่แสงธรรม...โดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป (ตอนที่ 1 - B)




หลวงพ่อบอกถึงการได้บำเหน็จ ๒ ขั้น


ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ (ข้าพเจ้าเรียนจบจากโรงเรียนผู้บังคับฝูงแล้วครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าและภรรยาได้นำอาหารไปถวายหลวงพ่อ โดยมี เรืออากาศโทธานินทร์ กลิ่นศรีสุข ( ปัจจุบันยศนาวากาศเอก) และภรรยาร่วมไปด้วย ในวันนั้นหลวงพ่อได้เอ่ยทักว่า “ปีนี้คุณมนูญได้ ๒ ขั้นนะ” ซึ่งข้าพเจ้าก็รีบพนมมือกล่าวรับ แต่ในใจก็ยังคิดว่า “ปีนี้เราไม่น่าจะได้ ๒ ขั้นเพราะเรียนจบกลับมา ผลงานในรอบปีก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจมากนัก”

ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ร.ท.ธานินทร์ ก็ถามว่า “หลวงพ่อครับแล้วผมล่ะ จะได้ ๒ ขั้นด้วยไหม?”

หลวงพ่อมองหน้าเรืออากาศโทธานินทร์ สักอึดใจก็ตอบว่า “ปีนี้ไม่ได้หรอกนะ ต้องปีหน้าจึงจะได้”

เรืออากาศโทธานินทร์ ได้ฟังคำตอบจากหลวงพ่อก็หัวเราะก๊าก..แล้วเล่าให้หลวงพ่อและทุกคนในที่นั้นฟังว่า
“เสียใจครับหลวงพ่อ ปีนี้ผมได้ ๒ ขั้นแล้วอย่างแน่นอน ผู้พันเพิ่งให้ผมดูผลการพิจารณาบำเหน็จเมื่อวานนี้เอง ผมนะได้ ๒ ขั้นอันดับ ๑ ของกองพันอากาศโยธินด้วย และทุกปีกองพันจะมีโควตา ๒ ขั้นสำหรับนายทหารสัญญาบัตรของกองพันถึงปีละ ๓ คนดังนั้นผมซึ่งอยู่ไนอันดับ ๑ จึงไม่พลาด ๒ ขั้นแน่ในปีนี้”

หลวงพ่อได้มองหน้าเรืออากาศโทธานินทร์ อีกแล้วตอบอย่างเมตตาว่า “ปีนี้คุณไม่ได้หรอกนะอย่าเสียใจ แต่ปีหน้าได้แน่”
ในวันนั้น เรืออากาศโทธานินทร์ก็ลาหลวงพ่อกลับไปด้วยความหงุดหงิดบ่นกับข้าพเจ้าในทำนองว่า หลวงพ่อจะรู้ดีไปกว่าตนหรือผู้พันได้อย่างไรกัน

ต่อมาอีกไม่นานผู้บังคับกองบิน ๔ ก็เชิญหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงเข้าประชุมบำเหน็จประจำปี ผลปรากฏว่า เรืออากาศโทธานินทร์ ก็ได้ ๒ ขั้นจริงๆ และอันดับ ๒, ๓ ของกองพันก็ได้ด้วย รวมความว่านายทหารสัญญาบัตรของกองพันอากาศโยธิน กองบิน ๔ ได้ ๒ ขั้นทั้ง ๓ คน เต็มตามโควต้าของกองพันจริงๆ ตามที่เรืออากาศโทธานินทร์อธิบายให้หลวงพ่อฟังทุกประการ ส่วนข้าพเจ้านั้นไม่ได้ เนื่องจากนายทหารสัญญาบัตรภายในหน่วยน้อย จึงไม่มีโควต้า ๒ ขั้นของหน่วยเอง ต้องอาศัยโควต้าของหน่วยอื่นมาร่วม

ซึ่งเป็นการยากมาก และข้าพเจ้าก็คาดคิดอยู่แล้วว่าข้าพเจ้าคงไม่ได้ จึงไม่เสียอกเสียใจแต่อย่างใด และในตอนเย็นวันนั้น เมื่อข้าพเจ้าพบเรืออากาศโทธานินทร์บนสโมสร ก็ได้แสดงความยินดี และร่วมเล่นบิลเลียดกันเหมือนเช่นเคยจนถึง ๓ ทุ่มข้าพเจ้าจึงได้ขอแยกตัวกลับบ้าน ส่วนเรืออากาศโทธานินทร์ยังเล่นอยู่ต่อโดยบอกข้าพเจ้าว่า “พี่กลับไปก่อนนะ วันนี้ผมขออยู่ฉลอง ๒ ขั้นจนกว่าสโมสรจะปิด”

ครั้นวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไปถึงที่ทำงาน เห็นเพื่อนร่วมงานหลายคนกำลังจับกลุ่มวิจารณ์กันเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่อย่างตื่นเต้นสนุกสนาน จึงเข้าไปร่วมฟังด้วย ก็ได้รับทราบว่า เมื่อคืนนี้ผู้บังคับการกองบิน ๔ ไปเป็นเจ้าภาพแต่งงานที่จังหวัดชัยนาท กลับมาถึงกองบิน ๔ เวลา ๕ ทุ่มเศษ เห็นไฟบนสโมสรเปิดสว่างไสว และยังมีข้าราชการเล่นบิลเลียดกันอยู่อย่างสนุกสนาน ก็โมโหมาก

จึงขับรถจิ๊บเข้าเทียบสโมสรแล้วเข้าไปในห้องบิลเลียด สั่งปิดสโมสรทันที พร้อมกับให้นายทหารผู้หนึ่งโทรศัพท์เชิญผู้พันฯมาพบ และสั่งการให้งดบำเหน็จ ๒ ขั้นนายทหารสัญญาบัตรของกองพันอากาศโยธินทั้ง ๓ คนที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบและคำสั่งผู้บังคับการกองบิน ๔ โดยเล่นบิลเลียดบนสโมสรเกินเวลาปิดสโมสร (ในระเบียบให้ปิดสโมสรเวลา ๒๒.๓๐)

ด้วยเหตุนี้เอง เรืออากาศโทธานินทร์ และนายทหารสัญญาบัตรของกองพันอีก ๒ คน จึงไม่ได้ ๒ ขั้นทั้ง ๓ คน และโควต้า ๒ ขั้นทั้ง ๓ ที่ของกองพันอากาศโยธินจึงต้องตกเป็นของส่วนกลาง ทำให้ข้าพเจ้าได้ ๒ ขั้นในปีนั้น ส่วนเรืออากาศโทธานินทร์ไม่ได้ และไปได้ ๒ ขั้นชดเชยในปีต่อไป ตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการ

การยืนยันของหลวงพ่อ ต่ออนาคตอันใกล้ต่อผู้ที่เขารู้ และมั่นใจอย่างเต็มที่ต่อเรื่องที่ไม่น่าพลาดเช่นนี้นับเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งซึ่งใครเลยจะกล้าเสี่ยงทำนายหากไม่ได้อนาคตังสญาณ หรือรู้จริงอย่างหลวงพ่อ



หลวงพ่อรู้ทั้งอดีตและอนาคต


มีอยู่วันหนึ่ง เรืออากาศตรีชัยชนะ จั่นบำรุง (ยศในขณะนั้น) ซึ่งได้สมัครไปบินรบในสมรภูมิลาว (ขณะนั้นกำลังมีการรบกันอยู่อย่างรุนแรง) ได้ขอติดตามข้าพเจ้าและภรรยาไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงด้วยความตั้งใจก็เพื่อไปสอบถามหลวงพ่อถึงความปลอดภัยของตนในการตัดสินใจไปรบในลาวนั่นเอง ซึ่งหลวงพ่อก็ได้เมตตาบอกว่า

“ความจริงคุณชัยชนะไปคราวนี้ต้องตายนะ แต่บังเอิญเมื่อตอนอายุ ๙ ขวบไปพุ่งหลาวโดนน้ำ ศีรษะด้านหลังไปเจอไม้ไผ่ที่เขามัดกันพงผักบุ้ง เสียบเอาถึงเลือดตกยางออกมาแล้ว จึงนับเป็นการชดใช้กรรมไปแล้วส่วนหนึ่ง ดังนั้นการไปบินรบในครั้งนี้ แม้เครื่องบินจะถูกยิงตกก็จะไม่ถึงตายนะ จะช่วยทำพิธีแก้ให้เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา”

ต่อจากนั้น หลวงพ่อก็ให้คุณชัยชนะจัดการปล่อยนก, ปล่อยปลา, ถวายพระพุทธรูป และรดน้ำมนต์ให้ (เท่าที่ข้าพเจ้าพอจะจำได้)

เรื่องที่น่าแปลกในตอนนั้นก็คือ ข้าพเจ้าและบรรดาผู้ติดตามไปในครั้งนั้น แม้จะนั่งอยู่ข้างหลังจนเกือบชิดและช่วยกันมองหาแผลเป็นบนศีรษะของเรืออากาศตรีชัยชนะ สักเพียงใดก็หาเห็นไม่ เพราะผมแกหนาและดกมากปิดบังไว้หมด ต่อเมื่อคุณชัยชนะยอนรับว่า “ตอนอายุ ๙ ขวบผมกระโดดน้ำแล้วถูกไม้ไผ่เสียบจริงๆ และบัดนี้แผลเป็นนั้นก็ยังอยู่” ว่าแล้วก็แหวกผมดกหนาที่ปิดบังแผลเป็นออกให้ทุกคนดู

ต่อมาเรืออากาศตรีชัยชนะก็จากกองบิน ๔ ไปปฏิบัติภารกิจการบินรบในลาวและใน ๒-๓ เดือนต่อมา ข้าพเจ้าก็ได้ทราบข่าวว่าเครื่องบินของคุณชัยชนะถูกยิงตก แต่คุณชัยชนะปลอดภัย เพียงแต่แขนเดาะต้องเข้าเผือกอยู่ระยะหนึ่งเท่านั้น และที่น่าแปลกใจมากก็คือ ทางคณะกรรมการที่ไปสอบสวนเครื่องบินตกได้เลาว่า เครื่องบินของเรืออากาศตรีชัยชนะนั้นน่าที่จะต้องตกเหวอย่างยิ่ง เพราะหัวเครื่องพ้นปากเหวไปเกือบครึ่งลำแล้ว แต่เคราะห์ดีที่ไปพาดบนต้นไม้ใหญ่

การที่หลวงพ่อรู้ไปถึงอดีตของเรืออากาศตรีชัยชนะ เมื่อตอน ๙ ขวบและล่วงรู้ถึงอนาคตอันใกล้ว่าเครื่องบินจะต้องตกอีกทั้งทำพิธีแก้เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาให้เช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่าหลวงพ่อต้องได้ "อตีตังสญาณ" และ "อนาคตตังสญาณ" อย่างแน่นอน



หลวงพ่อทรงอภิญญา


เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๓ ตอนต้นๆ ปี ญาติของ พ.อ.อ.ชลอ ผาสุก ได้เสียชีวิตลง และ พ.อ.อ.ผาสุข ก็ได้ตัดสินใจนำศพของญาติ (ข้าพเจ้าต้องขออภัยที่จำไม่ได้ว่าญาติที่ตายมีศักดิ์เป็นอะไรกับ พ.อ.อ.ชลอ) ไปเผาที่เมรุเผาศพของวัดท่าซุง อุทัยธานี โดยเชิญข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาไปร่วมเป็นเกียรติในพิธีเผาศพด้วย

เมรุเผาศพของวัดทาซุงนั้นเป็นเมรุแบบโบราณเผาศพด้วยฟืนตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ (ในปัจจุบันทางวัดยังคงอนุรักษ์ไว้ หากท่านผู้อ่านได้ไปวัดท่าซุงก็จะได้เห็น) พิธีเผาศพก็ทำกันแบบพื้นบ้านง่ายๆ โดยยกศพลงไปวางในเมรุเหนือกองฟืนแล้วก็จุดไฟเผา โดยมีหลวงพ่อเป็นประธานในพิธี ส่วนข้าพเจ้า, พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข และญาติๆ ของผู้ตายก็ยืนกันอยู่ด้วยอาการอันสงบข้างๆ เมรุ

ในขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้ศพ และทุกคนกำลังยืนสงบอยู่นั้นก็มีคนมาบอกหลวงพ่อว่ามีนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาจากกรุงเทพฯ เดินทางมาหาและรอหลวงพ่ออยู่ที่กุฏิ หลวงพ่อพยักหน้ารับทราบ แล้วก็หันมาสั่งข้าพเจ้าว่า “คุณมนูญ ช่วยไปรับแขกแทนฉันก่อนนะเดี๋ยวฉันจะตามไป”

ข้าพเจ้าเมื่อรับคำสั่งจากหลวงพ่อก็เดินจากเมรุ ผ่านศาลาเก่าๆ ที่เสาโย้เย้ริมแม่น้ำ ลัดเลาะไปตามทางเดินที่สองข้างทางมีแต่หญ้าคาสูงๆ ปกคลุม ผ่านโบสถ์วิหารที่ชำรุดทรุดโทรมปราศจากหลังคาแล้วก็หยุดหันหลังกลับไปมองที่เมรุ เห็นหลวงพ่อยังยืนเด่นเหลืองอร่ามปลงอสุภอยู่อย่างสงบ ก็มีความหนักใจเพราะความจริงแล้วข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะไปพูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่นัก โดยเฉพาะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มาจากกรุงเทพฯ

และก็ไม่ทราบว่า จะต้องคุยรับหน้าแทนหลวงพ่ออีกนานสักเท่าไร เพราะมองดูรูปการแล้วหลวงพ่อยังไม่มีทีท่าจะละจากเมรุง่ายๆ เลย อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ค่อยๆ เดินไปจนถึงกุฏิหลังเล็กๆ ของหลวงพ่อริมน้ำจนได้ และแล้วสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดฝันมาก่อนที่เกิดขึ้นจนทำให้ข้าพเจ้าตกใจเพราะข้าพเจ้าได้เห็นหลวงพ่อกำลังนั่งพูดคุยกับนายทหารผู้ใหญ่ท่าน ผู้นั้นอยู่แล้วบนกุฏิ

ท่านผู้อ่านที่รัก...ทางเดินจากเมรุเผาศพเดินมายังกุฏิหลวงพ่อนั้น มีเส้นทางเดียวที่ลัดตรงที่สุดและไม่มีหญ้าคาปกคลุม ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่ข้าพเจ้าก็ได้เดินมาแล้วเกินกว่าครึ่งทาง ในขณะที่หลวงพ่อยังยืนอยู่ที่เมรุ ดังนั้นจู่ๆ หลวงพ่อก็มาถึงกุฏิก่อนข้าพเจ้าได้เช่นนี้ หากข้าพเจ้าจะคิดว่าหลวงพ่อทรง "อภิญญา" ก็น่าจะได้...จริงไหมครับ ?



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top